Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore JOURNAL-MRC-12-001

JOURNAL-MRC-12-001

Published by pollajan.y, 2019-11-12 03:25:47

Description: JOURNAL-MRC-12-001

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการน�ำ เสนอผลงาน ในงานการประชมุ วชิ าการมหาวทิ ยาลยั มหาสารคามวจิ ยั ครัง้ ท่ี 12 Towards Sustainable Community Development by Integrating Basic and Applied Researches วันท่ี 8 - 9 กนั ยายน พ.ศ.2559 ณ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม “สาขาบรกิ ารวชิ าการแก่สังคม” กองสง่ เสริมการวจิ ัยและบริการวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม

เจ้าของ : กองสง่ เสรมิ การวจิ ัยและบริการวชิ าการ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ทีป่ รกึ ษา : ศาสตราจารย์ ดร.สัมพันธ์ ฤทธเิ ดช รองศาสตราจารย์ ดร.ประยุกต์ ศรีวไิ ล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฉันทนา เวชโอสถศักดา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกพร รตั นสุธรี ะกุล อาจารย์ ดร.สุมลวรรณ ชุ่มเช้ือ อาจารย์ ดร.มลฤดี เชาวรตั น ์ ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ศศธิ ร แก้วมั่น อาจารย์ศักด์ิเจริญ ภวภูตานนท์ อาจารยก์ นกกุล มาเวียง อาจารย์สนั ทนา ภิรมยเ์ กยี รต ิ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จนิ ดาพร จ�ำ รสั เลศิ รักษ์ อาจารย์ ดร.วิภาวี ไทเมอื งพล อาจารย์วรรณา ค�ำ ปวนบุตร นางฉววี รรณ อรรคะเศรษฐัง เรยี บเรียง : นางวชั ญา อ่อนนางใย นายสถาพร กนิ ณรนิ ทร์ นายปรีชา ศรบี ญุ เศษ นายบรรจง บุรินประโคน คณะท�ำ งาน : คณะกรรมการบริหารงานบริการวิชาการ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม กองส่งเสรมิ การวจิ ัยและบริการวิชาการ

คำ�นำ� เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมวิชาการมหาวิทยาลัย มหาสารคามวิจัย ครั้งท่ี 12 Towards Sustainable Community Development by Integrating Basic and Applied Researches “สาขาบรกิ ารวชิ าการแก่สังคม” จดั ทำ�ขนึ้ เพือ่ เป็นเอกสารประกอบ การนำ�เสนอผลงานและเผยแพร่ผลงานโครงการท่ีได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในปงี บประมาณ พ.ศ. 2559 และเพอื่ เป็นการแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ความคิดเห็น ประเด็นปญั หา และหา วิธีการพัฒนาปรับปรุงแก้ไขการให้บริการวิชาการแก่สังคม ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามให้มี ประสทิ ธภิ าพเพมิ่ มากขน้ึ ทง้ั น้ี หากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใด ทางกองสง่ เสรมิ การวจิ ยั และบรกิ ารวชิ าการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พร้อมทจ่ี ะนอ้ มรับขอ้ เสนอแนะดงั กล่าวทกุ ประการ กองส่งเสริมการวจิ ยั และบรกิ ารวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กันยายน 2559

สารบญั โครงการบ้านกุดหวั ช้างหมบู่ า้ นปราศจากขยะ ดวยวิถีชวี ิตและการมสี ่วนร่วมของชุมชน 7 กลั ยา หาญพชิ าญชยั และคณะ หลักสูตร วท.บ.อนามัยสง่ิ แวดล้อมและอาชวี อนามัย คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ โครงการหนึ่งหลกั สูตรหนึ่งชมุ ชน โครงการอบรมเครอื ข่ายเยาวชนรักษป์ ่า บ้านเขวาโคก – เขวาพฒั นา อ.ปทุมรตั ต์ จ.รอ้ ยเอ็ด 10 จินตนา เมืองแมน และคณะ หลักสตู รรัฐศาสตรบณั ฑิต วทิ ยาลัยการเมอื งการปกครอง โครงการหนึ่งหลกั สตู รหนง่ึ ชมุ ชน โครงการพฒั นากิจกรรมเสรมิ หลักสตู รตามนโยบายลดเวลาเรียนเพิม่ เวลารู้ โดยการแกะลายตัวหนังตะลุง 14 มนตรี วงษ์สะพาน และคณะ หลกั สตู ร กศ.บ.วิทยาศาสตร์ทัว่ ไป และ กศ.ม.หลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ โครงการหนงึ่ หลกั สตู รหนง่ึ ชุมชน โครงการพัฒนาแหลง่ เรียนรูค้ วามหลากหลายทางชีวภาพในปา่ ดอนปตู่ าบ้านวังจานโนนส�ำ ราญ ตำ�บลบ้านหวาย อ�ำ เภอวาปปี ทมุ จงั หวดั มหาสารคาม 20 สมบตั ิ อปั มระกา และคณะ หลักสูตรความหลากหลายทางชวี ภาพ สถาบันวิจยั วลยั รุกขเวช โครงการหนึง่ หลกั สูตรหนง่ึ ชุมชน 27 โครงการพัฒนาและยกระดับผา้ ไหมยอ้ มครามเป็นผลิตภัณฑ์ สุชญา โคตรรวงษ,์ สราลี กจิ เจริญศักดก์ิ ลุ และ กรรณิการ์ นามปัญญา ศูนย์ความเปน็ เลศิ ทางนวตั กรรมไหม โครงการหนง่ึ หลักสตู รหนึ่งชมุ ชน โครงการจดั ทำ�ห่นุ จ�ำ ลองชุมชนบา้ นดอนนา จ.มหาสารคาม เพื่อเปน็ สื่อในการพฒั นาพ้นื ท่เี ชงิ วฒั นธรรม 33 จตรุ งค์ ประเสรฐิ สังข์ และคณะ หลกั สูตรสถาปัตยกรรมภายใน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมติ ศิลป์ โครงการหน่ึงหลักสูตรหนึ่งชมุ ชน โครงการการสรา้ งตัวตนของคนทงุ่ กุลาร้องไห้ผ่านนิทานพื้นบา้ นและการเลา่ นิทาน ปี 3 40 วยุพา ทศศะ, ดจุ ตะวัน อนิ ศร, นติ กิ าญจน์ เสนาะเมือง, คนั ธพร ชา่ งประเสริฐ, ทวพี งษ์ สบื วัฒนะ และ กอ่ กจิ บุญ ฟคู �ำ หลักสูตรภาษาอังกฤษ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ โครงการหนง่ึ หลกั สูตรหนึ่งชุมชน

โครงการบรหิ ารจดั การวสิ าหกิจน้ำ�ด่มื ชมุ ชนบ้านหนิ ปูน ตำ�บลเขวาใหญ่ อำ�เภอกนั ทรวชิ ยั จงั หวัดมหาสารคาม 45 นวลละออง อรรถรงั สรรค์ และคณะ 52 สาขาวชิ าการจัดการ คณะการบญั ชแี ละการจัดการ 56 โครงการหนึง่ หลกั สตู รหนง่ึ ชุมชน 64 โครงการพฒั นาการเรียนการสอนคณิตศาสตรร์ ะดับการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน เขตชุมชนใกล้เคียงมหาวิทยาลยั มหาสารคาม มะลิวัลย์ ถุนาพรรณ์ และคณะ หลกั สตู ร วท.บ.คณิตศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตร์ โครงการหนึง่ หลกั สูตรหนง่ึ ชุมชน โครงการฟ้ืนฟทู นุ ทางสังคมเพื่อการดแู ลผสู้ งู อายุ โดยใชร้ ะบบเครอื ญาตแิ ละชมุ ชนเป็นฐาน อมร สุวรรณนิมติ ร, ชนัตถา พลอยเลื่อมแสง, นงเยาว์ มีเทียน, สุภาพร อาญาเมือง และสายทพิ ย์ สุทธิรักษา คณะพยาบาลศาสตร์ และ คณะเภสชั ศาสตร์ โครงการบรกิ ารวชิ าการแบบมงุ่ เปา้ โครงการถา่ ยทอดเทคโนโลยีการผลิตผักเชงิ ระบบ (cropping system) เพื่อเพ่ิมศกั ยภาพความเขม้ แขง็ ในการผลิต ผักปลอดภยั และรักษาระบบนเิ วศกดุ กว้าง ต�ำ บลขามเรยี ง อำ�เภอกนั ทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม พฒั นา ภาสอน และคณะ สถาบันวจิ ัยวลยั รุกขเวช คณะเทคโนโลยี และคณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ โครงการบรกิ ารวิชาการแบบมุง่ เปา้



โครงการบา้ นกดุ หัวชา้ งหมบู่ ้านปราศจากขยะ ดวยวถิ ชี วี ิตและการมีส่วนร่วมของชมุ ชน กัลยา หาญพชิ าญชัย และคณะ หลักสูตร วท.บ.อนามัยสง่ิ แวดลอ้ มและอาชวี อนามัย คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ โครงการหน่ึงหลักสูตรหนงึ่ ชมุ ชน 1. ความเป็นมาของปญั หา จากสถานการณ์ปัญหาเร่ืองการจัดการขยะมูลฝอยของจังหวัดมหาสารคาม พบว่า จังหวัด มหาสารคาม ประสบปญั หาเร่อื งการจัดหาสถานท่ีทิ้งและทาลายขยะที่ไม่เพยี งพอ และมรี าคาแพง อกี ทั้ง พฤติกรรมของประชาชนโดยทั่วไป ยังท้ิงขยะมูลฝอยโดยขาดจิตสานึก นอกจากนี้ขยะมูลฝอยยังส่งผล กระทบต่อคุณภาพชีวิตและส่ิงแวดล้อมซึ่งจาเปนนจะต้องได้รับการจัดการท่ีเหมาะสม เพ่ือไม่หห้ปัญหา ขยายตัวและรนุ แรงมากยิง่ ขึน้ ซึ่งก่อหห้เกิดอันตรายต่อการดารงชวี ิตของประชาชนหนด้านสุขอนามัยของ ประชาชนและส่งผลต่อสงิ่ แวดล้อม ซ่ึงหากหนชุมชนมีการจัดการขยะมูลฝอยที่ดี มีความตระหนักถงึ และ รว่ มมือช่วยกันจัดการขยะหนชุมชนก็เปนนวิธีทางหน่ึงหนการลดปริมาณขยะมูลฝอยได้ บ้านกุดหัวช้างเปนน หมู่บ้านขนาดเล็กมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 45 ครัวเรือน เปนนหมู่บ้านที่อยู่หนเขตรับผิดชอบ ของ เทศบาลตาบลขามเรียง แต่ด้วยทาเลที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ห่างไกลจากเขตเทศบาลจึงมีปัญหาเร่ืองการ จัดการมูลฝอย การขนส่งและกาจัดขยะมูลฝอยจากทางเทศบาลไม่สามารถบริการได้อย่างทั่วถึง ประชาชนหนหมู่บา้ นจาเปนนต้องจัดการมูลฝอยท่เี กิดข้ึนด้วยตนเอง ซ่ึงจากการสารวจเบ้ืองต้นพบว่า การ จดั การมลู ฝอยหนหมู่บ้านยังเปนนการกาจัดมูลฝอยที่ไม่ถูกวิธี เช่นการรวบรวมมูลฝอยและเผา การฝังกลบ ขวดและภาชนะบรรจุสารเคมีป้องกันและกาจัดศัตรูพืช ซึ่งล้วนแต่จะก่อหห้เกิดมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อ ชุมชนต่อไป อีกท้ังยังไม่มีการคดั แยกมูลฝอย ซ่ึงจะเปนนอีกวิธีหน่ึงท่ีจะช่วยลดปริมาณมูลฝอยท่ีเกิดขนึ้ หน ชุมชน สืบเนื่องจากมูลฝอยหนชุมชนส่วนหหญ่คือมูลฝอยประเภทมูลฝอยอินทรีย์ ซ่ึงสามารถนามาทา ประโยชนเ์ ปนนปยุ๋ อนิ ทรยี ไ์ ด้ ซึ่งถา้ ประชาชนมสี ว่ นร่วมหนการจดั การมูลฝอยหนชุมชน ปัญหามลพิษจากมูล ฝอยหนชุมชนได้ ประกอบกับเม่ือปีงบประมาณ 2556 ทางหลักสูตรฯ ได้จัดโครงการหน่ึงหลักสูตรฯ ภายหต้ชื่อโครงการ “อนามัยส่ิงแวดล้อมสดหส หส่หจสุขภาพประชาชน ระยะที่ 2” ซึ่งได้มีการจัดทา ธนาคารขยะ โดยการจัดรับมูลฝอยประเภทรีไซเคิล ซึ่งอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งผลการ ดาเนินงานไดผ้ ลการตอบรับดว้ ยดแี ละประชาชนหนหมู่บา้ นสามารถขับเคลอื่ นกจิ กรรมไดจ้ นมาถึงปัจจบุ ัน แต่เน่ืองจากสภาพของชุมชนบ้านกุดหัวช้าง พบปริมาณมูลฝอยรีไซเคิลเปนนส่วนน้อย การจัดต้ังธนาคาร ขยะเพยี งอยา่ งเดยี วจึงไม่สามารถจะลดปรมิ าณมลู ฝอยทีเ่ กิดขึ้นหนชุมชนได้ ดังนน้ั หลักสตู รวิทยาศาสตร บัณฑิต (สาขาอนามัยสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย) คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จงึ เล็งเห็นความสาคัญหนการบริหารจัดการขยะมูลฝอยหนชุมชน เร่ิมจากการลดปริมาณมลู ฝอยที่จะต้อง 1

กาจัด โดยเริ่มจากการคัดแยกมูลฝอยโดยอาศัยหลักการทางวิชาการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและความ ร่วมมือร่วมหจของคนหนชุมชนบ้านกุดหัวช้าง ตาบลขามเรียง อาเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม กระตุ้นหห้เกิดวัฒนธรรมการคัดแยกขยะภายหนชุมชนและเปนนต้นแบบสะท้อนหห้เห็นถึงการเห็น ประโยชน์ของการคัดแยกขยะ ท่ีต้องเร่ิมต้นจากระดับครัวเรือนและต่อยอดขยายสู่ชุมชน เพ่ือหห้ ประชาชนสามารถ จัดการอนามัยส่ิงแวดล้อมหนชุมชนได้ และเปนนการส่งเสริมการหช้ประโยชน์จากขยะ ต่อไป 2. วตั ถุประสงค์โครงการ 1. เพ่ือส่งเสรมิ หห้ประชาชนมีความรู้ ความตระหนักและรวมมือกันจัดการขยะหนครัวเรือนและ ชุมชน ปรับปรุงสภาพแวดล้อมหหส้ ะอาด ถูกสขุ ลกั ษณะเพอื่ การมีสขุ ภาพดี 2. เพือ่ สร้างแกนนาและครวั เรอื นต้นแบบหนการจัดการมูลฝอยของชมุ ชน 3. เพื่อหารูปแบบหนการจัดการขยะชุมชนที่เหมาะสมหนระดับครัวเรือนและชุมชน โดยการมี ส่วนรว่ มของชมุ ชน 3. กระบวนการดาเนินการ 1. ขนั้ เตรยี มการ 1) จัดทาโครงการเสนอผู้บริหารเพื่อ ขออนมุ ัติโครงการ 2) ประชุมช้ีแจงโครงการแก่ผู้นา ชมุ ชน นสิ ิต คณะทางานและเจ้าหน้าทผี่ ู้เก่ียวข้อง เพ่ือทาความเข้าหจและขอความร่วมมือหนการ ดาเนินงาน โดยสารวจสถานการณ์การจัดการขยะ เบื้องต้นหนชุมชนบ้านกุดหัวช้าง และขอความ ร่วมมือจากครัวเรือนต้นแบบอาสาสมัคร จานวน 10 ครัวเรือน โดยมีนิสิตหลักสูตรอนามัยสิ่งแวดล้อม และอาชีวอนามัยชั้นปีท่ี 4 ได้ทาการเข้าศึกษาบริบทของชุมชน วิถีชีวิตความเปนนอยู่ของชุมชน สภาพ ปัญหาเกี่ยวกับการจัดการขยะ กระบวนการจดั การขยะหนแต่ละครวั เรือน รวมถงึ ความต้องการของชุมชน หนการจดั การขยะหนครวั เรือน 2. ขั้นดาเนินการ 1) จัดกิจกรรมการหห้ความรู้เรื่องการแยกขยะ การจัดการขยะหนชุมชน หห้ถูกสุขลักษณะ และปรบั ปรุงภูมิทัศน์หนครัวเรือน หมู่บ้านหห้สวยงามอย่างต่อเน่ือง และการหช้ประโยชน์จากของเหลือหช้ 2 8 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

โดยได้รับความรว่ มมือจากอาจารย์หนหลักสตู รอนามัยสิ่งแวดลอ้ ม คณะสาธารณสุขศาสตร์ และวิทยากร จากเทศบาลตาบลขามเรยี ง รว่ มบรรยาย และการหห้ความรทู้ างหอกระจายข่าว 2) ยกรางมาตรการชมุ ชนโดยศึกษาจากพื้นทท่ี ี่ประสพผลสาเร็จหนการบริหารจดั การมูลฝอย หลังจากนนั้ นาเสนอชุมชน การระดมความคิดและการมีสว่ นร่วมของชุมชน เพื่อสร้างรูปแบบการจัดการ มลู ฝอยหนชมุ ชน บ้านกดุ หัวช้างโดยประชาชน นิสติ ผู้นาชมุ ชนและองค์กรต่างๆ หนชมุ ชนทกุ ภาคส่วน 3) กิจกรรมรณรงค์สร้างกระแสการแยกขยะ การจัดการขยะหนชุมชน (Big Cleaning Day) ทาความสะอาดหมู่บ้านที่พกั อาศยั หห้ถูกสขุ ลักษณะ และปรับปรงุ ภูมิทัศนหนครวั เรือน หมู่บ้านหห้สวยงาม อย่างต่อเนื่อง และการหชป้ ระโยชน์จากของเหลือหช้ โดยประชาชน นิสิต ผู้นาชุมชนและองค์กรต่างๆ หน ชมุ ชนทกุ ภาคส่วน 3. ขั้นติดตามและสรุปผล 1) ประเมินครัวเรือนต้นแบบจัดการขยะจานวน 1 ครั้ง โดยมีคณะกรรมการจากคณาจารย์ และนสิ ติ คณะสาธารณสุขศาสตร์ และตัวแทนชมุ ชนหนการตัดสินครวั เรือนต้นแบบดเี ด่น 2) เวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้รูปแบบการจัดการขยะชุมชนบ้านกุดหัวช้างโดยการนาเสนอ รูปแบบ การดาเนินการจัดการขยะหนชุมชนของต้นแบบครัวเรือนจัดการขยะ หมู่บ้านจัดการขยะ ผู้นา จดั การขยะ ร่วมกับประชาชน นสิ ติ ผู้นาชมุ ชนและองค์กรต่างๆ หนชมุ ชนทุกภาคส่วน 3) การถอดบทเรยี นการดาเนนิ โครงการจัดการขยะชุมชน ด้วยวถิ ีชมุ ชนโดยประชาชน นิสิต ผู้นาชุมชนและองค์กรต่างๆ หนชุมชนทกุ ภาคส่วน 4) รายงานผลการดาเนินงาน ประมวลภาพการดาเนนิ กจิ กรรม กระบวนการเข้าศึกษาบริบทชุมชน การจัดการขยะของชุมชน โดยนิสิตช้ันปีที่ 4 หลักสูตร อนามัยส่ิงแวดล้อมและอาชีวอนามัย ได้เข้าทาการสารวจข้อมูลจากชาวบ้านหมู่ 11 บ้านกุดหัวช้าง ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม และหาอาสาสมัครบ้านการจัดการขยะต้นแบบ เพื่อเปนนกลุ่มท่ี จะพฒั นาการจัดการขยะเพ่อื หห้เปนน ต้นแบบของชุมช 3

โครงการอบรมเครอื ขา่ ยเยาวชนรักษ์ปา่ บ้านเขวาโคก – เขวาพัฒนา อ.ปทมุ รัตต์ จ.ร้อยเอด็ จนิ ตนา เมอื งแมน และคณะ หลักสูตรรฐั ศาสตรบณั ฑติ วิทยาลยั การเมืองการปกครอง โครงการหนงึ่ หลักสูตรหน่ึงชุมชน 1. ความเป็นมาของปัญหา วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มีพันธกิจหนการจัดการศึกษาตามแนวทางของมหาวิทยาลัย มหาสารคาม ได้แก่ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และการทานุบารุง ศิลปวัฒนธรรม เพ่ือสร้างบัณฑิตท่ีมีคุณภาพทางวิชาการ และรับผิดชอบต่อสังคม (University Social Responsibility) หนปีงบประมาณ 2559 ทางวิทยาลัยการเมืองการปกครองได้จัดหห้มีโครงการบริการวิชาการ “โครงการอบรมเครือข่ายเยาวชนรักษ์ป่า บ้านเขวาโคก – เขวาพัฒนา อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด ภายหต้ โครงการหนึ่งหลักสูตรหน่ึงชุมชน” โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ (1) สนับสนุนหห้เกิดการจัดกลุ่มเยาวชน ตน้ แบบเพ่ือการอนุรักษ์ปา่ ปา่ ชุมชน (2) เพื่อฝึกอบรมและแลกเปลีย่ นเรียนรู้ระหว่าง เยาวชนหนชุมชน นิสิตวิทยาลัยการเมืองการปกครองกับผู้อาวุโสที่เคยผ่านการประสบการณ์การเรียกร้องเพื่อรักษาป่า ชุมชน (3) เพือ่ รวบรวมองค์ความรูเ้ ร่ืองปา่ และจัดพิมพเ์ ปนนคูม่ ือการหช้ประโยชน์จากป่าฉบับเยาวชน โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นการบูรณาการ (4in 1) คือการการจัดการเรียนการสอน การวิจัย การ บริการวิชาการ และการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม และพัฒนาหัวข้อการบริการวิชาการม าจากความ ตอ้ งการของชุมชนอย่างแท้จริง โดยเน้นการมีสว่ นร่วมของผู้ มีส่วนได้ส่วนเสีย(Stakeholders) ของมหาวิทยาลัยทั้งสาม กลุ่มได้แก่ ประชาชนท่ีท้ังหนจังหวัดมหาสารคามและจังหวัด หกล้เคียงมหาวิทยาลัย (2) นิสิตปัจจุบัน (3) อาจารย์และ บคุ ลากรภายหน โดยเปนนลักษณะโครงการหห้เปล่า 2. กรอบแนวคดิ ท่ีใช้ในการดาเนินโครงการ 1) แนวคดิ สทิ ธชิ มุ ชน 2) แนวคิดสิทธิหนทดี่ ินและปา่ ไม้ 3) แนวคดิ ท้องถนิ่ กบั การมีสว่ นร่วมหนการจดั การ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม 4

3. กระบวนการดาเนนิ การ 1) ระบบและกลไกในการดาเนนิ งาน (PDCA) ร ะ บ บ แ ล ะ ก ล ไก หน ก า ร ด า เนิ น ง า น หช้ กระบวนการรว่ มวางแผน(Plan) และกาหนดโจทย์บริการ วิชาการจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย นิสิตหน รายวิชา อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชา และชุมชน โดยมี การจัดทาบันทึกความเข้าหจร่วมกันระหว่าง วิทยาลัย การเมืองการปกครอง กับ โรงเรยี นบ้านเขวาโคกสวายโดด และ องค์กรพฒั นาชมุ ชนบา้ นเขวาโคกเขวาพฒั นา อ.ปทุม รัตต์ จ.ร้อยเอ็ด จากน้ันก็ร่วมกันจัดกิจกรรมตามแผนท่ี วางไว้(Do) ตรวจสอบผลการดาเนินงานว่าแต่ละขั้นตอน มีปัญหาอุปสรรคที่จะต้องแก้ไขหรือไม่อย่างไร(Check) และมีการปรบั ปรงุ ผลการดาเนนิ งาน (Action) 2) พ้นื ทเ่ี ปา้ หมายในการดาเนนิ การ ชุมชนบ้านเขวาโคก – เขวาพัฒนา อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเปนนชุมชนที่เคยมีความขัดแย้งเรื่องการ อนุรักษ์ป่าชุมชน ระหว่างกลุ่มที่เห็นด้วยหนการอนุรักษ์ เพื่อเปนนสมบัติส่วนรวม และกลุ่มที่ต้องการหห้จัดสรรเปนน ท่ีทากินและออกเอกสารสิทธิหนท่ีดินประเภทโฉนดท่ีดิน อย่างไรก็ตามชาวชุมชนบ้านเขวาโคก – เขวาพัฒนา ได้ ร่วมกันอย่างแข็งขันหนการอนุรักษ์จนสามารถรักษาพ้ืนท่ี ป่าชุมชนได้กว่า 300 ไร่ จนได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวถึง สองปี คือหนปี 2551 และปี 2557 อย่างไรก็ตามทางกลุ่ม ชุมชนมีความเห็นว่ายิ่งนานวันจิตสานึกเรื่องการอนุรักษ์ และหวงแหนป่าเร่ิมจางหายไปหนกลุ่มเยาวชนรุ่นหลัง จึง ต้องการท่ีจะหห้วิทยาลัยการเมืองการปกครองเปนนส่วน หนง่ึ หนการอบรมเพื่อหหค้ วามรูเ้ กี่ยวกับป่า และถ่ายทอดองคค์ วามรแู้ ก่คนร่นุ หลัง เพ่ือสรา้ งจติ สานึกเรอื่ ง การอนุรักษ์และหวงแหนป่าผ่านการฝึกอบรมทั้งหนแง่วิชาการ และภูมิปัญญาของท้องถ่ินท่ีหช้หนการ อนรุ ักษ์โดยปราชญ์ชาวบา้ น 5 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 11

4. ผลลพั ธ์การเรียนรู้ (4in 1) 1) การบริการวิชาการ เกิดกระบวนการเรียนรู้ ระหว่างชุมชนและนิสิตวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยผ่านกระบวนการฝึกอบรม ได้แก่ หัวข้อ “บทบาทของท้องถิ่นหนกับการมีส่วนร่วมหน การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมหนทอ้ งถิ่น” โดย ผศ.เชิงชาญ จงสมชัย หัวข้อ “ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับ การอนุรักษ์ทรัพยากรหนชุมชน” โดย ดร.วนิดา พรมหล้า หัวข้อ “ ความรู้เรื่องที่ดินและป่าไม้สาหรบั เยาวชน” โดย อาจารย์โศภิต ชีวะพาณิชย์ และ หัวข้อ “ประสบการณ์ การต่อสู้เพ่ือการอนุรักษ์ป่า หนองโมงหนองกลาง” โดย พอ่ ทองคูณ สงฆ์มา ปราชญ์ชาวบ้านประธานกลุ่มอนุรักษ์ ป่าหนองโมงหนองกลาง ซึ่งการอบรมทั้งหมดก่อหห้เกิด การเรยี นร้รู ว่ มกนั ระหวา่ งชุมชน นสิ ติ และบุคลากร 2) การเรียนการสอน เกิดกระบวนการเรียนรู้ โดยหช้ชุมชนเปนนฐาน หรือ เปนนห้องเรียน โดยมกี ารบรู ณา การรายวิชาหนหลักสูตรรัฐศาสตรเข้ามา ได้แก่ รายวิชา 1300203 การเมืองเรื่องความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน รายวิชา 1301304 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมหนท้องถิ่น และรายวิชา 1304202 สิทธิ มนุษยชนกบั การพฒั นา 3) การวิจัย การวิจัยภายหต้โครงการหน่ึง หลักสูตรหนึ่งชุมชน “โครงการอบรมเครือข่ายเยาวชน รักษ์ป่าบ้านเขวาโคก – เขวาพัฒนา อ.ปทุมรัตต์ จ. ร้อยเอ็ด” ได้พัฒนาโจทย์วิจัยจากการลงพ้ืนที่สารวจ ชุมชน หนหัวข้อ Social Movement for Community Forest Conservation : A Case Study Baan Kwao Kok – Kwao Patana, Patum Rat District, Roi Et Province. โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษา ประสบการณข์ องชาวบ้านหนชมุ ชนหนการทางานอนุรักษ์ป่า การหช้กฎหมายเปนนเครอ่ื งมือ ไมว่ ่ากฎหมาย ภายหนหรือแนวคิดต่างๆที่ได้รับการรับรองไว้หนกฎหมายระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของชุมชน 6 12 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

ท้องถ่ินหนการอนุรักษ์ทรัพยากรท้องถ่ินของตนไว้เพื่อเปนนส่วนหน่ึงหนการรวบรวมองค์ความรู้ ตลอดจน ถ่ายทอดแนวคิดหนการจดั การทรัพยากรป่าไม้หนพ้ืนท่ีหหก้ บั กลมุ่ เยาวชนหนการทางานดา้ นการอนรุ ักษ์ป่า หนองโมง- หนองกลางตามความต้องการของชุมชนต่อไป 2) เสนอแนวทางที่เปนนไปได้หนการอนุรักษ์ ทรัพยากรท้องถิ่นที่สอดผสานกันระหว่างกฎหมายของรัฐและแนวปฏิบัติหนท้องถ่ิน รวมถึงสามารถ เชื่อมโยงชาวบ้านท่ีมีความหลากหลายและประชากรรุ่นต่อไปหห้มาร่วมดาเนินการอนุรักษ์ป่าร่วมกันได้ หห้แกช่ ุมชนและหนว่ ยงานทีเ่ กีย่ วข้องต่อไป 4) การทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม จากการลงพ้ืนท่ีสารวจข้อมูลชุมชน และ ข้อค้นพบบางส่วน จากงานวิจัยพบว่าเง่ือนไขสาคัญท่ีทาหห้ชุมชนบ้านเขวาโคก – เขวาพัฒนา อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด ประสบความสาเร็จหนการร่วมกันอนุรักษ์ป่าชุมชนของหมู่บ้านได้นั้น มาจากความเช่ือหนจารีตประเพณี ทอ้ งถิ่น โดยเฉพาะความเชื่อเร่อื งการเล้ียงผปี ู่ตา ซ่ึงคอื วิญญาณของบรรพบรุ ุษที่อาศัยอยหู่ นป่าชุมชนของ หมู่บ้านทาหน้าท่ีพิทักษ์รักษาคนหนชุมชนหห้อยู่เย็นเปนนสุข และลงโทษคนท่ีละเมิดกฎของป่า เช่น การ ลอบตดั ไม้ หห้มอี นั เปนน ไป หรอื เจ็บปว่ ยอย่างไม่ทราบสาเหตุ ซ่ึงภูมิปัญญาดงั กล่าวถอื ไดว้ ่าเปนนกสุ โลบาย หนการักษาต้นไม้หนป่า ดังนั้นทางโครงการจึงสนับสนุนหห้ความเชื่อดังกล่าวยังคงอยู่โดยการบันทกึ ไว้เปนน ลายลักษณ์อักษรผ่านงานวิจัยและเอกสารเผยแพร่ของโครงการเพ่ือสามารถถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลังได้ รวมถงึ การจัดกจิ กรรมหนรปู แบบการทอดผา้ ป่า เพื่อจัดระดมทุนหนการสนับสนุนการดาเนินโครงการเพ่ือ การอนุรักษ์ ซ่ึงเปนนการระดมทุนจากศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน คณาจารย์ และบุคลากรของวิทยาลัย การเมืองการปกครอง ซ่ึงได้ส่งมอบเงินจานวน 40,623.25 บาท แก่ชุมชนไปแล้วเมื่อวันท่ี 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ท่ีผ่านมา เพ่ือเปนนการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันดีงามและสร้างจิตสานึกหนการเสียสละของ บุคลากรหนวทิ ยาลัยการเมอื งการปกครอง 7 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 13

โครงการพัฒนากจิ กรรมเสรมิ หลกั สูตรตามนโยบายลดเวลาเรยี นเพมิ่ เวลารู้ โดยการแกะลาย ตัวหนังตะลงุ มนตรี วงษ์สะพาน และคณะ หลักสูตร กศ.บ.วิทยาศาสตรท์ ว่ั ไป และ กศ.ม.หลักสตู รและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ โครงการหนึ่งหลกั สตู รหน่ึงชมุ ชน 1. ความเปน็ มาของปญั หา ศิลปะการละเล่นและการแสดงพื้นบ้าน เปนนผลผลิตทางวัฒ นธรรมของกลุ่มชนต่างๆ เช่น เดียวกั บ วัฒ น ธรรม ด้ าน อ่ืน ๆ ท่ี ม นุ ษ ย์ สร้างสรรค์ขึ้นเพ่ือตอบสนองความต้องการของ ตนเองและสงั คมหนชมุ ชนนน้ั ศลิ ปะการละเลน่ และ ก า ร แ ส ด ง พื้ น บ้ า น จึ ง มี บ ท บ า ท ต่ อ ชุ ม ช น ผู้ เปน น เจา้ ของศลิ ปะการละเลน่ เหล่านั้นหลายประการ ท้ัง ด้านการหห้ความบันเทิงและด้านอ่ืนๆ โดยเฉพาะ การประกอบพิธีกรรมท่ีแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมหนชุมชนน้ันๆ นอกจากนั้นยังมีส่วน สนับสนุนความเชื่อของกลุ่มคนหนสังคม มีส่วนส่งเสริมทางการศึกษา และปลูกฝังค่านิยม เปนนต้น ศิลปะการละเล่นเกี่ยวกับตัวหนัง เปนนศิลปะการละเล่นแขนงหนึ่งที่มีมาอย่างยาวนานจนกระท่ังไม่ สามารถสืบค้นต้นตอหรือจุดเริ่มต้นของศิลปะการละเล่นจากตัวหนังได้ อย่างไรก็ตามเปนนที่เช่ือกันว่า จดุ เริ่มต้นของศลิ ปะการละเลน่ จากตัวหนังเกิดจากการเล่นเงาซง่ึ เกิดจากแสงของดวงอาทิตยแ์ ละแสงจาก กองไฟและได้พัฒนามาเปนนการหช้ตัวหนังหนการเล่นเงา และศิลปะการละเล่นจากตัวหนังน้ีก็ได้รับการ พัฒนาหห้มีรูปแบบการละเล่นท่ีหลากหลายมากย่ิงข้ึนตามความเชื่อและความต้องการของแ ต่ละท้องถ่ิน โดยมักหช้หนการเล่าเร่ืองราวหรือการแสดงเปนนนิทานจากเร่ืองสั้นๆ พัฒนามาเปนนเรอ่ื งราวที่ยาวมากขึ้น และมกี ารพัฒนาเร่ืองราวจากการบรรยายหรือการบอกเลา่ หห้เปนนบทร้องท่ีไพเราะ เพื่อหหเ้ ปนนท่ีนา่ สนหจ มากยงิ่ ขึ้น การแสดงหนังเปนนมหรสพที่เกดิ จากการนาหนงั สตั วช์ นิดตา่ งๆ เช่น หนังควาย หนังววั หนังเก้ง หนังกวาง ฯลฯ มาผ่านกระบวนการฟอกตากแดดจนแห้งก่อนที่จะแกะหนงั เปนนรูปตัวละครต่างๆ เพ่ือหช้ หนการแสดงประกอบการเล่าเรอ่ื ง ตัวหนงั ที่แกะเปนน ลวดลายฉลเุ รียบร้อยแลว้ จะลงสีสนั หหส้ วยงามจากน้ัน จึงนามาต่อก้านไม้ไว้สาหรับคนจับหนังหช้ถือเวลาเชิด ผู้เชิดจะต้องเชิดหนังอยู่หน้าจอหรือหลังจอ ซ่ึงทา ขึน้ จากผ้าขาวขงึ เปนนจอหนังส่ีเหลี่ยม ส่วนด้านหลังจอจะหชแ้ สงไฟสอ่ งเพ่อื หห้เห็นเงาของตัวหนงั ปรากฏข้ึน 8

บนจอ ผชู้ มที่อยู่เบ้ืองหน้าก็จะเห็นการเคลอ่ื นไหวของเงาหนังไปมา รูปแบบการแสดงนี้เรียกว่า การเล่น เงา (Shadow Play) หรือ “หนังเงา” การแสดงท่ีปรากฏข้ึนบนหน้าจอหนังน้ันจะต้องหช้แสงซึ่งถือว่า เปนนส่วนประกอบสาคัญอย่างหน่ึงสาหรับการแสดงหนัง สมัยก่อนจะหช้ไฟสุมขึ้นจากกะลามะพร้าว หรือ หช้ตะเกียงที่หช้ไขมันสัตว์ หรือน้ามันจากพืชเปนนเช้ือเพลิง แต่ภายหลังเปลี่ยนมาหช้ตะเกียงเจ้าพายุและ หลอดไฟฟ้าแทน แต่โบราณกล่าวไว้ว่า แสงไฟท่ีได้จากธรรมชาติจะหห้ความสว่างนวลตากว่าแสงไฟจาก สปอร์ตไลต์ แต่ความยุ่งยากหนการจดั เตรียมเชือ้ เพลงิ ทาหห้การแสดงปัจจบุ นั นยิ มหชส้ ปอร์ตไลต์มากขนึ้ พัฒนาการที่เกิดขึ้นเก่ียวกับตัวหนัง ถือเปนนศิลปะการแสดงท่ีได้รับความนิยมอย่างสูงหน ช่วงเวลาหนึง่ แตไ่ ด้เริ่มลดความนยิ มลงเมอื่ มีการแสดงประเภทอื่นที่ทันสมัยและเปนนท่ีน่าสนหจมากกว่า แต่น่ันถือเปนนบทบาทหนด้านการหห้ความบันเทิง แต่หนด้านการปลูกฝังค่านิยมของท้องถ่ิน และการ สง่ เสริมการเรยี นรู้ภมู ิปัญญาของทอ้ งถน่ิ หรอื ขนบธรรมเนียมประเพณตี ่างๆ ศลิ ปะการละเล่นจากตัวหนัง ยงั เปนน สัญลกั ษณท์ สี่ าคัญท่ีแสดงถงึ ความเจริญรงุ่ เรอื งทางวฒั นธรรมของท้องถ่นิ นั้นๆ ได้ นอกจากนั้นยงั สามารถนามาเปนนสอ่ื หนการบูรณาการเพ่ือการเรยี นรู้ของเด็กและเยาวชนเพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์ของ ท้องถ่ินกับความรู้หนแขนงวิชาต่างๆ ซึ่งจะเปนนการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนหห้มีประสิทธิภาพมาก ย่ิงขึ้น ดังน้ัน การศึกษาเก่ียวกับศิลปะการแกะตัวหนังจึงจะเปนนประโยชน์อย่างย่ิงต่อการศึกษาของ นักเรียน และยังเปนนการสืบทอดภูมิปัญญาท่ีเปนนศิลปะเกี่ยวกับตัวหนังซึ่งเปนนมรดกทางวัฒนธรรมของ ไทยหหม้ ีบทบาทตอ่ สังคมไทยอยา่ งต่อเนอื่ งและยงั ยนื หนอนาคต นอกจากน้ัน หนปัจจุบัน รัฐบาลได้มีนโยบายเร่งด่วนหห้โรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานลด เวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ซึ่งเปนนนโยบายที่เนน้ หหผ้ เู้ รียนได้ทากจิ กรรมฝึกทักษะหนช่วงบ่าย ด้วยความเร่งด่วน ของนโยบายดังกล่าวทาหห้โรงเรียนไม่สามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้สาหรับหห้นักเรียนปฏิบัติได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยแนวคิดและเหตุผลข้างต้นจึงนามาสู่การริเร่ิมโครงการพัฒนากิจกรรมเสริม หลักสูตรตามนโยบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้โดยการแกะลายตัวหนังตะลุง หนคร้ังนี้ เพ่ือหห้นิสิตหน หลักสูตรได้ฝึกฝนการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามนโยบาย และโรงเรียนที่อยู่หนชุมชนได้มีแนว ทางการจดั กิจกรรมหหส้ อดคลอ้ งกับนโยบายของประเทศตอ่ ไป 2. ความมงุ่ หมายของการวิจยั 1. เพ่ือพัฒนากิจกรรมเสริมหลักสูตรตามนโยบายลดเวลาเรียนเพ่ิมเวลารู้โดยการแกะลายตัว หนงั ตะลุง สาหรับนกั เรยี นระดบั ชน้ั ประถมศึกษา 2. เพื่อศึกษาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ที่เรียนรู้ด้วย กิจกรรมเสรมิ หลักสูตรตามนโยบายลดเวลาเรียนเพ่ิมเวลารู้โดยการแกะลายตัวหนงั ตะลงุ 9 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 15

3. ขอบเขตการวจิ ยั 1) กล่มุ ตัวอยา่ ง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนอนุบาลมหาสารคาม สังกัดสานกั งานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่เรียนหนภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 จานวน 24 คน ได้มาโดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างจากนักเรียนที่สมัครหจเข้าร่วมกิจกรรมของ โครงการ 2) ตวั แปรที่ศกึ ษา 2.1 ตวั แปรตน้ คือ การจดั การเรยี นรูด้ ้วยกิจกรรมเสริมหลกั สูตรตามนโยบายลดเวลาเรียนเพ่ิม เวลารู้โดยการแกะลายตวั หนังตะลงุ 2.2 ตัวแปรตาม คอื คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ของนักเรียน แบ่งเปนน 8 ด้าน ได้แก่ 1) รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2) ซือ่ สตั ยส์ ุจริต 3) มวี นิ ยั 4) หฝเ่ รยี นรู้ 5) อยอู่ ย่างพอเพียง 6) มุ่งม่ันหนการทางาน 7) รกั ความเปนนไทย 8) มีจิตสาธารณะ 4. วิธดี าเนินการวิจยั 10 1) เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวิจยั 1. ชุ ด ก ารเรียน รู้ก ารแก ะ ล ายตั วห นั งต ะลุ ง ประกอบด้วย หนังสืออ่านเพ่ิมเติม เร่ือง การแกะลายตัวหนังตะลุง และชดุ การเรยี นรูก้ ารแกะลายตัวหนงั จานวน 5 ชดุ ได้แก่ ชุดท่ี 1 การแกะลายตวั ฤาษี ชดุ ที่ 2 การแกะลายตัวลิง ชดุ ท่ี 3 การแกะลายตัวพระ ชุดท่ี 4 การแกะลายตัวนาง ชุดที่ 5 การแกะลายตัวยักษ์ 16 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

2. แผนการจดั การเรยี นรู้การแกะลายตัวหนังตะลงุ จานวน 5 แผน 3. แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของนักเรียน เปนนแบบประเมินโดยหช้เกณฑ์รูบริค สาหรับ ประเมินพฤติกรรมหรือผลงานของนักเรียน โดยหห้ครูเปนนผู้ สังเกตแล้ววนิ ิจฉัยตามเกณฑ์ทกี่ าหนด 2) วธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ช้แี จงวัตถปุ ระสงค์ เปา้ หมาย และแนวปฏบิ ัติหน การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรตามนโยบายลดเวลาเรียนเพิ่ม เวลารูโ้ ดยการแกะลายตัวหนงั ตะลงุ หหค้ รผู ู้สอนทาความเข้าหจ 2. ครูผู้สอนดาเนินการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร ตามนโยบายลดเวลาเรียนเพ่ิมเวลารู้โดยการแกะลายตัวหนัง ตะลุงตามแผน พร้อมกับประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของนักเรยี นหลังเสร็จส้นิ การเรยี นรู้หนแต่ละแผน 3) การวเิ คราะห์ขอ้ มูล นาแบบประเมินมาตรวจสอบความเรียบร้อย และตรวจหห้คะแนนหนส่วนของ แบบสอบถามชนิดเตมิ คา แล้วบันทกึ ข้อมลู คะแนนจากการทาแบบประเมินลงหนเครื่องคอมพิวเตอร์ โดย หช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรปู จากน้ันจงึ ดาเนินการวิเคราะห์ขอ้ มูล โดยหาค่าเฉลย่ี รอ้ ยละ และสว่ น เบ่ียงเบนมาตรฐาน แล้วนาค่าเฉลี่ยและร้อยละที่ได้แต่ละด้านเทียบกับเกณฑ์ 5 ระดับ ได้แก่ มากท่ีสุด (รอ้ ยละ 80-100) มาก (รอ้ ยละ 60-79) ปานกลาง (ร้อยละ 40-59) น้อย (ร้อยละ 20-39) และน้อยที่สุด (รอ้ ยละ 0-19) เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลหนรูปของตารางและการบรรยายสรปุ 5. ผลการวจิ ยั 1. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พบว่านักเรียนร้อยละ 87.5 มีผลการ ประเมินทส่ี ูงข้นึ หลังจากการเรียนรู้ โดยพฤตกิ รรมที่แสดงออกส่วนหหญ่ท่ีสะทอ้ นคุณลักษณะดา้ นนี้ ไดแ้ ก่ การแสดงความเคารพนอบน้อมต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ การไม่แสดงพฤติกรรมลบ หลู่ดูหมิ่นต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และการหช้วาจาสุภาพเมื่อเอ่ยถึงสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ ตามลาดบั 2. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านซ่ือสัตย์สุจริต พบว่านักเรียนร้อยละ 91.7 มีผลการประเมินที่ สูงขึ้นหลังจากการเรียนรู้ โดยพฤติกรรมที่แสดงออกส่วนหหญ่ที่สะท้อนคุณลักษณะด้านน้ี ได้แก่ การ ปฏิบัติตามข้อตกลงที่หหไ้ ว้รว่ มกัน การหช้คาพูดท่ีตรงกับความเปนนจริง และการยอมรับหนความผิดพลาด ของตนเอง ตามลาดับ 11 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 17

3. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านมีวินัย พบว่านักเรียนร้อยละ 83.3 มีผลการประเมินท่ีสูงข้ึน หลังจากการเรียนรู้ โดยพฤติกรรมท่ีแสดงออกส่วนหหญ่ที่สะท้อนคุณลักษณะด้านนี้ ได้แก่ ความตรงต่อ เวลา ความเปนน ระเบยี บเรียบร้อย และความมุ่งมนั่ หนการทางาน ตามลาดบั 4. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านหฝ่เรียนรู้ พบว่านักเรียนร้อยละ 100 มีผลการประเมินที่สูงข้ึน หลังจากการเรียนรู้ โดยพฤติกรรมทแ่ี สดงออกส่วนหหญ่ท่ีสะท้อนคณุ ลักษณะด้านนี้ ได้แก่ ความสนหจต่อ กจิ กรรมการเรยี นรู้ การซกั ถามเมอ่ื มีข้อสงสยั และการหาความร้เู พ่ิมเติม ตามลาดบั 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านอยอู่ ยา่ งพอเพียง พบวา่ นักเรยี นร้อยละ 66.7 มีผลการประเมิน ที่สูงข้ึนหลังจากการเรียนรู้ โดยพฤติกรรมท่ีแสดงออกส่วนหหญ่ท่ีสะท้อนคุณลักษณะด้านน้ี ได้แก่ การ รจู้ ักวางแผนกอ่ นหชว้ ัสดุส่ิงของต่างๆ การหช้วัสดสุ ่งิ ของเท่าท่จี าเปนน และการหชจ้ ่ายเงนิ อย่างสมเหตุสมผล ตามลาดบั 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านมุ่งม่ันหนการทางาน พบว่านักเรียนร้อยละ 100 มีผลการ ประเมินท่สี งู ขนึ้ หลังจากการเรียนรู้ โดยพฤตกิ รรมทแี่ สดงออกสว่ นหหญ่ที่สะทอ้ นคุณลกั ษณะด้านนี้ ได้แก่ ความพยายามฝึกฝนตนเอง การทางานจนสาเรจ็ และการทางานด้วยความประณตี ตามลาดบั 7. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ดา้ นรักความเปนน ไทย พบว่านักเรยี นรอ้ ยละ 100 มีผลการประเมนิ ที่ สงู ขน้ึ หลังจากการเรียนรู้ โดยพฤติกรรมท่ีแสดงออกส่วนหหญ่ท่ีสะท้อนคุณลักษณะด้านน้ี ได้แก่ การเห็น คณุ ค่าของวฒั นธรรมไทย การเรยี นร้หู นวัฒนธรรมไทย และการหชภ้ าษาไทยอย่างถูกตอ้ ง ตามลาดับ 8. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านมีจติ สาธารณะ พบว่านักเรียนร้อยละ 70.8 มีผลการประเมินที่ สูงข้ึนหลังจากการเรียนรู้ โดยพฤติกรรมท่ีแสดงออกส่วนหหญ่ท่ีสะท้อนคุณลักษณะด้านน้ี ได้แก่ การหช้ สมบัติของส่วนรวมอย่างประหยัด การไม่ยึดเอาสมบัติของส่วนรวมมาเปนนของตนเอง และการช่วยกัน บารุงรักษาสมบตั ิของส่วนรวม ตามลาดบั 6. ข้อเสนอแนะ 1. การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรตามนโยบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้โดยการแกะลายตัวหนัง ตะลงุ มีการหชว้ สั ดอุ ปุ กรณ์ทอี่ าจเปนนอันตรายต่อนกั เรยี น ดงั น้นั ครจู ึงควรชแี้ จงหรอื กาหนดกตกิ าร่วมกัน อยา่ งเครง่ ครัดหหห้ ชว้ สั ดอุ ุปกรณอ์ ยา่ งปลอดภัยก่อนดาเนนิ การฝึกฝนการแกะลายตวั หนังตะลุง 2. หนการพัฒนาชุดการเรียนรู้ครั้งนี้ ผู้วิจัยเน้นสร้างแบบตัวหนังตามตัวละครหลักๆ หนวรรณคดี ไทย ซ่ึงพบว่า ช่วยสร้างความสนหจของนักเรยี นที่มีต่อวฒั นธรรมไทยได้ ครูจงึ ควรเน้นหห้นักเรยี นมีความ หส่หจแกะลายตัวหนังตะลุงด้วยความประณีต และควรอธิบายประวัติของตัวละครต่างๆ เพื่อช่วยสร้าง ความเขา้ หจอนั ลึกซงึ้ ของนกั เรยี นท่มี ีตอ่ ตวั หนงั ตะลุง 12 18 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

เอกสารอา้ งองิ ครุศาสตร์, จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . (2537). การศกึ ษากบั การถ่ายทอดวฒั นธรรม : กรณศี ึกษาหนงั ใหญ่วดั ขนอน. กรงุ เทพฯ : บพิธการพมิ พ.์ ชวน เพชรแก้ว. (2527). บทอศั จรรย์ (บทสมห้อง) ของหนงั ตะลุง. นครศรธี รรมราช ศูนยว์ ัฒนธรรม ภาคหต้ วทิ ยาลยั นครศรธี รรมราช. ชมุ เดช เดชภิมล. (2531). การศกึ ษาเรอื่ ง “หนงั ประโมทัย” ในจงั หวดั รอ้ ยเอ็ด. ปรญิ ญานิพนธ์ ศศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ มหาสารคาม. ปรีชา นนุ่ สขุ . (2534). หนังตะลงุ . กรุงเทพฯ : องคก์ ารค้าของครุ สุ ภา. รัถพร ซังธาดา. (2526). หนงั ประโมทัย : หนงั ตะลงุ ภาคอีสาน. โรงพิมพศ์ ักดิโ์ สภาการพมิ พ.์ สุจติ รา มาถาวร. (2541). หนงั ใหญ่และหนังตะลงุ . กรงุ เทพฯ : เอส.ท.ี พ.ี เวิลด์ มีเดีย. สุธวิ งศ์ พงศ์ไพบูลย.์ (2529). หนงั ตะลงุ . สงขลา ศนู ยส์ ง่ เสรมิ ภาษาและวัฒนธรรมภาคหต้ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา. อดุ ม หนทู อง. (2531). “หนังตะลุง,” หน สาระนกุ รมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ.2529 เล่ม 10. หน้า 3926-3940. 13 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 19

โครงการพัฒนาแหลง่ เรียนร้คู วามหลากหลายทางชีวภาพในปา่ ดอนปู่ตาบา้ นวังจานโนนสาราญ ตาบลบา้ นหวาย อาเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม สมบัติ อปั มระกา และคณะ หลกั สตู รความหลากหลายทางชวี ภาพ สถาบันวิจยั วลัยรุกขเวช โครงการหน่งึ หลกั สูตรหนึง่ ชุมชน 1. ความเป็นมาของปญั หา สืบเนื่องจากปีงบประมาณ 2558 สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ไดร้ ับการ สนับสนุนงบประมาณจากกองส่งเสริมและพัฒนางานวิจัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หนการจัดทา โครงการบริการวิชาการแก่สังคม ภายหต้ชื่อโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน เร่ือง “ภูมิปัญญาท้องถ่ิน และการหชป้ ระโยชนจ์ ากความหลากหลายทางชวี ภาพหนป่าดอนปู่ตา: กรณีศกึ ษาบ้านวังจานโนนสาราญ ตาบลบ้านหวาย อาเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้ด้าน ทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพหนพื้นที่ป่าดอนปู่ตาและการหช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรตามภูมิ ปัญญาทอ้ งถ่นิ ผลจากการดาเนินงานตามตัวชี้วัดความสาเร็จของโครงการที่ผ่านมาพบว่า ในเชิงเศรษฐกิจ ชาวบ้านบ้านวังจานโนนสาราญหนอดีตชุมชนมีการนาเอาพืชสมุนไพรหนป่าดอนปู่ตามาหช้ประโยชน์เมื่อ เกิดการเจ็บป่วย เน่ืองจากระบบสาธารณสุขยังไม่เจริญก้าวหน้าซ่ึงสมุนไพรที่พบจัดเปนนฐานทรัพยากรที่ สาคัญหนชุมชน และหนระยะ 10 ปีที่ผ่านมามีการลักลอบนาพืชสมุนไพรออกจากป่าเปนนจานวนมาก ทา หห้จานวนชนิดของพืชลดลงอย่างรวดเร็ว ในเชิงสังคม พบว่า จากการจัดทาโครงการดังกล่าวเปนนการ เรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ร่วมกันระหว่างชุมชนหนพ้ืนท่ีกับนักวิชาการของมหาวิทยาลัยผ่านการ ประชาคมหม่บู า้ นและร่วมกันสารวจความหลากหลายทางชวี ภาพดา้ นพืช การจัดทาเส้นทางเดินปา่ ทาหห้ ได้รับรู้สถานการณ์ร่วมกัน นาไปสู่ความสามัคคีหนระดับชุมชน ในเชิงสิ่งแวดล้อม พบว่า จากการสารวจ และจัดทากิจกรรมร่วมกับชุมชนทาหห้เห็นปัญหาที่เก่ียวข้องกับส่ิงแวดล้อมหนป่าดอนปู่ตาคือ หนอดีตป่า ดอนปู่ตาบ้านวังจานโนนสาราญมีพ้ืนท่ีท้ังหมด 50 ไร่ เปนนป่าทึบท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ แต่เม่ือปี พ.ศ. 2530 ได้มีการตดั ต้นไม้ขนาดหหญบ่ างส่วนและแบ่งพ้ืนที่ส่วนหนึ่งของป่าประมาณ 13 ไร่ เพอื่ นาไปสรา้ ง ศาลาวดั ประจาหมบู่ ้านโนนสาราญ และปี พ.ศ. 2547 ได้มกี ารสรา้ งเมรุ และต้งั โรงสขี า้ วของชมุ ชน ทาหห้ เหลือพน้ื ท่ีป่าเพียง 25 ไร่ ขณะเดียวกนั มีการนาเอาดินมาถมหนบริเวณทีก่ ่อสรา้ งเพือ่ หห้เปนนเนินสูง พอถึง ฤดฝู น น้าจะไหลเข้าสู่ป่าดอนปตู่ าซง่ึ เปนนแอง่ กน้ กะทะเกิดนา้ ท่วมขังทุกปี ทาหห้พรรณไมพ้ ้นื ลา่ งขนาดเล็ก เหยี่ วเฉาและตายไปหนทสี่ ุด ซึ่งชุมชนเคยนาเอาประเด็นนี้มาพูดคุยหนการประชมุ ประชาคมหมบู่ ้านท่ีผ่าน มาเพ่ือหารือหนท่ีประชุมเพื่อหาแนวทางหนการแก้ไขปัญหาน้าท่วมขังหนป่าดอนปู่ตา โดยมีมติหห้มีทาง 14

ระบายน้าออกจากป่าโดยหช้วิธีการฝังท่อประปาเพื่อป้องกันไม่หห้พรรณพืชตายไปทาหห้เกิดการสูญเสีย ความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจจะเกิดข้นึ หนอนาคต สาหรับดา้ นสุขภาวะหรือด้านสาธารณสุข พบว่า ก่อนจัดทาโครงการป่าดอนปู่ตาเปนนที่ทิ้งขยะของชุมชน เปนนแหล่งเพาะพันธ์ุของเชื้อโรค และเม่ือมีการ จัดทาโครงการเพอ่ื สรา้ งความเข้าหจร่วมกนั ชุมชนได้ชว่ ยกันทาความสะอาด กาจดั ขยะ และมปี า้ ยรณรงค์ ประชาสมั พนั ธ์หา้ มทง้ิ ขยะหนบริเวณป่าดอนป่ตู า สง่ ผลหห้คุณภาพชวี ติ และสุขภาวะของคนหนชมุ ชนดีข้นึ จากการสารวจความหลากหลายทางชีวภาพป่าดอนปู่ตาประมาณ 10 ไร่ พบพรรณพืชจานวน 76 ช นิ ด ซ่ึ งส่ วน หห ญ่ เปน น พื ช พ้ื น เมื อ ง เช่ น น ม ค วาย (Uvaria hahinii sincl) เค็ ง(Dialium cochinchinense Pierre) ชาดตะโก(Diospyros castanea (Craib) Fletcher) บอระเพ็ด (Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f. & Thomson) มะเกลือ (Diospyros mollis Griff.) ขันทองพยาบาท (Suregada multiflorum (A.Juss.) Baill.แตงแซง Cananga latifolia (Hook.f. & Thomson) Finet & Gagnep. เหมือดปลาซิว (Symphocos sp) เปนนต้น นอกจากน้ีชาวบ้าน คณะครู และนักเรียน โรงเรียนบ้านวังจานโนนสาราญ ได้ร่วมกันปลูกพืชสมุนไพรหนป่าดอนปู่ตา 30 ชนิดจานวน 700 ต้น เพ่ือหห้เปนนแหล่งเรียนรู้และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพหห้ป่าดอนปู่ตา และผลจาการดาเนิน โครงการที่ผ่านมาทางสถาบันวิจัยวลัยรุกขเวชร่วมกับชมุ ชนหนพื้นท่ีได้มมี ติร่วมกันเพ่ือผลกั ดันหห้พื้นที่ป่า แห่งนี้เปนนแหล่งเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนโดยเฉพาะนักเรียน นิสิต นักศึกษา และ ประชาชนทั่วไปทีส่ นหจ ซง่ึ กิจกรรมทด่ี าเนินงานต่างๆ เปนนเพยี งระยะของการเรม่ิ ต้นเทา่ นั้น ดงั น้ันเพื่อหห้การดาเนนิ โครงการเปนน ไปอย่างตอ่ เน่ืองจาเปนน ต้องทาการสารวจพรรณไม้หนส่วนท่ี เหลือเพ่ิมเตมิ เพอ่ื นาไปจัดทาข้อมลู ความหลากหลายทางชีวภาพของพรรณไม้หนป่าดอนปู่ตา และจัดทา ป้ายช่ือวิทยาศาสตร์ ชื่อท้องถิ่นหห้เปนนป้ายท่ีถาวร เพ่ือนาไปติดต้นไม้ที่สารวจพบหห้ครอบคลุมทุกชนิด และจัดทาซุ้มข้อมูลเพ่ือวางบอร์ดนิทรรศการความรู้จานวน ประกอบด้วย 1) ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับป่า ดอนปู่ตา 2) พิธีกรรมการเลี้ยงผีปู่ตา 3) ระบบนิเวศป่าดอนปู่ตาห่วงโซ่อาหารและการถ่ายทอดพลังงาน 4) แนวทางการอนรุ ักษ์ป่าดอนปูต่ า 5) เห็ดกินไดแ้ ละเห็ดพษิ หนปา่ ดอนปูต่ า 6) ผลไม้ปา่ กินได้หนดอนปูต่ า 7) สมุนไพรพื้นบ้านกับตานานบุญข้าวจ่ี และ 8) แผนที่หรือโมเดลแสดงแหล่งเรียนรู้หนป่าดอนปู่ตาซึ่ง ข้อมูลเหล่านี้จะเปนนประโยชน์สาหรับผู้สนหจโดยเฉพาะนักเรียนโรงเรียนบ้านวังจานโนนสาราญและ โรงเรียนหกล้เคียงไดเ้ ข้ามาศึกษาหาความรู้ จากแหลง่ เรียนรทู้ างธรรมชาติ โดยมีปราชญ์ท้องถ่ินหนชุมชน เปนนผู้นาหนการศึกษาพรรณพืชหนป่า และสนับสนุนหห้โรงเรียนจัดช่ัวโมงนอกเวลาเรียนเพ่ิมเติม เพ่ือหห้ นกั เรยี นได้เข้ามาศกึ ษาและสร้างแกนนานักเรยี นหนการถ่ายทอดความรูด้ า้ นความหลากหลายทางชีวภาพ ซ่ึงจาเปนนต้องวางแผนหนการจัดการพ้ืนท่ีเพื่อหห้เกิดความเข้าหจตรงกันเก่ียวกับระบบนิเวศของป่า เนื่องจากป่าดอนปู่ตาเปนนพ้ืนท่ีป่าวัฒนธรรมของชุมชนที่สามารถพัฒนาหห้เปนนแหล่งเรียนรู้และเผยแพร่ วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งการจะพัฒนาหห้เปนนแหล่งเรียนรู้ท่ีเหมาะสมต้องยึดหลักนิเวศวิทยาภูมิทัศน์เพ่ือ 15 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 21

จัดการพื้นท่โี ดยรอบหหเ้ กิดความเชอ่ื มโยงระหวา่ งทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มหนพ้ืนทป่ี า่ ดอนปตู่ า หห้เปนน แหล่งเรียนรู้ และแหล่งพักผ่อนหย่อนหจแกช่ ุมชนบนแนวคดิ ของการป้องกันภัยคุกคามทอ่ี าจจะหน อนาคต 2. วตั ถุประสงคโ์ ครงการ 1) เพ่ือพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพหนป่าดอนปู่ตาเพื่อ ประโยชน์ตอ่ ชุมชน 2) เพ่ือสร้างแกนนาเยาวชนหนการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพหนป่า ดอนปตู่ า 3. กระบวนการดาเนนิ การ 3.1 ระยะตน้ น้า หรอื ข้นั ตอนการวางแผน (Plan) 1) ประชุมคณะกรรมการดาเนินงานหลักสูตร เพ่ือชี้แจงวัตถุประสงค์และความต่อเน่ืองของ โครงการ วิธีการดาเนนิ งานและแบง่ บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบหนการดาเนินโครงการ 2) มอบหมายหห้นิสิตหลักสูตรความหลากหลายทางชีวภาพ ศึกษาเอกสารท่เี กย่ี วข้องกับการ พัฒนาแหล่งเรียนรู้ความหลากหลายทางชวี ภาพพืน้ ที่ป่าดอนปตู่ า 3) ผู้รับผิดชอบโครงการประสานกับผู้นาชุมชนบ้านวังจาน บ้านวังเหนือ บ้านวังหหม่ และ บ้านโนนสาราญ ซึง่ เปนนหมูบ่ ้านทีห่ ช้ประโยชน์จากป่าดอนปู่ตาร่วมกัน เพื่อชี้แจงนโยบายโครงการบริการ วชิ าการสู่ชุมชนของมหาวทิ ยาลัยและขออนุญาตเข้าศึกษาข้อมูลทรพั ยากรความหลากหลายทางชีวภาพ หนป่าดอนปู่ตา และกาหนดวันเวลาหนการประชมุ ชาวบ้าน 3.2 ระยะกลางน้า หรอื ขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ิ (Do) 1) คณะทางานร่วมกับผู้นาชุมชน ปราชญ์ท้องถิ่น ชาวบ้านทั้ง 4 หมู่บ้าน นิสิตระดับ บัณฑิตศึกษา หลักสูตรความหลากหลายทางชีวภาพ จากสถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช และนิสิตช้ันปีที่ 4 สาขาส่ิงแวดล้อมศึกษา คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมประชุม 16 22 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

ชี้แจงวัตถุประสงค์และความต่อเนื่องของโครงการ เพื่อหห้ชุมชนได้รับทราบ รวมถึงวิธีการดาเนินงาน เพอื่ หห้บรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงค์ และทาการสารวจความต้องการของชุมชน 2) เสวนาระดมความคิดเห็นระดับชุมชนโดยการสนทนากลุ่ม (focus group discussion) กบั ผนู้ าชมุ ชน ปราชญ์ท้องถิ่น ชาวบ้านและผมู้ ีสว่ นเกี่ยวข้อง หนประเดน็ การดาเนินงานหนปที ่ผี ่านมา เพอ่ื นาเอาขอ้ มลู มาพฒั นาเปนน สอ่ื กิจกรรมภายหนแหลง่ เรียนรู้ ซงึ่ ประกอบด้วยเนอ้ื หา ดงั ต่อไปนี้ (1) ความรทู้ ั่วไปเกย่ี วกบั ป่าดอนปู่ตา (2) พธิ กี รรมการเลยี้ งผีปู่ตา (3) ระบบนิเวศป่าดอนปูต่ าห่วงโซ่อาหารและการถ่ายทอดพลงั งาน (4) แนวทางการอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพหนปา่ ดอนปตู่ า (5) เหด็ กินได้และเหด็ พษิ หนปา่ ดอนป่ตู า (6) ผลไม้ป่ากนิ ได้หนดอนปู่ตา (7) สมนุ ไพรพื้นบ้านกับตานานบุญขา้ วจ่ี (8) แผนท่ีหรือโมเดลแสดงแหลง่ เรียนรูห้ นปา่ ดอนป่ตู า 3) ร่วมกันจัดทาแหล่งเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพพื้นที่ป่าดอนปู่ตา โดยจัดทาซุ้ม บอรด์ ความรู้ จานวน 4 ซุม้ ๆ ละ 2 บอร์ด โดยอาศัยแรงงานจากชุมชนมาช่วยหนการทาแหลง่ เรยี นรู้ นิสิต และอาจารย์หนหลักสตู รชว่ ยจัดทาขอ้ มูลความรู้ 17 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 23

4) พิธีเปิดแหล่งเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพหนป่าดอนปู่ตา โดยมีชุมชนท้ัง 4 หมู่บา้ นคณะครูและนกั เรียนโรงเรยี นบา้ นวงั จานโนนสาราญ และเครือขา่ ยป่าชุมชนโคกหินลาด ตาบลนา ขา่ อาเภอวาปีปทมุ จังหวัดมหาสารคาม เข้าร่วมกิจกรรม ภายหนป่าดอนปู่ตามฐี านการเรียนรู้ จานวน 4 ฐาน (ซุ้ม) ซ่ึงหนแต่ละฐานการเรียนรู้จะมีปราชญ์ท้องถ่ินคอยแนะนาและหห้ความรู้แก่เด็กนักเรยี น ที่เข้า มาศึกษาหาความรู้ โดยมีนิสิตหลักสูตรความหลากหลายทางชีวภาพและนิสิตฝึกประสบการณ์จาก มหาวิทยาลัยราชภฎั ร้อยเอด็ เปนน พ่ีเลยี้ งและหห้ความรู้ควบคไู่ ปด้วย 3.3 ระยะปลายนา้ หรือขั้นตอนการตรวจสอบ (Check) 1) ตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องของรายช่ือพรรณไม้ และการหช้ประโยชน์ตามภูมิปัญญา ท้องถิน่ ท่พี บหนป่าดอนป่ตู าเพมิ่ เตมิ วิเคราะห์รายช่อื พน้ื เมือง ชอ่ื สามญั และชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ 2) ประเมินความพึงพอหจของชุมชนท่ีเข้าร่วมโครงการ และความพึงพอหจของนิสิตที่เข้า ร่วมกจิ กรรม รวมถงึ ความพึงพอหจของผู้รับการถ่ายทอดและการนาไปหช้ประโยชนจ์ ากความหลากหลาย ทางชีวภาพหนป่าดอนปู่ตา พบว่า ภาพรวมของความพึงพอหจเฉล่ียอยู่หนระดับ 4.62 (จาก 5 ระดับ) ซ่ึง อยู่หนระดบั มากทีส่ ดุ โดยมีรอ้ ยละความพงึ พอหจหนระดับมากทสี่ ดุ คิดเปนน รอ้ ยละ 64.42 และหนระดับมาก คิดเปนนร้อยละ 32.69 ทั้งนี้มีรายการที่มีระดับพึงพอหจสูงที่สุดคือข้อท่ี 1 กิจกรรมมีความสอดคล้องกับ ปัญหาและความต้องการของชุมชน/กลุ่มเป้าหมาย ( = 4.82) ท้ังน้ียังมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่มี ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ เกี่ยวกับโครงการ/กิจกรรม คือ อยากหห้จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าดอนปู่ตา หห้กับชุมชนทุกๆปี อยากหห้จัดกจิ กรรมที่มีประโยชน์แบบนี้อีกเพราะจะได้หช้พ้ืนท่ีป่าดอนปู่ตาเปนนแหล่ง เรียนรู้หห้กับนักเรียนหรือผู้สนหจได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ทาหห้ได้รับความรู้หหม่ๆ จากการเดินสารวจป่า 18 24 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

อยากหห้ผู้นาชุมชนและมหาวิทยาลัยได้คิดโครงการหรือกิจกรรมที่เปนนประโยชน์ต่อชุมชนทุกๆปีเพราะ เกดิ ประโยชน์ตอ่ ชุมชนโดยตรง 3.4 ขัน้ ตอนการสรปุ ผลการดาเนินงาน (Act) ผลการดาเนนิ งานพบวา่ การพัฒนาแหลง่ เรยี นรู้ มกี ระบวนการทางานเปนนทีมระหว่างชมุ ชน วัด โรงเรียน และนิสิต เพื่อรว่ มพัฒนาป่าดอนปู่ตาหห้เปนนแหล่งเรียนรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดย เน้นหห้นักเรียนได้ศึกษาหาความรู้จากแหล่งเรียนร้หู นชุมชนผ่านการถ่ายทอดจากปราชญ์ท้องถิ่นโดยการ เล่าสู่ฟัง การเรียนรู้จากสถานที่จริง เช่น เดินป่าศึกษาธรรมชาติ การศึกษาจากบอร์ดหห้ความรู้บริเวณ เส้นทางเดินป่า เปนนต้น นอกจากน้ีชุมชนมีความคาดหวังร่วมกันหนการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าดอนปู่ตาหห้ เปนนแหลง่ เรียนร้ทู ี่มคี วามอดุ มสมบูรณเ์ หมือนหนอดีต เพื่อหหน้ ักเรียนหรอื ผู้สนหจได้เขา้ มาศกึ ษาหาความรู้ 4. ขอ้ ค้นพบจากการดาเนินโครงการ 4.1 การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพหนป่าดอนปู่ตา มีกระบวนการ เพ่ือหห้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและครอบคลุมทุกประเด็น เริ่มจากหห้นิสิตทาการศึกษาค้นคว้า องค์ความรู้ที่มีอยู่หนชุมชนควบคู่ไปกับการสารวจฐานทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ห นป่าดอนปู่ตาร่วมกับ ชมุ ชนหนประเด็นด้านความหลายหลายทางชีวภาพดา้ นพชื -สัตว์ และเห็ดทอ้ งถิน่ เพื่อนามาเปนน ข้อมลู หน การจัดทาแหล่งเรียนรู้ของชุมชน ซ่ึงจากการสารวจพบพืชสมุนไพรที่ชาวบ้านนามาหช้ประโยชน์ จานวน 89 ชนดิ สตั วท์ อ้ งถ่นิ จานวน 7 ชนิด และเหด็ กนิ ได้จานวน 4 ชนิด และเห็ดพิษจานวน 6 ชนดิ 4.2 ข้อค้นพบอื่นๆ ท่ีนอกเหนือจากวตั ถุประสงค์ (Impact) พบว่า การสารวจความหลากหลาย ทางชีวภาพด้านพืชเพ่ือนามาเปนนข้อมูลหนการจัดทาแหล่งเรียนรู้ โดยเฉพาะพืชสมุนไพรท่ีนามาหช้ ประโยชน์หนป่าดอนปู่ตา หนปี 2558 สารวจพบพืชสมุนไพร จานวน 73 ชนิด และหนปี 2559 สารวจพบ พืชสมุนไพร เพิ่มขึ้น 16 ชนิด รวมทั้งส้นิ 89 ชนิด ทั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากหนปีที่ผ่านมามีการนาพันธ์ุไม้ สมุนไพรมาปลกู เสรมิ หนป่าดอนปู่ตา และทมี สารวจซ่ึงเปนน ชาวบา้ นและนิสิตมกี ารสารวจซ้าและเกบ็ ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ ทาหหไ้ ด้ขอ้ มลู ที่ถูกตอ้ งและน่าเชื่อถอื 5. ผลการบูรณาการงานบรกิ ารวชิ าการกบั การเรียนการสอนและการวจิ ัย 1) บูรณาการกบั การเรียนการสอน มกี ารบูรณาการดา้ นการเรียนการสอนหนรายวิชา ภูมปิ ัญญา ท้องถิ่นด้านความหลากหลายทางชีวภาพ หลักสูตรความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยหห้นิสติ มสี ว่ นร่วมหน การดาเนินกิจกรรมทุกข้ันตอน และรายวิชาปัญหาพิเศษทางสิ่งแวดล้อมของนิสิตช้ันปีที่ 4 สาขา ส่ิงแวดล้อมศึกษา คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ต้ังแต่การทบทวน บทเรียนก่อนกิจกรรม (Before action review) การทบทวนบทเรียนระหว่างกิจกรรม (During action 19 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 25

review) การทบทวนเม่ือกิจกรรมเสร็จสิ้นลง (After action review) รวมถึงการปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องท่ีเกิดข้ึนจากการทากิจกรรม ทาหห้นิสิตได้ประสบการณ์ตรงหนการทางานรว่ มกับชุมชนซ่ึงจะ เปนน ประโยชน์หนการนาไปหช้หนชีวิตประจาวนั และการทางานหนอนาคต 2) บูรณาการกับการวิจัย มีการบูรณาการกับแผนงานวิจัย เรื่อง การสร้างเสริมพลังชุมชนเพื่อ การอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพหนพื้นที่ป่าดอนปู่ตาของกลุ่มชาติพันธ์ุหนภาคอีสาน สนบั สนุนโดยสานกั งานพฒั นาเศรษฐกจิ จากฐานชีวภาพ (องคก์ ารมหาชน) หนปงี บประมาณ 2558 -2559 โดยการสารวจความหลากหลายทางชีวภาพหนป่าดอนปตู่ าหนด้านพืชสมุนไพรทีพ่ บหนปา่ ดอนปู่ตาบ้านวัง จานโนนสาราญ และนาเอาพืชที่มีศักยภาพไปหาปริมาณสารสาคัญทางยาเพื่อนาไปพัฒนาต่อยอดเปนน ตารับยาสมนุ ไพรเพื่อหช้ประโยชนห์ นเชิงเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรชีวภาพหนชุมชน 3) บูรณาการกับการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม ป่าดอนปู่ตามีประวัติศาสตร์ความเปนนมาที่เก่ียว โยงถึงการดารงชีวติ ที่ผูกพันกับธรรมชาติอย่างแนบแน่น จัดเปนนระบบนเิ วศที่ธรรมชาติได้จัดสรรไว้อย่าง กลมกลืน สอดคล้องและสมดุลท้ังพืชและสัตว์ ได้รับการสั่งสมแนวคิด ภูมิปัญญา ศรัทธาและความเช่ือ จนเปนนแบบแผนการดารงชีวิตท่มี ีคุณค่า ภายหนปา่ ดอนปู่ตามีการสร้างหอพอ่ ปู่และแม่ย่าไว้กราบไหว้ ซึ่ง เช่ือว่าเปนนผีท่ีคุ้มครองรักษาป่าและสภาพแวดล้อม และก่อนฤดูกาลทานาจะมีการเล้ียงผีปู่ตาหนวันพุธ แรกของเดือนหกซ่ึงเปนนประเพณีทีส่ ืบทอดกันมาจนปัจจุบัน และป่าดอนปู่ตาบ้านวังจานโนนสาราญได้มี การบวงสรวงเช่นเดียวกันอันแสดงหห้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดของทรัพยากรบุคคลและสังคมพ้ืนถ่ิน กลายเปนนมรดกทางวัฒนธรรมจวบจนปัจจุบัน นอกจากน้ีมีการนาพืชสมุนไพรท่ีพบหนป่าดอนปู่ตามาหช้ ประโยชนห์ นการทาขา้ วโป่ง ซ่ึงเปนนส่วนประกอบหนงึ่ ของงานประเพณีบญุ ข้าวจี่เดอื นสาม 6. บทสรปุ การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพหนพื้นท่ีป่าดอนปู่ตา เพื่อหห้เกิดประโยชน์ อยา่ งย่งั ยืน จาเปนน ต้องมกี ารวางแผนงานทีช่ ดั เจน เน่ืองจากป่าดอนปูต่ าเปนนพน้ื ท่ีป่าวัฒนธรรมของชมุ ชน แหง่ หน่ึงทส่ี ามารถพฒั นาเพอื่ เปนนพ้นื ที่เรียนรู้ระบบนิเวศและเผยแพรว่ ัฒนธรรมท้องถ่ิน ซ่ึงการจะพฒั นา ควรศึกษาและทาการวิเคราะห์เพ่ือหาแนวทางท่ีเหมาะสมและตอบรบั ทั้งทางด้านระบบนิเวศและการหช้ งานหนด้านต่างๆ อย่างสมดุล รวมทั้งด้านวิถีชีวิตของชุมชนโดยการประยุกต์หช้หลักนิเวศวิทยาภูมิทัศน์ เพื่อจัดการพ้ืนท่ีโดยรอบหห้เกิดความเช่ือมโยงระหว่างภูมิทัศน์ธรรมชาติและเกษตรกรรม เพื่อปกป้อง สง่ เสริม และพัฒนาความหลากหลายทางชวี ภาพหนพนื้ ที่หห้ยัง่ ยืนสบื ไป 20 26 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

โครงการพฒั นาและยกระดับผา้ ไหมย้อมครามเปน็ ผลิตภณั ฑ์ สุชญา โคตรรวงษ์, สราลี กิจเจรญิ ศักดิ์กลุ และ กรรณกิ าร์ นามปญั ญา ศูนยค์ วามเปนน เลิศทางนวตั กรรมไหม โครงการหนงึ่ หลักสูตรหนึง่ ชุมชน 1. ความเป็นมาของปัญหา การดาเนินงานโครงการหนชุมชนบ้านหนองบัวน้อย ได้ดาเนินงานอย่างต่อเนื่องเปนนปีท่ี 3 โดย การดาเนนิ งานโครงการหนปที ี่ 1 บ้านหนองบัวน้อย เปนนบ้านทมี่ คี วามเข้มแขง็ มีการปลูกหม่อนเล้ียงไหม เปนน อาชีพเสรมิ นอกเหนอื จากการทานา ซ่ึงชมุ ชนบ้านหนองบัวนอ้ ยมคี วามต้องการหนการพืน้ ฟู การย้อม สีครามทม่ี มี าแต่สมยั บรรพบุรษุ มีความตอ้ งการอยากที่จะนา นาภูมิปัญญาเกา่ ๆ ด้านการยอ้ มสคี ราม ที่ ได้เลือนหายไปจากชมุ ชน จากการดาเนนิ งานโครงการ มีการดาเนินงานการยอ้ มครามหหม้ ีการยงั่ ยืนโดย นากระบวนการตั้งแต่ ระยะต้นน้า ถึงปลายน้า โดยมีการปลูกคราม การจัดการแปลงคราม การผลิตเนื้อ คราม และการก่อหม้อย้อมสีคราม หนปีที่ 2 ดาเนินงานโครงการโดยเน้นการพัฒนาการก่อหม้อคราม และพัฒนาการผลิตน้าครามที่สามารถนามาย้อมเส้นไหมได้ ซ่ึงชุมชนบ้านหนองบัวน้อย ซ่ึงชุมชนน้ีมี ความคาดหวังว่านาครามกลับมาพัฒนาเปนนอาชีพหลักของลูกหลานหนอนาคต หวังไว้ว่าการดาเนินงาน เรื่องครามนี้ไปจนเกิดเปนนความรู้เฉพาะท้องถิ่นของชุมชน เกิดมรดกทางวัฒนธรรมท่ีประเมินค่ามิได้ ที่ เราทุกคนสมควรหห้การอนุรักษ์ และการดาเนินงานโครงการปีท่ี 3 พัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมหนชุมชนไป พฒั นาแปรรปู ร่วมกับสานักงานเกษตรอาเภอนาดูน พัฒนาชุมชน อาเภอนาดนู และสมาชิกชุมชน บ้าน หนองบัวน้อย หนการดาเนินการวิจัยหนครั้งน้ีเพื่อพัฒนาหห้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ท่ีเปนนเอกลักษณ์ เฉพาะท้องถน่ิ 2. วตั ถุประสงค์โครงการ 1. เพ่อื ออกแบบผลติ ภัณฑ์ผ้าย้อมคราม 2. เพอื่ สร้างเอกลักษณ์ผลิตภัณฑข์ องชมุ ชนอย่างมีสว่ นร่วม 3. กระบวนการดาเนินการ 1. ประชาคมกลุ่มชุมชนเป้าหมายเรม่ิ จากการประชุมกลุ่มชุมชน หห้ชมุ ชนทราบถึงขัน้ ตอนหน การดาเนินงานโครงการหนคร้ังนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมหนการดาเนินงานโครงการ ทาปฏิทินการ ดาเนินงานโครงการร่วมกับชุมชน สานักงานพฒั นาชมุ ชน อาเภอนาดูน สานักงานเกษตรอาเภอนาดูน และสมาชิกหนชุมชนเพอื่ กาหนด วางแผนการดาเนินงานโครงการ และกระบวนการต่างๆที่จะเกิดข้ึน 21

หนโครงการ การคัดเลือกพื้นท่ีเพื่อขยายพื้นท่ีปลูกคราม คัดเลือกเมล็ดพันธ์ุคราม รวมไปถึงการปลูก คราม การจัดการแปลงคราม และที่สาคัญที่สุดคือการนาผ้าท่ที อหนชุมชนมาแปรรูปหห้เปนนผลิตภัณฑ์ ของชุมชน 2. ออกแบบผลิตภัณฑ์ตัวอย่างอย่างมีส่วนร่วมร่วมกับชุมชนโดยนานิสิตไปร่วมออกแบบและ นามาแปรรูปผลิตภัณฑ์ จากการสารวจความต้องการของชุมชนโดยการสอบถามสมาชิกหนกลุ่มถึงความ ต้องการของกลุ่มเพ่ือท่ีจะนาผ้าที่ผลิตหนชุมชนไปแปรรูป สรุปได้ว่า ชุมชนมีความต้องการที่จะผลิตเส้ือ เย็บมือจากผ้าย้อมครามหนชุมน ซึ่งการปัก เปนนงานศิลปะแขนงหนง่ึ ของกลุ สตรี เพราะเปนน การเสริมแต่ง เครอ่ื งแตง่ กาย เช่น การปกั เสือ้ กระโปรง ปลอกหมอนองิ หมอนหนุน ผ้าคลุมเตียง ผ้าม่านหน้าต่าง และ เครื่องหช้อ่ืนๆ ตามความต้องการ ทั้งน้ีเพื่อหห้เห็นคุณค่าของงานและความสวยงามยิ่งขึ้น การปักหน สมัยก่อนน้ันนิยมปักด้วยมือแต่เพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าเปนนงานฝีมือที่ต้องการความละเอียดเปนน พิเศษ ต่อมาเม่ือมีผู้นิยมลายปักมากข้ึน การหช้มือผลิตผลออกมาได้ไม่ทันตามความต้องการ และค่าแรง สงู มาก จงึ มีการปักด้วยเครื่องมือพิเศษ และปักดว้ ยจักรเพ่ิมขึ้นอีก แต่อย่างไรกด็ ีการปักดว้ ยมือเราจะทิ้ง ไม่ได้ เพราะเปนนงานท่ีแสดงฝีมือจริงๆ ปัจจุบันมีการส่งเสริมศิลปาชีพของชาวชนบทแทบทุก แห่ง โดยเฉพาะทางภาคเหนือ สตรีที่ว่างจากการทาไร่นา ก็จะพากันมารับจ้างปักผ้าบ้าง ถักบ้าง แต่คน เหล่าน้ีจะไม่ค่อยมีความรู้ว่าลายปักชนิดหดเหมาะท่ีจะปักอะไร หรือ จะวางลายปักอย่างไรจึงจะหห้ดู งาม หรือหช้สีอะไรปักจึงจะทาหห้นา่ ดู การปักสมัยก่อนนิยมปักแต่สีขาว ผ้าท่ีนามาปักก็เปนนสีขาว เพราะ นิยมวา่ สุภาพ ตอ่ มาความนิยมเหล่านนั้ กเ็ ปล่ียนแปลงไปเปนน หช้ดา้ ยและไหมสีตา่ งๆ ปักบนผา้ สีขาว ชมพู ครีม หรือสีที่มีพื้นสีอ่อนๆ ส่วนผ้าที่มีสีพื้นหนักๆ หรือสีเข้ม การหช้สีของด้ายปักจะต้องคิดหห้ดี จะหช้สี อะไรจึงจะงาม ส่วนผ้าที่พ้ืนสีอ่อนๆ น้ันหาสีของด้ายปักได้ง่ายกว่าผ้าพื้นสีเข้มๆ ปัจจุบันจะเห็นเสื้อผ้า ของหช้ต่างๆ ของประเทศท่ีเอามาขายหนบ้านเรา มีราคาสูงมาก ต่างกับราคาของบ้านเรา ฝีมือการปักก็ พอๆ กัน จะเห็นวา่ งานอาชพี การปักของบา้ นเราเวลานี้ ไมย่ ิ่งหย่อนไปกว่าต่างประเทศ ท้ังยังเปนนสินค้าท่ี ขายได้ดมี ากแม้แตต่ ่างประเทศก็นิยม สิ่งที่ควรคานงึ ถึงเราควรหช้วัสดุท่ีมีหนทอ้ งถ่ิน เช่น ผ้า และไหม เรา ควรคานึงคุณภาพของวสั ดุ มากกว่าที่จะหาซื้อผ้าจากต่างประเทศได้ไม่น้อยทีเดียว จึงเปนนความต้องการ ของชุมชนที่ต้องการให้มีความเป็นเอกลักษณ์ ที่มีความท้าทาย และที่สาคัญท่ีสุด คือ เครื่องจักร ไม่ สามารถผลิตได้ 3. จัดทาแบบสอบถามความพึงพอหจ จากกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ วัยทางาน จากการทา แบบสอบถามได้ทาแบบสารวจความต้องการ หนการทาเสื้อเย็บมือ จากวยั ทางาน จานวน 6 แบบ ได้แก่ 22 28 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

ลายท่ี 1 คือ ปีกบ่าง ห้ากระดูก การปักอย่างละเอียด เปนนการปักด้วยไหมเส้นเล็กบนเน้ือผ้า บาง ลายขนาดธรรมดา หรอื คอ่ นข้างเล็ก อาจหช้กับเนือ้ ผ้าหนาไดเ้ หมือนกนั เช่น ผา้ ไหมเนือ้ หนาแต่ต้อง หห้ไหม เข็ม และผา้ สัมพนั ธ์กันเหมาะสาหรบั ตกแต่งเสื้อผา้ เคร่อื งแต่งกาย ลายท่ี 2 คือ เสื้อแซ่ว แขนกระบอก การเย็บลายสร้อยหางสิงห์ หรือ ลายจูงนาง ลายหางสิงห์ เปนนลายที่ถือว่าโบราณอีกลายหนึ่งหนสมัยก่อนลายน้ีถือว่าเปนนหัวหจของการเย็บมือหรือการจักสานไม่ว่า จะเปนน การเย็บขอบหมอน ท่ีนอน มุ่ง หรือการเยบ็ ตา่ งๆ ลายประเภทนนี้ อกจากจะหช้เยบ็ ผา้ แลว้ ยังมีการ นาไปหช้หนการสานขอบกระดง้ ขอบไซ ฯลฯ ลายที่ 3 คือ เส้ือคอกลม การปักอย่างละเอียด เปนนการปักด้วยไหมเส้นเล็กบนเนื้อผ้าบาง ลาย ขนาดธรรมดา หรือค่อนข้างเล็ก อาจหช้กับเนื้อผ้าหนาได้เหมือนกัน เช่น ผ้าไหมเน้ือหนาแต่ต้องหห้ไหม เขม็ และผ้าสัมพันธ์กันเหมาะสาหรบั ตกแตง่ เส้อื ผ้าเคร่ืองแตง่ กาย ลายท่ี 4 คอื ปกี บ่าง ห้ากระดกู การปักอยา่ งละเอียด เปนนการปักดว้ ยไหมเสน้ เลก็ บนเนื้อผา้ บาง ลายขนาดธรรมดา หรือค่อนข้างเล็ก อาจหช้กับเนื้อผ้าหนาได้เหมือนกัน เช่น ผ้าไหมเน้ือหนาแต่ต้องหห้ ไหม เข็ม และผา้ สัมพนั ธ์กันเหมาะสาหรับตกแตง่ เส้อื ผา้ เครื่องแตง่ กาย เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 23 29

ลายที่ 5 คือ เส้ือรับเพิ่มผ้าซ่อนกระเป๋า เปนนการปักด้วยไหมเส้นเล็กบนเนื้อผ้าบาง ลายขนาด ธรรมดา หรือค่อนข้างเล็ก อาจหช้กับเน้ือผ้าหนาได้เหมือนกัน เช่น ผ้าไหมเนื้อหนาแต่ต้องหห้ไหม เข็ม และผ้าสัมพนั ธ์กนั เหมาะสาหรบั ตกแตง่ เส้ือผ้าเครอ่ื งแตง่ กาย ลายท่ี 6 คือ เสื้อแซ่ว แขนกระบอก เปนนการปักด้วยไหมเส้นหหญ่ บนเน้ือผ้าหยาบ ลายขนาด หหญ่ ถ้าเปนนลายท่ีติดต่อกัน เช่น การปักไขว้หรือการปักสอดไหม จะช่วยเพ่ิมความหนาของเน้ือผ้าข้ึน ได้ เหมาะสาหรับปักผา้ ท่ีหช้เปนน ประเภทตกแต่งเครอ่ื งเรอื น เคร่อื งหชต้ า่ ง ๆ มากกวา่ ที่จะปักตกแต่งเส้อื ผา้ เครอ่ื งแตง่ กาย 4. แปรรูปผลิตภัณฑ์เสื้อเย็บมือ ที่ได้รับความนิยม อันดับท่ี 1 ถึงสาม ได้แก่ลายผ้าที่อยู่หน อันดับที่ 1, 2 และ 5 เพือ่ หหเ้ ปนนผลิตภณั ฑข์ องชุมชน 5. ไดผ้ ลติ ภัณฑ์ทเี่ ปนนเอกลกั ษณ์ของชุมชน 4. ผลลัพธ์จากการดาเนนิ งานโครงการ การดาเนินงานโครงการหนคร้ังน้ี มีหน่วยงานท่ีขับเคลื่อนและหนุนเสริมหห้กับกลมุ่ ชมุ ชนบ้าน หนองบัวน้อย ได้แก่ สานักงานเกษตรอาเภอนาดูน เกษตรจังหวัดมหาสารคาม สานักงานพัฒนาชุมชน อาเภอนาดูน ไดม้ าขบั เคล่อื นหนการรว่ มพฒั นาผลติ ภัณฑ์เปนนเสื้อเย็บมอื ย้อมคราม ผลจากการดาเนินงานหนคร้ังน้ีพบว่า มีผู้เข้าร่วมโครงการท้ังหมด 27 คน มีความพึงพอหจหน การดาเนินงานโครงการ พบว่า กิจกรรมมีความสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของชุมชน/ กลุ่มเป้าหมาย อยู่หนระดับดีถึงดีมาก สามารถนาความรู้และประสบการณ์จากการร่วมกิจกรรมไป ประยุกต์หช้หนชีวิตประจาวัน / ต่อหน่วยงาน / ต่อชุมชน อยหู่ นระดับดีถึงดีมาก การเข้าร่วมกิจกรรมทา หห้เกิดการสร้างเครือข่ายหนชุมชน/สังคม ได้รับความรู้และประสบการณ์ท่ีเปนนประโยชน์ และสามารถ ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แก่ชุมชน/สังคม อยู่หนระดับดี ถึงดีมาก สามารถนาความรู้และ ประสบการณ์จากการเข้าร่วมกิจกรรมมาพัฒนาองค์ความรู้หหม่หรือนาไปสู่การขยายผลได้ อยู่หนระดับดี 24 30 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

ถงึ ดมี าก จากการสารวจความพงึ พอหจภาพรวมของผู้เข้าอบรม พบวา่ ผู้เข้าอบรบมีความพึงพอหจหนการ จดั กิจกรรมอยู่หนระดบั ดคี ดิ เปนนรอ้ ยละ 5 และดีมากร้อยละ 95 กิจกรรมที่ 1 เตรียมกลุ่มชุมชน ทาความเข้าใจในการดาเนินงานโครงการร่วมกับชุมชน และเกษตร อาเภอนาดูน กจิ กรรมที่ 2 การปลูกคราม เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 25 31

กจิ กรรมที่ 3 ผ้าย้อมครามในชุมชน กจิ กรรมที่ 4 คัดเลอื กผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือในชมุ ชนมา เอกสารอา้ งองิ วชิ าญ เอยี ดทอง.2552. คราม: สีธรรมชาตจิ ากตน้ ถวั่ หช้ย้อมฝา้ ยไหม อา้ งองิ จาก http://oamc.ku.ac.th/knowledge/03- july/02.pdf, เข้าถงึ เมื่อวนั ที่ 3 กนั ยายน 2557. การย้อมผ้าคราม. ผ้าฝ้ายย้อยครามบ้านโนนเรอื . อ้างอิงจาก Parkramsk.snru.org เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2557. http://en.wikipedia.org/wiki/Indigofera_tinctoria, เขา้ ถึงเมื่อวนั ท่ี 9 ตลุ าคม 2557. http://upload.wikimedia.org hwikipedia/commons/c/cb/Indigofera_tinctoria_Taub115a. png. เมื่อวันที่ 9 ตลุ าคม 2557. http://www.cabi.org/isc/datasheet/28611, เขา้ ถึงเมือ่ วันที่ 9 ตลุ าคม 2557. http://www.zhiwutong.com/ dan_tu/2/2234.htm, เข้าถงึ เม่อื วันที่ 9 ตลุ าคม 2557. http://www.aber.ac.uk/bioimage/image/image.htm, เขา้ ถึงเมอื่ วันที่ 9 ตลุ าคม 2557. 26 32 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

โครงการจดั ทาหุ่นจาลองชุมชนบ้านดอนนา จ.มหาสารคาม เพ่ือเป็นสอ่ื ในการพัฒนาพน้ื ท่ี เชงิ วฒั นธรรม จตุรงค์ ประเสรฐิ สังข์ และคณะ หลกั สูตรสถาปตั ยกรรมภายหน คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมติ ศิลป์ โครงการหน่ึงหลักสูตรหนง่ึ ชุมชน 1. ความเป็นมาของปัญหา จากที่โครงการแนวทางการสรา้ งสภาพแวดล้อมศูนยพ์ ัฒนาเด็กเลก็ บ้านดอนนา จ.มหาสารคาม ปี 2558 ได้มีการลงพื้นที่สอบถามปัญหาและความต้องการของทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านดอนนากับ ทางชมุ ชน และได้จัดทาคู่มือสาหรบั เปนนต้นแบบหนการพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก ส่งมอบหห้เปนนที่เรยี บร้อยแล้ว น้ัน ทางชุมเห็นได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ของการทาหุ่นจาลอง (โมเดล) ที่โครงการจัดทาไว้หห้ ซึ่งมีความ สวยงาม ทุกคนสามารถเข้าหจและรับรู้ร่วมกันได้ง่าย จึงมีแนวคดิ ท่ีจะตอ่ ยอดหนการจัดทาหุ่นจาลองของ ชุมชน เพื่อจะหช้เปนนส่ือกลางหนการพัฒนาแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมของชุมชนกับทางหน่วยงานหรือ องคก์ รท่ีเก่ยี วขอ้ งต่อไป กล่าวถึงหมู่บ้านดอนนา ต้ังอยู่ที่ หมู่ที่ 7 ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เปนนหมู่บ้าน ขนาดกลาง ประมาณ 300 หลังคาเรือน ติดกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลักษณะเปนนท่ีราบลุ่ม หน หมบู่ ้านประกอบด้วยสถานที่สาคัญคือ โรงเรยี นบ้านดอนนา ศูนย์พฒั นาเดก็ เล็กบ้านดอนนา ดอนปู่ตา ปู่ ขุนสอน วัดโพทาราม วัดป่าดอนหนาด เปนนต้น รวมไปถึงกลุ่มอาชีพเสรมิ ท่ีน่าสนหจหนหมู่บ้าน เช่น กลุ่ม ทาเสื่อกก กลุ่มกลองยาว กลุ่มเล้ียงปลา กลุ่มเล้ียงไก่ชน กลุ่มทาขนมจีน กลุ่มทาปลาร้า กลุ่มทา เครอื่ งจกั รสาน และปราชญ์ชาวบ้าน เปนน ต้น จากการสารวจลงพ้ืนทเ่ี บ้ืองต้น และ สมั ภาษณ์จากตัวแทน ของหมู่บ้าน พบลักษณะปัญหาและความต้องการเช่น ทางชุมชนมีความต้องการที่จะพัฒนาแนวคันดิน และบริเวณโดยรอบแหล่งน้ากุดคาฮิง หห้เปนนแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม และการท่องเท่ียวทางน้า ซ่ึง ประกอบไปด้วย สวนเกษตรพอเพียง สวนป่าสมุนไพร ศูนย์การเรียนรู้ทางอาชีพของชุมชน ตลาดนัด ชาวบ้าน สวนอาหารลอยน้า ฯลฯ มีความต้องการจะท่ีสร้างรางระบายน้ารอบหมู่บ้าน เนื่องจากประสบ ปัญหาน้าท่วมขังทุกปี แต่ยังกาหนดตาแหน่งท่ีจะนาน้าไปปล่อยไม่ได้ และการสร้างผังชุมชน ซ่ึงจะ สามารถพัฒนาไปสู่แผนที่ท่องเท่ียวและระบุตาแหน่งแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมของชุมชนที่ส่ือสารหห้ เขา้ หจง่ายต่อไป จากท่ีมาและปัญหาข้างต้น ทางหลักสูตรสถาปัตยกรรมภายหน ซ่ึงเปนนหลักสูตรท่ีเน้นการเรียน หนด้านการจัดสภาพแวดล้อมภายหนอาคารประเภทต่างๆ การจัดการองค์ประกอบของพ้ืนท่ีต่างๆหห้ เหมาะสม จึงเห็นสมควรหนการเสนอโครงการจัดทาหุ่นจาลองชุมชนบ้านดอนนา จ.มหาสารคาม เพื่อหห้ 27

ชมุ ชนหช้เปนนสื่อกลางหนการประชุมปรึกษาหารือทั้งกับชุมชนเอง หรือกับหน่วยงานองค์กรท่ีเก่ียวข้องหน เรื่องการพัฒนาพ้ืนท่ีเชิงวัฒนธรรมของชุมชน ทุกคนรับรู้และเข้าหจไปหนทิศทางเดียวกัน สามารถเรยี นรู้ และเข้าหจหนตาแหน่งท่ีต้ังสถานที่ตา่ งๆของหมู่บ้านตนเอง สามารถสื่อสารกับหน่วยงานต่างๆที่จะเข้ามา สนับสนุนหนการพฒั นาชมุ ชน หรอื แมก้ ระท่ังการทาความเข้าหจกบั คนหนชุมชนเอง หนการกาหนดพืน้ ทีท่ า กิจกรรมต่างๆ และการพัฒนาชุมชนหนรูปแบบต่างๆได้ ส่วนอาจารย์และนิสิตที่เข้าร่วมโครงการก็ได้ เรยี นรู้รปู แบบการทางานจริง การสื่อสารกับคนหนชมุ ชน รู้จกั เลือกรูปแบบหนการนาเสนอผลงานที่ทาหห้ ทกุ คนเข้าหจร่วมกันได้ง่ายทส่ี ุด และไดแ้ ลกเปล่ียนเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน ไดป้ ระโยชน์ร่วมกันทกุ ฝ่าย ถือได้ ว่าเปนน การเรียนรรู้ ่วมกนั อยา่ งแท้จรงิ 2. วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ศึกษาสภาพแวดล้อมทตี่ ัง้ สถานทส่ี าคญั และแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมของชุมชน 2. เพื่อสรา้ งหุ่นจาลอง แผนที่ เปนนส่ือกลางสาหรับการพัฒนาของชุมชนเอง และหนว่ ยงานที่ สนับสนนุ 3. เพ่ือสร้างกระบวนการการเรียนรู้ของสถาบันการศึกษา หห้ชุมชนสามารถหช้เครื่องมือ หนการส่อื สารกับ หน่วยงานองค์กรท่ีเกยี่ วขอ้ งได้ 3. กระบวนการดาเนินงาน 3.1 ข้นั เตรียมการ (PLAN) ได้แก่การประสานงานกบั ทางผนู้ าชุมชน การประสานงานระหว่าง หน่วยงาน ประสานงานกับกลุ่มและชุมชน หนเบื้องต้น เพื่อขอเข้าไปเก็บข้อมูลหนพ้ืนที่ พร้อมกับการ จัดทาแผนตา่ งๆ ร่วมกนั กับทางผู้นาชุมชน โดยกาหนดรายละเอียด รปู แบบ กจิ กรรมหนการลงพ้ืนที่ และ ประเดน็ หนการศึกษา 3.2 ข้ันดาเนินการ (DO) จะประกอบไปด้วยกจิ กรรมต่างๆ ที่เก่ียวขอ้ งกบั โครงการดังนี้ กิจกรรมที่ 1 การเปิดตัวโครงการ แนะนารายละเอียดหนการดาเนินงานเบ้ืองต้น ชี้แจง รายละเอยี ดการจดั ทาโครงการรวมถงึ ประโยชน์และขัน้ ตอนต่างๆ หนการดาเนนิ โครงการหหก้ บั ทางชุมชน บ้านดอนนา พรอ้ มรบั ฟงั ข้อเสนอด้านความต้องการจากทางชาวบา้ นหนชมุ ชนบ้านดอนนา โดยมีนิสติ เปนน ผู้ดาเนนิ การขบั เคล่ือนภายหต้การควบคมุ ดูแลจากคณาจารย์ กจิ กรรมที่ 2 การลงสารวจพื้นท่ีจริง การจัดประชุมกลุ่มย่อย เพื่อสรุปประเด็นปัญหา หนแต่ละ ด้าน หนการจดั เกบ็ ข้อมูลไดม้ กี ารกาหนดประเด็นหนการเก็บและแบง่ ทมี ยอ่ ยหนการเก็บข้อมูลไดแ้ ก่ ข้อมูล ด้านตาแหน่งที่ต้ังของหมู่บ้านแต่ละหลัง สถานท่ีสาคัญทางราชการ สถานที่สาคัญทางศาสนา สถานที่ 28 34 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

สาคัญที่ชุมชนเคารพนับถือ กลุ่มอาชีพต่างๆ หนชุมชน ความต้องการหนการปรับหช้งานพ้ืนท่ีสาธารณะ บริเวณโดยรอบชมุ ชน และสอบถามประวัติความเปนนมาของทางชุมชน กิจกรรมท่ี 3 จัดกลุ่มประเด็นปัญหา และความต้องการของชุมชนและสร้างการมีส่วนร่วมหน การเสนอทางแก้ปัญหาจากชุมชนโดยแบ่งกลุ่มนิสิตออกเปนน แต่ละด้านที่ลงเก็บข้อมูลและนาไปสรุป ขอ้ มลู หนการปรับปรุงเบอ้ื งต้นตอ่ ชมุ ชน กิจกรรมท่ี 4 นาเสนอตัวอย่างหุ่นจาลองเบ้ืองต้น และตัวอย่างแผนที่ทางวัฒนธรรม พร้อมกับ หนังสือประวัติชุมชนดอนนาเบื้องต้น นิสิตหนแต่ละกลุ่มจะได้นาข้อมูลท้ังหมดที่ได้ทาการเก็บข้อมูลมา ผ่านกระบวนการคิดวเิ คราะห์สู่งานจดั ทาส่ือหนรปู แบบต่างๆ โดยมีการระดมความคดิ เห็นระหว่างสมาชิก ภายหนกลุ่มและนาผลงานการจัดทาสื่อเบ้ืองต้นมานาเสนอต่อคณาจารย์ประจารายวิชาเพื่อรับฟังความ คดิ เห็นและข้อเสนอแนะสู่ข้นั ตอนการพัฒนาแบบตอ่ ไป ขน้ั ประเมนิ /ตรวจสอบ (CHECK) กจิ กรรมที่ 5 พฒั นารปู แบบหนุ่ จาลองชมุ ชนบ้านดอนนา และสอื่ หนรปู แบบแผนท่ี หลงั จากการ นาเสนอแนวทางการจัดทาเบ้ืองต้นแล้วน้ัน นิสิตหนแต่ละกลุ่มจะมีพัฒนารูปแบบหรือพัฒนาการจัดทา หุ่นจาลองตามระยะเวลาท่ีกาหนดหห้สอดคล้องกับตารางการเรียนการสอนภายหนรายวิชาโดยแบ่งการ นาเสนอการออกแบบออกเปนน 2 ครง้ั ยอ่ ยโดยผา่ นการประเมนิ จากคณาจารยห์ นรายวิชา กิจกรรมท่ี 6 สรุปพร้อมนาเสนอหุ่นจาลองชุมชนบ้านดอนนา ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เพื่อนาเสนอต่อชุมชน และจัดนิทรรศการต่อชุมชน หนวันท่ี 22 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 10.00–12.00 น. เพ่อื หห้ทางชมุ ชนบา้ นดอนนาได้ทาการทดลองหช้งานสอื่ กลางดังกลา่ ว ทัง้ หนุ่ จาลองและ แผนท่ีทางวัฒนธรรมนอกเหนือจากนั้นนิสิตทุกคนจะได้ฝึกการนาเสนอผลงานของตนต่อกลุ่มผู้หช้งาน จริงๆ ของโครงการ 3.3 ขั้นติดตามและสรุปผล (ACT) โดยการจัดทาแบบประเมิน และรายงานสรปุ โครงการจาก การนาเสนอต่อชุมชนและคณะกรรมการ ได้สรุปถึงข้อดีข้อเสีย ความต้องการหนการจัดทารูปแบบของ หุ่นจาลองกับแผนท่ีทางวัฒนธรรม และได้นาข้อเสนอแนะของทุกส่วนมารวมกัน พร้อมกับจัดทาเปนน ส่ือกลางที่สมบูรณ์ ส่งมอบและแนะนาวิธีการหช้งานหห้กับทางชุมชนหน หนวันที่ 25 พฤษภาคม 2559 เวลา 13.00-16.00 น. เปนนทเ่ี รยี บรอ้ ยแล้ว เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 29 35

4.การบรู ณาการกับภารกิจหลกั ด้านอืน่ ๆ 4.1 บูรณาการกับการเรยี นการสอน โ ค ร ง ก า ร จั ด ท า หุ่ น จ า ล อ ง ชุ ม ช น บ้ า น ด อ น น า จังหวัดมหาสารคาม เพ่ือเปนนส่ือหนการพัฒนาพื้นท่ีเชิง วัฒนธรรม ได้มีการบูรณาการการเรียนการสอนหลักเข้ากับ รายวิชาวัฒนธรรมแบะสถาปัตยกรรมอีสาน รหัสวิชา 1104 322 และรายวิชาออกแบบสถาปัตยกรรม4 รหัสวิชา 1104 313 สาหรับนิสิตช้ันปีท่ี 3 สาขาสถาปัตยกรรมภายหน ซึ่งส่วนหน่ึงของรายวิชาที่มุ่งเน้นการศึกษา กระบวนการคิดวิเคราะห์ของการออกแบบวิถีชวี ิตท้องถิน่ และชมุ ชน โดยเน้นการออกแบบสถาปัตยกรรม ภายหนอาคารสาธารณะ โดยการเรียนการสอนพิจารณาถึงผลลัพธ์ด้านทักษะทางปัญญาท่ีนิสิตจะได้รับ หลังเสร็จส้ินโครงการนี้ดงั ปรากฏหน ม.ค.อ.3 ภาค การศึกษาท่ี 2 ปีการศึกษา 2558 และวางแผน การดาเนนิ การควบคูก่ ับแผนการสอนของรายวิชา มี ก า ร บ ร ร ย า ย ก่ อ น เข้ า เน้ื อ ห า บ ท เรี ย น ต า ม แผนการสอนรวมไปจนถึงการลงสารวจพ้ืนท่ีตาม วันเวลาที่ได้มีการเรียนการสอนรายวิชาดังกล่าว แ ล ะ ไ ด้ น า ข้ อ มู ล ที่ ไ ด้ ล ง พื้ น ท่ี จ ริ ง ม า ส รุ ป เปน น รายละเอียดของโครงการออกแบบปรับปรุง หนการทางานร่วมกัน และนาข้อมูลที่ได้นาเสนอต่อชุมชน เพื่อมาปรับเปนนข้อมูลหนการออกแบบท่ีถูกต้อง พร้อมกันนั้นตามแผนการดาเนินงานได้มีการวางเกณ ฑ์ การวัดและประเมินผลของนิสิตหนรายวิชาควบคู่กันได้ โดยจากการดาเนินงานนิสิตได้ทาการศึกษาจาก การลงพ้ืนที่สารวจจริงหนการกาหนดความต้องการร่วมกับผู้หช้งานพ้ืนที่หนชุมชน และรับทราบถึงสภาพ ปัญหาทเ่ี กิดข้นึ รวมถงึ การนาเสนอแนวทางหนการจดั ทาสอื่ กลางเพอ่ื หช้หนการพฒั นาชุมชน และผูท้ ม่ี ีส่วน เกี่ยวข้อง ทั้ง คณะกรรมการชุมชน เทศบาลขามเรียง และหน่วยงานต้นสังกัด จากการบูรณาการ ทางด้านการเรียนการสอน เปนนการฝึกปฏิบัติการทางด้านวิชาชีพ และการเรียนการสอนหนสถานท่ีจริง และรับทราบถึงโจทย์หนการทางานจริง โดยผ่านการกระบวนการคิดอย่างเปนนระบบ มีการแลกเปลี่ยน เรยี นรหู้ นชัน้ เรยี นเอง และการแก้ปัญหาทางการออกแบบจัดทาส่อื จรงิ รว่ มกบั ผหู้ ช้งาน 4.2 การบรู ณาการรว่ มกับงานวิจัย หนการบูรณาการรว่ มกับงานวิจยั ของโครงการจัดทาหุ่นจาลองชุมชนบา้ นดอนนา จ.มหาสารคาม เพื่อเปนนส่ือหนการพัฒนาพ้ืนที่เชิงวัฒนธรรม สามารถต่อยอดไปสู่งานวิจัยหนการสร้างส่ือกลาง ท้ัง หนุ่ จาลอง และแผนทที่ างวฒั นธรรม สาหรับชมุ ชนอน่ื ๆ ต่อไปได้ เน่อื งจากลกั ษณะของชุมชนสว่ นหหญท่ วั่ 30 36 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

ประเทศจะมีลักษณะของการบริหารจัดการชุมชน รูปแบบของการประกอบอาชีพ กลุ่มอาชีพ สถานท่ี สาคัญตา่ งๆ หนชมุ ชน โดยจัดเปนนหมวดหมู่ท่ีคลา้ ยคลงึ กนั ได้ จึงเปนน จุดเร่ิมต้นหนการศึกษาและปรับหชห้ น บริบทอนื่ ๆ ตอ่ ไป 4.3 บรู ณาการกบั การทานบุ ารงุ ศลิ ปวฒั นธรรม หนการบรกิ ารวิชาการหนคร้ังน้ี สาหรับหนด้านการบูรณาการกับการทานศุ ิลปวัฒนธรรมได้มีการ จุดประกายหนการซักถามต่อชุมชนเช่น ท่ีมา ประวัติความเปนนมาต่าง ๆที่ทาหห้เกิดชุมชนบ้านดอนนา ขึ้นมา แต่ละยุคแต่ละสมัย เปนนอย่างไร ผ่านการเล่าสู่กันฟังจากรุ่นปู่ย่าตายาย จนมาถึงปัจจุบัน เพ่ือหห้ คนหนชุมชนเกิดความรักและหวงแหน และช่วยกันดูแลรักษาพ้ืนที่ของตนเองมากข้ึน รวมถึงการกาหนด พน้ื ท่ีเช่ือมโยงกับพื้นที่ทางวัฒนธรรม/แหล่งเรียนรหู้ นชุมชน เช่นศาลปู่ตา สะดือหรอื หลกั เมืองของชุมชน กลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น กลองยาว ทาเส่ือกก ขนมจีน ปลาร้า ไก่ชน เปนนต้น สิ่งเหล่าน้ีจะแสดงหห้เห็นว่า ชมุ ชนมิได้เปนน เพียงแคท่ ่ีพักอาศัย แตย่ ังเปนนพื้นทีท่ ่สี รา้ งความสมั พันธร์ ะหวา่ งกนั ความสามคั คี ความเชื่อ ความศรทั ธา สรา้ งอาชพี ประกอบกับศิลปวัฒนาธรรมที่จรรโลงจติ หจหหก้ บั คนหนชุมชนสืบไป 5. ผลลพั ธ์จากการดาเนนิ โครงการ 5.1 ขอ้ คน้ พบตามวัตถุประสงค์ การศกึ ษาสภาพแวดล้อมหนชมุ ชนบ้านดอนนา พบว่า ลักษณะ ชุมชนเปนนท่ีราบลุ่ม หนหมู่บ้านประกอบด้วยสถานที่สาคัญคือ โรงเรียนบ้านดอนนา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บ้านดอนนา ดอนปู่ตา ปู่ขุนสอน วัดโพทาราม วัดป่าดอนหนาด เปนนต้น รวมไปถึงกลุ่มอาชีพเสริมท่ี น่าสนหจหนหมู่บ้าน เช่น กลุ่มทาเสื่อกก กลุ่มกลองยาว กลุ่มเล้ียงปลา กลุ่มเลี้ยงไก่ชน กลุ่มทาขนมจีน กลุม่ ทาปลาร้า กลุ่มทาเครื่องจักรสาน และปราชญ์ชาวบา้ น เปนนต้น จากการสารวจลงพนื้ ที่เบอ้ื งต้น และ สมั ภาษณ์จากตัวแทนของหมู่บา้ น พบลักษณะปัญหาและความต้องการเช่น ทางชมุ ชนมีความต้องการท่ี จะพัฒนาแนวคันดิน และบริเวณโดยรอบแหล่งน้ากุดคาฮิง หห้เปนนแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม และการ ทอ่ งเท่ียวทางน้า ซึ่งประกอบไปด้วย สวนเกษตรพอเพียง สวนปา่ สมุนไพร ศูนยก์ ารเรียนร้ทู างอาชีพของ ชุมชน ตลาดนัดชาวบ้าน สวนอาหารลอยน้า ฯลฯ มีความต้องการจะที่สร้างรางระบายน้ารอบหมู่บ้าน เน่ืองจากประสบปัญหาน้าท่วมขังทุกปี แต่ยังกาหนดตาแหน่งท่ีจะนาน้าไปปล่อยไม่ได้ และการสร้างผัง ชมุ ชน โดยแนวทางการจดั ทาหุน่ จาลองของชมุ ชน สามารถสร้างหนุ่ จาลอง และแผนทท่ี างวัฒนธรรมตาม เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 31 37

สภาพภูมิประเทศได้จริง โดยผ่านการพิจารณาจากสภาพแวดล้อม และความต้องการหนด้านต่างๆ ร่วมกับทางชุมชน ทาหห้ได้สื่อกลางท่ีสามารถสื่อสารข้อมูลของทางชุมชนได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถหช้งานจริงต้อไปได้ และหนโครงการบริการวิชาการน้ียังได้เปนนจุดเริ่มต้นหนกระบวนการการ แก้ปัญหาจากสภาพแวดล้อมและการทางานจริง เปนนแหล่งเรียนรู้ท่ีมีชีวิตสาหรับนิสิตหนหลักสูตร สถาปัตยกรรมภายหน ทั้งยังได้แง่มุมผ่านการลงพ้ืนท่ีการซักถามการสัมภาษณ์จากท้ังชาวบ้านหนชุมชน หกล้มหาวิทยาลัย หห้เกิดการแลกเปล่ียนองค์ความรู้ ระหว่างชุมชนกับนิสิตหนสาขาวิชาชีพได้เปนนอย่างดี และสามารถเกดิ เครือขา่ ยหนการร่วมมอื เพ่ือสงั คมตอ่ ไป 5.2 ข้อค้นพบอ่ืนๆนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ (Impact) ในแต่ละระดับ ระดับสังคมและ ชุมชน หนการดาเนนิ โครงการ นบั ไดว้ า่ เปนน จดุ เริ่มต้นหนการท่ีสถาบนั การศกึ ษามสี ว่ นเชอื่ มโยงและเปนน สื่อ เช่ือมระหว่างชุมชน และหน่วยงานหนการกากับดูแลเข้าไว้ด้วยกัน ทาหห้เกิดกระบวนการผลักดันจาก ระดับชุมชน ไปยังระดับนโยบาย และการกาหนดงบประมาณ ได้แก่หน่วยงานทางเทศบาลตาบลขาม เรยี ง ซึ่งมีชุมชนหนสงั กัด 22 หมู่บ้าน โดยการนาเสนอผลงานของนิสิตตอ่ ชุมชนได้มีตัวแทนสภาเทศบาล และอื่นๆ เข้าร่วมเพื่อรับทราบถึงวิธีการหช้งานสื่อกลางที่นิสิตมอบหห้ สามารถนาไปปรับหช้งานหนการ ประชุมปรึกษาหารอื เพอ่ื หาแนวทางพฒั นาพืน้ ทหี่ นชมุ ชน รวมถึงสามารถนาไปเปนน ตัวอยา่ งหนการปรบั หช้ หนกบั ชมุ ชนอ่นื ตอ่ ไปได้ 6. บทสรุปของโครงการ การจัดทาโครงการบรกิ ารวิชาการ โครงการจัดทาหุ่นจาลองชุมชนบ้านดอนนา จ.มหาสารคาม เพ่ือเปนนส่ือหนการพัฒ นาพื้นท่ีเชิงวัฒ นธรรมเปนนจุดเร่ิมต้นของการทางานร่วมกันระหว่าง สถาบันการศึกษา และชุมชน มงุ่ เน้นหห้นิสิตหนหลักสตู รสถาปตั ยกรรมภายหน ได้ศึกษาสภาพปัญหาและ หาแนวทางการแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนหนทางวิชาชีพ เปนนโจทย์นอกห้องเรียนที่ได้รับการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ระหว่างนิสิตและชุมชน และองค์กรท้องถิ่น ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมจริง การ สังเกต การสรุปข้อมลู จากความต้องการจริงและปลูกฝงั หห้นิสิตหช้พลังความร้เู พ่ือประโยชน์แก่สังคมรอบ ขา้ ง ดังปณิธานของมหาวิทยาลัยได้กลา่ วไวว้ ่า “ผมู้ ีปญั ญาพงึ อยู่เพอ่ื มหาชน” 32 38 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 33 39

โครงการการสรา้ งตวั ตนของคนทงุ่ กลุ าร้องไหผ้ า่ นนทิ านพน้ื บา้ นและการเลา่ นทิ าน ปี 3 วยพุ า ทศศะ, ดจุ ตะวนั อินศร, นติ กิ าญจน์ เสนาะเมือง, คนั ธพร ช่างประเสริฐ, ทวพี งษ์ สบื วัฒนะ และ ก่อกิจบุญ ฟคู า หลกั สตู รภาษาอังกฤษ คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โครงการหน่ึงหลักสตู รหน่งึ ชุมชน 1. ความเปน็ มาของปัญหา นิทานพ้ืนบ้านเปนนมรดกทางวัฒนธรรมอันล้าค่า เน่ืองจากนิทานพ้ืนบ้านเหล่านี้หห้ทั้งความบันเทิงแลสาระ ความร้ดู ้านวถิ ีชวี ิต ศาสนา ความเชื่อ ประเพณี วฒั นธรรมที่ แทรกมาหนนิทาน และยังหห้ข้อคิดดีๆ ที่ผู้ฟังสามารถนามา ประยุกต์หช้หนชีวิตจริงได้ นิทานหนพื้นท่ีทุ่งกุลายังไม่มีการ รวบรวม หรอื นามาประยุกตห์ ชไ้ มว่ ่าจะเปนน ดา้ นการเรยี นการ สอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนภาษาอังกฤษหนโรงเรียนหนแถบชุมชนทุ่งกุลาร้องไห้ โครงการนี้ เปิด โอกาสหห้นิสิตท่ีเรียนภาษาอังกฤษได้มีประสบการณ์หนการลงพ้ืนท่ี เพื่อสารวจ รวบรวมนิทานพื้นบ้าน แล้วนานิทานพ้ืนบ้านมาคัดเลือก ดัดแปลง หห้เหมาะสมกับการแสดง การแปลนิทานพื้นบ้านเปนน ภาษาอังกฤษที่สามารถนามาหช้ประกอบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้ เม่ือเสร็จสิ้นโครงการคาดว่า จะได้ชุดนิทานพื้นบ้านจากทุ่งกุลาฯ ท้ังท่ีเปนนต้นฉบับจากการสัมภาษณ์จากปราชญ์พ้ืนบ้าน และฉบับท่ี พร้อมทจ่ี ะนามาแสดง หรอื นามาสอนภาษาองั กฤษ หลังจากทไ่ี ด้ชุดนทิ านพนื้ บ้านแล้ว ชุมชนทุ่งกุลาร้องไห้มอี าณาเขตกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดไดแ้ ก่ จังหวัดรอ้ ยเอ็ด มเี นื้อ ที่ทั้งหมด 986,807 ไร่ได้แก่ พื้นที่บางส่วนของอาเภอเกษตรวิสัย 390,600 ไร่จานวน 7 ตาบล อาเภอ สุวรรณภูมิ 247,000 ไร่ อาเภอปทุมรัตต์ 162,207 ไร่และอาเภอโพนทราย 186,600 ไร่ จานวน 7 ตาบล จังหวัดมหาสารคาม มีเน้ือที่ทั้งหมด 193,890 ไร่ได้แก่ พ้ืนท่ีบางส่วนของอาเภอพยัคฆภูมิพิสัย จานวน 5 ตาบล จังหวัดสุรินทร์ มีเน้ือท่ีท้ังหมด 575,933 ไร่ ได้แก่ พ้ืนท่ีทั้งหมดของอาเภอท่าตูม 175,593 ไร่จานวน 2 ตาบล อาเภอชุมพลบุรี 400,400 ไร่จานวน 7 ตาบล จังหวัดยโสธร พ้ืนที่บางส่วน ของอาเภอมหาชนะชัย 3 ตาบล และอาเภอค้อวัง 3 ตาบล มีเนื้อที่ 64,000 ไร่ จังหวัดศรีสะเกษ พื้นท่ี ท้งั หมดของอาเภอราษีไศลจานวน 10 ตาบล มีเน้ือที่ทง้ั หมด 287,000 ไร่ (http://www.tungkula.watsri.net/?page_id=62) หนปีงบประมาณ 2557 และ 2558 ได้ดาเนินการไปรวมสี่ชุมชนหนจังหวัดร้อยเอ็ดและ มหาสารคาม ซึ่งยงั ไมส่ ามารถแสดงตัวตนของคนทุ่งกลุ าร้องไห้ได้ หนปีงบประมาณ 2559 คณะกรรมการ 34

จึงมีความเห็นว่าจาเปนนต้องขยายพ้ืนที่เพิ่มอีกสองชุมชนหนจังหวัดศรีสะเกษ และ สุรินทร์ ได้แก่ ชุมชน หมบู่ า้ นบ้านผ้ึง ต. หนองแค อ. ราษีไศล จงั หวัดศรสี ะเกษ และ หมู่บา้ น บา้ นบงึ หมู่ที่ 9 ตาบล ดอนแรด อาเภอ รตั นบรุ ี จังหวัด สรุ นิ ทร์ ซึ่งทง้ั สองชุมชนเปนนส่วนหนงึ่ ของพ้ืนที่ทุ่งกลุ าร้องไห้และได้ทาการสารวจ ความต้องการของท้ังสองหมู่บ้านเปนนที่เรียบร้อย การดาเนินงานท่ีผ่านมาสองปีติดต่อกันมีปัญหาและ อุปสรรคบ้างแต่ทุกปัญหาก็สามารถแก้ไขได้ เช่นปัญหาอาจารย์หนหลักสูตรไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรม โครงการหนภาคสนาม ก็สามารถแก้ปัญหาโดยหห้อาจารย์เหล่าน้ันได้ช่วยหนเร่อื งการเตรียมการก่อนการ ลงพื้นท่ีภาคสนาม และร่วมกันสรุปและวิจารณ์และตรวจสอบข้อมูล พร้อมท้ังหห้ข้อคิดเห็นหนเรื่องการ เขียนบทความทางวิชาการหลังโครงการสิ้นสุดลง ส่วนหนชุมชนไม่มีปัญหาอะไรเนื่องจากการลงพื้นท่ี ภาคสนามเปนนความตอ้ งการของชมุ ชนอยแู่ ล้ว หนการดาเนินการโครงการปีที่สามซึ่งเปนนปีสุดท้าย ไดร้ บั ความร่วมมือจากวิทยากรจากโครงการ ปีท่ีหนึ่ง (พ.ศ. 2557) คืออาจารย์ ไพจิตร วสันตเสนานนท์ จากบ้านเมืองบัว อาเภอเกษตรวิสัย จังหวัด รอ้ ยเอ็ด และอาจารย์เจริญศรี ชนิ รัตน์ จากบ้านเมืองเตา อาเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ซ่ึง ไดร้ บั คาเชิญหห้เปนน วทิ ยากรหนพ้ืนทหี่ นจงั หวดั สุรินทร์และศรีสะเกษด้วย 2. วตั ถุประสงค์หลัก 1. เพื่อรวบรวมและจัดทาชุดความรู้เก่ียวกับนิทาน พนื้ บ้านหนพ้นื สองหมบู่ า้ นหนชมุ ชนทุง่ กุลาร้องไห้ 2. เพื่อพัฒนาบทเรียนภาษาอังกฤษด้วยนิทาน พื้นบ้านสาหรับนักเรียนประถมศึกษาหนหมู่บ้านชุมชนทุง่ กุลา รอ้ งไห้ 3. กระบวนการในการดาเนินการ ก า ร ด า เนิ น ง า น เริ่ ม ต้ น ด้ ว ย ก า ร ก า ห น ด พื้ น ที่ ห น การศึกษา และสารวจความต้องการ จากการสารวจพบว่า ผู้นาชุมชนท้ังสองแห่งมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สาหรับเด็กปฐมวัยก่อนอนุบาลท้ังสองแห่ง และมีความ ต้องการหห้มีการหห้ความรู้หนด้านเทคนิคการพัฒนาเด็กเล็กด้วยนิทานพื้นบ้านและศิลปะการเล่านิทาน ผู้นาชุมชนท้งั สองแหง่ ยังไดแ้ จง้ ว่ามีปราชญ์พ้ืนบ้านอาวุโสหนแต่ละชมุ ชนทย่ี ังสามารถเล่านิทานพื้นบ้านท่ี ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรษุ พอสมควร หลังจากที่โครงการได้รับอนุมัติ หัวหน้าโครงการได้มีการ ประชุมและอบรมนิสิตที่ร่วมโครงการหนเรื่องประวัติความเปนนมา อบรมวิธีการเล่านิทานสาหรับเด็กเล็ก การสัมภาษณป์ ราชญ์พ้ืนบา้ นเพือ่ รวบรวมนิทานพื้นบ้านมาคัดเลือก ดดั แปลง แล้วฝกึ เล่านทิ าน หลังจาก 35 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 41

น้ัน ได้นัดหมายวนั เวลาหนการลงพ้ืนทภ่ี าคสนาม โดยการตดิ ตอ่ ผู้นาชุมชนหห้จดั เวลาหนการเลา่ นิทานและ เวลาหนการรว่ มเวทีการแบ่งปันนิทานพน้ื บา้ น และการสัมภาษณ์ปราชญ์รายบุคคล เมอ่ื ได้นิทานพื้นบ้าน มาแล้วนิสิตจะคัดเลือกนิทานพื้นบ้าน แล้วนามาดัดแปลง ฝึกเล่า แล้วแปลเปนนภาษาอังกฤษ และทา หนงั สอื ภาพสองภาษาเพื่อนาไปมอบหห้ศูนยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ โรงเรียนหนชุมชนเปนนต้น 4. ข้อค้นพบจากโครงการ 4.1 ขอ้ คน้ พบจากการรวบรวมนิทานพน้ื บ้าน จากการรวบรวมนทิ านพนื้ บ้านไดค้ ้นพบว่าหนชุมชนทงั้ หกแหง่ มีนทิ านพื้นบ้านจานวนมาก มีการ เล่าเรื่องท้ังที่เปนนประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน และนิทานพ้ืนบ้าน นิทานพ้ืนบ้านท่ีปราชญ์พื้นบ้านเล่าแบ่งกลุ่ม เปนน สามกล่มุ กลุ่มท่ีหนึ่งเปนนนิทานพ้ืนบ้านและเร่ืองเล่าที่เก่ียวกับทุ่งกุลาร้องไห้ ได้แก่เร่ือง ผีหัวแสง เรื่อง การต้มเหลือสมัยโบราณ เร่อื งเจา้ พอ่ ศรีนครเตา เปนนต้น กลุ่มท่ีสองเปนนนิทานพื้นบ้านท่ัวไป แต่ปราชญ์พื้นบ้านได้เช่ือมโยงมาเปนนนิทานทุ่งกุลาร้องไห้ เช่นเรื่อง เต่าหามหงส์ ซ่ึงเปนนนิทานชาดกนอกนิบาต แต่ผู้เล่าก็บอกว่าเต่ามาจากหนองน้าหนทุ่งกุลา รอ้ งไห้ และหงส์ก็อพยพมาจากเมืองเวยี งจนั ทน์เปนน ต้น กลุ่มท่ีสามเปนนนิทานพ้ืนบ้านท่ัวไป ท่ีปราชญ์พ้ืนบ้านหช้เล่าเพ่ืออบรมสั่งสอนบุตรหลานหห้ ประพฤตปิ ฏบัติตนหนทางที่ดงี ามตามความเชอื่ และประเพณขี องท้องถิ่น เชน่ นิทานเรื่องศีลขอ้ เดียวกร็ วย ได้ นิทานเรื่องทาไมชา้ งจงึ งวงยาว เปนน ตน้ 4.2 ข้อค้นพบเกี่ยวกบั เทคนิคการเล่านิทาน นักเล่านทิ านพ้นื บ้านซึ่งเปนนผอู้ าวุโสจะมวี ิธีการเล่า นิทานท่ีสนุกสนาน มีการแทรกภาษิตอีสานหรือผญาเข้าไป มีการเล่าด้วยการหช้ภาษาท่าทาง มีการนา ผู้ฟังมามีส่วนร่วม มีการทาหห้เร่ืองเล่ามีความน่าเช่ือถือโดยการหช้ชื่อคนหนพ้ืนที่หนเรื่อง แต่ก็ได้รับการ กาชบั วา่ ไม่ควรนาชอ่ื เหลา่ นัน้ มาเผยแพร่เพราะบางทา่ นทกี่ ลา่ วถึงกย็ ังมชี วี ติ อยู่ มีการเชือ่ มโยงสถานทเ่ี กดิ เรื่องหหเ้ กดิ ขน้ึ หนพ้นื ท่ี จริง เปนน ตน้ 5. การบรู ณาการกับภารกจิ หลักดา้ นอื่นๆ 1) การบริการวิชาการแก่สังคม มีการนานิสิตหห้มีส่วนร่วมหนการจัดโครงการ ซ่ึงนิสิตมี หน้าที่เปนนผชู้ ่วยหนโครงการ ดังนั้นการจัดโครงการน้ีได้เปิดโอกาสหห้นิสิตได้นาความรู้ท่ีเรียนมาถ่ายทอด ต่อกับผู้เข้าร่วมโครงการ ซึ่งถือว่าเปนนการบริการวิชาการอีกวิธีหน่ึง ระหว่างการจัดโครงการมีการ ประเมินโครงการโดยหช้แบบสอบถาม ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการได้ระบุว่าเปนนโครงการที่ดีและมีประโยชน์ ส่งเสริมการเรียนรู้เปนนอย่างมาก อยากจะหห้มีโครงการลักษณะเช่นน้ีอีก และทางหลักสูตรฯ ได้วางแผน กนั วา่ จะขอทนุ สนบั สนนุ โครงการน้ีหนงบประมาณปถี ดั ไป 36 42 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

2) การนาไปใช้กับการเรียนการสอน รหสั วชิ า ชอื่ รายวชิ า ลกั ษณะกจิ กรรมท่นี ามาบรู ณาการกบั การเรยี นการสอน 0105 416 Independent Types of the folktale , How to collect folktales, Study in Types of Storytelling, Storytelling Techniques, Collecting 0105 409 Literature folktales from reading, interviewing storytellers Selecting stories from folktale collections for performances, Children’s How to translate folktales Literature Practice translating folktales from students’ own collections Introduction to the art of picturebooks, Practice analyzing picturebooks, Sharing of myth, legends, fairy tales, folktales, fables, Make picturebook layouts, Select a story for picturebook, Hand-in all assignment—plus picturebook ideas, layouts, Complete picturebook in groups ผลสาเร็จหนการบรู ณาการโครงการกับการเรยี นการสอนเปนน ท่นี า่ พงึ พอหจมาก เนอื้ หาท่ีทาการ อบรมนสิ ิตหนโครงการนส้ี อดคล้องกับเนอื้ หาที่หช้หนการอบรมเร่ืองของนิทานพ้นื บ้าน การรวบรวมนิทาน พืน้ บ้าน การคัดเลือก การดัดแปลงนิทาน การแปลนิทาน และการเล่านิทาน นิสิตได้นาความร้ทู ่ีเรียนหน หอ้ งเรยี นมาหชห้ นการนากิจกรรมกลุ่มของนักเรยี นระดับประถมศกึ ษาและมัธยมศกึ ษา สาหรับนิสิตท่เี รียน วชิ าวรรณกรรมสาหรับเด็ก นิสิตไดเ้ ปนน พเื่ ลี้ยงนักเรียนหนเรอื่ งการวาดภาพประกอบนทิ านพื้นบ้าน ดังน้ัน การที่นิสิตได้รับการฝึกฝน ปฏิบัติด้วยตนเอง รวมท้ังยังได้ถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชนจึงทาหห้นิสิตสามารถ เรยี นรแู้ ละเขา้ หจเนอื้ หาบทเรยี นได้ดยี ิ่งข้ึน และคาดว่าจะสามารถนาไปหช้หนการประกอบอาชพี หนอนาคต ไดด้ ว้ ย 3) การนาไปใช้กับการวิจัย การจัดโครงการนี้ ทาหห้นิสิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสิต EG ได้นา ทักษะการลงพื้นท่ีภาคสนามไปหช้หนการทาโครงการ Senior Project ซึ่งเปนนการวิจัยเบื้องต้น ส่วน อาจารย์สามารถต่อยอดได้ด้วยการนานิทานพ้ืนบ้านท่ีรวบรวมได้มาวิเคราะห์หนทางคติชนวิทยาได้ สาหรับนิสิตวิชาเอกภาษาอังกฤษจากคณะศึกษาศาสตร์ท่ีเรียนวิชา 0105409 Children’s Literature ซ่ึงเปนนวิชาบังคับ นิสิตได้มีโอกาสสืบค้นหานิทานพ้ืนบ้านด้วยตนเอง แล้วนามาคัดเลือก ขัดเกลา ดดั แปลง และเขยี นเปนนหนงั สอื ภาพ ซึ่งเปนน สว่ นหน่ึงของการเรยี นการสอน 4) การนาไปใช้กบั การทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม การจัดโครงการนี้เพื่อหห้ผู้เข้ารว่ มโครงการ มคี วามรคู้ วามเขา้ หจเรอ่ื งความหมาย ความสาคัญของการอนรุ ักษส์ ืบสานนิทานพ้ืนบ้าน ซึ่งเปนน แหล่งรวม 37 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 43

มรดกทางวฒั นธรรมไวไ้ ด้ การท่ีนิสิตไดเ้ ล่านิทานหห้เดก็ ประถมและมัธยมศึกษาก็เปนน การปลูกฝงั ความรัก ความหวงแหนหนมรดกทางวัฒนธรรม ซ่ึงนับเปนนการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรมโดยตรง การท่ีนิสิตและ อาจารย์ได้พบปราชญ์พ้ืนบ้านทาหห้ท่านมีความภูมิหจหนความรู้ ความสามารถหนการเล่านิทาน และมี กาลังหจทจ่ี ะช่วยทาหนา้ ทถี่ า่ ยทอดศิลปะการเล่านทิ านและนทิ านพื้นบ้านด้วย 5) ประโยชน์และสร้างคุณค่าต่อสถาบัน การจัดโครงการนี้เพื่อหห้ผู้เข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ นสิ ิตทีม่ ีสว่ นร่วมหนกิจกรรมมีความรคู้ วามเข้าหจเรอ่ื งนทิ านพืน้ บา้ น การเล่านทิ าน และ การอนุรักษ์ สืบสานนิทานพ้นื บ้าน และเม่อื ได้เล่านทิ านหห้เด็กๆ ฟัง และไดเ้ ห็นความสุขของผ้ฟู ัง จะเปนน การสร้างความมนั่ หจหหก้ ับนิสติ นับเปนน การสรา้ งความภูมหิ จต่อสถาบนั ของตนเองอกี รปู แบบหน่ึง 5. ผลลัพธจ์ ากการดาเนนิ งานโครงการ ข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์สองประการคือ เพื่อรวบรวมและจัดทาชุดความรู้เก่ียวกับนิทาน พื้นบ้านหนพ้ืนสองหมู่บ้านหนชุมชนทุ่งกุลาร้องไห้ ขณะนไี้ ด้รวบรวมนิทานพื้นบ้านเกือบเสร็จสนิ้ แล้ว และ กาลังจัดทาชุดความรู้เก่ียวกบั นิทานพ้ืนบ้านหนพ้ืนที่หกชมุ ชนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557, 2558, และ 2559 ซึ่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนส้ินปี และจะได้เผยแพร่ต่อไปตามแผนการดาเนินงาน และเพื่อพัฒนาบทเรียน ภาษาองั กฤษโดยหช้นิทานพ้ืนบา้ นและเรือ่ งเลา่ หนทุ่งกลุ ารอ้ งไหเ้ ปนนวตั ถุดิบ ก็จะเสรจ็ สน้ิ หนเดือนธันวาคม เช่นกัน 6.บทสรปุ โครงการ โครงการการสร้างตัวตนของคนทุ่งกุลาร้องไห้ผ่านนิทานพ้ืนบ้านและการเล่านิทาน ปี 3 ซึ่ง ดาเนินการโดยหลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิตสาขาภาษาอังกฤษ ภาควิชาภาษาตะวันตกและภาษาศาสตร์ ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการหน่ึงหลักสูตรหนึ่งชุมชนมหาวิทยาลัยมหาสารคามประจาปี พ.ศ. 2559 โดยได้ดาเนินงานโดยคณาจารย์และนิสิตท่ีเรียนสองรายวิชาหนสังกัดภาควิชาภาษาตะวันตกและ ภาษาศาสตร์ คือรายวิชา 0105412 : การศึกษาอิสระทางวรรณคดี และวิชา 0105407 : วรรณกรรม สาหรับเด็ก หนภาคเรียนท่ี 1/2558 และรายวิชา 0105416 การศึกษาอิสระทางวรรณคดี และวิชา 0105407 : วรรณกรรมสาหรับเด็ก หนภาคเรียนที่ 1/2559 การดาเนินงานได้ทามาตามแผนทุกประการ กล่าวคือ ได้ลงพื้นที่ภาคสนาม นานิสิตเล่านิทานหห้เด็กเล็กหนชุมชนฟัง ได้รวบรวมนิทานพ้ืนบ้านมาจน เกือบครบแล้ว ได้คัดเลือกนิทานเพ่ือนามาแสดง มาแปลเปนนภาษาอังกฤษ มาสร้างเปนนบทเรียน และ นามาทาหนังสือภาพ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายหนสิ้นปี 2559 ได้สารวจความพึงพอหจผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหน โครงการ และสรุปคร่าวๆ ว่าผู้ร่วมกิจกรรมมีความประทับหจกับกิจกรรมต่างๆ อยูห่ นระดับดี และ ดีมาก ส่ิงท่ีควรตอ่ ยอดตอ่ ไปคอื การจัดหาทุนเพ่อื พมิ พ์ชดุ ความรแู้ ล้วนาไปเผยแพร่ต่อไป 38 44 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

โครงการบรหิ ารจดั การวิสาหกจิ นา้ ดมื่ ชมุ ชนบา้ นหนิ ปูน ตาบลเขวาใหญ่ อาเภอกันทรวชิ ัย จังหวัดมหาสารคาม นวลละออง อรรถรังสรรค์ และคณะ สาขาวชิ าการจดั การ คณะการบัญชีและการจัดการ โครงการหนง่ึ หลกั สูตรหนง่ึ ชมุ ชน 1. ความเป็นมาของปัญหา สืบเนื่องจากหนปี พ.ศ. 2554 ท่ีเกิดอุทกภัยขึ้น ส่งผลหห้หลายพ้ืนท่ีหนประเทศไทย ประสบกับ อทุ กภัย ซึ่งอุทกภัยหนครั้งนั้น รฐั บาลจีนไดช้ ่วยเหลือโดยมอบเครอ่ื งกรองน้าดื่มแกร่ ัฐบาลไทย เพ่ือนามา แจกจา่ ยแกช่ มุ ชนทป่ี ระสบอุทกภยั ดงั น้นั ทางจังหวัดมหาสารคามได้พิจารณาถึงชมุ ชนทไ่ี ด้รับผลกระทบ อย่างหนัก โดยได้พิจารณาหห้เคร่ืองกรองน้าด่ืมแก่ 2 ชุมชน คือ ชุมชนบ้านหินปูน และชุมชนแก่งโกสุม โดยทางพัฒนาชุมชนจังหวัด พร้อมด้วยบริษัทเครื่องกรองน้าด่ืมได้นาเคร่ืองมาติดต้ังหห้หมู่บ้านหินปูน และแนะนาการหช้งานเคร่ืองกรองน้าดื่ม ซ่ึงชาวบ้านหช้เคร่ืองได้ระยะหน่ึงเท่าน้ัน เนื่องด้วยเครื่องจะ ทางานประมาณ 5 นาที และเคร่ืองจะตัดโดยอัตโนมัติ ทางผู้หหญ่บ้านได้แจ้งปัญหาน้ีต่อพัฒนาชุมชน จงั หวัด แต่เนื่องจากทางหน่วยงานรฐั ไมม่ ีช่างหนการดูแล จึงไม่ได้มีการแก้ไขหดๆ ซ่ึงเคร่ืองถูกทง้ิ ไว้ ต่อมา หนปี 2558 เกิดภาวะภัยแรงเกิดข้ึนทาหห้น้าขาดแคลน และน้าด่ืมมีราคาแพง ประกอบกับปัจจบุ ันน้าฝน ไม่สะอาด เจือปนสารเคมีทาหห้ไม่สามารถนามาบริโภคได้ ทาหห้ชาวบ้านเกิดความคิดที่อยากจะการผลิต น้าดื่มหนชุมชนเนื่องจากชุมชนมีเคร่ืองกรองน้าด่ืม (ข้อมูลจากนางละออง คาเหลา และนายสาราญ ศรี ทรัพย์) ทางชุมชนจึงขอความช่วยเหลือเพื่อแกป้ ัญหาการขาดแคลนนา้ ด่ืมท่ีสะอาดหนชุมชน ดงั นั้น คณะ อาจารย์สาขาวชิ าการจัดการ คณะการบัญชีและการจัดการ ร่วมมือกับทางชุมชน จึงเสนอโครงการ การ บริหารจดั การวสิ าหกิจน้าดมื่ ชมุ ชนบา้ นหินปูน ตาบลเขวาหหญ่ อาเภอกันทรวิชยั จงั หวัดมหาสารคามขึ้น เพอื่ เปนนการหห้บริการวชิ าการ และเปนนการช่วยเหลอื ชุมชนทปี่ ระสบปัญหา 2. วัตถุประสงค์ของโครงการ 1) เพ่ือจัดตั้งวิสาหกิจน้าดื่มชุมชนบ้านหินปูน ตาบลเขวาหหญ่ อาเภอกันทรวิชัย จังหวัด มหาสารคาม 2) เพื่อสร้างการเรียนรู้แบบบูรณาการร่วมกันระหว่างอาจารย์ นิสิต และชุมชนบ้านหินปูน โดยการนาหลกั การการจัดการธุรกิจขนาดย่อมเข้าเรียนรู้รว่ มกันหนชมุ ชนบ้านหินปูน ผ่านการเรียนรกู้ าร จัดตง้ั วสิ าหกิจนา้ ดม่ื ชุมชนบ้านหนิ ปูน 39

3. แนวคดิ และทฤษฎีทใี่ ช้แนวคิดการมสี ่วนร่วม การมีส่วนร่วม (Participation) หมายถึง ผลมาจากการเห็นพ้องกันหนเรื่องของความต้องการ และทศิ ทางของการเปลี่ยนแปลง และความเห็นพ้องต้องกัน จะต้องมีมากจนเกิด ความคิดรเิ ริ่มโครงการ เพ่ือการปฏิบัติ เหตุผลเบ้ืองแรก ของการที่มีคนมารวมกันได้ ควรจะต้องมีการตระหนักว่าปฏิบัติการ ทั้งหมดหรือการกระทาท้ังหมดที่ทาโดยกลุ่ม ดังน้ัน กลุ่มจะต้องเปนนเสมือนตัวนาหห้บรรลุถึงความ เปลยี่ นแปลงได้ (ยุพาพร รูปงาม. 2545, 5) ขณะท่ี Erwin (อ้างอิงหน ยุพาพร รูปงาม. 2545, 6) ได้หห้ความหมาย การมีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการหห้บุคคลเข้ามามีส่วนเก่ียวข้องหนการดาเนินงานพัฒนา ร่วมคิด ตัดสินหจ แก้ไขปัญหาด้วย ตนเอง เน้นการมีส่วนร่วมเก่ียวข้องอย่างแข็งขันของบุคคล หนการแก้ไขปัญหาร่วมกับการหช้วิทยาการที่ เหมาะสม และสนับสนุนตดิ ตามการ ดาเนินงานของกลมุ่ และบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง สานักงานคณะกรรมการกองทนุ หมู่บา้ นและชมุ ชนเมอื งแห่งชาติ, สานกั งานสภาสถาบันราชภัฎ และทบวงมหาวิทยาลัย ได้หห้ความหมาย การมีส่วนรว่ ม หมายถึงการที่ประชาชนหรอื ชุมชนสามารถเข้า ไปมีส่วนหนการตัดสินหจ หนการกาหนด นโยบายพัฒนาท้องถิ่น และมีส่วนร่วมหนการรับประโยชน์จาก บริการ รวมท้ังมีส่วนหน การควบคุมประเมินผลโครงการต่าง ๆ ของท้องถ่ิน นอกจากนี้ยังได้หห้ ความหมายของ การมีส่วนร่วมว่ามี 2 ลักษณะ คือ (1) การมีส่วนร่วมหนลักษณะที่เปนนกระบวนการของ การพัฒนา โดยหห้ประชาชน มีส่วนร่วมหนการพัฒนาตั้งแต่เร่ิมด้นจนสิ้นสุดโครงการ ได้แก่ การร่วมกัน ค้นหาปัญหา การวางแผน การดัดสินหจ การระดมทรัพยากรและเทคโนโลยีท้องถ่ิน การบริหารจัดการ การคดิ ตามประเมินผล รวมทัง้ รบั ผลประโยชนท์ ี่เกดิ ขน้ึ จากโครงการ และ (2) การมีส่วนร่วมทางการเมือง แบ่งออกเปนน 2 ประเภท คือ การส่งเสริมสิทธิและพลังอานาจของพลเมืองโดยประชาชน หรือชุมชน พัฒนาขีดความสามรถของตนหนการจัดการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่ม ควบคุมการหช้และการ กระจายทรัพยากรของชุมชนอันจะก่อหห้เกิดกระบวนการ และ โครงสร้างท่ีประชาชนหนชนบทสามารถ แสดงออกซึ่งความสามารถของตนและได้รับ ผลประโยชน์จากการพัฒนา (สีสะหวัน วงศ์กะตัญญู. เวบ็ ไซต์) หนการดาเนินโครงการฯ มีการดาเนินการตามหลักการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action) ประกอบด้วยทีมอาจารยจ์ ากคณะการบญั ชแี ละการจัดการ รวม 5 คน ทีมชมุ ชนประกอบด้วย ผ้หู หญบ่ ้าน ผู้ช่วยผู้หหญ่บ้าน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตาบลเขวาหหญ่ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจา หมู่บ้าน และชาวบ้านบ้านหินปูน รวม 18 คน และนิสิตท่ีลงพ้ืนที่ช่วยหนการเก็บข้อมูล เรียนรู้ ร่วม กิจกรรมต่างๆ โดยทีมอาจารย์ และทีมชุมชนได้มีส่วนร่วมกนั หนกาหนดกิจกรรมต่างๆ หนการดาเนนิ งาน หนโครงการ โดยผ้ดู าเนินหลกั คือ ชุมชน ส่วนทีมอาจารย์จะเปนนผู้ประสานงาน และอานวยความสะดวก ตา่ งๆ หนการดาเนนิ งาน 40 46 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

4. การดาเนินโครงการ โครงการฯ มีการดาเนินการตามหลักการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action) มีขั้นตอน หนการดาเนินการ แบง่ ออกเปนน 3 ระยะ ดงั น้ี 4.1 ขนั้ เตรียมการ ทีมอาจารย์ร่วมกับทีมชุมชนมีการจัดประชุมเตรียมความพร้อม และสร้างความเข้าหจต่อ วัตถปุ ระสงค์โครงการฯ และรายละเอยี ดหนการดาเนินงาน เบื้องตน้ ไดม้ กี ารวางแผนการดาเนนิ งาน ประกอบดว้ ย 4.1.1 การวางแผนซอ่ มแซมเครอื่ งกรองน้าของชุมชน 4.1.2 การวางแผนดา้ นเงนิ ทนุ ทจี่ ะนามาหชห้ นการซ่อมแซม 4.1.3 การวางแผนการสรา้ งตราสินค้าของนา้ ดื่มชุมชน 4.1.4 การวางแผนการจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนเพอื่ ผลิตน้าด่ืม 4.1.5 การวางแผนการจัดการอบรมการสร้างมาตรฐานโรงเรือนท่ีดี หลักเกณฑ์การ ปฏบิ ตั กิ าร และกระบวนการผลิตที่ดี ตามมาตรฐานอาหารและยา และ GMP 4.1.6 การวางการดาเนนิ งานดา้ นการตลาด 4.1.7 การวางแผนการจัดอบรมการบัญชี 4.2 ขัน้ ดาเนนิ การ วสิ าหกิจชุมชนเพอ่ื ผลิตนา้ ด่มื การดาเนินกิจกรรมหนโครงการการบริหารจัดการวิสาหกิจน้าด่ืมชุมชนบ้านหินปูน ตาบลเขวาหหญ่ อาเภอกันทรวิชัย จะดาเนนิ การ ดังนี้ 4.2.1 การจัดเวทีประชาคมหมู่บ้าน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดาเนินงาน ต้ังแต่ การซ่อมแซมเครื่องกรองน้า จัดตั้งโรงงานผลิตน้าด่ืมของชุมชน รูปแบบการจัดต้ังโรงน้า คณะกรรมการดาเนนิ งาน และการจดั หาสมาชกิ 4.2.2 การจัดการประสานความรว่ มมือ หนการซ่อมแซมเครื่องกรองน้าของชุมชน ทาง ทีมอาจารยไ์ ด้ทาหนงั สอื ขอความอนุเคราะห์จากทางคณะการบญั ชีและการจดั การถึงผจู้ ดั การศูนย์หนงั สอื ซง่ึ เปนน หนว่ ยงานที่ดูแลโครงการสถานปฏบิ ัตกิ ารผลติ นาดืม่ ยนู ิเพียว เพอื่ ขอความอนุเคราะหค์ าแนะนาหน การทาโรงงานผลิตน้าด่ืม การช่วยซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องกรองน้า การวางระบบการทางานของระบบ กรองน้า และการอบรมการหช้เครื่องมือแก่สมาชิกของชุมชนท่ีทาหน้าที่ดูแลเคร่ืองกรองน้า ซ่ึงทาง ผู้จัดการศูนย์หนังสือได้อนุเคราะห์หห้คุณพิศิษฐ์ ไชยชาติ และคุณหมอน สมบัติหอม มาหห้คาปรึกษา แนะนา และช่วยวางระบบเคร่อื งกรองน้า ซ่งึ หลงั จากทคี่ ุณพศิ ษิ ฐ์ ไชยชาติ และคุณหมอน สมบัตหิ อม ได้ ตรวจเช็คเครือ่ งไดซ้ ่อมแซมเครื่องกรองน้าของชมุ ชน และไดแ้ นะนาหห้สมาชกิ บา้ นหนิ ปนู ถึงระบบเครอื่ ง กรอกน้า รวมท้ังอุปกรณ์ท้ังระบบว่ามีส่วนประกอบหดบ้าง ซึง่ จะต้องมีการจัดหาอุปกรณ์เพ่ิมเติม เพ่ือหห้ 41 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 47

สามารถดาเนินงานผลิตน้าเพื่อจาหน่ายหนชุมชนบ้านหนิ ปูน และพื้นที่หกล้เคียง ซ่ึงสมาชิกบ้านหินปูนได้ หช้อาคารท่ีดาเนินงานของหมบู่ ้าน มาปรับเปนนอาคารเพื่อผลติ น้าดื่ม และดาเนินการจัดหาอปุ กรณ์ต่างๆ เพือ่ การผลติ นา้ 4.2.3 หนการวางเปา้ หมายของชมุ ชนที่ตอ้ งการโรงงานผลติ น้า ด่ืมหนชมุ ชน เพ่อื หห้มนี ้าสะอาดดืม่ หนชมุ ชน นอกจากน้ี ทางชุมชนยงั ม่งุ หวงั วา่ จะ จดั ตั้งโรงงานผลิตน้าด่ืมหนชุมชน เพื่อจาหน่ายเปนนการสร้างอาชีพเสริมหห้คนหน ชุมชน จึงได้ดาเนินงานไปจดทะเบียน จัดต้ังเปนน วสิ าหกิจชุมชนผลิตนา้ ด่ืมบ้าน หินปูน โดยมีนายคาพอง ศรีสอน เปนนประธานวิสาหกิจชุมชนผลิตน้าด่ืมบ้าน หินปูน และมีการประชุมเพ่ือต้ังคณะกรรมการดาเนินงาน และแบ่งหน้าท่ีการ ดาเนินงานขึ้นหนวิสาหกจิ ชุมชนผลติ น้าดืม่ บ้านหนิ ปนู นอกจากน้ี หน การจะผลิตน้าเพ่ือจัดจาหน่าย จะต้องมาตรฐานความสะอาด ทาง ทีมอาจารย์ และทีมชาวบ้านได้ดาเนินงานติดต่อยังหน่วยงาน สาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม เพื่อขอเคร่ืองหมายอาหารและยา (อย.) ซึ่งหนการขอเคร่ืองหมาย อย. จะมีเจ้าหน้าที่ของสาธารณสุข จงั หวดั มหาสารคามมาตรวจสอบโรงงานผลิตนา้ ดมื่ ว่ามีการจัดตง้ั ถูก ตั้งตามข้อกาหนดของสาธารณสุขหรอื ไม่ ซ่งึ ผลจากการตรวจสอบได้ ผ่านเกณฑ์ และเมื่อนาน้าดื่มไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนาผลน้าด่ืมท่ีผ่านการตรวจสอบ ไปย่ืนพร้อมเอกสารประกอบ ต่างๆ ยังสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม หลังจากการพิจารณา จึง ได้ เคร่อื งหมาย อย. 4.2.4 การดาเนินงานด้านเงินทุนที่จะนามาหช้จัดต้ังโรงงานน้าด่ืม หนระยะเร่ิมต้นทีม ชาวบ้านและอาจารย์ได้ปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกบั เงินลงทนุ โดยผลสรุป ได้มีการระดมทุน กันหนหมู่สมาชิก และได้นาเงินบางส่วนจากกิจกรรมของชุมชน เช่น รา้ นค้าชุมชน ซ่ึงต่อมาได้มีนโยบาย ของรัฐท่ีช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย ได้หห้ประชาชนย่ืนโครงการเสนอของบประมาณเพื่อนามา 42 48 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”

พฒั นาชุมชน โดยผู้หหญบ่ ้าน นางละออง คาเหลา ไดย้ ่ืนเสนอโครงการและไดร้ ับทุนสนับสนุนการดาเนิน โครงการวิสาหกิจชมุ ชนผลติ น้าด่มื บา้ นหินปูน 4.2.5 การจัดเวทีประชาคมหมู่บ้าน เพ่ือระดมความคิดเห็นของชาวบ้านหห้ช่วยกันคิด ต้ังช่ือตราสินค้าหห้กับน้าดื่มของชุมชน โดยนานิสิตเข้ามามีส่วนร่วมหนการเรียนรู้หนการสร้างตราสินค้า ของชุมชน โดย ดร.อนริ ุทธิ์ ผงคลี ได้ดาเนินการหห้ชาวบ้านมีส่วนสาคัญหนการกาหนดชื่อตราสินค้า และ ลกั ษณะของตราสินค้า โดยได้ชื่อตราสินค้า คอื “ฮกั แฮง” และมีสโลแกน คือ “กลัน่ จากใจ รกั ใครให้ฮัก แฮง” นอกจากน้ี ได้มีการกาหนดขนาดของผลิตภัณฑ์ โดยเร่ิมแรกจะจาหน่ายน้า 2 ขนาด คือ น้าขวด ขนาด 600 มิลลิลิตร ราคาโหลละ 45 บาท และน้าถัง ขนาด 18.9 ลิตร ถังละ 8 บาท (เปนนราคาขายส่ง ราคาปลีก ถงั ละ 12 บาท) 4.2.6 การจดั การอบรมการสร้างมาตรฐานโรงเรือนท่ดี ี หลักเกณฑ์การปฏิบัติการ และ กระบวนการผลิตท่ีดี ตามมาตรฐานอาหารและยา และ GMP หลังจากที่มีการขออนุญาตจากทาง สาธารณสุขเรยี บร้อยแล้ว ก่อนดาเนนิ การจาหน่ายจรงิ ได้มกี ารจัดอบรมหหค้ วามรู้ เพื่อหห้ผู้ปฏิบตั ิงานหน โรงผลิตน้าได้ปฏบิ ตั ติ ามตามมาตรฐานอาหารและยา และ GMP โดยได้เชญิ วิทยาการจากทางสาธารณสุข มาอบรมหห้ ณ บ้านหนิ ปนู 4.2.7 การดาเนินงานด้านการตลาด ไดด้ าเนินการตลาดโดยหช้กลยุทธ์แบบปากตอ่ ปาก โดยจะเมื่อมงี านบุญ งานประจาปี งานที่ตาบล/อาเภอ จะมีการน้าด่มื ไปช่วยหนงาน เปนน การโฆษณาสินค้า หห้เปนนที่รู้จักหนอาเภอกันทรวิชัย โดยหห้จะมีการขายหห้กับสมาชิกชุมชน และมีการส่งขายหห้กับร้านค้า ชุมชน ทั้งท่ีบา้ นหินปูน และบ้านต่างๆ ท่ีอยู่หกล้เคยี ง นอกจากนี้ ยังเชิญชวนหห้สมาชิกชุมชน ที่สนหจทา อาชีพเสรมิ คอื มารบั นา้ ดมื่ ไปขายตอ่ ยงั ทีต่ า่ งๆ เปนน รายได้เสริมหห้กับสมาชกิ ของบ้านหินปูน 43 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม” 49

โดยหนส่วนของรายได้ที่ได้จากการดาเนินงานส่วนหนึ่งหช้เปนนเงินหมุนเวียน อีกส่วน เปนนเงินสะสมเพื่อปันผลประโยชน์หห้กับสมาชิกของวิสาหกิจชุมชนผลิตน้าด่ืมบ้านหินปูน และเพื่อเปนน สวัสดิการของชุมชนบา้ นหนิ ปนู นอกจากนี้ หนรายวชิ า นโยบายธรุ กิจและการจัดการเชิงกลยทุ ธ์ ได้จัดกิจกรรมหหน้ ิสิต ได้มีสว่ นร่วมหนการนาเสนอกลยุทธ์ทางการตลาดหห้กับชุมชน โดยสมาชกิ ของชุมชนจะเปนนผู้คัดเลือกกล ยุทธ์ที่เหมาะสมไปปรับหช้หนการดาเนินการกลยุทธ์การตลาดของน้าดื่มชุมชน เช่น นิสิตแต่งเพลงเพ่ือ โฆษณาน้าด่ืม โดยหหเ้ ปิดเวลาที่รถน้าไปส่งน้าด่ืม เพือ่ ดึงความสนหจ และสร้างการรับรู้หหแ้ ก่ประชาชนหน ระแวกทร่ี ถน้าผา่ น เปนน ตน้ 4.2.8 ทีมอาจารย์ได้จัดอบรมบัญชีหห้กับบุคคลที่ทาหน้าท่ีทาบัญชีวิสาหกิจชมุ ชนผลิต น้าด่ืมบ้านหินปูน และการอบรมเรื่องการจัดซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์หห้กับบุคคลท่ีจะทาหน้าที่หนควบคุมส ต๊อกสนิ คา้ และจัดซื้อ โดยนานสิ ติ เข้ามาช่วยเปนนพเ่ี ล้ียงหนระหว่างการอบรม 4.2.9 การเปดิ การดาเนนิ งานวสิ าหกจิ น้าดมื่ ชมุ ชน 4.3 ข้ันติดตามและสรปุ ผล การจัดเวทีประชาคมคนื ความรสู้ ชู่ ุมชน และจัดทารายงานสรุปผลการดาเนนิ งาน 5. ผลการการดาเนินโครงการ ผลการการดาเนนิ โครงการฯ ชมุ ชนบา้ นหินปูน สามารถรว่ มกันหนการจดั ตัง้ วิสาหกิจชมุ ชนเพ่ือ ผลิตน้าด่ืมบา้ นหินปูนข้นึ โดยมีระบบการทางานท้ังการวางระบบการบญั ชี ระบบการผลิตตามมาตรฐาน และระบบการตลาด โดยสมาชิกของชุมชนได้มีส่วนร่วมหนการแสดงความคิดเห็น ได้ช่วยกันลงมือปฏิบัติ จนกระทั่งสามารถจาหน่ายได้จริง โดยมีการจาหน่ายน้าด่ืม 2 ขนาด คือ น้าบรรจุขวดขนาด 600 มิลลิลิตร และน้าบรรจุถัง ขนาด 18.9 ลิตร โดยได้รับเคร่ืองหมายมาตรฐานการผลิต อย. จากกระทรวง สาธารณสุข และจัดจาหน่ายภายหต้ตราสินค้า ภายหต้ชื่อ “ฮักแฮง” ได้ดาเนินการตลาดหนพ้ืนท่ีชุมชน บ้านหินปูน และชุมชนรอบๆ พื้นที่ รวมถึงหนอนาคตมีการวางแผนที่จะติดต่อเพ่ือจาหน่ายหห้หน่วยงาน ของรัฐ เชน่ องค์การบริหารสว่ นตาบล และอาเภอ เปนนต้น 44 50 เอกสารประกอบการนำ�เสนอผลงานในงานการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 12 : สาขาบริการวิชาการแก่สังคม”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook