Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4 ประการ : หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก

ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4 ประการ : หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก

Description: เป็นหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน 4 อย่าง บ้างเรียกว่า หัวใจเศรษฐี "อุ อา กะ สะ" อาจเรียกสั้น ๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ.

Search

Read the Text Version

ทฏิ ฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ หนังสอื สอนพระพทุ ธศาสนาแกเ่ ดก็ นายจบั๊ อึง๊ ประทีป แต่ง ได้รับพระราชทานรางวัล ช้ันท่ี ๑ ในการประกวดประจำ�พทุ ธศักราช ๒๔๗๖

“…บัณฑิตท้ังหลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูง ย่อม ปรารถนาทจ่ี ะด�ำ เนนิ ชวี ติ อยา่ งมเี กยี รติ มศี กั ดศ์ิ รี และมคี วามภาคภมู ใิ จ อย่างเต็มเปยี่ ม ในหน้าท่กี ารงานของตน ความปรารถนาดงั กลา่ วจะเปน็ จรงิ ได้ มไิ ดข้ น้ึ อยกู่ บั ปจั จยั อน่ื ใด นอกจากตัวบัณฑิตเองเท่าน้นั ท่จี ะต้องประกอบอาชีพการงาน เล้ยี งตัว ในทางท่ีดีที่ถูกต้อง กล่าวคือแต่ละคนจะต้องละเว้น การทำ�มาหา เล้ียงชีพท่ีเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบ และที่เป็น การเบียดเบียนผู้อื่น เบียดบังส่วนรวม ทำ�ลายประโยชน์สุขของสังคม และชาติบา้ นเมอื ง

เมอ่ื หลกี เลย่ี งละเวน้ ได้ กจิ การงานทท่ี �ำ กจ็ ะเปน็ ไปในทางสจุ รติ ถูกต้อง เป็นธรรม ทง้ั อ�ำ นวยผลเปน็ ประโยชน์ เปน็ ความดคี วามเจรญิ แกบ่ คุ คลและสว่ นรวมสมบูรณพ์ ร้อม…” พระราโชวาท สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในพธิ พี ระราชทานปรญิ ญาบัตรแกผ่ ู้สำ�เรจ็ การศึกษาจาก มหาวทิ ยาลัยทักษิณ ประจ�ำ ปกี ารศึกษา ๒๕๕๖ ณ มหาวิทยาลัยทักษณิ จงั หวดั สงขลา วันอังคาร ท่ี ๒๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๘

พระพทุ ธสิหงิ คใ์ นพระท่นี ่งั พุทไธศวรรย์

คำ�น�ำ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี มพี ระ- ราชประสงค์ท่ีจะให้เด็กไทยสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น จึงมีพระราชบัญชาให้คัดเลือกหนังสือท่ีชนะการประกวดหนังสือ สอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รชั กาลท่ี ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์พระราชทานใน งานพระราชพิธีวิสาขบูชา นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๑ มาจัด พมิ พ์ใหม่ เพอื่ พระราชทานใหแ้ ก่โรงเรยี นและหอ้ งสมดุ ตา่ ง ๆ สำ�นักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยาม- บรมราชกมุ ารี ไดค้ ดั เลอื กหนงั สอื ทไ่ี ดร้ บั พระราชทานรางวลั ชน้ั ท่ี ๑ พุทธศักราช ๒๔๗๖ เรื่อง ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ ซง่ึ แตง่ โดย นายจบ๊ั อง๊ึ ประทปี มาจดั พมิ พใ์ หม่ ไดป้ รบั ปรงุ รปู แบบ ท�ำ เชิงอรรถการสะกดค�ำ และมภี าพประกอบ เพื่อให้น่าสนใจและ เหมาะแก่เด็กและเยาวชนมากย่ิงข้ึน ส่วนเน้อื หาสาระคงไว้ตาม ตน้ ฉบบั เดมิ หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ หนงั สอื นจ้ี ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ เดก็ เยาวชน และผู้สนใจท่ัวไป สมตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเทพ- รตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี สำ�นักงานโครงการ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี พุทธศกั ราช ๒๕๕๘



สารบัญ บทนำ� ๙ บทที่ ๑ - ประโยชน์ปัจจบุ ัน ๑๙ ทิฏฐธัมม์ข้อ ๑ - ความหมนั่ ๒๕ ทิฏฐธัมม์ข้อ ๒ - การรกั ษา ๓๙ ทิฏฐธมั ม์ข้อ ๓ - การคบเพื่อนที่เป็นคนดี ๕๗ ทิฏฐธัมม์ข้อ ๔ - การเลี้ยงชีวิตตามก�ำ ลงั ทรพั ย์ทีห่ าได้ ๖๙



ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ (ประโยชนใ์ นปจั จบุ นั ) บทน�ำ (คำ�แถลง :- บทน้ีมุ่งไปในทางที่จะสอนเด็กให้เข้าใจและ ใหเ้ ชือ่ มั่นในกรรมเสียแตต่ น้ ว่าทำ�ดไี ดด้ ี ทำ�ชั่วได้ชั่ว ตามพระราช- ประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่ีได้ทรงชี้แจงไว้ใน หนังสือสาสนคุณ พ.ศ. ๒๔๗๒) 9

เยน็ วนั อาทติ ยว์ นั หนง่ึ เดก็ ชายละเอยี ดก�ำ ลงั นง่ั อา่ นหนงั สอื อยู่หน้าเรือน พอเงยหน้าข้ึน ก็เห็นหลวงเจริญกิจศึกษาผู้เป็นลุง เดินกลับจากธุระ จึงรีบวางหนังสือลง ออกไปรับลุงด้วยความดีใจ โดยเรว็ ครน้ั เหน็ ลงุ อาบน�ำ้ ช�ำ ระเหงอ่ื ไคล และเปลย่ี นเครอ่ื งแตง่ ตวั มาน่ังพักตากลมอยู่ท่ีริมระเบียงเรือนแล้ว จึงตรงเข้าไปหา นั่งลง ข้าง ๆ และถามว่า “คุณลุงขอรับ๑ วันอาทิตย์คุณลุงหยุด ไม่ต้อง ไปทำ�งาน ผมรู้สึกดีใจที่จะได้อยู่คุยกับคุณลุงตลอดวัน แต่คุณลุง กไ็ ปธรุ ะเสียทไี่ หนเสมอ ๆ ผมรสู้ กึ เหงาเหลือเกิน” ลงุ ไปวดั ฟังเทศนม์ านะ่ คุณลุงไปไหน ทกุ วนั อาทติ ยค์ รับ หลวงเจรญิ เหลยี วไปดู แล้วตอบว่า “ไปวดั นะ่ ซี หลาน ไป ฟงั เทศนเ์ พอ่ื อบรมใจ ใหส้ งบไมฟ่ งุ้ สรา้ น๒วนุ่ วาย เจา้ บน่ วา่ เหงาหรอื ถ้าเช่นน้ันคราวหลังลุงจะพาเจ้าไปวัดด้วย จะได้ฟังพระท่านเทศน์ สั่งสอนให้เป็นคนดตี ่อไป” ๑ ครับ ๒ ฟ้งุ ซา่ น 10

เด็กชายละเอยี ดท�ำ หนา้ เบ้แสดงอาการเบือ่ และบอกลุงว่า “ผมท้อใจเสียแล้วครับ ไปฟังเทศน์ทีไรเป็นน่ังสัปหงก หรือบางที ก็น่ังหลับทุกคราว เพราะฟังไม่รู้เร่ืองว่าท่านสอนอะไรบ้าง ท่าน อธบิ ายแตห่ วั ขอ้ สงู ๆ และยากเกนิ กวา่ ทผ่ี มจะเขา้ ใจได้ ผมจงึ ไมร่ เู้ รอ่ื ง และรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน คราวไหนท่านยกนิทานมาเล่าและอ้าง เป็นตัวอย่างส่ังสอน คราวนั้นแหละผมค่อยรู้สึกเพลิดเพลินสนใจ และจดจ�ำ ไดแ้ มน่ ย�ำ หนอ่ ย แตโ่ ดยมากมกั มหี วั ขอ้ ตา่ ง ๆ ซบั ซอ้ นกนั มากมาย ไมร่ วู้ า่ จะจ�ำ อยา่ งไรถกู พอลกุ ขน้ึ จากทน่ี ง่ั กล็ มื หมด เสยี เวลา ที่ไปนั่งฟัง หลังขดหลังแข็งเปล่า ๆ สู้นอนท่องหนังสืออยู่กับบ้าน ก็ไมไ่ ด้ มรรคหมายถึงอะไร ผมสงสยั นกั ครบั ? ว่าทำ�ไมพระทา่ น จงึ เอาแต่หวั ขอ้ มรรค ๆ ผล ๆ อะไรกไ็ ม่รู้ ขน้ึ มาเทศน์ส่ังสอน ผมทำ�ตามไมไ่ ด้ และมองไมเ่ หน็ ว่า มันจะมีประโยชน์ทต่ี รงไหนเลย 11

ทา่ นบอกใหท้ �ำ ไป ๆ จะไดไ้ ปบงั เกดิ บนสวรรคช์ น้ั อะไรตอ่ อะไร ผมก็จำ�ไม่ได้ ใครบ้างท่ีเคยเห็นว่ามีสวรรค์อยู่ท่ีไหน มีก่ีช้ันต่อ กช่ี น้ั กนั และคนทท่ี �ำ บญุ ท�ำ ทานไว้มาก ๆ ตายแล้วจะเป็นอย่างไร จะไปเกิดบนสวรรค์จริงหรือไมก่ ็ไม่รู้ เมอ่ื ไมเ่ หน็ ผลจริง ๆ จึงทำ�ให้ คนบางคนเกิดความท้อถอย เบ่ือการฟังเทศน์ ทำ�ไมพระท่านมีแต่ คำ�สอนอย่างน้ันอย่างเดยี วหรอื ขอรับ” ลงุ ยมิ้ และกลา่ ววา่ “ดแี ลว้ ลุงจะอธิบายใหเ้ จา้ ฟัง เจา้ อย่า เพ่อ๓ไปติเตียนพระท่านเลย คำ�ส่ังสอนเหล่านั้น หาใช่คำ�ส่ังสอน ของท่านเองไม่หรอก เป็นคำ�ส่ังสอนของพระพุทธเจ้าแทบท้ังส้ิน เจ้าก็คงรู้เร่ืองราวมาบ้างแล้วว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นลูกพระเจ้า- แผน่ ดนิ ในประเทศอินเดีย เป็นคนช่างคิดมาแต่เลก็ ๆ เห็นวา่ คน เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย มีความทุกข์ความลำ�บาก ปะปนอยู่กับความสุขเสมอ ท่านอยากจะพ้นจากความทุกข์ และ มีความสุขท่ีแท้จริงแต่อย่างเดียว ท่านจึงทิ้งสมบัติและลูกเมียเสีย ออกไปบวชและคดิ หาวธิ แี กท้ กุ ขอ์ ยใู่ นปา่ เพราะเปน็ ทเ่ี งยี บไมม่ ใี คร รบกวน ๓ พ่งึ 12

ทา่ นอตุ ส่าห์ค้นหาอย่ถู ึง ๖ ปี จงึ คิดเห็นได้วา่ ทํ�ำ ดี ท�ำํ ชั่ว ความสขุ และความทกุ ข์ต่าง ๆ นัน้ เกิดจากการกระทำ�ของคนเราเอง เป็นความสุข เปน็ ความทกุ ข์ เราท�ำ ดีก็ได้ดเี ปน็ ความสุข เราท�ำ ชวั่ ก็ได้ชว่ั เป็นความทกุ ข์ ตั้งแต่นน้ั ท่านจึงตง้ั หนา้ ท�ำ แตค่ วามดี ไมท่ ำ�ความชว่ั เลย และทา่ นก็รสู้ ึกว่ามีความสขุ ไดจ้ รงิ ทา่ นรแู้ ลว้ จงึ เทย่ี วสง่ั สอนใหค้ นอน่ื ท�ำ ความดตี ามอยา่ งทา่ น บา้ ง เพอ่ื จะไดอ้ ยเู่ ปน็ สขุ สบายไมม่ ที กุ ข์ ค�ำ ทท่ี า่ นเทย่ี วสง่ั สอนให้เรา ทำ�ความดตี ่าง ๆ เหลา่ นี้ เรยี กวา่ พระธรรม พระสงฆผ์ ู้เป็นลูกศษิ ย์ ของพระพุทธเจ้าก็จดจำ�และนำ�มาส่ังสอนพวกเราต่อ ๆ กันมา จนทุกวันน้ี ประเดี๋ยวเจ้าจะกลับไปนึกติพระพุทธเจ้าว่า ท่านสอน อะไรไว้ก็ไม่รู้ ยากเหลือเกิน ถ้าเจ้านึกเช่นนั้น เจ้าก็ยังเข้าใจผิดอยู่ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นเปน็ คนฉลาด เขา้ ใจสง่ั สอนดที เี ดยี ว ใครฉลาดมาก ทา่ นก็สั่งสอนหัวข้อทยี่ าก ๆ ใครที่ฉลาดน้อยหรอื โง่ ทา่ นกส็ อนแต่ ท่ีง่าย ๆ ยกนิทานต่าง ๆ อย่างท่ีเจ้าชอบ มาเปรียบเทียบให้ฟัง อบรมคน ๆ นั้นให้ฉลาดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้วจึงสอนหัวข้อ ทย่ี าก ๆ ต่อไป คำ�สั่งสอนของทา่ นจึงมงี ่ายบ้างยากบ้างตา่ ง ๆ กัน 13

เวลาท่ีพระสงฆจ์ ะมาสงั่ สอนเรา การทำํ�ความดี ทา่ นก็ต้องเลือกดวู า่ จะนำํ�เราไปสู่มรรคผล คำ�สง่ั สอนชะนดิ ๔ไหน จะเหมาะกบั คนฟังส่วนมาก นพิ พานนะลูก ที่เจา้ บน่ วา่ งว่ งนอน เพราะไมเ่ ขา้ ใจน้ัน เห็นจะเป็นคราวท่ที ่าน เลอื กค�ำ สัง่ สอนทีค่ อ่ นข้างยาก มาสอนผู้ใหญซ่ ึง่ ฉลาดบ้างแล้ว ส่วนเจ้ายังเป็นเด็กอยู่ มีความคิดน้อยกว่าผู้ใหญ่ ไปนั่งฟัง อยู่ด้วยจึงเข้าใจได้ยากสักหน่อย ถึงกระน้ันก็ไม่ควรท้อถอย คงมี บางอยา่ งทเ่ี ราพอรเู้ รอ่ื งไดบ้ า้ ง เมอ่ื รอู้ ะไรกค็ อ่ ย ๆ เกบ็ ไวท้ ลี ะนอ้ ย ๆ นาน ๆ เข้าก็รู้มากข้ึนเอง เปรียบเหมือนโอ่งท่ีรองน้ำ�ฝน แม้จะ รองได้ทลี ะหยด ๆ ย่งิ นานกย็ ิง่ มนี �ำ้ มากขึ้นฉะนัน้ “แต่ข้อที่เจ้าบ่นว่า ไม่เห็นมีประโยชน์ที่ตรงไหนนั้น ลุง เหน็ ว่าผิด ลองคิดดใู หด้ เี ถอะ จะเหน็ วา่ ค�ำ สง่ั สอนเหลา่ น้ัน ล้วนแต่ แนะนำ�ให้เราเกลียดชังความชั่ว ให้ทำ�แต่ความดีท้ังสิ้น ถ้าเราเช่ือ คำ�ส่ังสอน และทำ�ตามทุก ๆ อย่างแล้ว เราก็จะได้รับผลดีเสมอ ทุก ๆ คราว บางคราวเราไดร้ ับแลว้ แตเ่ ราคดิ ไปเองวา่ มนั ไมเ่ ปน็ ผลดอี ะไรเลย เชน่ เจา้ ไปนง่ั ฟงั เทศนอ์ ยู่ ใคร ๆ เขาเหน็ เขากจ็ ะตอ้ ง ๔ ชนดิ 14

การทำํ�ช่ัวแมค้ นอื่นไม่รู้ แตเ่ ราก็รู้ตวั เองวา่ ได้ท�ํำ ช่วั ชมว่าเจ้าเป็นเด็กดี เรียบร้อยและน่ารัก แต่เจ้าคงไม่ชอบคำ�ชม เทา่ กบั ขนมหวาน ๆ เปน็ แน่ แทจ้ รงิ ค�ำ ชมเชยทว่ี า่ เจา้ เปน็ เดก็ ดนี น้ั มปี ระโยชน์ มรี าคาย่งิ กวา่ ทองหยิบทองหยอดหรอื ฝอยทองเสยี อกี เวลาเราทำ�ช่ัวเราก็ได้รับผลช่ัวเช่นเดียวกัน เช่นเราไปขะโมย๕เงิน เขามา แม้เจ้าของเขาจะไม่รู้ และจับเราไปลงโทษไม่ได้ก็ตาม แต่ใจของเราก็คงไม่มีสุข ต้องคอยระวังหรือหลบหลีกเขาเสมอ เพราะกลัวเขาจะจับตัวได้ เจ้าคงเห็นละซีว่าแม้มันจะไม่ให้โทษ ทางตรง มนั กล็ งโทษเราทางอ้อม น่เี ป็นตวั อยา่ งทชี่ ใ้ี ห้เจ้าเห็นชดั ว่า เราทำ�ดกี ็ยอ่ มได้รบั ผลดี ทำ�ชว่ั ก็ไดร้ บั ผลช่ัว ทกุ ๆ คนทั้งเดก็ และ ผู้ใหญ่ควรจะเช่ือม่ันในคำ�ส่ังสอนข้อนี้ เพราะมนั จะไดเ้ ตอื นใหเ้ รา หมน่ั ทำ�แต่ส่ิงท่ีดี จะได้รับผลดีคือความสุข สำ�หรับตัวเจ้าเองเจ้า ๕ ขโมย 15

ควรจะยึดข้อน้ีไว้ให้ม่ัน ด้วยเจ้าเป็นเด็กกำ�พร้ามาแต่แดง ๆ เมื่อ เกิดมาได้เจ็ดวัน แม่ของเจ้าก็ตายลง พ่อของเจ้าเสียอกเสียใจ ในไม่ช้าก็ล้มเจ็บและตายลงอีกคนหน่ึง เจ้าต้องพลัดพ่อพลัดแม่ รับความทุกข์ลำ�บากมาแต่เล็ก ๆ นี่ก็คงเป็นเพราะเจ้าได้กระทำ� ความช่ัวไว้แต่ก่อน ๆ (ชาติก่อน) ผลของความช่ัวจึงทำ�ให้เจ้า ได้รับทุกข์เช่นน้นั ภายหลังลุงรู้ จึงไปรับเจ้ามาเล้ยี งไว้ เจ้าจึงค่อย เปน็ สขุ ข้ึนจนทกุ วนั นี้” อยา่ เสยี ใจไปเลยหลาน ถึงอย่างไรลุงก็รกั เจ้าเสมอ หลวงเจรญิ เหน็ หลานน่ังกม้ หนา้ นำ�้ ตาไหล รู้สกึ สงสารเป็น กำ�ลัง จึงเอามือลูบศีร์ษะ๖หลานด้วยความปราณีแล้วปลอบว่า “อยา่ เสยี อกเสยี ใจไปเลยหลาน ลงุ กร็ กั เจา้ เหมอื นกบั พอ่ แมข่ องเจา้ เหมอื นกนั เจา้ จงตง้ั หนา้ ตง้ั ตาเลา่ เรยี นใหเ้ ปน็ ผลส�ำ เรจ็ และพยายาม ๖ ศีรษะ 16

ประพฤติตัวให้ดีเถิด จะได้มีความสุขความเจริญ สามารถเล้ียง ตัวเองได้ในภายหน้า เออ, นก่ี เ็ ยน็ มากแลว้ ไปกนิ ขา้ วกนั เสยี กอ่ นเถอะ ค�ำ่ ๆ ลงุ จะอธิบายเรอื่ งผลของความดีใหเ้ จ้าฟงั ตอ่ ไป” เราไปกินขา้ วกัน ดีกว่านะ 17

คำ� ถาม ประ จ�ำ บท ๑. พระพทุ ธเจา้ ทำ�อยา่ งไร จึงมีความสขุ ไดจ้ รงิ ? ๒. ๓. ทำ�ไมคำ�สั่งสอนของ เหตไุ รคนทุก ๆ คน พระพทุ ธเจา้ จึงงา่ ยบา้ ง จึงควรเชอ่ื วา่ ท�ำ ดไี ด้ดี ยากบ้าง ? ท�ำ ช่วั ได้ชั่ว ? 18

บท๑ท่ี ประโยชน์ ปจั จุบัน ลุงจะอธบิ ายคำํ�สอน ของพระพทุ ธเจา้ ใหเ้ จ้าฟังต่อนะ ครั้นรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วราว ๆ ๑ ชั่วโมง หลวงเจริญจึงเรียกเด็กชายละเอียดเข้าไปน่ังใกล้ แล้วกล่าวว่า “เมอ่ื ตอนเยน็ ลงุ ไดพ้ ดู ถงึ เรอ่ื งค�ำ สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ทแ่ี นะน�ำ ให้เราเกลียดชังความชั่ว และเตือนใหห้ ม่ันท�ำ ความดี จงึ จะไดผ้ ลดี ตอบแทน ผลดีน้ีแหละคือประโยชน์ที่เจ้าต้องการ บางทีเราก็เห็น ประโยชน์นั้น ทันอกทันใจ บางทีก็ไม่เห็นสักนิดเดียว จึงทำ�ให้คน จ�ำ พวกใจรอ้ น เชน่ ตวั ของเจา้ เองเปน็ ตน้ เอะอะโพยพาย๗ไปกอ่ นวา่ ฟงั เทศนไ์ ม่มปี ระโยชน์ ป่วยการไปฟัง เมอ่ื ยหลงั เปล่า ๆ แท้ที่จรงิ ๗ โวยวาย 19

ถา้ เราไปฟงั และจดจ�ำ มาท�ำ ตามใหถ้ กู ตอ้ งแลว้ ยอ่ มมผี ลเสมอ เวน้ แต่ ผลเหล่านนั้ จะเห็นได้ทันตาหรอื ตามมาทีหลงั เทา่ นนั้ เอง ขอพระองคแ์ สดงธรรม โปรดแก่ข้าพระพุทธเจา้ ด้วยเถิด สมยั เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ก�ำ ลงั เทย่ี วสง่ั สอนคนทว่ั ไป เจา้ องคห์ นง่ึ (ในวงศ์โกลิยะ) มีชื่อว่า ทีฆชานุ ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และ ทูลว่าตัวเองไม่ได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ เพราะมีธุระท่จี ะต้องดูแล บา้ นเมอื งเลย้ี งลกู เลย้ี งเมยี และท�ำ การงานอน่ื ๆ เพอ่ื จะหาเงนิ หาทอง มาไว้ใช้ จะฟงั ธรรมท่ีสงู ๆ กค็ งไม่มีประโยชนอ์ ะไรนกั จึงอ้อนวอน ขอให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมท่ีจะเป็นประโยชน์ ช่วยเหลือการ หาเล้ียงชีวิตท่ีทำ�อยู่ทุก ๆ วัน ท้ังเป็นประโยชน์ในภายหน้าด้วย พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงธรรม ๒ จำ�พวก จำ�พวกหน่ึงเมื่อเรา ทำ�ตามแล้วก็มีผลปรากฏชัด อีกจำ�พวกหนึ่งมักจะไปได้รับผลเอา ทีหลัง (ชาติหน้า) ลุงทายใจเจ้าถูกทีเดียวว่า เจ้าคงไม่ชอบธรรม จำ�พวกที่ ๒ เพราะเจ้าเป็นคนใจเร็ว ทำ�อะไรอยากจะได้เห็นผล 20

เห็นประโยชน์ทันที ลุงจึงจะกล่าวแต่ธรรมจำ�พวกแรกเท่าน้ัน ธรรมจำ�พวกนี้มีชื่อว่า ประโยชน์ปัจจุบัน ปัจจุบัน แปลว่าเด๋ียวน้ี หรือทุก ๆ วันนี้ ประโยชนป์ จั จบุ นั จงึ มีความหมายว่า ธรรมทใ่ี ห้ผล เหน็ ทันตา หรอื เหน็ กนั อยู่ทกุ ๆ วนั น้ี ค�ำ ภาษาบาลวี า่ “ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน”์ แลว้ หลวงเจรญิ จึงลุกข้ึนไปหยิบดินสอมาเขียนคำ�ภาษาบาลีนั้นลงบนกระดาษ และชี้ใหห้ ลานดูว่า “บางทีเจา้ จะยังไมเ่ ข้าใจเรือ่ งภาษาบาลี เพราะ ยงั เรยี นนอ้ ยอยู่ เจา้ จงจ�ำ ไวว้ า่ ภาษาบาลี ตวั หนงั สอื เปลา่ ๆ ทีไ่ ม่ไดใ้ ช้ เป็นตัวสะกดการันต์น้ัน เขาอ่านอย่างมีสระอะอยู่ท้ังสิ้น ดังนั้นเรา จึงอ่านคำ�น้ีว่า ทิด-ถะ-ธัม-มิ-กัด-ถะ-ประ-โหยด ดูมันยาวและ จำ�ยากพิลึก เราจะตัดเรียกแต่ส้ัน ๆ ว่า ทิฏฐธัมม์ (ทิด-ถะ-ธัม) ก็ได้ จำ�ง่ายเข้า เจ้าจงหม่ันนึกและท่องให้คล่องปาก จะได้สอน ตัวเองอยู่เสมอว่า ให้หมั่นทำ�ตามทิฏฐธัมม์จะได้รับผลทันอกทันใจ ไมเ่ บอื่ หนา่ ยอกี “ทฏิ ฐธัมม์ ที่พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงนัน้ มี ๔ ประการ คือ ๑. ความหมน่ั ท�ำ การงาน ไมว่ า่ จะท�ำ การคา้ ขาย ท�ำ ราชการ หรอื ท�ำ ธรุ ะหนา้ ทีใ่ ด ๆ ของตน ๒. การรักษาทรัพย์ท่ีหามาได้ ไม่ให้เป็นอันตราย หรือ รักษาการงานของตัว ไม่ใหเ้ สอ่ื มเสียไป ๓. การคบคนดเี ป็นเพอื่ น ๔. การเลี้ยงชีวิตตามกำ�ลังทรัพย์ท่ีหามาได้ ไม่ให้ฝืดเคือง หรอื ฟุ่มเฟอื ยนกั 21

๑. ขยนั หา ๒. เลย้ี งชวี ิต พอเพยี ง ๔. รกั ษาดี ๓. มี กัลยาณมติ ร พระพุทธเจ้าส่ังสอนธรรม ๔ ประการน้ี ก็เท่ากับท่านให้ หลักเลี้ยงชีวิตแก่พวกเรา เราทำ�อะไรก็ต้องเดินตามหลักนี้เสมอ จึงจะไม่พลัดหลงไปทางอ่ืน ท้ังประสพ๘แต่ความสุขสำ�ราญ และ ความเจริญทุก ๆ ประการ นีน่ ับวา่ ท่านมบี ุญคุณ พุทโธ เม นาโถ แก่เรามากมาย พระพุทธเจา้ เปน็ ท่ีพง่ึ ของผม เราจึงควรเคารพ บูชา กราบไหว้ และนกึ ถึงพระคณุ ของท่านเสมอ ถา้ เราท�ำ จรงิ ๆ ใจเราก็จะเป็นสขุ และคิดอยากท�ำ ดตี ามเรอ่ื งท่ที ่านสงั่ สอนมากข้นึ ๘ ประสบ 22

ลุงอธิบาย ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ พอเป็นราง ๆ แล้ว อยา่ ลมื เสยี จ�ำ ค�ำ ทต่ี กั เตอื นไวใ้ หด้ ี วนั นไ้ี ปอาบน�ำ้ เตรยี มตวั นอนเสยี แตห่ วั ค�ำ่ พรุ่งนี้จะไดต้ นื่ แต่เชา้ ๆ ลงุ จะไดม้ เี วลาอธิบายให้เจ้าเหน็ ชดั เจนเปน็ ขอ้ ๆ ตอ่ ไป” อรหัง สมั มา สมั พุทโธ ภควา... เด็กชายละเอียดคลานถอยออกมา ด้วยความเคารพ แล้ว ไปอาบนำ้�ตามคำ�ลุงบอก ก่อนนอนนึกถึงคำ�ตักเตือนของลุงได้ จึง นงั่ พนมมือเรียบร้อย แลว้ กราบลงทีห่ มอน ใจระลกึ ถงึ พระคุณของ พระพุทธเจ้า แล้วนอนคิดถึงเร่ือง ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ท่ีลุง อธบิ ายให้ฟังจนม่อยหลบั ไป 23

คำ� ถาม ประ จ�ำ บท ๑. เราทำ�ความดีแล้ว ไปไดร้ ับผลเมอ่ื ไร ? ๒. ๓. ประโยชน์ปจั จบุ นั ท�ำ ไมจงึ ให้นึกถงึ ภาษาบาลีวา่ กระไร ? ‘ประโยชนป์ จั จบุ นั ’ เสมอ ? ๔. กอ่ นนอน เราไหวพ้ ระทำ�ไมกนั ? 24

ทขฏิ ้อฐธมั ๑ม์ ความ หมั่น จํำ�ไดค้ รบั เมื่อวานนล้ี งุ พูดเรอ่ื งอะไร จ�ำํ ได้ไหม หลวงเจริญต่ืนข้ึน เห็นหลานกำ�ลังอ่านหนังสือรออยู่แล้ว รสู้ กึ ยนิ ดเี ปน็ อนั มาก ชวนหลานไปนง่ั คยุ ในสวนหลงั บา้ น แลว้ ถามวา่ “เม่ือวานนี้ลุงพูดถึงเรื่องอะไร เจ้าจำ�ได้ใหม๙” เด็กชายละเอียด ตอบว่า “จำ�ได้ขอรับ คุณลุงพูดถึงเรื่องทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ท่ี ใหผ้ ลปจั จบุ นั เขาเรียกแตส่ นั้ ๆ ว่า ทฏิ ฐธมั ม”์ ลุงย้ิมและชมหลานว่า “ดีมาก เจ้ายังไม่ลืม ทีนี้ลุงจะ ขยายความของทิฏฐธัมมใ์ ห้เจา้ ฟังตอ่ ไป แต่ลงุ จะอธิบายทั้ง ๔ ขอ้ ในเช้าน้ีก็คงไม่มีเวลาพอ บางทีเจ้าจะรู้สึกรำ�คาญและจำ�ได้ยาก ลุงจงึ จะอธิบายแตค่ ราวละขอ้ ๆ เจา้ จงตงั้ ใจฟังให้ดี ๙ ไหม 25

“ทิฏฐธัมม์ ข้อ ๑ คือความหมั่น ท่ีภาษาบาลีเรียกว่า อฏุ ฐานสมั ปทา อุฏฐานถ้าจะแปลตรง ๆ ก็วา่ ลุกขนึ้ เพราะฉะนัน้ การที่เจ้าตื่นแต่เช้าวันน้ีจะเรียกว่า เจ้าได้ทำ�ตามคำ�สอนข้อนั้นก็ ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกนัก เพราะไม่ใช่หมายความว่าลุกขึ้นอย่างเดียว บางคนลกุ ขน้ึ จนสาย ลกุ ขน้ึ แลว้ นง่ั เลน่ เฉย ๆ ขเ้ี กยี จไมย่ อมท�ำ อะไร จะไปเอาผลมาจากไหน ต้องหมั่นทำ�งานด้วย จึงจะได้ประโยชน์ ตามตอ้ งการ อุฏฐานสัมปทา จงึ ตอ้ งแปลจ�ำ กัดความลงไปใหช้ ัดว่า ‘ความหมั่น’ ความหมั่นมีอยู่ ๒ ทาง คือทางหน่ึงหม่ันทำ�ความดี อีกทางหน่ึงหม่ันทำ�ความชั่ว ถ้าเราหม่ันทำ�ความชั่ว ก็คงไม่มี ประโยชน์แน่นอน กลับจะได้รับความทุกข์ความลำ�บากเข้าอีก เพราะเราท�ำ ความชว่ั กไ็ ดผ้ ลทช่ี ว่ั ดงั กลา่ วมาเมอ่ื วานนแ้ี ลว้ เราจงึ ตอ้ ง หมั่นทำ�แต่การงานที่ดีอย่างเดียว การงานชะนิดน้ี มีตัวอย่างเช่น การเลา่ เรยี น, การค้าขาย, การชา่ งต่าง ๆ, การรับราชการท้ังฝ่าย ทหารและฝ่ายพลเรือน ถึงแม้งานนั้นจะดี ไม่มีโทษแล้วเราก็ต้อง รู้อกี ว่า ควรทำ�เวลาไรจงึ จะเหมาะ ควรท�ำ ทไ่ี หนจึงจะไดผ้ ลดี เช่น พ่อคา้ ขายผา้ ตอ้ งรู้จักว่า เวลาน้ีเปน็ ฤดูอะไร ซ้ือเสอื้ กันฝน ฤดฝู นก็ต้องขายเสอื้ กนั ฝน ไหมครบั ฤดูรอ้ นกต็ อ้ งหาเส้อื ผา้ โปร่ง ๆ บาง ๆ มาขาย จึงจะมีคนซ้ือ ไม่ใช่หาเส้ือสกั หลาดหนา ๆ มาใส่รา้ นไว้ 26

รา้ นทีข่ าย ถา้ ไปตัง้ อยใู่ นป่าในดง จะมีใครเขาจะไปซื้อ ต้อง ตง้ั อยู่ในท่ที ี่มีคนอยมู่ าก ๆ จึงจะขายดี การคา้ ขายก็ไมใ่ ชส่ กั แต่วา่ ซ้ือของมาใส่ร้านไว้เต็ม ๆ แล้วน่ังขายไปเท่าน้ัน ต้องหมั่นตรวจดู ราคาสนิ คา้ วา่ จะขน้ึ หรอื ลงอยา่ งไร เราควรจะขายเทา่ ใดจงึ จะเหมาะ ตอ้ งคอยหม่ันตดิ ต่อกบั คนอน่ื ๆ จะได้รู้วา่ เขาชอบ เขาต้องการของ ส่ิงไหนมาก เราจึงไปซ้ือมาขาย เช่นน้ีเป็นต้น การค้าขายของเรา จงึ จะเจรญิ เพราะความหมน่ั “ผทู้ ี่จะท�ำ การช่างตา่ ง ๆ เปน็ ต้นวา่ ชา่ งเงนิ , ชา่ งทอง, ชา่ ง เหลก็ , ชา่ งไม้ เหลา่ นก้ี ต็ อ้ งถอื ความหมน่ั เปน็ สง่ิ ส�ำ คญั เชน่ เดยี วกนั , ของท่ีส่งั ไวเ้ สร็จ ตายแน.่ .! เวลามคี นเขามาจ้างให้ทำ�อะไร หรอื ยงั ? จะมาเอาทํำ�ไมตอนนี้ ก็ตอ้ งรีบท�ำ ใหเ้ ขาตามกำ�หนด ถา้ ไมห่ ม่นั ทำ� ปลอ่ ยทิง้ ไว้ เวลาเขามาเอาของ ไมไ่ ดต้ ามตอ้ งการ เขากย็ ่อมโกรธและติเตยี น คราวหลงั เขากไ็ ม่มาว่าจ้างใหท้ ำ�อีก ผลประโยชนท์ ่ีจะได้กเ็ สียไป ถึงเวลาว่างก็ต้องหมั่นหัดทำ�อยู่เสมอจึงจะมีความชำ�นาญ ทำ�ได้คล่องแคล่ว ทั้งยังต้องหมั่นคิดแก้ไขทำ�ให้ฝีมือในการช่าง ชะนิดน้ันดแี ละเจรญิ ข้นึ ไปทุกที ๆ อกี 27

“ส่วนผู้ที่ไม่ได้ค้าขาย ไม่ได้ทำ�งานของตัวเอง เช่นพวก ลูกจ้างตามห้างร้านต่าง ๆ และพวกท่ีรับราชการเป็นทหาร หรือ เปน็ พลเรอื นอย่างลงุ กต็ าม พวกเหลา่ นม้ี ักคดิ วา่ ทำ�งานใหเ้ ขา ดมู นั เวลาเขา้ งาน เลกิ งานแลว้ พอเสรจ็ ไปวนั หน่งึ ๆ ชอบมาสาย กลบั บา้ นดกี วา่ ก็แลว้ กนั ไม่ไดค้ ดิ วา่ จะตอ้ งหมน่ั หรือขยันทำ�งานใหด้ ีขึน้ เลย บางทีเอาเปรยี บเสยี อีก เวลาไปทำ�งาน ชา้ หน่อยกไ็ ดไ้ มเ่ ปน็ ไร แตเ่ วลาเลกิ เปน็ ตอ้ ง เลกิ ตรงเวลาเสมอ ไมย่ อมท�ำ งานเกินเวลาที่กำ�หนดไว้เลย กลัวจะเสียเปรียบ เพราะคดิ เหน็ วา่ จะหมน่ั ท�ำ งานใหม้ ากหรอื ใหด้ ขี น้ึ กไ็ มเ่ หน็ จะได้เงิน มากขน้ึ บา้ งเลย ไดเ้ ทา่ ใดกเ็ ทา่ นน้ั นน่ั เอง พอเวลานายเขาจะเลอ่ื นยศ หรอื ขน้ึ เงนิ เดอื นใหส้ ิ ตวั ไมไ่ ดห้ มน่ั ท�ำ ความดคี วามชอบไวเ้ ลย เขาจะ ใหอ้ ยา่ งไรได้ มหิ น�ำ ซ�ำ้ เวลาเขาจะคดั คนออก เขากอ็ าจจะไลต่ วั ออก เสยี ดว้ ย เพราะเขาเห็นว่า ตัวไม่มีความขยันขันแข็งพอ เปลืองเงิน เปลา่ ๆ ส�ำ หรบั คนทห่ี มน่ั ท�ำ งานจรงิ ๆ ไมค่ ดิ วา่ เปน็ งานของตวั หรอื 28

งานของคนอน่ื กค็ งไดร้ บั ผลดตี อบแทน ปนี ไ้ี มไ่ ด้ ปหี นา้ หรือปีตอ่ ไป ก็คงได้แนน่ อน เพราะทำ�ดยี อ่ มได้ดเี สมอ “ลงุ จะเลา่ เรอ่ื งคนหมน่ั ใหเ้ จา้ ฟงั เดก็ หนมุ่ คนหนง่ึ ไปสมคั ร ทำ�งานท่ีบริษัทค้าขายแห่งหนึ่ง ผู้จัดการตกลงรับเขาไว้ทดลองดู เดก็ คนนจ้ี งึ ถามวา่ ‘ทา่ นจะใหผ้ มท�ำ งานอะไรครบั ?’ ผจู้ ดั การสงสยั นกึ อยใู่ นใจวา่ เดก็ คนนเ้ี ตม็ ทจี รงิ จะถามหางานทง่ี า่ ย ๆ เทา่ นน้ั เอง แต่พอให้งานไปทำ� เด็กคนนั้นก็ต้ังหน้าตั้งตารีบทำ�จนเสร็จ แล้ว กลับไปถามผ้จู ดั การวา่ งานท่ที า่ นใหท้ ำํ� ‘งานทท่ี ่านให้ทำ�นัน้ เสร็จแลว้ ครบั เสร็จเรียบร้อยแล้วครบั ท่านจะให้ผมทำ�งานอะไรอกี ’ พอไดง้ านไปก็รีบท�ำ จนเสร็จ แล้วกลบั มาของานอกี ทุก ๆ คราว จนผ้จู ัดการออกปากชม และเล่ือนเงนิ เดอื นให้อย่างงาม เด็กผนู้ ัน้ ไดร้ ับผลเหน็ ทันตา เพราะเปน็ คนหมั่น นพ่ี อเปน็ ตวั อยา่ งเตอื นใจใหเ้ ราจ�ำ ไวว้ า่ เราจะท�ำ ธรุ ะหนา้ ท่ี ใด ๆ ก็ตาม ตอ้ งยดึ ความหมัน่ เปน็ หลักเสมอ จงึ จะไดร้ ับความสุข ความสำ�เร็จในกิจการนั้น ๆ ที่ลุงอธิบายมาให้เจ้าฟังน้ี ความจริง 29

กเ็ ป็นเรือ่ งและธุระของผ้ใู หญ่ แตล่ งุ เห็นว่าเจ้าควรจะรู้และจดจ�ำ ไว้ บา้ ง ไมเ่ ปน็ ของเสยี หายหรอื หนกั หนาอะไรเลย โบราณทา่ นสอนวา่ ‘รไู้ วใ้ ชว่ า่ ใสบ่ า่ แบกหาม’ เจา้ เตรยี มตวั ไวก้ อ่ นนนั่ แหละดเี พราะเมอื่ เติบโตขึ้น เจ้าจะต้องมีหน้าที่ทำ�ธุระอย่างไหน ก็จะทำ�ได้เหมาะ และถูกต้อง ไม่ให้ใครติเตียนได้เลย ส่วนเวลาน้ีเจ้ายังเป็นเด็กอยู่ ธรุ ะหนา้ ที่ของเจ้าก็คอื การศึกษาเลา่ เรียน ลงุ จะไดอ้ ธิบายใหเ้ จา้ ฟัง อยา่ งชดั เจนตอ่ ไป “ทแี รกเจา้ ต้องเขา้ ใจเสยี ก่อนว่า ทำ�ไมเด็ก ๆ จงึ มีหนา้ ท่ีเลา่ เรียน ? เขามกั จะเข้าใจกันว่า การเล่าเรียนนนั้ ให้อ่านหนังสือออก เขียนหนังสอื ไดก้ พ็ อแลว้ แต่เทา่ นั้นยังไมพ่ อ เจ้าเปน็ เด็ก มีหนา้ ทเี่ ล่าเรียน การเลา่ เรยี นต้องมุ่งไปทางที่จะ อบรมสติปญั ญาของเดก็ ใหฉ้ ลาดขนึ้ จะได้รูว้ า่ อะไรเป็นความดี อะไรเปน็ ความชัว่ แน่นอน ไม่ใช่แต่เพียงนึกคะเน ๆ เอาว่า น่ีเป็นความดี น่ันเป็นความช่ัวเท่าน้ัน เพราะอาจผิด ๆ พลาด ๆ เสมอ เม่ือรู้ แน่นอนแล้ว เราก็ย่อมทำ�หน้าที่ของเราได้ถูก และมีประโยชน์ 30

บริบูรณ์ เราไม่อยากทำ�อะไรผิด อยากได้ผลได้ประโยชน์ที่ดี ๆ เราจึงต้องอุตส่าห์เล่าเรียนให้มีสติปัญญาฉลาด รู้ผิดชอบช่ัวดี เรียนเสียแต่ยังเป็นเด็ก โตข้ึนเรียนไม่ได้สะดวกเพราะจะต้องเป็น หว่ งการท�ำ มาหากนิ ของเราเอง ดว้ ยไมม่ ใี ครเขามาเลย้ี งเราตลอดไป จนตาย คนที่ไม่ได้เล่าเรียนมาแต่เล็กหรือมัวขี้เกียจเหลวไหลเสีย โตข้ึนรู้สึกตัวอยากเรียนแต่จะกลับตัวไปเป็นเด็กอย่างเดิมไม่ได้ อีกแล้ว เลยต้องกลายเป็นคนโง่ และทำ�งานที่ลำ�บาก ๆ เพราะ ไม่มีความร้ตู ดิ ตัว เจ้าจงดตู ้นไม้ ท่ีลุงดัดไวเ้ ปน็ ซ้มุ น้ันซิ ลุงตอ้ งหมนั่ คอยดดั ตง้ั แตม่ ันยงั อ่อน ๆ อยู่ ดัดไดง้ ่ายกว่าเมือ่ มันแก่แล้ว เพราะเวลาแกก่ ิ่งกา้ นมนั แข็ง ดัดหนกั ๆ เข้ากเ็ ลยหัก คนเรากเ็ ช่นเดียวกันตอ้ งอบรม ใหเ้ ลา่ เรยี นความรเู้ สยี แต่เลก็ ๆ เพราะส่งั สอนได้ง่าย โตข้นึ จะไดฉ้ ลาดว่องไว “เวลาเรียน เราจะเรียนได้ผลดี ก็ต้องอาศัยความหมั่น ความขยนั เปน็ เครอ่ื งอดุ หนนุ ศตั รตู วั ส�ำ คญั ของความหมน่ั ความขยนั 31

น้ันก็คือ ความเกียจคร้าน ลุงอยากจะช้ีให้หลานเห็นเสีย จะได้ ระวังตัวไม่เข้าไปใกล้มัน เวลาเราจะทำ�งานอะไร ความเกียจคร้าน มักมาชวนให้เราเลิกทิ้งเสีย และคอยแนะน�ำ ใหเ้ ราอา้ งว่า หนาวนัก บา้ ง, ร้อนนกั บา้ ง, เย็นคำ�่ แล้วบา้ ง, ยงั เชา้ อยู่บา้ ง, กระหายนกั บา้ ง แล้วก็ไม่ทำ�การงาน ถ้ามันมาชวนให้เจ้าอ้างเช่นน้ีแล้ว อย่าได้ทำ� ตามมนั เลย มนั เปน็ ศตั รทู ร่ี า้ ยกาจของเจา้ เจา้ เกลยี ดสนุ ขั ทส่ี กปรก และเป็นโรคเรื้อนเพียงใด เจ้าก็ควรเกลียดมันเพียงนั้น หรือ ยง่ิ กวา่ นน้ั อีก ไลม่ นั ออกไปใหพ้ น้ อย่าเข้าใกล้มันทีเดยี ว “พอพูดถึงความเกียจคร้าน ลุงหวนไปนึกถึงคำ�พูดของ เดก็ หนุ่มคนหนึ่งที่สอบไลไ่ ดม้ ธั ยม ๘ ว่า “เราขยนั มาหลายปแี ล้ว ไชโย สอบเสร็จซะที คราวน้ีเราขเี้ กียจได้ละ หมดการเรยี นแล้ว” เจ้าคงนึกวา่ เดก็ คนน้ันพูดถูก แต่ค�ำ วา่ “หมดการเรียน” น้ัน ผิดถนัด เดก็ คนนน้ั คดิ วา่ ชน้ั มธั ยม ๘ เปน็ ชน้ั ทส่ี งู ทส่ี ดุ หมดเขตต๑์ ๐กนั เพยี งนน้ั เอง เปลา่ ไมใ่ ชเ่ ชน่ นน้ั เลย วชิ าความรทู้ ส่ี งู กวา่ ชน้ั ๘ ยงั มี ๑๐ เขต 32

อกี มากมาย ผทู้ ย่ี งิ่ เรียนสงู ข้นึ ไป กย็ ิ่งมองเหน็ วา่ ตัวย่ิงไม่มีความรู้ บรบิ รู ณเ์ พยี งพอ ยงั ตอ้ งเรยี นกนั เรอ่ื ย แตเ่ ขาวา่ “คราวนเ้ี ราขเ้ี กยี จ ไดล้ ะ” นน้ั กพ็ อจะถกู คอื หยดุ พกั เสยี ที แตไ่ มใ่ ชห่ ยดุ เลย เหมอื นกบั คนเดินทางข้ามทะเลทราย หรือข้ามทุ่งนาอันกว้างใหญ่ ต้องทน ลำ�บาก พอเดินไปถึงท่ีร่มเข้า ก็หยุดพักผ่อนร่างกายเสีย หาความ สบายบ้างเล็กน้อย แล้วเตรียมตัวเดินทางต่อไปใหม่ ถ้าผู้นั้นมัวไป หยดุ อยแู่ ต่ทต่ี รงนน้ั ทำ�ไมจะไปถึงทห่ี มายได้ล่ะ ? “การเล่าเรียนไม่ใช่ไปเรียนแต่ที่โรงเรียนเท่านั้น เวลากลับ มาบ้านก็ต้องหมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ วิชาความรู้จึงจะแตกฉาน ลุงเห็นครูเขาให้เลขเจ้ามาทำ�ที่บ้านบ่อย ๆ เป็นการบ้านไปส่งใน วันรุ่งข้ึน น่ันแหละเป็นการอบรมให้เจ้ารู้จักหม่ันทั้งทางโรงเรียน และทางบา้ น คู่กนั ไปจึงจะเป็นผลดี บางคนหมัน่ ต่อหนา้ ครเู ท่าน้ัน พอลบั หลังแลว้ ก็ไมท่ �ำ งานเลย ใช้ไม่ได้ มีดพบั ของเรา ถา้ หยดุ ใช้หยดุ ถูเสยี ก็มักมีสนมิ ข้นึ เกาะใบมีด ท�ำ ใหเ้ สยี คมไปฉนั ใด ถา้ เราหยดุ ขยันเสยี ก็มตี ัวศัตรคู อื ความเกียจคร้าน เข้ามาแทนท่ี ท�ำ ใหก้ ารงานเสื่อมลงไปฉันน้นั 33

เพือ่ น ๆ เขาหมั่นเรียน ตอ้ งหม่ันเดิน เขาก้าวหนา้ ไปเรื่อย ๆ ถึงจะถงึ จุดหมาย เรามัวแตข่ ี้เกียจ เดนิ ชา้ ๆ หรอื หยุดเสยี อย่าเพง่ิ ไป เรากต็ ้องอยูล่ ้าหลงั รอเราดว้ ย ไม่ทนั เขาเทา่ น้นั เอง มิหน�ำ ซ�ำ้ เรายงั เปน็ ตวั ทคี่ อย ถ่วงร้งั ความเจริญ ไมใ่ ห้เขาเดินก้าวหนา้ ไปไดอ้ กี เชน่ พอทค่ี รจู ะสอนบทเรยี นตอ่ แตเ่ ราไมเ่ ขา้ ใจ เพราะไมต่ ง้ั ใจ เรยี นเสยี ครกู ต็ อ้ งกลบั มาทวนใหมอ่ กี เสยี เวลาเขาไปเปลา่ ๆ อย่า เขา้ ใจวา่ เพยี ง ๑๐ หรอื ๑๕ นาฑ๑ี ๑เทา่ นน้ั ไมเ่ ปน็ ไร คดิ ดใู หด้ จี ะเหน็ วา่ นกั เรยี นในชน้ั ๓๐ คน เสยี เวลาคนละ ๑๐ นาฑี รวมทง้ั หมดเทา่ ไร ? ๓๐๐ นาฑีเข้าไปต้ัง ๕ ช่ัวโมงน้อยหรือน่ัน อีกอย่างหน่ึงเราควร นึกถึงครูที่ส่ังสอนเราบ้างว่า ท่านต้ังใจดีต่อพวกเราเพียงไร ท่าน อตุ สา่ หส์ ง่ั สอนเราจรงิ ๆ รกั เราทว่ั หนา้ ใหค้ วามรแู้ กเ่ ราเตม็ ท่ี แนะน�ำ ใหเ้ ราเปน็ คนดี เชน่ นแ้ี ลว้ เราจะปลอ่ ยใหค้ วามตง้ั ใจดขี องทา่ นไมม่ ผี ล เจยี วหรอื ๑๒ เราตอ้ งเคารพและเชอ่ื ฟงั ทา่ นตง้ั ใจเรยี นจรงิ ๆ จงึ จะเปน็ คนดี คดิ เชน่ นอ้ี ยเู่ สมอแลว้ เราจะไมน่ กึ เกยี จครา้ น และจะหมน่ั เรยี น เต็มที่ แต่ก็ไม่ใช่ทำ�ตามคำ�บอกน้ีอย่างเถรตรง เขาว่าให้หม่ันก็ หม่ันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ลืมหูลืมตาว่า เป็นเวลากินเวลา ๑๑ นาที ๑๒ เชยี วหรือ 34

นอนอะไรกัน หม่ันเช่นน้ีก็ไม่เป็นประโยชน์ กลับให้โทษเสียอีก เจ้าจะต้องหม่ันให้เหมาะ คือจัดเวลากลางวันเป็นเวลาเล่าเรียน เวลาช่วยผู้ปกครองท�ำ งานทต่ี วั พอจะท�ำ ได้ และออกกำ�ลงั กายบา้ ง พอควร เวลากลางคนื กต็ อ้ งจดั เปน็ เวลานอน ไดเ้ วลาพกั ผ่อนแล้ว เดก็ ๆ ต้องนอนใหเ้ ตม็ ตา ราว ๆ คืนละ ๘ หรือ ๙ ช่วั โมง เปน็ เหมาะท่สี ุด กอ่ นนอนก็ดตู ำ�ราเสยี บ้าง เลก็ น้อยกันลืม และสวดมนตไ์ หว้พระเสมอ ๆ ถ้าเจา้ จดั ทำ�ได้เช่นน้ี ก็นับวา่ มีความสุข และความเจริญทั้งร่างกาย และการเลา่ เรียนดว้ ย “ทนี ี้ลุงจะชใ้ี หเ้ จ้าเหน็ ว่า ถา้ เราหมน่ั ในการเล่าเรียนจรงิ ๆ แลว้ เราจะได้รับผลอะไรบ้าง ในเวลาเรยี น ศษิ ย์คนใดหม่ัน มวี ชิ าดี ท�ำ การงานสอาด๑๓ มคี วามประพฤตเิ รยี บรอ้ ยไมเ่ หลวไหล ศษิ ยค์ นนน้ั ย่อมได้รับความยกย่องชมเชยจากครู บางทีครูก็ให้รางวัล บางที กต็ ง้ั ใหเ้ ปน็ หวั หนา้ ในชน้ั หรอื เปน็ หวั หนา้ ชว่ ยเหลอื ครดู แู ลนกั เรยี น ทั้งหมด เมื่อสองสามวันนี้ ลุงได้ยินเจ้าคุยอวดกับลุงว่า สอบซ้อม ๑๓ สะอาด 35

ได้ท่ี ๑ ได้นงั่ โต๊ะหน้า ดูเดน่ เป็นสงา่ ใคร ๆ เขา้ มาก็เหน็ และนึก ชมว่าเจ้าเก่ง มีชื่อเสียงโด่งดัง นี่แหละคือผลของความดี ท่ีเห็น ทันอกทนั ใจละ ทีนี้เวลาเราออกจากโรงเรียน ผลของความหม่นั ใน เมอ่ื เราก�ำ ลังเลา่ เรียน ทำ�ให้เรามคี วามรู้ความฉลาดตดิ ตวั อยู่ จะไป หางานทำ�ที่ไหน กไ็ ด้งา่ ย เพราะมีความร้มู าก จะคิดทำ�การคา้ ขาย ก็จัดการได้ถูกต้องเพราะฉลาดอยู่แล้ว ในไม่ช้าก็รวยเงินรวยทอง เหมือนกับคำ�สุภาษิตท่านสอนไว้ว่า “อย่าเกียจคร้านการเรียนเร่ง อตุ สา่ ห์ มวี ชิ าเหมอื นมที รพั ยอ์ ยนู่ บั แสน จะตกถน่ิ ฐานใดคงไมแ่ คลน ถึงคับแค้นก็พอยังประทังตน” ข้อน้ีเป็นความจริงทีเดียว เรามี ความรู้ก็เท่ากับมีแก้วสาระพัด๑๔นึกติดตัว เวลาเราตกทุกข์ได้ยาก กอ็ าจชว่ ยใหเ้ อาตวั รอดมาได้ ไมล่ ม่ จมทนั ที ทง้ั ชว่ ยใหเ้ รามง่ั มที รพั ย์ ขึน้ อีกดว้ ย เมอื่ เรามที รัพย์ ทุกอย่างทีฝ่ ัน (คอื เงนิ ทอง) แลว้ มีความหมั่น เปน็ แรงหนนุ เรากม็ ีความสุข สามารถซ้อื เครื่องใช้ ของกนิ ต่าง ๆ ไดบ้ รบิ ูรณ์ ไดม้ าบ�ำ รงุ เล้ียงตวั เอง เลยี้ งตอบบิดามารดา ผูม้ ีบุญคุณ เลี้ยงบตุ รภรรยา ๑๔ สารพัด 36

ทั้งช่วยเหลือญาติมิตร ต้อนรับแขก ทำ�บุญ และเสีย ส่วยสาอากร๑๕ ใช้หน้ใี ห้แก่ประเทศหรือรัฐบาลท่ไี ด้ปกครองให้เรา มีความสุขสำ�ราญ เม่อื เราสามารถทำ�หน้าท่เี ล้ยี งตัวและครอบครัว ทง้ั ชว่ ยเหลอื ผู้อื่นได้เช่นนี้แล้ว เราก็ได้ช่ือว่า มีคุณสมบัติคือความดี เทียมหน้าผู้อ่ืนเขา ส่ิงเหล่านี้ลุงเป็นผู้ได้พบได้เห็นมาแล้ว รู้สึกว่า เป็นผลของความหม่ันจริง ๆ แลเห็นได้ชัด ๆ อย่าดูอ่ืนไกลเลย ดูแต่เช้าวันน้เี ถิด การที่เจ้าหมั่นลุกขึ้นมาก็ให้ผลแก่เจ้าเห็นทันตา คือได้มาฟังลุงอธิบายทิฏฐธัมม์ข้อ ๑ น่ีแหละทำ�ให้เจ้าเช่ือมั่นและ เคารพนับถือพระพุทธเจ้ายิ่งข้ึน เจ้าจงจำ�คำ�ของท่านไว้ แล้วนำ� ไปปฏิบัติ จึงจะเรียกว่าเจ้านับถือท่านจริง และคงจะมีผลปรากฏ แกเ่ จา้ มากกว่าเชา้ วนั น้เี ป็นแน”่ ๑๕ ภาษีอากร 37

คำ� ถาม ประ จำ� บท ๑. ความหม่ันในทิฏฐธัมม์ ขอ้ ๑ ภาษาบาลี เรยี กวา่ อะไร ? ๒. ๓. ทำ�ไมเขาจงึ ให้เรยี น ธุระการงานต่าง ๆ เช่น หนงั สอื แต่เลก็ ๆ ? การคา้ ขายจะส�ำ เร็จเป็นผลดี ต้องอาศัยอะไรบา้ ง ? ๔. ๕. เราจะหมั่นเล่าเรียน ความหมั่น อย่างไรจงึ จะเหมาะ ในการศึกษาเล่าเรยี น ให้ผลอย่างไรบา้ ง ? และไดผ้ ลดี ? 38

ทฏิ ฐธมั ม์ การ รกั ษา ขอ้ ๒ วนั นี้ลงุ จะอธิบายทฏิ ฐธมั ม์ ขอ้ ๒ ให้เจ้าฟงั พอเยน็ ลง หลวงเจรญิ กลบั จากท�ำ งาน เหน็ เดก็ ชายละเอยี ด ออกไปรับตามเคย จึงเอ่ยข้ึนว่า “เม่ือเช้านี้ลุงได้อธิบายทิฏฐธัมม์ ข้อ ๑ ให้เจ้าฟังแล้ว เย็นนี้ลุงว่าง อยากจะอธิบายทิฏฐธัมม์ข้อ ๒ ใหเ้ จา้ ฟงั ตอ่ ไป เจา้ กไ็ มม่ งี านอะไรไมใ่ ชห่ รอื ลงุ จะไปอาบน�ำ้ เสยี กอ่ น ประเดี๋ยวจึงจะมา” แล้วก็รีบข้ึนเรือนไป สักครู่หนึ่งทำ�ธุระเสร็จ เรยี บรอ้ ยแลว้ จงึ ลงไปนง่ั คยุ กบั หลานทห่ี นา้ เรอื นและถามวา่ “เจา้ จ�ำ ทิฏฐธมั ม์ขอ้ ๑ ได้ไหม มใี จความวา่ กระไร” เดก็ ชายละเอยี ดนิ่งนึก และตอบถกู วา่ 39

“ทิฏฐธัมมข์ อ้ ๑ เปน็ เด็กตอ้ งขยนั เรยี น คืออุฏฐานสัมปทา นะครบั มีความหมั่นเสมอ หมน่ั ทำ�กจิ ต่าง ๆ อนั เปน็ หนา้ ทข่ี องตน เช่นการคา้ ขาย การชา่ ง การเลา่ เรียน เหล่านเี้ ปน็ ตน้ ” ลุงจึงกล่าวต่อไปว่า “ดีละ แต่เจ้าร้ไู หมว่า เขาหม่นั ทำ�เพ่อื ประสงค์อะไร” หลานตอบวา่ “เพอ่ื ให้กิจนน้ั ๆ สำ�เร็จและมีผลดี ขอรับ” ลุงจงึ ว่า “ถูกเหมือนกนั แต่เจ้าควรจะเข้าใจความประสงค์ ขอ้ ใหญ่เสียใหด้ ี คือ พอ่ ค้าขายของกอ็ ยากจะไดก้ ำ�ไร ตวั ละ ๑๐๐ เปน็ เงนิ เปน็ ทอง เทา่ น้นั ครับ นายช่างต่าง ๆ ก็เชน่ เดียวกนั พวกเด็ก ๆ ก็อยากเรยี นให้สำ�เรจ็ จะได้ออกไปรับราชการ ได้เงนิ เดอื นมาไว้ใช้ 40

จงึ รวมใจความวา่ หมน่ั เพอ่ื แสวงหาทรพั ย์ ทรพั ยใ์ นทน่ี ย้ี อ่ ม หมายถึงธนทรัพย์ คือเงนิ ตราหรอื ธนบตั รและสตางค์ทร่ี ฐั บาลออก มาให้เราใช้ แตเ่ มอ่ื มเี งินแลว้ เรากเ็ อาเงินนั้นไปซอื้ ของกิน เครื่องใช้ และเครอ่ื งนุ่งหม่ ตา่ ง ๆ ท่ีเราเรยี กวา่ โภคทรพั ย์ได้ เม่ือเราแสวงหา ธนทรัพย์ และโภคทรพั ย์ ทตี่ ้องการมาได้ ด้วยความหมนั่ แล้ว สิ่งสำ�คัญก็คอื ตอ้ งรจู้ ักเกบ็ ร้จู ักรกั ษามนั ไว้ ไม่ใหเ้ ปน็ อนั ตรายไป เทา่ นน้ั ไมพ่ อ เรายังต้องคิดดูว่า ส่ิงที่ทำ�ให้เราได้ทรัพย์น้ัน คืออะไร เจ้าต้องตอบได้ทีเดียวว่า การงานหรือธุระหน้าท่ีของเรา น่นั เอง เพราะฉะน้นั เราจึงต้องคอยดแู ลรักษาการงานนนั้ ๆ ไมใ่ ห้ เส่ือมเสียไปด้วย เราจึงจะได้ทรัพย์เหล่าน้ันมาใช้อีกเรื่อย ๆ ไป การรู้จักรักษาทรัพย์และการงานของเราเช่นน้ีแหละ คือทิฏฐธัมม์ ข้อ ๒ ซ่ึงลุงจะอธิบายให้เจ้าฟัง คำ�ภาษาบาลีว่า อารักขสัมปทา 41

ลุงเห็นจะไม่ต้องเตือนเรื่องการอ่านภาษาบาลีอีกละ เจ้าคงจำ�ได้ดี และอ่านได้ถูกต้อง เพราะลุงอธิบายให้เจ้าฟังเม่ือวานน้ีแล้ว ทีน้ี ลงุ จะกลา่ วถงึ การรกั ษาโภคทรพั ยเ์ สยี กอ่ น เพราะเหน็ วา่ โภคทรพั ย์ ของคนเรามีอยู่หลายอย่าง และมีวิธรี ักษาทเี่ ราควรรไู้ วต้ ่าง ๆ กัน เช่นเสอ้ื ผา้ เครือ่ งนุง่ หม่ ท่อี าจจะขาดหรอื ขาดไปได้ กร็ ู้จักถนอม ใสแ่ ต่พอควร เวลาใช้ก็ถนอมไมใ่ หส้ กปรก หรือเป้ือนเปรอะสิง่ ท่ีไม่ควร จะท�ำ ให้เราตอ้ ง ซกั ใหมโ่ ดยใช่เหตุ ยิ่งซักรดี บอ่ ย ๆ เส้อื ผ้าก็ย่ิงเกา่ และขาดเร็ว ทำ�ใหต้ อ้ งตัดใหมซ่ ื้อใหม่ เปลอื งเงนิ มากเข้า สง่ิ อะไรทจ่ี ะเปน็ สนมิ ได้ เชน่ ของทเ่ี ปน็ เหลก็ หรอื ทองเหลอื ง เวลาเรายังใช้มันอยู่ ก็ต้องคอยขัดถูไม่ให้สนิมจับ แล้วรู้จักเก็บงำ� ไม่ท้ิงกรำ�ฝน หรือเก็บไว้ในที่ช้ืนแฉะ (อย่าถือว่ามันเป็นของไม่มี ชีวิตจิตต์ใจ๑๖ จะทำ�อย่างไรก็ได้) เคร่ืองเงินเคร่ืองทองและส่ิงของ ที่มรี าคามาก ๆ ต้องรจู้ กั ระวงั ไมว่ างทิ้งไวป้ ระเจดิ ประเจอ้ เกบ็ ไว้ ๑๖ จติ ใจ 42

ในทม่ี น่ั คง เพราะเวลาเราเผลอ โจรผรู้ า้ ยอาจจะยอ่ งมาหยบิ ลกั ขะโมย ไปได้ ของท่ีจะแตกได้ เป็นถ้วยชามและเครื่องแก้ว เวลาจะจับ จะถือ ก็ต้องระวังไม่ให้พลัดตกจากมือ เครอื่ งใช้ทีย่ ังพอใชไ้ ด้ไมเ่ สยี แต่ชำ�รดุ ไปเล็กน้อย เช่น โตะ๊ เกา้ อ้ี ที่หักล้ม เราก็รจู้ ักบรุ ณะซ่อมแซม และตกแตง่ กลบั ใหเ้ ป็น ของใช้ได้อีก ไม่ใชช่ ำ�รุดหนอ่ ย กท็ ้ิงมนั ไปและซื้อใหม่ ตอ้ งรู้จกั เสียดาย เพราะไมใ่ ชไ่ ด้มาเปลา่ ๆ ตอ้ งซ้อื ตอ้ งหาเขามาทง้ั นัน้ พระพุทธเจ้าเคยทรงแสดงธรรมส่ังสอนไว้ว่า บ้านไหน เรือนไหนตระกลู ไหนจะรำ�่ รวยเพียงไร ถา้ ไมร่ ู้จกั เสยี ดายของ เวลา มันหายก็ไม่หา-ซื้อใหม่-และไม่ซ่อมแซมสิ่งของที่ชำ�รุดและคร่ำ�คร่า แลว้ กค็ งตง้ั อยไู่ มไ่ ดน้ าน ตอ้ งเสอ่ื มลงไปอยา่ งทเ่ี ราเรยี กวา่ ฉบิ หาย ขายเสาเรือน เช่นน้ีเป็นต้น รวมความว่าต้องรักษาโภคทรัพย์ เครอ่ื งใชส้ อยไมใ่ หเ้ ปน็ อนั ตรายไป โดยทร่ี จู้ กั เกบ็ ง�ำ รจู้ กั ถนอม รจู้ กั ซ่อมแซม และรู้จกั เสียดาย 43

“เมอ่ื เรารจู้ กั รกั ษาโภคทรพั ยต์ า่ ง ๆ แลว้ โภคทรพั ยท์ ใ่ี ชน้ น้ั จะไม่เสยี ไปเรว็ ๆ เลย เรากไ็ มต่ ้องจ่ายเงนิ จา่ ยทองไปซ้ืออกี บ่อย ๆ จึงได้ช่ือว่าเรารักษาธนทรัพย์ของเราด้วยเหมือนกัน ธนทรัพย์ คือ เงินน้ีแหละ เปน็ สง่ิ สำ�คัญท่สี ดุ เราหามาได้ยากเหลือเกนิ กว่าจะได้ เปน็ กอบเปน็ กำ� ตอ้ งทำ�งานเสยี อยา่ งอาบเหงือ่ ต่างนำ้�แทบลม้ แทบ ตายทีเดยี ว เพราะฉะน้นั เมอื่ ได้มันมาแล้วจงึ ต้องเก็บตอ้ งรกั ษาให้ดี บางคนคดิ เช่นน้เี หมอื นกัน กวา่ จะไดร้ ถคันน้ีต้อง แต่มกั คดิ มากเกนิ ไปจนผดิ หมด ลำํ�บากน่าดู ตอ้ งดูแล เขารู้วา่ ทรัพย์เกิดลำ�บาก ไม่เหมือนกบั น�ำ้ ในบ่อทราย รักษาดี ๆ ท่ไี หลมาเสมอ ไม่รจู้ ักจบจกั ส้นิ ตักขึ้นมาแล้ว ประเดย๋ี วกไ็ หลมาใหม่ ไมเ่ ดือดร้อน แตท่ รพั ยห์ มดเปลอื งไปทกุ ๆ ที เขาไดม้ าแลว้ จงึ เกบ็ รกั ษาไว้ ไม่ใคร่จะยอมเอาออกไปใช้ เพราะกลัวจะหมดเสีย เสื้อผ้าท่ีซ้ือมา ก็ไม่กล้าจะสวมใส่ กลัวมันเปื้อนมันเก่า เฝ้าเก็บไว้จนกินตัวเป็นรู และที่สุดก็ใช้ไม่ได้ การเก็บทรัพย์ไว้ไม่อยากใช้เช่นน้ี ไม่ใช่เป็นการ 44

รักษาที่ถูกตามคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้าเลย เป็นส่ิงที่ผิดไม่มี ประโยชน์ มแี ตโ่ ทษ เราควรคดิ ดวู า่ เราไดล้ งทนุ ลงแรงไปมากเพยี งใด จงึ ไดท้ รพั ยน์ น้ั มา ควรทจ่ี ะเอาทรพั ยน์ น้ั มาจบั จา่ ยใชส้ อย ซอ้ื ขา้ วปลา อาหารมากนิ ใหอ้ ่มิ หน�ำ สำ�ราญ ซือ้ ส่ิงของตา่ ง ๆ ทีต่ ้องการใชม้ าใช้ และใชด้ ว้ ยความระวงั รจู้ กั เกบ็ รจู้ กั ถนอม และรจู้ กั ซอ่ มแซม เชน่ น้ี แล้ว จึงจะมีความสุขสบาย คุ้มกับที่ได้เหน็ดเหน่ือยไป ไม่ใช่เก็บ รกั ษาไวจ้ นเป็นเคร่ืองตดั ทอนความสขุ ส�ำ ราญของตวั เอง อ่ะ นเี่ งนิ สามพันบาท ทรพั ยท์ ่ไี ด้มาจะเจรญิ และให้ความสขุ แก่เจ้าของ ก็เพราะเจ้าของรจู้ กั รกั ษา และรจู้ กั จา่ ยใช้ การจา่ ยใช้ก็เป็นของสำ�คัญ ท่เี ราจะต้องจดจำ�และรไู้ ว้ ไม่ใชว่ ่าเราต้องการ สิ่งนั้นสง่ิ น้ีแลว้ กซ็ อ้ื หา เอามาใชม้ ากนิ เรอ่ื ย ๆ เราต้องดวู ่าทเี่ ราจา่ ย ๆ ไปน้นั สมควรกับทีห่ ามาได้หรือไม่ ลุงจะอธิบายเรื่องการจ่ายทรัพย์นี้ให้เจ้าฟังโดยละเอียดใน เมื่อลุงกล่าวถึงทิฏฐธัมม์ข้อ ๔ แต่เจ้ารู้ไว้ย่อ ๆ ก่อนก็แล้วกันว่า ต้องจ่ายใหส้ มควร ทนี ลี้ ุงจะได้กล่าวถึงการรกั ษาทรพั ย์ต่อไป 45

“ทรพั ย์ทห่ี ามาได้ หมดเลย ดว้ ยความหมนั่ น้ัน น�ำํ้ ท่วมทีเดยี ว มักจะเป็นอนั ตราย ไปด้วยภัยต่าง ๆ เชน่ ถูกริบ ถูกไฟไหม้ ถกู นำ�้ ท่วม ถกู โจรผู้ร้ายแย่งชงิ ไป เหล่านีเ้ ปน็ ต้น เราจึงจำ�เป็นตอ้ งคดิ ป้องกนั ภัยเหล่านไ้ี ว้ใหด้ ี ในสมัยโบราณ ข้าตอ้ งทำ�ํ ตามหน้าทน่ี ะ ใครท�ำ ความผิดท่สี ำ�คัญ ๆ ปลงใจ มโี ทษหนัก พร้อมรับกรรม บางคราวถึงกบั ถกู ประหารชวี ติ ไม่แตเ่ ทา่ น้นั ทรพั ยส์ มบตั ิของผู้นั้น ยังต้องถกู รบิ เป็นของหลวงอีกดว้ ย 46

สว่ นในสมยั ทกุ วนั นค้ี นทท่ี �ำ ความชว่ั ทจุ จรติ ๑๗ ผดิ กฎหมาย บ้านเมืองก็ถูกจับตัวไปฟ้องร้อง ลงโทษและถูกปรับให้เสียทรัพย์ ตามกฎหมาย ทรัพย์ท่ีหามาได้ก็ต้องเป็นอันตรายไป นี่แหละคือ ภยั ท่ีถกู รบิ ไม่น่าโลภเลยเรา เพราะฉะน้นั ทัง้ ติดคุกทั้งทรพั ยก์ ็ถูกยึด การทจี่ ะระวังรกั ษา ทรัพยข์ องเรา ไมใ่ ห้ถูกรบิ ไปได้น้ันคือ มงุ่ ทำ�ความดี ไม่ท�ำ ความชว่ั ความผดิ ต่อกฎหมายแผน่ ดนิ แตก่ ารทจ่ี ะระวงั รกั ษาไมใ่ หท้ รพั ยข์ องเราเปน็ อนั ตรายไปได้ โดยถกู ไฟไหม้ ถกู น�ำ้ ทว่ มและถกู โจรผรู้ า้ ยแยง่ ชงิ นน้ั เปน็ การยากอยู่ เพราะเวลาเกิดนำ้�ท่วมหรือไฟไหม้ข้ึน เราจะยกบ้านยกเรือนไป ข้างไหน ช่วั แต่เวลาขนข้าวขนของหนเี ทา่ นน้ั กแ็ ย่เสยี แลว้ ทรพั ย์ก็ คงเป็นอนั ตรายบา้ งแน่นอน สว่ นเรอ่ื งโจรผูร้ า้ ย ถ้ามันจะคดิ ปองท่ี จะแย่งชิงเราจริง ๆ แล้ว แม้จะมีกฎหมายคุ้มครองเรา มันก็คง พยายามจะทำ�ให้ได้ ไมไ่ ดว้ นั นี้ก็วันหนา้ คงส�ำ เรจ็ วนั หนึง่ ถงึ มนั จะ ไม่ได้ทรัพยไ์ ป มันกค็ งพยายามทำ�ร้ายเราจนได้ เพราะฉะน้นั เราจึง ๑๗ ทจุ รติ 47

ตอ้ งหาวธิ ปี อ้ งกนั ทางออ้ ม บางคนออกความคดิ วา่ ใหฝ้ งั เสยี แหละดี ถา้ เราจะฝงั กค็ งฝงั ไดแ้ ตเ่ งนิ ทอง สว่ นของอน่ื ๆ มเี ครอ่ื งนงุ่ หม่ เปน็ ตน้ ฝังลงไปก็คงผุหมด ถึงฝังเงินทองเอาไว้ ถ้าโจรมันรู้มันก็คงบังคับ ขู่เขญ็ ใหเ้ ราพามนั ไปขุดเอาจนได้ ไมเ่ ปน็ การพน้ ภัย บางคนบอกวา่ ต้องทำ�ที่เกบ็ เงินใหม้ น่ั คง เช่นมีกำ�ป่นั หรือตกู้ นั ภัยหนา ๆ ไว้ใส่เงนิ เวลาไฟไหม้จงึ จะไมเ่ ป็นอันตราย บางคนแนะน�ำ วา่ เม่ือเรากลวั โจรผรู้ า้ ย กต็ ้องท�ำ อย่างทเ่ี ขากล่าวกันว่า ลอ้ มรั้วด้วยเข้ียวงา นค่ี รบั แตไ่ ม่ใชเ่ อาเขย้ี วปลา งาชา้ ง แกงสม้ รอ้ น ๆ ขอบคณุ มาก อะไรต่ออะไรมาทำ� เปน็ ร้วั เชน่ น้ัน เขาหมายความวา่ ใหม้ ีใจเอ้อื เฟ้อื เผื่อแผ่ แก่เพ่อื นบ้านทีใ่ กล้เคยี ง จะได้ไมม่ ีใครปองรา้ ยเรา เม่อื มีภยั จะไดช้ ่วยกนั วธิ ีเหลา่ นี้ ฟัง ๆ ดูก็ดีเหมือนกัน แต่ลุงเห็นว่ายังไม่เป็นทางม่ันคง เพราะถ้า เกิดโจรปล้น เพ่ือนบ้านอาจจะไมอ่ ยู่ ไมม่ ใี ครชว่ ยทัน หรือนอ้ ยตัว กค็ งสโู้ จรไม่ไหว โจรก็เอาทรพั ย์ไปได้อีก 48