Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือจำแนกพรรณไม้ (ฉบับปรับปรุง) 2559

คู่มือจำแนกพรรณไม้ (ฉบับปรับปรุง) 2559

Description: คู่มือจำแนกพรรณไม้ (ฉบับปรับปรุง) 2559.

Search

Read the Text Version

92 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช วงศป์ รง Cycadaceae ไม้ต้น มีลักษณะคล้ายพชื จ�ำพวกปาล์ม ใบ ประกอบแบบขนนก ขนาดใหญ่ ใบอ่อน ปลายใบม้วนขดลง เหมือนใบอ่อนของผักกูด (fern) อวยั วะเพศ แยกกันอยู่คนละช่อ และอยู่ต่างต้นกนั เกดิ เป็นกลุ่มหรอื เด่ียว ๆ ตรง กลางกลุ่มใบ ใบสร้างอับไมโครสปอร์ (microsporophylls) แบนราบ มอี ับไมโครสปอร์ (microsporangia) มากมายอยู่ ทางด้านล่าง และมีเซลล์สบื พนั ธุ์เพศผู้ท่เี คลอ่ื นไหวได้ ใบสร้างเมกะสปอร์ (megasporphylls) รปู แบบขนนก เรียง เวียนสลับซ้อนกันหลวม ๆ เมลด็ ใหญ่มลี กั ษณะคล้ายผลเมลด็ แขง็ (drupe) มใี บเลีย้ ง 2 ใบ พชื ในวงศ์นใ้ี นประเทศไทยมอี ยู่เพยี งสกลุ เดียว คือ Cycas มอี ยู่ด้วยกนั 6 ชนดิ คอื ปรงเหลี่ยม หรอื ตาลปตั รฤาษี C. siamensis Miq. พบขึ้นตามป่าเต็งรังทั่ว ๆไปในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในที่ ๆ มีกรวดลกู รงั หรอื โขดหนิ แกรนติ เช่น บริเวณตาก-เถิน และตาก-สโุ ขทัย เปน็ ต้น ปรงทะเล C. rumphii Miq. พบขน้ึ ตามป่าชายหาด และตามเกาะต่าง ๆ ปรงเขา C. pectinata Griff. ชอบขึน้ ตามป่าดบิ ทั่ว ๆไป โดยเฉพาะอย่างย่งิ ตามเทอื กเขาหนิ ปูน ปรง C. circinalis L. พบขนึ้ ตามป่าดบิ ชน้ื ทางภาคใต้ มะพร้าวเต่า C. micholitzii Dyer var. simplicipinna Smitin. และ ปรงญี่ปุ่น C. revolute Thunb. พบข้ึนตามป่าดบิ ตามไหล่เขา ต้งั แต่ระดับ 600 เมตรขน้ึ ไป ทางภาคเหนอื และภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ (ดูรายละเอยี ดเพ่มิ เตมิ ในหนงั สอื Flora of Thailand. Vol. 2(2): 185-192. 1972.) 2. อนั ดบั Coniferales ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม เนอ้ื ไม้มีชัน (resin) ล�ำต้นมีก่ิงก้านสาขามาก ใบเดย่ี ว มจี �ำนวนมาก ตัวใบแคบ บางทลี ด ขนาดเป็นรปู เข็ม หรอื เปน็ เกล็ด อวัยวะเพศ แยกกนั อยู่ต่างต้นกัน หรือบนต้นเดยี วกัน เมลด็ มเี ย่ือหุ้มเมลด็ หรือแห้ง บางทีมปี ีก มีใบเล้ยี งสองใบหรอื มากกว่า พชื ในอันดับน้มี ี 7 วงศ์ด้วยกัน เท่าทพ่ี บมอี ยู่ในประเทศไทยเพยี ง 4 วงศ์ คือ Podocarpaceae, Cephalotaxaceae, Cupressaceae และ Pinaceae รปู วธิ านแยกวงศ์ 1. เมล็ดอยู่เดย่ี ว ๆ มักจะมีเยอื่ (epimatium) นุ่ม ๆ หุ้ม คล้ายผลชนิด drupe ใบกว้าง หรือแคบ หรือลดขนาดลง เปน็ เกล็ด หรือเปน็ รูปสว่าน ไม่อยู่รวมเปน็ กระจกุ 2. ใบกว้างหรอื แคบ หรอื ลดขนาดลงเปน็ เกล็ด หรอื เป็นรปู เข็ม เรยี งเวยี นสลบั ท้องใบไม่มตี ่อม สขี าว 1. Podocarpaceae 2. ใบแคบขอบขนาน เรยี งสลบั กันสองข้างก่งิ ท้องใบมตี ่อมสีขาวไปตามทางยาวขนานกบั เส้นกลางใบ 2. Cephalotaxaceae 1. เมล็ดมี 2-1 หรือมากกว่า มกี าบแขง็ หุ้ม กาบนม้ี ีจ�ำนวนมากประกอบข้นึ เปน็ รปู กรวยแขง็ ๆ (cone) ใบรปู เข็ม อยู่รวมเป็นกระจกุ เรยี งเวียนสลบั หรอื เป็นเกลด็ เรียงตรงข้ามและตง้ั ฉากกัน (decussate) แนบอยู่กบั ก่งิ 3. ใบรปู เขม็ รวมกนั เป็นกระจกุ ๆ ละ 3-2 ใบ เรยี งเวียนสลับ เกล็ดหุ้มเมล็ดหน่ึง ๆ มีเมลด็ ทม่ี ีปีกเกลด็ ละ 2 เมล็ด เกลด็ หุ้มเมล็ดและกาบรองเกลด็ แยกกนั 3. Pinaceae 3. ใบเปน็ เกลด็ เรยี งตรงข้ามและตงั้ ฉากกนั แนบอยู่กับก่งิ เกล็ดหุ้มเมลด็ และกาบรองเกล็ดเช่อื มตดิ กัน 4. Cupressaceae

1. วงศ์พญาไม้ Podocarpaceae 93 ไม้พุ่ม หรอื ไม้ต้น ใบเด่ยี ว เรียงสลบั หรอื เรียงเวียนสลับ มลี ักษณะต่าง ๆ กัน ต้ังแต่ลดขนาดลงเป็นเกล็ด เป็นรูปเข็ม หรือรูปใบหอก อวยั วะเพศ (strobili) แยกกนั อยู่ มักจะอยู่ต่างต้น และออกตามง่ามใบตอนปลาย ๆกิ่ง อวยั วะเพศผู้มี microsporophylls หลายอนั เรียงซ้อนสลบั กัน แต่ละอันมี microsporangia 2 อนั microspores มีปีก อวัยวะเพศเมยี อยู่เด่ยี ว ๆ มไี ข่เพยี งเมล็ดเดยี ว ไข่มีเย่อื (epimatium) หุ้ม อยู่บนฐานทป่ี ระกอบขนึ้ ด้วยเกลด็ ท่เี ชอื่ ม ตดิ กนั เมล็ด มเี ยอ่ื หุ้มมดิ หรอื หุ้มอยู่เพียงคร่งึ เดียว ใบเลย้ี งมี 2 ใบ พืชในวงศ์น้พี บขนึ้ ในประเทศไทย 3 สกลุ คอื สกุล Dacrydium, Podocarpus และ Dacrycarpus รปู วิธานแยกสกุล 1. ช่อดอกเพศผู้และเพศเมยี อยู่ท่ีปลายกิง่ เมลด็ มขี นาดกว้างไม่เกิน 5 มม. ยาวไม่เกนิ 3 มม ใบเป็นเกล็ดหรอื รูป สว่าน เรยี งสลบั Dacrydium, Dacrycarpus 1. ช่อดอกเพศผู้และเพศเมยี อยู่ตามกิ่ง เมลด็ มขี นาดกว้างประมาณ 11 มม. ยาวประมาณ 10 มม. หรือกว่าน้นั ใบกว้าง หรอื แคบเรยี ว Podocarpus พันธุ์ไม้ในสกลุ Dacrydium มอี ยู่ในประเทศไทยเพยี งชนดิ เดียว คือ สนสามพันปี D. elatum (Roxb.) Wall. พบข้ึนในป่าดบิ เขาทางภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภาคตะวันออก ภาคกลาง และตะวันออกเฉยี งใต้ พนั ธุ์ไม้ในสกุล Podocarpus มีด้วยกนั 5 ชนิด พบขึ้นตามป่าดบิ ทว่ั ๆ ไปในประเทศ เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. รปู ธานจำ� แนกชนดิ 1. เส้นกลางใบเห็นชัด ไม่มเี ส้นใบ 2. ปลายใบแหลม 3. ช่อดอกเพศผู้อยู่เดยี่ ว ๆ จ�ำนวน 3-2 ตามง่ามใบ ดอกเพศเมยี ก้านยาว 10 มม. ใบยาวถงึ 20 ซม. กว้าง 1.8 ซม. เรยี วสอบไปหาปลายใบ 1. ซางจงิ P.neriifolius D. Don 3. ช่อดอกเพศผู้มจี �ำนวน 5-3 ตามง่ามใบ ดอกเพศเมยี ก้านยาว 2 มม. ใบยาวถึง 7 ซม. กว้าง 0.5 ซม. ปลาย ค่อนข้างสอบ 2. สนใบเลก็ P. Polystachyus R. Br. 2. ปลายใบมนหรอื ทู่ 3. พญาไม้ใบส้ัน P. pilgeri Foxw. 1. เส้นกลางใบเห็นได้ไม่ชัด มเี ส้นใบ 4. ช่อดอกเพศผู้อยู่เด่ยี ว ๆ ใบรปู รี กว้าง 2.5 ซม. ยาว 5 ซม. ฐานรองรบั เมลด็ ยาว 10 มม. 4. พญาไม้ P. motleyi (Part.) Dum. 4. ช่อดอกเพศผู้จ�ำนวน 6-3 ใบรูปขอบขนานหรอื รูปไข่แกมขอบขนาน ขนาดใหญ่กว่า 5. ขนุ ไม้ P. wallichianus Presl. คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

94 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช ส่วน Dacrycarpus น้นั พบหนง่ึ ชนิด คือ มะขามป้อมดง D. imbricatus (Blume) de Laub. var. patulus de Laub. ใบประดบั ทเ่ี ชอ่ื มติดกันและรองรับเมลด็ ด้านหนง่ึ เปน็ สนั เหน็ ได้ชดั เม่อื ผลโตเตม็ ที่ ใบเลก็ เรยี ว แผ่แบน (ดรู ายละเอียดเพ่มิ เติมในหนังสือ Flora of Thailand. Vol. 2(3): 197-203. 1975.) 2. วงศ์พญามะขามป้อม Cephalotaxaceae ไม้พุ่ม หรอื ไม้ต้น ดอกเพศผู้และเพศเมยี แยกกันอยู่คนละต้น ใบแคบเรียว ปลายแหลม ตดิ เรียงสลับกัน มี ท่อชนั (resin duct) ขนาดใญ่อยู่ทางด้านหลงั ใบขนานกนั ไปกับเส้นกลางใบ และมตี ่อมสขี าวตามยาวของใบ ดอกเพศ ผู้มจี �ำนวน 11-6 รวมกนั อยู่เปน็ ก้อนกลม ๆ ตามง่ามกาบบาง ๆ และมีเกลด็ เลก็ ๆ เป็นกระจงั รองรบั อยู่ ดอกหน่งึ ๆ มีเกสรเพศผู้ 12-7 อนั แต่ละอนั เปน็ เกลด็ รปู โล่ มกี ้านเชื่อมต่อกบั แกนช่อดอก ภายใต้เกลด็ มอี ับเรณู 3-2 อัน ละอองเรณูกลม ดอกเพศเมยี รวมกนั อยู่เป็นรูปกรวยเล็ก ๆ มีก้านส่ง อยู่ตามกาบตอนปลาย ๆกงิ่ กรวยหน่งึ ๆมี 20-6 เกลด็ อยู่บนแกนท่อี วบน้�ำ เกล็ดหนง่ึ มีไข่ 2 ใบอยู่ท่โี คน ไข่นจ้ี ะเจรญิ ขึน้ เป็นเมลด็ เพยี งเมล็ดเดียว เมอื่ ไข่เจรญิ ขน้ึ เกลด็ เหล่านจ้ี ะเชอ่ื มตดิ กัน ท�ำให้คล้าย ๆเปน็ เมลด็ ในระยะที่เจริญข้ึนมานน้ั มเี ยื่อหนานุ่มหุ้มอยู่ครง่ึ หน่ึง เมลด็ มี ขนาดใหญ่และมจี �ำนวนหนึ่งหรอื 2 เมลด็ ต่อกรวยหนง่ึ เปลอื กช้ันนอกหนานุ่ม มชี ัน ชนั้ ในบางแข็ง ในประเทศไทยมอี ยู่เพียงชนิดเดียวคอื พญามะขามป้อม Cephalotaxus griffithii Hook.f. พบขึน้ ตามป่าดบิ เขาทางภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ เนอ้ื ไม้เล่อื ยผ่าตบแต่งง่าย เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. 3. วงศส์ นสามใบ Pinaceae ไม้ต้น ไม่ผลดั ใบ ใบ เด่ียว รปู เข็ม ขนึ้ เป็นกลุ่ม อวยั วะเพศ แยกกนั อยู่คนละช่อ และมกั จะอยู่บนต้นเดยี วกนั เปน็ ส่วนมาก ดอกเพศผู้ประกอบด้วยใบทส่ี ร้างอับสปอร์เพศผู้ (microsporophylls) จ�ำนวนมากเรยี งสลับเวยี นกนั แต่ละอนั มอี ับสปอร์เพศผู้ (microsporangia) คู่หนง่ึ สปอร์เพศผู้ (microspores) มปี ีก ดอกเพศเมียมีเกล็ดรองรังไข่ หลายอัน เรียงสลบั เวยี นกนั แต่ละเกลด็ มีไข่อยู่ 2 เมล็ด อยู่ทางด้านบน ทางด้านล่างของแต่ละเกล็ดมกี าบรองรบั อยู่ ดอกเพศเมยี นี้เมอ่ื เจริญข้ึนจะเป็นรูปกรวย เกล็ดแข็ง เมลด็ มจี �ำนวน 2 ต่อเกลด็ และมกั มปี ีก ในประเทศไทยมเี พยี งสกลุ เดยี วคอื Pinus และมอี ยู่เพยี ง 2 ชนดิ คอื สนสองใบ P. merkusii Jungh. & de Vries และ สนสามใบ P. kesiya Royle ex Gord. พบขึน้ ตามป่าดบิ เขาทัว่ ๆ ไปทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉยี ง เหนือ เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. สนทงั้ สองชนดิ น้ีสังเกตความแตกต่างกนั ได้ดงั น้คี ือ สนสองใบ น้นั ใบกลุ่มหนึง่ มี 2 ใบ เปลอื กล�ำต้นสี น�ำ้ ตาลเข้มเกอื บด�ำ แตกเป็นร่องลกึ ตามยาวและตามขวางดคู ล้าย ๆ หนังจระเข้ส่วนสนสามใบ นนั้ ใบกลุ่มหนึง่ มี สามใบ เปลอื กล�ำต้นสนี ำ�้ ตาลแกมชมพู ล่อนเปน็ สะเกด็ (ดูรายละเอยี ดเพ่มิ เตมิ ในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(2): 193-194. 1972.) 4. วงศ์แปกลม Cupressaceae ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ใบเรียงตรงข้ามและตง้ั ฉากกัน หรอื เรยี งในระนาบเดยี วกนั รอบก่ิง ใบบางทแี คบยาว ปลายแหลม แต่ส่วนมากเป็นเกล็ด ท้องใบมตี ่อมสีขาว ดอก ทัง้ สองเพศอยู่บนต้นเดยี วกันหรอื แยกกันอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้สัน้ ๆ microsoporophyll เป็นรปู โล่ มี sporangia หลายอัน เกลด็ หุ้มเมล็ดและกาบรองเกลด็ เชอ่ื มติดกัน และอยู่ชดิ กันประกอบเป็นกรวยสน้ั ๆ เกล็ดหุ้มเมล็ดมตี ง่ิ ย่นื ออกมาค่อนไปทางด้านล่างเปน็ ทต่ี ัง้ ของเมลด็ เมล็ด

จ�ำนวน 2-1 ใบเล้ยี งส่วนมากมี 2 ใบ 95 พืชในวงศ์นม้ี ี 19 สกลุ ด้วยกนั ส่วนใหญ่เปน็ พชื อยู่ในเขตอบอุ่น ประเทศไทยมอี ยู่สกุลเดยี ว คอื แปกลม Calocedrus macrolepis Kurz พบข้ึนอยู่ตามรมิ ล�ำธารในป่าดบิ เขาระดับสูง เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. พันธุ์ไม้วงศ์นีส้ กลุ อนื่ ท่ไี ด้น�ำมาปลกู เป็นไม้ประดับ คือ สนแผง Thuja orientakis สนญป่ี ุ่น หรือ สนจนี Cupressus และ สนหางสงิ ห์ Chamaecyparis เปน็ ต้น (ดูรายละเอยี ดเพิม่ เตมิ ในหนังสือ Flora of Thailand. Vol. 2(2): 196. 1972.) 3. อนั ดับ Gnetales พชื ในอันดบั นใ้ี นประเทศไทยพบเพยี งวงศ์เดยี ว คอื วงศ์ Gnetaceae วงศ์เม่อื ย Gnetaceae ส่วนมากเป็นไม้เถาเน้อื แขง็ มีสองสามชนิดท่เี ปน็ ไม้ยืนต้น ก่ิงเป็นข้อต่อกนั และตามข้อจะบวมพอง ใบ เดีย่ ว ตดิ ตรงข้าม เส้นใบแบบเส้นร่างแห อวัยวะเพศแยกกนั อยู่คนละช่อหรือถ้ารวมกันอยู่ดอกก็ไม่สมบรู ณ์ ดอก เพศผู้ยาวเปน็ ข้อ ๆ ตามข้อมดี อกเพศผู้เรียงอยู่โดยรอบ ดอกหนง่ึ ๆ นน้ั มกี าบรอง 2 อนั ซ่งึ เชื่อมตดิ กนั เป็นกระจังดู คล้าย ๆ กลบี ดอก ดอกเพศผู้นม้ี ีอบั เรณอู ันเดยี ว ตอนปลายอบั เรณูนม้ี ี 2 ตอน ดอกเพศเมียเปน็ ช่อยาวและเปน็ ข้อ เหมอื นกัน รอบ ๆ ข้อมีไข่เรียงอยู่ ไข่หน่งึ จะมผี นงั หุ้มอยู่ 3 ชนั้ ชนั้ นอกสดคล้ายเป็นกลีบดอก อีกสองชัน้ ถัดเข้าไป คล้ายเปน็ เปลือกชน้ั นอกและช้ันใน เปลือกชน้ั ในจะงอกยาวออกไปเปน็ ท่อเกสรเพศเมยี (stylar tube) เมล็ด จะมี กลีบนุ่มหรือหนาคล้ายหนงั หุ้มอยู่ ในประเทศไทยพบเพยี งสกุลเดยี วคอื Gnetum มี 8 ชนดิ เช่น ผกั กะเหรย่ี ง หรอื ผักเม่ยี ง G. gnemon L. var. tenerum Markgraf ผลอ่อนใช้รับประทานสด ๆ ได้รสชาติ เหมอื นเนอื้ วัวต้ม เมอ่ื ย G. montanum Markgraf และ เมอื่ ยดูก G. macrostachyum Hook.f. เมลด็ เผาให้สกุ ใช้รับประทานได้ มะเมือ่ ย G. gnemon L. var. gnemon Markgraf เป็นไม้ต้น ในประเทศอนิ โดนเี ซยี ใช้เมลด็ ท�ำแป้งข้าวเกรยี บเรยี กว่า กรุปุก ซึ่งน�ำมาทอดรบั ประทานรสชาตหิ อมมนั อร่อย พนั ธ์ุไม้ชนดิ นีม้ กั พบปลกู กันตามหมู่บ้านเพอ่ื ใช้ประโยชน์จาก เมลด็ ชาวไทยอสิ ลามเรยี กกันว่า ปีแซ (ดูรายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(3): 204-210. 1975.) คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

96 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช แปกลม มะขามป้อมดง Calocedrus macrolepis Kurz Cephalataxus mannii Hook.f. (Cupressaceae) (Cephalotaxaceae) ปรงเขา ปรง Cycas pectinata Griff. Cycas clivicola K.D. Hill (Cycadaceae) (Cycadaceae) ภาพที่ 20

97 สนสามใบ เหมียง Pinus kesiya Royle ex Gordon Gnetum gnemon L.var. tenerum Markgr. (Pinaceae) (Pinaceae) เมื่อย เมือ่ ยดูก Gnetum cuspidatum Blume Gnetum macrostachyum Hook.f. (Gnetaceae) (Gnetaceae) ภาพที่ 21 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

98 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช จ�ำ ปีเพชร จำ�ปา Magnolia mediocris (Dandy) Figlar Magnolia champaca (L.) Baill. ex Pierre (Magnoliaceae) (Magnoliaceae) มหาพรหม หนวดปลาดกุ Mitrephora keithii Ridl. Polyalthia stenopetala (Hook. f. & Thomson) (Annonaceae) Finet & Gagnep. ภาพที่ 22 (Annonaceae)

99 ก้านร่ม หน่วยนกงุ้ม Beilschmiedia gammieana King ex Actinodaphne sesquipedalis (Wall. ex Kuntze) Hook.f. & Thomson ex Meisn. var. gladra Kochummen Hook.f. (Lauraceae) (Lauraceae) นางพญาเสือโคร่ง ไข่ปใู หญ่ Rubus alceifolius Poir. Prunus cerasoides D. Don (Rosaceae) ภาพที่ 23 (Rosaceae) คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

100 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 2. พืชดอก (Angiosperms) ในปัจจบุ นั ประมาณกนั ว่าพชื ในกลุ่มนม้ี อี ยู่ประมาณ 250,000 ชนดิ พืชกลุ่มน้ีมักเรยี กกนั ว่า พชื ดอก เปน็ พืชกลุ่มใหญ่ท่สี ุดในบรรดาพรรณพชื ท้ังหลาย พชื กลุ่มนมี้ ีลักษณะส�ำคัญเด่นชัด เมล็ดเกิดในรงั ไข่ เน้อื ไม้มี vessele ท�ำหน้าท่ีล�ำเลยี งนำ้� เล้ยี งต่าง ๆ อยู่ใน xylem พชื กลุ่มนี้จ�ำแนกออกได้เป็น 2 ชนั้ (class) คอื พชื ใบเล้ยี งคู่ (Dicotyledonae) และพชื ใบเล้ยี งเดยี่ ว (Monocotyledonae) ลักษระของพชื ท้งั สองชน้ั มีดังน้ี 1. พืชใบเลี้ยงคู่ Dicotyledonae ท่อน้ำ� และท่ออาหาร (vascular bundle) เรยี งเป็นวงรอบแกนของล�ำต้น มีชน้ั เจรญิ เตบิ โต (cambium) อยู่ระหว่างท่ออาหาร (sylem) และท่อนำ�้ (phloem) ท�ำหน้าทเ่ี สรมิ สร้างความเจรญิ เติบโตต่อไป ใบมเี ส้นใบแบบร่างแห (net-veined) ส่วนต่าง ๆ ของดอกมีจ�ำนวนชน้ั ละ 4 หรอื 5 หรือกว่านนั้ ในอัตรา ทวีคณู embryo มใี บเลีย้ ง 2 ใบอยู่ข้าง ๆ 2. พชื ใบเล้ยี งเดย่ี ว Monocotyledonae ท่อน�ำ้ และท่ออาหาร (vascular bundle) เรียงกระจายกันไป ในล�ำต้น แต่ละกลุ่มมขี อบเขตล้อมรอบ และไม่มชี นั้ เจริญเตบิ โต (cambium) ใบส่วนมากมเี ส้นใบขนานกัน (parallel- veined) ส่วนต่าง ๆ ของดอกมจี �ำนวนชน้ั ละ 3 หรอื กว่านน้ั ในอตั ราทวคี ณู ใบเล้ยี งมเี พยี งใบเดยี วอยู่ตอนปลายของ embryo ชัน้ พืชใบเลยี้ งคู่ (Class Dicotyledonae) เน่อื งจากพรรณไม้ในชนั้ น้ไี ด้จ�ำแนกออกไปมากมายหลายอันดับ จงึ เลอื กเอาเฉพาะอันดบั ท่มี คี วามส�ำคญั มาจ�ำนวน 15 อันดบั ด้วยกัน รูปวิธานแยกอันดับ 1. กลีบดอก (petals) แยกจากกันหรอื ไม่มี 2. กลบี ดอกแยกจากกนั 3. รังไข่ (ovary) ส่วนมากอยู่เหนอื วงกลบี (superior) 4. ส่วนต่าง ๆ ของดอกมจี �ำนวนมาก เรียงเวียนสลับ เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก เกสรเพศเมียมีจ�ำนวนน้อยหรอื มาก และเด่นชัด (หายากทส่ี ่วนต่าง ๆของดอกเรยี งเป็นวงรอบ (whorl)และมเี กสรเพศเมยี เพยี งอนั เดยี ว) 1. Ranales 4. ส่วนต่าง ๆ ของดอกมจี �ำนวน 5 เรียงเป็นวงรอบ (whorl) 5. รงั ไข่มหี ลายอันแยกจากกัน หรอื เชอ่ื มติดกัน หรอื มีเพียงอันเดยี ว กลบี ดอกและเกสรเพศผู้โดยมากอยู่รอบ หรอื เหนือเกสรเพศเมยี 2. Rosales 5. รังไข่ส่วนมากเช่อื มตดิ กัน กลบี ดอกและเกสรเพศผู้อยู่ใต้เกสรเพศเมยี 6. เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนมาก แยกจากกนั หรอื เชื่อมตดิ กนั เปน็ กลุ่ม ๆ หรอื เป็นหลอด disc เหน็ ไม่ชดั หรอื ไม่มี

7. กลบี เลยี้ งเรียงซ้อนเหลอ่ื มกัน (imbricate) placenta ส่วนมากเป็นชนดิ parietal หรอื axile 101 8. placenta ส่วนมากเปน็ แบบ parietal 3. Passiflorales 8. placenta ส่วนมากเปน็ แบบ axile 4. Guttiferales 7. กลบี เลยี้ งเรยี งจรดกนั (valvate) placenta เปน็ ชนดิ axile มักมขี นเป็นกระจุก และมเี มอื กเหนยี ว 9. Malvales 6. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเป็น 2 เท่าของกลีบเลี้ยง บางทีมนี ้อยกว่า ส่วนมากแยกจากกัน placenta ส่วนมาก เปน็ แบบ axile หรอื marginal มกั มี glandular disc เห็นได้ชดั 9. เกสรเพศผู้ตามปกตมิ ี 2 ชั้น ช้ันนอกอยู่ตรงข้ามกับกลบี ดอก ไข่ห้อยหวั ลง มรี อย raphe ทางด้านหน้า 10. Geraniales 9. เกสรเพศผู้ตามปกตมิ ี 1 หรือ 2 ชัน้ ถ้ามี 2 ช้นั ๆ นอกจะอยู่สลับกับกลบี ดอก ไข่ห้อยหัวลง มีรอย raphe ทางด้านหลงั 11. Sapindales 3. รงั ไข่ส่วนมากอยู่ใต้วงกลบี (inferior) ไข่มจี �ำนวนมาก ใบส่วนมากเรยี งตรงข้ามกัน 8. Myrtales 2. ไม่มกี ลบี ดอกท่ีแท้จรงิ 10. perianth มกั มีชั้นเดียวลกั ษณะคล้ายกนั เกสรเพศผู้อยู่ตรงข้ามและตดิ กับกลบี perianth ไข่มจี �ำนวนน้อยหรอื เพยี งเมล็ดเดียว ส่วนมากห้อยหัวลง (pendulous) 11. ช่อดอกเป็นแบบ raceme หรือ spike เกสรเพศผู้ตดิ ตรงข้ามกับกลบี ดอก ก้านเกสรเชอ่ื มตดิ กนั กับกลบี ดอก เมลด็ ไม่มี endosperm 5. Proteales 11. ช่อดอกเป็นแบบต่าง ๆ ก้านเกสรเพศผู้แยกจากกลบี ดอก เมล็ดมี endosperm 7. Urticales 10. perianth ส่วนมากไม่มี ดอกมีแต่ใบประดับ (bracts หรือ bracteoles) รองรบั ดอกมเี พศเดยี ว ช่อดอกเพศผู้ เป็นแบบหางกระรอก 6. Amentiferae 1. กลีบดอก (petals) เช่อื มตดิ กนั ไม่มากก็น้อย (หายากท่แี ยกจากกนั ) 12. รังไข่ส่วนมากตดิ เหนอื วงกลีบ เกสรเพศผู้ตดิ กบั หลอดกลบี ดอก 13. เกสรเพศผู้ส่วนมากมีจ�ำนวนเปน็ 2 เท่าของจ�ำนวนกลบี ดอก ส่วนมากมี 4 หรือ 5 กลบี หรือมากกว่า รังไข่ มี 5-2 ช่อง หรือมากกว่า 12. Ebenales 13. เกสรเพศผู้ส่วนมากมจี �ำนวนเท่ากัน หรอื น้อยกว่าจ�ำนวนกลบี ดอก ส่วนมากมี 5 กลบี รังไข่มี 3-1 ช่อง 14. กลบี ดอกส่วนมากมขี นาดเท่ากนั กลบี บิดเวยี นตามกนั ไป เกสรเพศผู้ตดิ อยู่ทโ่ี คนหลอดกลบี ดอก รงั ไข่มี 2 ช่อง เชอื่ มตดิ กนั หรือแยกกันตอนปลาย ใบเรยี งตรงข้าม 13. Gentianales 14. กลีบดอกขนาดไม่เท่ากนั เรยี งซ้อนเหลือ่ มกนั (imbricale) เกสรเพศผู้ตดิ กับหลอดกลบี ดอก (corolla tube) ท่คี ่อนข้างยาว รังไข่มี 2 ช่อง (หายากท่มี ี 3 หรอื 5 ช่อง) เช่ือมตดิ กัน ใบเรียงสลบั หรอื ตรงข้าม 15. Tubiflorae คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

102 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุ์พืช 12. รงั ไข่ตดิ ใต้วงกลบี อบั เรณูแยกจากกัน หายากท่เี ช่อื มติดกนั ใบเรยี งตรงข้ามหรอื เป็นวงรอบส่วนมากมหี ใู บ 14. Rubiaceae 1. อนั ดบั Ranales ดอกสมบูรณ์เพศ บางทเี ปน็ ดอกเพศเดียว วงกลบี รวมมีจ�ำนวนมาก แยกจากกนั ลักษณะคล้ายกัน ไม่แยก ออกเป็นกลบี เลี้ยงหรือกลีบดอกได้ชัด เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก เกสรเพศเมียมีจ�ำนวนมาก แยกจากกนั หายากที่ เชอื่ มติดกันหรอื ลดจ�ำนวนลงเหลอื เพยี งอนั เดยี ว รงั ไข่เหนอื วงกลีบ endosperm มมี าก หายากทย่ี ่นหรอื ไม่มี embryo มกั มขี นาดเลก็ อนั ดบั นีป้ ระกอบด้วยพชื ประมาณ 12 วงศ์ด้วยกนั แต่จะน�ำมากล่าวเพยี ง 5 วงศ์เท่าน้นั ตามลักษณะต่าง ๆ ของดอกนน้ั จะแบ่งพืชในอันดบั นอ้ี อกได้เปน็ 2 กลุ่มด้วยกัน คอื Magnoliaceae และ Annonaceae กลุ่มหนง่ึ เพราะ กลบี ดอกมีจ�ำนวนมาก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี มีจ�ำนวนมาก แยกจากกนั และตดิ อยู่บนฐานหรือแกน (torus) เดียวกนั ดอกเป็นชนดิ bisexual อีกกลุ่มหนง่ึ นนั้ คอื Myristicaceae, Lauraceae และ Menispermaceae ซ่งึ ต่างก็มี จ�ำนวนกลบี จ�ำกัดและเรยี งกันอยู่เพยี งชั้นเดยี ว ดอกเปน็ ชนดิ unisexual รูปวธิ านแยกวงศ์ 1. พชื มตี ่อมน้ำ� มนั ส่วนมากเปน็ ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม 2. ดอกออกเดี่ยว ๆ ทีป่ ลายกิ่ง ตามง่ามใบ หรอื เปน็ กระจกุ (fascicle) ตามกง่ิ หรือตามล�ำต้น เกสรเพศผู้จ�ำนวน มาก เรยี งเวียนสลับ (spiral) อบั เรณูแตกเป็นช่องตามยาว หรอื เปน็ รทู ป่ี ลายสดุ เกสรเพศเมยี มีหลายคาร์เพล 3. เมล็ดมอี าหารสะสม (albumen) เรยี บ ดอก bisexual เกสรเพศผู้แยกจากกัน 1. Magnoliaceae 3. เมล็ดมอี าหารสะสม (albumen) ย่นเป็นร่อง เกสรเพศเมยี บางทมี ีคาร์เพลเดียว 4. ดอก bisexual เกสรเพศเมียมีหลายอัน ผลกลุ่ม (aggregate) แต่ละผลอวบนำ้� คาร์เพลแยกจากกนั (หายากท่ี เชอ่ื มตดิ กนั ) เกสรเพศผู้แยกจากกนั 2. Annonaceae 4. ดอก unisexual เกสรเพศเมียมีคาร์เพลเดยี ว ผลคล้าย drupe แตกออกเปน็ สองซกี เกสรเพศผู้ตดิ กันเปน็ หลอด หรอื เชอ่ื มติดกันตรงโคนเท่านนั้ 3. Myristicaceae 2. ดอกออกเป็นช่อ panicle ตามปลายก่งิ หรอื เปน็ กระจกุ (fascicle) ตามง่ามใบ เกสรเพศผู้มจี �ำนวนจ�ำกัด มักมี จ�ำนวน 6 ถึง 12 เรยี งเปน็ วง (whorl) อบั เรณูแตกออกเผน็ ช่องตามยาว หรอื แบบช่องหน้าต่างตามขวาง 4. Lauraceae 1. พืชไม่มีต่อมน้�ำมนั ส่วนมากเป็นไม้เถา ดอกมกั เปน็ unisexual ออกดอกเปน็ ช่อยาวตามง่ามใบ หรือตามกิ่งแก่ และตามล�ำต้น กลบี ดอกเล็ก embryo โค้งมขี นาดใหญ่ 5. Menispermaceae 1. วงศจ์ ำ� ปี จ�ำปา Magnoliaceae ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม มกั มกี ลิ่นหอม ใบ เด่ียว เรียงสลับ หใู บมีขนาดใหญ่ หุ้มปิดตามิด ส่วนมากตดิ เชือ่ มกับ ก้านใบ แต่หลุดร่วงได้ง่าย เหลอื รอยแผลเป็นไว้บนกง่ิ และโคนก้านใบ ดอก มีขนาดใหญ่ ออกเด่ยี ว ๆทปี่ ลายกงิ่ หรือ ตามง่ามใบ ดอกสมบูรณ์เพศ สมมาตรตามรศั มี กลบี ดอกมีหลายช้ัน แยกไม่ออกว่าเป็นกลบี เลย้ี งหรอื กลีบดอก

103 เรยี กรวมกนั ว่ากลบี รวม (tepal) ส่วนใหญ่มจี �ำนวนต้ังแต่ 9 กลบี หรอื มากกว่า เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนมาก แยกจากกนั อบั เรณู (anthers) เรยี วยาว ส่วนมากหันหน้าเข้าหาแกน เกสรเพศเมยี มจี �ำนวนมาก แยกจากกันเรยี งสลบั เวยี นบน แกนยาวตรงกลางดอก รังไข่หนึ่ง ๆ มจี �ำนวนไข่สองเมล็ด ผล มกั เปน็ พวง (follicetum) ส่วนใหญ่เปน็ ผลแห้งและแก่ แตก ท่ีแก่ไม่แตกพบน้อยมาก เมลด็ มี endosperm มาก embryo เล็ก พืชในวงศ์น้ตี ่างเปน็ ไม้ต้นขนาดใหญ่ สังเกตได้โดยง่ายทเี่ ปลือกมกี ล่นิ ฉุ่น ๆ หูใบเชอ่ื มตดิ กันกบั ก้านใบใน ระยะหน่งึ แล้วจะหลดุ ร่วงไปท้งิ รอยแผลเป็นไว้เป็นร่อง ใบแห้งท่หี ล่นอยู่ตามพ้นื ป่าจะเห็นเส้นร่างแหปรากฏชัดทาง ด้านหลังใบ พชื ในวงศ์น้มี ีอยู่ด้วยกนั 4 สกุลด้วยกนั ส่วนมากพบข้นึ ท่วั ไปในเขตอบอุ่นและเขตร้อนของโลก เท่าท่ี ส�ำรวจพบในประเทศไทยมอี ยู่ด้วยกนั 1 สกุล ประมาณ 29 ชนิด สกลุ Magnolia เท่าทพ่ี บมีอยู่ 29 ชนิด เช่น จ�ำปีป่า หรอื ไม้ช้อน M. henryi Criab พบตามป่าดิบทางภาค เหนือ หัวเต่า หรอื จ�ำปีเขา M. craibiana Dandy พบตามป่าดบิ ขึน้ ทางภาคใต้ อกี ชนดิ หนง่ึ เปน็ ไม้ประดบั มถี น่ิ ก�ำเนดิ อยู่ทางภาคตะวันออกเฉยี งใต้ของประเทศจนี คือ ยห่ี บุ หนู หรือ ยห่ี บุ น้อย M. coco (Lour.) DC. (ดูรายละเอยี ดเพิ่มเติมในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(2): 251-267. 1975.) หมายเหตุ ในปี พ.ศ. 2539 มกี ารจดั จ�ำแนกพรรรไม้ในวงศ์จ�ำปาทั่วโลกข้นึ ใหม่ ตาม World Checklist an Bibliography of Magnoliaceae โดยยบุ รวมหลายสกุ ลเข้าด้วยกนั จนเหลอื 7 สกลุ และมจี �ำนวนทั้งหมด 223 ชนิด คือ สกุล Elmerrillia สกุล Kmeria สกลุ Liriodendron สกุล Magnolia สกลุ Manglietia สกุล Michelia สกุล Pachylarnax ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 ก็ได้มีการยบุ สกุล Elmerrillia สกลุ Kmeria และสกลุ Manglietia เข้ามาไว้ในสกุล Magnolia ท�ำให้เหลือเพยี ง 4 สกลุ คือ สกุล Liriodendron สกลุ Magnolia สกลุ Manglietia และสกุล Pachylarnax ต่อมาได้มกี ารยบุ รวมจนในประเทศไทยเหลอื เพียง 1 สกุล คือ สกลุ Magnolia 2. วงศ์กระดังงา Annonaceae ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอื ไม้เถาเน้อื แข็ง เปลอื กและใบมีกลน่ิ ฉุน ใบ เดย่ี ว เรียงสลบั ไม่มหี ใู บ ดอก ส่วนมากสีเขยี ว เหลอื ง หรือม่วงแดง ออกเด่ยี ว ๆ ตามปลายกง่ิ ตรงข้ามกบั ใบ ตามง่ามใบ หรอื เป็นกระจุก เปน็ ช่อสนั้ ๆ ตามก่งิ แก่ ๆ และตามล�ำต้น ดอกส่วนมากเป็นดอกสมบูรณ์เพศ (bisexual) หายากท่เี ปน็ ดอกเพศเดียว (unisexual) แกนดอก แบนราบ โค้งครึง่ วงกลมหรอื เปน็ รปู กรวยคว�่ำ กลบี เลย้ี ง (sepals) มีจ�ำนวน 3 หายากที่มี 2 แยกจากกนั หรือเช่อื ม ติดกันในลกั ษณะต่าง ๆ กลีบดอกมจี �ำนวน 6 กลบี เรยี งกันอยู่เป็น 2 ชัน้ เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก เรียงเวียนสลับกัน หลายชนั้ เกสรเพศเมียมจี �ำนวนมาก หายากท่มี จี �ำนวนน้อยหรอื เพยี งอันเดียว แยกจากกัน หายากท่เี ชอ่ื มตดิ กนั รังไข่มชี ่องเดยี ว placenta เป็นแบบ parietal ผล มีก้านส่งเป็นอสิ ระ บางทพี บเป็นผลกลุ่ม (aggregate) ท่มี ผี วิ อวบน้ำ� เช่น น้อยหน่า (Annona squamosa L.) เมลด็ มเี ยอ่ื หุ้ม หรอื บางทกี ไ็ ม่มี endosperm มปี รมิ าณมากและย่นเป็นร่อง พืชในวงศ์น้มี ีจ�ำนวนสมาชกิ มากสกลุ และมากชนดิ ประมาณ 122 สกลุ และ 1,100 ชนิด มีเขตกระจายพันธุ์ กว้างขวางในเขตร้อนของโลก ส่วนมากพบข้นึ อยู่ตามป่าดบิ ในระดบั ตำ่� ในประเทศไทยเท่าทส่ี �ำรวจพบมีอยู่ 34 สกุล ด้วยกนั แต่ท่ีมีคุณค่าส�ำคญั ทางเศรษฐกจิ มีอยู่เพยี งไม่กส่ี กลุ เช่น สกุล Mezzettia คอื หัวค่าง M. leptopoda Oliv. สกุล Polyalthia คือ ยางโอน P.viridis Craib สกลุ Cananga คือ เฝิง หรือ สะแกแสง C. latifolia Finet & Gagnep. สกุล Platymitra คอื ห�ำช้าง หรือ ห�ำโจร P. siamensis Craib และสกุล Cyathocalyx คือ นางเลว C. martabanicus Hook.f. & Thoms. คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

104 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุ์พืช นอกจากนม้ี บี างสกลุ ทีน่ �ำมาปลกู เป็นไม้ประดบั เพราะดอกมกี ล่ินหอม เช่น สายหยดุ Desmos chinensis Lour. การเวก Artabotrys siamensis Miq. ล�ำดวน Melodorum fruticosum Lour. นมแมว Rauwenhoffia siamensis Scheff. และ กระดังงา Cananga odorata Hook.f. & Thoens. เป็นต้น พชื ในวงศ์นจ้ี ะสังเกตได้โดยง่ายทใ่ี บและเปลือกมกี ล่นิ ฉนุ ยอดมักมขี นละเอยี ดสนี �้ำตาลปกคลุม และ เปลือกเมอื่ สบั ดใู ต้เปลอื กมักจะมีสดี �ำหรอื น�้ำตาลแกมด�ำ ชน้ั cambium ลอกออกได้เป็นเย่อื โปร่งบาง ๆ 3. วงศ์จันทนป์ ่า จนั ทน์แดง Myristiaceae ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ไม่ผลัดใบ เปลอื กมนี ำ�้ เล้ียงใสสีแดง ใบ เดย่ี ว ไม่มหี ูใบ เรียงสลบั ดอก เล็ก เป็นดอกเพศ เดียว (unisexual) ต่างเพศต่างต้น ออกเปน็ ช่อ หรือเปน็ กระจกุ หรอื เดย่ี ว ๆตามง่ามใบ กลีบดอกเชอ่ื มติดกนั มี จ�ำนวน 4-2 กลีบ ส่วนมากแล้วมี 3 กลบี เกสรเพศผู้มจี �ำนวน 30-3 ก้านเกสรเชือ่ มติดกันเปน็ หลอด หรอื เปน็ ฐาน ราบ ๆ รังไข่มีอันเดียว และมีไข่เพยี งเมล็ดเดยี ว ผล สด แบบ drupe แตกออกเป็น 2 ซกี เมลด็ ใหญ่ มกั จะมเี ยื่อสแี ดง หุ้ม embryo เล็ก endosperm ย่นเป็นร่อง พชื ในวงศ์นม้ี ี 15 สกุล ขน้ึ ในเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยมอี ยู่ด้วยกัน 4 สกลุ พืชทัง้ 4 สกุลนีเ้ ปน็ ไม้ต้น ทงั้ สิน้ คอื Myristica, Gymnaranthera, Horsfieldia และ Knema สกุล Myristica หรอื จันทน์ป่า เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. เพราะเมล็ดใช้เปน็ สมุนไพรและเคร่ืองเทศ นอกนั้นเปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. รูปวิธานแยกสกุล 1. เย่ือหุ้มเมล็ดแฉกลกึ ลงมาเกือบถงึ โคน เกสรเพศผู้เชอ่ื มตดิ กันเปน็ หลอดยาว 2.อับเรณเู ชื่อมตดิ กันกับหลอดเกสรตอนปลายมกั มสี ่วนท่เี ป็นหมนั มใี บประดับตดิ อยู่ทโ่ี คนกลีบ ดอกทางด้านใด ด้านหนง่ึ Myristica 2. อับเรณแู ยกจากกนั ตอนปลาย หลอดดอกสน้ั หรอื ไม่มี ไม่มใี บประดบั Gymnacranthera 1. เยื่อหุ้มเมลด็ เรยี บหรอื แฉกเพยี งตอนปลายเท่านน้ั เกสรเพศผู้มลี ักษณะต่าง ๆ 3. เยือ่ หุ้มเมลด็ เรยี บ หุ้มมดิ เมลด็ ตอนปลายหยักหรอื ม้วน เกสรเพศผู้เปน็ รูปกลม ๆ รปู ถ้วยรปู สามเหล่ยี ม หรอื รูปทรงกระบอก เกอื บไม่มีก้าน อบั เรณูเช่อื มตดิ กับหลอดเกสรเกอื บตลอดอัน ไม่มกี าบรองกลีบดอก Horsfieldia 3. เย่ือหุ้มเมลด็ แฉกเพยี งตอนปลาย เกสรเพศผู้มกี ้านเป็นรปู ร่ม หรือรูปจานสามเหล่ยี มอับเรณแู ยกจากกนั มีใบ ประดบั Knema 4. วงศ์อบเชย Lauraceae ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ส่วนต่าง ๆ มักมกี ลิน่ หอม ใบเด่ียว เรยี งสลบั บางทีเรยี งตรงข้าม เส้นใบแบบขนนก หรือ แบบนวิ้ มือ ไม่มีหใู บ ดอก bisexual หรือ unisexual กลีบดอกมจี �ำนวน 6 เรยี งอยู่เปน็ 2 ชนั้ เกสรเพศผู้มีจ�ำนวน 6 หรือ 9 เรยี งอยู่เปน็ 3-2 ช้ัน อับเรณูแตกแบบช่องหน้าต่าง 2 หรอื 4 ช่อง รังไข่มีอันเดียว และมีไข่เมล็ดเดยี ว ผล สด แบบ drupe ตอนโคนมกั มกี ้านดอกทพี่ องโตข้นึ มาหุ้ม (hypanthium) เมล็ดไม่มี endosperm

105 พชื ในวงศ์น้มี กี ว่า 30 สกุล ข้ึนอยู่ตามเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยเท่าที่ส�ำรวจพบมอี ยู่ 12 สกุลด้วยกนั คือ Persea, Phoebe, Dehaasia, Beilschmiedia, Cinnamomum, Actinodaphne, Alseodaphne, Temmodaphne, Cryptocarya, Litsea, Neolitsea และ Lindera สกุล Cinnamomum เป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. สกลุ Litsea, Beilschmiedia, Dehaasia และ Neolitsea เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. ส่วนมากพบขน้ึ ตาม ป่าดบิ ทวั่ ๆไป รปู วธิ านแยกสกลุ 1. ดอกออกเปน็ ช่อแบบ panicle แต่ถ้าเป็นแบบ umbel จะไม่มใี บประดับรองรับ 2. ผลไม่มกี ้านดอกทพี่ องโตหุ้ม 3. อบั เรณูมี 4 ช่อง Persea, Phoebe 3. อบั เรณมู ี 2 ช่อง Dehaasia, Beilschmiedia 2. ผลมกี ้านดอกท่ีพองโตหุ้มตอนโคน หรอื หุ้มมดิ ผล 4. ผลมถี ้วยหุ้มตอนโคน อบั เรณูมี 4 ช่อง Cinnamomum, Actinodaphne, Alseodaphne, Temmodaphne 4. ผลมถี ้วยหุ้มมดิ ผลอับเรณูมี 2 ช่อง Cryptocarya 1. ดอกออกเปน็ ช่อแบบ umbel มใี บประดับใหญ่เรยี งตรงข้ามตัง้ ฉากกนั รับดอก ผลมถี ้วยรองรบั 5. อบั เรณูมี 4 ช่อง Litsea, Neolitsea 5. อับเรณูมี 2 ช่อง Lindera 5. วงศ์บอระเพ็ด Menispermaceae ไม้เถา ส่วนมากเน้อื แข็ง มักมีน�้ำยางสีเหลอื งหรอื สขี าว ใบ เด่ยี ว เรยี งสลับ ไม่มีหูใบ ดอก ขนาดเล็กมาก ดอกเพศเดยี ว และต่างเพศต่างต้น กลบี เลี้ยงมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น กลีบดอกมี 6 กลบี หรอื น้อยกว่าน้ี หรอื บางที ก็ไม่มี เกสรเพศผู้มี 3 หรือ 6 เกสรเพศเมยี มีอันเดยี ว หรอื 3 หรอื 6 มไี ข่เพียงเมลด็ เดยี ว มักจะมเี กสรเพศผู้เปน็ หมัน (staminodes) และเกสรเพศเมยี เป็นหมนั (pistillodes) ผล สดแบบ drupe เมล็ดมกั จะโค้ง endosperm มหี รอื ไม่มี พชื ในวงศ์น้มี จี �ำนวน 80-70 สกุล ข้นึ อยู่ทว่ั ๆ ไป ตามเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยเท่าทส่ี �ำรวจพบมอี ยู่ ด้วยกนั 22 สกลุ 51 ชนดิ มีหลายชนิดทเี่ ปน็ สมุนไพร เช่น บอระเพ็ด Tinospora crispa (L.) Hook.f. & Thoms. ใบก้น ปิด Stephania japonica (Thunb.) Miers var. discolor (Blume) Forman และ โกฐหัวบัว หรอื สบู่เลอื ด S. pierrei Diels พืชมพี ษิ เช่น ขม้ินเครอื Anamirta cocculus (L.) Wight & Arn. Arcangelisia flava (L.) Merr. เมล็ดมีพิษร้ายแรงรบั ประทานท�ำให้เกดิ อนั ตรายถงึ เสยี ชวี ติ ได้ บางชนดิ เปน็ อาหาร เช่น เถาย่านาง Tiliacora triandra Diels ใช้ต้มแก้รสข่นื ของหน่อไม้ เป็นต้น คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

106 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช (ดรู ายละเอยี ดเพิ่มเตมิ ในหนังสือ Flora of Thailand. Vol. 5(3): 300-356. 1991.) 2. อนั ดับ Rosales ดอก ส่วนมากเป็น bisexual มชี น้ั ละ 5 actinomorphic หรอื zygomorphic เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก แยก จากกันหรอื เชอ่ื มตดิ กนั เป็นกลุ่มเดยี ว (monadelphous) หรือ 2 กลุ่ม (diadelphous) เกสรเพศเมยี แยกจากกันหรอื เช่อื มตดิ กัน หรือมเี พียงอันเดียว placenta เปน็ แบบ axile หายากท่ีเปน็ แบบ parietal รังไข่ตดิ เหนือวงกลีบ (superior) บางทตี ดิ ใต้วงกลบี (inferior) มี endosperm มาก หรือไม่มเี ลย embryo เล็กหรอื ใหญ่ ใบ เดีย่ ว หรอื ใบประกอบ ส่วน มากมหี ูใบ (stipule) พชื ในอันดบั น้มี จี �ำนวนสมาชิก และมลี กั ษณะแตกต่างกันแต่ละวงศ์ มีดอกตง้ั แต่ actinormorphic ถึง zygomorphic และดอกตงั้ แต่ hypogynous ถึง epigynous ลกั ษณะทีพ่ บทัว่ ๆ ไปคอื ดอกมีถ้วย (hypanthium) เป็นที่ ตงั้ ของส่วนต่าง ๆ ของดอก ในลักษณะน้รี ังไข่จะเป็นแบบ perigynous เช่น พชื สกุล Rosa (Rosaceae) ในกรณีทดี่ อก เปน็ แบบ epigynous นนั้ รังไข่จะเช่อื มกบั ถ้วยดอกเปน็ เน้อื เดยี วกัน ส�ำหรบั พรรณพชื ของไทยทีม่ ีคุณค่าทางเศรษฐกจิ มอี ยู่ด้วยกนั 3 วงศ์ คอื Rosaceae, Leguminosae และ Hamamelidaceae รูปวิธานแยกวงศ์ 1. รงั ไข่เหนอื วงกลีบ (superior ovary) 2. ดอกสมมาตรตามรศั มี (actinomorphic flower) 3. ผลเปน็ ฝักแบบถัว่ (legume) เกสรเพศเมยี มรี งั ไข่ช่องเดยี ว 2.1. Fabaceae (Mimosoideae) 3.ผลเป็นแบบผลเมลด็ แขง็ (drupe)หรอื ผลมเี น้ือหลายเมล็ด(berry)เกสรเพศเมยี มชี ่องเดยี วหรอื หลายช่อง 1. Rosaceae (บางสกลุ ) 2. ดอกสมมาตรด้านข้าง (zygomorphic flower) ผลเป็นแบบฝกั ถั่ว 4. ดอกแบบ caesalpinaceous 2.2. Fabaceae (Caesalpinioideae) 4. ดอกแบบ papilionaceous 2.3. Fabaceae (Papilionoideae) 1. รงั ไข่กง่ึ ใต้วงกลีบ (half-inferior ovary) หรอื รงั ไข่ใต้วงกลบี (inferior ovary) 5. ใบเดยี่ ว หรือใบประกอบ มกั มีหใู บ ดอก bisexual รงั ไข่มีจ�ำนวน 2 หรอื มากกว่า แยกจากกนั หรอื เชอ่ื มตดิ กัน เมลด็ ไม่มี endosperm 1. Rosaceae (บางสกลุ ) 5. ใบเดย่ี ว ไม่มหี ูใบ ดอก unisexual รังไข่มจี �ำนวน 2 หรอื มากกว่า เชอื่ มตดิ กัน ผลเป็นแบบ capsule มีสองช่อง เปลอื กแข็ง เมลด็ มี endosperm 3. Hamamelidaceae

107 ทองกวาว ประด่บู ้าน Butea monosperma (Lam.) Taub. Pterocarpus indicus Willd. (Fabaceae) (Fabaceae) ลำ�ภูรา หย่อง Maniltoa polyandra (Roxb.) Harms. Archidendron quocense (Pierre) I. C. Nielsen (Fabaceae) (Fabaceae) ภาพที่ 24 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

108 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุ์พืช สะบ้าลิง อรพิม Entada glandulosa Pierre ex Gagnep. Lysiphyllum winitii (Craib) de Wit (Fabaceae) (Fabaceae) เสี้ยวภลู ังกา กระเบากลกั Phanera nakhonphanomensis (Chatan) Mackinder & Hydnocarpus ilicifolia King R. Clarke (Flocourtiaceae) (Fabaceae) ภาพท่ี 25

109 ส้านดิน รสสุคนธ์ Dillenia hookeri Pierre Tetracera loureireii (Finet & Gagnep.) Pierre ex Craib (Dilleniaceae) (Dilleniaceae) กระทิง ติ้วขาว Calophyllum inophyllum L. Cratoxylum formosum (Jacq.) Benth. & Hook.f. ex (Calophyllaceae) Dyer (Hypericaceae) ภาพที่ 26 คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

110 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์พืช ยางเหียง พันจำ� Dipterocarpus obtusifolius Teijsm. Ex Miq. Vatica odorata (Griff.) Symington (Dipterocarpaceae) (Dipterocarpaceae) ตะเคียนทอง เคี่ยม Hopea odorata Roxb. Cotylelobium lanceolatum Craib (Dipterocarpaceae) (Dipterocarpaceae) ภาพที่ 27

1. วงศก์ ุหลาบ Rosaceae 111 ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม หายากทเ่ี ปน็ ไม้ล้มลุก ใบ เด่ียว หรือใบประกอบ ติดเรยี งสลับ มีหูใบ ดอก มกั เปน็ แบบ bisexual, regular ส่วนมาก perigynous กลีบเลย้ี งเชอื่ มตดิ กันเป็นถ้วย มี 5 กลบี ด้านในมจี านดอก (disc) กลบี ดอก มีจ�ำนวน 5 กลบี ตดิ อยู่บน disc เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก โค้งอยู่ในดอกตูม รังไข่มอี นั เดยี วหรอื หลายอัน แยกหรอื เช่ือมติดกนั และเชื่อมติดกบั ถ้วยดอก (hypanthium) รังไข่แต่ละช่องมไี ข่ 2 เมลด็ ก้านเกสรเพศเมยี มอี ันเดียว หรือ หลายอนั ผล เปน็ แบบแอปเปิล้ (pome) หรอื ผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) เมล็ดมี endosperm น้อยหรอื ไม่มี พืชในวงศ์น้มี ีประมาณ 120 สกุล ส่วนมากเปน็ พชื เขตอบอุ่นเหนอื ในประเทศไทยเท่าทส่ี �ำรวจพบมอี ยู่ด้วย กนั 21 สกลุ 61 ชนดิ สกลุ ท่มี คี ณุ ค่าทางเศรษฐกจิ กค็ อื Prunus, Rosa, Parinari และ Rubus สกุลพชื ท่ีอยู่ในเขตอบอุ่นเหนอื ท่มี เี ขตการกระจายพนั ธุ์เข้ามาถงึ ประเทศไทย ส่วนมากพบตามเทอื กเขาใน ระดับสูง เช่น สกลุ Sorbus (2 ชนดิ ) Cotoneaster (1 ชนดิ ) Docynia (1 ชนิด) Rubus (23 ชนดิ ) Duchesnea (1 ชนดิ ) Potentilla (1 ชนิด) Agrimona (1 ชนดิ ) Rosa (6 ชนิด) และ Prunus (8 ชนดิ ) ชนิดทเี่ ป็นพืชเขตอบอุ่นท่แี ท้จรงิ เพยี งชนดิ เดยี ว คือ นางพญาเสอื โคร่ง P. cerasoides D. Don พืชทเ่ี ป็นไม้ต้นในสกุล Parinari เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. ในผลมีน้�ำมนั คอื หมักมือ่ P. anamense Hance สกลุ Prunus นดู ต้น P. arborea (Blume) Kalkman เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. ไม้ชนดิ นี้เปลอื กมีกลนิ่ หอมฉุน นอกจากนม้ี พี รรณไม้ท่เี ป็นไม้ผล ได้แก่ สตรอเบอร่ี Fragaria x ananassa Duchesne ท้อ Prunus persica (L.) Batsch สาล่ี Pyrus pyrifolia (Burm.f.) Nakai แอปเปิล้ Malus sp. มมี ากกว่า 1,000 พันธุ์ปลกู (cultivar) (ดูรายละเอยี ดเพิม่ เตมิ ในหนังสือ Flora of Thailand. Vol. 2(1): 31-74. 1970.) 2. วงศถ์ ่วั Fabaceae (Leguminosae) ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรือไม้ล้มลกุ ใบ เรยี งสลับ มกั เปน็ ชนดิ ใบประกอบแบบสามใบ (trifoliate) หรอื ใบประกอบ แบบขนนก (pinnate) มีหใู บ ดอก ใหญ่หรอื เลก็ regular หรือ irregular ส่วนมาก bisexual ช่อดอกแบบ raceme หรอื panicle กลีบเลีย้ งส่วนมากมจี �ำนวน 5 กลีบ (หายากท่มี จี �ำนวน 4 กลีบ) แยกหรอื เชอื่ มตดิ กนั กลบี ดอกมีจ�ำนวน 5 กลบี บางทนี ้อยกว่า หายากทีไ่ ม่มเี ลย เกสรเพศผู้ตามปกตมิ จี �ำนวน 10 บางทีมนี ้อยกว่า หายากที่มีจ�ำนวนมาก เกสรเพศเมียมอี นั เดียว รังไข่ superior มกั มกี ้านส่ง (gynophore) ไข่มเี มล็ดเดียวหรอื หลายเมล็ด ผล ตามปกตเิ ปน็ ชนิดฝกั แบบถ่วั (legume) แยกออกจากกันหรอื ไม่แยก เมลด็ มเี มลด็ เดียวหรอื หลายเมลด็ พืชในวงศ์น้มี ีประมาณ 550 สกลุ ทั่วโลก ในประเทศไทยเท่าทส่ี �ำรวจพบมี 95 สกลุ พืชวงศ์น้นี บั ได้ว่ามี สมาชกิ มากเป็นทส่ี ามของพชื ต่าง ๆ ในโลก รองลงมาจากวงศ์ทานตะวนั Compositae และวงศ์กล้วยไม้ Orchidaceae ตามปกตินกั พฤกษศาสตร์ได้จ�ำแนกวงศ์นอ้ี อกไปเป็น 3 วงศ์ย่อย (sub-families) หรือบางทีกไ็ ด้ยกฐานะข้นึ เปน็ วงศ์ ต่างหาก 3 วงศ์ด้วยกนั แต่ในทน่ี ีจ้ ะแยกเป็ยวงศ์ย่อย รปู วธิ านแยกวงศย์ ่อย 1. ดอก actinomorphic กลบี เลีย้ งและกลบี ดอกเรยี งจรดกนั (valvate) เม่อื ดอกยังตมู 2.1. Mimosoideae 1. ดอก Zygomorphic กลบี ดอกส่วนมากเรียงซ้อนเหล่อื มกนั (imbricate) เม่อื ดอกยงั ตูม คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

112 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช 2. กลบี ดอกเปน็ แบบ caesalpinaceous คือ กลีบบนสุดเรยี งอยู่รอบในสุด กลบี ดอกมจี �ำนวน 5 กลีบและแยก จากกัน 2.2. Caesalpinioideae 2. กลีบดอกเป็นแบบ papilionaceous คอื กลบี บนสุดเรียงอยู่รอบนอกสดุ กลีบดอกคู่ล่างมักจะเช่อื มประสานกัน ทางด้านล่าง 2.3. Papilionoideae 1. วงศย์ ่อยแดง Mimosoideae ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม ใบ ส่วนมากเปน็ ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น (bipinnate) ดอกสมมาตรตามรศั มี (regular) เล็ก อยู่รวมกันแน่นเปน็ ก้อน หรือเปน็ ช่อยาวแบบ spike เกสรเพศผู้มี 10 ถงึ 14 แยกหรอื เช่ือมติดกนั เป็นท่อ ผล ส่วนมากมกี ้าน ในวงศ์ย่อยน้ปี ระกอบด้วยพชื สกุลต่าง ๆ ที่มีความส�ำคญั คอื สกุล Acacia, Adenanthera, Albizia, Entada, Parkia, Archidendron และ Xylia รปู วธิ านแยกสกุล 1. ดอกเรยี งชิดตดิ กันเป็นกระจุกแน่น (head) หรอื เป็นช่อแยกแขนง (panicle) 2. ดอกเป็นกระจกุ แน่น และมกี ้านช่อยาวห้อยลงตรงปลายก่งิ Parkia 2. ก้านดอกเปน็ ช่อแยกแขนง 3. แกนกลางใบ (rachis) กง่ิ และล�ำต้นมหี นาม Acacia 3. แกนกลางใบ ก่งิ และล�ำต้นไม่มหี นาม 4. ผลบดิ เวยี นเปน็ ก้นหอย ผวิ หนาคล้ายแผ่นหนัง ใบย่อยตดิ ตรงข้ามกัน Archidendron 4. ผลตรง 5. ผลแคบยาวหนาคล้ายแผ่นหนัง Albizia 5. ผลกว้างยาวพอกนั แข็ง Xylia 1. ดอกเรยี งชิดตดิ กนั เปน็ ช่อยาวแบบ spike 6. ไม้เถา เนอ้ื แข็ง ผลกว้างและยาวมาก โค้ง แก่จัดหกั หลดุ เปน็ ข้อ ๆ เมลด็ สนี ้�ำตาล Entada 6. ไม้ต้น ผลแคบยาวบดิ เวียนเปน็ ก้นหอย เมลด็ เปน็ มัน สแี ดง หรอื แดงจุดด�ำ Adenanthera สกลุ Parkia ในประเทศไทยมี 4 ชนิดด้วยกัน แต่ละชนิดเปน็ ไม้ต้นสูงใหญ่ ล�ำต้นตรง เนอ้ื ไม้ค่อนข้างอ่อน สีชมพแู กมนำ้� ตาล ส่วนมากเรียกช่อื ว่า สะตอ P. speciosa Hassk., P. leiophylla Kurz, P. sumatrana Miq. อกี ชนดิ หนงึ่ พบทางภาคใต้เรยี กกันว่า เหรยี ง P. timoriana (DC.) Merr. ทุกชนดิ เมล็ดรบั ประทานได้ สกุล Acacia ส่วนมากเปน็ ไม้เถา ทีเ่ ป็นไม้ต้นและใช้ประโยชน์เน้อื ไม้กม็ ี กระถนิ พิมาน A. tomentosa Willd. แฉลบขาว A. leucophloea (Roxb.) Willd. และ สเี สียดแก่น A. catechu (L.f.) Willd.

113 สกลุ Archidendron เปน็ ไม้ต้นขนาดเลก็ ในประเทศไทยมี 9 ชนิด ที่เปน็ ไม้หวงห้ามได้แก่ เนียง A. jiringa (Jack) Nielsen เนยี งนก A. bubalium (Jack) Nielsen สกุล Entada เปน็ ไม้เถา ในประเทศไทยมี 3 ชนิด คือ สะบ้า E. glandulosa Pierre ex Gagnep. สะบ้า E. rheedii Spreng, E. spiralis Ridl. สกลุ Xylia มชี นดิ เดยี วคอื แดง X. xylocarp (Roxb.) Taub. var. kerrii (Craib & Hutch.) Nielsen สกุล Albizia มหี ลายชนิด ทเ่ี ปน็ ไม้หวงห้ามมี 3 ชนิด พฤกษ์ A. lebbeck (L.) Benth. คาง A. odoratissima (L.f.) Benth. และ ถ่อน A. procera (Roxb.) Benth. เป็นต้น สกลุ Adenanthera มีพบอยู่ 2 ชนิด คือ มะกล�ำ่ ต้น ไพเงินก�ำ่ A. pavonina L. var. pavonina และ A. pavonina L. var. microsperma (Teijsm. & Binn.) Nielsen (ดรู ายละเอยี ดเพ่มิ เตมิ ในหนังสือ Flora of Thailand. Vol. 4(2): 131-222. 1970.) 2. วงศย์ อ่ ยราชพฤกษ์ Caesalpinioideae ส่วนมากเป็นไม้ต้น หรือไม้พุ่ม ใบ มักเปน็ ใบประกอบแบบขนนกชนั้ เดียว หรือ 2 ช้นั (pinnate หรอื bipinnate) หายากท่ีเป็นใบเดี่ยว ดอก ใหญ่ หรือเล็ก ออกเป็นช่อกระจะ (raceme) หรอื ช่อเชิงลด (spike) กลบี ดอก มีจ�ำนวน 5 กลีบ (หรือบางทลี ดจ�ำนวนลงน้อยกว่า ในสกลุ Bauhinia บางชนดิ และสกุล Crudia ไม่มกี ลีบดอกเลย) กลบี บนสดุ เรยี งอยู่รอบในสดุ เกสรเพศผู้ส่วนมากมจี �ำนวน 10 บางทมี ีจ�ำนวนน้อยกว่า หายากที่ไม่มเี ลย แยกหรอื เชื่อมติดกนั เป็นท่อ ผล แยกจากกัน มักมกี ้าน ในวงศ์ย่อยน้ปี ระกอบด้วยพชื สกุลต่าง ๆ ทเี่ ป็นไม้หวงห้ามอยู่ 13 สกุล คือ สกลุ Afzelia, Bauhinia, Caesalpinia, Cassia, Crudia, Cynometra, Dialium, Intsia, Koompassia, Peltophorum, Saraca, Sindora และ Tamarindus รปู วธิ านแยกสกุล 1. ใบเดีย่ ว ปลายใบหยกั ลกึ หรอื ลกึ ถงึ โคนใบ Bauhinia 1. ใบประกอบแบบขนนกชนั้ เดยี ว หรอื 2 ช้ัน 2. ใบประกอบแบบขนนกชน้ั เดยี ว 3. ใบยอดเดย่ี ว 4. กลบี ดอกมี 5 กลีบ ผลมปี ีก Koompassia 4. ไม่มกี ลบี ดอก ผลไม่มีปีก 5. กลบี เลยี้ งมี 5 เกสรเพศผู้มี 2 ไข่อ่อนมี 2 ผลค่อนข้างกลมแกมรปู ไข่ แก่ไม่แตก มี 1 เมลด็ Dialium 5. กลบี เล้ยี งมี 4 เกสรเพศผู้มี 10-6 ไข่อ่อนมี 6-1 ผลแบน กลมหรอื รูปไข่แกมรี แก่แตก ม3ี -1 เมล็ด Crudia 3. ใบยอดคู่ คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

114 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช Saraca 6. ไม่มกี ลีบดอก ฐานดอกยาว กลบี เลี้ยงมี 4 คล้ายกลบี ดอก สีแดงหรอื ออกเหลอื ง 6. มกี ลบี ดอก 7. กลีบเลยี้ งเรียงจรดกันในตาดอก ฐานดอกสน้ั มาก กลบี ดอกมี 1 เกสรเพศผู้ที่สมบรู ณ์มี 9 นอกนน้ั เป็นหมนั ผลมักมหี นาม เมล็ดมเี นอื้ Sindora 7. กลบี เล้ยี งเรยี งซ้อนเหล่อื มกนั ในตาดอก 8. อับเรณเู ปิดโดยรกู ลม หรอื รอยแตกสน้ั ๆ ผลแคบยาว แก่จัดสดี �ำ Cassia 8. อบั เรณูเปิดโดยรอยแตกยาว 9. เกสรเพศผู้มี 3 หรือน้อยกว่า 10. กลีบดอกมี 3 กลีบใหญ่ 2 กลีบเล็ก ใบย่อยมี 18-10 คู่ ใบย่อยยาวถงึ 3 ซม. Tamarindus 10. กลบี ดอกมี 1 ใบย่อยมี 5-2 คู่ ใบย่อยยาวกว่า 4 ซม. Intsia 9. เกสรเพศผู้มี 7 หรือมากกว่า 11. มีใบประดบั ย่อยยาว 9-6 มม เกสรเพศผู้ท่สี มบรู ณ์มี 7 กลีบดอกมี 1 ผลแข็ง หนา 7 -5 มม. กว้าง 9-7 ซม. ยาว 20-15 ซม. เมลด็ มเี นอ้ื Afzelia 11. ใบประดับหลดุ ร่วง เกสรเพศผู้ทส่ี มบรู ณ์มี 10 เกสรเพศผู้แยกจากกัน หรอื เช่ือมติดกนั แค่โคน Cynometra 2. ใบประกอบแบบขนนกสองชน้ั 12. กลบี เล้ยี งและกลีบดอกขนาดไม่เท่ากัน ยอดเกสรเพศเมยี เปน็ ตุ่ม ผลทีข่ อบมปี ีกเปน็ ครีบยาวตลอด ใบย่อยติด ตรงข้าม มี 22-6 คู่ กว้าง 8-5 มม. ยาว 55-12 มม. Peltophorum 12. กลบี เล้ยี งขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอกขนาดเท่าหรอื ไม่เท่ากนั ยอดเกสรเพศเมยี ไม่เป็นตุ่ม ผลไม่มีปีก หรอื มีที่ ขอบเฉพาะตอนบน ใบย่อยตดิ ตรงข้ามหรือเรียงสลบั มี 20-2 คู่ กว้าง 6-0.5 ซม. ยาว 10-1 ซม. Caesalpinia สกุล Afzelia มเี พยี งชนดิ เดียวคอื มะค่าโมง A. xylocarpa (Kurz.) Craib สกลุ Bauhinia ท่เี ปน็ ไม้เถาน�ำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันบ้าง เช่น คิว้ นาง หรอื อรพิม B. winitii Craib ทเี่ ปน็ ไม้ต้น ชงโค B. variegate L. สกุล Caesalpinia เปน็ ไม้เถามหี นาม ใช้เน้อื ไม้ย้อมสีผ้า คอื ฝาง C. sappan L. สกุล Cassia เปน็ ไม้ต้น หรือไม้ล้มลุก ที่ใช้เป็นสมุนไพร คอื ชมุ เห็ด C. occidentalis L. ชมุ เหด็ เทศ C. alata L. ราชพฤกษ์ หรอื คนู C. fistula L. ชัยพฤกษ์ C. bakeriana Craib ขี้เหลก็ เลือด C. timoriensis DC. ทใ่ี ช้เนอื้ ไม้มี ขี้ เหลก็ บ้าน C. siamea Lamk. และ แสมสาร C. garrettiana Craib สกลุ Crudia เปน็ ไม้ต้นขนาดเล็กถงึ ขนาดกลาง ใช้ผลเป็นสมนุ ไพร คือ สะดือ C. chrysantha (Pierre) K.

Schum. เนอ้ื ไม้ใช้ท�ำเฟอร์นเิ จอร์ 115 สกุล Cynometra ใช้เน้ือไม้ในการก่อสร้าง คอื มะคะ C. ramiflora L. สกลุ Dialium เป็นไม้ต้นมหี ลายชนิด เนือ้ ไม้แขง็ หนักใช้ในการก่อสร้าง ผลรบั ประทานได้ เช่น หยี เชลง D. cochinchinense Pierre หยที ้องบง้ึ D. platysepalum Bak. เปน็ ต้น สกลุ Intsia พบขน้ึ ท่วั ไปทางภาคใต้ เนอ้ื ไม้คล้ายไม้ มะค่าโมง นยิ มใช้กันมากทางภาคใต้ คือ หลุมพอ I. palembanica Miq. ท่พี บตามป่าชายหาด และด้านหลงั ป่าชายเลน คอื หลุมพอทะเล I. bijuga (Colebr.) O. Kuntze สกุล Koompassia เป็นไม้ต้นสงู ใหญ่ ล�ำต้นตรง เนอ้ื ไม้ทนทานพอสมควร เช่น ไม้ยวน K. excelsa (Becc.) Taubert หรอื ยวนแหล K. malaccensis Maingay ex Benth. สกลุ Peltophorum มี นนทรี P. pterocarpum (DC.) Back. ex K. Heyne และ อะราง หรอื คางฮงุ P. dasyr- achis (Miq.) Kurz เนอ้ื ไม้สีน้�ำตาลแกมชมพู ใช้ในการก่อสร้าง สกลุ Saraca คอื โสก มี 3 ชนดิ ส่วนมากเป็นไม้ต้นขนาดกลาง มักปลกู เปน็ ไม้ประดับ เช่น โสกนำ้� S. indi- ca L. โสกเหลอื ง S. thaipingensis Cantley ex Prain และโสกเขา S. declinata (Jack) Miq. สกลุ Sindora เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ล�ำต้นตรง เปลือกเรยี บ เรอื นยอดแผ่กว้าง และแบนราบ ทพ่ี บขึ้นใน ป่าดิบแล้งคอื มะค่าแต้ S. siamensis Teijsm. ex Miq. ผลมหี นามหรอื ไม่มี ทพี่ บขนึ้ ตามป่าดบิ ช้ืนน้นั ชนิดท่ผี ลมี หนามแหลมเรยี กว่า มะค่า หรอื ขานาง S. echinocalyx Prain ชนิดทไี่ ม่มหี นามหรอื หนามน้อย เรยี กกันว่า อ้ายกลง้ิ S. coriacea (Bak.) Prain สกุล Tamarindus มีเพียงชนดิ เดียว คอื มะขาม T. indica L. (ดูรายละเอยี ดเพม่ิ เติมในหนังสือ Flora of Thailand. Vol. 4(1): 1-129. 1984.) 3. วงศย์ อ่ ยประดู่ Papilionoideae ไม้ต้น หรือ ไม้ล้มลกุ ใบ เดยี่ ว มเี ส้นใบแบบนว้ิ มือ (palmate) หรอื เป็นใบประกอบแบบขนนกชน้ั เดยี ว ดอก สมมาตรด้านข้าง (zygomorphic) แบบดอกถัว่ papilionaceous กลีบดอกมจี �ำนวน 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน กลบี บน สุดใหญ่สดุ เรยี กว่า stand สองกลบี ข้าง ๆขนาดเล็กกว่า และมักจะก่ิวคอดตอนโคน เรยี กว่า wings กลบี คู่ล่างสดุ มักก่วิ คอดตอนโคนและเชอ่ื มประสานกันเป็นรปู ท้องเรอื เรยี กว่า keel เกสรเพศผู้ตามปกตมิ จี �ำนวน 10 เชอื่ มตดิ กนั สองกลุ่ม (diadelphous) (กลุ่มหนึง่ มี 9 อกี กลุ่มหน่งึ มอี ันเดยี ว) หรอื กลุ่มเดยี ว (monadelphous) หรือหายากทแ่ี ยก จากกัน ผล แก่แตก หรอื ไม่แตก ไม่มกี ้านหรอื มี พชื ในวงศ์ย่อยน้มี ีคณุ ค่าทางเศรษฐกจิ เปน็ อย่างมาก เพราะมีมากสกุล เช่น ถว่ั ชนดิ ต่าง ๆ ทีม่ นษุ ย์ใช้เปน็ อาหาร อยู่ในสกุล Arachis, Canavalia, Vigna, Vicia, Physeolus, Dolichos, Cajanus และ Glycine เป็นต้น ที่ใช้เป็น ยารักษาโรคและปราบศตั รพู ชื คือ พืชในสกลุ Derris, Sophora, Crotalaria ทีใ่ ช้เน้อื ไม้ในการก่อสร้าง ซึ่งนบั ว่าเป็น ประโยชน์โดยตรงทางการป่าไม้ คอื ไม้ในสกลุ Dalbergia, Millettia, Antheroporum และ Pterocarpus คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

116 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช รูปวธิ านแยกสกุล 1. ใบย่อยตดิ เรยี งสลบั 2. ผลกลมแบน มปี ีกโดยรอบ (samara) Pterocarpus 2. ผลแบนแคบยาว Dalbergia 1. ใบย่อยติดตรงข้าม ขอบของฝกั ทง้ั สองข้างเป็นสนั หนา Millettia สกลุ ประดู่ Pterocarpus มลี ักษณะเด่น คือ ฝกั มีลกั ษณะเปน็ ครีบกลมคล้ายรูปโล่ เมลด็ อยู่ตรงกลางฝกั ซง่ึ พอง หนาและแข็ง ส่วนรอบ ๆ เมล็ดจะบางคล้ายเปน็ ปีกรอบ ประเทศไทยมี 2 ชนิด คอื ประดู่บ้าน P. indicus Willd. เปลือกล�ำต้นแตกเป็นแผ่นบาง ๆ ก่งิ ยาวห้อยย้อยลง ฝักขนาด 4.5-3 ซม. และประดู่ป่า P. macrocarpus Kurz เปลือกล�ำต้นแตกเปน็ ร่องลกึ ปลายก่งิ มกั ชข้ี น้ึ ฝกั ขนาด 10-6 ซม. สกุล ชิงชนั Dalbergia ฝักจะยาวและเมลด็ เรยี งตามยาวของฝกั ไม้ทีม่ ีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ พะยุง D. cochinchinensis Pierre ชงิ ชนั D. oliveri Gamble เกด็ ด�ำ D. cultrata Craib สกลุ กระพ้เี ขาควาย Millettia ฝักจะเป็นรูปขอบขนาน เปลือกฝกั หนาแขง็ ขอบของฝักเปน็ สันหนา ไม้ท่ี ส�ำคญั คือ แซะ M. atropurpurea Benth. กระพีเ้ ขาควาย หรือ ขะเจาะ M. leucantha Kurz สะท้อน หรอื สาธร M. pendula Benth. (ดรู ายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 22: 26-28. 1994.) 3. วงศ์สบ กระตกุ Hamamelidaceae ไม้ต้น หรือ ไม้พุ่ม ใบ เดย่ี ว ตดิ เรยี งสลับ มหี ใู บ ดอก ส่วนมากเปน็ ดอกเพศเดยี ว ออกเปน็ ช่อแบบ raceme, spike หรอื รวมเปน็ กระจุก (capitae) กลบี เลยี้ งและกลบี ดอกมีจ�ำนวน 4 ถงึ 5 กลบี กลีบดอกมกั ลดขนาดลง หรอื บางทีก็ไม่มี เกสรเพศผู้มจี �ำนวน 4 หรอื มากกว่า เรียงอยู่ชน้ั เดียว รงั ไข่ก่งึ ใต้วงกลบี (half-inferior) หรอื ใต้วงกลีบ (inferior) มี 2 คาร์เพล 2 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่เมลด็ เดียว หรอื มากกว่า ผล เปน็ ชนิด capsule เปลือกแข็งมาก แตก ออกเป็น 2 เสย่ี ง เมล็ดมี endosperm พชื ในวงศ์นม้ี ปี ระมาณ 23 สกุล ขึ้นอยู่ในเขตอบอุ่นและเขตร้อนของทวปี เอเซยี เท่าทส่ี �ำรวจพบใน ประเทศไทยนนั้ มอี ยู่เพยี ง 7 สกุล ที่ส�ำคญั คอื สกลุ Altingia พบเพยี งชนดิ เดยี ว คือ A. siamensis Noranha ท่เี รียก กนั ว่า ไม้หอม สบ หรอื กระตกุ เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ขึน้ ตามรมิ ล�ำธารในป่าดบิ เขาท่วั ๆ ไปในภาคเหนอื และภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ พันธุ์ไม้ชนดิ นใี้ บมีกลน่ิ เหมอื นการบนู เนอ้ื ไม้มีกลนิ่ การบนู จาง ๆ (ดูรายละเอยี ดเพ่มิ เติมในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 15: 1-14. 1985; Flora of Thailand 7(3): 400- 411. 2001; Thai Forest Bulletin (Botany) No. 31: 132-135. 2003; Thai Forest Bulletin (Botany) No. 43: 1-3. 2015) 3. อันดบั Passiflorales ดอก ส่วนมากเปน็ ดอกสมบรู ณ์เพศ (bisexual) ส่วนต่าง ๆ ของดอกมีจ�ำนวน 5 กลบี ดอกแยกหรือเชอื่ ม ติดกัน (เช่นในวงศ์ Cucurbitaceae) เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมากหรอื น้อย รงั ไข่ตดิ เหนอื วงกลีบ (superior ovary) หรือติด ใต้วงกลบี (inferior ovary) เชอื่ มติดกนั เปน็ ช่องเดยี ว parietal placentation เมลด็ มี endosperm มากหรือน้อย หรือๆ ไม่มีเลย ใบ เด่ยี ว ตดิ ตรงข้าม หรอื ติดเรยี งสลับ โดยมากมีหูใบ

117 พชื ในอนั ดับน้ปี ระกอบด้วยพชื วงศ์ต่าง ๆ 9 วงศ์ด้วยกนั วงศ์ทจ่ี ะกล่าวถึงมีอยู่ 2 วงศ์ คอื Achariaceae และ Datiscaceae 1. วงศก์ ะเบา Achariaceae ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ล�ำต้นตรง หรือเปน็ เถา ใบ ติดเรยี งสลับ มีหใู บ ดอก regular เล็ก ส่วนมาก unisexual ออกเป็นช่อกระขกุ (cyme) กลบี เลยี้ งมี 2 ถึง 8 กลบี ดอกจ�ำนวนเท่ากบั กลบี เลยี้ ง หรือบางทลี ดจ�ำนวนลง เกสรเพศ ผู้จ�ำนวนมาก แยกหรอื ติดเป็นกลุ่ม บางครง้ั เปน็ เกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน (staminodes) รังไข่ superior หายากทเ่ี ป็น half-inferior มี 10-2 คาร์เพล รงั ไข่มีช่องเดยี ว ไข่มจี �ำนวนมากตดิ บน placenta ชนิด parietal ก้านเกสรเพศเมยี (style) มแี ฉกเดยี วหรือหลายแฉก ผล เป็นชนดิ baccate หรอื capsule เมล็ดมัน มเี ยือ่ หุ้ม และมี endosperm พืชในวงศ์น้มี มี ากกว่า 80 สกุล ส่วนมากเปน็ พชื ในเขตร้อน ในประเทศไทยเท่าท่ไี ด้ส�ำรวจพบมอี ยู่ด้วยกัน 4 สกลุ แต่ท่มี คี ุณค่าทางเศรษฐกิจป่าไม้มอี ยู่ด้วยกันเพียง 1 สกุล คอื สกลุ Hydnocarpus ได้แก่ กะเบา ชนิดต่าง ๆ ที่ เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. คือ กะเบานำ้� หรือกะเบาใหญ่ H. anthelminthicus Pierre ex Laness. เมล็ดให้น้�ำมัน กะเบา (Chaulmogra oil) ใช้เปน็ ยารกั ษาโรคเรอ้ื น (ดูรายละเอียดเพม่ิ เตมิ ในหนังสือ Flora of Thailand Vol. 13(1): 1-17) 2. วงศส์ มพง Datiscaceae ไม้พุ่ม หรอื ไม้ต้น ใบ เด่ียว หรือใบประกอบ ตดิ เรยี งสลับ ไม่มหี ูใบ ดอก เลก็ เพศเดยี ว (unisexual) ออก เปน็ ช่อแยกแขนง (panicle) กลบี เล้ียง 9-4 กลบี ดอก 9-4 หรือไม่มเี ลย เกสรเพศผู้มี 4 ถึงจ�ำนวนมาก แยกจากกัน รงั ไข่ inferior มี 4-3 คาร์เพล รังไข่มชี ่องเดยี ว ไข่มีจ�ำนวนมากตดิ อยู่บน placenta ชนิด parietal ผล capsule เปน็ ช่อง ตรงปลายผล เมล็ดขนาดเลก็ มาก ไม่มี endosperm พชื ในวงศ์น้มี อี ยู่ด้วยกนั เพยี ง 3 สกุลเท่านัน้ ในโลก สกุลหนึง่ เปน็ พันธ์ุพืชประจ�ำทวปี อเมรกิ าเขตร้อน อีก 2 สกลุ เปน็ พืชของทวปี เอเซีย ในประเทศไทยพบขน้ึ อยู่เพียงสกุลเดยี วคอื Tetrameles พนั ธ์ุไม้สกลุ นม้ี ีอยู่เพยี งชนิด เดียวในโลก คือ งุ้น กะพง หรือ สมพง T. nudiflora R. Br. ex Benn. เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ มพี ูพอนใหญ่ เปลอื กเรียบ พบขึ้นตามป่าดบิ ทว่ั ๆไปในประเทศไทย โดยเฉพาะตามเขาหนิ ปูน เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. (ดูรายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ ในหนงั สอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 22: 95-100. 1994.) 4. อันดับ Guttiferales ดอก ส่วนมาก bisexual และ actinomorphic มกี ลบี ดอก เกสรเพศผู้มักจะมีจ�ำนวนมาก เรียงกนั อยู่เปน็ หลายชั้น แยกหรอื เชอ่ื มติดกันอยู่ในลกั ษณะต่าง ๆ เกสรเพศเมยี แยกจากกัน แต่โดยมากแล้วเช่อื มตดิ กัน มี placenta แบบ axile (บางทกี เ็ ป็นชนดิ parietal) รังไข่ส่วนมาก superior เมล็ดมี endosperm มมี าก น้อย หรอื ไม่มเี ลย ใบ ส่วน มากติดเรียงสลบั และเป็นพชื ที่มีเนอ้ื ไม้ พืชในอนั ดบั นป้ี ระกอบด้วยวงศ์ต่าง ๆ 8 วงศ์ด้วยกัน พบข้นึ อยู่ในประเทศไทยทง้ั ส้ิน แต่ท่มี ีคณุ ค่าทาง เศรษฐกิจคอื วงศ์ Dilleniaceae, Guttiferae, Theaceae และ Dipterocarpaceae คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

118 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุ์พืช 1. วงศ์ส้าน Dilleniaceae ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอื ไม้เถา หายากท่ีเปน็ ไม้ล้มลุก ใบ เด่ยี ว ตดิ เรียงสลับ ขอบเรียบ หรอื จกั หยาบเป็นซี่ฟัน เส้นใบเด่นชัดขนานกนั ไม่มีหูใบ ถ้ามีกเ็ ชือ่ มตดิ กนั กับก้านใบ ช่อดอกมหี ลายแบบแตกต่างกันไปแต่ละสกลุ ดอกเลก็ หรอื ขนาดกลาง หายากท่มี ขี นาดใหญ่ สขี าว หรอื เหลอื ง ดอกสมบรู ณ์เพศ หายากท่ีเปน็ ดอกเพศเดียวและแยกกนั อยู่คนละต้น กลบี เลี้ยง 5 เรียงซ้อนเหล่อื มกัน (imbricate) แน่น กลบี ดอก 5 แยกจากกัน เรยี งซ้อนเหลอ่ื มกนั เมอ่ื ยงั ไม่บานพบั ย่นยู่ย่ี เมอื่ ดอกบานจะหลดุ ร่วงไปโดยเร็ว เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนมากอยู่เหนอื เกสรเพศเมยี แยกจากกัน หรือเชอ่ื มตดิ กันเปน็ กลุ่ม ๆ ตอนโคน ไม่หลุดร่วงไป และมักติดค้างอยู่จนเป็นผล รังไข่แยกจากกนั หรอื เชอื่ มประสาน กันเล็กน้อย หายากท่มี ีเพยี งอันเดียว ไข่มีจ�ำนวนมากหรอื มเี พยี งเมล็ดเดยี ว อยู่ตรงพืน้ ล่างของรังไข่ หรือเรียงเปน็ 2 แถวตามผนังทางด้านท่อี ยู่ตามแนวแกนของดอก ก้านเกสรเพศเมยี (style) แยกโค้งออกจากกนั แต่ละอันต่างมยี อด เกสรเพศเมีย ผล แตกแยกออกจากกนั หรอื มลี ักษณะคล้าย berry เมลด็ มจี �ำนวนน้อยหรอื เพียงเมล็ดเดยี ว มกั จะมี หงอนหรอื เย่อื เปน็ ฝอยหุ้ม พืชในวงศ์น้มี อี ยู่ด้วยกนั ในโลก 18 สกุล ประมาณ 530 ชนดิ ข้ึนอยู่ท่วั ๆ ไปในเขตร้อนของโลก ใน ประเทศไทยเท่าทไ่ี ด้ส�ำรวจพบมีอยู่ด้วยกนั 3 สกุล คอื สกลุ รสสุคนธ์ Tetracera เปน็ ไม้เถาเน้อื แขง็ สกุล ส้านเต่า หรือ ปดขน Acrotrema มีชนิดเดยี ว คือ A. costatum Jack สกลุ Dillenia ได้แก่ ส้าน ชนดิ ต่าง ๆ เป็นไม้ต้นและไม้พุ่ม เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. รปู วิธานแยกชนดิ 1. ดอกออกตามปลายยอดกิ่งสั้น ๆ มีใบประดับหุ้มดอกหลายอนั ออกก่อนหรอื พร้อมๆ กนั กบั ใบอ่อน เป็นพชื ผลัดใบ 2. ดอกมีขนาดเลก็ เส้นผ่านศนู ย์กลาง 5-2.5 ซม. ช่อหนง่ึ มี 7-5 ดอก เกสรเพศเมยี มจี �ำนวน 8-5 ผลโตเส้นผ่าน ศนู ย์กลาง 18-15 มม. (วัดรวมกลบี เลย้ี งทีห่ ุ้มอยู่ด้วย) 3. กลบี เล้ยี งด้านนอกเกล้ยี ง มี 6-(5) คาร์เพล ดอกโตเส้นผ่านศนู ย์กลาง 3-2.5 ซม. ใบมีขนแนบกบั แผ่นใบไป ทางด้านล่างและหลุดร่วงไป ส้านห่ิง D. pentagyna Roxb. 3. กลบี เลย้ี งด้านนอกมีขนเปน็ มันคล้ายเส้นไหม รังไข่ จ�ำนวน 8-5 คาร์เพล ดอกโตวัดผ่านศนู ย์กลาง 5 ซม. ใบมี ขนสั้นแขง็ ไปทางด้านล่าง ส้านแคว้ง D. parviflora Griff. 2. ดอกมขี นาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 16-10 ซม. ช่อดอกมี 3-1 ดอก มี 14-9 คาร์เพล ผลโต เส้นผ่าน ศูนย์กลาง (รวมกลบี เลยี้ ง) 4-3 ซม. 4. ใบรปู ไข่กลบั หรือขอบขนาน เรียวสอบและหยกั เข้าหาก้านใบไม่เท่ากนั ทงั้ สองข้าง ก้านใบยาว 6.5-3 ซม. ดอกโตเส้นผ่านศูนย์กลาง 12-10 ซม. ก้านดอกยาว 12-5 ซม. สา้ นหลวง D. aurea Smith 4. ใบรูปไข่กลบั ค่อย ๆ เรยี วสอบลงมาหาก้านใบ ก้านใบยาว 4-1.5 ซม. ดอกโต เส้นผ่านศูนย์กลาง 16-14 ซม. ก้านดอกยาวอย่างมาก 4 ซม. หายากทย่ี าวถึง 5 ซม. ส้านใหญ่ D. obovata (Blume) Hoogl. 1. ดอกเดี่ยว หรอื เปน็ ช่อตามปลายยอดก่งิ ในชั้นแรก ต่อมาจะอยู่ตรงข้ามกับใบ บางทีดอกออกตามง่ามใบเดย่ี ว ๆ หรอื เป็นกลุ่มละ 3-2 ดอก ไม้ผลดั ใบหรอื ไม่ผลัดใบ

119 5. ผลดั ใบ ล�ำต้นมรี ากค้�ำตอนโคน ดอกออกเปน็ ช่อสน้ั ๆ แยกแขนงและอยู่เปน็ กลุ่ม ออกพร้อมใบอ่อน 6. มี 6-4 คาร์เพล ไม่มกี ลบี ดอก เกสรเพศผู้มคี วามยาวไร่เร่ยี กัน ส้าน D. grandifolia Wall. 6. มี 10-9 คาร์เพล มกี ลีบดอกแต่หลดุ ร่วงเม่อื ดอกบาน เกสรเพศผู้มี 2 ขนาด สา้ น D. reticulate King 5. ไม่ผลดั ใบ ไม่มรี ากค�้ำท่โี คนต้น ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรอื ช่อชนดิ raceme 7. ช่อดอกมี ดอก 12-3 ดอก ผลแตกแยกจากกัน สา้ น D. excelsa Martelli 7. ดอกออกเดย่ี ว ๆหรอื บางทีเป็นช่อมี 2 ดอก ผลไม่แตก 8. กลบี ดอกสีเหลอื ง มี (12-10)-8 คาร์เพล ผลโตเส้นผ่านศนู ย์กลาง 6-5 ซม. ใบมขี นหนาแน่นและสน้ั แขง็ ทางด้านล่าง ส้านใบเลก็ D. ovata Wall. 8. กลีบดอกสขี าว มี 20-14 คาร์เพล ผลโตเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-8 ซม. ใบอย่างมากมขี นยาวทางด้านล่าง มะตาด หรอื ส้านป้าว D. indica L. 2. วงศพ์ ะวา มังคดุ Guttiferae (ปัจจุบนั แยกออกเป็น Clusiaceae, Hypericaceae, Calophyllaceae) ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม เปลอื กมนี ้ำ� ยางเหนยี วสเี หลอื ง ใบ เดี่ยว ตดิ ตรงข้าม เนื้อใบหนา ไม่มหี ูใบ ดอก สมบูรณ์ เพศ หรอื เพศเดยี ว กลบี เล้ยี งและกลบี ดอกจ�ำนวนอย่างละ 5-4 เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก มักติดกันเป็นกลุ่ม ๆ รงั ไข่ มี 5-3 คาร์เพล มีช่องเดียวหรอื หลายช่อง axile placentation หรอื basal placentation โดยมากแล้วบน placenta หน่ึงมีไข่เมลด็ เดยี ว หรือสองสามเมล็ด ยอดเกสรเพศเมยี เปน็ รูปร่ม (peltate) ผล baccate หรือ drupe ไม่มี endosperm พืชในวงศ์น้มี ีประมาณ 35 สกลุ พบขน้ึ ทัว่ ๆ ไปในเขตร้อน ในประเทศไทยมพี บอยู่ 7 สกลุ แต่ชนดิ ทม่ี ี คุณค่าทางเศรษฐกจิ น้นั มอี ยู่เพยี ง 4 สกุล รปู วธิ านแยกสกุล 1. ดอกเพศเดยี ว ต่างเพศต่างต้น รังไข่มี 12-2 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่เมล็ดเดียว Garcinia (Clusiaceae) 1. ดอกสมบรู ณ์เพศ รงั ไข่มี 1 หรือ 2 ช่อง 2. ใบมเี ส้นแขนงใบถ่ี รงั ไข่มชี ่องเดียวและมไี ข่เมลด็ เดยี ว 3. ใบมเี ส้นเรียบขอบใบ Mammea 3. ใบไม่มเี ส้นเรยี บขอบใบ Calophyllum (Calophyllaceae) 2. ใบไม่เหมอื นข้างบน หลงั ใบขาว รงั ไข่มี 2-1 ช่อง และมไี ข่ 2-1 เมล็ด Mesua คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

120 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พรรณไม้สกุล Garcinia มมี ากชนิด ทเ่ี ป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. คือ รง G. hanburyi Hook.f. นอกนนั้ เปน็ ไม้ หวงห้ามประเภท ก. ที่ใช้ในการระกอบอาหาร เช่น มะดนั G. schomburgkiana Pierre ชะมวง G. cowa Roxb. และ ส้มพะงุน G. atroviridis Griff. สกลุ Mammea คอื สารภี M. siamensis Kosterm. เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. สกลุ Calophyllum มีมากชนดิ เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. เรยี กกนั ว่า พะอง และ ตังหน สกลุ Mesua เปน็ ไม้หวงห้ามคอื บุนนาค หรอื นาคบตุ ร M. ferrea L. พบขึ้นตามป่าดิบทว่ั ๆไปจัดได้ว่าเป็นไม้ท่มี ีเนือ้ แขง็ และหนักทสี่ ุดของ ประเทศไทย นอกจากน้ียังมี สกุล Cratoxylum (Hypericaceae) ไม้ต้น เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. พันธ์ุไม้ในสกลุ น้สี ่วน มากล�ำต้นเมอ่ื อายุยังน้อยอยู่มหี นามแหลม เกิดจากกงิ่ ที่ได้แปรสภาพไป ชนดิ ที่พบขนึ้ ทว่ั ไปตามป่าเบญจพรรณคอื ต้ิว Cratoxylum cochinchinensis Blume ต้ิวขาว C. formosum Dyer ท่พี บตามป่าดิบมี แต้ว C. maingayi Dyer ที่พบ ตามป่าพรุ คอื โงงงัง C. arborescens Blume 3. วงศ์ทะโล้ สารภดี อย Theaceae ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ใบ เดย่ี ว ติดเรยี งสลบั ไม่มีหใู บ ดอก ส่วนมากสมบรู ณ์เพศ สมมาตรตามรัศมี มกั มีใบ ประดับหุ้ม กลีบเลย้ี งและกลบี ดอกตามปกตมิ จี �ำนวนชนั้ ละ 5 หายากท่ีมีจ�ำนวนมากกว่าน้ี เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก แยกจากกัน หรอื เชอ่ื มตดิ กนั เป็นกลุ่ม ๆ อบั เรณูติดกับก้านเกสรเพศผู้ตรงโคนอับ หรอื แกว่งไปมาได้ รงั ไข่มจี �ำนวน 5-3 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่เมล็ดเดียวหรอื หลายเมลด็ ก้านเกสรเพศเมยี มอี ันเดยี ว หรอื 5-3 แฉก ผล เปน็ ชนดิ baccate หรอื capsule เมล็ดมี endosperm น้อย หรอื ไม่มีเลย พชื ในวงศ์นม้ี ปี ระมาณ 35 สกลุ ส่วนมากเป็นพชื ในเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยเท่าทส่ี �ำรวจพบมีอยู่ 9 สกลุ ด้วยกัน แต่ทพ่ี บบ่อยตอื สกุล Schinma, Ternstroemia, Annesles และ Adinandra รปู วธิ านแยกสกลุ 1. ผลสดชนดิ baccate อับเรณูตดิ กบั ก้านเกสรเพศผู้ทโ่ี คนอับเรณู (basifixed) 2. รังไข่เหนือวงกลีบ (superior ovary) 3. ใบตดิ เวียนสลบั กัน อบั เรณูเกลย้ี ง ผลมเี มล็ดน้อย Ternstroemia 3. ใบติดเรียงสลับเป็น 2 แถว อับเรณูมขี น ผลมเี มลด็ มาก Adinandra 2. รังไข่กึ่งใต้วงกลีบ (half-inferior ovary) Anneslea 1. ผลแห้งชนิด capsule เปลอื กแขง็ แก่แตก เมลด็ มปี ีก อับเรณูตดิ กับก้านเกสรเพศผู้ท่กี ่งึ กลาง อบั เรณแู กว่งไปมา (versatile) Schima สกลุ Adinandra เรียกกันว่า ตนี จ�ำดง มีหลายชนิดทีพ่ บขน้ึ ตามป่าดิบท่ัว ๆไป สกลุ Annelea มชี นดิ เดยี วคือ สารภีดอย หรอื โมงน่งั A. fragrans Wall. สกลุ Schima มชี นดิ เดียว คือ ทะโล้ หรอื คายโซ่ S. wallichii Korth. เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. สกุล Camellia ชา หรอื เม่ยี ง C. sinensis Kumtze var. assamica Kitam. เปน็ พชื เศรษฐกิจ

4. วงศ์ยาง Dipterocarpaceae 121 ไม้ต้น ส่วนมากมขี นาดสงู ใหญ่ เนอ้ื ไม้มชี นั (resin) ใบเดยี่ ว ติดเรยี งสลับ มหี ูใบ ดอก สมบูรณ์เพศ (bisexual) สมมาตรตามรศั มี (regular) ออกเปน็ ช่อแยกแขนง (pinicle) กลบี เลีย้ งมี 5 แยกจากกนั หรอื เช่อื มตดิ กนั กลบี ดอก 5 เรียงสลีบเวียนกนั แยกหรอื เชอ่ื มติดกนั เลก็ น้อยท่โี คน เกสรเพศผู้มจี �ำนวน 10 หรือมากกว่า หายากท่มี ี 5 แยกจาก กัน รังไข่ส่วนมากมี 3 ช่อง แต่ละช่องมีไข่ 2 เมลด็ หรอื มากกว่าตดิ อยู่บน placenta ชนิด axile ก้านเกสรเพศเมยี มกั พองตอนโคนเรยี กว่า stylopodium ผล ส่วนมากมเี มล็ดเดยี ว ผิวแข็ง มักมีปีกจ�ำนวน 3 ,2 หรอื 5 ปีก เกดิ จากกลบี เล้ยี งทีเ่ จรญิ ขยายตวั ในระยะท่เี ป็นผล เมลด็ ไม่มี endosperm ใบเลย้ี งมกั จะพับหรอื บดิ พชื ในวงศ์นม้ี ปี ระมาณ 25 สกลุ ส่วนมากอยู่ในทวปี เอเซีย มี 3-1 สกุลในทวปี แอฟริกา ในประเทศไทยเท่า ทส่ี �ำรวจพบมอี ยู่ด้วยกนั 9 สกุล ประมาณ 50 ชนดิ รปู วิธานแยกชนดิ (อาศยั ลกั ษณะของผล) 1. กลบี เลย้ี งเจรญิ ขยายออกไปเปน็ ปีกมขี นาดไม่เท่ากนั 2. ปีกยาว 2 ปีก สั้น 3 ปีก 3. ปีกยาวมเี ส้นเห็นชดั 3 เส้น 4. ถ้วยกลบี เล้ียงไม่เช่อื มตดิ กับผล Dipterocarpus 4. ถ้วยกลบี เลย้ี งเชือ่ มตดิ กบั ผล Anisoptera 3. ปียาวมเี ส้นเหน็ ชัด 7-5 เส้น 5. ปีกยาวมีเส้น 5 เส้น 6. ผลมีขนส้ันนุ่มปกคลุม เส้นแขนงใบโค้งจรดกันห่างจากขอบใบเข้ามา Cotylelobium 6. ผลเกล้ยี ง เส้นใบเป็นแบบร่างแห หรอื ขนั้ บนั ได Vatica 5. ปีกยาวมเี ส้นอย่างน้อย 7 เส้น Hopea 2. ปีกยาว 3 ปีก สนั้ 2 ปีก Shorea 1. กลบี เลีย้ งเจรญิ ขยายออกไปเท่า ๆกันหรอื เกอื บเท่ากนั 7. กลบี เลีย้ งเจรญิ เป็นปีก พ้นตวั ผลออกไป โคนกลบี กิ่งเลก็ เป็นก้าน Parashorea 7. กลบี เลยี้ งไม่เจรญิ เป็นปีก 8. กลบี เลี้ยงเรยี งซ้อนสลบั กันหรอื เช่อื มติดกันเป็นกระทงหุ้มรอบผลหรอื เชอื่ มตดิ กับฐานของผล 9. กลบี เลีย้ งเช่อื มตดิ กบั ผล Vatica stapfiana van Slorten 9. กลบี เล้ียงไม่เช่ือมตดิ กกบั ผล 10. ผลยาวประมาณ 5 ซม. Balanocarpu คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

122 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช Hopea apiculata Sym. 10. ผลยาวประมาณ 2 ซม. 8. กลบี เลยี้ งไม่เชื่อมตดิ กันเปน็ กระทงหุ้มรอบผล 11. กลบี เล้ยี งแข็งมาก 12. กลบี เลี้ยงมนเป็นรูปหูหนู กางออกไปทางแนวระดบั Shorea sumatrana Sym. 12. กลบี เล้ยี งหนาไม่กางออกไปทางแนวระดบั Vatica pauciflora (Korth.) Blume 11. กลบี หนาคล้ายหนัง Vatica diospyroides Sym. พรรณไม้ในวงศ์นต้ี ่างเปน็ ไม้ทม่ี ีค่าทางเศรษฐกิจทกุ ชนดิ ยกเว้น จันทน์กะพ้อ Vatica diospyroides Sym. ซ่งึ เป็นไม้ยนื ต้น ขนาดเล็กถงึ ขนาดกลาง ปลกู เป็นไม้ประดบั เพราะดอกมกี ล่นิ หอมมาก ชนิดท่ีเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ข. คือ ตะเคียนชันตาแมว Balanocrpus heirmii King เพือ่ สงวนไว้เก็บหาชันท่มี คี ณุ สมบตั ิสงู กว่าชันชนดิ อ่ืน ๆ นอกนนั้ เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. สกลุ ยาง Dipterocarpus พวกน้มี ปี ีกยาว 2 ปีก มดี ้วยกันประมาณ 19 ชนดิ ชนิดทขี่ ึน้ ในป่าเต็งรัง ได้แก่ เหียง D. obtusifolius Teijsm. ex Miq. พลวง D. tubercultus Gaertn.f. และ กราด D. intricatus Dyer สกุล กะบาก Anisoptera พวกน้มี ปี ีกยาว 2 ปีก ต่างจาก Dipterocarpus ทีถ่ ้วยรองกลบี ดอกเช่อื มตดิ ก้าน ผล มีอยู่ด้วยกัน 5 ชนดิ เช่น A. costata Korth. สกลุ เตง็ Shorea พวกนี้มีปีกยาว 3 ปีก ข้ึนอยู่ตามป่าเต็งรงั มีอยู่ด้วยกันประมาณ 20 ชนดิ เช่น เตง็ S. obtuse Wall. พะยอม S. roxburghii G. Don เป็นต้น สกุล เคีย่ ม Cotylelobium มอี ยู่เพียงชนดิ เดียวเคือ C. melanoxylon Pierre มปี ีกยาว 2 ปีก ปีกยาวมเี ส้น 5 เส้น สกลุ ตะเคยี น Hopea พวกนี้มีปีกยาว 2 ปีก ปีกยาวมเี ส้นอย่างน้อย 7 เส้น มปี ระมาณ 16 ชนิด เช่น ตะเคียน ทอง H. odorata Roxb. ตะเคียนหนิ H. ferrea Laness. หงอนไก่บก หรอื กะบกกรัง H. helferi Brandis ชันภู่ H. reco- pei Pierre ex Laness หมอราน H. oblongifolia Dyer สกุล ไข่เขียว Parashorea มีอยู่ชนดิ เดียว คือ P. stellata Kurz ปีก 5 ปีก เจรญิ พ้นตัวผลออกไป โคนกลบี กวิ่ เลก็ เป็นก้าน สกุล พนั จ�ำ Vatica มีอยู่ด้วยกนั 7 ชนิด เช่น จนั ทน์กะพ้อ V. diospyroides Sym. พวกน้ีกลีบเลย้ี งไม่เจรญิ เป็นปีก แต่เรยี งสลับกนั หรอื เช่อื มตดิ กนั เป็นรยางค์เชอ่ื มติดก้านผล สกลุ ตะเคยี นชนั ตาแมว Balanocarpus มีชนิดเดยี วคอื B. heimii King กลบี เลย้ี งไม่เจรญิ เปน็ ปีก กลบี ไม่ เช่อื มติดกับผล (ดรู ายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 12: 1-133. 1979.) 5. อันดบั Proteales ดอก bisexual หรอื unisexual ส่วนมากมชี ้ันละ 4 กลีบ perianth เหมอื นกลบี ดอก เกสรเพศผู้จ�ำนวน 4 อยู่

123 ตรงข้ามกับกลบี และมักเชือ่ มตดิ กับกลบี ส่วนอับเรณูแยกจากกนั รังไข่ superior ไข่มจี �ำนวนเมล็ดเดยี วหรอื หลาย เมล็ด ติดอยู่บน placenta ชนดิ parietal พรรณไม้ในอนั ดบั นม้ี ีเพียงวงศ์เดยี ว คือ Proteaceae มีเขตการกระจายพนั ธุ์จ�ำกัดอยู่แต่ทางแถบใต้ของ โลกเท่าน้ัน วงศเ์ หมอื ด Proteaceae ไม้ต้น หรืไม้พุ่ม ใบ เดี่ยว ออกเรียงสลับ (บางทมี ีขอบจักลึกมาก) ไม่มหี ใู บ ดอก bisexual หรอื unisexual ออกเป็นช่อชนดิ receme หรือ spike กลีบเชื่อมตดิ กนั เปน็ หลอด ปลายมี 4 กลีบ ลักษณะคล้ายกลีบดอก เกสรเพศ ผู้มีจ�ำนวน 4 อยู่ตรงข้ามกับกลบี และเชอ่ื มตดิ กันกับกลีบนัน้ อบั เรณแู ยก รังไข่ superior มชี ่องเดยี ว ไข่มเี มล็ดเดยี ว หรือหลายเมลด็ ก้านเกสรเพศเมยี ยาวมาก ผลเป็นชนิด drupe เมล็ดไม่มี endosperm พรรณไม้ในวงศ์นม้ี อี ยู่ประมาณ 55 สกลุ ส่วนมากอยู่ในทวปี ออสเตรเลียและแอฟรกิ าใต้ มนี ้อยในทวปี อเมรกิ าเขตร้อน ในประเทศไทยมอี ยู่ด้วยกนั เพยี ง 2 สกลุ คอื Helicia ดอก bisexual ใบเด่ยี วมีแบบเดยี ว และ Heliciopsis ดอก unisexual ใบเด่ยี วมีสองแบบ (dimorphic) ไม้ทง้ั สองสกลุ นเ้ี รียกกันท่วั ๆไปว่า เหมือดคน ท้ังหมดมอี ยู่ด้วยกันประมาณ 10 ชนิด พนั ธ์ุไม้ออสเตรเลยี ชนดิ หนง่ึ ได้น�ำเข้ามาปลูกในประเทศไทยนานมาแล้ว คือ สนอินเดยี (หรอื Silky oak tree) Grevillea robusta A. Cunn. ex R. Br. 6. อันดบั Amentiferae ดอก ส่วนมาก unisexual มักอยู่รวมกนั เปน็ ช่อห้อยแบบหางกระรอก (catkin) กลีบ perianth มักไม่มี รงั ไข่ มกั มี 2 ช่อง endosperm บางหรอื ไม่มี ใบ ออกเรยี งสลับ หายากทอ่ี อก รอบกิ่ง การผสมพันธุ์อาศยั ลม พนั ธ์ุไม้ในอันดบั น้มี ี 5 วงศ์ มอี ยู่ท่ัวไปในเขตอบอุ่นของโลก ในเขตร้อนมนี ้อยชนดิ จะกล่าวถงึ 2 วงศ์ คือ Casuarinaceae และ Fagaceae 1. วงศ์สนทะเล สนประดพิ ัทธ์ Casuarinaceae ไม้ต้น ก่งิ สีเขยี ว เรียว และหักหลดุ เป็นข้อ ๆ ใบ จ�ำนวน 16-4 เรยี งอยู่ในระดับเดียวกันรอบกง่ิ ลดขนาดลง เป็นรูปเขีย้ ว โคนใบเช่อื มตดิ กัน ดอก unisexual เรยี งอยู่รอบแกนช่อดอก ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อเรยี ว ดอกเพศเมยี ออกรวมกนั เปน็ กลุ่มกลม ๆ ไม่มีกลบี perianth เลย มีแต่เพยี งกาบรองดอก ดอกเพศผู้มเี กสรเพศผู้เพยี งอนั เดียว รงั ไข่ในชนั้ แรกมี 2 ช่อง ต่อมาลดลงเหลือเพยี งช่องเดียว ไข่จ�ำนวน 2 เมลด็ แต่เจรญิ เพียงเมล็ดดยี ว ผล รวมกัน เปน็ กระจกุ คล้ายผลของสนเขา แต่ละผลมขี นาดเลก็ ผิวแขง็ มปี ีก มีกาบรองดอกแข็ง ๆ 2 อนั หุ้มอยู่ เมล็ดไม่มี endosperm พรรณไม้ในวงศ์นม้ี ีอยู่เพียงสกลุ เดยี วในโลก ส่วนมากเป็นพชื พน้ื เมืองของทวปี ออสเตรเลยี ในประเทศไทย พบขน้ึ ตามป่าชายหาดทเ่ี ป็นทรายชนิดเดยี ว คอื สนทะเล Casuarina equisetifolia J.R. Forster & G. Forster อกี ชนดิ คือ สนประดพิ ัทธ์ C. junghuhniana Miq. นัน้ เป็นพันธุ์พชื ต่างประเทศได้น�ำเข้ามาปลูกกันกว่า 100 ปีมาแล้ว เข้าใจ ว่าจะเป็นพนั ธุ์ผสม เนอื่ งจากเม่อื น�ำเข้ามาเปน็ คร้งั แรกนน้ั เป็นต้นเพศผู้ พันธุ์ไม้ชนดิ น้จี งึ แยกขยายพนั ธ์ุได้ด้วยการ ตัดแยกรากหรอื ตอนกง่ิ เท่าน้นั คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

124 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช 2. วงศ์กอ่ Fagaceae ไม้ต้น ใบ เดยี่ ว ออกเรยี งสลับกนั หายากทเี่ รียงอยู่รอบ ๆ ก่ิง มหี ใู บแต่กลดุ ร่วงไปก่อนทใ่ี บจะเจริญเตม็ ที่ ดอก เลก็ มาก unisexual อยู่บนช่อเดียวกัน หรอื แยกกนั อยู่คนละช่อ กลบี perianth มจี �ำนวน 6-4 กลบี เกสรเพศผู้ จ�ำนวนน้อย รังไข่ inferior มี 4-3 ช่อง ช่องหนง่ึ มีไข่สองเมลด็ ผล เปลือกแขง็ โดยมากมีเมลด็ เดยี ว มกี าบเปน็ รูปถ้วย (cupule) หุ้มอยู่ กาบนมี้ รี อยเป็นชนั้ ๆ มเี มลด็ เรยี งเป็นแถวหรอื มหี นามแหลมอยู่ทางด้านนอก เมลด็ ไม่มี endosperm พรรณไม้ในวงศ์นีม้ ีประมาณ 8 สกุล ส่วนมากเปน็ ไม้เขตอบอุ่นหรอื เขตร้อนของโลก ในประเทศไทยเท่าท่ี ส�ำรวจพบมอี ยู่ 4 สกุลด้วยกัน เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ทงั้ สนิ้ รูปวธิ านแยกสกลุ 1. ดอกเพศผู้มกั มเี กสรเพศเมียเปน็ หมัน (pistillodes) ปรากฏอยู่ เกสรเพศผู้ส่วนมากมี 12 อบั เรณูเลก็ ตดิ กบั ก้าน เกสรทางด้านหลงั หลอดเกสรเพศเมยี เป็นรปู ท่อ ยอดเกสรเล็กมาก กาบรองผลหุ้มผลมดิ หรอื ไม่มดิ 2. กาบรองผลมักมหี นามแหลม หุ้มผลมดิ เวลาแก่จดั จะแยกออกจากกนั กาบหนง่ึ มีผลจ�ำนวน 3-1 ใบเรียงสลับ ท้องใบมเี กล็ดสีนำ้� ตาลเปน็ มนั Castanopsis 2. กาบรองผลไม่มีหนาม เปน็ รูปถ้วยตน้ื หรือลึก กาบหนึ่งมผี ลเพียงผลเดยี ว ท้องใบไม่มีเกล็ด ลกั ษณะเหมือน ข้างบน Lithocarpus 1. ดอกเพศผู้ไม่มีเกสรเพศเมยี เป็นหมัน (pistillode) เกสรเพศผู้มี 6 อบั เรณูใหญ่กว่าติดกบั ก้านทางโคนอับ กาบรอง ผลไม่หุ้มมดิ ผล ขอบเรียบหรอื หยกั เว้า 3. ผลกลมเม่อื ดูทางรอยตัดตามขวาง กาบรองผลมผี ลอยู่เด่ยี ว ๆ เปน็ รปู ถ้วยขอบไม่หยกั เว้า Quercus 3. ผลเป็นรปู สามเหลย่ี มเมอ่ื ดูทางรอยตัดตามขวาง กาบรองผลมผี ล 3-1 หรอื มากกว่า และขอบหยัก Trigonobalanus พรรณไม้ในวงศ์นี้เรียกกันทัว่ ๆไปว่า ก่อ เท่าทม่ี ีอยู่ในประเทศไทยมีจ�ำนวนกว่า 80 ชนิด สกุลทม่ี ีสมาชกิ มากท่สี ดุ คอื Lithocarpus พบขนึ้ ต้ังแต่ในป่าดบิ พ้นื ราบจนถึงป่าดบิ เขาในระดบั สูง บางชนิดพบข้นึ ในป่าดบิ แล้ง เช่น ก่อข้หี มู L. harmandii A. Camus พบทางภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื และภาคตะวนั ออก ไม้ก่อในสกลุ Castanopsis และ Lithocarpus มีลักษณะใกล้เคยี งกนั มาก แต่จะสงั เกตดไู ด้ทท่ี ้องใบของ สกลุ Castanopsis น้นั มเี กล็ดละเอียดสนี ำ้� ตาลติดแนบกับผวิ ดเู ป็นมันเล่ือม ลกั ษณะน้ีมปี ระโยชน์มากในการ วเิ คราะห์เมือ่ พรรณไม้ยังไม่มดี อกหรอื ผล ช่อดอกของสองสกุลนก้ี ค็ ล้ายกนั คอื บางทดี อกเพศผู้และเพศเมยี อยู่รวม กนั ในช่อเดยี วกัน และช่อดอกตง้ั ตรงออกตามปลายกง่ิ หรือตามง่ามใบใกล้ปลายกง่ิ ส่วนสกุล Quercus และ Trigonobalanus น้นั ดอกทัง้ สองเพศแยกกันอยู่คนละช่อ ดอกเพศเมยี ในสกลุ Quercus มกั จะสนั้ มากและมีน้อยดอก ส่วนของ Trigonobalanus นั้น เปน็ ช่อยาวคล้าย ๆ ช่อดอกของสองสกลุ แรก พรรณไม้สกลุ Trigonobalanus นี้ ปัจจบุ ันมอี ยู่ด้วยกนั เพียง 2 ชนดิ ชนิดหนง่ึ พบทางประเทศมาเลเซีย และ แคว้นซาบาห์ในเกาะบอร์เนยี ว อีกชนดิ หน่งึ นนั้ พบทางภาคเหนอื ของประเทศไทยคอื T. doichangensis (A. Camus) Forman

125 ก่อบงั บาตร กอ่ ดาน Lithocarpus corneus (Lour.) Rehder Castanopsis purpurea Barnett (Fagaceae) (Fagaceae) กอ่ หมวก ก่อสามเหลี่ยม Quercus auricoma A. Camus Trigonobalanus doichangensis (A. Camus) Forman (Fagaceae) (Fagaceae) ภาพที่ 28 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

126 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช สนทะเล เหมือดคนตัวผู้ Casuarina equisetifolia J.R. Forster & G. Forster Helicia nilagirica Bedd. (Casuarinaceae) (Proteaceae) ตำ�แยช้าง ไขป่ ลา Dendrocnide stimulans Chew Debregeasia longifolia (Burm.f.) Wedd. (Urticaceae) (Urticaceae) ภาพท่ี 29

127 เฉียงพร้านางแอ โกงกางใบเลก็ Carallia brachiata (lour.) Merr. Rhizophora apiculata Blume (Rhizophoraceae) (Rhizophoraceae) กะออก มะเดื่อกวาง Artocarpus elasticus Reinw. ex Blume Ficus callosa Willd. (Moraceae) (Moraceae) ภาพที่ 30 คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

128 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช หว้า ชมพนู่ ้�ำ Syzygium cumini (L.) Skeels Syzygium siamense (Craib) Chatar. & J. Parn. (Myrtaceae) (Myrtaceae) งวงชุ่ม ตะแบกเลือด Combretum pilosum Roxb. ex G. Don Terminalia mucronata Craib & Hutch. (Combretaceae) (Combretaceae) ภาพที่ 31

7. อนั ดับ Urticales 129 ดอก มีขนาดเลก็ bisexual หรอื unisexual มักอยู่รวมกนั แน่นเป็นก้อน กลบี perianth จ�ำนวน 5-4 กลบี หรือหายากทไี่ ม่มกี ลีบเลย เกสรเพศผู้จ�ำนวนมักจะเท่ากนั กบั กลบี และอยู่ตรงข้ามกบั กลบี รงั ไข่ superior ส่วนมาก มี 2 ช่อง บางทมี ีช่องเดยี วและไข่เมลด็ เดยี ว ผล มลี กั ษณะต่าง ๆ บางทอี ยู่รวมกนั เปน็ แบบ multiple เมลด็ มี endosperm เปน็ ไม้ล้มลุก ไม้พุ่ม หรอื ไม้ยืนต้น พรรณไม้ในอันดบั นม้ี อี ยู่ด้วยกัน 3 วงศ์คอื Ulmaceae, Urticaceae และ Moraceae วงศ์ Moraceae และ Ulmaceae ส่วนใหญ่เป็นไม้ต้นและไม้พุ่ม วงศ์ Urticaceae ส่วนใหญ่เปน็ ไม้ล้มลุก มบี างชนิดเปน็ ไม้ต้นขนาดเล็กและ มีขนเป็นพษิ รูปวิธานแยกวงศ์ 1. เกสรเพศเมยี ตัง้ ตรงในตาดอก ไม้ต้นหรอื ไม้พุ่ม ยางใส ใบตดิ เรียงสลบั โคนมักเบ้ยี ว ผลสด แบบ drupe 1. Ulmaceae 1. เกสรเพศเมยี โค้งเข้าในตาดอก (จะต้ังตรงในวงศ์ Moraceae บางชนิด) ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรือไม้ล้มลกุ ยางใสหรอื ขาว ใบส่วนมากติดเรยี งสลับ บางทีพบตดิ ตรงข้ามบ้าง โคนใบเท่ากัน ผลมีหลายชนดิ มักเปน็ ผลรวม (multiple หรอื syncarp) 2. ไม้ล้มลกุ หรือไม้ต้นเน้ืออ่อน มียางใส 2. Urticaceae 2. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม หายากท่เี ป็นไม้ล้มลกุ มยี างขาว ไข่ติดทโ่ี คนรังไข่ 3. Moraceae 1. วงศ์ขหี้ นอนควาย Ulmaceae ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม ใบ เดย่ี ว เรียงสลบั มหี ใู บ ดอก เล็ก สมบรู ณ์เพศหรอื เพศเดยี ว ออกเดยี่ ว ๆ หรอื เปน็ กระ จุกตามง่ามใบ กลีบรวมมักมี 5-4 แฉก เกสรเพศผู้มี 5-4 (หรืออาจน้อยกว่า) ติดตรงข้ามกบั แฉกกลบี รวม ก้านชูอบั เรณูตง้ั ตรงในตาดอก เกสรเพศเมยี มี 2 คาร์เพล รังไข่มี 1 ช่อง มีไข่ 1 เมลด็ ก้านเกสรเพศเมยี มี 2 แฉก ผล สดแบบ drupe หรอื ผลแห้งมปี ีก เมล็ดไม่มี endosperm พรรณไม้ในวงศ์น้มี ี 15 สกุล พบในซกี โลกภาคเหนอื ประเทศไทยพบ 4 สกลุ รูปวธิ านแยกสกลุ 1. ผลแห้ง ปีกกว้าง เมล็ดแบน Ulmus 1. ผลสดแบบ drupe เมล็ดกลม 2. หูใบเช่อื มตดิ ดอกเพศเดียว กลบี เลีย้ งของดอกเพศผู้เรยี งซ้อนเหล่อื มกนั Gironniera 2. หูใบแยก 3. ดอกเพศเดยี ว กลีบเลี้ยงของดอกเพศผู้เรยี งซ้อนเหลอ่ื มกนั drupe แห้ง Celtis 3. ดอกสมบรู ณ์เพศ หรอื บางทเี พศเดยี วกลบี เลย้ี งเรยี งจนดกนั drupe มเี น้อื Trema คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

130 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช สกุล Gironniera เช่น ขี้หนอนควาย G.nervosa สกุล พงั แหร Trema เช่น พังแหรใบใหญ่ T. orientalis Blume พบเปน็ ไม้พุ่ม หรอื ไม้ต้นทวั่ ไป สกุล ลบู ลบี Ulmus มชี นิดเดยี ว คอื U. lancifolia Roxb. 2. วงศต์ �ำแย Urticaceae ไม้ล้มลกุ มีเส้นใย ไม้พุ่ม ไม้ต้นเนอ้ื อ่อน ใบ เดยี่ ว ตดิ ตรงข้ามหรอื ตดิ เรยี งสลับ มหี ใู บ ดอก เล็ก เพศเดียว ออกเป็นกระจกุ กลีบรวมมี 5-4 แฉก เกสรเพศผู้มี 5-4 ติดตรงข้ามกบั แฉกกลบี รวม ก้านชูอบั เรณโู ค้งในตาดอก รังไข่มี 1 ช่อง ไข่ 1 เมล็ด ก้านเกสรเพศเมยี มีอนั เดียว ผล แห้ง หรอื ผลสด มักมกี ลีบรวมตดิ อยู่ รปู วธิ านแยกสกลุ 1. ไม้ต้นหรอื ไม้พุ่ม ตง้ั ตรง หรอื ไม้ล้มลุก 2. ดอกออกเป็นช่อกระจกุ แยกแขนง (panicle) 3. ไม้ล้มลกุ แขง็ ตงั้ ตรง ใบใหญ่ มขี นคาย Laportea, Dendrocnide 3. ไม้ล้มลกุ ขนาดเลก็ ใบเล็ก ไม่มขี นคาย Pilea, Boehmeria 2. ดอกออกเป็นกระจกุ ตามง่ามใบ หรอื บนฐานดอกมเี นอื้ ใบ equilateral Pouzolzia 1. ไม้เลอื้ ย หรอื ไม้อิงอาศัย Poikilospermum พืชวงศ์น้ี สกุล Laportea และ Dendrocnide มีขนท�ำให้ระคายเคืองผวิ หนงั ได้แก่ กะลังตงั ช้าง Laportea bulbifera Wedd. ต�ำแยตัวเมยี L. interrupta Chew ต�ำแยช้าง Dendrocnide stimulans Chew กะลังตงั ช้าง D. sinuate Chew 3. วงศม์ ะเดอ่ื Moraceae ไม้ต้น และไม้พุ่ม มนี ำ้� ยางขุ่นขาวคล้ายน้�ำนม ใบ เด่ยี ว เรียงสลับ หูใบ (stipules) เลก็ หรอื ใหญ่ และหุ้มปิด ปลายยอด ดอก มีขนาดเลก็ เพศเดยี ว (unisexual) ออกเปน็ ช่อสน้ั ๆ (cyme) หรอื เป็นก้อน (head) หรอื ฝังตัวอยู่บน ฐานรปู โถ (urn-shaped receptacle) กลบี perianth มจี �ำนวน 4 หายากทไ่ี ม่มี เกสรเพศผู้มจี �ำนวน 4 (อยู่ตรงข้ามกับ กลีบ perianth หรือลดจ�ำนวนลงเหลอื เพยี ง 1 หรอื 2 เท่านั้น) เกสรเพศเมยี มี 2 อนั รังไข่มชี ่องเดยี วและเมล็ดเดียว ก้านเกสรเพศเมยี (style) ส่วนมากมี 2 อนั ผล ผวิ แขง็ แบบ nut หรือผวิ อุ้มนำ�้ แบบ drupe หรอื ผลแห้งแบบ achene มกั รวมกันอยู่เป็นก้อนกลม หรอื มีฐานอวบหุ้มอยู่ พรรณไม้วงศ์น้มี ีประมาณ 53 สกุล ส่วนมากเปน็ พรรณไม้ในเขตร้อน ในประเทศไทยมอี ยู่ประมาณ 8 สกุล ที่เปน็ ไม้หวงห้ามกค็ อื สกุล ขนุน มะหาด Artocarpus พรรณไม้ในสกลุ น้ตี ่างเปน็ ไม้ต้นขนาดกลางถงึ ขนาดใหญ่ ใบ เดย่ี ว และมักจะมสี องแบบ ใบของต้นอ่อนขอบมักหยกั เว้าลกึ ใบแก่ขอบเรยี บ ส่วนมากมขี นสากคายตามก่งิ อ่อน และตวั ใบ ออกเรยี งสลับกัน ดอกเพศผู้เล็กมาก อยู่ชดิ กนั เปน็ ช่อแน่น รปู ขอบขนาน มที ่อก้านยาวออกตามง่ามใบ ปลายกง่ิ หรือตามก่งิ แขนงสั้น ๆ ตามล�ำต้น ดอกเพศเมยี คล้ายกับดอกเพศผู้แต่มขี นาดใหญ่กว่า ผลเช่อื มตดิ กันเปน็ แบบ multiple ขนาดใหญ่ ผวิ ผลรวมน้เี ปน็ ตุ่มขรขุ ระหรือเปน็ เส้นค่อนข้างแข็ง เช่น หาด หรอื มะหาด A. lakoocha Roxb. ไม้สกุลน้เี ปน็ ไม้ผล คอื ขนุน A. heterophyllus Lamk. ไม้วงศ์น้ีท่รี ู้จกั กนั ทว่ั ไป คอื สกลุ มะเด่อื และ ไทร Ficus เช่น มะเดอ่ื อทุ ุมพร F. racemosa L. ทรย้อยใบ แหลม F. benjamina L.

8. อันดับ Myrtales 131 ดอก โดยมากสมมาตรตามรัศมี (actinomorphic) สมบรู ณ์เพศ (bisexual) กลบี เล้ียงโดยมากเรยี งจรดกนั (valvate) เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก มกั จะมีรปู ร่างโดยเฉพาะ แยกหรอื เชอื่ มตดิ กนั มกั มจี านดอก (disc) เกสรเพศเมีย เชอ่ื มติดกัน (syncarpous) พลาเซนตารอบแกนร่วม (axile placentation) รงั ไข่เหนอื วงกลีบ (superior) กง่ึ ใต้วงกลีบ (half-inferior) หรอื ใต้วงกลบี (inferior) ก้านเกสรเพศเมีย (style) มอี นั เดยี ว เมลด็ มี endosperm น้อยหรอื ไม่มีเลย ใบ เดย่ี ว ส่วนมากออกตรงข้าม มักมจี ดุ ต่อม พรรณไม้ในอันดบั น้สี งั เกตได้ท่มี ใี บเดี่ยวออกตรงข้ามกนั ส่วนมากไม่มหี ใู บ รังไข่เชอื่ มตดิ กนั กับถ้วยกลบี เลีย้ ง (hypanthium) เช่น ในวงศ์ Lythraceae และ Myrtaceae ทพ่ี บในประเทศไทยมอี ยู่ด้วยกนั 9 วงศ์ แต่จะกล่าวถงึ วงศ์ทีส่ �ำคัญคอื Rhizophoraceae, Combretaceae, Myrtaceae, Lythraceae และ Thymelaeaceae 1. วงศโ์ กงกาง Rhizophoraceae ไม้ต้น หายากทเ่ี ปน็ ไม้พุ่ม เปน็ พรรณไม้ป่าชายเลน ใบ เด่ยี ว ส่วนมากออกตรงข้ามและแต่ละคู่ตง้ั ฉากกัน (decussate) และมีหูใบอยู่ระหว่างก้านใบ (interpetiolar stipule) ดอก มีขนาดเล็กหรอื ใหญ่ สมมาตรตามรัศมี (regular) ส่วนมากเป็นแบบสมบรู ณ์เพศ (bisexual) ออกเด่ยี ว ๆ หรอื ออกเป็นกระจุก (cyme) ตามง่ามใบ กลีบเลี้ยง โคนเช่ือมตดิ กนั ปลายแยกเป็น 8-4 กลีบ (หรอื 16-3 กลีบ) กลีบดอกแยกจากกัน มจี �ำนวนเท่ากบั กลบี เล้ยี ง และ มักจะมีขนาดเลก็ กว่า เกสรเพศผู้ส่วนมากมจี �ำนวนมากกว่ากลบี ดอก มักอยู่เปน็ คู่ ๆ ตรงข้ามกลีบดอก รังไข่ inferior หรอื superior มีจ�ำนวน 6-2 ช่อง (บางคร้งั มเี พียงช่องเดยี ว) แต่ละช่องมไี ข่ -2หลายเมลด็ ผล สดมเี นอ้ื หลายเมลด็ (baccate) หรอื ผลแบบ drupe เมล็ดของพรรณไม้ป่าชายเลนมคี ุณลักษณะพเิ ศษผดิ แปลกกว่าวงศ์อน่ื ๆ คอื เมล็ด สามารถงอกเปน็ ต้นอ่อนได้ในขณะท่ผี ลยังติดอยู่บนต้น (vivipary) เมล็ดส่วนใหญ่มี endosperm พรรณไม้วงศ์นี้มปี ระมาณ 20 สกลุ พบในเขตร้อนและกงึ่ เขตร้อน ในไทยท่สี �ำคัญมอี ยู่ 5 สกุลด้วยกันคอื สกุล โกงกาง Rhizophora สกลุ พังกา ประสัก รุ่ย Bruguiera สกลุ เฉียงพร้านางแอ Carallia สกลุ รงั กะแท้ Kandelia และ สกลุ โปรง Ceriops รปู วิธานแยกสกุล 1. พชื ขนึ้ ในป่าชายเลนเมลด็ งอกเมอ่ื ผลยงั ตดิ คาต้น คอราก (hypocoty) เจรญิ เมอ่ื ยังเปน็ ผล 2. กลีบเล้ยี งมีจ�ำนวน 4 กลบี ดอกขอบเรยี บ ไม่มรี ยางค์ Rhizophora 2. กลบี เลย้ี งมจี �ำนวน 16-5 แฉก กลบี ดอกหยักเป็น 2 หรอื หลายแฉก แต่ละแฉกมคี รยุ 3. กลบี เล้ียงมีจ�ำนวน 6-5 แฉก กลบี ดอกมคี รุยหรือมีหลายแฉก 4. กลบี เลย้ี งรปู ไข่ กลบี ดอกมคี รยุ ตอนปลายกลบี คอรากมีสนั Ceriops 4. กลบี เลี้ยงรปู ขอบขนานแคบ กลบี ดอกมีหลายแฉก คอรากเรยี บ Kandelia 3. กลบี เลย้ี งมีจ�ำนวน 16-8 แฉก กลบี ดอกหยกั เป็น 2 แฉก ตรงกลางเปน็ แอ่ง Bruguiera 1. พชื ขึน้ ในป่าบก เมล็ดไม่งอกคาต้น กลบี ดอกขอบหยักไม่เป็นระเบยี บ Carallia คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

132 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช พรรณไม้ในวงศ์โกงกาง Rhizophoraceae คล้ายคลงึ กับวงศ์เข็ม Rubiaceae มาก โดยทมี่ ลี กั ษณะใบออก ตรงข้ามและแต่ละคู่ตง้ั ฉากกัน (decussate) และมหี ูใบแบบ interpetiolar stipules เช่นเดียวกนั แต่พรรณไม้พวก Rhizophoraceae มกี ลบี ดอกเปน็ อสิ ระแยกจากกันเป็นกลบี ๆ ส่วนพวก Rubiaceae มีกลีบดอกเชือ่ มตดิ กันเป็น หลอด (corolla tube) (ดูรายละเอยี ดเพ่มิ เตมิ ในหนงั สอื Flora of Thailand Vol. 2(1): 5-15. 1970.) 2. วงศ์สมอ Combretaceae ไม้ต้น และไม้พุ่ม ไม้เถามบี ้างไม่มากนัก ใบ เดี่ยว ออกเรียงสลบั หรอื ออกก่งึ ตรงข้าม (semi-opposite) ไม่มหี ใู บ ดอกมีขนาดเลก็ สมมาตรตามรัศมี (regular) สมบูรณ์เพศ หรือเพศเดียวออกเป็นช่อยาวแบบหางกระรอก (catkin) อาจเปน็ แบบ raceme, spike หรอื panicle กลีบเลี้ยงมี 5-4 กลบี เชอ่ื มตดิ กนั เป็นรปู ถ้วย หรือหลอด หลดุ ร่วงได้ยาก กลบี ดอกมี 5-4 กลีบ บางพวกไม่มกี ลีบดอก เกสรเพศผู้มี 8-5-4 หรือ 10 อนั ตามปกตเิ กสรเพศผู้มี จ�ำนวนเปน็ 2 เท่าของจ�ำนวนกลีบเล้ยี ง และมอี ยู่ 2 แถว รงั ไข่ inferior มีเพยี ง 1 ช่อง ไข่มี 6-2 เมลด็ แขวนห้อยหัว ลง ก้านเกสรเพศเมยี (style) มเี พยี งอันเดยี ว ผล มที ้ังแบบผลแห้งส่วนมากเม่อื แก่ไม่แตก และผลสดแบบ drupe มี ลักษณะค่อนข้างกลมหรอื แบน หรอื เปน็ เหล่ยี ม หรอื มคี รบี 5-2 ครบี และมเี พียงเมลด็ เดยี ว เมลด็ ไม่มี endosperm พรรณไม้วงศ์นม้ี ปี ระมาณ 20 สกุล ชอบขึ้นอยู่ในเขตร้อน ส�ำหรบั พรรณไม้ของไทยท่สี �ำคญั มี 3 สกลุ คือ สกุล สมอ รกฟ้า Terminalia สกุลฝาด Lumnitzera และ สกลุ ตะเคยี นหนู Anogeissus รปู วิธานแยกสกุล 1. ไม่มีกลีบดอก ดอกเลก็ ผลรูปรี หรือมกั แบนแผ่ออกไปเปน็ ปีก Terminalia 1. มีกลบี ดอก 2. ดอกเล็กออกเปน็ กระจุกตามง่ามใบ ผลแบนมคี รีบข้าง ๆ และตอนปลายมยี อดเรยี วแหลม Anogeissus 2. ดอกขนาดกลาง เรยี งเป็นช่อแบบ raceme สน้ั ๆ ตามปลายกง่ิ Lumnitzera 3. วงศช์ มพู่ Myrtaceae ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ใบ เด่ียว มักออกตรงข้ามกัน ตวั ใบมตี ่อมโปร่งแสง ไม่มีหูใบ ดอก สมมาตรตามรศั มี (regular) สมบรู ณ์เพศ (bisexual) กลบี เล้ียงและกลีบดอกจ�ำนวน 4 หรือ 5 เกสรเพศู้มจี �ำนวนมาก ก้านชอู ับเรณู เรยี วยาว บางทีเชือ่ มตดิ กนั เป็นกลุ่ม ๆ รงั ไข่ inferior มชี ่องเดียวหรอื หลายช่อง ไข่แต่ละช่องมจี �ำนวน 2 หรือมากกว่า ก้านเกสรเพศเมยี (style) มอี ันเดยี ว ผล เป็นชนดิ berry หรอื capsule เมล็ดไม่มี endosperm พรรณไม้ในวงศ์นี้มปี ระมาณ 80 สกลุ เป็นพรรณไม้เขตร้อน ทพ่ี บขนึ้ อยู่ในประเทศไทยประมาณ 6 สกุล พรรณไม้ท่นี �ำมาปลกู เปน็ ไม้ผล เช่น ฝรัง่ Psidium guajava L. สกลุ ชมพู่ Syzygium เช่น ชมพู่นำ้� ดอกไม้ S. jambos (L.) Alsoton ชมพู่สาแหรก S. malaccensis (L.) Merr. และชมพู่นาก หรอื ชมพู่แก้มแหม่ม S. samarangense (Blume) Merr. & L.M. Perry var. smarangense หว้า S. cumini (L.) Skeels ทีป่ ลกู เปน็ ไม้เศรษฐกจิ เช่น ยูคาลปิ Eucalyptus ท่ขี นึ้ อยู่ตามธรรมชาตใิ ช้เปลอื กห่อได้ และใบกลน่ั เอานำ�้ มนั คือ เสมด็ Melaleuca leucadendra L. ver. Minor Duthie ทป่ี ลกู เพื่อใช้ดอกอ่อนเป็นเคร่อื งเทศกม็ ี กานพลู Syzygium aromaticum (L.) Merr.

133 พรรณไม้สกุลน้มี ีลกั ษณะเด่นคือ ใบเดย่ี วออกตรงข้มกัน เส้นใบจะมีเส้นเรยี บขอบใบ (intramarginal vein) ปรากฏให้เหน็ ชัด 4. วงศต์ ะแบก อนิ ทนลิ เสลา Lythraceae ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรือ ไม้ล้มลุก ใบ เดี่ยว ขอบเรยี บ มกั ออกตรงข้ามกัน ไม่มหี ูใบ ดอก regular, bisexual ออก เปน็ ช่อชนดิ raceme หรือ panicle ฐานดอก (hypanthium) เปน็ รูปทรงกระบอก หรอื รูประฆัง กลบี เลย้ี งมจี �ำนวน 8-4 กลีบเรยี งจรดกนั กลีบดอกมีจ�ำนวนเท่าหรอื น้อยกว่ากลบี เล้ียง ย่นยบั หายากท่ีไม่มกี ลบี ดอก เกสรเพศผู้มี จ�ำนวน 4 หรอื 8 หรอื จ�ำนวนมาก รงั ไข่ไม่เชือ่ มตดิ กับฐานดอก มกั มีจ�ำนวน 6-2 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่จ�ำนวนมาก axile placenta ผล เป็นแบบ capsule มฐี านดอกหุ้ม เมลด็ มจี �ำนวนมาก มี endosperm พรรณไม้ในวงศ์น้มี ีมากกว่า 20 สกุล พบกระจัดกระจายทัว่ ๆ ไปในเขตอบอุ่น แต่มมี ากในเขตร้อนของโลก ท่พี บในประเทศไทยมอี ยู่ 6 สกลุ ด้วยกนั ทสี่ �ำคัญคอื สกลุ ตะแบก เสลา อนิ ทนิล Lagertroemia มอี ยู่หลายชนิด ที่ เรียกกนั ว่า ตะแบก นั้นล�ำต้นมพี พู อนที่โคนต้น เปลอื กสเี ทาล่อนหลุดออกเป็นสะเกด็ ทง้ิ รอยไว้ท่เี ปลือกเปน็ หลุมต้นื ๆ เช่น ตะแบกเกรียบ L. balansae Koehne ตะแบกนา L. floribunda Jack ส่วนไม้จ�ำพวก เสลา นัน้ เปลือกสเี ทาค่อน ข้างด�ำ แตกเปน็ ร่องละเอยี ดตามทางยาว เช่น เสลาเปลือกหนา L. villosa Wall. เสลาใบใหญ่ หรอื อนิ ทรชติ L. loudonii Teijsm. & Binn. ทง้ั ตะแบก และเสลา เมอ่ื สับดูส่วน cambium จะเปน็ สมี ่วงเม่อื ถกู อากาศ ส่วน อนิ ทนลิ เปลอื กค่อนข้างเรยี บ หรือ ลอกเป็นสะเก็ดบาง ๆ เช่น อินทนิลนำ�้ L. speciosa Pers อินทนิล บก L. macrocarpa Wall. ท้งั 2 ชนิดต่างกันท่ดี อกตมู ขนาดของดอกและผล โดยอินทนลิ นำ้� ทปี่ ลายสุดของดอกตูม ตรงกลางมตี ุ่มกลมเล็ก ๆ ดอกบานมขี นาดกว้าง 8-5 ซม. ผลยาว 2.5-2 ซม. ส่วน อินทนลิ บก ท่ีปลายสดุ ของดอก ตูม ตรงกลางมีรอยบุ๋มเป็นแอ่งเล็กน้อย ช่อดอกมขี นาดใหญ่มาก ดอกบานมีขนาดกว้าง 12-10 ซม. ผลยาว 4-3 ซม. เสลา และ อนิ ทนิล ทน่ี ิยมน�ำมาปลกู เป็นไม้ประดบั คอื เสลาใบใหญ่ หรือ อินทรชิต อนิ ทนลิ น้�ำ และ ยเ่ี ข่ง L. indica L. พรรณไม้ในสกลุ อน่ื ที่น�ำมาปลูกเปน็ ไม้ประดับและไม้ผล ก็คอื ทับทมิ Punica granatum L. เปน็ พืชถ่นิ เมดิเตอร์เรเนยี นและเอเซยี ตะวนั ตก ที่น�ำมาปลูกเปน็ สมนุ ไพรกันบ้างก็คอื เทียนก่งิ Lawsonia inermis L. เปน็ พืชมี ถน่ิ ก�ำเนดิ ในอนิ เดยี ให้สีน�้ำตาลแดงย้อมผม (henna) 5. วงศ์กฤษณา Thymelaeaceae ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม หายากทเ่ี ปน็ ไม้ล้มลกุ ใบ เด่ยี ว ขอบเรยี บ ออกเรยี งสลับหรอื ออกตรงข้าม ไม่มีหูใบ ดอก โดยมาก regular, bisexual หรอื unisexual ออกเดี่ยว ๆหรอื เป็นช่อแบบ raceme กลีบ perianth เชือ่ มตดิ เป็นหลอด ปลายมี 5-4 พู คล้ายกลบี ดอก เกสรเพศเมยี มี 2 หรอื หลายอนั รังไข่มชี ่องเดียว ไข่มีเมลด็ เดยี ว แขวนห้อยอยู่ท่ี ปลายรงั ไข่ ก้านเกสรเพศเมยี มีอันเดียว ผล เป็นชนดิ drupe หายากท่เี ปน็ ชนดิ capsule เมล็ดมี endosperm หรอื ไม่มี พรรณไม้วงศ์นม้ี ปี ระมาณ 40 สกุล พบขน้ึ ท่ัวโลกเว้นเขตหนาว ในประเทศไทยมอี ยู่ด้วยกัน 5 สกลุ ท่เี ปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. เพยี งสกลุ เดยี ว คือ ไม้หอม หรอื กฤษณา Aquilaria นอกนน้ั เป็นไม้พุ่ม หรอื ไม้เถา ไม้หอม หรือ กฤษณา น้ีมชี อื่ ทางการค้าว่า Englewood ในประเทศไทยมีด้วยกัน 4 ชนดิ คือ Aquilaria subintegra Hou, A. crassna Pierre ex Lec., A. malaccensis Lamk. และ A. hirta Ridl. ส่วนมากพบทางภาคใต้ และ ภาคตะวันออกเฉยี งใต้ เนอ้ื ไม้ของไม้ดังกล่าวน้จี ะมกี ลน่ิ หอม ซึ่งเดิมเช่อื ว่ากลิ่นหอมน้เี กดิ จากเชื้อราชนดิ หน่ึงเข้าไป ท�ำลายเน้ือไม้ แต่ปัจจุบนั ได้มกี ารวจิ ัยแล้วพบว่ากลนิ่ หอมนเ้ี กิดข้ึนเองตามธรรมชาติ คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

134 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช ลกั ษณะเด่นของพรรณไม้ในวงศ์น้คี ือ เปลอื กมใี ยเหนยี วมาก และลอกออกได้ง่าย เม่อื ดึงให้ขาดจากกนั จะ เห็นเส้นใยเปน็ มันเหมอื นเส้นไหม (ดูรายละเอยี ดเพม่ิ เติมในหนังสอื Flora of Thailand Vol. 6(3): 226-245. 1997.) 9. อนั ดบั Malvales ใบ เรยี งสลบั กัน มีหใู บ มกั มขี นชนดิ stellate ดอก bisexual (บางทีเป็นชนดิ unisexual) ส่วนมากเป็นชนิด regular ส่วนต่าง ๆ มจี �ำนวนอย่างละ 5 กลีบเลยี้ งเรยี งจรดกนั (valvate) เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมากแยกจากกนั หรอื เชอ่ื มติดกันบางส่วน หรอื เชอื่ มตดิ กันเป็นหลอด หายากทมี่ จี �ำนวนน้อย อยู่ตรงข้ามกับกลบี ดอก อบั เรณูมี 2-1 เซลล์ เกสรเพศเมยี เป็นชนดิ syncarpous มี placenta ชนดิ axile รังไข่ superior เมลด็ มี endosperm มาก หายากที่ ไม่มี embryo ใหญ่ตรงหรอื โค้ง พรรณไม้ในอันดบั น้มี ี 4 วงศ์ คือ Tiliaceae, Malvaceae, Bombacaceae และ Sterculiaceae ทัง้ 4 วงศ์น้ีไม้ ต้นทเ่ี ปน็ ไม้หวงห้ามด้วยกันทงั้ นั้น ไม่มากก็น้อยชนิด ทง้ั 4 วงศ์นี้มลี ักษณะคล้ายคลงึ กนั มาก เปน็ การยากทจ่ี ะแยก ออกจากกันได้ หากอาศยั เพยี งลกั ษณะของใบแต่อย่างเดยี ว ปัจจบุ นั ได้ยบุ รวมอยู่ในวงศ์ Malvaceae โดยแบ่งเปน็ วงศ์ย่อยดงั น้ี 1. Subfamily Malvoideae or Malvaceae sensu stricto 2. Subfamily Bombacoideae or Bombacaceae 3. Subfamily Byttnerioideae or Byttneriaceae 4. Subfamily Grewioideae or Spawmanriaceae 5. Subfamily Tilioideae or Tiliaceae sensu stricto 6. Subfamily Dombeyoideae or Dentapetaceae 7. Subfamily Helicteroideae or Helicteraceae and Durionaceae 8. Subfamily Brownlowioideae or Brownlowiaceae 1. วงศ์ยอ่ ยปอ Grewioideae ไม้ต้น และ ไม้พุ่ม ใบ เด่ยี ว ออกเรยี งสลบั มีหูใบ ดอก regular ส่วนมาก bisexual ออกเปน็ ช่อชนิด cyme หรอื panicle กลีบเลย้ี งมีจ�ำนวน 5 กลบี กลีบดอกมจี �ำนวนเท่ากนั เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมากแยกจากกัน หรือเชือ่ ม ตดิ กันเปน็ กลุ่ม ๆ อบั เรณมู ี 2 เซลล์ มกั มี staminode รงั ไข่มี 10-2 ช่อง ช่องหนึง่ ๆ มีไข่เมลด็ เดยี ว หรอื มากกว่า ก้านเกสรเพศเมยี มีอันดียว ผล มลี กั ษณะต่าง ๆ เมล็ดมี endosperm พรรณไม้ในวงศ์นีม้ มี ากกว่า 40 สกุล ส่วนมากเปน็ พชื เขตร้อน ในประเทศไทยพบอยู่ 11 สกุลด้วยกนั ทเ่ี ป็น ไม้หวงห้ามประเภท ก. คอื สกุล สเี สยี ดเปลือก หรอื สีเสยี ดเหนอื Pentace ได้แก่ P. burmanica Kurz สกลุ แดงสบ คือ Schoutenia hypoleuca Pierre สกุล เลียงมนั คือ Berrya ammonilla Roxb. และท่ีเปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. คือ สกลุ จนั ทนา หรอื จนั ทน์ชะมด Mansonia gagei Drumm.

135 พรรณไม้ในวงศ์น้ที ี่ปลูกใช้ท�ำปอคอื ปอกระเจา Coechorus capsularis L. มีชอื่ ทางการค้าว่า jute และที่น�ำ มาปลกู เปน็ ไม้ประดับท่ัว ๆ ไปคอื ตะขบฝร่ัง Muntingia calabura L. (ดรู ายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 16: 2-118. 1986.) 2. วงศย์ ่อยชบา Malvoideae ไม้พุ่ม ไม้ล้มลกุ หรอื ไม้ต้น มักมีขนรปู ดาว (stellate hairs) ปกคลมุ ใบ ออกเรยี งสลบั มกั จะหยักเว้าแบบ รปู ฝ่ามอื (palmate) มหี ใู บ ดอก bisexual, regular มกั มีสีสรรสวยงาม ออกเดี่ยว ๆ หรอื เป็นช่อ กลบี เลย้ี งมจี �ำนวน 5 มักจะมกี ลีบ epicalyx รองอยู่อกี ชน้ั หนง่ึ กลีบดอกจ�ำนวน 5 ขนาดใหญ่ มักบิดเวยี น เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก เชื่อมตดิ กันเป็นหลอดเหน็ ชดั หุ้มรอบเกสรเพศเมยี อับเรณูมเี ซลล์เดียว ละอองเรณผู วิ มีหนาม รงั ไข่ 5 ถึงหลายอัน ก้านเกสรเพศเมยี มจี �ำนวนเท่ากับรงั ไข่ ผล เป็นชนดิ capsule หรอื schizocarp เมลด็ มี endosperm พรรณไม้ในวงศ์นม้ี กี ว่า 80 สกลุ พบขึน้ ท่ัวโลก ในประเทศไทยพบอยู่ประมาณ 10 สกลุ ท่เี ปน็ ไม้หวงห้าม ประเภท ก. คอื โพทะเล Thespesia populnea (L.) Soland ex Corr. พบขน้ึ ด้านหลงั ป่าชายเลน พรรณไม้ในวงศ์น้ที น่ี �ำมาปลูกเป็นไม้ประดบั คอื ชบา ชนิดต่าง ๆ ในสกลุ Hibiscus และ Malvaviscus ท่ี ปลูกเป็นพชื กสิกรรม คอื ปอแก้ว Abelmoschus manihot (L.) Medik นอกจากนก้ี ็มฝี ้ายพนั ธ์ุต่าง ๆ และส�ำลี ซงึ่ ก็อยู่ ในสกุล Hibiscus 3. วงศ์ยอ่ ยง้วิ นุน่ Bombacoideae ไม้ต้น ขนาดใหญ่ ใบ เดี่ยว หรอื ใบประกอบแบบน้วิ มือ (palmately compound) ออกเรียงสลับ มกั มีขนรปู ดาว (stellate) หรือเกล็ด (scales) ปกคลุม มีหใู บ ดอก bisexual, regular กลบี เลยี้ งมี 5 กลบี และมีกลบี epicalyx รองรับ กลบี ดอกยาว หายากท่ไี ม่มี เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก แยกจากกนั หรอื เชอ่ื มติดกันเปน็ กลุ่ม ๆ อบั เรณูมี 2-1 เซลล์ หรือมากกว่า ก้านเกสรเพศเมยี มอี นั เดยี ว ผล ชนดิ capsule มกั มีขนาดใหญ่และผวิ เป็นหนาม เมลด็ มีเย่อื หุ้ม (arillate) หรอื มปี ยุ หุ้ม ปุยน้มี กี �ำเนิดมาจากเปลอื กผล เมลด็ มี endosperm น้อยหรอื ไม่มีเลย พรรณไม้ในวงศ์น้มี ปี ระมาณ 20 สกุล เปน็ พชื เขตร้อน โดยมากอยู่ในทวีปอเมรกิ า ท่สี �ำรวจพบใน ประเทศไทยมเี พียง 5 สกุล คอื สกลุ ง่วิ Bombax สกุล ทเุ รียน Durio เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. สกุล ช้างร้อง Neesia สกลุ นุ่น Ceiba และสกลุ พศิ วง Paradombeya คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

136 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช กฤษณา พวมพร้าว Aquilaria crassna Pierre ex Lec. Aquilaria malaccensis Lam. (Thymelaeaceae) (Thymelaeaceae) ตะแบกนา อินทนิลน้ำ� Lagerstroemia floribunda Jack Lagerstroemia speciosa (L.) Pers. (Lythraceae) (Lythraceae) ภาพที่ 32

137 ทุเรียนปา่ ปอทะเล Durio mansonii (Gamble) Bakh. Hibiscus tiliaceus L. (Malvaceae) (Malvaceae) จันทร์ชะมด พลากวาง Mansonia gagei J.R. Drumm. ex Prain Pterospermum lanceifolium Roxb. (Malvaceae) (Malvaceae) ภาพที่ 33 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

138 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุ์พืช ปลาไหลเผือก ก่วมภคู า Eurycoma longifolia Jack. Acer pseudowilsonii Y.S. Chen (Simaroubaceae) (Sapindaceae) มะแฟน มะกอกเลือ่ ม Protium serratum Engl. Canarium subulatum Guill. (Burseraceae) (Burseraceae) ภาพที่ 34

139 สะเดา ตะบนู ขาว Azedirachta indica A. Juss. Xylocarpus granatum J. Koenig (Meliaceae) (Meliaceae) ค้างคาว แสลงใจ Aglaia edulis (Roxb.) Pellegr. Strychnos nuxvomica L. (Meliaceae) (Meliaceae) ภาพที่ 35 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

140 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช รปู วธิ านแยกสกลุ 1. ใบเด่ียว 2. กลีบเล้ยี งมี 5 แยกจากกนั ไม่มรี วิ้ ประดบั (epicalyx) ผลรูปไข่ ปลายแบน ไม้พุ่มรอเล้อื ย Paradombeya 2. กลบี เลย้ี งมี 1 มีร้วิ ประดบั ผลรปู ไข่ หรอื รี ปลายไม่แบน ไม้ต้น 3. เกสรเพศผู้เชอ่ื มติดกัน มี 5 มดั แต่ละมัดเชอ่ื มติดกนั รงั ไข่มขี น ผลมี 5 เหล่ยี ม ไม่มีหนาม 3. เกสรเพศผู้เช่อื มตดิ กนั เปน็ 5 มัด แต่ละมัดแยกจากกนั รงั ไข่มเี กลด็ ผลไม่เป็นเหล่ยี ม แต่มหี นามหนาแน่น Neesia 1. ใบประกอบรูปนว้ิ มอื 4. เกสรเพศผู้มี 6-(5) อนั ผลเรยี บมี 5 ร่อง Ceiba 4. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก (ไม่ตำ่� กว่า 50) ผลเรยี บหรอื มี 5 สนั Bombax สกุล ง้วิ Bombax ในประเทศไทยมหี ลายชนิด ชนดิ ดอกสแี ดงมี งิว้ บ้าน B. ceiba L. ชนิดดอกสขี าวมี ง้ิวป่า หรือ งวิ้ ผา B. anceps Pierre ง้าว B. anceps Pierre var. cambodiense (Pierre) Robyns สกุล ทเุ รียน Durio ที่ผลรบั ประทานได้ คือ ทเุ รยี นนก D. griffithii (Mast.) Bakh. ทุเรยี นป่า D. mansoni (Gamble) Bakh. และท่ีปลูกขายคอื D. zibethinus L. ดอกทเุ รยี นอาศยั ค้างคาวผสมพันธ์ุ เพราะเกสรเพศผู้และเกสร เพศเมยี จะเจรญิ เต็มท่ีตอนย�่ำค�ำ่ เป็นเวลาท่คี ้างคาวออกหากนิ สกลุ Neesia มีเพียงชนิดเดียวคือ ช้างแหก N. altissima (Blume) Blume เปน็ ไม้ต้นขนาดกลาง พบข้นึ ตาม ริมล�ำธาร ใบขนาดใหญ่ ผลแก่จดั จะแยกออกเป็น 5 เสีย่ ง ตามผนงั เส่ยี งมีขนสนี ำ้� ตาล ขนนจ้ี ะท�ำให้เกดิ ระคายเคอื ง ต่อผิวหนงั ทอ่ี ่อนนุ่ม ชาวบ้านจะไม่ดมื่ น้�ำในล�ำธารท่ไี ม้ชนิดนีข้ ึ้นอยู่ เพราะจะท�ำให้เกิดอาการคนั คออย่างรนุ แรง ท่นี �ำมาปลูกกันทั่ว ๆ ไปก็คอื นุ่น Ceiba pentandra (L.) Gaertn. ปุยของง้วิ ชนิดต่าง ๆ กใ็ ช้ประโยชน์ได้เหมอื นนุ่น (ดูรายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 25: 81-101. 1997.) 4. วงศย์ อ่ ยส�ำโรง พงุ ทะลาย Sterculioideae ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรือไม้ล้มลุก ใบ เดยี่ ว หรอื ใบประกอบ มีหใู บ ดอก สมบรู ณ์เพศ หรอื เพศเดยี ว กลีบเล้ียงมี 5 กลีบดอกมี 5 มขี นาดเล็กลดขนาดลง หรือบางทกี ไ็ ม่มเี ลย เกสรเพศผู้มี 2 ชัน้ แต่ละชนั้ เชือ่ มติดกนั ชนั้ นอกมัก เป็น staminode หรอื ไม่มเี ลย ชน้ั ในเปน็ เกสรสมบูรณ์ อับเรณมู ี 2 เซลล์ รังไข่มี 5 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่ 2 หรือมาก เมลด็ ผล เปน็ ชนดิ capsule หรอื เปน็ พวง (follicle) เมลด็ มี endosperm พรรณพชื ในวงศ์นม้ี ปี ระมาณ 50 สกลุ เป็นไม้เขตร้อน หรอื กง่ึ เขตร้อน ในประเทศไทยมอี ยู่ประมาณ 16 สกุล ทเี่ ป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ก็คือสกลุ Pterospermum, Sterculia, Pterygota, Firmiana, Pterocymbium และ Heritiera ส่วนทเ่ี ป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. คอื สกลุ Scaphium สกลุ Pterospermum นั้น มดี อกสมบูรณ์เพศ กลบี ดอกใหญ่ ผลเป็น capsule แยกออกเปน็ 5 เสยี่ ง เช่น สลกั พาด P.diversifolium Blume

141 สกลุ Sterculia, Pterygota, Firmiana, Pterocymbium ดอก unisexual ผลของพืชกลุ่มนต้ี ่างเปน็ follicle ยกเว้น Pterygota ซง่ึ เปน็ capsule ขนาดใหญ่ แยกออกตามรอยประสานด้านนอก เมลด็ มปี ีกตอนปลายเรยี งซบั ซ้อนกนั แน่น ส่วนสกลุ Heritiera นนั้ ดอก unisexual ผลเปน็ nut มีปีกตอนปลายผล ผสของสกุล Scaphium น้นั มี เมล็ดเดยี ว และ รังไข่หุ้มเมลด็ เมลด็ มเี ยื่อหุ้ม เมอื่ ถูกน�้ำจะพองขยายตวั เปน็ วุ้น เช่น พงุ ทะลาย S. scaphigerum (G. Don) Guib. & Planch. (ดูรายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ ในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 23: 62-110. 1995.) 10. อันดบั Geraniales ดอก actinomorphic หรอื ค่อนข้างจะเป็น zygomorphic ตามปกตมิ ชี ั้นละ 5 ส่วนมากเปน็ ดอก bisexual เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนจ�ำกัด ส้ันยาวไม่เท่ากนั (obdiplostermonous) ส่วนมากมี disc เกสรเพศเมียเปน็ ชนดิ syncarpous รังไข่ superior ไข่จ�ำนวนมาก หรอื มเี พยี ง 2 หรอื 1 เมล็ด มี endosperm หรอื ไม่มี พรรณไม้ในอันดับนม้ี ี 11 วงศ์ แต่จะกล่าวถงึ เพยี ง 5 วงศ์ คือ Erythroxylaceae, Simaroubaceae, Burseraceae, Meliaceae และ Euphorbiaceae 1. วงศ์ไกรทอง Erythroxylaceae ไม้พุ่ม หรือ ไม้ต้น ใบ เด่ียว ออกเรียงสลบั มีหใู บ ดอก bisexual, recular ก้านเกสรเพศเมยี มกั สนั้ ยาวไม่เท่า กัน กลีบเล้ยี งและกลบี ดอกมจี �ำนวน 5 กลีบ ดอกจะมตี ง่ิ อยู่ทางด้านใน เกสรเพศผู้มี 10 เช่อื มตดิ กนั เป็นหลอดตรง โคน รงั ไข่มี 4-3 ช่อง แต่มชี ่องเดียวทเ่ี จริญ ช่องหน่งึ มไี ข่จ�ำนวน 1 หรือ 2 เมล็ด ผล เป็นชนดิ drupe เมลด็ มี endosperm พรรณไม้ในวงศ์น้มี อี ยู่ด้วยกนั เพียง 3 สกุล ส่วนมากมถี ิน่ ก�ำเนิดในทวีปอเมริกาเขตร้อน ในประเทศไทยพบมี อยู่เพียงสกลุ เดียวคอื Erythroxylum มี 2 ชนดิ ๆทีเ่ ป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. คอื ไกรทอง หรอื เจตมูล E. cuncatum Kurz เปน็ ไม้ต้น ล�ำต้นเปลาตรง แตกกิ่งก้านสาขาทางราบ พบขนึ้ ทว่ั ไปตามป่าเบญจพรรณชน้ื และป่าดิบ พรรณไม้ท่มี ีประโยชน์อกี ชนิดหน่งึ คือ Erythroxylum coca L. ทีเ่ รียกกนั ว่า Coca Plant มีถิ่นก�ำเนดิ ในทวปี อเมรกิ าเขตร้อน ใช้ใบสกัดเอาธาตุ cocaine 2. วงศ์ยมป่า Simaroubaceae ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม มักมีเปลือกขม ใบ ส่วนมากเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ไม่มหี ใู บ ไม่มจี ุดในเนอ้ื ใบ ดอก เล็ก regular, Polygamous หรอื dioecious กลีบเลีย้ งมี 5-3 กลบี ดอกมี 5-3 เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเท่ากบั หรอื เป็น 2 เท่าของกลบี ดอก disc เป็นรูปวงแหวนหรอื เปน็ รปู ถ้วย ก้านเกสรเพศเมยี เชื่อมตดิ กนั ผลมลี กั ษณะต่าง ๆ endosperm บางหรอื ไม่มีเลย พรรณไม้ในวงศ์นม้ี กี ว่า 30 สกุล พบขนึ้ ทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยมีอยู่ 5 สกลุ คอื สกลุ สฟี นั คนฑา Harrisonia มชี นดิ เดียว คือ H. perforate (Blanco) Merr. สกุล กอมขม Picrasma มีชนดิ เดียว คอื P. javanica Blume สกุล ปลาไหลเผอื ก Eurycoma มี 2 ชนดิ คอื E. longifolia Jack และ E. harmandiana Pierre สกุล ยมป่า Ailanthus มีชนดิ เดยี ว เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. คือ A. triphysa (Dennst.) Alston สกลุ ราชคัด Brucea มี 2 ชนิด คอื B. javanica (L.) Merr. และ B. mollis (Wall.) Kurz คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้