Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือจำแนกพรรณไม้ (ฉบับปรับปรุง) 2559

คู่มือจำแนกพรรณไม้ (ฉบับปรับปรุง) 2559

Description: คู่มือจำแนกพรรณไม้ (ฉบับปรับปรุง) 2559.

Search

Read the Text Version

42 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอบใบจกั แบบขนนก (pinnatifid) ขอบใบแฉกแบบนิ้วมอื (palmatifid) เน้ือใบ (leaf texture) ใบอวบน�้ำ (succulent) ใบคล้ายแผ่นหนงั (coriaceous) ใบคล้ายกระดาษ (chartaceous) ใบบางคล้ายเยอื่ (membranaceous) การเรียงใบ (phyllotaxy) เรยี งสลับ (succulent) ใบเรยี งสลับบนก่ิง ไม่เปน็ ระเบยี บ ช่วงระยะห่างไม่เท่ากนั เรียงสลับระนาบเดยี ว (distichous) ใบเรียงสลบั ระนาบเดยี วกันบนกงิ่ อย่างมรี ะเบียบ ช่วงระยะ ห่างเท่ากัน เรียงตรงข้าม (opposite) ใบเรยี งตรงข้ามกนั บนก่งิ ในระนาบเดียวกนั เรียงตรงข้ามสลบั ตงั้ ฉาก (decussate) ใบเรยี งตรงข้ามกันบนก่งิ แต่ละคู่ตงั้ ฉากซงึ่ กนั และกัน เรียงเปน็ กระจุก (fasciculate) ใบเรยี งเปน็ กระจกุ บนกง่ิ เรียงวงรอบ (whorl) ใบเรยี งวงรอบที่จุดเดยี วกันบนก่ิง มากกว่า 2 ใบ ข้ึนไป สง่ิ ปกคลมุ ใบ (indumentum) เกลย้ี ง (glabrous) ผวิ ใบเรยี บเกลยี้ งไม่มีสง่ิ ปกคลุม ขนส้ันนุ่ม (pubescent) ผวิ ใบมีขนส้ันนุ่ม ขนก�ำมะหย่ี (velutinous) ผวิ ใบมีขนยาวนุ่ม ตรง หนาแน่นคล้ายก�ำมะหย่ี ขนส้ันหนานุ่ม (tomentose) ผวิ ใบมีขนยาวนุ่ม หงกิ งอไปกับผวิ ใบ ขนหยาบแขง็ (hirsute) ผวิ ใบมขี นหยาบแขง็ ขนรปู ดาว (stellate) ผวิ ใบมขี นรปู ดาว หนามเกิดจากผวิ (prickly) ผวิ ใบมหี นามแขง็ ดค้ง คล้ายหนามพุทรา

43 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

44 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดอก (flower) ดอก มสี ่วนประกอบ 4 วง คอื 1. วงกลบี เลยี้ ง (calyx) ประกอบด้วย กลบี เลี้ยง (sepal) 2. วงกลบี ดอก (corolla) ประกอบด้วย กลบี ดอก (petal) 3. วงเกสรเพศผู้ (androecium) ประกอบด้วย เกสรเพศผู้ (stamen) 4. วงเกสรเพศเมีย (gynoecium) ประกอบด้วย เกสรเพศเมยี (pistil) ดอกของพชื ท่มี ีครบท้ัง 4 วงนี้ เรยี กว่า ดอกสมบรู ณ์ (complete flower) และดอกท่ขี าดไปวงใดวงหนง่ึ เรยี ก ว่า ดอกไม่สมบรู ณ์ (incomplete flower) ส่วนดอกทม่ี ที งั้ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี อยู่ในดอกเดียวกนั เรยี กว่า ดอกสมบรู ณ์เพศ (perfect flower หรือ hermaphrodite) และดอกท่ีขาดเพศใดเพศหนง่ึ ไป เรยี กว่า ดอกเพศเดยี ว (unisexual) ดอกเพศเดยี วน้แี บ่งออกเปน็ - ดอกเพศผู้ (staminate flower) เป็นดอกท่มี แี ต่เกสรเพศผู้ (stamen) - ดอกเพศเมยี (pistillate flower) เป็นดอกท่มี ีแต่เกสรเพศเมยี (pistil) พวกดอกเพศเดยี วนี้ ถ้าดอกเพศผู้และดอกเพศเมยี อยู่บนต้นเดียวกนั เรียกว่า ดอกต่างเพศร่วมต้น (monoecious plant) เช่น สนทะเล ถ้าดอกเพศผู้และดอกเพศเมยี อยู่คนละต้น เรยี กว่า ดอกต่างเพศต่างต้น (dioecious plant) เช่น สนประดพิ ทั ธ์ สมมาตรของดอก (symmetry of flower) สมมาตรของดอก แบ่งได้เปน็ 2 แบบ คอื 1. ดอกสมมาตรตามรัศมี (actinomorphic หรือ regular flower) คอื ดอกทเี่ ม่อื แบ่งผ่านศูนย์กลาง แล้วจะได้ 2 ส่วนทีเ่ หมือนกันทกุ ประการทุกระนาบ 2. ดอกสมมาตรด้านข้าง (zygomorphic หรอื irregular flower) คือ ดอกท่เี มอื่ แบ่งผ่านศนู ย์กลาง แล้วจะได้ 2 ส่วนทีเ่ หมอื นกันทกุ ประการได้เพยี งระนาบเดยี ว วงกลบี เลี้ยง (calyx) ดอกส่วนมากมวี งกลีบเลย้ี ง ดอกที่มีกลบี เล้ยี ง (sepal) เรยี กว่า sepalous flower พชื บางชนดิ ดอกไม่มีกลบี เลีย้ ง เรียกว่า asepalous กลีบเลย้ี งน้ีบางทแี ยกจากกนั เปน็ อสิ ระ เรียกว่า polysepalous บางครง้ั กลบี เลยี้ งเช่อื มตดิ กนั เรยี กว่า gamosepalous

45 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

46 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช วงกลบี ดอก (corolla) ดอกมวี งกลบี ดอก หรือมกี ลีบดอก (petal) เรยี กว่า petalous flower ถ้าไม่มกี ลีบดอกเรยี กว่า apetalous กลบี ดอกอาจแยกจากกนั เปน็ อสิ ระ เรียกว่า polypetalous บางคร้งั กลบี ดอกเช่ือมตดิ กัน เรยี กว่า sympetalous หรือ gamopetalous ส่วนดอกบางชนดิ ทั้งกลบี เลี้ยง (sepal) และกลบี ดอก (petal) มีลกั ษณะเหมอื นกันแยกไม่ออก เรียกวงนีว้ ่า วงกลบี รวม (perianth) และเรยี กแต่ละกลีบว่า กลบี รวม (tepal) ดอกท่ี กลบี ดอกแยกจากกนั (polypetalous) มรี ูปร่างต่าง ๆ กนั ดังน้ี - รูปกากบาท (cruciform) กลบี ดอก 4 กลบี แต่ละคู่ตง้ั ฉากกนั เช่น ดอกมะเขอื - รูปดอกถั่ว (papilionaceous flower) ลกั ษณะของดอกถว่ั ประกอบด้วยกลบี ดอก 5 กลีบ มี ลกั ษณะแตกต่างกนั คอื มีกลีบกลางใหญ่ เรยี กว่า standard เรียงอยู่วงนอกสุด มีกลีบข้าง 1 คู่ เรียกว่า wings และมี กลีบคู่ล่างเชื่อมตดิ กันเปน็ กระโดง เรยี กว่า keel - รปู ดอกหางนกยูง (caesalpinaceous flower) ดอกคล้าย ลักษณะของดอกหางนกยูง กลบี ดอก มี 5 กลบี 4 กลีบมรี ูปร่างคล้ายคลงึ กนั เรียงอยู่ในวงเดยี วกนั ส่วนกลบี บนสดุ เรียงอยู่วงในสุด มขี นาดและรปู ร่าง แตกต่างไป ดอกท่ี กลบี ดอกเชอ่ื มตดิ กนั (gamopetalous) มรี ูปร่างต่าง ๆ กันดงั น้ี คอื - รปู วงล้อ (rotate) กลบี ดอกเชอ่ื มตดิ กันคล้ายรปู ล้อ - รปู ดอกเขม็ (salverform) กลบี ดอกเชือ่ มตดิ กนั เป็นรูปกรวยแคบหรอื ทรงแจกนั - รูปกรวย รปู แตร หรอื รปู ล�ำโพง (funnelform) กลีบดอกเชอื่ มตดิ กันคล้ายรปู แตรหรอื กรวยกว้าง - รปู ระฆงั (campanulate) กลบี ดอกเช่ือมตดิ กันคล้ายรปู ระฆงั - รปู คนโท หรอื รปู โถ (urceolate) กลบี ดอกเชอื่ มตดิ กนั คลา้ ยรปู คนโท หรอื หมอ้ ดนิ - รูปหลอด หรือ ท่อ (tubular) กลบี ดอกติดกันเป็นรูปหลอดหรอื รูปทรงกระบอก - รปู ปากเปิด (bilabitae) กลีบดอกตดิ กนั ท่โี คน ปลายแยกเปน็ 2 ส่วน ลกั ษณะและขนาดไม่เท่ากัน การเรียงของกลบี ในตาดอก (aestivation) กลบี ดอกหรอื กลีบรวมจะมีการเรียงตัวเมอ่ื อยู่ในตาดอก ดงั น้ี คอื 1. เรยี งซ้อนเหลอ่ื มกนั (imbricate) คอื กลบี ดอกหรอื กลบี รวมเรยี งโดยขอบซ้อนและเหลอ่ื มกนั 2. เรยี งจรดกนั (valvate) คอื กลบี ดอกหรอื กลบี รวมเรยี งโดยขอบมาจรดกนั 3. เรยี งบดิ เวยี น (convolute หรอื contorted) คือกลบี ดอกหรือกลีบรวมเรยี งโดยม้วนบดิ ไปทาง เดียวกนั

47 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

48 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์พืช

วงเกสรเพศผู้ (androecium) 49 วงนีป้ ระกอบด้วยเกสรเพศผู้ตง้ั แต่ 1 ถึงจ�ำนวนมาก เกสรเพศผู้ (stamen) ประกอบด้วย - ก้านชอู บั เรณู (filament) เปน็ ทต่ี ิดของอับเรณู - อับเรณู (anther) อาจประกอบด้วย 1 หรอื 2 เซลล์ - ละอองเรณู (pollen grain) อยู่ภายในอับเรณู เกสรเพศผู้ท่กี ้านชูอับเรณอู าจเช่ือมตดิ กันเปน็ กลุ่มเดยี ว หรือมดั เดียว เรยี กว่า monadelphous เกสรเพศผู้ ท่ีก้านชอู ับเรณเู ช่อื มติดกนั เป็นสองกลุ่ม เรยี กว่า diadelphous บางทเี กสรเพศผู้อาจมีอบั เรณูตดิ กนั แต่ก้านเกสร แยกจากกนั เปน็ อสิ ระ เรยี กว่า syngenesious นอกจากนี้เกสรเพศผู้อาจจะสน้ั ยาวไม่เท่ากนั ถ้าเกสรเพศผู้มี 4 อนั สั้น 2 ยาว 2 เรยี กว่า didynamous ถ้าเกสรเพศผู้มี 6 อนั สนั้ 2 ยาว 4 เรียกว่า tetradynamous เกสรเพศผู้นบ้ี างที ติดอยู่บนกลบี ดอกเรียกว่า epipetalous ก้านชอู บั เรณกู บั อบั เรณูนนั้ มลี ักษณะการตดิ กนั หลายแบบดงั น้ี คือ - ก้านชูอบั เรณูตดิ ทโ่ี คนอับเรณู (basifixed) - ก้านชอู บั เรณตู ดิ ทดี่ ้านหลงั อบั เรณู (dorsifixed) - ก้านชูอับเรณูตดิ ที่กลางอบั เรณู ท�ำให้อบั เรณเู คลอ่ื นไหวได้ (versatile) วงเกสรเพศเมยี (gynoecium) วงนีป้ ระกอบด้วยเกสรเพศเมยี ตงั้ แต่ 1 ถงึ หลายอัน เกสรเพศเมยี (pistil หรอื carpel) น้ปี ระกอบด้วย - รงั ไข่ (ovaryX - ไข่ (ovule) อยู่ภายในรังไข่ - ก้านเกสรเพศเมยี (style) - ยอดเกสรเพศเมยี (stigma) ดอกของพืชอาจประกอบด้วย pistil หรอื carpel เดียว เรยี กว่า simple pistil แต่มดี อกของพืชหลายชนิด ประกอบด้วย pistil หรอื carpel มากกว่า 1 อนั และถ้า carpel เหล่านั้นแยกจากกนั เรียกว่า apocarpus แต่ถ้า ประกอบด้วยหลาย carpel และ carpel เหล่านนั้ เชอ่ื มตดิ กัน เรยี กว่า syncarpous กรณีน้รี ังไข่อาจมี 1 ช่อง หรือ มากกว่า คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

50 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์พืช

51 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

52 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช การติดของไขท่ ่พี ลาเซนตาภายในรงั ไข่ (placentatium) บรเิ วณทไ่ี ข่ตดิ กับผนงั รงั ไข่นนั้ เรยี กว่า รก (placenta) การตดิ ของไข่ที่พลาเซนตาภายในรงั ไข่ มหี ลายแบบ คือ 1. พลาเซนตาตามแนวตะเข็บ (parietal placentation) คอื ไข่อ่อนทตี่ ดิ ผนังของรงั ไข่ตรงรอยต่อท่ี carpel มาเช่อื มตดิ กับรงั ไข่เปน็ แบบ syncarpous ovary ภายในมี 1 ช่อง 2. พลาเซนตารอบแกนร่วม (axile placentation) คือ ไข่อ่อนตดิ ทแี่ กนกลางของรังไข่ทเ่ี ปน็ syncarpous ovary แต่ภายในมชี ่องมากกว่า 1 ช่อง 3. พลาเซนตารอบแกน (free-central placentation) คอื ไข่อ่อนท่ตี ดิ แกนกลางของรังไข่ท่ภี ายใน มีเพยี งช่องเดียว 4. พลาเซนตาท่ฐี าน (basal placentation) คอื ไข่อ่อนตดิ ทฐ่ี านของรงั ไข่ทภ่ี ายในมเี พยี งช่องเดียว ชนิดของรังไข่ ชนดิ ของรังไข่ เป็นลกั ษณะส�ำคญั อย่างหน่งึ ทีใ่ ช้ในการจ�ำแนกพรรณพชื แบ่งออกเป็น - รังไข่เหนือวงกลีบ (superior ovary) เปน็ ดอกทส่ี ่วนต่าง ๆ ของดอกตดิ อยู่ใต้รังไข่ - รงั ไข่กงึ่ ใต้วงกลบี (half-inferior ovary) เป็นดอกท่สี ่วนต่าง ๆ ของดอกตดิ อยู่ท่ีกึง่ กลางรังไข่ - รังไข่ใต้วงกลีบ (inferior ovary) เป็นดอกท่สี ่วนต่าง ๆ ของดอกตดิ อยู่เหนอื รงั ไข่ ช่อดอก (inflorescence) ดอกอาจออกเป็น ดอกเดี่ยว (solitary flower) บางครงั้ พบดอกออกเป็นช่อ โดยมดี อกมากกว่า 1 ดอก ติด บนแกนกลางทเ่ี รยี กว่า rachis ช่อดอกมแี บบต่าง ๆ ดังน้ี คอื - ช่อเชิงลด (spike) ช่อดอกทด่ี อกย่อยไม่มีก้าน - ช่อกระจะ (raceme) ช่อดอกท่ดี อกย่อยมีก้าน - ช่อหางกระรอก (catkin) ช่อดอกแบบ spike แต่ดอกมักจะมเี พศเดยี ว ช่อเกิดบนก่งิ ห้อยลง - ช่อซีร่ ่ม (umbel) ช่อดอกท่กี ้านดอกย่อยทุกดอกยาวเท่ากัน และออกจากจุดเดยี วกัน - ช่อกระจกุ แน่น (head หรือ capitulum) ช่อดอกทด่ี อกอัดแน่นอยู่บนฐานดอกรปู ถ้วย หรอื รูป จาน เช่น ช่อดอกทานตะวนั - ชอ่ กระจกุ ซอ้ น (dichasium) ชอ่ ดอกทปี่ ลายชอ่ มดี อกยอ่ ยแตกออกเปน็ จ�ำนวน 3 ดอก - ช่อกระจกุ (cyme) ช่อดอกแตกแบบ dichasium ก้านดอกย่อยเจรญิ ขึน้ มาเกอื บอยู่ในระดบั เดยี วกนั - ช่อแยกแขนง (panicle) ช่อดอกท่แี ตกแขนง

53 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

54 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุ์พืช - ช่อเชงิ หลน่ั (corymb) ช่อดอกท่ดี อกย่อยส่งก้านยาวออกไปอยู่ในระดบั เดยี วกัน - ช่อเชิงลดมกี าบ (spadix) ช่อดอกแบบ spike ที่มดี อกแยกเพศ ตดิ อยู่กบั แกนขนาดใหญ่ มีกาบ หุ้ม (spathe) ช่อดอก เช่น ช่อดอกหน้าวัว ผล (fruit) ผลเจรญิ มาจากรงั ไข่หลงั จากท่ดี อกได้รับการปฏสิ นธิ (fertilization) แล้ว ผนังหรอื เนอ้ื ของผลเจริญมาจาก ผนังของรังไข่ ซ่งี เรียกว่า ผนังผล pericarp ผนงั ผลนแ้ี บ่งออกเป็น 3 ช้นั คอื - ผนังผลชน้ั นอก (exocarp) เปน็ ผวิ เปลอื กซ่งึ บางทีอ่อน เช่น มะม่วง มะปราง แต่บางทแี ข็งและ เหนยี ว เช่น มะพร้าว น�้ำเต้า ฟกั ทอง - ผนงั ผลชน้ั กลาง (mesocarp) เปน็ ชนั้ ถดั เข้ามาจากเปลอื ก มกั เป็นเน้อื อ่อนนุ่ม เช่น มะม่วง มะปราง ท้อ บางทเี ปน็ เส้นเหนยี ว ๆ เช่น กาบมะพร้าว ตาล จาก - ผนังผลช้ันใน (endocarp) เปน็ ชนั้ ในสดุ ของผนงั ผลบางทแี ขง็ เช่น กะลามะพร้าว บางทเี ป็น เปลอื กหุ้มเมลด็ เช่น มะม่วง มะปราง ผลบางชนดิ บางที ผนงั ผลช้นั นอก (exocarp) และ ผนังผลชน้ั กลาง (mesocarp) รวมตดิ กนั เปน็ เนอ้ื เดียว เรยี กรวมชนั้ นี้เป็น exocarp เช่น มะเขอื เทศ กล้วย มะละกอ แตงกวา ผล มหี ลายประเภท ดงั น้ี คือ 1. ผลเด่ยี ว (simple fruit) ได้แก่ ผลทเ่ี กดิ จากดอกเดียว ซง่ึ มี carpel เดียว หรือหลาย carpel เชือ่ ม ตดิ กันก็ได้ 2. ผลกลุ่ม (aggregate fruit) ได้แก่ ผลท่ีเกดิ จากดอกเดยี ว ซึง่ มาจากหลาย carpel แยกจากกัน (apocarpous) รงั ไข่แต่ละอนั ก็เจรญิ เป็นผลเด่ียว 1 ผล ซ่ึงเบียดติดกนั เป็นกลุ่มหรอื กระจกุ ดคู ล้าย ๆ กบั ว่า เป็นผล เดียว เช่น น้อยหน่า กระดังงา สตรอเบอร่ี หวาย 3. ผลรวม (multiple fruit) ได้แก่ ผลทเี่ กดิ จากช่อดอกซง่ึ เบียดกันแน่นเมื่อเปน็ ผล ดคู ล้ายผลเดย่ี ว เช่นกัน เช่น ขนนุ สาเก ยอ สบั ปะรด ผลเดย่ี ว (simple fruit) แบ่งออกเปน็ ผลชนดิ ต่าง ๆ ดงั น้ี คอื 1. ผลสด (fleshy fruit) เปน็ ผลเนอ้ื นุ่ม มีหลายชนดิ คอื - ผลเมล็ดแขง็ (drupe) ผลสดท่มี ีเมลด็ เพียงเมล็ดเดยี ว ผนงั ผลชนั้ ใน (endocarp) แขง็ ผนงั ผลช้ันกลาง (mesocarp) เปน็ เน้ือนุ่ม เช่น มะปราง มะม่วง มะกอก พุทรา หรอื ไม่ก็เป็นเส้นเหนยี ว ๆ เช่น มะพร้าว ส่วนทีเ่ รยี กว่ากาบ ตาล - ผลมีเน้อื หลายเมล็ด (berry) ผลสดทีม่ ีหลายเมลด็ ผนงั ผล (pericarp) ของผลอ่อนนุ่ม ทัง้ หมด ผลสดชนดิ นแ้ี บ่งได้เป็น - ผลแบบส้ม (hesperidium) ได้แก่ ผลจ�ำพวกส้ม ผนังผล (pericarp) หนา มีต่อมนำ�้ มนั

55 จ�ำนวนมากเย่อื หุ้มกลบี ส้มคอื endocarp เนอ้ื ส้มท่ใี ช้รบั ประทานคอื pulp ซง่ึ เปน็ ขนสะสมอาหารของ endocarp - ผลแบบแตง (pepo หรือ gourd) ผลท่ีมี exocarp แข็งและเหนียว mesocarp และ endocarp อ่อนนุ่ม ภายในคล้าย berry ได้แก่ ฟัก แตงโม บวบ น้�ำเต้า - ผลแบบแอปเปิ้ล (pome) ผลทีม่ ี pericarp บาง ฐานดอกขยายใหญ่ข้นึ กลายเปน็ เนอ้ื ของผลส่วนใญ่เกดิ จาก inferior ovary ได้แก่ แอปเปิ้ล สาล่ี ชมพู่ 2. ผลแห้ง (dry fruit) แบ่งเปน็ 2.1 ผลแห้งแก่ไม่แตก (dry indehiscent fruit) แบ่งออกเปน็ - ผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) ผลขนาดเลก็ มี 1 เมล็ด pericarp แห้งและบาง ไม่ตดิ กบั เมลด็ เช่น ผลทานตะวนั - ผลธญั พืช (caryopsis หรอื grain) ผลคล้าย achene แต่ pericarp ติดกบั เมล็ด เช่น พืช วงศ์หญ้า Gramineae ข้าว - ผลปีกเดียว (samara) ผลมปี ีกยาว เช่น พะยุง ยางนา หรือผลมปี ีกกลมล้อมรอบ เช่น ประดู่ - ผลเปลอื กแข็ง (nut) ผลมเี มล็ดเดียว perticarp แข็งและมนั - ผลแตกสองครง้ั (schizocarp) ผลท่มี าจาก carpel เช่อื มติดกนั แต่เมอ่ื แก่เต็มที่ carpel จะแยกจากกัน เรยี กว่า ซกี ผล (mericarp) แต่ละซกี ผลจะมีเมลด็ 1 เมลด็ เช่น พชื บางชนิดในวงศ์ชบา Malvaceae และ วงศ์ผักชี ย่หี ร่า Umbelliferae 2.2 ผลแห้งแก่แตก (dry dehiscent fruit) แบ่งออกเป็น - ฝักแตกแนวเดยี ว (follicle) ผลเกดิ จาก 1 carpel หรือ apocarpous แตกตามรอยตะเข็บ 1 ด้าน มักแตกทางด้านหลัง เช่น ส�ำโรง พุงทะลาย - ฝกั แบบถั่ว (legume) ผลของพชื วงศ์ถว่ั (Leguminosae) เกิดจาก 1 carpel มักจะแตก ตามรอยตะเข็บ 2 ด้าน - ฝักแบบผลผกั กาด (slilique) เกิดจาก 2 carpel ซง่ึ ติดกัน เม่อื แก่แตกออกเปน็ 2 ซกี จากก้านไปยังปลายมักมผี นังบาง ๆ กน้ั กลางเหลืออยู่ เช่น ต้อยตง่ิ ผักกาดต่าง ๆ ผลแห้งแตก (capsule) ผลเกิดจาก carpel เชอ่ื มตดิ กนั (syncarpous) รังไข่มมี ากกว่า 1 ช่อง ผลชนดิ น้ีแบ่งออกได้ดังน้ี - ผลแตกกลางพู (loculicidal capsule) ผลเม่อื แก่แตกตรงกลางระหว่างพู เช่น ทุเรยี น - ผลแตกตามรอยประสาน (septicidal capsule) ผลเม่อื แก่แตกตรงผนังกนั้ พู หรือ ตรง รอยประสาน - ผลแตกตามขวาง (circumcissile capsule) ผลเม่อื แก่แตกตามขวาง มีฝาเปิด ผลชนิด น้ีมีหลายเมลด็ หรอื จ�ำนวนมาก คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

56 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช - ผลกระเปาะ (utricle) ผลเม่อื แก่แตกโดยมฝี าเปิด ผลชนดิ น้ผี นังบางและมเี มลด็ เดียว - ผลแตกเป็นช่อง (poricidal capsule) ผลทีแ่ ตกเป็นช่องเล็กให้เมลด็ ออกทปี่ ลาย เช่น ฝิ่น เมลด็ (seed) เมลด็ คอื ไข่ (ovule) ทเ่ี จริญข้นึ มาหลังจากทไ่ี ด้รบั การปฏสิ นธิ (fertilization) ประกอบด้วย เปลอื กเมลด็ (seed coat) เอนโดเสปิร์ม (endosperm) เปน็ เนอ้ื เยอ่ื ท่เี ก็บสะสมอาหารอยู่นอกเอมบรโิ อ เมล็ดของพชื บาง ชนิดอาจไม่มี endosperm เรยี กเมลด็ ชนดิ นีว้ ่า exalbuminous เอมบริโอ (embryo) เป็นต้นอ่อนอยู่ในเมลด็ ประกอบด้วย - ใบเลีย้ ง (cotyledon) คอื ใบแรกของต้นอ่อน - ล�ำต้นเหนือใบเลย้ี ง (epicotyl) คือ ส่วนทีอ่ ยู่เหนอื ใบเลยี้ ง ขณะอยู่ในเมล็ดส่วนน้จี ะ เจรญิ เป็นยอดอ่อน - ล�ำต้นใต้ใบเลย้ี ง (hypocotly) คอื ส่วนทีอ่ ยู่ใต้ใบเล้ยี ง ขณะอยู่ในเมลด็ ส่วนน้จี ะเจริญ เปน็ ล�ำต้น - รากแรกเกดิ (radicle) คอื ส่วนทอ่ี ยู่ล่างสุด จะเจรญิ เป็นรากอ่อน

57 คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

58 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 4 การวิเคราะห์ตวั อยา่ งพรรณไม้ การวิเคราะห์ตวั อย่างพรรณไม้นนั้ อุปกรณ์อย่างง่ายทจ่ี �ำเปน็ ต้องมกี ค็ อื แว่นขยายขนาด 8 ถงึ 10 เท่า มดี ส�ำหรบั ใช้ผ่าตดั ส่วนต่าง ๆ ของดอก อาจใช้ใบมดี โกนกไ็ ด้ ปากคบี หน่งึ อัน นอกจากน้กี ต็ ้องมหี นงั สอื คู่มอื (manual) หรอื หนงั สอื พรรณพฤกษชาติ (flora) โดยเฉพาะอย่างย่งิ ฉบบั ท่มี รี ปู วธิ าน (key) อยู่ด้วย หนังสอื ประเภทนม้ี ีอยู่เปน็ จ�ำนวนมากในห้องสมุดพฤกษศาสตร์ของหอพรรณไม้ กรมป่าไม้ ขั้นตอนการวเิ คราะห์พรรณไม้ 1. ระดับวงศ์ ข้ันแรกจะต้องแยกพชื ช้ันต่ำ� ในทน่ี จ้ี ะกล่าวถงึ พวกเฟิร์น (Pteridophytes) หรือ พวกท่ีเกี่ยวข้อง กับเฟิร์น (Fern allied) ออกจากพชื ช้นั สงู คอื พชื มเี มลด็ (Spermatophytes) ให้ได้เสยี ก่อน พชื พวกเฟิร์นซง่ึ เป็น พชื ชัน้ ต�ำ่ นจ้ี ะไม่มดี อกแต่มสี ปอร์ เฟิร์นสงั เกตได้ง่ายโดยดลู ักษณะของใบ ส่วนวงศ์พชื ทเี่ กย่ี วข้องกบั เฟิร์น คือ วงศ์ Selaginellaceae และ Lycopodiaceae (ทงั้ สองวงศ์น้บี างครง้ั คล้ายกับพวกมอสส์ขนาดใหญ่) Isoetaceae (คล้ายพวก หญ้า) Psilotaceae และ Equisetaceae (hoesetails) พวกที่เก่ยี วข้องกับเฟิร์นมไี ม่มากชนิด และเมื่อเราได้เจอครง้ั หนงึ่ แล้ว ก็จะจดจ�ำได้ง่ายขน้ึ ขัน้ ทสี่ องคอื การสงั เกตพวกพืชเมลด็ เปลือย (gymnosperms) ถงึ แม้พชื เมล็ดเปลอื ย gymosperms จะให้ เมล็ด แต่พวกน้จี ะไม่มดี อกทแ่ี ท้จรงิ ไข่อ่อนจะไม่มอี ะไรห่อหุ้ม (นน่ั คอื จะไม่อยู่ในรังไข่) โดยทว่ั ไปอับสปอร์และไข่ อ่อนจะเกดิ อยู่ใน strobili หรือโครงสร้างท่คี ล้ายโคน (cone) พืชเมลด็ เปลือยมี orders ต่าง ๆ ดังนี้คอื Cycadales Ginkgoales Coniferae และ Gnetales (ยกเว้นวงศ์ Gnetaceae ซึง่ มลี ักษณะคล้ายพชื ใบเลี้ยงคู่ (ดภู าพผนวกท่ี 3) เมอื่ ได้เห็นครง้ั หนง่ึ แล้วจะจ�ำได้ง่ายข้นึ ส่วนพชื ดอก (Angiosperms) นั้นในประเทศไทยมอี ยู่ประมาณ 280 วงศ์ โดยมีตงั้ แต่วงศ์ท่มี พี ชื ชนิดเดียว (monotypic families) จนถงึ พชื วงศ์ใหญ่ ๆ ท่ีมสี มาชกิ 100 กว่าสกลุ จ�ำนวน 600-400 ชนิด พืชวงศ์เลก็ ๆ ส่วนมาก แล้วจะมีเขตการกระจายพนั ธุ์แคบ ๆ และจะจ�ำได้ต่อเมอ่ื ผู้ท่สี นใจศึกษาพชื ในเขตนน้ั ๆ ถ้าเราเร่ิมต้นจ�ำลักษณะวงศ์ พืชทเ่ี ราพบบ่อย ๆ จะเป็นวธิ ีทดี่ ีทสี่ ดุ พืชในวงศ์เหล่านบ้ี างทีจะมีความแตกต่างกนั ไปในแต่ละท้องท่ี ส่วนพืชหลาย วงศ์ท่ีมีการแพร่กระจายกว้างขวางพบอยู่ในทกุ ๆ ท้องที่ บางพน้ื ทพ่ี ชื บางวงศ์ง่ายต่อการจดจ�ำขณะทพ่ี ืชวงศ์อนื่ ๆ จ�ำได้ยากกว่า แต่เหนือสง่ิ อ่นื ใดการวิเคราะห์พชื นีต้ ้องอาศัยประสบการณ์และการจดจ�ำลกั ษณะเฉพาะประจ�ำวงศ์ พชื นั้น ๆ ในพชื ดอก (angiosperms) สิง่ แรกท่ีต้องแยกให้ออก คอื ข้อแตกต่างระหว่างพชื ใบเล้ยี งคู่ (Dicotyledons) และพชื ใบเลี้ยงเดย่ี ว (Monocotyledons) ลักษณะใหญ่ ๆท่พี อสังเกตได้มีดงั น้ี

59 พืชใบเลี้ยงคู่ พืชใบเลีย้ งเดี่ยว 1. ไม้เนื้อแข็ง 1. ไม้เนื้ออ่อน บางคร้ังพบเป็นไม้ต้น ได้แกพ่ วกปาล์ม และกล้วย 2. ใบโดยทวั่ ไปมีเส้นใบเปน็ รา่ งแห (netted vein) 2. ใบโดยทั่วไปมีเส้นเรียงแบบขนาน ขอบเรียบ หายาก ขอบเรียบหรือจกั มกั มีก้านใบ หายากที่ก้านใบ ที่ มีก้านใบ ก้านใบมกั จะแผอ่ อกเปน็ กาบหุ้มลำ�ต้น เปน็ กาบ มกั จะมีหูใบ ไมม่ ีหูใบ 3. ดอกมีส่วนตา่ ง ๆ 4 หรือ 5 หรือทวีคูณของ4 หรือ 5 3. ดอกมีส่วนตา่ ง ๆ 4 หรือ 5 รือทวีคูณของ 4 หรือ 5 4. ต้นอ่อนมีใบเลี้ยง 2 ใบ 4. ต้นออ่ นมีใบเลี้ยง 1 ใบ เม่อื ตวั อย่างทม่ี ีแยกออกได้แล้วว่าเป็นพชื ใบเลี้ยงคู่ หรอื ใบเล้ยี งเดย่ี ว ต่อไปก็ได้พิจารณา ลักษณะต่าง ๆ เหล่าน้ี คือ 1. ดวู ่าเปน็ ใบเดีย่ ว หรอื ใบประกอบ ถ้าใบประกอบ เป็นใบประกอบชนดิ ใด 1.1 ใบตดิ แบบใด ตรงข้าม หรอื เรยี งสลับ 1.2 ขอบใบเรยี บ หรอื จกั 1.3 มหี ใู บหรอื ไม่ 2. ดวู ่าดอกออกท่ใี ด และแบบใด 2.1 ดอกเป็นแบบสมมาตรตามรศั มี (actinomorphic) หรอื สมมาตรด้านข้าง (zygomorphic) 2.2 กลบี ดอกแยก หรือ เช่อื มติดกนั 2.3 ส่วนต่าง ๆ ของดอกน้ีมีจ�ำนวนเท่าใด และเรียงแบบใด ท้งั กลบี เลย้ี ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี 2.4 ตรวจดูเกสรเพศเมยี (gynoecium) นับจ�ำนวนเกสรเพศเมีย (pistils) ก้านเกสรเพศเมีย (styles) และยอดเกสรเพศเมยี (stigmas) 2.5 ผ่าดอกออกตามยาวตามแกนกลางของดอก ดูต�ำแหน่งทตี่ ง้ั ของรังไข่ (ovary) ว่า เป็นชนดิ ตดิ เหนือวงกลบี (superior) ตดิ ใต้วงกลบี (inferior) หรอื ติดกงึ่ ใต้วงกลบี (half-inferior) 2.6 ดงึ กลีบดอก เกสรเพศผู้ออกให้หมด แล้วตดั รังไข่ตามขวาง ตรวจนับจ�ำนวนช่องใน รังไข่ และจ�ำนวนคร่าว ๆ ของไข่ (ovule) แล้วดวู ่า placenta เป็นแบบใด marginal, axile, parietal หรอื free-central placentation บางทไี ข่จะมีเพยี งเมลด็ เดียว หรอื อาจมีสองสามเมล็ด ในกรณนี ้กี ใ็ ห้วินิจฉยั ว่า placenta จะเปน็ basal หรอื pendulous 3. ผลเปน็ แบบใด ลกั ษณะต่าง ๆ ท่เี หมือนกนั หรอื ต่างกนั ของพชื เหล่าน้จี ะปรากฏอยู่ในวงศ์พชื ต่าง ๆ กัน จะท�ำให้วิเคราะห์ พชื สู่กลุ่มวงศ์ได้ เช่น ถ้าตัวอย่างพชื ทมี่ อี ยู่เปน็ พชื ใบเด่ยี ว ติดตรงข้าม ขอบใบเรียบ มีหใู บ ดอกสมมาตรตามรศั มี กลีบดอกเชอื่ มตดิ กนั เป็นรปู ท่อ รงั ไข่ตดิ ใต้วงกลบี พชื นัน้ อาจเป็นสมาชกิ อยู่ในวงศ์ Rubiaceae หรอื ถ้าพชื มใี บเดยี่ ว คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

60 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช ตดิ ตรงข้าม ขอบใบจกั เปน็ คล่นื ไม่มหี ูใบ กลีบดอกเชีอ่ มตดิ กนั เป็น 2 ปาก รังไข่ตดิ หนือวงกลบี พชื นนั้ อาจยู่ในวงศ์ Labiatae, Acanthaceae, Gesneriaceae หรือ Scrophulariaceae หลงั จากนจ้ี ะต้องตรวจดลู ักษณะอ่นื ๆ เพอ่ื จ�ำแนก พืชต่อไป (ดภู าคผนวก 3) ถ้าต้องการจะให้แน่ใจว่าเราได้วเิ คราะห์พืชนั้น ๆ อยู่ในวงศ์ท่ถี กู ต้องแล้ว กค็ วรจะตรวจสอบดูกับลักษณะ ประจ�ำวงศ์อกี ทหี นึ่ง ซึ่งสามารถหาอ่านได้ในหนังสอื พรรณพฤกษชาติต่าง ๆ ทแี่ นะน�ำไว้ อีกท้ังตวั อย่างพรรณไม้ ของเราถ้าเป็นตัวอย่างทส่ี มบรู ณ์ เรากส็ ามารถใช้รปู วธิ านในหนังสอื วเิ คราะห์ได้ โดยเลอื กรูปวธิ านทค่ี รอบคลุมพชื ท่วั ไปในทุกพ้นื ท่ี 2. ระดบั สกลุ ถ้าเป็นพชื สกลุ ทีเ่ ราไม่รู้จกั การวเิ คราะห์จะค่อนข้างยาก ซง่ึ เป็นเรอ่ื งจรงิ ในพชื วงศ์ใหญ่ ๆ เช่น Compositae, Orchidaceae หรือ Leguminosae ซง่ึ พืชวงศ์เหล่าน้ี ผู้ที่จะจ�ำสกลุ ของพชื ได้จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะวงศ์ ถ้าเรา จะได้รู้จักสกลุ หลกั ๆ ของพชื ในวงศ์ต่าง ๆ ในแถบภูมภิ าคของเราไว้ก็จะเปน็ การดี โดยเฉพาะสกุลทเ่ี ป็นไม้เด่นอยู่ใน สงั คมพชื แถบบ้านเรา ซึ่งลักษณะของสกุลเหล่านเ้ี ราต้องศกึ ษาไว้เพื่อการจดจ�ำพืชสกลุ น้นั ๆ เช่น พชื สกุลยาง Dipterocarpus, พะยอม Shorea, ก่อ Lithocarpus, Castanopsis และ Quercus ฯลฯ พชื สกุลท่ีเราไม่รู้จกั สามารถวเิ คราะห์ได้โดยใช้คู่มอื หรือหนังสอื Flora ดังทีก่ ล่าวมาแล้ว นอกจากน้ียงั ดูได้ จากบญั ชรี ายชอ่ื พชื (Check-list) ของพชื เฉพาะถ่ิน ถ้าไม่มีคู่มือเลยสามารถท�ำได้ แต่ต้องใช้เวลามาก โดยไปดู ตัวอย่างในหอพรรณไม้ ให้ดูรายช่ือสกุล ในแต่ละวงศ์และดูท้องถ่นิ ของพชื ควบคู่ไปด้วย เมอ่ื เราได้ตรวจดูแล้ว เรา จะได้รายชอื่ พชื ทขี่ นึ้ อยู่ในท้องถน่ิ ทีเ่ ราส�ำรวจซึง่ จะใช้ในการจ�ำแนกพชื และสามารถใช้ไปได้เร่อื ย ๆ แต่เราควรจะ ตรวจสอบกบั เอกสารอ้างองิ ด้วย เพราะบางสกลุ อาจจะไม่มตี ัวอย่างเกบ็ ไว้ในหอพรรณไม้ หรอื ได้รวมไว้ในสกุลอน่ื หรอื แยกเป็นสกลุ ใหม่ไปแล้ว หลงั จากนน้ั จึงน�ำพืชที่สงสยั ไปเทยี บกบั ตวั อย่างพชื ท่มี ีชือ่ อยู่ในหอพรรณไม้ต่อไป ดังนน้ั เราจงึ ควรจดจ�ำลักษณะประจ�ำวงศ์ของพชื ไว้ โดยเฉพาะพชื วงศ์ใหญ่ ๆ เราต้องพยายามจ�ำลักษณะ ทใ่ี ช้แยกกลุ่มพืชเป็นวงศ์ย่อย (sub-families) หรอื เปน็ เผ่า (tribe) ซง่ึ จะท�ำให้เราตดั จ�ำนวนสกุลท่ไี ม่เกี่ยวข้องออกไป แต่ถ้าเปน็ พชื ทเ่ี รารู้ถ่ินก�ำเนิดเราสามารถตรงไปใช้ key ในหนงั สอื flora ประจ�ำถ่นิ ได้เลย 3. ระดบั ชนดิ การวิเคราะห์พชื สู่ชนดิ นัน้ ก็เช่นเดยี วกันกบั การวิเคราะห์ขน้ั วงศ์ และสกลุ โดยการจดจ�ำชนดิ พชื หรือ วิเคราะห์โดยการเปรยี บเทียบกบั ตวั อย่างพชื ทีม่ ชี อื่ แล้วในหอพรรณไม้ หรอื โดยการใช้รูปวธิ าน ถ้าต้องการใช้เอสารอ้างองิ กจ็ �ำเป็นต้องรู้ว่าเอกสารใดทเ่ี กยี่ วข้องกบั พืชกลุ่มของเรา เอกสารพวกนไ้ี ด้แก่ พวก Monograph, Revision หรอื ถ้าในภมู ภิ าคก็จะออกมาในรปู ของ Flora หรอื Check-list การใชร้ ปู วธิ าน รูปธานทใ่ี ช้ในการวิเคราะห์พรรณไม้นนั้ คอื การจดั ล�ำดบั ลักษณะต่าง ๆ ของพนั ธุ์ไม้ทแ่ี ตกต่างกันไว้ให้เป็น ระเบยี บ โดยคดั เอาลกั ษณะทไ่ี ม่มีในพรรณไม้ทต่ี ้องการวเิ คราะห์นนั้ ออกไป คงเหลือแต่ลกั ษณะต่าง ๆ ท่ปี รากฏอยู่ ในพรรณไม้ทก่ี �ำลงั วเิ คราะห์อยู่นนั้ ซึ่งก็จะได้ผลลัพธ์ในขน้ั สดุ ท้าย รปู วธิ านท่ใี ช้กันอยู่ในปัจจุบนั เรยี กว่า รูปวิธานแบบ dichotomous (dichotomous key) คือใช้ลักษณะที่

ผดิ แผกแตกต่างกันเทยี บเปน็ คู่ ๆ ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี 61 1. กลีบเลี้ยง (sepals) และกลบี ดอก (petals) มจี �ำนวน 4 2. เกสรเพศผู้มจี �ำนวน 6 ,4 หรอื กว่านน้ั รงั ไข่มีช่องเดียว placenta แบบ parietal กลบี ดอก ค่อนข้าง Zygomorphic Capparaceae 2. เกสรเพศผู้มจี �ำนวน 6, tetradynamous, รังไข่มผี นงั กัน้ ออกเปน็ 2 ช่อง, กลบี ดอก actinomorphic Cruciferae 1. กลีบเล้ยี ง (sepals) และกลีบดอก (petals) มจี �ำนวน 5 เกสรเพศผู้มจี �ำนวน 5 เรียงสลบั กันกับ staminodes ท่ี เรยี วยาว จ�ำนวน 3 ถงึ 5 อนั รงั ไข่มชี ่องเดียว มี placenta แบบ parietal ดอก zygomorphic Moringaceae หากไม่ใช่หมายเลขน�ำน้าคู่ท่แี ตกต่างกันตามตัวอย่างน้ี อาจจะใช้อกั ษรแทนกไ็ ด้ เช่น A, B หรอื ก. ข. กไ็ ด้ ตามตวั อย่างทไ่ี ด้ให้ไว้น้จี ะเห็นได้ว่ารูปวธิ านนม้ี ี 2 คู่ด้วยกนั แต่ละคู่จะมขี ้อช้ลี กั ษณะแตกต่างกัน ข้อชหี้ น่งึ เปน็ ลักษณะหน่งึ อกี ข้อหนง่ึ เปน็ ลกั ษณะท่ีแย้งกนั ยกตวั อย่างเช่น ถ้าข้อท่ี 1 ของคู่แรกถกู กับลักษณะตวั อย่างพชื ท่กี �ำลงั วเิ คราะห์อยู่นน้ั กจ็ งพิจารณาดูต่อไปอกี ว่า ข้อช้ที ่ี 1 ของคู่แรกถูกกบั ลักษณะตัวอย่างพชื ทกี่ �ำลงั วเิ คาะห์อยู่นั้น ก็จง พิจารณาดตู ่อไปอกี ว่า ข้อช้ที ห่ี นงึ่ หรือสองของคู่ท่สี องนนั้ จะตรงกนั กบั พชื ท่กี �ำลังศึกษาอยู่หรอื ไม่ เมื่อได้ใช้รปู วธิ าน ดังน้แี ล้ว ก็จะจ�ำแนกพชื นั้น ๆ เข้าวงศ์ (family) สกลุ (genus) หรอื ชนิด (species) ได้ในทส่ี ดุ โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ในต�ำรานนั้ จะมรี ปู วธิ านของ order ต่าง ๆ ท่ปี รากฏอยู่ต่อมาก็จะมรี ูปวธิ านของวงศ์ (families) ต่าง ๆ ใน order แต่ละวงศ์กม็ รี ูปวธิ านของสกลุ (genera) ต่าง ๆ และสกุลต่าง ๆ นนั้ กจ็ ะมีรูปวธิ านของ ชนิดต่อไป ในทางปฏิบัตแิ ล้วการวิเคราะห์ช่ือพรรณพชื โดยใช้รปู วธิ านจนกระทั่งได้ชอ่ื พชื แล้วยงั ไม่เป็นการยุติ จ�ำเปน็ ต้องน�ำพรรณพชื น้ัน ๆ ไปเทยี บเคยี งกับลกั ษณะรูปพรรณของตวั อย่างพชื นนั้ ๆ ทม่ี ีช่อื อยู่แล้วในหอพรรณไม้เพอ่ื ความแน่นอนอกี ชั้นหนึง่ ก่อน ถ้าปรากฏว่ารปู พรรณของพชื ทเ่ี ราวเิ คราะห์ได้มลี กั ษณะผิดเพ้ยี นไปจากลกั ษณะรูป พรรณของตัวอย่างพชื ในหอพรรณไม้ ก็ถอื ได้ว่าการวเิ คราะห์นัน้ ไม่ถกู ต้อง ต้องน�ำไปวเิ คาะห์กันใหม่อกี ครงั้ หน่ึง เอกสารแนะนำ� เอกสารแนะน�ำทเ่ี กีย่ วกบั การจ�ำแนกพรรณพชื ในประเทสไทย ได้จดั ไว้เปน็ หมวด ๆ ดงั น้ี คอื พจนานุกรมชอ่ื พืช (Dictionaries of plant names) พระยาวนิ จิ วนนั ดร. 2503. ชอื่ พรรณไมแ้ หง่ ประเทศไทย (ชอื่ พน้ื เมอื ง-ชอื่ พฤกษศาสตร)์ , กรมปา่ ไม.้ เตม็ สมิตนิ นั ทน์. 2523. รายชอื่ พรรรไม้อห่งประเทศไทย (ชื่อพฤกษศาสตร์-ชือ่ พนื้ เมอื ง). ฟนั นพี่ ับบลิชช่งิ , กรงุ เทพฯ. สอาด บญุ เกดิ และคณะ. 2525. ชอ่ื พรรณไม้ในเมอื งไทย. คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. Jackson, B. Daydon. 1895-1955. Index Kewensis. Vol. 1-2 and Supplements. Clarendon Press, Great Britain. Mabberley D.J. 1989. The Plant Book. Cambridge University Press, Cambridge. Willis, J.C. 1973. A Dictionary of the Flowering Plants and Ferns. Cambridge University Press Cambridge. คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

62 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุ์พืช พรรณพฤกษชาตปิ ระจ�ำถน่ิ (Flora) Smitinand, T. and Kai Larsen. 1970-1997. Flora of Thailand. Vol. 2-6. Chutima Press, Bangkok. Santisuk, T. (ed.) 1997-1954. Thai Forest Bulletin (Botany) เล่ม 25-1. Forest Herbarium, Royal Forest Department, Bangkok. Craib, W.G. 1925-1931. Florae Siamensis Enumeratio. Vol. 1-2. Siam Society, Bangkok. Hookerm J.D. 1881-1897. Flora of British India, Vol. 1-7. L. Reeve, Kent. Kurz, S. 1877. Forest Flora of British Burma. Vol. 1-2. Office of the Superintendent of Government Printing, Calcutta. Backer, C.A. and R.C. Bakhuizen van den Brink. 1963-1968. Flora of Java. Vol. 1-3. P. Noordhoff, Groningen. Gagnepin, F. 1907-1951. Flora Générale de L’Indochine. Vol. 1-7. Museum National of Histoire Naturelle, Paris. Aubreville, A. 1960-1997. Flora du Cambodge du Laos et du Vietnam. No. 2-29. Museum National d’Histoire, Paris Steenis, c.G.G.J. van. 1949-1979. Flora Malesiana. Vol 4-12. P. Noordhoff, The Netherlands. Brandis, D. 1906. Indian Tree. Bishen singh Mahendra Dal Singh, Dehra Dun. Corner, E.J.H. 1951. Wayside Tree of Malaya. Government Printer, Singapore. Ridleyy, H.N. 1922-1925. The Flora of the Malay Peninsula. Vol. 1-5, L. Reeve, Kent. Dassanayake, M.D. 1980-1991. A Revised Hanbook to the Flora of Ceylon. Vol. 1-7. Amerind Publishing, Delhi. Whitmore. T.C. (ed.). 1972-1980. Tree Flora of Malaya. Vol. 1-4. Longman, Malaysia. Hsuan, Keng. 1978. Order and Families of Malayan Seed Plants. Univerity of Malaya Press, Kuala Lumpur. Henderson, M.R. 1949. Malayan Wild Flowers Dicotyledons. Malayan Nature Society, Kuala Lumpur. Merill, Elmer D. 1923. An Enumeration of Philippine Flowering Plants. Vol. 1-2. Bureau of Printing, Manila. หนังสอื ที่เก่ยี วกบั พันธไุ์ ม้ไทย คณิตา เลขะกุล (บรรณาธกิ าร). 2530. พรรณไม้ในสวนหลวง ร.9. คณิตา เลขะกุล (บรรณาธกิ าร). 2537. ไม้ดอกไม้ประดับ ส�ำนกั เอกลกั ษณ์ไทย จ�ำลอง เพง็ คล้าย และคณะ. 2526-2515. ไม้ที่มคี ่าทางเศรษฐกจิ ของไทย. ตอนท่ี 3-1. กรมป่าไม้ จ�ำลอง เพ็งคล้าย. 2535. พรรณไม้ในสวนป่าสริ ิกติ ติ์ภาคกลาง (จงั หวดั ราชบุร)ี . กรมป่าไม้ ชวลิต นยิ มธรรม. 2534. พรรณไม้ป่าพรุ จังหวัดนราธวิ าส. กรมป่าไม้.

เต็ม สมิตนิ ันทน์ และคณะ. 2518. พันธ์ุไม้ป่า. กรมป่าไม้. 63 เตม็ สมิตนิ นั ทน์. 2520. พนั ธุ์ไม้อุทยานแห่งชาตเิ ขาใหญ่. กรมป่าไม้. ลนี า ผู้พฒั นพงศ์, บศุ บรรณ ณ สงขลา และ ก่องกานดา ชยามฤต. 2540-2525. สมุนไพรไทย. ตอน 6-1. กรมป่าไม้ วรี ะชัย ณ นคร. 2540-2535. พรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สิรกิ ิติ์ 4-1. สวนพฤกษศาสตร์สมเดจ็ พระนางเจ้าสิรกิ ิต.์ิ หนังสอื เก่ียวกับอนุกรมวธิ านพชื Benson, L. 1957. Plant classification. D.C. Heath & Co., Boston. Davis, P.H., and V.H. Heywood. 1963 Principles of Angiosperm Taxonomy. Oliver & Boyd, Edinburgh. Hutchinson, J. 1959. The Families of Flowering Plants. 2 Vols. Oxford. Jackson, B.D. 1928. A Glossary of Botanical Terms. Duckworth, London. Lawrence, G.H.M. 1951. Taxonomy of Vascular Plants. The Macmillan Co., New York. Stearn, W. T. 1983. Botanical Latin. David & Charles, Newton Abbot (England). Websites ดา้ นพฤกษศาสตรท์ ่สี �ำคัญ JSTOR Plant Science: http://plants.jstor.org/ Royal Botanic Gardens, Kew: http://www.kew.org/ Herbarium Catalogue Library Catalogue World Checklist of Selected Plant Families World Checklist of Monocotyledons World Checklist of Rubiaceae Kew Bibliographic Database (KBD) http://www.kewbooks.com/ The New York Botanical Garden: http://www.nybg.org/ The C. V. Starr Virtual Herbarium Vascular Plant Types Catalog Nationaal Herbarium Nederland: http://www.nhn.leidenuniv.nl/index.php/ Malesian Orchid Genera Illustrated คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

64 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช Euphorbiaceae from Thailand Harvard University Herbaria HUH-Databases: http://kiki.huh.harvard.edu/databases/ International Association for Plant Taxonomy: http://www.iapt-taxon.org/index_layer.php Index Herbariorum Names in Current Use (NCU) Flora of China: http://flora.huh.harvard.edu/china/ GRIN Taxonomy for Plants: http://www.ars-grin.gov/cgi-bin/npgs/html/taxfam.pl Orchids of Vietnam: http://www.hoalanvietnam.org/Article.asp?ID=320 Botanicus Digital Library: http://www.botanicus.org/ Biodiversity Heritage Library: http://www.biodiversitylibrary.org/ Taxonomic Literature II (TL-2): http://www.sil.si.edu/digitalcollections/tl-2/index.cfm BPH Online: http://fmhibd.library.cmu.edu/fmi/iwp/cgi?-db=BPH_Online&-loadframes The Plant List: http://www.theplantlist.org/ Angiosperm Phylogeny Website: http://www.mobot.org/MOBOT/research/APweb/welcome.html http://en.wikipedia.org/wiki/APG_III_system The International Plant Names Index: http://www.ipni.org/ IK: Index Kewensis GCI: Gray Card Index APNI: Australian Plant Names Index Tropicos: http://www.tropicos.org/ Index Fungorum: http://www.indexfungorum.org/Names/Names.asp Natural History Bookstore: http://www.nhbs.com/index.php

65 5 รปู วิธานแยกวงศพ์ ชื ทพ่ี บบ่อยใบประเทศไทย รปู วธิ านทว่ั ไป 1. ไข่และเมลด็ ไม่มสี ิ่งห่อหุ้ม เกิดบนขอบของคาร์เพล หรอื megasporophylls) หรอื บนเกลด็ บางครัง้ อาจพบล้อมรอบ ด้วยกาบคล้ายวงกลบี รวม (perianth-like sheath) 1. Gymnospermae 1. ไข่อยู่ในรงั ไข่ รังไข่เกดิ จากส่วนโคน โคนของคาร์เพลม้วนเข้าหากัน หรอื คาร์เพลเชอ่ื มตดิ กนั 2. Angiospermae 2. ต้นอ่อนมใี บเลีย้ ง 2 ใบ ท่อล�ำเลียงเรียงเป็นวงในล�ำต้น และเจรญิ เพมิ่ ขนาดความหนาข้นึ ใบมีเส้นใบแบบร่างแห ดอกมักมสี ่วนต่าง ๆ เป็น 5-4 2.1. Dicotyledonae 2. ต้นอ่อนมใี บเล้ียง 1 ใบ ท่อล�ำเลยี งเรยี งกระจดั กระจายในล�ำต้น ไม่เพม่ิ ขนาดความหนา ใบมเี ส้นใบแบบขนาน ดอกมักมสี ่วนต่าง ๆ เปน็ 3 2.2. Monocotyledonae 1. พชื เมล็ดเปลอื ย (Gymnospermae) 1. ใบประกอบแบบขนนก ขนาดใหญ่ ออกเปน็ กระจกุ ท่ปี ลายล�ำต้น อวยั วะสบื พันธุ์เพศผู้และเพศเมียมีขนาดใหญ่ อยู่แยกกัน ทีต่ รงกลางปลายยอด Cycadaceae 1. ใบเด่ยี ว ขนาดเลก็ หรอื ขนาดกลาง อยู่ตามก่งิ ก้านท่วั ไป อวัยวะสบื พันธุ์มขี นาดเล็ก เกดิ ตามง่าม หรือส่วนบน ๆ ของกง่ิ หรือเป็นวงรอบก่งิ 2. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม มที ่อยางชัน เนอ้ื ไม้ไม่มี vessel ท่ีแท้จริง อวยั วะสืบพนั ธุ์เพศผู้และเพศเมีย เกิดบนแกนกลางใบ หรอื ใบส่วนบน ๆ 3. เมล็ดเดย่ี ว ล้อมรอบด้วยชนั้ ทอ่ี วบนำ�้ (epimatium) และมกั รองรับด้วยฐานดอกทห่ี นานุ่ม Podocarpaceae 3. เมล็ดมี 2 อยู่บนเกลด็ (ovuliferous scale) และเกล็ดเหล่าน้รี วมตวั เป็นอวยั วะท่เี รยี กว่า cone แข็ง ใบรูปเขม็ Pinaceae (Pinus) 2. ไม้ต้น หรอื ไม้เลอื้ ยเน้อื แข็ง ไม่มที ่อยางชัน เนื้อไม้มี vessel ที่แท้จริง อวัยวะสบื พันธ์ุเป็นเพศเดยี ว (บางทีเปน็ สองเพศแต่ไม่สมบรู ณ์) ดอกเรยี งเป็นวงรอบข้อ Gnetaceae (Gnetum) 2. พืชดอก (Angiospermae) 2.1. พชื ใบเล้ยี งคู่ (Dicotyledonae) 1. มีกลีบเลีย้ งและกลบี ดอก แยกจากกันอย่างชดั เจน (บางครัง้ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกลักษณะเกอื บคล้ายกัน แต่ แบ่งเปน็ 2 วง หรอื มากกว่า) คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

66 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช 2. กลบี ดอก (หรอื กลบี รวมวงใน) แยกจากกนั หรอื เกอื บแยกจากกนั มกั จะหลดุ รว่ งเปน็ กลบี ๆ 3. รังไข่เหนอื วงกลีบ 4. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมากกว่าสองเท่าของกลบี ดอก กลุ่ม 1 4. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนจ�ำกัด ไม่เกนิ สองเท่าของกลบี ดอก กลุม่ 2 3. รังไข่ใต้วงกลบี หรอื กึ่งใต้วงกลีบ 5. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมากกว่าสองเท่าของกลบี ดอก กลุ่ม 3 5. เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนจ�ำกดั ไม่ถงึ สองเท่าของกลบี ดอก กลุ่ม 4 2. กลบี ดอกเช่อื มตดิ กัน และจะหลดุ ร่วงทงั้ หมด 6. รังไข่เหนอื วงกลบี กลมุ่ 5 6. รังไข่ใต้วงกลบี หรอื กง่ึ ใต้วงกลบี กลุ่ม 6 1. ไม่มีกลบี ดอก หรอื มีวงกลบี รวมแต่ละกลบี มลี กั ษณะคล้ายกันหมด และมักจะอยู่เปน็ วงเดยี วหรอื ไม่มวี งกลบี รวม กลุ่ม 7 กลมุ่ 1 (มีกลีบเลย้ี งและกลบี ดอก แยกจากกัน รงั ไข่เหนอื วงกลบี เกสรเพศผู้จ�ำนวนมากกว่าสองเท่าของกลบี ดอก) 1. พืชน�้ำ คาร์เพลมจี �ำนวนมาก จมอยู่ในฐานดอกทข่ี ยายขน้ึ Nymphaeaceae (Nelumbo-บัว) 1. พชื บก 2. เกสรเพศเมยี ประกอบด้วย 2 คาร์เพลหรอื มากหว่า คาร์เพลแยกจากกนั 3. ก้านเกสรเพศผู้แยกจากกัน 4. กลบี ดอกและเกสรเพศผู้ตดิ ใต้รงั ไข่ 5. พืชไม่มเี นือ้ ใบ 6. มีหลายคาร์เพล เมล็ดไม่มเี ยอ่ื หุ้มเมล็ด Ranunculaceae 6. มสี ามคาร์เพล เมลด็ มเี ย่อื หุ้มเมลด็ Dilleniaceae (Acrotrema) 5. พชื มเี นอื้ ไม้ 7. ไม้ต้น ล�ำต้นตรง หรอื ไม้พุ่ม ดอกเด่นและสมบูรณ์เพศ 8. กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกซ้อนเหลื่อมกัน ผลมักเปน็ ผลแห้ง เมลด็ เรยี บ 9. เมล็ดไม่มเี ยือ่ หุ้มเมล็ด

10. มหี ลายคาร์เพล ออกเวยี นสลบั บนแกนกลางทย่ี ืดยาว 67 Magnoliaceae 10. มคี าร์เพลตดิ เป็นวงรอบแกนสน้ั ๆ Illiciaceae (Illicium) 9. เมล็ดโดยทวั่ ไปมเี ย่อื หุ้มเมลด็ เยอ่ื หุ้มเมล็ดอวบน�้ำ หรอื เปน็ ครยุ Dilleniaceae 8. กลบี เลี้ยงและกลบี ดอกเรยี งจรดกัน ผลนุ่ม เมล็ดย่น Annonaceae 7. ไม้เลอ้ื ย 11. ดอกเพศเดยี ว 12. ผลกลม เปน็ กลุ่มของคาร์เพลหลายคาร์เพล Schisandraceae (Kadsura) 12. ผลเป็นสาม (สองหรอื หนง่ึ ) ผลสดเมล็ดแข็ง Menispermaceae 11. ดอกสมบรู ณ์เพศ 13. ผลมี 5-2 คาร์เพล คาร์เพลหนาคล้ายหนัง เมล็ดมเี ยอื่ หุ้มเมลด็ เอน็ โดสเปิร์มไม่ย่น Dilleniaceae 13. ผลเป็นกลุ่มของคาร์เพล คาร์เพลนุ่ม เมลด็ ไม่มเี ย่อื หุ้มเมล็ด เอน็ โดสเปิร์มย่น Annonaceae 4. กลบี ดอกและเกสรเพศผู้ติดรอบรังไข่ Rosaceae 3. ก้านเกสรเพศผู้เช่อื มติดกันเป็นหลอด Malvaceae 2. เกสรเพศเมยี มหี นึ่งคาร์เพลหรือมาจาก 2 คาร์เพล หรอื มากกว่า ทเี่ ชอ่ื มตดิ กัน 14. แผ่นใบแบน มตี ่อมขน Droseraceae 14. ใบไม่มตี ่อมขน 15. กลบี เลีย้ งมี 2 กลีบ (หรอื เปน็ ใบประดบั คล้ายกลบี เลีย้ ง) Portulacaceae (Talinum) 15. กลบี เลยี้ งมี 4 หรอื 5 16. นำ้� ยางข้นคล้ายนม 17. นำ�้ ยางสีขาว ใบออกเรยี งสลบั หรอื ออกตรงข้าม ก้านเกสรเพศผู้แยกจากกนั รงั ไข่โดยทว่ั ไปมี 3 ช่อง Euphorbiaceae 17. น้ำ� ยางสีขาวหรอื เหลือง ใบออกตรงข้าม ก้านเกสรเพศผู้เชอ่ื มตดิ กันเปน็ กลุ่ม รงั ไข่มี 3-1 ช่อง Guttiferae 16. นำ�้ ยางใส 18. ใบออกเรียงสลบั 19. ก้านเกสรเพศผู้แยกจากกัน หรอื บางครั้งพบติดเป็นกระจุก แต่ไม่ใช่ตดิ เป็นกลุ่มเดียวกนั 20. รังไข่มกี ้าน (gynophore) กลบี เล้ยี งและกลีบดอกมอี ย่างละ 4 กลีบ Capparaceae คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

68 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช 20. รงั ไข่ไม่มกี ้าน หรอื ก้านสนั้ มาก 21. ไม้เถาเนอ้ื แข็ง ผลมีเปลือกหนามนั เมลด็ มเี ย่ือหุ้มเมลด็ เป็นครยุ Dilleniaceae (tetracera) 21. ไม้ต้น ตง้ั ตรง หรอื ไม้พุ่ม 22. ผลแก่ไม่แตก มปี ีก 5-2 ปีก ปีกเกดิ จากกลีบเลีย้ ง Dipterocarpaceae 22. ผลไม่มปี ีก 23. ผลแห้งแตก แบบ capsule มหี นามหรือขนมัน 24. ใบมีเส้นใบแบบน้วิ มือ ไม่มเี กล็ด ผลเลก็ Bixaceae 24. ใบมเี ส้นใบแบบขนนก มเี กล็ด ผลใหญ่ Malvaceae-Bombacoideae 23. ผลมหี ลายแบบ ถ้าเปน็ ผลแห้งแบบ capsule มกั ไม่มหี นามหรอื ขนมนั เส้นใบเปน็ แบบขนนก 25. ใบมจี ดุ น�้ำใส มีกล่นิ Rutaceae 25. ใบไม่มจี ดุ น้�ำมนั ใส 26. รงั ไข่มพี ลู กึ 10-3 พู เจรญิ เป็นกลุ่มผล มสี ดี �ำ เมล็ดแขง็ ตงั้ อยู่บนฐานดอกสแี ดง Ochnaceae 26. รังไข่ไม่เปน็ พู ผลแห้งแบบ capsule หรอื ผลสดแบบมเี น้อื หลายเมลด็ 27. กลีบเล้ยี งโคนเช่ือมติดกันเล็กน้อย 28. กลีบดอกมี 5 กลบี ขอบเรยี บ Linaceae (Ixonanthes) 28. กลบี ดอกมจี �ำนวนมาก ขอบขนานแคบ Gonystylaceae 27. กลบี เล้ยี งแยกจากกัน 29. กลบี เลี้ยงเรียงซ้อนเหล่อื มกัน ดอกเด่ยี ว หรอื อยู่เป็นกลุ่ม มี 3-2 ดอก Theaceae 29. กลบี เลยี้ งเรียงจรดกนั ดอกเล็กออกเปน็ ช่อกระจุกแตกแขนง Malvaceae-Grewioideae 19. ก้านเกสรเพศผู้โคนเชอ่ื มตดิ กัน หรือเชือ่ มตดิ กันเป็นหลอด หรอื เช่ือมเป็นหลอดตดิ กันหลายหลอด 30. ใบเป็นใบประกอบแบบน้ิวมือ ผลแห้งแบบ capsule เมล็ดมันคล้ายไหม เกสรเพศผู้ตดิ กนั เปน็ มดั Malvaceae-Bombacoideae 30. ใบเด่ียว

69 31. อับเรณมู ี 1 เซลล์ หลอดเกสรเพศผู้เช่อื มตดิ กนั ท่โี คนกลบี ดอก Malvaceae-Malvoideae 31. อับเรณูมี 2 เซลล์ หลอดเกสรเพศผู้ไม่เช่ือมติดกับกลบี ดอก Malvaceae-Sterculioideae 18. ใบออกตรงข้าม 32. ใบมจี ดุ โปร่งแสง ไม้ล้มลกุ หรอื ไม้พุ่ม ผลแห้งแบบ capsule Hypericaceae 32. ใบไม่มจี ุดโปร่งแสง ไม้ต้นหรอื ไม้พุ่ม 33. กลีบเลยี้ งแยกจากกัน ซ้อนเหล่อื มกนั ผลสด Clusiaceae 33. กลบี เลย้ี งเชื่อมตดิ กัน เรียงจรดกัน ผลแห้งแบบ capsule Lythraceae กลมุ่ 2 (มกี ลบี เล้ยี งและกลบี ดอก แยกจากกนั รงั ไข่เหนอื วงกลบี เกสรเพศผู้มจี �ำนวนจ�ำกัด) 1. เกสรเพศเมยี ประกอบด้วยคาร์เพล 2 ถงึ หลายคาร์เพล 2. เกสรเพศผู้ตดิ บนฐานดอกใต้รังไข่ 3. ใบมจี ุดน้ำ� มนั ใส Rutaceae 3. ใบไม่มจี ดุ น�้ำมันใส 4. ใบเดี่ยว 5. ใบออกตรงข้าม ผลมปี ีก Malpighiaceae 5. ใบออกเรยี งสลบั ผลไม่มปี ีก 6. ไม้เถา เนอื้ แขง็ หรอื ไม่มีเน้อื ไม้ ดอกเพศเดยี วและต่างเพศต่างต้น Menispermaceae 6. ไม้ต้น ตงั้ ตรง ดอกสมบูรณ์เพศ Anacardiaceae (Buchanania) 4. ใบประกอบแบบขนนก ออกเรยี งสลับ Simaroubaceae 2. เกสรเพศผู้ตดิ อยู่ในหลอดกลบี เลี้ยง เหนือรังไข่ 7. มหี ใู บ Rosaceae 7. ไม่มหี ใู บ Connaraceae 1. เกสรเพศเมยี ประกอบด้วยหนง่ึ คาร์เพลหรือมาจาก 2 หรือ หลายคาร์เพล 8. ก้านเกสรเพศเมยี มี 5-2 หรอื แตกเปน็ 5-2 แฉก 9. ใบแบน มตี ่อมขน Droseraceae 9. ใบไม่มตี ่อมขน คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

70 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 10. ใบออกตรงข้าม 11. กลบี เลย้ี ง (หรอื ใบประดับคล้ายกลบี เลี้ยง) มี 2 กลบี ใบนุ่ม Portulacaceae 11. กลบี เลีย้ งมี 5 กลบี ใบไม่นุ่ม 12. ไม้พุ่ม หรอื ไม้เถาเนอ้ื แขง็ ผลสดแบบกล้วย หรอื ผลมปี ีก Malpighiaceae 12. ไม้ต้น ตงั้ ตรงหรอื ไม้ล้มลกุ ผลแห้งแบบ capsule 13. ดอกสมมาตรด้านข้าง Polygalaceae 13. ดอกสมมาตรตามรัศมี 14. ผลแห้งแบบ capsule เปน็ พู ไม้พุ่ม หรอื ไม้ต้น Staphyleaceae 14. ผลแห้งแบบ capsule ไม่มพี ู มกั ไม่มเี นอื้ ไม้ ปลายกลบี ดอกมักจะเปน็ 2 แฉก Caryophyllaceae 10. ใบออกเรยี งสลบั หรอื ออกเปน็ กระจุกใกล้ราก 15. กลีบเลย้ี ง (หรอื ใบประดับคล้ายกลบี เลย้ี ง) มี 3 กลีบ ใบอวบน�ำ้ Portulacaceae 15. กลบี เล้ยี งมกั มี 5 กลบี 16. ไม้เถา 17. เกสรเพศผู้มี 5 มักมกี ระบังรอบ (corona) มมี ือพนั Passifloraceae 17. เกสรเพศผู้มี 10 ไม่มกี ระบังรอบ มหี นามแขง็ Linaceae (Indorouchera) 16. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม 18. กลบี เลีย้ งเชอ่ื มเปน็ รูปปากแตร ปลายมี 10-5 แฉก ตดิ ทน เกสรเพศผู้มี 7-1 ออกเรยี งสลับกับต่อม Flacourtiaceae (Homalium) 18. กลบี เลีย้ งไม่เหมือนข้างบน 19. ใบเด่ยี ว 20. รงั ไข่มี 3 ช่อง ผลสด เมลด็ แข็ง กลบี ดอกมรี ยางค์ 2 อนั Erythroxylaceae 20. รังไข่มชี ่องเดยี ว กลบี ดอกไม่มรี ยางค์ 21. ดอกเด่น มไี ข่และเมล็ดจ�ำนวนมาก Turneraceae 21. ดอกไม่เด่นชัด มไี ข่และเมล็ดน้อย Anacardiaceae 19. ใบประกอบ 22. กลบี เลย้ี งเรยี งซ้อนเหล่อื มกนั ในตาดอก

23. กลบี เล้ียงแยกจากกนั หรอื เชอ่ื มตดิ กนั เลก็ น้อย 71 24. ดอกสมมาตรตามรศั มี รังไข่มี 5 ช่องไข่ตดิ ห้อยลง ผลสด มี 5 สัน หรอื ผลแห้งแบบ capsule Oxalidaceae 24. ดอกมกั สมมาตรด้านข้าง รังไข่มี 4-1 ช่อง ไข่ติดตรง ผลแห้ง หรอื ผลสด ไม่เป็นสนั 5 สัน Sapindaceae 23. กลบี เลยี้ งเชอ่ื มตดิ กันท่ีโคน 25. ไข่และเมลด็ ติดห้อยลง เปลอื กต้นขม Simaroubaceae 25. ไข่และเมลด็ ตดิ ตรง Anacardiaceae (Spondias) 22. กลบี เลย้ี งเรยี งจรดกนั ในตาดอก ไม้ต้น มยี างเปน็ ชนั Burseraceae 8. ก้านเกสรเพศเมยี มีอันเดยี ว 26. ใบออกตรงข้าม หรอื ออกเป็นวงรอบ รงั ไข่มี 5-2 ช่อง 27. ดอกสมมาตรด้านข้าง 28. รังไข่มี 2 ช่อง กลบี เลยี้ งไม่มเี ดือย เกสรเพศผู้มี 8 ,5 หรอื 10 แยกจากกัน หรอื เชอื่ มตดิ กัน Polygalaceae 28. รงั ไข่มี 5 ช่อง กลบี เลีย้ ง 1 หรอื 2 กลบี จะมีเดอื ย เกสรเพศผู้มี 5 อาจเชอ่ื มตดิ กนั Balsaminaceae 27. ดอกสมมาตรตามรศั มี 29. เกสรเพศผู้มี 6 ยาว 4 สน้ั 2 กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกมี 5 กลบี Cruciferae 29. เกสรเพศผู้ กลบี เลีย้ งและกลบี ดอกไม่เหมอื นข้างบน 30. ใบมีจดุ นำ้� มันใส Rutaceae 30. ใบไม่มจี ุดนำ้� มนั ใส 31. ก้นเกสรเพศผู้แยกจากกัน 32. ผลแห้งแบบ capsule มเี มลด็ เลก็ ๆ จ�ำนวนมาก เกสรเพศเมยี มี 4 หรือ 8 ตดิ ในหลอดกลบี เล้ยี ง Lythraceae 32. ผลมหี ลายแบบ มเี มล็ด 3-1 เกสรเพศผู้มี 5-2 ติดท่ีขอบของจานดอก 33. เกสรเพศผู้ตดิ ตรงข้ามกับกลีบดอก Rhamnaceae 33. เกสรเพศผู้ตดิ สลับกบั กลบี ดอก 34. เกสรเพศผู้มี 3 ผลสดแบบมเี นอ้ื หลายเมลด็ Celastraceae (Salacia) คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

72 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 34. เกสรเพศผู้มี 5-4 ผล มหี ลายแบบ 35. ไม่มเี กสรเพศผู้เป็นหมัน เมล็ดมเี ยอื่ หุ้ม Celastraceae 35. มเี กสรเพศผู้เป็นหมัน เมลด็ ไม่มเี ย่อื หุ้ม Olacaceae 31. ก้านเกสรเพศผู้โคนเชอ่ื มตดิ กนั Malpighiaceae 26. ใบออกเรยี งสลับ หรืออกเป็นกระจุกใกล้ราก 36. รงั ไข่มี 5-2 ช่อง 37. ดอกสมมาตรตามรศั มี 38. ก้านเกสรเพศผู้แยกจากกนั หรอื เช่ือมติดกันเลก็ น้อย 39. ใบมีเส้นใบรปู ฝ่ามอื หรอื เปน็ ใบประกอบ 40. ไม้เถา มมี อื พัน กลบี ดอกบางทหี ลดุ ออกเปน็ หมวก ผลสดแบบมเี นอ้ื หลายเมลด็ Vitaceae 40. ไม้พุ่ม ตงั้ ตรง กลีบดอกแยกจากกนั ผลแห้งแบบ capsule Malvaceae-Byttnerioideae 39. ใบมเี ส้นใบแบบขนนก หรอื เปน็ ใบประกอบ 41. ใบประกอบ 42. ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม มยี างชัน หรอื น�้ำมนั กลีบเลย้ี งเรียงจรดกนั Burseraceae 42. ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม ไม่มยี างชัน หรอื น�้ำมัน กลบี เล้ียงเรียงซ้อนเหล่ือมกนั 43. เกสรเพศผู้มี 10-8 รงั ไข่แต่ละช่องมไี ข่ 3-1 Sapindaceae 43. เกสรเพศผู้มี 5 ทสี่ ืบพนั ธ์ุได้มี 2 ท่ีด้านปลายขยายออก ส่วนอกี 3 หายไป Sabiaceae (Meliosma) 41. ใบเดย่ี ว 44. ผลแก่ไม่แตก มปี ีก 5-2 ปีก ตดิ ทน ปีกเจริญมาจากกลีบเล้ียง เกสรเพศผู้มี 10-5 หรือมากกว่า น้ัน Dipterocarpaceae 44. ผลไม่มปี ีก 45. เกสรเพศผู้ท่สี ืบพนั ธ์ุได้ มี 6-4 46. รงั ไข่แต่ละช่องมไี ข่หลายเมลด็ Pittosporaceae 46. รงั ไข่แต่ละช่องมไี ข่ 2-1 เมลด็ 47. เกสรเพศผู้ตดิ ตรงข้ามกบั กลบี ดอก ผลแห้งแบบ capsule หรอื ผลสดเมล็ดแขง็

48. ไม่มหี ูใบ 73 Rhamnaceae 48. ใบไม่มหี ูใบ 49. จานดอกเปน็ วงแหวน ตดิ อยู่รอบโคนรังไข่ กลบี เลย้ี งเลก็ ปลายแยกเปน็ พู ไข่ตงั้ ตรง Olacaceae 49. จานดอกเปน็ ต่อมเชอ่ื มติดกันแค่โคน แต่ไม่ตดิ กับรังไข่ กลบี เลยี้ งเลก็ หรอื ไม่มเี ลย ไข่ห้อยลง Opiliaceae 47. เกสรเพศผู้ตดิ เรียงสลบั กับกลบี ดอก 50. ผลส่วนมากเป็นแบบผลแห้งแตก ฐานดอกเหน็ ชัดและมเี กสรเพศผู้ตดิ อยู่ Celastraceae 50. ผลสดเมล็ดแขง็ ไม่มฐี านดอก 51. กลบี ดอกเรยี งซ้อนเหลือ่ มกัน Aquifoliaceae 51. กลบี ดอกเรยี งจรดกัน Icacinaceae 45. เกสรเพศผู้ท่สี ืบพนั ธ์ุได้มี 10 38. ก้านเกสรเพศผู้เชอ่ื มติดกนั 52. ใบประกอบ 53. ใบประกอบแบบขนนก 54. เกสรเพศผู้ มี 10-8 ใบมกั เป็นใบประกอบแบบขนนกธรรมดา Meliaceae 54. เกสรเพศผู้ มี 5 ใบเดย่ี ว หรอื ใบประกอบแบบขนนก 3 ชนั้ Leeaceae 53. ใบประกอบแบบน้วิ มอื 55. เกสรเพศผู้มี 5-2 มักมกี ้านชเู กสรร่วม (androgynophore) Malvaceae–Sterculioideae 55. เกสรเพศผู้มี 10 ไม่มกี ้านชูเกสรร่วม Styracaceae 37. ดอกสมมาตรด้านข้าง 56. ดอกเกอื บคล้ายรูปดอกถ่วั กลบี เลี้ยงด้านใน 2 กลบี เด่น และกลบี ดอกเด่น 3 กลบี Polygonaceae 56. ดอกไม่เหมอื นข้างบน 57. ใบเดี่ยว ดอกมีเดอื ย ส่วนต่าง ๆ ของดอกมจี �ำนวน 5 ผลแห้งแบบ capsule แบน Balsaminaceae 57. ใบประกอบแบบขนนก 3-2 ชนั้ ดอกไม่มีเดือย ส่วนต่าง ๆ ของดอกมจี �ำนวน 4 ผลแห้งแบบ capsule พอง Sapindaceae (Cardiospermum) 36. รังไข่มี 1 ช่อง (บางครง้ั รังไข่ดเู หมอื นถูกแบ่งท�ำให้เหน็ เป็นมากกว่า 1 ช่อง) คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

74 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธุ์พืช 58. ดอกสมมาตรตามรศั มี 59. ผลสด มักมฐี านดอก Anacardiaceae 59. ผลแห้ง ถ้าเป็นผลสด จะไม่มฐี านดอก 60. กลบี ดอกเรยี งซ้อนเหลอ่ื มกัน 61. กลีบเลย้ี งและกลบี ดอกมอี ย่างละ 4 เกสรเพศผู้มี 6 62. ฝกั มกี ้านยาว เกสรเพศผู้มคี วามยาวเท่ากนั Capparaceae (Cleome) 62. ฝกั ไม่มกี ้าน เกสรเพศผู้ยาวไม่เท่ากนั Cruciferae 61. กลบี เล้ียงและกลบี ดอกมีอย่างละ 5 63. เกสรเพศผู้มี 10 64. ผลเป็นฝกั (legume) ดอกอดั แน่นเป็นกระจกุ หรอื เปน็ ช่อเชงิ ลด (spikes) Leguminosae 64. ผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) หรือเปน็ ฝกั แตกแนวเดยี ว (follicle) ดอกเปน็ ช่อกระจะ (racemes) หรอื ช่อเชิงหล่ัน (corymbs) Rosaceae 63. เกสรเพศผู้มี 5 ผลแห้งแตก Pittosporaceae 60. กลบี ดอกเรียงจรดกนั Icacinaceae 58. ดอกสมมาตรด้านข้าง 65. ดอกไม่มเี ดือย รังไข่มีพลาเซนตาแนวเดยี ว (marginal placenta) ผลเป็นปีก Leguminosae 65. ดอกมเี ดือย รงั ไข่มีพลาเซนตาตดิ ตามแนวตะเข็บ (parietal placenta) 3 ตะเขบ็ Violaceae กลมุ่ 3 (มีกลบี เลี้ยงและกลบี ดอก แยกจากกนั รงั ไข่ใต้วงกลบี หรือกึ่งใต้วงกลีบ เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก) 1. ก้านเกสรเพศเมยี มมี ากกว่า 1 บางทีจะเช่อื มตดิ กันเลก็ น้อย 2. พชื น้�ำ มใี บและดอกลอยเหนอื นำ�้ Nymphaeaceae 2. พืชบก 3. ดอกเพศเดยี ว กลีบเลีย้ งและกลบี ดอกมอี ย่างละ 2 Begoniaceae 3. ดอกสมบรู ณ์เพศ กลบี เลย้ี งและกลีบดอกมอี ย่างละ 5-4 4. ผลแบบแอปเปิล้ (pome) มักออกเดย่ี ว ๆ Rosaceae 4. ผลแห้งแตก แขง็ มี 2 ล้นิ (bi-valved) มักอยู่เป็นกลุ่ม Hamamelidaceae

1. ก้านเกสรเพศเมยี มี 1 75 5. กลีบเลย้ี งและกลบี ดอกมจี �ำนวนไม่จ�ำกัด และไม่ค่อยแตกต่างกัน มหี นามและอวบน้�ำ Cactaceae 5. กลีบดอกมักมี 4 หรอื 5 6. ไม้ป่าชายเลน หรอื ไม้พุ่ม ใบออกตรงข้าม มหี ูใบร่วมอยู่ระหว่างโคนก้านใบ Rhizophoraceae 6. ไม้ป่าบก 7. แฉกของกลบี เล้ียงเรยี งจรดกนั ผลมกั ใหญ่ แขง็ แก่ไม่แตก หรอื แตกโดยมฝี า ใบไม่มีต่อมโปร่งแสง Lecythidaceae 7. แฉกของกลบี เล้ียงเรยี งซ้อนเหลอ่ื มกนั ผลเลก็ กว่า พบน้อยท่แี ตกโดยมฝี า ใบมกั มตี ่อมโปร่งแสง 8. ใบมักออกตรงข้าม มตี ่อมโปร่งแสง Myrtaceae 8. ใบออกเรยี งสลบั ไม่มตี ่อมโปร่งแสง Theaceae (Anneslea) กลุ่ม 4 (มีกลบี เลยี้ งและกลบี ดอก แยกจากกัน รงั ไข่ใต้วงกลบี หรอื กึง่ ใต้วงกลบี เกสรเพศผู้มจี �ำนวนจ�ำกดั ) 1. ก้านเกสรเพศเมยี มสี อง หรอื หลายอัน 2. กลีบเลย้ี ง (หรือใบประดบั คล้ายกลบี เลย้ี ง) มี 2 พชื อวบน�ำ้ Portulacaceae 2. กลีบเล้ยี งมกั มี 5-4 3. พชื ล้มลกุ มกี ล่นิ ผลแก่แตกออกเปน็ 2 คาร์เพล Umbelliferae 3. พืชมเี น้อื ไม้ ผลแก่ไม่เหมอื นข้างบน 4. ผลแห้ง 5. ไม้เถา มขี อ ผลเปลอื กแข็ง มีปีกใหญ่ตดิ แน่น ปีกเกดิ จากกลบี เล้ยี ง Ancistrocladaceae 5. ไม้ต้น ตง้ั ตรง หรอื ไม้พุ่ม ขนเป็นรูปดาว ผลแห้งแตก แข็ง มี 2 ลนิ้ Hamamelidaceae 4. ผลสดนุ่ม ไม่มขี นรปู ดาว 6. เกสรเพศผู้มี 10 หรือมากกว่า มหี ูใบ Rosaceae 6. เกสรเพศผู้มี 5-4 ไม่มหี ใู บ Araliaceae 1. ก้านเกสรเพศเมยี มีอันเดยี ว ใบแตกเปน็ แฉก 7. ไม้พุ่ม มักเป็นกง่ึ พชื เบียนบนไม้ต้น ใบเด่ยี ว ออกตรงข้าม Loranthaceae 7. ไม้พุ่ม หรอื ไม้ต้น ไม่เปน็ พชื เบยี น คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

76 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์พืช Rhizophoraceae 8. ไม้ป่าชายเลน ใบออกตรงข้าม มหี ูใบร่วมท่โี คนก้านใบ 8. ไม้ป่าบก 9. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเท่ากลบี ดอก และติดตรงข้ามกับกลบี ดอก 10. มีหใู บ Rhamnaceae 10. ไม่มีหใู บ 11. ไข่ตง้ั ตรง Olacaceae 11. ไข่ห้อยลง Opiliaceae 9. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนไม่เท่ากบั กลบี ดอก หรอื ถ้าจ�ำนวนเท่ากบั กลบี ดอก จะตดิ สลับกับกลบี ดอก 12. ไม้เถา มมี ือพนั ดอกมเี พศเดยี ว Cucurbitaceae 12. ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอื ไม้ล้มลกุ 13. รังไข่แต่ละช่องมไี ข่ตงั้ แต่ 2 ถึงหลายเมลด็ 14. ใบมเี ส้นใบตามยาว 9-3 เส้น อบั เรณมู รี ยางค์ เปิดโดยมรี ปู ิด Melastomataceae 14. ใบมเี ส้นกลางใบเปน็ หลัก อับเรณไู ม่มรี ยางค์ 15. ผลมกั มปี ีก รังไข่มี 1 ช่อง ไข่ห้อยลง Combretaceae 15. ผลไม่มปี ีก รงั ไข่มี 2 ถึงหลายช่อง ไข่มักเปน็ พลาเซนตาแบบตดิ ตามแกน (axile placentation) 16. ใบมตี ่อมโปร่งแสง แฉกกลบี เลี้ยงมกั เรียงซ้อนเหล่อื มกนั Myrtaceae 16. ใบไม่มตี ่อมโปร่งแสง แฉกกลบี เลี้ยงมกั เรยี งจรดกนั 17. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม Escalloniaceae (Polyosma) 17. ไม้ล้มลุก Onagraceae 13. รงั ไข่แต่ละช่องมไี ข่ 1 เมล็ด หรอื รงั ไข่มชี ่องเดยี ว และมไี ข่เมล็ดเดยี ว ใบเด่ียว ไม่มหี ใู บ Cornaceae กล่มุ 5 (มกี ลบี เลี้ยงและกลบี ดอก กลีบดอกเชื่อมตดิ กัน รงั ไข่เหนอื วงกลีบ) 1. พชื กินซาก (saprophyte) หรอื พืชเบียน (parasite) ไม่มใี บ มักมีสเี หลอื ง ดอกสมมาตรด้านข้าง Orobanchaceae 1. ไม่เป็นพชื กินซาก หรอื พชื เบยี น 2. พชื น�้ำ หรอื พชื ในดนิ แฉะ มถี งุ เล็ก ๆ ตามก่งิ ก้านท่โี คน Lentibulariaceae

2. พชื บก 77 3. เกสรเพศเมยี ประกอบด้วย 2 ถึงหลายคาร์เพล คาร์เพลค่อนข้างแยกจากกนั 4. คาร์เพล 5-4 ยางใส พชื อวบน�้ำ Crassulaceae (Kalanchoe) 4. คาร์เพล 2 แยกกันค่อนข้างชัดเจน ยางขาวคล้ายนม พชื มีใบอวบนำ�้ 5. ก้านเกสรเพศผู้แยกกันชดั เจน บางครง้ั เชอื่ มกันทป่ี ลาย ก้านเกสรเพศเมยี มี 1 Apocynaceae 5. ก้านเกสรเพศผู้เชอ่ื มกนั ก้านเกสรเพศเมยี เชอ่ื มตดิ กนั ทยี่ อดเกสร Asclepiadaceae 3. เกสรเพศเมยี ประกอบด้วยคาร์เพล 1 หรือ 2 หรอื ลายคาร์เพล คาร์เพลเชอ่ื มติดกัน 6. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมากกว่าจ�ำนวนแฉกของกลบี ดอก 7. รงั ไข่มี 2ถงึ หลายช่อง 8. เกสรเพศเมยี มี 2 ถึงหลายแฉก 9. ก้านเกสรเพศผู้มกั จะเช่อื มกนั ทโี่ คน ดอกสมบูรณ์เพศ Theaceae 9. ก้านเกสรเพศผู้แยกจากกนั ดอกเพศเดยี ว Ebenaceae 8. ก้านเกสรเพศเมยี มี 1 10. เกสรเพศผู้ตดิ บนกลีบดอก รังไข่ทโ่ี คนมี 5-3 ช่อง 11. รงั ไข่แต่ละช่องมไี ข่ 2 ถึงหลายเมลด็ Styracaceae 11. รงั ไข่แต่ละช่องมไี ข่ 1 เมลด็ Sapotaceae 10. เกสรเพศผู้ไม่ติดบนกลบี ดอก รงั ไข่มี 5 ช่อง อบั เรณูเปิดโดยรเู ปิดทป่ี ลาย Ericaceae (Rhododendron) 7. รงั ไข่มี 1 ช่อง 12. ผลแห้งเมล็ดร่อน (achene) มสี ัน ล�ำต้นมกั มหี ูใบเปน็ กาบหุ้มข้อ หรอื ถ้าไม่มกี าบหุ้มล�ำต้นจะเล้อื ย Polygonaceae 12. ผลไม่เป็นแบบผลแห้งเมลด็ ล่อน 13. ผลเป็นฝกั Leguminosae 13. ผลมีเน้ือหลายเมลด็ (berry) Caricaceae 6. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเท่ากับหรือน้อยกว่าจ�ำนวนแฉกของกลบี ดอก 14. ไม้เล้อื ยมีมือพัน (tendril) 15. ดอกไม่เด่นชดั สมมาตรตามรศั มี ผลมเี น้ือหลายเมลด็ Vitaceae คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

78 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุ์พืช Bignoniaceae 15. ดอกเด่นชดั สมมาตรด้านข้าง ผลแห้งแตก 14. ไม้ล้มลกุ ไม้พุ่ม ไม้เล้อื ยไม่มีมือพนั หรอื ไม้ต้น 16. เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนเท่ากบั แฉกกลบี ดอก และตดิ ตรงข้ามกับกลบี ดอก 17. ก้านเกสรเพศเมยี แตกเปน็ 5 แฉก รังไข่มี 1 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่ 1 เมลด็ Plumbaginaceae 17. ก้านเกสรเพศเมยี มี 1 18. รงั ไข่มี 2 ถงึ หลายช่อง แต่ละช่องมไี ข่ 1 เมลด็ แฉกกลบี ดอกมักมรี ยางค์เลก็ ๆ (ท่เี ปน็ เกสรเพศผู้เปน็ หมนั ) ท่โี คน Sapotaceae 18. รงั ไข่มี 1 ช่อง มีไข่ตงั้ แต่ 3-2 หรือหลายเมล็ด กลบี ดอกไม่มรี ยางค์ Myrsinaceae 16. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเท่ากบั หรอื น้อยกว่าแฉกกลบี ดอก ตดิ สลบั กบั กลีบดอก 19. รังไข่มี 2 ถึงหลายช่อง 20. ผลประกอบด้วย 4 ผลย่อย เป็นผลเปลอื กแขง็ เลก็ แต่ละผลย่อยมี 1 เมล็ด บางทผี ลย่อยอาจเป็นพมู ี เมลด็ แข็ง (ถ้าเป็นผลสด กลบี ดอกสมมาตรด้านข้าง) 21. เกสรเพศผู้สบื พนั ธ์ุได้มี 5 กลบี ดอกสมมาตรด้านข้าง ใบออกเรยี งสลบั ช่อดอกเปน็ กระจกุ Boraginaceae 21. เกสรเพศผู้สบื พนั ธุ์ได้ มี 4 หรอื 2 กลบี ดอกมักสมมาตรด้านข้าง ใบออกตรงข้าม หรอื ออกเปน็ วง รอบข้อ ช่อดอกไม่เป็นกระจกุ 22. รงั ไข่เรยี บ ก้านเกสรเพศเมยี ออกทป่ี ลายยอดรงั ไข่ Verbenaceae 22. รังไข่เป็น 4 พู ก้านเกสรเพศเมยี ออกระหว่างพขู องรงั ไข่ Labiatae 20. ผลแห้งแตก หรอื ผลมีเนอ้ื หลายเมลด็ (ถ้าผลสด กลบี ดอกมักสมมาตรตามรศั ม)ี 23. เกสรเพศผู้ท่สี ืบพันธุ์ได้เท่ากบั จ�ำนวนแฉกกลบี ดอก 24. ใบออกตรงข้าม หรอื ออกเป็นวงรอบข้อ Loganiaceae 24. ใบออกเรยี งสลบั หรอื ออกท่ีโคนใกล้ราก 25. ไม้น�้ำล้มลกุ Gentianaceae (Nymphoides) 25. ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอื ไม้เล้อื ย 26. รังไข่มี 10-3 ช่อง Aquifoliaceae 26. รงั ไข่มักมี 2-1 ช่อง บางครงั้ จะมีช่องเทยี ม 27. กลบี เลีย้ งแยกเปน็ 5 กลบี หรอื เชือ่ มติดกันทโี่ คน ก้านเกสรเพศเมยี มี หรือ 2 มกั จะแยกเปน็ แฉก

28. มักเป็นพืชเลื้อย ช่อดอกไม่ม้วน กลบี ดอกพบั จบี ในตาดอก 79 Convolvulaceae 28. เป็นพชื ต้ังตรง หรอื แตกกิง่ ก้านยุ่งเหยงิ ช่อดอกแบบช่อกระจกุ มักจะม้วน (scorpioid) กลบี ดอกไม่พับจีบในตาดอก Hydrophyllaceae 27. กลบี เลยี้ งมกั จะมี 5-4 แฉก หรอื เปน็ ซ่ฟี นั ก้านเกสรเพศเมยี ไม่แตกเปน็ แฉก 29. ใบออกเรยี งสลบั ดอกออกเด่ยี ว ๆ หรอื เปน็ ช่อกระจกุ ผลมีเน้ือหลายเมล็ด หรือผลแห้งแตก (แต่ไม่แตกตามขวาง) Solanaceae 29. ใบเป็นกระจุกใกล้ราก ดอกเป็นช่อเชงิ ลดแน่น ผลแห้งแตกตามขวาง Plantaginaceae 23. เกสรเพศผู้สบื พันธุ์ได้มี 4-2 น้อยกว่าจ�ำนวนแฉกของกลบี ดอก 30. พืชล้มลกุ ดอกสแี ดง หรอื ขาว ผลแห้งแตก ยาวประมาณ 1 น้ิว เปน็ ร่อง มขี นแขง็ และจงอยสน้ั Pedaliaceae 30. พชื ลักษณะไม่เหมอื นข้างบน 31. ใบส่วนมากออกเรยี งสลับ ตอนบน ๆ บางทีติดตรงข้าม พลาเซนตารอบแกนร่วม (axileplacentation) 32. รงั ไข่แต่ละช่องมไี ข่ 2-1 ไม้เล้อื ย ใบประกอบ ดอกสเี หลอื ง หรือขาว Oleaceae 32. รังไข่แต่ละช่องมไี ข่หลายเมล็ด 33. แฉกกลบี ดอกเรยี งซ้อนเหลอื่ มกนั ในตาดอก พชื เมอ่ื บดละเอียด ไม่มกี ลนิ่ ฉุน Scrophulariaceae 33. แฉกกลบี ดอกเรยี งจรดกนั ในตาดอก พชื เมือ่ บดละเอยี ดมกี ลนิ่ ฉนุ Solanaceae 31. ใบส่วนมากออกตรงข้าม หรอื ออกเปน็ วงรอบข้อ หรอื ออกเป็นกระจุกใกล้ราก 34. พลาเซนตาตามแนวตะเข็บ (parietal placentation) ไม้เนอ้ื แข็ง เมล็ดมปี ีกหรอื เมล็ดแบน Bignoniaceae 34. พลาเซนตารอบแกนร่วม (axile placentation) เมล็ดไม่มปี ีก 35. กลีบดอกสมมาตรตามรศั มี เกสรเพศผู้มี 2 Oleaceae 35. กลบี ดอกสมมาตรด้านข้าง เกสรเพศผู้มี 4-2 36. อบั เรณมู กั แยกจากกัน รงั ไข่แต่ละช่องมีไข่หลายเมล็ด Scrophulariaceae 36. อับเรณูมักชดิ ตดิ กนั หรอื เช่อื มติดกัน อย่างน้อยก็ตดิ กนั หน่งึ คู่ รังไข่แต่ละช่องมไี ข่ 3-2 ถึง หลายเมลด็ Acanthaceae 19. รังไข่มี 1 ช่อง บางทดี ูเหมอื นมีหลายช่อง คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

80 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 37. กลีบดอกสมมาตรตามรศั มี เกสรเพศผู้สบื พันธ์ุได้มี 5 38. ใบส่วนมากออกทโ่ี คนใกล้ราก Gesneriaceae 38. ใบออกตรงข้าม หรอื ออกเป็นวงรอบข้อ ไม้พุ่มรอเล้อื ย Apocynaceae (Allamanda) 37. กลบี ดอกมกั สมมาตรด้านข้าง เกสรเพศผู้สบื พันธ์ุได้มี 4 หรือ 2 39. ไม้ต้น ผลยาวประมาณ 1 ฟุต หรือมากกว่า เปลอื กแขง็ Bignoniaceae 39. ไม้บ้มลกุ หรอื ไม้พุ่ม ผลแห้งแบบ capsule มขี นาดเล็ก Gesneriaceae กลุ่ม 6 (มีกลีบเล้ยี งและกลบี ดอก กลีบดอกเช่ือมตดิ กนั รังไข่ใต้วงกลบี หรือกงึ่ ใต้วงกลบี ) 1. ไม้พุ่มกง่ึ พชื เบยี น หลอดกลีบดอกปรอิ อกด้านเดียว Loranthaceae 1. ไม่เปน็ พืชเบียน 2. พชื เลอ้ื ยมมี ือเกาะ Cucurbitaceae 2. พืชไม่มมี ือเกาะ 3. พชื อวบนำ้� และมหี นาม ใบลดรปู Cactaceae 3. พืชไม่เหมอื นข้างบน 4. อับเรณูแยกจากกนั 5. เกสรเพศผู้ไม่ติดกับหลอดกลบี ดอก 6. เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนเท่ากับแฉกกลบี ดอก อับเรณูไม่เปิดเป็นรทู ป่ี ลาย 7. กลบี ดอกสมมาตรตามรศั มี ผลแห้งแบบ capsule Campanulaceae 7. กลบี ดอกสมมาตรด้านข้าง ผลสดแบบกล้วย (baccate) Goodeniaceae 6. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเป็นสองเท่าของแฉกกลบี ดอก อับเรณเู ปิดทร่ี ทู ป่ี ลาย ผลแบบกล้วย Ericaceae 5. เกสรเพศผู้ตดิ อยู่บนหลอดกลบี ดอก 8. เกสรเพศเมยี มี 2 คาร์เพล คาร์เพลเชือ่ มกนั ท่โี คน มยี างขาว Apocynaceae (Plumeria) 8. เกสรเพศเมยี มี 2-1 คาร์เพล หรอื มากกว่า คาร์เพลเช่อื มตดิ กนั ไม่มยี างขาว 9. เกสรเพศผู้มีอย่างน้อยท่สี ดุ เท่ากบั แฉกกลบี ดอก 10. ใบออกเรยี งสลับ 11. เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนมาก Symplocaceae

11. เกสรเพศผู้มี 5 81 Campanulaceae (Pentaphragma) 10. ใบออกตรงข้าม หรอื ออกเปน็ วงรอบข้อ 12. ใบออกตรงข้ามและมหี ใู บ ถ้าออกเปน็ วงรอบข้อจะไม่มหี ใู บ Rubiaceae 12. ใบออกตรงข้าม หรอื ออกเป็นวงรอบข้อ หายากทม่ี ใู บ และถ้ามหี ใู บกเ็ ลก็ มาก Caprifoliaceae 9. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนน้อยกว่าแฉกกลบี ดอก มักมี 2 หรอื 4 หายากที่มี 5 Gesneriaceae 4. อับเรณเู ชอ่ื มเปน็ หลอดตดิ กบั เกสรเพศเมีย 13. ดอกไม่ออกเป็นก้อน 14. กลบี ดอกสมมาตรตามรศั มี หรอื สมมาตรด้านข้าง เกสรเพศผู้มี 5 Campanulaceae 14. กลบี ดอกสมมาตรด้านข้าง เกสรเพศผู้มี 2 Stylidiaceae 13. ดอกออกเปน็ ก้อน โดยมวี งใบประดับ กลบี ดอกสมมาตรตามรศั มี หรือสมมาตรด้านข้าง Compositae กลมุ่ 7 (ไม่มกี ลบี ดอก หรอื ไม่มวี งกลบี รวม) 1. พชื เบยี นเนอ้ื นุ่ม 2. เนื้อเยื่อท่ไี ม่เกย่ี วกบั เพศ (vegetative tissue) ลดขนาดเปน็ คล้ายกลุ่มใยรา (mycelium-like) และแตกสาขาที่ รากของพชื ถกู เบียน ดอกมเี พศเดยี วแตกก่งิ Rafflesiaceae (Rafflesia) 2. อวยั วะที่ไม่เก่ียวกบั เพศลดขนาดเป็นคล้ายหลอด เหง้าแตกแขนง ดอกขนาดเลก็ ส่วนมากมเี พศเดยี วเป็นช่อ หนาแน่น Balanophoraceae 1. ไม้เนอ้ื แขง็ หรอื ไม่มเี น้อื ไม้ ไม่เป็นพชื เบยี น 3. ไม้ต้น คล้ายพวกสนเขา ใบออกเปน็ วงรอบข้อ และลดลงเปน็ เกลด็ เลก็ ๆ รอบข้อ Casuarinaceae 3. ไม้เนอ้ื แขง็ หรอื ไม่มเี นอ้ื ไม้ ใบแบบธรรมดา 4. ดอกเรยี งเป็นช่อแบบหางกระรอก (catkins) 5. ไม้เนอ้ื แขง็ 6. ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ในช่อดอกเดยี วกัน (ส่วนมากดอกเพศผู้อยู่ด้านบน ดอกเพศเมยี อยู่ด้านล่าง) มกั มกี ลีบเลี้ยง 7. รงั ไข่เหนอื วงกลบี ผลมักเป็นผลแห้งแตก มี 3 พู หรอื เปน็ ผลกลม 3 พู Euphorbiaceae 7. รังไข่ใต้วงกลบี 8. ผลเมลด็ แขง็ มกั มปี ีก Combretaceae (Terminalia) คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

82 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช Fagaceae 8. ผลเปลอื กแข็งมกี าบรูปถ้วย (acorn) 6. ดอกเพศผู้และดอกเพศเมยี อยู่ต่างช่อกัน มักเป็นพืชแบบต่างเพศต่างต้น (dioecious) แต่บางครงั้ ก็พบเปน็ พืช แบบต่างเพศร่วมต้น (monoecious) 9. ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมยี เป็นแบบหางกระรอก ดอกไม่มกี ลีบเลย้ี ง รงั ไข่เหนอื วงกลบี 10. ผลแห้งแตก เมลด็ มกี ระจุกขน พชื แบบต่างเพศต่างต้น ดอกมตี ่อมเล็ก ๆ รองรับ Salicaceae 10. ผลสดเมล็ดเดยี ว แข็ง ไม่มีกระจุกขน พชื แบบต่างเพศต่างต้น หรอื แบบต่างเพศร่วมต้นดอกไม่มตี ่อม Myricaceae 9. ช่อดอกเพศผู้เป็นแบบหางกระรอก มักมกี ลบี เลย้ี ง หรอื มชี น้ั ของกลบี รวม 11. รังไข่เหนือวงกลบี ผลสด หรอื อวบนำ้� 12. มียางใส ไข่ตดิ ทีฐ่ านของรงั ไข่ และตง้ั ตรง Urticaceae 12. มียางขาว รงั ไข่มกั ตดิ แบบห้อยจากปลายรงั ไข่ Moraceae 11. รังไข่ใต้วงกลีบ ผลแห้ง 13. ใบเด่ยี ว ผลเปลือกแข็งมกี าบรปู ถ้วย Fagaceae 13. ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ผลเป็น 3 ปีก Juglandaceae (Engelhardtia) 5. พืชไม่มเี น้อื ไม้ 14. ดอกมีกลบี เล้ยี ง หรอื มกี ลีบรวมหน่งึ ช้นั 15. รังไข่มี 3 พู Euphorbiaceae 15. รงั ไข่มีพเู ดียว 16. กลบี รวม (perianth) แห้ง Amaranthaceae 16. กลบี รวมอวบนำ�้ Urticaceae 14. ดอกเปลือย ไม่มีทั้งกลีบเลย้ี งและกลบี ดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ หรือดอกแยกเพศ มกั จะรองรับด้วยใบ ประดับ 1 ใบ Piperaceae 4. ดอกไม่เปน็ ช่อแบบหางกระรอก 15. เกสรเพศเมียมี 2 หรอื หลายคาร์เพล คาร์เพลแยก มกี ลบี เลยี้ ง 16. ส่วนต่าง ๆ ของดอกตดิ ใต้รังไข่ ฐานดอกไม่เจรญิ 17. ไม้ล้มลุก หรอื ไม้เลอื้ ยเน้อื แขง็ เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก แยกอสิ ระ กลีบเล้ียงแยก Ranunculaceae (Clematis)

17. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ตง้ั ตรง เกสรเพศผู้เชอ่ื มติดกนั เป็นหลอด กลบี เล้ยี งเช่ือมตดิ กนั ท่ีโคน 83 Malvaceae (Sterculia) 16. ส่วนต่าง ๆ ของดอกตดิ รอบรังไข่ เกสรเพศผู้ตดิ บนฐานดอกรูปถ้วย หรือบนท่อกลบี เล้ียง เกสรเพศผู้มี 4 แยกจากกัน Monimiaceae 15. เกสรเพศเมยี มีคาร์เพลเดยี ว หรือตัง้ แต่ 2 ถึงหลายคาร์เพลและเช่อื มติดกนั 18. ไม่มีกลบี เล้ยี ง (หรอื ไม่มีกลีบรวม) 19. ดอกออกเปน็ ช่อแบบช่อเชงิ ลด (spike) หรอื ช่อกระจะ (raceme) ดอกสมบรู ณ์เพศ หรือดอกแยกเพศ เกสรเพศผู้มี 10-1 รงั ไข่มี 1 ช่อง ไข่ 1 เมล็ด ยางไม่เป็นยางขาว 20. ใบออกเรยี งสลับ รือ หายากทีอ่ อกตรงข้าม ช่อเชงิ ลดไม่แตกก่งิ เกสรเพศผู้ส่วนมากมตี ง้ั แต่ 6-2 แยกอสิ ระ มัดท่อล�ำเลยี ง (vascular bundles) เรยี งมากกว่า 1 วงศ์ Piperaceae 20. ใบออกตรงข้าม ช่อเฃงิ ลดแตกก่งิ ก้าน เกสรเพศผู้มี 3-1 เช่ือมติดกัน มัดท่อล�ำเลยี ง เรยี งเปน็ 1 วง Chloranthaceae 19. ดอกออกเป็นช่อรูปถ้วย (cyathia) ดอกเพศเมยี เปลือย ไม่มีกลบี เลีย้ งและกลบี ดอกล้อมรอบด้วยดอก เพศผู้หลายดอก ซงึ่ แต่ละดอกประกอบด้วยเกสรเพศผู้ 1 อนั ตดิ บนก้านช่อดอกย่อย และกลุ่มดอก ท้ังหมดล้อมรอบด้วยวงใบประดบั รงั ไข่มกั มี 3 ช่อง ไข่ 3 เมล็ด ยางขาว Euphorbiaceae 18. มกี ลีบเล้ียง (หรอื อย่างน้อยกม็ วี งกลบี รวมหน่งึ ชน้ั ) 21. ดอกอยู่รวมเป็นก้อนกลม หรอื ช่อเชงิ ลด (spike) แน่น หรอื ภายในฐานดอกกลวง ไม้เน้อื แขง็ 22. ผลเปน็ ฝกั (legume) ใบประกอบแบบขนนก หรอื ก้านใบกลายเป็นใบ (phyllode) Leguminosae (Acacia) 22. ผลเปน็ ผลรวม (syncarp) หรอื ภายในฐานดอกกลวง Moraceae 21. ดอกไม่อยู่รวมเปน็ ก้อนกลม หรอื ถ้าเป็นก้อนกลม พชื จะไม่เป็นไม้เนอ้ื แข็ง 23. รงั ไข่เหนอื วงกลบี 24. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม 25. ใบออกตรงข้าม 26. ดอกออกเปน็ ช่อกระจกุ (cyme) ใหญ่ทป่ี ลายยอด หรอื เป็นก้อนกลม ใบมกั มขี นาดใหญ่ Saxifragaceae (Hydrangea) 26. ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรือเป็นกระจุกเลก็ โดยมากออกตามง่ามใบ 27. รังไข่มี 3 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่ 2 เมลด็ Buxaceae คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

84 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช 27. รงั ไข่มี 1 หรือ 2 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่ 1 เมล็ด 28. ใบมเี ส้นใบ 3 เส้นออกจากโคนใบ ดอกสอี อกเหลือง Lauraceae (Cinnamomum) 28. ใบมเี ส้นใบ 1 เส้นออกจากโคนใบ ดอกสกี หุ ลาบหรือสมี ่วงแดง Thymelaeaceae 25. ใบออกเรยี งสลับ 29. ใบเดีย่ ว แต่บางครงั้ จะจกั เป็นพู 30. อับเรณูเปิดเปน็ รู 31. พืชมีกล่นิ หอม ผลเมลด็ เดยี ว Lauraceae 31. พืชไม่มกี ลน่ิ หอม ผลเปลอื กแข็งอยู่ในวงใบประดับสขี าวพอง มีรอยเปิดปลายที่ Hernandiaceae (Hernandia) 30. อับเรณูเปิดเปน็ รอยแตก 32. รังไข่แต่ละช่องมไี ข่หลายเมล็ด 33. รังไข่มหี นงึ่ ช่อง ก้านเกสรเพศเมยี มี 1 เกสรเพศผู้มี 10 ถงึ จ�ำนวนมาก ไม้ต้นหรอื ไม้พุ่ม 34. เกสรเพศผู้ตดิ สลบั กับเกสรเพศผู้ท่เี ป็นหมนั เปลอื กต้นไม่มีกล่นิ อลั มอนด์ Flacourtiaceae 34. ไม่มเี กสรเพศผู้ท่ีเปน็ หมนั เปลือกต้นมกี ล่นิ อลั มอนด์ Rosaceae 33. รังไข่มี 8-2 ช่อง 35. เกสรเพศผู้เชอื่ มติดกนั เป็นหลอด ก้านเกสรเพศเมยี มี 1 ผลแห้ง Sterculiaceae 35. เกสรเพศผู้แยกจากกนั ก้านเกสรเพศเมยี มตี ้ังแต่ 4 ถงึ หลายก้าน ผลสด Flacourtiaceae 32. รงั ไข่แต่ละช่องมไี ข่ 2-1 เมล็ด 36. รงั ไข่มตี ้งั แต่ 2 ถงึ หลายช่อง 37. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเท่ากับกลบี เลี้ยง และตดิ สลับกบั กลบี เล้ยี ง Rhamnaceae 37. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก Euphorbiaceae 36. รงั ไข่มี 1 ช่อง 38. ก้านและยอดเกสรเพศเมยี มี 4-2 ผลสดเปลอื กแขง็ เมลด็ เดยี ว Ulmaceae 38. ก้านและยอดเกสรเพศเมยี มี 1

39. ก้านเกสรเพศเมยี ออกใกล้โคนรังไข่ 85 Rosaceae 39. ก้านเกสรเพศเมยี ออกทป่ี ลายรงั ไข่ 40. ไม้เลอื้ ย เน้อื แข็ง ดอกล้อมรอบด้วยวงใบประดบั Nyctaginaceae (Bougainvillea) 40. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ดอกไม่มใี บประดับ 41. ใบมักมตี ่อมโปร่งแสง ผลสด เมลด็ มเี นอ้ื Myristicaceae 41. ใบไม่มตี ่อมโปร่งแสง ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม มักมผี ลแห้ง เมลด็ ไม่มเี นอ้ื 42. กลีบเล้ียงสีเขียว แยกเป็น 5 แฉก 43. ดอกออกเปน็ ช่อกระจุกแยกแขนง (cymose-panicles) ตามง่ามใบ เกสรเพศผู้มี 5 ติดตรง ข้ามกับแฉกกลบี เล้ียง Opiliaceae 43. ดอกออกเปน็ ช่อกระจะ (raceme) ตามง่ามใบ เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก ตดิ บนขอบของท่อ กลบี เลี้ยง Rosaceae (Prunus) 42. กลบี เลย้ี งคล้ายกลบี ดอก มี 4 แฉก ดอกเดยี่ ว หรอื เป็นช่อแบบกระจะ (raceme) หรอื เปน็ กระจุก (heads) ดอกสมบรู ณ์เพศ หรอื ถ้าดอกแยกเพศ พชื จะเป็นแบบต่างดอกต่างต้น (dioecious) 44. เกสรเพศผู้มี 4 ติดตรงข้ามกบั ท่อกลบี เลี้ยง Proteaceae (Helicia) 44. เกสรเพศผู้มี 8 หรอื 10 Thymelaeaceae 29. ใบประกอบ 45. มี 3 ใบย่อย 46. ไม้ต้น เกสรเพศผู้ มี 10-5 อบั เรณูเปิดโดยรอยแยก ผลแห้งมี 3 พู ขนาดใหญ่ Euphorbiaceae (Hevea) 46. ไม้พุ่มรอเล้อื ย เกสรเพศผู้มี 4 อบั เรณูมลี น้ิ ปิดเปิด ผลมปี ีก (samara) 4-2 ปีก Hernandiaceae (Illigera) 45. ใบประกอบยอดคู่ มใี บย่อย 8-4 ใบ 47. ผลชุ่มนำ�้ ใบย่อยปลายแหลม Sapindaceae 47. ผลเปน็ ฝักหนามนั แก่ไม่แตก ใบย่อยปลายมน Leguminosae 24. พชื ไม่มเี นอื้ ไม้ บางครั้งพบมเี นอื้ ไม้ที่โคน 48. ใบดัดแปลงไปท�ำหน้าทด่ี ักแมลง Nepenthaceae 48. ใบไม่ดดั แปลง 49. รังไข่มี 2 ถึงหลายช่อง คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

86 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช Aizoaceae 50. ใบรูปแถบ หรอื รูปช้อน นุ่ม ผลแห้งแตก ไม่มหี นาม 50. ใบเปน็ แฉกรูปนว้ิ มือ ไม่นุ่ม ผลแห้งแตก มหี นาม Euphorbiaceae (Ricinus) 49. รงั ไข่มี 1 ช่อง 51. ก้านเกสรและยอดเกสรเพศเมยี มี 5-2 52. หูใบเปน็ กาบหรอื ปลอกหุ้มล�ำต้น Polygonaceae 52. หใู บไม่เปน็ กาบ 53. ผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) มีกลีบเล้ยี งหรอื ใบประดบั ตดิ แน่น พชื มกี ลิน่ หอม ดอกเปน็ แบบต่างเพศ ต่างต้น (dioecious) Moraceae 53. ผลเปน็ แบบกระเปาะ (utricle) หรอื คล้ายผลแห้งเมล็ดล่อน พชื ไม่เปน็ ต่างเพศต่างต้น 54. ดอกมใี บประดบั บางและแห้งรองรับ Amaranthaceae 54. ดอกไม่มใี บประดบั บางและแห้งรองรบั Chenopodiaceae 51. ก้านและยอดเกสรเพศเมยี มี 1 55. กลบี เล้ยี งเด่นและคล้ายกลบี ดอก ดอกล้อมรอบด้วยวงใบประดบั สอี อกเขียว Nyctaginaceae 55. กลบี เลย้ี งไม่เด่น ดอกไม่มวี งใบประดบั Urticaceae (Pilea) 23. รงั ไข่ใต้วงกลบี หรอื กึ่งใต้วงกลีบ 56. ใบและตามล�ำต้นกง่ิ ก้านเปน็ ขุย โดยมเี กล็ดรปู โล่หรอื รปู ดาว ไม้พุ่ม Elaeagnaceae 56. ใบและตามล�ำต้นก่งิ ก้านไม่เป็นขยุ 57. ไม้เลือ้ ย ส่วนต่าง ๆ ของดอกมจี �ำนวน 3 เกสรเพศผู้มี 6 หรอื 12 ติดกับยอดเกสรเพศเมยี ผลแห้ง แตก Aristolochiaceae 57. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม 58. ใบออกเรยี งสลับ 59. ก้านเกสรเพศเมยี มี 4 พชื ต่างเพศต่างต้น (dioecious) Datiscaceae (Tetrameles) 59. ก้านเกสรเพศเมยี มี 1 60. ดอกออกเป็นช่อเชงิ ลด (spikes) หลวม ๆ เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก ผลแขง็ แห้งแตก Myrtaceae (Eucalyptus) 60. ดอกออกเดย่ี ว ๆ หรอื เปน็ ช่อรูปร่ม หรอื เปน็ ก้อน เกสรเพศผู้มี 10 ผลสด เมล็ดเดยี ว Combretaceae (Terminalia)

58. ใบออกตรงข้าม ไม้พุ่มกง่ึ พชื เบียน ดอกออกเปน็ ช่อกระจุก ตามง่ามใบ 87 Santalaceae 2.2. พชื ใบเลย้ี งเดีย่ ว (Monocotyledonae) 1. ไม่มีวงกลบี รวม หรือวงกลบี รวมไม่เจรญิ เป็นเพยี งหนาม หรอื เกลด็ ไม่คล้ายกลบี ดอก 2. ดอกออกตามง่ามใบประดับ ใบประดบั แห้งคล้ายเกล็ดบาง (glumes หรอื scales) และซ้อนเหล่อื มกัน 3. ใบออกเปน็ สามแถว กาบใบขอบเชอ่ื มติดกัน ล�ำต้นแข็ง ผลแห้งเมล็ดล่อน หรอื เปลอื กแข็งเมล็ดเดยี ว 3. ใบออกเปน็ สองแถว กาบใบแตกออกด้านเดยี ว ล�ำต้นมกั กลวง ผลเปน็ เมลด็ แบบผลธัญพชื (caryopsis) Gramineae 2. ดอกไม่ออกตามง่ามใบประดบั กลบี รวมไม่มี หรอื เปน็ เกล็ด 8-4 เกลด็ 4. พืชนำ้� 5. พชื เป็นเพยี งเกล็ดสเี ขยี ว เล็ก รูปเลนส์ ลอยอยู่เหนอื น�้ำจืด Lemnaceae 5. พชื ล้มลุก จมอยู่ในน้ำ� จดื หรอื น�้ำกร่อย 6. ใบบางและจกั เปน็ ซฟ่ี นั ดอกเลก็ เกดิ ทีโ่ คนก้าน Najadaceae 6. ใบหนา รปู ดาบ ดอกเพศเดยี ว ออกเป็นช่อเชงิ ลด (spike) แน่นทป่ี ลาย Typhaceae 4. เปน็ พชื บกส่วนมาก ถ้าเป็นพชื นำ้� ลักษระไม่เหมอื นข้างบน 7. พชื ไม่มีเนอ้ื ไม้เปน็ ส่วนมาก ใบกว้าง ดอกเพศเดยี วและต่างเพศร่วมต้น (monoecious) หรอื ดอกสมบูรณ์เพศ Araceae 7. พชื เน้ือแข็ง ต้ังตรงหรอื เลอ้ื ย ใบยาว แข็ง ขอบจักเปน็ ซ่ฟี ัน ออกเวยี นสลบั ดอกเพศเดียวและต่างเพศต่างต้น (dioecious) Pandanaceae 1. มวี งกลบี รวม มักเรียงเปน็ สองวง ทงั้ สองวงหรอื วงในสุดคล้ายกลบี ดอก ไม่มหี นามหรอื เกล็ด 8. เกสรเพศเมยี ประกอบด้วยคาร์เพล 2 หรือหลายคาร์เพล แยกจากกนั 9. พชื ล้มลุกกินซาก (saprophyte) ขนาดเล็ก ไม่มใี บ ดอกเพศเดยี ว Triuridaceae 9. พชื ล้มลุก ใบสเี ขียว ดอกมกั เปน็ ดอกสมบูรณ์เพศ 10. ไข่มี 3-2 เมล็ด ผลแห้งไม่แตก Alismataceae 10. ไข่มหี ลายเมล็ด ผลแห้งแตก Butomaceae 8. เกสรเพศเมยี ประกอบด้วย คาร์เพล 1 หรอื 2 หรอื หลายคาร์เพล คาร์เพลเช่อื มตดิ กนั 11. รังไข่เหนือวงกลบี 12. ไม้เนื้อเขง็ มักคล้ายไม้ต้น บางครงั้ เลื้อย ใบเดี่ยว รปู ฝ่ามอื หรอื ใบประกอบแบบขนนกขนาดใหญ่ แข็ง Palmae คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

88 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช 12. พชื ไม่มเี นื้อไม้ หรอื ถ้าเปน็ ไม้เนอื้ แขง็ ใบเป็นใบเดีย่ ว แคบ 13. วงกลบี รวมวงนอกคล้ายกลบี เลยี้ ง วงในคล้ายกลบี ดอก 14. วงกลีบรวมลดรูปเปน็ 2 ช้ัน ชั้นละ 2 กลบี ใบแคบ ดอกมใี บประดับคล้ายกาบ มีขนแบบขนแกะ (wooly) มเี กสรเพศผู้ 1 Philydraceae 14. ดอกไม่เหมอื นข้างบน 15. ใบมจี �ำนวนมาก ซ้อนกนั หรอื เป็นกาบหุ้มล�ำต้น ดอกสชี มพู หรอื นำ�้ เงิน Commelinaceae 15. ใบมนี ้อย ไม่ซ้อนกนั หรอื เปน็ กาบหุ้มล�ำต้น ดอกมหี ลายส ี Liliaceae 13. วงกลีบรวมวงนอกและวงในคล้ายกัน มักจะคล้ายกลบี ดอกท้งั หมด 16. ดอกมกั มขี นาดเลก็ ออกเปน็ กระจุกท่ปี ลายก้าน 17. ใบประดับของกระจกุ ดอกแข็ง สเี ข้ม ดอกสมบรู ณ์เพศ สเี หลอื ง ค่อนข้างเด่น Xyrisdaceae 17. ใบประดับของกระจุกดอกบาง สอี ่อน ดอกเพศเดยี ว ขนาดเล็กสขี าว Eriocaulaceae 16. ดอกและช่อดอกไม่เหมอื นข้างบน 18. ช่อดอกก้านโดด (scapose) เปน็ ช่อแบบซร่ี ่ม รองรบั ด้วยใบประดบั คล้ายกาบ ค่อนข้างบางคล้ายเนอ่ื 19. มหี ัวใต้ดนิ พช้ื ตงั้ ตรง Amaryllidaceae (Allium) 19. มเี หง้าใต้ดนิ พืชเลือ้ ยโดยหูใบทเ่ี ปลย่ี นไปเปน็ มอื พัน Smilacaceae 18. ช่อดอกไม่เป็นแบบซร่ี ่ม หรอื อาจเป็นก่งึ ซร่ี ่ม แต่ไม่มใี บประดบั คล้ายกาบ 20. ดอกสมมาตรตามรศั มี ไม่ใช่พชื น้�ำ 21. รังไข่แต่ละช่องมไี ข่ 1 เมลด็ Flagellariaceae 21. รงั ไข่แต่ละช่องมกั มไี ข่หลายเมลด็ 22. พชื เนื้อแข็ง และทนแล้ง ใบส่วนมากมเี ส้นใย ก้านเกสรเพศเมยี มี 1 ดอกมักออกเป็นช่อกระจาย Agavaceae 22. พืชไม่มเี นื้อไม้ และไม่ทนแล้ง หรือทนแล้งได้เล็กน้อย ใบไม่มีเส้นใย ก้านเกสรเพศเมยี แตกเป็น แฉก ดอกเป็นช่อหลายแบบ Liliaceae 20. ดอกสมมาตรด้านข้าง พชื น�้ำ Pontederiaceae 11. รังไข่ใต้วงกลบี หรอื กงึ่ ใต้วงกลีบ 23. เกสรเพศผู้ที่สบื พนั ธ์ุได้มี 3 หรอื มากกว่า ไม่มเี กสรเพศผู้ทเ่ี ปน็ หมนั และคล้ายกลบี ดอก 24. พชื น�้ำ จมอยู่ใต้น้�ำหรอื ลอยน้�ำ ดอกส่วนมากเป็นดอกเพศเดยี ว Hydrocharitaceae

24. พชื บก หรอื พชื อิงอาศยั (epiphyte) ดอกมักเปน็ ดอกสมบรู ณ์เพศ 89 25. วงกลบี รวมมีสองวง วงนอกและวงใน แตกต่างกนั ทง้ั ขนาด รูปร่าง และสี 26. กลบี ดอกไม่เหมือนกนั พชื มีขนาดใหญ่คล้ายไม้ต้น เกสรเพศผู้มี 5 Musaceae 26. กลบี ดอกมี 3 คล้ายกัน พชื ขนาดเล็ก 27. เกสรเพศผู้มี 6 Amaryllidaceae 27. เกสรเพศผู้มี 3 Iridaceae 25. วงกลบี รวมคล้ายกลีบดอก 28. ไม้เถา ไม่มีเน้อื ไม้ ดอกเพศเดยี ว ขนาดเล็ก Dioscoreaceae 28. ไม้ล้มลุก ดอกสมบรู ณ์เพศ 29. เกสรเพศผู้ 3-1 30. เกสรเพศผู้มี 1 หรอื 2 เชอ่ื มตดิ กบั ก้านเกสรเพศเมียเปน็ เส้าเกสร (column) Orchidaceae 30. เกสรเพศผู้มี 3 ก้านเกสรเพศเมยี แยกเปน็ 3 แฉก Iridaceae 29. เกสรเพศผู้มี 6 31. รังไข่ก่งึ ใต้วงกลบี พชื ล้มลุก ดอกก้านโดด (scapose) ใบเปน็ แถบแคบ Liliaceae 31. รงั ไข่ใต้วงกลบี 32. ดอกออกแน่น ล้อมรอบด้วยใบประดบั เด่น ดอกในมกั เปน็ เส้นยาวคล้ายเส้นด้าย Taccaceae 32. ดอกไม่เหมอื นข้างบน 33. วงกลบี รวมเป็นท่อ มปี ีก 3 ปีก Burmanniaceae 33. วงกลบี รวมไม่เป็นท่อและไม่มปี ีก 34. ดอกเปน็ ดอกก้านโดด ก้านเดยี วหรอื ลายก้าน ช่อดอกเป็นซ่ีร่ม มักรองรบั ด้วยใบประดบั คล้ายกาบ อบั เรณูตดิ ท่ีฐาน 35. โคนล�ำต้นเปน็ หวั คล้ายหัวหอม (bulbous) Amaryllidaceae 35. ไม่มหี ัวคล้ายหวั หอม Hypoxidaceae 34. ดอกมีจ�ำนวนมาก ออกเป็นช่อกระจาย ไม่มใี บประดับรองรับ อบั เรณตู ดิ กับก้านเกสรเพศผู้ท่ี ตรงกลางอับ (versatile) Agavaceae 23. เกสรเพศผู้ทส่ี ืบพันธุ์ได้มี 1 หรอื บางครั้งมี 2 เกสรเพศผู้เปน็ หมนั ถ้ามจี ะเหน็ ชดั กว่าวงกลบี รวม 35. เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี แยกกนั รังไข่ไม่บดิ คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

90 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช 36. เกสรเพศผู้มีอบั เรณสู องเซลล์ กลบี เล้ียงเชอื่ มติดกนั เปน็ ท่อคล้ายกาบ พชื มีกลนิ่ หอม Zingiberaceae 36. เกสรเพศผู้มอี บั เรณูเซลล์เดยี ว กลบี เลย้ี งแยกจากกันพืชไม่มกี ลิ่นหอม 37. ดอกมีขนาดใหญ่ มกั มสี แี ดงหรือเหลือง รังไข่แต่ละช่องมไี ข่จ�ำนวนมาก Cannaceae 37. ดอกมักมขี นาดเลก็ สขี าว รังไข่แต่ละช่องมไี ข่ 1 เมล็ด Marantaceae 35. เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี เจรญิ รวมกันเป็นเส้าเกสร รงั ไข่มักบดิ Orchidaceae

91 6 ลักษณะประจ�ำวงศ์พชื พืชท่ีจะกล่าวถงึ นี้อยู่ในหมวด (Division) พืชมีเมล็ด (Spermatophyta หรือ Seed plants) ท้งั หมด พชื พวกน้ี ใช้เมลด็ ในการขยายพนั ธ์ุ แยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ พืชเมล็ดเปลือย (Gymnosperms) และพืชเมลด็ อยู่ในรังไข่ หรอื พืชดอก (Angiosperms) พรรณพืชมเี มลด็ นใ้ี นประเทศไทยมอี ยู่ประมาณ 300 วงศ์ เปน็ การยากท่จี ะกล่าวถึงพืชทกุ วงศ์ในทน่ี ้ี จงึ ขอเลอื กกล่าวถึงเฉพาะวงศ์พชื ทีเ่ ก่ียวข้องกับการป่าไม้ และวงศ์ท่ีพบเหน็ อยู่บ่อย ๆ โดยจะกล่าวถงึ ลกั ษณะประจ�ำวงศ์ เรยี งตามล�ำดับชาตวิ งศ์ (Phylogyny) ของพชื วงศ์พชื ที่มีลกั ษณะใกล้เคียงกันจะอยู่ด้วยกัน เป็นกลุ่มใหญ่ก่อน เรียกว่า อนั ดบั (Order) แล้วจากอันดับน้จี ะแบ่งออกเปน็ วงศ์ (Family) โดยมีรูปวธิ านแยกวงศ์ (Key to families) ต่อจากนั้นในวงศ์จะมรี ปู วธิ านแยกสกลุ (Key to genera) ทั้งนีจ้ ะเลือกกล่าวถงึ สกุลพชื ทีพ่ บเป็นอยู่ บ่อย ๆ ดังทไ่ี ด้กล่าวมาแล้ว บางสกุลอาจมรี ูปธานแยกชนดิ (Key to species) ด้วย 1. พืชเมลด็ เปลอื ย (Gymnosperms) พชื ในกลุ่มน้เี ป็นพืชท่ีมีประวัตคิ วามเป็นมาตง้ั แต่ยุคดกึ ด�ำบรรพ์ นบั ว่าเก่าแก่ทีส่ ุดในบรรดาพชื มีเมล็ดท้งั หลาย ในปัจจุบนั มสี มาชกิ เหลอื อยู่ประมาณ 700 ชนดิ ล้วนแล้วแต่เปน็ พชื ที่มีโครงสร้างเป็นเนอ้ื ไม้ท้ังสิ้น แต่ท่อ ล�ำเลยี งน้�ำเลยี้ งต่าง ๆ ใน xylem นนั้ ได้อาศยั tracheids ไม่มี vessels ที่แท้จริง ยกเว้นแต่ในอนั ดบั Gnetales เท่านนั้ ท่เี นอ้ื ไม้มี vessels ท่แี ท้จรงิ พืชเมลด็ เปลอื ยทพี่ บอยู่ในประเทศไทยนนั้ อยู่ในอนั ดับ Cycadales, coniferales และ Gnetles รปู วิธานแยกอนั ดับ 1. ใบประกอบแบบขนนก ขนาดใหญ่ เรียงตวั เปน็ กลุ่มอยู่ทป่ี ลายยอดของล�ำต้น อวยั วะสืบพันธุ์ (strobili) เพศผู้และ เพศเมยี ขนาดใหญ่ เกดิ อยู่ตรงกลางกลุ่มใบ และอยู่ต่างต้นกัน 1. Cycadales 1. ใบเดย่ี ว ขนาดเลก็ หรือขนาดกลาง เรยี งกระจายกันอยู่ตามกง่ิ ของล�ำต้น อวัยวะสบื พนั ธ์ุ (strobili) ท้ังสองเพศมี ขนาดเลก็ เกดิ อยู่ตามง่ามใบ หรอื ตอนปลาย ๆ กง่ิ 2. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ตัง้ ตรง เนอื้ ไม้มีท่อชัน (resin ducts) และไม่มี vessels ทีแ่ ท้จริง strobili เกิดตามง่ามใบหรอื ตามปลาย ๆ กง่ิ ส่วนมากอยู่บนต้นเดยี วกัน บางทีแยกกนั อยู่คนละต้น 2. Coniferales 2. ไม้ต้น ตั้งตรง หรอื ไม้เลือ้ ย ล�ำต้นมีเนื้อไม้แขง็ เนอ้ื ไม้ไม่มีท่อชนั และมี vessels ท่แี ท้จรงิ strobili เกดิ ตามล�ำต้น หรือบางทตี ามกิง่ แยกกนั อยู่คนละต้น strobili เพศเดยี ว หรอื ท้ังสองเพศอยู่รวมกนั แต่ไม่สมบรู ณ์ เรยี งเป็นวง รอบข้อเม่อื เจรญิ เตม็ ท่จี ะหกั หลดุ เปน็ ข้อ ๆ 3. Gnetales 1. อันดบั Cycadales พรรณพชื ในอนั ดบั น้นี บั ได้ว่าเนพชื มีเมลด็ ที่เก่าแก่ทส่ี ุด ในประเทศไทยมวี งศ์เดยี ว คือ Cycadaceae คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้