ก า ร ป ลู ก อ งุ น โดย : วฒั นา สวรรยาธิปติ สาํ นกั สงเสริมและฝกอบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร จดั ทาํ เอกสารอิเล็กทรอนิกสโดย : สาํ นกั สง เสรมิ และฝก อบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร ❦ ความเปน มาของการปลกู องนุ ❦ ความรทู ว่ั ไปเกย่ี วกบั องนุ ❦ สภาพดนิ ฟา อากาศ ❦ การขยายพนั ธุ ❦ หลักท่ัวไปในการปรบั ปรงุ คณุ ภาพของผลองนุ ❦ พนั ธอุ งนุ ❦ การปลกู และการดแู ลรกั ษา ❦ การตัดแตง กง่ิ เพอ่ื ใหอ อกดอก ❦ การปฏบิ ตั จิ ากตดั แตง กง่ิ ❦ การเกบ็ ผลองนุ ❦ การพกั ตวั ของตน องนุ ❦ โรคองุน ❦ โรคทส่ี ําคญั และการปอ งกําจดั ❦ แมลงและการปอ งกนั กาํ จดั
การปลูกองุน 2 ก า ร ป ลู ก อ งุ น วัฒนา สวรรยาธปิ ต ิ ความเปน มาของการปลกู องนุ ในเมอื งไทย ไดถูกนํามาปลกู ในประเทศไทยนานหลายสบิ ปแ ลว แตส มยั แรกๆนน้ั ไมไ ดป ลกู กนั องุน อยางจริงจังหรือปลูกเปนการคา ทง้ั นอ้ี าจเปน เพราะความรสู กึ ทว่ี า องนุ เปน ไม เมืองหนาวคงไมสามารถใหผลไดดีการปลูกในสมัยกอนจึงปลูกเปนไมประดับตาม บาน โดยทําเปน เรอื นตน ไมห รอื ซมุ ใหต น องนุ เลอ้ื ยขน้ึ ไปปกคลมุ ขา งลา งอาจตง้ั มา นง่ั ทาํ เปนที่พักผอน ไปในตัว ตนองนุ กใ็ หผ ลบา ง แตไ มม ากนกั ผูปลูกก็ไมไดหวังที่จะปลูกกินผลแตอยางไร คงเพียงดูผล สวยๆ งามๆ เทา นน้ั การปลกู องนุ กอ็ ยใู นวงจํากัด ไมอ ยใู นความสนใจท่ีจะทาํ เปน การคา แตอ ยา งใด องุนที่นํามาปลกู ในระยะแรก นน้ั มกั เปน พนั ธทุ ม่ี สี อี น่ื ๆ เขา มาปลกู ปรากฏวา ประชาชนไมย อม เช่ือวาเปนองุน ถงึ กบั ไมย อมซอ้ื กวา จะเปลย่ี นความรสู กึ ไดว า องนุ นน้ั มอี ยดู ว ยกนั หลายสี กใ็ ชเ วลานาน พอสมควร สําหรบั ราคาของผลองนุ ในสมยั กอ นนน้ั นบั วา แพงมาก เมอ่ื เทยี บกบั คา ครองชพี ของประชา ชนจนถึงกับมคี าํ กลาวที่วา “คนซอ้ื ไมไ ดก นิ คนกนิ ไมไ ดซ อ้ื ” เพราะมกั จะซอ้ื เปน ของฝากใหเ จา นาย มากกวา สว นคนซอ้ื เองไมก ลา กนิ หลักฐานเกย่ี วกบั การปลกู องนุ ในประเทศไทยเขา ใจวา คงจะเรม่ิ จากสมยั รชั การท่ี 5 โดยเรม่ิ นํา องุนเขามาปลูก เมอ่ื มกี ารตดิ ตอ คา ขายกบั ตา งประเทศ หรอื การเสดจ็ เยอื นตา งประเทศมกี ารสง ผลองนุ จากจีนมาขายเน่ืองจากองนุ เปน ผลไมท ห่ี วานอรอ ย รปู รา งและสขี องผลสวยงาม คงจะเปน แรงจงู ใจให ต่ืนตัว คิดจะปลกู องนุ กนั ขน้ึ และดวยความรูสึกที่วา องนุ เปน ไมผ ลเมอื งหนาว ในระยะแรกๆ จึงนาํ ไป ปลูกทางภาคเหนือกอน เชน จังหวัดเชียงใหม จังหวัดเชียงราย แตเ นอ่ื งจากากรคมนาคมในสมยั นน้ั ยงั ไมดี ตนองนุ ทน่ี ําไปจึงมักจะตายเสียหายมาก ทาํ ใหค วามสนใจทจ่ี ะปลกู องนุ ลดลง หนั มาปลกู กนั ใน กรุงเทพฯ และจังหวัดใกลเคียง แตก ย็ งั คงปลกู กนั ในวงจํากดั ตามบา นผใู หญ หรือพอคาคหบดี เทา นน้ั องุนท่ีนํามาปลูกในระยะแรกๆ มักเปนพันธุจากฝร่ังเศษ เชนพันธุม ัสแคท เฮมเบอรก (Muscat Hamburge) ซึ่งเปนพันธุที่อรอย รสหวานจดั แตผ ลมขี นาดเลก็ สําหรับหลกั ฐานหรอื รอ งรอยเกย่ี วกับตน องนุ เกา ๆ ที่เคยปลูกกันในกรุงเทพและจังหวัดใกลเคียงปจจุบันหาไดยากเพราะนํ้าทวมใหญป 2575 ทําใหตนองุนตายเกือบหมด และหลังจากน้ําทวมใหญแลวก็ไมมีประวัติเกี่ยวกับการปลูกองุนอีกเลย ประกอบกับตนองุนเรม่ิ มโี รคแมลงรบกวนมากขน้ึ คนสว นใหญจ งึ ลมื เรอ่ื งทจ่ี ะปลกู องนุ ไปหมด การปลูกองุนยุคใหม เรม่ิ มารอ้ื ฟน ตอนสมยั คณุ หลวงสมานวนกจิ เปน คณบดคี ณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ไดสั่งพันธุองุนเขามาทดลองปลูกในเมืองไทย ในชวงเวลาเดียวกัน ศาสตราจารยปวณิ ปณุ ศรี จบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ไดเริ่มทาํ งานดา นองนุ อยา งจรงิ จงั โดยนาํ พันธอุ งนุ มาจากคารล ฟิ อเนยี ขณะเดียวกัน ทางกรมกสกิ รรม (กรมวิชาการปจจุบัน) โดยศาสตราจารยด ร.พิศ ปญญาลกั ษณ ก็ไดเร่ิมงานทดลองเกย่ี วกบั องนุ เขา มาปลกู เชน เดยี วกนั เชน คณุ สมพงษ ตนั เศรษฐี ไดส ง่ั พนั ธคุ ารด ิ
การปลูกองุน 3 นานเขามาปลูก และยงั คงปลกู กนั อยจู นถงึ ปจ จบุ นั น้ี ทางดา นกสกิ ร กเ็ รม่ิ ตน่ื ตวั ทดลองปลกู กนั บา ง และ เร่ิมแพรห ลายประมาณป 2503-4 องนุ พนั ธเุ กา ๆ ทเ่ี คยปลกู กนั มานานเชน Black Rose, Ribier, Queen, Muscat Hamburge ก็คอยๆ หมดไป องนุ พนั ธใุ หมๆ เรม่ิ เขา มาแทนท่ี จากการศึกษาทดลอง ท้ังของหนวยราชการและเอกชนทําใหประเทศไทยเปนประเทศแรกใน เขตรอนท่ีสามารถปลูกองุนเปนการคาไดสําเร็จ และยงั มขี อ ไดเ ปรยี บการปลกู องนุ ในเขตหนาวอกี ดว ย กลาวคือการปลูกองุนในประเทศแถบหนาว สามารถใหผลผลิตไดเพียงปละครั้งเดียว และองุนจะแก เฉพาะในชวงฤดูรอนเทานั้น สว นตน องนุ ทป่ี ลกู ในประเทศไทย สามารถใหผ ลผลติ มากกวา 1 ครง้ั ตอ ป และยังสามารถบงั คบั ใหผ ลแกใ นชว งฤดใู ดของปก ไ็ ด ในดา นคณุ ภาพของผลนน้ั ถา ผูปลูกไดบาํ รงุ ดแู ล อยางเต็มที่แลว คณุ ภาพกไ็ มแ พข องตา งประเทศแตอ ยา งใด ปจ จบุ นั จะเหน็ วา ราคาของผลองนุ ถกู กวา สมัยกอนมาก เมื่อเทียบกับคาครองชีพประชาชนทั่วไปสามารถซื้อหามาบริโภคได และยงั สามารถสง เปนสินคา ออกไปขายยงั ประเทศใกลเ คยี ง เชน ฮอ งกง สงิ คโ ปร มาเลเซีย อกี ดว ย อยา งไรกต็ ามการปลกู องุนในประเทศไทย ก็ยังมีปญหาและขอจาํ กดั อีกหลายประการ จาํ เปน จะตอ งศกึ ษาทดลองกนั ตอ ไป ทั้ง ในดานการดูแลรักษา การตลาด เปน ตน ตลอดจนการทดลองศกึ ษาพนั ธใุ หมๆ เพอ่ื ใหว งการองนุ ใน บา นเราเจรญิ ยง่ิ ขน้ึ ความรทู ว่ั ไปเกย่ี วกบั องนุ องุน (Vitis vinifera) เปนพืชท่ีข้ึนไดด ที ง้ั ในเขตหนาว เขตกง่ึ รอ น และแถบเมอื งรอ น โดยใน เขตอากาศหนาวนน้ั องนุ วจะมลี กั ษณะเปน พชื ผลดั ใบ จะผลัด ใบในฤดูใบไมรวง พกั ตวั ในฤดหู นาว แตกตา แตกใบ ในฤดู ใบไมผลิ และเจรญิ เตบิ โตไปจนผลแกใ นฤดรู อ น สว นองนุ ทน่ี าํ มาปลูกในเขตรอ นจะมลี กั ษณะมใี บเขยี วตลอดป ไมม กี ารพกั ตวั ตามธรรมชาติ จึงตองใชการตัดแตงเพ่ือใหตน ไดพ กั ตวั และ แตกตาดอกตาใบได แตอ ยา งไรกต็ าม โดยทั่วไปๆ ไปแลว คณุ ภาพขององุนในเขตรอนมักสูองุนทางแถบเมืองหนาวไมได เพราะในเขตหนาวในฤดูรอนซึ่งองนุ แกน้ัน ความชน้ื ในอากาศ จะต่ําทําใหตนเติบโตไดดี โรคแมลงไมคอยรบกวนการสกุ ของ ผลจะเปนไปอยางชาๆ การสรางรสชาติและลักษณะเฉพาะตัวของผลเปนไปไดอยางเต็มที่สัดสวนของ สวนประกอบตางๆ ในผลพอเหมาะ ทาํ ใหค ณุ ภาพของผลดี สวนในเขตรอน ความชน้ื ในอากาศจะสงู ตลอดป ซึ่งเปนผลทาํ ใหต น องนุ เตบิ โตไดด กี จ็ รงิ แตโรค และแมลงศตั รกู ร็ ะบาดแพรห ลายไดก วา งขวางรวดเรว็ เชน กนั นอกจากนฝ้ี นทต่ี กชกุ ก็ทาํ ความเสยี กาย อยางมากแกดอก อาจทาํ ใหด อกรว ง ทาํ ใหผลแตกเสียหาย และคณุ ภาพของผลองนุ ในเขตรอ นไมด ี ขาด ความละเมียดละไมในรสชาติ ทง้ั ทเ่ี ปน องนุ พนั ธเุ ดยี วกนั เพราะขบวนการสกุ เปน ไปอยา งรวดเรว็ และไม แนน อน สภาพฟาอากาศมอี ทิ ธพิ ลตอ อตั ราการเปลย่ี นแปลงของสว นประกอบในผล ในชว งระยะเวลาท่ี ผลกําลังเติบโต มอี ทิ ธพิ ลตอ การเปลย่ี นแปลงของสารตา งๆ ในตอนผลสกุ ไดแก นา้ํ ตาล กรด Tannin
การปลูกองุน 4 (ทําใหเกดิ รดฝาด) กลน่ิ ของผลและอน่ื ๆ ซง่ึ เปน ตวั กําหนดคณุ ภาพของผลองนุ สภาพฟาอากาศจึงเปน ตัวจํากัดเขตการปลกู องนุ และลกั ษณะการใชป ระโยชนข ององนุ เชน ในประเทศสามารถปลกู องนุ ทใ่ี ชร บั ประทานสดไดด ี โดยเฉพาะองนุ ทแ่ี กใ นฤดรู อ น ฤดหู นาว นบั วา คณุ ภาพอยใู นเกณฑด ี แตการที่จะปลูก องุนใหไดคุณภาพดี ๆ สาํ หรับทาํ เหลา องนุ เชน ในยโุ รป คงเปน เรอ่ื งทต่ี อ งใชเ วลาศกึ ษาอกี นาน สภาพ ฟาอากาศมีผลตอ คณุ ภาพของผลเปน สง่ิ สําคญั สว นการเจรญิ เตบิ โตของตน ไมเ ปน ปญ หามากนกั นอก จากเขตท่ีรอนจดั หรือหนาวจัดเกินไป ตน องนุ อาจตายได จงึ จะเหน็ วา สภาพทอ งทท่ี ป่ี ลกู องนุ ของโลก กวางขวางมากระดบั ความสงู ของพน้ื ทก่ี ป็ ลกู ไดต ง้ั แตร ะดบั นา้ํ ทะเลจนถงึ ระดบั สงู 6,000 ฟุต เชน บาง แหงในอาฟริกาใตแ ตแ หลง ทป่ี ลกู องนุ เปน การคา ไดด มี กั อยใู นระดบั ความสงู ประมาณ 1,000-4,000 ฟุต และสว นมากมรี ะดบั ความสงู ตา่ํ กวา 1,000 ฟุต กลา ววา แหลง ปลกู ยง่ิ เขา ไปใกลศ นู ยส ตู รเทา ไร ระดับความสงู ของพน้ื ทก่ี ย็ ง่ิ สงู ขน้ึ การทําสวนองนุ จงึ ตอ งคํานงึ ถงึ สภาพฟา อากาศ สภาพพื้นที่ ชนดิ ของ พันธุ การปฏิบัติดูแลรักษา และอน่ื ๆ จงึ จะมสี ว นเกย่ี วขอ งกบั การลงทนุ เปน อยา งมาก องุนท่ปี ลกู กันอยูท วั่ ไปอาจแบง ออกไดเ ปน 3 พวกใหญ ๆ คอื 1. องนุ ยโุ รป และ Asiaminor (vitis vinifera) 2. องุนพน้ื เมอื งอเมรกิ า 3. องุนลกู ผสม ซง่ึ แบง เปน 3 พวก คอื 3.1 ลูกผสมของพวกองนุ ยโุ รป (Vinifera Hybride) 3.2 ลกู ผสมฝรง่ั เศส (French Hybride) 3.3 ลูกผสมอเมรกิ า (American Hybride) 1. องุนพันธุยุโรป (Vitis vinifera) เปนชนดิ ทม่ี คี วามสาํ คัญที่สุดในแงบริโภค ใชประโยชนไดทุกอยาง มที ง้ั พนั ธทุ ม่ี เี มลด็ และไมม ี เมล็ดมีควมแตกตา งในเรอ่ื งพนั ธมุ ากมาย องนุ ยโุ รป (Vinifera) น้ี เปน ชนดิ เดยี วทม่ี ถี น่ิ กาํ เนดิ ในตะวนั ออกกลางและปลูกกันมานานแลว ตามประวตั แิ ลว องนุ ชนดิ นเ้ี ปน ทร่ี จู กั กนั กอ นประวตั ศิ าสตรเ สยี อกี แลวแพรไ ปยงั ถน่ิ ตา งๆ ทั่วโลก และไดม กี ารปรบั ปรงุ พนั ธุ วธิ กี ารปลกู รกั ษาดแู ลตา งๆ เปน ลําดบั มา เชน ในสมยั โรมนั นอกจากจะใชร บั ประทานผลสดแลว ยังใชทาํ เหลา ทําลกู เกตุ โดยแยกชนดิ ขององนุ ท่ี จะใชประโยชนเ ปน อยา งๆ ไป แตก ารปรบั ปรงุ พนั ธใุ นสมยั นน้ั กค็ งยงั เปน วธิ ตี ามธรรมชาตมิ ากกวา โดย การสังเกตและรวบรวมพนั ธทุ ด่ี ี ไวจ นสมยั หลงั ๆ เมอ่ื การใชอ งนุ มมี ากขน้ึ จงึ ไดม กี ารผสมพนั ธุ ทําใหได พันธุใหมๆ ขน้ึ มามากมาย เทา ทีป่ ระมาณกนั ไว มพี นั ธอุ งนุ อยเู ปน หมน่ื พนั ธุ คดั ทง้ิ ไปกม็ าก ที่เหลืออยู ก็มาก เชน เฉพาะพันธุที่ใชรับประทานผลสดก็มีอยูกวา 100 พันธุ นอกจากการผสมพนั ธเุ พือ่ ใหได พันธุใหม ๆ แลว ยงั มกี ารปรบั ปรงุ พนั ธโุ ดยวธิ ตี า ง ๆ อกี ดว ย เชน การใชร งั สี เพอื่ ใหใครโมโซมเปล่ยี น แปลงไปเปน ตน ลักษณะทด่ี ขี ององนุ ยโุ รปน้ี คือ ผลดก คุณภาพดี ชอผลใหญ ผลใหญ รปู รา งของผลมหี ลายแบบ รสหวานมากกวา เปร้ียว เมลด็ ไมแ ขง็ มเี มลด็ นอ ย ผลมสี ตี า ง ๆ หลายสี ทนทานตอ การขนสง และท่ี สําคัญคือ เปลอื กของผลไมเ หนยี ว ไมแยกจากเนื้อ สามารถรบั ประทานไดท ง้ั เปลอื กและเนอ้ื ในพรอ มๆ กัน ผลสามารถเกบ็ ไดน าน ซง่ึ ถา เกบ็ ใหถ กู ตอ งตามวธิ กี ารจะเกบ็ ไดเ ปน เดอื นๆ ในสภาพคงสดอยู บาง
การปลูกองุน 5 พันธุอาจเก็บไดน าน เกอื บป ในเมอื งไทยอากาศรอ นเกบ็ ในอณุ หภมู หิ อ งไดน าน 5-10 วัน เนอ่ื งจาก ลักษณะดีตา งๆ ดงั กลา วแลว ขององนุ ชนดิ น้ี จึงทาํ ใหอ งนุ ยโุ รป (vinkfera) เปนทน่ี ยิ มปลกู กนั มากทส่ี ดุ ทั่วโลก นอกจากที่ซึ่ง ไมส ามารถปลกู องนุ ชนดิ นไ้ี ดจ รงิ จงึ จะหนั ไปปลกู องนุ ชนดิ อน่ื เพราะองนุ ชนดิ นม้ี ี ขอเยตรงท่ีออนแอตอศัตรูพืชตางๆ โดยเฉพาะศัตรูในดิน เชนตัวแมลงท่ีเรียกวา ฟลลอกเซอรา (phylloxera)ซ่ึงเปน เพลย้ี ออ น (Aphid) ชนิดหน่ึงอาศยั อยใู นดนิ เปน ศตั รทู ส่ี าํ คญั ของรากองนุ ชนดิ น้ี ทองทใ่ี ดมแี มลงชนดิ น้ีอยูจะไมสามารถปลกู องนุ ชนดิ นไ้ี ดเ ลย ทนทานแมลงชนดิ นไ้ี ดพ อสมควร นกจาก ตัวแมลงฟลลอ กเซอรา (phylloxeral)น้ีแลว องนุ ชนดิ นย้ี งั ออ นแอตอ โรคทเ่ี กดิ กบั ใบ เชน โรครานา้ํ คา ง โรคใบจดุ และอน่ื ๆ รวมทง้ั ไสเ ดอื นฝอย ดว ย 2. องนุ พน้ื เมอื งอเมรกิ า (Vitis rotudifolia และอน่ื ๆ) ในทวีปอเมริกามอี งนุ พน้ื เมอื ง หรอื องนุ ปา อยมู ากมายหลายชนดิ (Species) แตส ว นมากใช ประโยชนในการบริโภคไมได มอี ยูไมกช่ี นดิ ทีบ่ รโิ ภคได แตค ณุ ภาพของผลสพู วกองนุ ยโุ รป (Vinifera) ไมไดกลาว คือ ชอ ผลเลก็ รปู รา งของผลมนี อ ยไมก แ่ี บบ ความแตกตา งของสมี นี อ ย รสไมคอ ยหวาน สวน มาก รสอมเปรี้ยว เมล็ดแข็งมาก ชนิดที่ไมมีเมล็ดหาไดยาก การเก็บ การขนสง สพู วกองนุ ยโุ รป (vinifera) ไมไดสวนที่สําคัญคือ เปลอื กเหนยี วมาก เวลาเคย้ี วเปลอื กจะลน่ื หลดุ ออกไปจากเนอ้ื ซง่ึ เปน ลักษณะที่เรียกวา “slip skin” นอกจากนย้ี งั มกี ลน่ิ เฉพาะตวั ซง่ึ หลายคนไมช อบ มกั รงั เกยี จกลน่ิ ของ องุนพวกน้ี แตก ม็ ขี อ ดคี อื ทนตอ แมลงฟลลอ กเซอรา (phylloxera) ทนตอไสเ ดอื นฝอย และโรคที่เกิดกับ ใบไดดี และยงั ทนตอ อากาศทห่ี นาวเยน็ ไดด อี กี ดว ย ทอ งทใ่ี ดปลกู พวกองนุ ยโุ รป (vinifera) ไมไ ด จะใช พวกนี้ปลูกแทน หรืออาจใหทาํ เปน ตน ตอ 3. พวกลกู ผสมตา ง ๆ แบงได 3 พวก คอื 3.1 ลูกผสมขององุนยุโรป (French Hybrids) หมายถึง ลูกผสมทเ่ี กดิ จากพนั ธตุ า งๆ ขององนุ ยุโรป (vinifera) มีเลอื ดองนุ ยโุ รป 100% ไมมีชนิดอืน่ ปน ลกั ษณะทว่ั ไปของลกู ผสมเหลา น้ี ยังคง เหมือนเดิม เชน ความออ นแอตอ โรค หรอื ลกั ษณะดตี า ง ๆ ดงั กลา วแลว พวกลกู ผสมเหลานี้ นบั วา เปน พวกทก่ี วา งขวางมาก เพราะโดยปกติพวกองุนยุโรป (Vinifera) ก็มีพันธตุ า งๆ มากมายอยแู ลว เมอ่ื นํา มาผสมกันก็มีใหไ ดพ นั ธลุ กู ผสมทแ่ี ตกตา งกนั ออกไปอกี มากมาย เชน ลกั ษณะของสกี ม็ ที กุ สตี ง้ั แตส ใี ส จนมองเห็นเมล็ด จนถงึ สดี าํ สนทิ ลกั ษณะของผลกม็ ตี ง้ั แตก ลมจนถงึ ยาวเรยี ว รวมทง้ั กลน่ิ รส และคุณ ภาพ อ่ืนๆ กแ็ ตกตา งกนั ออกไปมากมาย นับวาเปนพวกที่ปลูกกันอยางแพรหลายที่สุด ใชประโยชนใน ลักษณะตางๆ กนั ไดอ ยา งเตม็ ทเ่ี พราะมคี ณุ สมบตั ติ ามทต่ี อ งการ 3.2 ลูกผสมฝรั่งเศส (French Hybrids) ลูกผสมของฝรง่ั เศส หมายถึงลูกผสมที่เกิดจากการ ผสมกนั ขององนุ ยโุ รป (vinifera) กับองุนพื้นเมืองอเมริกา หรอื ลกู ผสมพน้ื เมอื งอเมรกิ าดว ยกนั แตไ มม ี เลือดองนุ ยโุ รป โดยเจาะจงวาทาํ การผสมขน้ึ โดยชาวฝรง่ั เศส 3.3 ลกู ผสมอเมรกิ า (American Hybrids) คาํ จาํ กดั ความกเ็ ชน เดยี วกบั ลกู ผสมฝรง่ั เศส แต ผสมขึ้นมาโดยชาวอเมริกัน นน่ั เอง ประวตั ขิ องลกู ผสม 2 พวกนี้ เกิดจากจุดเดียวกัน กลา วคอื เมอ่ื ยโุ รป และอเมริกา เริ่มติดตอคาขายกันก็ไมมีการนา้ํ เอาองนุ พน้ื เมอื งของอเมรกิ าดว ย และเนอ่ื งจากความรู เรื่องการปองกันโรคและศัตรูพืชยังไมเจริญนัก ดงั นน้ั ตน องนุ ทม่ี าจากอเมรกิ าจงึ นําศตั รมู าระบาดใน
การปลูกองุน 6 ยุโรป เนื่องจากองุนพื้นเมืองอเมริกาคงทนตอโรคตางๆ โดยเฉพาะตัวเพลี้ยออนที่ชื่อฟลลอกเซอรา (phylloxera) และโรคตา งๆ จงึ ไดร ะบาด ทําความเสยี หายตอ องนุ ยโุ รป (vinifera) เปน อยา งมาก ไม สามารถปอ งกนั กาํ จดั ได หลายแหงตองเลิกกิจการไป จึงไดมีการแกไขโดยการทําลกู ผสมระหวา งองนุ ทง้ั 2 ชนิดข้ึนมา อนั เปน จดุ กาํ เนนิ ขององนุ พวกลกู ผสมฝรง่ั เศสหรอื ลกู ผสมอเมรกิ าทม่ี คี ณุ ภาพดเี ทา ๆ กับ องนุ ยโุ รป (vinifera) แท ๆ ดงั นน้ั จงึ ยงั คงนยิ มปลกู องนุ ยโุ รป (vinifera) กันโดยทั่วไป นอกจากท่ีซึ่งไม สามารถปลูกไดจริงๆ หรอื ใชต น ตอพนั ธตุ า งๆ ชวยโดยคุณภาพขององนุ ยโุ รป (vinifera) น้ันไมเ ปลย่ี น แปลง สภาพดนิ ฟา อากาศ ปกติองุนเปนพืชที่ปลูกไดงายอยางหนึ่ง อาจกลาวไดวาขึ้นไดดีในดินฟาอากาศเกือบทุกชนิด สวนคุณภาพของผลองนุ ทไ่ี ด แลว แตช นดิ พนั ธทุ จ่ี ะชอบดนิ ฟา อากาศแตกตา งกนั ออกไป กอ นการปลกู ควรไดศึกษาใหด เี สยี กอ น เพอ่ื ทจ่ี ะไดเ ปน ขอ สงั เกตในการเลอื กทป่ี ลกู เลอื กพนั ธุ หรอื ดดั แปลงสภาพท่ี ปลูกใหเหมาะสมกบั นสิ ยั ขององนุ พนั ธนุ น้ั ๆ ดงั จะเหน็ วา แหลง ปลกู องนุ ทด่ี ๆี ของไทยมักอยูแถวจังหวัด ราชบุรี นครปฐม เพชรบุรี โดยเฉพาะจังหวัดราชบุรี อาํ เภอดําเนนิ สะดวก ไดช อ่ื วา เปน แหลง ผลติ องนุ ท่ี มีคุณภาพดีทส่ี ดุ องนุ จากอาํ เภอนจ้ี ึงมีราคาแพง อาจเปน เพราะดนิ ดี ฟา อากาศเหมาะสม และกสิกรผู ปลูกมีความรคู วามชํานาญดี และมกั ไดย นิ เสมอวา องนุ พนั ธเุ ดยี วกนั นาํ ไปปลกู ในทบ่ี างแหง แลว มรี ส เปรย้ี วจนไมน า รบั ประทาน กลาวโดยทั่วๆ ไปที่ ๆ เหมาะสมตอ การปลกู องนุ ควรประกอบดว ย สง่ิ สาํ คญั 3 อยา ง คอื 1.! ฟา อากาศ 2.! ดนิ ดี 3.! โรคแมลงรบกวนนอ ย ฟาอากาศ ปกติ องุนชอบท่ี ๆ มอี ณุ หภมู คิ อ นขา งสงู แดดจัด และความชน้ื ในอากาศตา่ํ แดดที่จัด อณุ หภูมิ ท่ีสูงจะชวยทําใหผ ลองนุ สกุ เตม็ ท่ี ทําใหค ณุ ภาพของผลดี หวานอรอ ย และความชื้นที่สูงจะทาํ ใหโรค แมลงระบาดได อยา งรวดเรว็ ตอ งเสยี คา ใชจ า ยในการปอ งกนั กาํ จดั สงู ดงั นน้ั เมอ่ื พจิ ารณาตามนแ้ี ลว จะ เห็นวาประเทศไทยไมเหมาะทจี่ ะปลูกองนุ เลย เพราะมฝี นตกชกุ หลายเดอื น ความชน้ื ในอากาศสงู คลอด ป โรคแมลงศตั รขู ององนุ จึงมมี าก โดยเฉพาะโรคที่เกิดกับใบ และผล เปนปญหาที่สาํ คญั มาก ชาวสวน องุนในปจจุบันตองฉดี ยากนั ทุก 5-7 วัน และบางแหง ตอ งฉดี ยาทกุ ครง้ั หลังฝนตก ซง่ึ สน้ิ เปลอื งคา ใช จายสูงมาก จนบางแหง ไดผ ลไมค มุ คา กบั ทล่ี งทนุ รวมทง้ั ปญ หาอน่ื ๆ เชน ฝนตก ทําใหผลแตก คุณภาพ ของผลไมดี หรอื ไมส ามารถบงั คบั การออกดอกขององนุ ไดเ ปน ตน ดนิ องุนที่ปลูกในประเทศไทย สว นมากปลกุ ในดนิ เหนยี ว ซง่ึ เดมิ เปน นาขา วหรอื สวนผลไมอ ยา งอน่ื แลวทําการยกรอ ง ซง่ึ กส็ ามารถผลติ องนุ ทม่ี คี ณุ ภาพดไี ด โดยปกตริ ากองนุ พวกองนุ ยโุ รป (viniferra)
การปลูกองุน 7 หรือที่กําลังปลกู กนั อยทู กุ วนั นไ้ี มต อ งการดนิ ทม่ี หี นา ดนิ ลกึ นกั เพราะรากจะแผขยายไปตามระดับผิวดิน เสียมากกวา การยกรอ ง นอกจากไมทาํ ใหร ากองนุ แชน ้าํ แลว การปลอ ยนา้ํ เขา รอ งสวน และการถา ยน้าํ ออกยังชวยใหมีการถายเทอากาศในดินอีกดวย ทาํ ใหร ากเจรญิ เตบิ โตไดด ี ในทอ งทอ่ี น่ื ทเ่ี ปน ทด่ี อน หรือ ท่ีสูงๆ เชน ไหลเ ขา ควรใหด นิ มหี นา ดนิ ลกึ พอสมควร ไมค วรนอ ยกวา 2 ฟุต ดนิ ทม่ี ดี นิ ดาน หรือหินแข็ง ต้ืนกวาน้ีจะใหต น องนุ เตบิ โตไมด ี แคระแกร็น และไมควรปลูกในดินที่เหนียวหนักหรือทรายจัด ความ อุดมสมบูรณของดินและธาตอุ าหารตางๆ มคี วามจาํ เปน สาํ หรบั การเจรญิ เตบิ โตของตน องนุ มาก เพราะ องุนที่ปลูกในเขตรอน จะมกี ารเจรญิ เตบิ โตตลอดทง้ั ป จึงจาํ เปน ตอ งใชธ าตอุ าหารตา งๆ มาก ประกอบ กับองุนมาก เพราะองนุ ทป่ี ลกู ในเขตรอ น จะมกี ารเจรญิ เตบิ โตตลอดทง้ั ป จึงจาํ เปน ตอ งใชธ าตอุ าหาร ตาง ๆ มาก ประกอบกบั องนุ เปน พชื ทใ่ี หผ ลผลติ มาก การเพม่ิ ธาตอุ าหารลงไปในดนิ ในแตล ะฤดเู กบ็ เกี่ยวจึงเปนสิ่งจาํ เปน โดยเฉพาะธาตุโปรแตสเซี่ยม นบั วา มคี วามสาํ คญั ตอ การปรบั ปรงุ คณุ ภาพของผล มาก ทั้งน้ีควรนาํ ดนิ มาวเิ คราะหเ พอ่ื ประกอบการพจิ ารณาการใสป ยุ ดว ยจะไดผ ลดี และรวดเรว็ ยง่ิ ขน้ึ ใน ทองท่ีท่ีปลูกองุนแลว ผลองนุ มรี สเปรย้ี ว เขา ใจวา เปน เพราะตน องนุ ไดร บั ธาตอุ าหารไมเ พยี งพอและไมไ ด สัดสว นมากกวา เปนผลจากปจจัยอื่น สําหรับท่ีปลกู ซง่ึ เปน ทด่ี อน ดนิ อาจเปน ดนิ ทราย ดนิ รว น หรือที่มีกรวดปน ถา มคี วามอดุ ม สมบูรณเพียงพอ มนี า้ํ ทจ่ี ะใหแ กต น องนุ ในเวลาทต่ี อ งการแลว ตน องนุ กส็ ามารถเจรญิ เตบิ โตใหผ ลดี ได เชนเดียวกัน ทั้งตนอาจใหญโต อายยุ นื กวา การปลกู ในทล่ี มุ อกี ดว ย สว นคณุ ภาพของผลนน้ั ก็สามารถจะ ปรับปรงุ ใหด ขี น้ึ ได ขอควรคาํ นงึ คอื แปลงปลกู องนุ ตอ งน้าํ ไมทวม เพราะถา นา้ํ ทว มตน องนุ เพยี ง 2-3 วัน ตน องนุ จะตายหมด และการเลอื กทป่ี ลกู ทเ่ี หมาะสมตง้ั แตแ รก ยอ มจะลดคา ใชจ า ยในการปรบั ปรงุ ดนิ ไดม าก การขยายพนั ธุ องุนเปนพืชท่ขี ยายพนั ธุไดง า ยและรวดเร็ว และสามารถทาํ ไดหลายวิธี เชน เพาะเมลด็ ปกชาํ ติดตาตอ กง่ิ หรือทับกิ่ง เปน ตน 1.$ การขยายพนั ธดุ ว ยเมลด็ วิธีน้ีทําไดง า ยแตไ มค อ ยนยิ ม เนอ่ื งจากเสยี เวลานาน และอาจกลายพนั ธไุ ดง า ย และพนั ธทุ ไ่ี มม ี เมล็ดก็ไมสามารถใชว ธิ นี ไ้ี ด การเพาะเมล็ดทาํ ไดโ ดยการเกบ็ เมลด็ มาลา งใหส ะอาด และตอ งทาํ ลายการ ฟกตัวของเมลด็ กอ นโดยเกบ็ ไวใ นตเู ยน็ 2-3 เดอื น แลว จงึ นาํ ไปเพาะ เมลด็ จะงอกงา ยและเตบิ โตเรว็ ตนองุนที่ไดจากการเพาะเมล็ดในอายุ 1 ป ควรมเี ถายาว 3 ฟุต เปน อยา งนอ ยและปลกู ชาํ เสยี กอ นเปน เวลาประมาณ 7 เดอื นเปน อยางนอ ย เมื่อทาํ การตดั เถาแลว จงึ ยา ยปลกู ในแปลงถาวรตอ ไป เพ่ือสะดวก ในการดูแลรักษาใหทั่วถึง เพราะเน้ือท่ีในการดแู ลไมก วา งขวางเหมอื นนาํ ไปปลกู ในแปลงถาวรโดยตรง และยังเปน การลดคา แรงงานและคา ใชจ า ยตา ง ๆ ดว ย 2. การขยายพนั ธแุ บบทบั กง่ิ การขยายพันธุวิธีนี้ทาํ ไดโ ดยโนม กง่ิ ทแ่ี กล งวางกบั ดนิ แลว ใชด นิ กลบ หรอื ขดุ ดนิ กลบ บางทกี ข็ ดุ ดินเปนรางลึกประมาณ 5 นว้ิ โนม กง่ิ ใหท อดยาวไปตามราง แลวใชดินท่ีช้ืนกลบไว ไมน านกจ็ ะเหน็ วา มี
การปลูกองุน 8 ตนองุนเกิดขึ้นมาหลายตนจากก่งิ ดงั กลาว ควรพนู ดนิ ขน้ึ มาสกั หนอ ยเพอ่ื ลอ ราก ทง้ิ ไวจ นตน โตพอควร ก็ตัดออกจากกนั นาํ ไปปลกู ได การทับก่ิงนี้ถึงแมจะเปนวิธีท่ีใหผลแนนอน และงายแตก็ไมสะดวกเหมือนการปก ชําและถาทาํ เปนจํานวนมาก ๆ ก็มักจะเกะกะกีดขวางการทาํ งานในสวน อยา งไรกด็ ี วธิ นี ก้ี เ็ หมาะสําหรบั ใชก บั องนุ ท่ี ขยายพันธุไดยากดวยวิธีอื่น 3. การตอน เปนวิธีการที่ดีและเหมาะสม เพราะองนุ ออกรากงา ย ใชเ วลา 3-4 สปั ดาหก อ็ อกราก โดยไม ตองใชสารฮอรโ มนชว ยในการออกราก วธิ กี ารตอนจะไดผ ลถงึ 100% แตก ม็ ขี อ เสยี คอื เปลอื งกง่ิ เพราะ ก่ิงหนง่ึ เราตอนไดเ พยี ง 1 ตน ผิดกับการปกชาํ ซง่ึ กง่ิ องนุ หนง่ึ กง่ิ เราจะปก ชาํ ไดห ลายตน เม่ือก่ิงท่ีเราตอนออกรากดแี ลว จะตัดไปปลูกเลยหรอื จะนาํ ไปปลกู ในแปลงกลา ออ นกอ นกไ็ ด 4.การปกชาํ เปนวิธีการขยายพันธุที่เหมาะสมอีกวิธีหนึ่ง กง่ิ องนุ ทเ่ี หมาะสมสาํ หรับการปกชาํ และออกรากดี ควรเปนกง่ิ ทม่ี สี นี ้าํ ตาล อายปุ ระมาณ 7 เดอื นขน้ึ ไป แตไ มค วรเกนิ 1 ป กง่ิ ทแ่ี กห รอื ออ นเกนิ ไป การอก รากก็ไมคอยดี และควรเลอื กกง่ิ ขนาดกลางๆ ไมใหญหรือไมเ ล็กเกินไป กง่ิ ทม่ี ขี อ ถๆ่ี จะออกรากดีกวา กิ่ง ที่ขอหางๆ เวลาจะทาํ การปกชาํ ใหต ดั กง่ิ องนุ เปน ทอ นๆ ทอนหนึ่งยาว 6-9 นว้ิ หรือ 1 ฟุต โดย ประมาณหลังจากที่เราเริ่มทาํ การปกชาํ ประมาณ 15 ถึง 20 วัน กิ่งที่ปกชาํ ก็จะแตกราก การขยายพันธุ โดยการปกชาํ นจ้ี ะใหผ ลประมาณ 80% ทั้งนี้ข้ึนอยกู ับการดูแลรกั ษาดว ย ขอ ดขี องการปก ชาํ คอื องนุ กง่ิ หนง่ึ เราอาจนํามาตดั เปน ทอ นสาํ หรับปกชาํ ไดถ งึ 2-4 กิ่ง ทาํ ใหไ มเ ปลอื งกง่ิ วิธกี ารปก ชํา การปกชํา ทาํ ไดใ น 2 ลกั ษณะ คอื ก. การปกชาํ ในกระบะชาํ ขนาดของกระบะชําแลวแตความสะดวกในการดแู ลรกั ษา อาจใชไ ม กระดานตอกเปน กระบะหรอื ทาํ เปน ลงั เลก็ ๆ หรอื ใชล งั ไมท ม่ี อี ยแู ลว กไ็ ด วัสดุที่ใชชาํ ประกอบดวยทราย หยาบ ข้ีเถา แกลบ ผสมกนั ในอตั รา 1 ตอ 1 ถา ใชท รายมากรากจะส้นั ไมแผก วางนกั และถา ใชข เ้ี ถา แกลบมาก รากจะยาวเกะกะทาํ ใหย า ยลําบาก แปลงชาํ ควรอยใู นทร่ี ม รําไร หรือใชทางมะพราวทํารมใหก็ ได นาํ กิ่งที่จะปกชาํ จมุ ในนา้ํ ยาฮอรโ มนชว ยในการออกรากวจะทาํ ใหอ อกรากไดม าก และแขง็ แรง แลวจึง ปกกิ่งที่เตรียมไวลงไปในวัสดุปกชาํ ลกึ 1 ใน 3 ของกง่ิ หลกั จากปก กง่ิ ไมน านใบจะรว งจนหมด กง่ิ มี ลักษณะเหมอื นไมแ หง ประมาณ 15-20 วนั จงึ จะเรม่ิ แตกราก และแตกตาใหม การยายกิ่งชาํ ควรทาํ ใน ระยะทม่ี รี ากมากพอสมควร และถาปลอยไวจนแตกรากฝอยแลว รากจะแข็งแรง ไมหักไมชํ้างา ยเมอ่ื ทาํ การยาย แตอ ยา ทง้ิ ไวน านเกนิ ไปเพราะ ในวัสดปุ ก ชาํ ไมม อี าหารทจ่ี ะใหอ ยา งเพียงพอ ดงั นน้ั เมอ่ื ราก แข็งแรงดีแลวจะนาํ ไปปลูกเลยก็ไดแตอาจจะตายมากหรอื ชะงกั การเตบิ โตไมส ม่าํ เสมอ ทางทีด่ ีควรได ยายไปปลูกในแปลงกลา ออ น หรอื ปลกู ในภาชนะทม่ี ดี นิ สักพักหนึ่ง จนกวา ตน แขง็ แรงดจี งึ นําไปปลกู ในแปลงจรงิ ข. การปกชาํ ในแปลงปลกู ใตตนองุนในแปลงมักจะรมรําไรอยเู สมอจงึ สามารถใชเ ปน แปลง ปกชําก่ิงองุนไดโดยไมตองสรา งเรอื นเพาะชําใหม เพยี งแตป รบั ปรงุ ดนิ ใตต น ใหร ว นซยุ เหมาะตอ การใส ปุยคอกแลวยกเปนแปลงเลก็ ๆ หรือใชไมตีเปนกระบะแลวบรรจุวัสดุปกชาํ ลงไป วัสดุปกชาํ ใชเ ชน เดยี ว กับที่กลาวแลวคือ ขี้เถาแกลบและทรายหยาบอยางละเทาๆ กัน โดยวิธีการปกชาํ ดงั กลา วขา งตน
การปลูกองุน 9 การทาํ แปลงกลา ออ น ก่ิงที่ไดจ ากการตอน จากการปกชาํ ทอ่ี อกรากดแี ลว ควรนาํ มาปลกู ใน แปลงไมออน หรอื ในภาชนะจะดแู ลรกั ษางา ย การใหปุยใหนํ้าเปน ไปอยา งทว่ั ถงึ การปลกู ในแปลงไม ออนหรือในภาชนะกอนท่ีจะนําไปปลูกในแปลงจริง ตนจะเจริญเติบโตแข็งแรงรวดเร็วและสม่ําเสมอดี กวา การเอากง่ิ ปก ชําหรอื กง่ิ ตอนไปปลกู ในแปลงจรงิ เลยทเี ดยี ว แปลงกลาออน คือ แปลงดนิ ธรรมดาเหมอื นกบั แปลงจรงิ อยูก ลางแจง ดนิ ในแปลงกลา ออ นน้ี ควรปรับปรุงใหร ว นซยุ โดยการใสป ยุ คอก ปุยหมัก ขนาดของแปลงแลว แตค วามสะดวกในการปฏบิ ตั งิ าน เม่ือเตรยี มดนิ เสรจ็ แลว ใหน ํากิ่งที่ไดจากการปกชาํ หรอื กง่ิ ตอน มาปลกู ในแปลงใหถ ห่ี นอ ย ดแู ลรดนา้ํ ฉีดยา ใหปุย จนกระทง่ั เนอ้ื ไมข องกง่ิ นน้ั แกจ งึ ตดั ใหเ หลอื แตต อ หรอื เหลอื ตาไวป ระมาณ 2-3 ตาแลวจึง ขุดไปปลกู ในแปลงจรงิ ตอ ไป สวนการปลูกในภาชนะก็เชนเดียวกัน ดนิ ทใ่ี ชค วรเปน ดนิ ทร่ี ว นซยุ เมอ่ื ปลกู กง่ิ ลงไปแลว ใหน าํ มาวางเรียงกันเปนแถวเปนแนเพื่อสะดวกในการดูแล ปลกู ไวจ นเหน็ วา เนอ้ื ไมข องกง่ิ แกแ ลว จงึ ตดั ยอดให สั้นเหลือเพยี ง 2-3 ตา กน็ ําไปปลกู ในแปลงจรงิ ได 5. การตดิ ตาองนุ ตนองุนมีเปลือกไมท่ีลอกออกยาก ดังน้ันการติดตาดวยวิธีตางๆ ที่จําเปนตองสอดตาไวใน ระหวางเปลือก และเน้ือไมจ งึ ไดผ ลไมด ี วิธีที่ใชกันอยูมากก็คือวิธีที่เรียกวา วิธีติดตาแบบชิบหรือวิบ (Chip budding) ซึ่งทําไดโดยเฉอื นตาจากกง่ิ พนั ธดุ ใี หล กึ เขา ไปในเนอ้ื ไม บากตน ตอใหเ ปน รปู อยา ง เดียวกับที่เฉือนตาพันธุไว เอาตาใสเ ขา ไปในรอยบากนแ้ี ลว มดั ใหแ นน อาจจะมดั ดว ยวธิ เี ปด ตาหรอื ปด ตาก็ได อยา ใหน า้ํ เขา ไปขา งในได จุดประสงคของการตดิ ตาองนุ น้ี ก็เพื่อใหไดตนที่ใหผลดี แตมีรากแข็งแรงทนทาน องนุ พนั ธดุ ี อาจออนแอหรือถูกรบกวนดวยศัตรูในดินไดงาย แตองุนพันธุปาบางพันธุอาจมีรากแข็งแรงทนตอโรค แมลงในดินไดดี เรากเ็ อาพนั ธนุ น้ั เปน ราก (ตน ตอ) แลว เอาตาพนั ธดุ มี าตดิ ใหเ ปน สว นยอด 6. การตอ กง่ิ องนุ ความมุงหมายในประการหนง่ึ ของการตอ กง่ิ องนุ กเ็ ชน เดยี วกบั การตดิ ตา นอกจากนน้ั ยงั ทาํ เพื่อ เปลี่ยนพันธุอีกดวย ในกรณีท่ีมีพันธุหน่ึงใดปลกู ไวแ ลว และประสงคจ ะเปลย่ี นใหด ขี น้ึ โดยใชต อเดมิ เปน รากฐาน ไมต อ งปลกู ใหมอ กี การตอกิ่งองุนทําไดห ลายวธิ นี ้ี อาจแบง ออกไดเ ปน 2 อยา งกวา งๆ คอื การตอ กง่ิ ในแปลง และ การตอ กง่ิ นอกแปลง 1. การตอ กง่ิ ในแปลง (vineyard grafting) หมายถงึ การทเ่ี อากง่ิ พนั ธุ (scion) ไปตอ บนตน ตอ (stock) ที่ปลูกไวในแปลง หรอื เปน การเปลย่ี นพนั ธใุ หเ ปน รปู ลม่ิ แลว เอาเสยี บลงในชอ งทผ่ี า ไวข อง ตนตอ ถาเปน ตน เลก็ กใ็ ชผ า ขผ้ี ง้ึ เชอื ก หรือผา พลาสติกรดั ใหแนน ถา เปน ตอใหญก ไ็ มจ ําเปน ตอ งผกู รดั เพราะกงิ่ พนั ธจุ ะถกู บีบแนนอยแู ลว เพียงแตใชสีหรือขี้ผึ้งทาปดรอยแผลก็เพียงพอ ในตางประเทศมักใชก ง่ิ พนั ธุทีม่ ีตา 2 ตา แตเทาที่ทดลองทาํ ในเมอื งเราแลว ปรากฏวา กง่ิ พนั ธุ ที่มี 2 ตานแ้ี หง งา ย สใู ชก ง่ิ พนั ธทุ ม่ี ตี าเดยี วไมไ ด 2. การตอ กง่ิ นอกแปลง (bench grafting) การตอกง่ิ นอกแปลงนค้ี อื การเอากง่ิ พนั ธ(ุ scion) ตอหรือเสยี บกบั กง่ิ หรอื รากของตน ตอ (stock)แลว จงึ นําไปปกชาํ หรอื ปลกู ตอ ไป วธิ นี เ้ี หมาะสมสาํ หรับ สวนใหญ ๆ เพราะทาํ ไดส ะดวกและรวดเรว็ ดกี วา การตอ กง่ิ ในแปลงมาก
การปลูกองุน 10 การตอ กง่ิ นอกแปลงนท้ี ําไดหลายวิธี ที่ทํากนั มากคอื แบบ ชิบ Cleft graft และแบบวิบ หรือ ปากฉลาม whip graft แบบแรกคือแบบชิบ (cleft graft) น้ันทําเชน เดยี วกบั ทก่ี ลา วมาแลว ในเรอ่ื ง การตอก่ิงในแปลงแตใ ชก ง่ิ พนั ธุ และตน ตอทม่ี ขี นาดเทา ๆ กัน เสมอไป สวนแบบวิบ หรอื ปากฉลาม (whip graft) น้ัน ก็ใชก ง่ิ พนั ธแุ ละตน ตอทม่ี ขี นาดเดยี วกนั เชน กนั เฉือนโคนกิ่งพันธุเปนปากฉลาม แลว ผา ออกใหเ ปน ลม่ิ ทําการเฉอื นและผา สว นปลายของกง่ิ หรอื ราก ของตนตอใหเหมือนกับท่ีทํากับกิ่งพันธุ แลวเอาพันธุและตนตอน้ีเสียบเขาใหแนน ใชเชือกหรือผา พลาสตกิ ฯลฯ ผูกเพื่อมิใหขยับเขยื่อน และนาํ ไปปกชาํ หรอื ปลกู ตอ ไป 7. การเสรมิ ขาองนุ เปนวิธีที่นิยมอีกวิธีหนึ่ง ใชใ นกรณที ป่ี ลกู องนุ พนั ธดุ อี ยแู ลว แตต อ งการใหม รี ะบบรากทแ่ี ขง็ แรง หาอาหารไดเกง ตน องนุ ทจ่ี ะนาํ มาเสรมิ มกั ใชต น องนุ ปา วิธีทําคอื ปลกู ตน องนุ ปา ใกลๆ กบั ตน พนั ธดุ ที ม่ี ี อยูแลว เม่ือตน องนุ ปา เตบิ โตแขง็ แรงดแี ลว กบ็ ากทต่ี น องนุ พนั ธุ และเสย้ี มปลายกง่ิ องนุ ปา แลวนาํ มา ประกอบกันใหสนิทพันดวยพลาสติกเหนียวใหแนน กจ็ ะไดต น องนุ ทม่ี ี 2 ขา หรอื มี 2 โคน ถา ตอ งการ ใหมี 3 ขาก็ตอดา นตรงขา มอกี ตน หนง่ึ ขนาดของตน องนุ พนั ธแุ ละองนุ ปา ทน่ี าํ มาเสียบไมจาํ เปน ตอ งเทา กันก็ได เมอ่ื อยูไปหลายๆ ป โคนทง้ั สองจะเตบิ โตเทา ๆ กนั เอง 8. ตน ตอองนุ ตามท่ีกลาวไวแลในเร่ืองการติดตาองุนวา การติดตาวตอกิ่งองุนพันธุดีบนตนตอก็เพื่อใหองุน พันธุดีมีรากท่ีแข็งแรงทนทาน ไมถูกศัตรูในดินรบกวน ศัตรูในดนิ ขององนุ ทส่ี าํ คัญคือ ไสเ ดอื นฝอย (nematode) และแมลงชนิดหน่ึงมีช่ือวา ฟวลอ กเซอรา (phylloxera) องุน พันธดุ ีพวก องนุ ยโุ รป (vinifera) ไมมีความทนทานตอ ตวั นจ้ี งึ ทาํ ใหเ ราสามารถนํามาใชป ระโยชน ในดา นเปน ตน ตอปอ งกนั ศัตรูท่ีรายแรงดังกลา วไดผ ลดี นอกจากเรอ่ื งการปอ งกนั โรคแมลงแลว ตน ตอยงั อาจใชป ระโยชนใ นการ ปลูกในทด่ี นิ ตา ง ๆ กนั อกี ดว ย เพื่อใหตนเจริญเติบโตดีที่สุด สําหรับตนตอองนุ น้ี ในตา งประเทศไดศ กึ ษาคน ควา กนั อยา งกวา งขวาง จนกลา วไดว า มตี น ตอท่ี เหมาะสมกับสภาพตา งๆ ทุกอยาง เชน ตน ตอ ทท่ี นโรค ทนแมลง ตน ตอสาํ หรบั ปลกู ในดนิ ทราย ตน ตอ สําหรบั ปลกู ในดนิ เหนยี ว เปน ตน สวนตนตอท่ีใชก นั อยใู นประเทศไทยนน้ั เปน ตน ตอองนุ ปา หรอื องนุ เปรย้ี ว ซง่ึ ใชส ําหรบั เปน ตน ตอสําหรับตดิ ตา องนุ พนั ธดุ ตี า งๆ หรอื ใชเ สรมิ ขา (เสรมิ ราก) องนุ พนั ธทุ ด่ี ปี ลกู อยกู อ นแลว หลักทว่ั ไปในการปรบั ปรงุ คณุ ภาพของผลองนุ ผูซื้อองุนอาจจะสังเกตไดว า องนุ ทม่ี ขี ายตามทอ งตลาด ทั่วไป คุณภาพไมคอยจะดีนัก กลา วคอื ผลเลก็ ชอ ผลเลก็ ผลนม่ิ ไมกรอบ ผิวไมสวย มรี สเปรย้ี ว รสฝาด ไมช วนช้อื ไมน า รบั ประทาน การท่ีองุนมคี ณุ ภาพไมค อ ยดดี งั กลา วมสี าเหตมุ าจาก หลายประการและอาจแกไ ขปรบั ปรงุ ใหค ณุ ภาพดขี น้ึ ได แตท ง้ั น้ี ไมไดหมายความวา องนุ ทป่ี ลกู ในเมอื งไทยทง้ั หมดคณุ ภาพไมด ี ในทองที่บางแหงสามารถผลิตองุนที่มีคุณภาพเทียบเทาหรือดี
การปลูกองุน 11 กวาองุนตางประเทศเสียอีก ท้ังน้ีเพราะชาวสวนมคี วามรคู วามชาํ นาญในการปรบั ปรงุ คณุ ภาพขององนุ น้ันเอง แตท่ีเรามกั ไมค อ ยพบในตลาดทว่ั ไปเพราะพอ คา เลอื กทม่ี คี ณุ ภาพดๆี สง ไปขายตา งประเทศ เชน มาเลเซยี สงิ คโปร ปน ัง เปนตน ตลาดในประเทศกม็ ขี ายเปน บางตลาดเทา นน้ั หรอื ในเทศกาลเปน ครง้ั คราว องุนที่มีคุณภาพดีๆ จะไดร าคาดกี วา องนุ ทค่ี ณุ ภาพไมด ี 2-3 เทา และยงั สง ขายตา งประเทศได อีกดวย การปรบั ปรงุ คณุ ภาพของผลองนุ จงึ เปน สง่ิ จาํ เปนที่ควรกระทาํ อยา งยง่ิ คุณภาพของผลองุนรวมความถงึ ขนาดของผล ขนาดของชอ ผล สขี องผล ความสมา่ํ เสมอของสี ความกรอบ รสชาติ คุณภาพในการเก็บรักษา และคณุ ภาพในการขนสง เปน ตน การปรบั ปรงุ คณุ ภาพของผลองนุ อาจทาํ ไดโ ดย 1.$ การบาํ รุงตนองุนใหแข็งแรง สมบูรณเต็มที่ หลังการเกบ็ ผลควรปลอ ยใหต น องนุ พกั ตวั ระยะหนง่ึ โดยทั่วไปประมาณ 2 เดอื น จากการ สังเกตถาใหตน องนุ พกั ตวั นอั ยในฤดวู ตอ ไปผลผลติ และคณุ ภาพจะไมด ี ทง้ั นเ้ี พราะอาหารสะสมในตน มี ไมเพียงพอและไมค วรปลอ ยใหต น พกั ตวั นานเกนิ ไป เพราะตน องนุ จะแตกกง่ิ เลก็ ๆ ออกมาเองโดยไมไ ด ตัดแตง กง่ิ พวกนจ้ี ะใชอ าหารสะสมในตน ไปโดยเปลา ประโยชน เมื่อทาํ การตัดแตงจะทาํ ใหต น องนุ ใหผ ล ผลิตนอยลงและคุณภาพไมคอยดีเชนกัน ระยะเวลาในการปลอ ยใหพ กั ตวั นานกวา ตน ทใ่ี หผ ลผลติ นอ ย เปนตน รวมท้ังฤดกู าลดว ย เพราะขณะทต่ี น องนุ พกั ตวั ถา ฝนตกองนุ จะแตกกง่ิ กา นเลก็ ๆ ออกมาเอง ผู ปลูกก็จาํ เปน ตอ งตดั แตง กอ นกาํ หนด 2.$ การไวชอผล และการไวผลในชอ ปกติองุนท่ีปลกู ในบา นเราทกุ วนั น้ี มนี สิ ยั ทจ่ี ะใหช อดอกมาก และจาํ นวนผลในชอ กม็ าก จนตอ ง ชวยปลิดดอก ชอผล ปลดิ ผลในชอ ออกเสยี บา ง ถา ปลอยผลไวัท้งั หมดจะเกินกาํ ลงั ของตน ทําใหผ ลมคี ณุ ภาพไมด ี ผลเลก็ และผลกเ็ บยี ดเสยี ดกนั แนน มากเกนิ ไป การปลดิ ดอกปลดิ ผลมี 3 วิธีคอื ก. การปลดิ ชอ ดอก โดยการปลดิ ชอ ดอกทม่ี ขี นาดเลก็ ดอกไมส มา่ํ เสมอทง้ิ ไปเสยี บา ง ข. การปลดิ ชอ ผล นิยมปฏบิ ตั มิ ากกวา วธิ แี รก เพราะวาทราบจาํ นวนทแ่ี นน อน เพราะการ ปลิดชอดอกนน้ั ชอ ดอกทเ่ี หลอื อาจไมต ดิ ผลกไ็ ด ท้ังการปลดิ ชอ ดอก ชอผล ควรใหชอ ดอก ชอผล ที่เหลือกระจายอยูทั่ว ๆ ไปในตน จะทาํ ใหผลที่ คงไวมีคุณภาพดี แตท ง้ั นต้ี อ งคาํ นงึ ถงึ ราคาขายดว ย การปลดิ ชอ ดอก ชอ ผลออกมากๆ แมคุณภาพผลจะ ดีแตผลผลิตจะลดลงมากเหมอื นกนั รวมทง้ั ความสมบรู ณข องตน ดว ย ค. การปลดิ ผลในชอ อาจทาํ โดยการตดั ชอ ดอกออกบางสว น แตไ มน ยิ มปฏบิ ตั กิ นั มักจะใชวิธี ตัดผลในชอออกมากกวา โดยการใชกรรไกรเล็ก ๆ สอดเขา ไปตดั ขว้ั ของผล การตัดผลจะทาํ 1-2 ครง้ั จนชอผลโปรงพอเหมาะ ผลองนุ ไมเ บยี ดเสยี ดกนั ผลเลก็ ๆ ที่ตัดออกก็ขายไดโดยทาํ เปน องนุ ดอง 3.$ ปลอยใหผ ลองนุ แกเ ตม็ ท่ี จะทําใหไ ดผ ลองนุ ทม่ี คี ณุ ภาพดี รสหวานจัด แตใ นทางปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ แลว บางครง้ั กจ็ าํ ตอ งเกบ็ กอนท่ีผลองนุ จะแกเ ตม็ ท่ี เชน ฝนตกถาทิ้งไวจะทําใหผ ลแตกเสยี หายหรอื พอ คา บอกใหต ดั กอ นเนอ่ื งจาก
การปลูกองุน 12 องุนขาดตลาด เปน ตน องนุ ทต่ี ดั กอ นจะมผี ลสเี ขยี วจดั (พนั ธขุ าว) รสเปร้ียว ฝาด เกบ็ ไวไ ดไ มน าน จะเหย่ี วรว งหลน งา ยเปลอื กเหนยี ว และไมค วรปลอ ยใหอ งนุ แกจ ดั เกนิ ไป เพราะจะทาํ ใหผ ลรว งหลน เสยี หายงา ย รสหวานจดั เกนิ ไป เกบ็ ไวไ มไ ดน าน การดูวาองุนจะแกจดั เม่อื ใด อาจดจู ากสขี องผล ความหวานของผล จาํ นวนวนั ตง้ั แตอ อกดอกจน ถึงผลแก และอน่ื ๆ ประกอบกนั 4.$ ควรงดการใหน า้ํ กอ นเกบ็ ผล ชาวสวนบางแหง จะใหน้ําแกต น องนุ กอ นเกบ็ ทง้ั นเ้ี พอ่ื ใหไ ดน ้าํ หนกั เพม่ิ ขน้ึ แตก ารใหนา้ํ กอ นเกบ็ จะทําใหคณุ ภาพของผลองนุ ลดลง กลาวคอื ไมหวานเทาท่คี วร เนอ้ื ไมก รอบ ผลเกบ็ ไวไ ดไ มน าน ปกตจิ ะงดการใหน ้ําอยา งนอ ยประมาณ 7 วัน กอนที่วจะทาํ การเก็บผล จะทาํ ใหไ ดผ ลองนุ ทไ่ี ดม ี รสหวานจัด คุณภาพของผลดี ขณะเดียวกนั ระยะนก้ี ใ็ หง ดการใชย าฆา แมลง ยากนั ราดว ยเพอ่ื ความ ปลอดภยั ของผบู รโิ ภค 5. การทรมานพชื การทรมานพืชดวยวิธีตางๆ เชน การควน่ั กง่ิ การรดั กง่ิ หรอื รดั ตน ดว ยลวด การบากกิ่ง บางครง้ั การทรมานพืชใชเพื่อบังคับใหพืชออกดอกหรือติดผล ในกรณที พ่ี ชื นน้ั ออกดอกยาก หรอื ออกดอกแลว ไมคอยติดผล แตบ างครง้ั กใ็ ชก ารทรมานพชื เพื่อใหผลดีมีคุณภาพดี ในองนุ มีการทรมานพชื ดว ยวตั ถุ ประสงคทั้งสองอยางแตสําหรบั องนุ ทป่ี ลกู ในเมอื งไทยในปจ จบุ นั มนี สิ ยั ออกดอกงา ย ตดิ ผลมากอยแู ลว จึงไมจําเปนตองทรมานเพ่ือใหออกดอกและติดผล แตการปรับปรุงคุณภาพอาจจะจําเปนในบางสวน หรือบางพนั ธซุ ง่ึ ตอ งพจิ ารณาเปน กรณๆี ไป การควั่นกิ่งหรือรดั กงิ่ ทาํ ใหอ าหารตา งๆ ทพ่ี ชื ปรงุ ไดไ มเ คลอ่ื นทม่ี าลงสว นลา งคงสะสมอยสู ว น บนทาํ ใหผ ลไดร บั อาหารอดุ มสมบรู ณ ทาํ ใหค ณุ ภาพของผลดขี น้ึ แตท่ีไมค อ ยนยิ ม เพราะตอ งมคี วามชาํ นาญในการทาํ งาน รอยควน่ั จะตอ งไมใ หญเ กนิ ไป ไมล กึ เกินไปตองกะเวลาใหร อยควน่ั ตอ เชอ่ื มกนั ในเวลาอนั รวดเรว็ เพราะถาชาเกินไปตนจะโทรม และมกั ไม ทําตดิ ตอ กนั ทกุ ป การขาดความชาํ นาญอาจทาํ ใหก ง่ิ องนุ หรอื ตน องนุ ตายได 6.$ การใสป ยุ จากการศึกษาพบวา องนุ เปน พชื ชนดิ ทต่ี อ งการธาตอุ าหารตา ง ๆ หรอื ปยุ เปน ปรมิ าณคอ นขา ง มาก เพื่อบาํ รงุ ตน ใหแ ขง็ แรง บาํ รงุ ผลใหม คี ณุ ภาพดี ชาวสวนบางแหง จะใสป ยุ ถงึ ฤดลู ะ 3 ครง้ั หลงั เกบ็ ผลแลวกใ็ สปยุ คร้งั หนึ่ง ซง่ึ เรยี กปยุ รองพน้ื สาํ หรับบาํ รงุ ตน พรอ มกบั ปยุ มลู สตั วต า ง ๆ เพื่อบาํ รงุ ตน ดว ย คร้ังท่ีสองจะใหห ลงั ตดั แตง ประมาณ 7-15 วัน เปน การบาํ รงุ ยอด ใบ และดอก ทผ่ี ลติ ขน้ึ มาใหมแ ละ ครั้งที่ 3 จะใสป ระมาณ 45 วนั หลงั ตดั แตง เปน การบาํ รงุ คณุ ภาพของผลองนุ รวมแลว จะประมาณ 1.5 กก. ตอตนแลวแตค วามอดุ มสมบรณู ข องดนิ สตู รปยุ กต็ า งๆ กนั ออกไป แลว แตค วามอดุ มสมบรู ณข อง ดินเชนกัน ทั้งนกี้ อนการใสป ุยควรจะไดศ กึ ษาสงั เกตการเจรญิ เติบโต ผลผลติ และคณุ ภาพของผลในฤดู กอน และจะใหด คี วรไดน ําดินมาวิเคราะหเสียกอนจะชวยใหใชปุยที่ถูกสูตร และในปรมิ าณทถ่ี กู ตอ งซง่ึ จะ เปน การประหยัดและไดผลดกี วา ตัวอยางจากการทดลองปยุ เพอ่ื ปรบั ปรงุ คณุ ภาพของผลองนุ อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม พบวาท่ีมธี าตอุ าหารฟอสฟอรสั และโปรแตสเซียมสูง จะชว ยใหผลองุนมีคณุ ภาพดี โดยเฉพาะธาตุโปร
การปลูกองุน 13 แตสเซียมจะทาํ ใหผ ลองนุ เขา สสี มา่ํ เสมอ สีสวย ผลกรอบ รสหวานจัด สตู รทใ่ี หผ ลดใี นการทดลองดงั กลาวคือ 6-24-36 ใชใ นอตั รา 1 กก. ตอ ตน โดยการแบง ใส 2 ครง้ั คอื 7 วนั หลงั ตดั แตง และ 45 วัน หลงั ตดั แตง เปน ตน 7.$ การใชฮอรโมน ปจจุบันการใชสารฮอรโมนเม่ือปรับปรุงคุณภาพของผลองุนกําลังเปน ทน่ี ยิ มอยา งกวา งขวางของ ชาวสวนองุน เพราะสารฮอรโมนมีคุณสมบัติทําใหผลองนุ มรี ปู รา งยาวขน้ึ ชอ ผลยาว สวยงามเปน ท่ี ตองการของผูซื้อ คณุ ภาพของผลกด็ กี วา กลา วคอื ผลกรอบ เปลอื กไมเ หนยี ว รสหวาน และการใชส าร ฮอรโมน ยังทําใหผ ลองนุ แกเ รว็ ขน้ึ อกี ดว ย ฮอรโมนท่ีใชม ขี ายเปน การคา ในชอ่ื ทต่ี า ง ๆ กนั ออกไป แตตวั ยามกั เหมอื น ๆ กัน ทน่ี ยิ มมาก ชนดิ หนง่ึ คอื “จิบเบอรเลนลดิ เอซดิ “ หรือ จี.เอ. (G.A.)ซึ่งทาํ ใหผ ลองนุ มคี ณุ ภาพดดี งั กลา ว การใช อาจโดยการพน นา้ํ ยานไ้ี ปยงั ชอ องนุ แตช าวสวนบางแหง นยิ มวธิ ชี บุ ชอ องนุ มากกวา เพราะทาํ ไดร วดเรว็ และประหยัดนาํ้ ยาโดยเอานา้ํ ยาใสใ นถงุ พลาสตกิ แลว เอาชอ องนุ จมุ ลงไปประมาณ 2-3 วินาที การใช วิธีน้ีมีขอเสยี ในแงที่อาจแพรเ ช้อื โรคจากชอ หนึง่ ไปยงั อีกชอหนง่ึ ได ถาเปนระยะที่โรคกาํ ลงั ระบาด ควร ผสมยากันราลงไปดวย อตั ราของสารฮอรโ มนทใ่ี ชป ระมาณ 35-50 พ.ี พี.เอ็ม. (35-50 สว นของตวั ยา ในนํ้าลา นสว น) ผปู ลกู อาจซอ้ื ตวั ยามาผสมเองหรอื ทผ่ี สมไวเ สรจ็ แลว กไ็ ด สารฮอรโ มน ชว ยใหอ งนุ มคี ณุ ภาพดดี งั กลา ว แตม ขี อ เสยี เชน เดยี วกนั กลา วคอื จะทาํ ใหขั้วผล องุนเปราะ รวงหลดุ ไดง า ย เวลาขนสง ผลองนุ จะรว งมาก การขนสง ตอ งทาํ ดว ยความระมดั ระวงั ทง้ั นต้ี อ ง ศึกษาผลของฮอรโมนใหดีเสียกอนวาใชในอัตราใดจึงจะไดผลท่ีคุณภาพดีและไมรวงงาย เพราะย่ิงใช อัตราเขม ขน มากจะยง่ิ ทําใหร ว งมาก จากการศึกษาเร่ืองความสมั พนั ธข องการรว งของผล เนอ่ื งจากการใชฮ อรโ มนตวั น้ี และการใช ปุยพบวาปุยที่มีสูตรโปรแตสเซี่ยมสูง เชน 6-12-36 , 6-24-36 จะชว ยลดการรว งของผลใหน อ ยลง ได 1. พนั ธไุ วทม าลากา เปนพันธุที่ปลูกเปนการคามากที่สุดในปจจุบัน เปนที่นิยมของผูบริโภคโดยทั่วไป ลักษณะผล คอนขางยาวเมอ่ื แกผ ลเปน สเี หลอื งอมเขยี ว เหลอื งนวลสวยงาม ชวนซื้อ รสหวานกรอบ ชอผลยาวรูป ทรงสวยงามดีไหตอกดก ตดิ ผลมากจนตอ งปลดิ ผลทง้ิ บา ง สามารถใหผ ลไดป ล ะ 2 ครง้ั 2. พนั ธไุ วทม าลากาลกู ยาว ลักษณะทว่ั ไปเหมอื นกบั พนั ธไุ วทม าลากา แตผลยาวกวา ทาํ ใหด สู วยงามชวนซอ้ื ยง่ิ ขน้ึ ปจจุบัน เปนที่ยอมรับกันวา เปฯ อกี พนั ธุหนง่ึ ตางหากจากพนั ธไุ วทมาลากาเดิม ผปู ลกู องนุ หนั มาสนใจปลกู พนั ธุ น้ีมากขน้ึ ใหผ ลผลติ ไดป ล ะ 2 ครง้ั เชน กนั 2.$ พันธคุ ารด นิ าล ผลสีแดงหรือสีมว งอมแดง เปน พนั ธทุ ป่ี ลกู เปน การคา มานานแลว แตปจจุบันไมคอยนยิ มปลูก กันมากนัก เพราะมขี อ เสยี หลายประการ เชน ผลแตกเสยี งา ยเมอ่ื โดนฝน ราคาปจจุบันถูกกวาพันธุไวท มาลากามาก ชอเลก็ กวา รสออกเปรย้ี วมากกวา เปน ตน แตก ม็ ขี อ ดเี ปน พนั ธเุ บา คอื สามารถใหผ ลผลติ ไดปละ ถึง 3 ครง้ั ลกั ษณะทว่ั ไปของพนั ธนุ ค้ี อื ผลกลมคอ นขา งใหญ เมอ่ื แกจ ะเปน สมี ว งแดง หรอื มว ง
การปลูกองุน 14 ดํา รสหวานอมเปรย้ี วเลก็ นอ ย ชอ ผลคอ นขา งกลม ชอไมใหญ ตดิ ผลกําลงั ดไี มเ บยี ดเสยี ดกนั มาก ไม ตองปลิดผลท้ิงมากความจรงิ แลว พนั ธหุ นง่ึ โดยเฉพาะพวกที่ชอบผลไมที่ออกรสเปรี้ยวเล็กนอย อยา งไร ก็ตามพันธุนม้ี ผี ปู ลกู ลดลงเรอ่ื ยๆ และมีโอกาสทีจ่ ะเลกิ ปลกู ไปในท่ีสดุ 3.$ พนั ธลุ ูสเพอรเ ลท เปนพันธุไมมีเมลด็ ผลแกส เี หลอื งสวยงามดี ผลคอ นขา งกลม ขนาดปานกลาง รสหวานกรอบ อรอยเม่ือใชส ารฮอรโ มนชว ยทาํ ใหช อ ผลยืดยาวขึน้ ผลยาวขน้ึ เลก็ นอ ยสวยงามดี ใหด อกดก ตดิ ผลมาก พอสมควรตองปลิดผลทิง้ บา งไมใ หเบยี ดเสียดกัน ชอ ผลคอ นขา งยาวแบบเดยี วกบั พนั ธไุ วทม าลากา แต ขนาดเล็กกวา ใหผ ลไดป ล ะ 2 ครง้ั พนั ธลุ สู เพอรเ ลท นบั วา เปน พนั ธไุ มม เี มลด็ ทน่ี า สนใจ เพราะจาก การทดลองมแี นวโนม ทจ่ี ะเปน พนั ธปุ ลกู เปน การคา ได ทั้งสําหรบั รบั ประทานผลสด และบรรจกุ ระปอ ง สําหรับในรอ งสวนเกา ที่ยกรองไวแลว หรอื เคยปลกู พชื อยา งอน่ื มาแลว ดนิ อยใู นสภาพท่ีเหมาะ สมพอสมควร ไมเ หนยี วเกนิ ไป การเตรยี มดนิ ใหก ําจัดวัชพืชตาง ๆ ออกใหห มด ลอกเลนในทองขน้ึ มาไว บนหลังแปลง เพอ่ื ใหแ ปลงปลกู สงู ขน้ึ และรอ งนา้ํ ลกึ พอเหมาะกบั การระบายนา้ํ ปลอ ยใหเ ลนทล่ี อกขน้ึ มาตากแดดจนแหง สนทิ จงึ ขดุ ดว ยจอบหรอื ซอ นขดุ ดนิ ใหล กึ 1 หนา จอบ เปน กอ นโต ตากดนิ จนแหง สนิทแลว โรยปนู ขาว ใสป ยุ คอก ปุยหมัก ยอ ยดนิ ใหล ะเอยี ด รว นซยุ รดน้าํ ใหด นิ ยบุ ตวั แตกเปน กอ น เลก็ ๆ การขดุ หลมุ ปลกู หลังจากการเตรียมดินแปลงปลูกเรียบรอยแลวจึงขุดหลุมปลูกขนาด กวาง-ยาว-ลึก 50 เซนติเมตร จะเปน หลมุ สเ่ี หลย่ี มหรอื หลมุ กลมกไ็ ด ขนาดของหลมุ ขน้ึ อยกู บั สภาพของดนิ ดว ย กลา วคอื ถาดินรวนซุย หลมุ ปลกู ขนาดเลก็ กไ็ ด แตถาดินยังอยูในสภาพที่ไมคอยดีพอ หลมุ ปลกู ควรมขี นาดใหญ เพ่ือจะไดปรับปรงุ สภาพของดนิ ในหลมุ ปลกู ใหด ขี น้ึ ดนิ ทข่ี ดุ ขน้ึ มานน้ั ใหตากแดดไวจนแหงสนิท แลว ยอมใหเปนกอ นเลก็ ๆ ผสมดนิ ทข่ี ดุ ขน้ึ มาดว ยปยุ คอก ปุยหมัก เศษใบไมผุๆ แลว จึงกลบดนิ ลงไปในหลมุ ตามเดิม รดน้าํ จนดนิ ยบุ ดแี ลว กพ็ รอ มทจ่ี ะปลกู ได ระยะของหลุมปลกู แบบน้ี คอื ระหวา งหลมุ หา งกนั 3-3.5 เมตร โดยขดุ หลมุ กลางแปลงเปน แถว เดียวไปตลอดความยามของแปลง การปลกู ในทด่ี อน การปลูกในทด่ี อนหรอื การปลกู แบบไร ทป่ี ลกู อาจเปน ไรห รอื สวนเกา หรือที่บุกเบิกใหม การ เตรียมท่ีปลูกตอ งทําที่ใหโลงเตียน ขดุ ตอไมอ อกใหห มด ไถพรวนดนิ อยา งนอ ย 2 ครง้ั โดยครง้ั แรกไถดนิ เปนกอนโตๆ หรือไถดะ ตากดินไวระยะหนึ่งจนแหงดีแลวจึงไถพรวนหรือไถแปร ใหด นิ ยอ ยละเอยี ดลง กอนการไถคร้ังสองนถ้ี า ดนิ ไมค อ ยดี ขาดอนิ ทรยี ว ตั ถุ ควรใสป ยุ อนิ ทรยี ต า งๆ เศษใบไมผุ เปลอื กถว่ั หรือวัสดุตางๆ ท่พี อหาไดในทองทเี่ พอ่ื ใหดนิ ขน้ึ หรอื อาจปรบั ปรงุ ดนิ โดยการปลกู พชื ตระกลู ถว่ั สักระยะ หนึ่งกอนจนดินอยูใ นสภาพรว นซยุ ดีแลว จงึ ลงมอื ปลกู องนุ นอกจากนอ้ี าจตอ งทาํ ระดบั ทําทางสง นา้ํ หรืออื่นๆ ซึ่งขึ้นอยูกับสภาพของพื้นที่และวิธีการปฏิบัติการดูแลรักษา
การปลูกองุน 15 การเตรียมหลุมปลูก เม่ือเตรียมดินจนอยใู นสภาพดแี ละจงึ ขดุ หลมุ ปลกู โดยหลมุ ปลกู มขี นาด กวาง-ยาว-ลกึ 50- 100 เซนติเมตร แลว แตค วามอดุ มสมบรู ณแ ละสภาพของดนิ ถา ดนิ ดรี ว นซยุ หลมุ กข็ ดุ ขนาดเลก็ ได ถา สภาพดินไมดีขาดธาตอุ าหารตา ง ๆ กค็ วรขดุ หลมุ ปลกู ใหโ ตเพอ่ื จะไดป รบั ปรงุ สภาพดนิ ในหลมุ ปลกู ใหด ี ข้ึน ดินที่ขุดขึ้นมา ใหแ ยกเปน สองกองคอื ดนิ ชน้ั บนกองหนง่ึ ดนิ ชน้ั ลา งอกี กองหนง่ึ ตากดนิ ใหแหงแลว ผสมดินดวยปุยอินทรยี ต า ง ๆ แลว จงึ กลบลงในหลมุ ตามเดมิ โดยเอาดนิ ชน้ั บนกลบลงกน หลมุ และดนิ ช้ันลางกลบไวด านบนเสร็จแลว รดนา้ํ ใหด นิ ยบุ ตวั เสยี กอ นจงึ ลงมอื ปลกู การปลูกแบบท่ีดอนน้ี การขุดหลุมปลูกใหขุดเปนแนวเสน ตรงไปตลอดแนวความยาวของพน้ื ท่ี ระยะระหวา งหลุม 3.00-3.50 เมตร และระยะระหวางแถวใหเวนหางพอสมควร เพอ่ื ความสะดวกใน การเขา ไปปฏบิ ตั งิ านตา งๆ คอื ประมาณ 4.00-5.00 เมตร วิธปี ลกู เม่ือเตรียมหลมุ ปลกู เสรจ็ แลว ทาํ หลมุ เลก็ ๆในหลมุ นน้ั นาํ กง่ิ ลงปลกู กลบดนิ โดยรอบใหแ นน รดน้ําใหช ุม ปก ไมร วกตดิ ๆ ตน ผกู กิง่ องุน กบั หลกั ไมรวกใหแ นน หลงั จากปลกู ใหมๆ ถา ฝนไมต กใหร ด น้ําทุกวันและฉีดยาปอ งกนั โรคแมลงเปน ครง้ั คราว ในชว งทต่ี น องนุ ยงั เลก็ อยนู ้ี ควรปลูกพืชพวกลมลุก เปนพืชแซม เพื่อหารายได และชว ยปรบั ปรงุ สภาพของดนิ ใหด ขี น้ึ ดว ย เชน พวกผักตางๆ ถว่ั ตา งๆ ถา ปลอยทิ้งไวเฉย ๆจะเสียเวลาที่จะตองคอยดายหญาอยูเสมอ ในชว งนอ้ี งนุ สงู ขน้ึ เรอ่ื ยๆ ตอ งคอยผกู ตน ให ติดกบั กลกั อยเู สมอ การทําคา ง การทําคางจะทาํ หลงั จากทป่ี ลกู องนุ แลว ประมาณ 1 ป ซง่ึ ตน องนุ จะสงู พอดที จ่ี ะขน้ึ คา งไดค า ง ตนองุนมีหลานแบบดวยกัน และแบบที่นิยมทาํ กนั มากคอื คา งแบบเสาคู แลว ใชล วดขงึ มวี ธิ กี ารและขน้ั ตอนดงั น้ี คอื 1. การเลือกเสาคา ง เสาคา งอาจใชเ สาซเี มนตห นา 3 นว้ิ หรอื 4 นว้ิ กไ็ ด เสาคา งซเี มนตจ ะแขง็ แรงทนทานอยไู ดน านหลายป แตก็ราคาแพงและหนัก เวลาทาํ คา งตอ งเสยี แรงงานมาก ถาใชเสาไมให ใชไมเ นอ้ื แขง็ ขนาดหนา 2x3 นว้ิ หรือหนา 2x4 น้ิว หรอื เสากลมกไ็ ด เสาควรยาวประมาณ 2.5-3 เมตร หรือกวา น้ี ซง่ึ เมอ่ื ปก ลงดนิ เรยี บรอ ยแลว ใหเ หลอื สว นทอ่ี ยเู หนอื ดนิ ประมาณ 1.20-1.50 เมตร 2. การปกเสา ใหป ก เสาเปน คๆู สองขา งของแปลง ในแนวเดยี วกนั โดยเสาแตละคูหางเทากัน คือประมาณ 1.5-2 เมตร ตดิ คานทห่ี วั เสาแตล ะคู โดยเหลอื หวั ไมย น่ื ออกไปทง้ั สองขา ง หรือปกเสาหาง กัน 3 เมตร เมอ่ื ตดิ คานบนแลว จะพอดหี วั ไม (ตามภาพ) การตดิ คานเชอ่ื มระหวา งเสาแตล ะคใู หใ ชน อ ต เหล็กเปฯตวั ยดึ ไมค วรยดึ ดว ยตะปู เพราะจะไมแข็งแรงพอ ระยะหา งระหวา งเสาแตล ะคปู ระมาณ 10- 20 เมตร ยิง่ ปก เสาถ่ีจะย่ิงแข็งแรงทนทาน แตก ส็ น้ิ เปลอื งมาก บางแหงจึงปกเสาเพียง 3 คู คอื หวั แปลง กลางแปลง และทายแปลง และระหวา งเสาแตล ะคใู ชค า งไมร วก ชวยคํา้ ไวเ ปน ระยะๆ ซง่ึ กส็ ามารถใชไ ด และประหยัดดี แตต อ งคอยเปลย่ี นคา งไมร วกกนั บอ ยๆ 4. การขงึ ลวด ลวดที่จะนาํ มาขงึ ทาํ คา งใหใ ชล วดขนาดใหญพ อสมควรคอื ลวดเบอร 11 ซง่ึ ลวดเบอร 11 น้ี หนัก 1 กิโลกรัมจะยาวประมาณ 18 เมตร ใหข งึ ลวดพาดไปตามคานแตล ะคตู ลอดความยาวของแปลง โดยใชล วด 4-6 เสน เวนระยะลวดใหหางเทา ๆ กัน ที่หัวแปลงและทายแปลงใหใชหลักไมขนาดใหญ
การปลูกองุน 16 ตอกฝงลงไปในดินใหแ นน แลว ใชล วดโยงจากคา งมามดั ไวท ห่ี ลกั น้ี เพอ่ื ใหล วดตงึ หลงั จากขงึ ลวดเสรจ็ แลว ใหตรวจดวู า ลวดหยอ นตกทอ งชา งหรอื ไม ถา หยอ นมากใหใ ชไ มร วกขนาดใหญป ก เปน คๆู ตามแนว เสาคาง แลว ใชไ มร วกอกี อนั หนง่ึ พาดผกู ดา นบนในลกั ษณะเดยี วกบั คา ง เพื่อชวยรับนาํ หนกั เปน ระยะๆ ไปตลอดทั้งแปลง เพราะเมอ่ื ตน องนุ ขน้ึ คา งจนเตม็ แลว จะมนี า้ํ หนกั มาก จาํ เปน ตอ งชว ยรองรบั นา้ํ หนกั หรอื คา้ํ ไวไมใหคางหยอน การแตงทรงตน ในตอนปลูกตนองุนนน้ั จะมไี มร วกปก ขนาบกบั กง่ิ และคอยผกู เชอื กใหต น แนบไมอ ยตู ลอดเวลา ทั้งน้ีเพ่ือบังคับใหตน ตัง้ ตรง เมอ่ื ตน องนุ เตบิ โตจนยอดสงู ถงึ ระดบั คา งหรอื เสมอระดบั ลวดทข่ี งึ ไว จึงทาํ การแตงทรงตน วิธีทําคอื เดด็ ยอดองนุ ทส่ี งู กวา ระดบั ลวด หลงั จากนน้ั ตน องนุ จะแตกตาออกมา 2 ตา ตรงขามกน ซึ่งจะเอาไวทั้ง 2 กิ่ง หรอื กงิ่ เดียวกไ็ ด ถา เอาไวส องกง่ิ ใหจ ดั กง่ิ ทง้ั สองอยตู รงขา มกนั การไว 2 กิ่ง มักพบปญหาวา กง่ิ ทง้ั สองเตบิ โตไมเ ทา กนั ทําใหก ารกระจายของผลไมส ม่าํ เสมอกนั จึงมักนิยมไว ก่ิงเพียงกิ่งเดยี ว คอื หลงั จากทเ่ี ดด็ ออก กิ่งที่คงไวทุกตนใหจัดกิ่งใหหันไปทางเดียวกันคือหันไปทางหัว แปลงหรือทางทายแปลงในทิศทางเดียวกันเหมือนๆ กัน ทุกตน ซง่ึ เมอ่ื ตน เตบิ โตเตม็ ท่ี กง่ิ ของตน หนง่ึ จะไปจรดโคนกง่ิ ของตน ถดั ไปพอดี หรือเกยทับกันบาง หลังจากทจี่ ัดกิ่งใหห นั ไปในทศิ ทตี่ อ งการแลว พอกง่ิ นน้ั ยาวประมาณ 50 เซนตเิ มตร ใหเด็ด ยอดออกก่ิงจะแตกตาใหม เตบิ โตเปน กง่ิ ใหม 2 กิ่ง ใหค งเหลอื ไวท ง้ั สองกง่ิ และเมอ่ื กง่ิ ใหมย าวประมาณ 50 เซนตเิ มตร กเ็ ดด็ ยอดอกี และเหลือไวทั้ง 2 ก่ิงเชน เดียวกัน ทําเชน นไ้ี ปเรอ่ื ยๆ จนกระทง่ั กง่ิ องนุ เตม็ คางจึงหยุดการตัดยอด ในระหวางที่เด็ดยอดใหกิ่งแตกใหมนั้น จะตอ งจดั กง่ิ ใหก ระจายใหเ ตม็ คา งอยา งทว่ั ถงึ อยาใหทับ กันหรือซอนกันมาก จดั ใหก ง่ิ อยบู นคา งเสมอ อยาใหก่ิงตงั้ ชีฟ้ า หรอื หอ ยยอ ยลงดา นกลา ว การจัดกิ่งให อยูในท่ี ๆ ตองการมักใหว ธิ ีผกู ดวยเชือกกลวย เพราะเชอื กกลว ยวจะผเุ ปอ ยในเวลาไมน านนกั ทําใหการ ตัดแตง กง่ิ ในครง้ั ตอ ๆ ไป ทําไดส ะดวก ชวงการเติบโตของตน องนุ นบั ตง้ั แตป ลกู ชว งแตง ทรงตน จนถงึ ระยะทม่ี อี ายพุ อจะตดั แตง ไดน ้ี เรียกวาระยะ “เลย้ี งเถา” ซง่ึ ใชเ วลาประมาณ 8-12 เดอื น ในชว งเวลา “เลย้ี งเถา”ควรปฏบิ ตั ดิ งั ตอ ไปน้ี คอื 1. ใหน ้าํ อยา งสมา่ํ เสมอ อยาใหดนิ แหงได ถา ขาดนา้ํ ตน องนุ จะชะงกั การเตบิ โต ไมส มบรู ณแ ขง็ แรงทําใหข น้ึ คา งไดช า ถา ฝนไมต ก ควรรดนา้ํ ใหทุกวัน 2. ฉีดยาปอ งกนั โรคแมลง เปน ระยะตามความเหมาะสม อยา ปลอ ยใหโ รคแมลงเขา ทําลาย เพราะจะทาํ ใหชะงักการเติบโต ตน ออ นแอ ไมส ามารถใหด อกใหผ ลในเวลาทก่ี าํ หนดได 3. การใสปยุ เพอ่ื ใหต น องนุ สมบรู ณแ ขง็ แรง เตบิ โตอยา งรวดเรว็ จาํ เปน ตอ งบาํ รงุ ตน ดว ยการใส ปุย โดยใสท ้ังปุยอินทรียและปุยเคมี ประมาณ 2-3 ครง้ั (ในชว งเลย้ี งเถาน)้ี อาจใสพ รอ มกนั ทง้ั สอง อยางในคราวเดยี วกนั เพอ่ื ประหยดั แรงงานดงั น้ี คอื - การใสป ยุ ครง้ั แรกประมาณตน ละ 1 บงุ ก้ี สว นปยุ เคมใี ชค รง้ั ละ 1 กํามอื ตอ ตน โดยใชปุยยูเรีย หรือ แอมโนเนยี มซัลเฟตหรอื แอมโมฟอส เพอ่ื เรง การเจรญิ เตบิ โตของตน การใสค รง้ั แรกมกั ใสห ลงั จาก ปลูกได 1 เดอื น วธิ ใี สใ หห วา นปยุ คอกลงไปกอ นรอบ ๆ ตน แลว จงึ หวา นปยุ เคมตี ามลงไป พรอ มพรวน ดินรอบ ๆ ตน บาง ๆ รดน้าํ ใหชุม
การปลูกองุน 17 - เมื่อตนองุนมีอายุ 3-4 เดือน ใหใสปุยเคมีที่มีธาตุอาหารครบทุกตัว คือ ธาตุ ไนโตรเจนฟอสผอรัสและโปแตสเซียม วิธีใสก็แบบเดียวกัน และวงกวา งขน้ึ ใชป ยุ มากขน้ึ จนกระท่ังเถา องุนเจริญเติบโตเตม็ คา ง การใสปยุ ก็ใชวิธีหวา นท้งั แปลง ขอ ควรระวงั คอื เมอ่ื หวา นปยุ แลว เวลาพรวน ดินใหพรวนเพียงบางๆ อยา งระมดั ระวงั เพราะรากองนุ สว นใหญจ ะอยตู น้ื ๆ และเมอ่ื พรวนดนิ แลว หรือ หวานปุยแลวควรรดนาํ้ ทนั ทใี หป ยุ ละลายซมึ ลงในดนิ และอยารดจนโชกจนนาํ้ ไหลออกจากแปลง จะชะ พาปยุ ออกไปจากแปลงหมด - กอนการตดั แตง กง่ิ เพอ่ื ใหเ กดิ ดอกเกดิ ผล ประมาณ 7-10 วัน ควรใสป ยุ เรง การแตกตาแตก ก่ิงอีกครง้ั หนง่ึ โดยใชป ยุ แอมโมฟอส (ปุยสูตร 16-20-0)ประมาณ 1-2 กํามอื ตอ ตนั หวานปุยใหทั่ว แปลงรดนา้ํ ใหชุม หลงั จากนน้ั จะไมร ดนา้ํ อกี เลยจนกวา จะตดั แตง กง่ิ การตัดแตงกิ่งเพอ่ื ใหอ อกดอก ตนองุนที่นํามาปลกู ในบา นเรานน้ั ถา ไมต ดั แตง แลว จะไมอ อกดอกหรอื ออกเพยี งเลก็ นอ ย ใหผล ท่ีไมสมบูรณ การจะใหอ งนุ ออกดอกไดต อ งตดั แตง กง่ิ กลงั จากทใ่ี หต น องนุ พกั ตวั อยา งเตม็ ทแ่ี ลว อายกุ าร ตัดแตงใหออกดอกครง้ั แรก หรอื มดี แรก ขน้ึ อยกู บั ความสมบรู ณข องตน อายขุ องตน และพันธ เปน ตน เชน องุนพันธุ คารดินาล ตัดแตงไดเม่อื อายุ 9-10 เดอื น หลงั จากปลกู ในแปลงจรงิ องนุ พนั ธไุ วท ม าละกา ตัดแตงไดเมือ่ อายุ 11-12 เดอื น หลงั จากปลกู ในแปลงจรงิ ก่ิงท่ีจะตัดแตงเพ่อื ใหออกดอก จะตองเปนกิ่งที่แกจัด กง่ิ เปน สนี า้ํ ตาล ใบแกจัด ตงั นน้ั กอ นการ ตัดแตงจะตอ งงดใหน า้ํ 1-2 สปั ดาหเ พอ่ื ใหต น องนุ พกั ตวั อยา งเตม็ ท่ี การตดั แตง ใหใ ชก รรไกรตดั กง่ิ ให สั้นลง ความยาวของกง่ิ ทเ่ี หลอื ขน้ึ อยกู บั พนั ธอุ งนุ ดว ยเชน พนั ธคุ ารด นิ าล ใหต ัดสน้ั เหลือเพยี ง 3-4 ตา พนั ธไุ วทม าละกา ใหต ดั สน้ั เหลอื 5-6 ตา พนั ธลุ ูสเพอเรส ตัดใหส น้ั เหลอื 7-12 ตา ก่ิงท่ีตัดออกใหร ีบนําออกจากแปลงปลกู ไปเผาท้งิ หรือฝงเสีย อยา ปลอ ยทง้ิ ไวใ ตต น จะเปนที่อยู อาศัยของโรคแมลงตา ง ๆ ที่จะเขาทาํ ลายองนุ ได เม่ือตัดแตงกง่ิ จนหมดทง้ั แปลงแลว จึงใหน้ําแกต น องนุ จะเรม่ิ แตกกง่ิ ใหม ซง่ึ กง่ิ ใหมท แ่ี ตกออก มาน้ีจะมี 2 พวก คอื พวกหนง่ึ มชี อ ดอกอยดู ว ย อกี พวกหนง่ึ มแี ตใ บอยา งเดยี ว ซง่ึ ลกั ษณะดงั กลา วจะ สามารถสังเกตไดตั้งแตในระยะแรกๆ คอื ถา กง่ิ ไมม ชี อ ดอกออกมาดว ย กแ็ สดงวา กง่ิ นน้ั จะมแี ตใ บอยา ง เดียวเพราะชอดอกจะปรากฏอยูแถวๆ โคนกง่ิ ทแ่ี ตกออกมาใหมน เ้ี ทา นน้ั การปฏบิ ตั หิ ลงั จากตดั แตง กง่ิ 1.$ การตบแตง กง่ิ และการจดั กง่ิ หลังการตัดแตง กง่ิ องนุ จะแตกกง่ิ ใหมอ อกมามากมาย มที ง้ั กง่ิ ทม่ี ชี อ ดอก ก่งิ ทม่ี ีแตใ บอยางเดียว และกิ่งแขนงเล็กๆ อกี มากมาย พวกกง่ิ แขนงเลก็ ใหเ ดด็ ออกใหห มดเหลอื ไวเ ฉพาะกง่ิ ทม่ี ชี อ ดอก และกิ่ง
การปลูกองุน 18 ท่ีมีแตใบอยา งเดยี วทเ่ี ปน กง่ิ ขนาดใหญเ ทา นน้ั นอกจากนใ้ี บทอ่ี ยโู คนๆ กง่ิ กใ็ หเ ดด็ ออกดว ย เพื่อใหโปรง ไมทึบเกินไป เมื่อตบแตงกิ่งแลว และเหน็ วา ก่ิงยาวพอสมควร ใหจ ดั ใหก ง่ิ อยบู นคา งอยา งเปน ระเบยี บกระจาย กันอยูเต็มคาง ไมท ับซอ นกนั หรอื กา ยกนั ไปมา เพราะกง่ิ ทแ่ี ตกออกมาใหมจ ะแตกออกทุกทศิ ทกุ ทาง เกะกะไปหมด วิธีจัดกิ่งคอื โนม กง่ิ ใหม าพาดอยบู นลวด แลวผูกมัดดวยเชือกกลวย หรอื ใบกลว ย แหงที่ ฉีดเปนริ้ว ๆ ไมใ หม กี ง่ิ ทช่ี ข้ี น้ึ มาดา นบน หรือหอยยอยลงขา งลา ง เพราะจะไมส ะดวกในการปฏบิ ตั งิ าน เวลาจัดกิ่งตองระมัดระวังอยาใหกระทบกระเทือนชอดอก เพราะจะฉีกขาดเสียหายไดงาย พยายามจัดให ชอดอกหอยลงใตค า งเสมอ เพอ่ื สะดวกในการปฏบิ ตั งิ านตา งๆในสวน 2. การปลดิ ชอ หลังจากจัดก่ิงเรยี บรอยแลว ชอ ดอกจะเตบิ โตขน้ึ เรอ่ื ย ๆ บางครง้ั ตน องนุ อาจใหชอ ดอกมากเกนิ ไปถาปลอยไวทั้งหมด ตน จะเลย้ี งไมไ หว ทําใหตนโทรมเร็ว คุณภาพของผลไมด เี ทาท่คี วร ฉะนน้ั ถา เหน็ วามีชอดอกมากเกินไปใหปลิดออกเสียบา ง การปลดิ ชอ อาจทาํ ตง้ั แตก ําลงั เปน ดอกอยกู ไ็ ด แตไ มค อ ย นิยมเพราะไมแนวาชอท่ีเหลือจะติดผลดีหรือไม ทางท่ีดีควรปลิดชอที่ติดเปนผลเล็กๆ แลว โดย เลือกปลิดชอทเ่ี หน็ วา มขี นาดเลก็ รปู ทรงของชอ ไมส วย ตดิ ผลไมส มา่ํ เสมอ มแี มลงทาํ ลาย เปน ตน และ ใหชอดี ๆ ที่เหลือไวกระจายอยูทั่วทุกกิ่งอยางสมํ่าเสมอ ไมม ากหรอื นอ ยทด่ี า นใดดา นหนง่ึ ของตน 3. การปลดิ ผล องุนที่ปลูกกันอยูปจ จุบนั ในบา นเรามกั ตดิ ผลแนน มาก ถา ไมช ว ยปลดิ ผลออกเสยี บา ง ผลในชอ จะแนน เกนิ ไป ทําใหผ ลทไ่ี ดม ขี นาดเลก็ ๆ คุณภาพไมดีเทาที่ควร หรือเบียดเสียดกันจนผลบิดเบี้ยวทาํ ใหดูไมสวยงาม ไมช วนซอ้ื จาํ เปน ตอ งชว ยปลดิ ผลในชอ ออกบา งใหเ หลอื พอดๆี ไมแ นเ กนิ ไปหรอื โปรง เกินไป การปลดิ ผลออกจากชอ มกั ทาํ 1-2 ครง้ั เมอ่ื ผลโตพอสมควร ผลองนุ ออ นทต่ี ดั ออกมาเอาไปดอง ไวขายได วธิ ปี ลดิ ผลใหใ ชก รรไกรขนาดเลก็ สอดเขา ไปตดั ทข่ี ว้ั ผล อยา ใชม อื เดด็ หรอื ดงึ เพราะจะทาํ ให ชอผลชาํ้ เสียหาย ฉกี ขาด และมสี ว นของเนอ้ื ผลผลติ อยทู ข่ี ว้ั ทําใหโรคเขาทาํ ลายไดง า ย ขอควรระวงั เม่ือองุนติดผลแลว ผทู ี่จะเขา ไปปฏิบัติงานในสวนตองสวมหมวกหรอื โพกศรษี ะ เสมออยาใหเสนผมไปโดนผลองุน จะทาํ ใหผ ลองนุ เนา เสยี หายได 4.$ การใชสารฮอรโมน สารฮอรโมนที่ใชมีวัตถุประสงคเพื่อจะชวยใหชอดอกยืดยาวขึ้นทาํ ใหชอโปรง ผลไมเ บยี ดกนั มาก ทุนแรงในการปลิดผล นอกจากนี้ยังชวยใหผลยาว ผลโตขน้ึ สวยงามชวนซอ้ื รสชาตขิ องผลดี สสี วยงามดี หวานกรอบ ผลองนุ ทช่ี บุ ดว ยฮอรโ มน จงึ ขายไดร าคาดี สําหรบั พนั ธอุ งนุ ทป่ี ลกู กนั มากปจ จบุ นั คอื ไวทม าละกากบั คารด นิ าลน้ัน พนั ธวุ คารด นิ าลมกั ไม คอยใชฮอรโมนท้ังนี้เพราะ พันธุคารดินาลติดผลไมคอยดกมากนัก และผลไมเบียดกันแนน ถาใช ฮอรโมน จะทําใหชอองุนดูโหรงเหรงไมน า ดู สว นผลองนุ กใ็ หญพ อสมควรอยแู ลว และเปน ผลทรงกลม สว นพนั ธไุ วทมาละกาจะใชส ารฮอรโ มนชว ย ในการยดื ชอ และยดื ผล เพราะพนั ธไุ วทมาละกาตดิ ผลดก มาก จนตองปลดิ ผลทิ้งเปน จาํ นวนมาก การใชฮ อรโ มนจงึ ชว ยผลยดื ยาวขน้ึ ไมต อ งปลดิ ผลทง้ิ มาก และ ชวยใหผลขยายใหญยาวขึ้นดวยทาํ ใหด สู วยงาม สว นพนั ธอุ น่ื ๆ ทท่ี ดลองปลกู กม็ กั ใชส ารฮอรโ มนชว ย เชน พนั ธลุ ูสเพอรเลส ซง่ึ ชอ ผลสน้ั ผลดกเบยี ดเสยี ดกนั มาก ผลขนาดเลก็ สารฮอรโ มนกช็ ว ยใหช อ ผลยาว โปรงขึ้น ผลมขี นาดใหญข น้ึ สว นพนั ธทุ อมสนั ซดี เลส น้ัน โดยธรรมชาตทิ ป่ี ลกู ในบา นเรา ผลมขี นาด
การปลูกองุน 19 เลก็ มาก แมจะใชสารฮดรโมนชวยก็ทาํ ใหผ ลโตขน้ึ อกี เพยี งเลก็ นอ ยเทา นน้ั ทาํ ใหไมเหมาะที่จะผลิตเปน การคา นกั สารฮอรโมนทใ่ี ชใ นการยดื ชอ ผลขยายขนาดของผล คอื สาร “จิบเบอรเ รลลคิ ” ซง่ึ มขี ายในทอ ง ตลาดในช่ือตาง ๆ กัน การใชส ารนใ้ี นแตล ะแหง ถา ยงั ไมเ คยใช ควรใดท ดลองในจาํ นวนนอ ยกอ นปอ งกนั การเสียหายอัตราทเ่ี คยทดลองไดผ ลดใี นองนุ พนั ธไุ วทม าละกาและพนั ธลุ สู เพอรเ ลส คอื 50 พีพีเอ็ม (หมายถึงมีตัวยา 50 สว นในนา้ํ 1 ลา นสว น) หรอื ทดลองใชใ นอตั ราทก่ี ําหนดไวใ นฉลาก ขณะเดียวกนั อาจทดลองใชใ นอตั ราทม่ี ากกวา และนอ ยกวา ทก่ี ําหนดไว กบั องนุ จาํ นวนไมม ากนกั เพื่อเปรียบเทียบกัน วาอัตราใดจะเหมาะสมทส่ี ดุ ในแปลงปลกู ของเรา เวลาใช การใชฮอรโมนมกั ใช 1-2 ครง้ั คอื ครง้ั แรกหลงั จากดอกบาน 3-7 วัน (ดอกบาน หมายถงึ ดอกบาน 80 เปอรเซนตข องทง้ั หมด โดยดอกองนุ จะบานจากโคนชอ ไปหาปลายชอ เมอ่ื เหน็ วา ดอกบานไปจนเกือบจะสุดปลายชอ หรอื ประมาณ 4 ใน 5 ของความยาวของชอ ) สว นครง้ั ท่ี 2 อาจให หลังจากครง้ั แรกประมาณ 7 วัน วธิ ใี ช การใชสารฮอรโ มนน้ี อาจใชว ธิ ฉี ีดพน ไปท่ชี อดอก ชอผล ซง่ึ แมจ ะโดนใบกไ็ มม ผี ลแต อยางไรแตว ธิ นี จ้ี ะสน้ิ เปลอื งนา้ํ ยามาก และอาจโดนชอ องนุ ไมท ว่ั ถงึ ทง้ั ชอ วธิ ที น่ี ยิ มกนั คอื วธิ ชี บุ ชอ ดอก ชอผลซง่ึ ประหยดั นา้ํ ยาไดมากกวา วิธีการก็ทาํ งา ยๆ แตอ าจเสยี แรงงานมากกวา อปุ กรณง า ยๆ สําหรับ การชุบฮอรโมนคอื หาถงุ พลาสตกิ ขนาดโตพอทจ่ี ะสวมชอ องนุ ไดม า 2 ใบ ใบทห่ี นง่ึ ใสน า้ํ ธรรมดาลงไป ประมาณ ครึ่งถุง เอาถงุ ใบทม่ี ฮี อรโ มนสวมลงไปในถงุ ใบทม่ี นี า้ํ จดั ปากถงุ ใหเ สมอกนั แลวพับตลบปาก ถุงใหกวาง แลว สวมเขา ไปทช่ี อ องนุ บบี ฝา มอื นา้ํ ยากจ็ ะทะลกั ขน้ึ มาดา นบนทาํ ใหเปยกทั้งชอ แลว เปลีย่ น ไปชุบชอตอ ๆ ไป เวลาทีใ่ ชในการชบุ ชอแตล ะชอเพยี งอดึ ใจเดียว คอื เมอ่ื บบี ถงุ น้าํ ยาทะลกั ขน้ึ ไปโดนชอ แลว กค็ ลายมอื ทบ่ี บี แลว นําถงุ นา้ํ ยาออกทนั ทฉี นน้ั คนทช่ี าํ นาญจะทาํ ไดร วดเรว็ มาก เมอ่ื ชบุ ชอ ไปไดส กั พักนํ้ายาในถุงจะพรอ งลงกเ็ ตมิ ลงไปใหมใ หไ ดร ะดบั เดมิ คอื ประมาณครง่ึ ถงุ ตลอดเวลา การบบี ตอ งระวงั อยาใหแรงมาก เพราะน้าํ ยาจะทะลกั ลน ออกนอกถงุ เสยี ไปโดยเปลา ประโยชน ขอ ทค่ี วรระวงั ของการใช ฮอรโมนแบบชุบชอนี้ก็คือ เปนโอกาสทาํ ใหโ รคตา งๆ ทช่ี อ ระบาดจากชอ หนง่ึ ไปยงั ชอ อน่ื ๆ ไดง า ย ถา เปนชวงที่โรคกาํ ลงั ระบาดอยคู วรเตมิ ยากนั ราลงไปในน้าํ ยาฮอรโ มนนน้ั ดว ย 5.$ การใสป ยุ ปุยนบั วา สาํ คัญสาํ หรบั การปลกู องนุ มาก ทงั นเ้ี พราะองนุ เจรญิ เตบิ โตทง้ั ป และที่สําคัญคือ องนุ ใหผลผลิตมาก ดงั นน้ั จงึ ตอ งใชธ าตอุ าหารตา งๆ มาก ปุยที่ใชมีทั้งปุยอินทรีย เชน มลู สตั วต า งๆ ปุยหมัก และปุยเคมี ปยุ อนิ ทรยี น น้ั ถงึ แมจ ะมธี าตอุ าหารทพ่ี ชื ตอ งการจาํ นวนนอ ย แตก็ชวยปรับสภาพของดินให ดีข้ึน ชวยใหด นิ ระบายนา้ํ ดี ระบายอากาศดี ทําใหร ากเตบิ โตแขง็ แรง ชว ยลดความเปน กรดเปน ดา งของ ดิน เหมาะตอการเจรญิ เตบิ โตขององนุ และที่สําคญั อกี ประการหนง่ึ คอื ชวยใหปุยเคมีที่ใสลงไปเปน ประโยชนตอตน องนุ อยา งเตม็ ท่ี ดงั นน้ั จงึ ตอ งใสป ยุ อนิ ทรยี ท กุ ๆ ป เพือ่ ใหส ภาพของดนิ ดขี น้ึ เรอ่ื ย ๆ สําหรับปุย เคมี หรือปยุ วทิ ยาศาสตรนน้ั หลงั จากทต่ี ดั แตง เพอ่ื ใหอ อกดอกดงั กลา ว ในตอนตน แลวนน้ั ควรใหปุยอีก 1-2 ครง้ั ปยุ ทใ่ี หใ นชว งออกดอกแลว น้ี ก็เพื่อบํารงุ ตน และทาํ ใหผ ลเตบิ โตดี คณุ ภาพของผลดีปุยที่ใหจาํ ตอ งเปน ปยุ ทม่ี ธี าตอุ าหารหลกั ครบทง้ั 3 ตวั ธาตไุ นโตรเจน ฟอสฟอรสั และ โป แตสเซี่ยม และควรมธี าตฟุ อสฟอรสั และโปแตสเซย่ี มสงู กวา ไนโตรเจนดว ย เชน สตู ร 6-12-12, 6- 12-24 หรืออน่ื ๆ ทม่ี ขี ายตามทอ งตลาด การใสใ หใ สต น ละ 1 กิโลกรัม โดยแบง ใสส องครง้ั ครง้ั ละ
การปลูกองุน 20 ครึ่งกิโลกรัม โดยครง้ั แรกใหใ สใ นระยะทผ่ี ลองนุ มขี นาดประมาณเมลด็ ถว่ั เขยี ว และอกี ครง้ั หนง่ึ เมอ่ื ผลโต เต็มท่ี เร่ิมจะเปลย่ี นสี การใสป ยุ ในชว งนไ้ี มค วรพรวนดนิ เพราะจะไปกระทบกระเทือนรากองุน เพราะ วารากอยูต น้ื มาก ถา ตอ งการพรวนเพอ่ื ใหป ยุ คลกุ เคลา กบั ดนิ ปอ งกนั การสญู เสยี ปยุ ใหพรวนเพียง บางๆ ดว ยความระมดั ระวงั หรอื ใสพรอ มกับปุยอินทรียก ไ็ ด 6. การใหน า้ํ หลังจากการตดั แตง แลว ตอ งใหน า้ํ อยา งสมา่ํ เสมอ อยา ใหด ินแหงได โดยเฉพาะชว งวตัดแตง ใหม ๆ ตนองุนจะไมม ใี บเหลอื อยเู ลย แดดจะสอ งถงึ โคนตน โดยตรงทาํ ใหดินแหงเร็ว ในชว งน้ี ถา ฝนไมต ก ตองรดนา้ํ ใหทุกวัน หลงั จากทอ่ี งนุ เรม่ิ แตกใบหนาแนน ขน้ึ การใหน า้ํ กห็ า งออกไปได ไมตองใหทาํ ทุกวัน โดยสังเกตจากดนิ ในแปลงอยา ใหด นิ แหง มากเปน ใชไ ด การใหน า้ํ จงึ เปน งานประจาํ ทาํ อยา งเพยี งพอและ สมํ่าเสมอ จนถึงระยะผลที่จะแกจึงงดใหนํ้า แตผ ลองุนท่ีไดจ ะมคี ุณภาพไมด ี เนา เสยี เรว็ เกบ็ ไวไ ดไ มน าน จงึ ไมควรทาํ อยา งยง่ิ 7. การปอ งกนั กําจดั โรคแมลง องุนเปนพืชที่มีโรคแมลงศตั รเู ขา ทาํ ลายมาก การปอ งกนั กาํ จดั เปน ปญ หาหนกั อยา งหนง่ึ ของผู ปลูก ตองเสียทั้งเวลาและทุนทรัพยเปนจาํ นวนมาก การปอ งกนั กาํ จดั ตอ งกระทําอยเู สมอ การปลกู องนุ จึงจะไดผล การปอ งกนั กาํ จดั ศตั รตู า ง ๆ เปน ปญ หาใหญจ งึ จะไดก ลา วโดยละเอยี ดในตอนตอ ไป การเกบ็ ผลองนุ การเก็บผลองุน เปน ขน้ั ตอนทส่ี าํ คญั อกี อนั หนง่ึ ทง้ั นเ้ี พราะองนุ เปน ผลไมท เ่ี รยี กวา บม ไมไ ด กลาวคือ เม่ือเกบ็ มาจากตน เปน อยา งไร ก็จะยังคงสภาพอยูเชนนั้น ไมห วานขน้ึ อกี ไมส กุ มากขน้ึ อกี แลว การเก็บผลองุนจงึ ตองเก็บในชวงทเ่ี หมาะสม ผลแกเต็มที่ และไมแกเกินไป ผลองนุ ทย่ี งั ไมแ กเ ตม็ ทจ่ี ะมี รสเปร้ียว ฝาด คุณภาพ ของผลไมด ี สไี มส วย สว นผลองนุ ทแ่ี กเ กนิ ไปจะหวานจดั เกนิ ไป เนา งา ย เก็บไว ไมไดนาน ผลหลดุ รว งงา ย วิธีดูผลองุนที่แกจัดอาจทาํ ไดห ลายอยา งเชน การนบั อายุ ตง้ั แตต ดั แตง จนถงึ แกจ ดั ซง่ึ แตกตา ง กนั ไปแลว แตพ นั ธุ เชน พันธุคารดินาล ประมาณ 3 เดอื น ถึง 3 เดอื นครง่ึ เปน ตน อยา งไรกต็ าม กําหนดการแกของผล โดยการนบั อายตุ ง้ั แตต ดั แตง น้ี มขี อ ทน่ี า สงั เกตบางประการเชน ผลองนุ ทช่ี บุ สาร ฮอรโมนจะสุกเรว็ กวา ผลทไ่ี มไ ดช บุ สารฮอรโ มนหลายวนั และฤดกู าลมสี ว นเกย่ี วขอ งดว ย เชน หนา แล ผลจะสุกเร็วกวา หนา ฝน เปน ตน จงึ ตอ งอาศยั อยา งอน่ื ประกอบดว ย เชน สขี องผลท่แี กจ ดั จะเปลยี่ นจากสี เขียว (ทุก ๆ พนั ธตุ อนแรกจะเปน สเี ขยี ว) ไมเ ปน สตี ามพนั ธุ เชน พนั ธไุ วทม าละกา พันธุลูสเพอเรส เมอ่ื แกจะมสี เี หลอื งออ น เหลอื งใส สว นพนั ธคุ ารด นิ าลเปนสมี ว งดาํ หรอื ดาํ อมแดง เปน ตน นอกจากสขี องผล อาจดูจากความหวานของผลโดยการทดลองชมิ ดู หรอื ใชเ ครอ่ื งวดั เปอรเ ซนตค วามหวาน (น้าํ ตาล) หรือ อาจดูจากขั้วชอผล ถาผลแกจัด ขว้ั ของชอ ผลจะเปลย่ี นจากสเี ขยี ว เปน สนี า้ํ ตาลดงั นเ้ี ปน ตน ดงั นน้ั การจะ เก็บผลองนุ ทแ่ี กจ ดั ควรอาศยั หลาย ๆ อยา งประกอบกันเพ่อื ใหแ นใจและทสี่ ําคญั อยา งยง่ิ คอื ควรงดการ ใหน้ําแกตน องนุ สกั ระยะหนง่ึ กอ นการตดั ผลเพอ่ื ใหอ งนุ มคี ณุ ภาพดี ดงั ไดก ลา วถงึ แลว อยางไรก็ตาม บางครง้ั ผปู ลกู อาจจาํ เปน ตอ งเกบ็ ผลองนุ กอ นทจ่ี ะแกจ ดั ดว ยเหตผุ ลหลายประการ เชนอาจเต็มทก่ี อ น และทยอยเก็บไปเรื่อยๆ จนหมด การเกบ็ ใหใ ชก รรไกรตดั ทข่ี ว้ั ชอ ผลบรรจลุ งเขง หรือ
การปลูกองุน 21 ลังไมที่บุหรอื รองดว ยกระดาษฝอย ใบตอง ปอ งกนั การชอกชา้ํ ในขณะขนสง การขนสง กค็ วรทําดว ยความ ระมดั ระวงั อยา ใหช อกชา้ํ มาก การพกั ตวั ของตน องนุ หลังจากท่ีเก็บผลองนุ จนหมดแลว จะตอ งปลอ ยใหต น องนุ พกั ตวั ระยะเวลาหนง่ึ ประมาณ 1-2 เดือน เพ่ือใหตนองนุ ไดส รา งอาหารสะสมไวใ นตน เพอ่ื ใหด อกใหผ ลในครง้ั ตอ ไป ชว งทใ่ี หต น องนุ พกั ตวั นี้ไมตองปฏิบัติงานมากนัก เพียงใหนํา้ เปน ครง้ั คราวไมใ หด นิ แหง เกนิ ไป การพกั ตวั ของตน องนุ นบั วา เปนชวงท่ีสําคญั อีกชวงหน่ึง มผี ลตอ การใหด อกใหผ ลในคราวตอ ไปมาก ถา ใหพ กั ตวั นอ ยหรอื ในชว งสน้ั ผลผลิตในคราวตอ ไปกจ็ ะนอ ยลง ตน จะทรดุ โทรมเรว็ ระยะเวลาในการพกั ตวั กแ็ ตกตา งกนั ออกไปตาม พันธุ เชน พนั ธไุ วทมาละกา พนั ธลุ ูสเพอรเ ลส ควรใหพักตัว 1-2 เดอื น สว นพนั ธคุ ารด นิ าล ใหพักตัว นอ ยกวา นไ้ี ด แตไ มค วรตา่ํ กวา 15-20 วัน เปน ตน เม่ือตนไดพ กั ตวั เตม็ ทจ่ี ะสงั เกตไดจ ากกง่ิ องนุ ชว งสดุ ทา ย (คอื ชว งทต่ี ดั ผลออกไปแลว ) เปน สนี า้ํ ตาลใบแกจัด ในกรอบ กส็ ามารถตดั แตง ครง้ั ตอ ไป หรือ”มดี สอง” ไดโ ดยกอ นการตดั แตง ใหป ฏบิ ตั เิ ชน เดียวกับคร้ังแรกหรอื “มดี แรก” คอื งดใหน า้ํ อยา งนอ ย 7 วัน แลว จงึ ตดั แตง กง่ิ ออกไปทง้ั หมด หลงั จาก ตัดก่ิงออกหมดแลว กร็ ดน้ํา ใหปุย เชน เดยี วกบั ครง้ั แรก โดยใหปุยเพิ่มมากขึ้น เพราะตน องนุ เตบิ โตขน้ึ ทุกป ในการตดั แตง ครง้ั ตอ ไปกป็ ฏบิ ตั เิ ชน เดยี วกนั เปน วงจรอยเู ชน นต้ี ลอดไป ดงั ภาพประกอบ ปลูก ตนพกั ตัว ตัดแตง ใหผ ล “มีดแรก” เก็บผล ตน พกั ตวั ใหผ ล ตดั แตง พกั ตวั เก็บผล “มดี สอง” จะเห็นวาจุดสาํ คัญที่จะทาํ ใหองนุ ออกดอกออกผลคอื การตดั แตง ดงั นน้ั จงึ สามารถคาํ นวณระยะ เวลาใหองุนออกดอกตอนไหนก็ได ผลแกชวงไหนก็ได แลว แตค วามตอ งการของผปู ลกู ทําใหมอี งนุ ขาย อยูในทองตลาดตลอดท้งั ป ผปู ลกู หลายรายเจาะจงทจ่ี ะใหอ งนุ ของตนแกต ดั ไดใ นชว งเทศการตา งๆ เชน ปใหม ตรุษจีน เปน ตน ซง่ึ เปน ชว งทต่ี ลาดตอ งการองนุ มากทาํ ใหไ ดร าคาดี หลายรายพอคาจะเปนผู กําหนดวาสวนใครควรจะตัดแตงชวงไหน เพื่อใหพอคาประจาํ มอี งนุ สง ตลาดไดท ง้ั ป เปน ตน จะเห็นวา การท่ีสามารถบังคับใหองุนออกผลตามเวลาที่ตองการไดเปนขอไดเปรียบที่สําคัญประการหน่ึงซึ่งการ ปลูกองนุ ในเขตหนาวไมส ามารถทาํ ได การทําหลังคาพลาสติก ไดมีการทดลองทําหลงั คาพลาสตกิ ครอ มแปลงปลกู องนุ พนั ธลุ ูสเพอรเ ลส เพอ่ื หาความเปน ไป ไดท่ีจะนําวิทยาการใหมๆ มาใชใ นการปลกู องนุ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคใ หห ลงั คาพลาสตกิ นป้ี อ งกนั ฝน ซึ่ง จะทําใหผ ลแตกและลดคา ใชจ า ยในการใชย าปอ งกนั กาํ จดั โรคตา งๆ ทร่ี ะบาดมากในชว งฝนตกชกุ
การปลูกองุน 22 จากการสังเกตปรากฏวา หลงั คาพลาสตกิ ใหผ ลในทางปอ งกนั ดอกรว ง เพราะโดนฝนไดเ ปน อยางดี เพราะปกตถิ า เกดิ มฝี นตกในชว งทอ่ี งนุ กาํ ลงั ออกดอก ดอกเรม่ิ บานแลว ดอกองนุ จะรว งเสยี หาย มาก การใชหลังคาพลาสตกิ จงึ ปอ งกนั ได นอกจากนย้ี งั ปอ งกนั ผลแตกเนอ่ื งจากโดนฝนไดเ ปน อยา งดี เพราะองุนที่กําลังจะแก ถาโดนฝนจะแตกเสียหายมาก หลงั คาพลาสตกิ ยงั ชว ยลดคา ใชจ า ยในการปอ ง กันโรคตางๆ ในฤดฝู นไดม ากพอสมควร กลา วคอื จากการเปรยี บเทยี บในเรอ่ื งการใชย าปอ งกนั กําจัด ศัตรูน้ัน เม่ือปลกู ภายใตห ลงั คาพลาสตกิ จะฉดี ยาปอ งกนั กาํ จดั เชอ้ื รา 7-8 ครง้ั ตลอดฤดปู ลกู (หนา ฝน) ในขณะทก่ี ารปลกู แบบธรรมดาฉดี พน ยากนั ราถงึ 20-30 ครง้ั หรอื วนั เวน วนั หรือทุกวันที่ฝนตก เปน ตน สว นยาปอ งกนั กาํ จัดแมลงใชเพียง 5 ครง้ั ซง่ึ ปกตไิ มต ํากวา 10 ครง้ั ก็นับวาประหยัดคาใชจาย และแรงงานในการปอ งกนั กาํ จดั ศตั รตู า งๆ ไปไดม าก ผูปลูกก็ปลอดภัยจากยาที่ตนใช ผูบริโภคก็ปลอด ภัยมากย่ิงข้ึน แตก ม็ จี ดุ ออ นหลายประการเชน ตองลงทุนคาทาํ หลงั คาสงู พอสมควร อุณหภูมภิ ายใตหลัง คาจะสูงกวาปกติ 2-3 องศา ทาํ ใหต น องนุ เตบิ โตเรว็ กวา ปกติ และยงั เปน สาเหตใุ หพ วกแมงมุมแดง ไร ขาว ระบาดไดม ากขน้ึ แตก ไ็ มเ ปน ปญ หามากนกั สามารรถปอ งกนั กาํ จดั ได สิ่งที่สําคญั อยา งหนง่ึ สาํ หรับ สภาพการปจจบุ ันคอื การปลกู องนุ ใตห ลงั คาพลาสตกิ น้ี ควรปลกู พนั ธทุ ไ่ี ดร าคาสงู กวา ปกติ 1-2 เทา ข้ึนไป จึงจะใหผลตอบแทนแกผูปลูกได เชน การปลกู พนั ธไุ มม เี มลด็ เปน ตน ความคิดที่จะทาํ หลงั คาพลาสตกิ คอ มแปลงปลกู องนุ น้ี นบั วา นา สนใจมาก อาจจะเปนประโยชน ในการพัฒนาการปลกู องนุ ของบา นเราในโอกาสตอ ไปตอ ไป เพราะในหลายประเทศก็ไดใชหลังคา พลาสติกในการปลูกพืชผักตางๆ กันอยางแพรหลายอยูแลว ถา ไดท ดลองและพฒั นาแบบของหลงั คาท่ี ถูกตอง ประหยัด ถอดเกบ็ ไดง า ย ใชง า นสะดวก ใชแผนพลาสติกที่ทนทาน ฯลฯ ก็จะเปนหนทางหนึ่งที่ จะชว ยพฒั นาการปลกู องนุ ใหเ จรญิ กา วหนา ตอ ไป หลังคาพลาสตกิ ทไ่ี ดท ดลองทําดนู น้ั ทําเปน รปู หนา จว่ั สงู 2.30 เมตร (ตามภาพ) ความกวา ง ของหลังคาแตละดา น 2.5เมตร ชายคาคลมุ แปลงองนุ ทง้ั หมดทาํ ใหน ้าํ ฝนไมโ ดนตน องนุ เลย หลังคาใชพลาสตกิ อยา งหนาปซู อ นกนั เชน เดยี วกบั การมงุ หลงั คาทว่ั ไป และจะเก็บราบ พลาสติกไปไวบนยอดจว่ั ในชว งทไ่ี มม ฝี นตก เพอ่ื ใหม อี ายกุ ารใชง านนานขน้ึ ซง่ึ ตามทท่ี ดลอง ดูนั้นอยูไดนาน 2-3 ป ตอ งเปลย่ี นพลาสตกิ ใหม เพราะกราบและฉกี ขาด สิ่งที่ทาํ ใหพ ลาสตกิ ฉกี ขาด เสียหายเร็วก็คือ ลม ดงั นน้ั แปลงปลกู ควรมตี น ไมก นั ลมชว ย รวมทง้ั การออกแบหลงั คาทถ่ี กู ตอ ง การใช พลาสติกคุณภาพดีจะชวยแกปญหาตาง ๆ ไดม าก การดูแลการปฏิบัติงานสวนทั่วไปก็เหมือนกับการปลูกแบบปกติ งานทเ่ี พม่ิ มากขน้ึ คอื การรดนา้ํ ถึงแมวาจะเปน ฤดฝู นแตก ต็ อ งรดนา้ํ ให 2-3 วนั ตอ ครง้ั เพราะฝนทต่ี กลงมาไมถ กู ดนิ ปลกู เลย หรือถกู เพียงเล็กนอยไมพ อเพยี งตอ การเจรญิ เตบิ โตของตน องนุ และจะตอ งคอยตรวจดคู วามเรยี บรอ ยของ พลาสติกอยเู สมอๆ บางครง้ั จะขงั นา้ํ ฝนไว หรอื ฉกี ขาดจากลมจากฝน เปน ตน โรคองุน ปญหาท่ีสาํ คญั ประการหนง่ึ ของการปลกู องนุ ในประเทศไทย คอื ปญ หาเรอ่ื งโรคตา งๆ ระบาด ทําคามเสยี หายอยางมาก ผปู ลกู ตอ งลงทนุ สงู ในการปอ งกนั กาํ จัด เสยี เวลาและคา ใชจ า ยมาก จนบาง แหงตองเลกิ ปลกู องนุ หันไปปลูกพืชอยางอื่นแทน สาเหตุที่โรคระบาดทาํ ความเสยี หายมากและการปอ ง กนั กาํ จัดไมคอยไดผล เพราะ
การปลูกองุน 23 1. การปลูกองนุ ในบา นเราปลกู ทง้ั ป ทําใหโ รคตา งๆ ระบาดไดก วา งขวางตลอดป เชนเดียวกัน แมจะมีระยะหนง่ึ คอื ชว งตดั แตง ใหแ ตกใบใหม แตก เ็ ปน ชว งเวลาสน้ั ๆ และไมไดทาํ พรอมเพรียงกนั ทุก แหง ทําใหโ รคหมนุ เวยี นไปมาระหวา งสวนได 2. สภาพดินฟา อากาศของบา นเรา เหมาะสมตอ การเจรญิ เตบิ โต แพรเ ชอ้ื ของโรคหลายชนดิ ความช้ืนในอากาศทส่ี งู ตลอดป ฤดฝู นทย่ี าวนานชว ยใหโ รคระบาดตลอดทง้ั ป 3. ผปู ลกู มกั ใชย าปอ งกนั กาํ จดั ไมต รงกบั โรคทเ่ี ปน ทําใหก ารปอ งกนั กาํ จดั ไมไ ดผ ลละยงั เสยี เงนิ โดยใชเหตอุ กี ดว ย บางครง้ั ยาทต่ี รงกบั โรคทเ่ี ปน อาจจะราคาสงู กวา แตกย็ งั ดีกวาใชยาไมต รงกับโรค เพราะไมเ กดิ ประโยชนใ นทางปอ งกนั กําจดั เลย 4. การใชย าปอ งกันกาํ จดั โรคโดยเฉพาะในฤดฝู นควรเตมิ ยาจบั ใบลงไปดว ย แมจะเพิ่มคาใชจาย ข้ึนอีกแตไดผลในทางปอ งกันกาํ จัดมากกวา และลดตน ทนุ ในดา นคา จา งแรงงาน ยาจับใบจะชวยใหยา ปองกันกําจดั โรคทฉ่ี ดี พน ไปนน้ั จบั ตดิ ใบไดแ นน กวา ไมต อ งฉดี ยาทกุ ครง้ั หลงั ฝนตกดงั ทป่ี ฏบิ ตั กิ นั อยู ปจจุบัน 5. วธิ กี ารปอ งกนั กาํ จัดโรคโดยทั่วไป เชน เมื่อทาํ การตดั แตง กง่ิ เพอ่ื ใหอ อกดอกนน้ั ควรนํากิ่งทั้ง หมดไปเผาทิ้งในที่หางไกลจากตน อยา ปลอ ยใหก ง่ิ ใบรว งหลน อยโู คนตน จะเปน แหลง แพรเ ชอ้ื โรค การ ฉีดพนยา ไมควรฉีดจนโชกไหลทิ้ง จะเสียตัวยาโดยเปลาประโยชน หรอื การรดนา้ํ อยา ใหโ ดนใบ การตดั แตงก่ิงใหโปรง ลมถา ยเทไดส ะดวกไมอ บั ชน้ื การทําความสะอาดสวน เปน ตน จะชว ยลดการระบาดของ โรคได โรคทส่ี าํ คญั และการปอ งกนั กาํ จัด 1.$ โรครานาํ้ คา ง (Doeny mildew) – Pladmopara Viticola โรครานาํ้ คา งนบั วา เปน โรคทส่ี าํ คัญที่สุด สําหรบั การปลกู องนุ ในบา นเรา เปน โรคทร่ี ะบาดรนุ แรง ทําความเสยี หายมากตอ งเสยี คา ใชจ า ยในการปอ งกนั กาํ จัดสูง เปน โรคทร่ี ะบาดไดท ง้ั ป โดยเฉพาะ อยางย่ิงในฤดูฝนจะระบาดอยา งรนุ แรง เพราะความชน้ื ในอากาศมสี งู เปนโรคที่เจริญพันธุขยายลูก หลานอยูบนสวนขององนุ ทย่ี งั สดอยู และสามารถแพรร ะบาดไปยงั ทอ่ี น่ื ๆ โดยปลวิ ไปกบั ลม จงึ ปอ งกนั การระบาดไดค อ นขา งยาก อาการของโรค โรคน้ีเกิดไดก บั สว นตา ง ๆ ของตน องนุ ทง้ั ใบ ดอก ยอดออ น เถา และผล โดยมี อาการทส่ี งั เกตได คอื - อาการบนใบองนุ ใบที่ไดรับเช้อื โรคตอนแรกจะเหน็ เปน เพียงจุดเล็กๆ สเี หลอื งปนเขยี ว ทาง ดานบนของใบ ตอมาจะขยายเปนแผลโตขึ้น ขนาดไมแ นน อน ในระยะนถ้ี า ผลกิ ดดู า นลา งของใบตรงท่ี เปนผลจะพบเชอ้ื ราสขี าวอยเู ปน กลมุ เหไ็ ดช ดั ซง่ึ ตรงกลมุ นเ้ี องทจ่ี ะเจรญิ แพรพ นั ธตุ ดิ ตอ ไปยงั ใบอน่ื ๆ หรือแปลงอื่นๆ โดยปลวิ ไปกบั ลม อาการของโรคจะสงั เกตไดก ต็ อ เมอ่ื เชอ้ื ราเขา ทาํ ลายแลว 4-6 วัน - อาการทย่ี อดออ น ยอดออ นทโ่ี รคเขา ทาํ ลายจะแคระแกรน ยอดสน้ั มเี ชอ้ื ราสขี าวขน้ึ ปกคลมุ ยอด เหน็ ไดช ดั เจน ยอดออ นเปลย่ี นเปน สนี า้ํ ตาล และแหงตายในที่สุด
การปลูกองุน 24 - อาการทช่ี อ ดอก ชอดอกทไ่ี ดร บั เชอ้ื จะคอ ย ๆ เปลย่ี นเปน สเี หลอื งเปน หยอ มๆ อกี 2-3 วัน ตอมาจะเห็นเชอ้ื ราสขี าวขน้ึ ทช่ี อ ดอกเหน็ ไดช ดั ชอ ดอกเปลย่ี นเปน สนี า้ํ ตาล และแหงติดเถา โดยชอ ดอก อาจแหง จากโคนชอ ปลายชอ หรอื กลางชอ กไ็ ด - อาการทผ่ี ล จะเกิดกบั ผลออ น โดยครัง้ แรกจะมีลักษณะเปนจุดหรอื ลายทางๆ สนี า้ํ ตาลทผ่ี ล ผลเริ่มแหง เปลอื กผลเหย่ี ว เปลย่ี นเปน สเี ทาปนนา้ํ เงนิ หรอื นา้ํ ตาลแก ถาเปนมากผลจะเหี่ยวหมดทั้งชอ - อาการทเ่ี ถา-ที่มือ อาการท่ีมือหรือทห่ี นวดนน้ั เรม่ิ จากมอื เปลย่ี นเปน สเี หลอื งปนเขยี ว และ เปล่ียนเปน สนี า้ํ ตาลแหง ตดิ เถา สําหรบั อาการทเ่ี ถาองนุ ผวิ เปลอื กจะเปลย่ี นเปน สดี าํ หรอื นา้ํ ตาล มอง เห็นเชอ้ื ราสขี าวตรงกลางแผลไดช ดั เจน ทาํ ใหยอกแคระแกรน ขอแนะนําในการปอ งกนั กาํ จดั 1. การทาํ ความสะอาดสวน อยา ใหร กรงุ รงั กง่ิ ตา งๆ รวมทง้ั ใบทต่ี ดั ออกจากตน ใหน าํ ใปเผาทิ้ง หรือฝง อยา ปลอ ยทง้ิ ไวใ นสวนจะเปน แหลง แพรเ ชอ้ื โรค 2. หลังจากทต่ี น องนุ แตกกง่ิ ใบใหมแลวควรจัดกิ่งเถาใหกระจายทั่ว ๆ คา ง อยาใหทับซอนกัน มากก่ิงท่ีไมต อ งการใหต ัดแตงออกใหโ ปรง อยาใหกิ่งหอยยอยลงจากคาง ใหอากาศถายเทสะดวก จะ ชวยลดความชน้ื ลง ชว ยลดการระบาดของโรค 3. การฉดี ยาปอ งกนั กําจัด ทาํ เปน ระยะๆ ตามความเหมาะสม ตามฤดกู าล ฤดฝู นอาจตอ งฉดี ยาบอย ในฤดูแลง อาจฉดี ยาหา งออกไปไดบ า ง โดยเรม่ิ ฉดี ครง้ั แรกเมอ่ื เรม่ิ แตกยอดออ น ครง้ั ทส่ี องเมอ่ื มี ใบออน 3-4 ใบ ครง้ั ตอ ๆ ไปกฉ็ ดี ตามความเหมาะสมเปน ระยะๆ ยาทใี่ ชป องกันกําจดั โรคนไ้ี ดด ี เชน 1.! ตัวยาทม่ี สี ว นผสมของ ไซเนบ – มาเนบ (ตวั ยาทม่ี ธี าตสุ งั กะสี และแมลงกานสี เปน สวนประกอบ) เชนยา ไดเทน เอ็ม-45,แมนเซท-ดี เปน ตน 2.! ตัวยาทม่ี สี ว นผสมของธาตทุ องแดง และไซเนบ เชน ยาคโู ปรซาน ซเู ปอร- ดี 3.! ยาทม่ี สี ว นผสมของเหลก็ เชน เฟอรแ บม เปน ตน การใชยาปอ งกนั โรคราตา ง ๆ ควรเตมิ นา้ํ ยาชวยจับใบลงไปดวย โดยเฉพาะในฤดูฝนจะชวยให ยาจับใบไดดี ไมโ ดนชะลา งอยา งรวดเรว็ 2.$ โรคชอแหง (Bacterial Blight) โรคชอดอกแหง เปน ไดท ง้ั ชอ ดอก ใบ และยอกออ น อาการทช่ี อ ดอก เมอ่ื เปน โรคนจ้ี ะเนา แหง ติดกับเถา เชน เดยี วกบั ชอ ดอกทเ่ี นา เนอ่ื งจากโรครานา้ํ คา ง แตท ีจ่ ะสงั เกตเหน็ แตกตา งกนั คอื ถา เกดิ จากโรครานา้ํ คา งจะเนา แบบเนา แหง แตถาเกิดจากโรคชอดอกแหง จะเนา เปย กหรอื เนา เละ - อาการทช่ี อ ดอก จะเร่ิมแสดงอาการทป่ี ลายชอ ดอกกอ น ทําใหป ลายชอ ดอกเรม่ิ เปลย่ี นเปน สีน้ําตาล แผลจะลกุ ลามเขา มาหาโคนชอ และชอ ดอกจะเปลย่ี นเปน สนี า้ํ ตาลทง้ั หมด แหงตายตดิ เถา - อาการทย่ี อดออ น ยอดออนทไ่ี ดรับเชอื้ จะมอี าการซีดเหลืองผดิ ปกติ ตอ มาเปลย่ี นเปน สเี ทา อมดําและเกิดเปนแถบสีนาํ้ ตาลดา นขา ง เปลอื กจะแตกตามยามมองเหน็ เนอ้ื ไมข า งใน ยอดแคระแกรน และตายในทสี่ ุด - อาการทใ่ี บ ใบจะเปล่ียนจากสเี ขยี วเปน สเี หลอื งปนแดงและเปลย่ี นเปน สนี า้ํ ตาล ตอ มาใบจะ แหง ตาย แลวลุกลามไปยังยอดทาํ ใหยอดแหงตายดวย
การปลูกองุน 25 โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชน โรคชอ ดอกเนา น้ี เชือ้ โรคจะเขาสพู ชื ไดโดยทางบาดแผลตางๆ ทางรเู ปด สาํ หรับหายใจและคายนํ้าของพชื หรือจากรอยแผลที่เกิดจากแมลงทาํ ลาย เปน ตน ตงั นน้ั การ ปฏิบัติงานสวนตอ งทาํ ดว ยความระมดั ระวงั เชอ้ื โรคอาจตดิ มากบั กรรไกรทใ่ี ชต ดั แตง กง่ิ ตดั แตง ชอ ก็ได สําหรับการแพรร ะบาดของโรคชอ ดอกแหง น้ี เชื้อโรคสามารถเจรญิ เติบโตแพรพ นั ธไุ ดท้ังบนสว น ที่ยังสดอยู และสวนที่แหงตายไปแลว ดงั นน้ั พวกกง่ิ ใบ สว นตา ง ๆ ทต่ี กหลน อยใู นสวนจงึ เปน แหลง แพร เช้ือโรคได ควรเก็บกวาดออกไปทิ้งหรือเผาใหหมด ไมใ หเปนทสี่ ะสมโรค ยง่ิ แปลงปลกู ชน้ื แฉะโรคนก้ี จ็ ะ ย่ิงระบาดไดร วดเรว็ แมลงตางๆ ที่ทําลายกดั กนิ องนุ กอ็ าจเปน พาหะนาํ โรคจากทอ่ี น่ื มาสตู น องนุ ได การปอ งกนั กําจดั 1. ทําความสะอาดสวนอยา ใหร กรงุ รงั กง่ิ เถาตา งๆ ตดั แตง ใหโ ปรง อยาใหแนนทึบ กิ่งใบท่รี ว ง หลนอยูใตตนใหเก็บกวาดไปเผาทิง้ ใหหมด 2. ระมัดระวงั อยา ใหเ กดิ บาดแผลบนตน ในทอ งทห่ี รอื ชว งทโ่ี รคนร้ี ะบาดมาก การตัดแตงใหทาํ ดวยความระมดั ระวงั โดยทําความสะอาดเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชต ดั แตง บอ ยๆ 3.! ปองกนั แมลงตา ง ๆ ที่เขาทําลายองนุ 4.! การใชย าปอ งกนั กาํ จัด เชน 1.! ยาพวกปฏิชีวนะ เชน แอกกริมัยซิน สเตรปโตมัยซิน เปน ตน 2.! ยาแนทริฟน (ซิเดียม ออโรเฟนินฟเนท) ใชใ นอตั รา 2 ชอ นโตะ ตอ นา้ํ 3 ปบหรือ 15 กรัมตอน้ํา 60 ลติ ร โดยฉดี ครง้ั แรกเมอ่ื เรม่ิ เหน็ อาการชอ แหง ครง้ั ตอ ไป อกี 2 ครง้ั หา งกนั ครง้ั ละ 1 สัปดาหก็เพียงพอ เพราะเมอ่ื องนุ ตดิ ผลดแี ลว ความรนุ แรงของโรคจะลดลง 3. โรคแอนแทรกโนส หรอื โรคผลเนา หรอื โรคแบลคสปอต (Antracnose or black spot)- Gloeasporium ampelephagum โรคผลเนา หรือโรคแอนแทรกโนสนี้ ชาวบา นมกั เรยี ก โรคอบี บุ หรือ โรคลกู บบุ เพราะอาการที่ เกิดกับผลนั้น จะเปน แผลลกึ ลงไปในเนอ้ื โรคนเ้ี ปน โรคทร่ี ะบาดอยา งชา ๆ แตก็รุนแรง และรักษายาก บางทองที่บางฤดู ก็เปนปญหาสําหรบั การปลกู องนุ มากเชน กนั โรคนี้นอกจากจะเปนที่ผลซึ่งพบไดทั่วๆ ไปแลวยังเปน กบั เถาและใบองนุ ไดด ว ย โดยเชอ้ื โรคสามารถแพรร ะบาดไปกบั ลมและน้ํา ปกติแลว โรค แอนแทรกโนสน้ีจะระบาดทําความเสยี หายกบั ทกุ สว นขององนุ โดยเฉพาะสว นทย่ี งั ออ นอยู เชน ยอด ออน กิ่งออน ใบออ น สว นทผ่ี ลเปน ไดท ง้ั ในระยะผลออ นจนจงึ ผลโต - อาการทผ่ี ล โรคผลเนานี้สามารถเขาทาํ ลายผลองนุ ไดท กขนาด ตง้ั แตเ ลก็ จนโต ในผลออ นท่ี เปนโรคจะเหน็ จดุ สนี า้ํ ตาลออ น ถงึ นา้ํ ตาลเขม บมุ ลงไปเลก็ นอ ย ขอบแผลสเี ขม ถา อากาศชน้ื ๆ จะเห็น จุดสีชมพู สีสม ตรงกลางแผล สว นในผลแกใ นระยะผลองนุ เรม่ิ เขา สี จะเหน็ บรเิ วณเนา เปน สนี า้ํ ตาล มี จุดสีชมพู สีสม เกดิ ขน้ึ บรเิ วณตรงกลางแผลเตม็ ไปหมด ถา ยงั คงเปน ตอ ไป ผลจะแหง เปลือกเหี่ยวยน ติดกับชอไมร ว งหลน เมอ่ื โดนน้าํ หรอื นา้ํ คา ง เชอ้ื โรคกจ็ ะระบาดจากลูกที่เปนแผลไปยงั ลูกอื่นๆ ในชอ จนกระทั้งเนาเสียหมดทั้งชอ - อาการทใ่ี บ ในระยะแรกที่เปนโรค จะเห็นท่ีใบเปนจดุ เล็กๆ สนี า้ํ ตาลเปน แผลมรี ปู รา งไมแ น นอนตรงกลางแผลมีสีนาํ้ ตาลออ น หรือสีเทา ขอบแผลสนี า้ํ ตาลเขม ถาอากาศแหง ตรงที่เปนแผลจะ
การปลูกองุน 26 หลุดหายไป ทําใหใ บเปน รู บางครง้ั ใบกม็ ว นงอลงมาดา นลา ง แตไ มร ว งในทนั ที ใบทเ่ี ปน โรคจะไมเติบโต ตอไป เมอ่ื เปน โรคมากขน้ึ ใบจึงจะรวง - ยอดออ น จะเปนจุดเลก็ ๆ สนี า้ํ ตาลเขม ตอ มาขอบแผลจะขยายออกตามความยาวของกง่ิ คอื รอยแผลหัวแหลมทายแหลม ของแผลเปน สนี า้ํ ตาลแกถ งึ สดี ํา กลางแผลสดี ําขรขุ ระในชว งฤดฝู นทอ่ี ากาศ มีความช้ืนมาก จะเห็นเปนจุดเล็กๆ สชี มพแู ตต รงกลางๆ แผล ถา เปน แผลมากๆ ยอดจะแคระแกรน มี การแตกยอดออ นมาก แตแตกออกมาแลวแคระแกรน ไมเ ตบิ โต ใบทแ่ี ตกออกมาใหมน ก้ี จ็ ะมขี นาดเลก็ และสีซีดผิดปกติ และก่ิงน้ันจะแหงตายไปในที่สดุ เชือ้ โรคแอนแทรกโนสน้ีจะขยายแพรพ ันธสุ รา งลกู หลานไดจ าํ นวนมากมายบน ใบ ยอด หรือกิ่ง หรือผลองุนที่กาํ ลงั เปน โรค และพบวา บนผลองนุ นน้ั การขยายแพรพ นั ธขุ องโรคเปน ไปอยา งรวดเรว็ ทส่ี ดุ และเชื้อนี้ยังคงเจรญิ เตบิ โตไปไดเรือ่ ยๆ ทง้ั บนสว นขององนุ ทย่ี งั ไมต าย และสว นตา งๆ ขององนุ ทต่ี าย หรือเนา ทบั ถมกนั อยใู ตต น การปอ งกนั กําจดั 1. การทําความสะอาดสวน เก็บกวาดกิ่ง ใบองนุ ทง้ั สดและแหง ทต่ี กอยใู ตต น ไปเผาทง้ิ หรอื ฝง ให หมดเพราะสว นตา งๆ เหลานี้เปนแหลงขยายแพรพนั ธโุ รคได 2. เม่ือพบวา เปน โรคนท้ี ผ่ี ลหรอื ยอด หรือใบ ใหต ดั แตง สว นทเ่ี ปน โรคออกกอ น และจึงฉีดพน ดว ยยากาํ จดั เชอ้ื รา จะชวยทาํ ลายเชอ้ื โรคทห่ี ลงเหลอื อยไู ดม าก 3. คอยตดั แตง กง่ิ จัดกิ่งใหโปรง อยาใหอับทึบ จะชว ยลดอนั ตรายไดม าก โดยเฉพาะในชวงที่ โรคระบาดมาก 4. การปอ งกนั กาํ จัดโดยฉัดพนดวยยากาํ จดั เชอ้ื ราตา งๆ เปน ระยะๆ คอื ฉีดพนยาคร้งั แรกหลัง จากตัดแตงเรยี บรอยแลว เพื่อทาํ ลายเชอ้ื โรคทอ่ี าจตดิ อยกู ับกงิ่ ที่เหลือ และครง้ั ทส่ี องเมอ่ื เรม่ิ แตกใบออ น และครั้งตอๆ ไปดูตามความเหมาะสม เชน ในฤดฝู นอาจฉดี ถก่ี วา ในฤดแู ลง เปน ตน เมอ่ื เรม่ิ ตดิ ผลดแี ลว อาจเวนระยะไดช วงหน่ึง จนถงึ ระยะผลแกใ กลจ ะเขา สจี งึ เรม่ิ ฉดี อกี ครง้ั หนง่ึ เพื่อปองกันโรคที่จะเกิดกับ ผล ยาปอ งกนั กําจดั เชอ้ื ราทใ่ี ชไ ดผ ลดกี บั โรคนค้ี อื ก. ยาบีโนมีล หรือเบนเลท ยาน้ีปอ งกนั กาํ จดั โรคผลองนุ เนา ไดด กี วา ยาอน่ื ๆ เนอ่ื งจาก เปนยาประเภทดูดซึม ทาํ ใหย ดื เวลาการฉดี ออกไปได 10-15 วนั ตอ ครง้ั แตย านี้คอนขา งจะแพง ข.! ยาแคปแทนหรือออโธไซด ค.! ยาท่ีมสี ว นผสมของธาตสุ งั กะสี เชน คโู ปรซาน ซเู ปอร- ดี ไซเนบ เปน ตน ง.! ยาทม่ี สี ว นผสมของ ไซเนบ-มาเนบ เชน ไดเทน เอ็ม.45 หรือแมนเซท-ดี ยาดังกลา ว ยกเวน เบนเลท ใหใ ชต ามอตั รากําหนดทฉ่ี ลาก กส็ ามารถปอ งกนั กาํ จดั ไดใ นเมอ่ื โรคระบาดไมร นุ แรงมากนกั โดยเวน ระยะหา งประมาณ 5-7 วนั ตอ ครง้ั สวน เบนเลท สามารถท้งิ ระยะ หางไดน านกวา 4. โรคราแปง ขาว(Powdery mildew) – Oidium tuckeri โรคราแปงขาวหรืออีกชื่อหนึ่ง คอื โรคราขเ้ี ถา เพราะบรเิ วณทเ่ี ปน โรคมกั จะพบสปอรข องเชอ้ื รา เปนสีเทาคลายขี้เถาอยูเต็มไปหมด โรคนส้ี ามารถเปน ไดท ง้ั บนใบ ที่เถา ดอกและผล และมกั ระบาดใน
การปลูกองุน 27 ชวงอากาศคอนขา งแหงแลง คอื หลงั ฤดฝู น และในฤดหู นาวเทา นน้ั จึงทาํ ใหดเู หมอื นโรคนไ้ี มค อ ยมี ความสําคญั มากนกั เมอ่ื เทยี บกบั โรคอน่ื ๆ ที่ระบาดไดทั้งป - อาการทใ่ี บ ใบองุนที่เปน โรคน้ี ในระยะแรกจะพบวา ตรงสว นทเ่ี ปน โรคเปน สเี ทาขน้ึ มากอ น ตอ มาจงึ พบสปอรคลายผลแปง ขาวๆ เทาๆ บนสว นทเ่ี ปน โรคนน้ั ซง่ึ กค็ อื สว นของเชอ้ื ราของโรคนน้ี น่ั เอง เชื้อราของโรคนี้จะเจริญเติบโตอยูเฉพาะที่ผิวใบเทานั้น เปน ไดท ง้ั ดา นบนใบและดา นลา งใบ แลวจะสง สวนท่ีคลาย ๆ รากของตน ไม(มองดว ยตาเปลา ไมเ หน็ ) เขา ไปดดู กนิ อาหารจากใบองนุ อกี ทหี นง่ึ ดงั นน้ั เม่ือเอามือลูบตรงทเ่ี ปน โรคจะเหน็ มเี ชอ้ื ราตดิ มอื มาไดงา ย แตไมหมด ยงั มอี กี สว นทต่ี ดิ อยกู บั ใบ ถาเชื้อ โรคเขาทําลายตง้ั แตร ะยะใบออ น ใบนน้ั จะบดิ เบย้ี ว เปน คลน่ื และแหง ตายในทส่ี ดุ - อาการทเ่ี ถาออ น จะพบเปน รอยสเี ทาถงึ สนี า้ํ ตาลปนดาํ และสว นของเชอ้ื ราทเ่ี ปน สขี าวๆ เทาๆ ตรงกลางแผล ตอ มาเปลอื กจะลอก ถา เปน มากรกั ษาไมท นั เถาน้นั จะแหง ตายไป - อาการทด่ี อกและผล อาการทช่ี อ ดอกไมค อ ยพบบอ ยนกั อาการที่พบในระยะแรก คอื บาง สวนของชอดอกจะเริ่มมีสีเหลือง ขณะเดยี วกนั กม็ องเหน็ สว นของเชอ้ื ราสขี าวๆ เทาๆ เกาะตดิ อยู ตอ มา พบรอยแผลเปนสีเทา ๆ เปน เสน ลายเลก็ ๆ ชอ ดอกทเ่ี ปน โรคนม้ี กั ไมค อ ยใหผ ล - อาการทเ่ี กดิ กบั ผล พบไดทง้ั ในผลออ นและผลแก ซง่ึ อาการมกั คลา ยคลงึ กนั คอื จะสังเกต เห็นไดก็ตอเมื่อมเี ชือ้ ราเขา ทาํ ลายบรเิ วณผวิ นอกเทา นน้ั โดยจะเหน็ เปน เสน ลายเลก็ ๆ สขี าวเกาะอยเู ปน กลุมและแตกออกรอบทศิ ทาง ตอ มาผวิ เปลอื กบรเิ วณนน้ั จะเปลย่ี นเปน สเี ทา เห็นไดชัดเจน ผวิ เปลอื ก วจะแหงกระดาง ถา เปน มากๆ ผเิ ปลอื กจะแตกออก โรคที่เกิดที่ผลนี้จะพบอาการแผลสีเทาที่ผลแมจะฉีด ยาทาํ ลายเชอ้ื โรคจนตายหมดแลว กต็ ามแตร อยแผสสเี ทานน้ั จะไมหายไป ยังคงติดอยูที่ผิวทาํ ใหผวิ ไม สวย ไมเปนทต่ี อ งการของตลาด ดงั นน้ั การปอ งกนั กาํ จดั โรคนจ้ี งึ ตอ งทาํ แตเ นน่ิ ๆ เมอ่ื เรม่ิ พบอาการของ โรคเพียงเลก็ นอ ย ใหล งมอื ปอ งกนั กําจัดทันที การเจริญเตบิ โตและแพรข ยายพนั ธขุ องโรคน้ี จะสามารถมีชวี ติ และแพรพ นั ธไุ ดเฉพาะบนสว น ขององุนที่ยังสดอยูเ ทา น้นั ดงั นน้ั เมอ่ื เชอ้ื เขา ทาํ ลายสว นตา งๆ ขององนุ และมนั จะเจรญิ เตบิ โตสรา งลกู หลาน แพรพ นั ธอุ ยา งรวดเรว็ บนสว นทเ่ี ปน โรคตลอดเวลา จึงตอ งทําการกําจัดทันทีที่พบกอนที่จะลุก ลามไปมากและเช้ือโรคตวั นีส้ ามารถแพรระบาดไปยังท่อี ืน่ ๆ ไดโดยลมพันพาไป การปอ งกนั กําจดั เน่ืองจากโรคนร้ี ะบาดเฉพาะชว งแลง เทา นน้ั และกไ็ มร นุ แรงมากนกั การปอ งกนั กาํ จดั ไมค อ ย เปนปญหานกั ที่สําคญั คอื ตอ งหมน่ั ตรวจตาตน องนุ อยเู สมอ เมอ่ื พบอาการเพยี งเล็กนอ ยกใ็ หทาํ การปอ ง กันกําจัดทันที อยา ปลอ ยใหร ะบาดมาก หรอื ตดั สว นทเ่ี ปน โรคทง้ิ ไป สว นการปอ งกนั โดยใชส ารเคมี ตาง ๆ นน้ั มอี ยู หลายชนดิ ทส่ี ามารถปอ งกนั กาํ จดั โรคนไ้ี ดด ี เชน 1. กํามะถนั ผง เปน ผงสเี หลอื ง อาจใชแบบพนเปนผง หรอื แบบผสมนาํ้ กไ็ ด โดยการพนแบบผง ควรทาํ ตอนเชา มดื ในขณะทน่ี า้ํ คา งยงั จบั ใบอยู จะทาํ ใหผลกาํ มะถนั เกาะตดิ ใบและสว นตา งๆ ไดด ี สวน การพน แบบผสมน้าํ จะพน ตอนไหนกไ็ ด แตค วรหลีกเลี่ยงที่จะฉดี พน ตอนแดดจัดๆ เพราะจะทาํ ใหใ บองนุ ไหมได 2. ยาทม่ี สี ว นประกอบของกาํ มะถนั เชน คาราเทน ใชผ สมน้าํ ฉดี จะสะดวกกวาวิธีพนเปนผง 3. ยาพวกทม่ี สี ารทองแดงเปน สว นประกอบ เชน คปู าวิต กใ็ ชป อ งกนั กาํ จดั ไดผ ลดเี ชน กนั
การปลูกองุน 28 ถาพบวา หลงั จากฉดี พน ดว ยยาดงั กลา วแลว ยงั ไมส ามารถปอ งกนั กาํ จดั ได ควรใชย าแบนเลท ซ่ึงใหผ ลในทางปอ งกนั กําจดั โรคนไ้ี ดด ที ส่ี ดุ แตมีราคาแพงกวา 5. โรคกง่ิ แหง (ทเ่ี กดิ จากเชอ้ื รา Melaconium furiginium) เปนโรคทพ่ี บระบาดไมม ากนกั นานๆ จะพบสักครั้ง อาการทพ่ี บคอื ตอนแรกๆ จะเกดิ จดุ สนี ํ้า ตาลเล็กๆ ท่ีก่ิงองนุ แลว ลกุ ลามขยายวงกวา งออกไปรอบกง่ิ รอยแผลเปลย่ี นเปน สนี า้ํ ตาลดาํ เมอ่ื แผลเกดิ รอบกิ่งจะทําใหก ง่ิ นน้ั แหง ตาย เพราะไมส ามารถสง นา้ํ ไปเลย้ี งตน ได นอกจากเกิดที่กิ่งแลวยังเกิดที่กาน ชอผลดวย อาการคลา ยกนั คอื เรม่ิ จากจดุ สนี า้ํ ตาลเลก็ ๆ แลว ลกุ ลามไปจนรอบขว้ั ของชอ ผล เมือ่ แผล ขยายไปจนรอบขว้ั ทําใหขั้วแหง ชอผลแหง และยังพบโรคนี้ที่ผลแกดวย โดยเปลอื กของผลจะเปน จดุ สนี า้ํ ตาลแลว ลกุ ลามไปเรอ่ื ย ทําใหผ ลเนา เปน สดี ํา การปอ งกนั กําจดั เนื่องจาก โรคนย้ี งั ไมค อ ยพบบอ ยนกั การปอ งกนั กาํ จัดทาํ ควบคไู ปกบั การปอ งกนั โรคอน่ื ๆ กลาวคือ การฉดี ยาปอ งกนั กาํ จดั โรคตา งๆ ทก่ี ลา วมาแลว จะเปน การปอ งกนั กาํ จดั โรคนไ้ี ปดว ยในตวั และ เม่ือพบอาการทส่ี ว นใดขององนุ ใหต ดั ไปเผาทง้ิ เสยี อยา ปลอ ยใหร ะบาดไปยงั สว นอน่ื ๆ แมลงและการปองกันกําจัด 1.$ ตก๊ั แตน ต๊ักแตนชอบกัดกนิ สว นยอดขององนุ ในระยะกาํ ลงั แตกใบออ น พอใบองนุ เรม่ิ แกจ ะไมค อ ยเขา ทาํ ลาย การปอ งกนั กาํ จัดโดยใชยาฆาแมลงประเภทดูดซึม 2.$ ดวงปกแขง็ ดวยปก แขง็ หรอื ดว งกหุ ลาบตวั สนี า้ํ ตาล ชอบทาํ ลายพืชหลายชนิด รวมทง้ั องนุ ดว ย โดยจะกัดกิน ท้ังใบออนและใบแก โดยออกทาํ ลายพชื ในเวลากลางคนื บางครง้ั จะกดั กนิ จนใบองนุ พรนุ ไปหมด โดย เฉพาะตน องนุ ทอ่ี ยแู ถวนอก ๆ รมิ แปลงปลกู มกั จะโดนทาํ ลายมากกวา พวกทอ่ี ยใู นๆ 3.$ พวกหนอนผีเสื้อตางๆ มหี นอนอยู 2-3 ชนิดที่คอยทาํ ลายองนุ เชน เจาะทาํ ลายผล กัดกินใบองุน ยอดออ นขององนุ เปน ตน โดยทั่วไปแลวไมคอยมีปญหา มากนกั การปอ งกนั กาํ จดั โดยใชส ารเคมี เพื่อกาํ จดั ตก๊ั แตนและดว งปก แข็ง ก็จะทาํ ลายหนอนพวกนไ้ี ปดว ยในตวั 4.$ เพลี้ยไฟ เปนแมลงขนาดเลก็ ตวั สนี า้ํ ตาลแก หรอื สดี ํา อยกู นั เปน กลมุ ขยายพนั ธอุ าศยั อยใู ตใ บ และดูด กินนํ้าเล้ียงจากใบองนุ ยอดออ นองนุ ทําใหใ บเปน จดุ ลาย ซดี เหลอื ง ยอดหงิกงอ การปองกันโดยไหยา ประเภทดูดซึม หรือถาพบไมมากนักอาจตัดสวนที่พบเพลี้ยไฟไปเผาทิ้งเสีย 5.$ แมงมุมแดง เปนแมงมุมตัวสีแดง ขนาดเลก็ มาก ประมาณปลายเขม็ หมดุ ถาอยูต ัวเดยี วจะสงั เกตไดย ากแมง มุมพวกน้ีจะอาศยั และขยายพนั ธอุ ยใู ตใ บองนุ ดดู กนิ น้าํ เลย้ี งจากใบองนุ ใบทโ่ี ดนแมงมมุ แดงทําลายจะมี
การปลูกองุน 29 สีเหลืองซีด และใบรว ง ตนที่ถูกทาํ ลายมากๆ จะทรุดโทรม แมงมมุ แดงจะระบาดมากในชว งแลง อากาศ รอน เม่ือฝนตกจะคอ ยๆ หายไป การปอ งกนั กาํ จดั โดยการดแู ลอยเู สมอ ถา พบวา ระบาดไมม ากใหเ ดด็ ใบทพ่ี บแมงมมุ แดงนาํ ไปเผาทิ้ง สว นการปอ งกนั กาํ จดั โดยสารเคมอี าจใชก ํามะถนผง กํามะถนั แบบ ละลายนํ้าถา ใชกาํ มะถนั ผงควรหลกี เลย่ี งการใชใ นชว งทม่ี อี ากาศรอ น แดดจัดเพราะจะทาํ ใหใบองนุ ไหม ได หรอื ใชย าทม่ี สี ว นผสมของกาํ มะถนั เชน เดนเทน กป็ อ งกนั กําจดั ไดผ ลดี 6.$ ไรขาว เปนพวกแมงมมุ เชนเดียวกับไรแดง แตต วั ขนาดเลก็ สขี าวๆ ทาํ ลายองนุ โดยการดดู กนิ นา้ํ เลย้ี ง ที่ใบยอด และผลออ น อาการทใ่ี บคอื ใบจะหงิก แตกยอดออ นมาก ใตใ บลายสนี า้ํ ตาล ถาทาํ ลายที่ผลผิว จะขรุขระเปน ขก้ี ลาก ผลเลก็ บิดเบี้ยว การปอ งกนั เชนเดียวกับไรแดง ยาที่ใชไดผลดี คอื เคนเทน ประมาณ 15 วนั ตอ ครง้ั นอกจากนี้ยังพบศัตรูอื่นๆ อกี เชน ไสเ ดอื นฝอย เปนศัตรูท่ีทําลายรากองนุ พบในแปลงทเ่ี ปน ดนิ ทราย ในแปลงทเ่ี ปน ดนิ เหนยี วจะไมพ บไสเ ดอื น ฝอย ตนที่โดนไสเดือนฝอยทาํ ลาย รากจะเปน ปมุ ปม เตม็ ไปหมด ถา เปน มากๆ รากจะบวมเปน ปลอ ง คลายลูกปด ตนที่ถูกทาํ ลายจะโตชาและตายไปในที่สุด การปอ งอกานกาํ จัดทาํ ไดย ากมาก คาใชจายสูง จึง ควรหลกี เลย่ี งทซ่ี ง่ึ มไี สเ ดอื นฝอยระบาด ตนที่ถูกทาํ ลายใหขุดทิ้งทาํ ลายทง้ั ตน นกและคางคาว จะเขารบกวน กดั กนิ ผลองนุ ในตอนผลใกลๆ จะแก ทาํ ใหรวงหลนเสียหายบางแหงก็พบปญหานี้ มากเหมือนกัน การปองกนั ทาํ ไดหลายวิธี แตท น่ี ยิ มคอื ใชต าขา ยไนลอ นขงึ รอบๆ คา งองนุ ตารางการพน ยาปอ งกนั กาํ จดั โรคและแมลงขององนุ ระยะของพืช โรค แมลงทเ่ี ปน สาเหตุ อาการทแ่ี สดงกบั ตน พชื การปอ งกนั กําจดั 1.กอ นตดั แตง กง่ิ (2-4 สปั ดาห) 1. โรคราน้าํ คา ง 1. เหน็ สปอรส ขี าวใตใ บ ใบมี 1. ใชยาไดเทน เอม็ 45 (Downy Mildew) สเี หลอื ง น้าํ ตาล แหงกรอบ หรือ โลนาโคล หรือ และไหมในที่สุด คปู ราวติ 2. โรคราแปง ขาว(ราขเ้ี ถา ) 2. แหงกรอบ กา นใบและกง่ิ 2. ใชกาํ มะถันผง ละลายนา้ํ (Powdery Mildew) มีเชื้อราจับมีสเี ทา หรือคาราเทน 3. โรคผลเนา (อบี บุ ) 3. ไหมเ ปน จดุ ๆ ตามกง่ิ 3. ใชค ปู ราวติ หรือเคลเทน (Anthracnose) ออ น มรี อยแหง สนี า้ํ ตาล 50 หรือ ออรโ ธไซด หรือ เบนแลท 4. โรคไรสนมิ (Rust) 4. ใบมสี เี หลอื ง ใตใ บมเี ชอ้ื 4. ใชยาคปู ราวติ ราสเี หลอื งๆ เปน จดุ ๆ 5. แมงมุมแดง(ไรแดง)(Mite) 5. ใบจะแสดงอาการกรา น 5. ใชยาเคลเทน 6. เพลี้ยไฟ(Thrip) 6. ยอดจะหงกิ งอ 6. ใชย าประเภทดดู ซมึ ตา งๆ เชน ยามาลาไธออน
การปลูกองุน 30 ระยะของพืช โรค แมลงทเ่ี ปน สาเหตุ อาการทแ่ี สดงกบั ตน พชื การปอ งกนั กําจดั 2. ตดั แตง กง่ิ แลว 1. โรคราตา ง ๆ 1. โรคราเกาะตามลําตน และ 1. ใชย าคปู ราวติ ความเขม ขนสงู ๆ พนใหถูกเฉพาะตน 2. แมงมมุ แดง เถา และเถา 3. เพลี้ยไฟ 2. ใชยาเคลเทน 2. เกาะตามเปลอื กและเถา 3. ใชย ามาลาไธออน 3. เกาะตามเปลอื กและเถา 3. เรม่ิ แตกยอด 1. โรครานา้ํ คา ง 1. ใตใ บเปน ขุยสขี าว 1. ใชย าโลนาโคลใหม คี วาม ออ นและชอดอก 2. หนอนและแมลงปก แขง็ เขม ขน สงู ๆ(1 ชอนพูน น้าํ 4. ชอ ดอกบาน 1. โรครานา้ํ คา ง 2. โรคแบคทีเรีย 1 ปบ หรือ 20 กรมั น้าํ 1 ปบ) เมื่อตอนใกลต อกบาน ใชไ ดเทนเอม็ 45 2. กดั กนิ ใบและชอ ดอกชอ 2. ควรใชยาเลนเนท เพื่อ ผล ทาํ ลายไขจ ะใหผ ลดมี ากเปน การตดั ไฟแตต น ลม โอกาส เกดิ เปน หนอนมาทาํ ลายใบ ก็มีนอ ย สว นแมลงปก แข็งใช ยาเซฟวิน 85 ไดผ ลดี 1. จะเหน็ เชอ้ื ราเปน เสน ใยสี 1. ใชยาไดเทน เอม็ 45 ขาวใตใ บ ดานบนของใบมสี ี เหลอื ง 2. ชอ ดอกจะเนา แตเนา แบบ 2. ใชยาพวกแนต ทราฟน เปยก (Nathraphine) หรือยา กาํ จัดเชื้อแบคทีเรีย 5. ตดิ ผล 1. โรครานา้ํ คา ง 1. ใตใบออ นมเี สน ใยสขี าว 1. ใชย าไดเทนเอม็ 45 ดานบนมสี เี หลอื งแตใ บแกท ่ี 2. ราแปง ขาว (ราขเ้ี ถา ) สีเขียวเขม จดั จะลดความเปน 2. ใชก ํามะถนั ผงละลายนา้ํ 3. หนอนเจาะผล โรคลง 3. ใชย าเลนเนท หรือ 2. บนผลมสี เี ทาๆ ทําใหผล เอนดรนิ แตส ําหรบั เอนดรนิ แตกจนเห็นเมลด็ จะทาํ ใหป ลาในทอ งรอ งตาย 3. เจาะผลทาํ ใหผ ลรว ง ดว ย
การปลูกองุน 31 ระยะของพชื โรค แมลงทเ่ี ปน สาเหตุ อาการทแ่ี สดงกบั ตน พชื การปอ งกนั กําจดั 6. ผลเร่มิ นมิ่ จนถงึ 1. ใชแคปแทน หรือ เก็บผลลกู แมว 1. โรคผลเนา หรอื ผลบบุ หรือ 1. ผลจะเนาเปน ทีละผล ให ออรโธไซ หรอื เบนเลท หนอนไอแกว เตา เผา หรือ แอนเทรคโนส ชอ หนง่ึ อาจเปน โรคหลายผล 2. ใชยาเซฟวิน 85 หรือ ฟอสดรนิ ไดไ มใ ชเ ปน ทง้ั ชอ ผล 3. ใชย าเลนเนท หรือ ฟาสดรนิ 2. แมลงปกแขง็ 2. กดั กนิ ใบ 4. ถา ใชเ ลนเนท ฉีดตง้ั แต เรม่ิ มไี ขท าํ ลายไดผ ลดมี าก 3. หนอนเจาะผล 3. กดั กินผลทาํ ใหผ ลเนา แตเมอ่ื เปน ตวั หนอนก็ ทาํ ลายไดผ ลดี เชน กนั ถา 4. หนอนกินใบ มหี นอนใย 4. กัดกนิ ใบและยอดออ น เปนตวั หนอนตวั โตควรใชย า หนอนเขยี ว หนอนลกู แมว เอนดรวิ หรอื ฟอสดรนิ หนอนไอแ กว จดั ทําเอกสารอเิ ลก็ ทรอนกิ สโ ดย : สาํ นกั สง เสรมิ และฝก อบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร
Search
Read the Text Version
- 1 - 31
Pages: