Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน

ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน

Description: การจัดทำหนังสือเล่มนี้ นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับจังหวัดขอนแก่นในแง่มุมความเป็นศูนย์กลางความเจริญของภาคอีสาน รวมทั้งเป็นแหล่งวัฒนธรรมและศิลปะพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสานซึ่งประกอบด้วย ขอนแก่นในอดีต ขอนแก่นจากแกนอีสานสู่อาเซียน ภาพเก่าเล่าเรื่องวิถีชาวบ้านอีสานขนบธรรมเนียมประเพณีของแก่น ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่อุทยานแห่งชาติ และเที่ยวกินถิ่นดอกคูนพร้อมภาพประกอบสวยงามที่ทรงคุณค่าและเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดขอนแก่น

Search

Read the Text Version

ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน ค�ำ นำ� หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เตมิ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม หนังสือเร่ือง ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน สำ�นักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ระดบั ประถมศกึ ษาและมธั ยมศึกษา ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน จดั ท�ำ ขน้ึ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เตมิ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลาง © ลิขสทิ ธิข์ องส�ำ นกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ พมิ พค์ รง้ั แรก พ.ศ. ๒๕๕๕ การจัดทำ�หนังสือเล่มน้ี นำ�เสนอเนื้อหาเกี่ยวกับจังหวัดขอนแก่นในแง่มุมความเป็นศูนย์กลาง พิมพ์จำ�นวน ๓๗,๐๐๐ เลม่ ความเจริญของภาคอีสาน รวมท้ังเป็นแหล่งวัฒนธรรมและศิลปะพ้ืนบ้านที่เป็นเอกลักษณ์​ของชาวอีสาน ISBN 978-616-317-089-7 ซึ่งประกอบด้วย ขอนแก่นในอดีต ขอนแก่นจากแกนอีสานสู่อาเซียน ภาพเก่าเล่าเร่ือง สิมและฮปู แตม้ ผู้จดั พมิ พ์ สำ�นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา ศลิ ปะพน้ื บา้ น ศรทั ธาความงดงามและความเรยี บงา่ ยของชาวอสี านในพระพทุ ธศาสนา วถิ ชี าวบา้ นอีสาน ส�ำ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน ขนบธรรมเนียมประเพณีขอนแก่น ท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ที่อุทยานแห่งชาติ และเที่ยวกินถ่ินดอกคูน กระทรวงศกึ ษาธิการ อาคาร สพฐ.๓ ถนนราชด�ำ เนนิ นอก พร้อมภาพประกอบสวยงามท่ีทรงคุณค่าและเป็นเอกลกั ษณข์ องจงั หวัดขอนแก่น ส�ำ หรบั ใหค้ รูผสู้ อนและ เขตดุสติ กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ นกั เรยี นใช้ค้นคว้าอ้างองิ ประกอบการเรยี นการสอน ตามสาระการเรยี นรขู้ องท้องถ่นิ ได้ โทร. ๐ ๒๒๘๘ ๕๗๓๓ http://academic.obec.go.th พิมพท์ ี่ โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการในท้องถิ่น ๒๒๔๙ ถนนลาดพร้าว แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง หน่วยงานท้ังภาครัฐและภาคเอกชนในจังหวัดขอนแก่น ผู้เก่ียวข้องที่กรุณาเอื้อเฟื้อข้อมูลด้านต่างๆ กรุงเทพมหานคร ๑๐๓๑๐ รวมทัง้ ภาพประกอบบทความทท่ี �ำ ให้การจัดท�ำ หนังสอื ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน ส�ำ เรจ็ ลลุ ว่ ง โทรศัพท์ : ๐ ๒๕๓๘ ๓๐๒๒, ๐ ๒๕๓๘ ๐๔๑๐ ด้วยดี หวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือน้ีจะเป็นประโยชน์ในการให้ความรู้ และความตระหนักในคุณค่าของ โทรสาร : ๐ ๒๕๓๙ ๓๒๑๕ ท้องถ่นิ แก่ครูผ้สู อน นักเรียน และผสู้ นใจท่ัวไปไดเ้ ปน็ อย่างดี เวบ็ ไซต์ : www.suksapan.or.th อเี มล : [email protected] (นายชนิ ภทั ร ภมู ริ ัตน) (เลขงาน ๕๕๐๒๑๘๘) เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน ขอ้ มลู ทางบรรณานุกรม (CIP : Cataloging in Publication) ส�ำ นกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอสี าน/ส�ำ นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา, - - กรุงเทพฯ : สำ�นักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส�ำ นกั งาน คณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน, ๒๕๕๕. ๒๐๐ หนา้ . ภาพประกอบ ; ๓๐ ซม. ๑. ขอนแกน่ - - ประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิน่ ๒. ชือ่ เร่ือง. ๙๐๗ ประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่ิน ส๖๙๑ข ISBN 978-616-317-089-7

สารบัญ ๑ ❀ ศรทั ธา ความงดงาม และความเรยี บงา่ ยของชาวอสี าน ๑๑ ❀ ฟา้ สางที่ขามแกน่ ๒๙ ในพระพุทธศาสนา ๘๗ ❀ ขอนแก่นในอดตี ๔๙ ❀ ขอนแกน่ จากแกนอีสานสู่อาเซยี น ❀ ไหว้พระ ๙ วัด : ขอนแกน่ แดนพุทธอีสาน ๙๕ ❀ ภาพเก่าเลา่ เรอื่ ง ๖๑ ❀ สมิ และฮปู แต้ม ❀ วถิ ชี าวบา้ นอสี าน ขนบธรรมเนยี มประเพณขี อนแกน่ ๑๑๗ ศลิ ปะพนื้ บา้ น เอกลกั ษณข์ องชาวอสี านทขี่ อนแกน่ ❀ ท่องเทย่ี วเชงิ อนุรกั ษท์ ่ีอทุ ยานแหง่ ชาต ิ ๑๒๓ ❀ เทยี่ วกินถน่ิ ดอกคนู ๑๕๑ ๑๑๗ ๑ ๒๙ ๘๗ ๑๒๓ ๑๑ ๖๑ ๔๙ ๑๕๑ ๙๕

ฟา้ สาง ทข่ี ามแกน่ รถดว่ นขบวนท่ี ๖๙ เทยี บชานชาลาสถานรี ถไฟเมอื งพล จงั หวดั ขอนแกน่ ตอนฟา้ ยงั ไมส่ าง เชา้ เกนิ ไปทจี่ ะเรม่ิ ตน้ ทำ� ความรจู้ กั กบั จงั หวดั ทม่ี พี นื้ ทก่ี วา้ งใหญ่ แหง่ นี้ จงึ มเี วลาพอทจ่ี ะนงั่ ทบทวนเสน้ ทางการเดนิ ทางใหเ้ พยี งพอกบั เวลาทมี่ อี ยู่ เนอ่ื งจากมีสถานทตี่ ่างๆ มากมายที่ไม่ควรพลาด โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ พระธาตุ ขามแก่น ซ่ึงถือกันว่าเป็นหัวใจของจังหวัด รวมท้ังยังเช่ือว่าเป็นที่มาของช่ือ จงั หวัดขอนแกน่

ต�ำนานการสร้างพระธาตุขามแก่นมีมากมาย แต่สาระที่ตรงกันใน แทบทกุ ตำ� นานกค็ อื การทพ่ี ระอรหนั ตไ์ ดว้ างพระองั คารธาตขุ องพระพทุ ธเจา้ บน ตอมะขามใหญ่ที่ตายไปแล้วเป็นเวลานาน แต่เกิดอัศจรรย์แก่นมะขามใหญ่ กลบั ฟน้ื คนื ชีวติ ผลใิ บและกิ่งกา้ นข้นึ มา ท�ำให้มีการสร้างพระเจดีย์ครอบมะขามแก่นน้ันไว้เป็นของคู่บ้าน คูเ่ มอื ง และให้นามพระเจดยี ท์ สี่ รา้ งข้ึนนี้ว่าพระธาตุขามแกน่ เปน็ ศูนย์รวมใจ ของคนขอนแกน่ มาจนทุกวนั นี้ พระธาตขุ ามแกน่ ท่วี ดั เจตยิ ภมู ิ อ�ำเภอนำ้� พอง จึงเปน็ สถานทส่ี �ำคัญท่ีเราควรไปสกั การะได้สกั ครั้งหน่งึ ในชวี ิต

4 ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน 5 ขอนแก่น เป็นดินแดนท่ีมีอารยธรรมต้ังแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ พูดถึงไดโนเสาร์ สัตว์เล้ือยคลานขนาดใหญ่ในโลกดึกด�ำบรรพ์แล้ว และเลยลกึ ตอ่ ไปอกี กวา่ ๒๐๐ ลา้ นปี ซากดกึ ดำ� บรรพข์ องซอโรพอด ไดโนเสาร์ ทำ� ให้อดเสยี ดายข้ึนมาไม่ได้ เพราะบริเวณภเู วียงของจังหวดั ขอนแก่น มสี ตั ว์ กินพืชท่ีอุทยานแห่งชาติภูเวียงรวมท้ังร่องรอยสัตว์ดึกด�ำบรรพ์อีกนานาชนิด ร่างยักษ์ตายทับถมกันน้อยเกินไป ท�ำให้ไม่พอที่จะเป็นแหล่งน�้ำมันเหมือนอย่าง เปน็ สง่ิ ยนื ยนั วา่ ดนิ แดนขอนแกน่ มสี ง่ิ มชี วี ติ อาศยั อยมู่ านานนบั ลา้ นปี แมจ้ ะ ดนิ แดนตะวนั ออกกลางและสว่ นตา่ งๆ ของโลก ตามความเชอื่ ของนกั วทิ ยาศาสตร์ มบี างชว่ งขาดหายไมต่ ดิ ตอ่ กนั แตก่ ส็ ามารถบอกลมหายใจในอดตี ของดนิ แดน บางกลุ่มทบ่ี อกว่า น�้ำมันเกิดจากซากสัตว์ดกึ ด�ำบรรพ์จำ� นวนมากท่ตี ายทับถม แก่นมะขามแห่งน้ไี ดอ้ ยา่ งชดั เจน กันอยใู่ ตด้ ิน นานวนั เขา้ ไขมนั ของพวกมนั กไ็ หลไปรวมกนั จนเกดิ เป็นบอ่ นำ�้ มนั ขนาดใหญ่ เหมอื นอยา่ งคำ� อธบิ ายของนกั วทิ ยาศาสตรบ์ างกลมุ่ ทใ่ี หไ้ ว้ แม้ไดโนเสาร์จะให้ประโยชน์แก่ผู้คนในปัจจุบันมากมายมหาศาล เพียงใดแต่ก็ไม่มีใครอยากถูกเปรียบเป็นไดโนเสาร์ ย่ิงไดโนเสาร์ เต่าล้านปี ดว้ ยแลว้ อยา่ ใหบ้ อกเลยวา่ จะโกรธเพยี งใด แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามไดโนเสารท์ ภี่ เู วยี ง กถ็ ูกบรรจไุ วใ้ นแผนการท่องเทยี่ วของเราและคนอื่นๆ อย่างพลาดไมไ่ ด้

6 ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน 7 มาเยือนขอนแก่น แผ่นดินท่ีราบสูงในยามน้ีจะเหลืองอร่ามไปด้วย ฟ้าสางแล้ว สถานีรถไฟเร่ิมคึกคักไปด้วยนักเดินทางและชาวบ้าน ช่อดอกไม้สีเหลืองของดอกคูนหรือดอกราชพฤกษ์ ท่ีห้อยเป็นพวงระย้า พ่อค้าแม่ค้า อาคารบ้านช่อง ร้านตลาด ที่สถานีรถไฟเมืองพล ยังคงสภาพ วจิ ติ รงดงามตามธรรมชาตทิ ำ� ใหร้ ะลกึ ถงึ เพลงพน้ื เมอื งของชาวอสี านทบ่ี รรเลง เม่ือกว่า ๑๐๐ ปีท่ีแล้ว เม่ือรถไฟขบวนแรกได้มาถึง พร้อมน�ำความเจริญ ด้วย แคน พร้อมหมอล�ำที่เล่าขานนิทานพื้นบ้านหรือภูมิความรู้ด้านต่างๆ จากเมืองหลวงมาถึงถ่ินท่ีชาวขอนแก่นทุกวันน้ีจะยังคงรักษาวิถีบางอย่าง ใหเ้ ปน็ ทำ� นองเพลงสนกุ สนาน ประกอบการรา่ ยรำ� เสยี งแคน ดอกคนู จงึ เปน็ ท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษไว้ โดยเฉพาะ ผ้านุ่ง ลวดลายสัญลักษณ์ของ มนตเ์ สนห่ ์ทอ้ งถ่นิ อีสานที่ชาวขอนแก่นล้วนภาคภมู ิใจ ชาวอีสานย้อนไปถึงยุคผู้หญิงท่ีสูงศักด์ิที่ต้องใส่ผ้าไหมลายมัดหมี่ แต่ครั้ง ใส่บาตร อพยพมาจากนครเวียงจันทน์ ผ้าไหมท่ีจัดว่ามีช่ือเสียงของขอนแก่นคือท่ี อ�ำเภอชนบท ซ่ึงเป็นแหล่งทอผ้าไหมใหญ่ที่สุดของจังหวัด จนเป็นท่ีมาของ ค�ำกล่าวขานท่ีว่า ผ้าไหมเมืองขอนแก่นก็ต้องผ้าไหมของอ�ำเภอชนบท อยา่ งไรกต็ าม ของดเี มอื งขอนแกน่ ทเ่ี ราและนกั ทอ่ งเทยี่ วอน่ื ๆ กค็ งเปน็ ผา้ ไหม ของชาวบา้ นท้องถ่นิ ต่างๆ สักแหง่ หนึ่งอย่างแน่นอน สถานีรถไฟเมืองพล แม่คา้ หาบเร่ ศูนย์รวมผ้าไหมชนบท ตลาดหลงั สถานรี ถไฟเมืองพล รถสามล้อเคร่อื ง

8 ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน ขอนแกน่ : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน 9 แสงเงนิ แสงทองเรม่ิ สาดขน้ึ จบั ทอ้ งฟา้ ตะวนั ออก บง่ บอกเวลาสำ� หรบั อีกไม่นาน ขอนแก่นแหล่งวัฒนธรรมอีสาน ก็จะผ่านเข้ามาในโลก การเดินทางท่องเท่ียวมาถึงแล้ว ขอนแก่น ณ วันน้ี คงความเป็น ขอนแก่น ของการรับรขู้ องเราและผู้คนทั่วไป ความงดงามเหล่าน้ยี งั คงอยู่รอให้พวกเรา นครใหญ่ ศูนย์กลางแห่งความเจริญของภาคอีสานได้สร้างคนดีศรีแผ่นดิน ห้ิวกระเป๋า สะพายกล้องถ่ายภาพ รวบรวมไว้เป็นบันทึกหน้าหนึ่งของ มากมาย เปน็ เกยี รติประวัติของชาติ นำ� มาซ่ึงเหรยี ญทองโอลมิ ปิกทีป่ ระชาชน ประเทศไทยไว้ตราบนานเทา่ นาน ทั้งประเทศร่วมแซ่ซ้องสรรเสริญ ถ่ินท่ีผู้คนส่วนใหญ่ยังคงรักษาประเพณี และวัฒนธรรมพ้ืนบ้านด้ังเดิม เช่นการ ร่วมใจผูกเส่ียว รวมท้ังศิลปกรรม พื้นบ้านท่ีงดงาม สิมและฮูปแต้มจึงเป็นหน่ึงที่คณะของเราหมายมั่นปั้นมือ ว่าจะไดไ้ ปชมครบถ้วนทั่วถงึ สมรกั ษ์ คำ� สิงห์ ผู้พิชิตเหรียญทอง กฬี าโอลิมปิกเหรยี ญแรกของประเทศไทย ฮูปแตม้ วัดไชยศรี วชิ ยั ราชานนท์ ผู้พชิ ิตเหรียญทองแดง กีฬาโอลมิ ปกิ เหรยี ญแรกของประเทศไทย พิธผี ูกเส่ียวของชาวอสี าน

ขอนแกน่ ในอดตี ขอนแกน่ เปน็ จงั หวดั หนง่ึ ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย ที่มีร่องรอยของสัตว์ดึกด�ำบรรพ์ขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า ไดโนเสาร์ ซ่ึงมีชีวิต อยู่ในโลกเม่ือราว ๑๑๐ – ๑๖๐ ล้านปีมาแล้วและสูญพันธุ์ไปเม่ือโลก ผจญภัยพิบัติธรรมชาติอย่างรุนแรง หลงเหลือเพียงซากดึกด�ำบรรพ์หรือ ฟอสซิล (fossil) ไว้ให้นักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณชีววิทยาได้ส�ำรวจ และค้นพบไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ๆ หลายชนิดซ่ึงพบเป็นคร้ังแรกของโลก ณ ดนิ แดนแห่งนี้

12 ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน 13 ไดโนเสาร์ Dinosaur มาจากภาษากรกี คำ� วา่ ไดโน (Deinos) แปลวา่ เสด็จฯ ทอดพระเนตรพิพิธภณั ฑ์ไดโนเสาร์ภูเวยี ง ไดโนเสาร์กินเน้ือขนาดเล็กมากตระกูลซีลูโรซอร์ (Coelurosaur) นา่ กลวั มาก และซอรัส Sauros หมายถึง สัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งมีขนาด รูปรา่ ง ไดโนเสารภ์ เู วยี งโกซอรสั สิรนิ ธรเน เปน็ ไดโนเสารท์ ค่ี ลา้ ยคลงึ กบั คอมพซ์ อกนาธสั (Compsognathus longipes) และสายพันธ์แุ ตกต่างกันมากมาย ในบริเวณเทือกเขาภเู วยี ง (ท่อี �ำเภอภเู วียง ทม่ี ขี นาดความยาวประมาณ ๗๐ เซนตเิ มตร นำ�้ หนกั ประมาณ ๓.๕ กโิ ลกรมั อำ� เภอเมอื งขอนแกน่ และอำ� เภอมญั จาครี )ี เปน็ แหลง่ ทอี่ ยอู่ าศยั ของไดโนเสาร์ หัวยาวประมาณ ๓ นิ้ว คอยาวเรียว หางยาวกว่าหัว คอ และล�ำตัวรวมกัน หลายชนดิ เพราะพบโครงกระดกู และรอยเทา้ ไดโนเสาร์ ณ ลานหนิ ลาด ปา่ ชาด วิ่งได้รวดเร็วมาก ภูเวียงประทับเป็นแนวทางเดินหลายทิศทางบนผิวหน้าของชั้นหินทราย ไดโนเสารก์ นิ เนอื้ ขนาดเลก็ ตระกลู ออรน์ โิ ธมโิ มซอร์ (Ornithomimosaur) ซง่ึ สภาพแวดลอ้ มโบราณเปน็ ชายนำ้� จำ� นวนมากกวา่ ๖๐ รอย รอยเทา้ เหลา่ นี้ หรือไดโนเสาร์นกกระจอกเทศ ความสูงประมาณ ๕๓-๗๓ เซนติเมตร แสดงลักษณะของไดโนเสารป์ ระเภทต่างๆ เชน่ เดินด้วย ๒ ขาหลัง รอยเท้ามี ๓ น้ิวคล้ายรอยเท้าไก่ เคล่ือนไหวได้ว่องไว ไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ตระกูลซอโรพอด (Sauropod) เป็น กินเนื้อเปน็ อาหาร มีอายุประมาณ ๑๓๐ ล้านปมี าแล้ว ไดโนเสารท์ มี่ ีความยาวถงึ ๑๕ เมตร คอยาว หางยาว เดนิ ดว้ ย ๔ ขา กินพืช รอ่ งรอยของสตั วด์ กึ ดำ� บรรพเ์ หลา่ นศี้ กึ ษาไดท้ ภ่ี เู วยี ง : อทุ ยานไดโนเสาร์ เป็นอาหาร อายุประมาณ ๑๓๐ ล้านปีมาแล้ว ซึ่งเป็นไดโนเสาร์สกุลใหม่ แห่งแรกในอาเซยี น ท่ีพบเป็นครั้งแรกของโลก จึงได้รับพระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญ พระนามาภิไธย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นช่ือ ไดโนเสาร์สยามโมโทรนั นัส อีสานเอนซิส ไดโนเสาร์ชนิดน้ี มีนามว่า ภูเวียงโกซอรัสสิรินธรเน (Phuwiangosaurus sirindhornae : Martin, Buffetaut and Suteethorn, 1994) โดโนเสาร์คอมพซ์ อกนาธสั โดโนเสาร์นกกระจอกเทศ ไดโนเสาร์กินเน้ือขนาดใหญ่ตระกูลเทอโรพอด (Terropod) เป็น ไดโนเสาร์ที่มีความยาวประมาณ ๖.๕ เมตร เดินด้วย ๒ ขาหลัง มีฟัน ลักษณะเป็นแท่งกรวยปลายแหลม มีสันเล็กๆ ยาวตลอดฟัน เป็นไดโนเสาร์ สกุลใหม่และได้รับการตั้งชื่อว่า สยามโมซอรัส สุธีธรนี (Siamosaurus suteethorni : Buffetaut and Ingavat, 1986) ไดโนเสาร์สยามโมซอรัส สธุ ีธรนี ไดโนเสารก์ นิ รมี มิ สั ขอนแกน่ เอนซิส

14 ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน 15 ต่อมาเม่ือราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้วผู้คนเหล่าน้ีได้เปล่ียนแปลงวิถีชีวิต ขอนแกน่ และมีพัฒนาการสืบเนื่องมาเป็นล�ำดับ เร่ิมจากการตั้งบ้านเรือนอยู่ร่วมกัน สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ เป็นชุมชน ท�ำการเพาะปลูกและเล้ียงสัตว์ในบริเวณท่ีราบลุ่มในแหล่งน�้ำ ที่อุดมสมบูรณ์ ผลิตเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนท้ัง สืบต่อมาจนเม่ือประมาณ ๔,๕๐๐ ปีมาแล้ว พื้นที่หลายแห่งใน ใกล้เคียงและหา่ งไกลออกไป ในพน้ื ทจ่ี งั หวดั ขอนแกน่ ปรากฏรอ่ งรอยของแหลง่ ภูมิภาคแห่งนี้ มีผู้คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้เข้ามาอยู่อาศัยตามถ้�ำ ชมุ ชนโบราณเปน็ จำ� นวนมากกระจายอยู่ในบริเวณท่อี ดุ มสมบูรณห์ ลายแหง่ หรือเพิงผาใกล้แหล่งน�้ำ ด�ำรงชีพด้วยการตกปลา ล่าสัตว์ และเก็บพืชผัก ผลไม้จากป่าเป็นอาหาร ไม่ตั้งถ่ินฐานถาวรแต่จะเร่ร่อนไปตามแหล่งอาหาร เคร่ืองประดบั โบราณ ที่สมบูรณ์ ดังปรากฏหลักฐานเป็นเคร่ืองมือ เครื่องใช้ที่ท�ำจากหิน โครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ รวมท้ังภาพเขียนสีตามเพิงผาและคูหาถ�้ำ ชมุ ชนทมี่ อี ายเุ กา่ แกท่ สี่ ดุ พบท่ี แหลง่ โบราณคดโี นนนกทา บา้ นนาดี หลายแห่งในจังหวดั ขอนแก่น ต�ำบลบ้านโคก อ�ำเภอหนองนาค�ำ พบโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์เลี้ยง เครอ่ื งปน้ั ดินเผา เคร่ืองมือเครื่องใช้ท�ำจากหินและโลหะ แสดงถึงการต้ัง ภาพเขียนสี ถิ่นฐานของชุมชนเกษตรกรรมในเขตลุ่มแม่น�้ำชีตอนบน ภาชนะดินเผา ท่ีถำ้� ลายแทง เปน็ หลกั ฐานสำ� คญั ทแี่ สดงวา่ ชมุ ชนโนนนกทามกี ารบรโิ ภคขา้ วและปลกู ขา้ ว อุทยานแห่งชาติ ในการด�ำรงชีวิตเพราะมีการน�ำแกลบข้าวมาเป็นส่วนผสมของดินท่ีใช้ปั้น ภูผามา่ น ภาชนะ เพอ่ื ชว่ ยในการเผาดนิ ให้แขง็ แกรง่ ข้ึน ทแี่ หลง่ โบราณคดบี า้ นโนนชยั อำ� เภอเมอื งขอนแกน่ พบเครอ่ื งประดบั ถ้�ำลายมือ เป็นสร้อยลูกปัด และต่างหู ท�ำจากเปลือกหอยทะเล แสดงการค้าขาย บนเทอื กเขาภูพาน แลกเปลยี่ นกบั ชมุ ชนทอี่ ยใู่ กลท้ ะเล รวมทงั้ เครอ่ื งมอื เครอื่ งใชท้ ที่ ำ� จากสำ� รดิ และเหลก็ ส่วนแหลง่ โบราณคดโี นนเมอื ง บ้านนาโพธ์ิ ตำ� บลชมุ แพ อำ� เภอ ถำ�้ ฝา่ มอื บา้ นหนิ รอ่ ง ตำ� บลในเมอื ง อำ� เภอภเู วยี ง ในพน้ื ทอ่ี ทุ ยาน ชมุ แพ พบโครงกระดกู มนษุ ย์ ภาชนะดนิ เผา เครอ่ื งมอื หนิ และโลหะ ซงึ่ ชมุ ชน แห่งชาติภูเวียง มีภาพท่ีเกิดจากการทาบมือลงบนผนังถ้�ำ และพ่นด้วย ไดร้ วบรวมสง่ิ ของโบราณทม่ี คี ณุ คา่ เหลา่ นจ้ี ดั แสดงเปน็ พพิ ธิ ภณั ฑก์ ลางแจง้ สแี ดงเปน็ ละอองรอยฝา่ มอื เทคนคิ การสรา้ งภาพเปน็ ละอองสแี ดงรอบมอื นี้ เพอ่ื ให้ประชาชน และนักเรยี นไดศ้ กึ ษาความเป็นมาของท้องถิน่ ตนเอง ถอื เป็นศิลปะดง้ั เดมิ ที่ผคู้ นยคุ ก่อนประวตั ศิ าสตร์เกอื บทั่วโลกนิยมสรา้ งกัน และพบในถำ�้ หลายแห่งในจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียง ถ�้ำผาคันธง ต�ำบลคลองทุ่ม อ�ำเภอภูผาม่าน มีภาพที่บอก เร่ืองราวของการล่าสัตว์เป็นภาพลายเส้น ภาพมือ ภาพสัตว์ ภาพอาวุธ โดยมสี ุนขั ชว่ ยในการลา่ แสดงถงึ วิถีการดำ� เนินชวี ิตของผคู้ นในสมยั นั้น ถำ้� ลายมอื บา้ นดอนกอก ตำ� บลบา้ นผอื อำ� เภอหนองเรอื บนเทอื ก เขาภูพาน พบภาพมือและภาพสัญลักษณ์ต่างๆ บางภาพคล้ายคนแบก กิง่ ไม้ทพี่ บกนั ท่วั ไปในแหล่งภาพเขียนสขี องภมู ิภาคน้ี โครงกระดกู มนุษย์ แหลง่ โบราณคดโี นนเมือง

16 ขอนแกน่ : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน เครอ่ื งมอื เหลก็ ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน 17 ชมุ ชนเกษตรกรรมบางแหง่ ไดพ้ ัฒนาเปลีย่ นแปลงไปสสู่ ังคมเมอื งทมี่ ี เคร่ืองปั้นดินเผา ผู้นำ� ชุมชน รว่ มกนั สรา้ งสาธารณประโยชนเ์ พอื่ การอย่รู ว่ มกนั ไดอ้ ย่างสนั ติสุข พบท่เี มืองโบราณ บ้านเมืองเพีย พระพทุ ธไสยาสนภ์ ูเวียง สร้างคูน้�ำคันดินเป็นก�ำแพงเมืองตามธรรมชาติ เพื่อแสดงขอบเขตของเมือง โครงกระดกู มนุษย์ เมืองชยั วาน และจดั ระเบยี บการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม และสรา้ งศาสนสถานเพอ่ื เปน็ ทป่ี ระกอบ เสมาหินทราย สมยั ทวารวดี พิธีกรรมตามความเชื่อของชุมชนดังปรากฏร่องรอยของชุมชนที่เมืองโบราณ หลายแหง่ เชน่ เมอื งโบราณบา้ นเมอื งเพยี อำ� เภอบา้ นไผ่ พบเครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา ใบเสมาหนิ แมพ่ มิ พด์ นิ เผา กำ� ไลสำ� รดิ เครอื่ งมอื เหลก็ โครงกระดกู มนษุ ยแ์ ละสตั ว์ เมอื งโบราณเมอื งชยั วาน บา้ นโพธไิ์ ชย ตำ� บลโพธไ์ิ ชย อำ� เภอโพธไิ์ ชย เมอื งโบราณ ดงเมืองแอม ต�ำบลดงเมืองแอม อ�ำเภอเขาสวนกวาง เมืองโบราณบ้าน ศรีฐาน ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมืองขอนแก่น ชุมชนเมืองโบราณเหล่าน้ี กระจายอยทู่ วั่ ไปตามทร่ี าบลมุ่ แม่น�้ำชี แมน่ ำ�้ พอง และแมน่ ำ้� เชิญ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ (ประมาณช่วง พ.ศ. ๑๑๐๑ – ๑๒๐๐) ดินแดนแถบน้ีพัฒนาเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ เพราะพบการใช้ตัวอักษร จารึกบอกเล่าเรื่องราว และคงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรเจนละ (ต่อมาคืออาณาจักรเขมร) หลักฐานที่พบคือ ศิลาจารึกหินทรายท่ีพบใน เมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคน้ี คือ เมืองโบราณดงเมืองแอม เป็นศิลาจารึกของพระเจ้ามเหนทรวรมัน กษัตริย์ของอาณาจักรเจนละ ซึ่งมี ศนู ยก์ ลางอยบู่ รเิ วณเหนอื ทะเลสาบกมั พชู า (โตนเลสาบ : Tole Sap) และได้ ท�ำสงครามขยายอาณาจกั รเมือ่ ไดถ้ ึงที่ใดก็จะท�ำจารึกหรือสร้างศาสนสถาน แสดงถงึ ดนิ แดนภายใตพ้ ระราชอำ� นาจของพระองค์ ศลิ าจารกึ ดงั กลา่ วนจ้ี ารกึ ดว้ ยภาษาสนั สกฤต อกั ษรปลั ลวะ (อนิ เดยี ใต)้ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นหลักฐานทางดา้ นจารกึ ที่เก่าแก่ทส่ี ุดท่ีพบในจงั หวัดขอนแก่น หลงั จากนนั้ อทิ ธพิ ลของอาณาจกั รเจนละในภมู ภิ าคนค้ี งเสอื่ มถอยลง ดงั นนั้ จงึ ปรากฏวฒั นธรรมทวารวดี จากบรเิ วณภาคกลางของไทย ไดแ้ ผข่ ยาย มาในดนิ แดนแถบนแี้ ทนท่ี ในพทุ ธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ ชมุ ชนเมอื งในจงั หวดั ขอนแกน่ มหี ลกั ฐาน การรบั วฒั นธรรมทวารวดซี งึ่ เปน็ วฒั นธรรมทเ่ี กย่ี วเนอื่ งในพระพทุ ธศาสนานิกาย เถรวาท ดังพบการสร้างเขตศาสนสถานโดยปักเสมาหินในเขตชุมชนต่างๆ การแกะสลักพระพุทธรูปนอนขนาดใหญ่ท่ีหน้าผาภูเวียง เขตอ�ำเภอชุมแพ ซ่ึงมีอักษรจารึกเป็นภาษาสันสกฤต บริเวณเหนือพระเศียร ก�ำหนดอายุราว พุทธศตวรรษที่ ๑๔ พระพุทธรูปนอนองค์น้ีสร้างตามพุทธศิลป์แบบทวารวดี ผสมผสานฝีมือช่างท้องถ่ิน ตามคตินิยมการสลักภาพพระพุทธรูปบนผาหิน หรือผนงั ถ้�ำ

18 ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน โบราณสถานกู่เปือยนอ้ ย ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอีสาน 19 กู่ประภาชยั เป็นศาสนสถาน ทับหลังของปราสาทสลักภาพเทพนม และพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ทบั หลงั สลกั ภาพนารายณ์บรรทมสินธทุ์ ีโ่ บราณสถานกเู่ ปอื ยนอ้ ย ประจำ�โรงพยาบาล หรือ อโรคยาศาล แสดงว่าศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ได้เข้ามามีอิทธิพลในชุมชนแห่งนี้ นอกเหนอื จากศาสนาพทุ ธเถรวาทที่แพรห่ ลายกอ่ นหนา้ นแ้ี ลว้ เสมาหนิ ทรายทพ่ี บตามเมอื งโบราณหลายแหง่ แสดงถงึ อทิ ธพิ ลทวารวดี สระน�้ำนอกก�ำแพง และในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ วฒั นธรรมเขมรแบบพทุ ธศาสนานกิ าย ในดินแดนแถบนี้ บางแผ่นสลักลวดลายเป็นเศียรนาค บางแผ่นสลักเป็นเสา ทางทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือของกปู่ ระภาชยั มหายาน สมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ ซง่ึ เปน็ มหาราชองคส์ ดุ ทา้ ยของอาณาจกั ร รองรับวงล้อพระธรรมจักรตามแบบศิลปะอินเดีย ใบเสมาบางแผ่นมีค�ำจารึก เขมรไดแ้ ผข่ ยายเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลในดนิ แดนไทยหลายแหง่ ไดค้ น้ พบศาสนสถาน ด้วยอักษรสมัย หลังปัลลวะ ภาษามอญ กล่าวถึงการสร้างส่ิงของถวายไว้กับ เพิ่มอีก ๒ แห่งคือ โบราณสถานกู่แก้ว บ้านดอนช้าง อ�ำเภอเมืองขอนแก่น พระพุทธศาสนา บางแผ่นสลักลายเป็นภาพเล่าเร่ืองชาดก (อดีตชาติของ และโบราณสถานกบู่ า้ นนาคำ� นอ้ ย (กปู่ ระภาชยั ) ตำ� บลบวั ใหญ่ อำ� เภอนำ้� พอง พระพทุ ธเจา้ ) ใบเสมาหนิ เหลา่ นถี้ อื เปน็ เอกลกั ษณข์ องชมุ ชนทม่ี กี ารผสมผสาน ศาสนสถานทง้ั ๒ แหง่ นเ้ี ปน็ ศลิ ปกรรมแบบบายน ซง่ึ สรา้ งขนึ้ ตามคตพิ ทุ ธศาสนา กบั ศลิ ปกรรมท้องถิ่นอย่างชดั เจน นิกายมหายานเพื่อเป็นศาสนสถานประจ�ำโรงพยาบาลที่เรียกว่าอโรคยศาล ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ วัฒนธรรมเขมรได้ปรากฏอีกคร้ัง ประกอบด้วยปรางค์ประธานบรรณาลัย (ห้องสมุด) สระน�้ำ ก�ำแพง และ ในพ้ืนท่ีจังหวัดขอนแก่น ได้ค้นพบปราสาทหินซึ่งเป็นศาสนสถานในศาสนา ซุ้มประตู และโบราณวัตถุส�ำคัญ คือประติมากรรมหินทรายรูปพระโพธิสัตว์ พราหมณ์ หรือฮนิ ดู ๒ แหง่ คอื โบราณสถานกเู่ ปอื ยนอ้ ย และโบราณสถาน วัชรปาณีทรงครุฑ พระวัชรธร และศิลาจารึกอักษรเขมร ภาษาสันสกฤต ก่บู ้านเมย มีข้อความกล่าวถึงการสรรเสริญพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาซ่ึงเป็น โบราณสถานกูเ่ ปอื ยนอ้ ย บา้ นหัวขัว อ�ำเภอเปอื ยน้อย เป็นปราสาท พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานท่ีช่วยขจัดโรคภัยไข้เจ็บให้ ก่อด้วยอิฐประกอบด้วยศิลาแลง และศิลาทราย เป็นศิลปะแบบนครวัดของ มวลมนษุ ย์ อาณาจกั รเขมร ประกอบดว้ ยปราสาทอฐิ ๓ หลงั มสี ระนำ�้ ขนาดใหญท่ เี่ รยี กวา่ หลังสมัยพระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ อาณาจักรเขมรโบราณได้เส่ือม บาราย ๑ สระ ทับหลังมีภาพแกะสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ ภาพสลักของ อำ� นาจลง ในชว่ งกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ เปน็ ตน้ มา ชนชาตไิ ทยกลมุ่ ตา่ งๆ เทพเจา้ ต่างๆ ตามความเชอ่ื ของศาสนาฮนิ ดู โบราณสถานกูบ่ า้ นเมย อำ� เภอ ได้เร่ิมมีอ�ำนาจทางการเมืองข้ึนมาแทนท่ี และได้สถาปนารัฐของคนไทยใน หนองสองหอ้ ง เปน็ ปราสาทหนิ ทเ่ี ปน็ ศลิ ปะแบบคลงั -ปาปวน ของอาณาจกั รเขมร ทตี่ า่ งๆ กนั นนั่ คอื อาณาจกั รสโุ ขทยั สถาปนาขน้ึ เมอ่ื ราว พ.ศ. ๑๗๙๒ อาณาจกั ร ล้านนาสถาปนาเมืองเชียงใหม่เป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ อาณาจักร อยุธยาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเม่ือ พ.ศ. ๑๘๙๓ และอาณาจักรล้านช้าง สถาปนาเมืองหลวงพระบางขึ้นใน พ.ศ. ๑๘๙๖ ตัง้ แตพ่ ุทธศตวรรษท่ี ๑๙ เปน็ ตน้ มา อาณาจักรล้านชา้ งได้แผข่ ยาย อิทธิพลทางการเมืองครอบคลุมพ้ืนท่ีในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือท�ำให้ วัฒนธรรมล้านช้างมีอิทธิพลเหนือพ้ืนที่ในจังหวัดขอนแก่น ดังจะเห็นได้จาก สถาปัตยกรรม พระธาตุขามแก่นวัดเจติยภูมิ ต�ำบลบ้านขาม อ�ำเภอน้�ำพอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ส�ำคัญของจังหวัดขอนแก่นน้ันมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรม ทสี่ บื ทอดมาจากพระธาตศุ รสี องรกั ตำ� บลดา่ นซา้ ย จงั หวดั เลย ซงึ่ สรา้ งขน้ึ ใน สมัยพระไชยเชษฐาธิราชของอาณาจกั รลา้ นชา้ งเมอ่ื ราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ ในสมัยธนบุรี อาณาจักรไทยได้แผ่ขยายอ�ำนาจเข้าครอบครอง อาณาจักรล้านชา้ งท่ีเคยร่งุ เรืองใหต้ กเป็นเมอื งขน้ึ ของไทย และไดก้ วาดตอ้ น ผู้คนมาต้ังบ้านเรือนในดินแดนไทยหลายแห่ง เช่น เพชรบุรี สระบุรี ราชบุรี และจนั ทบุรี

20 ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอสี าน ขอนแกน่ : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน 21 อยา่ งไรกต็ ามการตง้ั ถนิ่ ฐาน สรา้ งบา้ นแปงเมอื ง กอ่ เกดิ เปน็ วฒั นธรรม ต่อมาเม่ือมีผู้คนเพิ่มขึ้นจึงได้อพยพไปสร้างเมืองใหม่ท่ีบ้านบึงบอน และความเป็นขอนแก่นอย่างชัดเจนและสืบเน่ืองจนถึงปัจจุบัน เร่ิมเม่ือ (ปัจจุบันคือบึงแก่นนคร) และแจ้งความประสงค์ไปยังพระยานครราชสีมา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ นเ่ี อง ในสมัยต้นรตั นโกสินทรโ์ ดยกลมุ่ ชนจากอาณาจักร (ซง่ึ ดูแลเมืองต่างๆ ในภมู ิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ขอเปน็ เจา้ เมืองแยกจาก ล้านช้างได้พากันอพยพข้ามแม่น้�ำโขงมาสร้างบ้านเมืองข้ึนใหม่ ตามบริเวณ เมอื งสวุ รรณภมู ิ ขน้ึ กบั เมอื งนครราชสมี า โดยจะสง่ สว่ ย (ภาษอี ากร) ตามประเพณี ลุ่มน้�ำท่ีอุดมสมบูรณ์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ส�ำหรับจังหวัด พระยานครราชสมี าจงึ กราบทลู ไปยงั กรงุ เทพฯ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ขอนแกน่ การอพยพแยกได้ ๓ กลมุ่ คอื กลมุ่ ทอี่ พยพมาจากเมอื งเวยี งจนั ทน์ ใหย้ กบา้ นบงึ บอนขนึ้ เปน็ เมอื งขอนแกน่ และตง้ั ทา้ วเพยี เมอื งแพนเปน็ พระนคร ก็จะพากันต้ังถ่ินฐานอยู่ในเขตอ�ำเภอภูเวียง อ�ำเภอชนบท และบางส่วนของ ศรีบริรกั ษ์ เป็นเจ้าเมอื งขอนแก่นขึ้นกบั เมืองนครราชสีมา อ�ำเภอชุมแพ อีกกลุ่มคือกลุ่มท่ีอพยพมาจากแขวงจ�ำปาสัก จะอยู่ที่อ�ำเภอ เมืองขอนแก่น อ�ำเภอน�้ำพอง อ�ำเภอบ้านไผ่ อ�ำเภอมัญจาคีรี ส่วนกลุ่มที่ อนุสาวรยี พ์ ระนครศรบี รริ ักษ์ ภาพจติ รกรรมฝาผนงั วดั หนองแวง ขอนแกน่ สมัยสร้างบา้ นเมอื งใหม่ อพยพมาจากเมืองหลวงพระบางจะต้ังถิ่นฐานอยู่ในเขตอ�ำเภอภูผาม่าน หรือท้าวเพยี เมอื งแพน แสดงเหตุการณ์ส�ำคัญและประวตั ิ ทา้ วเพยี เมอื งแพน หรอื พระนครศรบี รริ ักษ์ เปน็ เจ้าเมืองขอนแกน่ อำ� เภอชมุ แพ และอำ� เภอสชี มพู ชาวขอนแกน่ ในยคุ สรา้ งบา้ นแปงเมอื งขนึ้ ใหมน่ ี้ ทีร่ ิมบงึ แก่นนคร คนแรก เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๔๐ ซง่ึ พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ มอื งขอนแกน่ ขนึ้ ตรงตอ่ ไดส้ บื ทอดวฒั นธรรมลา้ นช้างท้งั ทางดา้ นศิลปกรรม สถาปตั ยกรรม จิตรกรรม ภาพจิตรกรรมฝาผนังวดั หนองแวง แสดงวถิ ีชีวติ ความเป็นมาของจงั หวัด กรงุ เทพฯ ศนู ยก์ ลางของเมอื งขอนแกน่ เมอ่ื แรกตงั้ อยทู่ บ่ี า้ นโนนทอง ฝง่ั ตะวนั ตก ขนบธรรมเนยี มประเพณีตา่ งๆ ตลอดทง้ั ตัวหนังสอื และภาษาพดู ผสมผสาน ของชาวขอนแกน่ เมือ่ อพยพยา้ ยถิ่น จะหาแหล่ง ของบงึ บอนขอนแกน่ (ปจั จบุ นั คอื บา้ นเมอื งเกา่ ) ทา้ วเพยี เมอื งแพนไดต้ ง้ั บอื บา้ น กับชมุ ชนด้ังเดมิ ทอี่ ยู่ในพ้นื ที่มาตัง้ แตเ่ ดมิ ที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะใกล้แหล่งน้�ำ (เสาหลักเมืองซ่ึงอยู่ทางทิศตะวันตกของวัดกลาง) ได้สร้างวัดข้ึน ๒ วัด คือ ประวตั กิ ารสรา้ งบา้ นเมอื งขอนแกน่ นน้ั ปรากฏในพระราชพงศาวดาร วัดเหนือ (วัดหนองแวง) และวัดกลาง ท้ังได้บูรณะวัดเก่าอีก ๑ วัด คือ รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า อาณาจักรล้านช้างเกิดความไม่สงบ วัดพระธาตุโนนทอง(ชาวบ้านเรียกวัดธาตุหรือวัดใต้) และจวนเจ้าเมืองเป็นที่ เจา้ เมอื งและขนุ นางแยง่ ชงิ อำ� นาจกนั เอง บรรดาเช้อื พระวงศ์และขนุ นางลาว วา่ ราชการเมอื ง หลายคนได้พาครอบครัว ข้าทาสบริวาร และไพร่พลในสังกัด ข้ามแม่น้�ำโขง ภายหลงั เมอื่ ทา้ วเพยี เมอื งแพนถงึ แกก่ รรม พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั มาสรา้ งเมอื งขึ้นใหม่ ในราชอาณาจักรไทยหลายเมอื งดว้ ยกัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวค�ำบัง ซึ่งเป็นบุตรเขยของท้าวเพียเมืองแพนเป็น ท้าวเพียเมืองแพนแห่งเมืองทุรคม แขวงเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งเป็น เจ้าเมืองขอนแก่นแทน ภายหลังพระนครค�ำบังได้ถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณา เชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ล้านช้างได้อพยพผู้คนมาอาศัยอยู่กับเจ้าแก้วมงคล โปรดเกลา้ ฯ ให้ราชบุตรคำ� ยวง เป็นเจ้าเมอื งขอนแก่นแทน หรอื เจา้ แกว้ บฮู ม ซง่ึ อพยพผคู้ นมาจากนครจำ� ปาสกั มาตง้ั เมอื งสวุ รรณภมู ขิ นึ้ (ปจั จบุ นั อยใู่ นอำ� เภอธวชั บรุ ี จงั หวดั รอ้ ยเอด็ ) โดยตง้ั บา้ นเรอื นอยทู่ บ่ี า้ นซโี หลน่ การย้ายเมอื งขอนแกน่ ครง้ั ที่ ๑ (บา้ นชีโล้น) แขวงเมืองสวุ รรณภมู ิ ในสมัยท้าวค�ำยวงเป็นพระนครศรีบริรักษ์เจ้าเมืองขอนแก่น เมือง พ.ศ. ๒๓๓๒ เจา้ จอมคำ� แวน่ หรอื เจา้ จอมแวน่ (บตุ รสาวของทา้ วเพยี ขอนแกน่ มกั มปี ญั หาเรอื่ งเขตแดนและการเกบ็ ภาษอี ากร (สว่ ย) กบั เมอื งชนบท เมืองแพน ซ่ึงเป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซงึ่ มพี ระจนั ตะประเทศ (ทา้ วคำ� ผางหรอื กวนเมอื งแสน) เปน็ เจา้ เมอื ง เนอ่ื งจาก มหาราช) ไดก้ ราบบงั คมทลู พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ใหท้ า้ วเพยี เมอื งแพน เมอื งขอนแกน่ อยใู่ กลเ้ มอื งชนบทเกนิ ไป ทา้ วคำ� ยวงจงึ แกไ้ ขปญั หาการกระทบ แยกออกมาตง้ั เมอื งใหม่ ประกอบกบั ในขณะนนั้ ทา้ วเพยี เมอื งแพนไดท้ ราบวา่ กระทง่ั กบั เมอื งชนบทเรอื่ งเขตแดน โดยยา้ ยศนู ยก์ ลางเมอื งขอนแกน่ จากบา้ น พรานจันทร์และพรานไฮ้ ได้พบท�ำเลเมืองโบราณที่บ้านดอนกระยอมหรือ โนนทองไปอยู่ที่บ้านดอนพนั ชาด ดอนพยอม (เวลานน้ั อยใู่ นแขวงเมอื งชนบท ปจั จบุ นั อยใู่ นทอ้ งทบี่ า้ นเมอื งเพยี พระนครศรีบริรักษ์ (ค�ำยวง) ถึงแก่กรรมเม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๘ ท่ีบ้าน อ�ำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น) เป็นท่ีอุดมสมบูรณ์เหมาะสมกับการสร้าง ดอนพันชาด ท้าวหนู ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมือง แต่ในปี เมืองใหม่ ท้าวเพียเมืองแพนจึงได้อพยพผู้คน จ�ำนวนประมาณ ๓๐๐ คน พ.ศ. ๒๓๘๑ ทา้ วหนไู ดร้ บั แตง่ ตงั้ ใหเ้ ปน็ เจา้ เมอื งมกุ ดาหาร ทา้ วอนิ บตุ รชาย ย้ายจากบ้านซีโหล่น มาต้ังบ้านเรือนท่ีดอนพยอม แขวงเมืองชนบท ผู้คน ของทา้ วคำ� ยวง เปน็ ผมู้ คี วามสามารถและมคี วามดีความชอบในการปราบกบฏ ส่วนใหญ่อพยพไปพร้อมกับเจ้าเมอื ง แตบ่ างสว่ นยงั คงอาศัยอยู่ในถิ่นเดมิ

22 ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน ขอนแกน่ : แหล่งวัฒนธรรมอสี าน 23 เจ้าอนุวงศ์ ในสมัยรัชกาลท่ี ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้รับโปรดเกล้าฯ พ.ศ. ๒๔๒๔ พระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวมุ่ง) ถึงแก่อนิจกรรม พวก ให้เป็นพระนครศรีบรริ กั ษ์ เจา้ เมอื งขอนแกน่ ข้าราชการฝ่ายเมืองเดิมที่บ้านโนนทัน จึงอพยพไปสร้างเมืองใหม่ท่ีบ้านทุ่ม อ�ำเภอเมืองขอนแก่น และในปีเดียวกันน้ีพระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวอู๋) การยา้ ยเมืองขอนแกน่ ครั้งท่ี ๒ ภาพเหตกุ ารณก์ ารยา้ ยถนิ่ และวถิ ชี วี ติ ชมุ ชน ไดข้ อพระราชทานตงั้ บา้ นภเู มง็ ซง่ึ อยทู่ างดา้ นตะวนั ตกของบา้ นทมุ่ ขนึ้ เปน็ พระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวอิน) ได้ย้ายเมืองขอนแก่น จากบา้ นดอน ของจงั หวดั ขอนแกน่ จดั แสดงที่ เมืองข้ึนกับเมืองขอนแก่น และได้รับโปรดเกล้าฯ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๔ โดย พันชาด มาอยู่ที่บ้านโนนทัน ทางทิศตะวันออกของบึงบอน (บึงพระลับ พพิ ธิ ภณั ฑโ์ ฮงมนู มงั เมอื งขอนแกน่ พระราชทานนามเมืองใหม่ว่า เมืองมัญจาคีรี โดยให้ท้าววรบุตร (สน โนนทอง ปจั จบุ นั คอื บา้ นแกน่ นคร) ทา้ วอนิ ไดส้ รา้ งบอื บา้ นทบี่ รเิ วณหลงั ศาลา สนธิโสมพันธ์) เป็นพระเกษตรวัฒนาเจ้าเมือง ซ่ึงย่ิงท�ำให้ความขัดแย้ง เจ้าญาคูเย็น สร้างวัดท่าแขก บูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ให้เป็นวัดส�ำหรับ ขยายเพิ่มมากข้ึน เพราะการตั้งเมืองมัญจาคีรีขึ้นใหม่ เป็นการปิดกั้น ประกอบพิธีส�ำคัญ เช่น พิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น ท้าวอินถึงแก่ การขยายเมืองของฝ่ายเมืองเดิมท่ีบ้านทุ่ม เกิดข้อพิพาทและฟ้องร้อง อนิจกรรมท่ีบ้านโนนทันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ซึ่งกันและกัน ทางกรุงเทพฯ จึงมอบหมายให้พระยาสุริยเดชวิเสศฤทธ์ิ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหท้ ้าวมุ่งเป็นพระนครศรบี รริ ักษ์ เป็นเจ้าเมืองขอนแกน่ ทศทิศวิไชย ปลัดข้าหลวงประจ�ำหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ ท�ำการสอบสวน สบื ต่อมา ทั้งสองฝ่าย จนถึง พ.ศ. ๒๔๓๔ พระยาสุริยเดชวิเสศฤทธิ์ทศทิศวิไชย ใน พ.ศ. ๒๔๑๘ กองทัพจีนฮ่อได้เข้ามารุกรานลาวทางเหนือถึง ย้ายไปราชการท่ีอ่ืน พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม จึงได้ เมืองเวียงจันทน์ ทางฝ่ายกรุงเทพฯ ได้มอบหมายให้หัวเมืองต่างๆ ในภาค ศึกษาปัญหาของเมืองขอนแก่นทั้งสองเมือง แล้วให้เมืองขอนแก่นท่ีต้ัง ตะวันออกเฉยี งเหนอื จัดทัพไปปราบฮ่อ ไดแ้ ก่ เมอื งอบุ ล เมืองรอ้ ยเอ็ด เมือง อยู่ที่ดอนบม ย้ายไปอยู่รวมกับบ้านทุ่ม โดยให้เหตุผลว่าเพราะบ้านดอนบม มหาสารคาม เมอื งชนบท เมอื งขอนแกน่ และเมอื งนครราชสมี าเปน็ กองหนนุ อยู่ไกลจากเส้นทางคมนาคม นอกจากนี้ สายโทรเลขผ่านเมืองชนบท กองทพั เมอื งขอนแกน่ นำ� โดยทา้ วอรู๋ าชบตุ ร หรอื หลวงศรวี รวงศไ์ ดแ้ สดงวรี กรรม ตรงมาท่ีบ้านทุ่ม แล้วผ่านไปเมืองอุดร ไม่ผ่านบ้านดอนบม บ้านทุ่มจึงมี โจมตีกองทัพฮอ่ ท่ีต้ังอยู่ทด่ี า้ นเหนอื ของเมืองเวียงจันทนแ์ ตกพ่ายไป ความเหมาะสมท่ีจะเปน็ ศนู ยก์ ลางเมอื งขอนแกน่ มากกว่าบ้านดอนบม หลักการปราบศึกฮ่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๓๔ เมอื งขอนแกน่ จงึ รวมเปน็ เมอื งหนง่ึ เดยี วกนั อกี ครงั้ หนงึ่ รชั กาลที่ ๕ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหห้ ลวงศรวี รวงศ์ (ท้าวอู๋) เป็นพระนครศรีบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น (ตราตั้งลงวันท่ี ขอนแกน่ สมยั ปฏิรูปการปกครอง ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๐) ท้าวอจู๋ ัดตงั้ เมอื งขอนแก่นท่ีบ้านดอนบม (ต�ำบล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ในเมอื งอำ� เภอเมอื งขอนแกน่ ) โดยทที่ า้ วมงุ่ ยงั คงอยใู่ นตำ� แหนง่ เจา้ เมอื งขอนแกน่ ให้ปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน ทางด้านการปกครองส่วนภูมิภาค เพื่อที่จะ ท�ำให้เกิดความขัดแย้งข้ึน เมืองขอนแก่นถูกแบ่งหน่วยปกครองออกเป็น ครอบคลุมดูแลและปกครองอาณาเขตไทยทั่วราชอาณาจักรได้ท่ัวถึง โดย ๒ ฝา่ ย คือ แบ่งการปกครองทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเรียกในขณะนั้นว่า k เมืองขอนแก่นท่ีบ้านโนนทัน มีพระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวมุ่ง) หัวเมืองลาว ออกเป็น ๔ เขตการปกครอง แต่ละเขตมีข้าหลวงใหญ่ที่ เป็นเจา้ เมือง กรุงเทพฯ แต่งตัง้ ให้ไปปกครอง ประกอบด้วย k เมืองขอนแก่นท่ีบ้านดอนบม มีพระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวอู๋) ๑. เขตหวั เมืองลาวฝ่ายตะวันออก เป็นเจ้าเมอื ง ๒. เขตหวั เมอื งลาวฝา่ ยตะวนั ออกเฉียงเหนือ ทางกรงุ เทพฯ ไดแ้ ก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โดยใหแ้ บ่งพนื้ ท่ปี กครอง ๓. เขตหวั เมืองลาวฝา่ ยเหนอื แบ่งประชาชน แยกกันเก็บภาษีอากร ต่างฝ่ายต่างท�ำราชการขึ้นตรงต่อ ๔. เขตหัวเมืองลาวฝ่ายกลาง กรุงเทพฯ การบริหารงานจึงสับสนวุ่นวาย มีการทะเลาะเบาะแว้งระหว่าง เมืองขอนแก่นอยู่ในเขตหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ มีเมืองข้ึน ๔ เมือง ๒ ฝา่ ยอยเู่ สมอ คือ เมืองพล เมืองภูเวียง เมืองมัญจาคีรี และเมืองค�ำพองน้อย ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๓๔ กรุงเทพฯ เริ่มจัดระบบปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาคเป็น

24 ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน ๒๖ มีนาคม ๒๔๓๙ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอสี าน 25 แบบมณฑล เมืองขอนแก่นจึงอยู่ภายใต้การปกครองในมณฑลลาวพวน พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว (ตุลาคม ๒๕๐๑ - ธันวาคม ๒๕๐๖) ทางดา้ นการศกึ ษา ขอนแกน่ พฒั นาการดา้ นการศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยมพี ระเจา้ นอ้ งยาเธอกรมหมน่ื ประจกั ษศ์ ลิ ปาคม เปน็ ขา้ หลวงตา่ งพระองค์ พร้อมด้วยสมเดจ็ พระศรพี ัชรนิ ทราบรมราชนิ ีนาถ ตรวจราชการท่อี ำ�เภอหนองสองหอ้ ง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ต้ังโรงเรียนวัดธาตุวิทยาคาร เป็นโรงเรียนแห่งแรก สำ� เรจ็ ราชการมณฑลลาวพวน (ตอ่ มาคอื มณฑลอดุ ร) มศี นู ยก์ ลางการปกครอง เสดจ็ ไปทรงประกอบพระราชพธิ ีเปิด ของจงั หวดั ขอนแกน่ (ปจั จบุ นั คอื โรงเรยี นขอนแกน่ วทิ ยายน) พ.ศ. ๒๔๔๓ อยู่ทเี่ มืองหนองคาย การเดนิ รถไฟหลวงสายแรก กรุงเทพฯ-อยุธยา จังหวดั ขอนแกน่ จดั ตงั้ โรงเรยี นภาษาไทยขนึ้ เปน็ ครงั้ แรก พ.ศ. ๒๔๖๓ ตงั้ โรงเรยี นสตรปี ระจำ� ใน พ.ศ. ๒๔๓๗ รชั กาลท่ี ๕ ทรงปรบั ปรุงการปกครองสว่ นภมู ภิ าค ระยะทาง ๗๑ ก.ม. โรงเรยี นชมุ ชนภเู วยี งวทิ ยาคม จดั ตง้ั ขน้ึ อำ� เภอพระลบั (โรงเรยี นสนามบนิ ในปจั จบุ นั ) พ.ศ. ๒๔๖๙ ตง้ั โรงเรยี นประถม เป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล โดยรวมเมืองหลายๆ เมืองเป็นมณฑล แล้วส่ง เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๑ เดมิ ชอ่ื โรงเรยี นชน้ั มลู ศกึ ษา อาชีพชา่ งไม้ ประถมบรบิ รู ณ์ (ชาย) ทร่ี ิมบึงทุ่งสร้าง ต่อมาเป็นโรงเรยี นช่างไม้ ข้าหลวงเทศาภิบาลไปกำ� กบั ดูแล เปลยี่ นตำ� แหน่งเจ้าเมอื ง และกรมการเมือง ๑ ธนั วาคม ๒๔๔๓ ภาพรอยยม้ิ ของนักเรียนระดับประถมศกึ ษา (ปจั จบุ นั เปน็ วทิ ยาลยั เทคนคิ ขอนแกน่ ) พ.ศ. ๒๔๗๔ ไดต้ งั้ โรงเรยี นประชาบาล (อุปฮาต ราชวงษ์ และราชบุตร) เป็นต�ำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว ต�ำบลพระลับ (โรงเรียนกัลยาณวัตรในปัจจุบัน) และส่งเสริมให้มีการจัดตั้ง ยกกระบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการเมือง รวมท้ังเปลี่ยนช่ือมณฑลใหม่ พร้อมดว้ ยสมเดจ็ พระศรีพัชรินทราบรมราชนิ ีนาถ กับชุดนักเรยี นใหม่ โรงเรยี นประถมศกึ ษา ตามตำ� บล และอำ� เภอตา่ งๆ อยา่ งทว่ั ถงึ โดยปฏสิ งั ขรณ์ โดยตัดช่ือ ลาว ออกจากทุกมณฑล เมืองขอนแก่นข้ึนกับมณฑลฝ่ายเหนือ เสดจ็ ไปทรงประกอบพระราชพธิ ีเปดิ การเดนิ รถไฟ วดั ตา่ งๆ เพอ่ื ให้เป็นสถานศกึ ษาสำ� หรับกุลบตุ ร และกุลธิดาชาวขอนแก่น (เดมิ คอื มณฑลลาวพวน) สายกรงุ เทพฯ-นครราชสมี า ทางด้านสาธารณูปโภค นอกจากการสร้างศาลาว่าการจังหวัด ใน พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้มกี ารปรับปรุงการปกครองระบบมณฑลอีกคร้ัง เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางปกครองแล้ว สาธารณูปโภคที่จ�ำเป็นได้แก่ การสร้าง หน่ึง เมืองขอนแก่นจึงขึ้นกับมณฑลอุดร รวมกับเมืองอุดรธานี เมืองเลย ท�ำนบเพ่ือกักเก็บน�้ำ การสร้างสะพานข้ามแม่น้�ำชี (พ.ศ. ๒๔๔๖) สะพาน เมืองนครพนม เมอื งหนองคาย และเมืองสกลนคร ข้ามแม่น�้ำพอง (พ.ศ. ๒๔๔๙) ตัดถนนเชื่อมภายในเมืองขอนแก่น และ ใน พ.ศ. ๒๔๔๒ บา้ นทมุ่ เกดิ แหง้ แลง้ กนั ดารนำ�้ ประกอบกบั เสน้ ทาง ตัดถนน เช่ือมต่อจังหวัดนครราชสีมา อุดรธานี มหาสารคาม รวมท้ังสร้าง คมนาคมเปลี่ยนแปลงไปสู่บ้านพระลับ เจ้าเมืองจึงย้ายเมืองขอนแก่นไปอยู่ โรงพยาบาลแหง่ แรกเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๘ บ้านเมืองเก่าอีกครั้ง ตั้งจวนและศาลากลางอยู่ทางทิศเหนือของบึงแก่นนคร ปัจจัยหน่ึงท่ีมีส่วนท�ำให้เมืองขอนแก่นเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว ใน พ.ศ. ๒๔๔๓ พระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวอู๋) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นผลมาจากการสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ซ่ึงพระบาท เปน็ พระยานครศรบี รริ กั ษ์ บรมราชภกั ดศี รศี ภุ สนุ ทร ทา่ นดำ� รงตำ� แหนง่ จนถงึ สมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึนต้งั แต่ พ.ศ. ๒๔๓๔ พ.ศ. ๒๔๗๗ กข็ อลาออกจากราชการในขณะที่มอี ายุ ๗๒ ปี แตย่ งั คงเปน็ ท่ี ใชเ้ วลาประมาณ ๕ ปี เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๓๙ การกอ่ สรา้ งทางรถไฟระหวา่ งสถานี ปรึกษาก�ำกับราชการในต�ำแหน่งจางวาง ในช่วงเวลาดังกล่าวทางราชการได้ กรงุ เทพฯ-อยธุ ยา จงึ แลว้ เสรจ็ จงึ โปรดเกลา้ ฯ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ มาประกอบ ปรับปรุงปกครองหัวเมืองอีกครั้งหน่ึง โดยรวมหัวเมืองหลายๆ เมืองเข้าเป็น พระราชพธิ ีเปดิ การรถไฟ เมอ่ื วันท่ี ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๙ จากนนั้ จึงได้ บรเิ วณ เมอื งขอนแกน่ รวมกบั เมอื งชนบท และเมอื งภเู วยี ง เรยี กวา่ บรเิ วณ ก่อสร้างทางรถไฟจากอยุธยาผ่านชุมทางบ้านภาชี ถึงสถานีแก่งคอย จาก ผาชี และแตง่ ตง้ั พระพทิ กั ษส์ ารนคิ ม (ทา้ วหลา่ สนุ ทรพทิ กั ษ)์ เปน็ ผวู้ า่ ราชการ สถานแี กง่ คอย ถงึ สถานนี ครราชสมี า แลว้ เสรจ็ เมอื่ เดอื นธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ เมืองขอนแก่น และขุนผดุงแคว้นประจันต์ (ช่วง วิโรจน์เพชร) เป็นข้าหลวง เส้นทางรถไฟดังกล่าวได้น�ำความเจริญจากกรุงเทพฯ ศูนย์กลางการปกครอง กำ� กับราชการบรเิ วณผาชี ไปสู่เมืองนครราชสีมา และแผ่ขยายไปสู่หัวเมืองอื่นๆ ทางภาคตะวันออก ใน พ.ศ. ๒๔๕๑ บรเิ วณทตี่ ง้ั ศาลากลางทบี่ า้ นเมอื งเกา่ ประสบปญั หา เฉียงเหนอื ทางรถไฟได้ขยายจากนครราชสีมาถึงสถานีอุบลราชธานี และ นำ้� ทว่ มในหนา้ ฝน บรเิ วณเมอื งคบั แคบไมส่ ามารถขยายเมอื งได้ ผวู้ า่ ราชการ สถานีขอนแก่น สร้างเสร็จ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ (๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ เมืองขอนแก่น (หลวงวิไสยสิทธกิ รรม นามเดิมคอื จัน ปิยรตั น)์ จงึ ย้ายเมือง พิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่างกรุงเทพ-ขอนแก่น) ท�ำให้การคมนาคมติดต่อ ขอนแกน่ จากบ้านเมอื งเก่ามาต้ังอยู่ทบ่ี า้ นพระลบั ค้าขายกับเมืองต่างๆ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการปกครอง เช่น นครราชสมี า และกรุงเทพฯ ได้สะดวกขน้ึ ความเจริญทางดา้ นตา่ งๆ จึง การพัฒนาเมอื งขอนแก่นกอ่ นเปล่ียนแปลงการปกครอง เคล่อื นเขา้ สู่เมอื งขอนแกน่ อย่างรวดเรว็ ภายหลังการปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลท่ี ๕ เมืองขอนแก่นมีการพัฒนาหลายดา้ น ดังนี้

26 ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน สถานีรถไฟเมอื งพล และบา้ นเรอื น ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอสี าน 27 การตั้งถ่ินฐานของชนชาติตา่ งๆ ในจงั หวดั ขอนแก่น ชมุ ชนหลังสถานรี ถไฟเมอื งพลในปจั จบุ นั นอกจากชาวลาวท่ีอพยพมาจากเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงพระบาง แสดงหนุ่ จำ�ลองชาวจีนทมี่ าค้าขายในขอนแก่นในอดีต เมืองจ�ำปาศักดิ์ และเมอื งอนื่ ๆ ของอาณาจักรล้านช้างแล้ว ยงั มีชนชาติอ่ืนๆ เขา้ มาต้งั ถ่นิ ฐานในพนื้ ที่ของจังหวดั ขอนแกน่ ด้วย ดังนี้ ชาวตา่ งชาตมิ าคา้ ขายในเมอื งขอนแกน่ เมื่อครงั้ อดีต ชาวจนี ชาวจนี ไดเ้ ดนิ ทางเขา้ มาคา้ ขายในภมู ภิ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี ๔ โดยเฉพาะเมืองนครราชสีมาซึ่งเป็นศูนย์กลางการ การพฒั นาเมอื งขอนแก่นภายหลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง ปกครองของหวั เมอื งภาคอีสาน มีชาวจนี มาตั้งรกรากและท�ำหนา้ ทีเ่ ปน็ พอ่ คา้ ใน พ.ศ. ๒๔๗๖ ไดม้ กี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั กิ ารบรหิ ารราชการ คนกลาง รับซือ้ ของปา่ เช่น หนงั สตั ว์ เขาสัตว์ และพชื ผลต่างๆ โดยเฉพาะ สว่ นภมู ภิ าค การปกครองระบบมณฑลทง้ั หมดไดถ้ กู ยกเลกิ เปลย่ี นมาเปน็ การ ขา้ ว ในขณะเดยี วกนั กน็ �ำสนิ คา้ ต่างๆ เช่น ถ้วยชาม เส้อื ผ้า ของใชเ้ บด็ เตลด็ ปกครองสว่ นภมู ภิ าค ประกอบดว้ ย จงั หวดั และอำ� เภอ เชน่ ปจั จบุ นั ไปขายในชุมชนต่างๆ ด้วย ต่อมาชาวจีนเหล่านี้ได้เข้าไปตั้งถ่ินฐานท�ำมา ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ เปน็ ตน้ มาขอนแกน่ มกี ารพฒั นาเพมิ่ ขน้ึ อยา่ งมาก หากนิ ในพืน้ ท่จี ังหวดั ขอนแกน่ เช่น บริเวณหนา้ ตลาดสด (ถนนศรจี นั ทร์) ซง่ึ สาเหตุส�ำคัญคือ เส้นทางรถไฟได้น�ำความเจริญด้านต่างๆ มาสู่ขอนแก่น เป็นบริเวณห้องแถวไม้ชั้นเดียว ยาวตามถนนหลังเมืองฝั่งตะวันตก และ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ จัดท�ำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฝั่งตะวันออก ประมาณ ๘-๑๐ ห้องจะมีชาวจีนต้ังร้านค้าอยู่ ร้านค้าที่ใหญ่ แหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี ๑ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๔ ไดก้ ำ� หนดใหจ้ งั หวดั ขอนแกน่ เปน็ ศนู ยก์ ลาง ทส่ี ุดในตลาดขอนแก่น คอื รา้ นต้งั ง่ีหลี ของเถา้ แกเ่ สง็ โดยจะซ้อื สนิ คา้ มาจาก การพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ท�ำให้ขอนแก่นกลายเป็นศูนย์กลาง โคราช แล้วมาส่งขายทั้งขายปลีกและขายส่ง ให้พ่อค้ารายย่อย นอกจากนี้ ทางเศรษฐกิจ การคมนาคม การศกึ ษา และการสาธารณสุข ซง่ึ เปน็ พ้ืนฐาน ชาวจีนยังท�ำโรงสี นับเป็นธุรกิจที่ส�ำคัญอย่างหน่ึง เช่น โรงสีฮ่งเส็งไถ่ ของ ความเจรญิ ในทุกๆ ด้านสืบมาถงึ ปัจจบุ นั น้ี เถ้าแก่ซ่ง (ต่อมาเปล่ียนช่ือเป็น หงส์แสงไทย) การด�ำเนินธุรกิจโรงสีสร้าง ความร�่ำรวย และเป็นท่รี ู้จกั ของชาวขอนแกน่ เป็นอยา่ งดี เมื่อทางรถไฟเปิดการเดินรถถึงต�ำบลบ้านไผ่ และต�ำบลอื่นๆ ท�ำให้ มีประชาชนอพยพเข้าไปต้ังถ่ินฐานใกล้กับสถานีรถไฟเป็นจ�ำนวนมาก ชาวจีน ก็ได้ตั้งร้านค้าตามชุมทางรถไฟด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ชาวจีนบางคนที่เป็น แรงงานรับจ้างในการสร้างทางรถไฟ เมื่อพบเห็นความอดุ มสมบรู ณ์ของพน้ื ท่ี ในจังหวัดขอนแก่นหลายแห่ง จึงได้หันมาบุกเบิกท�ำไร่ท�ำนาและแต่งงานกับ หญงิ สาวในทอ้ งถน่ิ ความขยนั ขนั แขง็ ของชาวจนี ดงั กลา่ วทำ� ใหส้ ามารถครอบครอง ทดี่ ินอยา่ งกว้างขวาง เปน็ มรดกตกทอดถงึ ลกู หลานจนถึงปัจจบุ ันน้ี ชาวญวน ชาวญวนเขา้ มาอยใู่ นภมู ภิ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภายหลงั ท่ีประเทศเวียดนามเกิดกบฎไตเซิน ใน พ.ศ. ๒๓๒๖ โดยอพยพเข้ามาทาง ประเทศลาว สู่ดินแดนไทยแถบจังหวัดสกลนคร นครพนม มุกดาหาร และ บางส่วนได้อพยพเข้าสู่เมืองขอนแก่น ชาวญวนมีฝีมือทางช่างไม้ ช่างก่ออิฐ และการค้าขาย ในปัจจุบันจึงมีชาวญวนจ�ำนวนมาก ต้ังถ่ินฐานในจังหวัด ขอนแก่น นอกจากน้ียังพบว่าจิตรกรรมฝาผนังในสิมของจังหวัดขอนแก่น หลายแหง่ ปรากฏภาพชาวตา่ งชาตอิ น่ื ๆ ท้ังชาวอนิ เดยี และชาวตะวนั ตก ซงึ่ เขา้ ใจวา่ จะเปน็ ทหารฝรงั่ เศสทเี่ ขา้ มาในดนิ แดนแถบนี้ ในชว่ งทแี่ ผข่ ยายอำ� นาจ ในอินโดจีน (ลาว เวียดนาม และกมั พูชา)

ขอนแก่น จากแกนอสี าน สู่อาเซยี น ขอนแก่น เป็นจังหวัดศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย ท่ีมีการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๙) จนถงึ ปจั จบุ นั สง่ ผลใหข้ อนแกน่ เปน็ จงั หวดั ทมี่ ศี กั ยภาพหลายดา้ น ทงั้ ศนู ยก์ ลางดา้ นการศกึ ษา ศนู ยก์ ลางดา้ น การเงินและการคลงั ศนู ยก์ ลางด้านการค้าและการทอ่ งเทีย่ ว ศูนย์กลางดา้ น อุตสาหกรรม ศูนย์กลางด้านการเกษตร และศูนย์กลางด้านการแพทย์และ สาธารณสขุ ของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื โดยเฉพาะในแผนพฒั นาจงั หวดั ขอนแกน่ (พ.ศ. ๒๕๕๔ – ๒๕๕๗) ได้ก�ำหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาจังหวัดไว้ชัดเจนว่า ขอนแกน่ เมอื งนา่ อยู่ เปน็ ศนู ยก์ ลางการเชอ่ื มโยงเครอื ขา่ ยการคา้ การลงทนุ การบริการและการคมนาคมขนส่งในภูมิภาคสู่สากล จุดมุ่งหมายของ การพัฒนาจึงเน้นเพ่ือความเจริญ เสริมสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง สามารถ แขง่ ขนั กบั สากลได้ อาจกลา่ วไดว้ า่ ขอนแกน่ ในปจั จบุ นั มคี วามพรอ้ มและกำ� ลงั ก้าวส่คู วามเปน็ อาเซยี นได้อย่างสมบูรณ์

30 ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน 31 จังหวัดขอนแก่น ตั้งอยู่ในบริเวณตอนกลางของภาคตะวันออก เฉยี งเหนอื ของประเทศไทย ระหวา่ งละตจิ ดู ๑๕ องศา ๔๑ ลปิ ดา ถงึ ๑๗ องศา ตราประจำ� จงั หวัด ดอกไม้ประจำ� จงั หวัด ตน้ ไมป้ ระจ�ำจังหวัด ๐๔ลิปดาเหนือ และลองติจูด ๑๐๑ องศา ๔๕ ลิปดา ถึง ๑๐๓ องศา รปู เจดีย์ครอบตน้ มะขาม ดอกราชพฤกษ์ ต้นกัลปพฤกษ์ ๑๑ ลปิ ดาตะวนั ออก มพี น้ื ทป่ี ระมาณ ๑๐,๘๘๖ ตารางกโิ ลเมตร เปน็ จงั หวดั ท่ีมีขนาดใหญ่เป็นล�ำดับสามของประเทศไทย รองจากจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดอุบลราชธานี ลักษณะภูมิประเทศทั่วไปเป็นท่ีราบสูง (ส่วนหน่ึงของท่ีราบสูง โคราช) เช่นเดยี วกับจังหวัดอ่นื ๆ ในภาคอีสานของไทย โดยทางดา้ นตะวนั ตก เป็นแนวทิวเขาสูงท่ีต่อเนื่องมาจากแนวเขาภูกระดึงและแนวเขาเพชรบูรณ์ ยาวตลอดเหนือจรดใต้ ท�ำให้เกิดป่าเขาล�ำเนาไพรเป็นเอกลักษณ์และแหล่ง ท่องเท่ียวทางธรรมชาติที่ส�ำคัญของจังหวัด ประกอบด้วย ภูเก้า ภูพานค�ำ ภเู วยี ง ภรู ะงำ� ภผู ามา่ น ภลู วก ภผู กั หนาม ภเู มง็ ภผู าคำ� ภผู าทอง ความสมบรู ณ์ ด้วยธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ท�ำให้ได้รับการจัดต้ังเป็นอุทยานแห่งชาติถึง ๔ แหง่ คอื อทุ ยานแหง่ ชาตภิ เู กา้ – ภพู านคำ� อทุ ยานแหง่ ชาตภิ เู วยี ง อทุ ยาน แห่งชาติน้�ำพอง และอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน ซ่ึงเป็นแหล่งอนุรักษ์พืช พนั ธุไ์ ม้ทม่ี ีคา่ ทางเศรษฐกิจ เชน่ ประดู่ มะค่าโมง ตะแบก พชื สมนุ ไพรและ สัตว์ป่าท่ีส�ำคัญของประเทศ ความงดงามทางธรรมชาติดังกล่าวได้รับการ ส่งเสริมและสนับสนุนจากแผนพัฒนาจังหวัดขอนแก่น เช่น โครงการพัฒนา ศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนท่ีเก่ียวข้องในการจัดการท่องเที่ยว โครงการอบรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเพ่ือพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน โครงการ อบรมอาสาสมคั รและเยาวชนสง่ เสรมิ การทอ่ งเทย่ี วจงั หวดั ขอนแกน่ ปี ๒๕๕๔ ซ่ึงน่าจะเป็นผลท�ำให้จังหวัดขอนแก่นเพิ่มศักยภาพการท่องเท่ียว เพ่ือเข้าสู่ ประชาคมอาเซียนได้ในอนาคต

32 ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน 33 ตารางแสดงข้อมูลการปกครองและประชากรจำ� แนกรายอำ� เภอ จงั หวดั ขอนแก่น ลำ� ดบั อ�ำเภอ ตำ� บล หมบู่ ้าน เทศบาล ชาย ประชากร รวม ที่ ๑๘๘,๕๔๗ หญิง ๓๘๗,๖๖๓ ๒๖,๙๔๙ ๑๙๙,๑๑๖ ๕๓,๙๔๒ ๑ เมอื ง ๑๗ ๒๘๒ ๑๑ ๑๖,๙๑๒ ๒๖,๙๙๓ ๓๔,๓๗๓ ๗ ๗๕ ๔ ๑๗,๔๖๑ ๙๒,๘๙๔ ๒ บา้ นฝาง ๕ ๕๓ ๓ ๔๖๑๘๗ ๔๖,๗๐๗ ๑๒๒,๔๐๕ ๑๐ ๑๔๙ ๔ ๖๐,๘๑๖ ๖๑,๕๘๙ ๗๘,๓๙๗ ๓ พระยืน ๑๒ ๑๓๕ ๔ ๓๙,๒๓๘ ๓๙,๑๕๙ ๑๑๓,๐๑๑ ๑๐ ๑๑๕ ๓ ๕๖,๓๒๓ ๕๖,๖๘๘ ๔๓,๙๘๘ ๔ หนองเรอื ๑๒ ๑๖๘ ๕ ๒๒,๐๒๑ ๒๑,๙๖๗ ๗๘,๔๓๖ ๖ ๗๑ ๓ ๓๙,๑๕๕ ๓๙,๒๘๑ ๑๐๑,๑๐๘ ๕ ชมุ แพ ๙ ๙๘ ๔ ๔๙,๙๕๐ ๕๑,๑๕๘ ๑๙,๘๐๙ ๑๐ ๑๑๐ ๒ ๙,๙๖๗ ๙,๘๔๒ ๘๗,๑๑๒ ๖ สีชมพู ๔ ๓๒ ๒ ๔๓,๑๗๑ ๔๓,๙๔๑ ๒๙,๔๓๔ ๑๒ ๑๓๒ ๑ ๑๔,๕๕๒ ๑๔,๘๘๒ ๔๒,๐๘๑ ๗ น�้ำพอง ๕ ๕๒ ๑ ๒๐,๙๓๓ ๒๑,๑๔๘ ๗๗,๘๑๖ ๖ ๗๔ ๒ ๓๘,๘๗๑ ๓๘,๙๔๕ ๗๑,๖๒๑ ๘ อุบลรตั น์ ๑๒ ๑๓๗ ๑ ๓๕,๘๕๙ ๓๕๗๖๒ ๗๑,๖๘๑ ๑๑ ๑๑๔ ๑ ๓๕,๖๔๓ ๓๖,๐๓๘ ๔๘,๖๑๙ ๙ กระนวน ๘ ๑๑๘ ๒ ๒๓,๘๕๘ ๒๔,๗๖๑ ๓๗,๗๕๒ ๘ ๘๐ ๑ ๑๙,๐๔๕ ๑๘,๗๐๗ ๒๒,๖๑๗ แมน่ ้�ำพองไหลจากอำ� เภอน�ำ้ พองส่อู ำ� เภอเมืองขอนแก่น แมน่ ำ้� เชิญไหลผ่านอ�ำเภอชมุ แพ ๑๐ บ้านไผ่ ๕ ๕๖ ๒ ๑๑,๓๗๙ ๑๑,๒๓๘ ๒๓,๗๑๐ ๕ ๔๒ ๑ ๑๑,๘๒๘ ๑๑,๘๘๒ ๒๕,๔๗๖ ๑๑ เปือยนอ้ ย ๕ ๓๕ ๑ ๑๒,๗๗๕ ๑๒,๗๐๑ ๒๕,๕๓๓ ๔ ๔๐ ๔ ๑๑,๗๘๖ ๑๑,๗๔๗ ๓๒,๔๖๔ ๑๒ พล ๓ ๓๕ ๐ ๑๖,๑๗๑ ๑๖,๒๙๓ ๒๖,๓๔๙ ๔ ๔๖ ๓ ๑๓,๒๓๘ ๑๓,๑๑๑ ๑๙,๗๗๕ ๑๓ แวงใหญ่ ๕ ๔๖ ๑ ๙,๘๓๙ ๙,๙๓๖ ๑,๗๖๖,๐๖๖ ๓ ๓๖ ๐ ๘๗๕,๐๑๓ ๘๙๑,๐๕๓ บริเวณทิวเขาดังกล่าวนี้ ยังเป็นแหล่งต้นน้�ำล�ำธารหลายสาย ๑๔ แวงนอ้ ย ๑๙๘ ๒,๓๓๑ ๖๖ ทส่ี ำ� คัญคอื แมน่ ้�ำชี แม่น�้ำพอง และแมน่ ำ้� เชิญ รวมท้ังหว้ ย หนอง ทะเลสาบ และอ่างเก็บน�้ำ ซึ่งได้หล่อเลี้ยงพ้ืนท่ีราบสูงให้กลายเป็นแหล่งอาหาร ทั้ง ๑๕ หนองสองหอ้ ง การประมง การเพาะปลูก เช่น ข้าว อ้อย มันส�ำปะหลัง ถ่ัวเหลือง และ แหล่งเลยี้ งสตั ว์ โดยเฉพาะโค (เนื้อ - นม) สกุ ร ไก่ ๑๖ ภูเวียง ส่วนบริเวณทางตะวันออก ตั้งแต่เหนือจรดใต้ เป็นท่ีราบลักษณะ สูงๆ ต�่ำๆ คล้ายลูกคล่ืนขนาดต่างๆ ส่วนท่ีราบลุ่มแม่น้�ำท่ีอุดมสมบูรณ์ ๑๗ มัญจาคีรี อยู่บริเวณตอนกลางของจังหวัด ได้แก่ ที่ราบลุ่มน�้ำพอง (ในเขตอ�ำเภอ น�้ำพอง อ�ำเภออบุ ลรัตน์ และอ�ำเภอเมอื งขอนแก่น) ทร่ี าบลุ่มนำ�้ เชญิ (ในเขต ๑๘ ชนบท อ�ำเภอชุมแพ อ�ำเภอภูเวียง อ�ำเภอหนองเรือ) และท่ีราบลุ่มน�้ำชี (ในเขต อ�ำเภอพระยืน อำ� เภอชนบท อ�ำเภอบา้ นไผ่ อำ� เภอมัญจาคีรี อ�ำเภอแวงใหญ่ ๑๙ เขาสวนกวาง และอ�ำเภอเมืองขอนแก่น) ซ่ึงเป็นแหล่งที่จัดได้ว่ามีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด แห่งหนงึ่ ของภูมภิ าคนี้ ทวิ เขา แม่น�้ำ พืชพรรณธรรมชาติ และการประกอบ ๒๐ ภูผาม่าน อาชีพทางการเกษตร นบั เป็นหนง่ึ ในอตั ลกั ษณท์ างกายภาพของอาเซียน เชน่ เดียวกับประเทศสมาชกิ อาเซยี นสว่ นใหญ่ ๒๑ ซำ� สงู ๒๒ โคกโพธไ์ิ ชย ๒๓ หนองนาคำ� ๒๔ บ้านแฮด ๒๕ โนนศลิ า ๒๖ เวียงเกา่ แมน่ ำ�้ ชีเปน็ แนวกนั้ เขต รวม ระหว่างอ�ำเภอมัญจาครี กี บั อ�ำเภอชนบท ท่ีมา ข้อมูลตามทะเบยี นราษฎร์ สำ� นกั ทะเบยี นกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ณ วนั ที่ ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๕๔

34 ขอนแกน่ : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอสี าน 35 ดา้ นกสิกรรม พืชเศรษฐกิจท่สี ำ� คญั ไดแ้ ก่ ขา้ วหอมมะลิ ขา้ วเหนียว ศักยภาพทางดา้ นเศรษฐกิจ มันส�ำปะหลัง อ้อย ถ่ัวเหลือง ข้าวโพดเล้ียงสัตว์ ถ่ัวเขียว ไม้ผล ผัก การปลกู หม่อนเลี้ยงไหม และยางพารา ลักษณะทางกายภาพของจังหวัดขอนแก่น ก่อให้เกิดศักยภาพ ทางเศรษฐกิจ ทั้งทางด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้าและบริการ การคมนาคมขนสง่ รวมทงั้ มแี หลง่ ผลติ ไฟฟา้ เพอื่ ใชภ้ ายในจงั หวดั ๒ แหง่ คอื โรงไฟฟา้ พลงั นำ้� เขอ่ื นอบุ ลรตั นแ์ ละโรงไฟฟา้ พลงั นำ�้ รอ้ นรว่ มนำ้� พอง ซงึ่ นบั เปน็ รากฐานส�ำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้จังหวัดขอนแก่น มีอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวม (Gross Provincial Product : GPP ) ปี ๒๕๕๓ เปน็ ท่ี ๒ ของภาคตะวนั ออก เฉยี งเหนอื (รองจากจงั หวัดนครราชสมี า) เป็นอนั ดับ ๑๒ ของประเทศ และ มรี ายได้เฉล่ียตอ่ หัวประชากร (Per Capita GPP) อย่ใู นอันดบั ๑ ของภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ และเป็นอันดับท่ี ๓๘ ของประเทศ (ทม่ี า : ส�ำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ปี ๒๕๕๔ ทางด้านเกษตรกรรม สวนยางพารา จงั หวดั ขอนแกน่ มพี นื้ ทท่ี างการเกษตร ๔,๓๖๙,๐๔๓ ไร่ คดิ เปน็ พน้ื ที่ ทางการเกษตร ร้อยละ ๖๔.๑๙ ของพื้นท่ีจังหวัด โดยประชากรร้อยละ การไฟฟ้า ๔๗.๓๒ ประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมทั้งการเพาะปลูก เล้ียงสัตว์ และการปา่ ไม้ ไรอ่ อ้ ย ไรม่ ันสำ� ปะหลงั การปลกู ผกั หวานสลับกบั พรรณไม้อน่ื ๆ การปลกู พชื ปลอดสารพิษ การทำ� นา การเลย้ี งไหม

36 ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน 37 ด้านปศุสัตว์ สัตว์เล้ียงที่ส�ำคัญ คือ โค กระบือ สุกร ไก่เนื้อ นอกจากนจ้ี งั หวดั ขอนแกน่ ยงั มชี อื่ เสยี งทางดา้ นการนอ้ มนำ� หลกั การ และไก่ไข่ เกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจมาประยุกษ์ใช้ในการ ด้านการประมง ทุกอ�ำเภอมีการเลี้ยงปลา ซ่ึงสร้างรายได้ให้กับ ด�ำเนินชีวิตและประสบผลส�ำเร็จ ทั้งในสถานศึกษา ครู ผู้น�ำชุมชน และ กลุ่มผู้เลยี้ งมากกว่าปีละ ๒๐๐ ล้านบาท เกษตรกร สามารถสรา้ งมลู คา่ เพม่ิ ใหก้ บั ผลผลติ ทางการเกษตร เชน่ โครงการ สง่ เสริมการผลติ ผกั ปลอดสารพิษ การปลูกพืชแบบผสมผสาน เป็นต้น การเลี้ยงไก่ ครูผ้สู อน ได้นำ� เกษตรทฤษฎีใหม่ ไปประยุกตใ์ ชก้ บั ชุมชน การเลยี้ งกระบอื การเลี้ยงหมูปา่ ชาวบา้ นหาปลาเพ่ือการดำ� รงชวี ิต ไรน่ าสวนผสม การเลีย้ งกบ ปลาที่ไดบ้ ริเวณหนองละเลงิ เค็ง แปลงเกษตรผกั ปลอดสารพิษ การปลูกหญ้าแฝก เพ่ือปอ้ งกนั รักษาหน้าดนิ และการปลูกพชื แบบผสมผสาน

38 ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน โรงงานอุตสาหกรรมน้�ำตาล ทางหลวงหมายเลข ๒ ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน 39 โรงงานอตุ สาหกรรมอาหารสัตว์ สระบรุ ี - ขอนแก่น - อุดรธานี ด้านอตุ สาหกรรม ภาพถา่ ยทางอากาศโรงงานอตุ สาหกรรม การคมนาคมขนสง่ จังหวัดขอนแก่น เป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรมในภาค การผลิตเบียรใ์ นจังหวัดขอนแก่น เน่ืองจากลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง และที่ราบลุ่ม ตะวนั ออกเฉียงเหนือ อันเป็นผลมาจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่แผน ซึ่งสะดวกแก่การสร้างเส้นทางคมนาคมทางบก กล่าวถึง ทางรถยนต์ พัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑ จนถึงปัจจุบันนี้ และเนื่องจาก มีทางหลวงแผ่นดินเช่ือมโยงกับจังหวัดอ่ืนๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เช่น มีแหล่งทรัพยากรแร่หลายชนิดที่ส�ำคัญ รวม ๗ สาย ได้แก่ ได้แก่ หินปูน ซ่ึงเป็นส่วนประกอบส�ำคัญในการก่อสร้าง จึงมีกิจการเหมือง ทางหลวงหมายเลข ๒ : สระบรุ ี – ขอนแกน่ – อดุ รธานี – หนองคาย หินปูนเพ่ืออุตสาหกรรมก่อสร้าง จ�ำนวน ๑๒ แปลง ก๊าซธรรมชาติ มีมาก ทางหลวงหมายเลข ๑๒ : ขอนแก่น - เพชรบูรณ์ ในอ�ำเภอน้�ำพองและเขาสวนกวาง โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ทางหลวงหมายเลข ๒๓ : แยกออกจากทางหลวงหมายเลข ๒ ได้ขุดข้ึนมาใช้เป็นแหล่งพลังงานความร้อนร่วมในการผลิตกระแสไฟฟ้า และ ขอนแกน่ (อำ� เภอบา้ นไผ่) - มหาสารคาม แร่โพแทช ท่ีเกิดร่วมในเกลือหิน (ท่ีพบในจังหวัดขอนแก่นจะเป็นแร่ ทางหลวงหมายเลข ๒๐๑ : ขอนแกน่ – ชัยภูมิ - เลย คารน์ ลั ไซต์) ซึ่งใช้ในการผลติ ปุย๋ โพแทสเซียมมปี ริมาณมาก สามารถน�ำมาใช้ ทางหลวงหมายเลข ๒๐๗ : ขอนแก่น – บุรีรมั ย์ ในเชิงพาณิชยไ์ ด้ ทางหลวงหมายเลข ๒๐๘ : ขอนแก่น - มหาสารคาม จังหวัดขอนแก่นมีโรงงานอุตสาหกรรมถึง ๔,๓๓๗ แห่ง และเป็น ทางหลวงหมายเลข ๒๐๙ : ขอนแกน่ – กาฬสินธ์ุ สาขาการผลติ ทสี่ รา้ งความเจรญิ เตบิ โตเปน็ อนั ดบั ๑ ของจงั หวดั อตุ สาหกรรม ทางเคร่อื งบิน มีทา่ อากาศยานพาณิชย์ ๑ แห่ง อยหู่ า่ งจากตัวเมือง ท่ีมีการลงทุนมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมอโลหะ (๒๐๘ โรงงาน) รองลงมา ขอนแกน่ ประมาณ ๘ กโิ ลเมตร เสน้ ทางการบนิ กรงุ เทพฯ - ขอนแกน่ ใชเ้ วลา คือ อุตสาหกรรมโลหะ (๒๐๒ โรงงาน) อุตสาหกรรมขนส่ง (๑๗๙ โรงงาน) เดินทางประมาณ ๕๕ นาที อุตสาหกรรมอาหาร (๑๓๑ โรงงาน) เช่น โรงงานผลิตกุนเชียง หมูหยอง หมูยอ อุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร (๑๑๑ โรงงาน) เช่น โรงงานผลิต การเดินทาง นำ�้ ตาลทราย โรงงานแปรรปู อาหารสตั วผ์ ลติ มนั สำ� ปะหลงั อดั เมด็ อตุ สาหกรรม โดยสายการบิน เคร่ืองจักรกล (๑๑๔ โรงงาน) และอุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ (๕๖ โรงงาน) สถานขี นส่ง ทางด้านการค้าและบริการ การค้าและบริการเป็นสาขาทางเศรษฐกิจที่ท�ำรายได้เป็นอันดับ ๒ รองจากภาคอุตสาหกรรม มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และ โรงภาพยนตร์ สถานบรกิ ารและโรงแรมทพี่ กั สำ� หรบั การทอ่ งเทยี่ วจำ� นวนมาก จังหวัดขอนแก่นยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย ส�ำนักงานภาคตะวันออก เฉียงเหนือ สถาบันการเงินพิเศษของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคาร พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อ การส่งออกและน�ำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ รวม ๑๐๐ สาขา

40 ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน 41 ส่วนทางรถไฟ มีเส้นทางออกจาก กรุงเทพ – หนองคาย ผ่าน การที่ขอนแก่นตั้งอยู่ตอนกลางของภาคอีสานตอนบน ซึ่งอยู่ อ�ำเภอในจังหวัดขอนแก่น ได้แก่ อ�ำเภอพล อ�ำเภอบ้านไผ่ อ�ำเภอบ้านแฮด เกือบกึ่งกลางของภาคพื้นทวีปของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท�ำให้ อ�ำเภอเมืองขอนแก่น อ�ำเภอน�้ำพอง และอ�ำเภอเขาสวนกวาง เป็นจังหวัดหนึ่งท่ีอยู่บนเส้นทางการคมนาคมและการขนส่งสินค้าระหว่าง ประเทศของสมาชกิ อาเซยี น คอื ประเทศเวยี ดนาม ประเทศลาว ประเทศไทย ขอนแก่น สัญลักษณ์ของขอนแกน่ และประเทศพม่า ซึ่งในปัจจุบันได้ใช้ประโยชน์หลักทางด้านการท่องเท่ียว ร่วมกันระหว่าง ๓ ประเทศ คือ ประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศ การคมนาคมขนสง่ ทางรถไฟ อนสุ าวรียจ์ อมพลสฤษฎ์ ธนะรชั ต์ เวยี ดนาม (สว่ นทางดา้ นการขนสง่ สนิ คา้ ยงั มอี ปุ สรรคดา้ นพธิ กี ารผา่ นแดนและ อดตี นายกรฐั มนตรี ผ้มู ีสว่ นสง่ เสริม ขา้ มแดน และคาดวา่ ปญั หาตา่ งๆ จะถกู ขจดั ไปดว้ ยระบบการปลดปลอ่ ยสนิ คา้ สถานรี ถไฟเมอื งพล ให้จงั หวดั ขอนแก่นไดร้ บั การพัฒนา ณ จดุ เดยี วแบบเบด็ เสรจ็ ทีเ่ รียกวา่ Single Stop Inspection : SSI) โดยใน เป็นศูนยก์ ลางของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื อนาคตขอนแกน่ จะอยบู่ นเสน้ ทางระเบยี งเศรษฐกจิ แนวตะวนั ออก – ตะวนั ตก ลงรถไฟต่อรถโดยสารระหวา่ งจงั หวัด หลักกิโลเมตร (จ�ำลอง) บอกระยะทางอาเซียน (East – West Economic Corridor : EWEC) เช่ือมโยงสี่ประเทศ คือ รถไฟยังคงเป็นท่นี ิยมส�ำหรับผู้เดินทาง ตง้ั อยู่หน้าโรงเรียนบา้ นวังขอนแดงหญ้าปล้อง ประเทศไทยกบั ประเทศเพอื่ นบา้ นทต่ี ง้ั อยบู่ นภาคพน้ื ทวปี หรอื เชอื่ มโยงพนื้ ท่ี ระหวา่ งทะเลอนั ดามนั กบั ทะเลจนี ใต้ ดว้ ยระยะทาง ๑,๔๕๐ กโิ ลเมตร ตดั กบั สังกัด สพป. ขอนแกน่ เขต ๕ แนวเชอื่ มโยงเศรษฐกจิ เหนอื – ใต้ สพู่ น้ื ทชี่ ายฝง่ั ทะเลดา้ นตะวนั ออก (Eastern Sea Board : ESB ) เส้นทางเศรษฐกิจดังกล่าวจะต้ังอยู่ในเขตประเทศไทย เป็นระยะทางยาวที่สดุ ประมาณ ๗๗๐ กโิ ลเมตร เส้นทางเร่ิมต้นจากเมืองทา่ ดานงั เมอื งเวแ้ ละเมอื งลาวบาว (Lao Bao) อันเป็นเขตเศรษฐกิจของประเทศ เวยี ดนาม ขา้ มสะพานมติ รภาพ ไทย – ลาว แหง่ ท่ี ๒ (จงั หวดั มกุ ดาหาร – แขวง เมอื งสะหวนั นาเขต) ขา้ มแมน่ ำ้� โขงเขา้ สดู่ นิ แดนประเทศไทยทจี่ งั หวดั มกุ ดาหาร ผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดพิษณุโลก ไปจนสดุ ชายแดนไทยทอี่ ำ� เภอแมส่ อด จงั หวดั ตาก และผา่ นเขา้ สอู่ า่ วเมาะตะมะ ที่เมืองมะละแหม่งหรือเมาะล�ำไย (Mawlamyaing // Mawlamyine) ใน ประเทศพม่า อันเป็นเส้นทางการเชื่อมต่อระหว่างทะเลจีนใต้ทางตะวันออก กับมหาสมุทรอินเดียทางตะวันตก ซึ่งอาจเช่ือมต่อไปยังประเทศอินเดียและ ภูมภิ าคตะวนั ออกกลางตอ่ ไป ปัจจุบันโครงข่ายคมนาคม ท่ีเชื่อมโยงประเทศทั้งส่ีเข้าด้วยกันใน เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก – ตะวันตกน้ี สามารถเปิดใช้แล้ว ระหวา่ งประเทศไทยและประเทศเวียดนาม มเี พยี งชว่ งเส้นทางในประเทศพมา่ ทอ่ี ยใู่ นระหวา่ งการกอ่ สรา้ ง คาดวา่ ในอนาคตอนั ใกล้ ประเทศพมา่ กจ็ ะเปดิ ใช้ เชน่ กนั ซง่ึ หมายถงึ การขนสง่ อยา่ งเตม็ เสน้ ทางและสมบรู ณต์ ามแนวเศรษฐกจิ ดังกล่าวจะเกิดขึ้น อันจะส่งผลให้การเชื่อมโยงในภูมิภาคสัมฤทธิผลตาม เปา้ หมายท่ปี ระชาคมอาเซยี นไดก้ ำ� หนดไว้ สถานรี ถไฟขอนแก่น

42 ขอนแกน่ : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน ขอนแกน่ เตรยี มตวั สูป่ ระชาคมอาเซียน ขอนแกน่ : แหล่งวัฒนธรรมอสี าน 43 การขยายตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งหล่ังไหลเข้ามาบนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจดังกล่าว จะท�ำให้เกิดการ ศูนย์อาเซียนประจ�ำจงั หวัดขอนแก่น ขอนแก่นศนู ย์กลางทางการศกึ ษา ขยายตัวของเมือง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบทางด้านวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ตัง้ อยู่ในสำ� นักประชาสมั พนั ธ์ เขต ๑ ทางสงั คมและวัฒนธรรม ซ่งึ จังหวดั ขอนแกน่ และจังหวัดอืน่ ๆ ทอี่ ยโู่ ดยรอบ จงั หวัดขอนแก่น ขอนแก่นเป็นจังหวัดแรกของประเทศไทย ท่ีได้รับอนุมัติให้จัดต้ัง เส้นทางดังกล่าวจะต้องเตรยี มรบั และวางแผนเชงิ รกุ ใหร้ อบด้าน สถาบันอุดมศึกษาในระดับภูมิภาคข้ึน ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ด้วยท�ำเลที่ต้ังซ่ึงเป็นยุทธศาสตร์ส�ำคัญที่กลุ่มธุรกิจและประชาชน แห่งชาติ ฉบบั ที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๙) เนอ่ื งจากภาคตะวันออกเฉียง ในพ้ืนที่ภาคอีสานจะสามารถเข้าถึงและเชื่อมโยงประสานประโยชน์ร่วมกับ เหนือมพี ื้นท่ีและประชากรมากเปน็ ๑ ใน ๓ ของพ้ืนทปี่ ระเทศไทย แตเ่ ป็น ประเทศใกล้เคียง ทงั้ ดา้ นอตุ สาหกรรม การค้าขาย และการแลกเปลย่ี นทาง ภูมิภาคที่กันดารและแห้งแล้งท่ีสุดของประเทศ มีปัญหาท้ังด้านการเมือง วัฒนธรรม ทำ� ให้จังหวดั ขอนแก่นเปน็ ทต่ี ง้ั ของสถานกงสลุ ๓ ประเทศ ได้แก่ และเศรษฐกจิ มากกวา่ ภาคอน่ื ๆ ดงั นนั้ รฐั บาลจงึ ตอ้ งการคลค่ี ลายปญั หาตา่ งๆ l สถานกงสลุ ใหญส่ าธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวประจำ� ด้วยการจัดตั้งสถาบันทางการศึกษา และการส่งเสริมการศึกษาในด้านต่างๆ จังหวดั ขอนแก่น เพื่อให้ประชากรในพ้ืนที่ได้น�ำความรู้มาแก้ปัญหาความยากจนในภูมิภาคนี้ l สถานกงสุลใหญ่สาธารณรฐั ประชาชนจนี ประจ�ำจงั หวัดขอนแก่น ในพุทธศักราช ๒๕๐๗ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้จัดตั้งขึ้นและถือเป็น l สถานกงสลุ ใหญส่ าธารณรฐั สังคมนยิ มเวยี ดนาม ประจ�ำจังหวัด มหาวิทยาลัยแห่งแรกในระดับภูมิภาคของประเทศไทย เม่ือแรกตั้งมีเพียง ขอนแก่น ๓ คณะ คอื คณะเกษตรศาสตร์ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ และคณะวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ เขตกงสลุ ใหญด่ งั กลา่ วครอบคลมุ พนื้ ที่ ๒๐ จงั หวดั ในภาคตะวนั ออก ปจั จบุ นั มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ มพี ฒั นาการดา้ นตา่ งๆ คอื มสี าขาวชิ าแยกเปน็ เฉยี งเหนือ ไดแ้ ก่ ขอนแก่น นครราชสีมา หนองคาย นครพนม สกลนคร คณะตา่ งๆ ถงึ ๑๗ คณะวชิ าและบณั ฑติ วทิ ยาลยั วทิ ยาลยั การปกครองทอ้ งถน่ิ อดุ รธานี เลย อบุ ลราชธานี ศรสี ะเกษ สรุ นิ ทร์ บรุ รี มั ย์ มกุ ดาหาร มหาสารคาม วทิ ยาลยั นานาชาติ วทิ ยาลยั บณั ฑติ ศกึ ษาการจดั การ และวทิ ยาเขตหนองคาย ชัยภมู ิ กาฬสนิ ธุ์ บงึ กาฬ ยโสธร รอ้ ยเอ็ด หนองบวั ล�ำภู และอำ� นาจเจริญ รวมอยดู่ ว้ ย ทง้ั นม้ี หาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ไดร้ บั การยกยอ่ งเปน็ มหาวทิ ยาลยั วจิ ยั นอกจากน้ี จังหวัดขอนแก่นยังเป็นหน่ึงใน ๓ จังหวัดที่รัฐบาล ชน้ั นำ� ระดบั โลก (KKU is a leading world – class research University) สง่ เสรมิ ใหเ้ ปน็ จงั หวดั นำ� รอ่ งในการพฒั นาใหเ้ ปน็ นครแหง่ เทคโนโลยสี ารสนเทศ ในพ้ืนท่ีของมหาวิทยาลัยยังจัดต้ังโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ซึ่งเป็น และการส่อื สาร นอกเหนอื จากจังหวัดภูเกต็ และจังหวัดเชยี งใหมด่ ้วย โรงพยาบาลขนาดใหญ่และทันสมัยท่ีสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ โรงเรียนสาธิตที่เปิดสอนนักเรียนในระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแกน่ มหาวทิ ยาลัยแห่งแรกในภมู ภิ าคของประเทศไทย ภาพแสดงวสิ ยั ทศั นค์ วามเจรญิ ของภาคธรุ กจิ จากหอการคา้ ของจงั หวดั ขอนแกน่ มหาวทิ ยาลัยรามคำ� แหง วทิ ยาเขตขอนแก่น บรรยากาศหนา้ โรงเรยี นสนามบนิ ในตอนเย็นหลงั เลิกเรียน

44 ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอสี าน พระเทพกติ ตริ งั ษี (ทองสา วรลาโภ ป.ธ.๘) ดร.ชนิ ภทั ร ภมู ริ ัตน ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน 45 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยังมีบทบาทส�ำคัญในอาเซียน กล่าวคือ พระเทพวงศาจารย์ (คูณ ขนตฺ โิ ก) เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ไดร้ ับการโปรดเกล้าฯ แตง่ ตงั้ เป็นพระครูสัญญาบัตร และเลือ่ นสมณศักดิเ์ ป็น เปน็ หนงึ่ ในเครือข่ายมหาวทิ ยาลยั อาเซียน (ASEAN University Network : พระราชาคณะ ปจั จุบันได้รับโปรดเกล้าฯ เลอื่ นสมณศักด์เิ ป็นพระราชาคณะ AUN) ซ่ึงเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยช้ันน�ำของประเทศสมาชิก รองศาสตราจารย์ ดร.สัมพนั ธ์ พนั ธุพ์ ฤกษ์ ชนั้ เทพ ในราชทินนามวา่ พระเทพวงศาจารย์ (คณู ขนฺติโก ป.ธ.๔) ดำ�รง อาเซียน เป็นสถานศึกษาส�ำหรับนักศึกษาปริญญาตรี โท ของนักศึกษาจาก ผู้อำ�นวยการสถาบันทดสอบทาง ตำ�แหน่งเจา้ อาวาสวัดหนองแวง รปู ที่ ๙ ต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๑๑ จนถงึ ปจั จุบัน ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม และประเทศกมั พูชา โดยความร่วมมอื ในการ พระครูบุญชยากร เจ้าอาวาสวดั ไชยศรี เจ้าคณะตำ�บลสาวะถี เขต ๑ จดั ตงั้ สถาบนั ความรว่ มมอื เพอ่ื พฒั นาเศรษฐกจิ ลมุ่ นำ้� โขง (Mekong Institute : MI) การศึกษาแห่งชาติ (องคก์ รมหาชน) อำ�เภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแกน่ เปน็ พระเถระชาวขอนแก่น เป็นผู้ที่ นอกจากน้ียังได้รับการยกย่องให้เป็นมหาวิทยาลัยต้นแบบความส�ำเร็จ ทำ�คุณประโยชน์ด้านศาสนา ศลิ ปะ และวัฒนธรรม จนเป็นท่ยี อมรับของ ศนู ยป์ ฏิบัตกิ ารรวมกล่มุ จงั หวดั (Regional – Operation Center : ROC) ชาวขอนแก่น ได้รับการประกาศเกยี รตคิ ณุ ต่างๆ มากมาย โลร่ างวัลและ ซ่ึงกระทรวงมหาดไทยได้ด�ำเนินการในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือร่วมกับ เข็มเชิดชเู กียรติ ในฐานะผทู้ ำ�คณุ ประโยชน์ต่อกระทรวงวฒั นธรรม ประจำ�ปี มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ เปน็ แหง่ แรกเมอื่ พ.ศ. ๒๕๔๙ และประสบความสำ� เรจ็ พ.ศ. ๒๕๕๐ พระผู้เปน็ ดงั ประทีปของชมุ ชน จากกระทรวงวัฒนธรรม โล่ ชว่ ยใหเ้ กดิ การขบั เคลอื่ นการบรหิ ารการพฒั นาระหวา่ งผวู้ า่ ราชการจงั หวดั กบั เชดิ ชเู กียรตผิ มู้ ผี ลงานดเี ด่นด้านวัฒนธรรมสมั พนั ธ์ เนื่องในวโรกาสวนั คลา้ ย เอกอัคราชทูตไทยประจ�ำประเทศเพ่ือนบ้าน ซ่ึงก่อให้เกิดผลดีต่อประชาชน วันพระราชสมภพ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี และ ในพ้ืนท่ี และใน พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงมหาดไทยจะได้น�ำผลความส�ำเร็จ วันอนรุ กั ษ์มรดกไทย เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ จากมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ เปน็ ตน้ แบบ เพอื่ ขยายผลการจดั ตงั้ ศนู ยป์ ฏบิ ตั กิ าร ดร.ชินภทั ร ภูมิรัตน เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ภายใตก้ รอบความรว่ มมอื อนภุ มู ภิ าคและประชาคมอาเซยี น เพอื่ ใหก้ ารพฒั นา เปน็ ผทู้ ส่ี ำ�เรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี ศกึ ษาศาสตรบณั ฑติ จากมหาวทิ ยาลยั บรรลุผลสำ� เร็จอยา่ งยงั่ ยนื ตอ่ ไป ขอนแกน่ (ปรญิ ญาโทและปรญิ ญาเอกจากประเทศสหรฐั อเมรกิ า) สรา้ งสรรค์ สืบเน่ืองจากการที่ขอนแก่นเป็นศูนย์กลางความเจริญทางด้านการ ผลงานดีเดน่ ทางดา้ นการศกึ ษา เช่น ผลงานการวิจยั ดีเด่นเร่ือง ปัจจัยที่ส่งผล ศึกษา ทำ�ใหส้ ามารถสร้างคนดีมคี ุณภาพหลายท่าน ซ่ึงมีทง้ั ชาวขอนแก่นและ ต่อคุณภาพโรงเรียนประถมศึกษา เอกสารวิจัยดีเด่น สาขาจิตวิทยาสังคม ชาวอีสานในจงั หวดั ใกลเ้ คียง ซึ่งได้สร้างสรรค์คุณประโยชน์ใหแ้ ก่ประเทศชาติ เร่อื ง การพัฒนาเยาวชนไทยเพ่ือความมน่ั คงของชาติ มากมาย ซงึ่ ขอยกเป็นตวั อยา่ งดงั นี้ ดร.ชนิ ภทั ร ภูมริ ตั น ได้รบั การยกยอ่ งให้เปน็ ศษิ ยเ์ ก่าเกียรตยิ ศ พระเทพกติ ตริ งั ษี (ทองสา วรลาโภ ป.ธ.๘) เจา้ คณะจงั หวดั ขอนแกน่ สาขามนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ ประจำ�ปี ๒๕๔๕ และไดเ้ ปน็ ศษิ ยเ์ กา่ และเจา้ อาวาสวดั ธาตุ พระอารามหลวง อำ�เภอเมืองขอนแกน่ ดีเดน่ ประจำ�ปี ๒๕๕๑ โดยสมาคมศิษยเ์ ก่า มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ อกี ทง้ั พระเทพกิตติรังษี เปน็ พระมหาเถระชาวขอนแก่นท่ปี ระกอบดว้ ย เปน็ นกั บรหิ ารดเี ดน่ สาขาการจดั องคก์ รการศกึ ษา ประจำ�ปี ๒๕๔๑ โดย ศลี าจารวตั รดีงาม ส่งเสริมและบำ�เพญ็ คุณูปการแก่ศาสนาและมีผลงานทาง มลู นิธเิ พือ่ สงั คมไทย วชิ าการมากมายจนไดร้ บั การถวายปรญิ ญาพทุ ธศาสนดษุ ฎบี ณั ฑติ กติ ตมิ ศกั ด์ิ รองศาสตราจารย์ ดร.สมั พนั ธ์ พนั ธพ์ุ ฤกษ์ ผู้อำ�นวยการ กรรมการ สาขาวชิ าจริยศกึ ษา จากสภามหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั และเลขานุการในคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ พระเทพวงศาจารย์ (คูณ ขนฺตโิ ก) เจ้าอาวาสวัดหนองแวง อำ�เภอ (องค์กรมหาชน) อดีตคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น เป็น เมืองขอนแก่นเป็นพระมหาเถระที่ได้รับการศึกษาจากศาสนศึกษาในจังหวัด ผหู้ นง่ึ ทส่ี ำ�เรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี ศกึ ษาศาสตรบณั ฑติ จากมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น และเป็นผู้ปฏบิ ตั ดิ ี ปฏิบตั ชิ อบ เป็นที่ไวว้ างใจของพระมหาเถระ ขอนแกน่ (ปริญญาโทและปรญิ ญาเอก จากจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย) เจา้ คณะปกครองเป็นเจ้าอาวาส วัดหนองแวง ซ่งึ ได้บริหารจดั การทง้ั ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.สัมพนั ธ์ พนั ธพุ์ ฤกษ์ ได้รับการยกยอ่ งให้เป็น พฒั นาศาสนสถาน ด้านศาสนวัตถุ ด้านศาสนธรรม ด้านศาสนบคุ คล และ ศิษย์เก่าดีเด่นด้านการสอนประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จากสมาคมศิษย์เก่า ดา้ นศาสนพธิ ี มาเปน็ ลำ�ดบั เปน็ ทเ่ี คารพ ศรทั ธาและเลอ่ื มใสของสาธชุ นทว่ั ไป คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ ครูดีเด่นด้านการวิจัย ปีการศกึ ษา ๒๕๕๐ จากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ พระครบู ุญชยากร

46 ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน สำ� นักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา จังหวดั ขอนแก่นมสี ถานศกึ ษาในระดบั การศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน จำ�นวน สมรกั ษ์ คำ�สงิ ห์ นกั กฬี าเหรยี ญทองโอลมิ ปกิ เปน็ ชาวจงั หวดั ขอนแกน่ ขอนแกน่ เขต ๕ เป็นส�ำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษา ๑,๓๖๕ แหง่ สถาบนั การอดุ มศกึ ษา ๖ แห่ง (ภาครฐั ๓ แห่ง เอกชน ๓ แหง่ ) ได้ส่งั สมประสบการณก์ ารชกมวยมาตั้งแตว่ ยั เรียน เป็นตวั แทนของโรงเรยี น แห่งแรกที่ไดร้ บั รางวลั ทรงคณุ คา่ OBEC AWARD นอกจากนย้ี งั มสี ถาบนั อุดมศึกษาทางศาสนาอีก ๒ แหง่ คือ มหาวทิ ยาลยั แขง่ ขันชกมวยสากล และได้รับเหรยี ญทองจากการแข่งขันกฬี าโอลมิ ปิก ด้านการบรหิ าร จากสำ� นกั งานการคณะกรรมการ มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั (สำ�หรบั พระสงฆใ์ นมหานกิ าย) และมหาวทิ ยาลยั คร้งั ท่ี ๒๖ ปี ๒๕๓๙ ณ เมืองแอตแลนตา้ สหรฐั อเมรกิ า มหามกุฎราชวทิ ยาลยั (สำ�หรับพระสงฆใ์ นธรรมยตุ ิกนิกาย) วชิ ยั ราชานนท์ นกั กฬี าเหรยี ญทองแดงโอลมิ ปกิ เป็นชาวจงั หวดั การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน และได้รบั รองมาตรฐาน ขอนแก่น ไดร้ ับการฝกึ ฝนมวยไทยและเร่มิ ชกมวยตามงานวดั เพื่อหาเงนิ มา ISO : 2008 ระบบการบริหารจดั การท้ังระบบ ชว่ ยเหลอื ครอบครวั จนประสบความสำ�เรจ็ ไดร้ างวลั เหรยี ญทองแดง จากการ แข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครัง้ ท่ี ๒๖ ปี ๒๕๓๙ ณ เมอื งแอตแลนต้า สหรัฐอเมริกา ขอนแก่นศนู ยก์ ลางทางการแพทย์และสาธารณสุข พมิ ศริ ิ ศริ แิ ก้ว นักกีฬาเหรยี ญเงินโอลิมปกิ ชาวจังหวดั ขอนแก่น ทสี่ รา้ งความภาคภูมใิ จใหก้ ับชาวขอนแก่นและคนไทยทงั้ ประเทศ เมอ่ื สามารถ นับตั้งแต่มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นสถาบันอุดมศึกษา คว้าเหรียญเงิน จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ ๓๐ ปี ๒๕๕๕ แห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และได้มีการผลิตแพทย์และบุคลากร ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ที่เกี่ยวข้องทางสาธารณสุข ประกอบกับกระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้ง ทก่ี ลา่ วมาเปน็ แคส่ ว่ นหนง่ึ ของบคุ ลากรทม่ี คี ณุ คา่ ของจงั หวดั ขอนแกน่ วทิ ยาลัยพยาบาลพระบรมราชชนนี จงั หวดั ขอนแก่น เมอื่ พ.ศ. ๒๕๐๕ และ ยังมีบุคลากรอกี มากมายทีถ่ ือเปน็ บุคลากรคุณภาพ เชน่ ศลิ ปินนกั รอ้ ง วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ พรศกั ดิ์ ส่องแสง พรี พัฒน์ สวสั ดมิ์ ูล (พี สะเดดิ ) ศภุ รุจ เตชะตานนท์ รวมท้ังการจัดต้ังโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ในสังกัดมหาวิทยาลัยขอนแก่นข้ึน (รจุ เดอะสตาร์) สงิ หรัตน์ จันทร์ภักดี (สิงโต เดอะสตาร์) ภาคิน คำ�วิลัยศกั ดิ์ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ซง่ึ เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีเคร่ืองมือแพทย์ทท่ี นั สมยั (โตโน่ เดอะสตาร)์ นกั แสดง ศกุ ลวฒั น์ คณารศ (เวยี ร์) พชั ฏะ นามปาน (โฬม) ทส่ี ดุ ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ท�ำใหจ้ งั หวัดขอนแกน่ มีศักยภาพทางดา้ น ธนฉตั ร ตุลยฉตั ร (อาร์ตี้) ณเดชน์ คูกิมิยะ (แบรร์ ี)่ พีชญา วัฒนามนตรี (มิน) การแพทย์และการสาธารณสุข เป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ของภาค ภาวิณี วิริยะชยั กจิ (มิลค)์ พันนา ฤทธไิ กร ผู้ประกาศขา่ ว กติ ติ สิงหาปดั ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื โดยมสี ถานบรกิ ารสาธารณสขุ ประกอบดว้ ย โรงพยาบาล นักกฬี า เกยี รติศกั ด์ิ เสนาเมือง พงษ์สทิ ธ์ิ เวียงวเิ ศษ ภราดร ศรชี าพันธุ์ ๓๒ แหง่ ทงั้ โรงพยาบาลของรฐั ในสงั กดั สำ� นกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั (๒๓ แหง่ ) มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ (๒ แหง่ ) กระทรวงกลาโหม (๑ แหง่ ) และสงั กัดอื่นๆ ภาพมมุ สงู ของโรงพยาบาลศรนี ครนิ ทร์ และโรงพยาบาลเอกชนอีก ๓ แห่ง นอกจากน้ียังมีโรงพยาบาลส่งเสริม โรงพยาบาลสริ นิ ธรขอนแก่น สุขภาพประจ�ำต�ำบลอีกแห่ง ซึ่งบริการได้ทั้งประชาชนในภาคอีสาน และ ประเทศเพอ่ื นบ้านสมาชิกอาเซียน ก็มาใช้บริการเป็นจำ� นวนมาก ขอนแก่นในทกุ วนั น้ี จงึ ก้าวเขา้ สู่ประชาคมอาเซยี นไดอ้ ย่างแทจ้ ริง

ภาพเกา่ เลา่ เรอ่ื ง ภาพถา่ ยจดั เปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ บ่ี อกเลา่ ความเปน็ มาในอดตี ไดด้ ี ชดั เจน และถกู ตอ้ งมากกวา่ หลกั ฐานประเภทอนื่ การถา่ ยภาพในประเทศไทย เกดิ ขน้ึ ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจา้ อยูห่ วั (พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔) โดยบาทหลวงในคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกเป็นผู้น�ำมาใช้เป็นคร้ังแรก แต่ไม่ได้รับความนิยมจากคนไทย จนกระท่ังมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑) ได้ทรงเป็นผู้น�ำการถ่ายภาพ พระบรมฉายาลกั ษณ์ ทำ� ใหเ้ กดิ ความนยิ มในหมชู่ นชนั้ สงู ตอ่ มาจงึ ไดแ้ พรห่ ลาย ในหมู่ประชาชนชาวไทยในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) ใน พ.ศ. ๒๔๔๒ เมอื งขอนแกน่ รวมอยใู่ นมณฑลอุดร โดยมีพระเจ้า นอ้ งยาเธอ กรมหมนื่ ประจกั ษศ์ ลิ ปาคม เปน็ ขา้ หลวงเทศาภบิ าลกำ� กบั ดแู ลภายใต้ กระทรวงมหาดไทย ซง่ึ มสี มเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ เสนาบดใี นขณะนนั้ ไดเ้ สดจ็ ไปตรวจราชการหวั เมอื งในมณฑลอดุ รเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๙ ทำ� ใหเ้ รม่ิ มภี าพเกา่ ของมณฑลอดุ รและเมอื งขอนแกน่ เลา่ เรอื่ งราวเกย่ี วกบั วถิ ชี วี ติ และเหตกุ ารณ์ตามลำ� ดบั ต่อมา ดังน้ี

50 ขอนแกน่ : แหล่งวัฒนธรรมอสี าน ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน 51 เมอื่ วนั ที่ ๑๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ เสดจ็ ชาวเมอื งชนบทแหพ่ านบายศรี ตรวจราชการมณฑลอุดร ทรงเขียนเล่าว่า ไปท�ำพิธีสู่ขวัญ สมเด็จฯ เดินทางด้วยรถไฟจนถึงนครราชสีมา กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ต่อจากนครราชสีมาเดินทางทางบก ๕ วัน ณ เมืองชนบท จึงเข้าเขตมณฑลอุดรที่เมืองชนบท และประทบั แรมที่เมืองขอนแกน่ ๒ วัน ชาวเมอื งชนบททำ� พธิ บี ายศรี สขู่ วญั สมเดจ็ ฯ กรมพระยา สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการนครราชสีมา ด�ำรงราชานุภาพ และมณฑลอุดร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ เสด็จฯ ตรวจเมืองขอนแก่นไปถึงตลาด แล้วทรงแวะเย่ียม ขบวนเกวยี นตรวจราชการของสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ นักเรียนโรงเรียนวัดธาตุวิทยาคม (สรา้ งขน้ึ ใน พ.ศ. ๒๔๔๐) เป็นโรงเรยี นแหง่ แรกในจังหวัดขอนแก่น พักอยทู่ ี่บ้านหนิ ลาด ระหวา่ งเมอื งขอนแก่นกับลำ� น�้ำชี (เลยเมอื งขอนแก่นไปทางอดุ ร)

52 ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน 53 การพัฒนาบ้านเมืองขอนแก่นมีมาอย่างต่อเนื่อง เช่น พ.ศ. ๒๔๔๕ พ.ศ. ๒๔๕๑ ยา้ ยทว่ี า่ ราชการเมอื งจากบา้ นเมอื งเกา่ มาอยทู่ บ่ี า้ นพระลบั สร้างสะพานข้ามแม่น�้ำชีเป็นสะพานไม้เน้ือแข็ง กว้าง ๓ วา ยาว ๓๔ วา สรา้ งศาลากลางจังหวดั และจวนผู้วา่ ราชการจังหวัดขอนแกน่ ขนึ้ สูงจากพื้น ๘ วา เสร็จและเปิดใช้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๔๘ สรา้ งสะพานไมเ้ น้ือแขง็ ข้ามแมน่ �้ำพอง เป็นสะพานกวา้ ง ๓ วา ยาว ๕๗ วา ศาลากลางหลังเกา่ บ้านพระลบั พ.ศ. ๒๔๕๑ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงเป็นประธานพิธีเปิด เม่ือ ปัจจบุ นั เปน็ ท่ตี ง้ั ของตลาดบางลำ�พู พ.ศ. ๒๔๔๙ ๒๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ลงเรอื ตรวจ สะพานข้ามแม่น�้ำชี บรเิ วณบา้ นดอนบม เมอื งเก่า อำ� เภอเมือง บงึ ทงุ่ สรา้ ง (สรา้ งทำ� นบบงึ ทงุ่ สรา้ งเพอ่ื ใหส้ ามารถเกบ็ กกั นำ้� ไวใ้ ชไ้ ดต้ ลอดป)ี จังหวัดขอนแก่น ภาพเมือ่ ๑๘ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๘๐ สะพานข้ามแมน่ ้ำ� พอง จวนผวู้ ่าราขการจังหวดั ขอนแกน่ มอบให้โรงเรยี นสตรปี ระจ�ำอำ� เภอพระลบั ภาพเม่อื ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๐ เม่ือวันท่ี ๙ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ปัจจบุ นั เป็นทีต่ ง้ั โรงเรยี นสนามบิน

54 ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน 55 พ.ศ. ๒๔๗๖ เส้นทางรถไฟจากเมืองนครราชสมี าถงึ จังหวดั ขอนแกน่ ผูห้ ญงิ และเด็กชาวชนบทกำ� ลังรอตกั น�้ำดว้ ย “คุ” เป็นผลให้การติดต่อค้าขายกับเมืองใหญ่และศูนย์กลางความเจริญ เช่น ซึ่งเปน็ เคร่ืองมือจักสานที่ทำ� ดว้ ยไมไ้ ผใ่ ชย้ าชนั มหี สู ำ� หรบั หิ้วหรอื หาบ เมืองนครราชสีมาและกรงุ เทพฯ สะดวกและรวดเร็วขน้ึ ผู้ชายชาวเมืองชนบท ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ออกหาปลาเพื่อยังชีพ พิธีเปิดเดินรถไฟระหว่าง ภายในครอบครัว ก รุ ง เ ท พ ฯ - ข อ น แ ก่ น มกี ารทำ�พธิ สี วนสนามใหญ่ ห น้ า ส ถ า นี ร ถ ไ ฟ แ ล ะ มี ป ร ะ ช า ข น ไ ป ร่ ว ม พิ ธี จำ�นวนมาก ถนนจากเมืองขอนแก่นไป อ�ำเภอชุมแพ ซ้ายมือเป็น ทต่ี ง้ั สวนจตจุ กั ร ขวามอื เปน็ ที่ตง้ั สถานีขนสง่ ขอนแก่น การค้าขาย ของชาวบา้ นในสมยั ก่อน การแต่งกายของหญิงสูงศกั ดิ์ในมณฑลอุดร (ขอนแก่น) การแต่งกายของผู้หญิงชาวบ้านเมืองขอนแก่น ถนนมะลวิ ลั ย์ ทางหลวงแผน่ ดนิ ขอนแกน่ - เมอื งเลย ในอดีตผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะมีผ้าคาดอกไว้ ระหว่างหนองเรอื - ชมุ แพ พ.ศ. ๒๔๘๐ ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะเปิดหน้าอก ทรงผม ของผู้หญิงชาวบ้านในอดีตจะนิยมไว้ผมยาว และเกลา้ มวยผมเป็นทรงสูง

56 ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอสี าน 57 รถตรวจราชการของผู้ว่าราชการ วันเฉลิมพระชนมพรรษาในอดีต จงั หวดั ขอนแกน่ วง่ิ บนถนน ดา้ นขวา ซ้ายมอื เปน็ สวนหลวง ต่อมาเปน็ เปน็ สนามบนิ ซง่ึ เปดิ ใชเ้ มอ่ื พ.ศ. ๒๔๗๒ ทต่ี งั้ โรงเรียนกัลยาณมิตร ขวามอื ด้านซ้ายเป็นนาของพระยาบริหาร เป็นท่ีว่างสำ�หรับจัดงานปีใหม่ (ยม้ิ นลี ะโยธนิ ) ปจั จบุ นั เปน็ สวนจตจุ กั ร ปัจจุบันเป็นตลาดโบ๊เบ๊ตรงข้าม ขอนแก่นด้านขวามือเป็นที่ต้ัง โรงเรียนกัลยาณมิตร ศาลากลาง น้�ำท่วมใหญ่เมืองขอนแก่น ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ทว่ ม ถนนมะลวิ ลั ยท์ างหลวงแผน่ ดนิ เส้นทางถนน รถยนต์วิ่งไม่ได้ ขอนแก่น-เมืองเลย ระหว่าง ตอ้ งนง่ั รถไฟและเรอื ภาพนต้ี รง หนองเรอื - ชมุ แพ พ.ศ. ๒๔๘๐ ทางแยกบ้านกุดกว้างห่างจาก เมอื งขอนแกน่ ๓ กิโลเมตร นกั เรยี นโรงเรยี นขอนแกน่ วทิ ยายน พิธีเปิดท่ีท�ำการกองทาง โรงเรียนกัลยาณวัตรมาร่วม ภาคอีสาน (ขอนแก่น) พิธีวันเฉลิมพระชนมพรรษา ปัจจุบันเป็นท่ีต้ังสถานี ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๐ ขนส่งขอนแก่น ณ บรเิ วณหนา้ ศาลากลางจงั หวดั ขอนแกน่ (หลังท่ี ๑) มองออกไป ไกลๆ เหน็ สถานตี ำ�รวจภธู รเมอื ง ขอนแก่นซึ่งตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๔

58 ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน 59 บ้านพักกองทางหลังใหม่ ด้านตะวนั ตกของสนามบนิ การพิจารณาพิพากษาคดีในอดีต มีผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาล ปัจจบุ นั เป็นสถานีขนสง่ จังหวัดขอนแก่น ส่วนผู้ต้องหาใส่โซ่ตรวนและข่ือคา กองทางภาคอสี านเดิม เป็นอาคารชนั้ เดียวติดดิน ตำ� รวจเมืองโคราช กนั้ ด้วยฝาขดั แตะไม้ไผ่ กอ่ นทีจ่ ะรื้อสรา้ งใหม่เปน็ ยกพื้นสูง ๑.๔๐ เมตร ภาพเกา่ เลา่ เรอ่ื งเหตกุ ารณส์ ำ� คญั บางชว่ งบางตอนของจงั หวดั ขอนแกน่ เหลา่ นี้ นา่ จะเปน็ แบบอยา่ งการสะสมภาพเกา่ และการใชป้ ระโยชนเ์ พอื่ ใหเ้ ยาวชนและ บคุ คลทวั่ ไปเหน็ ความสำ� คญั ของการรวบรวมรปู ภาพ อนั เปน็ กจิ กรรมนนั ทนาการ ท่ีมีคุณค่ายิ่งทางด้านจิตใจ และการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม วิถีการดำ� เนนิ ชวี ิต และอนื่ ๆ นานัปการ

สมิ และฮปู แตม้ ศลิ ปะพน้ื บา้ น เอกลกั ษณข์ องชาวอสี านทข่ี อนแกน่ สมิ และฮปู แตม้ ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ งานศลิ ปะพนื้ บา้ นของชาวอสี าน ท่ีมีความงดงาม เรียบง่าย มีเอกลักษณ์โดดเด่นแฝงด้วยจิตวิญญาณของ ชาวอีสานอย่างแท้จริง ทรงคุณค่าท้ังทางด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม และวรรณกรรมพ้ืนบ้านท่ีสร้างสรรค์ตามความเช่ือและความ ศรัทธาในพระพุทธศาสนาโดยช่างท้องถิ่นอีสานท่ีรับสืบทอดจากบรรพบุรุษ มาช้านาน และยังคงหลงเหลืออยู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมให้อนุชนรุ่นหลัง ไดภ้ าคภูมิใจ เพ่อื ร่วมกนั สืบสานตอ่ ไป

62 ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน 63 ไมม้ ะคา่ ใชท้ ำ� เสา โครง และกระเบือ้ งไม้ (แป้นไม)้ สิมส่วนใหญ่กอ่ สร้างด้วย สมิ คอื คำ� เรยี กพระอโุ บสถ หรอื โบสถข์ องวดั ในภาคอสี าน มาจากคำ� วา่ ประตแู กะสลกั ไม้ วธิ กี อ่ อฐิ สอปนู หรอื สอดนิ บางแหง่ ใชด้ นิ ดบิ บางแหง่ ใชด้ นิ จ่ี (อฐิ เผาขนึ้ ใชเ้ อง) สีมา พัทธสีมา หมายถึง อาคารทางพระพุทธศาสนาท่ีใช้เป็นเขตสังฆกรรม ช่องหน้าตา่ ง และปูนท่ไี ด้จากการเผาเปลอื กหอยหรอื หนิ ปนู ท่ีมอี ย่ทู ว่ั ไปในพนื้ ท่ี ของพระสงฆ์ สมิ มลี กั ษณะเฉพาะถนิ่ ทง้ั ในดา้ นรปู แบบในเชงิ ชา่ ง สดั สว่ น รปู ทรง การตกแตง่ สมิ บกนยิ มใช้ฮปู แตม้ และประติมากรรมปูนปน้ั เป็นรปู คน การเลอื กใชว้ สั ดุ การออกแบบ และโครงสรา้ งทางสถาปตั ยกรรมลว้ นแสดงถงึ และสตั ว์ ประดบั อยทู่ างบนั ได หลงั คาเปน็ ทรงจว่ั สงู มงุ ดว้ ยแปน้ เกลด็ ประดบั ภมู ปิ ญั ญาของชา่ งพนื้ บา้ นอสี านโดยเฉพาะ ผา่ นกระบวนการทำ� งานทใ่ี ชค้ วามรู้ ด้วยเคร่ืองไม้ เช่น ชอ่ ฟา้ โหง่ นาคสะดุง้ หางหงส์ เชงิ ชายส่หี นา้ (หนา้ บัน) และเทคโนโลยพี นื้ บา้ น การจดั การและการปรบั ใชท้ รพั ยากรทมี่ อี ยใู่ นทอ้ งถนิ่ คนั ทวย ฮง่ั เผง่ึ (รวงผง้ึ ) และบานประตซู งึ่ จะเปน็ บานไมแ้ กะสลกั ลวดลายประณตี ได้เปน็ อย่างดี สุดยอดของช่างพ้ืนบ้าน มักนิยมแกะสลักรูปเทพยืนอภิบาลพระพุทธเจ้า สิมมี ๒ ประเภท คือ สิมบกและสิมน้�ำ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเหมือนกัน ทวารบาลเฝา้ ประตู พทุ ธประวตั หิ รอื ชาดกบางตอน รปู แบบของสถาปตั ยกรรม คือ ใช้เป็นท่ีประกอบสังฆกรรม สิมน้�ำนั้นหลงเหลืออยู่ให้ศึกษาไม่มากนัก และประตมิ ากรรมเปน็ ศลิ ปะพน้ื บา้ นอสี านโดยทว่ั ไปซง่ึ สะทอ้ นถงึ ความสมถะ ทย่ี งั คงศกึ ษาไดช้ ดั เจนในจงั หวดั ขอนแกน่ คอื สมิ บก แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท คอื เรียบง่าย และความร่วมมือร่วมใจในชุมชน เพราะการสร้างสิมเป็นงานที่มี สิมโปรง่ หรอื สิมโถง และสิมทบึ ซงึ่ ส่วนใหญ่เป็นอาคารทม่ี อี ายุ ๖๐-๑๐๐ ปี กระบวนการหลายขน้ั ตอนตอ้ งอาศยั แรงงานและภมู ปิ ญั ญาจากชา่ งในทอ้ งถนิ่ มาแลว้ สมิ โปรง่ เปน็ สมิ ทกี่ นั้ ฝาเฉพาะดา้ นทป่ี ระดษิ ฐานพระประธาน สว่ นสมิ ทบึ พระสงฆ์ และชาวบา้ นทม่ี คี วามศรัทธาในพระพทุ ธศาสนา เป็นสิมที่กั้นผนังท้ัง ๔ ด้าน มีช่องประตูมักท�ำเป็นทางเข้าเฉพาะด้านหน้า ดา้ นเดยี ว ผนงั บางแหง่ อาจเวน้ ชอ่ งแสงหรอื เจาะหนา้ ตา่ งเลก็ ๆ ไว้ สมิ สว่ นใหญ่ มีขนาดและรูปร่างเล็กกะทัดรัด มีพื้นที่เหมาะแก่การใช้สอยเท่าท่ีจ�ำเป็นและ เพยี งพอกบั การประกอบพธิ กี รรมของสงฆป์ ระมาณ ๖-๑๐ รปู สำ� หรบั วดั ในทอ้ งถน่ิ โดยทว่ั ไปมคี วามกวา้ งประมาณ ๒.๕-๓ เมตร ยาวประมาณ ๓.๕-๗ เมตร หรอื ประมาณ ๒-๔ ช่วงเสา อาคารสิมส่วนใหญ่จะยกฐานสูงข้ึนจากบริเวณ โดยรอบ วัสดทุ ่ใี ชก้ อ่ สร้างมกั ใช้ไมท้ ีม่ ใี นท้องถน่ิ เช่น ไมเ้ ต็ง ไม้รงั ไมต้ ะเคยี น

64 ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน ชาวอสี านโบราณใชอ้ กั ษรประจำ� ถน่ิ ทเี่ ปน็ เอกลกั ษณ์ ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอีสาน 65 ฮูปแต้ม คือค�ำเรียกจิตรกรรมฝาผนังท่ีเขียนบนผนังสิมโดยวาด ของตนเองมาใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมือในการสอ่ื สาร อักษรที่ สมิ และฮปู แตม้ ศลิ ปะพนื้ บา้ นในจงั หวดั ขอนแกน่ ทอี่ ยใู่ นสภาพสมบรู ณ์ เตม็ พน้ื ทท่ี ง้ั หมด ทง้ั ดา้ นในและดา้ นนอกอาคาร ฮปู แตม้ มาจากคำ� วา่ รปู วาด นยิ มกนั มากมี ๓ ชนดิ คอื อกั ษรไทยนอ้ ย ใชใ้ นราชการ มีหลงเหลือไม่ก่แี ห่ง แตล่ ะแหง่ ลว้ นเป็นผลงานศิลปกรรมพนื้ บ้านที่มลี กั ษณะ ซึ่งเป็นฝีมือการสร้างสรรค์ภาพเขียนบนผนังโบสถ์ของชาวอีสานท่ีมีมาต้ังแต่ บา้ นเมอื ง และจารกึ วรรณกรรมทปี่ ราชญโ์ บราณอสี าน โดดเด่นแตกต่างกัน เปรียบเสมอื นร่องรอยความเจริญทางศลิ ปวัฒนธรรม ซ่ึง สมยั โบราณ จติ รกรหรอื ผสู้ รา้ งฮปู แตม้ นน้ั ในทอ้ งถนิ่ จะเรยี กวา่ ชา่ งแตม้ สว่ นใหญ่ แตง่ ขน้ึ เอง เพอื่ สอนคนใหป้ ระกอบแตค่ ณุ งามความดี สะทอ้ นจติ วิญญาณในท้องถ่ินอีสานทง้ั ในด้านความรสู้ ึกนึกคดิ ความสามารถ เปน็ ชา่ งพนื้ บา้ นชาวอสี านทร่ี บั อทิ ธพิ ลวฒั นธรรมจากอาณาจกั รลา้ นชา้ ง (ประเทศ อกั ษรธรรม ใชจ้ ารกึ เรอื่ งราวทเ่ี ปน็ จรยิ วตั รของพระพทุ ธเจา้ และภมู ปิ ัญญาของบรรพบุรษุ ที่ไดม้ อบเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างแท้จรงิ ลาวในปัจจุบัน) แนวคิดในการวาดภาพไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว อยู่ที่ขนาด และสรรพวิชาการตา่ งๆ อกั ษรขอมใชจ้ ารึกเร่ืองราว ของสิมและความเหมาะสมของฝาผนัง การจัดวางภาพเป็นไปตามธรรมชาติ ทเ่ี ปน็ คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ลว้ นๆ เชน่ พระไตรปฎิ ก หรอื ตามความรูส้ กึ วา่ งดงามทมี่ อี ยู่ในตัวของช่างแต้ม และพระภิกษผุ ูค้ วบคมุ การวาดภาพ เรือ่ งราวที่วาดบนผนังสิมนยิ มเขยี นเป็นเร่อื งราวเกีย่ วกับพุทธประวตั ิ ชาดก นิทานพื้นบ้านท่ีมีคติสอนใจ เช่น เร่ืองสินไซ (สังข์ศิลป์ชัย) ซ่ึงเป็น วรรณกรรมท้องถิ่นท่ีเล่าขานสืบต่อกันมา และเป็นวรรณกรรมที่มีชื่อเสียง มากที่สุดเร่ืองหนึ่งของท้องถ่ินอีสานซึ่งหมอล�ำยังนิยมน�ำมาร้องเล่าเร่ือง จนแพรห่ ลาย บางแหง่ เปน็ ภาพเกี่ยวกบั ประเพณีและวฒั นธรรม ซง่ึ ช่างแตม้ วาดขึ้นตามความประสงค์ของเจ้าอาวาส จุดประสงค์ของการท�ำฮูปแต้ม คือ คติการตกแต่งอาคารทางพระพุทธศาสนาท่ีสืบทอดต่อกันมา ผนังสิมจึงเป็น เสมือนหนังสือภาพทใ่ี ช้รูปเป็นสอ่ื เล่าเรอ่ื ง และเผยแพรแ่ นวคดิ และหลกั ธรรม ค�ำสงั่ สอนใหก้ ระท�ำความดลี ะเว้นความชวั่ แกผ่ ้คู นท่ัวไป ฮปู แตม้ ในสมิ บางแหง่ ยงั มกี ารเขยี นบรรยายภาพเปน็ อกั ษรธรรมบา้ ง อักษรไทยน้อยบ้าง อันเป็นการเผยแพร่วรรณกรรมพื้นบ้าน นอกจากน้ีการ เขียนภาพไว้ที่ผนังด้านนอก นอกจากเป็นการประดับประดาตกแต่งสิมให้ สวยงามแล้วยังท�ำให้คนท่ีไม่สามารถเข้าไปร่วมศาสนพิธีในสิมได้มีโอกาส ไดช้ มและศกึ ษาเรอ่ื งราวตา่ งๆ ผา่ นภาพไดอ้ ยา่ งเพลดิ เพลนิ (เพราะสมิ สว่ นใหญ่ ไม่อนุญาตสตรีเข้าไป) นับเป็นภูมิปัญญาอันแยบยลของศิลปินพ้ืนบ้านท่ีได้ แตง่ แตม้ คตสิ อนใจ หลกั ศลี ธรรม ความเชอ่ื และความศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา รวมทง้ั วถิ ชี วี ติ ในท้องถนิ่ ไว้ในงานจติ รกรรมดว้ ย ฮูปแต้มนอกจากทรงคุณค่าในทางวรรณกรรมและความศรัทธาใน พทุ ธศาสนาแลว้ ยงั เปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ แี่ สดงถงึ วถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ ของผู้คนท่ีมีอายุเม่ือประมาณ ๖๐-๑๐๐ ปีมาแล้ว เราสามารถศึกษาด้าน การแตง่ กาย พธิ กี รรมตามความเชอ่ื รปู แบบของบา้ นเรอื น การเดนิ ทาง และอน่ื ๆ ในทอ้ งถน่ิ รวมทงั้ เอกลกั ษณท์ างจติ รกรรมทอ้ งถน่ิ อสี าน เชน่ การวาดรปู บคุ คล คลา้ ยกบั ภาพประเพณไี ทย แมจ้ ะมขี นาดและสดั สว่ นไมเ่ ปน็ ไปตามความจรงิ แตเ่ ปน็ ความงามทเี่ รยี บงา่ ย และตรงไปตรงมาอนั เปน็ ลกั ษณะเดมิ ของศลิ ปะ พน้ื บา้ น การใชส้ สี ว่ นใหญใ่ ชส้ นี อ้ ยและเปน็ สวี รรณะเยน็ สหี ลกั มกั เปน็ สนี ำ�้ เงนิ สคี ราม สดี ำ� สนี ำ้� ตาลแดง และขาว ซงึ่ แปลกกวา่ จติ รกรรมในภาคอนื่ ชา่ งแตม้ มักแก้ปัญหาการมีสีน้อยโดยใช้การลดน�้ำหนักของสีลง และใช้สีเท่าที่มีอยู่ มาผสมกันได้สที ส่ี ดใสขึ้นและมักใช้กับรูปที่ต้องการเนน้ ความสนใจเพม่ิ ข้ึน

66 ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน 67 ซมุ้ ประตูวัดไชยศรี (ซมุ้ เก่า) ประตสู นิ ไช วดั ไชยศรี ๑. สมิ และฮูปแตม้ วัดไชยศรี บนั ไดทางขน้ึ สมิ (โบสถ)์ ปน้ั เปน็ รปู พญานาค วัดไชยศรีต้ังอยู่ที่บ้านสาวะถี ต�ำบลสาวะถี อ�ำเภอเมืองขอนแก่น ชอ่ งหน้าตา่ ง และช่องลม เป็นวัดเก่าแก่แหง่ หน่งึ ของจังหวัดขอนแกน่ สรา้ งข้ึนเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๐๘ ส่วนสมิ ช่วยระบายอากาศภายในโบสถ์ วดั ไชยศรสี รา้ งขน้ึ ราว พ.ศ. ๒๔๔๓ มอี ายมุ ากกวา่ ๑๐๐ ปมี าแลว้ โดยเจา้ อาวาส องคแ์ รก (หลวงปอู่ อ่ นสา) และชาวบา้ นผมู้ จี ติ ศรทั ธาไดร้ ว่ มกนั สรา้ งขนึ้ รปู ทรง ร่องรอยของใบเสมารอบโบสถ์ ประตสู ิมท�ำด้วยไมแ้ กะสลกั เดมิ ของสมิ เป็นแบบโบราณ ฐานส่วนกลางและผนังก่ออฐิ ฉาบปนู โครงสร้าง ส่วนบนเปน็ ไม้ หลงั คาไมม้ ีปกี ยืน่ ตกแตง่ ดว้ ยเครื่องไมต้ ่างๆ บานประตูและ หน้าตา่ งแกะสลกั งดงาม ตอ่ มา พ.ศ. ๒๕๒๕ เมอื่ โบสถท์ รดุ โทรมตามกาลเวลาชาวบา้ นไดช้ ว่ ยกนั ซอ่ มแซมโดยการเสรมิ ผนงั ใหส้ งู ขน้ึ และทำ� หลงั คาทรงไทยสงู ชลดู (รปู ทรงแบบ ภาคกลาง) ภายหลัง พ.ศ. ๒๕๓๓ กรมศิลปากรได้เข้ามาต่อเติมปีกด้านข้าง ของโบสถ์และยกพน้ื ขน้ึ เพื่อปอ้ งกนั น�้ำกดั เซาะฐาน

68 ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน 69 ฝาผนังด้านนอกและด้านในมีฮูปแต้ม เป็นฝีมือจิตรกรท้องถ่ิน ชอ่ื นายทอง ทพิ ยชา ชาวอำ� เภอบรบอื จงั หวดั มหาสารคาม และชา่ งแตม้ อนื่ ๆ ภาพจติ รกรรมฝาผนงั (ฮปู แต้ม) ผคู้ วบคุมการเขยี นภาพคอื หลวงปอู่ ่อนสา เจ้าอาวาสวัดรปู แรกของวดั ไชยศรี ท่รี ายรอบภายนอกผนังสิม เรอื่ งราวทปี่ รากฏในฮปู แตม้ เปน็ เรอ่ื งพทุ ธประวตั ิ สงั ขศ์ ลิ ปช์ ยั พระมหาเวสสนั ดร ชาดก ภาพเทพและสัตว์ต่างๆ และภาพนรกเจ็ดขุม ใช้สีฝุ่นโดยมีสีหลัก คือ สคี ราม ฟา้ ขาว ซึ่งไดจ้ ากวสั ดธุ รรมชาติ ฮูปแต้มทว่ี ัดไชยศรีมีลักษณะพิเศษ คือ การเขียนภาพเต็มผนังไม่เหลือที่ว่าง ตัวละครแสดงท่าทางที่เคลื่อนไหว โลดโผน อารมณ์ของภาพสนุกสนาน ฮูปแต้มของวัดไชยศรีได้รับการยอมรับ ว่าเป็นฮูปแตม้ ท่สี วยงามท่ีสดุ แห่งหนง่ึ ในสิมอสี านของประเทศไทย ภายในศาลาภูมปิ ญั ญาสินไช ๑ ผลงานภาพจิตรกรรมของนักเรยี น เป็นสถานที่ฝึกอบรม และแหล่งเรียนรู้ ทศี่ ึกษาเรียนรฮู้ ูปแตม้ ภายในสิมวดั ไชยศรี ของนักเรยี นและชมุ ชน ปัจจุบันวัดไชยศรียังคงความงามของสถาปัตยกรรมและจิตรกรรม ไว้่เป็นอย่างดี เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาให้แก่ผู้ท่ีสนใจศิลปวัฒนธรรม และวรรณกรรมพ้ืนบ้านอีสาน วัดไชยศรียังคงเคร่งครัดขนบธรรมเนียม ประเพณีเดิม คือ ผู้หญิงไม่สามารถเข้าไปในสิมได้ต้องชมความงดงามของ ฮูปแตม้ ไดแ้ ต่เพียงภายนอกเท่านัน้

70 ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน 71 ๒. สิมและฮูปแตม้ วัดมัชฌิมวทิ ยาราม วดั มชั ฌมิ วทิ ยารามหรอื วดั บา้ นลาน ชาวบา้ นเรยี กอกี ชอ่ื วา่ วดั กลาง ช่องหน้าต่างระบายลมรบั กับโครงสรา้ ง ตง้ั อยทู่ บี่ า้ นลาน ตำ� บลบา้ นลาน อำ� เภอบา้ นไผ่ จงั หวดั ขอนแกน่ สนั นษิ ฐานวา่ ทางสถาปตั ยกรรมของสมิ สรา้ งขนึ้ เมอื่ ราว พ.ศ. ๒๔๗๐ สมิ วดั บา้ นลานสรา้ งขนึ้ ในสมยั พระอาจารยป์ อ้ ภาพจติ รกรรมฝาผนัง (ฮูปแตม้ ) จนฺทสาโร เปน็ เจา้ อาวาส ขนาดกวา้ งประมาณ ๕ เมตร ยาว ๗.๓๐ เมตร แสดงเร่ืองราวเก่ยี วกับพระมหาเวสสนั ดรชาดก ตอ่ มาเม่อื สมิ เกดิ ทรุดโทรมตามกาลเวลา ชาวบา้ นได้ร่วมกนั บรู ณะซ่อมแซม ท่มี คี ณุ คา่ ทางศิลปะและควรอนรุ ักษไ์ ว้ โดยท�ำหลังคาขึ้นใหม่ ต่อเติมหลังคาเป็นปีกนกรอบสิม ตรงบันไดทางเข้ามี ประตมิ ากรรมปนู ปน้ั พญานาคประดบั อยู่ ฮปู แตม้ ภายในสมิ อยบู่ นผนงั ดา้ นหลงั พระประธาน เปน็ ภาพพระพทุ ธรปู สององค์ เขียนข้อความเป็นภาษาไทยว่า โบสถ์น้ีข้าพเจ้าและพระบุญมา มีศรัทธาพรอ้ มท้ังชาวสาธารณนิคม ผนงั ด้านนอกมฮี ูปแตม้ ท่ีงดงามแสดงเรื่องราวเก่ยี วกบั พระเวสสันดร ชาดก เรียงลำ� ดับภาพจากผนังด้านหนา้ ทศิ ตะวนั ออก ทศิ เหนือ ทศิ ตะวนั ตก และทศิ ใต้ เริม่ จากกณั ฑ์ทศพร ถงึ นครกณั ฑ์ รวม ๙ หอ้ งภาพด้วยกันและ มีค�ำบรรยายด้วยภาษาไทยและอักษรไทยน้อย การแสดงเรื่องราวและล�ำดับ ภาพชดั เจน และงา่ ยตอ่ การเขา้ ใจไดด้ ี ทำ� ใหใ้ ชป้ ระโยชนใ์ นการศกึ ษาศลิ ปกรรม และพุทธประวัติได้อย่างดียิ่ง สีท่ีใช้ในการวาดภาพเป็นสีฝุ่นวรรณะเย็น คือ ใช้สีฟ้า สีน�้ำเงิน สีเขียวและสีเหลือง ช่างแต้ม ช่ือ พ่อสุวรรณ ปิวสาร เป็นชาวรอ้ ยเอ็ด และพ่อลี แสนทวี ปัจจุบันสิมและฮูปแต้มวัดบ้านลานยังคงเป็นผลงานทางศิลปกรรม ท่ีงดงาม แสดงถึงภูมิปัญญาและคุณค่าทางศิลปะของบรรพชนชาวอีสาน แม้ว่าจะลบเลือนไปบ้างตามกาลเวลา วัดนี้ก็เป็นอีกวัดหน่ึงท่ียังคงเคร่งครัด ในขนบธรรมเนยี มด้งั เดิมท่ีผูห้ ญงิ ไม่สามารถเขา้ ไปในสิมได้

72 ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอสี าน 73 ๓. สมิ และฮูปแต้มวดั สนวนวารพี ัฒนาราม วัดสนวนวารีพัฒนารามหรือวัดโนนง้ิว ต้ังอยู่ที่บ้านหัวหนอง ภาพรวมของผนงั ท้ังดา้ นนอกและด้านในของสิม ปัจจุบันวัดสนวนวารีพัฒนาราม เป็นวัดท่ีได้รับการยกย่องว่ามี ตำ� บลหวั หนอง อำ� เภอบา้ นไผ่ จงั หวดั ขอนแกน่ สรา้ งขนึ้ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๑๐ และ ฮูปแต้มจะเขยี นดว้ ยสีฝุ่น และเปน็ สีทีผ่ ลิตจาก ฮปู แตม้ สวยงามมาก โดยเฉพาะนทิ านพน้ื บา้ น เรอ่ื ง สนิ ไซ ทส่ี ามารถถา่ ยทอด ไดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสมี า เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๙ สว่ นสมิ วดั สนวนวารพี ฒั นา วัสดุทางธรรมชาติ เรื่องราวให้เข้าใจได้ง่าย เพราะมีผังบอกล�ำดับเร่ืองราวของฮูปแต้มท้ังภายใน สร้างข้ึน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ เป็นอาคารแบบกอ่ อิฐถือปนู กวา้ ง ๕ เมตร ยาว และภายนอกให้ค้นหาก่อนเข้าชม แม้ว่าสัดส่วนภาพจะไม่คงที่เล็กบ้างใหญ่ ๗.๕๐ เมตร มที างเขา้ ดา้ นหนา้ ทางทศิ ตะวนั ออกเพยี งดา้ นเดยี ว ผนงั ดา้ นขา้ ง บา้ ง แตถ่ อื เปน็ เสนห่ ข์ องศลิ ปะพน้ื บา้ นอสี านทช่ี า่ งแตม้ สามารถสรา้ งสรรคง์ าน เจาะชอ่ งหนา้ ตา่ งเปน็ วงโคง้ งดงาม ภายในสมิ จงึ มอี ากาศโปรง่ ลมพดั เยน็ สบาย ไดอ้ ย่างอสิ ระเสรี โดยเลือกนำ� เสนอเนอ้ื หาเร่ือง พระมหาเวสสนั ดรชาดกและ ผนงั ทงั้ ดา้ นในและดา้ นนอกของสมิ มฮี ปู แตม้ เขยี นดว้ ยสฝี นุ่ ทงี่ ดงามมาก สินไซ ซ่งึ เป็นท่ีรูจ้ กั และนยิ มกันอยา่ งแพรห่ ลายในทอ้ งถิน่ อสี าน ดา้ นในสิมเขยี นเร่อื งพระมหาเวสสนั ดรชาดก วรรณกรรมพน้ื บ้าน เรื่อง สินไซ ราหูอมจันทร์ นาค ครุฑ สิงห์ สว่ นด้านนอกเขียน เร่อื ง สินไซ และนรกภูมิ หน้าต่างเขียนลวดลายเครอื เถาประดับอย่างสวยงาม

74 ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน ขอนแกน่ : แหลง่ วัฒนธรรมอสี าน 75 ๔. สิมและฮปู แตม้ วดั สระทอง ฮปู แตม้ ของวัดสระทองจะประดบั ตกแตง่ ดว้ ยกระจกเงา ควบคไู่ ปกบั การปนั้ ลวดลายและตัวละคร วดั สระทอง ตง้ั อยทู่ บ่ี า้ นบวั ตำ� บลกดุ เคา้ อำ� เภอมญั จาครี ี ซง่ึ เปน็ ชมุ ชน เก่าแก่แห่งหนงึ่ ของจงั หวัดขอนแก่น ชมุ ชนนี้กำ� เนดิ ขนึ้ เมอื่ ราว พ.ศ. ๒๓๗๕ ผนงั ดา้ นในสมิ ไมม่ ฮี ปู แตม้ เปน็ พนื้ ทเี่ รยี บโลง่ ผนงั ดา้ นนอกมฮี ปู แตม้ เม่ือผู้น�ำชุมชนได้อพยพชาวบ้านหนีโรคระบาดและภัยแล้งจากโนนบ้านเค้า สวยงาม สิมของวัดสระทอง มีเอกลักษณ์โดดเด่นทางสถาปัตยกรรมพ้ืนบ้าน มาตั้งถ่ินฐานในบริเวณหนองบัวที่มีดอกบัวขึ้นอยู่เต็มหนองน้�ำสวยงามมาก อสี าน จงึ ไดร้ บั รางวลั อาคารอนรุ กั ษด์ เี ดน่ จากสมาคมสถาปนกิ สยามในพระบรม จงึ ต้ังชอื่ หมูบ่ ้านวา่ บ้านบวั แล้วสร้างวดั ช่ือว่า วัดสระทองข้นึ ราชูปถัมภ์ ใน พ.ศ. ๒๕๔๔ และรางวัลอาคารทรงคุณค่าด้านการอนุรักษ์ สิมวัดสระทองเป็นอาคารทึบแบบก่ออิฐฉาบด้วยปูนขาว มีประตู มรดกวัฒนธรรมแห่งเอเชียและแปซฟิ ิก (Award of Merit) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ ทางเข้าเพียงด้านเดียว บริเวณผนังด้านข้างมีช่องหน้าต่างด้านละ ๒ ช่อง จากองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ผนังด้านหลังมีผนังหลอกอยู่ด้านข้างพระประธาน มีปูนปั้นเป็นเสาเหลี่ยม ยเู นสโก (UNESCO) ย่อมุม ยอดกลีบบัวประดับกระจกเงาเป็นแนวยาวตลอด กรอบบนของมุม ซ้มุ ประตเู ปน็ ไมแ้ กะสลักลวดลายสวยงาม

76 ขอนแกน่ : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน 77 ๕. สิมและฮปู แต้มวดั สระบวั แก้ว ทผ่ี นังสมิ วดั สระบวั แกว้ มกี ารเขยี นบรรยาย ภาพพทุ ธประวตั ดิ ว้ ยอกั ษรธรรม ตอนเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ วดั สระบวั แกว้ ตง้ั อยทู่ บ่ี า้ นวงั คณู ตำ� บลหนองเมก็ อำ� เภอหนองสองหอ้ ง ออกบวชความว่า สิทธัตถะ ออกบวชแล, นาง จังหวัดขอนแก่น สิมวัดหนองบัวแก้วสร้างข้ึนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ โดยพระครู เทพพะดา ยอ ตีน มา แล (สิทาฑ ออกบวช วิบูลย์พัฒนายุกต์ (หลวงพ่อผุย) เจ้าอาวาสในสมัยนั้น เมื่อแรกสร้างสิมของ นาง เทพพะ ดา ยอ ตนี มา แล) วัดสระบัวแก้วเป็นสิมไม้กลางน้�ำอยู่บริเวณด้านใต้ของวัด ต่อมาจึงได้ นบั เปน็ ขอ้ ความทเ่ี ปน็ ประโยคสนั้ ๆ เปน็ อสิ ระ ขุดลอกสระ น�ำดินมาปรับถมที่สร้างเป็นสิมบก โดยจ�ำลองแบบมาจากสิม ตอ่ กนั ไมม่ คี ำ� สนั ธานเชอ่ื มประโยค ในประโยคยงั ใชค้ ำ� วดั บา้ นยาง อำ� เภอบรบอื จงั หวดั มหาสารคาม ทคี่ วรศกึ ษา เชน่ คำ� วา่ สทิ าฑ, เทพ พะดา, ยอ, ตนี สิมวัดสระบัวแก้วสร้างแบบก่ออิฐถือปูน เป็นสิมทึบมีประตูเป็น คำ� วา่ แล ซงึ่ คำ� เหลา่ นยี้ งั คงรากเหงา้ ใหเ้ ราไดข้ ดุ คน้ หา ทางเข้าออกเพียงทางเดียว มีช่องหน้าต่างบริเวณผนังด้านข้าง ด้านละ ความจริงดา้ นววิ ฒั นาการทางภาษาได้เปน็ อย่างดี ๒ ช่อง บริเวณเชิงบันไดทางเข้าสิม มีรูปปั้นสิงห์อยู่ด้านซ้ายและขวา ผนัง ภายในและภายนอกของสิมมีฮูปแต้มเต็มผนังท้ัง ๔ ด้าน เป็นผลงานของ จิตรกรท้องถิ่นจากอ�ำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ผนังด้านในเป็น เรื่องราวเกี่ยวกบั พุทธประวตั แิ ละวรรณกรรม เรอ่ื ง สนิ ไซ สว่ นผนงั ด้านนอก เป็นเร่ืองพระลักษณ์พระราม (วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์) และวิถีชีวิตของ ผู้คนในอดีต เช่น การท�ำคลอดด้วยหมอต�ำแย พิธีฮดสรง (สรงน�้ำ) เป็นต้น โดยมอี ักษรธรรมเขียนก�ำกับบนฮูปแต้มด้วย ฮูปแต้มของวัดสระบัวแก้วต่างจากฮูปแต้มวัดอ่ืน เนื่องจากมีการใช้ เสน้ แบง่ องคป์ ระกอบของภาพออกเปน็ ตอนๆ ลกั ษณะการเขยี นมรี ปู แบบคลา้ ย ศลิ ปะตะวันตกในยุคอมิ เพรสช่ันนสิ ม์

78 ขอนแกน่ : แหล่งวฒั นธรรมอีสาน ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอสี าน 79 ในจงั หวดั ขอนแกน่ ยงั มสี มิ ทเ่ี ปน็ ผลงานสถาปตั ยกรรมพน้ื ถน่ิ ทคี่ วรคา่ แกก่ ารศึกษาหลายแห่ง เช่น หนา้ บันของสมิ วัดบึงแก้ว ประดับด้วย เครอ่ื งถว้ ยตกแตง่ และจดั วางไดอ้ ยา่ งงดงาม สมิ วดั โพธ์ิศร ี รปู ด้านหนา้ 1:75 อำ� เภอเมอื ง จังหวัดขอนแก่น สมิ วดั โพธศิ์ รี บา้ นศลิ า อำ� เภอเมอื งขอนแกน่ สรา้ งขนึ้ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๙ หน้าบนั ตกแตง่ ด้วยภาพวาดลายดอกไม้ ปฏสิ งั ขรณเ์ มอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๖ เปน็ สมิ ทบึ ทเี่ ปน็ ศลิ ปะทอ้ งถน่ิ อสี านทงี่ ดงามมาก ชอ่ ฟ้า ขนาดกว้าง ๕ เมตร ยาว ๖ เมตร หลังคาจ่ัวทรงสูง มีปีกนกคลุมโดยรอบ มเี สานางเรยี งเป็นตวั รบั เคร่อื งบนตกแตง่ หลังคาค่อนขา้ งอลังการ เชน่ สหี นา้ k ช่อฟ้า เป็นรูปไม้แกะสลักทรงบัวเหล่ียมแบบยอดพระธาตุใน แปน้ ลม ภาคอีสาน ประตู k โหง่ (ช่อฟา้ ) เปน็ รูปเศยี รนาคสลับไม้ ฐานโบสถ์ k แปน้ ลม (ล�ำยอง) เป็นรูปนาคเกยี้ ว ๕ ตวั พันกนั เลื้อยลงมาถึง ๖. สมิ และฮปู แต้มวัดบงึ แก้ว หรอื แอวขนั เชิงชาย เป็นหางหงสท์ ีง่ ดงามเหมาะเจาะลงตัว โห่ง k สหี นา้ (หน้าบนั ) ไมม่ กี ารประดบั ตกแตง่ เปน็ แผ่นไม้เรียบ วดั บงึ แกว้ อำ� เภอชนบท จงั หวดั ขอนแกน่ เปน็ วดั เกา่ แกว่ ดั หนงึ่ สรา้ งขนึ้ k ฮงั เผง่ิ (รงั ผง้ึ ) เปน็ ไมแ้ กะสลกั ตามสกลุ ชา่ งไทยอสี าน ซงึ่ สวยงาม ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มอี ายปุ ระมาณ ๑๐๐ ปมี าแลว้ รปู ดา้ นข้าง 1:75 ท่ีสุดของสิมวัดโพธิ์ศรี โดยมีลวดลายแบ่งเป็น ๓ ตอน คือ ตอนกลาง เป็น สมิ วดั บงึ แกว้ มลี กั ษณะเปน็ สมิ พนื้ ถน่ิ อสี านดง้ั เดมิ คอื เปน็ สมิ ทบึ ไมม่ หี นา้ ตา่ ง ท่มี า : วิโรฒ ศรสี ุโร, สิมอสี าน. ๒๕๓๙. รูปเทวดาจับก้านเถาวัลย์ซึ่งโค้งออกไปทางไหล่ทั้ง ๒ ข้าง ทางด้านซ้ายเป็น ขนาดกว้างประมาณ ๖ เมตร ยาว ๘ เมตร ต่อมาทางวัดได้เจาะผนังเป็น รปู พญาสบุ รรณกางปกี ทางดา้ นขวาเป็นกระจงั ใบเทศแตกลายเปน็ ก้าน ช่องหน้าต่างใส่วงกบในภายหลัง ที่ผนังส่วนล่างติดกับฐานตกแต่งปูนปั้นช่อง k ประตู เป็นบานไม้แกะสลักลวดลายประณีตสุดยอดเยี่ยมของ กากบาทต่อเน่ืองกัน ประดับลวดลายผนังด้านนอกด้วยปูนปั้นนูนต่�ำแล้ว ช่างพ้ืนบ้าน บานขวามือเป็นพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ บานซ้ายมือเป็น ระบายสที บั รปู มารผจญอยู่ดา้ นบน สว่ นด้านล่างเปน็ ปางสมาธพิ ิจารณาสังขาร ฮูปแต้มวัดบึงแก้วเป็นภาพจิตกรรมฝาผนังท่ีงดงามมาก ท�ำเป็น k ฐานโบสถห์ รอื แอวขนั กอ่ อฐิ เปน็ บวั ควำ่� ทอ้ งไมก้ อ่ อฐิ สลบั คลา้ ย ลวดลายพญานาค ช้าง ม้า การเดนิ ทพั เรือกลไฟ ทหารและภาพท่ีสะท้อนถงึ ช่องระบายลม แอวขันแบบน้ี นิยมท�ำเฉพาะในเขตจงั หวดั ขอนแกน่ เทา่ น้นั วถิ ชี วี ติ ของผคู้ นในสมยั นนั้ เชน่ ภาพคนปนี ตน้ มะพรา้ ว คนพายเรอื การทอดแห ปจั จบุ นั สมิ วดั โพธศิ์ รไี ดร้ บั การอนรุ กั ษไ์ วเ้ พอ่ื ใหอ้ นชุ นรนุ่ หลงั ไดศ้ กึ ษา หาปลา ท่ีหน้าบันด้านหน้า (ทิศตะวันออก) เป็นภาพขบวนแห่คนขี่ม้า และ บานประตไู ม้แกะสลักเร่อื งพระเจา้ ๕ พระองค์ สถาปัตยกรรมพ้ืนถ่นิ สบื ตอ่ ไป ภาพคล้ายการเดนิ ทัพ มเี ครือ่ งถว้ ยประดับเปน็ ลวดลายสวยงาม

80 ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน ขอนแก่น : แหลง่ วัฒนธรรมอีสาน 81 สมิ วดั ศรบี ญุ เรอื ง บา้ นทมุ่ อำ� เภอเมอื งขอนแกน่ เปน็ สมิ โลง่ ขนาดเลก็ สมิ วัดศรชี มชืน่ เปน็ สมิ ทบึ มชี อ่ งหน้าตา่ งเพ่อื ระบายลมเทา่ นนั้ กว้างประมาณ ๔.๓๐ เมตร ยาว ๕.๘๕ เมตร หลังคาทรงจ่ัวมีชานและเสา นางเรยี งรบั ปกี นกโดยรอบ มเี ครอื่ งประดบั ตกแตง่ ทย่ี งั สมบรู ณแ์ ละงดงาม เชน่ ฐานโบสถห์ รือแอวขัน k โหง่ไม้สลักรูปพญานาคสวยงามมากเช่นเดียวกับช่อฟ้า ซ่ึงสลัก ก่ออฐิ เปน็ บวั คว่ำ� เป็นรูปทรงปราสาทซ้อนหลายชั้น แป้นลม นาคเลื้อยสะดุ้ง ระหว่างช่วงเสา ท่รี ับปีกนกโดยรอบ ชา่ งจะแกะไมเ้ ปน็ ฮงั เผ่งิ ประดับทุกชว่ งเสา ฮูปแต้ม ปัจจบุ ันได้เลือนหายไป สมิ และฮปู แต้มนอกจากทรงคุณค่าทางศลิ ปกรรม และหลักฐานทาง k ฮูปแต้มยังปรากฏร่องรอยเปน็ ลวดลายพรรณพฤกษาที่ชดั เจน ตามสภาพของสมิ ทมี่ ีอายุ ๑๐๐ ปี มาแลว้ ประวตั ศิ าสตรใ์ นดา้ นวถิ กี ารดำ� รงชวี ติ แลวั ยงั แสดงถงึ ความศรทั ธาในพระพทุ ธ สิมวัดศรีชมชื่น บ้านแดงน้อย อ�ำเภอเมืองขอนแก่น วัดนี้ได้รับ ศาสนาที่ชาวอีสานมีอยู่อย่างม่ันคงยาวนานนับแต่อดีตถึงปัจจุบันนี้ ทั้งยัง พระราชทานเปน็ ท่ีวสิ ุงคามสมี า เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๐ สิมวัดศรีชมชื่นเปน็ สิมทึบ เป็นแหล่งท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมท่ีเรียกขานว่า เยือนสิม ชมศิลป์อีสาน ตามรปู แบบสถาปตั ยกรรมพน้ื บา้ นอสี าน มขี นาดประมาณความกวา้ ง ๔.๕๐ เมตร นับเป็นหน่ึงในความภาคภูมิใจของชาวอีสานและชาวไทยทง้ั ประเทศ ยาว ๖ เมตร ไมม่ มี ขุ หนา้ แตต่ อ่ เปน็ พาไลยน่ื คลมุ บนั ไดทางขน้ึ เจาะชอ่ งหนา้ ตา่ ง ทผ่ี นงั ขา้ งๆ ละ ๑ บาน หลงั คาทรงจั่วสงู มปี ีกนกยนื่ ปอ้ งกันฝนโดยรอบ แต่ ไมม่ ีเสารบั ปกี นก k โหงแ่ ละหางแปน้ ลมเปน็ ไมแ้ กะสลกั แปน้ ลมเปน็ แผน่ ไมธ้ รรมดา k หน้าบันท้ัง ๒ ด้านแกะรูปนูนต�่ำมีลายขดล้อมรอบข้ึนไปถึง สว่ นยอด ฮปู แตม้ ในวดั ศรชี มชน่ื ดา้ นทศิ ตะวนั ตกเปน็ พทุ ธประวตั ติ อนผจญมาร ด้านล่างมีรูปช้างและมนุษย์ท�ำท่าแบกภาพด้านบนอยู่ ส่วนฮูปแต้มทางด้าน ทิศตะวันออกเป็นรูปพระพุทธเจ้าปางแสดงธรรม ส่วนล่างเป็นรูปสัตว์และ พฤกษาตา่ งๆ

82 ขอนแกน่ : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน 83 สนิ ไซนทิ านในฮปู แตม้ บนผนงั สมิ อสิ าน “สนิ ไซเรว็ กบั ทรวง” เปน็ ขอ้ ความทป่ี รากฏบนผนงั ดา้ นทศิ ใตข้ องสมิ วดั สนวนวารพี ฒั นาราม ขอ้ ความนเี้ ขยี นดว้ ยอกั ษรรว่ มสมยั ไทยรตั นโกสนิ ทร์ เปน็ ขอ้ ความประกอบภาพนิทาน สนิ ไซเปน็ นทิ านพนื้ บา้ นในทอ้ งถนิ่ อสี านทร่ี จู้ กั กนั แพรห่ ลายมากทส่ี ดุ เรอื่ ง “สนิ ไซ” ตอน สินไซต่อสกู้ ับ “งซู วง” เพือ่ ฝา่ ดา่ นเข้าไปยังเมืองของยกั ษภ์ ุมภัณฑ์ และเป็นนิทานที่ช่างแต้มนิยมวาดบนผนังสิมวัดต่างๆ ในภูมิภาคอีสานมาก คำ� ว่า “เรว็ ค�ำกรยิ า หมายถงึ ตอ่ ส้กู นั รบกนั ส่วนคำ� วา่ “ทรวง” ซึ่งท่วั ไปจะเขยี นว่า ทส่ี ดุ สมิ ในจงั หวดั ขอนแกน่ ทมี่ ฮี ปู แตม้ เปน็ เรอื่ งสนิ ไซมหี ลายวดั ชาวบา้ นบางคน “ซวง” หมายถึงงทู ม่ี ลี �ำตวั ขนาดใหญ่ ยาวและมพี ิษมากทพี่ น่ ออกมาเปน็ ไฟ เล่าว่า ในสมัยก่อนจะมีการเล่านิทานน้ีในงานศพ บางคนน�ำหนังสือผูก ซ่ึงเขียนบนใบลาน แล้วร้อยใบลานเข้าด้วยเชือกรวมเป็นมัดๆ มัดหนึ่งเรียก สนิ ไช หรือสนิ ไซ เปน็ ชือ่ เรยี กนทิ านในทอ้ งถ่นิ ซ่งึ ตรงกับวรรณกรรม ผกู หน่งึ เนือ้ หาเปน็ นทิ านเร่ืองสนิ ไซทนี่ �ำไปอา่ นให้ผ้คู นที่ไปรว่ มงานศพฟังกนั เร่ืองสังข์ศิลป์ชัย มีเรื่องราวว่า ท้าวกุศราชผู้ครองนครปัญจาล มีมเหสีชื่อ นางจนั ทาเทวี และขนษิ ฐาชอ่ื สมุ ณฑา (หรอื นางเกสรสมุ ณฑาในสงั ขศ์ ลิ ปช์ ยั ) นอกจากน้ียังน�ำมาเป็นการละเล่นในงานประเพณีบุญผะเหวด หรือ ภาพสินไซนิทานในฮูปแต้มบนผนงั สิมอสี าน เมื่ออายุ ๑๗ ปี นางสุมณฑาถูกยักษ์กุมภัณฑ์ลักตัวไปเป็นภรรยาของตนที่ งานบญุ มหาชาตทิ ี่ชาวอสี านจดั ขึ้นในเดอื น ๔ เป็นประเพณปี ระจ�ำในทอ้ งถน่ิ วดั สนวนวารีพัฒนาราม อ�ำเภอบ้านไผ่ เมืองอโนราช ทา้ วกศุ ราชจงึ ปลอมเปน็ พระภิกษุตามหาขนษิ ฐา ขณะเดินทาง อสี านปฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มาจนถงึ ปจั จบุ นั เพอื่ ใหช้ าวบา้ นไดฟ้ งั เทศนเ์ รอื่ งพระมหา จงั หวัดขอนแก่น ไปถึงเมืองจ�ำปาได้ธิดาท้ั ๗ คนของเศรษฐีเมืองจ�ำปาเป็นมเหสี ต่อมา เวสสนั ดรชาดกทงั้ ๑๓ กณั ฑใ์ หจ้ บในวนั เดยี ว หลงั จากทพี่ ระเทศนม์ าลยั หมน่ื พระมเหสจี นั ทาเทวปี ระสตู โิ อรสเปน็ ราชสหี ์ มนี ามวา่ “สโี ห” สว่ นมเหสที ง้ั เจด็ มาลัยแสนแล้ว จะเว้นช่วงเวลาให้มีการจัดมหรสพสมโภชก่อนท่ีจะเข้าสู่การ มีโอรสท้ังหมด แต่คนสุดท้ายมีโอรส ๒ องค์ คือ สินไซ เป็นมนุษย์ เทศน์มหาชาติจริงๆ ในการสมโภชน้ันชาวบ้านจะมารวมกัน จึงมีการละเล่น และหอยสงั ข์ มเหสีทั้งหกใหส้ ินบนแก่โหรเพอื่ ใหท้ �ำนายวา่ โอรสของพระมเหสี เพอื่ การบนั เทงิ รอ้ งรำ� ทำ� เพลงซงึ่ หมอลำ� แคนและหนงั ปาโมทยั จะนยิ มนำ� นทิ าน จนั ทาเทวแี ละนอ้ งสดุ ทอ้ งของตนเปน็ กาลแี กบ่ า้ นเมอื ง ทา้ วกศุ ราชทรงหลงเชอ่ื สินไซมาแสดงในงานประเพณีดังกลา่ ว จึงขบั ไลน่ างจนั ทาเทวแี ละมเหสคี นสุดทอ้ งรวมท้ังลกู ๆ ให้ออกจากเมอื ง

84 ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอสี าน ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน 85 ตอ่ มาเมอื่ โอรสทง้ั หกเจรญิ วยั ทา้ วกศุ ราชจงึ ใหไ้ ปตามหานางสมุ ณฑา สินไซ สโี ห และหอยสังขใ์ นปัจจบุ นั ได้กลายเป็นสญั ลกั ษณห์ นึ่งของ ผู้เป็นอา โอรสท้ังหกไปหลอกสินไซให้ไปช่วยตามหา สินไซจึงให้สีโหดูแล จงั หวดั ขอนแก่น ซ่งึ ปรากฏชัดเจนเป็นหัวเสาไฟของเทศบาลนครขอนแกน่ โอรสท้ังหก ส่วนสินไซและหอยสังข์ไปถึงเมืองอโนราชและรบชนะ ยักษ์กุมภัณฑ์ แต่นางสุมณฑาไม่ยอมกลับเมืองแต่ต้องการให้สินไซไปน�ำ นางสุดาจันทร์ลูกสาวของตนที่เป็นภรรยาของนาคแห่งบาดาล เนื่องจาก ยักษ์กุมภัณฑ์เล่นสกาแพ้พญานาค สินไซจึงไปแข่งสกากับอรุณนาคและได้ ชัยชนะ จึงได้นางสุดาจันทร์คืนมาและท้ังหมดพากันกลับมายังเมืองนคร ปญั จาล แต่ระหว่างทางสินไซถูกโอรสทง้ั หกผลกั ตกเหว พระอนิ ทร์มาช่วยไว้ และให้ไปอยู่กับนางจันทาเทวีผู้เป็นแม่ท่ีอยู่นอกเมือง เมื่อท้าวกุศราช รู้ความเป็นจริงจึงลงโทษโหรและเนรเทศโอรสทั้งหกออกจากเมือง แล้ว เชิญสินไซเข้าเมืองนครปัญจาล ส่วนท้าวอรุณนาคได้มาสู่ขอนางสุดาจันทร์ ไปเป็นมเหสดี ังเดิม

ศรทั ธา ความงดงาม และความเรยี บงา่ ยของชาวอสี าน ในพระพทุ ธศาสนา บทบาทและความสมั พนั ธข์ องพระพทุ ธศาสนาในสงั คมและวฒั นธรรม อีสานนั้น ถือเป็นสถาบันที่ท�ำหน้าที่ในการขัดเกลาและควบคุมสังคม ให้ การศึกษาท้ังทางโลกและทางธรรม และเป็นที่มาของคติ ความเช่ือ ค่านิยม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ของชาวอีสาน จนอาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมอีสานอย่างแยกไม่ออก สภาพสงั คมและวฒั นธรรมของชาวอสี านนน้ั จงึ เปน็ ไปในรปู แบบของพระพทุ ธ ศาสนาน�ำสงั คมแทบทุกมิติ ด้วยเหตนุ ีเ้ องชาวอีสานจึงให้ความเคารพเทดิ ทูน สถาบนั ทางศาสนาอยา่ งยง่ิ ทงั้ การใหค้ วามเคารพตอ่ สถานทว่ี ดั วาอารามตา่ งๆ จนเกิดธรรมเนียมในการขะล�ำ หรือมีข้อห้ามบางประการเมื่อเข้าสู่ภายใน เขตวัดวาอาราม บทบาทของพระภิกษุในศาสนาก็เป็นผู้น�ำชุมชนทั้งทางโลก และทางธรรม ประเพณีพิธีกรรมจะด�ำเนินไปด้วยความเคารพ การท�ำบุญ ก็มักจะมีความเอาใจใส่เป็นพิเศษ เช่น การใส่ข้าวเหนียวท่ีน่ึงใหม่ในการ ใส่บาตรพระสงฆ์ เม่ือสนทนากับพระสงฆ์ก็ต้องนั่งลงและประนมมือ ซึ่ง กลายเปน็ มรรยาทและธรรมเนียมซึง่ ถือปฏบิ ตั ิกนั เปน็ ปกติในอดตี

88 ขอนแก่น : แหลง่ วฒั นธรรมอสี าน ขอนแกน่ : แหล่งวัฒนธรรมอสี าน 89 วดั วาอาราม เครอ่ื งใชใ้ นศาสนากล็ ว้ นแลว้ แตถ่ กู สรา้ งขน้ึ มาดว้ ยความ ศรทั ธาเกดิ ความประณตี งดงามอยา่ งมเี อกลกั ษณส์ ะทอ้ นถงึ ความศรทั ธาอยา่ งสงู ในสถาบันพระพุทธศาสนากับสังคมและวัฒนธรรมอีสาน ในขณะเดียวกัน ลกั ษณะทางสงั คม และวฒั นธรรมทรี่ บั สบื ทอดจากอาณาจกั รลา้ นชา้ งในอดตี วถิ ชี วี ติ ทผ่ี กู พนั กบั ธรรมชาติ ทำ� ใหช้ าวอสี านทจ่ี งั หวดั ขอนแกน่ มคี วามพอเพยี ง ในความเป็นอยู่ ส่งผลให้เกิดงานศิลปกรรมหลายอย่าง เช่น สิมหรือ พระอุโบสถ หอแจก หรือศาลาการเปรียญ พระพุทธรูปไม้ ธรรมาสน์ หรือเครอ่ื งใชใ้ นศาสนาต่างๆ มเี อกลักษณ์ในดา้ นความเรียบง่าย ความสมถะ อันแสดงออกถึงความจริงใจหรือความตั้งใจจริงในการรับใช้พระพุทธศาสนา ภายใต้ความจ�ำกดั ทางเศรษฐกจิ และทรัพยากร พระพทุ ธรูปไม้ ธรรมาสนไ์ ม้ ในภาคอสี านผทู้ บ่ี วชเรยี นในชว่ งเขา้ พรรษามกั จะ ธรรมาสน์ คือ ท่ีสำ� หรบั พระภกิ ษุ สามเณรน่ังแสดงธรรม สำ� หรบั ชาวอีสานธรรมาสนถ์ อื เปน็ งานศิลปะทส่ี วยงามและยิง่ ใหญเ่ ปน็ ท่ี แกะพระพุทธรูปไม้ไว้ที่สิม เพ่ือเป็นท่ีระลึกว่า เคารพสกั การะของชาวบา้ น ซง่ึ ตอ้ งสรา้ งใหส้ วยงามทสี่ ดุ ในภาพเปน็ ธรรมาสนไ์ มใ้ นอโุ บสถวดั สวา่ งสทุ ธาราม ตำ� บลศลิ า อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่ ตนเองไดบ้ วชเรยี น สว่ นใหญจ่ ะใชไ้ มท้ มี่ ชี อื่ วา่ เปน็ เปน็ ธรรมาสน์ไมท้ รงปราสาทแกะสลกั ลวดลายลงสสี วยงาม ฐานบนั ไดเป็นรูปพญานาค ๒ ตัว บันไดทำ� เป็นรปู มา้ หมอบ ด้านผนังธรรมาสน์ ไมม้ งคล เชน่ ไมป้ ระดู่ ไมย้ อ ไมโ้ พธ์ิ พระพทุ ธรปู ไม้ เป็นไม้กระดาน ท่ีเรียกว่า “แอ้มแป้น” แกะสลักเป็นภาพคน สัตว์ รวมท้ังดอกไม้ เป็นธรรมาสน์ไม้ท่ีมีความสมบูรณ์ มีคุณค่า แต่ละองค์มีลักษณะท่เี ป็นเอกลักษณ์คลา้ ยกันคือ ความสวยงามพิเศษ แสดงถึงฝีมือท่ีเป็นเอกลักษณ์ของท้องถ่ินโดยเฉพาะ ปัจจุบันเป็นที่ บรรจุอัฐิ (เจ้าคุณ) พระสารนาถธรรมาจารย์ เปน็ พระพทุ ธรูปศลิ ปะล้านช้าง รูปลกั ษณ์จะเปน็ (กติ ตสิ ารเถระ) อดตี เจา้ คณะอ�ำเภอเมอื งขอนแก่น และไดร้ ับการขึ้นทะเบียนเปน็ โบราณวตั ถจุ ากพิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาตขิ อนแก่น ศลิ ปะเฉพาะของผ้แู กะ

90 ขอนแกน่ : แหลง่ วฒั นธรรมอสี าน ขอนแก่น : แหล่งวฒั นธรรมอสี าน 91 ขันกระหย่อง เคร่ืองจักสานที่เป็นเครื่องใช้ในศาสนาของชาวอีสาน อย่างหน่ึง ที่สร้างข้ึนจากความศรัทธาอย่างย่ิงในพระพุทธศาสนาของ ชาวอสี าน ซงึ่ ตงั้ อยบู่ นพนื้ ฐานทางเศรษฐกจิ และทรพั ยากรทมี่ อิ าจเนน้ วตั ถนุ ยิ ม หรือบริโภคนิยมได้ หากแต่แสดงถึงภูมิรู้ ภูมิธรรมและฝีมือช่างท้องถ่ินของ ภาคอีสาน ปัจจบุ ันนี้อาจจะพบนอ้ ยลงตามวดั วาอารามตา่ งๆ ในภาคอสี าน ขัน ในภาษาอีสานนั้นใช้เรียกภาชนะต่างๆ เช่น ขันหมาก หมาย ถึงเช่ียนหมาก หรือภาชนะใส่หมากพลูซึ่งมีรูปทรงที่แตกต่างหลากหลาย ขันแก้ว ใช้เรียกกระทงใบตองใส่หมากพลูซ่ึงนิยมท�ำข้ึนเพื่อถวายพระสงฆ์ ในพิธีต่างๆ จึงน่าจะพิจารณาได้ว่าค�ำว่าขันในภาษาอีสานนั้นใช้เรียกภาชนะ ส�ำหรับบรรจุส่ิงของโดยมิได้เน้นรูปลักษณะ วัสดุท่ีใช้ในการผลิตแต่อย่างใด ขนั กระหย่องใช้เปน็ ภาชนะใส่ดอกไม้ ส่วนค�ำว่า กระหย่อง น้ัน หมายถึง การยกสูงข้ึนจากพื้นในระดับหนึ่ง เช่น อันเปน็ เคร่อื งบชู าพระพุทธศาสนา การน่ังกระหย่อง หรือน่ังส้นหย่อง คือการน่ังบนส้นเท้าแบบเดียวกับที่ ในภาษากลางเรียกว่าการน่ังท่าเทพบุตรน่ันเอง จึงพอจะนิยามความหมาย เอาว่า ขันกระหย่อง น้ีหมายถึงภาชนะที่มีลักษณะยกสูงขึ้นจากพ้ืนใน ระดบั หนึ่ง ขันกระหย่องน้ี เป็นเคร่ืองจักสานท่ีท�ำจากไม้ไผ่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบ ท่ีสามารถหาได้ทั่วไปในแทบทุกท้องถ่ิน น�ำมาจักสานรูปแบบเฉพาะใน การใช้ขันกระหย่องใสเ่ ครื่องบชู าในเสมาหนิ ทรายซง่ึ ถอื เปน็ ส่งิ ศกั ดส์ิ ิทธิ์ในทางพระพทุ ธศาสนา แต่ละฝีมือช่าง ประกอบด้วยส่วนล่างที่เป็นฐานวางกับพื้น ส่วนถัดมา ตรงกลางเปน็ สว่ นเอว ซง่ึ ขนั กระหยอ่ งแตล่ ะใบนนั้ จะแตกตา่ งกนั ไปตามแตล่ ะ ฝีมือช่าง ช่างผู้จักสานบางท่านก็ท�ำให้ส่วนเอวคอดก่ิวเข้าไปได้อย่างงดงาม ในขณะทช่ี า่ งบางทา่ นกท็ ำ� ใหส้ ว่ นเอวคอดเพยี งเลก็ นอ้ ยเทา่ นนั้ และสว่ นทสี่ าม เปน็ สว่ นตวั ภาชนะสำ� หรบั วางสงิ่ ตา่ งๆ ความแตกตา่ งของขนั กระหยอ่ งแตล่ ะใบ นเี่ องเปน็ เสนห่ ข์ องงานหตั ถกรรมทม่ี ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะชน้ิ แตล่ ว้ น มจี ดุ มงุ่ หมายเดยี วกนั คอื ทำ� ขน้ึ เพอ่ื อทุ ศิ ถวายเพอื่ ใชใ้ นพระพทุ ธศาสนา ทำ� ให้ ขันมุงคนุ เปน็ ขันนำ้� มนตใ์ ชใ้ นการสวดพระปรติ ร เราสามารถพบเหน็ ขนั กระหย่องลกั ษณะต่างๆ ไดต้ ามวัดวาอารามตา่ งๆ ในงานพธิ มี งคลตา่ งๆ ของชาวอสี าน สำ� หรบั ลกั ษณะการใช้งานของขนั กระหยอ่ งนนั้ เทา่ ทส่ี ามารถพบเหน็ ในชมุ ชนชาวอสี านในพนื้ ทตี่ า่ งๆ มกั จะใชเ้ ปน็ ภาชนะในการถวายขา้ วพระพทุ ธ อันเป็นหน่ึงในธรรมเนียมปฏิบัติของชาวพุทธท่ัวไป ในบางท้องถ่ินทางภาค อีสานนั้นพระภิกษุจะงดออกบิณฑบาตในวันธรรมสวนะ หรือในวันพระ ชาวอีสานไปท�ำบุญตักบาตรกันท่ีวัด ทางวัดจะจัดเรียงบาตรของพระภิกษุ ไวเ้ ปน็ แถวในสถานทอี่ นั สมควร โดยหวั แถวของบาตรนนั้ จะวางขนั กระหยอ่ ง เอาไว้ ในขณะประกอบพิธีนั้นเมื่อพระภิกษุสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์มาถึง บทชยั มงคลคาถา ชาวบา้ นนบั ตง้ั แตผ่ สู้ งู อายกุ จ็ ะเรมิ่ ลกุ ขนึ้ มาใสบ่ าตรพระดว้ ย ขา้ วเหนยี ว โดยชนั้ แรกตอ้ งวางขา้ วเหนยี วกอ้ นเลก็ ๆ ลงไปในขนั กระหยอ่ งนนั้ ขันกระหยอ่ งใช้เปน็ ภาชนะใสข่ า้ วเพื่อบชู าพระพทุ ธเจ้า ขนั กระหยอ่ งใชบ้ รรจขุ า้ วพนั กอ้ น ซง่ึ เปน็ เครอ่ื งบชู าในงานบญุ ผะเหวด ขันกระหยอ่ งซึง่ เป็นฝมี ือของชาวอีสาน ลักษณะคลา้ ยพาน ซง่ึ มเี อวคอดก่ิว

92 ขอนแกน่ : แหล่งวัฒนธรรมอสี าน ขอนแก่น : แหล่งวัฒนธรรมอีสาน 93 เพอ่ื จะไดน้ ำ� ไปถวายเปน็ ขา้ วพระพทุ ธตอ่ ไป บางคนอาจจะเตรยี มดอกไมส้ ขี าว มาจากบ้านก็สามารถน�ำมาวางบูชาร่วมกับข้าวเหนียวของตนได้ เมื่อถวาย ขนั กระหย่องใชใ้ สด่ อกไม้ธูปเทียนเพอื่ บูชาพระรตั นตรัย พระพุทธแล้วจึงใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์ต่อไปจนครบ ในปัจจุบันธรรมเนียม ในการใสข่ ้าวพระพทุ ธนีน้ ับวนั ก็จะเลอื นหายไป ขันกระหย่องนั้นนอกจากจะเป็นเคร่ืองใช้ท่ีแสดงถึงภูมิปัญญา ฝีมือ การใช้งานขันกระหย่องอีกประการหนึ่งคือใช้เป็นภาชนะส�ำหรับใส่ ด้านการจักสานของท้องถ่ินแล้ว ยังเป็นเหมือนตัวแทนของความศรัทธา เคร่ืองบูชาพระรัตนตรัย คือ ดอกไม้และธูปเทียน เร่ืองการบูชาดอกไม้ของ อย่างย่ิงในพระพุทธศาสนาของพ่ีน้องชาวอีสานในอดีตซ่ึงอยู่บนพื้นฐานของ ชาวอีสานแต่เดิมนั้นเป็นสุนทรียประการหน่ึงซ่ึงควรจะได้หยิบยกมากล่าวถึง ความเรียบง่าย พอเพียง ไม่มีความหรูหราฟุ่มเฟือย ท่ามกลางกระแสสังคม ในโอกาสนี้ คนอสี านนนั้ นยิ มทจ่ี ะบชู าพระดว้ ยดอกไมแ้ รกแยม้ สขี าว กลน่ิ หอม วัตถุนิยมที่แผ่ขยายเข้าสู่ทุกภาคส่วน อันไม่เว้นแม้แต่ศาสนา วัดวาอาราม เช่น ดอกพุด ดอกมหาหงส์ ดอกราตรี จะไม่นิยมน�ำดอกไม้บานมาบูชาพระ ต่างพากันระดมทุนเพ่ือสร้างถาวรวัตถุ ส่ิงก่อสร้างท่ียิ่งใหญ่เกินความจ�ำเป็น ดว้ ยเหตผุ ลวา่ จะสง่ ผลใหไ้ ดค้ คู่ รองทม่ี อี ายสุ งู กวา่ ตน จะไมด่ มดอกไมท้ จ่ี ะนำ� หรอื วตั ถมุ งคลทเี่ นน้ อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ด์ า้ นตา่ งๆ แทนการพฒั นาคนใหเ้ ปน็ มนษุ ย์ มาบูชาพระด้วยความเชื่อท่ีว่า จะท�ำให้จมูกแหว่งในชาติหน้า ซ่ึงเป็นอุบาย ผู้มีคุณธรรมโดยสมบูรณ์ สนับสนุนสร้างพระภิกษุให้เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ของคนอีสานสมัยโบราณที่ต้องการให้เครื่องบูชาพระพุทธศาสนานั้นมีความ ปฏิบตั ชิ อบเพือ่ จรรโลงพระศาสนาและสังคมให้ดงี าม งดงามและบริสุทธิ์ ชาวอีสานโบราณนั้นเมื่อจะเก็บดอกไม้มาบูชาพระก็จะ ขนั กระหยอ่ ง ของชาวอสี าน จงึ นา่ จะเปน็ สอื่ ใหข้ อ้ คดิ แกเ่ ราในปจั จบุ นั มีค�ำกล่าวอย่างไพเราะว่า “มาเดอหล่ามาไปน�ำพ่ี พ่ีสิพาไปไหว้พระแก้ว ในอันท่ีจะเว้นจากวัตถุนิยม หันมาพัฒนาจิตใจ ฝึกตนให้เป็นผู้มีสติปัญญา กระโจมค�ำ...” สุนทรียประโยคน้ีแสดงถึงความเช่ือท่ีว่า บุญกุศลอันเกิดจาก ในการด�ำรงชีวิตอยู่ในสังคม เพ่ือยังประโยชน์ซึ่งกันและกัน สร้างสังคม การบชู าพระรตั นตรยั ไมเ่ พยี งแตจ่ ะเกดิ เฉพาะตวั ผบู้ ชู าเทา่ นนั้ หากแตบ่ ญุ กศุ ล อันเปน็ สนั ตสิ ุขอย่างแท้จริงและย่งั ยนื ตอ่ ไป นั้นยังแผ่ไปถึงดอกไม้ท่ีน�ำมาบูชาอีกด้วย ดอกไม้ที่น�ำมาบูชาพระรัตนตรัย ของชาวบ้านหลากหลายชนิดจะถูกน�ำมาจัดวางรวมกันในขันกระหย่อง ท�ำให้เห็นถึงการแสดงออกซง่ึ ความศรัทธารว่ มกนั ในชมุ ชนชาวอีสาน ข้าวพนั ก้อน หน่ึงในเคร่อื งบูชากัณฑ์เทศน์ในงานบุญผะเหวดหรืองานบญุ มหาชาติของชาวอสี าน