Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนาทั่วไป

Description: ศาสนาทั่วไป

Search

Read the Text Version

91 เป็นหมวด ๆ เพÉือสะดวกแก่การค้นจงึ ได้เกิดมียชรุ เวทและสามเวทขึนÊ ตามลําดบั คมั ภีร์พระ เวทจงึ หมายรวมทงัÊ 3 คมั ภีร์ และเรียกชÉือวา่ ไตรเวท คอื 1. ฤคเวท เป็นคมั ภีร์ทÉีรวบรวมบทสวดสดดุ ีพระผ้เู ป็นเจ้า บรรดาเทพเจ้าทีÉปรากฏ ในฤคเวทสมั หติ ามีจํานวน 33 องค์ ทงัÊ 33 องคไ์ ด้จดั แบง่ ตามลกั ษณะของทÉีอยเู่ ป็น 3 กลมุ่ คือ เทพเจ้าทÉีอยใู่ นสวรรค์ เทพเจ้าทีÉอยใู่ นอากาศ และเทพเจ้าทีÉอยใู่ นโลกมนษุ ย์ มีจํานวนกลมุ่ ละ 11 องค์ 2. ยชรุ เวท เป็นคมั ภีร์ทีÉได้บนั ทกึ รวบรวมบทประพนั ธ์ทÉีวา่ ด้วยสตู รสําหรับใช้ในการ ประกอบยญั พิธียชรุ เวทสมั หิตา แบง่ ออกเป็น 2 แขนง คือ ก. ศกุ ลยชรุ เวท หรือ ยชรุ เวทขาว ได้แก่ ยชุรเวททีÉบรรจมุ นต์ หรือคําสวดและ สตู รทีÉต้องสวด ข. กฤษณยชุรเวท หรือยชรุ เวทดํา ได้แก่ ยชุรเวททÉีบรรจมุ นต์และคําแนะนํา เกีÉยวกบั การประกอบยญั พิธีบวงสรวง ตลอดทงัÊ คาํ อธิบายในการประกอบพิธีอีกด้วย 3. สามเวท เป็นคมั ภีร์ทีÉรวบรวมบทประพนั ธ์อนั เป็นบทสวดขบั ร้อง เพÉือถวายนําÊ โสม แดเ่ ทพเจ้า บทสวดในสามเวทสมั หิตามีจํานวน 1,549 บท ในจํานวนนีมÊ ีเพียง 75 บท ทÉี มิได้ปรากฏในฤคเวท 4. อถรวเวท หรือเรียกว่าอาถรรพเวท เป็นคมั ภีร์ทีÉเกิดขึนÊ ภายหลงั เป็นคาถาอาคม เวทมนตร์ของขลงั ศกั ดÍิสิทธÍิ สําหรับทําพิธีแก้เสนียดจญั ไร นําสิริมงคลมาให้แก่ตนและนําสิÉง ร้ายไปสศู่ ตั รู 2. หมวดพราหมณะ เป็นบทร้อยแก้วหรือความเรียง อธิบายระเบียบการประกอบ พิธีกรรม ข้อห้ามและข้อปฏิบตั ใิ นการประกอบพิธีกรรมตา่ ง ๆ ไว้อยา่ งละเอียด 3. หมวดอารัณยกะ เป็นบทร้อยแก้วใช้เป็นตาํ ราคมู่ ือสําหรับการปฏิบตั ขิ องพราหมณ์ ผ้ปู ระสงค์ดําเนินตนเป็นวานปรัสถ์คอื ผ้อู ยปู่ ่าประพฤตติ นเป็นนกั บวชตา่ ง ๆ เป็นดาบส ฤาษี นิครนถ์ ชฎิลหรือปริพาชก เพÉือหาความสขุ สงบ เปลือÊ งความกงั วลจากการอยคู่ รองเรือน 4. หมวดอุปนิษัท เป็นคมั ภีร์ทÉีมีแนวคิดทางปรัชญาทีÉลึกซึงÊ นนÉั คือ ความนึกคิด เกÉียวกับเทพเจ้า วิญญาณหรืออาตมนั (Supreme Soul) เรืÉองของโลก เรÉืองของมนุษย์ ความรู้ทีÉเป็นความจริงและไมจ่ ริงเป็นทางนําไปส่คู วามเป็นเสรี ถือกนั วา่ อปุ นิษัทเป็นคมั ภีร์เลม่ สุดท้ายของการศึกษา เป็นบทสนทนาโต้ตอบกัน ได้อธิบายถึงธรรมชาติและจักรวาล วิญญาณของมนษุ ย์ การเวียนวา่ ยตายเกิด กฎแห่งกรรมและหลกั ปฏิบตั ิ ปรัชญาสําคญั ซÉึง เป็นการอธิบายสาระสําคญั ของคมั ภีร์พระเวททงัÊ หมด ดงั นี Ê

92 1. เรืÉองปรมาตมนั ปรมาตมนั คอื วิญญาณดงัÊ เดมิ หรือความจริงแท้สงู สดุ ของโลก และชีวติ หรือจกั รวาล ซงึÉ เรียกวา่ พรหมนั สรรพสÉงิ มาจากพรหมนั และในทีÉสดุ ก็จะกลบั คืนสู่ ความเป็นเอกภาพกบั พรหมนั มีลกั ษณะเป็นอตั ตาอมตนริ ันดร 2. เรÉืองอาตมนั หรือชีวาตมนั ซงึÉ เป็นสว่ นอตั ตาย่อยหรือวิญญาณยอ่ ยทÉีปรากฏแยก ออกมาอยใู่ นแตล่ ะคนในโลกนี Ê ดงั นนัÊ การทีÉอาตมนั หรือชีวาตมนั ยอ่ ยนีเÊข้าไปรวมกบั พรหมนั หรืปรมาตมนั ได้จงึ เป็นการพ้นทกุ ข์ ไมม่ ีการเวียนวา่ ยตายเกิดอีกตอ่ ไป 3. เรÉืองกรรม การทÉีชีวาตมนั จะกลบั คืนเข้าไปสพู่ รหมนั เป็นเอกภาพอมตะได้นนัÊ ผ้นู นัÊ จะต้องบําเพ็ญเพียร ทํากรรมดีและประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทÉีเรียกว่า โยคะ คือกรรมโยคะ ทํากรรมดี ภกั ตโิ ยคะ มีศรัทธาในพระผ้เู ป็นเจ้า และชญานโยคะ การศกึ ษาจนเข้าใจพระเวท อยา่ งถกู ต้อง จนบรรลถุ ึงโมษะ ชีวาตมนั จะไปรวมอย่กู บั ปรมาตมนั ตามเดิม ไมต่ ้องเวียนวา่ ย ตายเกิดอีกตอ่ ไป 4. เรÉืองเข้าไปรวมกบั พรหมนั หรือปรมาตมนั คือการพ้นทกุ ข์ไมต่ ้องเวียนวา่ ยตายเกิดอีก ปรมาตมนั หรือพรหมนั นียÊ งั แบง่ ออกเป็น 2 ระดบั คือ อปรพรมหมนั ความจริงสงู สดุ (Ultimate Reality) และปรพรหมนั คือ คณุ สมบตั ทิ Éีเป็นจริงแท้ของเทพเจ้าสงู สดุ (Supreme Being) คําสอนในคมั ภีร์อปุ นิษัททําให้ศาสนาพราหมณ์เป็นเอกนิยม (Monism) เชÉือว่าสรรพ สÉิงมาจากหนÉงึ และจะกลบั ไปส่คู วามเป็นหนึÉง หลงั จากทีÉคมั ภีร์อปุ นิษัทได้พฒั นารูปแบบทÉีเป็น แนวคดิ อยา่ งลกึ ซงึ Ê ถึงขนาดนี Ê ผศ. ธีรยทุ ธ สนุ ทรา (2539:47) ได้กล่าวว่า ก็ยงั ไมพ่ อตอ่ ความ ต้องการของสังคมชาวอินเดียช่วงนันÊ ได้ จึงได้กําเนิดสํานักปรัชญาและได้รับความนิยม แพร่หลายอีก 6 สํานกั พวกพราหมณ์เห็นประชาชนนิยมมาก จงึ ได้ผนวกเอามาเป็นรากฐาน ทางภมู ิปัญญาของลทั ธิพราหมณ์-ฮินดขู นึ Ê มาอีก ดงั มีรายละเอียดตอ่ ไปนี Ê 1. ปรัชญานยายะ ฤาษีโคตมะเป็นเจ้าลทั ธิ ม่งุ ค้นคว้าหาความจริงและโมกษะคือ การหลดุ พ้นตามหลกั ตรรกวทิ ยา มีทฤษฎีของความรู้ได้มาจาก 4 ประการ 1. ความรู้ทÉีได้จากประสบการณ์โดยตรง 2. ความรู้ทÉีได้จากการค้นค้นหาเหตผุ ลเรียกวา่ ความรู้อนมุ าน 3. ความรู้ทีÉได้จากการเปรียบเทียบเรียกวา่ ความรู้อปุ มาน 4. ความรู้ทÉีได้จากพยานหลกั ฐาน เชน่ ความรู้จากคมั ภีร์พระเวท และถือว่าอาตมนั มีสภาพคงอยนู่ ิรันดร และมีพระเจ้าเป็นผ้สู ร้างโลก เป็นผ้ทู รงให้มีคมั ภีร์พระเวท 2. ปรัชญาไวเศษิกะ ฤาษีกณาทะเป็นเจ้าลทั ธิ มงุ่ หาความจริง และยึดโมกษะหรือ การหลดุ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเปา้ หมายสําคญั เชÉือว่าชีวิตปัจจบุ นั สืบเนืÉองมาจาก

93 การกระทําของตนเอง ปรมาตมนั เป็นอนนั ต์ คือไมม่ ีทÉีสินÊ สดุ ไมม่ ีเบือÊ งต้น เบือÊ งปลาย ไม่มี รูปร่าง เป็นเหตใุ ห้มีโลกและชีวิต ชีวิตคือส่วนย่อยของปรมาตมนั และได้กล่าวถึงธรรมชาติ ของอนภุ าคปรมาณูไว้ว่า ทกุ สÉิงทกุ อย่างในเอกภพเกิดขึนÊ มาจากการรวมตวั ของปรมาณู ซÉึง แบง่ แยกออกไปเป็นส่วนย่อยอีกไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกขึนÊ มาจากปรมาณู และเห็นว่า เมÉือไมท่ ําความชวÉั วญิ ญาณก็บริสทุ ธÍิพ้นจากทกุ ข์ได้ 3. ปรัชญาสางขยะ ฤาษีกบลิ ะเป็นเจ้าลทั ธิสอนวา่ ชีวติ ประกอบไปด้วย 2 สว่ น คือ บรุ ุษและประกฤติ หรือกลา่ วง่าย ๆ วา่ ชีวติ มี 2 สว่ น คือ สสารและจิต บรุ ุษได้แก่ อาตมนั หรือจิตใจ ประกฤติ ได้แก่ ดิน นําÊ ไฟ ลม อากาศ เมืÉอทงัÊ 2 สว่ นมาประกอบกนั เข้าทําให้ เกิดสÉงิ ตา่ ง ๆ ตามธรรมชาตขิ นึ Ê มา เชน่ พืช สตั ว์ คน พระเจ้าเมÉือแยกจิตออกจากประกฤติได้ เดด็ ขาดก็พ้นทกุ ข์ คือ การบรรลโุ มกษะ หลดุ พ้นจากการเวียนวา่ ยตายเกิด 4. ปรัชญาโยคะ ฤาษีปตญั ชลีเป็นเจ้าลทั ธิ อธิบายว่า โยคะ คือ การกนัÊ กระแสจิต ไว้ไม่ให้ไปส่อู ารมณ์ภายนอกได้ ต้องบริกรรมคําว่า โอม โดยเพ่งไปยงั พระอิศวร เมืÉอจิตแน่ว แนเ่ ป็นสมาธิแล้ว จะเกิดความบริสทุ ธÍิตามมา และอธิบายสภาวะของจิตและวิญญาณวา่ 1. สภาวะปกตขิ องจติ เดมิ เป็นสงÉิ ทÉีสะอาดบริสทุ ธÍิ ทÉีมาเศร้าหมองในภายหลงั เพราะ กระทบกับสÉิงแปดเปือÊ น เมÉือใช้โยคะชําระสิÉงแปดเปือÊ นเหล่านนัÊ ออกไปหมด จิตก็จะบริสทุ ธิÍ เชน่ เดมิ 2. พรหมหรือปรมาตมนั เป็นพระเจ้าผ้ยู งÉิ ใหญ่ เป็นผ้ใู ห้กําเนิดวิญญาณแห่งสตั ว์โลกทงัÊ ปวง ซึงÉ เรียกว่าอาตมนั ผ้ใู ดปรารถนาจะกลบั เข้าภาวะเดมิ คือกลบั เข้าไปรวมเป็นอนั หนึÉงอนั เดยี วกนั กบั ปรมาตมนั อาจกระทําได้ด้วยวธิ ีการทีÉเรียกวา่ โยคะ และจะเข้าถงึ โยคะได้จะต้อง ปฏิบตั ติ ามหลกั 8 ประการ คือ 1) ยม ความเหนÉียวรังÊ 2) นยิ ม ปฏิบตั ติ ามคาํ สอนในลทั ธิ 3) อาสนะ นงÉั สงบจิตให้แน่วแน่ 4) ปราณายาม ผ่อนลมหายใจ 5) ปรัตยาหาร ทรมาน ร่างกาย 6) ธารณะ ทําจติ ให้ตงัÊ มนัÉ 7) ฌาน การเพง่ เล็ง 8) สมาธิ ควบคมุ จิตให้อยกู่ บั ทีÉ 3. สงÉิ ทงัÊ หลายทีÉมาประกอบกนั เข้าเป็นตวั ตน มีรูปร่าง มีทงัÊ สิÉงดีและสิÉงไม่ดีรวมกนั อยู่ เมÉือเจริญเตบิ โต ระหวา่ งการเจริญเตบิ โตยอ่ มมีสงÉิ ทําลายความเจริญเตบิ โต และสิÉงตอ่ ต้านตวั ทําลายความเจริญเตบิ โตขนึ Ê ควบคกู่ นั ไปอยเู่ สมอ 4. มนุษย์ทุกคนมีสÉิงต่อไปนีอÊ ยู่ในตวั คือ ความรู้สึกยิÉงใหญ่ ภูมิปัญญา ความ สามารถ และความรู้สกึ วา่ ตนเองมีความสําคญั ดงั นนัÊ ปรัชญาโยคะมีหลักการสําคญั คือ การรวมอาตมัน (วิญญาณย่อย) เข้าสู่ ปรมาตมนั (วิญญาณใหญ่) และเชÉือวา่ จะสําเร็จได้ด้วย

94 1.สามารถรวมพลงั จิตให้แน่นแฟ้น (อภั ยาส) ชําระจิตให้บริสทุ ธÍิ แน่วแนไ่ ม่แปรปรวน ไมว่ า่ จะมีอารมณ์ฝ่ายใดมากระทบ 2. สามารถข่มความดินÊ รนของจิตซึÉงเป็นอปุ สรรคของโยคะให้หมดสินÊ ไป ด้วยหมัÉน ภาวนาวา่ โอม 5. ปรัชญามีมางสา ฤาษีไซมินิ เป็นเจ้าลทั ธิ มีหลกั การสอบสวนพระเวทหมวดมนั ตระและพราหมณะ ว่าคําสอนด้วยธรรมชาติแห่งการกระทําทÉีถกู ต้อง เรียกว่า ธรรม เช่น หลกั การว่าหน้าทÉีหรือการกระทําเป็นสÉิงสําคญั ยÉิงของมนุษย์ ถ้าไม่มีการกระทําปัญญาก็ไม่มี ผล ถ้าไม่มีการกระทําสุขก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีการกระทําความสมบรู ณ์สูงสุดของมนุษย์ก็ เป็นไปไมไ่ ด้ ดงั นนัÊ ธรรม จงึ เป็นพืนÊ ฐานแหง่ ชีวติ มนษุ ย์ 6. ปรัชญาเวทานตะ ฤาษีพาทรายณะเป็นเจ้าลทั ธิ มีหลกั การสอบสวนพระเวท ในช่วงปลาย ซÉึงเน้นพระพรหมและชญาณเป็นสําคญั โดยสอนว่า อาตมนั กบั พรหมเป็นสิÉง เดียวกนั พรหม คือ สิÉงสมบรู ณ์ (Absolute) เป็นความจริงแท้ สิÉงตา่ ง ๆ มาจากพระพรหม อาตมนั มีลกั ษณะ 3 อยา่ ง คอื ความจริง จิต และความสขุ อาตมนั คือ พรหม ไมม่ ีตวั ตน เลย เป็นสภาวะสรรพสÉงิ คลÉีคลายตวั มาจากพรหม และความจริงของสรรพสÉิงคือ พรหม และ จะกลบั เข้าไปเป็นเอกภาพกบั พรหม โดยการปฏิบตั ติ ามหลกั การ 4 ข้อ 1. วิเวกะ คือ การไม่เกาะติดในสÉิงอนั เป็นนิรันดร์ กับสÉิงอนั มิใช่นิรันดร์ หรือใน ระหวา่ งสิÉงแท้จริงกบั สิÉงอนั เป็นมายา กลา่ วคือความสงดั 2. ไวราคยะ ความปราศจากราคะ คือ ไมม่ ีความกําหนดั ยนิ ดใี นผลแหง่ กรรม 3. สสมั ปัต ความประพฤตชิ อบ เชน่ การฝึกตน ความมีใจกว้าง ความอดทน ศรัทธา และความตงัÊ มนัÉ แหง่ สมาธิ เป็นต้น 4. มุมุกษุตวะ ความปรารถนาชอบเพÉือบรรลุโมกษะ อนั เป็นจดุ หมายสูงสดุ ซึÉง จะต้องปฏิบตั ิต่อเนÉืองกันด้วยความกระตือรือร้ น มีศรัทธา ปรารถนาเพืÉอความดีงามแก่ มนษุ ยชาติ และด้วยการเพง่ ด้วยอารมณ์ในฌานตอ่ เนืÉองกนั อยเู่ สมอ หลักตรีมูรติ รศ.ดร. เดือน คําดี (2541:76-77) กลา่ ววา่ ตรีมรู ติ เป็นสญั ลกั ษณ์สงู สดุ หมายถึง มหาเทพ 3 องค์ คือ 1. พระพรหม 2. พระนารายณ์ 3. พระศิวะ มีความเป็นเอกภาพ เป็นเทพเจ้าสําคญั ยงิÉ ใหญ่สงู สดุ เรียกวา่ ตรีมรู ติ

95 1. พระพรหม มหาเทพองค์นีมÊ ีชืÉอเรียกตา่ ง ๆ เป็นอนั มาก เชน่ พระพรหมธาดา พระอาตมภู พระประชาบดี เป็นต้น พราหมณ์ถือว่าพระพรหมเป็นพระผู้สร้ างสรรพสิÉงทุก อยา่ งในจกั รวาล พระพรหมมีมเหสี พระนามวา่ สรุ ัสวดี 2. พระวิษณุหรือนารายณ์ เทพเจ้าองค์นีเÊป็นผ้ทู ําหน้าทีÉรักษาโลกสรรพสÉิงทกุ อยา่ ง ในจกั รวาล พระนารายณ์มีกายสีเขียวแก่จนดาํ และเปลÉียนไปตามยคุ คือ กฤตายดุ เป็นสีขาว ไตรดายคุ เป็นสีแดง ทวาปรยคุ เป็นสีเหลือง และกลียคุ เป็นสีดาํ มี 4 กร ทรงสงั ข์ จกั ร คทา และธรณีเป็นสญั ลกั ษณ์ มีมเหสีพระนามวา่ ลกั ษมี 3. พระศิวะหรืออิศวร เทพผ้ทู ําลายทกุ สÉิงในจกั รวาล ประทบั อยบู่ นภูเขาไกรลาส ทรงโคเผือกเป็นพาหนะ เรียกว่า อุศภุ ราช มเหสีนามว่า อมุ า มีโอรสกับพระนางอุมา คือ พระคเณศ หรือ วิฆเนศ และพระขนั ธกุมาร และยงั มีโอรสธิดากบั ชายาองค์อÉืน ๆ อีกมาก เครืÉองหมายบชู า คอื ศวิ ลงึ ค์ พระนางอมุ าแบง่ ภาคออกได้ 3 ภาค คือ 1. ภาคพระอมุ า มีรูปงาม สีกายเป็นสีทอง เพราะได้รับประทานพรมาในการบําเพ็ญ ฌานจากพระพรหม มี 4 กร 2. ภาคพระนางกาลี มีร่างกายอ้วนลํÉา นยั น์ตาดุ มี 4 กร แตล่ ะกรถืออาวธุ ครบ มี โลหิตหยดตามปากและตามตวั มีงเู ป็นสงั วาลย์ อาภรณ์เป็นมือคนร้ายประดบั ถือกระโหลกหวั ยกั ษ์บ้าง ถือตรีประตกั ยืนเหยียบอกมหษิ อสรู 3. ภาคพระนางทรุ คา เป็นภาคดรุ ้ายมาก ไมแ่ พ้ภาคพระนางกาลี ในความหมายว่า ทรุ คา คือ เข้าถึงไม่ได้ รูปร่างนา่ กลวั ใช้ศพเป็นต้มุ หู มีกระโหลกผีเป็นสร้อยคอ มีซÉีโครงคน เป็นเขม็ ขดั ผมยาวประถึงซน่ นยั น์ตาโปนแดงเป็นสายเลือด แลบลินÊ ยาวจรดทรวงอกนมยาน ถึงสะเอว เล็บมือเล็บเท้ายาวแหลม มีอาวธุ ประจําหตั ถ์ถึง 12 อย่าง คือ จกั ร ธนู ตรี ศลุ ขรรค์ หอก กระบอก ลกู ธนู ประตกั โล่ ขวาน ระฆงั พธิ ีกรรมสาํ คัญของศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์–ฮนิ ดุ ถือวา่ พีธีกรรมมีความสําคญั มาก เพราะเชÉือวา่ เมืÉอกระทําถกู ต้องครบถ้วนแล้วจะมีผลขนึ Ê มา โดยอตั โนมตั แิ ม้เทพเจ้าก็ไมส่ ามารถขดั ขวางได้ แบง่ ออกเป็น 4 หมวดดงั นี Ê 1. กฎสําหรับวรรณะ ทีÉเกีÉยวกบั การแตง่ งาน อาหารการกิน อาชีพ และเคหสถานทÉี อยู่ ดงั นี Ê ก. การแตง่ งาน การแตง่ งานจะมีนอกวรรณะไมไ่ ด้แตช่ ายเป็นพราหมณ์แตง่ งานกบั

96 หญิงวรรณะอÉืนได้ เรียกวา่ อนโุ ลม ส่วนหญิงเป็นพราหมณ์ แตง่ งานกับชายวรรณะอÉืนไมไ่ ด้ เรียกวา่ ปฏิโลม ข. อาหารการกิน มีข้อกําหนดว่าอะไรกินได้อะไรกินไม่ได้ และบคุ คลวรรณะใดปรุง อาหารให้คนวรรณะใดกินไมไ่ ด้ เช่น พราหมณ์ไม่กินเนือÊ สตั ว์ คนวรรณะอÉืนปรุงอาหารให้กิน ไมไ่ ด้ ต้องเป็นพราหมณ์ด้วยกนั จงึ จะปรุงให้กนั กินได้ ค. อาชีพ ต้องอยใู่ นการจํากดั ว่า บคุ คลเกิดในวรรณะใดต้องประกอบอาชีพตามทีÉ กําหนดไว้สําหรับบคุ คลในวรรณะนนัÊ เทา่ นนัÊ ง. เคหสถานทÉีอยู่ ในกฎดงัÊ เดิมห้ามชาวฮินดมู ีถิÉนฐานบ้านเรือนอยนู่ อกเขตประเทศ อินเดียและห้ามเดนิ เรือในทะเล แตป่ ัจจบุ นั ไมถ่ ือกนั แล้ว 2. พิธีประจําบ้าน ชาวฮินดตู ้องทําพธิ ีกรรมประจําบ้านทÉีขาดไม่ได้เลย การทําพิธีต้อง อาศยั พราหมณ์ นกั บวช เป็นผ้ทู ําเรียกวา่ พิธีสงั สการ เป็นพิธีประจําบ้านมี 12 ประการ คือ 1. ครรภาธาน พิธีตงัÊ ครรภ์ ถดั จากวิวาห์ 2. ปงุ สวนะ พิธีเมÉือเข้าใจวา่ เดก็ ในครรภ์มีลมปราณหรือมีชีวติ 3. สีมนั โตนยนั พิธีตดั ผมหญิงมีครรภ์ เมÉือตงัÊ ครรภ์แล้ว 4 , 6 , 8 เดือน 4. ชาตกรรม พิธีคลอดบตุ ร เอานําÊ ผงึ Ê เนยใสแ่ ตะลินÊ เดก็ 3 ครังÊ 5. นามกรณ พิธีตงัÊ ชืÉอเดก็ หลงั จากคลอดแล้วในวนั ทÉี 10,11,12,14 หรือ 101 6. นิษกรมณะ พิธีนําเดก็ ออกไปดดู วงอาทติ ย์อทุ ยั เมÉือเดก็ อายไุ ด้ 4 เดอื น หรือดู ดวงจนั ทร์ในเวลาขนึ Ê 3 คÉาํ เดือน 3 7. อนั นปราศนะ พธิ ีปอ้ นข้าวในเดือน 7 - 8 หรือเมืÉอเดก็ นนัÊ ฟันงอก 8. จฑุ ากรณะ พิธีโกนผมเหลือไว้แตห่ างเปีย เรียกวา่ สขิ ะ ให้ทําในปีทีÉ 3 9. เกศานตะ พธิ ีตดั ผมจกุ วรรณะพราหมณ์ตดั เมืÉออายุ 16 ปี วรรณะกษัตริย์ ตดั เมืÉออายุ 22 ปี และวรรณะแพศย์ตดั เมืÉออายุ 24 ปี 10. อปุ นยนะ พิธีคล้องด้ายศกั ดÍสิ ิทธÍิหรือยชั โญปวีต ทําเมÉือเริÉมต้นชีวิตการศกึ ษา ของเดก็ ถือเป็นทวชิ าตคิ ือการเกิดครังÊ ทÉี 2 เกิดมาในโลกหนหนงึÉ เกิดมาในวรรณะพราหมณ์ อีกหนหนงึÉ แล้วสอนให้วา่ มนตค์ ายตั รี ทําเมÉืออายุ 5, 8, 16 ขวบ 11. สามาวรรตนะ พธิ ีกลบั เข้าบ้านเมืÉอเสร็จการศกึ ษาจากสํานกั ครู 12. วิวาหะ พิธีแตง่ งาน พธิ ีเหลา่ นี Ê เป็นหญิงเว้นข้อ 10 นอกจากนนัÊ ทําได้

97 3. พิธีศราทธ์ ได้แก่ พิธีของผ้มู ีศรัทธาคือมีใจเชืÉอมนÉั เป็นการทําบญุ อทุ ิศให้แก่บิดา มารดา หรือบรรพบรุ ุษทÉีลว่ งลบั ไปแล้วในเดือน 10 ตงัÊ แตว่ นั แรม 1 คÉํา ถึงวนั แรม 15 คÉํา การทําบญุ อทุ ิศนนัÊ เรียกอีกอยา่ งวา่ ทําบณิ ฑะ 4. พิธีบชู าเทวดา การทําพิธีบชู านีตÊ า่ งกนั ไปตามวรรณะ ถ้าวรรณะสงู พอจะกําหนด ลงได้ เชน่ สวดมนตภ์ าวนา อาบนําÊ ชําระกายและสงั เวยคงคาทกุ วนั พิธีสมโภชน์ถือศีลในวนั ศกั ดÍิสิทธÍิ และไปนมัสการบําเพ็ญกุศลในเทวาลัย ถ้าวรรณะตํÉาก็มีพิธีผิดแผกแตกต่างกัน ออกไป (รศ. ดร. เดอื น คําดี. 253:78-79) นิกายศาสนา ผศ. ธีรยทุ ธา สนุ ทรา (2539:32) กลา่ ววา่ ศาสนาพราหมณ์–ฮินดู มีนิกายเกิดขึนÊ มา ทÉีสําคญั ดงั นี Ê 1. นิกายพรหม นบั ถือพระพรหมเป็นเทพเจ้าสงู สดุ แตเ่ พียงองค์เดียว 2. นิกายไวษณพ (Vaishnavism) เชÉือการอวตารของพระนารายณ์ว่า พระนารายณ์ ได้อวตาร 24 ครังÊ เพืÉอช่วยมนษุ ย์โลกในคราวทกุ ข์เข็ญ นิกายนีไÊ ด้เคารพนบั ถือบชู าพระราม พระกฤษณะรวมทงัÊ หนุมาน และพระพทุ ธเจ้าโดยอ้างเอาวา่ เป็นอวตารปางทÉี 9 และไมเ่ น้น พิธีกรรมเรียกตนเองว่า ศาสนาฮินดเู คารพบชู าเทพเจ้าตา่ ง ๆ และถือคตนิ ิยมสร้างเทวรูปไว้ บชู าแบบพหนุ ิยม 3. นกิ ายไศวะ (Saivism) เชÉือในพระศวิ ะและมีความหวงั วา่ ในอนาคตพระศวิ ะ ทÉีจะ อวตารลงมาเป็นบรุ ุษชืÉอลกลุ ิศะ (Lakulisa) เพÉือโปรดปรานมนษุ ย์และสอนมนษุ ย์ถึงวิธีเข้าถึง พระศิวะ นิกายนีปÊ ระพฤติตนตามแบบลทั ธิอตั ตกิลมถานุโยค ใช้ขีเÊ ถ้าทาตามร่างกายและทํา เครÉืองหมายทÉีหน้าผากด้วยขีด 3 ขีดเรียกสีหาสนั ทน์ 4. นกิ ายศกั ดิ (Saktism) เชÉือวา่ เทพเจ้าทรงแสดงอํานาจและพลงั กําลงั ผ่านชายาของ พระองค์ตามความหมายทÉีว่า เทพทงัÊ สองคือสญั ลกั ษณ์แหง่ พระเจ้า และอํานาจของพระเจ้า สถิตอยบู่ นสวรรค์คอยคําÊ จนุ โลก ก็คือนบั ถือ ชายาของพระศวิ ะจึงบชู าเจ้าแม่ปางตา่ ง ๆ เช่น ปางนางปารวตี ปางเจ้าแมก่ าลี ปางเจ้าแมท่ รุ คาเป็นต้น สัญลักษณ์ของศาสนา ศาสนาพราหมณ – ฮนิ ดู ใช้เครืÉองหมายอกั ษรเทวนาครีเขียนวา่ โอม หมายถงึ เทพ เจ้าทงัÊ 3 คือ อุ อกั ษร ได้แก่ พระวิษณหุ รือนารายณ์ อะ อกั ษร หมายถึง พระศวิ ะหรือ

98 อศิ วร มะ อกั ษร หมายถงึ พระพรหม เรียกอีกอยา่ งวา่ ตรีมรู ติ นอกจากนี Ê ยงั นิยมสร้างสญั ลกั ษณ์ไว้บนหน้าผาก หรือส่วนอÉืนของร่างกายอีกด้วย เช่น ศาสนิกชนนิกายไวษณวะ ซงÉึ นบั ถือพระวิษณเุ ป็นเทพเจ้าสงู สดุ จะทําเครÉืองหมายเป็น ตวั อกั ษรโอมไว้บนหน้าผาก เหนือระหวา่ งคิวÊ สว่ นนิกายไศวะทีÉนบั ถือพระอิศวรเป็นใหญ่ ทํา เครÉืองเครÉืองหมายเป็นเส้นนอน 3 เส้น ซ้อนกนั ไว้บนหน้าผาก ซึÉงเครÉืองหมายนนัÊ ได้ทําด้วย กระแจะจนั ทร์บ้าง ผงหรือขีเÊถ้าวเิ ศษบ้าง สีขาวบ้าง สีแดงบ้าง เรียกวา่ สีหาสนั ทน์ แปลว่า ทีÉ นงÉั ของสีหะ คอื มหาเทพทีÉตนนบั ถือ (รศ. คณู โทขนั ธ์. 2537:179) ศาสนาเชน (Jainism) ชีวประวัตศิ าสดา ศาสนาเชน หรือ ไชน์ แปลวา่ ศาสนาของผ้ชู นะ มีมหาวีระเป็นศาสดา ปฏิเสธฐานะ ของพระเจ้าสร้างโลกและพิธีกรรม การบูชายญั เป็นต้น ในศาสนาพราหมณ์ว่ามิใช่ทางแห่ง โมกษะ เกิดก่อนพทุ ธศกั ราช ประมาณ 87 ปี เป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม มหาวีระ เดมิ ชืÉอวา่ วรฺธมานะ แปลวา่ ผ้เู จริญ เกิดในตระกลู กษัตริย์เมืองเวสาลี พระ บดิ าพระนามว่า เศรยมะ พระมารดาพระนามว่า ตริศาลา พระชนมายุ 19 พรรษาก็อภิเษก สมรสกบั เจ้าหญิง ยโสธรา มีธิดา 1 องค์นามวา่ อโนชา ทÉีได้ชÉือว่า มหาวีระ เพราะเหตแุ หง่ การแสดงความกล้าหาญจบั ช้างเมามนั ทีÉกําลงั อาละวาดอย่ไู ด้ เมÉืออายุ 28 ปี พระบิดาและ พระมารดาสวรรคต เนืÉองจากทําพิธีอดอาหารเพÉือต้องการให้ชีวาตมนั กลบั ไปรวมกบั พรหมนั ตามคําสอนในศาสนาพราหมณ์ มหาวีระรู้สกึ เสียใจมากจึงตงัÊ ปณิธานทÉีจะออกจากราชวงั ไป ตามยถากรรม งดการเอาใจใสต่ อ่ ร่างกายและไมค่ ํานงึ ถึงความทกุ ข์ยากอนั จะเกิดในภายหน้า แตอ่ ยา่ งใด เมืÉออายุ 30 ปี จงึ ออกบวชในสํานกั ทา่ นปารศวนาถ แล้วตงัÊ มหาปณิธานว่า จะไม่ เปลง่ วาจากบั ผ้ใู ดหรือทําร้ายตอบโต้ใคร ๆ ทÉีมาเบียดเบียน ท่านได้บําเพ็ญพรตอยู่เป็นเวลา 12 ปี จึงได้บรรลเุ ป็นพระชินะประกาศอหิงสาธรรมอยู่ 30 ปี จงึ ดบั ขนั ธ์เมÉืออายุ 72 ปี ณ เมืองปาวา ศาสดามหาวีระ สอนวา่ ทา่ นมไิ ด้เป็นศาสดาองคแ์ รกของศาสนานี Ê เป็นเพียงผ้คู ้นพบ หลกั ธรรมของศาสดาหรือทีÉเรียกว่า ติรถงั กร คือผู้สร้างท่าข้ามเพÉือนําสรรพสตั ว์ให้พ้นจาก โอฆสงสารด้วยหลกั ธรรมอนั มีอหิงสาเป็นสําคญั ทีÉสดุ ขององค์ก่อน ๆ เทา่ นนัÊ ซึงÉ มีมาแล้ว 23 องค์ องคแ์ รกพระนามวา่ ฤษภ องค์ทÉี 23 นามว่า ปารศวะ สว่ นท่านมหาวีระเป็นองค์ทÉี 24

99 ท่านสินÊ กิเลสและพันธะทังÊ ปวงพ้นจากโลกียวิสัยแล้วเป็นผู้บริสุทธÍิ มีคุณสมบตั ิครบถ้วนทุก ประการ (รศ. คณู โทขนั ธ์. 2537:60) หลักธรรมสาํ คัญ หลกั ธรรมในศาสนาเชน ผ้เู ขียนอยากแบง่ เป็น 3 ชนัÊ คือ ชนัÊ แรกหลกั จริยธรรม หรือศลี ธรรม ชนัÊ ทีÉสองหลกั ปรัชญา ชนัÊ ทีÉสามหลกั การหลดุ พ้น 1. หลักจริยธรรมหรือศีลธรรม คือ อหสึ า ดงั คําถามตอบตอนหนÉงึ วา่ ก่อนเข้าสู่ นิรวาณ สาวกถามว่า ในบรรดาคําสอนของพระชินะทังÊ หมดคําสอนว่าด้วยเรÉืองอะไรถือว่า สําคญั ทÉีสดุ มหาวีระตอบวา่ คําสอนข้อแรก คือ อหิงสา สําคญั ทÉีมากสดุ ในบรรดาคําสอน ของเราทังÊ หมด แล้วตรัสต่อไปว่า ต้องไม่ทําร้ ายสิÉงมีชีวิตทางร่างกาย ทางวาจา และทาง นําÊ ใจ อย่าฆ่าสตั ว์ทงัÊ หลายเพืÉออาหารของตน อย่าล่าสตั ว์ อย่ายิงนกตกปลา อย่าฆ่ารินÊ ยุง แม้ว่ามนั จะกดั กินเลือดเนือÊ ฯลฯ อย่าออกสงคราม อยา่ ตอ่ ส่ศู ตั รู อย่ายํÉาเหยียบพืชผกั ใด ๆ เพราะสÉิงทงัÊ หลายเหลา่ นนัÊ มีวญิ ญาณทงัÊ สินÊ หลกั คําสอนสําคญั จงึ สรุปลงในข้อว่า อหึสโก ปร โม ธมฺโม ความไมเ่ บียดเบยี นเป็นธรรมอยา่ งยÉิง 1.1 หลักปฏิบัติอหึสา ศาสนาเชนได้แบ่งชนัÊ ของสตั ว์ออกเป็นประเภทตาม ความสามารถทางประสาทสัมผัส และตามลักษณะอาการทีÉเคลÉือนไหวได้หรือไม่ คือ วิญญาณหรืออาตมันทÉีถูกผูกมัดไว้อยู่มี 2 ได้แก่ สถาวระ เคลÉือนไหวไม่ได้ซÉึงมีเพียง อายตนะเดียว คือ อายตนะสมั ผสั ได้แก่ผกั หญ้า ตรสะ เคลÉือนไหวได้ เป็นสตั ว์ทีÉมีอาตนะ 2 คือ ทางสมั ผสั กบั ทางลิมÊ รส เชน่ หนอน, สตั ว์ทีÉมีอายตนะ 3 คือ ทางสมั ผสั ลิมÊ รส ได้ กลินÉ เชน่ มด, สตั ว์ทÉีมีอายตนะ 4 คือ เพÉิมในทางมองเห็น เชน่ ผึงÊ , สตั ว์ทีÉมีอายตนะ 5 คือ เพÉิมในทางได้ยินเสียง เช่น นก, สตั ว์ทวÉั ไปและมนษุ ย์ ผ้นู บั ถือศาสนาเชนจะฆ่าหรือกินสตั ว์ เหลา่ นีไÊ มไ่ ด้ จะทําได้เพียงทÉีมีอายตนะทางสมั ผสั อยา่ งเดียว คือ ผกั หญ้า 1.2 หลักจริยธรรม จริยธรรมทÉีศาสนิกเชนปฏิบตั ิได้มี 2 ระดบั 1. หลกั จริยธรรมสําหรับนกั พรตทีÉเรียกวา่ อนาคารธรรมหรือศีลสําหรับนกั บวชไว้ 6 ข้อ ดงั นี Ê 1) เว้น ปาณาติบาต 2) เว้นการพดู ปด เชน่ การนินทาวา่ ร้าย 3) เว้นจากการลกั อย่างหยาบ 4) เว้น เมถนุ ธรรม 5) เว้นเครÉืองร้อยรัด เชน่ น่งุ ห่มและ 6) เว้นอาหารในเวลาราตรี และนกั พรตต้อง ปฏิบตั ิจริยธรรมดจุ มหาวีระตรัสว่า จงเป็นอยู่ผู้เดียว ด้วยอาหารทีÉเขามอบให้จากภิกขาจาร นกั พรต ไม่ควรคํานึงว่าจะได้อาหารอย่างไรหรือในการภิกขาจารนนัÊ อาหารนนัÊ ๆ ไม่วา่ จะ เป็นนําÊ ล้างจาน เศษอาหาร ก็ไมพ่ ึงรังเกียจ การเทีÉยวไปเพÉือภิกขาจาร ไม่ควรเลือกบ้านของ

100 ตระกลู นกั พรตผ้ทู ําได้ดงั นี Ê ยอ่ มเป็นผ้บู ริสทุ ธÍิแล 2. หลกั จริยธรรมสําหรับผ้คู รองเรือนอีก 12 ข้อ 6 ข้อแรกสําหรับฆราวาสทวÉั ไปและ 6 ข้อหลงั สําหรับผ้ปู ระพฤติเคร่งครัดเป็นพิเศษ คือ 1) เว้นจากปาณาตบิ าตอยา่ งหยาบ 2) เว้นจากพดู ปดอย่างหยาบ 3) เว้นการลกั ทรัพย์อยา่ ง หยาบ 4) สนั โดษในคคู่ รอง 5) รู้จกั พอดีในความปรารถนา 6) เว้นขาดทางอาชญากรรมร้าย เช่น กินเนือÊ สตั ว์ เบียดเบียนสตั ว์หรือ กินนําÊ ผึงÊ เนย นม เลิกเพาะปลกู เพราะเป็นการ เบียดเบยี นแผน่ ดนิ 7) ไมอ่ อกพ้นเขตของตนในทิศใดทศิ หนงÉึ 8) รู้จกั ประมาณในการกินการใช้ 9) ทําให้ตนเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย 10) บําเพ็ญพรตทกุ เทศกาล 11) บําเพ็ญอโุ บสถ ตลอดเวลา 12) การต้อนรับแขกคือการทําบญุ 1.3 จริยธรรมทÉัวไปของศาสนาเชน จริยธรรมในศาสนาเชนนนัÊ ได้ถือ หลกั ความ ประพฤติเพÉือขจดั กรรม หรือการบําเพ็ญทุกรกิริยาเพืÉอทําให้กระแสธารของกรรมใหม่หยดุ ลง และทําลายกรรมเกา่ ให้หมดไปโดยสินÊ เชงิ คือ 1. การถือพรต 5 ข้อ คือ อหิงสา สตั ย์ อสเตยมั พรหมจารีย์ และอปริครหะ 2. การปฏิบตั อิ นั ชอบด้วยหลกั การในเวลาเดนิ ทางในเวลาพดู ในเวลารับประทานและ รับวตั ถุสÉิงของอÉืน ๆ ในการสนองการเรียกร้องของธรรมชาติ เช่น บ้วนนําÊ ลาย ถ่ายอจุ จาระ ปัสสาวะ เว้นจากการเบียดเบยี นชีวติ ใดชีวิตหนงึÉ 3. การรู้จกั ควบคมุ และรักษาความคดิ การพดู และการเคลÉือนไหวทางร่างกาย 4. ประพฤตคิ ณุ ธรรม 10 ประการ คือ 1. การรู้จกั ให้อภยั แก่ผ้อู ืÉน 2. การประพฤติ ออ่ นน้อมถ่อมตน 3. การประพฤติตนตรงไปตรงมา 4. เป็นคนซÉือสตั ย์ 5. เป็นผ้สู จุ ริตทงัÊ ทาง กาย วาจา และใจ 6. รู้จกั บงั คบั ตนเอง 7. ทรมานตนเองทงัÊ ทางจิตใจและร่างกาย 8. เป็น นกั เสียสละ 9. ไมต่ ดิ และยดึ มนัÉ ถือมนัÉ ในสงิÉ ใด ๆ 10. ประพฤตติ นเป็นพรหมจารี 5. ควบคมุ และบงั คบั ความเจ็บปวดและความไม่สบายทงัÊ หลายซึÉงเกิดขึนÊ จากความหิว จากความกระหายจากความร้อนและความเยน็ เป็นต้น 6. บรรลสุ นั ตสิ ขุ ความบริสทุ ธิÍ ความหมดสินÊ จากความอยากทงัÊ หลาย และ ความประพฤตทิ Éีสมบรู ณ์ 7. มีสมาธิจติ ในความจริงอนั ประเสริฐทีÉสอนเกÉียวกบั โลกวญิ ญาณ 1.4 หลักวัตรบทของเชน วตั รทÉีศาสนิกชนของศาสนาเชนจะต้องประพฤติปฏิบตั มิ ี มากเป็นต้นวา่ 1. เปลือยกาย (พวกเศวตมั พรเลกิ ถือแล้ว) 2. ประพฤตพิ รหมจรรย์ ไมเ่ สพเมถนุ

101 3. เลียÊ งชีพด้วยของแห้ง ไมก่ ินข้าวสกุ (กินข้าวสาร) ขนมสด 4. ไปนมสั การอเุ ทนเจดยี ์ 5. ไปนมสั การโคตมกเจดีย์ 6. ไปนมสั การสตั ตมั พเจดยี ์ 7. ไปนมสั การพหปุ ตุ ตกิ เจดีย์ รวมเป็นวตั ร 7 และยงั มีอีก 7 วตั ร คอื 1. ระวงั คาํ พดู ทกุ คาํ 2. สํารวมกายไมใ่ ห้กระทบสงÉิ ใดสÉิงหนงÉึ ไปไหนต้องถือไม้กวาดคอยปัดพืนÊ ข้าง หน้า กนั เหยียบสตั ว์ 3. มีสมั มาคารวะ เคารพนบั ถือกนั ตามอายพุ รรษา 4. ขม่ กามารมณ์ด้วยการทรมานตน 5. ยืนถ่ายอจุ จาระ ปัสสาวะ ชําระอจุ จาระปัสสาวะด้วยนิวÊ มือ 6. รับบณิ ฑบาตจากเรือนหลงั เดียว กินอาหารมือÊ ละคํา กินอาหารมือÊ หนงึÉ แล้ว งดไป 10 วนั บ้าง ครึÉงเดือนบ้าง (บางคน) 7. กินแตผ่ กั ผลไม้ ข้าวสาร รําข้าว เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม เกีÉยวกับสตรีเพศ ศาสดามหาวีระปฏิเสธการปฏิบตั ิศาสนาว่าไม่มี สิทธิในการบรรลโุ มกขธรรม เพราะสตรีเพศเป็นเพศตํÉาเป็นเหตแุ หง่ บาป เป็นทีÉตงัÊ แหง่ กิเลสทงัÊ ปวง การทีÉจะพดู ถึงสตรีก็ดี มองดสู ตรีก็ดี หรือจะเจรจาด้วยสตรีก็ดีนนัÊ เว้นเสียได้เป็นการดี และใคร ๆ ไมค่ วรอ้างวา่ สตรีเป็นของ ๆ ตน และไม่ควรแตะต้องการงานใด ๆ ของสตรีอีก ด้วย แตถ่ ้าสตรีจะบรรลธุ รรมได้ต้องกลบั ชาตมิ าเกิดเป็นชายก่อน นกั บวชเชนทกุ องค์ต้องถอนผมของตน ด้วยมือของตนแทนการโกนปีละ 9 ครังÊ มหา วีระกลา่ ววา่ นกั บวชทีÉแท้จริงนนัÊ ควรชนะความรู้สึกของตนเองให้ได้ แม้แตค่ วามรู้สึกละอายใน การเปลือยกายและต้องไมย่ ินดียนิ ร้ายในหนาวร้อน ถ้ายงั มีความรู้สกึ ละอายอยกู่ ็ชÉือวา่ ยงั ไม่ บรรลโุ มกษะ เครÉืองนงุ่ หม่ เป็นพนั ธนาการแหง่ บาป การตายเพราะการบําเพ็ญทุกรกิริยา เช่น การอดอาหารตายได้กุศลมาก นําÊ และ อากาศมีสตั ว์จํานวนมาก การดืÉมนําÊ ก็ดี หายใจก็ดี เพืÉอปอ้ งกนั การทําลายชีวิตจึงควรให้ผ้า กรองนําÊ หรือปิดจมูก–ปาก เวลาเดินต้องปัดกวาดข้างหน้าเพÉือปอ้ งกันการเหยียบยÉําสิÉงมีชีวิต ทงัÊ หลาย

102 2. หลักปรัชญา คําสอนในหลกั การของปรัชญาด้านญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้ ศาสนาเชนสอนไว้วา่ ชญาน หรือความรู้มีอยู่ 5 ประการ คอื 1. มตชิ ญาน ความรู้เกิดจากประสาทสมั ผสั 2. ศรุตชิ ญาน ความรู้ทีÉได้มาจากการฟังผ้อู Éืน 3. อวธิชญาน ความรู้เหตทุ Éีปรากฏในอดตี กาล 4. มนปรยายชญาน ความรู้กําหนดรู้ใจผ้อู Éืน 5. เกวลชญาน ความรู้คือญานอนั บริสทุ ธÍิ ซงึÉ เกิดขนึ Ê กอ่ นแตจ่ ะบรรลนุ ริ วาณ ในแง่อภิปรัชญานนัÊ เชนสอนว่าสรรพสÉิงในจกั รวาลแบง่ ออกเป็น 2 ชนิด คือ ชีวะ กบั อชีวะ ชีวะ คอื สิงÉ มีชีวติ หรืออาตมนั สว่ นอชีวะ คอื สิงÉ ไมม่ ีชีวิต ได้แก่วตั ถทุ งัÊ หลาย แต่ เมืÉอกล่าวโดยรวมแล้ว เชนกลา่ ววา่ โลกและชีวิตแยกออกได้ 9 ประการ คือ 1. ชีวะ 2. อชี วะ 3. บณุ ยะ 4. ปาปะ คือบาป 5. กรรมคือการกระทํา 6. พนั ธะคือความผกู พนั 7. สงั สาระ คือ ความทอ่ งเทีÉยวเวียนว่ายตายเกิด 8. นิรชราคือการทําลายกรรมเสียได้ 9. โมกษะ คอื ความหลดุ พ้น ผ้หู ลดุ พ้นเรียก สิทธะ คือ อาตมนั สมบรู ณ์ ซงÉึ อธิบายได้ ดงั นี Ê 1. ชีวะ ต้องมีทกุ ข์หรือมีสขุ กบั ผลกรรม ตราบเทา่ ทÉีกรรมยงั มีอยู่ ตรงกบั อาตมนั 2. อชีวะ ตรงกนั ข้ามกบั ชีวะ คือ มีรูปเป็นวตั ถุ ประกอบด้วย รูป เสียง กลิÉน สี สมั ผสั ได้ กรรมเกิดจากชีวะกับอชีวะ รวมกนั ประกอบกันเป็นโลกและชีวิต ดงั นนัÊ โลกนีจÊ ึง ปราศจากผ้สู ร้าง (Creator) 3. บุณยะ การกระทําทีÉนําไปสู่กศุ ลผลบุญ และให้เกิดสนั ติขึนÊ ในชีวะ มีอยู่ 9 ประการ คอื 1. อนั นะบณุ ยะ บญุ เกิดจากการให้อาหาร 2. ปานะบณุ ยะ บญุ เกิดจากการให้นําÊ 3. วสั ตระบณุ ยะ บญุ เกิดจากการให้เครืÉองนงุ่ หม่ 4. ลยณะบณุ ยะ บญุ เกิดจากให้ทÉีอยอู่ าศยั 5. ศยนะบณุ ยะ บญุ เกิดจากการให้ทÉีนอน – นงัÉ 6. มนะบณุ ยะ บญุ เกิดจากความคดิ ดี – ปรารถนาดี 7. กาย-ศรีระบณุ ยะ บญุ เกิดจากให้ความชว่ ยเหลือผ้อู ÉืนทงัÊ ทางกาย และ ทางใจ 8. วจนะบณุ ยะ บญุ เกิดจากการพดู ดี 9. นมสั การบณุ ยะ บญุ เกิดจากการแสดงความเคารพ

103 4. บาปะ การกระทําทีÉนําไปสอู่ กศุ ลและให้ผล คือ ความเดือดร้อน บาปร้ายแรง คือ วิหงิ สา การเบียดเบยี นผ้อู ืÉน บาปรองลงมาคืออารมณ์ 4 ประการ ได้แก่ โลภะ โกรธ มานะ (หยิÉง) มายา (เจ้าเลห์) 5. อาศรวะ การทÉีชีวะของบคุ คลมีกรรมเป็นของตน กรรมทÉีเกิดจากชีวะทางอาศรวะ เป็นกระแสกรรมใหมไ่ หลเข้าแทนทÉีกรรมเก่า ผ้มู ีกรรมอยจู่ ะไมบ่ รรลโุ มกษะ ดงั นนัÊ บคุ คลจะ ต้องปิดกนัÊ กระแสกรรมโดยเดด็ ขาดจงึ จะบรรลโุ มกษะ 6. สงั วระ การสํารวมระวงั ทีÉจะไมใ่ ห้กรรมเกิดขึนÊ โดยวิธีฝึกตวั เองให้อดทนตอ่ ความ ยากลําบาก เชน่ ความหิว กระหาย ภมู อิ ากาศร้อน หนาวหรือการบําเพญ็ ทกุ รกิริยา เป็นต้น 7. พนั ธะ ความสมั พนั ธ์ระหว่างวิญญาณกบั กรรม ซÉึงเกิดขึนÊ โดยความเกÉียวข้องกัน ระหว่างวิญญาณกบั บคุ คล การทีÉวิญญาณไปหลงยึดตดิ พนั กบั บคุ คล ถ้าชÉือว่าสร้างกรรมขึนÊ เมÉือวิญญาณสร้างกรรมขึนÊ มา พนั ธะชืÉอว่าเกิดขึนÊ แล้วนนัÊ ก็คือ วิญญาณและกรรมได้เกิด ปฏิสมั พนั ธ์กนั ทÉีวา่ พนั ธนาการตอ่ ไป 8. นริ ชรา การทําลายกรรมให้หมดไป โดยใช้ตบะเผากรรมให้เหือดไปด้วยตบะตงัÊ แต่ ขนัÊ ธรรมดา เชน่ อดอาหารวนั หนงÉึ สองวนั ไปจนตายถือวา่ ขนัÊ สงู สดู 9. โมกษะ การทีÉอาตมนั เป็นอิสระจากพนั ธนาการแหง่ กรรมโดยสินÊ เชงิ ผ้บู รรลโุ มกษะ ชืÉอว่า สิทธา ตายแล้วไม่ต้องกลบั มาเกิดในโลกนีอÊ ีก จะไปเสวยสขุ ในชนัÊ เหนือ เทวโลกตลอด กาลนิรันดร 3. หลักการหลุดพ้น หมายถึง การทําให้วิญญาณหลดุ พ้นจากอตั ตา และจาก ความไมบ่ ริสทุ ธÍิทงัÊ ปวง ไม่กลบั มาเกิดใหมอ่ ีก เมืÉอวิญญาณหลดุ พ้นจากอตั ตาแล้ว วิญญาณ จะไปอยใู่ นสว่ นหนงึÉ ของเอกภพทีÉเรียกวา่ สทิ ธศลิ า ซงÉึ เป็นดนิ แดนแหง่ ความสขุ นิรันดร ไม่ต้อง กลบั มาเกิดให้มีทกุ ข์อีก และศาสนาเชนเชÉือวา่ ชีวิตของมนษุ ย์เป็นทกุ ข์ ความทกุ ข์ยากทงัÊ ปวง ในโลกเนืÉองมาจากความปรารถนามาก เช่น ปรารถนามากในอาหาร ปรารถนามากใน ทรัพย์สนิ เงินทอง และอยากได้เกียรตยิ ศชÉือเสียงจนเกินพอดี วิธีละความทกุ ข์ คือ การไมป่ รารถนามาก เมÉือละความปรารถนามากเสียได้ บคุ คล จะได้ความสขุ อนั ยิÉงใหญ่แหง่ วญิ ญาณของเขา ความสขุ นนÉั คอื นริ วาณ ข้อปฏิบตั ทิ ีÉจะเข้าถงึ นริ วาณได้แก่ ตริ ัตนะ คอื 1. สัมมาทัศนะ ความเห็นชอบหรือความเชืÉอทีÉถกู ต้อง คือ ความเห็นถกู และมีศรัทธา ตอ่ ศาสดาทงัÊ 24 ทา่ น ผ้เู ป็นบรรพบรุ ุษของเชนนนัÊ เอง แม้จะเป็นสามญั ชน แตอ่ าศยั ทา่ นมี

104 ความเพียรแรงกล้ายÉงิ กวา่ สามญั ชน ทา่ นจงึ ได้หลดุ พ้นเป็นผ้ชู นะ และมาเทศนาสงÉั สอนได้และ คมั ภีร์ 2. สัมมาญาณะ ความรู้ชอบหรือความรู้ทÉีถกู ต้อง ได้แก่ รู้หลกั ธรรมทีÉศาสดาสอนไว้ แตเ่ ดมิ โดยมีตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปนี Ê 2.1 เรÉืองโลก ให้รู้วา่ โลกอนั รวมทงัÊ นรก สวรรค์ และโลกอÉืนทงัÊ สินÊ มีอยเู่ ป็นอยเู่ อง ไมม่ ีผ้คู วบคมุ และตงัÊ อยเู่ ป็นนริ ันดร 2.2 สิÉงทีÉปรากฎอยใู่ นโลก ให้รู้วา่ สÉิงเหล่านนัÊ ทงัÊ หมดเกิดขึนÊ เพราะมีสภาวะสําคญั 6 ประการ รวมตวั กนั เข้าไว้ อนั ได้แก่ อาตมะ ธรรม อธรรม ยคุ กาล วตั ถุกาล วตั ถุธาตุ อนุปรมาณอู าศยั อนปุ รมาณูรวมกันจึงเกิดเป็นธาตุ 4 คือ ดิน นําÊ ลม ไฟ และร่างกายของ มนษุ ย์ รวมทงัÊ สิÉงตา่ ง ๆ ทÉีปรากฏอยใู่ นโลก 2.3 เรืÉองการแบง่ โลก ให้รู้ว่าโลกนีแÊ บง่ ออกเป็น 3 ภาค คือ ตÉํา กลาง สงู ทงัÊ ยงั มีนรกและสวรรค์มากมายหลายชนัÊ แตส่ ÉิงทงัÊ หมดนนัÊ จดั อยใู่ นชินะ 2 หมู่ คอื ชีวะ และอชีวะ 3. สัมมาจริตะ ความประพฤตชิ อบหรือประพฤตทิ Éีถกู ต้องด้วย ได้แก่ ความประพฤติ ชอบในหลกั ธรรม 2 ประการ ดงั ตอ่ ไปนี Ê 3.1 ธรรมสําหรับผู้ครองเรือน เป็นความประพฤติชอบของฆราวาส เรียก อนพุ รต มี 5 ข้อ คอื 1. อหิงสา การไมเ่ บียดเบียนการไม่ทําอนั ตรายแก่ชีวะทกุ ชนิด ด้วยกาย วาจา และด้วยใจ 2. สตั ยะ การรักษาคําสตั ย์ 3. อสั เตยะ การไม่ลกั ขโมย 4. พรหมจริยะ การ ประพฤตพิ รหมจรรย์ 5. อปริครหะ การไมล่ ะโมบ ไมอ่ ยากได้สÉงิ ใด ๆ 3.2 ธรรมสําหรับนกั พรต เรียก มหาพรต มี 5 ประการเหมือนกบั อนพุ รตของผู้ ครองเรือน แตใ่ ห้เพิÉมการปฏิบตั ิให้เคร่งครัดยÉิงขึนÊ โดยเฉพาะข้อ 4 หมายถึง การเว้นจาก กามโดยสินÊ เชิง สําหรับข้อ 1 อหิงสานันÊ นักพรตเชนถือเป็นข้อสําคญั ต้องปฏิบตั ิอย่าง เคร่งครัด โดยต้องระวงั ทกุ ฝีก้าวในการยืน เดนิ นงัÉ นอน แม้ในการกิน เพÉือไม่ให้ทําร้ายสตั ว์ อืÉนด้วยเหตนุ ี Ê นกั พรตเชนจึงต้องมีเครืÉองปิดปากปิดจมกู กนั มิให้แมลงและจลุ ินทรีย์พลดั เข้าไป ต้องมีไม้กวาดและผ้ากรองนําÊ ตดิ ตวั เสมอ ไม้กวาดใช้สําหรับกวาดทางในขณะทÉีเดนิ ไป หรือนงัÉ อยู่เพืÉอใช้ไล่สัตว์แมลงไปเสีย นอกจากพรตหรือศีลดงั กล่าวมาแล้ว ความประพฤติชอบยัง หมายถึงหลกั เมตตากรุณาซงึÉ มี 4 ข้อ คือ 1) มีความกรุณา โดยไม่หวงั ผลตอบแทน 2) ยินดี ในความดีของคนอÉืน 3) มีความเห็นใจในความทกุ ข์ยากของคนอืÉน 4) มีความกรุณาต่อ ผ้กู ระทําผิด ไมโ่ กรธ ไมค่ ดิ ทําร้าย

105 เนืÉองจากศาสนาเชนสอนไว้วา่ สภาพความเป็นจริงนิรันดรมี 2 ลกั ษณะคือ ชีวะกบั อชีวะ หรือ วิญญาณกบั อวิญญาณ จงึ มีลกั ษณะเป็นทวินิยม (Dualism) โดยอชีวะหรือสสาร ประกอบด้วยธัมมะ การเคลÉือนทีÉ อธัมมะ การหยดุ นÉิง อากาศ หรืออวกาศ สสาร และกาล ทงัÊ หมดเป็นสÉิงนิรันดร ไม่มีเบือÊ งต้นทา่ มกลางและทÉีสุด ส่วนคณุ สมบตั ิของวิญญาณหรือชีวะ นนัÊ คือ เจตนาหรือการกระทําทางจติ เมืÉอมีวิญญาณเข้าไปอยใู่ นอชีวะแล้ว จงึ กลายเป็นสิÉงมี การกระทําและตวั ตนขนึ Ê มา วญิ ญาณ มีอยใู่ นสรรพสิÉงทงัÊ ปวงทีÉมองเห็นได้ไม่รู้จบสินÊ มี 2 ประเภท คือ ประเภท เคลืÉอนทีÉได้และ ประเภทเคลÉือนทÉีไมไ่ ด้ ทงัÊ นีขÊ นึ Ê อย่กู บั อนภุ าคเล็ก ๆ ทÉีนบั จํานวนไม่ถ้วน ธาตุ 4 คอื ดนิ นําÊ ลม ไฟ ทวัÉ ทงัÊ เอกภพ เต็มไปด้วยวิญญาณของสิÉงมีชีวิตทีÉมีขนาดเล็กละเอียด นบั ไมถ่ ้วน สิÉงทÉีมาสัมผัสวิญญาณทÉีบริสุทธÍิแต่เดิมคือ กรรมหรือการกระทํา ซึÉงเป็นอนุภาค ปรมาณูเล็ก และเป็นสสาร การทÉีจะหลุดพ้นจากกรรมได้ ต้องทําการกําจดั กรรม คือ ไม่รับ กรรมใหม่ด้วยการปฏิบตั ิทÉีเรียกว่า ปฏิบตั ินิรชรา การเปลือÊ ง คือ การอดอาหาร โดยไม่รับ ประทานอาหารบางชนิด ไม่ติดในรสอาหาร อยู่ในทีÉสงบ รักษาร่างกายให้สะอาด เข้าสมาธิ และสละอตั ตา (รศ.ดนยั ไชยโยธา. 2539:284-287) เรÉืองโลกและวญิ ญาณ ศาสนาเชนได้แบง่ ยคุ หนÉึงของโลกออกเป็น 2 รอบ คือ รอบเจริญ เรียกวา่ อตุ สรุปินี เรีมต้นด้วยไม่ดีไปหาความดีขึนÊ เจริญขึนÊ โดยลําดบั อายุของมนุษย์ก็เพÉิมมากขึนÊ ความสูง ใหญ่ของมนุษย์ตลอดจนคุณความดีเพิÉมมากขึนÊ ครันÊ ถึงรอบเสÉือมทÉีเรียกว่า อวสรุปินี สÉิง ทงัÊ หลายคอ่ ย ๆ เลวลง มนษุ ย์ร่างกายเล็กลง อายนุ ้อยลงโดยลําดบั เมÉือรอบเจริญและรอบ เสืÉอมมาบรรจบกนั เข้าแล้วเทา่ กบั การหมนุ รอบหนงึÉ รอบของวงล้อแหง่ กาลเวลาเรียกวา่ 1 กลั ป์ โลกมีอยเู่ ป็นอยอู่ ยา่ งไม่จบสินÊ เพราะไม่ได้ถกู สร้างโดยพระเจ้า แตเ่ ป็นสิÉงทีÉประกอบขึนÊ ด้วย วิญญาณ (soul) สสาร (matter) เวลา (time) รวมกนั เข้ากบั กาล สิÉงเหล่านีมÊ ีสภาพเป็น นริ ันดร ไมส่ ามารถจะถกู ทําลายได้แตม่ นั มีสภาพเปลÉียนแปลงอยเู่ สมอ วญิ ญาณของสรรพสงิÉ มีชีวติ ทงัÊ หลายทกุ ชนิด รวมทงัÊ มนษุ ย์ สตั ว์ พระเจ้า และภตู ผิ ี ปีศาจ สถิตอยตู่ รงกลางของเอกภพ นรกตงัÊ อยบู่ ริเวณทีÉตาํÉ สดุ ของเอกภพ และตอนบนของเอก ภพ คือ เหนือโลกมนษุ ย์เป็นทÉีตงัÊ อยขู่ องพวกสวรรค์ และบริเวณเหนือสดุ ของเอกภพทีÉเรียกว่า สิทธศิลาทีÉตงัÊ ของโมกษวิญญาณ หรือนิรวาณทÉีอยู่อย่างเอกเทศ หลดุ พ้นจากบรรยากาศแห่ง

106 กายภาพของมนษุ ย์ วิญญาณทงัÊ หลายมีอย่ทู งัÊ ในสÉิงมีชีวิต มีอยู่ในคน ในสตั ว์ ในต้นไม้ ใน นําÊ ในไฟ ในก้อนหิน ในลม ในพนั ธ์ุผกั ตา่ ง ๆ วิญญาณของผ้กู ระทําความชวÉั อาจจตุ ไิ ปเกิด ในร่างของสตั ว์ เชน่ สนุ ขั หมู งู และกบ เป็นต้นก็ได้ หรืออาจไปเกิดในต้นไม้ พนั ธ์ุผกั ตา่ ง ๆ เช่น หวั ผกั กาด หวั หอม เป็นต้น ก็ได้ หรืออาจจะไปตกนรกมีอยู่ 9 ขมุ เรียงลําดบั กนั ตาม ความหนกั แห่งกรรมของผู้กระทําความชวัÉ ก็ได้ ผู้ใดประพฤติชอบ ดวงวิญญาณของเขาจะ ลอ่ งลอยไปสู่สรวงสวรรค์ ซÉงึ มีอยู่ 26 ชนัÊ เรียงขึนÊ สงู ไปโดยลําดบั สําหรับรับดวงวิญญาณ ของผ้กู ระทําความดมี ากและน้อย ชนัÊ สงู สดุ ของสวรรคม์ ีทวารเปิดตดิ กบั นิรวาณหรือโมกษะ ศาสนาเชนแบง่ วญิ ญาณหรือชีวะออกเป็น 2 ชนิด คือ วิญญาณหรือชีวะของคนทีÉยงั เวียนว่ายตายเกิดเป็นมนษุ ย์ สตั ว์ นรก สวรรค์ เรียกว่า พนั ธชีวะ ส่วนวิญญาณของผู้ทÉี เข้าถึงนิรวาณ เรียกว่า มุกตะชีวะ มหาวีระกล่าวว่า ถ้าท่านตังÊ ใจจะให้มีสันติภาพทาง วิญญาณของท่าน ก็อย่าทําลายสิÉงมีชีวิตใด ๆ ด้วยการกระทําของทา่ น ด้วยคําสงÉั ของท่าน หรือด้วยความยินยอมของทา่ น ทกุ ชีวิตย่อมเกลียดชงั ความเจ็บปวด อยา่ ฆ่า อย่าทําร้ายผ้อู Éืน นีเÊ ป็นสารัตถะแห่งปัญญา จงรู้เถิด กรรมเป็นเครืÉองผูกพันวิญญาณ จงละจงขจัดออกไป สรรพสงÉิ มีสภาวะเป็นนริ ันดรในตวั ของตวั เอง (รศ.ดร. เดอื น คําดี. 2541:85) จุดมุ่งหมายสูงสุด ในศาสนาเชนสอนจดุ มงุ่ หมายสงู สดุ คือ นริ วาณ หรือ โมกษะ การบรรลโุ มกษะ คือ การทําวิญญาณให้บริสทุ ธÍิจากกรรมเก่าและกรรมใหมอ่ ย่างสินÊ เชิง เพราะกรรมคือพนั ธนาการ ชีวติ ให้เกิดภาวะสงั สาร นนัÉ ก็คือ ในเรืÉองพนั ธนาการศาสนาเชนสอนวา่ ความอยาก ความดินÊ รนหรือตณั หาในวิญญาณได้ดงึ ดดู เอาวตั ถใุ ห้ไปสมั พนั ธ์กบั วิญญาณ จึงทําให้เกิดชีวิตขึนÊ มา มนษุ ย์จะเกิดมาเป็นอยา่ งไร สดุ แตก่ รรมทีÉทําไว้ในอดีตจะกําหนดให้เป็นไป (นิตยกรรมลิขิต) และกรรม เช่น โคตรกรรม กรรมกําหนดความสินÊ ยาวของชีวิต เป็นต้น เป็นตวั ปิดบงั ปัญญา ปิดบงั ความเห็นแล้วผลิตโมหะขึนÊ มาและความรู้สึกสขุ ทุกข์และอืÉน ๆ อีกขึนÊ มาในชีวิต ส่วน พนั ธนาการมี 2 อย่าง คือ ภาวพนั ธะ การทÉีวิญญาณผกู พนั อย่กู บั ตณั หา และวิบากพนั ธะ การทÉีวญิ ญาณเข้าร่วมกนั กบั วตั ถุ ทําให้เกิดกระบวนการผกู พนั ขนึ Ê มา และทําให้ชีวติ ในโลกนี Ê เป็นทกุ ข์เป็นสขุ ตกอยใู่ นสงสาร การหลดุ พ้นจากอํานาจของกรรม ชืÉอวา่ สิทธะ ผ้เู สวยความ สงบเยน็ ไร้ความเร่าร้อน มีความสขุ อนั หาทÉีสดุ ไมไ่ ด้ สภาวะนนัÊ เรียกอีกอยา่ งวา่ ไกวลั (ผศ. วนิดา ขําเขียว. 2541:80)

107 คัมภรี ์ศาสนา คมั ภีร์ศาสนาเชนเรียกวา่ คมั ภีร์สทิ ธานตะ ใช้ภาษามาคธีเป็นหลกั แบง่ เป็น 2 ภาค คอื 1. ปรู วะ เป็นคมั ภีร์เกา่ ดงั เดมิ ของศาสนา 2. องั คะ หรืออาคม เป็นจารึกคําบญั ญตั ิหรือวินยั เป็นเรÉืองความประพฤติปฏิบตั ขิ อง นกั พรตและคฤหสั ถ์ และเป็นเรืÉองราวประเภทชาดกในศาสนา (ผศ. ธีรยทุ ธ สนุ ทรา. 2539:48) พธิ ีกรรมสาํ คัญ ศาสนาเชนมีพธิ ีกรรมทÉีสําคญั ดงั ตอ่ ไปนี Ê คือ 1. พิธีปัชชุสนะ เป็นพิธีกรรมเนืÉองด้วยการระลึกถึงองค์ศาสดาทุกพระองค์ โดยเฉพาะพิธีกรรมระลึกถึงศาสดามหาวีระ เช่น พิธีฉลองวนั ประสูติของมหาวีระ คือ การ กระทําใจให้สงบ การอภัย และการเสียสละ อาศยั อยู่เฉพาะทÉีแห่งเดียวในฤดูฝน มีการ บริจาคทานในคนยากจนในวนั สดุ ท้ายแห่งพิธีกรรม และมีการนําเอารูปองค์ศาสดาไปแห่ตาม ท้องถนนและในทÉีตา่ ง ๆ (รศ. ดนยั ไชยโยธา. 2539:288) 2. พธิ ีไกตระ เป็นพิธีในแตล่ ะปีจะมีการจดั พิธีกรรมทÉีเรียกวา่ ไกตระ คือ การจดั พิธี เคารพรูปองค์ศาสดา ปีละ 2 ครังÊ ครังÊ ละ 9 วนั ระหว่างเดือนพฤษภาคม – มิถนุ ายน และ เดอื นกนั ยายน – ตลุ าคม ในพิธีกรรมระลึกถึงวนั นิรวาณของมหาวีระ วนั พระจนั ทร์เตม็ ดวงใน เดือนตลุ าคม – พฤศจิกายน ศาสนกิ ชนก็จะจดุ ตะเกียง เพÉือให้เกิดแสงสว่างไปทงัÊ ร่างกายและ จติ ใจ และตอ่ ไปอีก 5 วนั ก็เป็นพธิ ีญาณปัญจมะ พิธีกรรมเคารพพระคมั ภีร์ และมีการจาริก แสวงบญุ ไปยงั ภเู ขาสะตรันชยั อนั เป็นสถานทÉีศกั ดสÍิ ทิ ธÍิแหง่ ตริ ถงั กรองค์แรก 3. พิธีชลบูชา เป็นพิธีกรรมประจําวนั คือ การทําความสะอาดองค์ตริ ถงั กรด้วยนําÊ และเช็ดให้แห้งอย่างสํารวม ระวงั โดยมิให้นําÊ หกหยดทÉีพืนÊ เด็ดขาด และการถวายอาหาร คือ ข้าว และผลไม้แห้งในเวลาเช้า และพอตอนเย็นทําพิธีอารติบชู า คือ การแกว่งตะเกียงจาก ซ้ายไปขวา เบือÊ งหน้าองค์ติรถงั กรในนิกายเศวตมั พร พิธีชลบชู านอกจากจะทําให้สะอาดองค์ ติรถังกรด้วยนําÊ สะอาดแล้วยงั ต้องล้างด้วยนําÊ นมอีก แล้วครองผ้าให้ใหม่ตบแต่งให้งามด้วย เครÉืองประ ดบั เช่น ทอง เงิน สร้อย มงกฎุ กําไล หรือพวงมาลยั เป็นต้น (รศ. ดร. เดือน คาํ ดี. 2541:87)

108 นิกายศาสนา นกิ ายในศาสนาเชน แบง่ ออกเป็น 2 นิกาย คือ 1. นิกายเศวตัมพร นําโดยสถลู ภทั ร ส่วนใหญ่ประจําอยใู่ นแคว้นพิหาร นงุ่ หม่ ขาว ทÉีหน้าทีÉสํานกั จะติดตงัÊ รูปติรถังกรประดบั ด้วยเครืÉองน่งุ ห่มและมองตรงไปข้างหน้าปฏิบตั ธิ รรม ถือหลกั ศลี 5 เป็นพืนÊ ฐาน คอื อวหิ งิ สา สจั จะ อสั เตยะ พรหมจรรย์และอปริครหะ มีการทํา สงั คายนา รวบรวมคมั ภีร์ศาสนาไว้เป็นหมวดหมู่ และยงั มีการแตกแยกเป็นนิกายยอ่ ยลงไปอีก ถึง 84 นิกาย ทีÉแตกตา่ งกนั โดยมากเป็นเรืÉองของความเห็นทÉีทําให้ปฏิบตั ิตา่ งกนั ออกไป เชน่ นิกายหนึÉงเห็นว่า ต้องบูชารูปติรถงั กร เพราะเป็นศาสดา อีกนิกายหนÉงึ เห็นว่า เพียงเคารพ นบั ถือก็พอไมต่ ้องบชู า เพราะตริ ถงั กรมิใชเ่ ทพเจ้า อีกนิกายเห็นวา่ ควรสร้างรูปเคารพ แตอ่ ีก นกิ ายเห็นวา่ ไมค่ วรสร้างรูปเคารพ ดงั นี Ê เป็นต้น 2. นิกายทฆิ ัมพร นําโดยภทั รพาหุ ปฏิบตั ิเคร่งครัดโดยเฉพาะข้อ ยริครหะ คือ ไม่ มีเครืÉองนงุ่ หม่ มีลกั ษณะเป็นการทรมานตน ศาสนิกโดยทวÉั ไปไม่สามารถจะปฏิบตั ติ ามได้ ถือ หลกั ทีÉสําคญั ทÉีสดุ 3 ประการ คอื 1. การอดอาหารหรือไมก่ ินอาหารใด ๆ แม้แตน่ ําÊ 2. ไมม่ ีพนั ธนาการแม้แตผ่ ้านงุ่ หม่ ใด ๆ รวมทงัÊ สมบตั อิ Éืน ๆ 3. ไมอ่ นญุ าตให้สตรีบวชและบรรลธุ รรม และในการตอ่ มาได้แบง่ แยกออกเป็นนิกายยอ่ ยอีก 5 นิกาย ไมม่ ีการทําสงั คายนาถือ คมั ภีร์ทีÉรวบรวมโดยภทั รพาหวุ า่ สมบรู ณ์แล้ว รูปองคต์ ริ ถงั กรในสํานกั เป็นรูปเปลือย นกั บวชไม่ ใช้เครÉืองนงุ่ ห่ม ในปัจจบุ นั นีไÊ ด้เกิดขบวนการเรียกร้องให้ศาสนาเชนรับรองสิทธิสตรีในการบวช ปฏิบตั ศิ าสนกิจและการบรรลธุ รรมเทา่ เทียมบรุ ุษ แตอ่ ย่างไรก็ตาม ทุกนิกายก็ยึดคือคมั ภีร์อาคม ซงึÉ สืบทอดตอ่ มาด้วยการท่องบน่ เป็น มขุ ปาฐะว่าเป็นคมั ภีร์สมบรู ณ์ทีÉสดุ ได้จารึกลงเป็นอกั ษรประมาณ 981 ปี หลงั จากศาสดา มหา วีระสินÊ ชีพแล้ว (รศ.ดร. เดอื น คาํ ดี. 2541:88) สัญลักษณ์ ศาสนาเชน ถือเอารูปมหาวีระผ้เู ป็นศาสดาทีÉเป็นรูปเปลือยกาย เพราะเชนถือว่าถ้ายงั นุ่งผ้าอยู่ก็ยงั มีกิเลส คือ ยงั มีการอายหรือมียึดถือผู้ยงั มีความอายคือผู้ยังไม่บรรลุชินธรรม ตอ่ มาได้ถือเอาลวดลายตา่ ง ๆ ซงÉึ มีภาพมหาวีระอยใู่ นวงกลมประกอบอยดู่ ้วย ปัจจบุ นั ได้ถือเอารูปทรงกระบอกตงัÊ มีบรรจสุ ญั ลกั ษณ์อยขู่ ้างใน 4 ประการ

109 1. รูปกงจกั ร สญั ลกั ษณ์อหงิ สาอยบู่ นฝ่ามือ 2. รูปสวสั ดกิ ะ เครÉืองหมายแหง่ สงั สาระ 3. จดุ 3 จดุ สญั ลกั ษณ์แห่งรัตนตรัย คือ ความเห็นชอบ ความรู้ชอบ และความ ประพฤตชิ อบ 4. จดุ 1 จดุ อย่บู นเส้นครÉึงวงกลมตอนบนสดุ คือ วิญญาณแหง่ ความหลดุ พ้นเป็น อสิ ระสถิตอยู่ ณ สถานทÉีสงู สดุ ของเอกภพ ((รศ.ดร. เดือน คาํ ดี. 2541:87) ฐานะปัจจุบัน ในศตวรรษทÉี 20 นี Ê องค์กรของศาสนาเชนได้สง่ คณะเผยแผศ่ าสนาออกไปยงั นานา ประเทศ เพÉือเปลÉียนทศั นะจากเดมิ ทีÉวา่ ศาสนาสําหรับคนอินเดียเทา่ นนัÊ นกั บวชศรีจิตรภาณุ ได้เดนิ ทางจาริกทÉีเรียก ธรรมยาตรา รอบโลกด้วยเท้าเปล่าซÉงึ เรÉิม จากอินเดียไปได้ไกลกวา่ 30,000 ไมล่ ์ พร้อมกบั นําคําสอนของมหาวีระไปประกาศได้รับเชิญ ให้แสดงปาฐกถา และเข้าร่วมประชมุ ทางศาสนาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 1970 และ ในปี 1971 ก็ได้รับเชญิ ไปบรรยายธรรมทÉีสหรัฐอเมริกา และเมÉือนกั บวชศรีจติ รภาณไุ ด้รับเชิญให้เป็นประธานองคก์ ารศาสนิกสมั พนั ธ์แหง่ โลก พร้อมกนั นนัÊ ก็ได้จดั ตงัÊ ศนู ย์เผยแผธ่ รรมและสมาธิแบบเชนขึนÊ ในประเทศตา่ ง ๆ เชน่ อเมริกา บราซิล แคนาดา และองั กฤษ เป็นต้น ปัจจบุ นั ศาสนิกชนในศาสนาเชนมีอยปู่ ระมาณ 3.7 ล้านคน อาศยั อยใู่ นประเทศอนิ เดียเป็นสว่ นใหญ่ (ผศ. วนิดา ขําเขียว. 2541:82) ศาสนาสิกข์ (Sikkism) ชีวประวัตศิ าสดา ศาสนาสิกข์เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม กําเนิดขึนÊ ประมาณพุทธศกั ราช 2012 ศาสดาผ้ตู งัÊ ศาสนาสิกข์มีทงัÊ สินÊ 10 องค์ มีครุ ุนานกั เป็นองค์แรกและมีครุ ุโควินทสิงห์เป็นองค์ สดุ ท้าย ศาสนาสิกข์ไมม่ ีนกั บวช มีแตว่ ดั สิกข์ เรียกวา่ ครุ ุทวารา ภายในวดั สิกข์ทกุ แห่งมีพระ คมั ภีร์อาทิครันถ์ เป็นประธานแทนองค์พระศาสดา และองค์พระกรตาปรุ ุข มีสวุ รรณพิหารทีÉ เมืองอมฤตสระ ในรัฐปัญจาป ประเทศอินเดียเป็นศนู ย์กลางศาสนา ศาสดาในศาสนาสิกข์ จํานวน 10 องค์ ดงั นี Ê 1. ครุ ุนานกั (พ.ศ. 2012-2081) ให้กําเนดิ ศาสนาทีÉหมบู่ ้านเลก็ ๆ แหง่ หนงึÉ ชÉือทลั วนั ดี

110 (Talvandi) ในปัจจบุ นั นีเÊรียก นานกั นคร ทางทิศตะวนั ตกเฉียงใต้ของเมืองลาฮอร์ (Lahore) เมืองหลวงแคว้นปัญจาป ตงัÊ อยู่บนฝัÉงแม่นําÊ ราวี (Ravi) ประเทศอินเดีย ท่านเกิดในตระกูล ฮนิ ดวู รรณพราหมณ์ บดิ าทํางานอยเู่ ป็นเจ้าเมือง มารดาเป็นนกั ศาสนาทีÉเคร่งครัด เมืÉออายุ 7 ปี พอ่ แม่นําสง่ เข้าศกึ ษาในโรงเรียน อายุ 9 ปี ปรารถนาเรียนรู้ความเป็นมาของศาสนาและ เทพจ้าของเพÉือนบ้าน จงึ ศกึ ษาภาษาเปอร์เซียน (อหิ ร่าน) เพืÉอเรียนรู้ศาสนาโซโรอสั เตอร์ เมÉือ โตขนึ Ê แตง่ งานกบั หญิงตระกลู ดีคนหนงึÉ มีลกู 2 คน เมืÉออายุ 30 ปี ออกไปหาความสงบในป่ า วนั หนึงÉ ขณะนงัÉ สงบอย่ใู นป่ า ได้รับปรากฏการณ์ทางใจครังÊ แรกเสมือนการได้ดÉืมนําÊ อมฤตถ้วย หนงÉึ จากผ้ศู กั ดสÍิ ิทธÍิ โดยแจ้งวา่ เราจะขออย่กู บั เจ้า เราจะทําให้เจ้ามีความสขุ สงบ และจะทํา ทกุ คนทÉีนบั ถือเราในเจ้า มีความสขุ ไปด้วย เจ้าจงออกจากทีÉนีไÊ ป จึงทําโลกให้สะอาด ระลึก ถึงการท่องบน่ นามของเรา ไว้เป็นนิตย์ จงเป็นผ้มู ีเมตตา เป็นผู้สะอาด บชู าและกระทําใจให้ เป็นสมาธิ ตอ่ ไปนีเÊจ้าจงเป็นครุ ุของคนทงัÊ หลาย ทา่ นโสมนสั กบั ปรากฏการณ์นนัÊ อยู่ 3 วนั จึง ออกสอนโดยสอนวา่ สิกข์เป็นศาสนาของคนทงัÊ หลาย พระเจ้าเป็นผู้ปราศจากภยั ปราศจาก เวร ไม่ใช่เป็นผู้ทําลาย เป็นผู้สร้าง เราไม่มีพระเจ้าสําหรับชาวมสุ สิม เรามีพระจ้าองค์เดียว องค์หนึÉงผู้เป็นเจ้าโลกทงัÊ สินÊ พระไม่ทางโปรดวรรณะ หรือสี หรือลทั ธิอนั แยกบญั ญัตอิ อกไป แตล่ ะอยา่ ง พระองคไ์ มม่ ีการเกลียด ไมม่ ีการทรงแชง่ ทรงสาป เหมือนพระเจ้าองค์อืÉน 2. ครุ ุองั คตั (พ.ศ. 2081-2095) เป็นนกั ภาษาศาสตร์และสามารถเผยแผ่คําสอนของ อาจารย์ไปได้ยิÉงกวา่ ครุ ุใด เป็นคนแรกทีÉแนะนําสาวกให้นบั ถือครุ ุนานกั วา่ เป็นพระเจ้าองคห์ นงÉึ 3. ครุ ุอมาร์ทาส (พ.ศ. 2095-2117) เป็นคนสภุ าพ ตงัÊ องค์กรลทั ธิสิกข์ขึนÊ เป็นอนั มาก ได้ชÉือเป็นผ้สู ง่ เสริมศาสนาสกิ ข์ไว้ได้อยา่ งมนÉั คง 4. ครุ ุรามทาส (พ.ศ. 2117-2124) เป็นผ้สู ร้างศนู ย์กลางสิกข์ชÉือ หริมณเฑียร คือ วหิ ารสกิ ข์ไว้ในทะเลสาปเล็ก ๆ แหง่ หนึงÉ ทางทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ของแคว้นลาฮอร์ เรียกวา่ อมฤตสระ (Immortal pond) กลายเป็นทÉีบาํ เพญ็ บญุ ศนู ย์กลางของสกิ ข์ 5. ครุ ุอรชนุ (พ.ศ.2124-2149) เป็นผ้รู วบรวมคมั ภีร์ได้มาก และเพÉิมโอวาทของตนไว้ ในคมั ภีร์ด้วย เป็นผ้อู อกบทบญั ญตั วิ า่ ชนชาวสิกข์ต้องแตง่ ตวั ด้วยเครÉืองแบบตามศาสนานิยม ไมน่ ยิ มเครืÉองแตง่ ตวั ด้วยวตั ถมุ ีราคาแพง ตงัÊ กฎเกณฑ์เก็บภาษีเพืÉอบํารุงศาสนา ได้ชÉือว่าเป็นผู้ เผยแผศ่ าสนาได้กว้างขวาง เสริมสร้างหริมณเฑียรขึนÊ เป็น สวุ รรณวิหาร สินÊ ชีพในการตอ่ ส้กู บั กษัตริย์มสุ ลิมผ้คู รองกรุงเดลี 6. ครุ ุหริโควินท์ (พ.ศ. 2149-2181) เป็นผ้สู อนให้ชาวสิกข์นิยมดาบ ให้ถือดาบเป็น เครืÉองหมายของชาวสิกข์ผ้เู คร่งครัดในศาสนา เป็นผ้สู ง่ เสริมกําลงั ทหาร สงÉั สอนให้ชาวสกิ ข์

111 เป็นผ้กู ล้าหาญต้านทานศตั รู 7. ครุ ุหริไร (พ.ศ.2 181-2207) เป็นผ้ทู ําให้ศาสนารุ่งเรือง มีกําลงั ทหารเข้มแข็ง ทงัÊ สามารถทําให้คนสําคญั แหง่ ศาสนาฮินดู เชน่ ภคตั ภควนั เปลีÉยนมานบั ถือสกิ ข์ 8. ครุ ุหริกิษัน (พ.ศ. 2207-2218) เป็นผ้เู ผยแผศ่ าสนาสกิ ข์ตอ่ ต้านกษัตริย์โอรังเซฟ 9. ครุ ุเทคพาหาทรู ์ (พ.ศ. 2218-2229) เป็นนกั รบแกล้วกล้าและขม่ ขพู่ วกอิสลามได้ เผยแผ่ศาสนาสิกข์ออกไปได้กว้างขวางสดุ เขตตะวนั ตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย และแผ่ ลงมาทางใจจนถงึ เกาะลงั กา มสุ ลมิ ในสมยั นีไÊ มก่ ล้าตอ่ ส้กู บั ครุ ุผ้นู ี Ê 10. ครุ ุโควินทสิงห์ (พ.ศ. 2229-2251) เป็นผ้ตู งัÊ บทบญั ญัติใหม่ในศาสนาสิกข์ ด้วย วิธีปลุกใจสานุศิษย์ให้เป็นนกั รบ ตอ่ ต้านกษัตริย์มุสลิมผู้เข้าข่มขÉีศาสนาอÉืน เพืÉอจรรโลงชาติ ทา่ นตงัÊ ศนู ย์กลางการเผยแผศ่ าสนาสกิ ข์อยทู่ ีÉเมืองดคั คา (Dacca) และแคว้นอสั สมั ในเบงคอล ตะวนั ออก ประกาศแก่สานศุ ษิ ย์ทงัÊ หลายวา่ ทกุ คนควรเป็นนกั รบ ตอ่ ส้กู บั ศตั รู เพÉือจรรโลงชาติ ศาสนาของตน ชาวสิกข์ทุกคนต้องเป็นคนกล้าหาญ ชืÉอตอ่ ท้ายคือ สิงห์ ทกุ คนต้องรวมเป็น ครอบครัวบริสทุ ธ์ และเป็นผ้เู ริÉมพิธีศีลจมุ่ (Baptismal rite) และประกอบพิธีให้ผ้เู ข้ามาเป็น สานศุ ษิ ย์ด้วยวธิ ีประพรมนําÊ มนต์ และวธิ ีให้ดมืÉ นําÊ ศกั ดสÍิ ิทธÍิซงึÉ แชด่ าบเรียกวา่ นําÊ อมฤต หลงั จากศาสดาองค์ทีÉ 10 ไปแล้ว ชาวสิกข์ถือว่า ไม่มีศาสดาในศาสนาอีก แตค่ งใช้ คมั ภีร์ อาทิครันถะ เป็นศาสดาแทน ครุ ุนานกั เกิดในปี พ.ศ. 2012 เพราะต้องการรวม ศาสนาอิสลามกับฮินด◌ู แต่ไม่สําเร็จ กลับเกิดศาสนาสิกข์ขึนÊ มา เป็นสมัยทีÉกษัตริย์มุสลิม ปกครองอินเดีย และเผยแผ่ศาสนาอิสลามด้วยวิธีการใช้กําลงั ทหารบงั คบั ปราบปราม และ บงั คบั ให้นบั ถือศาสนาอิสลาม และโดยการออกกฎบญั ญตั ิบงั คบั เรียกเก็บภาษีทีÉเรียกว่า ซีเซีย ซÉึงเก็บจากผู้ทีÉไม่นบั ถือศาสนาอิสลามด้วยอัตราสูง เมืÉอชาวฮินดูถูกบงั คับทังÊ ทางตรงและ ทางอ้อมเชน่ นี Ê ก็เกิดความเดอื ดร้อนขนึ Ê ทวัÉ อนิ เดีย ศนู ย์กลางการปกครองและการเผยแผ่ศาสนาอิสลามสมยั นนัÊ คือเมืองเดลี ศาสดาครุ ุ นานกั ใคร่ประสานผลประโยชน์ของคนในชาติ โดยการประสานศาสนาทงัÊ สองให้รวมเป็นหนงึÉ เดยี วกนั เพÉือหาความสขุ สงบร่มเย็นของประชาราษฎร จงึ ดําเนินการโดยชีแÊ จงให้เข้าใจให้เห็น วา่ ผ้ทู Éีนบั ถือศาสนาใด ๆ ก็ตามนบั วา่ เป็นศษิ ย์ผ้ดู ําเนนิ ตามศาสโนวาทแหง่ ศาสดาผ้ปู ระเสริฐ และ เป็นสาธุชนได้เช่นเดียวกัน จึงไม่ควรแตกแยกแบง่ ฝ่ ายเป็นศาสนานี Ê ศาสนานนัÊ แล้วข่ม เหงทําลายล้างกนั ทÉีถูกควรรวมกนั เป็นศาสนาเดียวเรียกวา่ ศาสนาสิกข์ แปลความว่า เป็น ศาสนาของผ้เู ป็นศษิ ย์แหง่ ศาสดา ครุ ุนานกั เป็นชาวฮินดมู าก่อนตอ่ มาได้ศกึ ษาความรู้จากนกั ปราชญ์มสุ ลิม ศาสนา

112 โซโรอสั เตอร์และภาษาเปอร์เซียด้วย สินÊ ชีพเมÉือ พ.ศ. 2082 เมÉืออายไุ ด้ 71 ปี ทําหน้าทÉี ศาสดาอยู่ 40 ปี มีสาวกทงัÊ 2 ฝ่ าย คือ ฝ่ ายฮินดแู ละสาวกฝ่ ายมุสลิม ซÉึงตา่ งฝ่ ายก็ ปรารถนาทÉีจะเอาศพของศาสดาไปประกอบพิธีกรรมตามลทั ธิของตน (ศจ. เสฐียร พนั ธรังษี. 2524:170-175) ตอ่ มาครุ ุอรชนุ ศาสดาองค์ทÉี 5 ประกาศแยกตวั ออกจากฮินดแู ละอิสลามอย่างชดั เจน ว่า ข้าพเจ้าไม่บําเพ็ญทกุ รกิริยาแบบฮินดู และถือบวชแบบอิสลาม ข้าพเจ้ารับใช้พระผ้เู ป็น เจ้าองค์เดียว ผู้เป็นสรณะของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีนายองค์เดียว ผู้ซึÉงเป็นพระอัลเลาะห์ด้วย ข้าพเจ้าแยกตนจากฮินดแู ละอิสลาม ข้าพเจ้าไมร่ ่วมทําบญุ กบั ฮินดแู ละไม่ไปเมกกะดงั อิสลาม ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าองคเ์ ดียว ไมม่ ีนายอÉืน ข้าพเจ้าไมเ่ คารพรูปเคารพและจะไม่สวดอ้อนวอน แบบอิสลาม ข้าพเจ้าจะมอบจิตของข้าพเจ้าไว้ทีÉปรมาตมนั องค์เดียว เพราะพวกเราไม่ใช่ฮินดู และอสิ ลาม ฉะนนัÊ ศาสนาสิกข์จงึ ถือวา่ ความจงรักภกั ดตี อ่ พระเจ้าองคเ์ ดยี วสําคญั ทÉีสดุ (รศ. ดร. เดอื น คําดี. 2541:91) หลักธรรมคาํ สอนสาํ คัญ เนÉืองจากศาสนาสิกข์สอนวา่ ครุ ุคือ ศาสดาทÉีศษิ ย์ต้องเชืÉอฟังและมอบกายถวายชีวิต และศาสดาได้ถือศษิ ย์ทกุ คนคอื บตุ ร ดงั นนัÊ การเชืÉอฟังศาสดาจงึ ถือวา่ สําคญั ทีÉสดุ ดงั คํากลา่ ว ไว้ในบทสวดวา่ เมืÉออยใู่ นคําแนะนําของครุ ุ ก็ได้ยินเสียงของพระเจ้า เมืÉออย่ใู นคําแนะนําของ ครุ ุก็ได้ปัญญา เมÉืออยใู่ นคาํ แนะนําของครุ ุมนษุ ย์ก็เรียนรู้วา่ พระเจ้ามีอยใู่ นทกุ แห่ง ครุ ุเป็นพระ ศวิ ะ ครุ ุเป็นพระวิษณแุ ละพระพรหม ครุ ุเป็นพระนางปารวตีและสวสั วดี ในประตขู องพระเจ้า นนัÊ มีนะบีโมฮํามดั ตงัÊ หลายพนั องค์ มีพระพรหม พระวิษณุ และพระศวิ ะทงัÊ หลาย ๆ พนั องค์ แตม่ ีพระเจ้าทีÉเหนือกวา่ เทพเจ้าทงัÊ หลายอยเู่ พียงองค์เดียวเทา่ นนัÊ ซÉึงปราศจากความกลวั และ ปราศจากความเป็นศตั รู พระองค์ทรงเป็นอชาตะผู้ไม่เกิด ทรงเป็นอมตะ คือผู้ไม่ตาย และ ทรงเป็นสยมั ภู คอื ผ้เู ป็นเองโดยไมม่ ีผ้ใู ดสร้าง ดงั นี Ê เนÉืองจากศาสนาสิกข์ตงัÊ ขึนÊ มาเพÉือจะรวบรวมศาสนิกชนจากศาสนาฮินดแู ละศาสนิก อิสลามเข้าด้วยกนั จงึ ได้นําหลกั ธรรมบางอยา่ งมาจากศาสนาฮนิ ดแู ละหลกั ธรรมบางอย่างจาก ศาสนาอิสลาม กบั มีบทบญั ญัตธิ รรมและระเบียบวินยั ของตนเพÉิมเข้ามาอีกหลายอย่าง จงึ ทํา ให้มีลกั ษณะแตกตา่ งจากศาสนาทงัÊ สอง คมั ภีร์ของศาสนาสิกข์เรียกว่า ครันถสาหิพ ครุ ุนานกั ศาสดาองค์แรกได้ประพนั ธ์บทสวดและคําสอนเป็นบทแรก ซงÉึ แสดงถึงการทÉีผ้ปู ฏิบตั จิ ะได้บรรลุ ความสขุ นิรันดร์เอาไว้ถงึ 5 ขนัÊ ดงั ตอ่ ไปนี Ê

113 หลักสุขนิรันดร มี 5 ประการ คือ 1. ธรัมขณั ฑ์ หมวดหน้าทีÉอนั ทกุ คนพึงปฏิบตั ิ ตดั สินกิจการทกุ อยา่ งโดยยตุ ิธรรม ให้ รู้สกึ วา่ กิจกรรมซงÉึ กระทําไว้ในชีวติ นี Ê เป็นมลู ให้ผลในภพตอ่ ไป 2. ญาณขณั ฑ์ หมวดแหง่ ความรอบรู้ สอนวา่ บคุ คลต้องใช้ความรู้เป็นเครÉืองประกอบ ต้องประกอบกิจเพืÉอความยงÉิ ใหญ่ด้วยปัญญา 3. สรันขนั ธ์ หมวดแห่งความหรรษาผ่านเข้ามาทางวิญญาณส่ภู มู ิแห่งหรรษาร่างเริง ในภมู ินีมÊ ีแตค่ วามบนั เทิง ปรารถนาสุขอยา่ งใดได้ตามปรารถนา ความโสมมไมม่ ี มีแต่ความ สงบจิตและความงาม 4. กรัมขนั ธ์ หมวดแห่งกําลงั จิตไมห่ วนัÉ กลวั เป็นภูมิแห่งอํานาจ ผ้ปู ฏิบตั ิได้อํานาจ เป็นพลงั เหมือนผ้มู ีกายทิพย์ มีความงามเป็นนริ ันดร ปราศจากความหวาดกลวั ตอ่ มฤตยู หลดุ จากวงเวียนของความเกิดและความตาย 5. สตั ยขณั ฑ์ หมวดแห่งภมู ิสจั จะ เป็นภมู ิสดุ ท้าย เป็นภมู ิปราศจากรูป ผ้ปู ฏิบตั ิ (ดวงวิญญาณ) เข้ารวมอย่กู บั มหาเทพผ้เู ป็นอกาลบรุ ุษ ได้แก่การเข้าถึงพระเจ้า คือ ความ เป็นเอกภาพกบั พระเจ้า การปฏิบตั ิดําเนินไปตามขนัÊ ตา่ ง ๆ ดงั นี Ê คือ เมÉือผู้ปฏิบตั ิหน้าทีÉอย่างยตุ ิธรรมด้วย ความรู้เป็นเครืÉองประกอบเพÉือกิจกรรมมีผลอนั ยิÉงใหญ่ จิตวิญญาณจะผ่านเข้าสภู่ มู ิแหง่ ความ ชÉืนชมพรรษา ร่างกายมีแตค่ วามสะอาดและความสงบ ในขนัÊ ตอ่ มาก็บรรลภุ ูมิแหง่ อํานาจ มี ความงามเป็นนริ ันดรปราศจากความหวาดกลวั ตอ่ มฤตยู หลดุ จากวงเวียนการเกิดและการตาย และในทÉีสดุ ก็บรรลอุ าณาจกั รแห่งสจั ธรรม คือ ดวงวิญญาณของผู้ปฏิบตั เิ ข้ารวมอยู่กบั พระผู้ เป็นเจ้า หรือมหาเทพอกาลบรุ ุษในเรÉืองพระเจ้าศาสนาสิกข์สอนว่า (อกาลบรุ ุษ) พระเจ้าได้ ทรงมีอยใู่ นการเรÉิมต้นได้ทรงมีอย่ใู นสมยั แรกเรÉิมเดิมที บดั นีพÊ ระองค์ยงั ทรงมีอยู่ และจะทรงมี อย่ตู อ่ ไปด้วย เพราะในโองการของพระองค์รูปกายจึงถกู สร้างขึนÊ มา โองการของพระองค์เรา ไม่สามารถพรรณนาได้หมดสินÊ เพราะโองการของพระองค์วิญญาณจงึ เข้าไปสิงอยใู่ นร่างกาย เพราะโองการของพระองค์มนุษย์จึงได้รับความยิÉงใหญ่ มนุษย์ทังÊ ปวงล้วนแต่ต้องขึนÊ อยู่กับ คําสงÉั ของพระองค์ทงัÊ สินÊ ไมม่ ียกเว้นใครเลย ในเรÉืองการสร้างโลก ศาสนาสกิ ข์ได้สอนไว้วา่ เดมิ ทีเดียวมีแตอ่ กาลบรุ ุษ คือ พระเจ้า ตอ่ มาก็มีหมอกก๊าชหมนุ เวียนอยเู่ ป็นเวลาล้านโกฏิปี จงึ ได้เกิดมีแผน่ ดนิ ดวงดาว นําÊ อากาศ ฯลฯ แล้วก็มีสÉิงมีชีวิตอบุ ตั ิขึนÊ ถึง 8,400,000 ชนิด มนษุ ย์มีฐานะสงู สดุ มาก เพราะมีโอกาส บําเพญ็ ความดี ในเรืÉองการเกิดใหม่ ศาสนาสิกข์สอนว่า วิญญาณเป็นอมตะ วิญญาณนนัÊ ได้

114 พฒั นาขึนÊ ตามลําดบั ถ้าผ้ใู ดต้องการหลดุ พ้นจากสงั สารวฏั จําต้องชําระกิเลสให้หมด ถ้าไม่ ต้องการตายหรือเกิดอีก ต้องทําตนให้เป็นอยกู่ บั พระเจ้าในเรืÉองความดีความชวัÉ ครุ ุอมาร์ทาส กลา่ ววา่ ไมม่ ีตบะใดยงÉิ ใหญ่กว่าความอดทน ไมม่ ีความสขุ ใดจะยÉิงใหญ่กว่าความสนั โดษ ไม่ มีความชวัÉ ใดจะยÉงิ ใหญ่กวา่ ความโลภ ไมม่ ีบญุ ใดจะยÉิงใหญ่กว่าความกรุณา ไมม่ ีอาวธุ ใดจะมี อํานาจยิÉงไปกวา่ การให้อภยั คนหว่านพืชเช่นใดก็เก็บเกีÉยวผลเช่นนนัÊ ถ้าเขาหว่านความทกุ ข์ ความทกุ ข์ก็จะเป็นผลเก็บเกÉียวของเขา ถ้าคนหวา่ นยาพิษ เขาก็ไมอ่ าจหวงั อาหารทพิ ย์ได้เลย (ศจ. เสฐียร พนั ธรังษี. 2524:185-190) หลักจริยธรรม เป็นหลกั ปฏิบตั ิตนเองในชีวิตประจําวนั ของศาสนิกชนสิกข์ เพืÉอเศรษฐกิจของตนและ สงั คม ศาสนาสกิ ข์สอนให้ปฏิบตั ติ ามหลกั ปัญจวตั ร 5 ประการ ดงั นี Ê 1. ให้ตÉืนนอนแตเ่ ช้าอยา่ งน้อยครÉึงชวÉั โมงกอ่ นรุ่งอรุณ 2. ตÉนื แล้วให้บริกรรมทางธรรม เพÉือชําระจิตใจให้สะอาด 3. ให้ทําการงานอาชีพทÉีบริสทุ ธÍิ 4. ให้แบง่ สว่ นของรายได้ออกเป็น 10 สว่ น มอบบางแก่กองการกศุ ล 5. ให้ละเว้นจากการพนนั ยาเสพตดิ และประพฤตผิ ดิ ในกาม แม้แตก่ ารสบู บรุ ีก็ห้าม ดงั ทÉีคมั ภีร์ครันถะ กล่าวว่า จงลกุ ขึนÊ แตเ่ ช้าตรู่ ทําจิตใจของท่านให้เต็มไปด้วยความ รักในพระเจ้า จงให้ทานเสมอ จงพดู คําสภุ าพอ่อนโยน จงถ่อมตวั จงรักภักดีต่อคนอืÉน อย่า กินหรือนอนให้มากเกินไป จงใช้จ่ายเฉพาะส่วนทÉีท่านหามาได้ด้วยมือของท่านเอง กลางคืน และกลางวนั จงพยายามอยกู่ บั คนดี จงร่วมกบั คนเหลา่ นนัÊ สวดบทสรรเสริญของครุ ุ (ศจ. เสฐียร พนั ธรังษี. 2524:191) ในขนัÊ แรกศาสนาสกิ ข์สอนให้มงุ่ ความเข้าใจดีในศาสนา มงุ่ แตป่ รมตั ถธรรมมีอดุ มคตทิ Éี จะอย่เู ป็นเอกรสกบั พระเจ้าองค์แหง่ สตั ยธรรม ศรีและอกาล มุ่งส่งเสริมชมุ ชนสิกข์ให้มีความ สามคั คเี สมอภาคนงัÉ แถวเดียวกนั ได้ โดยไมค่ ํานงึ ถึงความแตกตา่ งแหง่ ชนชนÉั วรรณะและฐานะ ตอ่ มาเมÉือถกู กษัตริย์อิสลามปราบปรามหนกั มากขึนÊ ครุ ุอรชนุ ศาสดาองค์ทีÉ 5 (ระหวา่ ง พ.ศ. 2106 - 2149 ) ประกาศตนแยกศาสนาสิกข์ออกจากศาสนาฮินดู และศาสนาอิสลามอยา่ งเป็น เอกเทศ โดยการประกาศหลกั การของคมั ภีร์และบญั ญตั ขิ ้อปฏิบตั เิ พÉือเอกลกั ษณ์ของชาวสิกข์ โดยเฉพาะซงึÉ ผลทÉีตามมา คอื ครุ ุอรชนุ ถกู จบั ทรมานด้วยการจบั ให้นงÉั ในกะทะนําÊ ร้อนแล้วเอา ทรายทÉีควัÉ จนลกุ เป็นไฟสาดใส่ร่างกายอนั เปลือยเปลา่ แล้วยกร่างกายนนัÊ ลงแช่ในนําÊ เย็นจดั ใน

115 แม่นําÊ ระวี เพืÉอเพÉิมความทกุ ข์ทรมานยÉิงขึนÊ จนศาสดาอรชนุ ถึงสินÊ ชีพ ชาวสิกข์ไม่สามารถจะ อดทนตอ่ ไปอีกได้ ครุ ุหริโควินท์ ศาสดาองค์ทีÉ 6 จึงเปลÉียนวิธีการเป็นใช้ดาบ สร้างกองกําลงั ทหาร สร้างปอ้ มครู บ สะสมเสบียงฝึกฝนทหารให้ทกุ คนมีความแกล้วกล้า อดทน รักชาติ รัก ศาสนา เสียสละได้แม้ชีวิตเพÉือศาสดา และได้ทําสงครามรบกบั กษัตริย์ชาห์ชหนั เป็นการทํา สงครามระหวา่ งชาวสกิ ข์กบั ชาวมสุ ลิมผ้ปู กครอง 5 ครังÊ สกิ ข์เป็นฝ่ายชนะทกุ ครังÊ ศาสดาจงึ มีฐานะเป็นทงัÊ ทหารและนกั เผยแผศ่ าสนา (รศ. ดร. เดือน คาํ ดี. 2541:91-93) ศาสดาองคท์ ีÉ 9 ครุ ุเตฆพหทรู ์ ก็ถกู กษัตริย์โอรังเซป ผ้คู รองกรุงเดลีเรียกตวั ไปเจรจา และบงั คบั ให้เปลีÉยนศาสนา แตค่ รุ ุเตฆพหทรู ์ไมย่ อม จึงถกู ประหารชีวิต โดยการตดั ศีรษะและ สบั ร่างออกเป็น 4 สว่ น แขวนประจานไว้ทีÉประตปู อ้ มทงัÊ 4 ทิศ ของกรุงเดลี ตอ่ มาครุ ุโควินทสิงห์ทÉี ศาสดาองค์ทีÉ 10 ซึÉงได้นามว่า ศาสดานกั รบใจสิงห์ ผู้เป็น บตุ รของศาสดาองค์ทÉี 9 เป็นผ้สู ามารถทําให้ชาวสิกข์รักษาความเข้มแข็งเอาไว้ได้ ทําหน้าทีÉ ศาสดาเมÉืออายุ 9 ขวบ ขณะทÉีบิดาถกู ประหารชีวิตได้ทําสงครามกบั กษัตริย์โอรังเซป หลาย ครังÊ และครังÊ สดุ ท้ายเป็นสงครามทÉีดเุ ดือดทีÉสดุ นนัÊ ศาสดาโควินทสิงห์เป็นฝ่ ายชนะเพÉือเป็นการ บาํ รุงขวญั บํารุงกําลงั ใจปลกุ ใจทหารสกิ ข์ให้มีเป็นนิสยั คือ นิสยั นกั รบ ศาสดาครุ ุโควินทสิงห์ จงึ แตง่ คมั ภีร์ชืÉอวา่ ทสมครันถะและบทบญั ญัตขิ ้อวินยั และศีลขึนÊ อีกหลายประการ โดยเฉพาะ ข้อบญั ญตั ศิ ีล 21 ข้อ ถือวา่ เป็นศลี ประจําชีวิตของชาวสิกข์ และในปี พ.ศ. 2251 ศาสดาครุ ุ โควินทสิงห์ ขณะพกั อย่ทู ีÉริมฝัÉงแม่นําÊ โคธาวารีแตเ่ พียงผ้เู ดียว ได้ถกู ผ้รู ้ายแทงและสินÊ ชีพเมืÉอ อายุ 43 ปี ก่อนสินÊ ชีวิตได้ประกาศไมแ่ ตง่ ตงัÊ ศาสดาสืบแทนตอ่ ไป แตใ่ ห้ถือคมั ภีร์เป็นครุ ุแทน ตามหลกั คําสอนทีÉวา่ เมÉือชาวสิกข์มารวมกนั 5 คนแล้ว ตอ่ หน้าพระคมั ภีร์ ศาสดาเชÉือวา่ มา ปรากฏอยดู่ ้วย ดงั บทบญั ญตั ศิ ลี 21 ข้อ มีดงั ตอ่ ไปนี Ê บทบัญญัตศิ ีล 21 ข้อ 1. นบั ถือศาสดาเป็นบดิ า และถือตนเป็นบตุ ร 2. นบั ถือเมืองปาฏลีบตุ ร และอานนั ทบรุ ีวา่ เป็นปชู นียสถานทีÉประสตู ขิ องศาสดา 3. เลิกการถือชนัÊ วรรณะ 4. ห้ามการทะเลาะวิวาทระหวา่ งคณะศษิ ย์ด้วยกนั 5. พยายามพลีชีพในสนามรบ 6. บชู าสงÉิ ศกั ดสÍิ ทิ ธÍิ 3 ประการ คือ 1. พระผ้เู ป็นเจ้าผ้เู ป็นสจั จะ ศรี และอกาล 2. ศาสโนวาท 3. ความบริสทุ ธิÍ 7. มี ก. 5 ประการไว้ประจําตน คอื 1. กฑา กําไลเหลก็ 2. กจั ฉา กางเกงขา

116 สนัÊ 3. เกศ ผม 4. กงั ฆา หวี และ5. กฤปาณ ดาบ 8. เว้นจากมสุ าวาท 9. เว้นจากกาม โกรธ โลภ และโมหะ นบั ถือภรรยาทา่ นเสมอด้วยมารดา 10. เว้นจากการเกÉียวข้องผ้เู ป็นปรปักษ์ตอ่ ศาสนา 11. เลกิ คบผ้ทู ีÉไมส่ ง่ เสริมการรบ 12. เลิกใช้สีแดง 13. ให้ใช้คําวา่ สิงห์ เป็นนามสกลุ ของตน 14. ห้ามเปลือยศรี ษะ นอกจากเวลาอาบนําÊ 15. เว้นจากการเลน่ พนนั 16. ห้ามตดั หรือโกนผมรวมทงัÊ หนวดและเครา 17. ห้ามเกÉียวข้องกบั บคุ คลผ้ซู งึÉ เบียดเบยี นชาตแิ ละศาสนา 18. การขÉีม้า ฟันดาบ และมวยปลําÊ ถือเป็นกิจกรรมทีÉต้องปฏิบตั ทิ กุ วนั 19. ต้องถือคตวิ า่ ตนเกิดมาเพÉือนําความสขุ ให้แกผ่ ้มู ีทกุ ข์และทําความเจริญ ให้แกช่ าตแิ ละศาสนา 20. เว้นจากการหรูหราอนั ไร้สาระ 21. การเสพพระผ้เู ป็นเจ้าอกาลบรุ ุษ และการสกั การะผ้เู ป็นแขก ถือเป็นกรณียกิจ ประจําวนั ในวนั แรกทÉีศาสดาโควินทสิงห์ประกาศบญั ญัติศีลนี Ê มีผู้เลืÉอมใสเข้าประกาศตนเป็น สกิ ข์ สมาทานศลี มีจํานวน 8 หมืÉนคน และมากขนึ Ê ทกุ วนั จนถงึ แสนคน หลักเกÉียวกับพระเจ้า รูปทงัÊ หลายปรากฏขึนÊ ตามคําสงÉั ของพระเจ้า (อกาลบุรุษ) สÉิงมีชีวิตทงัÊ หลายอุบตั ิ ขึนÊ มาตามคําสงÉั ของพระองค์ บตุ รธิดาจะรู้ถึงกําเนิดบดิ ามารดาได้อย่างไร โลกทงัÊ หมดร้อยไว้ ด้วยเส้นด้าย คือ คาํ สงÉั ของเจ้า มนษุ ย์ทงัÊ หลายมีพระบดิ าองค์เดียว เราทงัÊ หลายเป็นบตุ รของ พระองค์นนัÊ เราจึงเป็นพีÉน้องรวมกนั พระผ้สู ร้างโลก (อกาลบรุ ุษ) สิงสถิตอย่ใู นสÉิงทงัÊ หลายทีÉ พระองคท์ รงสร้าง และสงิÉ ทงัÊ หลายอยใู่ นพระองค์ หลักเกÉียวกับการเกิดใหม่ สกิ ข์เชÉือวา่ วญิ ญาณเป็นอมตะ ในกฎของวฏั ฏสงสาร คอื การเวียนวา่ ยตายเกิด

117 วิญญาณนนัÊ ไตข่ ึนÊ มาเป็นลําดบั ถ้าใครผู้ใดต้องการหลุดถ้นจากการเกิดตาย ก็ทําได้ในภพนี Ê โดยการชําระกิเลสอันเป็นเชือÊ ทําให้เกิดให้ตาย ถ้าไม่ต้องการตายก็ต้องมีทําให้เกิด การทํา ไมใ่ ห้เกิด คอื การทําตวั ให้อยกู่ บั พระเจ้า เหมือนเอานําÊ เข้าไปผสมกบั นําÊ อยใู่ นภมู สิ ตั ยขณั ฑ์ หลักปฏบิ ัตขิ องชาวสกิ ข์ ในศาสนาสิกข์มีบทบญั ญตั อิ นั เป็นข้อห้ามทÉีสําคญั 4 ข้อ เรียกจตศุ ีล คอื 1. ห้ามตดั ผมหรือขลิบหนวด 2. ยาเสพตดิ ทกุ ชนดิ เชน่ สรุ า บหุ รÉี 3. การผิดประเวณี 4. การรับประทานเนือÊ สตั ว์ทÉีถกู ฆา่ ด้วยวธิ ี กทุ ทา คือ ถกู ฆา่ ในพิธีกรรม (ศจ. เสฐียร พนั ธรังษี. 2524:179-182) จุดมุ่งหมายสูงสุด คําสงÉั สอนของศาสนาสิกข์ ได้เน้นการปฏิบตั ิตนเพืÉอมงุ่ สพู่ ระเจ้าองค์เดียวทÉีสงู สดุ คือ องค์อกาลบรุ ุษ โดยมงุ่ หมายวา่ ถ้าไมต่ ้องการตายก็จะต้องทําให้ไมเ่ กิด และการทําไมใ่ ห้เกิดก็ คือ การทําตวั ให้อยกู่ บั พระผ้เู ป็นเจ้า โดยทําจิตใจของตนเองให้ใสผ่องแผ้ว ศาสดาได้บรรยาย ถงึ คณุ ลกั ษณะขององค์อกาลบรุ ุษเอาไว้อยา่ งลึกซึงÊ ยิÉงในพระคมั ภีร์อาทิครันถะ ในปฐมบทของ พระคมั ภีร์ เรียกว่า มลู มนั ตระ หรือข้อมลู แหง่ มนต์อนั ประเสริฐยÉิงใหญ่ ซงÉึ มีเพียง 12 คํา เท่านนัÊ คําอธิบายของแต่ละคน คําทีÉกล่าวถึงพระเจ้า คือ อกาลบรุ ุษนนัÊ ใครจะกําหนดให้ เป็นทÉีสดุ ไม่ได้ ยÉิงค้นก็ยิÉงพบความหมายอนั ลําÊ เลิศ ครุ ุเป็นสิกข์และสิกข์ผู้ปฏิบตั ติ ามถ้อยคํา ของครุ ุยอ่ มเป็นอนั หนงÉึ อนั เดียวกบั ครุ ุ อกาลบรุ ุษนนัÊ อนั บคุ คลยอ่ มบรรลไุ ด้ด้วยการเพ่งพระเจ้า มีความจงรักภกั ดีลกึ ซึงÊ และ ศรัทธาเปลง่ วาจาอยเู่ สมอถึงพระนามของพระองค์ ดงั นนัÊ ด้วยการเชÉือฟังพระเจ้า บคุ คลยอ่ ม ได้บรรลปุ ระตแู หง่ ความหลดุ พ้นได้ ใครก็ตามเชืÉอฟังพระเจ้าเขายอ่ มรู้ถึงความน่าอภิรมย์แหง่ ความเชืÉอนนัÊ ในดวงใจของเขา อกาลบุรุษมีคุณลักษณะ ดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. ทรงเป็นเอก ไมเ่ ป็นฝÉังนี Ê ฝัÉงโน้น หรือฝัÉงไหน ๆ ชําแรกแทรกซมึ ในทกุ อยา่ ง แทรกตวั ลงไปอยภู่ ายใน 2. โอม คอื ความบริสทุ ธิÍ ความสวสั ดี ความปลอดภยั

118 3. สตั ย (สจั จะ) หมายเอาความจริงหรือภาวะทÉีเป็นจริงอยา่ งถึงทีÉสดุ หรือ สจั จะเป็นภาวะทÉีเป็นจริง ไมม่ ีคู่ 4. นาม เพราะอาศยั คณุ สมบตั ทิ ีÉเป็นเอก และนามทÉีให้แก่องคอ์ กาลบรุ ุษนนัÊ หา มีชÉือหรือเป็นนามจริง ๆ ไม่ 5. กรตา หรือ กตั ตา หมายถงึ ผ้สู ร้าง 6. บรุ ุษ หรือกรตาบรุ ุษ หมายถงึ พระผ้สู ร้างโลก และสรรพสÉงิ ในโลกนี Ê โดย เหตปุ ัจจยั และกฎธรรมชาติ 7. นริ ภย ผ้ทู ีÉไมม่ ีความกลวั 8. อกาลมรู ติ คือ ผ้อู ยเู่ หนือกาลเวลา ปราศจากความตายและอวสาน 9. นริ เวร ปราศจากเวร ปราศจากศตั รู 10. อชนุ ี ไมม่ ีกําเนิด 11. เสภ สภาวะทÉีมีแสงในตวั เอง เป็นแดนเกิดแหง่ แสงสวา่ ง 12. ครุ ุปรสาทิ เป็นผ้ใู ห้การศกึ ษา เป็นครูทÉีมิใชม่ นษุ ย์ ชีวิตแม้จะเวียนว่ายตายเกิดหลายครังÊ แต่ก็มีจกุ หมาย คือ การได้กลมกลืนกับชีวิต พระเจ้าด้วยพระมหากรุณา ((รศ.ดร. เดือน คาํ ดี. 2541:94-96) คัมภรี ์ศาสนา คมั ภีร์ของศาสนาสกิ ข์เรียกวา่ ครันถสาหิพ แปลวา่ พระคมั ภีร์ แบง่ เป็น 2 เลม่ คอื 1. อาทคิ รันถะ แปลวา่ คมั ภีร์แรก ซงึÉ ครุ ุอรชนุ เป็นผ้รู วบรวมขนึ Ê เมืÉอ .ค.ศ 1604 2. ทสมครันถะ แปลวา่ คมั ภีร์ของครุ ุองค์ทÉี 10 ซงÉึ เป็นงานข้อเขียนขึนÊ มาของท่าน ครุ ุโควินทสิงห์ทงัÊ หมด ซÉงึ รวบรวมขึนÊ ภายหลงั อาทิครันถ์ ประมาณ 100 ปี แตท่ งัÊ 2 คมั ภีร์ บนั ทกึ คาํ สอนของครุ ุสําคญั สรุปลงในหลกั การใหญ่ 4 ประการ คือ 1. เรืÉองความสามคั คี 2. เรืÉองความเสมอภาค 3. เรÉืองความศรัทธาในพระผ้เู ป็นเจ้า 4. ความจงรักภกั ดตี อ่ ครุ ุทงัÊ 10 องค์ สองหลกั แรกแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งมนษุ ย์กบั พระเจ้าองคเ์ ดียวเทา่ นนัÊ และ ระหว่างมนุษย์ด้วยกนั ส่วน หลกั หลงั แสดงทางปฏิบตั อิ นั มนุษย์จะพึงปฏิบตั ิตามเพÉือบรรลุ ความสขุ สงู สดุ ในวิหารของศาสนาสิกข์ ไมม่ ีรูปเคารพนอกจากพระคมั ภีร์ เพราะพระคมั ภีร์

119 คอื ตวั แทนของพระเจ้าทีÉบริสทุ ธÍิควรเคารพ สาวกทงัÊ ชายและหญิงมีสทิ ธิเทา่ เทียมกนั ในการ ปฏิบตั พิ ระคมั ภีร์และศาสนกิจทงัÊ ปวง (สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ. 2540:254) พธิ ีกรรม ในศาสนาสกิ ข์มีพิธีกรรมสําคญั 2 ประการ คอื 1. พิธีกรรมระลกึ ถึงพระกรตาบรุ ุษ โดยการตÉืนแตก่ ่อนรุ่งสาง อาบนําÊ ชําระกายแล้ว เข้าสมาธิเพืÉอทบทวนการปฏิบตั ิตามเทวโองการของพระองค์ในแตล่ ะวนั ๆ ละ 3 เวลา คือ เช้า เยน็ และกลางคนื 2. พิธีกรรมฉลองวนั คล้ายวันประสูติ วันสถาปนาศาสนา และรับมรณภาพของ ศาสดาทงัÊ 10 องค์ ((รศ.ดร. เดอื น คําดี. 2541:97) นิกายศาสนา อาจารย์เสฐียร พนั ธรังษี (2524:194) กลา่ วว่าศาสนาสิกข์แบง่ ออกเป็นหลายนิกาย แตท่ ีÉสําคญั 2 นกิ าย คือ 1 นิกายนานักปันถี นิกายปฏิบตั ติ ามคาํ สอนของทา่ นครุ ุนานกั ผ้เู ป็นครุ ุองคแ์ รก 2 นิกายนิลิมเล แปลวา่ นกั พรตผ้ปู ราศจากมลทิน คือ นิกายโควินทสิงห์ ศาสดา องค์ทีÉ 10 และยงั มีนิกายอÉืน ๆ อีกมาก กวา่ 10 นิกาย ซึÉงส่วนมากแตกตา่ งกนั เล็กน้อยด้วย เครืÉองแตง่ กายเป็นเครÉืองหมาย สัญลักษณ์ ศาสนาสิกข์นิยมสญั ลกั ษณ์ คือ 1) รูปดาบไขว้และมีดาบ 2 คม หรือพระขรรค์อยู่ ตรงกลางแล้วมีวงกลมกบั พระขรรค์นนัÊ อีกตอ่ หนึงÉ วงกลมนนัÊ มิได้ทําเป็นรูปจกั ร์ แตท่ ําเป็นเส้น กลมธรรมดา 2) คําจารึกเป็นภาษาเปอร์เซียในเหรียญเงิน แปลได้ความวา่ กานําÊ และดาบ เป็นสญั ลกั ษณ์แหง่ การรับใช้และกําลงั 3) อกั ษร ก. ทงัÊ 5 เป็นสญั ลกั ษณ์ของชาวสิกข์ผ้ไู ด้ ผา่ นการล้างบาปแล้ว สมควรใช้นามวา่ สงิ ห์ ตอ่ ท้ายได้ (สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ. 2540:242) ฐานะปัจจุบัน สุชีพ ปญุ ญานุภาพ (2540:257) กล่าวว่า ศาสนาสิกข์มีศาสนิกประมาณ 18.5 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่รัฐปัญจาบ และภาคเหนือของอินเดีย การขยายการเติบโตของศาสนิก

120 ฮินดูและมุสลิม ทําให้สิกข์กลายเป็นคนกลุ่มน้อย และเพราะอินเดียขาดเสถียรภาพทาง การเมือง จงึ ประกาศนโยบายแยกการปกครองตงัÊ รัฐ ปัญจาบขึนÊ เป็นประกาศ ขาลิสถาน และความรู้สกึ นีไÊ ด้นําไปสู่ความขดั แย้งทางการเมือง และการปกครองของอินเดียเป็นสาเหตุ แห่งการขดั แย้งและการปะทะกนั ระหว่างรัฐบาลอินเดียกบั ชาวสิกข์กรณีรัฐบาลสงัÉ บกุ วิหาร ทองคําเมืองอมฤตสระในปี 1977 อย่างกว้างขวางมาแล้ว ชาวสิกข์มีสิทธิเสรีภาพสมบรู ณ์ เทา่ กบั ชาวอินเดียทวัÉ ๆ ไป แตม่ ีข้เดน่ ดงั นี Ê 1. ชาวสิกข์เป็นเกษตรกรชนัÊ นําของอินเดีย เช่น ในแคว้นปัญจาป ชาวสิกข์ทําให้เนือÊ ทÉีของมีผลิตผลปีละ 4 ถึง 5 ครังÊ มากกวา่ ทÉีอÉืน 2. ชาวสิกข์เป็นทหารชนัÊ ดขี องอนิ เดยี 3. ขาวสกิ ข์เป็นนกั กีฬาทีÉทําชÉือเสียงให้แก่อนิ เดียมากทÉีสดุ 4. ชาวสิกข์ประกอบการค้าและกิจกรรมตา่ ง ๆ ในตา่ งประเทศมากทีÉสดุ แบบฝึ กหดั ท้ายบท 1. อธิบายความเป็นมา ววิ ฒั นาการและการเกิดวรรณ 4 ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดมู าดู 2. หลกั ตรีและหลกั อาศรม 4 ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดมู ีอะไรบ้าง 3. หลกั ธรรมของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดมู ีอะไรบ้าง 4. จดุ มงุ่ หมาย คมั ภีร์ และพธิ ีกรรมของพราหมณ์-ฮนิ ดู เชน และสิกข์มีอะไรบ้าง 5. นิกายและสญั ลกั ษณ์ของพราหมณ์ เชน และสกิ ข์มีอะไรบ้าง 6. อธิบายชีวประวตั ขิ องศาสดาเชนและสกิ ข์มาดู 7. จริยธรรมของศาสนาเชนและสกิ ข์มีอะไรบ้าง 8. หลกั ปรัชญาของเชนและบทบญั ญตั ศิ ลี ของสิกข์มีอะไรบ้าง 9. อกาลบรุ ุษมีคณุ ลกั ษณะอยา่ งไรบ้าง

บททÉี 5 ศาสนาเต๋า (Taoism) ความเป็ นมาของศาสนาเต๋า คาํ วา่ เตา๋ แปลวา่ มรรคาหรือหนทาง มีความหมายวา่ ธรรมชาตหิ รือสภาพอนั เป็นไป โดยธรรม ศาสนาเตา๋ เป็นศาสนาทีÉนบั ถือธรรมชาติ คือเชืÉอในความมีอยเู่ ป็นอย่ขู องธรรมชาติ บชู าธรรมชาติหรือเป็นศาสนาอนั เกÉียวเนืÉองด้วยธรรมชาติ แตม่ ิใช่ศาสนาทÉีนบั ถือเทพเจ้าหรือ เกีÉยวข้องด้วยเทพเจ้า ศาสนานีเÊ พียงยก เตา๋ ขึนÊ เป็นใหญ่ สามารถสร้างโลกและทําลายล้าง โลกได้หมด เกิดขนึ Ê จากความวา่ งเปลา่ แหง่ ธรรมชาติ เป็นผ้มู ีอํานาจสงู สดุ และเป็นอย่ชู วัÉ กลั ป์ ปาวสาน ไมม่ ีทีÉสินÊ สดุ จะรู้ก็ไมไ่ ด้ จะแลเหน็ ก็ไม่ได้ ศาสนาเตา๋ มีกําเนิดขึนÊ ในประเทศจีน ต้น กําเนิดไม่ใชล่ ทั ธิหรือศาสนา แต่เป็นปรัชญาธรรมชาติ เพืÉอการดําเนินชีวิตอย่างมีคณุ คา่ โดย อยอู่ ย่างกลมกลืนกบั ธรรมชาติ ตดั สÉิงทÉีเกินความจําเป็นของชีวิตมนษุ ย์ออกทิงÊ ไปเสีย รวมทงัÊ ขนบธรรมเนียมประเพณีทÉีฟ่ ุมเฟื อยและฝืนกบั ธรรมชาติ โดยหนั กลบั ไปมีชีวิตหรือใช้ชีวิตแบบ เรียบงา่ ย ๆ ทา่ มกลางความสงบของป่ าเขาลําเนาไพร (สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ. 2540:171) ชีวประวัตศิ าสดา เลา่ จือÊ เป็นองค์ศาสดาผ้สู ถาปนาศาสนาเตา๋ เกิดก่อนพทุ ธศกั ราชประมาณ 61 ปี ใน ตระกลู แซล่ ิ ทÉีหมบู่ ้านเค้กยินลี Ê ตาํ บลไหล่ มณฑลโฮนาน ในราชวงศ์จิว เดมิ ชÉือ เหลาตนั ชÉือ เลน่ เอ๊อ ชืÉอจริง ตนั เดมิ เรียก หลีเอ๊อ หรือหลีตนั เมืÉอมีอายมุ ากเรียก เล่าจือÊ แปลว่า เด็ก แก่ หรือ นกั ปราชญ์ผ้เู ฒา่ เล่าจือÊ ได้รับการศกึ ษาจากธรรมชาติมากกวา่ คนอÉืน ๆ เป็นผ้ฉู ลาดตงัÊ แตเ่ ด็ก ครันÊ โต ขึนÊ ได้รับตําแหนง่ เป็นข้าราชการชนัÊ ผ้ใู หญ่ในกรมอาลกั ษณ์ เป็นผู้อํานวยการหอสมดุ แห่งชาติ เป็นนกั ประวตั ิศาสตร์ประจําราชสํานกั และเป็นนกั ปราชญ์ในราชสํานกั ในราชวงศ์จิว ตอ่ มา เลา่ จือÊ เห็นความเสÉือมโทรมของราชวงศ์จิว เพราะบ้านเมืองประสบความย่งุ ยากมาก มีการฉ้อ ราษฎร์บงั หลวงทวÉั ไป จงึ เกิดความเศร้าสลดและท้อแท้ใจ จงึ คดิ แก้ปัญหาตนเอง โดยลาออก จากตําแหน่งปลีกตนจากสงั คม โดยขีÉควายไปทางตะวนั ตกเฉียงเหนือของจีน ซÉึงเป็นทางทีÉจะ ไปสู่ประเทศตา่ ง ๆ รวมทงัÊ อินเดีย นายดา่ นได้ขอให้ทา่ นเขียนอะไรไว้สกั เลม่ หนึงÉ เลา่ จือÊ จึง เขียนคมั ภีร์เตา๋ เตก็ เก็งไว้ให้ด้วยอกั ษรจีน 5,000 คําเศษ และถือวา่ เป็นการปรากฏตวั พร้อมทงัÊ ผลงานชินÊ สดุ ท้ายของเล่าจือÊ แล้วเล่าจือÊ ก็หายตวั ไปโดยไม่มีผู้ใดได้พบเห็นอีกเลย (รศ. ฟื Êน ดอกบวั . 2539:102)

122 เต๋าคืออะไร เลา่ จือÊ ยอ่ มรับวา่ ไมส่ ามารถหาคําใดมาอธิบายความหมายทีÉแท้จริงของเตา๋ ได้ว่า เตา๋ คอื อะไร แตเ่ รียกเตา๋ ในความหมายกว้าง ๆ วา่ ทาง และเป็นทางของธรรมชาติหรือธรรมชาติ ผ้สู ร้างทีÉยงิÉ ใหญ่ แนวความคดิ ทางปรัชญาแสดงออกมาให้เห็น โดยการใช้เส้นหนาและเส้นปรุ เป็นสญั ลกั ษณ์ เส้นหนาและเส้นปรุถกู ลากมารวมกนั 3 กล่มุ เกิดเป็นรูป 8 รูป เส้นหนาทีÉ ลากไว้เรียกวา่ หนกั หรือ แข็ง เส้นปรุเรียกวา่ ออ่ น หรือ นมÉิ ในความหมายทวÉั ไป เส้นหนกั แทนคําวา่ หยิน (Gin) และเส้นเบาแทนคําว่า หยาง (Yang) คําวา่ หยาง คือ สวรรค์ และ คําว่า หยิน คือ โลก ในความหมายทีÉสําคญั มากของเส้นหนกั เบา คือ คํานิยามเก่าแก่ทีÉสุด ของคาํ วา่ เตา๋ ได้แก่ สว่ นหนงÉึ ของหยินกบั ส่วนหนÉงึ ของหยาง คือ เตา๋ และเตา๋ ของสวรรค์คือ หยินกบั หยาง เต๋าของมนษุ ย์ประกอบด้วยคณุ ธรรมทÉียÉิงใหญ่ คือ ความมีหวั ใจเป็นมนษุ ย์กับ ความมีคณุ ธรรมอนั เลิศ แตค่ ําวา่ เต๋า ในความหมายโดยปกติแล้ว หมายถึง กฎธรรมชาติ อดุ มการณ์ทางพฤตกิ รรมและมีความหมายใหม่ว่า เป็นหลกั การของระเบียบหรือสภาพความ เป็นจริงทÉีอยเู่ บือÊ งหลงั ของจดุ กําเนิดของจกั รวาล การนําเอาคําวา่ เตา๋ มาใช้ในความหมายถึง สภาพความเป็นจริงดงั กล่าวนี Ê เป็นเพราะไม่มีคําใดทÉีสามารถนํามาใช้ได้ดีกวา่ คําว่า เตา๋ ซึÉง เรืÉองนีเÊ ลา่ จือÊ ก็ย่อมรับโดยเขียนไว้ว่า มีสภาพทÉีสมบูรณ์เกิดขึนÊ ก่อนสวรรค์และโลก (จกั รวาล) เราอาจเรียกสภาพความจริง (ทีÉอยเู่ บือÊ งหลงั ของการเกิดสวรรค์และโลก) ดงั กลา่ วนีวÊ ่าเป็นพระ มารดาของโลกนีกÊ ็ได้ แตข่ ้าพเจ้าไม่ทราบชÉือทÉีแท้จริงของมนั ข้าพเจ้าจึงเรียก (สภาพความ เป็นจริงทีÉอยเู่ บือÊ งหลงั ของจดุ กําเนิดของจกั รวาล) วา่ เตา๋ (ธนู แก้วโอภาส. ม.ป.ป.:193-195) สว่ น รศ.ดร. เดือน คําดี (2541:88) กล่าวว่า เตา๋ เป็นสมมตุ ฐิ านของสรรพสÉิง ใน ทศั นะของเลา่ จือÊ คือ ธรรมชาตสิ ิÉงหนึÉงซึÉงเป็นอมตภาวะ ไมม่ ีเบือÊ งต้นท่ามกลางและในทีÉสุด สรรพสÉงิ ทงัÊ หลายเกิดขนึ Ê และดบั ในเตา๋ นี Ê อดุ มธรรมอนั สงู สดุ คือ ไปรวมอยกู่ บั เตา๋ ในฐานะเป็น ความจริงสงู สดุ (Ultimate Reality) ในบททÉี 1 เลา่ จือÊ ได้กล่าวถึงเตา๋ ในฐานะสจั ธรรมว่า สจั ธรรมทÉีอธิบายได้ไมใ่ ชส่ จั ธรรมทีÉอมตะ นามทÉีขนานเป็นนามได้ ไมใ่ ชน่ ามทีÉอมตะ อภาวะเป็น ฐานเรÉิมแหง่ ฟา้ กบั ดนิ ภาวะเป็นรากฐานแหง่ สรรพสิÉง ฉะนนัÊ จึงต้องเพ่งวิจยั ความเป็นอภาวะ เพืÉอเห็นแจ้งในความลึกซึงÊ ของสัจธรรม และต้องเพ่งวิจยั ความเป็นภาวะ เพÉือเห็นแจ้งใน ขอบเขตแหง่ สจั ธรรม อภาวะกบั ภาวะแม้จะเป็นนามทÉีแตกตา่ งกนั แตม่ ีทÉีมาแหง่ เดียวกนั มา จากความลึกซึงÊ ความลึกซึงÊ ซึÉงลึกไปกว่าความลึกซึงÊ อนั เป็นประตแู ห่งการเปลีÉยนแปลงของ สรรพสิงÉ ดงั นนัÊ ชีวิตในโลกนีมÊ ีเพียงครังÊ เดยี ว สงิÉ ดีสงู สดุ คอื การเข้าถึงเตา๋

123 เต๋า แปลได้หลายประการ คือ แปลว่า ถนน มรรค ทางวิชา เหตผุ ล อธิบาย พดู หลกั ธรรม ดงั นนัÊ คําวา่ เตา๋ ของเลา่ จือÊ จงึ มีความหมาย 4 ประเภท คอื 1. สจั ธรรม หลกั ธรรมสงู สดุ ของเลา่ จือÊ เป็นสาระแท้ของโลก เป็นปรมตั ถธรรม 2. เป็นพละกําลงั สร้างโลกเรานีขÊ นึ Ê มา 3. เป็นกฎเกณฑ์การเคลืÉอนไหวเปลีÉยนแปลงของธรรมชาติ เพืÉอสร้างสรรพสÉิงขนึ Ê 4. เป็นหลกั พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ สว่ น เตก็ ทีÉแปลวา่ คณุ ธรรม นนัÊ เลา่ จือÊ หมายถงึ การแสดงออกให้ประจกั ษ์ ของสจั ธรรม เป็นคณุ ประโยชน์ของคณุ ธรรมทÉีเรารู้เห็นได้ชดั เพราะสจั ธรรมเป็น อภาวะ ปราศจากทางทีÉจะรู้เห็นได้ เลา่ จือÊ กลา่ ววา่ เตา๋ เป็นแหลง่ ทําให้เกิดพลงั พลงั นีไÊ ด้มาตอ่ เมÉือเข้าถงึ เตา๋ ด้วยความ พยายามสนใจในวิถีทางของธรรมชาติ ซึÉงไม่อาจบรรยายได้ด้วยภาษามนุษย์ การพยายาม พรรณนาถึงเตา๋ ว่าเป็นสิÉงใดนนัÊ เป็นเรÉืองใหญ่ในจกั รวาล ซÉึงนบั ว่ามีอํานาจสําคญั ยิÉงใหญ่ 4 อยา่ ง คือ 1) อํานาจของมนษุ ย์ทีÉเอากฎมาจากโลก โลกเอามาจากสวรรค์ สวรรค์เอามาจาก เตา๋ และเตา๋ เป็นมาด้วยความสมคั รใจของมนั เอง คอื สÉิงทÉีเกิดเองเป็นเอง หลักธรรมสาํ คัญของเต๋า หลกั ธรรมของเตา๋ ในระยะแรก ได้แบง่ ออกเป็น 2 สาย คือ สายปรัชญาบริสทุ ธิÍมี ลกั ษณะเป็นธรรมชาตินิยม ทÉีสอนว่า ความเรียบง่ายเป็นกญุ แจไขไปสู่ความรู้ ความอดทน นําไปสคู่ วามเข้าใจ ความกรุณาและเมตตา นําไปสมู่ ิตรภาพ ความสนั โดษและเรียบง่ายเป็น เครืÉองหมายแหง่ ชีวิตทÉีดงี าม และสายศาสนา ตอ่ มาเตา๋ ได้นําหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาไป ผสมผสานกบั คําสอนในลทั ธิเตา๋ ทําให้มีคาํ สอนกว้างขวางจนเป็นศาสนาได้อีกสายหนงÉึ บริบรู ณ์ หลกั ธรรมทÉีเป็นจริยธรรมคําสอนของเล่าจือÊ แสดงความศกั ดÍิสิทธÍิของอํานาจสูงสุดคือ เตา๋ เลา่ จือÊ สอนวา่ ธรรมชาตสิ ร้างมนษุ ย์ให้ดาํ รงชีวิตไปตามธรรมชาตอิ นั สงบ ทกุ สÉิงทกุ อยา่ งใน ธรรมชาตปิ ระกอบด้วยความเงียบสงบ ศาสนาเตา๋ ได้เรÉิมต้นขนึ Ê มาในฐานะเป็นปรัชญา คือไมม่ ี พิธีกรรม ไมม่ ีข้อปฏิบตั เิ คร่งครัดทÉีนอกเหนือไปกวา่ ข้อคดิ และคําสอนทÉีมีอยใู่ นคมั ภีร์เตา๋ เตก็ เก็ง หลกั ธรรมของเตา๋ คือ การดํารงชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ให้มนษุ ย์รู้จกั ตนเอง บําเพ็ญ คณุ งามความดไี มฟ่ งุ้ เฟอ้ ไมม่ กั ใหญ่ใฝ่สงู ทําจติ ใจให้สงบ รู้จกั ถอ่ มตน ไมแ่ ขง่ ขนั กบั ใคร หลักความบริสุทธÍิยÉงิ ใหญ่ 3 ประการ เป็นหลกั ธรรมซึงÉ เลา่ จือÊ ได้สอนประชาชนให้ ประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามหลกั ความบริสทุ ธÍิยิÉงใหญ่นีดÊ งั ตอ่ ไปนี Ê

124 1. เทียนเปาชนุ คือสาระหรือรากฐานเดมิ อนั หมายถึงฟ้าหรือสวรรค์ซงึÉ เป็นหลกั การ อนั สงู นนÉั คือ เทพเจ้าหรือมหาเทพทีÉเป็นจอมโลก จอมสวรรค์ไม่มีรูป สถิตอยู่ในอาณาจกั ร แหง่ ความบริสทุ ธÍิซงÉึ เป็นอาณาจกั รแหง่ นกั ปราชญ์โดยเฉพาะ 2. วซู ีเทียนชนุ คือพลงั ชีวิตหรือพลงั สตปิ ัญญา สามารถแสดงเป็นบคุ ลาธิษฐาน เป็น จอมแห่งปัญญา ทรงสถิตอย่ใู นอาณาจกั รแห่งความบริสทุ ธÍิสงู ส่ง มีหน้าทีÉในการจดั แบง่ เวลา เป็นวนั คืนและฤดขู องโลก มีบลั ลงั ก์เป็นทÉีประทบั อย่ทู างทิศเหนือ และเป็นเจ้าแห่งธรรมชาตคิ ู่ กบั โลก 2 ลกั ษณะ ดงั นี Ê 2.1 หยาง ได้แก่ พลงั ในทางบวก เป็นเพศชาย หาพบในสÉิงต่าง ๆ เป็นต้นว่า ความสวา่ ง ความอบอนุ่ ความมนÉั คง ความเข้มแขง็ หรือพลงั แสงอาทติ ย์ ดวงไฟ 2.2 หยิน ได้แก่ พลงั ในทางลบ เป็นเพศหญิง หาพบในสิÉงต่าง ๆ โดยลกั ษณะ ของธรรมชาติ เป็นต้นวา่ ความหนาว ความมืด ความอ่อน ความชืนÊ แฉะ ความลกึ ลบั และ สงิÉ ตา่ ง ๆ ทÉีเปลÉียนแปลงได้งา่ ย เชน่ นําÊ และลม 3. ฟานซิงเทียนซนุ หรือเซนเปาชนุ คือเจ้าแหง่ วิญญาณโลกยงÉิ ใหญ่ทงัÊ ปวง สถิตอยใู่ น อาณาจกั รอนั เป็นอมตะของพวกอมรเทพทงัÊ ปวง และเป็นผ้ทู รงไว้ซงึÉ ความบริสทุ ธÍิสงู ยÉงิ หลักธรรมเกÉียวกับสังคมในด้านต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. ปรัชญาการปกครอง 1.1 กฎหมายยÉิงมากราษฎรยิÉงยากจน ฝ่ ายปกครองมีเลห่ ์เหลÉียมมากขึนÊ บ้านเมือง ยิÉงย่งุ ยาก ฝ่ ายปกครองยÉิงมีชนัÊ เชิงมากเรÉืองทจุ ริตยÉิงมาก กฎหมายยÉิงเข้มงวดโจรผู้ร้อยยÉิงชกุ ชมุ 1.2 การปกครองบ้านเมืองโดยไมใ่ ช้เลห่ ์เหลÉียมเป็นบญุ วาสนาของบ้านเมือง 2. ปรัชญาสังคม ผ้ทู ีÉยืนเขยง่ เพÉือให้สงู กว่าคนอÉืนจะยืนอยไู่ ด้ไม่นาน รีบก้าวเท้ากลบั เดินตอ่ ไปไมไ่ หว โฆษณาตนเองกลบั ไม่มีคนรู้จกั ถือว่าตนเป็นผ้ถู กู ต้องกลบั ไม่มีคนเห็นว่าถกู ต้องเลย อวดอ้าง ความดขี องตนกลบั ไมม่ ีคนเห็นความดี ทําตวั เป็นคนเยอ่ หยÉิงจะทําได้ไมน่ าน 3. อภปิ รัชญา 3.1 สิÉงทÉีออ่ นโยนในโลกนีสÊ ามารถบงั คบั สงิÉ ทีÉแข็งกร้าวทÉีสดุ ในโลกนีไÊ ด้ 3.2 ผ้ไู มม่ ีคณุ ธรรมเหมือนการเก็บภาษีอยา่ งทารุณของพวกคมุ งานภาษี 4. ปรัชญาชีวิต 4.1 เมÉือไมม่ ีความซÉือสตั ย์เพียงพอก็ต้องมีคนไมเ่ ชÉือถือ

125 4.2 ผ้ทู ีÉเข้าใจคนอÉืนเรียกวา่ ผ้มู ีสตปิ ัญญาแตผ่ ้ทู ีÉเข้าใจตนเองเรียกวา่ ผ้มู ีความเหน็ แจ้ง 4.3 ผ้ทู ีÉชนะคนอÉืนคอื ผ้ทู Éีมีกําลงั แตผ่ ้ทู ีÉชนะตนเองคอื ผ้ทู ีÉมีความสามารถ 4.4 ผ้ทู Éีรู้จกั พอคอื ผ้ทู ÉีมงÉั มี 4.5 ผ้ทู Éีมีความขยนั คอื ผ้ทู Éีมีอดุ มคตอิ นั ดงี าม (รศ. ดนยั ไชยโยธา. 2539:268) ลักษณะสัจธรรม ในบททÉี 14 เล่าจือÊ กล่าวถึงลกั ษณะของสจั ธรรมว่ามองดไู ม่เห็น เรียกว่า สจั ธรรม ฟังไม่ได้ยินเรียกวา่ สจั ธรรม คลําไมไ่ ด้ เรียกวา่ สจั ธรรม ฉะนนัÊ ด้วยสมั ผสั ทงัÊ 3 อยา่ งนี Ê จะไม่เข้าถึงสจั ธรรมได้มนั เป็นอนั หนงึÉ อนั เดียวกนั ส่วนบนของมนั ไม่มีแสงสวา่ ง ส่วนล่างของ มนั ไมม่ ีความมืดมนสมั พนั ธ์ตดิ ตอ่ กนั ไมส่ ินÊ สดุ ไมส่ ามารถจะขนานนามให้มนั ได้ และทีÉสดุ ทกุ สÉิงจะกลบั ไปยงั ความเป็นอภาวะ นีคÊ ือลกั ษณะอนั ไม่มีลกั ษณะรูปร่างอนั ไม่เป็นรูปร่าง เรียก มนั ว่า เลือนลางเหมือนอภาวะกบั ภาวะ ตอ่ หน้ามนั ไม่เห็นส่วนหน้าของมนั ตามหลงั มนั ก็ไม่ เห็นสว่ นหลงั ของมนั การยดึ มนัÉ ในสจั ธรรมอนั มีมาแตโ่ บราณกาล แล้วควบคมุ ภาวะอนั เป็นสÉิง ประจกั ษ์ในปัจจบุ นั มีความเหน็ แจ้งในแรกเรÉิมแหง่ มหาจกั รวาลนี Ê คอื กฎแหง่ สจั ธรรม การเอาตวั ไปอย่กู บั ธรรมชาติ เล่าจือÊ สอนวา่ คนดีทÉีสดุ เหมือนนําÊ นําÊ ให้ประโยชน์แก่ ทกุ สิÉง และไมพ่ ยายามแก่งแย่งกบั สÉิงใด นําÊ กักขงั อยู่ในทีÉตÉําทÉีสดุ ซงึÉ เป็นสิÉงทÉีใกล้เต๋า ชีวิตทÉี เป็นไปเรียบง่ายไมม่ ีการแก่งแยง่ แขง่ ขนั ปลอ่ ยให้เป็นไปตามวิวฒั นาการ ธรรมชาติ คือ ชีวิต ทÉีมีความสขุ ทีÉสดุ ความสําเร็จทีÉแท้จริงนนัÊ ไมใ่ ชก่ ารเอาชนะคนอืÉนหรือการได้ครอบครองสมบตั ิ เกียรตยิ ศหรือความปราดเปรืÉองอนั ใด แตเ่ ป็นการยอมตอ่ ส้ผู ้อู Éืนด้วยความอดทนและเป็นกลาง เกÉียวกบั สÉงิ ประเสริฐ เลา่ จือÊ สอนวา่ ข้าพเจ้ามีสÉงิ ประเสริฐอยู่ 3 สÉิง ซÉงึ ข้าพเจ้าถือ มนัÉ และได้ผลแห่งความถือมนÉั นนÉั คือ 1. ความสภุ าพ 2. ความกระเหม็ดกระแหม่ 3. และ ความถอ่ มตวั สามประการนี Ê ทําให้ข้าพเจ้าไมต่ ้องเป็นเหยÉือของคนอÉืน และกลา่ วอีกวา่ นกั วิÉง ทีÉดี ยอ่ มไม่ทิงÊ รอยเท้าให้ปรากฏ คําพดู ทีÉดีไม่มีช่องให้ใครทกั ท้วงได้ นกั คํานวณทÉีดีไมต่ ้องใช้ ลกู คดิ ประตทู ีÉดีไมต่ ้องให้กลอน ปมทÉีผ้ผู กู ดีไม่ต้องใช้เชือก คนดีเป็นครูของคนชวัÉ คนชวัÉ เป็น บทเรียนของคนดี ในบททÉี 81 เลา่ จือÊ กล่าวว่า คําพดู ทÉีเป็นความจริงไมไ่ พเราะสละสลวยเลย คําพดู ทีÉ ไพเราะสละสลวยไมเ่ ป็นความจริง บคุ คลทีÉมีความประพฤติดี ไม่ต้องแก้ตวั ได้เถียงกบั ใคร ผ้ทู ีÉ แก้ตวั โต้เถียงอยบู่ อ่ ย ๆ ไป ไม่ใช่คนดี ผ้ทู Éีมีความเข้าใจดีไม่มีความรู้กว้างขวาง ผ้ทู Éีมีความรู้ กว้างขวางไมใ่ ชค่ นทÉีเข้าใจดี คนดีคือคนทีÉไม่เก็บออมอะไรไว้เป็นส่วนตวั ทา่ นยÉิงช่วยเหลือคน

126 อÉืนมาก ทา่ นยิงÉ มีมาก ทา่ นยงิÉ ให้คนอืÉนมากทา่ นเองกลบั ยÉงิ รวยมาก ธรรมชาตทิ ําประโยชน์แก่ ทกุ ๆ คน โดยไมพ่ ดู วา่ อะไร พฤตกิ รรมของคนดใี ห้ทานแกท่ กุ ๆ คน โดยไมแ่ บง่ อะไรจากใคร ในบททÉี 8 กลา่ วไว้ว่า ผ้มู ีความดียอดเยีÉยมเปรียบได้กบั นําÊ ความดีของบ้านอย่ทู Éีดนิ ความดีของใจอยทู่ ีÉความลกึ ซงึ Ê ความดขี องมิตรภาพอยทู่ Éีความรัก ความดีของคําพดู อยทู่ ีÉความ ซืÉอสตั ย์ ความดีของผู้ปกครองอยู่ทีÉความเป็นระเบียบ ความดีของธุรกิจอยู่ทÉีความสามารถ ความดีของการกระทําอยทู่ ีÉเวลา ลักษณะของผู้ปฏิบัตเิ ต๋า ผ้ปู ฏิบตั เิ ตา๋ คือ ชาวเตา๋ มีบคุ ลิกภาพแม้แตเ่ ลา่ จือÊ เองก็ไม่สามารถจะอธิบายได้ ได้แต่ พรรณนาวา่ 1. ชาวเตา๋ เป็นคนรอบคอบระวงั ตวั เหมือนคนทÉีจะข้ามลํานําÊ ในฤดหู นาว 2. ชาวเตา๋ เป็นคนยบั ยงัÊ ชงÉั ใจเปรียบเหมือนคนทÉีเกรงใจเพืÉอนบ้าน 3. ชาวเตา๋ เป็นคนมธั ยสั ถ์กาย ถอ่ มตวั เปรียบเหมือนเป็นแขกในบ้านผ้อู Éืน 4. ชาวเตา๋ เป็นคนทÉีไมข่ ดั ขืนผ้ใู ด เปรียบเหมือนนําÊ แข็งทีÉกําลงั จะละลาย ด้วยคณุ ธรรมเหลา่ นี Ê คือ ความรักความพอดี และความอ่อนน้อมถ่อมตวั เลา่ จือÊ จึง กลา่ ววา่ ด้วยเหตทุ Éีมีความรักจงึ มีความกล้าหาญ โดยเหตทุ ีÉประพฤติพอดีจึงไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเหตทุ ีÉไมย่ กตวั จงึ เป็นนายกของขนุ นางทงัÊ หลายได้ (รศ.ดร. เดอื น คาํ ดี. 2540:99-103) จุดมุ่งหมายสูงสุด เล่าจือÊ เชืÉอว่า ชีวิตมนุษย์มีดวงวิญญาณเป็นอมตะ ความซÉือสตั ย์สจุ ริตเป็นหนทาง สายแรกทีÉจะพาดวงวญิ ญาณเข้าไปสเู่ ตา๋ โดยการทําใจให้คงทÉีและสะอาด โลกทงัÊ สินÊ ก็จะพ่าย แพ้แก่เราเอง เล่าจือÊ ไม่ยืนยนั โลกหน้าวา่ จะเป็นไปในรูปใด แต่ยืนยนั วา่ เมÉือบคุ คลบําเพ็ญตน เป็นคนสงบระงบั ครองชีพไปตามทางทีÉยอมรับความจริงของธรรมชาติทีÉเป็นจริง ชีวิตนนัÊ ก็จะ ถึงจดุ มงุ่ หมายปลายทาง คือ เตา๋ ในทÉีสดุ และกล่าวว่า ความฉลาดและความสขุ ของมนษุ ย์ อยทู่ ีÉการปรับตวั ให้เข้ากนั ได้กบั ระเบยี บของธรรมชาติ และกล่าวอีกว่า พวกท่านแสวงหาความ ฉลาด ความสขุ และความดี แตต่ ามวิถีทางทÉีท่านแสวงนนัÊ แสดงว่าทา่ นตาบอดและโง่เซอะ ท่านมองไมเ่ ห็นดอกหรือว่า ความฉลาดคือความวางใจเชÉือใจ ความดีคือการยอมรับ ความ พอใจคือความเป็นอยอู่ ยา่ งเรียบง่าย ๆ นีแÊ หละคือวิถีทางแหง่ ธรรมชาติ ดงั นนัÊ จดุ ม่งุ หมายทีÉ สําคญั คือการกลบั ไปสู่ธรรมชาติ โดยเลิกล้มขนบธรรมเนียมประเพณีทงัÊ หมด แม้กระทงÉั

127 วฒั นธรรมและอารยธรรมทงัÊ หลายทÉีขดั ขวางธรรมชาติ ชีวิตในโลกนีมÊ ีเพียงครังÊ เดียว สิÉงทÉี สงู สดุ คือการเข้าถงึ เตา๋ (รศ. คณู โทขนั ธ์. 2537:148) คัมภรี ์ศาสนา ผศ. วนิดา ขําเขียว (2541:214) กล่าวว่า คมั ภีร์ทÉีสําคญั ทÉีสดุ ของศาสนาเตา๋ คือ คมั ภีร์เตา๋ เต็กเก็ง เป็นคมั ภีร์ทÉีกลา่ วถึงเรÉืองเต๋าในหลายลกั ษณะ มีทงัÊ หมด 81 บท แปลว่า สจั ธรรม คณุ ธรรมสตู ร เพราะมีอยู่ 2 เรืÉอง คือ สจั ธรรมกบั คณุ ธรรม เลา่ จือÊ ได้อธิบายไว้ดงั นี Ê 1. เตา๋ คือ หนทางคณุ สมบตั ิ วิธีการ กฎ จารีต ธรรมชาติ ฯลฯ เป็นพืนÊ ฐานของ สรรพสิÉงในโลก เป็นอมตภาวะ ไมม่ ีเบือÊ งต้น ทา่ มกลาง และทีÉสดุ ทกุ สิÉงเกิดขึนÊ และดบั ไปใน เตา๋ 2. เตา๋ ทÉีนํามาขานกนั ได้ไมใ่ ชเ่ ตา๋ ทีÉแท้จริง นามทีÉบญั ญตั ไิ ด้ไมใ่ ชน่ ามทีÉแท้จริง อภาวะ คือ ความไมม่ ีเป็นเบือÊ งต้นแหง่ ฟ้าและดนิ 3. จากเตา๋ หนึÉงก็เกิดขึนÊ จากหนÉึงสองก็เกิดขึนÊ จากสามสากลโลกถกู สร้างขึนÊ ซÉึง สากลโลกทÉีถกู สร้างขึนÊ นนัÊ เอาหยินไว้ข้างหลงั เอาหยางไว้ข้างหน้า ด้วยการรวมกันแห่งหลกั ทวÉั ไปนี Ê สากลโลกจึงผสมกลมกลืนกัน เต๋าทําให้เกิดหนึÉง หนงึÉ ทําให้เกิดสอง สองทําให้เกิด สาม สามทําให้เกิดสิÉงอืÉนทงัÊ ปวง ทกุ สิÉงเอาเงาไว้เบือÊ งหลงั ของมนั ถือดวงอาทิตย์ไว้ในมือโดย การผสมกนั แหง่ ลมหายใจ จากดวงอาทิตย์และเงาสมดลุ (คือความเทา่ เทียมพอเหมาะพอดีก็ มาสโู่ ลก) คมั ภีร์เต๋าเต็กเก็งมี 2 ภาค คือ เตา๋ เก็งและเต๊กเก็ง เต๋าเก็งเรÉิมตงัÊ แตบ่ ททÉี 1-37 อธิบายถึงความคิดทีÉเกีÉยวกับอันติมสจั จะ และมรรควิธีแห่งการเข้าถึงอันติมสัจจะนันÊ โดย เรÉิมต้นอธิบายตงัÊ แตเ่ ตา๋ คืออะไร ธรรมชาตขิ องเตา๋ การเกิดขึนÊ ของสิÉงทีÉเป็นสมมตบิ ญั ญตั ิ หลกั จริยธรรมของชีวิต ไปจนกระทงัÉ การอธิบายถึงวิถีทางเข้าถึงเตา๋ สว่ นเต๊กเก็งบททีÉ 38-81 เป็น การอธิบายวา่ ชีวติ ของเราจะเป็นอยา่ งไร ลกั ษณะการเมืองการปกครองทÉีดีเป็นอย่างไรลกั ษณะ ของผู้เป็นปราชญ์ทีÉดีควรมีลกั ษณะอยา่ งไร ทําอยา่ งไรจึงจะมีชีวิตอยใู่ นโลกนีอÊ ย่างมีความสขุ และประเทศในอดุ มคตนิ นัÊ ควรมีลกั ษณะอยา่ งไร หลกั ธรรมในศาสนาเตา๋ ทÉีปรากฏในคมั ภีร์เตา๋ เตก็ เก็ง มงุ่ เน้นให้ดาํ รงชีวิตกลมกลืนกบั ธรรมชาติ ทําคณุ งามความดี มีความสนั โดษทําจิตใจ ให้สงบ ออ่ นน้อมถ่อมตนเหมือนนําÊ แตท่ ําประโยชน์ได้ทกุ อยา่ ง

128 พธิ ีกรรมทÉีสาํ คัญของเต๋า ศาสนาเตา๋ มีสถานทÉีทําพิธีกรรมเป็นเหมือนศาลเจ้า ภายในนิยมตดิ ภาพเขียนเหล่า เทพเจ้าและปรมาจารย์คนสําคญั มีจางเตา๋ หลิงในทา่ ขีÉเสือ เลา่ จือÊ ในชดุ สีเหลือง เหวินเจียง ในชดุ นกั รบเตา๋ จยู ีในชดุ สีแดง พระจกั รพรรดใิ นชดุ นกั รบ ศาสนาเตา๋ มี 2 นิกาย คือ นิกาย ชวนเชน ไม่เน้นพิธีกรรมมาก สว่ ยนิกายเช็งอี ให้ความสําคญั ตอ่ พิธีกรรมมาก เพราะมีความ เชืÉอในอภินิหารความศกั ดสÍิ ทิ ธÍิ และโชคลางตา่ ง ๆ ตีความเตา๋ เป็นนามธรรมทÉีเข้าถึงความเป็น อมตะทําให้อายยุ ืนยาวจงึ คิดค้นวิธีปรุงยาอายวุ ฒั นะ การสร้างทิพยอํานาจให้เกิดขึนÊ ในตนเอง จนสามารถเหาะเหินเดนิ อากาศ ลยุ ไฟ และเดนิ ในนําÊ ได้ อีกทงัÊ ทําให้หนงั เหนียวยิงฟันไม่เข้า และปราบภูตผีปีศาจได้ จงึ เน้นในศาสนพิธี และรหสั ยลทั ธิ นิยมทําพิธีกรรมเพÉือให้เกิดความ ขลงั ความศกั ดิÍสิทธÍิและสามารถดลบนั ดาลให้เกิดความสําเร็จสมความปรารถนา พิธีกรรม เหลา่ นีปÊ ระกอบด้วยองค์ประกอบหลกั 3 สว่ น คอื 1. พธิ ีสวดมนต์ ซงึÉ มีทงัÊ การสวดมนตป์ ระจําวนั และการสวดในมนตพ์ ธิ ี 2. พธิ ีกรรมทางศาสนาสําหรับคนเป็น เป็นพิธีกรรมเพืÉอเสริมศิริมงคลให้กบั ผ้ทู Éียงั ชีวิต อย่แู ละสร้างความเจริญรุ่งเรืองอยู่รอดปลอดภัยจากการรังควาญของภูผีปีศาจ และเหล่ามาร ร้าย เพราะเชืÉอวา่ ตามธรรมชาตใิ นทÉีตา่ ง ๆ จะมีวญิ ญาณดแี ละร้ายอาศยั อยู่ วิญญาณร้ายจะ คอยทําร้ายผ้คู น และหลอกหลอนให้ตกใจกลวั จะทําให้คนถกู หลอกเจ็บป่ วยได้ง่าย จึงเกิดพิธี กรรมตา่ ง ๆ ขนึ Ê มา เชน่ พธิ ีไลผ่ ี พิธีเซน่ ไหว้เทพเจ้า พิธีสง่ เสริมสิริมงคลในวนั ปีใหม่ และพิธี ถือศีลกินเจ พธิ ีเหลา่ นีมÊ ีพระเตา๋ เป็นผ้ทู ําพิธีกรรมโดยมีดนตรีบรรเลงตลอดพิธีเครืÉองดนตรีมีทงัÊ ปีÉ กลอง ดาบ เป็นต้น และจะบรรเลงตงัÊ แตจ่ งั หวะช้าไล่ไปจนกระทงัÉ เป็นจงั หวะรวดเร็วเร้าใจ เพราะเชืÉอวา่ เสียงดนตรีสามารถปอ้ งกนั ปีศาจร้าย ซงÉึ พวกปีศาจไม่ชอบเพลงและเสียงดงั อกึ ทกึ ในขณะดนตรีบรรเลง พระผ◌ู ◌ท้ ําพิธีกรรมจะสวดมนต์พึมพําตลอดเวลา พร้อมกันนีมÊ ีการรํา ดาบ ปัดแส้และพรมนําÊ มนต์ มีการเผากระดาษเหลืองอีกทงัÊ มีการเซน่ ไหว้ด้วยอาหารและผลไม้ 3. พิธีกรรมทางศาสนาสําหรับคนตาย เป็นพิธีกรรมทีÉชว่ ยให้คนตายได้รับแสงสวา่ ง ของสวรรค์ เป็นพิธีส่งวิญญาณผ้ตู ายให้สามารถข้ามสะพานก้าวไปสู่สวรรค์ได้เร็วขึนÊ ในการ ทําพิธีกรรมนนัÊ จะมีการบรรเลงดนตรีและร่ายมนต์ตลอด อีกทงัÊ มีการเขียนชÉือผู้ตายด้วยสีแดง ลงบนกระดาษเหลือง แล้วประทบั ตราวดั เพÉือเป็นการรับรองคนตาย จากนนัÊ นํากระดาษแผ่น หนงÉึ ใสใ่ นโลง อีกแผน่ ให้เผาไฟ จากนนัÊ หามโลงไปเผาโดยมีพระเตา๋ สนัÉ กระดงิÉ นําหน้าและสวด มนต์ นิกายเช็งอิจะทําพิธีกรรมนีใÊ ห้กบั คนตายทÉีตายแบบไม่ปกติเท่านนัÊ เช่น คลอดลกู ตาย ตายในขณะทีÉเป็นหนุ่มสาว หรืออาจจะทําไปให้ป่ หู รือพ่อก็ได้ คนทÉีตายไปแบบนีเÊ ขาถือกันว่า

129 วิญญาณจะไม่สงบสุข มีแต่ความขุ่นเคืองจึงอาจก่อความยุ่งยากให้ได้ จึงเป็นหน้าทีÉของ ครอบครัวทีÉจะเชญิ พระเตา๋ มาทําพธิ ีกรรม (ผศ. วนิดา ขําเขียว. 2541:235) นิกายศาสนา ผศ. วนิดา ขําเขียว (2541:235) ได้กล่าวถึงนิกายของศาสนาเตา๋ ไว้วา่ ศาสนาเตา๋ มี นกิ ายทีÉสําคญั อยู่ 2 นิกาย คอื 1. นิกายชวนเชน เป็นนิกายทÉีไมไ่ ด้เน้นเรืÉองพิธีกรรมทางศาสนามากนกั 2. นกิ ายเซง็ อี เป็นนกิ ายทÉีให้ความสําคญั ตอ่ พธิ ีกรรมทางศาสนามากเป็นพิเศษ สัญลักษณ์ สญั ลกั ษณ์ของศาสนาเตา๋ ทÉีใช้มีอยู่ 2 อย่าง คือ ภาพเล่าจือÊ ขีÉกระบือ และรูปหยิน กบั หยาง หมายถึง ธรรมชาตยิ อ่ มมีสÉิงคกู่ นั เช่น มืดกบั สวา่ ง หยิน แปลวา่ ความมืด ความ หนาวเย็น ความอ่อนแอและเพศหญิง ส่วนหยาง หมายถึง ความสว่าง ความร้ อน ความ เข้มแข็งและเพศชาย (รศ. คณู โทขนั ธ์. 2537:181) ฐานะปัจจุบัน ศาสนาเตา๋ ในปัจจบุ นั นียÊ งั คงมีอยู่ในฐานะเป็นศาสนาของประชาชนไมม่ ีประมุข หรือ องค์การบริหารส่วนรวมเหมือนบางศาสนา เต๋ายงั คงมีวดั มีนกั บวชชายหญิง มีศาลเจ้า มี สมาคมแพร่หลายทÉัวไปในกลุ่มของชาวจีน แต่รูปลักษณะของศาสนาได้ผิดเพียÊ นไปจาก หลกั การในคมั ภีร์เตา๋ เตก็ เก็งมาก คอื เป็นไปในทางทรงเจ้าบชู าเจ้าซÉงึ มีลกั ษณะเป็นพหเุ ทวนิยม มีการจําหน่ายเครÉืองรางของขลัง ทําพิธีขับฝีเป็นต้น แต่ในบางลักษณะก็มีการปฏิบตั ิชอบ โดยนําศีล 5 ทางพระพทุ ธศาสนาไปเป็นแนวปฏิบตั ิก็มี นอกจากนนัÊ ยงั มีการบริโภคอาหาร แบบมงั สวริ ัติ คอื ไมบ่ ริโภคเนือÊ สตั ว์ มีสมยั ของการบริโภคอาหารเจประจําปี ปัจจุบนั ชาวจีนได้นบั ถือปะปนกันระหว่างศาสนาทงัÊ สาม คือ ถ้ากล่าวถึงธรรมชาติ เป็นเรÉืองเตา๋ ถ้ากล่าวถึงธรรมเนียมประเพณีเป็นเรÉืองของขงจือÊ ถ้ากลา่ วถึงบญุ กุศลและชาติ หน้าทÉีเป็นเรืÉองของพระพทุ ธศาสนา แตพ่ ิธีกรรมในวนั พิธีตรุษสารทตา่ ง ๆ ของชาวจีนนนัÊ สว่ น ใหญ่ก็ได้รับอิทธิพลมาจากเตา๋ เชน่ พธิ ีฉลองเดก็ เกิดใหม่ พิธีฉลองวนั เกิดอายสุ ําคญั ๆ และ วนั เกิดของเดก็ พิธีแต่งงานเป็นต้น ชาวจีนในสมยั ใหมน่ ีสÊ ่วนมากละเลยคําสอนของเตา๋ โดย

130 ไม่ถือว่าเป็นเครÉืองนําทางไปสู่ความสุขและการแก้ปัญหาชีวิตได้ แต่เต๋าก็มีประโยชน์เป็น แนวคดิ ทีÉแยกคายในระบบธรรมชาติ (สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ. 2540:172) ศาสนาขงจือÊ (Confucianism) ชีวประวัตศิ าสดาขงจือÊ ศาสดาขงจือÊ เกิดวนั ทีÉ 27 เดือนทีÉ 10 (กนั ยายน) ก่อนพทุ ธศกั ราชประมาณ 8 ปี เป็นลกู ชายคนเดยี วของบดิ ามารดา ทีÉหม่บู ้านโจว แคว้นล้หู รือชานตงุ ปัจจบุ นั เป็นคนสดุ ท้อง มีพีÉ 9 คน บดิ าชืÉอชเู ลียงโห ถงึ แกก่ รรมเมÉือขงจือÊ อายไุ ด้ 3 ปี ขงจือÊ ต้องทํางานหนกั เพÉือชว่ ย มารดาและพีÉ มารดาชืÉอวา่ ชิงไส่ เมืÉออายุ 15 ปี ได้ศกึ ษาหาความรู้ในเรืÉองตา่ ง ๆ จนมีความ รอบรู้ดีในวิชาการทงัÊ อกั ษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิตศิ าสตร์ วฒั นธรรม ดาราศาสตร์ วิชาดนตรี ประเพณี กฎระเบียบ และคําสอนของจีนโบราณ อายุ 19 ปี ได้เข้าไปรับราชการในกระทรวง เกษตรเป็นพนกั งานรักษาฉางข้าวหลวง และแตง่ งานในปีนนัÊ ได้บตุ รชายคนหนงÉึ ชÉือ ขงลี Ê เนÉือง จากการปฏิบตั งิ านได้ดมี าก จงึ ได้เลÉือนหน้าทÉีขนึ Ê เป็นหวั หน้าการนา ขงจือÊ ได้หาเวลาว่างศกึ ษา ประวตั ศิ าสตร์ ดนตรีและบทกวี มีชÉือเสียงในวชิ าความรู้มากและเริÉมเป็นทÉีรู้จกั ในหม่ปู ระชาชน ในฐานะนกั พหสู ตู ผ้เู ชีÉยวชาญในศลิ ปศาสตร์ทกุ แขนง อายุ 23 ปี มารดาถึงแก่กรรม ขงจือÊ จึง ลาออกจากราชการเพืÉอไว้ทกุ ข์ให้แกม่ ารดาเป็นเวลา 3 ปี เมÉือครบแล้วมิได้กลบั เข้ารับราชการ อีก แตไ่ ด้มาประกอบอาชีพเป็นครูมีนกั เรียนมาก ท่องเทีÉยวไปยงั เมืองตา่ ง ๆ เมÉืออายุ 34 ปี เจ้าครองรัฐชีชÊ ืÉอชีเÊกงกงแตง่ ตงัÊ เป็นทÉีปรึกษาและรับราชการได้ 3 ปี ก็ถกู องั เอ็งนายกรัฐมนตรี รัฐชีใÊ ช้อทิ ธิพลกลนัÉ แกล้ง ขงจือÊ กลบั มาอย่แู คว้นลู้ เมÉืออายุ 37 ปี และเปิดสํานกั สอนลกู ศษิ ย์ ทีÉสนใจขึนÊ เมืÉออายุ 51 ปี ลีฮÊ ่วนจือÊ นายกรัฐมนตรีรัฐลู้แตง่ ตงัÊ ให้เป็นนายกเทศมนตรีนครลู้ ทา่ นดาํ รงตําแหนง่ เพียงหนÉึงปี ก็สามารถจดั ระเบียบตา่ ง ๆ ในสงั คมได้อยา่ งเรียบร้อย ตอ่ มา ได้เลืÉอนเป็นรัฐมนตรีวา่ กระทรวงโยธาธิการเมÉืออายุ 53 ปี และกระทรวงยตุ ธิ รรม เมืÉออายไุ ด้ 54 ปี ทา่ นปกครองตามอดุ มคตจิ นรัฐล้เู จริญรุ่งเรืองและเกิดสนั ติสขุ ขึนÊ อย่างมาก ไม่มีผ้ทู ําผิด กฎหมาย คกุ ปิดร้างมานาน รัฐข้างเคียงริษยา เพราะกลวั รัฐล้จู ะเป็นรัฐมหาอํานาจ จงึ สง่ ม้า แข่งฝีเท้าดีและสตรีสาวนกั ฟ้อนรําเป็นบรรณาการ เพืÉอให้เจ้าเมืองลุ่มหลง และได้ผล ขงจือÊ ออกจากตําแหนง่ เพราะตกั เตือนเจ้าเมืองไม่ได้เมืÉออายุ 55 ปี และทอ่ งเทีÉยวไปชกั จงู เจ้าเมือง ตา่ ง ๆ ก็ไม่มีใครสนใจเอาด้วย ทําให้ได้พบกบั เหลาจือÊ ได้ไตถ่ ามปัญหาตา่ ง ๆ และได้รับ การอธิบายแจม่ แจ้งทกุ เรÉือง พร้อมกบั ได้รับคําตกั เตือนจากเลา่ จือÊ วา่ 1. สิÉงทÉีท่านค้นคว้านนัÊ กวา่ ครÉึงหนงึÉ เป็นเรÉืองราวของคนโบราณ ซึÉงคนเหล่านนัÊ ล้วนแตต่ ายจากไปนานแล้ว แม้กระดกู

131 ก็ผกุ ร่อนไปหมด คงทิงÊ ไว้แตถ่ ้อยคําตกทอดมา ฉะนนัÊ อย่ายดึ มนÉั ในถ้อยคําเหลา่ นนัÊ จนเกินไป 2. ผ้มู ีคณุ ธรรมความรู้ ถ้ามีชีวิตอย่ใู นช่วงกาลอนั สมควร ก็ควรหรอกทÉีจะออกมาวิÉงเต้นแสดง บทบาทของตน แตถ่ ้ามีชีวิตอยใู่ นกาลไมเ่ หมาะสม ก็ควรรักษาตนให้พ้นวิกฤตได้ก็เห็นสมควร แล้ว 3. คําพงั เพยวา่ พ่อค้าทÉีเก่งในการค้า ย่อมไม่ต้องตงัÊ สินค้าของตนไว้หน้าร้าน บณั ฑิต ต้องมีชีวิตอยู่อยา่ งง่าย ๆ บริสทุ ธิÍ ท่านควรละความทรนง สละความทะเยอทะยาน งดเว้น ความยโสและเลิกคดิ ฝันเสียเถอะ สิÉงเหล่านีมÊ ิได้เป็นคณุ แก่ทา่ นเลย ในการบําเพ็ญกรณียกิจ อยา่ ได้ยดึ ถือเอาอธั ยาศยั ตนเป็นใหญ่เกินไป เพราะการทําอะไรเอาแตท่ ศั นะของตนฝ่ ายเดียว แม้จะอยใู่ นครอบครัวก็ทําตนให้เหมาะสมกบั เขาไมไ่ ด้ แม้จะรับราชการก็ไม่อาจปรับปรุงตนให้ เหมาะ สมกบั ราชการได้ นÉีแหละถ้อยคําทÉีฉันจะบอกกบั ท่าน ขงจือÊ ได้รับความรู้ทีÉดÉืมดํÉามาก แม้ภายหลงั จะไมไ่ ด้เป็นใหญ่ก็ไมเ่ ดือดร้อนเลยเพราะยึดคตธิ รรมทีÉว่า บณั ฑิตย่อมไมเ่ ป็นทกุ ข์ เพราะ วา่ ไมม่ ีฐานะตาํ แหน่ง แตเ่ ป็นทกุ ข์เพราะไม่มีคณุ ธรรมวิชาในตวั เมืÉอขงจือÊ ท่องเทีÉยวหา ผ้คู รองนครทีÉเชืÉอฟังคําแนะนําของตนเป็นเวลา 15 ปี ก็ไมพ่ บจงึ เดนิ ทางกลบั แคว้นล้ใู นขณะ อายุ 69 ปี เจ้าผ้คู รองแคว้นล้ชู ืÉออายกงแตง่ ตงัÊ เป็นทีÉปรึกษาอีก ซÉึงทา่ นก็มีความสขุ มากทีÉได้มี สว่ นรวมในการสร้างสงั คมในชว่ งปัจฉิมวยั นี Ê ขงจือÊ ได้ใช้ชีวิตปัจฉิมวยั ให้กบั การศกึ ษาและแตง่ ตํารา และถึงแก่กรรมเมÉืออายุ 73 ปี (ศจ. เสฐียร พนั ธรังษี. 2524:210-225) หลักธรรมสาํ คัญของขงจือÊ ขงจือÊ สอนให้บคุ คลมีชีวิตอยู่ในสงั คมแทนทÉีจะหลีกหนีจากสงั คม ด้วยการเสนอหลกั ศลี ธรรมทีÉควรปฏิบตั ิ เพÉือปรับปรุงสงั คมมนษุ ย์ให้มีระเบยี บแบบแผน หลกั ธรรมมีดงั นี Ê 1. หลักยินÊ หมายถึง ความรัก ความเมตตากรุณา และความสงสาร คณุ ธรรมข้อนี Ê แสดงออกภายใน เป็นทีÉรวมความดีงามทงัÊ หลาย และเป็นสÉิงทีÉมนุษย์ควรปฏิบตั ิเพราะให้ผล ตอ่ การดํารงชีวิตในขณะมีชีวิตอยู่ ขงจือÊ ให้ความสําคญั มาก เพราะแสดงออกถึงลกั ษณะความ สภุ าพชนแท้จริง วธิ ีจะพฒั นาหลกั ยินÊ ให้เกิดขนึ Ê ในตนเองได้ คอื ต้องทําความดีอย่างสมํÉาเสมอ ให้เคยชินจนเป็นนิสยั โดยเริÉมจากการรู้จกั รักผ้อู ืÉนก่อน แล้วอทุ ิศตนเพืÉอผลประโยชน์ของสงั คม และต้องมนÉั ฝึกฝนอบรมบม่ นิสยั ตลอดเวลา มใิ ชเ่ รียนแตท่ ฤษฎี 2. หลักหลÉี หมายถึง ความชอบธรรมและกฎเกณฑ์ ซึÉงจะกําหนดในพิธีหนÉงึ ๆ นนัÊ ต้องทําอยา่ งไร จะชว่ ยให้แสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างเหมาะสม และเป็นทีÉยอมรับของสงั คม อนั เป็นหนทางช่วยติดตอ่ ประสานสมั พนั ธ์กันระหว่างมนษุ ย์ตอ่ มนษุ ย์ง่ายขึนÊ ความชอบธรรม และกฏเกณฑ์เหลา่ นีไÊ ด้แก่ พิธีกรรมในราชสํานกั พิธีกรรมเกÉียวกบั การเกิดและตาย พิธีกรรม

132 เซน่ ไหว้ และพิธีการตา่ ง ๆ ซึงÉ ขงจือÊ เชÉือว่า บคุ คลใดมีคณุ ธรรมทงัÊ 2 นีแÊ ล้วได้ชืÉอว่าเป็นยอด มนษุ ย์ (the superior human being) เพราะโดยธรรมชาติของมนษุ ย์ทกุ คนมีพืนÊ ฐานทีÉดีอยู่ แล้ว เมืÉอได้รับการอบรมและการศกึ ษาทÉีดีแล้วยอ่ มทําให้เป็นยอดมนษุ ย์ขึนÊ ได้ และยงั เชืÉอว่า มนุษย์เกิดมาบริสทุ ธÍิเหมือนนําÊ บริสทุ ธÍิเมÉือแรกเกิดแตต่ ้นนําÊ แตร่ าคีทีÉจะแปดเปือÊ นชีวิตยอ่ มมี ทกุ หนทกุ แห่ง มนษุ ย์จึงหนั เหไปสู่ความชวัÉ ร้ายได้ง่าย เพราะปฏิบตั ิได้ง่ายกว่าความดี ดงั นนัÊ ผู้ใหญ่หรือผู้มีอํานาจจึงควรทําตวั อย่างทีÉดี เห็นอกเห็นใจผู้ใต้ปกครอง ผู้อยู่ใต้ปกครองต้อง ซÉือสตั ย์สจุ ริตตอ่ ผ้ปู กครองบ้านเมืองจงึ จะเป็นสขุ (ผศ. วนิดา ขําเขียว. 2541:244) หลักธรรมขันÊ มูลฐาน 4 ข้อ 1. เยน ความเมตตากรุณา 2. หยี ความยตุ ธิ รรม 3. หลี พิธีกรรม 4. ฉี สตปิ ัญญา คาํ สÉังสอนของขงจือÊ ดาํ เนินตามหลักสาํ คัญ 5 ประการ ดงั นี Ê 1. ศรัทธา ความเคารพนบั ถือซÉึงกันและกนั สงั คมจะไม่มีอาชญากรรม และความ ผาสกุ ก็เกิดขนึ Ê ดงั นนัÊ ทกุ คนควรศกึ ษาให้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมชาติและธรรมดาของมนษุ ย์ ให้ เข้าถึงความดีและความสมบรู ณ์อยา่ งไมม่ ีทีÉตขิ องมวลมนษุ ย์ 2. ความเป็นผู้คงแก่เรียน การทÉีบคุ คลจะเข้าใจซงึÉ กนั และกนั ต้องอาศยั การศกึ ษาเล่า เรียนซÉึงเป็นสÉิงสําคัญทÉีควรปลูกฝังให้แก่คนทุกคน ถ้าบุคคลได้รับการศึกษาดีแล้วจะเป็น แบบอยา่ งอนั ดีตอ่ คนทงัÊ ปวงอีกด้วย 3. การบําเพ็ญคณุ ประโยชน์ ยึดหลกั มนุษยธรรมให◌้มีเมตตาจิตตอ่ กัน ให้มีความ เข้าใจอนั ดีและความนบั ถือกนั ให้ปฏิบตั ติ นตามหลกั ซงÉึ กนั และกนั 4. การสร้างลกั ษณะนิสยั และทศั นคตทิ ีÉดีงาม เป็นสÉิงควรปลูกฝังให้มีอยู่ในตวั บคุ คล เพืÉอได้เป็นรากฐานของการเป็นพลเมืองดี ด้วยหลกั ข้อนี Ê ขงจือÊ จึงได้ยําÊ ถึงความสมั พันธ์ใน ครอบครัวว่าเป็นสิÉงสําคญั ยิÉง บุตรต้องเคารพบดิ ามารดา ภรรยาต้องเคารพสามี พีÉและน้อง ต้องมีความรักและนบั ถือซÉึงกันและกัน การทีÉขงจือÊ สอนให้ครอบครัวแต่ละครอบครัวมีความ เคารพรักนบั ถือและเมตตากรุณาตอ่ กนั ด้วย การทÉีราษฎรจะเชÉือฟังคําสงÉั ของรัฐบาลและการทÉี รัฐบาลจะปกครองราษฎรด้วยความร่มเย็นเป็นสุขนนัÊ ต้องเนÉืองมาจากการปลุกฝังความรู้สึก

133 อนั นีใÊ ห้มีในครอบครัวก่อน คือผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่และผู้ใหญ่ต้องค้มุ ครองและให้ความ ยุติธรรมแก่ผ◌ู ◌น้ ้อย ผลจากคําสงัÉ สอนข้อนีเÊ องศิษย์ทังÊ หลายของขงจือÊ จึงได้แยกออกมาให้ เป็นหลกั สําคญั เพิÉมขึนÊ มาอีก 2 ข้อ คือ บุตรต้องอยู่ในโอวาทของบิดามารดาและความ จงรักภกั ดตี อ่ พระจกั รพรรดิ 5. ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี เป็นเครืÉองยดึ เหนีÉยวให้บคุ คลประพฤติดียิÉงขึนÊ จึง จําเป็นต้องอาศยั การศกึ ษาเลา่ เรียนให้รู้ถึงขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีโบราณซÉึงบรรพ บรุ ุษได้สร้างสมไว้ โดยเห็นวา่ เป็นสิÉงดีงามแล้วเป็นมรดกตกทอดสืบตอ่ มา การศกึ ษาวรรณคดี และการศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ล้วนเป็นสิÉงสําคญั ในการถ่ายทอดมรดกจากพรรพบรุ ุษ ขงจือÊ เน้น วา่ ถ้ารัฐบาลใดต้องการปกครองให้ได้แล้วต้องคํานึงถึงประวตั ศิ าสตร์และเหตกุ ารณ์ในอดีตเป็น เครืÉองสอนและชีแÊ นวทางให้ อนÉึง ขงจือÊ ได้กล่าวไว้ว่าดนตรีเป็นเครืÉองทําให้จิตใจอ่อนโยน ในขณะทÉีประเพณีรัดรึงเราได้ก็เฉพาะร่างกายภายนอกเท่านนัÊ แต่ความซาบซึงÊ ในดนตรีนนัÊ จะ เกิดขึนÊ ได้จากความรู้สึกภายใน ดนตรีชนิดตา่ ง ๆ ย่อมแสดงถึงจิตใจและเป็นสญั ลกั ษณ์ของ ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีทÉีตา่ งกนั ด้วย หลักคาํ สอนด้านต่าง ๆ ของศาสนาขงจือÊ เกีÉยวกบั ปรัชญาการปกครองและจริยธรรม มีดงั นี Ê 1. ปรัชญาการเมือง รัฐบาล คอื ศนู ย์กลางของการปกครอง การจดั ตงัÊ รัฐบาลขนึ Ê เป็นผลของความคดิ พจิ ารณาโดยถÉีถ้วน ขงจือÊ ได้ชีใÊ ห้เหน็ ความสําคญั ของรัฐบาล 2 ประการ ดงั นี Ê 1.1 อํานวยประโยชน์แกป่ ระชาชน 1.2 การสร้ างกฎต่าง ๆ รัฐบาลจะดีได้เพราะสังคมมีขนบธรรมเนียมและจารีต ประเพณีทÉีดี ดงั นนัÊ รัฐบาลทÉีดจี งึ ควรยดึ หลกั 3 ประการ ดงั นี Ê 1. อาหารเพียงพอสําหรับราษฎร 2. มีกําลงั ทหารพอสมควร 3. มีความเชÉือมนัÉ ในประชาชน 2. ปรัชญาการปกครอง ธรรมดาผ้ปู กครองถ้าบําเพ็ญตนให้มีสมั มาคารวะและข่มตนเองได้แล้ว ประชาชน ในปกครองจะพลอยมีคณุ ธรรมอนั นนัÊ ไปด้วย ถ้าผ้ปู กครองรักความเทÉียงธรรมและรู้หน้าทÉีของ ตนแล้ว ประชาชนในปกครองจะไมก่ ล้าละเมิดข้อกําหนดกฎหมายได้ ถ้าผ้ปู กครองรักในความ

134 ออ่ นโยน เห็นอกเห็นใจกนั และเชืÉอถือกนั แล้ว ประชาชนในปกครองคงจะต้องประพฤติเช่นนนัÊ ตามไปด้วย เมืÉอผ้ปู กครองตงัÊ ตนให้เทีÉยงตรงแล้ว ประชาชนในบงั คบั บญั ชาย่อมทําตามหน้าทÉีโดย ไม่ต้องขอร้อง แต่เมÉือผู้ปกครองไม่ตงัÊ ตนให้เทÉียงตรงแล้วแม้จะขอร้องสกั เท่าใดประชาชนใน บงั คบั บญั ชาก็หาเชืÉอฟังไม่ รัฐบาลทีÉดีคอื รัฐบาลทÉีทําให้ผ้อู ยใู่ นความค้มุ ครองเป็นสขุ และเป็นทีÉพอใจของประชาชน ทีÉอยตู่ า่ งด้าวไกลออกไป ถ้าผ้ปู กครองนิยมการขม่ ตนเองอย่เู ป็นเกณฑ์ ประชาชนก็จะว่านอน สอนงา่ ยตามลําดบั คาํ บงั บญั ชาของผ้ปู กครองนนัÊ ถ้ารัฐบาลจําเป็นต้องสละสงÉิ ใดสÉิงหนึÉงในการปกครองแล้ว สÉิงแรกทีÉสละได้ คือ ทหาร สงÉิ ตอ่ มาคือ อาหาร เนÉืองจากมีเหตผุ ลวา่ มนษุ ย์หนีความตายไปไมพ่ ้น รัฐบาลจงึ ไมส่ ามารถ สญู เสียความมนัÉ ใจของประชาชนได้ ผ้ทู Éีมีอํานาจแม้เอาไม้ทองหลางมาทํารัวÊ คนอืÉนก็กลวั เกรงและไมก่ ล้าลว่ งลําÊ ถ้า ให้คนอยู่ในอํานาจต้องทําขึงขงั อย่าทําเหลาะแหละ บงั คบั การให้ถูก คนทงัÊ ปวงจึงจะเกรง กลวั 3. ปรัชญาการศกึ ษา เรียนแต่ไม่คิด ก็เป็นการเสียเปล่า คิดแตไ่ ม่เรียน ก็เป็นอนั ตราย คนทÉีมีความรู้มาก มีกิริยาวาจาสมกบั ความรู้ยอ่ มดงู าม เปรียบเหมือนเขียนรูปภาพระบายด้วยลายทอง แตถ่ ้าทํา ไมส่ มกบั ความรู้ก็เหมือนเขียนรูปภาพไมม่ ีสีระบาย เป็นนกั ปราชญ์แม้รู้มากจริงก็จริง แตส่ ÉิงใดทีÉรู้แล้วไมต่ ้องถาม สิÉงใดทีÉยงั ไมร่ ู้ แม้มาตร วา่ นิดหนอ่ ยก็ควรต้องถาม คําสงัÉ สอนทÉีครูให้แก่ทา่ นนนัÊ เมÉือรู้จงบอกว่ารู้ เมืÉอไมร่ ู้จงบอกวา่ ไม่ รู้ ต้องอยา่ อวดรู้ตอ่ ครู เลา่ เรียนไปข้างหน้าจะรู้งา่ ย เรียนหนงั สือถ้าไม่หมนัÉ ตรึกตรอง เรียนไปแต่ปากก็เหมือนหนÉึงไม่ได้เรียน แต่ถ้าเป็น คนเอาแต่คิดไม่ได้เรียนก็มกั วนเวียนอย่ดู ้วยความสงสยั อุตสา่ ห์เล่าเรียนไปเถิดสตปิ ัญญาจะ เกิดเพราะเรียน อาจคดิ การงานทงัÊ ปวงให้สําเร็จไปได้ ผ้เู รียนรู้ได้จริงแล้วทÉีจะทําความชวÉั นนัÊ มี น้อย เพราะผ้ไู มเ่ รียนรู้จริงอาจทําความชวัÉ ได้ด้วยความโงเ่ ขลา เมÉือรักเรียนรู้ในหนงั สือขนบธรรมเนียมทงัÊ ปวงพงึ อตุ สาหะเรียนเสมอ ถ้าขยนั หมนÉั เพียร แล้วไฉนจะไมร่ ู้ได้ และเพียรเลา่ เรียนมาแตถ่ Éินฐานบ้านไกลไฉนจะไมส่ นกุ หนงั สือทีÉเล่าเรียนไว้ แล้ว ควรหมนÉั ตรวจตราดแู ลให้ชํานชิ ํานาญ จะได้อธิบายกว้างขวางออกไปทกุ ๆ ครังÊ

135 คนทีÉมีกําลงั แตไ่ มม่ ีปัญญา แม้จะขนั ส้กู บั ใคร ๆ ก็เหมือนเอามือเปลา่ ไปตีเสือหรือไม่ มีเรือใบข้ามแม้นําÊ คนเราเมืÉอแรกเกิดมานนัÊ ความคดิ ยงั หยาบก่อน ตอ่ เมืÉอได้เรียนรู้ดคู ําสงัÉ สอนแล้ว จึง คอ่ ยดีขึนÊ มาโดยลําดบั เปรียบเหมือนไม้กระดานแรกเลÉือยใหม่และศลิ าแรกตอ่ ยออกมายงั ไม่ เกลียÊ งกอ่ น ต้องไสกบและขดั สีจงึ เกลียÊ งเกลาขนึ Ê ได้ 4. ปรัชญาเศรษฐกิจ เมืÉอยากจน แตร่ ู้จกั ประมาณตนไม่เทÉียวประจบประแจง อุตสาห์หาทรัพย์ไปตาม สตกิ ําลงั ของตน เมืÉอมงÉั มีก็ควรเอ็นดคู นทงัÊ ปวง ตงัÊ จิตคิดอนเุ คราะห์คนทกุ ถ้วนหน้า อนงÉึ แม้ เมÉือยากจนก็ควรทําใจให้แชม่ ชืÉน ไม่หดห่ทู ้อแท้อ่อนแอ หาได้น้อยก็กินตามน้อย หาได้มากก็ กินตามมาก เมืÉอมงัÉ มีแล้วเร่งเรียนรู้ดจู ารีตประเพณี 5.ปรัชญาการวางตน เป็นขนุ นางควรตงัÊ ตนอยใู่ นความซÉือสตั ย์ ใครดีก็ควรยกย่อง ใครชวัÉ ก็ควรข่มขีÉกลา่ วสงัÉ สอน จงอยา่ เห็นแก่ลาภซงÉึ กลบั เอาคนดีเป็นคนชวÉั เอาคนชวัÉ เป็นคนดี ทําได้อย่างนีปÊ วงชนย่อม นบั ถือ เมืÉอจะพดู ถึงสิÉงใด จงพดู ด้วยความซÉือสตั ย์ให้คนทงัÊ ปวงนบั ถือเชÉือฟังได้ ถ้าได้รับธุระ ของเขาแล้วต้องทําให้สําเร็จดงั วาจา และกิริยาให้ซืÉอตรงจงึ จะเป็นทีÉนบั ถือของเขา ถ้าคบกนั เป็นเพืÉอนอยา่ หลอกลวงกนั จงึ คบกนั มนัÉ คงและยืดยาว (รศ. ดนยั ไชยโยธา. 2539:275-279) คาํ สอนในทางการปกครอง แบง่ ออกได้ 3 ชนัÊ คือ 1. ระดบั สงู คือ การให้ชาตติ า่ ง ๆ ในโลกรวมเป็นชาติเดียว และบริหารโดยรัฐบาล เดยี วกนั 2. ระดบั กลาง คือ เมÉือทําอย่างแรกไม่ได้ก็ต้องให้มีรัฐบาลประจําชาติ เป็นดีทีÉสดุ และการทÉีจะเป็นรัฐบาลทÉีดที ีÉสดุ ก็ต้องมาจากผ้ปู กครองหรือผ้นู ําของรัฐเอง 3. ระดบั พืนÊ ฐาน คือ การปกครองในระดบั ครอบครัว ขงจือÊ ถือว่าสําคญั ทÉีสดุ และยําÊ ว่า ก่อนทÉีจะเป็นนกั ปกครองทÉีดีได้นันÊ ผู้ปกครองจะต้องปกครองใจตนเองให้ได้ก่อน ให้ใจ ตงัÊ อยใู่ นสจั จะและยตุ ิธรรมจึงจะบริหารครอบครัวได้ แล้วจึงจะสามารถปกครองสงั คมและจึง จะเป็นรัฐบาลทÉีดีได้ ขงจือÊ ยําÊ ให้ผ้ปู กครองปฏิบตั ิตนเองให้เป็นผู้มีคณุ ธรรมเสียก่อน จึงจะบริหารนําพาคน อÉืนได้ ขงจือÊ สอนให้ตงัÊ ตนจากตนเองออกไปหาครอบครัว สงั คม ประชาชน และประเทศชาติ ตามลําดบั เพราะสงั คมประกอบขนึ Ê จากปัจเจกชน

136 หวั ใจของการปกครองนนัÊ ขงจือÊ สรุปว่า ความเป็นผ้เู คร่งครัดในนิติธรรมเนียม ทกุ คน ตา่ งทําหน้าทีÉของตน รัฐก็ได้ชÉือว่าเป็นรัฐสนั ติสขุ แปลว่าผ้ปู กครองทําหน้าทีÉของผ้ปู กครองเอง ข้าราชการทําหน้าทÉีของข้าราชการ บดิ าทําหน้าทÉีของบดิ า บตุ รทําหน้าทีÉของบตุ ร หลักธรรมกตัญsูต่อผู้มีพระคุณ อนั ได้แก่บิดา มารดา เป็นต้น ขงจือÊ สอนว่า ผ้เู ป็นบตุ ร พงึ ปฏิบตั ติ อ่ บดิ ามารดาผ้ใู ห้กําเนิด ดงั นี Ê 1. ให้แสดงความเคารพนบนอบตอ่ ทา่ น 2. ให้หาอาหารมาเลียÊ งจนุ เจือทา่ น 3. ให้แสดงความวิตกในคราวทา่ นเจบ็ ป่วย 4. ให้ทําพิธีอยา่ งเอิกเกริกเวลาเซน่ ไหว้ทา่ น 5. ให้แสดงความโทมนสั เศร้าใจเมÉือทา่ นลว่ งลบั (รศ. ดร. เดอื น คาํ ดี. 2541:107) หลักจริยธรรม 5 ประการ ขงจือÊ สอนวา่ เศรษฐกิจ สงั คม การเมือง และศาสนาไมส่ ามารถจะแยกออกจากกนั ได้ เพราะมีอดุ มคตริ ่วมกนั อยทู่ Éีศีลธรรม ชีวิตทÉีปราศจากความรัก คณุ ธรรมไม่อาจจะดํารงอยู่ ได้ ดงั นนัÊ หลกั จริยธรรมของขงจือÊ จงึ ประกอบด้วยองค์คณุ 5 ประการ คือ 1. ความเมตตากรุณา เป็นผ้สู ํานกึ ในคณุ ความองอาจและความพากเพียร (เหริน) 2. ความถกู ธรรม ความสจุ ริตจริงใจ (อี)Ê 3. ความเหมาะสมนิตธิ รรมเนียมประเพณี (หลีÉ) 4. ปัญญาและการศกึ ษา (จือÊ ) 5. ความเป็นผ้เู ชืÉอถือได้ ความจงรักภกั ดี (สีน) ซงÉึ ลกั ษณะหลกั จริยธรรมทงัÊ 5 ประการนีเÊป็นอดุ มคตสิ งู สดุ ของสงั คมทÉีประชาชนใน สงั คมจะต้องประพฤตปิ ฏิบตั ติ อ่ กนั อยา่ งถกู ต้อง และเหมาะสมตามฐานะนนัÊ ๆ ดงั นี Ê 1. ผ้ปู กครองแสดงความนบั ถือผ้อู ย่ใู ต้การปกครอง และผ้อู ยใู่ ต้การปกครองมีความ จงรักภกั ดี 2. บดิ า มารดา มีความเมตตา บตุ รมีความกตญั sกู ตเวที 3. สามีประกอบด้วยคณุ ธรรม ภริยาเชืÉอฟัง 4. พÉีชายวางตวั ให้สมเป็นพÉี น้องชายเคารพพÉี 5. เพÉือนวางตวั ให้เป็นทÉีเชืÉอถือไว้วางใจกนั และกนั ได้

137 ในเรืÉองธรรมเนียมประเพณีขงจือÊ ถือวา่ มีความสําคญั มากผ้ลู ว่ งละเมิดประเพณีชืÉอว่า เป็นทรุ ชน ขงจือÊ ได้เรียบเรียงนิตธิ รรมเนียมประเพณีตา่ ง ๆ ไว้เป็นอนั มากประมาณสามพนั ข้อ เชน่ เรืÉองธรรมเนียมการไว้ทกุ ข์แกบ่ รรพบรุ ุษทÉีลว่ งลบั ไป ขงจือÊ กําหนดไว้ถึง 3 ปี จงึ จะเลิกไว้ ทกุ ข์ได้ และในระหว่าง 3 ปีทÉีไว้ทกุ ข์นนัÊ จะต้องอย่เู ฝา้ บริเวณสสุ านของผ้ตู ายตลอดเวลาด้วย จะแสดงความสนกุ สนานรืÉนเริง แม้แตห่ วั เราะก็ไม่ได้เพราะการตายจากไปถือว่าเป็นเรÉืองของ การพลดั พรากจากกนั และความทกุ ข์ทีÉลกู หลานจะต้องระลกึ ถึงบรรพบรุ ุษของตนตลอดไป บคุ คลทีÉจะถือวา่ เป็นคนดีหรือบคุ คลชนัÊ สงู ได้นนัÊ ต้องประกอบด้วยคณุ ธรรม 5 ข้อ คอื 1. มีทศั นคตทิ Éีถกู ต้อง (Right Attitude) คือมีความคดิ ทÉีจะร่วมมือและถ้อยทีถ้อย อาศยั กบั ผ้อู ืÉน 2. มีมารยาททÉีถกู ต้อง (Right Procedure) คือการศกึ ษากฎระเบียบความประพฤติ ซงÉึ จะไปใช้ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ 3. มีความรู้ทีÉถกู ต้อง (Right Knowledge) คือมีความรู้ชดั เจนวา่ ด้วยประวตั ศิ าสตร์ วรรณคดี หน้าทÉีพลเมือง และศลี ธรรม 4. มีความกล้าหาญทางจริยธรรม (Right Moral Courage) คือมีความกล้าหาญทีÉ จะซÉือตรงตอ่ ตนเองและตอ่ ผ้อู ืÉน 5. มีความม่งุ มนÉั ปฏิบตั ทิ ีÉถกู ต้อง (Right Persistence) คือความยงÉั ยืนตอ่ เนืÉองกนั สมÉําเสมอไมย่ อ่ หยอ่ น ขงจือÊ กลา่ ววา่ ผ้ใู ดก็ตามทีÉมีคณุ ธรรม 5 ประการนี Ê เป็นคณุ สมบตั ปิ ระจําตวั แล้วย่อม กระทําการและดาํ เนนิ ชีวิตไปได้อยา่ งถกู ต้องทกุ เวลาและทกุ สถานทÉี ดงั นนัÊ ในแง่จริยธรรมศาสนาขงจือÊ จึงเข้ากันได้กบั ศาสนาเตา๋ ในเรÉืองการบชู าบรรพ บรุ ุษและบชู าเทพเจ้า เชน่ ฟ้าดินทีÉขงจือÊ รวบรวมไว้ลงกนั ได้กบั ศาสนาชินโต ในเรืÉองคณุ ธรรม เช่น ความกตญั sกู ตเวทีก็เข้ากันได้กับพระพทุ ธศาสนา ดงั นนัÊ ชาวจีนจึงนบั ถือศาสนาพทุ ธ ศาสนาเตา๋ และศาสนาขงจือÊ รวมกนั และชินโตก็ได้รับอิทธิพลของศาสนาทงัÊ สาม โดยเฉพาะ ศาสนาขงจือÊ จนกระทงÉั ในศาสนาชินโตได้มีการตงัÊ นิกายใหมช่ ืÉอนิกายขงจือÊ ขึนÊ 2 นิกาย คือ นิกายชินโตซูเซอิหะ กบั นิกายโตเซอิ–กโย ก็เนืÉองมาจากอทิ ธิพลของคําสอนการบชู าบรรพบรุ ุษ และบชู าฟา้ ดนิ ของชาวจีนสมยั โบราณ และความจงรักภกั ดตี อ่ พระมหากษัตริย์ว่าเป็นประเพณี และจริยธรรมอนั ดงี าม ((รศ. ดร. สจุ ิตรา ออ่ นค้อม. 2542:193-194)

138 จุดมุ่งหมายสูงสุด ขงจือÊ ไมเ่ คยกลา่ วชดั เจนวา่ เปา้ หมายสงู สดุ ของชีวิตมนษุ ย์นนัÊ คืออะไร เพราะคําสอน เน้นหนกั ทางจริยธรรมและปรัชญาการเมือง เพÉือนํามาใช้พฒั นาชีวติ และสร้างสรรค์สงั คมให้น่า อย◌ู ◌่ เปรียบได้กบั สวรรค์บนดิน อาจพิจารณาและวิเคราะห์จากคําสอนได้ว่า เป้าหมาย สงู สดุ คอื การเป็นยอดมนษุ ย์ หรือภาษาจีนวา่ ซุนจÉือ เพราะเหตวุ า่ มนษุ ย์เป็นหน่วยหนึÉงใน สังคมทÉีมีความสําคญั มากทÉีสุด ถ้ามนุษย์แต่ละคนดีแล้ว สังคมย่อมดีขึนÊ สันติภาพก็จะ เกิดขึนÊ ได้ในโลก แต่การทÉีมนุษย์จะดีได้นันÊ มนุษย์จะต้องได้รับการฝึกฝนอบรมให้บรรลุถึง มนุษยธรรม การรู้มนุษยธรรมทังÊ ภายนอกและภายใน คือการศึกษาเรียนรู้ในเรืÉองนิติธรรม เนียมต่าง ๆ รวมทงัÊ กฎระเบียบประเพณี การเมือง การปกครองทÉีคนโบราณได้วางไว้ การ ดําเนินชีวิตในสงั คมไมห่ ลีกหนีสงั คมจะต้องแก้ไขสงั คมก่อน ให้ทกุ คนปฏิบตั ติ อ่ กนั ด้วยเมตตา ธรรม บนพืนÊ ฐานแห่งความยตุ ิธรรม ชําระสงั คมให้อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ เพÉือสนั ติสขุ ของ ปวงชนในชาติเป็นสําคญั ส่วนภายใน คือ การฝึกหัดดดั นิสยั ให้เป็นคนทÉีมีเมตตาธรรม มี ความอดทน มีความกตญั sูกตเวที เป็นคนเข้มแข็ง พÉึงตนเองได้ และไม่มีความโลภ เป็น คณุ ธรรมคือซูหรือซุนจืÉอ ทÉีเป็นธรรมอนั แสดงตวั ปรากฏออกมาในฐานะแห่งมรรค ทÉีมีการ ปฏิบตั ิตนให้สัมพันธ์กับกฎธรรมชาติกลมกลืนกับความบริสุทธÍิสะอาด เพÉือบรรลุเทียนหรือ สวรรคเ์ ป็นทÉีสดุ แหง่ วญิ ญาณ (ผศ. วนิดา ขําเขียว. 2541:248) คัมภีร์ ศาสนา ในศาสนาขงจือÊ มีคมั ภีร์สําคญั ซงÉึ เรียกวา่ เก็งทงัÊ 5 และซูทงัÊ 4 ดงั ตอ่ ไปนี Ê ก. คัมภีร์เก็ง แบง่ ออกเป็น 5 เลม่ คอื 1. ชนุ ชวิ เป็นคมั ภีร์ประวตั ศิ าสตร์ เขียนขนึ Ê โดยถือประวตั ศิ าสตร์ของรัฐล้เู ป็นต้นฉบบั เป็นผลงานทีÉสําคญั ทีÉสดุ ในชีวิตของขงจือÊ ประกอบไปด้วยอดุ มคตทิ างการเมือง มีบทวิจารณ์ รัฐบาลไปด้วย กล่าวถึงภัยทางธรรมชาตหิ ลายแห่งเป็นเครืÉองเตือนใจนกั ปกครองให้ประพฤติ ถกู ต้อง มฉิ ะนนัÊ แล้วฟา้ ดนิ จะลงโทษให้เกิดวิกฤตการณ์ขนึ Ê ตามความเชÉือถือของคนในครังÊ นนัÊ เป็นประโยชน์ในการทําให้รัฐบาลมีความสงั วรตน 2. เสÉียงจือ เป็นคมั ภีร์รัฐศาสตร์ กล่าวถึงระเบียบแบบแผนในการปกครองตงัÊ แตส่ มยั พระเจ้าเงียÊ วลงมาถึงสมยั ราชวงศ์จิว แตเ่ ดิมมีถึง 3,240 บท ได้ตดั ทอนลงเหลือ 120 บท และตอ่ มาเหลือ 28 บท

139 3. เอËียะ คอื ธรรมชาตวิ ิทยา หมายถึง ความเปลÉียนแปลง เพราะความเปลÉียนแปลง และความสมั พนั ธ์แหง่ ธรรมชาตติ ลอดจนคนและสตั ว์ เป็นพืนÊ ฐานของทกุ สÉิงทกุ อยา่ ง ขงจือÊ ถือ วา่ ทุกสิÉงอยู่ภายใต้กฎแห่งความเปลีÉยนแปลงนี Ê ความเปลÉียนแปลงก็คือปรากฏการณ์ ง่าย ๆ ธรรมดาเกิดจาก 2 อยา่ งมาบวกกนั เชน่ ชายกบั หญิงเกิดเป็นบตุ ร ฟ้ากบั ดนิ เกิดเป็นสรรพสÉิง จกั รภพมีมลู ธาตุ 2 อย่างทÉีตรงกนั ข้าม ทกุ สิÉงเป็นวงจรแห่งธรรมชาติ เมืÉอมีแตกดบั ก็มีตงัÊ ต้น ใหม่ มลู เหตขุ องจกั รภพมีอยู่ 2 อยา่ ง คือ ธาตทุ ีÉแข็งคกู่ บั ธาตทุ Éีออ่ น ชายคกู่ บั หญิง สวา่ งคู่ กบั มืด ร้อนคกู่ บั เย็น ฯลฯ ความเป็นคกู่ นั นีไÊ ด้บญั ญตั เิ ป็นมลู เหตดุ งัÊ เดิม เรียกว่าอิม หมายถึง ธาตดุ นิ หรือธาตแุ มก่ บั เอียÊ ง หมายถึงธาตฟุ ้าหรือธาตพุ อ่ เรียกเป็นคกู่ นั วา่ อิมเอียÊ ง จงึ ได้เกิด ปรากฏการณ์ในชนัÊ แรกมี 8 อยา่ ง ธรรมชาติ 8 อย่างนีเÊรียกวา่ โปย้ ก่วย ดงั นี Ê เคียÊ ง ธาตฟุ ้า, คงุ ธาตดุ นิ , จิงÊ สายฟ้าผา่ , สงุ่ ลม, คมัÉ นําÊ , ลี Ê ไฟ, กึÉง ภเู ขา, ตว๋ ย ห้วยละหานธารบงึ 4. โล้ยกิง คือ นิตธิ รรมเนียม อนั หมายถึง ขนบธรรมเนียมประเพณี ความถกู ต้อง กฎหมาย ระเบียบ แบบแผน จารีต วัฒนธรรม เป็นคมั ภีร์ทÉีมีลักษณะคล้ายกับคมั ภีร์มนู ธรรมศาสตร์ของอนิ เดยี เดมิ หมายถึง การบชู าฟ้าดนิ ตอ่ มาหมายถึง วฒั นธรรมทางสงั คม 5. ซีกิง จดั เป็นวรรณคดโี คลงเลม่ แรกของจีน เป็นการรวบรวมบรรดาโคลงสมยั ชนุ ชิวราว 500 ปีมาแล้ว วา่ ด้วยเรÉืองกษัตริย์นกั ปกครอง เรÉืองลทั ธิศาสนา เรืÉองบ้านเมือง เรืÉองชีวิตในสงั คม เรÉืองธรรมชาติ และเรืÉองความรัก เป็นต้น เป็นโคลงทีÉสะท้อนถึงสภาพชีวิต ของชาวจีนในอดีตได้เป็นอยา่ งดี ข. คัมภีร์ซู นนัÊ แบง่ ออกเป็น 4 เลม่ คือ 1. ต้าเซีÉยว หมายถึง การศกึ ษาทÉีสําคญั ยิÉง หรือการศกึ ษาทÉีทําให้เป็นมหาบรุ ุษ เป็น บทความสนัÊ ๆ เกÉียวกบั ศีลธรรมเชน่ การปกครองรัฐขนึ Ê อยกู่ บั การจดั ครอบครัวให้เป็นระเบยี บ 2. จนุ ยงุ หมายถึง คําสอนเรืÉองทางสายกลาง ทÉีให้ข้อคิดเห็นทางศีลธรรมอนั เป็น พืนÊ ฐานเกÉียวกบั ความรู้จกั ประมาณตน ความสมดลุ และความเหมาะสม ข้อคิดเห็นทÉีสําคญั อีกประการหนงÉึ คือ เรÉืองความจริงใจหรือความจริง เชน่ คนทÉีมีความจริงใจตอ่ คนอÉืน และมี ความจริงใจตอ่ ตนเองเทา่ นนัÊ จงึ เป็นมนษุ ย์ทÉีแท้จริง 3. ลนุ ยู หมายถึง บทรวมภาษิตของขงจือÊ มีข้อความสนัÊ ๆ สะดวกตอ่ การจําและ กําหนดหวั ข้อ เช่น เมÉือเดินอยดู่ ้วยกันสามคน ข้าพเจ้ามกั มีครูเสมอ ข้าพเจ้าสามารถเลือก คณุ สมบตั ิดี ๆ ของคนคนหนÉึงเอามาประพฤติเลียนแบบได้ และเลือกเอาคณุ สมบตั ิเลว ๆ ของอีกคนหนงÉึ ออกแล้วเอามาแก้ไขตวั ข้าพเจ้าเองได้

140 4. เมง่ จือÊ หมายถงึ นกั ปราชญ์จีนได้รวบรวมหลกั ธรรมไว้ เช่น ความรู้สึกสงสารเป็น จุดเริÉมต้นของมนุษยธรรม ความร◌ู ◌้สึกละอายเป็นจุดเริÉมต้นของความยุติธรรม และ ความรู้สึกอ่อนโยนเป็นจุดเรÉิมของความมีมารยาทอนั ดีงาม ส่วนความรู้สึกผิดชอบชÉัวดีเป็น จดุ เริÉมต้นของปัญญา ((รศ. ดร. เดอื น คาํ ดี. 2541:108-109) พธิ ีกรรมทางศาสนา การบชู าฟ้าดนิ และพระจนั ทร์พระอาทิตย์ ในปีหนÉงึ มีรัฐพิธีหรือราชพิธีบชู า 4 ครังÊ เป็น การบชู าฟา้ ครังÊ หนงึÉ บชู าดนิ ครังÊ หนงÉึ บชู าพระอาทิตย์ครังÊ หนึงÉ บชู าพระจนั ทร์ครังÊ หนึงÉ โดยมี กําหนดการตา่ งกนั และครังÊ ทÉีนบั วา่ สําคญั ทÉีสดุ คือการบชู าฟ้า และวดั ของศาสนาขงจือÊ ศือศาล เจ้าของคนจีน เดมิ เป็นทÉีกราบไหว้ฟา้ ดิน ลม ฝน แม่นําÊ ภเู ขา ซงึÉ เชÉือวา่ เป็นเทพเจ้าประจํา ธรรมชาติ มนษุ ย์จงึ ต้องให้ความเคารพและเซ่นไหว้ เพÉือแสดงความกตญั sรู ู้คณุ ตอ่ ธรรมชาติ ตอ่ มาความเชÉือได้ถกู ผสมกลมกลืนกับเต๋าและไสยศาสตร์เดิม จากความเชืÉอทÉีเน้นในคณุ ค่า ของธรรมชาติอย่างเป็นเหตเุ ป็นผลตามแบบศาสนาขงจือÊ ได้กลายมาเป็นความเชÉือแบบลทั ธิ วิญญาณนิยม (Animism) ทÉีอิงอย่กู บั ไสยศาสตร์ เทพเจ้าในศาลเจ้ามีจํานวนมากขึนÊ และมี อารมณ์ความรู้สกึ แบบมนษุ ย์ทีÉจะให้คณุ และโทษได้ ซงึÉ มนษุ ย์จะต้องเซ่นไหว้เอาใจใสอ่ ย่เู สมอ ลกั ษณะของวดั ถูกสร้างกันÊ ด้วยกําแพงสงู ทางเข้าส่วนมากอย◌ู ◌่ทางทิศใต้ มีประตอู ยู่ 3 ประตู หลงั คาวดั ยาวมากจนยืÉนมาคลมุ ประตทู ังÊ สามทีÉอยู่หน้าวดั ส่วนบานประตนู ิยมเขียน ภาพสีสดใสงดงาม เป็นรูปเทพยดาอารักษ์ทําหน้าทีÉปกปอ้ งวิญญาณชวัÉ ร้ายไม่ให้เข้ามาในวดั ห้องโถงใหญ่จะตงัÊ แผ่นปา้ ยของปรมาจารย์ขงจือÊ และศษิ ย์เอกทีÉเป็นนกั ปราชญ์ 4 คน คือ ง้วน อวง เจงิ จือÊ จืÉอซือ และเมง่ จือÊ พิธีกรรมสําคัญได้ แก่ การไว้ ทุกข์บิดามารดาเมÉือเสียชีวิต การไว้ ทุกข์ให้ แก่ พระมหากษัตริย์เมืÉอสินÊ พระชนม์ การเซ่นไหว้บชู าบรรพบรุ ุษ เหล่านีเÊ ป็นการปฏิบตั ิเพืÉอระลึก ถึงคณุ คา่ ของบคุ คล ไมเ่ กีÉยวกบั ความเชืÉอเรืÉองภตู ผีวิญญาณและชีวิตหลงั ตาย พิธีกรรมเหล่านี Ê ภายหลงั ถกู ผสมกลมกลืนกบั วฒั นธรรมทางพระพทุ ธศาสนาและเตา๋ จนยากจะแยกออกจาก กนั ได้ พิธีกรรมทÉีเป็นแบบขงจือÊ อย่างแท้จริง คือ การฉลองวนั เกิดของขงจือÊ ภายหลงั เรียกวา่ วนั ไหว้ครู กระทํากันในไต้หวัน ในทุกปีจะมีการเซ่นไหว้บูชาด้วยอาหารอย่างดี เช่น เนือÊ วัว หมู่ และแกะ นอกจากนีมÊ ีแกงจือ และอาหารจานเล็ก ๆ อีก 4 จาน รวมทงัÊ สรุ ารสเลิศ หน้า แผ่นป้ายดวงวิญญาณขงจือÊ จะปักธูปและจุดเทียนอย่างสว่างไสวเป็นการอญั เชิญให้มาทีÉพิธี เทียนทีÉใช้นิยมสีแดง ในขณะทีÉเซ่นไหว้นันÊ ดนตรีจะบรรเลงตลอดเวลา บริเวณกลางลานวัด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook