191 พระเจ้า พระองคจ์ ะเป็นผ้ลู ิขิตชีวิตของสรรพสตั ว์ให้เป็นไป ทีÉเรียกวา่ พรหมลขิ ิต เป็นต้น แต่ พระพทุ ธศาสนากลบั ปฏิเสธอํานาจของสงÉิ ภายนอกทงัÊ หมด แตส่ อนให้เชÉืออํานาจของผลกรรม ของตนเองวา่ เป็นผ้สู ร้างสรรค์สิงÉ ตา่ ง ๆ และเป็นสงิÉ จําแนกสรรพสตั ว์ให้แตกตา่ งกนั หรือเรียก กนั วา่ กรรมลขิ ิต องค์ประกอบของกรรม กรรมหรือการกระทําทÉีจะถือวา่ สมบรู ณ์ หรือการทีÉจะเรียกวา่ เป็นกรรมสมบรู ณ์นนัÊ จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 อยา่ ง คือ 1. มีกิเลสเป็นแรงกระต้นุ หรือเป็นแรงผลกั ดนั กิเลส แปลวา่ ความเคร้าหมองใน จติ ใจ หรือเครÉืองเศร้าหมองแหง่ จิต กิเลสอนั เป็นต้นเค้าแหง่ ความชวÉั เรียกวา่ อกศุ ลมลู ได้แกค่ วามโลภ (โลภะ) ความโกรธ (โทสะ) และความหลง (โมหะ) และกิเลสทÉีเป็นตนัÊ เค้า แหง่ ความดี เรียกวา่ กศุ ลมลู ได้แก่ ความไมโ่ ลภ (อโลภะ) ความไมโ่ กรธ ไมป่ ระทษุ ร้ายใคร ๆ (อโทสะ) และความไมห่ ลงผิด (อโมหะ) กิเลสเหลา่ นีมÊ ีอยใู่ นขนั ธสนั ดานของสตั ว์โลกทีÉยงั เป็น ปถุ ชุ น และเหยืÉอลอ่ ให้เกิดกิเลส ก็คือ เบญจกามคณุ ( กามคณุ 5) คอื รูป เสียง กลิÉน รส สมั ผสั กรรมหรือการกระทําก็อาศยั กิเลสเหลา่ นีเÊป็นแรงกระต้นุ หรือผลกั ดนั 2. มีเจตนาหรือความตงัÊ ใจ เจตนาก็คอื การตงัÊ ใจหรือจงใจ เป็นปัจจยั อนั หนงÉึ ของจติ กรรมคือการกระทําหรือเมล็ดพนั ธ์ุ ผลของการกระทําหรือผลไม้ทÉีเกิดขึนÊ เรียกวา่ กรรมวิบาก (ผลของกรรม) เจตนาตา่ ง ๆ นนัÊ อาจเป็นไปได้ทงัÊ ในด้านดีและในด้านเลว ดงั นนัÊ การกระทําจงึ อาจเป็นได้ทงัÊ ทÉีเป็นประโยชน์และไมเ่ ป็นประโยชน์ ทงัÊ นี Ê ขนึ Ê อยกู่ บั วา่ ผลของการกระทํานนัÊ ๆ มีเหตปุ ัจจยั เป็นอยา่ งไร การเกÉียวโยงตอ่ เนÉืองอนั ไมจ่ บสินÊ ของการกระทําและผลของการกระทํา เหตปุ ัจจยั กบั ผลหรือเมล็ดพนั ธ์ุกบั ผลไม้เหลา่ นนัÊ ได้เกิดตอ่ เนÉืองกนั ไปอยา่ งถาวร และสงิÉ นีกÊ ็คือ ความมี ความเป็น (ภาวะ) หรือกรรมวิธีของการแปรเปลีÉยนไปอยา่ งตอ่ เนืÉองตลอดเวลาแหง่ ปรากฏการณ์ของร่างกาย และจิตใจของสภาพทีÉเป็นอยู่ มีอยู่ 3. การกระทําหรือการเคลÉือนไหว เมÉือมีเจตนาเกิดขนึ Ê แล้วคนเราก็จะมีการกระทําไป ตามเจตนา หรือความมงุ่ หมายนนัÊ โดยอาศยั เครืÉองมือ คอื กาย วาจา และใจ และเมÉือเกิด การกระทําแล้วมนั ก็จะผลิตผลออกมา เรียกวา่ ผลกรรม ผลของการกระทําทงัÊ หลายยอ่ มจะ
192 ทําให้เกิดความต้องการ และความทะยานอยากขนึ Ê อีก จงึ กลายเป็นวงเวียนหรือวงจรชีวิต เรียกวา่ วฏั ฏะ 3 ได้แก่ กิเลส กรรม และวิบาก 4.ผลสําเร็จ หมายถงึ การกระทํานนัÊ เกิดผลสําเร็จตามเจตนา (ความตงัÊ ใจหรือควมม มงุ่ หมาย) ทÉีตงัÊ ไว้ทกุ ประการ เชน่ ตงัÊ ใจจะฆา่ เขาให้ตาย และก็สามารถฆา่ เขาตายได้สําเร็จ เป็นต้น จงึ กลา่ วโดยสรุปได้วา่ การกระทําทีÉสมบรู ณ์หรือการกระทําทีÉจะเรียกวา่ เป็นกรรมทีÉ สมบรู ณ์นนัÊ ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 อยา่ ง ดงั กลา่ วข้างต้นนนัÊ พระพทุ ธเจ้าจงึ ทรง เน้นวา่ การกระทําทÉีมีเจตนาจงึ จะเรียกวา่ เป็นกรรม เครÉืองมือทาํ กรรม กรรมหรือการกระทําใด ๆ ก็ตาม จะต้องอาศยั เครืÉองมือการกระทําทงัÊ สินÊ เครืÉองมือ การกระทําแบง่ ออกได้ 3 ชนดิ คือ 1. กายกรรม การกระทําทางกาย 2. วจีกรรม การกระทําทางวาจา 3. มโนกรรม การกระทําทางใจ ชนิดของกรรม กรรมในพระพทุ ธศาสนาจําแนกได้หลายแบบ ซงÉึ จะยกมากลา่ วในทีÉนีคÊ ือ กรรม แบง่ ออกเป็น 2 ชนดิ และกรรม 4 ชนดิ คอื 1. กรรม 2 ชนิด ได้แก่ 1.1 กุศลกรรม คือ กรรมฝ่ายดี เรียกอีกชืÉอหนงึÉ วา่ กศุ ลกรรมบถ 10 หมายถึง วถิ ีแหง่ การกระทําความดี 10 หรือเรียกวา่ สจุ ริต แยกสจุ ริตได้ 3 หมวด จาก 10 ประการ มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนีไÊ ปนี Ê 1. ปาณาตปิ าตา เวรมณี เว้นการฆา่ สตั ว์ 2. อทนิ นาทานา เวรมณี เว้นการถือเอาสÉิงของผ้อู ืÉน กายสจุ ริต 3 3. กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวรมณี เว้นการประพฤตผิ ิดในกาม 4. มสุ าวาทา เวรมณี เว้นการพดู เท็จ 5. ปิสณุ าย วาจาย เวรมณี เว้นการพดู สอ่ เสียด วจีสุจริต 4 6. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นการพดู คาํ หยาาบ 7. สมั ผปั ปลาปา เวรมณี เว้นการพดู เพ้อเจ้อ 8. อนภิชฌา ไมค่ ิดโลภอยากได้ของผ้อู Éืน
193 9. อพยาบาท ไมค่ ิดพยาบาทปองร้ายเข้า มโนสจุ ริต 3 10. สมั มาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม 1.2 อกุศลกรรม คือ กรรมฝ่ายชวÉั เรียกอีกชÉือหนงึÉ วา่ อกศุ ลกรรมบถ 10 หมายถึง วถิ ีแหง่ การกระทําความชวÉั 10 หรือเรียกวา่ ทจุ ริต โดยแยกทจุ ริตออกได้ 3 หมวด จาก 10 ประการนนัÊ มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. ปาณาติปาต การฆา่ สตั ว์ 2. อทินนาทาน การถือเอาสÉิงของผ้อู ืÉน กายทจุ ริต 3 3. กาเมสุ มิจฉาจาร การประพฤตผิ ิดในกาม 4. มสุ าวาท การพดู เท็จ 5. ปิสณุ วาจา การพดู สอ่ เสียด วจีทุจริต 4 6. ผรุสวาจา การพดู คาํ หยาาบ 7. สมั ผปั ปลาปะ การพดู เพ้อเจ้อ 8. อภิชฌา คดิ โลภอยากได้ของผ้อู ืÉน 9. พยาบาท คดิ พยาบาทปองร้ายเข้า มโนทจุ ริต 3 10. มิจฉาทฏิ ฐิ เห็นผดิ จากคลองธรรม 2. กรรม 4 ชนิด ในกกุ กโุ รวาทสตู ร มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌิมปัณณาสก์ และในกรรม วรรค องั คตุ ตรนกิ าย จตกุ กนบิ าต พระพทุ ธองค์ทรงจําแนกกรรมไว้ 4 ชนิด คือ 2.1 กรรมทÉีเป็ นฝ่ ายดาํ (กรรมชวัÉ ) มีวิบากเป็นฝ่ายดาํ (ฝ่ ายชวÉั ) เทา่ นนัÊ คือ อกศุ ลกรรมอนั เกิดจากอกศุ ลเจตนา 3 ประเภท ได้แก่ 2.1.1 กายทจุ ริต การประพฤตชิ วÉั ทางกาย 2.1.2 วจีทจุ ริต การประพฤตชิ วÉั ทางวาจา 2.1.3 มโนทจุ ริต การประพฤตชิ วÉั ทางใจ 2.2 กรรมทÉีเป็ นฝ่ ายขาว (กรรมดี) มีวิบากเป็นฝ่ายขาว (ฝ่ายดี) คือ กศุ ลกรรม อนั เกิดจากกศุ ลเจตนา 3 ประเภท ได้แก่ 2.2.1 กายสจุ ริต การประพฤติดีทางกาย 2.2.2 วจีสจุ ริต การประพฤตดิ ที างวาจา 2.2.3 มโนสจุ ริต การประพฤติดที างใจ 2.3 กรรมทÉีเป็ นทังÊ ฝ่ ายดาํ และฝ่ ายขาว มีวิบากเป็นฝ่ายดําและฝ่ายขาว (ฝ่าย
194 ชวÉั ผสมกบั ฝ่ายดี) คอื การกระทําทงัÊ ดีและชวÉั อนั เกิดจากกศุ ลเจตนาและอกศุ ลเจตนาในคราว เดยี วกนั (ปะปนกนั หรือตดิ ตอ่ กนั ) เชน่ ชายหนมุ่ คนหนงึÉ เดนิ เลียบงฝÉังคลองมา ขณะนนัÊ ตา เหลือบมองเหน็ หญิงสาวกําลงั จะจมนําÊ ตาย จงึ กระโดดลงไปชว่ ยขนึ Ê มาจากนําÊ ขณะทีÉชาย หนมุ่ ได้สมั ผสั กบั ร่างของหญิงสาวคนนนัÊ จิตก็เกิดพิศวาส จงึ ถือโอกาสจบั โนน่ คลํานÉี นÉีก็แสดง ให้เห็นวา่ ชายหนมุ่ ผ้นู ีมÊ ีเจตนาทงัÊ 2 อยา่ ง คือ กศุ ลเจตนาและอกศุ ลเจตนาทÉีเกิดขนึ Ê ปะปน หรือตดิ ตอ่ กนั 2.4 กรรมทÉไี ม่ดาํ ไม่ขาว ไมม่ ีวิบากทงัÊ ฝ่ายดําและฝ่ ายขาว ยอ่ มเป็นไปเพืÉอความ สินÊ กรรม คือ การกระทําทÉีเกิดจากเจตนาทีÉจะละทงัÊ กรรมดาํ และกรรมขาว ซงÉึ เป็นเจตนา กอ่ ให้เกิดกรรมทีÉนําไปสกู่ ารหลดุ พ้นจากทกุ ข์โดยสินÊ เชงิ กรรมชนิดนี Ê ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 กฎแห่งกรรม คาํ วา่ กฎแหง่ กรรม หมายถงึ กฎแหง่ เหตผุ ล เชน่ คํากลา่ วทีÉวา่ ทําดไี ด้ดี ทําชวÉั ได้ ชวัÉ เป็นต้น เป็นกฎแหง่ กรรมหรือกฎแหง่ เหตผุ ล แตก่ ฎแหง่ เหตผุ ลนีมÊ ีอยหู่ ลายระดบั หากจะ แบง่ กว้าง ๆ ก็จะมีอยู่ 2 ระดบั คือ 1. ระดับศีลธรรม กฎแห่งกรรม (กฎแหง่ เหตผุ ล) นี Ê เป็นกฎทีÉมนษุ ย์บญั ญัตหิ รือ สร้างขนึ Ê มา เพÉือเป็นหลกั ปฏิบตั ขิ องคนในสงั คม อนั จะทําให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซงÉึ จะนําไปสคู่ วามสขุ แก่คนในสงั คมนนัÊ เอง กฎแหง่ เหตผุ ลในระดบั ศลี ธรรมนีมÊ ีปรากฏอยทู่ วÉั ไป ในสงั คมมนษุ ย์ เชน่ การบญั ญตั ขิ ้อปฏิบตั โิ ดยห้ามมิให้ฆา่ ไมป่ ระทษุ ร้ายกนั ทางร่างกายและ วาจา เป็นต้น คําวา่ ทําดีได้ดี ทําชวัÉ ได้ชวÉั ก็เป็นกฎแหง่ กรรมในระดบั ศีลธรรมเท่านนัÊ คือ การสอนมงุ่ ให้ผ้ทู Éียงั ยึดอตั ตา (ตวั ตน) ทÉียงั หลงตดิ ข้องอยใู่ นโลกอนั เป็นเพียงสÉิงสมมตุ ิ จงึ เรียกวา่ สมมตสิ จั จะ บรรดาลทั ธิและศาสนาตา่ ง ๆ ก็ได้บญั ญตั กิ ฎระเบียบตา่ ง ๆ ขึนÊ มา และกฎระเบียบเหลา่ นนัÊ ก็มีทงัÊ คล้ายคลงึ ทงัÊ แตกตา่ งกนั ออกไป เชน่ ลทั ธิและศาสนา ฝ่าย เทวนิยมก็สอนให้เกรงกลวั ตอ่ พระเจ้า ให้มีศรัทธาเชÉือมนÉั ในพระเจ้า การกระทําทÉีเรียกวา่ ดี ก็ ต้องกระทําตามทÉีพระเจ้าต้องการ หลงั จากสินÊ ชีวิตแล้ว วญิ ญาณก็จะกลบั คืนไปอยกู่ บั พระเจ้า ดงั นนัÊ ลทั ธิและศาสนาประเภทเทวนยิ ม จงึ ใช้วิญญาณวา่ Soul หรือ Spirit อนั เป็นสว่ นแบง่ ภาคจากพระเจ้าผ้สู ร้างสรรพสิÉง เชน่ สร้างมนษุ ย์ เมÉือพระเจ้าปันÊ รูปร่างเรียบร้อยแล้วก็ยงั ไมม่ ี ชีวติ (ไมม่ ีลมหายใจ) ตอ่ เมÉือพระเจ้าแบง่ วญิ ญาณของพระองค์มาสิงสถิตอยใู่ นรูปร่างนนัÊ จงึ มีชีวิต มีความรู้สกึ นึกคิดขึนÊ มา ถ้าพระเจ้าเรียกเอาวิญญาณ (Soul) กลบั คนื รูปกายของ มนษุ ย์หรือสตั ว์นนัÊ ก็จะตาย จากทฤษฎีดงั กลา่ วนีเÊอง จงึ เกิดคําสอนตอ่ ไปอีกหลงั จากสินÊ ชีวิต ไปแล้ว นนัÊ คือ คําสอนเกÉียวกบั สวรรค์และนรก เพÉือสอนให้คนกระทําดี เพÉือจะได้ไปเกิดใน
195 สวรรคห์ ลงั จากสินÊ ชีพไปแล้ว และสอนให้คนเกรงกลงั ตอ่ ความชวัÉ (บาป) เพราะหลงั จากตาย แล้วจะต้องไปตกนรก สว่ นลทั ธิและศาสนาในฝ่ายอเทวนิยม (ปฏิเสธพระเจ้า) ไมไ่ ด้สอนให้ เชÉือ และไมส่ อนให้ฝากกายถวายชีวิตไว้กบั สงิÉ ศกั ดสÍิ ิทธÍิภายนอก เชน่ พระเจ้า ฯลฯ จงึ ไม่ ต้องกลา่ วถงึ เรืองสวรรค์หรือนรกภายหลงั ตายแล้ว เพราะเชÉือวา่ ความดี ความชวÉั ต้องทําด้วย ตนเอง และเป็นกฎของกรรม (การกระทํา) ทีÉจะต้องผลิตผลออกมาเอง ไมต่ ้องให้สÉิงศกั ดสิÍ ทิ ธÍิ หรืออิทธิพลภายนอกทÉีจะชว่ ยดลบนั ดาลให้ได้ความสขุ หรือความทกุ ข์ แตป่ ระการใด ด้วย เหตนุ ี Ê กฎแหง่ กรรมในระดบั ศีลธรรมนี Ê จงึ เป็นเรืÉองทÉีมนษุ ย์เป็นผ้บู ญั ญัตขิ นึ Ê มา เป็นระดบั ความจริงขนัÊ สมมตุ สิ จั จะเทา่ นนัÊ ดงั นนัÊ กฎเกณฑ์ทÉีปรากฏอยใู่ นลทั ธิและศาสนาตา่ ง ๆ จงึ แตกตา่ งกนั 2. ระดบั สัจธรรม เป็นกฎแหง่ กรรม (กฎแหง่ เหตผุ ล) ระดบั สจั ธรรมนี Ê ซงึÉ มนษุ ย์ไม่ สามารถกําหนดหรือบญั ญัตขิ นึ Ê มาเองตามทÉีต้องการได้ เพราะเป็นเรืÉองของธรรมชาตลิ ้วน ๆ แตก่ ฎดงั กลา่ วนียÊ งั ไมม่ ีปรากฏวา่ มีใครนํามากลา่ ว และยงั ไมม่ ีใครค้นพบมาก่อน จนกระทงัÉ พระพทุ ธเจ้าตรัสรู้โดยการค้นพบ กฎของธรรมชาติ (Law of nature) จงึ ทรงนํามาสอน ชาวโลกวา่ สิÉงทงัÊ ปวงเป็นเพียงสิงÉ ประชมุ ปรุงแตง่ เกิดขนึ Ê โดยอาศยั เหตอุ าศยั ปัจจยั เมืÉอ เกิดขนึ Ê (รวมกนั แล้ว) ก็แปรปรวน ครันÊ สินÊ เหตสุ ินÊ ปัจจยั สÉิงทÉีประชมุ ปรุงแตง่ นนัÊ ก็ดบั สลายไป สงิÉ ทงัÊ หลายจงั ล้วนตกอย่ใู นหลกั อนจิ จงั คือ เป็นสิÉงทÉีหาความเทÉียงแท้แน่นอนตลอดไปไมไ่ ด้ ผ้ใู ดหลงผดิ คดิ วา่ เป็นสÉิงเทÉียงแท้แนน่ อน เมืÉอสิงÉ นีมÊ นั ไมเ่ ทีÉยงไมแ่ นน่ อนตามทÉีคดิ มนั แปรเปลีÉยนไป เขาจงึ เกิดความทกุ ข์ (ทกุ ขงั ) เกิดความเดอื ดร้อน เพราะมนั ไมอ่ ยใู่ นสภาพเดมิ แม้ร่างกายและจิตใจทÉีเรายดึ ถือวา่ เป็นตวั ของเรา เป็นสงิÉ ทีÉเรารัก เราหวงแหนมากทÉีสดุ มนั ก็ เป็นเพียงตวั ตนทÉีสมมตุ เิ ทา่ นนัÊ มใิ ชเ่ ป็นตวั ตนทีÉคงทนถาวรแท้จริง เพราะมนั จะต้องเป็นไปตาม กฎของมนั คือ ต้องแก่ (ชรา) ต้องตาย (มรณะ) หาความเป็นตวั เป็นตน (ถาวร) มิได้ (อนตั ตา) หรือหลกั อนตั ตาอนั เป็นความจริงสงู สดุ จงึ เรียกวา่ สจั ธรรม กฎแหง่ กรรมในระดบั สจั ธรรมนี Ê เป็นกฎทÉีครอบคลมุ ทกุ สงÉิ ทกุ อย่างทงัÊ มีชีวิตและไม่มี ชีวิต ไมม่ ีใครบญั ญัติ ไมม่ ีใครเป็นผ้กู ําหนดวา่ ให้เป็น หรือไมใ่ ห้เป็นอยา่ งนนัÊ อย่างนี Ê มนั เป็น เองของมนั จงึ เรียกวา่ กฎธรรมชาติ มนั ย่อมเป็นไปตามเหตปุ ัจจยั สว่ นทีÉมนั เป็นไปทÉีเรา เรียกวา่ เจริญ เสÉือม ดี ไม่ดี ฯลฯ นนัÊ มนั อยกู่ บั เหตปุ ัจจยั เหตปุ ัจจยั อยา่ งหนงึÉ มนั ก็เป็นไป อยา่ งหนงึÉ ไมไ่ ด้เป็นเพืÉอให้ถกู ใจ พอใจ หรือไมถ่ กู ใจ ไมพ่ อใจของใคร ๆ เชน่ การรวมกนั ของดนิ กบั นําÊ ผลก็คือเป็น โคลนตม หากมีคนเอาดนิ กบั นําÊ มาผสมกนั แล้วให้เกิดเป็นทองคํา หรือเป็นหยกยอ่ มเป็นไปไมไ่ ด้ เพราะเหตปุ ัจจยั มนั เป็นอีกประเภทหนงÉึ
196 การให้ผลของกรรม กรรม คือ การกระทํา และทีÉเป็นกรรมทÉีสมบรู ณ์นนัÊ จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 อยา่ ง ดงั กลา่ วแล้ว ครันÊ มีการกระทําตามองค์ประกอบเหลา่ นนัÊ กรรมยอ่ มให้ผล (วบิ าก กรรม) อยา่ งแนน่ อน การให้ผลของกรรมตามหลกั ทางพระพทุ ธศาสนานนัÊ มีปรากฏอยใู่ นทีÉ หลายแหง่ ด้วยกนั ในทีÉนีจÊ ะขอยกมากลา่ วตามนยั ทÉีแสดงไว้ในทÉีตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. การให้ผลของกรรมตามนยั แหง่ กกุ กโุ รวาทสตู ร กรรมทงัÊ 4 ชนดิ มีการให้ผล แตกตา่ งกนั ซงึÉ ขนึ Ê อยกุ่ บั คณุ ภาภของกรรมแตล่ ะชนิดนนัÊ ดงั มีรายละเอียดตอ่ ไปนี Ê 1.1 กรรมทÉีเป็นฝ่ายดํา คือ กรรมชวÉั (อกศุ ลกรรม) อนั เกิดจากแรงกระต้นุ หรือ แรงผลกั ดนั จากเจตนาชวัÉ ยอ่ มสง่ ผลให้ผ้กุ ระทําได้รับความทกุ ข์ ความเดือดร้อน ประสบกบั ภยั วิบตั ิ อปุ ัทวเหตุ เจ็บไข้ได้ป่วย หลงั จากสินÊ ชีวิตไปแล้ว จะเกิดในภพทีÉเสวยผลกรรมทีÉเป็น ทกุ ข์ หรือเกิดในอบายภมู ิ 4 ได้แก่ เกิดเป็นสตั ว์เดรัจฉาน เปรต สตั ว์นรก และอสรุ กาย 1.2 กรรมทีÉเป็นฝ่ายขาว คอื กรรมดี (กศุ ลกรรม) อนั เกิดจากแรงกระต้นุ หรือ แรงผลกั ดนั จากเจตนาดี ยอ่ มสง่ ผลให้ผ้กู ระทําได้รับความสขุ ความเจริญในชีวิตหลงั จาก สินÊ ชีวิตไปแล้ว จะไปเกิดเสวยผลดีในสคุ ตโิ ลกสวรรค์ 1.3 กรรมทÉีเป็นทงัÊ ฝ่ายดําและฝ่ายขาว คอื กรรมทÉีมีวิบาก (ผล) เป็นฝ่ายดาํ และ ฝ่ายขาว มีผลทงัÊ ดํา (ชวÉั ) ทงัÊ ขาว (ดี) คอื ผลของกรรมทีÉให้ผลทงัÊ สขุ ทงัÊ ทกุ ข์พร้อม ๆ กนั ไป บคุ คลจะประสบกบั สมบตั แิ ละและวิบตั พิ ร้อม ๆ กนั ไป เชน่ บคุ คลคนหนงÉึ ถกู ล็อดเตอรีÉรางวลั ทÉี 1 แล้วซือÊ รถเกง่ ขณะทÉีขบั รถไปตามถนน ก็ถกู รถคนั อืÉนชนจนได้รับอบุ ตั เิ หตถุ ึงกบั ขาหกั รถก็เสียหายยบั เยนิ ตนเองก็กลายเป็นคนพิการ เป็นต้น 1.4 กรรมทีÉไมด่ าํ ไมข่ าว คือ กรรมทีÉมีผลไมด่ ําไมข่ าว ยอ่ มสง่ ผลให้ผ้กู ระทําหลดุ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด (นิพพาน) ย่อมเป็นไปเพืÉอการสินÊ กรรม เพราะเป็นการกระทําทีÉ เกิดจากเจตนาทีÉจะละทงัÊ กรรมดาํ (ชวÉั ) และกรรมขาว (ดี) ผ้ทู ีÉละได้เชน่ นี Ê ย่อมพ้นจากทกุ ข์ ภยั วบิ ตั ทิ งัÊ ปวงโดยสินÊ เชงิ 2. การให้ผลของกรรมตามนยั แหง่ ธรรมวิภาค ปริจเฉททÉี 2 การให้ผลของกรรมตาม ธรรมวภิ าค ปริจเฉททีÉ 2 นี Ê เป็นการแสดงหรืออธิบายในสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้ากรมพระยาว ชิรญาณวโรรส ซงึÉ ทา่ นได้จําแนกการให้ผลของกรรมไว้เป็น 3 โอกาส นนÉั คือ การทีÉกรรมจะ ให้ผลลงไปแตล่ ะคราวนนัÊ จะต้องประจวบกบั โอกาสทงัÊ 3 คือ ถกู เวลา ถกู ตามหน้าทÉีและถกู ตรงกบั อนั ดบั ของมนั ดงั นนัÊ จงึ แยกกรรมเป็น 12 อย่าง จดั เข้าหมวดได้ 3 หมวด (หมวด ละ 4 อยา่ ง) ดงั มีรายละเอียดตอ่ ไปนี Ê คอื
197 2.1 กรรมให้ผลตามเวลา แบง่ ได้ 4 คอื 2.1.1 ทิฏฐเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตนิ ี Ê กรรมชนดิ นีมÊ ีกําลงั แรงมาก แตถ่ ้า ไมมีเวลา หรือไมม่ ีโอกาสทีÉจะให้ผลในชาตนิ ีกÊ ็จะกลายเป็นอโหสิกรรมไปโดยปริยาย 2.1.2 อปุ ัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตหิ น้า เป็นกรรมมีกําลงั ออ่ นกวา่ ข้อ ทีÉ 1 ถ้าไมม่ ีโอกาสให้ผลในชาตหิ น้า ก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมไป 2.1.3 อปราปรเวทนียกรรม กรรมทีÉให้ผลในชาติตอ่ ๆ ไป อาจจะรอให้ผลใน ชาตติ อ่ ๆ ไป กรรมชนิดนีมÊ ีแรงเบา ถ้าไมม่ ีโอกาสให้ผล ก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมไป 2.1.4 อโหสกิ รรม กรรมทีÉไมใ่ ห้ผล เพราะไมม่ ีชอ่ งทีÉจะให้ผลในทÉีสดุ ก็สญุ ไป 2.2 กรรมให้ผลตามหน้าทÉี แบง่ ได้ 4 คอื 2.2.1 ชนกกรรม กรรมก่อให้เกิด กรรมแตง่ ให้เกิด คือ กรรมทÉีสง่ ให้เกิดในกําเนิด ตา่ ง ๆ 2.2.2 อปุ ถมั ภกกรรม กรรมอปุ ถมั ภ์ (สนบั สนนุ ) ชนกกรรม (กรรมข้อทีÉ 1) คือ แตง่ ให้เกิดทÉีดีก็สนบั สนนุ ให้ดยี งิÉ ขนึ Ê ถ้าหากชนกกรรมแตง่ ให้เกิดทÉีเลว อปุ ถมั ภกกรรมนีกÊ ็จะ บบี คนั ให้เลวลง 2.2.3 อปุ ปีฬกกรรม กรรมบบี คนัÊ กรรมชนิดนีจÊ ะทําหน้าทÉีกีดกนั หรือเบียดเบียน ชนกกรรม ถ้าชนกกรรมแตง่ ให้เกิดทÉีดี ก็จะบบี คนัÊ ให้เลวลง ถ้าแตง่ ให้เกิดในทÉีไมด่ ีก็จะ สนบั สนนุ ให้ดีขนึ Ê 2.2.4 อปุ ฆาตกกรรม กรรมตดั รอน กรรมชนิดนีจÊ ะทําหน้าทีÉคล้ายกบั อปุ ปีฬก กรรม แตร่ ุนแรงกวา่ คือ มีกําลงั แรง สามารถตดั กรรมเก่าให้ขาดไปอยา่ งสินÊ เชิง ทงัÊ ฝ่าย กศุ ลและฝ่ายอกศุ ล 2.3 กรรมให้ผลตามลําดบั หนกั เบา แบง่ ได้ 4 คือ 2.3.1 ครุกรรม กรรมหนกั เป็นกรรมทÉีให้ผลก่อนกรรมอÉืน ๆ เชน่ กรรมในฝ่าย อกศุ ล คือ อนนั ตริยกรรม ได้แก่ ฆา่ บิดา ฆา่ มารดา ฆา่ พระอรหนั ต์ ทําร้ายพระพทุ ธเจ้า แม้เพียงพระโลหิตห้อ ทําสงั ฆเภท (ทําให้สงฆ์แตกกนั ) 2.3.2 พหลุ กรรม หรือ อาจณิ ณกรรม กรรมทีÉทําจนเคยชิน หรือเป็นปกติวสิ ยั กรรมชนดิ นีมÊ ีผลรุนแรง รองลงมาจากครุกรรม จะให้ผลยืนยาวมาก ถ้าไมม่ ีครุกรรม กรรมนีกÊ ็ จะให้ผลกอ่ น (เป็นอนั ดบั แรก) 2.3.3 อาสนั นกรรม กรรมทีÉกระทําเมÉือจวนจะสินÊ ชีวติ ถ้าไมม่ ีกรรมทงัÊ 2 ชนดิ ข้างต้น กรรมชนิดนีจÊ ะให้ผลทนั ที
198 2.3.4 กตตั ตากรรม กรรมสกั วา่ กระทําคอื กระทําโดยไมม่ ีเจตนา หรือทําผดิ ไป จากเจตนาเดมิ เชน่ แพทย์ฉีดยาเพÉือหวงั ให้หายจากโรค แตค่ นไข้กลบั ตาย เป็นต้น เมÉือไมม่ ี กรรมชนิดอÉืน ๆ ทงัÊ 3 ข้างต้น กรรมชนิดนีจÊ งึ จะให้ผล ในจฬู กมั มวิภงั คสตู ร มีการกลา่ วถงึ การให้ผลของกรรมไว้ ซงึÉ อาจแยกเป็นผลของ กรรมชวัÉ และกรรมดีได้ ดงั นี Ê ผลแหง่ กรรมชวัÉ ผลแหง่ กรรมดี -คนมีอายสุ นัÊ เพราะฆา่ สตั ว์ -คนมีอายยุ ืน เพราะไมฆ่ า่ สตั ว์ -คนมีโรคภยั ไข้เจ็บมาก เพราะเบยี ดเบียน -คนไมม่ ีโรค เพราะไมเ่ บยี ดเบียนสตั ว์ สตั ว์ -คนทÉีหน้าตาสะสวย ผิดพรรณดี เพราะเป็น -คนทÉีหน้าไมส่ วน ผิวพรรณไมด่ ี เพราะเป็น คนใจดี ไมโ่ กรธ ไมพ่ ยาบาท คนมกั โกรธ -คนทÉีมียศศกั ดสิÍ งู เพราะไมร่ ิษยาผ้อู ืÉน -คนทีÉมียศศกั ดิÍตาÉํ เพราะริษยาผ้อู ืÉน -คนทÉีเกิดมาเป็นคนมงÉั มี เพราะทําทานไว้ -คนทีÉเกิดมาเป็นคนยากจน เพราะไมเ่ คย มาก บริจาคทาน -คนทÉีมีปัญญาเฉลียวฉลาด เพราะเป็น -คนทÉีโง่เขลา เพราะไมแ่ สวงหาความรู้ ผ้สู นใจใฝ่หาความรู้อยเู่ สมอ -คนทีÉเกิดในตระกลู ตÉาํ เพราะเป็นคน -คนทีÉเกิดในตระกลู สงู เพราะเป็นคนออ่ น กระด้างถือตวั น้อมถอ่ มตน ไมโ่ อ้อวด หลักจริยธรรม อริยมรรคข้อสดุ ท้าย หรือนิโรธคามนิ ีปฏิปทา อนั ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการนนัÊ เป็นประมวลหลกั จริยธรรมทงัÊ หมดในพระพทุ ธศาสนา เป็นคาํ สอนภาคปฏิบตั โิ ดยตรง เพืÉอชว่ ย ให้การดําเนินชีวิตไปส่คู วามจริงอนั สงู สดุ เป็นไปได้ เพราะพทุ ธธรรมมีความหมายกบั ชีวิตภาค ปฏิบตั เิ ป็นสําคญั และเป็นกระบวนการแก้ปัญหาชีวิตภาคปฏิบตั อิ ยา่ งสมั พนั ธ์กบั ผลซงÉึ เรียกวา่ ปฏิเวธ กระบวนการดบั ทกุ ข์ตามหลกั มชั ฌิมาปฏิปทานี Ê เรียกได้อีกอยา่ งคือการดาํ เนินชีวิตไป ตามระบบพรหมจรรย์ เพราะผ้ดู าํ เนินไปตามระบบนี Ê ยอ่ มบรรลคุ วามสินÊ กรรมคือการไมป่ ฏิบตั ิ ผิดทาง ซงÉึ เรียกวา่ สดุ โตง่ ทงัÊ 2 สาย และการดบั สงั สารวฏั เสียได้ ในสงั ยตุ ตนกิ าย พระพทุ ธองค์ได้ตรัสเอาไว้วา่ อริยมรรคมีองค์ 8 ประการนี Ê คือ พรหมจรรย์ ผ้ปู ระกอบด้วยอริยมรรคนี Ê เรียกวา่ พรหมจารี สภาวะความสินÊ ราคะ โทสะ โมหะ
199 เรียกวา่ ความจบสินÊ พรหมจรรย์ ดงั นนัÊ คําว่า มชั ฌิมาปฏิปทาหรือพรหมจรรย์ จงึ หมายถึง ตวั พระพทุ ธศาสนาในภาคปฏิบตั ทิ งัÊ หมดทีเดยี ว ในปฐมเทศนา หรือ ธมั มจกั กปั ปวตั นสตู ร พระพทุ ธองคไ์ ด้ทรงแสดงความหมายแห่ง มชั ฌมิ าปฏิปทา และจดุ มงุ่ หมายแหง่ ข้อปฏิบตั ไิ ว้อย่างสมบรู ณ์ในฐานะเป็นทางสายกลาง ซงึÉ หมายถึงการไมเ่ ข้าไปข้องแวะทีÉสดุ 2 อยา่ ง คอื กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค การหมกมนุ่ อยดู่ ้วยกาม สขุ และอตั ตกิลมถานโุ ยค การมวั สร้างความลําบากเดือดร้อนแก่ตนเอง ในพระพทุ ธศาสนาพระพทุ ธเจ้าทรงแสดงหลกั ธรรมไว้เป็นอนั มาก สว่ นทีÉถือวา่ เป็น จริยธรรมนนัÊ สามารถจําแนกได้เป็น 3 ระดบั คือ 1. ระดบั มลู ฐาน คือ ศลี ห้า ได้แก่ 1. งดเว้นจากการฆา่ สตั ว์ 2. งดเว้นจากการลกั ทรัพย์ของผ้อู Éืน 3. งดเว้นจากการประพฤตผิ ิดทางธรรม 4. งดเว้นจากการพดู โกหกมดเท็จ 5. งดเว้นจากการดมÉื สรุ าเมรัยและยาเสพติดให้โทษ 2. ระดบั กลาง คือ กศุ ลกรรมบถ 10 คอื เป็นไปทางกายสจุ ริต 3 ประการ คือ 1. งดเว้นจากการฆา่ สตั ว์ 2. งดเว้นจากการลกั ทรัพย์ 3. งดเว้นจากการประพฤตผิ ิดในกาม เป็นไปในทางวจีสจุ ริต 4 คอื 4. งดเว้นจากการพดู เทจ็ 5. งดเว้นจากการพดู สอ่ เสียด 6. งดเว้นจากการพดู คําหยาบ 7. งดเว้นจากการพดู เพ้อเจ้อ เป็นไปในทางมโนสจุ ริต 3 คอื 8. ไมค่ ดิ เอาเปรียบเพง่ เลง็ อยากได้ของเขามาเป็นของตวั 9. ไมค่ ดิ พยาบาทปองร้ายคนอÉืน 10. มีความเป็นถกู ต้องตามสภาวะความเป็นจริง (สมั มาทิฏฐิ) รวมเป็นสจุ ริตกรรม 10 ประการ 3. ระดบั สงู คือ มรรคมีองค์ 8 ประการ ในระดบั โลกียชน ยอ่ ลงเป็น 3 คอื ศีล สมาธิ ปัญญา เรียกอีกอย่างวา่ ไตรสิกขา ดงั นนัÊ หลกั จริยธรรมในพระพทุ ธศาสนาจงึ สรุปลงในการปฏิบตั เิ พÉือความสมั พนั ธ์ทีÉดี ระหวา่ งมนษุ ย์ สงั คม และสิงÉ แวดล้อม โดยอาศยั ปัญญาเป็นเครืÉองนําทางในทกุ ระดบั หลักธรรมสาํ หรับพัฒนาคุณภาพชีวติ
200 ก. ทฏิ ฐธัมมกิ ัตถะ หมายถึง ประโยชน์ปัจจบุ นั หรือประโยชน์เกÉียวกบั ชีวิตประจําวนั ทีÉบคุ คลผ้หู วงั ความเจริญอย่างเดียวจะต้องถือเอาเป็นขนัÊ ต้นนนัÊ พระพทุ ธเจ้า ทรงสงัÉ สอนไว้ หลายปริยาย สําหรับให้คนรู้จกั พงึÉ ตนเอง ชว่ ยตวั เอง และสร้างตวั เองให้เป็นคนมงÉั คงÉั และเป็น คนดี เพÉือมีความสงบสขุ และความวฒั นาถาวรในปัจจบุ นั ทนั ตาเห็นได้ ตลอดจนการมีชีวิตอยู่ ร่วมกบั ผ้อู Éืนในสงั คมอยา่ งมีความสขุ โดยเริÉมตงัÊ แตส่ ขุ ของคฤหสั ถ์ 4 ทÉีเรียกวา่ กามโภคีสขุ หรือคหิ สิ ขุ อนั หมาย ถงึ สขุ ของชาวบ้าน สขุ ทÉีชาวบ้านควรพยายามเข้าถงึ ให้ได้สมํÉาเสมอ หรือ สขุ ดนั ชอบธรรมทÉีผ้คู รองเรือนควรมีได้แก่ 1. อตั ถิสขุ สขุ เกิดจากความมีทรัพย์ คือ ความภมู ใิ จ เอบิ อÉิมและอนุ่ ใจวา่ ตนมีโภค ทรัพย์ทÉีได้มาด้วยนําÊ พกั นําÊ แรง ความขยนั หมนÉั เพียรของตน และโดยทางชอบธรรม 2. โภคสขุ สขุ เกิดจากการใช้จา่ ยทรัพย์ คือ ความภมู ิใจเอิบอิÉมใจวา่ ตนได้ใช้ทรัพย์ ทÉีได้มาโดยชอบธรรมนนัÊ เลียÊ งตวั เลียÊ งครอบครัว เลียÊ งผ้ทู ีÉควรเลียÊ ง และบําเพญ็ คณุ ประโยชน์ 3. อนณสขุ สขุ เกิดจากความไมเ่ ป็นหนี Ê คือ ความภมู ใิ จ เอิบอมิÉ ใจวา่ ตนเป็นไท ไมม่ ี หนีสÊ นิ ติดค้างใคร 4. อนวชั ชสขุ สขุ เกิดจากการประกอบการงานทีÉปราศจากโทษ คือ ความภมู ิใจเอิบ อÉมิ ใจวา่ ตนมีความปะพฤตสิ จุ ริต ไมบ่ กพร่องเสียหาย ใครตเิ ยนไมไ่ ด้ทงัÊ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ในบรรดาสขุ 4 อยา่ งนี Ê อนวชั ชสขุ คือสขุ เกิดจากการประกอบการงานทÉีปราศจาก โทษมีคา่ มากทีÉสดุ ดงั ปรากฏในองั คตุ ตรนิกาย จตกุ กนิบาต อนั นนาถสตู รว่า นรชนผ้มู ีอนั จะ ตายเป็นสภาพ รู้ความไมเ่ ป็นหนีวÊ า่ เป็นสขุ แล้ว พงึ ระลกึ ถึงสขุ เกิดแตค่ วามมีทรัพย์ เมÉือใช้สอย โภคะเป็นสขุ อย่ยู อ่ มเหน็ แจ้งด้วยปัญญา ผ้มู ีเมธาดีเมืÉอเห็นแจงย่อมรู้สว่ นทงัÊ สองวา่ สขุ แม้ทงัÊ สามอยา่ งนีไÊ มถ่ ึงเสียÊ วทีÉ 16 อนั จําแนกแล้ว 16 ครังÊ ของสขุ เกิดแก่การประกอบการงานทีÉ ปราศจากโทษ เมืÉอทรงแสดงสขุ ของคฤหสั ถ์ 4 อยา่ ง ได้แก่ สขุ เกิดแตค่ วามมีทรัพย์ เป็นต้นแล้ว พระพทุ ธองคท์ รงกลา่ วถงึ ประโยชน์ 5 ประการ ทีÉควรถือเอาจากโภคทรัพย์ทÉีมีอย่ซู งÉึ เรียกวา่ โภคอาทยิ ะ 5 คอื 1. เลียÊ งตวั มารดาบดิ า บตุ รภรรยา และคนในปกครองทงัÊ หลาย ให้เป็นสขุ 2. บาํ รุงมติ รสหายและผ้รู ่วมกิจการงานให้เป็นสขุ 3. ใช้ปกปอ้ งรักษาสวสั ดภิ าพ ทําตนให้มนÉั คงปลอดจากภยนั ตราย 4. ทําพลี คอื สละเพืÉอบํารุงและบชู า 5 อย่าง คือ
201 ก.ญาตพิ ลี สงเคราะห์ญาติ ข. อตถิ ิพลี ต้อนรับแขก ค.ปพุ พเปตพลี ทําบญุ อทุ ิศสว่ นกศุ ลให้แกบ่ รรพบรุ ุษผ้ลู ว่ งลบั ง. ราชพลี บาํ รุงราชการด้วยการเสียภาษีอากรเป็นต้น จ. เทวตาพลี ถวายเทวดา คอื ทําบญุ อทุ ิศสงิÉ ทÉีควรเคารพบชู าตามความเชืÉอถือ 5. อปุ ถมั ภ์บํารุงพระสงฆ์ และเหลา่ บรรพชิตผ้ปู ระพฤตดิ ี ประพฤตชิ อบผ้ไู มป่ ระมาท มวั เมา เมÉือได้ใช้โภคทรัพย์ทําประโยชน์อยา่ งนีแÊ ล้ว ถึงโภคะจะหมดสินÊ ไป ก็สบายใจได้วา่ ได้ ใช้โภคะนนัÊ ให้เป็นประโยชน์ ถกู ต้องตามเหตผุ ลแล้ว ถึงโภคะเพÉมิ ขนึ Ê ก็สบายใจได้เช่นเดยี วกนั เป็นอนั ไมต่ ้องเดือดร้อนใจในทงัÊ สองกรณี ข. ทฏิ ฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 ประการ นอกจากนี Ê ผ้คู รองเรือนยงั จําเป็นต้องประกอบด้วยคณุ สมบตั ิ 4 ประการ เรียกวา่ ทฏิ ฐธมั มิกตั ถสงั วตั ตนิกธรรม หมายถึง ธรรมทีÉเป็นไปเพืÉอประโยชน์ในปัจจบุ นั หรือหลกั ธรรม อนั อํานวยสขุ ขนัÊ ต้นมาให้แก่ชีวิต ดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. อฏุ ฐานสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยความหมนัÉ คือขยนั หมนัÉ เพียรในการปฏิบตั หิ น้าทÉีการ งาน ประกอบอาชีพทÉีสจุ ริต มีความชํานาญรู้จกั ใช้ปัญญาสอดสอ่ งตรวจตรา หาอบุ ายวธิ ีทีÉ สามารถจดั ดําเนินงานให้ได้ผลดี 2. อารักขสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยการรักษา คือรู้จกั ค้มุ ครองเก็บรักษาโภคทรัพย์และ ผลงานทีÉตนได้ทําไว้ด้วยความขยนั หมนÉั เพียรโดยชอบธรรมไมใ่ ห้เป็นอนั ตรายหรือเสืÉอมเสีย 3. กลั ยาณมิตตตา คบคนดีเป็นมิตร คือรู้จกั กําหนดบคุ คลในถÉินทีÉอาศยั เลือกเสวนา สําเหนียกศกึ ษาเยีÉยงอยา่ งท่านผ้ทู รงคณุ มีศรัทธา ศลี สตุ ะ จาคะ ปัญญา 4. สมชีวิตา มีความเป็นอยเู่ หมาะสม คอื รู้จกั กําหนดรายได้และรายจ่าย เลียÊ งชีวิตแต่ พอดี มิให้ฝืดเคืองหรือฟ่ มุ เฟื อย มีประหยดั และเก็บออมไว้ ธรรม 4 อยา่ งนี Ê สมเดจ็ พระผ้มู ีพระภาคเจ้าทรงแสดงแกอ่ ชุ ชยพราหมณ์ โดยความ เป็นกิจทÉีผ้คู รองเรือนควรประกอบ เพÉือความเป็นทางไหลหยงÉั มาแหง่ โภคทรัพย์ ยศ ไมตรีอนั เป็นผลทÉีบคุ คลปรารถนา ผ้ทู ําให้บริบรู ณ์ในธรรม 4 อยา่ งได้ชืÉอวา่ ยดึ ไว้ได้ซงÉึ ประโยชน์ในภพนี Ê และตงัÊ ตนได้ในปัจจบุ นั ค. อทิ ธิบาท 4 ประการ เมÉือทรัพย์เป็นปัจจยั สําคญั ของความสขุ การแสวงหา ทรัพย์จงึ เป็นสงÉิ จําเป็น วิธีหนงÉึ ทÉีจะให้ได้มาซงÉึ ทรัพย์ดงั กลา่ วถือการประกอบการงาน หรือทÉี เรียกวา่ ประกอบอาชีพ และการทีÉจะให้การงานดงั กลา่ วสําเร็จลลุ ว่ งไปได้นนัÊ พระพทุ ธองค์ทรง
202 เสนอแนวทางในการปฏิบตั ทิ ีÉเรียกวา่ อทิ ธิบาท 4 อนั เป็นคณุ ธรรมทีÉนําไปสคู่ วามสําเร็จแหง่ ผล ทÉีมงุ่ หมาย คณุ ธรรม 4 ประการได้แก่ 1. ฉนั ทะ มีใจรัก คือ พอใจจะทําสÉงิ นนัÊ และทําด้วยใจรัก ต้องการทําให้เป็นผลสําเร็จ อยา่ งดีแหง่ กิจหรือการงานทีÉทํา มิใชส่ กั วา่ ทําพอให้เสร็จ ๆ หรือเพียงเพราะอยากได้รางวลั หรือ ผลกําไร 2. วิริยะ พากเพียรทํา คือ ขยนั หมนัÉ ประกอบ หมนัÉ กระทําสิงÉ นนัÊ ด้วยความพยายาม เข้มแข็งอดทน เอาธรุ ะไมท่ อดทิงÊ ไมท่ ้อถอย 3. จิตตะ เอาจิตฝักใฝ่ คือ ตงัÊ จติ รับรู้ในสÉงิ ทีÉทําและทําสิÉงนนัÊ ด้วยความคดิ ไมป่ ลอ่ ย ใจให้ฟงุ้ ซา่ นเลืÉอนลอย ใช้ความคดิ ในเรÉืองนนัÊ ย่อย ๆ เสมอ ๆ 4. วมิ งั สา ใช้ปัญญาสอบสวน คือ หมนÉั ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ ตรวจตราหา เหตผุ ลและตรวจสอบข้อยÉงิ หยอ่ น เกินเลย บกพร่อง ขดั ข้อง เป็นต้น ในสงิÉ ทÉีทํานนัÊ โดยรู้จกั ทดลองวางแผน คดิ ค้นวธิ ีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น ง. ตระกูลทÉีมÉังคÉังอยู่ไม่ได้นาน เพราะสาเหตุ 4 อย่าง บคุ คลผ้ปู ระกอบด้วย คณุ ธรรม 4 ประการ ดงั กลา่ วนี Ê เมÉือลงมือประกอบกิจการใด ๆ ย่อมประสบความสําเร็จใน กิจนนัÊ เชน่ เมÉือแสวงหาโภคทรัพย์ก็ยอ่ มได้โภคทรัพย์สมความมงุ่ หมาย และเมืÉอได้โภคทรัพย์ มาแล้ว พระพทุ ธองคท์ รงเสนอแนวทางปฏิบตั วิ า่ ทําอยา่ งไร โภคทรัพย์เหลา่ นนัÊ จะอยไู่ ด้นาน พร้อมกนั นนัÊ ทรงได้แสดงเหตทุ Éีทําให้โภคทรัพย์ตงัÊ อยไู่ ด้นาน ดงั ปรากฏในองั คตุ ตรนกิ าย จตกุ ก นบิ าต อภิญญาวรรค ดงั นี Ê ดกู รภิกษุทงัÊ หลาย ตระกลู ใดตระกลู หนงÉึ ถึงความเป็นใหญ่ในโภคทรัพย์แล้วย่อมไมต่ งัÊ อยไู่ ด้นาน เพราะสถาน 4 หรือสถานใดสถานหนงÉึ บรรดาสถาน 4 นนัÊ คือไมแ่ สวงหาพสั ดทุ Éี หายแล้ว 1 ไมซ่ อ่ มแซมพสั ดทุ ÉีครÉําคร่า 1 ไมร่ ู้จกั ประมาณในการบริโภค 1 ตงัÊ สตรีหรือบรุ ุษ ทศุ ีลให้เป็นพอ่ บ้านแมเ่ รือน 1 ตระกลู ใดตระกลู หนงึÉ ถงึ ความเป็นใหญ่ในโภคทรัพย์แล้วยอ่ มตงัÊ อยไู่ ด้นานเพราะสถาน 4 คือ แสวงหาพสั ดทุ ีÉหายแล้ว 1 ซอ่ มแซมพสั ดทุ ีÉครํÉาคร่า 1 รู้จกั ประมาณในการบริโภค 1 ตงัÊ สตรีหรือบรุ ุษมีศีลให้เป็นพอ่ บ้านแมเ่ รือน 1 จ. อบายมุข 4 ประการ การทําให้โภคทรัพย์เจริญตงัÊ อยไู่ ด้นานนนัÊ พอ่ บ้านแมเ่ รือน พงึ ละอบายมขุ 4 อนั เป็น เหตแุ หง่ การยอ่ ยยบั ของโภคทรัพย์ หรือเหตแุ หง่ ความฉิบหาย 4 ประการ คือ 1. อติ ถีธตุ ตะ ความเป็นนกั เลงหญิง 2. สรุ าธตุ ตะ ความเป็นนกั เลงสรุ า
203 3. อกั ขธุตตะ ความเป็นนกั เลงเลน่ การพนนั 4. ปาปมิตตะ การคบคนชวÉั เป็นมิตร อบายมขุ 4 นี Ê พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงแก่อชชยพราหมณ์โดยความเป็นโทษอนั บคุ คลผู้ ครองเรือนพงึ เว้น เพราะเมÉือผ้ใู ดประพฤติแล้วยอ่ มเป็นไปเพืÉอความฉิบหายแหง่ วงศ์ตระกลู และ แก่ตนผ้กู ระทําโดยส่วนเดียว โทษของอบายมขุ แตล่ ะข้อมีดงั นี Ê 1. ความเป็นนกั เลงหญิง คนเป็นนกั เลงหญิงนนัÊ ถ้าเมืÉอมีใจจดจอ่ อยใู่ นหญิงทีÉตนมงุ่ หวงั แล้ว จําต้องหมนÉั ไปมาหาสู่ จําต้องจา่ ยทรัพย์เพÉือบํารุงนาง เพืÉอให้หญิงรักใคร่ ถ้าเป็น หญิงทีÉมีครู่ ักหรือมีสามิอาจทําให้ต้องทะเลาะววิ าท เป็นอนั ตรายถงึ ชีวิตได้ บางคนถึงกบั เสีย การงานทีÉตนควรได้ หากเป็นหญิงเสเพล หากินในทางค้าประเวณีอาจเป็นทางให้เกิดโรคได้ 2. ความเป็นนกั เลงสรุ า คนเป็นนกั ดมÉื นนัÊ เมÉือตดิ เสียจนถอนตวั ไมไ่ ด้แล้ จําต้องจา่ ย ทรัพย์ซือÊ มาดÉมื เมืÉอทรัพย์หมดไปก็ทําให้หากินในทางทจุ ริตผิดกฎหมาย เชน่ ต้ม เหล้าเถืÉอน ต้องหลบหลีกทํา หลบหลีกดมืÉ หาความสบายไมไ่ ด้ ถ้าถกู จบั ก็ต้องถกู ฟ้องร้อง ถกู ขงั เสียชÉือ เสียง เสียวงศ์ตระกลู คนทงัÊ หลายหมดความนบั ถือ คนเมาเหล้านนัÊ หาดีอะไรไมไ่ ด้เหมือนคน บ้า พดู จาอ้อแอ้ บางครังÊ ก็ถกู ผ้อู ืÉนทําร้าย 3. ความเป็นนกั เลงเลน่ การพนนั คนเป็นนกั เลงการพนนั นนัÊ จําต้องใช้ทรัพย์ของตนบาง แหง่ เกิดโกงกนั ถึงกบั ชกตอ่ ย เป็นความถงึ โรงถึงศาล และอาจต้องติดคกุ ติดตะราง ถ้าเป็นกา รนพนั เถÉือนต้องหลาบหนีเลน่ หากเจ้าหน้าทÉีจบั ได้ต้องถกู กกั ขงั ถกู ปรับถกู จําทําให้เสียเงิน ทองอีก ผ้ชู นะย่อมก่อเวร ผ้แู พ้ก็ระทมทกุ ข์ ทําให้เป็นเวรแกก่ นั เดือดร้อนทงัÊ กายทงัÊ ใจ หา ความสขุ สบายไมไ่ ด้ 4. การคบคนชวÉั เป็นมิตร คนทีÉคบคนชวÉั เป็นมิตรนนัÊ ถงึ จะมีนสิ ยั ดอี ยา่ งไรก็อาจกลบั กลายนสิ ยั นนัÊ ให้เลวลงได้ มีสภุ าษิตกลา่ วไว้วา่ คบคนเชน่ ใดก็เป็นคนเชน่ นนัÊ แล ถึงแม้คนชวÉั จะไมแ่ นะนําให้ทําชวÉั เราก็ต้องทําจนได้ เพราะความเคยชนิ ในการเสวนากนั เป็นปัจจยั ถงึ เรา จะไมด่ มืÉ เหล้า ไมเ่ คยทําโจรกรรม แตเ่ มืÉอคบกบั นกั เลงเหล้า นกั เลงโจรกรรม เราก็อาจกลาย เป็นแบบเดียวกบั คนทÉีเราคบได้ ดงั นนัÊ ผ้หู วงั ความเจริญแหง่ โภคทรัพย์พงึ เว้นอบายมขุ ปาก หรือทิศทางแหง่ ความฉิบหาย 4 ประการดงั กลา่ วนีเÊสีย ฉ. อบายมุข 6 ประการ นอกจากอบายมขุ 4 ประการแล้ว พระพทุ ธองค์ยงั ตรัสถงึ อบายมขุ 6 ประการไว้ด้วย ดงั ปรากฏในทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. เสพสรุ าและของมนึ เมา มีโทษ 6 ประการ คอื 1.1 ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชดั ๆ 1.2 ก่อการทะเลาะวิวาท 1.3 เป็นบอ่ เกิดแหง่ โรค 1.4 เสียเกียรติ เสียชÉือเสียง
204 1.5 ทําให้ไมร่ ู้อาย 1.6 ทอนกําลงั ปัญญา 2. เทÉียวกลางคืน มีโทษ 6 ประการ คอื 2.1 ชืÉอวา่ ไมร่ ักษาตวั 2.2 ชÉือวา่ ไมร่ ักษาลกู เมีย 2.3 ชืÉอวา่ ไมร่ ักษาทรัพย์สมบตั ิ 2.4 เป็นทÉีระแวงสงสยั 2.5 เป็นเปา้ ให้เขาใส่ความหรือขา่ วลือ 2.6 เป็นทางมาของเรÉืองเดือดร้อนเป็นอนั มาก 3. เทีÉยวดกู ารละเลน่ มีโทษ 6 ประการ คอื 3.1 รําทีÉไหนไปทÉีนนÉั 3.2 ขบั ร้องทีÉไหนไปทÉีนนัÉ 3.3 ดนตรีทÉีไหนไปทÉีนนÉั 3.4 เสภาทÉีไหนไปทÉีนนÉั 3.5 เพลงทีÉไหนไปทีÉนนÉั 3.6 เถิดเทิงทÉีไหนไปทÉีนนÉั 4. เลน่ การพนนั มีโทษ 6 ประการ คือ 4.1 เมÉือชนะยอ่ มก่อเวร 4.2 เมÉือแพ้ก็เสียดายทรัพย์ทีÉเสียไป 4.3 ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชดั ๆ 4.4 เข้าทÉีประชมุ เขาไมเ่ ชÉือถือถ้อยคํา 4.5 เป็นทÉีหมืÉนประมาทของเพืÉอนฝงู 4.6 ไมเ่ ป็นทีÉพงึ ประสงค์ของผ้ทู Éีจะหาคคู่ รอง ให้ลกู เขาเพราะเหน็ วา่ จะเลียÊ งลกู เมียไมได้ 5. คบคนชวัÉ เป็นมิตร มีโทษโดยนําให้กลายไปเป็นคนชวÉั อยา่ งคนทีÉตนคบ ทงัÊ 6 ประภท คือ ได้เพÉือนทÉีจะนําให้กลายเป็น 5.1 นกั การพนนั 5.2 นกั เลงหญิง 5.3 นกั เลงเหล้า 5.4 นกั ลวงของปลอม 5.5 นกั หลอกลวง 5.6 นกั เลงหวั ไม้ 6. เกียจคร้านการงาน มีโทษโดยทําให้ยกเหตตุ า่ ง ๆ เป็นข้ออ้างผดั เพียÊ นไมท่ ําการงาน โภคะใหมก่ ็ไมเ่ กิด โภคะทีÉมีอยกู่ ็หมดสินÊ ไป คือ ให้อ้างไปทงัÊ 6 กรณีวา่ 6.1 หนาวนกั แล้วไมท่ ํางาน 6.2 ร้อนนกั แล้วไมท่ ํางาน 6.3 เย็นไปแล้วแล้วไมท่ ํางาน 6.4 ยงั เช้านกั แล้วไมท่ ํางาน 6.5 หิวนกั แล้วไมท่ ํางาน 6.6 ดมิÉ นกั แล้วไมท่ ํางาน อบายมขุ 4 และอบายมขุ 6 ดงั ทีÉกลา่ วมานี Ê ล้วนเป็นชอ่ งทางแหง่ ความเสืÉอมเป็น เหตใุ ห้ย่อยยบั ไปแหง่ โภคทรัพย์ อนั บคุ คลผ้หู วงั ความสขุ ความเจริญพงึ หลีกเลีÉยงงดเว้นอยา่ ง เดด็ ขาด ช. ฆราวาสธรรม 4 ประการ เมÉือละอบายมขุ แล้ว พึงกํากบั ชีวิตด้วยธรรม 4 คือ ปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมสําหรับการครองชีวิตทีÉเรียกวา่ ฆราวาสธรรม 4 ประการ ดงั นี Ê
205 1. สจั จะ ความจริง คือ ดาํ รงมนัÉ ในสจั จะ ซืÉอตรง ซืÉอสตั ย์ จริงใจ พดู จริง ทําจริงจะ ทําอะไรก็ให้เป็นทÉีเชืÉอถือไว้วางใจได้ 2. ทมะ ฝึกตน คอื บงั คบั ควบคมุ ตนเองได้ รู้จกั ปรับตวั และแก้ไขปรับปรุงตนให้ ก้าวหน้าดีงามยิÉงขนึ Ê อยเู่ สมอ 3. ขนั ติ อดทน คือ มงุ่ ทําหน้าทา่ การงานด้วยความขยนั หมนัÉ เพียร เข้มแขง็ อดทน ไมห่ วนÉั ไหว มนÉั ใจจดุ หมาย ไมท่ ้อถอย 4. จาคะ เสียสละ คือ มีนําÊ ใจ เอือÊ เฟื อÊ ชอบชว่ ยเหลือเกือÊ กลู บําเพ็ญประโยชน์ สละ โลภได้ ร่วมงานกบั คนอÉืนได้ ไมใ่ จแคบเห็นแก่ตวั หรือเอาแตใ่ จตน ซ. สัปปุริสธรรม 7 ข้อ นอกจากนีบÊ คุ คลจะได้ชÉือวา่ เป็นคนสมบรู ณ์แบบ หรือ มนษุ ย์โดยสมบรู ณ์ ซงึÉ ถือว่าเป็นสมาชกิ ทÉีดมี ีคณุ คา่ อยา่ งแท้จริงของมนษุ ยชาตยิ ่อมมีธรรม 7 ข้อ ทÉีเรียกวา่ สปั ปรุ ิสธรรม แปล วา่ ธรรมของคนดี หรือคนทÉีแท้ในความหมายของ พระพทุ ธศาสนา สปั ปรุ ิสธรรม 7 ข้อได้แก่ 1. ธมั มญั sตุ า รู้หลกั และรู้จกั เหตุ คอื รู้หลกั การและกฎเกณฑ์ของสÉิงทงัÊ หลายทีÉตน เข้าไปเกีÉยวข้องในการดําเนินชีวิต ในการปฏิบตั หิ น้าทÉีและดาํ เนนิ กิจการตา่ ง ๆ รู้เข้าใจสงิÉ ทีÉตน จะต้องประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามเหตผุ ล เชน่ รู้วา่ ตาํ แหนง่ ฐานะ อาชีพการงานของตนมีหน้าทีÉและ ความรับผิชอบอย่างไร มีอะไรเป็นหลกั การ จะต้องทําอะไรอยา่ งไร จงึ จะเป็นเหตใุ ห้บรรลถุ ึง ผลสําเร็จเพืÉอทÉีเป็นไปตามหน้าทีÉและความรับผิดชอบนนัÊ ๆ ดงั นีเÊป็นต้น ตลอดจนขนัÊ สงู สดุ คือรู้เท่าทนั กฎธรรมดาหรือหลกั ความจริงของธรรมชาติ เพืÉอปฏิบตั ิตอ่ โลกและชีวติ อยา่ งถกู ต้อง มีจิตใจเป็นอสิ ระไมต่ กเป็นทาสของโลกและชีวิตนนัÊ 2. อตั ถญั sตุ า รู้ความมงุ่ หมายและรู้จกั ผล คือ รู้ความหมายและความมงุ่ หมายของ หลกั การทีÉตนปฏิบตั ิ เข้าใจวตั ถปุ ระสงค์ของกิจการทÉีตนกระทํา รู้วา่ หลกั การนนัÊ ๆ มีความมงุ่ หมายอยา่ งไร รู้วา่ ทÉีตนทําอยอู่ ยา่ งนนัÊ ๆ ดําเนินชีวิตอยา่ งนนัÊ เพืÉอประสงค์ ประโยชน์อะไร หรือควรจะได้บรรลถุ ึงผลอะไร ทีÉให้มีหน้าทีÉ ตําแหนง่ ฐานะ การงานอยา่ งนนัÊ ๆ เขากําหนด วางกนั ไว้เพืÉอความมงุ่ หมายอะไร กิจการทีÉตนทําอยขู่ ณะนี Ê เมÉือทําไปแล้วจะบงั เกิดผลอะไร บ้าง เป็นผลดหี รือผลเสียอยา่ งไร ดงั นีเÊป็นต้น ตลอดจนถงึ ขนัÊ สงู สดุ คือรู้ความหมายของคติ ธรรมดา และประโยชน์ทÉีเป็นสาระของชีวิต 3. อตั ตญั sตุ า รู้จกั ตน คือ รู้ตามเป็นจริงวา่ ตวั ตนเรานนัÊ วา่ โดยฐานะ ภาวะ เพศ กําลงั ความรู้ ความถนดั ความสามารถ และคณุ ธรรม เป็นต้น บดั นีเÊทา่ ไรอยา่ งไร แล้ว
206 ประพฤตปิ ฏิบตั ใิ ห้เหมาะสมและรู้จกั แก้ไขปรับปรุงสง่ เสริม ทําการตา่ ง ๆ ให้สอดคล้องถกู จดุ ตรงทางทีÉจะให้เจริญงอกงาม บงั เกิดผลดี 4. มตั ตญั sตุ า รู้จกั ประมาณ คือ รู้จกั ประมาณในการบริโภค รู้จกั ประมาณในการ จา่ ยทรัพย์ รู้จกั ความพอเหมาะพอดใี นการพดู การปฏิบตั กิ ิจและทําการตา่ ง ๆ ตลอดจนการ พกั ผอ่ นหลบั นอนและการสนกุ สนานรืÉนเริงตา่ ง ๆ 5. กาลญั sตุ า รู้จกั กาล คือ รู้กาลเวลาอนั เหมาะสมและระยะเวลาทีÉพงึ ใช้ในการประ กอบกิจ กระทําหน้าทÉีการงาน ปฏิบตั กิ ารตา่ ง ๆ และเกีÉยวข้องกบั ผ้อู ืÉน เชน่ รู้วา่ เวลาไหน ควรทําอะไร และทําให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลาให้ทนั เวลา ให้พอเวลา ให้เหมาะเวลา ให้ถกู เวลา เป็นต้น 6. ปริสญั sตุ า รู้จกั ชมุ ชน คือ รู้จกั ถÉิน รู้จกั ทÉีชมุ ชน และชมุ ชน รู้การอนั ควรประ พฤตปิ ฏิบตั ใิ นถÉินทีÉชมุ ชนและตอ่ ชมุ ชนนนัÊ วา่ ชมุ ชนนีเÊมÉือเข้าไปหาควรต้องทํากิริยาอยา่ งนี Ê ควรต้องพดู อยา่ งนี Ê ชมุ ชนนีมÊ ีระเบยี บวินยั อยา่ งนี Ê มีวฒั นธรรมประเพณีอยา่ งนี Ê มีความต้อง การอยา่ งนี Ê ควรเกีÉยวข้อง ควรสงเคราะห์ ควรรับใช้ควรบาํ เพญ็ ประโยชน์ให้อยา่ งนี Ê ๆ เป็นต้น 7. ปคุ คลญั sตุ า รู้จกั บคุ คล คือ เป็นผ้รู ู้จกั และเข้าใจความแตกตา่ งแหง่ บคุ คลวา่ โดย อธั ยาศยั ความสามารถและคณุ ธรรม เป็นต้น ใคร ๆ ยÉิงหยอ่ นอยา่ งไร และรู้จกั ทีÉจะปฏิบตั ิ ตอ่ บคุ คลอืÉน ๆ ด้วยดวี า่ ควรจะคบหรือไม่ ได้คตอิ ะไร จะสมั พนั ธ์เกีÉยวข้อง จะใช้ จะยกยอ่ ง จะตาํ หนิ หรือจะแนะนําสงัÉ สอนอยา่ งไรจงึ จะได้ผลดี ดงั นีเÊป็นต้น ฌ. ทศิ 6 นอกจากหลกั คําสอนอนั เป็นแนวทางทÉีวางไว้ให้บคุ คลประพฤตปิ ฏิบตั ใิ น สว่ นตนแล้วพระพทุ ธศาสนายงั ได้วางแนวทางให้บคุ คลประพฤตปิ ฏิบตั ใิ นสว่ นทÉีเกÉียวข้องกบั สงั คมตามระดบั ฐานะของตนเอง ดงั เชน่ หลกั คาํ สอนเรืÉองทศิ 6 อนั หมายถึงหน้าทÉีทÉีบคุ คล พงึ ปฏิบตั ติ อ่ กนั ในสงั คม ได้แก่ 1. ปรุ ัตถิมทิศ ทิศเบือÊ งหน้า คือ ทิศตะวนั ออก อนั ได้แก่ มารดา บดิ า เพราะเป็นผู้ อปุ การะแกเ่ รามาก่อน บตุ รธิดา พงึ บาํ รุงมารดา บดิ า ผ้เู ป็นทศิ เบือÊ งหน้าดงั นี Ê 1. ทา่ นเลียÊ งมาแล้ว เลียÊ งทา่ นตอบ 2. ชว่ ยทําการงานของทา่ น 3. ดํารงวงศส์ กลุ 4. ประพฤตติ นให้เหมาะสมกบั ความเป็นทายาท 5. เมÉือทา่ นลว่ งลบั ไปแล้ว ทําบญุ อทุ ิศส่วนกศุ ลให้ท่าน เมืÉอบดิ ามารดาได้รับการบาํ รุงรักษา และปฏิบตั ดิ ้วยความเคารพนบั ถือด้วยดจี ากบตุ ร ธิดา เชน่ นีแÊ ล้วยอ่ มอนเุ คราะห์บตุ รธิดาดงั นี Ê 1. ห้ามปรามจากความชวÉั 2. ให้ตงัÊ อย่ใู นความดี 3. ให้ศกึ ษาศลิ ปวิทยา
207 4. หาคคู่ รองทีสมควรให้ 5. มอบทรัพย์สมบตั ใิ ห้ในโอกาสอนั สมควร 2. ทกั ษิณทิศ ทิศเบือÊ งขวา คือ ทิศใต้ ได้แก่ ครูอาจารย์เพราะเป็นทกั ขไิ ณย บคุ คล ควรแก่การบชู าคณุ ศษิ ย์พงึ บํารุงครูอาจารย์ผ้เู ป็นทศิ เบือÊ งขาวดงั นี Ê 1.ลกุ ขนึ Ê ต้อนรับ 2. เข้าไปหาเพÉือคอยรับใช้ ปรึกษา และรับคาํ แนะนําเป็นต้น 3. ใฝ่ใจเรียน คอื มีใจรัก เรียนด้วยศรัทธา 4. ปรนนิบตั ิ 5. เรียนศลิ ปวทิ ยาโดยเคารพ คือ เอาจริงเอาจงั ถือเป็นกิจสําคญั เมืÉอครูอาจารย์ได้รับการปรนนิบตั ดิ ้วยความเคารพนบั ถือด้วยดจี ากลกู ศษิ ย์เชน่ นีแÊ ล้ว ยอ่ มอนเุ คราะห์ศษิ ย์ดงั นี Ê 1. ฝึกฝนแนะนําให้เป็นคนดี 2. สอนให้เข้าใจแจม่ แจ้ง 3. สอนศลิ ปวทิ ยาให้สินÊ เชิง 4. ยกยอ่ งให้ปรากฏในหมคู่ ณะ 5. ชว่ ยค้มุ ครองเป็นทÉีพงÉึ ในทิศทงัÊ หลาย 3. ปัจฉิมทศิ ทิศเบือÊ งหลงั คือ ทศิ ตะวนั ตก ได้แก่ บตุ รภรรยา เพราะตดิ ตามเป็น กําลงั สนบั สนนุ อยขู่ ้างหลงั สามีพงึ บํารุงภรรยาผ้เู ป็นทศิ เบือÊ งหลงั ดงั นี Ê 1. ยกย่องให้เกียรตสิ มกบั ฐานะทีÉเป็นภรรยา 2. ไมด่ หู มินÉ 3. ไมน่ อกใจ 4. มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้ 5. หาเครÉืองประดบั มาให้เป็นของขวญั ตามโอกาส เมÉือภรรยาได้รับการบรนนิบตั ดิ ้วยการให้เกียรติด้วยดีจากสามีเชน่ นีแÊ ล้ว ย่อม อนเุ คราะห์สามีดงั ดงั นี Ê 1.จกั งานบ้านให้เรียบร้อย 2. สงเคราะห์ญาตมิ ิตรทงัÊ สองฝ่ายด้วยดี 3. ไมน่ อกใจ 4. รักษาทรัพย์สมบตั ทิ Éีหามาได้ 5. ขยนั ไมเ่ กียจคร้านในงานทงัÊ ปวง 4. อตุ ตรทิศ ทศิ เบือÊ งซ้าย คือ ทิศเหนือ ได้แก่ มิตรสหาย เพราะเป็นผ้ชู ว่ ยให้ข้าม พ้นอปุ สรรคอนั ตราย และเป็นกําลงั สนบั สนนุ ให้บรรลคุ วามสําเร็จ บคุ คลพงึ บํารุงมิตรสหายผู้ เป็นทศิ เบือÊ งซ้าย ดงั นี Ê 1. เผÉือแผแ่ บง่ ปัน 2. พดู จามีนําÊ ใจ 3. ชว่ ยเหลือเกือÊ กลู กนั 4. มีตนเสมอ ร่วมทกุ ข์ร่วมสขุ กนั 5. ซืÉอสตั ย์จริงใจตอ่ กนั เมืÉอมติ รสหายได้รับสนบั สนนุ ให้บรรลคุ วามสําเร็จด้วยดี จากบคุ คลเชน่ นีแÊ ล้วยอ่ ม อนเุ คราะห์บคุ คลผ้เู ป็นมิตรสหายเชน่ กนั ดงั นี Ê 1. เมืÉอเพÉือนประมาทชว่ ยรักษาปอ้ งกนั
208 2. เมÉือเพÉือนประมาทชว่ ยรักษาทรัพย์สมบตั ขิ องเพÉือน 3. ในคราวมีภยั เป็นทีÉพงÉึ ได้ 4. ไมล่ ะทิงÊ ในยามทกุ ข์ยาก 5. นบั ถือตลอดถงึ วงศ์ญาตขิ องมิตร 5. เหฏฐิมทิศ ทศิ เบือÊ งลา่ ง ได้แก่ คนรับใช้และคนงาน เพราะเป็นผ้ชู ว่ ยทําการงาน ตา่ ง ๆ เป็นฐานกําลงั ให้นายพงึ บํารุงคนรับใช้และคนงานผ้เู ป็นทิศเบือÊ งลา่ งดงั นี Ê 1. จดั การงานให้ทําตามความเหมาะสมกบั กําลงั ความสามารถ 2. ให้คา่ จ้างรางวลั สมควรแกง่ านและความเป็นอยู่ 3. จดั สวสั ดิการดี ช่วยรักษาพยาบาลในยามเจบ็ ไข้ เป็นต้น 4. ได้ของแปลก ๆ พเิ ศษมา ก็แบง่ ปันให้ 5. ให้มีวนั หยดุ และพกั ผอ่ นหยอ่ นใจตามโอกาสอนั สมควร เมÉือคนรับใช้ได้รับชว่ ยเหลือจากนายเชน่ นีแÊ ล้ว ยอ่ มอนเุ คราะห์นายดงั นี Ê 1. เรÉิมทํางานก่อนนาย 2. เลกิ งานทีหลงั นาย 3. ถือเอาแตข่ องทีÉนายให้ 4. ทําการงานให้เรียบร้อยและดียงิÉ ขนึ Ê 5. นําเกียรตคิ ณุ ของนายไปเผยแพร่ 6. อปุ ริมทิศ ทศิ เบือÊ งบน ได้แกส่ มณพราหมณ์ คือ พระสงฆ์ เพราะเป็นผ้สู งู ด้วยคณุ ธรรม และเป็นผ้นู ําทางจิตใจ คฤหสั ถ์ยอ่ มบาํ รุงพระสงฆ์ผ้เู ป็นทศิ เบือÊ งบนดงั นี Ê 1. จะทําสงÉิ ใดก็ทําด้วยเมตตา 2. จะพดู สงิÉ ใดก็พดู ด้วยเมตตา 3. จะคดิ สÉิงใดก็คิดด้วยเมตตา 4. ต้อนรับด้วยความเข้าใจ 5. อปุ ถุ มั ภ์ด้วยปัจจยั 4 เมÉือพระสงฆ์ได้รับการเคารพนบั ถือด้วยการบาํ รุงด้วยดีเช่นนีแÊ ล้ว ยอ่ มอนเุ คราะห์ คฤหสั ถ์ดงั นี Ê 1. ห้ามปรามจากความชวัÉ 2. ให้ตงัÊ อยใู่ นความดี 3. อนเุ คราะห์ด้วยความปรารถนาดี 4. ให้ได้ฟังสงÉิ ทีÉยงั ไมเ่ คยฟัง 5. ทําสÉิงทีÉเคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง 6. บอกทางสวรรค์ คือความสขุ ความเจริญให้ จากทÉีกลา่ วมาทงัÊ หมดนีจÊ ะเห็นได้วา่ พระพทุ ธศาสนา ได้วางแนวทางในการปฏิบตั ไิ ว้ อยา่ งกว้างขวางและแยบยล เพÉือให้บคุ คลทÉีปฏิบตั ติ ามได้รับประโยชน์ในปัจจบุ นั ทนั ตาเห็น โดยไมต่ ้องรอให้ถงึ ชาตหิ น้าหรือภพเหน้าเสียกอ่ น (รศ.ดร. สจุ ติ รา ออ่ นค้อม. 2542:70-85)
209 สมถะและวปิ ัสสนา ปัจจัยสําคัญนําจิตถงึ ความตรัสรู้ สมถะและวปิ ัสสนาต่างเป็นธรรมสนบั สนุนซึงกนั และกนั โดยสมถะเป็นฐานใหจ้ ิตได้ พกั ตวั เพือสะสมกาํ ลงั สติปัญญาขึน เมือสติปัญญามีกาํ ลงั เตม็ บริบูรณ์แลว้ จะเป็นฐานกาํ ลงั ให้ จิตเกิดวปิ ัสสนาญาณหรือญาณทสั สนะขึนมา หยงั รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมยงั ผลให้ รู้แจง้ เห็นจริงในสจั ธรรมนาํ ผปู้ ฏิบตั ิบรรลุถึงนิพพานไดใ้ นทีสุด สมถะและวปิ ัสสนาต่างเกือหนุนกนั และกนั ไดอ้ ยา่ งไรนนั ท่านพระอานนั ทพ์ ทุ ธอนุชา ไดจ้ าํ แนกไว้ 4 แบบดว้ ยกนั คือ 1. วปิ ัสสนามีสมถะนาํ หนา้ ซึงลกั ษณะนีในวงของพระปฏิบตั ิธรรมใชส้ าํ นวนโวหาร วา่ สมาธิอบรมปัญญา 2. สมถะมีวปิ ัสสนานาํ หนา้ ซึงลกั ษณะนีวงพระปฏิบตั ิธรรมใชส้ าํ นวนโวหารวา่ ปัญญาอบรมสมาธิ 3. สมถะและวปิ ัสสนาเขา้ คู่กนั 4. วธิ ีปฏิบตั ิเมือจิตถูกชกั ใหเ้ ขวดว้ ยธรรมุธจั จ์ ดงั ภาษิตของท่านพระอานนทเ์ ถระ ดงั ต่อไปนี อาวโุ สทงั หลาย ภิกษุหรือภิกษุณีรูปหนึงรูปใดก็ตาม จะพยากรณ์อรหตั ผลในสาํ นกั ของขา้ พเจา้ ก็ยอ่ ม (พยากรณ์) ดว้ ยมรรค 4 ทงั หมดหรือดว้ ยมรรคใดมรรคหนึง บรรดามรรค 4 เหล่านี กล่าวคือ 1. ภิกษุในธรรมวนิ ยั นีเจริญวปิ ัสสนาอนั มีสมถะนาํ หนา้ เมือเธอเจริญวปิ ัสสนาอนั มี สมถะนาํ หนา้ อยู่ มรรคเกิดขึน เธอเสพคุน้ เจริญทาํ ใหม้ ากซึงมรรคนนั เมือเธอเสพคุน้ เจริญ ทาํ ใหม้ ากซึงมรรคนนั สงั โยชนท์ งั หลายยอ่ มถูกละได้ อนุสัยทงั หลายยอ่ มสินไป 2. อีกประการหนึง ภิกษุเจริญสมถะอนั มีวปิ ัสสนานาํ หนา้ เมือเธอเจริญสมถะอนั มี วปิ ัสสนานาํ หนา้ อยมู่ รรคเกิดขึน เธอเสพคุน้ เจริญทาํ ใหม้ ากซึงมรรคนนั เมือเธอเสพคุน้ เจริญทาํ ใหม้ ากซึงมรรคนนั สงั โยชนท์ งั หลายยอ่ มถูกละได้ อนุสัยทงั หลายยอ่ มสินไป 3. อีกประการหนึง ภิกษุเจริญสมถะและวปิ ัสสนาควบคู่กนั เมือเธอเจริญสมถะและ วปิ ัสสนาควบคู่กนั อยู่ มรรคเกิดขึน เธอเสพคุน้ เจริญทาํ ใหม้ ากซึงมรรคนนั เมือเธอเสพคุน้ เจริญทาํ ใหม้ ากซึงมรรคนนั สังโยชนท์ งั หลายยอ่ มถูกละได้ อนุสัยทงั สินยอ่ มสินไป 4. อยา่ งประการหนึง ภิกษุมีใจถูกชกั ใหเ้ ขวไปดว้ ยธรรมมุธจั จ์ แต่ถึงคราวเหมาะทีจิต นนั ตงั แน่วสงบสนิทลงไดใ้ นภายใน เด่นชดั เป็ นสมาธิมรรคเกิดขึนแก่เธอ เธอเสพคุน้ เจริญทาํ
210 ใหม้ ากซึงมรรคนนั เมือเธอเสพคุน้ เจริญทาํ ใหม้ ากซึงมรรคนนั สงั โยชนท์ งั หลานยอ่ มถูกละได้ อนุสยั ทงั หลายยอ่ มสินไป จากภาษิตของพระอานนทด์ งั ไดก้ ล่าวมาแลว้ จะเห็นไดว้ า่ สมถะและวปิ ัสสนาต่างเป็น ปัจจยั อุดหนุนซึงกนั และกนั ช่วยกนั ส่งทอดต่อ ๆ กนั ไป ทาํ ใหก้ ารปฏิบตั ิธรรมเจริญกา้ วหนา้ จนจิตหยงั รู้สัจธรรม ซึงเทียบไดก้ บั การเดินของคนเรา กล่าวคือ เทา้ ขวาเดินกา้ วไปโดยอาศยั ยดึ เทา้ ซา้ ยเอาไว้ และขณะทีเทา้ ซา้ ยเดินกา้ วไป เทา้ ขวาก็ถูกยดึ ไวก้ บั ที ดว้ ยการสลบั กนั ทาํ หนา้ ที ของเทา้ ทงั 2 ขา้ งดงั กล่าว จึงทาํ ใหค้ นเราสามารถเดินหรือวงิ ไปไดด้ ว้ ยดีจนถึงจุดหมาย ปลายทางไดใ้ นทีสุด (ชยั พฤกษ์ เพญ็ วจิ ิตร. 2539:193-216) สมาธิ การปฏิบตั สิ มถะและวิปัสสนานนัÊ จําเป็นจะต้องปฏิบตั ธิ รรมในรูปของสมาธิ รศ. ดร. ทองหลอ่ วงษ์ธรรมา (2538:182-201) ได้อธิบายสมาธิ แปลวา่ ความตงัÊ มนัÉ ของจิต หรือ การตงัÊ ใจชอบ หมายถงึ ภาวะทีÉจติ แนว่ แนต่ อ่ สงÉิ ทีÉกําหนด ตามคําจํากดั ความในพระสตู ร มี ชÉือเรียกเจาะจงวา่ ฌาน 4 ซงึÉ เป็นคําจํากดั ความในเชิงยกตวั อยา่ งมากกวา่ เพราะในหลกั ปฏิบตั บิ คุ คลสามารถเจริญวิปัสสนาได้โดยใช้สมาธิเบือÊ งต้นเทา่ นนัÊ ซงÉึ เรียกวา่ วิปัสสนาสมาธิ อนั เป็นสมาธิระดบั กลางอยรู่ ะหวา่ งขณิกสมาธิกบั อปุ จารสมาธิเทา่ นนัÊ สมาธิเป็นเรืÉองของการ ฝึกอบรมจิตใจขนัÊ ตา่ ง ๆ จนถงึ ขนัÊ ละเอียดลกึ ซงึ Ê เรÉืองของจติ ใจเป็นเรÉืองทีÉประณีตและ ละเอียดออ่ น กว้างขวางและสลบั ซบั ซ้อนมาก เพราะเป็นเรืÉองนามธรรม การทีÉจะฝึกจติ ก็เป็น เรÉืองยาก และยากกวา่ การฝึกกาย ดงั นนัÊ สมาธิจงึ มีความสําคญั ในแงข่ องการปฏิบตั อิ นั จะ สนบั สนนุ ให้เกิดปัญญาเพÉือนําไปสจู่ ดุ หมายปลายทาง คอื นพิ พาน การจะมีจิตตงัÊ มนÉั นนัÊ จะต้องผา่ นขนัÊ ตอนทงัÊ 4 คือ ขนัÊ ทีÉ 1 ได้แก่ วติ ก วิจาร ในสภาวะความจริงตามทÉีเป็นจริง แล้วมีปีติ ความคิด บริสทุ ธÍิเกิดขนึ Ê ขนัÊ ทีÉ 2 ได้แก่ ความตงัÊ ใจมนÉั โดยไมห่ วนัÉ ไหวทีÉพ้นจากวิตก วจิ าร ปีตแิ ล้วสขุ ในความ ยนิ ดีในความสงบก็เกิดขนึ Ê ขนัÊ ทÉี 3 ได้แก่ การพ้นจากความสขุ ในความสงบ ความตดิ อยใู่ นความสขุ ทางกายนนัÊ ยงั คงอยู่ ขนัÊ ทÉี 4 ได้แก่ การทําตนให้หลดุ พ้นจากความสขุ ทางกาย ความสมดลุ และอเุ บกขาก็ เกิดขนึ Ê ขนัÊ นีเÊป็นขนัÊ ของนิพพานหรือปัญญาบริสทุ ธÍิแท้ ๆ
211 สมาธิแบ่งได้ 3 ระดับ 1. ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชวัÉ ขณะ เป็นสมาธิปกตธิ รรมดาทีÉเราสามารถปฏิบตั กิ นั ได้ใน ชีวิตประจําวนั ในขณะทีÉตงัÊ ใจประกอบกิจการงาน ถือวา่ เป็นสมาธิเบือÊ งต้น 2. อปุ จารสมาธิ เป็นสมาธิระดบั กลาง คอื สงู ขนึ Ê ไปใกล้สมาธิระดบั ปฐมฌาน ได้แก่ สมาธิหรือความสงบใจจวนจะแนว่ แน่ 3. อปั ปนาสมาธิ คอื สมาธิระดบั สงู นบั ตงัÊ แตป่ ฐมฌานขนึ Ê ไปจนถงึ จตตุ ถฌาน เป็น สมาธิแนว่ แนส่ นิท ซงÉึ ได้แก่ ภาวะแหง่ จิตทีÉเพง่ อารมณ์จนแนว่ แน่ การเจริญสมาธิจนประณีตขึนÊ ตามลําดบั ภาวะของจติ ทÉีเป็นสมาธิถึงขนัÊ อปั ปนาสมาธิ แล้ว เรียกวา่ ฌาน ซงึÉ ฌานมีหลายชนัÊ โดยทวÉั ไปนยิ มแบง่ ออกเป็น 2 ชนัÊ ชนัÊ ละ 4 รวมเป็น 8 เรียกวา่ ฌาน 8 หรือ สมาบตั ิ 8 อนั เป็นภาวะของจิตทÉีลกึ ซงึ Ê ฌาน 8 หรือ สมาบัติ 8 ฌาน 8 หรือ สมาบตั ิ 8 นี Ê แบง่ ได้ 2 ชนัÊ หรือ 2 ระดบั ระดบั ละ 4 คอื 1. รูปญาณหรือรูปฌาน 4 ได้แก่ 1.1 ปฐมญาณ (ฌาน) มีองค์ประกอบ 5 คอื -วิตก ได้แก่ การผกู จิตไว้กบั วตั ถอุ ย่างใดอยา่ งหนึÉง -วจิ าร ได้แก่ การคลอเคลีย วนเวียนจิตอยกู่ บั วตั ถอุ นั จิตได้ผกู ไว้นนัÊ -ปีติ ได้แก่ จติ มีความอิมÉ เอบิ ปราโมทย์ในขณะทีÉจิตผกู พนั กบั วตั ถนุ นัÊ ปีติ เกิดขนึ Ê ได้ เพราะจิตเริÉมจดจอ่ อยกุ่ บั สÉิง ๆ เดยี ว -สขุ ได้แก่ จิตมีความเยือกเยน็ สงบ เป็นสขุ -เอกคั คตา ได้แก่ จิตเป็นใหญ่เพียงหนงึÉ เดียว ไมม่ ีอารมณ์อืÉนนอกไปจากนีหÊ รือ จติ มีอารมณ์เดยี ว 1.2 ทตุ ยิ ญาณ (ฌาน) มีองค์ประกอบ 3 คือ -ปีติ -สขุ -เอกคั คตา การละวิตก วิจารได้ ทําให้เรารู้สึกเบาสบายมากขึนÊ 1.3 ตติยญาณ (ฌาน) มีองค์ประกอบ 2 คอื -สขุ -เอกคั คตา
212 จติ มีความสงบเยือกเย็น มีอารมณ์เดียว 1.4 จตตุ ถญาณ (ฌาน) มีองค์ประกอบ 2 คอื -เอกคั คตา -อเุ บกขา สขุ เป็นเวทนาทําให้จิตไมว่ า่ งไปจากเวทนา จงึ เปลีÉยนสขุ เป็นอเุ บกขา คนทีÉทํา จิตให้แนว่ แนถ่ ึงขนัÊ จตตุ ถญาณ (ฌาน) แล้ว เรียกวา่ ได้ รูปาวจรสมาบตั ิ แล้ว 2. อรูปญาณ หรือ อรูปฌาน ถ้าทําจิตให้ยิงÉ ขนึ Ê กวา่ จตตุ ถญาณก็จะเข้าส่อู รูปญาณ 4 ซงึÉ เป็นอรูปาวจรสมาบตั ิ คอื 1. อากาสานญั จายตนะ ญาณทีÉกําหนดอากาศเป็นอนนั ต์ 2. วิญญาณญั จายตนะ ญาณทีÉกําหนดวิญญาณเป็นอนนั ต์ 3. อากิญจญั ญายตนะ ญาณทÉีกําหนดภาวะทÉีไมม่ ีสิงÉ ใด ๆ 4. อากาสานญั จายตนะ ญาณทÉีกําหนดวา่ มีสญั ญาก็ไมใ่ ช่ ไมม่ ีสญั ญาก็ไมใ่ ช่ การเพียรพยายามบําเพ็ญสมาธิ โดยนําวิธีการใด ๆ มาใช้ก็ตาม เพÉือให้เกิดผลสําเร็จ วธิ ีการเหลา่ นนัÊ เรียกวา่ สมถะ ซงÉึ สมถะล้วน ๆ ยอ่ มนําไปสภู่ าวะแหง่ จติ ทีÉเป็นสมาธิสงู สดุ เพียงเนวสญั ญานาสญั ญายตนะเทา่ นนัÊ การทÉีจะทําให้จติ บรรลถุ งึ การดบั ทกุ ข์ หรือทําจิตให้ บริสทุ ธÍิถงึ ทีÉสดุ ได้นนัÊ จะต้องอาศยั ปัญญาเข้ามาชว่ ยในการพจิ ารณาความจริง เรียกวา่ การ เจริญวปิ ัสสนา และการเจริญวิปัสสนานนัÊ ผลทÉีได้รับก็คอื การเข้าถงึ ภาวะสมาธิทีÉประณีต สงู สดุ ได้แก่ ได้อีกขนัÊ หนงÉึ เป็นขนัÊ ทÉี 9 เรียกว่า สญั ญาเวทยิตนิโรธ หรือ นิโรธสมาบตั ิ เป็น ภาวะทีÉสญั ญาและเวทนาหยดุ การปฏิบตั หิ น้าทÉีและมีปัญญาแจม่ ชดั ในจิตบริสทุ ธิÍถึงทีÉสดุ มีแต่ ธรรมชาตทิ ีÉบริสทุ ธÍิถึงทÉีสดุ วิธีเจริญสมาธิ การปฏิบตั เิ พÉือให้เกิดสมาธิจนเป็นผลสําเร็จนนัÊ ยอ่ มมีกลวธิ ีหรือกลอบุ ายสําหรับ เหนีÉยวนําสมาธิมากมาย พระอรรถกถาจารย์ได้รวบรวมข้อปฏิบตั ทิ Éีเป็นกลวธิ ีตา่ ง ๆ ไว้ถงึ 40 อยา่ ง เรียกว่า กรรมฐาน 40 ได้แก่ 1. กสณิ 10 2. อสภุ ะ 10 3. อนสุ สติ 10 4. อปั ปมญั ญา 4 5. อาหาเรปฏิกลู สญั ญา 1
213 6. ธาตวุ วฏั ฐาน 1 7. อรูป 4 จติ ทÉีเป็ นสมาธิ มีคุณสมาบัตสิ าํ คัญ 3 ประการ คือ 1. ปริสทุ โธ (Purity) คอื จิตบริสทุ ธิÍ สะอาด แจม่ ใส ไมม่ ีกิเลสรบกวน 2. สมาหิโต (Firm) คอื จิตมนัÉ คง แนว่ แน่ จดจอ่ อยใู่ นอารมณ์เดียว ไมว่ อกแวกฟ้งุ ซา่ น 3. กมั มนีโย (Active) คือ จติ วอ่ งไวควรแก่การงาน จุดมุ่งหมายสูงสุด จดุ มงุ่ หมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา คือ นิพพาน ซงึÉ หมายถงึ การหลดุ พ้นจากการ เวียนวา่ ยตายเกิดได้ ดงั นนัÊ การบรรลนุ พิ พาน ก็คือ การเข้าถงึ ความดบั ทกุ ข์โดยสินÊ เชงิ และ บรรลคุ วามสขุ อยา่ งสงู สดุ จิตของผ้บู รรลนุ พิ พานยอ่ มมีความสะอาดสวา่ งและสงบ ตลอดเวลา ทีÉมีชีวิตอยแู่ ละเมืÉอดบั ขนั ธ์แล้วก็เป็นการสินÊ ทกุ ข์ ไมก่ ลบั มาเวียนวา่ ยตายเกิดในวฏั สงสารอีก ตอ่ ไป พระพทุ ธศาสนามีคาํ สอนทÉีเป็นหลกั ปฏิบตั ิ เพÉือให้บรรลจุ ดุ มงุ่ หมายปลายทางในระดบั ตา่ ง ๆ และจดุ มงุ่ หมายตา่ ง ๆ อาจแบง่ ได้เป็น 3 ระดบั สมั พนั ธ์เชÉือมโยงกนั คือ 1. ทฏิ ฐธมั มิกตั ถประโยชน์ จดุ มงุ่ หมายคือประโยชน์ในปัจจบุ นั 2. สมั ปรายติ กถั ประโยชน์ จดุ มงุ่ หมายคือประโยชน์ในชีวิตแหง่ ภพตอ่ ไป 3. ปรมตั ถประโยชน์ จดุ มงุ่ หมายคือประโยชน์อยา่ งยงÉิ ได้แก่ การดบั ทกุ ข์โดยสินÊ เชิง จดุ มงุ่ หมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนานนัÊ พระพทุ ธเจ้าทรงชีไÊ ปทีÉนิพพาน คอื ความสินÊ ราคะ โทสะ โมหะ บางครังÊ มีการอธิบายวา่ หมายถงึ การสินÊ ไปแหง่ ไฟคือราคะ ไฟคอื โทสะ และไฟคอื โมหะในจิต การดบั ไฟในทีÉนีทÊ า่ นหมายถึงการดบั ไฟคือกิเลส หรือกิเลสดบั ไป โดย อปุ มาชีวิตของมนษุ ย์แตล่ ะคนวา่ เปรียบได้กบั ดวงไฟทÉีกําลงั ลกุ ขนึ Ê โพลงอยู่ ซงÉึ หมายถึงการมี เชือÊ เพลงิ และปัจจยั ตา่ ง ๆ ทÉีชว่ ยเกือÊ กลู ทงัÊ หลายมีอยู่ ดวงไฟคือชีวิตของมนษุ ย์ก็มีปัจจยั 3 ประการ คือ กามตณั หา ภวตณั หา และวิภวตณั หาเกือÊ กลู อยู่ ปัจจยั เหลา่ นีมÊ ีรากเหง้ามาจาก อวิชชา ซงึÉ เป็นสÉิงหล่อเลียÊ งดวงไฟแหง่ ชีวติ ไว้ การดบั ไฟของดวงไฟธรรมดายอ่ มหมายถงึ การ หมดเชือÊ หมดเปลว หมดความร้อน เปรียบได้กบั การดบั ไฟ คือ ดวงชีวิต คือ การทÉีอวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน ดบั ลงไปด้วยอํานาจอริยมรรคญาณอนั สงู สดุ นนัÊ ก็คือเมืÉอกระบวนการแหง่ ชีวิตดบั ไป เพราะการสินÊ ไปแหง่ อวิชชาแล้วก็เชÉือว่าเป็นการบรรลนุ ิพพาน ลกั ษณะของนพิ พานมีกล่าวไว้โดยอเนกประการ เชน่
214 1. ปทะ เป็นธรรมทÉีเป็นทาง 2. อจั จตุ ะ เป็นธรรมทÉีไมต่ าย 3. อจั จนั ตะ เป็นสภาพทีÉก้าวลว่ งขนั ธ์ 5 และก้าวลว่ งกาลเวลา 4. อสงั ขตะ เป็นธรรมทีÉมไิ ด้ถกู ปรุงแตง่ ด้วยปัจจยั ใด ๆ 5. อนตุ ตระ เป็นธรรมอนั ประเสริฐยอมเยÉียม ศาสตราจารย์ T.V. Rhys Davids กลา่ ววา่ นพิ พาน คือ การดบั ซงึÉ ความชวัÉ และ ความยึดมนัÉ ถือมนÉั ทางใจ อนั เป็นผลมาจากมหากศุ ลธรรมและเป็นสาเหตแุ หง่ การดบั ซงึÉ การ เกิดใหม่ ดงั นนัÊ นิพพานจงึ เป็นสภาวะทีÉปราศจากตณั หาโดยสินÊ เชิง เป็นสภาวะแหง่ ความสงบ สขุ ของจติ ใจทÉีประกอบด้วยปัญญา นพิ พานมี 2 ประการ คือ 1. สอปุ าทเิ สสนิพพาน คือ นพิ พานของพระอริยบคุ คลทีÉยงั มีชีวิตอยู่ 2. อนปุ าทิเสสนิพพาน คือ การดบั กิเลสพร้อมทงัÊ การสนิ Ê ไปแหง่ สงั ขารของพระอริย บคุ คล เมืÉอกลา่ วโดยปรมตั ถ์แล้ว นิพพานไมใ่ ชป่ ระเภททÉีแบง่ เป็น 2 นนัÊ โดยปริยาย เพÉือ อธิบายนิพพานไปบางแหง่ และแสดงความสมั พนั ธ์กบั นิพพานเทา่ นนัÊ แตแ่ ท้จริงนพิ พานมี ธรรมชาตคิ ือความสินÊ ทกุ ข์ ในขทุ ทกนิกาย พระพทุ ธเจ้าตรัสวา่ ดกู รภิกษุทงัÊ หลาย สิÉงนนัÊ มีอยู่ คือ สิÉงซงึÉ ไมใ่ ชด่ นิ ไมใ่ ชน่ ําÊ ไมใ่ ชล่ ม ไมใ่ ชอ่ ากาศ ไมใ่ ชว่ ญิ ญาณ ไมใ่ ชอ่ ากิญจญั ญายตนะ ไมใ่ ชเ่ นวสญั ญานาสญั ญายตนะ ไมใ่ ชโ่ ลกนี Ê ไมใ่ ช่ โลกอÉืน ไมใ่ ชด่ วงอาทิตย์ ไมใ่ ชด่ วงจนั ทร์ ไมเ่ ป็นการไป ไมเ่ ป็นการมา ไมเ่ ป็นการหยดุ นÉงิ อยู่ แตส่ งิÉ นนัÊ มีอยู่ ภิกษุทงัÊ หลาย และนนÉั แหละเป็นทีÉดบั ของความทกุ ข์ ฉะนนัÊ พระนพิ พาน จงึ มี ลกั ษณะเป็นสภาวะทงัÊ ทีÉเป็นอยกู่ บั ตวั เราเอง และอยใู่ นทีÉอืÉนซงÉึ เป็นสภาพทางสภาวะทีÉไมอ่ าจ มองเห็นด้วยตา แตร่ ู้และเห็นได้ด้วยบรรลธุ รรม (รศ.ดร. ทองหลอ่ วงษ์ธรรมา. 2538:205) คัมภรี ์ศาสนา พระไตรปิฎก คอื เป็นคมั ภีร์ของพระพทุ ธศาสนาทีÉประมวลเรÉืองราวของบคุ คลตา่ ง ๆ อนั ได้แก่ พระพทุ ธเจ้า สาวกทงัÊ หลาย ประกอบด้วยภิกษุ ภิกษุณี และบคุ คลผ้ทู ÉีเกÉียวข้อง พทุ ธศาสนนทิ าน และหลกั ธรรมคําสงÉั สอน โดยรูปศพั ท์ไตรปิฎกแปลว่า คมั ภีร์ 3 เลม่ และโดยนยั แหง่ ธรรมความหมายแปลว่า เป็นทÉีรวมคําสงัÉ สอนของพระพทุ ธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ มิให้กระจดั กระจาย ประหนงÉึ ตะกร้าใส่
215 ของให้รวมอยดู่ ้วยกนั ฉะนนัÊ เรÉืองราวและข้อความตา่ ง ๆ ในพระไตรปิฎกแตแ่ รกคือในครังÊ พทุ ธกาล มิได้รวบรวม จดั เป็นหมวดหม่ดู งั ทีÉปรากฏอยา่ งทีÉเป็นอยู่ การรวบรวมจดั ระเบยี บให้เป็นรูปพระไตรปิฎกเพÉงิ จะมีขนึ Ê ในคราวทÉีมีการสงั คายนาเป็นครังÊ แรก ทีÉถําÊ สตั ตบรรณคหู า ข้างเขาเวภารบรรพตใกล้ กรุงราชคฤห์ ประเทศอนิ เดยี หลงั จากทีÉพระพทุ ธเจ้าเสด็จดบั ขนั ธ์ปรินพิ พานลว่ งแล้ว 3 เดอื น โดยมีพระมหากสั สปเถระเป็นประธานในการสงั คายนาและเป็นผ้ซู กั ถาม พระอบุ าลีเป็นผ้ตู อบ ข้อซกั ถามทางวนิ ยั พระอานนท์ได้รับเป็นผ้ตู อบข้อซกั ถามทางธรรม การทําสงั คายนาครังÊ นีมÊ ี พระอรหนั ต์ประชมุ กนั 500 รูป พระไตรปิฎกทÉีได้รับการสงั คายนาจดั ระเบียบเป็นหมวดหมแู่ ล้วนี Ê ปรากฏในรูปของ คมั ภีร์มขุ ปาฐะ (Oral Scripture) คอื ทอ่ งบน่ จดจํากนั ไว้โดยไมไ่ ด้บนั ทกึ ลงเป็นหนงั สือ พระไตรปิฎกมาปรากฏในรูปแบบของคมั ภีร์ลายสกั ษณ์ (Verbal Scripture) เป็นครังÊ แรกในคราวทÉีมีการสงั คายนาในประเทศลงั กา เป็นครังÊ ทÉี 2 ประมาณปี พ.ศ. 422 ในรัชสมยั พระเจ้าวฏั ฏคามณีอภยั การทําสงั คายนาครังÊ นีกÊ ระทํากนั ทÉีอาโลกเลณสถาน ณ มตเลชนบท ประเทศลงั กา โดยมีพระรักขติ มหาเถระเป็นประธาน ภาษาทÉีใช้บนั ทกึ พระไตรปิฎกนนัÊ ได้แก่ ภาษาบาลี ในปี พ.ศ. 2020 พระเจ้าตโิ ลกราชแหง่ อาณาจกั รล้านนา ได้อาราธนาพระภิกษุผ้มู ี ความรู้ชํานาญในพระไตรปิฎกเป็นจํานวนมาก มีพระธรรมทินเถระเป็นประธานให้ชําระอกั ษร พระไตรปิฎก และปรากฏวา่ ตวั อกั ษรทÉีใช้ในการจารึกพระไตรปิฎกไว้ในการชําระครังÊ นนัÊ เป็น อกั ษรไทยล้านนา ในปี พ.ศ. 2331 พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชได้โปรดให้มีการ สงั คายนาชําระพระไตรปิฎก และจารึกลงบนใบลานด้วยตวั อกั ษรขอม ตอ่ มาในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั รัชกาลทÉี 5 ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้มีการชําระพระไตรปิฎก ได้เปลÉียนแปลงตวั อกั ษรขอมเป็นตวั อกั ษรไทย และโปรดเกล้า ฯ ให้จดั พิมพ์เป็นเลม่ โดยเริÉมดาํ เนินการตงัÊ แต่ พ.ศ. 2431 และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2436 นบั เป็นครังÊ แรกในประเทศไทยทÉีได้มีการพมิ พ์พระไตรปิฎกเป็นเลม่ ด้วยตวั อกั ษร ไทย สว่ นการแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลีเป็นภาษาไทยนนัÊ ได้กระทํากนั มาตงัÊ แตค่ รังÊ กรุง ศรีอยธุ ยาเป็นราชธานี ครันÊ ถึงสมยั รัตนโกสนิ ทร์ พระบาทสมเดจ็ พระนงÉั เกล้าเจ้าอยหู่ วั ก็ทรง พระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จดั แปลไว้เป็นอนั มาก และการแปลก็ได้ดาํ เนนิ ไปเป็นครังÊ คราวใน
216 รัชกาลตอ่ ๆ มา แตก่ ารแปลคงมีเฉพาะพระสตุ ตนั ตปิฎกเป็นพืนÊ ส่วนพระวินยั ปิฎก และพระ อภิธรรมปิฎกมีน้อย ทงัÊ นีเÊป็นด้วยวตั ถปุ ระสงค์การแปลตา่ งกนั ผ้แู ปลจงึ เลือกแปลเฉพาะสว่ น ทÉีต้องการ การแปลพระไตรปิฎกเป็นไทยโดยตลอดทงัÊ หมด ได้เรÉิมดาํ เนนิ การในปี พ.ศ. 2483 ทงัÊ นีสÊ ืบเนÉืองจากพระประสงคข์ องสมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (แพ ตสิ สเถระ) วดั สทุ ศั น์เทพวราราม การแปลครังÊ นีแÊ บง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แปลโดยอรรถตามความบาลีพระไตรปิฎกฉบบั สยามรัฐ สําหรับพมิ พ์เป็นเลม่ สมดุ เรียกวา่ พระไตรปิฎกภาษาไทย 2. แปลโดยสํานวนเทศนาสําหรับพิมพ์ลงในใบลาน เป็นคมั ภีร์เทศนา เรียกวา่ พระไตรปิฎกเทศนาฉบบั หลวง พระไตรปิฎกสํานวนเทศนาได้แปลและจดั พิมพ์ลงใบลาน แล้วเสร็จเมÉือ พ.ศ. 2492 สว่ นพระไตรปิฎกฉบบั ภาษาไทยได้แปลเสร็จเรียบร้อย และจดั พมิ พ์เป็นเลม่ สมบรู ณ์เป็นครังÊ แรก ในงานฉลอง 25 พทุ ธศตวรรษ เมÉือ พ.ศ. 2500 พระไตรปิฎก มี 45 เลม่ แบง่ ออกเป็น 3 หมวด คือ เลม่ ทÉี 1 – 8 วา่ ด้วยพระวินยั เลม่ ทÉี 9 - 33 วา่ ด้วยพระสตู ร เลม่ ทÉี 34 - 45 วา่ ด้วยพระอภิธรรม 1. วนิ ัยปิ ฎก หมวดทีÉวา่ ด้วยศีลของภิกษุและภิกษุณี จําแนกเป็นหมวด ดงั นี Ê 1. มหาวิภงั ค์ (หรือภิกขวุ ภิ งั ค์) วา่ ด้วยศีลของภิกษุ ทÉีมีในปาฏิโมกข์ 2. ภิกขณุ ีวิภงั ค์ วา่ ด้วยศลี ของนางภิกษุณี 3. มหาวรรค วา่ ด้วยเรืÉองใหญ่ แบง่ เป็นขนั ธกะ มี 10 หมวด 4. จลุ วรรค วา่ ด้วยเรÉืองเลก็ น้อย แบง่ เป็นขนั ธกะ คือ มี 12 หมวด 5. ปริวาร วา่ ด้วยหวั ข้อเบด็ เตลด็ ตา่ ง ๆ เป็นการย่อหวั ข้อสรุปเนือÊ ความวินิจฉัย ปัญหาใน 4 เรÉืองข้างต้น ใช้อกั ษรยอ่ ดงั นี Ê อา ปา ม จุ ป 2. สุตตันตปิ ฎก หรือทีÉเรียกกนั ทวัÉ ไปวา่ พระสตู รประกอบด้วยพระสตู รตา่ ง ๆ ซงึÉ เป็นพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจ้าบ้าง พระสาวกบ้าง ตอนต้นของแตล่ ะพระสตู รมกั จะเลา่ เรืÉองราวทีÉเป็นสาเหตขุ องการแสดงพระธรรมเทศนานนัÊ บางทีก็เป็นบทสนทนา สว่ นภาษาทÉีใช้ ในการแตง่ นนัÊ มกั จะเป็นร้อยแก้ว มีบางพระสตู รทÉีเป็นบทร้อยกรอง นอกจากนีมÊ ีบางพระสตู ร ทีÉแตง่ เป็นร้อยแก้วและมีร้อยกรองแทรกปนอยใู่ นระหวา่ งกลางด้วย สตุ ตนั ตปิฎกจําแนกออก เป็น 5 หมวด ซงึÉ เรียกวา่ นิกาย ดงั นี Ê
217 1. ทีฆนิกาย หมายถึง หมวดทีÉรวบรวมรพระสตู รขนาดยาว ไมป่ นกบั พระสตู ร ประเภทอืÉน ในหมวดนีมÊ ีพระสตู รรวมทงัÊ สินÊ 34 สตู ร 2. มชั ฌมิ นิกาย หมายถงึ หมวดทีÉรวบรวมพระสตู รขนาดกลางมี 152 สตู ร 3. สงั ยตุ ตนิกาย คอื ประมวลเรÉืองประเภทเดียวกนั เอาไว้เป็นหมวด คอื เรÉืองของ พระมหากสั สป ก็เอาไว้ด้วยกนั เรียกวา่ กสั สปสงั ยตุ เรÉืองมรรค คอื ข้อปฏิบตั กิ ็เอาไว้ด้วยกนั และเรียกวา่ มคั คสงั ยตุ เป็นต้น ในหมวดนีมÊ ีพระสตู ร รวมทงัÊ สินÊ 7,762 สตู ร 4. องั คตุ ตรนิกาย คือ หมวดทีÉประมวลธรรมะทÉีจดั ไว้เป็นพวก ๆ ตามจํานวนตวั เลข เชน่ หมวดธรรมข้อเดยี วก็จดั เอาไว้ในหมวดทีÉเรียกวา่ เอกนิบาต หมวดธรรม 2 ข้อ เรียกวา่ ทกุ นิ บาต ในหมวดนีมÊ ีพระสตู รรวมทงัÊ สินÊ 9,557สตู ร 5. ขทุ ทกนิกาย ได้แก่ หมวดทีÉรวบรวมข้อธรรม และเรืÉองราวตา่ ง ๆ ทÉีไมอ่ าจจดั เข้า ใน 4 หมวดข้างต้น มีทงัÊ หมด 15 คมั ภีร์ แตล่ ะคมั ภีร์มีเนือÊ หาแตกตา่ งกนั เชน่ ขทุ ทกปาฐะ คอื บทสวดสนัÊ ๆ เกÉียวกบั พทุ ธศาสนา ธรรมบท คือ ธรรมภาษิตสนัÊ ๆ ประมาณ 300 บท สว่ นเรÉืองพสิ ดารปรากฏใน อรรถกถา ชาดก คือ ภาษิตตา่ ง ๆ เกÉียวโยงกบั คําสอนประเภท นิทาน ในสตุ ตนั ปิฎกนีใÊ ช้อกั ษรย่อดงั นี Ê ที ม สัง อัง ขุ 3. อภธิ รรมปิ ฎก เป็นหมวดทÉีมีเนือÊ หาได้กลา่ วถึงหลกั ธรรม คล้ายคลงึ กบั ธรรมใน พระสตุ ตนั ตปิฎก แตไ่ ด้อธิบายละเอียดกวา่ และไมไ่ ด้ยกตวั อย่างประกอบธรรมะนนัÊ ๆ การ อธิบายมีลกั ษณะเป็นตํารา คือ มีการอธิบายและจําแนกศพั ท์คล้ายพจนานกุ รม ซงÉึ ประกอบด้วยคมั ภีร์ 7 คมั ภีร์ แตล่ ะคมั ภีร์มีข้อความว่าด้วยเรÉืองตา่ ง ๆ เชน่ 1. สงั คณี วา่ ด้วยการรวมกลมุ่ ธรรม 2. วิภงั ค์ วา่ ด้วยการแยกธรรมออกเป็นข้อ ๆ 3 ธาตกุ ถา วา่ ด้วยธาตุ คือ ธรรมทกุ อยา่ งอาจจดั เป็นประเภทได้โดยธาตุ 4. ปคุ คลบญั ญตั ิ วา่ ด้วยบญั ญตั ิ 6 ประการ เชน่ บญั ญตั ขิ นั ธ์ บญั ญัตอิ ายตนะ และ บญั ญตั ิบคุ คล พร้อมทงัÊ แจกรายละเอียดเรÉืองบญั ญตั บิ คุ คลตา่ ง ๆ ออกไป 5. กถาวตั ถุ ว่าด้วยคําถาม – คาํ ตอบธรรมประมาณ 500 คําถามและ 500 คําตอบ 6. ยมก วา่ ด้วยธรรมเป็นคู่ ๆ 7. ปัฏฐาน วา่ ด้วยปัจจยั คอื สÉงิ สนบั สนนุ 24 ประการ ในอภิธรรมปิฎกนีใÊ ช้อกั ษรยอ่ ดงั นี Ê สัง วิ ธา ปุ ก ย ป และมีเนือÊ หาทาง พระพทุ ธศาสนาลกึ ซงึ Ê ยÉิง ต้องใช้ความขบคิดใคร่ครวญหาความเป็นเหตเุ ป็นผลของหลกั ธรรม
218 นนัÊ ๆ จงึ ทําให้ผ้ศู กึ ษาได้เข้าถึงธรรมะของพระพทุ ธเจ้าได้แท้จริง (รศ.ดร. เดือน คาํ ดี. 2541:154-155) พธิ ีกรรมสาํ คัญทางศาสนา พธิ ีกรรมเป็นองค์ประกอบหนÉงึ ของศาสนา เป็นกิจกรรมเชืÉอมโยงระหว่างผ้ปู ฏิบตั ิ กบั ความจริงหรือธรรมในศาสนา พิธีกรรมนอกจากจะเป็นเรืÉองความผกู พนั ระหวา่ งศาสนกิ ชน กบั ศาสนธรรมแล้ว ยงั เป็นการแสดงออกซงÉึ ความหมายหรือสญั ลกั ษณ์ในศาสนาด้วย ผศ. วนดิ า ขําเขียว (2541:143) แบง่ พิธีกรรมในพระพทุ ธศาสนาเป็น 2 ประเภทคือ 1. พธิ ีกรรมเกีÉยวกบั งานมงคล เชน่ เกีÉยวกบั การเกิด การโกนผมไฟ การบวช การ แตง่ งาน การขนึ Ê บ้านใหม่ การทําบญุ วนั เกิด และการทําบญุ อนั เป็นมงคลอืÉน ๆ ในเทศกาล ตรุษตา่ ง ๆ เป็นต้น 2. พิธีกรรมเกÉียวกบั งานอวมงคล เชน่ งานตายและงานเนÉืองด้วยผ้ตู าย เป็นต้น อยา่ งไรก็ตาม อาจแยกให้เห็นพิธีกรรมเหลา่ นีไÊ ด้ ดงั นี Ê 1. พิธีปฏิญาณตนเป็นพทุ ธมามกะ 2. พิธีถืออโุ ลสถศีล 3. พิธีบรรพชา – อปุ สมบท 4. พธิ ีทอดกฐิน 5. พิธีทอดผ้าป่ า 6. พิธีวิสาขบชู า 7. พิธีอฏั ฐมีบชู า 8. พธิ ีอาสาฬหบชู า 9. พิธีเข้าพรรษา – ออกพรรษา 10. ประเพณีเกีÉยวกบั การเกิด การตาย เป็นต้น นิกายศาสนา ศจ. เสถียร พนั ธรังษี (2542:165) กลา่ ววา่ พระพทุ ธศาสนามีนกิ ายแบง่ ออกเป็น 2 นิกายใหญ่ ซงึÉ เกิดจากการตีความพทุ ธพจน์แตกตา่ งกนั คือ 1. นิกายเถรวาท หรือหินยาน เป็นนิกายดงัÊ เดมิ ยดึ ถือหลกั พระธรรมวินยั ตามทีÉพระ มหากสั สปเถระ เป็นต้น ได้สงั คายนาไว้ เมืÉอพทุ ธปรินพิ พานได้ 3 เดอื น เจริญอยทู่ าง ตอนใต้ของอินเดยี ได้แพร่หลายไปยงั ประเทศเอเชียได้ เชน่ ศรีลงั กา พมา่ ไทย ลาว และ เขมร เป็นต้น บางครังÊ เรียกนกิ ายฝ่ายใต้ 2. นิกายมหายานหรืออาจาริยวาท เป็นนิกายทีÉแยกออกมาใหม่ ยึดถือหลกั ธรรมตาม การตีความใหมแ่ ละการปฏิบตั ขิ องอาจารย์ของตน เจริญอยตู่ อนเหนือของอนิ เดียได้แพร่เข้า ไปสปู่ ระเทศธิเบต จีน เกาหลี เวียดนาม และญีÉป่นุ เป็นต้น อาจเรียกนิกายฝ่ายเหนือ
219 สาเหตแุ ละลักษณะการแบ่งแยกนิกาย 1. เถรวาท หรือหีนยาน ยึดหลกั พระพทุ ธศาสนาดงัÊ เดมิ ไมย่ อมเปลีÉยนแปลงหรือถอน สิกขาบทใด ๆ มีหลกั ปฏิบตั โิ ดยภาพรวมทงัÊ หมดดงั นี Ê 1. มงุ่ ปฏิบตั ติ ามทางอรหนั ต์มรรค เพÉือบรรลเุ ป็นพระอรหนั ต์ หมดกิเลส หมด ทกุ ข์ เพÉือตนก่อน 2. มงุ่ รักษาวินยั หรือศลี 227 ข้ออยา่ งเคร่งครัด 3. ปฏิเสธหลกั ลทั ธิตรีกาย (ธรรมกาย นิรมานกาย และสมั โภคกาย) 4. ไมร่ ับพทุ ธภาวะวา่ มีอยใู่ นสรรพสตั ว์ 5. บคุ คลจะตรัสรู้ได้ด้วยอรหตั ตมรรคทางเดยี ว คือ ศลี สมาธิ ปัญญา 2. มหายานหรืออาจาริยวาท ยดึ หลกั คําสอนทีÉเปลÉียนแปลงแตกแยกออกมาภายหลงั มีหลกั ปฏิบตั โิ ดยภาพรวมทงัÊ หมดดงั นี Ê 1. มงุ่ ปฏิบตั ติ ามทางโพธิสตั วมรรค ยงั ไมป่ รารถนาความหลมุ พ้น จนกวา่ จะชว่ ย สตั ว์อืÉนให้หลดุ พ้นทกุ ข์ก่อน 2. มงุ่ รักษาธรรมยิงÉ กว่าวนิ ยั เพมÉิ วนิ ยั ของพระโพธิสตั ว์แสดงภาวะการปฏิบตั ธิ รรม อีก 58 ข้อ 3. แสดงลทั ธิตรีกาย รับวา่ พระพทุ ธเจ้ามีพระกายเป็นสามลกั ษณะ คือ ธรรมกาย นริ มาณกาย และสมั โภคกาย 4. ยืนยนั พทุ ธภาวะมีอย่ใู นสตั ว์ ไมเ่ ลือกหน้า แม้แตด่ ริ ัจฉาน 5. บคุ คลจะตรัสรู้โดยวิธี - การศกึ ษาจากคมั ภีร์ (ปริยตั ิ) - การบาํ เพ็ญทางใจ (ปฏิบตั ิ) - ศรัทธาตอ่ พระพทุ ธเจ้า (ภกั ดี) (พระญาณวโรดม. 2538:239-252) ลักษณะพเิ ศษแห่งพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาในฐานะระบอบการดําเนนิ ชีวิตไปส่คู วามพ้นทกุ ข์ และเป็นศาสนาทÉี เกิดขนึ Ê ด้วยความพากเพียรพยายามของมนษุ ย์โดยตรง และเพืÉอประโยชน์สขุ แกม่ นษุ ย์ทวัÉ หน้า จงึ มีผ้มู องพระพทุ ธศาสนาในด้านตา่ ง ๆ กนั ซงึÉ อาจแยกให้เห็นได้ เชน่ 1. พระพทุ ธศาสนาคือปฏิบตั นิ ยิ ม (Pragmatism) เพราะเน้นการปฏิบตั บิ นเหตผุ ลทÉี ให้พิสจู น์ได้ เชน่ หลกั ไตรสิกขา คอื ศลี สมาธิ ปัญญา เป็นศาสนาแหง่ การศกึ ษาเน้นวา่
220 มนษุ ย์เป็นสตั ว์ทÉีสามารถฝึกฝนได้ 2. พระพทุ ธศาสนาคือเหตผุ ลนยิ ม (Rationalism) เพราะสอนหลกั ปฏิจจสมปุ บาท กฎแหง่ กรรม ไตรลกั ษณ์ และอริยสจั 4 เป็นต้น 3. พระพทุ ธศาสนาคอื ระบอบธรรมาธิปไตย (The Supremacy of Righteousness) เพราะไมค่ ดั ค้านหรือโต้แย้งกบั ลทั ธิใด แตใ่ นเรืÉองการตดั สนิ วา่ ระบบใด คําสอนใด ลทั ธิใด หรือทฤษฎีใดผิดถกู อยา่ งไรนนัÊ ได้ทรงแสดงหลกั ธรรมเพืÉอเป็นเกณฑ์ไว้ เรียกวา่ ธรรมาธิปไตย กลา่ วคือ การกระทําใด ไมว่ า่ จะเป็นสว่ นปัจเจกชนหรือสงั คมสว่ นใหญ่ ถ้าประกอบด้วยหลกั ธรรมาธิปไตยแล้ว การกระทํานนัÊ ก็เป็นอนั ถกู ต้อง 4. พระพทุ ธศาสนาคือระบอบพรหมจรรย์นยิ ม (Holy Life) เพราะแสดงหลกั ปฏิบตั ิ สายกลาง ทÉีเรียกวา่ มชั ฌิมาปฏิปทา กลา่ วคือ มรรคมีองค์ 8 เป็นทางดําเนินชีวิตด้วยหลกั อปั ปมาทธรรม 5. พระพทุ ธศาสนาคอื สนั ตินิยม (Pacifism) เพราะสอนไมใ่ ห้เบียดเบยี นกนั ด้วยหลกั แหง่ ศีล เชน่ เบญจศีล เบญจธรรม สอนเพืÉอสนั ตภิ าพแก่โลกและชีวิตอยา่ งไมจ่ ํากดั ชาตชิ นัÊ วรรณะ รวมทงัÊ สรรพสตั ว์ก็ไมย่ กเว้น 6. พระพทุ ธศาสนาเป็นอเทวนิยม (Atheism) เพราะปฏิเสธพระเจ้าสร้างโลก และ สอนไมใ่ ห้รอคอยวาสนา อาศยั อํานาจภายนอกมาชว่ ยเหลือ แตส่ อนให้พงÉึ ตนเอง เช่น เรืÉอง กฎแหง่ กรรม กฎแหง่ ไตรลกั ษณ์ เพราะสรรพสิงÉ ย่อมเป็นไปตามเหตปุ ัจจยั 7. พระพทุ ธศาสนาเป็นมนษุ ย์นยิ ม (Humanism) เพราะถือว่าความคิดทีÉเป็นจริงต้อง ก่อให้เกิดการกระทํา การกระทํานนัÊ ต้องให้ผลทีÉเป็นประโยชน์และความสขุ แกม่ นษุ ย์ และความ แท้จริงทงัÊ หลายทงัÊ ปวง ต้องเป็นเรÉืองในชีวิตจริงของมนษุ ย์และคณุ คา่ ของสงิÉ ใด ๆ ย่อมไมอ่ ยู่ เหนือคณุ คา่ ของความเป็นมนษุ ย์ พทุ ธธรรมเป็นเรืÉองของมนษุ ย์โดยตรง เพราะมนษุ ย์เทา่ นนัÊ เป็นผ้สู ร้างโลก สร้างชีวิตมนษุ ย์เอง พร้อมกนั นนัÊ ก็คํานงึ ถึงศกั ดศÍิ รี และเสรีภาพแหง่ มนษุ ย์ เป็นสําคญั (แสง จนั ทร์งาม. 2544:14-27) สัญลักษณ์ ในพระพทุ ธศาสนาใช้เสมาธรรมจกั รทÉีแปลวา่ กงล้อแหง่ พระธรรม เป็นสญั ลกั ษณ์ ธรรมจกั รใช้แทนหลกั ธรรม คอื มรรคมีองค์ 8 เป็นอริยสจั ข้อทÉี 4 ในพทุ ธธรรม กลา่ วคือ ธรรมทงัÊ ปวงในพระพทุ ธศาสนาเมÉือได้ยน่ ยอ่ ลงไปแล้วก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซงÉึ รวมอยใู่ น มรรคมีองค์ 8 นนÉั เอง ชาวพทุ ธจงึ ใช้ธงตราธรรมจกั รเป็นเครÉืองหมาย
221 การใช้กงล้อเป็นสญั ลกั ษณ์แทนพระธรรมเป็นครังÊ แรกนนัÊ มีหลกั ฐานปรากฏในพทุ ธ ศตวรรษทีÉ 3 โดยพระเจ้าอโศกมหาราช นอกจากจะทรงใช้เป็นสญั ลกั ษณ์ในการประกาศ พทุ ธศาสนาแล้ว ยงั ทรงใช้เป็นเครÉืองหมายตราแผน่ ดนิ ทีÉเรียกวา่ พระราชลญั ชกรด้วย ก่อนตงัÊ องค์การพทุ ธศานิกสมั พนั ธ์แหง่ โลกนยิ มใช้ธงฉพั พรรณรังสี แนวความคดิ ทÉีนํากงล้อมาใช้เป็น สญั ลกั ษณ์แทนพทุ ธธรรมนี Ê เนืÉองมาจากครังÊ พระพทุ ธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ เสดจ็ ไปเมืองพาราณสี เพÉือทรงแสดงธรรมแก่ปัญจวคั คีย์ ทรงพบอปุ กาชีวกในระหวา่ งทางทรงตอบคําถามของอปุ กาชี วก โดยตรัสวา่ เราจะไปเมืองของชาวกาลี เพÉือกลิงÊ กงล้อธรรมให้หมนุ ไป เราจะตีกรองอมตะ ในโลกอนั มืดเพืÉอให้สตั ว์ได้ดวงตาเห็นธรรม ดงั นี Ê เมืÉอเสดจ็ ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวนั แขวง เมืองพาราณสีได้พบปัญจวคั คยี ์แล้ว จงึ ทรงแสดงปฐมเทศนา คือ พระธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร อนั มีเนือÊ ความ คอื การแสดงอริยสจั 4 ซงÉึ ประกอบด้วยมรรคมีองค์ 8 นนัÉ เอง การประกาศ พระธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร จงึ ถือวา่ พระพทุ ธองค์ได้ทรงหมนุ กงล้อแหง่ พระธรรม พระพทุ ธ ศาสนาได้อบุ ตั ขิ ึนÊ ในโลกแล้ว (รศ. คณู โทขนั ธ์. 2537:179) พระรัตนตรัย (Triple Gem) สญั ลกั ษณ์สงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนาคอื พระรัตนตรัยในฐานะทÉีเป็นองคร์ วมสงู สดุ แหง่ มนษุ ย์ ธรรมชาตแิ ละสงั คม เป็นแมแ่ บบแหง่ ความสมบรู ณ์สงู สดุ ยิÉงและเป็นองค์คณุ ธรรมทีÉ สมั พนั ธ์กบั มนษุ ย์ในฐานะเป็นแบบอยา่ งและเป็นอดุ มคติชีวิต พิธีกรรมการแสดงถึงความเป็น พทุ ธศาสนกิ ชน ก็คือ การปฏิญาณตนนบั ถือพระรัตนตรัย โดยการเปลง่ วาจา 3 ครังÊ ดงั นี Ê พทุ ธงั สรณงั คจั ฉามิ ข้าพเจ้าขอถงึ พระพทุ ธเจ้าวา่ เป็นทÉีพงึÉ ของข้าพเจ้า ธมั มงั สรณงั คจั ฉามิ ข้าพเจ้าขอถงึ พระธรรมวา่ เป็นทÉีพึงÉ ของข้าพเจ้า สงั ฆงั สรณงั คจั ฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์วา่ เป็นทีÉพงึÉ ของข้าพเจ้า พระรัตนตรัย แปลวา่ ดวงแก้วอนั ประเสริฐ 3 ดวง คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ซงÉึ อาจจําแนกอธิบายได้ดงั นี Ê ก. พระรัตนตรัยในฐานะสญั ลกั ษณ์ของพระพทุ ธศาสนา 1. พระพุทธเจ้า องคแ์ ห่งพระรัตนตรัยทÉี 1 คือ พระพทุ ธเจ้า ในทÉีนีจÊ ะกลา่ วถึง คณุ ลกั ษณะ 2 ประการ 1. พระพทุ ธเจ้า ในฐานะบคุ คลหรือมนษุ ย์ในประวตั ศิ าสตร์ มีพระนามว่า สิทธตั ถะ ทรงเป็นราชโอรสของพระมหากษัตริย์ พระนามวา่ สทุ โธทนะ และพระนางสริ ิมหามายาเผา่ พนั ธ์ุศากยะ แหง่ กรุงกบลิ พสั ด์ุ ทรงประสตู ร ณ สวนลมุ พินีวนั ในวนั เพญ็ เดือน 6 ประเทศ
222 ชมพทู วีป อายุ 16 พรรษา อภิเษกสมรสกบั พระนางยโสธรา มีพระโอรส 1 องค์พระนามวา่ ราหลุ กมุ าร 2. พระพทุ ธเจ้าในฐานะมนษุ ย์ผ้มู ีตนอนั พฒั นาสงู สดุ และเป็นแมแ่ บบทÉีมนษุ ย์ทงัÊ ปวง ทีÉจะต้องถือไว้เป็นตวั อยา่ ง เพราะทรงมีพฒั นาการสงู สดุ ในความเป็นมนษุ ยชาติ โดยทรงคณุ สมบตั ิ 9 ประการ คือ 1. เป็นพระอรหนั ต์ 2. ตรัสรู้เองโดยชอบ 3. ถงึ พร้อมด้วยวชิ ชาและจรณะ 4. เสดจ็ ไปดีแล้ว 5. เป็นผ้รู ู้แจ้งโลก 6. เป็นสารถีฝึกคนทÉีฝึกได้ไมม่ ีใครยงิÉ กวา่ 7. เป็นศาสดาของเทวดาและมนษุ ย์ทงัÊ หลาย 8. เป็นผ้รู ู้ ผ้รู ู้ตนÉื ผ้เู บกิ บาน 9. เป็นผ้มู ีโชค ซงึÉ ยน่ ยอ่ ลงในหลกั 3 อย่าง คือ 1. พระปัญญาคณุ ทรงมีพระปัญญา คือ ความรู้สพั พญั sตุ ญาณ 2. พระกรุณาคณุ ทรงคณุ ความดี คือ ความกรุณา ในฐานะเป็นคณุ ธรรมทีÉทําให้ ความดอี ืÉน ๆ ทงัÊ หลาย และประโยชน์สขุ เกิดขึนÊ แก่คนอืÉน ๆ 3. พระวิสทุ ธิคณุ ทรงบริสทุ ธÍิทงัÊ พระชาติ และความประพฤตทิ างกาย วาจา ใจ โดย ทรงประกอบด้วยวมิ ตุ ิ 2. พระธรรม คือ ความจริงทีÉสามารถเข้าถึงได้ด้วยสติปัญญา ซงึÉ ทําให้ผ้คู ้นพบเป็น พทุ ธะและถ้าเป็นผ้นู ําพระธรรมนนัÊ มาประกาศสงัÉ สอนผ้อู ืÉน เผยแพร่ให้ผ้อู Éืนรู้ตามหรือตงัÊ ศาสนา ได้ เรียกวา่ พระสมั มาพทุ ธเจ้า ถ้าค้นพบเอง แตไ่ มไ่ ด้เผยแพร่พระธรรมนนัÊ แก่คนอืÉน เรียกวา่ พระปัจเจกพทุ ธเจ้า เพราะไมส่ ามารถจะตงัÊ ศาสนาได้ ถ้าเป็นผ้รู ู้ธรรม ตามทÉีพระพทุ ธเจ้าสงัÉ สอนนนัÊ เรียกวา่ อนพุ ทุ ธหรือสาวก คณุ ของพระธรรมมี 6 อยา่ ง คือ 1. เป็นธรรมอนั พระพทุ ธเจ้าตรัสดแี ล้ว 2. เป็นธรรมอนั ผ้ปู ฏิบตั จิ ะพึงเหน็ ชดั ด้วยตนเอง 3. เป็นธรรมไมป่ ระกอบด้วยกาล (หรือกาลเวลา) 4. เป็นธรรมอนั ควรเรียกให้มาดู (พสิ จู น์ได้) 5. เป็นธรรมทÉีควรน้อมเข้ามาในตน 6. เป็นธรรมอนั วญิ ญาณพงึ รู้เฉพาะตน ความหมายของพระธรรม อาจแยกได้ 5 ประการ คือ
223 1. ตวั ธรรมชาติ คือ กลมุ่ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาตทิ งัÊ หลาย 2. ตวั กฎธรรมชาติ คือ กฎแหง่ เหตผุ ล กฎแหง่ กรรม เป็นต้น 3. หน้าทีÉตามธรรมชาติ คือ การทําหน้าทÉีให้ผลอยา่ งตรงตวั และพนั ธกรณีในทิศทงัÊ 6 4. ผลทีÉเกิดจากหน้าทีÉ คือ ความสขุ ทกุ ข์ บาป บญุ เกิดขนึ Ê ตามการปฏิบตั ทิ งัÊ ใน สว่ นตวั และสงั คมมีลกั ษณะเป็นธรรมาธิปไตย เพราะถือหลกั การหรือธรรมเป็นใหญ่ 5. ธรรมวนิ ยั คือ คําแนะนํา สงÉั สอน และข้อบญั ญัตหิ ้ามมใิ ห้กระทําอีก ธรรมทงัÊ หลายเป็นคณุ ชาตทิ ีÉทําให้ปถุ ชุ นผ้ปู ฏิบตั ิตาม ได้กลายเป็นพระอริยบคุ คลมี 4 ระดบั คือ พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต์ พระธรรมมีวมิ ตุ เิ ป็น แก่น และความพ้นทกุ ข์เป็นรส พระคมั ภีร์รองรับพระธรรมทีÉพระพทุ ธเจ้าทรงประกาศแล้ว เรียกพระไตรปิฎก แบง่ เป็น 3 สว่ น คอื พระวินยั ปิฎก วา่ ด้วยระเบียบวนิ ยั และศีล พระสตุ ตนั ตปิฎก วา่ ด้วยหลกั ธรรมทีÉ แสดงแกบ่ คุ คลตา่ ง ๆ เกÉียวข้องกบั เหตกุ ารณ์ เวลา และสถานทีÉ และพระอภิธรรมปิฎก วา่ ด้วยองคแ์ หง่ สภาวธรรมล้วน ๆ ไมป่ รารภบคุ คล หรือสถานทÉี พระธรรมทงัÊ ปวงได้รวมลงเป็นธรรม 3 อยา่ ง คือ ปริยตั ธิ รรม ได้แก่ การศกึ ษา เลา่ เรียน อนั เป็นสว่ นเบือÊ งต้น ปฏิบตั ธิ รรม ได้แก่ ความประพฤตติ ามธรรมทีÉตนได้สดบั มา และ ปฏิเวธ คือผลของการปฏิบตั ทิ Éีเรียกวา่ อริยมรรค อริยผล มีโสดาปัตตมิ รรค โสดาปัตตผิ ล เป็นต้น มีอรหนั ตผลเป็นทÉีสดุ 3. พระสงฆ์ คือ ผ้ทู ีÉได้เข้าถงึ ธรรมตามทÉีทรงแสดง โดยอาศยั พระกรุณาคณุ ของ พระพทุ ธเจ้าทําให้เข้าถึงธรรม มีพระอญั ญาโกณฑญั ญะเป็นองค์แรก และตอ่ มาได้สําเร็จ มรรคผล เรียกอริยสงฆ์ ทีÉยงั ไมส่ ําเร็จมรรคผลอยา่ งพระภิกษุทวÉั ไป เรียกวา่ สมมตสิ งฆ์ เพราะ ทา่ นเป็นสาวกของพระพทุ ธเจ้า และเป็นพยานการตรัสรู้ธรรมของพระพทุ ธเจ้า พระสงฆ์เป็นผู้ ปฏิบตั ิตาม และได้สงÉั สอนธรรมตอ่ มา จงึ เป็นผ้ทู ีÉควรเคารพนบั ถือยงิÉ พระสงฆ์ คือผ้ปู ฏิบตั ดิ ี ปฏิบตั ิถกู ต้องตรงกบั พระธรรมวินยั ทีÉพระพทุ ธเจ้าทรงแสดงและบญั ญัตไิ ว้ แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. สงฆ์จตวุ รรค คือ หมพู่ ระภิกษุตงัÊ แต่ 4 รูปขนึ Ê ไป ประกอบพธิ ีกรรมได้ทกุ อยา่ ง ยกเว้น ปวารณา ให้ผ้ากฐิน อปุ สมบท และอพั ภาน 2. สงฆ์ปัญจวรรค คอื หมพู่ ระภิกษุตงัÊ แต่ 5 รูปขนึ Ê ไป ทําปวารณา ให้ผ้ากฐิน และ อปุ สมบทในปัจจนั ตชนบทได้ 3. สงฆ์ทศวรรค คือ หมภู่ ิกษุ 10 รูปขนึ Ê ไป ให้อปุ สมบทในมธั ยมประเทศได้
224 4. สงฆ์วีสตวิ รรค คือ หมภู่ ิกษุ 20 รูปขนึ Ê ไป ทําอพั ภานได้ พระสงฆ์ คือ บคุ คลเมÉือบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว จะมีฐานะแตกตา่ งไปจากคฤหสั ถ์หรือ บคุ คลทวÉั ไปทีÉถือเพศเป็นสมณะ ต้องปฏิบตั ติ ามพระธรรมวนิ ยั มีหน้าทÉี 2 ประการ คือ 1. ทําหน้าทีÉตนเอง คือ การศกึ ษาพระธรรมวินยั ทÉีพระพทุ ธเจ้าทรงแสดง และทรง บญั ญตั ไิ ว้เพÉือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในพระธรรมวินยั ถกู ต้องตามความเป็นจริง 2. หน้าทÉีตอ่ สงั คม พระสงฆ์นอกจากจะปฏิบตั ใิ นไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วพระสงฆ์ในฐานะกลั ยาณมติ รของสงั คม มีหน้าทีÉต้องปฏิบตั ิ 6 ประการ 1. แนะนําอบรมชีแÊ จงให้เขาละเว้นความชวÉั 2. แนะนําสงัÉ สอนเชิญชวนให้เขาปฏิบตั ดิ ี 3. สงเคราะห์เข้าด้วยจิตทีÉประกอบด้วยเมตตากรุณา มงุ่ ดี ปรารถนาดตี อ่ เขา 4. ให้เขาได้ยนิ ได้ฟังเรÉืองทÉีเขาไมเ่ คยได้ยินได้ฟัง 5. อธิบายสÉงิ ทÉีเขาได้ฟังมาแล้ว แตย่ งั ไมค่ อ่ ยเข้าใจชดั เจนให้เข้าใจชดั เจน 6. บอกทางสขุ ทางเจริญ และทางสวรรค์ให้เขา พระสงฆ์ทรงคณุ ลกั ษณะ 9 ประการ คือ 1. เป็นผ้ปู ฏิบตั ดิ ี มงุ่ ปฏิบตั ิชอบด้วยพระวินยั พฒั นาตนเองขนึ Ê ไปตามลําดบั ไมเ่ ป็น ข้าศกึ ตอ่ ผ้อู ืÉน พยายามขดั เกลาจติ ใจ และพฤตกิ รรมทÉีไมเ่ หมาะสมของตนเองไปตามลําดบั ความสามารถของตน 2. เป็นผ้ปู ฏิบตั ิตรง คือ พยายามทําตนให้ตรงตอ่ คาํ สอนเหลา่ นนัÊ เป็นผ้ตู รงตอ่ ตน เอง ตอ่ ผ้อู ืÉน ตอ่ ภารกิจการงานทÉีต้องจดั ต้องทํา 3. เป็นผ้ปู ฏิบตั เิ ป็นธรรม คอื ปฏิบตั มิ งุ่ ให้สงบกาย วาจา ใจ จนถึงหลดุ พ้นจาก ความทกุ ข์ 4. เป็นผ้ปู ฏิบตั สิ มควรคือปฏิบตั ติ ามสมควรแก่สมณเพศ สมควรแกฐ่ านะจนสามารถ ขจดั กิเลสได้โดยลําดบั จนถึงหมดสินÊ 5. เป็นผ้คู วรแกส่ กั การะทÉีเขานํามาบชู า คือ ปฏิบตั ติ นดี ปฏิบตั ิตรง ปฏิบตั เิ ป็นธรรม ปฏิบตั สิ มควร ดงั กลา่ วนนัÊ ยอ่ มเป็นทีÉเคารพสกั การะของคนทงัÊ หลาย 6. เป็นผ้คู วรแก่การต้อนรับ คือ เป็นผ้ทู ÉีเมÉือประชาชนต้อนรับแล้ว ยอ่ มเกิดความสขุ สบายใจคือประสบบญุ อนั มีผลเป็นความสขุ ทงัÊ ในปัจจบุ นั และกาลภายหน้าด้วย 7. เป็นผ้คู วรแก่ทกั ษิณาทาน คือ เป็นผ้ปู ฏิบตั ดิ ีงามเหมาะสมเป็นผ้รู ับทกั ษิณาทาน เพราะชว่ ยให้ทานทÉีเขาบริจาคมีผล มีอานิสงส์มาก
225 8. เป็นผ้คู วรแกก่ ารทําอญั ชลี คือ เป็นผ้ปู ฏิบตั ชิ อบ ควรแกก่ ารประณมมือไหว้ทา่ น ด้วยความเคารพ เป็นการแสดงความเคารพตอ่ ท่านผ้มู ีคณุ ความดี 9. เป็นเนือÊ นาบญุ ของชาวโลก ไมม่ ีเนือÊ นาบญุ อืÉนยิงÉ ไปกวา่ เพราะคณุ ความดขี องทา่ น ดงั กลา่ วมาแล้ว เป็นเหมือนกบั นาทีÉดี ชาวโลกทีÉต้องการความดอี นั เป็นสขุ ย่อมคบหาสมาคม เพราะความเป็นกลั ยาณมติ รบอ่ เกิดแหง่ ความดที งัÊ ปวง เมÉือเข้าสมาคมยอ่ มได้รับสิÉงทีÉเป็นกศุ ล และความสขุ เตม็ ผล ดงั นนัÊ พระสงฆ์ได้ชÉือวา่ เป็นผ้ปู ฏิบตั ิตามคําสงÉั สอนของพระพทุ ธเจ้าแล้ว สอนให้ผ้อู Éืน ปฏิบตั ิตาม (รศ.ดร. เดอื น คําดี. 2541:156-158) ข. พระพุทธศาสนามหายาน ในปัจจบุ นั นี Ê พระพทุ ธศาสนาได้แบง่ แยกเป็นนิกายใหญ่ 2 นกิ าย คือ นิกายเถรวาท เป็นตามแบบดงัÊ เดมิ ทีÉได้ทําสงั คายนาครังÊ แรก และนิกายมหายานซงึÉ มีชÉือเรียกอีกอย่างหนงึÉ วา่ อาจริยวาท เหตทุ ÉีแยกนนัÊ ก็เหมือนศาสนาทวÉั ไป คือ เพราะทฏิ ฐิสามญั ตา ความเห็นไมล่ งรอย กนั กบั ศลี สามญั ตา ความประพฤตปิ ฏิบตั ไิ มต่ รงกนั การเรÉิมแยกออกของเถรวาทกับมหายาน เมืÉอพระพทุ ธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 3 เดือน พระอรหนั ต์ 500 รูป มีพระมหากสั สป เถระเป็นประธาน พร้อมด้วยพระอบุ าลี พระอานนท์ เป็นต้น ได้ร่วมกนั ทําสงั คายนาครังÊ ทีÉ 1 ขนึ Ê แตเ่ มืÉอได้ทําสงั คายนาเสร็จแล้ว ได้มีพระคณะหนงÉึ ประมาณ 500 รูป มีพระปรุ าณะเป็น หวั หน้าได้มาคดั ค้านพร้อมกบั แสดงจดุ ยืนวา่ ทีÉพระสงฆ์ได้ทําสงั คายนานนัÊ ก็ดีแล้ว แตข่ ้าพเจ้า จะปฏิบตั ติ ามแตท่ Éีได้ยินได้ฟังจากพระโอษฐ์ของพระบรมศาสดาเทา่ นนัÊ ข้อนีไÊ ด้แสดงให้เห็นวา่ ความขดั แย้งในพระธรรมวินยั ได้เรÉิมกอ่ ตวั ขึนÊ แล้ว ในหมพู่ ระภิกษุทีÉแสดงให้เห็นความเป็นสอง ฝักสองฝ่ายของหมพู่ ระภิกษุในพระพทุ ธศาสนา ตอ่ มา เมÉือพทุ ธปรินิพพานได้ประมาณ 100 ปี ได้มีเรืÉองใหญ่เกิดขนึ Ê อีก กล่าวคือ มี พระภิกษุชาววชั ชีบตุ รอีกกลมุ่ หนงÉึ ได้สร้างหลกั การขดั แย้งกบั พระวนิ ยั 10 ข้อ ขนึ Ê มาปฏิบตั ิ ซงึÉ เรียกวา่ วตั ถุ 10 ประการ จงึ เป็นเหตใุ ห้พระสพั พกามีเถระเจ้าซงÉึ ได้เป็นประธานพร้อมด้วย พระเรวตเถระ พระสาฬหเถระ พระสาณสมั ภตู เถระ พระยสกากณั ฑบตุ ร และพระขชุ ชโสภิต เถระ เป็นต้น ทําสงั คายนาครังÊ ทีÉ ขนึ Ê ทีÉเมืองเวสาลี ฝ่ายภิกษุวชั ชีบตุ รเห็นอยา่ งนนัÊ ก็ประชมุ กนั ทําสงั คายนาขนึ Ê บ้าง เพÉือรับรองการปฏิบตั วิ ินยั แบบตนวา่ ถกู ต้อง และไมร่ ับรองการปฏิบตั ิ
226 อยา่ งพระมหาเถระเหล่านนัÊ ด้วย จงึ ไมร่ ับรองการทําสงั คายนาครังÊ นีดÊ ้วย มีพระทÉีเห็นชอบด้วย ร่วมประชมุ 10,000 รูป จึงเรียกวา่ มหาสงั คตี ิ และเรียกพวกตนวา่ มหาสงั ฆิกะ คณะสงฆ์ จงึ เรÉิมแยกเป็น 2 นกิ ายอย่างเดน่ ชดั เชน่ นี Ê ได้แยกความคดิ เหน็ และคณะออกไปเป็นสว่ นหนงÉึ ซงึÉ ในภายหลงั บางสว่ นได้กลายเป็นมหายานตอ่ ไป นิกายมหายานมีนามเรียกวา่ อตุ ตรนิกาย แปลวา่ นิกายฝ่ายเหนือ เพราะตงัÊ อยทู่ างภาคเหนือของอินเดีย บางทา่ นเรียกวา่ อาจริยวาท แปลวา่ วาทะของอาจารย์ เป็นคําคกู่ บั เถรวาท คือ เถรวาท หมายถงึ วาทของพระเถระรุ่น แรกทีÉทนั เห็นพระพทุ ธเจ้า ส่วนอาจริยวาทหมายถงึ วาทะของอาจารย์รุ่นตอ่ ๆ มา ประเทศทÉีนบั ถือพระพทุ ธศาสนาแบบมหายาน คือธิเบต เวียดนาม จีน เกาหลี และ ญีÉป่นุ นอกนียÊ งั มีประเทศสิกกิมและภตู านซงÉึ เลก็ มาก ตงัÊ อยทู่ างพรมแดนของอินเดีย เกือบจะ กลา่ วได้วา่ อยใู่ นอาณตั ขิ องอินเดีย ก็นบั ถือพระพทุ ธศาสนามหายาน (เสถียร โพธินนั ทะ. 2544:103) หลักธรรมคาํ สอนสาํ คัญ มหาสงั ฆิกวาท เป็นคณะสงฆ์ทีÉต้องการความเปลีÉยนแปลงได้ ปรับปรุงธรรมวนิ ยั ให้ เหมาะสมกบั กาละและเทศะ มีคมั ภีร์เป็นของตนเอง เป็นพวกโพธิสตั วนิยม ถือวา่ พระพทุ ธ เจ้าเป็นอมตะ การทีÉเห็นวา่ ทรงแก่ ทรงเจบ็ ทรงเข้าสปู่ รินิพพานนนัÊ นนÉั เป็นวิธีแสดงธรรม อยา่ งหนงÉึ ของพระพทุ ธองค์ และทรงมีโลกตุ รภาวะทงัÊ รูป ทงัÊ นามเกÉียวกบั พระอรหนั ต์ และยงั ถืออีกวา่ พระอรหนั ต์ไมเ่ สÉือมจากมรรคผล แตพ่ ระโสดาบนั เสืÉอมจากมรรคผลได้ เกÉียวกบั จิต ถือวา่ จิตเดมิ นนัÊ ปภสั สร บริสทุ ธิÍ เป็นอมตะจิต และแสดงวา่ พระพทุ ธองค์ประกอบด้วย 3 พระกาย ซงึÉ เรียกวา่ ตรีกาย ได้แก่ ธรรมกาย กายคือธรรม สมั โภคกาย กายแท้กายเดมิ และนริ มานกาย กายมนษุ ย์ และมีทศั นะเกÉียวกบั พระพทุ ธเจ้าวา่ มี 36 ข้อ เชน่ พระพทุ ธเจ้า ไมม่ ีความหลบั ไมส่ บุ นิ เป็นต้น พระพทุ ธศาสนามหายาน เตม็ ไปด้วยอดุ มคตอิ นั สงู สดุ ทางปฏิบตั ขิ องนกิ าย ตา่ ง ๆ เชน่ อดุ มคตขิ องนิกายทวัÉ ไปนนัÊ มีพทุ ธภมู ิเป็นจดุ มงุ่ หมายสงู สดุ จงึ ต้องการเป็นพระโพธิตตั ว์ เพืÉอบาํ เพ็ญบารมีอนั เป็นเหตใุ ห้บรรลคุ วามเป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า แตอ่ ีกนกิ ายหนÉึงแสดงวา่ พระพทุ ธเจ้านนัÊ เกิดจากอาทิพทุ ธ ไมไ่ ด้เกิดจากการบาํ เพ็ญบารมีอะไร หรือเรืÉองเดยี วกนั แต่ มองกนั คนละแง่มมุ แล้วก็เถียงกนั โต้กนั หรือนิกายหนงึÉ เป็น จิตอมตวาทิน อีกนิกายหนงÉึ เป็น ศนู ยตวาทิน แตเ่ มÉือกลา่ วถงึ อดุ มคตริ วม ๆ แล้ว มี 3 คือ 1. หลกั มหาปัญญา มหายานถือวา่ แสดงธรรม อธิบายธรรม ได้วจิ ิตรพิศดารกวา่
227 ฝ่ายเถรวาท เชน่ เรÉืองอนตั ตา ฝ่ ายมหายานนิยมใช้คําวา่ ศนุ ยตามากกวา่ เพราะเมÉือพิจารณา ตามวิธีการอธิบายธรรมข้อนีแÊ ล้ว คําวา่ ศนุ ยตายงั เข้าใจง่ายและเข้ากบั วธิ ีการอธิบายของมหา ยาน ศนุ ยตามี 2 คือ บคุ คลศนุ ยตาและธรรมศนุ ยตา บคุ คลศนุ ยตา ได้แกก่ ารละอสั มิมานะ วา่ ตวั ตน ในร่างกายอนั เป็นอรหตั ภมู ิ ธรรมศนุ ยตา ได้แก่การละสมมตทิ กุ อยา่ ง แม้แตพ่ ระ นิพพาน เพÉือไมต่ ิดในพระนิพพาน ข้อนีเÊป็นภมู จิ ติ ชนัÊ สงู ของพระโพสตั ว์ 2. หลกั มหากรุณา ได้แก่การตงัÊ โพธิจิตมงุ่ พทุ ธภมู ิ เพราะมหายานเข้าใจวา่ อรหตั ภูมิ นนัÊ คบั แคบชว่ ยตนได้น้อย ดงั นนัÊ จงึ มงุ่ พทุ ธภมู ิ เป็นพระโพธิสตั ว์ ซงÉึ บางองค์ยอมทนทกุ ข์ ตก นรกเพÉือชว่ ยสตั ว์และชว่ ยผ้อู Éืน ให้พ้นทกุ ข์หมดสินÊ ทกุ คนกอ่ นแล้วตนจงึ สําเร็จเป็นพระพทุ ธเจ้า 3. หลกั มหาอบุ าย ได้แกพ่ ระโพธิสตั ว์ ต้องมีอบุ ายวธิ ีตา่ ง ๆ เพÉือชว่ ยเหลือสรรพสตั ว์ ให้พ้นจากทกุ ข์อดุ มคตทิ งัÊ 3 นี Ê เป็นพระคณุ สมบตั ขิ องพระโพธิสตั ว์ด้วย หลกั ธรรมในนิกาย ตา่ ง ๆ ในมหายาน เมÉือกล่าวโดยสรุปแล้ว มี 2 อยา่ ง คอื ศนุ ยตวาทิน (สญุ ญวาท) กบั อสั ตวิ าทิน (อตั ถิวาท) หลักตรีกาย พทุ ธศาสนามหายานเห็นวา่ เพืÉอความเป็นอมตะของพระพทุ ธเจ้า จงึ บญั ญตั ิตรีกาย คือ กาย ของพระพทุ ธเจ้าขนึ Ê ด้วยความศรัทธา และเคารพบชู า กาย 3 คือ 1. นิรมานกาย หมายถงึ กายทÉีเปลีÉยนแปลงได้ ตามสภาพของสงั ขารของมนษุ ย์ 2. สมั โภคกาย หมายถงึ กายแท้ของพระพทุ ธเจ้า ซงÉึ เป็นอมตะ 3. ธรรมกาย หมายถึง กายคือธรรมหรือพระพทุ ธคณุ ทงัÊ 3 ได้แก่ พระปัญญาคณุ พระบริสทุ ธÍิคณุ และพระมหากรุณาธิคณุ ทีÉเหน็ วา่ พระพทุ ธเจ้าทรงอบุ ตั เิ กิด แก่ ชรา ประชวร เจ็บไข้ ปรินพิ พานนนัÊ เป็นเรืÉองของนิรมานกาย เป็นอบุ ายสําหรับแสดงธรรม แตส่ มั โภคกาย ยงั คงอยตู่ ลอดไป ซงึÉ เป็นการอยคู่ กู่ บั โลกตลอดไปเพืÉอคอยพทิ กั ษ์ปกปอ้ งค้มุ ครองพทุ ธศาสนกิ ชนผ้ทู ีÉให้ความเคารพนบั ถือ และระลกึ นกึ ถึงพระองค์อย่เู สมอ ในฐานะเป็นทีÉพงÉึ ทÉีระลกึ และทÉี ต้านภยั (พระญาณวโรดม. 2538:255-256) ภูมธิ รรมมหายาน พทุ ธภมู ิ โพธิสตั วภมู ิ นกิ ายมหายานมีหลกั ธรรม เมืÉอกลา่ วโดยสรุปแล้วมี 2 ดงั กลา่ วแล้ว และเฉพาะทÉีมใิ ชน่ ิกายศนุ ยตวาท ตา่ งถือหลกั โพธิสตั วภมู เิ ป็นสําคญั และเพืÉอ บรรลพุ ทุ ธภมู ิ จงึ ต้องบาํ เพ็ญเหตุ คอื บารมี อนั เป็นจริยธรรมของพระโพธิสตั ว์ จาก 10 ยอ่
228 เหลือ 6 คือ ทาน ศีล วริ ิยะ ขนั ติ สมาธิ (ฌาน) ปัญญา และมีพิเศษอีก คือ อบุ ายบารมี ปณิธานบารมี ผลบารมี ญาณบารมี โดยเฉพาะศลี นนัÊ มีศีล 5 ของคฤหสั ถ์ ศีล 10 ของ สามเณร ศลี 250 ของพระภิกษุ ศีลพระโพธิสตั ว์อีก 58 ศลี 5 เหมือนของเถรวาท ศลี 10 เหมือนของเถรวาท ภิกขปุ าฏิโมกข์ (ปิควิ ปอลอทีมกขา) มี 250 คือ ปาราชิก 4 (เหมือนเถร วาท) สงั ฆาทิเสส 13 (เหมือนเถรวาท) อนิยต 2 (เหมือนเถรวาท) นสิ สคั คียปาจิตตยี ์ 30 (เหมือนเถรวาท แตส่ บั กนั ไปบ้าง และทีÉเถรวาทวา่ ภิกษุมีบาตรร้าวไมถ่ งึ 10 นิวÊ นนัÊ ในมหา ยานวา่ ภิกษุมีบาตรชํารุดปะไว้ไมค่ รบ 5 แหง่ ) ปาจิตตยี ์ 90 (เถรวาทมี 92 มหายานไมม่ ี สิกขาบททÉี 11 และ 12 ในสหธรรมิกวรรคแหง่ เถรวาท และในเถรวาทไมม่ ีสกิ ขาบททÉีมีข้อ ความวา่ ภิกษุทําสงั ฆกรรมตามธรรมวินยั แล้ว ภายหลงั กลบั ตเิ ตยี นสงฆ์ผ้ทู ํากรรมนนัÊ ต้อง ปาจิตตีย์ อนั เป็นสกิ ขาบททีÉ 66 ในปาจิตตีย์ของมหายาน และสกิ ขาบททÉี 3 แหง่ ภตู คาม วรรคในปาจิตตีย์ข้อ 3 ของเถรวาท มีใจความวา่ ภิกษุตเิ ตยี นภิกษุอÉืนทÉีสมมตใิ ห้เป็นผ้ทู ําการ สงฆ์ เธอทํางานโดยชอบตเิ ตียนเธอเปลา่ ๆ ต้องปาจิตตยี ์ แตใ่ นมหายานมีข้อความวา่ ภิกษุ เกลียดชงั ตําหนิตเิ ตียนภิกษุอÉืนต้องปาจิตตีย์ และในมหายานไมม่ ีสิกขาบท ซงึÉ มีข้อความวา่ ภิกษุเข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงในทีÉอยู่ ต้องปาจิตตีย์ เว้นแตน่ างภิกษุณีเจ็บอนั มีอยใู่ นสกิ ขาบท ทีÉ 3 แหง่ โอวาทวรรค ในปาจติ ตีย์ ของเถรวาท นอกนนัÊ แบบเดียวกนั เป็นแตส่ ลบั ข้อกนั บ้าง) ปาฏิเทสนียะ 4 (เหมือนเถรวาท) เสขิยวตั ร 100 (ของเถรวาทมี 75 ในจํานวน 75 นีขÊ อง มหายานไมม่ ี 14 ข้อ มีเหมือนกนั 61 ข้อ และในเสขิยวตั ร 100 ข้อ ของมหายานนนัÊ ใน เถรวาทมีเหมือนกนั 60 ข้อ นอกนนัÊ ไมเ่ หมือน 40 ข้อ ในจํานวน 40 ข้อ มีข้อปฏิบตั เิ กีÉยว กบั โบสถ์ เจดีย์ 24 ข้อ นอกจากนนัÊ เกีÉยวกบั พระพทุ ธรูป เชน่ เวลาไปถ่ายอจุ จาระ ปัสสาวะ ไมน่ ําพระพทุ ธรูปตดิ ตวั ไป ไมต่ งัÊ พระพทุ ธรูปไว้ชนัÊ ลา่ งตวั ขนึ Ê ไปอยชู่ นัÊ บน ไมข่ นึ Ê ต้นไม้สงู เว้นแต่ จําเป็น ไมเ่ อาสายถลกบาตรห้อยไหล่ตอนเดนิ เป็นต้น) อธิกรณสมณะ 7 (เหมือนเถรวาทตา่ ง แตส่ บั ข้อไปบ้าง) ศีลหรือสิกขาบทของพระโพธิสตั ว์นนัÊ แบง่ เป็นครุกาบตั แิ ละลหกุ าบตั ติ ามโทษทÉีละเมดิ สิกขาบท ทีÉเป็นครุกาบตั ิ (โทษอยา่ งหนกั ) ดงั นี Ê ทําลายชีวิตมนษุ ย์และสตั ว์ให้ตาย ขโมย ทรัพย์ของคนอÉืน เสพเมถนุ อวดอตุ ตริมนสุ สธรรม ผลิตสรุ าเมรัยของเมา กลา่ วร้ายบริษทั สÉี ยกตนขม่ ทา่ น ตระหนÉีเหนียวแนน่ มทุ ะลฉุ นุ เฉียว ทําร้ายพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอาบตั เิ หล่านี Ê ถ้าเป็นอาบตั ดิ ้วยเจตนายอ่ มขาดจากความเป็นพระโพธิสตั ว์ ถ้าเป็น เพราะบงั เอญิ หรือสดุ วสิ ยั ต้องอยกู่ รรมมานตั ทรมานตน จงึ จะพ้น (ขดั กบั คณุ สมบตั ขิ องพระ โพธิสตั ว์ ทีÉต้องมีมหากรุณา)
229 สว่ นสิกขาบททีÉละเมดิ แล้ว เป็นลหกุ าบตั ิ (โทษเบา) มี 48 ดงั นี Ê 1. ไมเ่ คารพผ้ใู หญ่ ชนัÊ อาจารย์ตน 2. ดืÉมสรุ าเมรัย 3. บริโภคปลา 4. บริโภคผกั มีกลิÉนฉนุ ให้เกิดราคะ มีหอม กระเทียม กยุ ไช่ หลกั เกียÊ (กระเทียมเลก็ ) เฮงกือÊ (ข้อนีแÊ สดงวา่ จีนบญั ญตั เิ อง) 5. ไมต่ กั เตือน ผ้ตู ้องอาบตั ิ ให้แสดงอาบตั ิ 6. ไมบ่ ริจาคสงั ฆทาน ให้พระธรรมกถกึ 7. ไมไ่ ปฟังธรรมรับการ อบรมธรรม 8. คดั ค้านพระพทุ ธศาสนา 9. ไมช่ ว่ ยเหลือคนเจ็บ 10. มีอาวธุ สําหรับฆา่ มนษุ ย์ ฆา่ สตั ว์ไว้ในครอบครอง 11. เป็นทตู สืÉอสารในการเมือง 12. ค้ามนษุ ย์ ค้าสตั ว์ให้เข้าฆา่ หรือ ใช้งาน 13. นนิ ทาใสร่ ้ายคนอืÉน 14. เผาป่า 15. พดู บดิ เบือนพระธรรมให้เสÉือมเสีย 16. พดู อบุ ายเพืÉอประโยชน์ตน 17. บงั คบั เขาให้ให้ทานวตั ถุ 18. อวดอ้างตนวา่ เป็นอาจารย์ทงัÊ ทÉีตน ยงั เขลาอยู่ 19. พดู กลบั กลอก 20. ไมช่ ว่ ยสตั ว์เมÉือเห็นสตั ว์นนัÊ ตกอย่ใู นอนั ตราย 21. ผกู พยาบาท 22.ทะนงตวั 23. เยอ่ หยงิÉ ก้าวร้าว 24. ไมศ่ กึ ษาธรรม 25. ไมร่ ะงบั การวิวาทเมÉือ สามารถระงบั ได้ 26. ละโมภเห็นแก่ตวั 27. น้อมลาภทีÉเขาจะถวายสงฆ์มาเพืÉอตวั 28. น้อม ลาภทÉีเขาจะถวายสงฆ์ไปตามใจชอบ 29. ทําเสนห่ ์ ยาแฝด ใช้เวทมนตใ์ ห้คนคลงÉั ไคล้ 30. ชกั สืÉอ 31. ไมช่ ว่ ยไถ่ตวั ทาสเมÉือสามารถไถ่ได้ 32. ค้าขายอาวธุ ฆา่ มนษุ ย์และสตั ว์ 33. ไปดู กระบวนทพั มหรสพ ฟังขบั ร้อง 34. ไมม่ ีความอดทนในการรักษาศลี 35. ไมก่ ตญั sตู อ่ พ่อ แม่ อปุ ัชฌายาจารย์ 36. ตระบดั สจั จะตอ่ คาํ ปฏิญาณ วา่ จะประพฤตพิ รหมจรรย์ไป 37. ปฏิบตั ธิ ุดงควตั รในถÉินมีอนั ตราย 38. ไมม่ ีคารวะตอ่ ผ้คู วรคารวะ 39. ไมม่ ีกศุ ลจิต ไมส่ ร้าง บญุ ไมท่ ําทาน 40. มีฉนั ทาคติ 41. เป็นอาจารย์สอนเห็นแกล่ าภ 42. ทําสงั ฆกรรมกบั ผ้มู ี มจิ ฉาจรรยา 43. มีเจตนาฝ่าฝืนวนิ ยั 44. ไมเ่ คารพพระคมั ภีร์ 45. ไมส่ งเคราะห์โปรดเวไนย สตั ว์ 46. ยืนทีÉตÉํา นงÉั ทีÉตาÉํ กวา่ เขาแล้วแสดงธรรมให้แก่เขา 47. ยอมจํานนตอ่ อํานาจอธรรม 48. ละเมดิ คาํ สอนในพระพทุ ธศาสนา การแสดงอาบตั เิ หล่านี Ê ถ้าละเมดิ ด้วยมีเจตนา ต้องแสดงอาบตั ติ อ่ สงฆ์ ถ้าละเมิด ด้วยบงั เอญิ ไป ต้องแสดงตอ่ ภิกษุ 3 รูป ถ้าละเมดิ ด้วยความจําเป็น หรือสดุ วสิ ยั ต้องแสดง อาบตั ติ อ่ หน้าภิกษุรูปเดียว สิกขาบท ดงั ทÉีกล่าวมานี Ê เป็นสกิ ขาบทสําหรับภิกษุผ้ปู รารถนาเป็นพระโพธิสตั ว์ ถ้า สามเณรปรารถนาเป็นพระโพธิสตั ว์ต้องรักษาศลี หรือสกิ ขาบทอยา่ งภิกษุ และในศีล 10 ของ สามเณรนนัÊ ข้อ 6 เป็นมาลาคนั ธวิเลปนธารณมณั ฑนวิภสู นฏั ฐานา เวรมณี ข้อ 7 เป็นนจั จ คตี วาทิตวิสกู ทสั สนา เวรมณี ข้อ 8 เป็นอจุ จาสยนมหาสยนา เวรมณี ข้อ 9 เป็นวิกาลโภช นา เวรมณี ผดิ ลําดบั กบั ของเถรวาท สําหรับฆราวาสผ้ปู รารถนาเป็นพระโพธิสตั ว์ ต้องปฏิบตั ศิ ลี 5 หรือศีล 8 กบั ข้อมงั ส
230 วิรัติอยา่ งเคร่งครัด ศลี อโุ บสถ หรือศีล 8 ของฆราวาสนนัÊ ข้อ 6 เป็นมาลา คนั ธ วเิ ลปน ธารณมณั ฑน วิภสู นฏั ฐานา เวรมณี ข้อ 7 เป็นอจุ จาสยน มหาสยนา นจั จคีตวาทิต วิ สกู ทสั สนา เวรมณี ข้อ 8 เป็นวิกาลโภชนาเวรมณี ผิดลําดบั กบั ของเถรวาท (ผศ.วนดิ า ขํา เขียว. 2541:161-163) มหาจตุปณิธานของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสตั ว์ต้องประกอบด้วยปณิธาน คือ ความตงัÊ ใจอยา่ งมนัÉ คง 4 ประการอยา่ งนี Ê 1. เราจะละกิเลสทงัÊ หลายให้หมด 2. เราจะต้องตงัÊ ใจศกึ ษาพระธรรมทงัÊ หลายให้เจนจบ (ไมก่ ลา่ วถึงศีลหรือวนิ ยั ) 3. เราจะโปรดสรรพสตั ว์ทงัÊ หลายให้สินÊ 4. เราจะบําเพ็ญตนให้บรรลอุ นตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณ (แสดงวา่ ยงั ไมต่ รัสรู้อริยสจั อนั เป็นเหตุ เป็นเครÉืองชว่ ยให้พ้น ทกุ ข์) อนงÉึ พระโพธิสตั ว์จะต้องมีอปั ปมญั ญาพรหมวิหาร 4 ทวÉั ไป ในสรรพสตั ว์ โดยไม่ เจาะจง คือ 1. เมตตา 2. กรุณา 3. มทุ ติ า 4. อเุ บกขา คุณสมบัตขิ องพระโพธิสัตว์ 3 ประการ 1. มหาปัญญา มีปัญญาอนั ยÉิงใหญ่ 2. มหากรุณา มีกรุณาไมม่ ีขอบเขตจํากดั พร้อมทÉีจะเสียสละตนเองทนทกุ ข์แทนผ้อู Éืน 3. มหาอบุ าย มีความฉลาดในการหาวธิ ีสงัÉ สอนสตั ว์ทงัÊ หลายให้เข้าถงึ สจั ธรรม ทศภูมิธรรมของพระโพธิสัตว์ ทศภมู ธิ รรมของพระโพธิสตั ว์ คือ ภมู ิคณุ ธรรมทางด้านจิตใจของพระโพธิสตั ว์ มี 10 ประการ คือ 1. มทุ ติ าภมู ิ พระโพธิสตั ว์มีความยนิ ดีในความไร้ทกุ ข์ของสตั ว์ ซงÉึ ภมู ิคณุ ธรรมข้อนี Ê ต้องบําเพญ็ หนกั ในเรืÉองทานบารมี 2. วิมลาภมู ิ หมายถงึ สภาพจติ ใจทÉีปราศจากมลทนิ ซึÉงพระโพธิสตั ว์ต้องละมจิ ฉา จริยาได้เด็ดขาด ปฏิบตั แิ ตใ่ นสมั มาจริยา ภมู คิ ณุ ธรรมข้อนี Ê ต้องบําเพญ็ ในเรืÉองศีลบารมีเป็น ใหญ่ 3. ประภาการีภมู ิ หมายถึง สภาพจติ ใจของพระโพธิสตั ว์มีสภาวะสวา่ งไสวเจดิ จ้า
231 พระโพธิสตั ว์ต้องทําลายอวชิ ชาได้เดด็ ขาด มีความอดทนทกุ ประการ ภมู คิ ณุ ธรรมข้อนี Ê ต้อง บําเพญ็ ในเรÉืองขนั ติบารมีเป็นใหญ่ 4. อรรถจีสมดีภมู ิ หมายถงึ ความรุ่งเรืองดี ซงึÉ พระโพธิสตั ว์ต้องมีความพากเพียร พยายามในการบําเพญ็ ธรรม ภมู คิ ณุ ธรรมข้อนี Ê ต้องบาํ เพญ็ ในเรÉืองวิริยบารมีเป็นใหญ่ 5. ทรุ ชยาภมู ิ หมายถึง สภาวะทÉีผ้อู ืÉนชนะได้ยาก ซงÉึ พระโพธิสตั ว์ต้องละสภาวะแหง่ สาวกยาน กบั ปัจเจกโพธิยาน ซงึÉ เป็นธรรมเครÉืองกนัÊ พทุ ธภมู ิ ภมู ิคณุ ธรรมข้อนี Ê ต้องบําเพ็ญ ในเรÉืองฌานบารมีเป็นใหญ่ 6. อภิมขุ ีภมู ิ หมายถึง สภาวะทางด้านจิตใจและคณุ ธรรมของพระโพธิสตั ว์ทีÉมงุ่ ตอ่ ทางพระนพิ พาน ซงÉึ พระโพธิสตั ว์ต้องบาํ เพญ็ ให้ยÉิงในปัญญาบารมี เพÉือให้รู้แจ้งแท้งตลอดเหน็ ชดั เจนในปฏิจจสมปุ บาท ภมู ิคณุ ธรรมข้อนี Ê ต้องบําเพ็ญในเรืÉองปัญญาบารมีเป็นใหญ่ 7. ทรู ังคมาภมู ิ หมายถงึ สภาวะทีÉไปให้พ้นหา่ งไกล ซงÉึ พระโพธิสตั ว์ต้องมีอบุ ายอนั ฉลาด แม้บําเพ็ญกศุ ลมาน้อย แตไ่ ด้ผลแก่สรรพสตั ว์มากมาย ภมู ิคณุ ธรรมข้อนี Ê ต้องบําเพ็ญ ในเรÉืองอบุ ายบารมีเป็นใหญ่ 8. อจลาภมู ิ หมายถงึ สภาวะทÉีไมค่ ลอนแคลน มนัÉ คง ซงึÉ พระโพธิสตั ว์ต้องบําเพ็ญ หนกั ในเรืÉองปณิธานบารมี 9. สาธุบดภี มู ิ หมายถงึ พระโพธิสตั ว์แตกฉานในอภิญญา และปฏิสมั ภิทาญาณ ภมู ิ คณุ ธรรมข้อนี Ê ต้องบําเพญ็ หนกั ในเรÉืองพลบารมี 10. ธรรมเมฆภมู ิ หมายถึง พระโพธิสตั ว์ต้องบาํ เพญ็ หนกั ในญาณบารมีมีจิตใจอสิ ระ ไมต่ ดิ ในรูปธรรม นามธรรม ภมู ิคณุ ธรรมข้อนี Ê ต้องบําเพ็ญหนกั ในเรืÉองญาณบารมี เมÉือพระโพธิสตั ว์บําเพญ็ ทศภมู ิเตม็ บริบรู ณ์แล้ว ยอ่ มมีพระคณุ เทียบเทา่ พระพทุ ธเจ้า เหลืออีกชาตเิ ดียวก็จกั ตรัสรู้เป็นพระพทุ ธเจ้าเชน่ เดยี วกบั พระศรีอริยเมตไตรโพธิสตั ว์ จริยธรรมของพระโพธิสัตว์ 10 ประการ 1. พระโพธิสตั ว์ ไมป่ รารถนาเลยวา่ ร่างกายจะไมม่ ีโรคภยั ไข้เจ็บ 2. พระโพธิสตั ว์ ครองชีวิตโดยไมป่ รารถนาเลยวา่ จะไมม่ ีภยนั ตราย 3. พระโพธิสตั ว์ ไมป่ รารถนาเลยวา่ จะไมม่ ีอปุ สคั ในการชําระจิตให้บริสทุ ธÍิ 4. พระโพธิสตั ว์ จะไมป่ รารถนาเลยวา่ จะไมม่ ีมารมาขดั ขวางการปฏิบตั ภิ ารกิจ 5. พระโพธิสตั ว์ คิดวา่ จะทํางานให้นานทÉีสดุ โดยไมป่ รารถนาจะให้สําเร็จผลเร็ว 6. พระโพธิสตั ว์ จะคบเพÉือนโดยไมป่ รารถนาจะได้รับผล
232 7. พระโพธิสตั ว์ จะไมป่ รารถนาวา่ จะให้คนอืÉนต้องตามใจตนเองเสมอทกุ อยา่ ง 8. พระโพธิสตั ว์ จะทําความดีกบั คนอืÉน โดยไมป่ รารถนาสิÉงตอบแทน 9. พระโพธิสตั ว์ เห็นลาภแล้ว ไมป่ รารถนาจะมีห้นุ ส่วนด้วย 10. พระโพธิสตั ว์ เมืÉอถกู ใสร่ ้ายปา้ ยสี ตเิ ตยี น นินทา แล้วไมป่ รารถนาจะโต้ตอบ หรือฟ้องร้อง (พระญาณวโรดม. 2538:261-264) โพธิสัตว์ธรรม 8 ประการ 1. พระโพธิสตั ว์ ต้องบาํ เพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ตอ่ สรรพสตั ว์ โดยไมห่ วงั ผลตอบแทนจากสรรพสตั ว์ 2. พระโพธิสตั ว์ สามารถเสวยสรรพทกุ ข์แทนสรรพสตั ว์ได้ โดยไมย่ ่อท้อ ไมบ่ น่ 3. พระโพธิสตั ว์ สร้างบญุ กศุ ลเทา่ ไร ก็สามารถอทุ ิศให้สรรพสตั ว์ได้ โดยไมห่ วงแหน 4. พระโพธิสตั ว์ ตงัÊ จิตสมํÉาเสมอในสรรพสตั ว์ ไมม่ ีอคติ ถอ่ มตน ไมล่ ําพอง 5. พระโพธิสตั ว์ เห็นพระโพธิสตั ว์อืÉนดจุ เหน็ พระพทุ ธเจ้า ฟังพระสตู ร ทกุ พระสตู ร โดยไมเ่ กิดความเคลือบแคลงสงสยั 6. พระโพธิสตั ว์ ไมห่ นั หลงั ให้ธรรมของพระอรหนั ต์ แตส่ มคั รสมานเข้ากนั ได้กบั ธรรม นนั Ê 7. พระโพธิสตั ว์ ไมย่ ินดีในลาภสกั การะทีÉเกิดกบั ตน สามารถควบคมุ จติ ของตนได้ 8. พระโพธิสตั ว์ ยอ่ มหมนัÉ พจิ ารณาโทษของตน ไมเ่ ทีÉยวเพง่ โทษผ้อู ืÉน ตงัÊ จิตมนัÉ เดด็ เดยÉี วในการสร้างบารมี แบบฝึ กหัดท้ายบท 1. ความเป็นพทุ ธศาสนาหมายถงึ ตรงไหน ถ้ามีคนกลา่ ววา่ พระพทุ ธเจ้าเป็นจอมมาร โกหกหลอกลวงโลกมากทีÉสดุ โดยบอกวา่ อีกสามเดือนจะปรินพิ พาน เมÉือครบกําหนดแล้วรีบ ให้พระอานนท์จดั ทÉีนอนให้เพÉือจะได้กนัÊ ใจตายให้ตรงกบั คาํ พดู ของตวั เอง ทา่ นมีวิธีอธิบายให้ คนอÉืนเข้าใจตามเป็นจริงได้อยา่ งไร 2. ชีวปรวตั พิ ระพทุ ธเจ้า หลกั ธรรมสําคญั และพธิ ีกรรมทางพระพทุ ธศาสนามีอะไรบ้าง 3. การบําเพญ็ ทกุ รกิริยา หลกั จริยธรรมและคมั ภีร์ในพระพทุ ธศาสนามีอะไรบ้าง 4. หลกั ปฏิบตั ใิ นพระพทุ ธศาสนามหายานเป็นอย่างไร
233 5. พระพทุ ธศาสนามีกÉีนิกาย มีเหตผุ ลอยา่ งไรจงึ ต้องแยกเป็นนกิ าย และพงึÉ สงู สดุ ของ แตล่ ะนกิ ายเป็นอยา่ งไร 6. พระพทุ ธศาสนามหายานและเถรวาทมีสว่ นทÉีเหมือนกนั และแตกตา่ งกนั อย่างไร 7. เหตใุ ดพทุ ธศาสนาจงึ มองวา่ การเกิดเป็นทกุ ข์ ทงัÊ ทีÉเมÉือมีเดก็ เกิดทกุ คนตา่ งก็ยนิ ดีใน ความนา่ รักของเดก็ นนัÊ 8. การศกึ ษาของพทุ ธศาสนาทีÉจะนํามนษุ ย์ไปสกู่ ารบรรลหุ ลดุ พ้นมีอะไรบ้าง 10. กรรมและกฎแหง่ กรรมในพระพทุ ธศาสนาเป็นอยา่ งไร 11. ลกั ษณะพเิ ศษของพทุ ธศาสนาและหลกั ธรรมของมหายานเป็นอยา่ งไร 12. อธิบายความหมายของนพิ พาน และคดิ ว่าคําสอนในเรืÉองนิพพานจะขดั ตอ่ ความคดิ ในการสร้างสรรค์สงั คมหรือไมอ่ ยา่ งไร 13. การทÉีคน ๆ หนงÉึ จะเข้าถงึ นิพพานได้ จะต้องมีหลกั ปฏิบตั อิ ย่างไรจงึ จะเข้าถงึ เปา้ หมายอนั สงู สดุ นี Ê 14. การตรัสรู้ เสวยวมิ ุตติสุข แสดงปฐมเทศนาและพทุ ธกิจของพระพุทธเจา้ มี อะไรบา้ ง 15. สาเหตุและการแบ่งแยกนิกาย และสญั ลกั ษณ์พทุ ธศาสนามีอะไรบา้ ง 16. พระรัตนตรัย หลกั ตรีกายและคุณสมบตั ิของโพธิสตั วม์ ีอะไรบา้ ง
บทที 7 ศาสนาคริสต์ (Christianity) ชีวประวตั ิศาสดา ศาสนาคริสตพ์ ฒั นามาจากศาสนายวิ มีพระเยซูเป็นศาสดา พระองคม์ ิไดท้ รงปรารถนา จะตงั ศาสนาใหม่ แต่ประสงคจ์ ะปฏิรูปศาสนายวิ ใหบ้ ริสุทธิยงิ ขึน ทรงเห็นวา่ พวกยวิ โดยเฉพาะ พวกพระมิไดม้ ีศรัทธาอยา่ งจริงใจ ทรงตอ้ งการใหช้ าวยวิ มีความเขา้ ใจในศาสนาและพระเจา้ ที พวกเขานบั ถือลึกซึงยงิ ขึน พระเยซูเกิดทีเมืองนาซาเรส แควน้ กาลิเล ประเทศปาเลสไตน์ เมือ พ.ศ. 543 สินชีวติ เมืออายไุ ด้ 33 ปี เผยแผศ่ าสนาอยู่ 3 ปี คมั ภีร์ไบเบลิ ได้กล่าวไว้วา่ มาเรียผ้เู ป็นมารดาของพระเยซูนนัÊ เดมิ โยเซฟไปสขู่ อหมนัÊ กนั ไว้แล้ว ก่อนทีÉจะอยกู่ ินด้วยกนั ก็ได้เหน็ นางมาเรียมีครรภ์แล้ว ด้วยเดชพระวญิ ญาณบริสทุ ธÍิ แตโ่ ยเซฟคหู่ มนัÊ ของเขาเป็นคนดสี ตั ย์ซÉือ ไมพ่ อใจทÉีแพร่งพรายความเป็นไปของนางนนัÊ หมาย จะให้นางนนัÊ หลบหนีไปเสียเป็นการลบั แตเ่ มÉือโยเซฟยงั ตริตรองด้วยเรืÉองนีกÊ ็มีทตู องคห์ นงÉึ ของ พระเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟ ในความฝันวา่ โยเซฟบตุ รของดาวิดอยา่ วติ กในการทÉีจะรับมาเรีย มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะวา่ ผ้ทู Éีปฏิสนธิในครรภ์ของนางนนัÊ เป็นโดยเดชพระวญิ ญาณ บริสทุ ธÍิ นางนนัÊ จะประสตู บิ ตุ รเป็นชาย แล้วจงเรียกนามวา่ เยซู เมÉือโยเซฟตนÉื ขนึ Ê ก็ปฏิบตั ิตาม คําพดู ของทตู แหง่ พระเจ้า คือ รับมาเรียมาอยกู่ ินด้วยกนั แตม่ ไิ ด้ร่วมสสู่ มอย่างสามีภรรยากนั พระเยซูไดร้ ับการศึกษาและการเลียงดูอยา่ งดี รู้ภาษากรีกและศึกษาพระคมั ภีร์เก่าได้ อยา่ งเขา้ ใจ เมืออายุ 30 ปี ไดม้ อบตวั เป็นศิษยข์ องโยฮนั ผแู้ ตกฉานในคมั ภีร์ของศาสนายวิ ใน สมยั นนั และไดป้ ระกอบพธิ ีปัพติส คือ ใหศ้ ีลลา้ งบาป (รับศีลจุ่ม) ทีริมฝังแม่นาํ จอร์แดน เมือ พระเยซูขึนจากนาํ ทอ้ งฟ้าไดแ้ หวกออกตรงพระองค์ พระเยซูไดเ้ ห็นวญิ ญาณของพระเจา้ ลงมา สถิตบนพระองค์ ดุจนกพริ าบและมีเสียงจากฟ้าวา่ เจา้ เป็นบุตรทีรักของเรา เราพอใจเจา้ มาก และท่านมีอุปนิสยั ชอบความสงบ ไดท้ าํ ทุกกรกิริยาอดอาหาร 40 วนั อยใู่ นทีสงดั เพือตรึก ตรองหาธรรม การสอนของพระเยซูทีสาํ คญั คือการเทศนาบนภูเขา ซึงเป็นเรืองการปลุกปลอบใจให้ ความหวงั แก่ชีวิตดงั มีขอ้ ความวา่ ผทู้ ีรู้สึกความบกพร่องทางจิตใจจะไดร้ ับความสุข เพราะวา่ สวรรคเ์ ป็นของเขาแลว้ ผมู้ ีจิตใจบริสุทธิไดช้ ือวา่ เห็นพระเจา้ ผทู้ ีสามารถทนการประทุษร้าย เบียดเบียนได้ ทนการข่มเหงนินทาไดจ้ ะไดร้ ับบาํ เหน็จจากสวรรคด์ งั นี เป็นตน้ และได้ ประกาศวา่ พระองคไ์ ม่มีเจตนาจะทาํ ลายลา้ งพระบญั ญตั ิเดิมแต่จะทาํ ใหส้ มบูรณ์ยงิ ขึน ดงั นนั คาํ สอนของพระเยซูจึงมีลกั ษณะเป็นการปฏิรูปคมั ภีร์ดงั เดิม ซึงก่อใหเ้ กิดความขดั แยง้ กนั ขึนกบั
235 พวกยวิ พระเยซูใชว้ ธิ ีเผยแผศ่ าสนาโดยการอา้ งอิทธิปาฏิหาริยข์ องพระเจา้ ในการรักษาคนป่ วย เช่น รักษาโรคเรือนใหห้ ายได้ รักษาคนง่อยใหเ้ ดินได้ รักษาคนใบใหพ้ ูดได้ รักษาคนตาบอด ใหก้ ลบั แลเห็นได้ เป็นตน้ ความสาํ เร็จในการเทศนาสงั สอนของพระเยซูมีผเู้ ลือมใสประกาศตนเป็ นสาวกจาํ นวน มาก พระเยซูไดเ้ ลือกเป็นอคั รสาวก จาํ นวน 12 คน 1. ซิมอน หรือเปโตร 2. อนั เดรอง นอ้ งชายของเปโดร 3. ยาโกโบ บุตรของเซเบดาย 4. โยฮนั นอ้ งชายของยาโกโบ 5. ฟิ ลิป 6. ปาร์โธโลมาย 7. โธมา 8. มดั ธาย 9. ยาโกโบ บุตรของอาละฟาย 10. เบบาย หรือธาดาย 11. ซิมอน ชาวคานาอนั 12. ยดู าย อิสการิโอด พระเยซูประกาศศาสนาอยเู่ ป็ นเวลา 3 ปี วนั สุดทา้ ยในพิธีปัสคา ซึงเป็นวนั เทศกาลกิน ขนมปัง ไม่มีเชือ พระเยซูพร้อมกบั สาวก 12 คน กาํ ลงั รับประทานอาหารมือสุดทา้ ยก็ถูกพวก ทหารโรมนั จบั ดว้ ยขอ้ หาวา่ เป็นกบฎต่อซีซาร์โรมนั ตงั ตนวา่ เป็ นบุตรพระเจา้ และเป็นพระ เมสสิอาห์แลว้ ใหล้ งโทษประหารชีวิต โดยการตรึงกบั ไมก้ างเขน 3 วนั ภายหลงั พระเยซูกลบั ลุกขึนมาไดแ้ ละลอยขึนสวรรคไ์ ป หลงั จากพระเยซูเสดจ็ จากไป เหล่าสาวกก็ไดป้ ระชุมร่วมกนั และเริมออกทาํ การเผยแผ่ คาํ สอนของพระองค์ พวกนีแยกตวั ออกจากศาสนายวิ และมาตงั ศาสนาอิสระใหม่ เรียกวา่ ศาสนาคริสต์ (มนต์ ทองชชั . 2530:112-114) ลกั ษณะคําสอนของพระเยซู พระเยซูสอนหลกั ธรรมบางขอ้ ตรงกนั ขา้ มศาสนายวิ บางขอ้ ใชก้ ารปฏิรูปและประยกุ ต์ เสียใหม่ เช่น 1. พระเจา้ ทรงเป็ นบิดาทีดี พร้อมทีจะประทานอภยั ใหแ้ ก่บุตรทีกลบั ใจ แต่ขณะเดียว กนั ก็ทรงเป็นผทู้ รงไวซ้ ึงความเดด็ เดียว ลงโทษผไู้ ม่เชือฟัง 2. พระเยซูเป็นผปู้ ระกาศข่าวดี โดยแจง้ ใหท้ ราบวา่ อาณาจกั รของพระเจา้ มาถึงแลว้ ผทู้ ียอมรับและศรัทธาในอาณาจกั รพระเจา้ ในมหิทธานุภาพของพระเจา้ ยอ่ มจกั ตอ้ งไดร้ ับพระ มหากรุณาธิคุณจากพระองค์ 3. หลกั การสาํ นึกผดิ คือ การพิจารณาดูตนเองวา่ ไดท้ าํ ผดิ อะไรบา้ ง และตงั ใจที จะเลิกทาํ ความชวั นนั เสีย
236 4. หลกั ความเสมอภาค คือ ความรักความเมตตาของพระเจา้ ทีมีต่อมนุษยท์ งั มวล เป็นไปไม่เลือกชนั วรรณะ ผูท้ าํ ความดีแลว้ ยอ่ มไดร้ ับรางวลั จากพระเจา้ โดยเสมอหนา้ กนั 5. ใหล้ ะความเคียดแคน้ พยาบาท ระงบั การจองเวรซึงกนั และกนั ใครรักก็รักตอบ ใครอาฆาตมุ่งร้ายก็ตอ้ งให้อภยั (ผศ. ธีรยทุ ธ สุนทรา. 2539:92) หลกั ธรรมคาํ สอนสําคัญของศาสนา ผศ. วนิดา ขาํ เขียว (2541:310-312) ไดกั ล่าวถึงคาํ สอนของพระเยซูซึงสรุปไดด้ งั นี 1. พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจา้ ซึงพระเจา้ ทรงส่งมาใหเ้ กิดในโลกมนุษย์ เพอื ไถ่ บาปมนุษยท์ งั ปวง มิเพยี งแต่เป็นพระเมสสิอาห์ของพวกยวิ เท่านนั แต่เป็นพระคริสต์ (Christ) หมายถึง ผทู้ ีพระเจา้ เลือกสรรมาเพอื สร้างสนั ติ 2. ผใู้ ดทีเชือในพระเยซูและคาํ สงั สอนของพระองค์ จะไดร้ ับความรอดและชีวิต นิรันดร จะไม่ถูกพิพากษาในวนั สินโลก ส่วนผทู้ ีไม่มีศรัทธาในพระองค์ จะตอ้ งถูกพพิ ากษา 3. พระเยซูไดส้ อนใหช้ าวยวิ กลบั ใจใหม่ มิใหน้ บั ถือศาสนาเฉพาะในดา้ นประกอบพธิ ี กรรมหรือท่องคาํ สวดดว้ ยปากโดยไม่จริงใจ ติเตียนพวกพระยวิ ในนิกายฟาริซาย (Pharisees) และซาดูกาย (Saducees) วา่ เป็นพวกไม่ไดจ้ ริงใจต่อพระเจา้ ไม่รักพระเจา้ จริง พวกปากวา่ ตา ขยบิ แสร้งเป็นผูเ้ คร่งศาสนาโดยไม่รู้จกั พระเจา้ ทีแทจ้ ริง 4. บญั ญตั ิสูงสุดของพระเยซู คือ 4.1 จงรักพระเจา้ ดว้ ยสุดใจสุดจิตและสินสุดความคิด 4.2 จงรักเพือนบา้ นเหมือนรักตนเอง ผปู้ ฏิบตั ิตามพระบญั ญตั ิ 10 แต่ไม่รักพระ เจา้ หรือเพือนมนุษยไ์ ม่ใช่ผทู้ ีมีศรัทธาในพระเจา้ อยา่ งแทจ้ ริง ผทู้ ีพระเจา้ โปรดปรานคือผทู้ ีตงั อยู่ ในความดีมีความชอบธรรม 5. พระเยซูสอนมิใหก้ งั วลเกียวกบั ความสุขในทางโลกอนั ไดจ้ ากวตั ถุ แต่ใหแ้ สวงหา ความสงบสุขและสนั ติทางดา้ นจิตใจ โดยกล่าววา่ ผทู้ ียงั ห่วงสมบตั ิและเห็นแก่วตั ถุจะไม่ได้ ขึนสวรรค์ แต่ผทู้ ีสละทุกสิงเพือพระเจา้ จะไดช้ ีวติ นิรันดร 6. ในด้านการปฏิบตั ิตอ่ เพÉือนมนษุ ย์ พระเยซูสอนวา่ การไมท่ ําชวÉั ตอบแทนชวัÉ หรือ ทําดีตอบแทนดีเทา่ นนัÊ ยงั ไมเ่ พียงพอทําดีตอบแทนความชวÉั และให้รักศตั รู ดงั ทีÉได้ทรงเปรียบ เทียบวา่ อยา่ ต่อสู่กบั คนชวั ถา้ ผใู้ ดตบแกว้ ขวาของท่าน ก็จงหนั แกม้ ซา้ ยใหเ้ ขาดว้ ย
237 7. ความดีสงู สดุ คือ การทําตวั ตามแบบอยา่ งพระเยซู เพราะพระเยซคู อื พระเจ้า ซงÉึ สําแดงพระองคเ์ องให้ปรากฏแก่มนษุ ย์ คณุ ธรรมสงู สดุ ของพระองค์คือความรัก ความเมตตา กรุณา ความออ่ นโยน ความถอ่ มตน ความอดทนตอ่ ความทกุ ข์ทงัÊ ปวง ความชอบ ความยตุ ิ ธรรม ความซÉือสตั ย์สจุ ริต ความสงบ และความบริสทุ ธิÍทงัÊ กาย วาจา ใจ โดยกลา่ ววา่ จง เป็นผ้ดู ีโดยรอบ (Perfect) อยา่ งพระบิดาของทา่ น 8. บรมสุขของผคู้ น 1. บุคคลผใู้ ดรู้สึกบกพร่องฝ่ ายวญิ ญาณผนู้ นั เป็นสุขเพราะแผน่ ดินสวรรคเ์ ป็นของเขา 2. บุคคลผใู้ ดโศกเศร้า ผนู้ นั เป็นสุข เพราะวา่ เขาจะไดร้ ับการปลอบประโลม 3. บุคคลผใู้ ดมีใจอ่อนโยน ผนู้ นั เป็ นสุข เพราะวา่ เขาจะไดร้ ับแผน่ ดินโลกเป็นมรดก 4. บุคคลผใู้ ดหิวกระหายความชอบธรรม ผนู้ นั เป็นสุข เพราะวา่ พระเจา้ จะทรงใหอ้ ิม บริบูรณ์ 5. บุคคลผใู้ ดมีใจกรุณา ผูน้ นั เป็นสุข เพราะวา่ เขาจะไดร้ ับพระกรุณาตอบ 6. บุคคลผใู้ ดมีใจบริสุทธิ ผนู้ นั เป็ นสุข เพราะวา่ เขาจะไดเ้ ห็นพระเจา้ 7. บุคคลผใู้ ดสร้างสนั ติ ผูน้ นั เป็นสุข เพราะวา่ พระเจา้ จะทรงเรียกเขาวา่ เป็ นบุตร 8. บุคคลผใู้ ดตอ้ งถูกข่มเหง เพราะเหตุความชอบธรรม ผนู้ นั เป็นสุขเพราะวา่ แผน่ ดิน สวรรคเ์ ป็นของเขา 9. เมือเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาวา่ ร้ายท่านทงั หลายเป็นความเทจ็ เพราะเรา ท่าน ก็เป็ นสุข 10. จงชืนชมยนิ ดี เพราะวา่ บาํ เหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาไดข้ ่มเหง ผเู้ ผยพระวจนะทงั หลายทีอยกู่ ่อนท่านเหมือนกนั 9. เกลือแห่งแผน่ ดินโลก 1. ท่านทงั หลายเป็นเกลือแห่งโลก ถา้ เกลือนนั หมดรสเคม็ ไปแลว้ จะทาํ ใหก้ ลบั เคม็ อีกอยา่ งไรได้ แต่นนั ไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิงเสียสาํ หรับคนเหยยี บยาํ 10. ความสวา่ งของโลก 1. ท่านทงั หลายเป็นความสวา่ งของโลก นครซึงอยบู่ นภูเขาจะปิ ดบงั ไวไ้ ม่ได้ 2. เมือจุดตะเกียงแลว้ ไม่มีผใู้ ดเอาถงั ครอบไว้ ยอ่ มตงั ไวบ้ นเชิงตะเกียงจะไดส้ ่อง สวา่ งแก่ทุกคนทีอยใู่ นเรือนนนั 3. ท่านทงั หลายก็เหมือนกบั ตะเกียง จงส่องสวา่ งแก่คนทงั ปวง เพือวา่ เมือเขาไดเ้ ห็น
238 ความดีทีท่านทาํ เขาจะไดส้ รรเสริญพระบิดาของท่านผทู้ รงอยใู่ นสวรรค์ 11. พระธรรมบญั ญตั ิใหม่ 1. อยา่ คิดวา่ เรามาเลิกลา้ งธรรมบญั ญตั ิและคาํ ของผูเ้ ผยวจนะ เรามิไดม้ าเลิกลา้ ง แต่มาทาํ ใหส้ มบูรณ์ทุกประการ 12. ความโกรธ 1. ท่านทงั หลายไดย้ นิ คาํ ซึงกล่าวไวแ้ ก่คนโบราณวา่ อยา่ ฆ่าคน ถา้ ผใู้ ดฆ่าคน ผนู้ นั จะตอ้ งถูกพิพากษาลงโทษ 2. เราบอกท่านทงั หลายวา่ ผใู้ ดโกรธพีนอ้ งของตน ผูน้ นั จะตอ้ งถูกพิพากษาลงโทษ ถา้ ผใู้ ดจะพูดกบั พนี อ้ งวา่ อา้ ยโง่ ผนู้ นั ตอ้ งถูกนาํ ไปทีศาลสูงใหพ้ ิพากษาลงโทษและผใู้ ดจะวา่ อา้ ยบา้ ผนู้ นั จะมีโทษถึงไฟนรก 3. เหตุฉะนนั ถา้ ท่านนาํ เครืองบูชามาถึงแท่นบูชาแลว้ และระลึกขึนไดว้ า่ พนี อ้ งมี เหตุขดั เคืองขอ้ หนึงขอ้ ใดกบั ท่าน 4. จงวางเครืองบูชาไวท้ ีหนา้ แท่นบูชา กลบั ไปคืนดีกบั พนี อ้ งผนู้ นั เสียก่อน แลว้ จึง ค่อยมาถวายเครืองบูชาของท่าน 5. จงปรองดองกบั คู่ความโดยเร็ว ในขณะทีพากนั ไปศาล เกลือกวา่ คู่ความนนั จะอายดั ท่านไวก้ บั ผพู้ ิพากษาแลว้ ผพู้ พิ ากษาจะมอบท่านไวก้ บั ผคู้ ุม และท่านจะตอ้ งถูกขงั ไวใ้ นเรือนจาํ 6. เราบอกความจริงแก่ท่านวา่ ท่านจะออกจากทีนนั ไม่ไดจ้ นกวา่ จะไดใ้ ชห้ นีครบ 13. การล่วงประเวณี 1. ท่านทงั หลายไดย้ นิ คาํ ซึงกล่าวไวว้ า่ อยา่ ล่วงประเวณีผวั เมียเขา 2. ฝ่ ายเราบอกท่านทงั หลายวา่ ผใู้ ดมองผหู้ ญิงเพือใหเ้ กิดใจกาํ หนดั ในหญิงนนั ผนู้ นั ไดล้ ่วงประเวณีในใจกบั หญิงนนั แลว้ 3. ถา้ ตาขา้ งขวาของท่านทาํ ใหต้ วั หลงผดิ จงควกั ออกทิงเสีย เพราะถึงจะเสียอวยั วะ อยา่ งหนึง ก็ดีกวา่ ตวั ของท่านจะตอ้ งลงนรก 4. ถา้ มือขา้ งขวาทาํ ใหห้ ลงผดิ จงตดั ทิงเสีย เพราะถึงจะเสียอวยั วะอยา่ งหนึงก็ดีกวา่ ตวั ท่านจะตอ้ งลงนรก 14. การสบถสาบาน 1. ท่านทงั หลายไดย้ นิ คาํ ซึงกล่าวไวแ้ ก่คนโบราณวา่ อยา่ เสียค่าสตั ยส์ าบานคาํ สตั ย์ สาบานทีไดถ้ วายต่อองคพ์ ระผเู้ ป็นเจา้ นนั ตอ้ งรักษาไวใ้ หม้ นั
239 2. ฝ่ ายเราบอกท่านทงั หลายวา่ อยา่ สาบานเลย โดยอา้ งถึงสวรรคก์ ็อยา่ สาบาน เพราะ สวรรคเ์ ป็นทีประทบั ของพระเจา้ 3. หรือโดยอา้ งถึงแผน่ ดินโลกก็อยา่ สาบาน เพราะแผน่ ดินโลกเป็นทีรองพระบาท ของพระเจา้ หรือโดยอา้ งถึงกรุงเยรูซาเลม็ ก็อยา่ สาบานเพราะกรุงเยรูซาเลม็ เป็นราชธานีของ พระมหากษตั ริย์ 4. อยา่ สาบานโดยอา้ งถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทาํ ใหผ้ มขาวหรือดาํ ไปสัก เส้นหนึงก็ไม่ได้ 5. จริงก็จงวา่ จริง ไม่ก็วา่ ไม่ พดู แต่เพียงนีก็พอ คาํ พดู เกินนีไปมาจากความชวั 15. การตอบแทน 1. ท่านทงั หลายไดย้ นิ คาํ ซึงกล่าวไวว้ า่ ตาแทนตา และฟันแทนฟัน 2. ฝ่ ายเราขอบอกท่านวา่ อยา่ ต่อสู้คนชวั ถา้ ผใู้ ดตบแกม้ ขวาของท่าน ก็จงหนั แกม้ ซา้ ยใหเ้ ขาดว้ ย 16. รักศตั รู 1. ท่านทงั หลายไดย้ นิ คาํ ซึงกล่าวไวว้ า่ จงรักคนสนิทและเกลียดชงั ศตั รู 2. ฝ่ ายเราบอกท่านวา่ จงรักศตั รูของท่านและจงอธิษฐานเพอื ผทู้ ีข่มเหงท่าน 3. จงทาํ คุณแก่คนทีเกลียดชงั ท่าน และจงขอพรใหแ้ ก่ผทู้ ีประทุษร้ายเคียวเขญ็ ท่าน เพือท่านทงั หลายจะเป็ นบุตรของพระบิดาของท่านผูอ้ ยใู่ นสวรรค์ 17. การทาํ ทาน 1. จงระวงั อยา่ กระทาํ ศาสนกิจเพอื อวดอา้ งคนอืนเลย ถา้ ทาํ อยา่ งนนั ท่านจะไม่ไดร้ ับ บาํ เหน็จจากพระบิดาของท่านผทู้ รงสถิตในสวรรค์ 2. เหตุฉะนนั เมือท่านทาํ ทานอยา่ เป่ าแตรขา้ งหนา้ ท่าน เหมือนคนหนา้ ซือใจคด กระทาํ ในธรรมศาลาและตามถนนเพอื ใหค้ นยกยอ่ งสรรเสริญ เราบอกความจริงแก่ท่านวา่ เขา ไดร้ ับบาํ เหน็จของเขาแลว้ 3. ฝ่ ายท่านทงั หลายเมือทาํ ทาน อยา่ ใหม้ ือซา้ ยรู้การซึงมือขวากระทาํ นนั 4. ทานของท่านจะตอ้ งเป็ นทานลบั และพระบิดาของท่านผทู้ รงเห็นในทีลีลบั นนั จะ ทรงโปรดประทานบาํ เหน็จแก่ท่าน 18. การถืออดอาหาร
240 1. เมือท่านถืออดอาหาร อยา่ ทาํ หนา้ เศร้าหมองเหมือนคนหนา้ ซือใจคด ดว้ ยเขาทาํ หนา้ ใหม้ อมแมม เพือจะใหพ้ วกคนเห็นวา่ เขาถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านวา่ เขาได้ บาํ เหน็จของเขาแลว้ 2. ฝ่ ายท่านเมือถืออดอาหาร จงลา้ งหนา้ และเอานาํ มนั ใส่ศีรษะ 3. เพอื คนจะไม่ไดร้ ู้วา่ ถืออดอาหาร แต่ใหป้ รากฏแก่พระบิดาของท่าน ผทู้ รงสถิตใน ทีลีลบั และพระบิดาผทู้ รงเห็นในทีลีลบั จะทรงโปรดประทานบาํ เหน็จแก่ท่าน หลกั ความเชือดังเดมิ หลกั ความเชืÉอดงัÊ เดมิ ทÉีพวกอคั รสาวกได้วางไว้ในคริสต์ศตวรรษทÉี 1 เพืÉอให้ศาสนิกชน ทอ่ งเมืÉอทํานมสั การพระเจ้าหรือ เมÉือทําพธิ ีรับศีลและยดึ ถือเป็นรากฐานความเชืÉอถือของคริสต์ ศาสนกิ ชนตอ่ มา เรียกวา่ ภาษาละตนิ เครโด (Credo) ซงึÉ ยงั คงใช้อยใู่ นศาสนจกั รคาทอลกิ แยกได้ 6 ประการ ดงั นี Ê 1. เชือในพระเป็ นเจา้ องคเ์ ดียว พระบิดาผทู้ รงสรรพานุภาพ ไดเ้ นรมิตรฟ้าดินทงั สิงที เห็นได้ และสิงทีเห็นไม่ได้ 2. เชือในพระเยซูพระบุตรแต่องคเ์ ดียวของพระเป็ นเจา้ ทรงบงั เกิดจากพระบิดา ก่อน กปั ก่อนกลั ป์ เป็นพระเจา้ จากพระเป็นเจา้ เป็นองคค์ วามสวา่ ง จากองคค์ วามสวา่ งใหเ้ กิดเป็น พระเป็นเจา้ แท้ จากพระเป็ นเจา้ แทม้ ิไดถ้ ูกสร้าง แต่ทรงบงั เกิดขึนร่วมกนั กบั ธรรมชาติเดียวกบั พระบิดา พระองคพ์ ระบุตรนีไดท้ รงเนรมิตทุกสิงขึนมา เพราะเห็นแก่เรามนุษยเ์ พือช่วยใหร้ อด พระองคจ์ ึงเสด็จจากสวรรค์ เดชะพระจิต พระองคย์ งั ทรงถูกตรึงกางเขนทรงรับทรมาน และถูกฝังไว้ สมยั บอนซิ โอ ปิ ลาโต หรือปอนติอุส ปิ เลต ทรงคืนชีพขึนในวนั ที 3 เสด็จสู่สวรรคป์ ระทบั ระดบั ขวา พระบิดา พระองคจ์ ะเสดจ็ มาอีก เพือพพิ ากษาผเู้ ป็นและผตู้ าย 3. เชือในพระจิตเจา้ ผปู้ ระทานชีวติ ทรงเนืองมาจากพระบิดาและพระบุตร พระองค์ ดาํ รัสทางประกาศ 4. เชือในพระศาสนจกั ร (หนึงเดียว) ศกั ดิสิทธิ และสืบจากอคั รสาวก 5. เชือในการยกบาป ยอมรับวา่ พธิ ีลา้ งทียกบาปมีแต่พธิ ีเดียว 6. เชือในการคืนชีพของร่างกาย และรอคอยวนั พพิ ากษาโลก หลกั ความเชือดงั เดิมนี แต่ละนิกายไดต้ ีความหมายไปต่าง ๆ กนั อีก และทาํ ใหเ้ กิด ทฤษฎีศาสนา ทีชดั แจง้ และซบั ซอ้ นอาํ นาจขึนมากมาย นิกายโรมนั คาทอลิกถือวา่ ศาสนจกั ร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287