Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การเลี้ยงปูทะเล

การเลี้ยงปูทะเล

Description: การเลี้ยงปูทะเล.

Search

Read the Text Version

งานเอกสารคาํ แนะนาํ กองสง เสรมิ การประมง กรมประมง การเลี้ยงปทู ะเล •! คาํ นาํ •! ชวี ประวตั ขิ องปทู ะเล •! การเลย้ี งปทู ะเล •! ปญหาและอปุ สรรคในการเลย้ี งปทู ะเล •! เอกสารอา งองิ •! ภาคผนวก (เครอ่ื งมอื และวธิ กี ารประมง) คาํ นาํ ปูทะเลนับเปน สตั วน ้ําชนดิ หนง่ึ ทม่ี คี วามสาํ คัญตอเศรษฐกิจของประเทศไทยเปนที่นิยมบริโภคโดย ทั่วไปเนื่องจากมีรสชาติดี และมคี ุณคา ทางโภชนะการสงู ผลผลติ ปทู ะเลสวนใหญไ ดจากการจับปใู น ธรรมชาติ ซ่ึงนับวนั จะมปี รมิ าณลดลงไปทกุ ทเี นอ่ื งจากความตอ งการบรโิ ภคทเ่ี พม่ิ ขน้ึ ทกุ ๆป ซง่ึ แมว า ใน ปจจุบันจะมีการนาํ ปทู ะเลทไ่ี มไ ดท ง้ั ขนาดและคณุ ภาพตามทต่ี ลาดตอ งการ เชน ปูโพรก ปไู ขอ อ นและปู เล็กมาขุนเล้ียงตอ บา งแลว กต็ าม แตยังไมเปนที่แพรหลายเทาที่ควร ทง้ั ทต่ี ลอดแนวชายฝง ทะเลของ ประเทศไทยนน้ั มปี ทู ะเลอาศยั อยอู ยา งชกุ ชมุ ซง่ึ แสดงวา ชายฝง ทะเลของเรามศี กั ยภาพในการพฒั นา เพ่ือการเพาะเลย้ี งปทู ะเลไดเ ปน อยา งดี ฉะนน้ั การเผยแพรความรูพื้นฐานทางดานชีววิทยาและเทคนิค การเลี้ยงปูทะเล อนั จะเปน ประโยชนแ กเ กษตรในดา นการพฒั นาวธิ เี พราะเลย้ี งใหไ ดผ ลสาํ เรจ็ นอกจาก น้ียังมีประโยชนใ นดา นการอนรุ กั ษพ นั ธปุ ทู ะเลใหค งอยตู อ ไป ชวี ประวตั ขิ องปทู ะเล 1. การจําแนกชนิดและลักษณะโครงสราง Phylum Mollusca Class Crustacea Family Portunidae Genus Scylla Species Scylla serrata Forskal ปทู ะเลมสี ว นประกอบของโครงสรา ง คอื มสี ว นหวั กบั อกรวมกนั เรยี กวา Cephalo throra สว นนจ้ี ะ มีกระดองหอหมุ ไว ลักษณะภายนอกทีส่ ังเกตเหน็ ไดอยา งชดั เจน คอื ลาํ ตวั ของปไู ดว วิ ฒั นาการโดย เปล่ียนแปลงไปเปน แผน บางๆ เรียกวา \"จับปง\" พบั อยใู ตก ระดอง จับปง เปนอวัยวะที่ใชเ ปนทีอ่ ุมพยุงไข ของแมปู(ในระยะท่ีมีไขนอกกระดอง)นอกจากนี้ยังเปนอวัยวะที่ใชแยกเพศไดอีกดวย กลาวคือ ใน เพศเมียจับปง จะมลี กั ษณะกวา งปลายมนกลมกวา เพศผู ซึ่งมีรปู เรียวและแคบ(ภาพที่ 1) กระดองของ ปูทะเลมีลักษณะเปน รปู ไขแ ละมหี นามเรยี งจากตาไปทางดา นซา ย-ขวาของกระดองดา นละ 9 อนั ตา ของปูทะเลเปนตารวมประกอบดวยตาเล็กๆเปนจํานวนมากมีความรูสึกไวตอสิ่งเคล่ือนไหวอยูรอบตัว

การเลย้ี งปทู ะเล 2 และยังมีกานตาชวยในการชูลูกตาออกมาภายนอกเบา และหดกลับเขาไปไดทาํ ใหม นั มองเหน็ สง่ิ ตา งๆ รอบตวั ไดอ ยา งดยี ง่ิ ขน้ึ ปูทะเลมขี า 5 คู ขาคแู รกอยหู นา สดุ มขี นาดใหญม ากเปน พเิ ศษเรยี กวา \"กา มป\"ู ปลายกา มปู แยกออกเปน 2 งา มมลี กั ษณะคลา ยคมี ใชจ บั เหยอ่ื กนิ และปอ งกนั ตวั ปลายสดุ ของขาคทู ่ี 2-4 มลี กั ษณะ แหลมเรียกวา \"ขาเดนิ \" เพราะทาํ หนา ทใ่ี นการเดนิ เคลอ่ื นท่ี สว นขาคทู ่ี 5 ซึ่งเปน คูส ุดทายเรียกวา \"ขา วายน้ํา\" ตอนปลายสดุ ของขาคนู ม้ี ลี กั ษณะแบนคลา ยใบพาย ซง่ึ ธรรมชาตสิ รา งมาใหเ พอ่ื ความสะดวก ในการวา ยนา้ํ ปูทะเล มเี ลอื กสฟี า ใสๆ มสี ารประกอบพวกทองแดงปนอยใู นเลอื ก เมอ่ื ไดร บั บาดเจบ็ เชน กระดองแตก หรอื กา มหลดุ เลอื ดใสๆจะไหลออกมามลี กั ษณะขน ๆ เมอ่ื โดนความรอ นจะกลายเปน สี ขาวขนุ คลา ยครมี สาํ หรับอวัยวะภายในทั้งหมด ไดแก หัวใจ กระเพาะอาหาร ระบบประสาท ระบบสบื พันธุ ฯลฯ จะรวมกนั อยภู ายในกระดอง 2. แหลงทอ่ี ยอู าศยั และการแพรก ระจายของปทู ะเลในประเทศไทย ปูทะเล มชี อ่ื สามญั ทแ่ี ตกตา งกนั ไปตาม แตล ะทอ งถน่ิ เชน ปูทะเล ปดู ํา ปขู าว ปูทองหลาง ปูทองโหลง ปทู องแดง เปนตน และถงึ แมว า จะมลี กั ษณะภายนอก และพฤตกิ รรมบางอยา งทส่ี งั เกต พบวา แตกตา งกนั เชน ปขู าว และปดู าํ นน้ั มี ความแตกตา งทเ่ี หน็ ไดช ดั คอื สลี ําตวั โดย ที่ปูดาํ จะมสี เี ขม คอ นขา งคล้าํ มนี สิ ยั ดรุ า ย กวาปูขาว ซง่ึ มสี เี ขยี วขม้ี า จางๆและดรุ า ย นอยกวา อยา งไรกต็ ามลกั ษณะท่ี แตกตางกนั ดงั กลา วนน้ั อาจจะเนอ่ื งมา อาศัยทแ่ี ตกตา งกนั และเนอ่ื งจากยงั ไมม ี

การเลย้ี งปทู ะเล 3 ขอมูลทางวิชาการทส่ี นบั สนนุ วา ลกั ษณะทแ่ี ตกตา งกนั ดงั กลา วนน้ั แสดงชนิด (Species) ที่แตกตางกัน ดังนน้ั ปูทะเลที่พบในประเทศไทย จดั อยใู นชนดิ Scylla serrata Forskal ปูทะเลพบกระจายอยูทั่วไปใน แหลง นาํ้ กรอ ย ปา ชายเลน และปากแมนาํ้ ทม่ี นี า้ํ ทะเลทวมถึง โดยขดุ รอู ยตู ามใตร ากไม หรือ เนนิ ดนิ บริเวณชายฝง ทะเลทงั้ ฝา ยอาวไทยและอันดามัน (ภาพที่ 2) โดยเฉพาะที่ชุกชุมในบริเวณที่เปนหาดโคลน หรือเลนที่มีปาแสม และโกงกาง ตง้ั แตอ า วไทยฝง ตะวนั ออก อนั ไดแ ก จังหวัดจันทบุรี ระยอง ตราด ชลบรุ ี บริเวณอาวไทยตอนใน ไดแก สมทุ รปราการ สมทุ รสาคร สมทุ รสงครามและ อาวไทยฝงตะวันตกมีชุกชุม ท่ีจังหวัดชุมพร ประจวบครี ขี นั ธ สรุ าษฎรธ านี นครศรธี รรมราช สงขลา ตรงั สว นทฝ่ี ง อนั ดามนั มชี กุ ชมุ ที่จังหวดั ระนอง กระบี่ พังงา และสตูล เปน ตน 3. วงจรชวี ติ ของปทู ะเล ปทู ะเลเปน สตั วน า้ํ กรอยประเภทหนึ่งที่มีการอพยพ ยายถิ่นเพื่อการแพรพันธุ โดยปูเพศเมียจะอพยพ จากแหลง หากนิ ในบรเิ วณเขตนา้ํ กรอ ย ออกไปวาง ไขใ นทะเล ซึ่งจากการอพยพนี้จะมีขึ้นภายหลังจาก ที่ไดผานการจับคูผสมพันธุแลว และในขณะทก่ี าํ ลงั เดินทางสูทะเล ปบู างตวั อาจจะปลอ ยไขอ อกมาไวท ่ี สว นทอ งแลว กไ็ ด ชูชาติ, 2528 ไดอ า งถงึ การ ศกึ ษา Hill ในป ค.ศ. 1975และ1983 จงึ กลา ววา ลูกปวู ยั ออ นมอี ยู 2 ระยะ ไดแ ก ระยะ Zoea 1-5 และ Megalopa 1 ระยะ ในระยะ Zoea เปน ระยะท่รี ะยางคว ายนา้ํ ยงั ไมอ ยใู นสภาพทจ่ี ะใชง านได จงึ ลอ งลอยหากนิ ไปตามกระแสนา้ํ เม่ือเขา ระยะ Megalopa จะมีการวายนาํ้ สลบั กบั การหยดุ เกาะอยกู บั ทเ่ี ปน ครง้ั คราว ซง่ึ ถอื ไดว า ระยะนเ้ี รม่ิ มกี ารแพร กระจายเขา มาหากนิ ในบรเิ วณนา้ํ กรอ ย เม่ือลกู ปูลอกคราบจากระยะ Megalopa เปน ตวั ปทู ม่ี ลี กั ษณะ เหมอื นพอ แมท กุ ประการ จะทอ งเทย่ี วหากนิ อยใู นแหลง นา้ํ กรอ ยไดอ ยา งอสิ ระ หลังจากนน้ั ปเู พศเมยี ที่สมบูรณเพศและผานการจับคูผสมพันธุแลว จะอพยพออกไปวางไขเ ชน เดยี วกบั แมข องมนั เปน วฎั จกั ร เชน นส้ี บื ไป (ภาพที่ 3) 4. อาหารและลกั ษณะการกนิ อาหาร ปูทะเลเปนสัตวออกหากินในเวลากลางคืนโดยออกจากที่หลบซอน หลังจากดวงอาทติ ยตกไป แลวประมาณ 1 ชั่วโมง และเขาท่ีหลบซอนกอนหนาดวงอาทิตยข้ึนเพียงเล็กนอยหรือหลังจากน้ัน ประมาณ 30 นาที ดงั นน้ั แสงและอาหารจงึ มอี ทิ ธพิ ลตอ การปรากฎตวั อยภู ายนอกทห่ี ลบซอ น สําหรับ อาหารทต่ี รวจพบในกระเพาะอาหารของปทู ะเล ไดแก หอยฝาเดียว หอยสองฝา กุง ปู ปลา และเศษพืช ซ่ึงปูจะชอบกินปดู ว ยกนั เองมากทส่ี ดุ และจากการทดลองดงั กลา วยงั ใหข อ สงั เกตวา ปกติแลวปูทะเลจะ ไมกินอาหารทม่ี กี ารเคลอ่ื นท่ี หรือ สามารถหลบหลกี ไดด ี เชน ปลาและกงุ อยา งไรกต็ ามจากประสบ การณการขนุ ปูทะเลในบอดิน พบวา ปจู ะออกจากทห่ี ลบซอ นเมอ่ื ไดร บั นา้ํ ใหม และสามารถใหอ าหารได ทันทีหลังจากเก็บนํ้าเตม็ บอ แลว

การเลย้ี งปทู ะเล 4 เมอ่ื ปทู ะเลกนิ อาหาร พบวา อวัยวะสาํ คัญที่ใชในการดักจับเหยื่อ และตรวจสอบวสั ดตุ า งๆ วา เปนอาหารหรือไม คอื สว นปลอ ยของขาเดนิ อาหารจะถกู สง เขา ไปในปากผา นไปถงึ กระเพาะแลว ออกสู ลําไสใหญ ซง่ึ ทอดผา นจบั ปง ในทส่ี ดุ กากอาหารจะถกู ถา ยออกมาทางปลอ งปลายสดุ ของจบั ปง การเลอื กแหลง หากนิ ของปทู ะเลนน้ั ปแู ตล ะวยั หากนิ ในอาณาบรเิ วณทแ่ี ตกตา งกนั กลา วคอื ปูวัยออน (Juvenile ขนาก 20-99มลิ ลเิ มตร) เปน กลมุ ทห่ี ากนิ ในบรเิ วณปา เลนและอาศยั อยใู นบรเิ วณ น้ีขณะทน่ี า้ํ ทะเลไดล ดลงแลว ปูวัยรุน (Subadult ขนาด 100-140 มลิ ลเิ มตร) เปน พวกตามการขน้ึ ของน้ําเขา มาหากนิ ในบรเิ วณปา เลนและกลบั ลงสทู ะเลไปพรอ มๆกบั นา้ํ ทะเล และปโู ตเตม็ วยั (Adult ขนาดตั้งแต 150 มลิ ลเิ มตรขน้ึ ไป) มกี ารแพรก ระจายเขา มาหากนิ พรอ มกบั ระดบั นา้ํ ทส่ี งู ขน้ึ เชน กนั แตส ว นใหญจ ะตระเวนอยใู นระดบั ลกึ กวา แนวนา้ํ ลงตา่ํ สดุ (Subtidal level) 5. การเจรญิ เตบิ โต ปูทะเลเจริญเตบิ โตยอาศยั การลอกคราบ เนอ่ื งจากกระดองของปเู ปน สารประกอบพวกหนิ ปนู ท่ี มีความแข็งแรงมาก จงึ ไมส ามารถยดื ขยายตวั ออกไปได เมอ่ื เจรญิ เตบิ โตเตม็ ท่ี คอื มเี นอ้ื แนน เตม็ กระดอง ก็จะมกี ารลอกคราบเพอ่ื ขยายขนาด (การเพม่ิ นา้ํ หนกั และขนาดตวั ) โดยการสรา งกระดองใหม มาแทนที่ ระยะเวลาในการลอกคราบของปจู ะเพม่ิ มากขน้ึ ตามอายขุ องปู (ตารางท่ี 1) ตารางท่ี 1 ขอ มลู การเจรญิ เตบิ โตของปทู ะเล Scylla serrate Forskal ลาํ ดบั ระยะเวลา ระยะเวลาจาก คาเฉลย่ี ขนาด ความกวา งกระดอง คราบ หลังฟกไข คราบกอ น คราบทเ่ี พิ่มขนึ้ ตา่ํ สดุ เฉลย่ี สงู สดุ 1 30 7 3.3 3.4 3.6 - 2 34 4 4.8 5.1 5.3 1.7 3 38 4 6.0 6.8 7.5 1.7 4 44 6 8.0 9.2 10.3 2.4 5 52 8 11.3 12.1 13.6 2.9 6 60 8 13.9 15.4 14.9 3.3 7 71 11 15.8 18.6 19.5 3.2 8 82 11 19.8 23.5 25.8 4.9 9 97 15 26.0 29.4 32.9 5.9 10 113 16 32.6 36.1 42.7 6.7 11 135 22 40.7 43.3 48.4 7.2 12 165 30 45.0 51.0 57.3 7.7 13 195 30 53.4 60.1 66.5 9.1 14 231 36 62.5 70.8 80.6 10.7 15 281 50 75.6 85.4 97.2 14.7 16 338 57 89.8 99.7 114.2 14.6 17 415 77 97.3 106.0 110.8 6.3 18 523 108 107.0 113.3 119.5 7.3 หมายเหตุ : ระยะเวลา = วัน ขนาด = มลิ ลเิ มตร

การเลย้ี งปทู ะเล 5 เม่ือปทู ะเลลอกคราบใหมๆ นน้ั กระดองใหมจ ะนม่ิ ผวิ เปลอื กยน เรยี กวา \"ปนู ม่ิ \" ซง่ึ ตอ มาจะคอ ยๆ ตึงและแข็งตัวขน้ั ในระยะทเ่ี ปน ปนู ม่ิ จะเปน ระยะทป่ี มู คี วามออ นแอมากทส่ี ดุ แทบจะเคลื่อนไหวไมได จึงตองหาที่หลบซอนตัวใหพนจากศัตรู ระยะเวลาตง้ั แตล อกคราบหลบซอ นจนกระทง้ั กระดองใหมแ ขง็ แรงสมบูรณเต็มทแ่ี ลว สามารถออกมาจากทซ่ี อ นไดก นิ เวลาประมาณ 7 วัน ปทู ะเลในเขตรอ นจะใช ระยะเวลาในการเจรญิ เตบิ โตจนถงึ ขน้ั สมบรู ณเ พศ ประมาณ 1.5 ป สาํ หรบั ขนาดสมบรู ณเ พศของปู ทะเลนน้ั มรี ายงานการศกึ ษา ดงั ตอ ไปน้ี สําหรบั รายงานจากประเทศมาเลเซยี พบวา ปูเพศมียที่เริ่มมีการจับคู (mating) เปน ปลู ําดบั คราบท่ี 16 17 และ 18 โดยมขี นาดความกวา งกระดองประมาณ 9.9-11.4 เซนตเิ มตร, 10.5-10.7 เซนติเมตร และ 10.7 เซนตเิ มตร ตามลําดบั ในประเทศไทยพบปอู มุ ไขม ขี นาดความกวา งกระดองอยู ในชว ง 9.37-12.70 เซนตเิ มตร ปูทะเลในประเทศอาฟริกาใต ปจู ะจบั คเู มอ่ื ปเู พศผมู คี วามกวา งกระดอง 14.1-16.6 เซนตเิ มตร สวนเพศเมยี มคี วามกวางกระดอง 10.3-14.8 เซนตเิ มตร สว นปทู ะเลบรเิ วณปา ชายเลนบางลา จ. ภูเก็ต ปูทะเลเพศเมยี ขนาดตง้ั แต 11 เซนตเิ มตรขน้ึ ไปจะเรม่ิ มกี ารพฒั นารงั ไขห รอื มคี วามสมบรู ณเ พศ สภาพแวดลอ มทเ่ี หมาะสมตอ การเจรญิ เตบิ โตของปทู ะเลนน้ั จากรายงานการทดลองเพาะฟก ปู ทะเลสามารถสรปุ ไดด งั ตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2 ภาวะสง่ิ แวดลอ มบางประการสาํ หรบั การเพาะฟก ปทู ะเล ระยะ ความเคม็ อณุ หภมู ิ ผศู กึ ษา Zoea-Megalopa 32 28-30 สมงิ ทรงถาวรทวี และคณะ, 2522 ประเทศไทย Zoea 17.5 10-25 Hill, 1974 (อา งตามชชู าต,ิ 2528 ประเทศออสเตรเลยี 1st instar-7th instar 21-27 - Ong, 1966 ประเทศมาเลเซยี อยางไรก็ตาม ความเคม็ ในบรเิ วณแหลง นา้ํ กรอ ยทพ่ี บปทู ะเลจะมคี วามผนั แปรคอ นขา งมาก คอื อยูใ นชว งประมาณ 10-36 ppt. (สว นในพนั ) 6. ฤดกู าลผสมพนั ธแุ ละวางไข สําหรับฤดูกาลวางไขผ สมพนั ธขุ องปทู ะเลนน้ั อยใู นชว งเดอื นกนั ยายน-ธันวาคมและพบแมปูจะ มีไขในระหวา งเดอื นกันยายน-ตลุ าคม ปดู ํามีไขชุกชมุ ระหวางเดอื นพฤศจิกายน-ธนั วาคม รายงานวา ปทู ะเลสามารถวางไขไ ดต ลอดทง้ั ป โดยจะวางไขช กุ ชมุ ทส่ี ดุ ในระหวา งเดอื น สิงหาคม-ธนั วาคม ไขของปทู ะเลจะมสี สี ม แดง เมอ่ื ไขแ กข น้ึ จะเปน สนี า้ํ ตาลเกอื บดาํ ซง่ึ ถกู ปลอยออกมานอก กระดองบริเวณใตจับปง ไขน อกกระดองของปทู ะเลมนี า้ํ หนกั ประมาณ 45.33 กรัม มจี าํ นวนประมาณ 1,863,859 ฟอง โดยเฉลย่ี แลว ปทู ะเลโตเตม็ ทต่ี วั หนง่ึ จะมไี ข จาํ นวนประมาณ 2,228,202- 2,713,858 ฟอง

การเลย้ี งปทู ะเล 6 แมวาการเล้ยี งปูทะเลในประเทศไทย จะมมี านานกวา 20 ปแลวก็ตาม การทําฟารม เลย้ี งปทู ะเล เพิ่งเริ่มทาํ กนั อยา งจรงิ จงั มาเมอ่ื ไมน านน้ี ท้ังน้ีเน่ืองจากตลาดภายนอกมคี วามตอ งการปทู ะเลสงู ขน้ึ ทาํ ใหป ขู ายไดร าคาดี และทาํ กําไรใหแ กผ เู ลยี้ งไดไ มแ พก ารเล้ยี งสัตวน ํ้าอน่ื ๆ การเลย้ี งปทู ะเล วิธีการเลี้ยงปูทะเลที่นิยมทาํ กนั มอี ยู 2 วิธี ไดแก 1. เลย้ี งโดยวธิ ขี นุ วิธีขุนปู หรอื การขนุ ปทู ะเล หมายถงึ การนําปทู ม่ี ขี นาดตง้ั แต 1-4 ตวั /กก. ขณะทย่ี งั เปน ปู โพรก (ปูที่เน้ือไมแ นน ยงั มปี รมิ าณน้าํ อยใู นเนอ้ื มาก) และปเู พศเมยี ทม่ี ไี ขอ อ นมาขนุ เลย้ี งเปน ระยะ เวลาประมาณ 20-30 วัน กจ็ ะไดป เู นอ้ื แนน และปไู ขแ กซ ง่ึ เปน ทต่ี อ งการบรโิ ภคตลาด โดยมขี น้ั ตอนการดาํ เนนิ งาน ดงั น้ี ก. การเลอื กทาํ เล หลักในการพจิ ารณาการเลอื กทาํ เลขนุ ปทู ะเล มดี งั น้ี (1) อยใู กลแ หลง นา้ํ กรอ ย (ความเคม็ 10-30 ppt.) (2) เปน บริเวณทีไ่ ดรบั อิทธิพลจากการข้ึน-ลงของนา้ํ ทะเล โดยที่นํ้าไมท วมบอ ขณะเมอ่ื นา้ํ ทะเลมี ระดบั สงู สดุ และสามารถระบายนา้ํ ไดแหง เมอ่ื นา้ํ ลงตา่ํ สดุ (3) มรี ะบบสาธารณปู โภค สาธารณปู การ และการคมนาคมสะดวก (4) สภาพดนิ เปน ดนิ เหนยี วหรอื ดนิ เหนยี วปนทราย สามารถเกบ็ กกั นา้ํ ไดด ี (5) เปน แหลงทีส่ ามารถจดั หาพนั ธุปทู ะเลไดส ะดวก (6) เปนบริเวณที่ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ และมลภาวะ ข. การสรา งบอ บอท่ีนยิ มเลย้ี งปทู ะเลโดยทว่ั ไปเปน บอ ดนิ ซ่ึงมหี ลกั การสรา งบอ ดงั น้ี (1) ควรมพี น้ื ทป่ี ระมาณ 200-600 ตารางเมตร (2) ขดุ รอ งรอบบอ ลกึ ประมาณ 80 เซนตเิ มตร กวา งประมาณ 1 เมตร (เพอ่ื ความสะดวกในการ จับปู) ความลกึ ของบอ ประมาณ 1.5-1.8 เมตร (3) ประตนู า้ํ มปี ระตเู ดยี ว (ทาํ เหมอื นประตนู ากงุ ) (ภาพที่ 4) หรอื ฝง ทอ เอสลอนเสน ผา ศนู ย กลางประมาณ 10 นว้ิ ทอเดียวโดยใชฝาเปด, ปด กไ็ ด ซง่ึ ใชเ ปน ทางระบายนา้ํ เขา -ออก ทางเดียวกัน (4) บรเิ วณคนั บอ และประตนู า้ํ ใชไมไผผาซีก อวนมงุ เขยี ว หรอื แผน กระเบอ้ื งปก กน้ั โดยรอบ เพื่อ ปองกันการหลบหนขี องปู โดยสงู จากขอบบอ และประตปู ระมาณ 0.5 เมตร (ภาพที่ 5) (5) ใชตระแกรงไมไผ ขนาดกวา งของซกี ไม 1-1.5 นว้ิ หา งกนั ไมเ กนิ ซล่ี ะ 1 เซนตเิ มตร กน้ั ตรง ประตรู ะบายนา้ํ (ภาพที่ 6) ค. การเตรยี มบอ และการจดั การบอ (1) ถา เปน บอใหมควรทาํ ความสะอาดบรเิ วณรอบบอ กําจัดวัชพืช ลอกเลนกน บอ ถมรอยรว่ั ตามคันบอ แลว โรยปนู ขาวในบรเิ วณประมาณ 60 กก./ไร ใหทั่วพื้นเพื่อฆาเชื้อโรค (2) กักเก็บนํา้ ในบอ ลกึ ประมาณ 1 เมตร

การเลย้ี งปทู ะเล 7 (3) ถา ยเปลย่ี นน้าํ ทุกวันที่สามารถกระทาํ ได (ในปรมิ าณ 3/4 หรือแหงบอ) ง.การรวบรวมพนั ธุ ผูเลี้ยงจะซื้อพันธุจากพอคาสัตวซึ่งรับซื้อปูมาจากชาวประมง โดยทป่ี เู หลานถี้ กู ชาวประมงจับมา ดวยเครอ่ื งมอื หลายชนดิ เชน อวนลอยปู แรวปู ลอบปู หนว งปู ตะขอเกย่ี วปู โดยที่ปูโพรกจะมี ขนาดประมาณ 1-4 ตวั /กก. และปไู ขอ อ นมขี นาดประมาณ 1-3 ตวั /กก. ซง่ึ ในการพจิ ารณาเลอื กปู น้ันควรจะเปนปทู ม่ี รี ะยางคส มบรู ณอ ยา งนอ ยมกี า ม 1 กา ม เนอ่ื งจากปทู ไ่ี มม กี า มถงึ แมจ ะมไี ขแ กก ม็ ี ราคาตา่ํ จ. การปลอ ย และการจดั การดา นอาหาร การปลอ ยปลู งขนุ ในบอ โดยทว่ั ไปนยิ มปลอ ยปดู ว ยอตั ราความหนาแนน ประมาณ 2-3 ตวั /ตรม. โดยกอนทจ่ี ะปลอ ยปลู งในบอ เลย้ี ง จะใชนาํ้ ในบอ รดตวั ปใู หช มุ เพื่อใหปูปรับสภาพรางกายใหเขากับ สภาพแวดลอมในบอ จากนน้ั จงึ ตดั เชอื กมดั ปอู อกปลอ ยใหป คู ลานในบอ ขณะเลย้ี งมกี ารดแู ลและเปลย่ี นถา ยนา้ํ ทุกวัน ซง่ึ บอ เลย้ี งปจู ะสรา งในทท่ี ส่ี ามารถเปด ใหน า้ํ ทะเล ไหลเขาออกไดโ ดยตรงในขณะน้าํ ขน้ึ และในการระบายนา้ํ จะระบายในชว งนา้ํ ลงจนเกอื บแหง บอ เหลือ ประมาณ 10 เซนตเิ มตร (เพอ่ื ใหป ฝู ง ตวั หลบความรอ นและศตั รไู ด) ระดบั นา้ํ ในบอ มคี วามลกึ ประมาณ 1 เมตรตลอดระยะเวลาเลยี้ ง ผเู ลย้ี งจะตอ งหมน่ั ดแู ลแนวรว้ั กน้ั รอบบอ และตะแกรงประตนู า้ํ ใหอยูใน สภาพดีอยเู สมอเพอ่ื ปอ งกนั การหลบหนขี องปู การใหอาหารน้ันจะใหอาหารสดวันละครง้ั ในตอนเยน็ หรอื หลงั กกั เกบ็ นา้ํ เต็มบอ โดยสาดใหทั่วบอ หรือสาดใสในถาดอาหารท่ีวางไวรอบบอ ซง่ึ อาหารทน่ี ยิ มเลย้ี งปมู อี ยดู ว ยกนั 2 ชนิด คอื ปลาเปด และ หอยกะพง โดยตอ งรจู กั หลกั การจดั การเรอ่ื งอาหาร ดงั น้ี (1) ปลาเปด หาซื้อไดจากแพปลา ซง่ึ เปน ปลาเบญจพรรณสด นาํ มาสบั เปน ชน้ิ เลก็ ๆ ประมาณ 1-2 นว้ิ อตั ราการใหป ระมาณ 7-10% ของนา้ํ หนักปู หรือโดยเฉลี่ยจะใหปลาเปด 1 ชิ้น ตอ ปู 1 ตวั สําหรับปลาเปด สามารถเกบ็ ไวเ ผอ่ื วนั ตอ ไปได โดยหมกั เกลือเก็บไวในภาชนะท่ีปดมิดชิด เชน ถงั พลาสติก โอง เปน ตน โดยใชเ กลอื ประมาณ 10% ของนา้ํ หนกั ปลาเปด

การเลย้ี งปทู ะเล 8 (2) หอยกะพง หาซอ้ื ไดจ ากชาวประมง โดยจะใหหอยกะพงประมาณ 40% ของนา้ํ หนักปูแตทั้ง น้ีควรจะทาํ ความสะอาดกน อนํามาใหเ ปน อาหารปู สําหรับการขนุ เลย้ี งปโู พรกใหก ลายเปน ปเู นอ้ื แนน และปไู ขแ กน น้ั ใชร ะยะเวลาประมาณ 25-35 วัน ฉ. การเกบ็ เกย่ี วผลผลติ เมอ่ื ขนุ ปทู ะเลจนไดค ณุ ภาพตามทต่ี ลาดตอ งการแลว ผูเลี้ยงจะทาํ การจับปูทะเลโดยมีวิธีการจับ ดงั น้ี (1) การตกั ปเู ลน นา้ํ วันที่จับปูทะเลเปนวันที่ระดับนํ้าทะเลขน้ึ -ลงสงู เพราะสามารถระบายนา้ํ ไดหมดบอและสะดวกตอการจับผูเลี้ยงจะระบายน้ําจนแหงบอแลวเปดนํ้าเขาในชวงนํ้าข้ึนปูจะมารับนํ้า ใหมบริเวณตระแกรงหนาประตูนาํ้ จากนน้ั ใชส วงิ ดา มยาว(ภาพที่ 7) ตกั ปขู น้ึ มาพกั ในถงั แลวจึงใช เชือกมัด (ภาพที่ 8) วธิ นี เ้ี ปน การจบั ปใู นวนั แรกๆ ของการเกบ็ เกย่ี วผลผลติ เพอ่ื ลดปรมิ าณปใู นบอ แมว า วิธีการน้ีจะไมสามารถจับปูไดหมดบอ แตจะลดความเสยี หายจากการบอบชา้ํ ของปไู ดเ ปน อยา งดี (2) การจบั นา้ํ แหง หรอื คราดปู โดยการระบายนา้ํ ใหห มดบอ แลว ใชค นลงไปคราดปดู ว ย คราดเหลก็ (ภาพที่ 9) แลวลาํ เลยี งปขู น้ึ จากบอ ดว ยสวงิ ดา มสน้ั (ภาพที่ 10) เพอ่ื มาพกั จากนน้ั จงึ ลา ง ใหส ะอาดกอ นการมดั

การเลย้ี งปทู ะเล 9 (3) การเกย่ี วปใู นรู (ตอเน่ืองจากการใชค ราดป)ู เมอ่ื คราดปบู รเิ วณพน้ื ลานบอ หมดแลว จะ เหลือปูในรู ตอ งใชต ะขอเกย่ี วปใู สส วงิ แลว จงึ นาํ ไปมดั ดว ยเชอื ก ผลผลิตที่ไดจากการขุนปูทะเลจะขึ้นอยูกับปจจัยหลายประมาณ โดยเฉพาะในเรอ่ื งการดแู ล เอาใจใสท ง้ั ในเรอ่ื ง การใหอาหารคุณภาพนาํ้ และสภาพบอ เปน ตน ซึ่งโดยทั่วไปจะใหผลผลิต ประมาณ 80-95% ช. ตนทุนและผลตอบแทนของการขุนปูทะเล ตารางท่ี 3 เปน ตวั อยา งตน ทนุ และผลตอบแทนของการขุนปูทะเลที่ จ.สรุ าษฎรธ านใี นบอ ขนาด 369 ตารางเมตร ใชเ วลาเลย้ี ง24 วัน ตามตารางท่ี 3 และ 4 ดงั น้ี ตารางที่ 3 ตน ทนุ การขนุ ปทู ะเลตอ ฟารม ตอ รอบ รายการ บาท/ฟารม บาท/กก. รอยละของตน ทุนทั้งหมด 1. ตนทุนผันแปร 57.24 คา พนั ธปุ ู 11,492.50 49.87 9.64 8.40 0.09 คา อาหาร 1,935.10 3.93 4.51 3.93 0.27 คา นา้ํ มนั เชอ้ื เพลงิ 18.90 0.23 0.38 0.33 0.12 คาจา งแรงงาน 906.00 0.11 1.00 0.87 1.44 คา เชอื กมดั ปู 52.60 1.25 0.33 0.29 75.02 คา ภาชนะบรรจุ 75.79 69.21 2.31 คาซอ มเครอ่ื งมอื อปุ กรณ 25.00 2.02 0.53 0.64 2.26 คาลอกเลน, ซอ มแซมบอ 200.80 1.97 5.10 4.45 คาขนสง 289.00 13.32 11.60 6.20 เบด็ เตลด็ 67.00 5.40 รวมตน ทนุ ผนั แปร 15,062.69 2. ตนทุนคงที่ คาเสอ่ื มราคาของบอ และรว่ั 464.35 คาเสอ่ื มราคาอปุ กรณ 105.80 คาใชที่ดิน 453.12 รวมตน ทนุ ผนั แปร 1,023.27 3. ตนทนุ คา เสยี โอกาสการใชป จ จยั การผลติ ของตนเอง แรงงานครวั เรอื น 2,674.00 ดอกเบย้ี ลงทนุ ในตน ทนุ ผนั แปร 1,244.49

การเลย้ี งปทู ะเล 10 ดอกเบย้ี ลงทนุ ในตน ทนุ คงท่ี 71.78 0.31 0.36 รวมตน ทุนคาเสยี โอกาสทง้ั หมด 3,990.27 17.31 19.88 รวมตนทุนทั้งหมด 20,076.23 90.97 100.00 ตารางที่ 4 ผลผลติ และผลตอบแทนของฟารม ตอ รอบการขนุ ปทู ะเล รายการ เฉลย่ี ตอ ฟารม เฉลย่ี ตอ กโิ ลกรมั ผลผลิต (กก.) 230.44 รายไดทั้งหมด (บาท) 24,339.00 105.62 ผลตอบแทน (บาท) กาํ ไรดําเนนิ การ 9,276.31 40.25 รายไดสุทธิ 8,253.04 35.81 ผลตอบแทนตอ เงนิ ทนุ และการจดั การ 1,588.777 6.89 กาํ ไรสุทธิ 4,262.777 18.50 อัตราสว นผลตอบแทน กําไรสทุ ธติ อ ตน ทนุ ผนั แปร (%) 23.30 กําไรสทุ ธติ อ ตน ทนุ ทง้ั หมด (%) 21.23 กําไรสทุ ธิตอ รายไดท ั้งหมด (%) 17.51 2. การเลย้ี งโดยวธิ อี นบุ าลลกู ปู การเล้ียงโดยวธิ อี นบุ าลลกู ปทู ะเล หมายถึง การนาํ ปขู นาดเลก็ ทม่ี นี า้ํ หนกั นอ ย คอื ขนาด ประมาณ 6-10 ตวั /กก. มาเลย้ี งในระยะเวลาตง้ั แต 1 เดอื นขน้ึ ไปจนไดป ขู นาดใหญ (โดยการลอก คราบ) และมเี นอ้ื แนน หรอื ปไู ขก ต็ ามทต่ี ลาดตอ งการ ปจ จุบนั การเลยี้ งปทู ะเลโดยวธิ ีนยี้ งั ไมเปน ท่นี ิยมแพรห ลาย ทง้ั นอ้ี าจเนอ่ื งมาจากตอ งใชร ะยะเวลา เลี้ยงนานกวา ทําใหต อ งใชค วามระมดั ระวงั เอาใจใสใ นการดแู ลมากโดยเฉพาะระยะทป่ี ลู อกคราบแต ละครั้งจะมีการกินกันเอง อกี ทง้ั ไดร บั ผลตอบแทนชา ซง่ึ ยอ มสง ผลตอ ภาวะเศรษฐกจิ ของเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรทม่ี รี ายไดน อ ย อยา งไรกต็ ามไดม รี ายงานการเลย้ี งปทู ะเล โดยวธิ อี นบุ าลจากลกู ปู ขนาดเลก็ ของนกั วชิ าการประมง ซึ่งทาํ การทดลองไวใ นป 2532 โดยไดน ําปทู ะเลขนาด 7-10 ตวั /กก. ปลอยลงเล้ียงในบอ ดนิ ขนาด638 ตารางเมตร ดว ยอตั ราความหนาแนน 1.7 ตวั /ตารางเมตร ใหป ลา เปดเปนอาหารวันละ 2 มอื ๆ ละ 5% ของนา้ํ หนกั ตวั ใชร ะยะเวลาเลย้ี งประมาณ 77 วัน ไดผ ลผลติ (น้ําหนกั ทจ่ี บั คนื ได) ประมาณรอ ยละ 55.28 ปทู จ่ี บั คนื ไดม ขี นาดความกวา งประดองและนา้ํ หนกั เฉล่ียในแตล ะตวั เพม่ิ ขน้ึ 2.2 เซนตเิ มตร,98.89 กรมั ในปเู พศเมยี และ 1.7 เซนตเิ มตร 138.449 กรัม ในปูเพศผู ซง่ึ จากรายงานการทดลองนไ้ี ดผ ลผลติ คอ นขา งต่ํา โดยไดกาํ ไรสทุ ธเิ ปน เงนิ 2,594 บาท ผลทดลองเลย้ี งปทู ะเล(ปดู ํา) จากจงั หวดั ระนอง โดยนาํ ปตู วั ละ 50-155 กรัม มาปลอ ยลงเลย้ี ง ในบอพื้นที่ 638 ตารางเมตรและ 800 ตารางเมตร โดยมอี ตั ราปลอ ย 0.6 และ 0.8 ตวั ตอ ตารางเมตร

การเลย้ี งปทู ะเล 11 ตามลําดับ ใหห อยกะพงในปรมิ าณ 40% ของนา้ํ หนกั ตวั วนั ละครง้ั ในตอนเยน็ ใชร ะยะเวลาในการเลย้ี ง 2 เดอื น อตั ราการจบั คนื (จาํ นวนตวั ) รอ ยละ 57.63 ไดผ ลกําไร 547 บาท การเลีย้ งปทู ะเลยงั มลี ูทางทน่ี า จะทาํ รายได หรอื ผลตอบแทนสงู หากมกี ารพฒั นาการเลยี้ ง และ เอาใจใสดูแลใหมากข้นึ เนอ่ื งจากปเู ปน สตั วน า้ํ ทป่ี ลอ ยลงเลย้ี งไดอ ยา งตอ เนอ่ื ง โดยเราสามารถคดั ขนาด ปูที่ตองการขึ้นมาจําหนา ยไดต ลอดเวลาดว ยวธิ กี ารจบั ปเู ลน น้ํา ซง่ึ จากผลการทดลองดงั กลา วไดข อเสนอ แนะไวด งั น้ี คอื 1. ควรนาํ ปทู ะเลทม่ี ขี นาดนา้ํ หนักตวั มากกวา 120 กรัม หรอื ในระยะคราบท่ี 15-16 ในตาราง ที่ 1 เน่ืองจากเมอ่ื ลอกคราบแลว จะไดป ตู ามขนาดทต่ี ลาดตอ งการในเวลาทไ่ี มม ากนกั คอื ประมาณ 2 เดอื น 2. ควรควบคมุ ปรมิ าณ และวิธีการใหอาหารที่เหมาะสม โดยนาํ อาหารใสใ นภาชนะรองรบั ทว่ี าง กระจายไวร อบบอ เพอ่ื ปอ งกนั เศษอาหารทเ่ี หลอื เนา เปอ ยหมกั หมมกนบอ อนั จะเปน สาเหตใุ หก น บอ เนาเสีย เน่ืองจากปมู กั จะฝง ตวั ตามพน้ื กน บอ และนอกจากนค้ี วรตรวจสอบปรมิ าณอาหารใหเ พยี งพอตอ ความตองการของปู โดยเพม่ิ ความถใ่ี นการใหอ าหารใหม ากขน้ึ หรือ ลดปรมิ าณอาหารในชว งทม่ี กี าร ลอกคราบ เปน ตน 3. หมน่ั ตรวจสอบการเจรญิ เตบิ โตอยเู สมอ อยา งนอ ยสปั ดาหล ะครง้ั เพื่อคัดปูที่ไดคุณภาพตาม ตองการข้ึนจาํ หนา ย และปลอ ยปลู งเลย้ี งตอ ไปไดอ กี อยา งตอ เนอ่ื ง 4. ศึกษาคุณภาพนํา้ และสภาพบอใหดีอยูเสมอ ข้ันตอนในการดําเนนิ การเลย้ี งปทู ะเล ไมว า จะเปน การเตรยี มบอ การจัดการบอและการเก็บเกี่ยว น้ัน มีวิธีการเชน เดยี วกนั กบั การขนุ ปทู ะเลดงั ไดก ลา วมาแลว ปญ หาและอปุ สรรคในการเลย้ี งปทู ะเล ปญหาและอปุ สรรคในการเลย้ี งปทู ะเล สรปุ ไดด งั น้ี 1. ขาดแคลนพันธปุ ใู นบางฤดกู าล ทําใหไ มส ามารถดําเนนิ การไดอ ยา งตอ เนอ่ื งตลอดทง้ั ป 2. การขโมย 3. การตลาดซง่ึ ถกู กาํ หนดราคาขาย-ซื้อโดยแพสัตวนาํ้ ทําใหใ นชว งทม่ี ปี มู ากราคาปจู ะตกจน ผูเลย้ี งประสบการขาดทนุ 4. ศัตรู ทง้ั ในกรณกี ารกนิ กนั เอง หรือ ทํารา ยกนั เองของปแู ละพยาธิ เปน ตน ทําใหอ ตั ราการ รอดตายตา่ํ (ในกรณที ไ่ี มม กี ารจดั การทด่ี )ี อยา งไรกต็ าม เนอ่ื งจาก ปทู ะเลเปน สตั วน า้ํ ที่มีคุณคาทางเศรษฐกิจ ทม่ี คี วามสาํ คัญไมยิ่งหยอน กวาสตั วน า้ํ ประเภทอน่ื ๆอกี ทง้ั คณุ คา โภชนาการ และเนอ้ื มรี สดี ทําใหป ทู ะเลไดร บั ความนยิ มในการ บริโภคสูง ดังน้ัน ความตอ งการของตลาดจงึ มปี รมิ าณมากขน้ึ เปน ลําดบั การจบั ปูทะเลจากธรรมชาติ เพียงอยางเดียว ยอ มไมเ พยี งพอตอบสนองความตอ งการดงั กลา วได จงึ ไดม กี ารเพาะเลย้ี งปทู ะเลขน้ึ เพ่ือใหไดป ทู ะเลทม่ี คี ณุ ภาพและปรมิ าณตามความตอ งการ ปริมาณความตอ งการบรโิ ภคทเ่ี พม่ิ มากขน้ึ นน้ั ยอ มสง ผลกระทบตอ ความอดุ มสมบรู ณข องพนั ธปุ ู ทะเลในธรรมชาตอิ ยา งหลกี เลย่ี งไมไ ด การพัฒนาการเพาะเลี้ยงปูทะเลจึงควรกระทาํ ไปพรอ มๆกบั การ

การเลย้ี งปทู ะเล 12 อนุรักษพันธุ เพื่อใหทรัพยากรสัตวนาํ้ ประเภทนด้ี ํารงอยตู อ ไปในนา นน้าํ รฐั บาลจงึ ไดก าํ หนดมาตรการ ในการอนุรักษพ นั ธปุ ธู รรมชาตโิ ดยการควบคมุ มใิ หท ําการประมงปขู นะมไี ขน อกกระดอง ดงั น้ี อาศยั อาํ นาจตามความในมาตรา 32(7) แหงพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 รฐั มนตรี วาการกระทรวงเกษตรและสหกรณอ อกประกาศไวม ใี จความสําคญั หามมิใหบุคคลใดทาํ การประมงปู ในทะเลไมวาดวยวิะใดแกปูที่มีไขนอกกระดอง ภายในระหวา งเดอื น ตลุ าคมถงึ เดอื นธนั วาคมของทกุ ป ซึ่งไดแกพันธุปูเหลานี้ 1. ปทู ะเล Scylla serrata (Forskal) 2. ปมู า Portunus pelagicus (Linnaeus) 3. ปลู าย Charybdis ferriatus (Linnaeus) เอกสารอา งองิ 1.กรมประมง, 2534 \"คูมือเกย่ี วกบั ประกาศและระเบยี บการประมง\" เอกสารฉบบั ที่ 2/2534 กรมประมง กรุงเทพฯ: 62-63. 2.ชชู าติ ชัยรัตน, 2538. \"การศึกษาเกย่ี วกบั ปทู ะเล\" รายงานประจาํ ป 2528-2529. สถานี ประมงนา้ํ กรอ ย จังหวัดจันทบุรี กรมประมง : 23-28. 3.บญุ ชวย เชาวนทว,ี 2515. \"การทดลองเลย้ี งปทู ะเลในคอก\" รายงานประจาํ ป 2515 สถานี ประมงจงั หวดั จนั ทบรุ ี กรมประมง:127-161 4.\"การทดลองเลย้ี งปไู ขใ นกระชงั \" รายงานประจาํ ป 2515 สถานปี ระมงจงั หวดั จนั ทบรุ ี กรมประมง\" 127-161. 5.พรรณิภา หาญววิ ัฒนกิจ, 2532. \"ตนทุนและผลตอบแทนของการขุนปูทะเล Mud Crab (Scylla spp.) ท่ีจงั หวดั สรุ าษฎรธ านี\" เอกสารเศรษฐกจิ ประมง เลขท่ี 9/2532 กรมประมง กรุงเทพฯ: 12-13. 6.มาโนช หงษพ รอ มญาติ และบุญสง ศริ ิกุล, 2512. \"การเลย้ี งปทู ะเลในบอ \" รายงานประ จาํ ป 2512 สถานปี ระมงจงั หวดั จนั ทบรุ ี กรมประมง: 45-66 7.รัชฎา แดงวัฒนกุล และคณะ, 2532. \"การเลย้ี งปทู ะเล\" วารสารการประมง ปที่ 42(3): 197-201 8.วสิ นั ต มสี วสั ด,์ิ 2515, \"การเลย้ี งปไู ข\" รายงานประจาํ ป 2515 สถานปี ระมงจงั หวดั จนั ทบรุ ี กรมประมง: 113-126. 9.วไิ ลวรรณ เจรญิ คณุ านนท, 2517. \"ปทู ะเล\" วารสารการประมง ปที่ 27 (1) : 97-101 10.สมบตั ิ ภูวชิรานนท, 2530. \"การประมงปทู ะเล Scylla serrata(Forskal)\" บรเิ วณปา ชาย เลนบางลา จังหวัดภูเก็ตและศึกษา ชีววิทยาบางประการ ศูนยชีววิทยาทางทะเลภูเก็ต 11.สมงิ ทรงถาวรทว,ี จารวุ ฒั น นภีตะภัฎ และประเสรฐิ ณรงค, 2522. \"การทดลองเพาะฟก และอนบุ าลปทู ะเล Scylla serrata Forskal\" กองประมงน้าํ กรอ ย กรมประมง : 127-151.

การเลย้ี งปทู ะเล 13 12.สุพล จติ ราพงษ, 2530 เอกสารประกอบการฝกอบรมเจา หนา ท่พี ฒั นาชมุ ชน จังหวัด ระนองโครงการสง เสรมิ การประมงขนาดเลก็ ในจงั หวดั ระนอง 22-24 เมษายน 2534 คมู อื ประมง ทะเลพน้ื บา น กองประมงทะล กรมประมง: 120. 13.สภุ าพ ไพรพนาพงศ และทวีศักดิ์ ยังวนิชเศรษฐ, 2534. \"การทดลองเลย้ี งปทู ะเล\" วารสารการประมง ปที่ 44(3): 229-232. 14.สริ ิ ทกุ ขว นิ าศ และทวีศักดิ์ ยังวนิชเศรษฐ, 2529. \"การเลย้ี งปทู ะเลขนุ ทจ่ี งั หวดั สรุ าษฎร ธาน\"ี วารสารการประมง ปที่ 39(4): 377-382. 15.Ong K.S., 1996. Observation on the post-larval life history of Scylla serrata Forskal, rared in the laborary. The Malaysian Agricultural Journal. Vol. 45(4),. Malaysia: 443-434. 16.Varikul, V.,S. Phumipol and M. Hongpromyart. 1972. Preliminary experiments in pond raring and some biological studies of Scylla serrata. In: Coastal Aquaculture in the Indo-Pacific region, ed by T.V.R. Pillay. West Byfleet, Fishing News Books: 366-374. ภาคผนวก เคร่ืองมือและวธิ กี ารประมง เครอื่ งมอื ท่ใี ชท าํ การประมงปูทะเลในประเทศไทยท่ีใชกนั อยาง แพรห ลาย พอจะจาํ แนกออกไดเ ปน 9 ชนิดใหญๆ ดงั น้ี คอื 1. อวนจมปู (Crab bottom gill net) ลักษณะเปน รปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา มเี นอ้ื อวน 2 ชนิด คอื เนอ้ื อวนไนลอนและเนอ้ื อวนเอน็ ชาว ประมงรายหนง่ึ ๆ จะใชอ วนประมาณ15-100 ผืน มาตอ กนั วิธกี ารทําการประมง : ชาวประมงจะนาํ เรอื ออกไปตามชายฝง ทะเลทม่ี รี ะดบั ความลกึ ของนา้ํ ประมาณ 2-40 เมตร แลวทาํ การวางอวนใหต ดิ พน้ื ทอ งทะเล (ภาพที่ 11) การวางอวนตอ งวางขวาง กระแสน้ํา โดยทง้ิ ถว งหนิ ปลายขา งหนง่ึ แลว ปลอ ยอวนไปเรอ่ื ยๆ จนหมดแลว จงึ ทง้ิ หนิ ถว งปลายอกี ขา ง หน่ึง มีทุนธงผูกไว ซง่ึ ในเวลากลางคนื จะมตี ะเกยี งไฟน้ํามนั ผกู ตดิ ทนุ ธงไวด ว ย เพอ่ื ใชใ นการสงั เกต ตาํ แหนง อวน

การเลย้ี งปทู ะเล 14 2. ไซนอน ลอบปา (Bamboo trap) ลักษณะเปน รปู ทรงกระบอก (ภาพที่ 12) ประกอบดวยไมไผซีกถักดวยหวาย มปี ากทางเขา เรียกวา \"งาแซง\" มที ง้ั งา 2 ชั้น และงา 2 ขา ง (หวั ทา ยของลอบ) ทาํ หนา ทก่ี นั ปทู เ่ี ขา ลอบแลว มใิ หอ อก ไดงาย แตม ที เ่ี ปด ตอนทา ยของลอบเพอ่ื นําปอู อก สาํ หรับลอบปาจะมหี ลายชนิดดวยกัน ซง่ึ ในทอ งถน่ิ ทางภาคใตม กั นยิ มเรยี กลอบนว้ี า \"ไซ\" 1. ปากลอบ 2. กน ลอบ 3. ฝาปด กน ลอบ 4. งาแซง 5. กอ นหินถว งลอบ 6. สายทุน 7. ทนุ กระบอก วิธีทําการประมง: ชาวประมงจะวางลอบในทน่ี า้ํ ตน้ื บรเิ วณตามปา ชายเลนปากแมน า้ํ ทเ่ี ปด ออก สูทะเลโดยวางเปนลูกๆ ใชไมปกคาํ้ 2 อนั ไว เพอ่ื ไมใ หล อบเคลอ่ื นทใ่ี นตวั ลอบจะมเี หยอ่ื ผกู ดว ยลวด เพื่อ ลอสัตวนา้ํ ใหเ ขา ลอบ เหยื่อที่ใชไดแก ปลาเปด และปลากระเบนเปน ตน 3. ไซนู (Bamboo trap) เปนเคร่ืองมอื ทน่ี ยิ มใชก นั ในภาคใต ลกั ษณะเปน รปู ทรงปร ามดิ ยอดสงู ทาํ ดวยไมไผทรง กระบอกผา ใหเ ปน ซ่ี และถักดวยเชือกใหซี่ไมหางกัน 1-3 เซนตเิ มตร ปากทางเขา เปน สเ่ี หลย่ี มจตั รุ สั ยาวดานละ 25 เซนตเิ มตร ความยาวไซจากปากถึงกน 40 เซนตเิ มตร(ภาพที่ 13) ตอนกน จะมหี นิ ถว ง สวนฝาปด-เปด มหี ว งพลาสตกิ ผกู ตรงสม่ี มุ ของฝา หาวทั้ง 4 จะรอ ยอยกู บั รางไมเ ลอ่ื นขน้ึ ลงได มี กระเด่ืองสําหรับปด-เปด อนั หนง่ึ กบั กระเดอ่ื งเสยี บเหยอ่ื อกี อนั หนง่ึ โดยทั้ง 2 อนั จะตดิ กนั ตรงปลายที่ เจาะรูไวม ยี างยดื คอยดงึ ทฝ่ี าปด -เปด ขณะเมอ่ื ปเู ขา ไปกนิ เหยอ่ี วธิ กี ารทาํ ประมง : เคร่ืองมือชนดิ นจ้ี ะใชไ ดท ง้ั ในเวลากลางวนั และกลางคืน ทง้ั ในชว งนา้ํ ขน้ึ และ นา้ํ ลง ชาวประมงจะทาํ การประมงตามชายฝง ทะเล แมน า้ํ ลาํ คลอง น้าํ กรอ ย ทร่ี ะดบั ความลกึ ของนา้ํ ประมาณ 1-5 เมตร พน้ื ทอ งน้าํ เปน พน้ื โคลน โดยจะวางเครอ่ื งมอื ตามภาพท่ี 13 จะทาํ การกู 2-3 ครง้ั ตอวัน เมอ่ื เอาสตั วน า้ํ ออกแลว จะเปลย่ี นเหยอ่ื ใหมเ พอ่ื นําไปดักจบั ปตู อไป

การเลย้ี งปทู ะเล 15 4. เชงเลงราว (Cone shaped bamboo trap set on line) เครื่องมือนี้ประกอบดวยไมไผผาซีก ถกั ดวยหวายเปน เปลาะ ๆ เปน รปู ทรงกระบอก (ภาพที่ 14) ความยาวจากปากถงึ กน ประมาณ 50-75 เซนตเิ มตร มเี สน ผา ศนู ยต อนปากยาวประมาณ 25- 30 เซนตเิ มตร และสว นกน ยาว 9 เซนตเิ มตร วิธที ําการประมง : เชงเลงราววางไดทั้งกลางวัน-กลางคนื ทง้ั ในชว งนา้ํ ขน้ึ หรอื น้าํ ลง ชาว ประมงจะวางบริเวณปากแมน ํ้าหรอื ตามชายฝง ทพ่ี น้ื ทอ งทะเลเปน โคลน ความลกึ ของนา้ํ ประมาณ 1-8 เมตร โดยทาํ การวางเปน ราวผกู ดว ยเชอื กครา วใหเ ชงเลงแตล ะลกู หา งกนั 5 เมตร ชาวประมงรายหนง่ึ ๆ มีเชงเลงประมาณ 30-50 ลกู 5. ลอบแบบฝาชี (Crab trap) เปนเครอ่ื งมอื จบั ปชู นดิ หนง่ึ ทน่ี าํ แบบมาจากประเทศญี่ปุน ลักษณะคลายฝาชี โครงทาํ ดวยเหล็ก เสนขนาด 2.5 หุน นาํ มาเชอ่ื มประกอบเปน รปู ฝาชี แลว หมุ ดว ยเนอ้ื อวนโปลขี นาด 1-2 นว้ิ ทางเขาใช ตะกราหรอื ชามพลาสตกิ เจาะกนั เพอ่ื เปน ทางใหป เู ขา ลอบ (ภาพที่ 15)

การเลย้ี งปทู ะเล 16 วธิ กี ารทาํ ประมง : ลอบนี้จะใชตามริมชายทะเลทั่วไปที่นาํ้ ตน้ื พน้ื ทอ งทะเลเปน โคลนระดบั ความ ลึกประมาณ 0.50-2.50 เมตร ชาวประมงจะนาํ ลอบใสเ หยอ่ื ออกไปวางในแหลง ทค่ี าดวา มปี ู โดยวาง หางกันลูกละประมาณ 10-15 เมตร โดยมีทุนผูกติดกับลอบทุกใบเพื่อไวสังเกต ลักษณะการทํางานของ ลอบนี้ ปูจะไตข น้ึ บนตวั ลอบ เพอ่ื เขา ไปกนิ เหยอ่ื แลว ไมส ามารถออกมาได ชาวประมงก็จะทาํ การกลู อบ และเปดเอาปอู อกทางดา นลา ง 6. ลอบปูแบบพับได (Collapsible crab trap) โครงสรา งประกอบดว ยเหลก็ เสน ขนาด 2.5 หุน ทําเปน รปู สเ่ี หลย่ี มขนาด 45 x 60 x 30 เซนติเมตร ทาดว ยสกี นั สนมิ และคลมุ ดว ยอวนโปลขี นาดตาอวน 1 นว้ิ มที างเขา 2 ทาง คอื ทางตอน หัวและทาย เรียกวา \"งาแซง\" ลกั ษณะพเิ ศษของลอบนค้ี อื สามารถพบั เกบ็ ได (ภาพที่ 16)

การเลย้ี งปทู ะเล 17 วิธที ําการประมง จะมี 2 วิธี ดงั น้ี วิธีที่ 1 การวางลอบแบบเดย่ี วโดยใสเ หยอ่ื ปลาสดแลว วางลอบผกู ทนุ การวางลอบจะใชเ วลา ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก็ทาํ การกู ชาวประมงรายหนง่ึ ๆ จะมลี อบประมาณ 25-50 ลกู วิธีที่ 2 การวางแบบราว นาํ ลอบมาผกู เชอื กยาว 5 เมตร ผกู ตดิ กบั สายครา วใหลอบแตล ะลกู หางกัน 10 เมตร แหลง ทําการประมงดว ยเครอ่ื งมอื น้ี จะเปนบริเวณตามชายฝงทะเลทั่วไป ปะการงั เทียมและซากโปะ 7. จน่ั หยอ ง หยอง ยอปู (Crab lift net) เครื่องมือจั่นน้ี มลี กั ษณะคลา ย ๆ กบั ยอขนาดเลก็ โดยใชต าอวนขนาดประมาณ 5-6 เซนติเมตร ใชต ะกว่ั ถว งทง้ั สม่ี มุ มเี หยอ่ื ผกู ตอนกลางของตน ไม มที ุนพลาสตกิ พรอ มสายทุน (ภาพ ที่ 17) ทางภาคใตเรียกวา \"หยองหรือยอปู\" วิธกี ารประมง : ชาวประมงจะทาํ การประมงในบรเิ วณชายฝง ทม่ี พี น้ื เปน โคลน ความลกึ นา้ํ ประมาณ 0.30-4 เมตร การวางจะวางในชว งนา้ํ ไหลซง่ึ จะไดผ ลดกี วา นา้ํ นง่ิ จน่ั จะถกู วางเปน รปู วงรมี ี ระยะหางกันคันละประมาณ 10-15 เมตร เมอ่ื วางคนั สดุ ทา ยกจ็ ะเรม่ิ กจู น่ั อนั แรก ชาวประมงรายหนง่ึ ๆ จะมีจ่ันประมาณ 10-15 คนั โดยมที นุ พลาสตกิ เปน เครอ่ื งหมาย 8. ตะขอเกย่ี วปู (Hook) ตะขอเปนเคร่ืองมอื ทใ่ี ชจ บั ปทู อ่ี าศยั อยใู นรใู นปา ชายเลน ลกั ษณะของตะขอจะเปน เหลก็ เสน ขนาดประมาณ 2-3 หุน ยาว 110 เซนตเิ มตร มปี ลายขา งหนง่ึ งอสาํ หรับเกี่ยวปูออกจากรู (ภาพที่ 18)

การเลย้ี งปทู ะเล 18 9. แรว ดกั ปู (Crab lift net) เปน เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชจ บั ปแู บบงา ยๆ และเปน ทน่ี ยิ มกนั ทว่ั ไปของชาวประมงขนาดเลก็ ขอบแรว ทาํ ดวยไมไผผาซีกหรือลวด แรว มเี สน ผา ศนู ยก ลางประมาณ 30-50 เซนตเิ มตร ตัวแรวทําดว ยเนอ้ื อวน ซึ่งมีทั้งดานถักและเอน็ ขนาดตาประมาณ 8-10 เซนตเิ มตร คนั แรว ใชไ มโ กงกางยาว 1.5 เซนตเิ มตร ตรงโคนเสี้ยมใหแหลมมีเชือกผูกตรงขอบแรว 3 จุด แลว ปลายผกู รวมกนั เปน ปมทค่ี นั แรว มีที่เสียบเหยื่อ ตรงกลางเนอ้ื อวนตดิ กบั คนั แรว (ภาพที่ 19) วธิ ที าํ การประมง : ชาวประมงจะเสียบเหยื่อแลวทาํ การวง่ิ เรอื ปกแรวกับพื้นทะเลที่เปนโคลน ระดับความลกึ ของนา้ํ ประมาณ0.30-2.5 เมตร โดยปกแรวใหหางกันประมาณ 5-6 เมตรตอ อนั ชาว ประมงรายหนง่ึ ๆ จะมแี รว ประมาณ 20-120 อนั คณะทาํ งานจัดทําคมู อื การขนุ และเลย้ี งปทู ะเล 1. นายอนุวัฒน รัตนโชติ ผอู าํ นวยการศนู ยพ ฒั นาการเพาะเลย้ี งสตั วน ้ําชายฝงสุราษฎรธานี ประธาน 2. นายทวศี กั ด์ิ ยงั วนชิ เศรษฐ นกั วชิ าการประมง 5 ศูนยพ ัฒนาการเพาะเลย้ี งสตั วน า้ํ ชายฝงสุราษฎรธานี คณะทาํ งาน 3. นายสุภาพ ไพรพนาพงศ นกั วชิ าการประมง 5 โครงการพฒั นาประมงขนาดเลก็ จ.ระนอง คณะทํางาน 4. น.ส.รชั ฎา แดงวฒั นกลุ นกั วชิ าการประมง 4 ศนู ยพฒั นาการเพาะเล้ยี งสัตวนาํ้ ชายฝงสุราษฎรธานี คณะทํางาน และเลขานุการ จดั ทําเอกสารอเิ ลก็ ทรอนกิ สโ ดย : สาํ นกั สง เสรมิ และฝก อบรม มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร