96 ตวั อยำ่ งศพั ท์บัญญัตทิ ี่เปน็ คำไทยแท้ สูบ (pump) หนงั (film) ระบบ (system) ประเมิน (assess) เปรยี บเทียบ (compare) ดัดแปลง (adapt) ข้อสงั เกตเกย่ี วกบั ศพั ท์บญั ญตั ิที่เป็นคาไทยแท้ ศัพท์ที่บัญญัติขึ้นด้วยคาไทยแท้ (หรือคาไทยแท้ร่วมกับคาจากภาษาบาลี สันสกฤตท่ีมีใช้ใน ภาษาไทยอยู่ก่อนแล้ว) มีข้อดีที่เข้าใจความหมายได้ง่าย แต่มีข้อเสียท่ีอาจต้องใช้คาย่อยหลาย ๆ คา ประสมกันไดเ้ ป็นศัพทท์ ่คี อ่ นข้างยาว เชน่ กระบวนการสรา้ งและสลาย (metabolism) เป็นต้น ตวั อยำ่ งศพั ทบ์ ญั ญัติทีเ่ ปน็ คำจำกภำษำบำลี สันสกฤต พาหะ (carrier) ทวภิ าคี (bilateral) คดี (case/suit) อปุ สรรค (prefix) มาตร (meter) สมมาตร (symmetry) องค์การ (organization) วีดีทศั น์ (video) วารสาร (journal) วฒั นธรรม (culture) ฯลฯ สรปุ ไทยและชาติตะวันตก เช่น อังกฤษ ได้เจริญสัมพันธไมตรีทางการทูต มีการทาสนธิสัญญา ทางการค้าความสัมพันธ์นี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ไทยยังรับวัฒนธรรม ค่านิยม การศึกษา รวมไปถึงวิทยาการที่ทันสมัยต่าง ๆ ทาใหม้ ีคายืมภาษาอังกฤษเข้ามาปะปนในภาษาไทยด้วย ซ่ึง การยืมคาภาษาองั กฤษมาใช้ในภาษาไทย มีวธิ ีการหลายวิธีการ ได้แก่ การเปล่ียนแปลงเสียง และคา การ ลากเข้าความ การทับศัพท์ การบัญญัติศัพท์ การตัดคา นอกจากการรับคามาใช้แล้วยังมีการกลาย ความหมายของคาทั้ง การกลายความหมายแบบกว้างออก แคบเข้า และความหมายย้ายที่ คายืม ภาษาอังกฤษมีในภาษาไทยจานวนมาก และมีอิทธิพลต่าง ๆ ต่อภาษาไทย เช่น เกิดคาหลายพยางค์ ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สานวนภาษาแบบอังกฤษ เป็นต้น ซ่ึงพบคายืมเหล่านี้ได้ท้ังในชีวิตประจาวัน
97 วงวิชาการ วงการศึกษา วงการเทคโนโลยี เป็นต้น และในปัจจุบันมีแนวโน้มว่าการยืมคาภาษาอังกฤษมา ใชใ้ นภาษาไทยจะมเี พิ่มมากขึ้น คำถำมทบทวน 1. จงอธิบายความสมั พันธข์ องภาษาไทยและภาษาองั กฤษมาพอเขา้ ใจ 2. สรปุ ประวตั ิการยมื คาภาษาองั กฤษในภาษาไทย เปน็ Mind mapping 3. อธิบายความเหมือน และความแตกต่างของลักษณะการยืมคาภาษาอังกฤษในสมัยรัชกาลท่ี 3 รัชกาลที่ 4 และรัชกาลท่ี 5 4. วธิ กี ารยมื คาโดยการแปลศพั ท์คืออะไร อธบิ ายและยกตัวอยา่ ง 5. อธิบายประวตั ิ และลักษณะของการบัญญัติศัพท์มาพอเข้าใจ 6. การยมื คาภาษาองั กฤษมาใช้ในภาษาไทยมกี ารเปลีย่ นแปลงดา้ นเสยี งอย่างไรบ้าง 7. ยกตัวอย่างวงศัพท์คายืมภาษาอังกฤษที่นักศึกษารู้จัก และพบใช้ในชีวิตประจาวันอย่างน้อย 15 คา 8. ลักษณะคายืมภาษาองั กฤษในภาษาไทยมีอะไรบา้ ง สรุปพอเขา้ ใจ 9. ศัพท์บัญญัติ หมายถึงอะไร และสานักงานราชบัณฑิตยสภามีขั้นตอนการบัญญัติศัพท์ อยา่ งไรบา้ ง 10. จงยกตัวอย่างศัพท์บัญญัติท่ีใช้คาไทยแท้ / คาอังกฤษประสมคาไทย / และคาภาษาบาลี สันสกฤต มาอยา่ งละ 5 คา
บทที่ 6 คำยมื ภำษำจีนในภำษำไทย ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการติดต่อสัมพันธ์กันมาช้านานตั้งแต่ก่อนสุโขทัย และความสัมพันธ์ย่ิงโดดเด่นแน่นแฟ้นในสมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบันและเป็นมิตรท่ีดีต่อกันเร่ือยมา อีกทั้งยังมีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า แลกเปล่ียนศิลปะและวัฒนธรรมอันดีงาม ชาวจีนท่ีมาค้าขาย ได้เข้ามาต้ังถ่ินฐานอยู่ในประเทศไทยเป็นจานวนมาก ส่งผลให้คายืมภาษาจีนเข้ามาปะปนกับ ภาษาไทยโดยเฉพาะทางเชื้อชาติ นอกจากนี้ภาษาจีนและภาษาไทยยังมีลักษณะท่ีคล้ายคลึงกันคือ จัดอยใู่ นตระกลู ภาษาคาโดด จงึ ทาให้มคี าภาษาจนี เข้ามาปะปนอย่ใู นภาษาไทยจนแยกกันไม่ออก การยืมคาภาษาจีนมาใช้ในภาษาไทยนั้น ไทยรับมาจากภาษาพูดไม่ใช่ภาษาเขียน เพราะ ระบบการเขียนภาษาจีนต่างกับภาษาไทยมาก ภาษาจีนเขียนอกั ษรแทนคาเป็นตัว ๆ ไม่มีการประสม สระ พยัญชนะ คาภาษาจีนท่ีรับมาใช้ในภาษาไทย มักเป็นคาที่เก่ียวกับคาเรียกชื่อ เคร่ืองใช้แบบจีน ยาสมนุ ไพร สตั ว์ อาหาร เคร่อื งแต่งกาย ธุรกจิ การคา้ มหรสพ และอนื่ ๆ ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งไทยกบั จนี แน่งน้อย ดวงดารา (2542 : 149) กล่าวถึงความสัมพันธ์และความเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อ กนั ระหว่างไทยกับจีนไว้วา่ ไทยกับจีนมีความสมั พนั ธ์กันอย่างใกล้ชิดท้ังทางด้านเช้ือชาติตลอดจนถน่ิ ท่ี อยอู่ าศัย ซึ่งมีมาช้านานก่อนสมัยประวัติศาสตรไ์ ทย แม้กระทั่งทุกวันน้ีกม็ ีคนจีนมากมายทีอ่ าศัยอยู่ใน ประเทศไทย และมคี นไทยอกี จานวนไม่น้อยอย่ใู นประเทศจีน ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า ในสมัยสุโขทัย จีนได้ส่งทูตมาทาสัญญาเพ่ือสร้างสัมพันธไมตรี กับไทย และพ่อขนุ รามคาแหงมหาราช ก็ได้เสดจ็ ไปประเทศจีนถึงสองครั้ง และได้นาช่างฝีมือจากจีน มาทาเคร่ืองถ้วย ชาม ท่ีเรียกกันว่า “สังคโลก” ต่อมาในสมัยอยุธยา มีพ่อค้าชาวจีนเข้ามาค้าขายกับ ไทยและมีบทบาทในการนาวิธีการเก็บภาษีมาใช้ นอกจากน้ียังได้นาการเล่นการพนันเข้ามาอีกด้วย จีนติดต่อกับไทยเร่ือยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และต่อมาก็มีชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ใน ประเทศไทยจานวนมาก อาชีพท่ีสาคัญของชาวจนี ในไทยคอื ธรุ กจิ การคา้ นน่ั เอง ศุภกร เลิศอมรมีสุข (2556 : 1) ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนในช่วง สมัยสุโขทัยไว้ว่า หากศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทยและจีนแล้วจะพบว่า ไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และจีนเป็นหนึ่งกลุ่มในชาติพันธ์ุที่เขา้ มาตั้งรกราก ในสังคมไทยเป็นเวลานานแล้ว จากหลักฐานของจีนท่ีมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่า อาณาจักรสุโขทัยได้ส่งคณะทูตพร้อมด้วยของพ้ืนเมืองมาถวายเป็นของกานัลแก่จักรพรรดิราชวงศ์ หยวน รวม 14 ครั้ง ระหว่างปี พ.ศ. 1835 ถึง พ.ศ. 1865 ส่วนจีนก็ได้ส่งทูตมาไทย 4 ครัง้ การส่งทูต
100 ติดต่อระหว่างอาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรจีนในสมัยนั้นส่งผลให้การค้าระหว่างสองอาณาจักร ขยายตัว อีกทั้งมีการถ่ายทอดความรู้จากช่างจีนเก่ียวกับเคร่ืองป้ันดินเผาจนแป็นท่ีรู้จักในนาม “เครื่องสังคโลก” ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น กระท่ังในสมัยอยุธยาความสัมพันธ์ยังคงดาเนินไป อยา่ งราบรื่น มชี าวจนี เข้ามาต้งั ถนิ่ ฐานในกรุงศรอี ยุธยามากขึ้น และเข้ามารบั ราชการอยูฝ่ ่ายไทยดว้ ย จากคากล่าวข้างต้น สอดคล้องกับแนวการอธิบายของ วัลยา ช้างขวัญยืน (2556 : 181- 182) ซึ่งอธิบายความสัมพันธ์ไทยกับจีนไว้ว่า ไทยกับจีนมีการติดต่อสัมพันธ์กันทางการทูตมาตั้งแต่ สมัยสุโขทัย ชาวจีนเข้ามาอยู่ในกรุงสุโขทัยจานวนมาก ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายดังที่กล่าว มาแล้วข้างต้น ดังน้ันจึงเชื่อได้ว่าในสมัยสุโขทัยนั้นได้มีชาวจีนโดยเฉพาะเหล่าช่างทาเคร่ืองปั้นดินเผา ชา่ งต่อเรือสาเภา และพ่อคา้ ตา่ ง ๆ ได้เข้ามาพานกั อยู่ในไทยอย่างต่อเนื่องแล้ว ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สัมพันธไมตรีทางการทูตระหว่างไทยกับจีนยังคงเป็นไปด้วยดี ชาวจีนอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทยมากย่ิงขึ้น ส่วนใหญ่เข้ามาเพราะการชักชวนของญาติพี่น้องท่ีตั้ง ถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว เศรษฐกิจไทยในสมัยอยุธยาจึงมีการขยายตัวอย่างมาก ชาวจีนท่ีประกอบการค้า สามารถจ่ายภาษีรายได้ให้แก่ราชสานักไทยได้เป็นจานวนมาก นอกจากบทบาททางเศรษฐกิจและ การค้าแล้ว ชาวจีนในกรุงศรีอยุธยายังมีบทบาทด้านการเมืองการทหารอีกด้วย ดังปรากฏอยู่ใน ประวตั ิศาสตรเ์ มอื่ ครัง้ เสยี กรงุ ศรอี ยุธยา ผลของการที่ชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งรกรากทามาหากินอยู่ในเมืองไทย มีการประกอบอาชีพ ต่าง ๆ ได้แต่งงานกับคนไทยมาต้ังแต่สมัยอดีต ทาให้เกิดมีพลเมืองไทยเช้ือสายจีนเป็นจานวนมาก นอกจากน้ยี ังมีการผสมผสานกันทางด้านวัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ การยืมคาภาษาจีนบางคาเข้า มาใช้ในภาษาไทยจึงเป็นเร่ืองที่น่าจะเกิดขึ้นนานแล้ว คายืมจากภาษาจีนส่วนใหญ่เป็นสาเนียงภาษา แต้จ๋ิว และมักเป็นคาเรียกสิ่งของเครื่องใช้ อาหาร พืช ผัก ผลไม้ รวมทั้งคาท่ีเก่ียวกับวัฒนธรรมจีน เรานิยมใชค้ ายมื ภาษาจีนเปน็ ภาษาพูด ไมน่ ิยมใชเ้ ปน็ ภาษาเขียนนอกจากคาบางคาทีใ่ ช้ในวรรณคดี สรุป ไทยกับจีนได้เจริญ สัมพันธไมตรีกันทางด้านการทูตตั้งแต่สมัยก่อนสุโขทัย และความสัมพันธ์ดังกล่าวได้พัฒนาเร่ือยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้จีนยังได้อพยพถ่ินฐาน แต่งงาน จนมีชาวไทยเช้ือสายจีนหรือเปน็ ความสัมพันธ์กันด้านเช้ือชาติ มีการทาการค้า พัฒนาเศรษฐกิจให้แก่ ไทยได้เป็นอย่างดี มีการรับวัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ ของจีนอีกดว้ ย ความสัมพันธ์ต่าง ๆ น้ีส่งผลให้ ไทยรบั คายมื ภาษาจนี เขา้ มาใช้ในชวี ิตประจาวัน
101 ลกั ษณะคำยืมภำษำจนี ในภำษำไทย คายืมภาษาจีนในภาษาไทยกลายเป็นอีกภาษาหน่ึงที่ใช้ในชีวิตประจาวัน คายืมเหล่านี้มาจาก ภาษาจีนหลายสาเนียง เช่น ฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว กวางตุ้ง และจีนแคะ เป็นต้น เน่ืองจากชาวจีนได้เข้ามา ติดต่อค้าขายกับไทยมีมากมายหลายกลุ่มน่ันเอง ด้วยเหตุน้ี คายืมภาษาจีนท่ีใช้ในภาษาไทยจึงมี หลากหลายสาเนียงผสมผสานกันไปตามแหล่งที่มา และมีการปรับเปลี่ยนเสียงเพื่อให้สอดคล้องกับระบบ การออกเสยี งของภาษาไทยดว้ ย วลั ยา ชา้ งขวัญยนื (2555 : 239-240) ได้อธบิ ายถงึ ลกั ษณะคายืมภาษาจนี ในภาษาไทย สามารถ สรปุ ได้ดังน้ี 1. มักเป็นคำท่ีมีเสียงวรรณยุกต์ตรีหรือจัตวำ ซ่ึงมีพยัญชนะต้นเป็นอักษรกลาง เช่น โต๊ะ เจ๊ บ๊วย ก๋ง ตี๋ ก๋วยเต๋ียว เป็นต้น จานวนเสียงวรรณยุกต์ของภาษาจีนแต้จ๋ิวมีมากกว่าเสียงวรรณยุกต์ของ ภาษาไทย คือ มีถึง 8 หน่วยเสียง เม่ือเราได้ยินคาที่มีเสียงวรรณยุกต์อยู่ในระดับสูง ๆ ซ่ึงคนไทยอาจจะ ออกเสียงยาก แต่เม่ือรู้ว่าเป็นคาจีนก็อาจจะใช้แนวเทียบ (analogy) จึงเปล่ียนเสียงคาเหล่าน้ันให้เป็น เสียงตรหี รือจัตวาได้ เช่น เจ้ > เจ๊, บู้ > บู,๊ อ้ัว > อัว๊ , กก > ก๊ก, แปะ > แปะ๊ , ตัว > ต๋ัว เป็นตน้ 2. คำยืมภำษำจีนสว่ นมำกเปน็ คำทม่ี ีพยัญชนะตน้ เป็นอกั ษรกลำง ไดแ้ ก่ ก จ ด ต บ ป อ มากกว่าพยัญชนะต้นอ่ืน ๆ ซ่ึงพบเพียงประปราย เมื่อคายืมเป็นเสียงตรีและจัตวา มีพยัญชนะต้น เปน็ อักษรกลางกจ็ าเปน็ ต้องเพิม่ รปู วรรณยกุ ต์ตรี หรอื จตั วา ลงในคานั้น ๆ ดว้ ย เชน่ คำจีน คำท่ไี ทยใช้ กก ก๊ก เกง็ เกง๋ กว๋ ยจับ กวยจบั๊ เจ้ง เจง๊ ตยุ้ ตยุ๊ ตวั ตว๋ั โป้ว โป๊ ปุ๊ย ปุ๋ย อั้ว อ๊ัว 3. คำท่ีมีสระประสมเสียงสั้น /เอียะ/ และ /อัวะ/ ปรากฏใช้อยู่ในภาษาไทยเฉพาะคาเลียนเสียง เช่น เพียะ เผียะ ผัวะ หรือคาขยาย เช่น (เหมือน)เด๊ียะ, (ขาว)จ๊ัวะ นอกจากน้ีส่วนใหญ่จะเป็นคายืม จากภาษาจีน เช่น เกี๊ยะ เจ๊ียะ เลียะ เปาะเป๊ียะ ยัวะ ก๊วน ม่วย ฯลฯ คาไทยท้ังหลายท่ีไม่ใช่คาเลียน เสียงหรือคาขยายจะไม่เปน็ คาทมี่ สี ระประสมเสยี งสนั้ /เอยี ะ/ และ /อัวะ/ สรปุ ลักษณะคายืมภาษาจีนในภาษาไทย ส่วนใหญ่เป็นคาที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรกลาง (ก จ ด ต บ ป อ) และมักเป็นคาท่ีใช้วรรณยุกต์ตรีหรือจัตวา นอกจากน้ียังมีการใช้สระเสียงส้ัน /เอียะ/ และ /อัวะ/ ซ่ึงต่างจากภาษาไทยท่ีใชส้ ระเหลา่ นเ้ี ลียนเสียงหรือเปน็ คาขยายเทา่ น้ัน
102 วธิ ีกำรรบั คำภำษำจีนมำใช้ในภำษำไทย บรรจบ พันธุเมธา (2554 : 13-17) กล่าวถึงวิธีการยืมภาษาไทย ส่วนมากจะได้จากภาษาพูด ซ่ึ ง ก า ร ยื ม ช นิ ด น้ี ย่ อ ม ท า ให้ เสี ย ง เป ล่ี ย น แ ป ล ง ได้ ง่ า ย โ ด ย เฉ พ า ะ เสี ย ง ว ร ร ณ ยุ ก ต์ เพ ร า ะ เกิ ด จ า ก การพูด และฟังไม่ชัดเจนซง่ึ มีวิธีการยมื ดังน้ี 1. ทับศัพท์ คือ ออกเสียงตรงตามคาเดิมในภาษาเดิม แต่เสียงวรรณยุกต์อาจเพี้ยนไป ความหมายคงเดิม เชน่ คำภำษำจีน คำที่ใช้ในภำษำไทย เกาอ๊ี เก้าอ้ี ตวั ตว๋ั โชว่ โฉ่ 2. ทับศัพท์แต่เสียงเปล่ียนไป คาบางคาเสียงเปลี่ยนไป ไม่อาจกาหนดได้แน่ว่า เสียงท่ีเปล่ียนไป น้ันเปลี่ยนไปจากคาภาษาแต้จิ๋วหรือภาษาจีนกลางแน่ ลักษณะเช่นนี้จะมีการเปล่ียนแปลงท้ังเสียง พยญั ชนะ เสียงสระ หรอื เสียงวรรณยุกต์ และต้องพจิ ารณาเปน็ คา ๆ ไป เชน่ คำภำษำจีน คำทใี่ ชใ้ นภำษำไทย ฉา ชา (ใบชา) ไต้ (จีนกลาง) ไถ้ (ถุงยาวใส่เงนิ หรือส่งิ ของ) 3. ใช้คำไทยแปลคำภำษำจีน เชน่ ไชเท้า คือ หวั ผักกาด,ไชโป๊ คือ หวั ผกั กาดเค็มเก้ียมไฉ่ คือ ผกั กาด(ดอง) เค็ม เป็นตน้ 4. ใช้คำไทยประสมหรือซ้อนกับคำจีน คาซ้อนคือคาท่ีมีความหมายเดียวกันจะช่วยแปล ความหมาย ทาให้ทราบว่าคาจีนน้ันหมายถึงอะไร เป็นช่ือของอะไร ส่วนคาประสมนั้นเราจะหาคาตัวตั้ง ทบี่ อกประเภท และลกั ษณะของส่ิงนน้ั ๆ ไวข้ า้ งหน้าคาเหลา่ นน้ั ชา (ปนกัน รวมกนั ) ไทยใช้ ของชา รา้ นชา รา้ นขายของชา เปยี๊ (ขนมแผ่น) ไทยใช้ ขนมเปยี ขนมเป๊ยี ะ เก๊า (ขนมชนดิ ต่าง ๆ) ไทยใช้ ขนมโก๋ ลันเตา ไทยใช้ ถัว่ ลนั เตา หมี่ ไทยใช้ เสน้ หม่ี บะหม่ี ฉา/ฉ่า (ตน้ ชา ใบชา น้าชา) ไทยใช้ นา้ ชา ใบชา ยอดชา ต้นชา 5. สร้ำงคำใหม่หรือควำมหมำยใหม่ คาจีนท่ียืมมาใชใ้ นปัจจุบันบางคาไม่เคยมใี ชใ้ นภาษาจนี มา แต่ด้ังเดิม เพราะไม่เคยมีสิ่งน้ันมาก่อน เป็นต้นว่า กาแฟใส่น้าแข็งไม่ใส่นม เรียกว่า โอวเลี้ยง แปลตาม ศัพท์ว่า ดาเย็น คาว่า เกาเหลา ที่เป็นช่ือกับข้าวชนิดหน่ึงมีลักษณะเป็นแกงจืดก็เป็นการสร้าง ความหมายใหม่ เพราะคาน้มี ไิ ด้หมายความถงึ กับข้าว แตแ่ ปลตามศัพท์ หมายถงึ ตกึ สงู เปน็ ต้น
103 6. เสียงกลำยไป เชน่ คำทใ่ี ชใ้ นภำษำไทย คำภำษำจนี เต๊า เต๋า (ลูกเตา๋ ) ตวั ตว๋ั แส่ แซ่ (วงศ์สกลุ ) ฮั้ง ห้าง ซอื หยุ่ (คา่ ใช้จ่าย) โสหุย้ พยัญชนะโดยมากเสียงไม่ได้กลายเสียงไป นอกจากเสียงบางเสียง ได้แก่ ส จ ฉ ช ต่างกันไป เสียงของภาษาจีนมลี กั ษณะเสียดแทรกมากกว่าเสียงภาษาไทย 7. สำนวน เรานาคาจีนบางคามาใช้เป็นสานวน ซ่ึงจีนไม่ได้ใช้คานี้ในสานวนน้ี หรือบางคาอาจ เป็นคาผกู ใชใ้ หมใ่ นภาษาไทยก็เปน็ ได้ เชน่ เจา๊ โล่ หมายถงึ หนีเปิดไป จากคา เจ๊าโล่ว หมายถงึ เดนิ ทาง เดนิ ไปตามทาง ชีช้า หมายถึง ช้าใจ เราคงใช้ตามความหมายของ ช้า หรือช้าใจของไทย อันที่จริง ภาษาจีนแต้จิว๋ ใช้ หมายถงึ ตกทกุ ขไ์ ด้ยาก ลาบาก (จกี ลางใช้ หมายถงึ เศรา้ โศก ทกุ ข์ยาก) ซซ้ี ว้ั หมายถึง ทาอย่างไม่ประณีต ทาไปตามเรอ่ื งตามราว ไม่รับผดิ ชอบ (มผี ู้กล่าวว่า คานี้ มาจากจนี แต้จิ๋ววา่ ซสี ัว่ ภาษาจนี กลางวา่ ซีซา่ น) เก้ียมเซียบ หมายถึง เค็ม คือนอกจากจะตระหน่ีถี่เหนียวแล้ว ก็ยังติดจะรู้มาก เอาเปรยี บ (ภาษาจีนแตจ่ ิว๋ หมายถงึ ประหยัด) สรุป วิธีการรับคาภาษาจีนมาใช้ในภาษาไทยนั้น มีด้วยกันหลายวิธีท้ังนี้เพราะต้องปรับให้เข้ากับ การใช้ของคนไทย และปรับให้เข้ากับระเสียงในภาษาไทย วิธีการดังกล่าว ได้แก่ วิธีการทับศัพท์ที่เสียง และรูปคาคล้ายกับคาเดิม การทับศัพท์ แต่เสียงเปล่ียนไป ใช้คาไทยแปลคาภาษาจีนใช้คาไทยประสม หรอื ซ้อนกบั คาภาษาจนี สรา้ งคาใหมห่ รือความหมายใหม่ เสยี งกลายไป และการใชส้ านวน กำรกลำยควำมหมำย คาที่ไทยยืมจากภาษาจีนนอกจากการยืมมาด้วยวิธีการของการปรับเสียง หรือรูปคา และมคี วามหมายคงเดิมแล้ว ยังมีคาอีกกลุ่มหนึง่ ท่ีไทยยืมมาแล้วมีการเปลี่ยนแปลงด้านความหมายของคา กลา่ วคอื มบี างคาท่มี ีการเปลย่ี นแปลงดา้ นความหมาย 3 ลักษณะ ไดแ้ ก่ 1. ควำมหมำยแคบเข้ำ คายืมภาษาจีนที่มีความหมายแคบเข้ามี 2 แบบ คือ คาที่ยืมน้ัน มีความหมายน้อยกว่าคาท่ีใช้อยู่เดิมในภาษาจีน และคาที่ยืมมานั้นใช้ในความหมายเจาะจงกว่าคา ในภาษาจีน เชน่
104 คา้ ท่ยี มื มามีความหมายนอ้ ยกวา่ ค้าทใ่ี ช้อยู่เดิมในภาษาจนี คำภำษำจีน คำทีไ่ ทยใช้ ค้า ความหมาย คา้ ความหมาย กุย๊ คนเลวทราม กยุ้ ภตู ผี ปิศาจ ชั่วร้าย อบุ าทว์ คนเลวทราม กระดาษจดบันทึกเรื่องราวส่ิงของใน ตว๋ั บตั รแสดงสิทธิผใู้ ช้ เชน่ ต๋ัวรถเมล์ ตัว๋ หนัง ตวั ภาษาสามญั มีความหมายเปน็ ตวั๋ หรอื ใบเสร็จ แมะ จบั ชพี จรเพ่ือตรวจโรค แมะ ชพี จร จบั ชพี จรเพื่อตรวจโรค โละ ทิ้งเสีย ใสล่ ง เลาะ (ใบไม้) ร่วง หลน่ ทิง้ เสยี ไม่ใช้ ฮั้ว รวมหวั กันในการประมูล ฮัว้ ปรองดองสามคั คี รวมหวั กันใน การประมูล ค้าท่ียมื มาใช้ในความหมายเจาะจงกว่าค้าในภาษาจนี คำภำษำจนี คำทไ่ี ทยใช้ ค้า ความหมาย คา้ ความหมาย เกยี้ มอี๋ ของกนิ ชนดิ หน่งึ ทาด้วยแปง้ ข้าวเจ้า เป็น เจียมอี๊ แปง้ ขา้ วเจ้าท่ีทาเป็นเสน้ กลมสัน้ ๆ หวั เส้นส้ัน ๆ กลม ๆ สองปลายแหลม ทา้ ยแหลม กนิ เปน็ อาหารคาวและหวาน ปรุงแบบก๋วยเต๋ียว จีนแส หมอ ครู ซินแสกใ็ ช้ ซงิ แซ หมอ ครู คุณ ทา่ น นาย บ๊วย คนสุดทา้ ยในวงศ์แชร์ ท่สี ดุ ทา้ ย บ้วย หาง สุดทา้ ย ปลาย แปะ๊ สรรพนามใชเ้ รียกคนแก่ชายชาวจนี มี แปะ ลุง คาเรยี กคนแกช่ ายท่ัวไป ความหมายวา่ ลุง 2. ควำมหมำยกวำ้ งออก การที่คาคาหน่งึ มีความหมายมากขึน้ กว่าทใี่ ชอ้ ยู่เดิม หรอื คาคาหนึ่งเดิม มคี วามหมายจากัด แต่ต่อมาใช้ในความหมายทั่วไป เรียกว่า ความหมายกว้างออก เม่ือไทยยืมคาภาษาจีน มาใชก้ ็มีความหมายท่ีเปล่ยี นแปลงลกั ษณะน้เี ชน่ กัน ดังตัวอย่าง
105 คำท่ีไทยใช้ คำภำษำจีน ความหมาย คา้ ความหมาย ค้า ซาชา้ ชื่อเรียกไม้เน้ือออ่ นท่ใี ช้ทาหีบบรรจุ ไมส้ นชนิดหนึ่ง ฉาฉา ของมาจากประเทศหนาว ไม้เหล่าน้ี ซอลอเปา โผว โดยมากเป็นจาพวกไมส้ น ขนมชนิดหนงึ่ ของจีนทาดว้ ยแป้งสาลี ซาลาเปา ปั้นเป็นลูกกลม มีไส้ทั้งหวานและเค็ม ซาลาเปาสีเหลืองไมม่ ีไส้ ไสห้ วานประกอบด้วยถ่ัวหรือฟกั ไส้ บญั ชี เค็มประกอบดว้ ยหมสู ับหรือหมูแดง โผ บัญชหี รือบนั ทึก 3. ควำมหมำยย้ำยท่ี การยืมคาจีนมาใช้แล้วความหมายของคาย้ายท่ีไปนั้น อาจเป็นการย้ายท่ี แบบไม่เหน็ เคา้ ความหมายเดมิ เลยหรอื เปน็ การยา้ ยทีแ่ บบยงั พอเหน็ เค้าความหมายเดิมอยู่ก็ได้ เช่น คำท่ีไทยใช้ คำภำษำจีน คา้ ความหมาย ค้า ความหมาย ก๊วน ซ่อง แหล่งนกั เลงเหล้า กลุ่มทีส่ นทิ กว้ ง สานัก โรง สถาน หอ ร้าน กันมาก เกาเหลา แกง มลี กั ษณะอย่างแกงจืด เกาเล้า ตกึ สงู ซม้ิ ผู้หญงิ จนี มีอายุ ซม่ิ อาสะใภ้ ตงั เก ชือ่ เรือจบั ปลาชนิดหนึ่ง ตังเก นายจ้าง (ลูกจ้างคงจะเรียกเรือชนดิ นีว้ ่า เปน็ เรือของนายจ้าง) งิว้ ละครของจนี อย่างหน่งึ อวิ คนร้องคนเลน่ ง้ิว ซซ้ี ว้ั ส่งเดช ชยุ่ ซ่ีสัว่ กระจดั กระจาย เกลื่อนกลาด เอย๊ี ม ผา้ คาดอกของเด็กเล็ก เอียม ปดิ บัง คลุม
106 คำยมื ภำษำจีนในวรรณคดี และวรรณกรรมไทย คาภาษาจีนในวรรณกรรมไทยพบไม่มากอย่างภาษาบาลี สันสฤต และเขมร แต่มีพบมาก ในวรรณกรรมและวรรณคดบี างเร่ือง โดยเฉพาะในสมัยต้นกรงุ รัตนโกสินทรเ์ ป็นตน้ มา แน่งนอ้ ย ดวงดารา (2542 : 165-170) แบ่งภาษาจนี ทอี่ ยู่ในวรรณกรรมไทยเปน็ 2 ประเภท สรปุ ได้ ดังน้ี 1. เรอ่ื งแปล เป็นเร่ืองที่นาวรรณคดี หรือวรรณกรรมจนี มาแปล คือ สมัยรัชกาลท่ี 1 มีวรรณกรรมไทยที่แปลมาจากภาษาจีนท้ังเรื่อง ได้แก่ เร่ือง “สามก๊ก” ซ่ึงเจ้าพระยา พระคลัง (หน) เป็นผู้แปล ถือเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ภาษาจีนใน วรรณคดีเรื่องน้ีมักเป็นช่ือเฉพาะ เช่น ชื่อตัวละคร และชื่อสถานท่ีต่าง ๆ โดยเฉพาะชื่อตัวละครหลาย ๆ ตัวเปน็ ท่ีรู้จักกันดีในหมู่คนไทยแม้จะไม่เคยอ่านเร่ืองสามก๊กมาก่อน เพราะตัวละครเหล่านนั้ มีลักษณะนิสัย และบทบาทเฉพาะ ซ่ึงมีผู้นามาเปรียบเทียบนิสยั หรือพฤติกรรมของคนอยู่เสมอ เช่น โจโฉ กวนอู เล่าป่ี ขงเบง้ ซุนกวน ฯลฯ ดงั มคี าเปรยี บว่า “ซื่อสตั ย์เหมอื นกวนอู”“เปน็ ผู้หยง่ั ร้ฟู า้ ดินเหมอื นขงเบง้ ” เปน็ ตน้ นอกจากเรื่องสามก๊กแล้ว ยังมีการแปลพงศาวดารจีนอีกเรื่องหนึ่งในสมัยน้ี คือ “ไซ่ฮ่ัน” ซง่ึ รชั กาลที่ 1 โปรดใหแ้ ปล และเปน็ ท่นี ยิ มอา่ นเช่นเดียวกัน สมยั รัชกาลที่ 2 มีเร่ืองแปล ไดแ้ ก่เลียดก๊ก หอ้ งสิน และต้ังฮัน่ สมัยรัชกาลที่ 4แปลเรื่อง ไซจิ๋น ตั้งจ้ิน น่าซ้อง ชุยถัง น่าปักซ้อง หงอโต้ บ้วนฮวยเหลา เป็นตน้ สมัยรัชกาลท่ี 5 มเี ร่ืองแปล ไดแ้ ก่ ไคเภ็ก ซว่ ยถงั ซิยินก้ยุ เองเลียดตว้ น ไถ้อง้ั เผ่า เป็นต้น สมัยรชั กาลที่ 6 มเี รื่องแปล ได้แก่ เซงเฉียว ง่วนเฉยี ว บเู ซ็กเทียน จากวรรณกรรมแปลดังกล่าวข้างต้น เร่ือง สามก๊ก ถือว่าเป็นเร่ืองที่คนไทยนิยมอ่านมากที่สุด แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสมัยรชั กาลท่ี 3 น้ัน แม้ว่าจะมีการเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน ประเพณีวัฒนธรรม ศิลปะจีนค่อนข้างโดดเด่น ดังหลักฐานส่ิงปลูกสร้างในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่ไม่ปรากฏเร่ืองแปล ในสมัยน้ีเลย 2. เร่อื งท่ีเขยี น หรือแต่งขึน้ พบว่าเร่ืองที่มีภาษาจีนปะปนอยู่ในวรรณคดหี รือวรรณกรรมไทยนั้น ทีเ่ หน็ ไดช้ ัดจะเป็นเรือ่ งท่แี ตง่ ขึ้นในสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ แต่มีคาภาษาจีนปะปนอยู่ไมม่ ากนกั ดังตัวอย่าง เสภาเร่ืองขนุ ช้างขุนแผน เชน่ คาวา่ “จ้งึ ” (แปลวา่ สว่าน แต้จว๋ิ ว่า จึ่ง) เพลงยาวกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ เช่น คาว่า “ต้ัวสิว” (แปลว่า ซ่อมแซมใหญ่ แต้จิ๋วว่า ตัว้ ซิว) นิราศลอนลอน ผู้แต่งคือ หม่อมราโชทัย แต่งข้ึนในสมัยรัชกาลที่ 4 ในสมัยนี้ปรากฏคาภาษาจีน อยู่หลายคา เชน่ สาปั้น (เรอื ชนดิ หนึง่ ) เก๋ง (เครือ่ งบงั มีฝาและหลงั คาแบนสาหรับเรอื ) เกง๋ พ้ัง (เรอื สาป้ันขนาดใหญม่ ีเก๋งกลางลา) โต๊ะ กก๊ (พวก หมู่ เหลา่ )
107 พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีคา ภาษาจีนจานวนมาก เช่น เจ๊ก โต๊ะ เกา้ อ้ี เก๋ง เกาเหลา (โรง)เต๊ียม ปา้ ย เลา่ เต๊ง กงเตก๊ ฯลฯ และยงั มี คาท่ีเป็นชือ่ เฉพาะอกี หลายคา เชน่ ฮกลกสิ้ว ทงั สามจงั จบ๊ั โบ๊ย เลา่ ฮัน่ เปน็ ต้น บทละครเรื่องวิวาห์พระสมุทร พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีตัว ละครที่เป็นคนจีน และคาอ่ืน ๆ เช่น อั๊ว ลอื้ ยห่ี ้อ เกือก เปีย ตงฮ้วั (ช่ือเมือง) ฮอ่ งเต้ เฮยี้ น เกง๋ ต๋ง จู๋ เกี๊ยม เจ๊สัว อั้งยี่ เฮีย เต็ก ฯลฯ จดหมายจางวางหร้า่ แตง่ โดยพระเจา้ วรวงศเ์ ธอกรมหม่ืนพทิ ยาลงกรณ์ เขียนในรูปของจดหมาย เนื้อเร่ืองเป็นจดหมายที่จางวางหร่าเขียนถึงลูกชายที่ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ตัวอย่างคาภาษาจีน เชน่ ไพ่ ซิมเซ็ก (ไพ่ส่สี ี) จับยีกี่ โป ถัว่ ต๋ัว หวย เจ้าสัว สะลาเปา หมี่ (โรง) เตยี๊ ม (รา้ น) ชา แซยิด เจก๊ เปีย ฯลฯ จากตัวอย่างคาภาษาจีนในวรรณกรรมต่าง ๆ ตัง้ แต่สมัยตน้ กรุงรัตนโกสินทร์จนถึงสมัยรชั กาลที่ 6 ส่วนใหญ่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อตัวละคร ชื่อคน ช่ือเมือง และเป็นคาสามัญท่ัวไป เก่ียวกับการพนัน คาเรียกญาติ วัฒนธรรม ส่ิงของ อาหาร เป็นต้น และคาส่วนใหญ่มีใช้จนถึงปัจจุบัน อาจจะ มีการเปลี่ยนแปลงเสียงเล็กน้อย ซ่ึงคาส่วนใหญ่เป็นคาที่ใช้บ่อยในชีวิตประจาวัน เช่น อ๊ัว ล้ือ ต๋ัว โต๊ะ เกา้ อ้ี เก๋ง เป็นตน้ กำรใชค้ ำยมื ภำษำจนี ในภำษำไทย วัล ย า ช้ า งข วัญ ยื น (2 5 5 5 : 1 8 5 -1 9 0 ) ได้ ก ล่ าว ถึ งก ารใช้ ค ายื ม ภ าษ าจี น ไว้ ว่ า คายืมภาษาจีนท่ีใช้อยู่ทั่วไปในภาษาไทยมีทั้งคาเรียกช่ืออาหาร คาเรียกช่ือผักผลไม้ คาเรียกส่ิงของ เครื่องใช้และเครื่องแต่งกาย คาเรียกญาติ คาเรียกสถานท่ีและสิ่งก่อสร้ าง คาเกี่ยวกับประเพณี และวฒั นธรรม และคากรยิ าบางคา ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี คำเรยี กช่ืออำหำร อาหารท่ีคนจีนนิยมรับประทานย่อมเป็นที่นิยมของชาวไทยเช้ือสายจีนด้วย คายืมภาษาจีนที่เป็น ชื่อเรียกอาหารทั้งความและหวานจึงปรากฏเป็นคายืมในภาษาไทย เช่น กวยจี๊ ก๋วยเต๋ียว/ก๊วยเต๋ียว เกาเหลา เกยี้ มอี๋ เต้าหู้ พะโล้ บะชอ่ หนาเล้ยี บ หม่ี จันอบั เฉากว๊ ย ซาลาเปา โอเลย้ี ง แปะ๊ ซะ คำเรียกชอื่ พชื ผัก ผลไม้ พืชผักและผลไม้จีนมีรสชาติถูกปากคนไทย และเป็นท่ีนิยมในหมู่คนไทยเช้ือสายจีนท้ัง พืช ผัก ผลไม้เหล่าน้ียังปลูกได้งอกงามดีในเมืองไทย คาเรยี กชือ่ พืช ผัก ผลไม้ท่ีเป็นคายืมจากภาษาจีนมีอยู่ไม่น้อย ในภาษาไทย เช่น กยุ ช่าย เก๊กฮวย ตัง้ โอ๋ ฉาฉา แปะ๊ กว๊ ย คำเรียกส่งิ ของเคร่อื งใช้และเครอ่ื งแตง่ กำย เมื่อคนไทยกับคนจีนติดต่อคบคา้ กัน ยอ่ มต้องรู้จักสิ่งของเครื่องใช้ของอีกฝา่ ย ของบางอยา่ งท่ีไทย ไม่เคยมีมาก่อนจึงจาเป็นตอ้ งเรียกสิ่งเหล่าน้ันตามภาษาจนี เชน่ เก๊ะ กอเอย๊ี ะ เข่ง ตัว๋ โผ ตงั เก เก๊ียะ กยุ เฮง ขาก๊วย เอีย๊ ม กเ่ี พ้า
108 คำเรยี กญำติ ดังที่กล่าวมาแล้ว ว่าไทยกับจีนมีความสัมพันธ์กันมายาวนานตั้งแต่อดีต มีการเดินทางเข้ามา ค้าขาย อพยพย้ายถิ่น และเกิดการแต่งงานจนกระท่ังมีคนไทยเชื้อสายจีนมาถึงปัจจุบัน คนเหล่าน้ีนิยม เรียกญาติด้วยคาจีน แม้กระทั่งคนไทยบางกลุ่มที่ไม่มีเชื้อสายจีนยังเรียกตาม คาเรียกญาติที่เป็นคายืม ภาษาจีน เช่น ก๋ง เจ๊ ซ้อ ต๋ี เต่ีย แป๊ะ ม่วย/หมาวย เฮีย อาม้า กู๋(น้าชาย) อี๊(น้าสาว) อึ๊ม(ป้าสะใภ้) เป็นต้น คำเรียกสิง่ ก่อสร้ำง และสถำนท่ี คาประเภทนี้มีไม่มากนักแต่ก็เป็นคายืมภาษาจีนท่ีคนไทยใช้อยู่บ่อย ๆ ในชีวิตประจาวัน เช่น เก๋ง ห้าง โชหว่ ย ชา อู่ คำกรยิ ำบำงคำ คากริยาบางคาท่ีคนจีนใช้อยู่ท่ัวไป เม่ือคนไทยได้ติดต่อสมาคมกับคนจีนก็สื่อสารกับคนจีนด้วย คาเหลา่ น้นั และในทีส่ ุดก็กลายเปน็ คาทีค่ นุ้ หแู ละพบใช้อยู่ทั่วไป เช่น จอ๋ เจี๊ยะ ชีช้า ตยุ๊ แมะ โละ ฮว้ั คำทีเ่ ก่ียวกบั ศำสนำ ประเพณี และวฒั นธรรม มีคนไทยส่วนหนึ่งนับถือเทพเจ้า หรือนับถือลัทธิจีน และคนไทยเช้ือสายจีนส่วนใหญ่ก็มีความ ศรัทธาในศาสนา หรือวัฒนธรรมประเพณีของจีน จึงปรากฏคายืมท่ีเกี่ยวข้องกับศาสนา ประเพณีและ วฒั นธรรม เช่น กงเต๊ก ขงจ๊อื ชง เซ่น เซียมซี เตา๋ ฮวงซยุ้ /ฮวงจยุ้ แต๊ะเอีย เช็งเมง้ นอกจากนี้ ศุภกร เลิศอมรมีสุข (2556 : 52-) ศึกษาคายืมภาษาจีนจากพจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งแบง่ ศึกษาตามกลุ่มความหมายของคาที่ยมื มา สรุปไดด้ ังน้ี 1. กลุ่มความหมายเก่ียวกับอาหารและการปรุงอาหาร เช่น กวยจ๊ับ กวางตุ้ง กุนเชียง คะน้า จนั อบั เจยี ว ซิงฮือ้ ตุ๋น เต้าส่วน 2. กลุ่มความหมายเก่ียวกับสิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช้ เคร่ืองเรือน เช่น กี๋ เก๊ะ จับเจี๋ยว ตู้ (มดี )บังตอ ป้ี อวย 3. กลุ่มความหมายเก่ียวกับการแต่งกาย เคร่ืองประดับ เช่น กิ๊บ ก่ีเพ้า กุยเฮง เกี๊ยะ ยี่โป้ หลิน เอ๊ยี ม 4. กลุ่มความหมายเกยี่ วกับธุรกจิ การคา้ เชน่ กมิ ตง๋ึ โชห่วย เซ้ง เปยี (แชร)์ โพยก๊วน หนุ้ 5. กลุ่มความหมายเกี่ยวกับคุณลักษณะ กิริยา อาการ พฤติกรรม เช่น ก๊ง (ปาก) ก๋ึน เก๊ จับฉ่าย จว๊ั ะ แฉโพย 6. กลุ่มความหมายเกี่ยวกับความเชื่อ ศาสนา ประเพณี และสังคม เช่น กังฟู ขงจื๊อ จิ้มก้อง เซยี มซี เต๋า แต้จวิ๋ ฮวงซยุ้ 7. กลุ่มความหมายเก่ียวกับการงาน อาชีพ ตาแหน่ง เช่น กุนซือ จับกัง จีนแส หรือซินแส ตว้ั โผ หรอื โตโ้ ผ ทอ่ งส่อื ล้าต้า หลงจู๊ 8. กลุ่มความหมายเก่ียวกับเครือญาติ กลุ่มคน และกลุ่มบุคคล เช่น ก๊วน เซียน ต้ัวเหี่ย หรอื ตัวเฮียน หมวย ต๋ี แปะ๊ เจก๊ เจส๊ วั อ้งั ย่ี กยุ๊
109 9. กลุ่มความหมายเกยี่ วกบั ประเทศ สถานท่ี และสิ่งปลกู สรา้ ง เชน่ กวางต้งุ ญป่ี นุ่ ลู่ ไหหลา 10. กลุ่มความหมายเกี่ยวกับยานพาหนะ เช่น เก๋ง เก้ียว ตังเก โป๊ะจ้าย เรียว เลียว โล้ สาปน้ั เอี้ยมจ๊นุ 11. กลมุ่ ความหมายเก่ียวกบั ธรรมชาติ เช่น (กระ)เจ๊ียว หรือเจ๊ียว เกาเหลยี ง หรือเกาลิน ไต้ฝุ่น โปย๊ เซียน โลต่ ิ๊น หลวิ 12. กลมุ่ ความหมายเกี่ยวกบั ลกั ษณนาม จานวน มาตรา เชน่ กง๊ เทยี บ ลี้ หลี หุน 13. กล่มุ ความหมายเกี่ยวกับการละเลน่ และมหรสพ เช่น กั๊ก จับยกี่ ี แต้ม ไต๋ ถั่ว ปาหี่ โปกา 14. กลุ่มความหมายเก่ียวกับชนชาติ เช่น กวางตุ้ง เกาหลี แคะ จีน ญ่ีปุ่น แต้จิ๋ว ไหหลา ฮกเกย้ี น ฮอ่ สรุป คายืมภาษาจีนในภาษาไทยส่วนใหญ่ เป็นคาท่ีเกี่ยวข้องกับอาหาร พืช ผัก ผลไม้ ส่ิงของ เครื่องใช้ เคร่ืองแต่งกาย คาเรียกญาติ อาคาร สถานที่ ศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรม คายืมเหล่าน้ี ล้วนเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่ การเจริญสัมพันธไมตรี การค้าขาย การอพยพ การรับประเพณี และวัฒนธรรมจนเกิดการยืมภาษาขึ้นดังกล่าว และคายืมส่วนใหญ่มักใช้เป็นภาษาพูดจากัน ในชวี ิตประจาวันจนกลายเป็นสว่ นหนง่ึ ของภาษาไทยอย่างแยกกันไม่ได้ ตัวอย่ำงคำยมื ภำษำจนี ในภำษำไทย ตวั อย่างคายืมภาษาจีนในภาษาไทยที่ยกตวั อย่างน้ี ปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ซึง่ หลังคายมื น้ัน ๆ จะบอกทีม่ าของคายืมภาษาจีนโดยใช้อกั ษรยอ่ คอื จ. หมายถึง จีน (ลดั ดา วรลัคนากุล, 2558 : ออนไลน)์ ตัวอยา่ งคายมื ภาษาจีนในภาษาไทย มดี งั นี้ กก๊ น. พวก หมู่ เหล่า โดยปรกติมักใช้เข้าคู่กันว่า เป็นกก๊ เปน็ พวก เป็นก๊กเปน็ หมู่ เป็นก๊กเป็น เหล่า. (จ. วา่ ประเทศ). กง๊ (ปาก) ก. ดมื่ (ใช้แก่เหลา้ ) เชน่ กง๊ เหล้า. น. หน่วยตวงเหล้าโรงเปน็ ต้นตามวิธีประเพณี 1 ก๊ง เท่ากบั 50 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร. (จ.). กงไฉ่ น. ผกั กาดเคม็ ชนดิ หนึ่งของจีน. (จ. กง้ ไฉ่ วา่ ผกั ดองเค็ม). กงเต๊ก น. การทาบุญให้แกผ่ ตู้ ายตามพธิ ีของนักบวชนิกายจีนและญวน มกี ารสวดและเผากระดาษ ท่ที าเป็นรูปต่าง ๆ มบี ้านเรอื น คนใช้ เป็นตน้ . (จ.). กงสี น. ของกองกลางท่ีใชร้ วมกนั สาหรบั คนหมหู่ น่ึง ๆ หุ้นสว่ น บริษัท. (จ. กงซี ว่า บรษิ ทั ทาการค้า กิจการ ทจ่ี ัดเปน็ สาธารณะ). กวยจับ๊ น. ช่อื ของกินชนิดหนง่ึ ทาดว้ ยแปง้ ที่ใช้ทาเส้นก๋วยเต๋ยี ว แต่หนั่ เปน็ ชิ้นใหญ่ ๆ ตม้ สกุ แลว้ ปรงุ ด้วย เครอื่ งมีหมเู ปน็ ตน้ . (จ.). กวยจ๊ี น. เมลด็ แตงโมตม้ แล้วตากใหแ้ หง้ ใช้ขบเคยี้ ว. (จ.). กว๋ ยเต๋ียว น.ชอื่ ของกินชนดิ หนง่ึ ทาด้วยแปง้ ข้าวเจา้ เปน็ เส้น ๆ ถา้ ลวกสกุ แล้วปรุงด้วยเครื่องมหี มูเปน็ ตน้ . กอเอี๊ยะ น. ขผ้ี ้ึงปดิ แผลชนิดหนึ่งแบบจีน. (จ.). กงั ฉิน ว. คดโกง ไม่ซือ่ ตรง. (จ. กังฉนิ ว่า อามาตยท์ ุจรติ อามาตยท์ รยศ). กยุ๊ น. คนเลว คนโซ. (จ. กุ๊ย ว่า ผี).
110 กยุ ชำ่ ย น. ช่อื ไมล้ ม้ ลุกชนิด Allium tuberosum Roxb. ในวงศ์ Alliaceae คล้ายตน้ หอมหรือ กระเทยี ม ใบแบน กลิน่ ฉุน กินได้ นาเข้ามาปลูกเพื่อเป็นอาหาร พายพั เรยี ก หอมแป้น. (จ.). กยุ เฮง น. เสือ้ แบบจนี ชนดิ หนึ่ง คอกลม ผา่ อกตลอด ติดกระดุม มีกระเปา๋ ดา้ นล่างข้างละกระเป๋า. (จ.). เก๊ ว. ปลอมหรอื เลยี นแบบเพ่ือให้หลงผิดวา่ เปน็ ของแท้ ไมใ่ ชข่ องแท้ ไมใ่ ชข่ องจริง โดยปรยิ าย หมายความว่าไมม่ รี าคา ใชก้ ารไมไ่ ด้. (จ.). เก๊ก (ปาก) ก. วางท่า; ขับไล่. (จ.). เกำเหลำ [–เหฺลา] น. แกงมีลกั ษณะอย่างแกงจืด. (จ.). เกำเหลียง 1 [–เหฺลียง] น. ชอ่ื เหลา้ จนี ชนดิ หนึ่ง. (จ.). เกำเหลียง 2 [–เหฺลยี ง] น. ชอื่ ดนิ ชนดิ หนึง่ ใช้ปัน้ ทาเครื่องเคลอื บดินเผาได้ดี ดินเกาลิน กเ็ รยี ก. (จ.). เก้ำอ้ี น. ทส่ี าหรบั นงั่ มขี าและพนักพิง มกั ยกย้ายไปมาได้ มหี ลายชนดิ ถา้ มีรปู ยาวใชน้ อน เรียกว่า เกา้ อี้ นอน ถา้ ใชโ้ ยกได้ เรียกว่า เก้าอโี้ ยก ลักษณนามว่า ตัว. (จ.). เกี้ยมไฉ่ น. ผักดองเค็มชนิดหนึง่ . (จ.). เกีย้ มอ๋ี น. ของกินชนดิ หนึง่ ทาดว้ ยแป้งข้าวเจ้า เป็นตวั ๆ คลา้ ยลอดช่อง. (จ. ว่า เจยี มอ๊)ี . เกี้ยว 2 น. คานหามของจนี ชนดิ หนึง่ . (จ.). เกย๊ี ว น. ของกินชนิดหนึง่ ใชแ้ ผน่ แปง้ สาลตี ัดเป็นส่เี หล่ียมเล็ก ๆ ห่อหมสู ับเปน็ ต้น. (จ.). เกย๊ี ะ น. เกือกไมแ้ บบจีน. (จ.). ง่วน ว. เพลินทาเพลนิ เล่นอย่กู ับส่ิงใดสง่ิ หนง่ึ . (จ. หง่วน). จนั อบั น.ช่ือขนมหวานอย่างแห้งของจนี มหี ลายอย่างรวมกนั เช่น ขา้ วพอง ถว่ั ตดั งาตัด. จบั กงั น.กรรมกร ผ้ใู ช้แรงงาน ใชเ้ รยี กผ้รู บั จ้างทางานตา่ ง ๆ. (จ.). จับกมิ้ น.ชอ่ื ขนมของจีนชนดิ หนงึ่ มี 10 อย่างเชน่ ฟักเชือ่ ม ถั่วตดั งาตดั ขา้ วพอง มักใช้เป็นของไหวเ้ จา้ . จับเจีย๋ ว น. หม้อดินเล็ก ๆ มีพวยและท่ีจับสาหรบั ต้มนา้ . (จ.). (รูปภาพ จับเจี๋ยว) จบั ฉ่ำย น. ชื่ออาหารอยา่ งจีนชนิดหน่งึ ทใ่ี ส่ผกั หลาย ๆ อย่าง. (ปาก) ของต่าง ๆ ท่ีปะปนกนั ไม่เป็นสารบั ไม่เปน็ ชุด. (จ.). จับยี่กี น. การเล่นพนนั ของจีนชนดิ หนึง่ มไี พ่ทาดว้ ยไม้แผน่ บาง ๆ รูปส่ีเหลยี่ มผืนผา้ 12 แผน่ . (จ.). จำ้ ง 1 น. ชอื่ ขนมของจนี ชนิดหนึง่ ทาด้วยข้าวเหนยี วทแี่ ช่น้าด่างแล้วลา้ งให้สะอาด นามาผง่ึ ให้สะเดด็ น้า ห่อดว้ ยใบไผแ่ ลว้ ต้มใหส้ ุก. (จ. จงั ). จีนเต็ง น. หวั หน้าคนงานทีเ่ ป็นชาวจนี (ใช้เฉพาะในสถานท่ีทาการร่วมกันมาก ๆ เชน่ บ่อนหรอื โรงสรุ า ยาฝ่นิ ). (จ.). จีนแส น. หมอ ครู ซินแส ก็วา่ . (จ. ซินแซ). เจ น. อาหารที่ไม่ปรุงดว้ ยเน้ือสตั ว์ และผกั บางชนดิ เช่นกระเทียม กยุ ช่าย ผกั ชี แจ ก็วา่ . (จ. วา่ แจ). เจง่ 2 เจง้ น. เคร่อื งดนตรีจีนชนิดหนงึ่ มสี ายสาหรบั ดดี คลา้ ยจะเข.้ (จ. ว่า เจ็ง). เจ๊ง (ปาก) ก. เลิกล้มกิจการเพราะหมดทุน; สนิ้ สดุ . (จ.). เจยี๋ น น. กับขา้ วอย่างหนง่ึ มีปลาทอดแลว้ ปรงุ ด้วยเครื่องต่าง ๆ เรยี กวา่ ปลาเจ๋ยี น. (จ. เจี๋ยน วา่ เคลอื บ น้าตาล เชื่อมนา้ ตาล). แจ น. อาหารทีไ่ ม่ปรงุ ด้วยเน้ือสัตว์ และผกั บางชนดิ เชน่ กระเทียม กุยช่าย ผักชี เจ กว็ ่า. (จ.). โจก๊ น. ขา้ วต้มชนดิ หนึง่ ที่ใชป้ ลายข้าวตม้ จนเละ. (จ.). เฉำกว๊ ย น. ช่ือขนมชนดิ หน่ึง สดี า ทาจากเมือกท่ไี ดจ้ ากการตม้ เคย่ี วพรรณไมช้ นดิ หนึ่ง ใสแ่ ป้งลงไปผสม กวนให้ทวั่ ทงิ้ ไว้ให้เย็น กนิ กับนา้ หวานหรือใส่น้าตาลทรายแดง. (จ.).
111 แฉโพย ก. เปดิ เผยข้อทปี่ ิดบังหรือความลับ. (จ.). ซวย (ปาก) ว. เคราะหร์ ้าย อบั โชค. (จ.). ซำลำเปำ น.ชือ่ ขนมชนิดหนง่ึ ของจนี ทาดว้ ยแป้งสาลีปน้ั เป็นลกู กลม ข้างในใส่ไส้ มีทงั้ ไส้หวานและไส้เค็ม. ซินแส น. หมอ ครู จีนแส ก็วา่ . (จ.). ซีอ๊ิว ซ่ีอวิ้ น. เครอ่ื งปรงุ รสอย่างนา้ ปลา ทาดว้ ยถ่วั เหลอื ง นา้ ปลาถว่ั เหลอื ง กเ็ รียก อย่างใสเรยี กว่า ซอี วิ๊ ขาว อยา่ งข้นเรียกวา่ ซีอิว๊ ดา ถ้าใสน่ ้าตาลทรายแดง เรียกว่า ซอี ๊วิ หวาน. (จ.). ซึ้ง 1 น. ภาชนะสาหรบั น่งึ ของ ทาดว้ ยโลหะมลี ักษณะกลมคลา้ ยหม้อ ซอ้ นกันเป็นชน้ั ๆ 2-3 ชัน้ ชน้ั ลา่ งใสน่ ้าสาหรบั ตม้ ให้ความร้อน ชน้ั ทซี่ อ้ นท่กี ้นเจาะเป็นรู ๆ เพื่อให้ไอนา้ ร้อนผา่ นให้ของในช้นั ที่ซ้อน สกุ มฝี าครอบคลา้ ยฝาชี ลงั ถงึ ก็วา่ . (จ. เลง่ ซง้ึ ). เซ้ง (ปาก) ก. โอนสิทธหิ รอื กิจการไปให้อีกคนหนงึ่ โดยได้ค่าตอบแทน รับโอนสทิ ธิหรือกิจการจากอกี คน หนึง่ โดยตอ้ งเสยี คา่ ตอบแทน เรยี กวา่ รับเซง้ . (จ.). เซยี น น. ผสู้ าเรจ็ ผวู้ ิเศษ; โดยปริยายหมายความวา่ ผู้ท่เี ก่งหรือชานาญในทางใดทางหนึ่งเปน็ พิเศษ เช่น เซยี นการพนนั . (จ.). เซียมซี น. ใบทานายโชคชะตาตามศาลเจ้าหรือวัด มีเลขหมายเทยี บกบั เลขหมายบนต้ิวท่เี สีย่ งได.้ (จ.). แซ่ 2 น. ชื่อสกุลวงศข์ องจีน. (จ.). แซยิด น. วนั ทมี่ อี ายุครบ ๕ รอบนกั ษัตร คอื ๖๐ ปบี ริบรู ณต์ ามคติของจีน เรียกการทาบุญในวนั เชน่ นน้ั ว่า ทาบุญแซยดิ . (จ.). ตงฉิน ว. ซอื่ ตรง ซื่อสตั ย์. (จ. ตงฉิน วา่ อามาตยซ์ ื่อสัตย)์ . ตะหลิว น. เคร่อื งมือทาดว้ ยเหลก็ ใชแ้ ซะหรือตักของทีท่ อดหรอื ผัดในกระทะ. (เทียบ จ. เตี้ยะ ว่า กระทะ + หลิว ว่า เครอ่ื งแซะ เคร่ืองตกั ). ตงั ฉ่ำย น. ผักดองแห้งแบบจีนชนิดหนงึ่ ใช้ปรงุ อาหาร. (จ.). ตงั โอ๋ น. ช่อื ไม้ล้มลุกชนิด Chrysanthemum coronarium L. ในวงศ์ Compositae ใบเล็กหนา กล่ิน หอม กนิ ได้ เปน็ พรรณไม้ตา่ งประเทศ งาไซ ก็เรียก. (จ.). ตว๋ั น. บตั รบางอย่างท่ีแสดงสทิ ธขิ องผู้ใช้ เชน่ ต๋วั รถ ตวั๋ หนงั . (จ.). ตั้วโผ น. หวั หนา้ คณะมหรสพ มีละคร ง้ิว เป็นต้น โตโ้ ผ กเ็ รียก. (จ.). ตว้ั สิว ก. ซอ่ มแซม เชน่ ต้องต้ัวสิวสาเภาเอาเข้าอู่. (จ.). ตวั้ เหีย่ น. ตาแหนง่ หัวหนา้ องั้ ยี่ อ้งั ย.ี่ (จ.). ตำเตง็ น. เครือ่ งชงั่ หรือตาชั่งขนาดเล็กชนดิ หนึง่ มีถาดห้อยอยู่ทางหัวคันทเี่ ปน็ ไม้หรอื งาชา้ ง มตี ุ้ม ถว่ ง ห้อยเล่อื นไปมาตามคนั ได้ เดิมใชส้ าหรับชั่งทอง เงนิ เพชร และพลอย เต็ง ก็เรยี ก. (เทยี บ จ. เต็ง). ตุ๋น ก. ทาใหส้ ุกด้วยวิธีเอาของใส่ภาชนะวางในภาชนะทีม่ ีน้าแลว้ เอาฝาครอบ ต้งั ไฟให้นา้ เดอื ด เช่น ตนุ๋ ไข่ ตุ๋นข้าว เคย่ี วใหเ้ ปื่อย เช่น ตุ๋นเนือ้ ตนุ๋ เป็ด. น. เรยี กส่งิ ทที่ าให้สุกโดยวธิ ีดงั กลา่ ว เชน่ ไข่ ตนุ๋ เนื้อต๋นุ เป็ดตุ๋น; (ปาก) โดยปรยิ ายหมายความว่า หลอกลวงเอาไปแทนหมดตวั ผถู้ กู หลอกลวงเอาไปแทบหมดตวั เรียกวา่ ผู้ถกู ต๋นุ . (จ.). ตุ๊ย ก. เอาหมัดกระแทกเอา. (จ.). ตู๊ ก. ประทัง พอถูไถ ชดเชย เช่น พอตู๊ ๆ กนั ไป. (จ.). เต็ง 2 น. ตาเต็ง. (จ.). เตำ๋ 2 น. ชอื่ ศาสนาสาคัญศาสนาหน่ึงของจนี มศี าสดาชอ่ื เลา่ จ๊ือ หรือ เหลาจ่ือ เตา้ กว็ ่า. (จ.).
112 เตำ้ เจีย้ ว น. ถัว่ เหลอื งท่ีหมกั เกลอื สาหรับปรุงอาหาร. (จ.). เตำ้ ทึง น. ช่อื ของหวานชนดิ หน่ึง มถี ัว่ แดงกับลูกเดือยตม้ แป้งกรอบ ลกู พลบั แหง้ เปน็ ต้น ใส่นา้ ตาล ต้มรอ้ น ๆ. (จ.). เต้ำสว่ น น.ชื่อของหวานชนิดหน่งึ ทาดว้ ยแปง้ เปียกกวนกับถัว่ เขียวที่เอาเปลือกออกแลว้ ราดน้ากะทิ.(จ.). เต้ำหู้ น. ถวั่ เหลอื งท่โี ม่เป็นแป้งแล้วทาเป็นแผน่ ๆ ใช้เป็นอาหาร มี 2 ชนิดคอื เตา้ หขู้ าวและเต้าห้เู หลือง. เต้ำหยู้ ี้ น. อาหารเค็มของจนี ทาด้วยเตา้ หู้ขาวหมัก. (จ.). เตำ้ ฮวย น. ชอ่ื ของหวานชนิดหนึง่ ทาด้วยนา้ ถว่ั เหลอื งทีม่ ีลกั ษณะแข็งตวั ปรุงดว้ ยน้าขงิ ต้มกับน้า ตาล. โต้โผ น. ตว้ั โผ. (จ.). ไต๋ (ปาก) น. กลเมด็ ทเี ดด็ ความลบั เจตนาแท้จริงซง่ึ ซ่อนเรน้ ไว้; ไพต่ ัวสาคญั ซง่ึ ปิดไว้ไม่ใหค้ ่แู ข่ง รู้. (จ.). ไต้กง๋ น. นายท้ายเรอื สาเภาหรือเรอื จบั ปลา. (จ.). ไตฝ้ ุน่ น. ชอ่ื พายุหมนุ ท่ีมกี าลังแรงจัด ทาให้มีฝนตกหนกั มาก เกดิ ขน้ึ ในบริเวณภาคตะวันตก ของ มหาสมทุ รแปซิฟิกและในทะเลจนี มคี วามเร็วลมใกล้บริเวณศูนย์กลางต้ังแต่ 65 นอต หรือ 120 กิโลเมตรตอ่ ชวั่ โมงขึ้นไป. (จ.). ถวั ก. ทาให้มีส่วนเสมอกัน เฉลยี่ . (จ.). เถำ้ แก่ น. ตาแหนง่ ข้าราชการฝ่ายในในพระราชสานัก; ผ้ใู หญท่ ่เี ปน็ ประธานในการสู่ขอและการ หมน้ั ; เรียกชายจนี ที่เป็นผู้ใหญแ่ ละมีฐานะดี เรียกชายจีนท่เี ปน็ เจา้ ของกจิ การ. (จ. เถ่าแก)่ . บว๊ ย 2 (ปาก) ว. ทส่ี ดุ ท้าย ลา้ หลังที่สุด. (จ.). บะ๊ จ่ำง น. ชือ่ อาหารคาวของจนี ชนดิ หน่งึ ทาดว้ ยข้าวเหนียวนามาผดั น้ามนั มีไส้หมูเคม็ หรอื หมู พะโล้ กุนเชียง ไขเ่ ค็มเฉพาะไขแ่ ดง กงุ้ แห้ง เห็ดหอม เป็นต้น ห่อด้วยใบไผแ่ ลว้ ตม้ ให้สุก. (จ.). บะหมี่ น. ชอื่ อาหารชนดิ หนงึ่ ทาดว้ ยแปง้ สาลี เป็นเส้นเล็ก ๆ มีสีเหลอื ง ลวกสกุ แลว้ ปรุงดว้ ยเครอ่ื ง มีหมู เปน็ ตน้ . (จ.). ปงุ้ ก๋ี น. เครอ่ื งสานรปู คล้ายเปลือกหอยแครง สาหรบั ใชโ้ กยดินเปน็ ตน้ บงุ้ ก๋ี ก็ว่า. (จ.). เปำะเปยี๊ ะ น. ช่ืออาหารชนดิ หน่ึง โดยนาแป้งสาลีมาทาให้สุกเป็นแผ่นกลมบาง ๆ เรียกวา่ แผน่ เปาะเป๊ียะ แลว้ หอ่ ถัว่ งอกลวก หมูตัง้ หรือกุนเชียง ชน้ิ เตา้ ห้ตู ้มเค็ม และแตงกวา ราดด้วยนา้ ปรุง รส ข้น ๆ รสหวานเคม็ โรยหนา้ ด้วยเน้ือปแู ละไข่หัน่ ฝอย หรือห่อรวมไวใ้ นแผ่นเปาะเป๊ียะก็ได้ กินกับต้นหอม และพริกสด เรียกว่า เปาะเปี๊ยะสด ชนิดท่ใี ช้แผ่นเปาะเปยี๊ ะห่อไสท้ ปี่ ระกอบด้วย วุ้นเส้น ถัว่ งอก เนื้อไก่ หรือหมูสบั เปน็ ต้นทีล่ วกสกุ แลว้ นาไปทอด กินกับผักสดต่าง ๆ เชน่ ใบ โหระพา สะระแหน่ และน้าจมิ้ ใส รสหวานอมเปรยี้ ว เรียกว่า เปาะเปยี๊ ะทอด. (จ.). เปีย 1 น. ผมท่ไี วย้ าวบริเวณทา้ ยทอย ผมทถ่ี ักห้อยยาวลงมา ผมเปีย หรอื หางเปีย กเ็ รียก เรียก ลายท่ี ถกั ตอก ๓ ขาไขว้กนั ว่า ลายเปีย หรอื ลายผมเปีย; พวงมาลยั ทีม่ อี ุบะห้อยลงมาเหมือน ผมเปยี . (จ.). เปยี 2 น. ชือ่ ขนมอย่างหนง่ึ ทาดว้ ยแป้งเปน็ ช้ัน ๆ มีไส้ใน ขนมเปียะ หรือ ขนมเปยี๊ ะ ก็ว่า. (จ.). แปะ๊ ซะ น. ชอื่ อาหารใชป้ ลานึ่งจ้มิ นา้ ส้มกินกบั ผกั . (จ.). โป๊ ก. สง่ เสรมิ ส่งิ ท่บี กพร่อง เชน่ ยาโป๊ ทาสง่ิ ยังบกพร่องอยู่ให้สมบรู ณ์ เช่น เอาสโี ป๊ตรงทเ่ี ปน็ ชอ่ ง เป็นรู ก่อนทาสเี อาปนู โป๊รอยทช่ี ารดุ . (จ. โปว้ วา่ ปะชนุ เสื้อผ้า ซ่อมแซม บารุงร่างกาย). (ปาก) ว. เปลือยหรอื ค่อนข้างเปลือย เช่น รปู โป๊ มเี จตนาเปิดเผยอวัยวะบางส่วนทค่ี วรปกปดิ เชน่ แต่งตัวโป๊. โปเก (ปาก) ว. เกา่ แก่จนใช้การไม่ได้ดี. (จ.). โผ (ปาก) น. บญั ชรี ายชื่อบคุ คลท่ีเตรียมไวล้ ่วงหน้า. (จ. โผว วา่ บัญช)ี . มส่ี ั้ว น. เส้นหมีข่ นาดเลก็ ๆ ทาดว้ ยแป้งสาลี ตากแห้งเก็บไวไ้ ดน้ าน. (จ.).
113 ย่ีหอ้ น. เคร่อื งหมายสาหรบั ร้านค้าหรอื การคา้ ช่อื ร้านคา้ ; เครอ่ื งหมาย เช่น สนิ คา้ ยหี่ ้อน้รี ับประกัน ได้; (ปาก) ลักษณะ เชน่ เด็กคนนี้หนา้ ตาบอกยีห่ ้อโกง; ชื่อเสียง เช่น ตอ้ งรักษายห่ี ้อใหด้ ี อย่า ทาใหเ้ สยี ยี่หอ้ . ลนิ้ จี่ น. ชอื่ ไม้ตน้ ชนดิ Litchi chinensis Sonn. ในวงศ์ Sapindaceae ผลกลม สีแดง รส เปรี้ยวๆ หวาน ๆ มหี ลายพันธ์ุ เช่น กะเทยนางหมั่น โอเฮียะ กมิ เจ็ง สีละมนั กเ็ รียก. (จ. ลีจ)ี . ว. สี แดง เขม้ คลา้ ยเปลอื กลิน้ จี่ เรียกว่า สีลนิ้ จ.ี่ (จ. อินจี). ลือ้ 2 (ปาก) ส. คาใชแ้ ทนผู้ท่เี ราพูดดว้ ย เพศชาย ใช้พูดกับผ้ทู เ่ี สมอกันหรือผูน้ อ้ ยในทานองเป็นกันเอง เป็นสรรพนามบรุ ุษท่ี 2. (จ. ล่อื ว่า คาใช้เรยี กบุรษุ ที่ 2). สำลี่ 1 น.ชือ่ ไม้ตน้ ชนดิ Pyrus pyriflora L. ในวงศ์ Rosaceae ผลเนอ้ื กรอบ รสหวานอมเปร้ียวเล็กน้อย กล่ินหอม. (จ.). โสหุ้ย น. คา่ ใช้จ่าย. (จ.). หลงจู๊ น. ผู้จัดการ. (จ.). หลี [หฺล]ี น. ชื่อมาตราจนี คือ 10 หลี เป็น 1 หุน. หอง 2 ก. สง่ ใหส้ ูงขน้ึ แต่งให้สูงขนึ้ . (จ.). ห้ำง 2 น. สถานทจี่ าหน่ายสินค้า สถานที่ประกอบธรุ กิจ. (จ.). หุน น. ชอ่ื มาตราวัดหรือชง่ั ของจนี ในมาตราวดั 1 หนุ หมายถึงเส้นผา่ ศนู ย์กลาง 1.5 ใน 16 ของ นว้ิ ใน มาตราช่ัง 5 หนุ เทา่ กับ 1 เฟื้อง. (จ.). ห้นุ น. สว่ นที่ลงทุนเท่ากันในการคา้ ขายเปน็ ต้น. (เทยี บภาษาจีนแตจ้ ๋ิว ห่งุ วา่ หนุ้ สว่ น); (กฎ) หนว่ ย ลงทุนแตล่ ะหน่วยทมี่ มี ูลคา่ เทา่ ๆ กนั ซ่ึงรวมกันเปน็ ทุนเรือนห้นุ ของบริษทั จากัด. (อ. share). เหลำ 3 [เหลฺ า] น. ภัตตาคาร. (จ.). เหลียน [เหลฺ ยี น] น. ชอื่ มดี ขนาดใหญ่ ใบมีดแบน ปลายกวา้ งโคนแคบ สันหนาและโค้งดงุ้ ข้นึ โคน มดี ทา เป็นบอ้ ง หรือก่นั สอดติดกบั ด้ามไมย้ าว ใช้ถางปา่ ตดั ออ้ ย หรือรานกง่ิ ไมเ้ ปน็ ตน้ อี เหลยี น ก็เรยี ก. (จ.). ไหน 3 น. ชอ่ื ผลไม้คลา้ ยพทุ รา. (จ.). (พจน. 2493). อ๋อง น. เจ้านายชน้ั สูงของจนี . (ปาก) ว. เย่ยี มยอด เชน่ มือชัน้ ออ๋ ง. (จ.). อง้ั ยี่ น. สมาคมลบั ของคนจีน; (กฎ) ชอ่ื ความผดิ อาญาฐานเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซ่ึงปกปดิ วิธี ดาเนนิ การและมีความมงุ่ หมายเพื่อการอันมิชอบดว้ ยกฎหมาย เรียกว่า ความผิดฐานเป็นอั้งยี่. (จ.). องั้ โล่ น. เตาไฟดนิ เผาชนิดหนึง่ ของจนี ยกไปได.้ (จ.). เอ๊ียม น. แผน่ ผา้ สาหรบั คาดหนา้ อกเด็กเล็ก ๆ เต่า ก็ว่า. (ดู เต่า 2). (จ.). เอี้ยมจนุ๊ น. ช่อื เรือขนาดใหญ่ ต่อดว้ ยไม้ ท้องเรือเป็นสัน สาหรับขนถ่ายและบรรทุกสินคา้ . (จ.). ฮวงซุ้ย น. ที่ฝังศพของชาวจีน ฮวงจุ้ย กว็ ่า. (จ.). ฮวน น. คาทจ่ี ีนใช้เรยี กคนต่างชาต.ิ (จ.). ฮอ้ (ปาก) ว. ดี. (จ.). ฮอ่ ยจ๊อ น. ชอื่ อาหารแบบจีนชนดิ หนงึ่ ใช้เนอ้ื ปู มันหมแู ข็งต้มสกุ ผสมกบั แปง้ มันและเครอ่ื งปรุงรส บด หรอื โขลกจนเหนยี วแลว้ หอ่ ด้วยฟองเตา้ ห้เู ป็นทอ่ น กลม ๆ ยาว ๆ มัดเป็นเปลาะ ๆ นงึ่ แล้วทอดให้สกุ กินกบั นา้ จ้ิม. (จ.). ฮว้ั (ปาก) ก. รวมหวั กนั รว่ มกันกระทาการ สมยอมกันในการเสนอราคาเพอื่ มุ่งหมายมิให้มีการแข่งขัน ราคาอยา่ งเปน็ ธรรม. (จ.). ฮ่อื ฉ่ี น. ชอื่ อาหารแบบจนี ชนิดหนึ่ง ใช้หปู ลาฉลามตุ๋น. (จ. ฮื่อฉี่ ว่า ครบี ปลา). ฮอ่ื แซ น. ชอ่ื อาหารแบบจีนชนดิ หน่งึ ยาปลาดบิ ๆ ด้วยน้าสม้ และผกั . (จ. ฮ่ือแซ ว่า ปลาดบิ ).
114 เฮง (ปาก) ว. โชคดี เคราะห์ดี. (จ. เฮง ว่า โชคดี). เฮงซวย (ปาก) ว. เอาแนน่ อนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่า ไมด่ ี เช่น คนเฮงซวย ของเฮงซวย เร่ือง เฮงซวย. (จ. เฮง ว่า โชคดี ซวย ว่า เคราะห์รา้ ย เฮงซวย วา่ ไมแ่ น่นอน). เฮีย้ น (ปาก) ว. มกี าลังแรงหรอื มีอานาจศักดส์ิ ทิ ธท์ิ อ่ี าจบนั ดาลให้เป็นไปได.้ (จ.). สรุป ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์อันดีงานกันมาช้านานทั้งทางด้านการทูต ประเพณีวัฒนธรรม เชื้อสาย การคา้ ขาย และการทหาร การรบ ความสัมพันธ์เหล่าน้ีทาให้เกิดการยืมภาษาจีนมาใช้ในภาษาไทย อีกท้ัง จัดอยู่ในตระกูลภาษาคาโดดเหมือนกัน เรายังสามารถศึกษาลักษณะคายืมภาษาจีนในภาษาไทย ซ่ึงส่วน ใหญ่เป็นคาที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรกลาง (ก จ ด ต บ ป อ) และมักเป็นคาท่ีใช้วรรณยุกต์ตรีหรือ จัตวา นอกจากนี้ยังมีการใช้สระเสียงสั้น /เอียะ/ และ /อัวะ/ ซึ่งต่างจากภาษาไทยท่ีใช้สระเหล่านี้เลียน เสียงหรือเป็นคาขยายเท่านั้น การยืมภาษาจีนนั้นไทยใช้วิธีการยืมมาใช้โดยวิธีการทับศัพท์ การทับศัพท์ แต่เสียงเปลี่ยนไป ใช้คาไทยแปลคาภาษาจีน ใช้คาไทยประสมหรือซ้อนกับคาภาษาจีน สร้างคาใหม่หรือ ความหมายใหม่เสยี งกลายไป และการใช้สานวน และคายืมท่นี ามาใช้ในภาษาไทยส่วนใหญ่เป็นคาท่ีใช้ใน ชีวิตประจาวัน ซึ่งจะเก่ียวกับช่ือสถานที่ อาหาร วัฒนธรรม ประเพณี การพนัน เครือญาติ ส่ิงของ เครือ่ งใช้ เปน็ ตน้ คำถำมทบทวน 1. สรปุ ความสมั พันธร์ ะหว่างไทยกบั จีนมาพอเข้าใจ 2. บอกสาเหตทุ ีภ่ าษาจนี เขา้ มาปนภาษาไทย สรุปเปน็ ขอ้ ๆ 3. ลักษณะคายืมภาษาจีนในภาษาไทยมีก่ลี กั ษณะ อะไรบา้ ง 4. วธิ ีการรับคายมื ภาษาจนี มาใชใ้ นภาษาไทยมวี ิธอี ะไรบา้ ง ยกตัวอยา่ งประกอบ 5. คาว่า “เจ้ง ซินแส เจ ง่วน เก้ียมอ๋ี ก๋วยจับ โอวเล้ียง” คาในภาษาไทยใช้คาใด และมลี กั ษณะการเปลย่ี นแปลงด้านเสียง หรอื คาในลักษณะใดบ้าง 6. คาว่า “เฮง หุ้น โผ เกำเหลำ โป๊ ตงฉิน กงสี กงไฉ่ ก๊ก” มีการเปล่ียนแปลง ด้านความหมายในลกั ษณะใดบา้ ง อธิบาย 7. วรรณกรรมแปลจากจีนเร่ือง “สามก๊ก” แต่งในสมัยใด และมีคายืมภาษาจีนเกี่ยวกับเรื่องใด มากทส่ี ุด ยกตัวอยา่ งประกอบ 8. การใช้คายืมภาษจนี ในภาษาไทย ส่วนใหญม่ กั เป็นคาเกี่ยวกับอะไร อธิบาย 9. จงยกตัวอยา่ งคายืมภาษาจนี ท่ีไทยรับมาใช้เก่ียวกบั ค้าเรียกญาติ พร้อมบอกความหมายของคา ใหถ้ ูกต้อง 10. จงบอกคายืมภาษาจีนท่ีนักศึกษารู้จัก และพบใช้ในชีวิตประจาวันมากท่ีสุด (ยกตัวอย่าง มา 10 คา พรอ้ มบอกความหมายของคา)
บทท่ี 7 คำยืมภำษำชวำ มลำยใู นภำษำไทย ภาษาชวา มลายูเป็นภาษาหน่ึงท่ีเข้ามาปนภาษาไทยด้วยความสัมพันธ์กันทางด้ าน ประวัติศาสตร์มีความสัมพันธ์กันต้ังแต่สมัยสุโขทัย ความสัมพันธ์ทางด้านภูมิศาสตร์ กล่าวคือ ทางภาคใต้ของประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศมาเลเซีย นอกจากน้ีไทยยงั รบั นับถือศาสนา อิสลามจงึ ทาใหภ้ าษาตา่ งประเทศเขา้ มาปนภาษาไทยดว้ ย เดิมภาษาชวา มลายูเป็นภาษาเดียวกันชนสองชาตินี้ใช้ภาษามลายูร่วมกันมาก่อน ดังนั้น จึงมีหลายคาที่ภาษาชาว และมลายูใช้ตรงกัน เพียงแต่สาเนียงอาจจะแตกต่างไปบ้าง อาจกล่าวได้ว่า ภาษาชวาแตเ่ ดิมนนั้ คอื ภาษามลายถู ่นิ หนึ่งนั่นเอง (วัลยา ชา้ งขวัญยืน, 2555: 225) ควำมเป็นมำของคำยมื ภำษำชวำ มลำยู คาภาษาชวา มลายูท่ีปรากฏเป็นคายืมในภาษาไทย อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามที่มา ของคายืม คอื คายมื ภาษาชวา และคายืมภาษามลายู (วัลยา ชา้ งขวญั ยนื , 2555: 225-226) ดังนี้ 1. คำยมื ภำษำชวำ ภาษาชวาเข้ามาปะปนอยู่ในภาษาไทย เพราะอิทธิพลของวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย คอื เรื่องดาหลังและอเิ หนา ซ่ึงเป็นพระราชนพิ นธ์ในเจา้ ฟา้ กุณฑลและเจ้าฟ้ามงกฎุ ตามลาดับ วรรณคดี ทั้งสองเรื่องน้ีเป็นท่ีรู้จักกันดีย่ิงขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์เมื่อมีพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องดาหลัง ในรชั กาลท่ี 1 และพระราชนิพนธ์บทละครเร่อื งอเิ หนาในรัชกาลท่ี 2 ในบทพระราชนิพนธท์ งั้ 2 เร่อื งน้ี มีคาภาษาชวาแทรกอยู่เป็นจานวนมาก คาเหล่าน้ีมีหลายคาท่ีเป็นท่ีรู้จักของคนไทยในสมัยน้ัน และอาจมีการนาคาบางคา มาใช้กันในการพูดหรือแต่งคาประพันธ์ต่าง ๆ จึงทาให้คาดังกล่าว กลายเปน็ คายมื ทีย่ ังคงมใี ช้มาจนถงึ ปจั จุบนั ดังจะยกตวั อย่างตอ่ ไป 2. คำยมื ภำษำมลำยู ประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียมีอาณาเขตติดต่อกันดังท่ีกล่าวไปแล้วข้างต้น จังหวัด ชายแดนไทยทต่ี ดิ ต่อกบั มาเลเซยี ไดแ้ ก่ จังหวดั สตูล สงขลา ยะลา และนราธวิ าส ท้ังสองประเทศจึงมี ความสัมพนั ธก์ ันในด้านการคา้ ขาย และการสงครามมาเป็นเวลาหลายร้อยปี มีหลักฐานในสมัยสโุ ขทัย คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหง (จารึกหลักท่ี 1 ด้านท่ี 4) กล่าวถึงพ่อขุนรามคาแหงทรงขยายอาณา เขตลงไปทางใต้จนถึงคาบสมุทรมลายู ทาให้ไทยได้หวั เมืองมลายูเป็นเมืองประเทศราช เช่น เมืองไทร บรุ ี ปะลสิ กลันตนั ตรงั กานู เป็นต้น ดนิ แดนเหลา่ นี้ไทยเสยี ใหแ้ กอ่ งั กฤษในสมัยรัชกาลท่ี 5 การที่ประเทศไทยกับมาเลเซียมีอาณาเขตติดต่อกัน มีการคมนาคมกันมาต้ังแต่สมัยโบราณ ประชาชนแถบจังหวัดชายแดนของท้ังสองประเทศจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ทั้งด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมอื่น ๆ โดยเฉพาะทางด้านภาษา จะพบคาภาษามลายูใช้ปะปนอยู่ในภาษาไทย
116 ในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้จานวนมาก คาเหล่าน้ีหลายคาที่แพร่เข้ามาในภาษาไทย เราจึงพบ คายมื ภาษามลายูอยู่เปน็ จานวนไม่นอ้ ย สรุป ความเป็นมาของภาษาชวาน้ันเข้ามาในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลายจากการรับวรรณคดี เรื่องอิเหนา และดาหลัง และได้มีการดัดแปลงให้เป็นบทละครในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 กษัตรยิ ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จนเป็นวรรณคดีท่ีได้รับการยกย่องจนถงึ ปัจจุบัน ส่วนความเป็นมาของ ภาษามลายูนั้นเข้ามาปะปนกับภาษาไทยลักษณะทางภูมิประเทศซ่ึงทางตอนใต้ของประเทศไทยน้ัน มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศมาเลเซีย จนทาให้เกิดการรับเอาประเพณี วัฒนธรรม และศาสนามาใช้ การรบั เข้ามาดังกลา่ วทาให้เกดิ การใชภ้ าษาตามมาดว้ ย วิธีกำรรับคำยมื ภำษำชวำ มลำยู มำใชใ้ นภำษำไทย จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2556 : 196-201) ได้กล่าวถึงวิธีการรับคายืม ภาษาชวา มลายู มาใช้ในภาษาไทย มีวิธีการคือ การทับศพั ท์ และการแปลศัพท์อธิบายได้ดังนี้ 1. วิธกี ำรรับเข้ำมำโดยกำรทับศัพท์ การรับเข้ามาโดยการทับศัพท์ ส่วนใหญ่จะพยายามปรับเสียงของคาศัพท์ให้เข้ากับระบบ ภาษาไทย ซึ่งอาจจะเป็นการตดั เสียง เพิ่มเสยี ง หรอื เปลี่ยนแปลงเสยี งบางเสียง เชน่ ganja กัญชา kelasi กะลาสี keris กริช kapal กาปั่น champadak จาปาดะ tabek ตะเบ๊ะ bunga บหุ งา nyai ยาหยี langsat ลางสาด beka เพกา 2. กำรรบั เข้ำมำโดยกำรแปลศพั ท์ การรับเข้ามาโดยวิธีน้มี อี ยู่นอ้ ยคา เช่น ข้าวยา nasikerabu ( nasi– ข้าวสกุ kerabu – ยา ) นกขม้นิ burongkunyit (burong– นก kunyit– ขมน้ิ )
117 สรุป วิธีการรับภาษาชวา มลายูเข้ามาใช้ภาษาไทยน้ันมี 2 วิธี ได้แก่ การทับศัพท์ และ การแปลศัพท์ ซึ่งวิธีการรับเช่นนี้ทาให้เราได้ใช้ภาษาได้ใกล้เคียงภาษาเดิม และทราบท่ีมาที่ไปของ คาศัพท์นั้น ๆ ด้วย กำรเปลี่ยนแปลงควำมหมำยของคำศัพทภ์ ำษำชวำ มลำยใู นภำษำไทย คาศัพท์ที่ไทยยืมมาจากภาษชวา มลายูบางคามีความหมายคงเดิม แต่บางคาก็มีความหมาย เปล่ียนแปลงไป คือ ความหมายแคบเข้า ความหมายกวา้ งออก หรือความหมายย้ายที่ ดงั น้ี 1. ควำมหมำยคงเดมิ คำที่ไทยใช้ คำชวำ มลำยู คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย ทุเรียน ชอ่ื ผลไม้ชนิดหนง่ึ ผลใหญ่ มีหนามแหลม durian ผลไม้มีหนาม โดยรอบ สาคู ตน้ ไม้จาพวกปาลม์ ใช้ไส้ในลาตน้ ทาแป้ง sagu แป้งซ่ึงได้จากต้นสาคู มัสยิด ทีป่ ระชุมทาศาสนกิจของมสุ ลิม, สเุ หรา่ masjid ทีป่ ระชมุ ทาศาสนกิจในศาสนาอิสลาม 2. ควำมหมำยแคบเขำ้ คำชวำ มลำยู คำทีไ่ ทยใช้ คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย kedayan บริวาร ผู้รบั ใช้ กดิ าหยนั มหาดเล็ก gudang โรงงาน โรงเก็บของ ร้านขายของ กดุ ัง โรงเก็บสนิ คา้ หรือสงิ่ ของ bayan นางพระกานลั บาหยนั ช่ือพีเ่ ลย้ี งนางบุษบา 3. ควำมหมำยกวำ้ งออก คำชวำ มลำยู คำทีไ่ ทยใช้ คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย บหุ รง นก นกยงู burong นก แบหลา การฆ่าตัวตายตามสามี แผ่ แบ กางออก bela การฆ่าตัวตายตามสามี ปนั จุเหรจ็ โจรป่า เครอ่ื งรดั เกล้าท่ีไม่มียอด panjurit โจรป่า
118 4. ควำมหมำยย้ำยท่ี คำชวำ มลำยู คำท่ีไทยใช้ คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย bantu ช่วยหรือสงเคราะห์ พนั ตู ต่อสู้ในตอนประชดิ ติดพันกนั selat ช่องแคบ สลัด โจรปลน้ เรือกลางทะเล demang นายบ้าน นายตาบล ดะหมงั เสนา สรุป การเปล่ียนแปลงคายืมภาษาชวา มลายูมีไม่มาก แต่ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงความหมายนี้ เพราะเป็นการปรับใช้ให้เข้ากับลักษณะภาษาไทย กล่าวคือคายืมบางคาเป็นคาท่ีปรากฏในวรรณคดี เร่ืองอิเหนา ดาหลัง ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับเน้ือหาจึงมีการเปลี่ยนแปลงความหมายเพื่อให้เข้ากับ บรบิ ทของการใช้คา กำรใช้คำยมื ภำษำชวำ มลำยูในภำษำไทย คายืมส่วนใหญ่เป็นคา 2 พยางค์หรือมากกว่า คาท่ีปรากฏในภาษาไทยส่วนมากจะเป็นคา ที่เกี่ยวกบั พืช สัตว์ สิง่ ของ สถานท่ี และศลิ ปวฒั นธรรม รวมทัง้ คากรยิ าบางคาเช่น 1. คำทหี่ มำยถงึ พชื คำทไ่ี ทยใช้ คำชวำ มลำยู กระดังงา kenanga ทุเรยี น durian น้อยหน่า nona มงั คุด manggis/manggustan สาคู sagu ลูกหยี keranji ลางสาด langsat ลองกอง longkong สละ salak จาปาดะ cempedak ระกา rakam ลูกสวา sawa
119 2. คำทีห่ มำยถึงสตั ว์ คำชวำ มลำยู คำทีไ่ ทยใช้ ularkapak กะปะ kabong กะพง kurau กุเรา, กุเลา lomba โลมา orangutang bangbon อุรังอุตัง karat พงั พอน คำชวำ มลำยู กระ (เต่า) keris 3. คำที่หมำยถงึ ส่ิงของ kemenyan kolek คำทีไ่ ทยใช้ batek กริช กายาน คำชวำ มลำยู กุแหละ (กอและ) masjid betong ปาเตะ๊ bukit 4. คำท่หี มำยถงึ สถำนท่ี kelubi setul คำทไี่ ทยใช้ terang มัสยิด เบตง คำชวำ มลำยู ภูเก็ต tunang /tunangan กระบ่ี budu ronggeng สตูล angkeiong ตรัง 5. คำที่หมำยถงึ ศลิ ปวัฒนธรรม คำชวำ มลำยู คำที่ไทยใช้ tabek ตุนาหงนั บูดู รองเง็ง อังกะลงุ 6. คำกรยิ ำบำงคำ คำทีไ่ ทยใช้ ตะเบ๊ะ
120 7. คำที่เกีย่ วกับศำสนำ ควำมหมำย คำท่ไี ทยใช้ ศาสดาในศาสนาอิสลาม นบี ผูน้ าในการละหมาด หรอื ผ้นู าชมุ ชน สถานทปี่ ระกอบกิจทางศาสนา อหิ มา่ ม มัสยิด/สุเหรา่ กำรใช้คำยืมภำษำชวำ มลำยูในวรรณคดีเรือ่ งอิเหนำ ดำหลัง ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นว่า คายมื ภาษาชวา มลายสู ่วนหน่ึงมาจากวรรณคดีเร่ืองดาหลังในสมัย รัชกาลที่ 1 และเรอื่ งอิเหนา ในสมัยรชั กาลท่ี 2 โดยเฉพาะเร่ืองอิเหนาน้ันได้รับการยกย่องว่าเป็นยอด ของกลอนบทละคร ความไพเราะงดงามของบทละครเรอ่ื งอิเหนายังเปน็ รจู้ กั จนมาถึงปจั จุบนั คาหลาย คายังเปน็ คายมื ที่คนไทยรู้จกั และใช้กนั อยู่ทง้ั ในชีวติ ประจาวัน และในคาประพันธ์รอ้ ยกรองอ่นื ๆ ตัวอย่ำงคำยืมภำษำชวำ มลำยูในวรรณคดีเรื่องอิเหนำ และดำหลัง (ประพนธ์ เรืองณรงค์, 2556 : 100-106) คำศพั ท์ ควำมหมำย มะเดหวี ตาแหนง่ มเหสีที่ 2 ของกษตั ริยช์ วา กระยาหงนั วิมาน สวรรคช์ ้ันฟ้า อสัญแดหวา เทวดาผู้ไมต่ ายเทวดาซึง่ เปน็ ต้นสกุล แบหลา การฆ่าตวั ตายตามสามี บหุ รง นก บหุ ลนั ดวงจนั ทร์ ยหิ วา ดวงใจ ตนุ าหงัน คู่หมนั้ ระเดน่ โอรสผูค้ รองนคร ระตู ผ้คู รองแคว้น ผู้ครองรัฐ ปนั จุเหรจ็ โจรป่า ดาหลัง คนเชดิ หนงั กุหนุง ภเู ขา หยงั หยงั เทพของเหล่าทวยเทพ (อคั รเทพ) สะตาหมนั สวน (สวนแหง่ หนึง่ ) ปนั หยี โจรปา่
121 คำศัพท์ ควำมหมำย ประเสบนั อากง ท้องพระโรง อิเหนา ยุพราช หนุม่ ชือ่ พระเอกในเรือ่ งดาหลังและอิเหนา กเุ รปัน นครแห่งความรืน่ เรงิ ยนิ ดีชื่อเมืองของอเิ หนา สิงหดั สา่ หรี นครทีม่ คี วามเข้มแข็ง มอี านาจอย่างสิงห์ และหอมหวนเพียงดอกไม้ ปะตาปา การบาเพญ็ ตบะ การสวดสรรเสริญ ปาหนนั ปะหนัน ดอกลาเจียก มะงมุ มะงาหรา เท่ียวป่า ดะหมงั เสนา บาหยนั ชือ่ พ่เี ลี้ยงนางบุษบา หนึ่งหรดั ชนชนั้ สงู มสี กุลทีน่ า่ นับถือยกย่อง อุดากัน พีช่ าย สาหรี เกียรตศิ กั ดิ์ ตาหลา สงู สง่ ดาหยงั พ่เี ลย้ี ง ผู้ชนะ ย่าหรัน ม้าหรอื อศั วิน อณุ ากรรณ ม้าหรืออัศวนิ เลิมบู วัว สุกาหรา หมูป่า วิลิศมาหรา เปน็ ช่อื ภเู ขาแหง่ เมืองดาหา กระหมนั ผตู้ กอย่ใู นความรกั และความหลง วยิ าหยา ผมู้ ชี ยั ชนะ อุณากรรณกระหมนั วยิ าหยา เป็นนามหน่งึ ของนางบษุ บา กดุ า มา้ ระมาหงน ขนชนั ข้นึ ลาบู นายทหาร ซึ่งทาหน้าทีพ่ ่ีเลีย้ งทง้ั 4 คนของอิเหนา
122 ตวั อย่ำงคำยมื ภำษำชวำ มลำยู ในพจนำนกุ รมฉบบั รำชบัณฑติ ยสถำน พ.ศ.2554 คายืมภาษาชวา มลายูเข้ามาปนภาษาไทยมีปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้กาหนดอักษรย่อในวงเล็บท้ายบทนิยาม เพ่ือบอกที่มาของคายืมภาษาชวา มลายู คือ ม. =มลายู และ ช. = ชวา ตัวอย่างคายืมภาษาชวา มลายูในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 มีดังน้ี (ราชบัณฑติ ยสถาน, 2556) คำศพั ท์ ควำมหมำย กาบงั น. ชอ่ ดอกไม้ (ช.) สลัด น. โจรที่ปลน้ เรือในทะเล เรยี กวา่ โจรสลัด (เทยี บ ม. Salatวา่ ชอ่ งแคบ) กระจูด น.ชื่อไม้ล้มลุกชนิดหน่ึง ลาต้นกลม ภายในกลวง และมีเยื่ออ่อน หยุ่นขั้นเป็น กระดังงา ขอ้ ๆ ใช้สานเส่ือหรือกระสอบ (เทยี บ ม. kerchut) ปาเตะ๊ น. ช่ือต้นไม้ชนิดหนึ่ง ดอกหอม กลีบบาง มี 6 กลีบ ดอกใช้กลั่นน้ามันหอมได้ กระดงั งาใหญ่ สะบนั งา หรอื สะบนั งาต้น กเ็ รยี ก. (เทยี บ ม. Canaga,kenanga) ยาหยี ปาเตะ๊ 1 = น. ชอ่ื ตาแหน่งขุนนาง (ช.) ปาเต๊ะ 2 = น. ผ้าโสรง่ ชนิดหนึ่ง ใช้เคลือบด้วยขี้ผึ้งเหลวบางตอนทไ่ี ม่ตอ้ งการให้ มีสสี ันหรือลวดลาย (ม. batik) น. น้องรกั (ช.) ยิหวา น. ดวงชวี ิตดวงใจ (ช.) สาคู น. ช่ือปาล์มชนิดหนึ่ง ใบใช้มุงหลังคา ไส้ในลาต้นแก่ใช้ทาแป้ง เรียกว่า แป้งสาคู (เทียบ ม. sagu) สเุ หร่า น. สถานทีซ่ งึ่ ชาวมุสลิมใชเ้ ป็นทป่ี ระกอบศาสนกจิ , มสั ยดิ กเ็ รยี ก (ม.) ตะเบะ๊ (ปาก) ก. ทาความเคารพอย่างคนในเครื่องแบบ คือ ทาวันทยหัตถ์ (เทียบ ม. angkattabekว่า วันทยหัตถ์) angkatว่า ยกข้ึน tabekเป็นคาทักทายที่ผู้น้อยใช้ กบั ผู้ใหญ่ สลาตนั น. เรียกลมท่ีพัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในปลาย ฤดูฝน ว่า ลมสลาตัน, เรียกลมพายุที่มีกาลังแรงจัดทุกชนิด เช่น ไต้ฝุ่น ไซโคลน ว่า ลมสลาตัน โดยปริยายใช้ความเปรียบเทียบ หมายถึงอาการที่ไปมา หรือ เกดิ ข้นึ รวดเรว็ อยา่ ง ลมสลาตนั (เทยี บ ม. Selatan ว่า ลมใต)้ โสร่ง น. ผ้านุ่งเป็นถุงมีลวดลายต่าง ๆ อย่างชาวชวามลายูนุ่งเป็นต้น (ม. sarung, sarong)
คำศัพท์ 123 สจุ หนี่ ควำมหมำย กระพนั น. เคร่ืองปูลาดชนิดหน่ึง ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยนผืนผ้า ทาด้วยผ้าเยียรบับไหม กง ทอง สาหรับทอดถวายพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศ์ท่ีทรงพระเศวตฉัตร กระแชง 7 ชนั้ เป็นทป่ี ระทบั หรือทรงยนื เรียกว่า พระสุจหน่ี (suji วา่ ผ้าเครื่องปัก) ว. ทนทานต่อศัสตราวธุ (เทียบ ม. กะบลั ) บหุ งา น. ไม้รูปโคง้ ทต่ี ง้ั เป็นโครงเรอื (เทียบ ม. กง และ ต. กง, ในความเดียวกนั ) น. เครื่องบังแดดฝน โดยนาใบเตยหรือใบจากเป็นต้น มาเย็บเป็นแผง, ลักษณ กะลาสี นาม เรียกว่า ผืน (เทียบ ม. กระชัง ว่า แผงสาหรับคลุมเรือหรือรถ เย็บด้วย ใบไม)้ ปะตาปา น. ดอกไม้ ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ มีมะลิ กระดังงา กุหลาบ เป็นตน้ ทีป่ รุงด้วยเคร่ือง กระจับป่ี หอมแล้วบรรจุในถุงผ้าโปร่งเล็ก ๆ ทาเป็นรูปต่าง ๆ (ตัดมาจาก บุหงาราไป) (ช. bunga) (1) น. ลูกเรอื (ม. กะลาสิ จากคาอหิ รา่ น ขะลาสิ) (2) ว.อย่างเครื่องแต่งกายกะลาสีสมัยโบราณหรือพลทหารเรือปัจจุบัน เช่น หมวกกะลาสี เงื่อนกะลาสี คอปกเส้ือกะลาสี (ม. กะลาสิ จากคาอิหร่าน ขะลาสิ) น. นกั บวช (ช.) น. เครื่องดนตรีประเภทเคร่ืองดีด ลักษณะคล้ายพิณ มี 4 สาย ต้งั เสียงตา่ งกนั เป็น 2 คู่ เดมิ ใช้บรรเลงในวงมโหรเี ครือ่ ง 4 และมโหรีเคร่อื ง 6 ในสมยั อยุธยา ตอ่ มาในสมยั รัตนโกสนิ ทรใ์ ช้จะเข้บรรเลงแทน (ช. จากป.,ส. กจฉฺ ปี วา่ พิณชนดิ หน่งึ : เทียบ ป.,ส. กจฺฉป ว่า เตา่ , อธบิ ายว่า ท่เี รยี กดงั น้ัน เพราะมีรูปคลา้ ยเตา่ ) สรุป การยืมคาภาษาชวา มลายูมาใช้ในภาษาไทยนั้นมีสาเหตุการรับเข้ามาคือ ประเทศไทยและ ประเทศมาเลเซียมีอาณาเขตติดต่อกัน ทาให้เกิดการติดต่อสื่อสาร การค้าขาย การรับศาสนา ประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งสาเหตุดังกล่าวมีมายาวนานต้ังแต่สมัยสุโขทัย และคายืมต่าง ๆ ก็เข้ามา ปนกับภาษาไทยจนถึงทุกวันนี้ นอกจากสาเหตุข้างต้นแล้ว ยังมีสาเหตุจากการรับวรรณคดี ได้แก่วรรณคดีเรื่องอิเหนา และดาหลังซึ่งเป็นท่ีรู้จัก และได้เรียนรู้กันถึงปัจจุบัน คายืมจากภาษาชวา มลายูส่วนใหญ่ เก่ียวข้อง กับช่ือสถานที่ สัตว์ สิ่งของ ผลไม้ เป็นต้น การรับภาษาชวา มลายูมาใช้ในภาษาไทยน้ันต้องมี การปรับเปล่ียนเพื่อสะดวกในการใช้ เช่น การทับศัพท์ การแปลความหมาย การตัดเสียง แต่การยืมภาษานี้มิได้ปรับเปลี่ยนไปมากเพราะต้องการรักษาภาษา เสียงให้ใกล้เคียงกับภาษาเดิมไว้ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ คายมื ท่ีปรากฏในวรรณคดเี รอ่ื งอเิ หนา และดาหลงั
124 คำถำมทบทวน 1. ภาษาชวาเขา้ มาในประเทศไทยดว้ ยสาเหตใุ ด 2. ภาษามลายเู ขา้ มาปนในภาษาไทยดว้ ยสาเหตใุ ด 3. วธิ ีการรับภาษาชวา มลายเู ขา้ มาใชใ้ นภาษาไทยมีก่ีวธิ ีอะไรบา้ ง 4. จงยกตัวอย่างการคายืมภาษาชวา มลายโู ดยการทบั ศัพท์ (ยกมา 5 คา) 5. จงยกตัวอย่างการเปลีย่ นแปลงความหมายของคายืมภาษาชวา มลายูดา้ น ความหมายย้ายท่ีมา 5 คา 6. คาวา่ “มัสยิด” เป็นการยืมคาด้วยวิธีใด อธบิ าย 7. จงยกตวั อยา่ งคายืมภาษาชวามลายูท่ีเก่ยี วขอ้ งกับศาสนา พรอ้ มบอกความหมายให้ถกู ต้อง (ยกตวั อยา่ งมา 3 คา) 8. จงเขียนคายืมภาษาชวา มลายูจากวรรณคดีเร่ืองอิเหนา พร้อมบอกความหมาย (ยกตวั อยา่ งมา 5 คา) 9. คาวา่ “ปาเตะ๊ ” หมายถึงอะไร และมีการรับมาใช้ด้วยวธิ ีการใด 10. จงยกตัวอย่างคายืมภาษาชวา มลายูท่หี มายถึงผลไม้
125 บทที่ 8 อิทธิพลคำยมื ภำษำตำ่ งประเทศที่มตี อ่ ภำษำไทย เป็นท่ีทราบกันดีว่าลักษณะภาษาไทยน้ันมีความเป็นเฉพาะตัวหลายด้าน เช่น เป็นคาโดด คามีความหมายได้หลายความหมายขึ้นอยู่กับบริบทของคา ส่วนมากเป็นคาพยางค์เดียว สะกดตรง ตามมาตราเป็นต้น แต่เม่ือภาษาไทยมีการรับคาภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ทาให้ภาษาไทยเกิดการ เปลี่ยนแปลงทางภาษา และถือได้ว่าเป็นพัฒนาการของภาษาอย่างหนึ่ง เพราะเม่ือมีการยืมคา ภาษาไทยก็มีคาที่สะกดไม่ตรงตามมาตราบ้าง มีหลายพยางค์บ้างเป็นต้น ความหลากหลายเหล่าน้ีทา ให้มที ั้งข้อดแี ละข้อเสยี ท่ีเกดิ ขน้ึ หลายประการจากการยมื ภาษาดังจะกลา่ วต่อไป อทิ ธิพลภำษำตำ่ งประเทศท่ีมตี อ่ ภำษำไทย ภาษาเป็นวฒั นธรรมอย่างหนึ่งท่ีสามารถถ่ายทอดซึง่ กันและกนั ได้ จึงทาให้ภาษาทุกภาษาใน โลกนี้ปะปนกัน ลักษณะการปะปนกันหรือท่ีเรียกว่า กำรยืม เป็นส่วนท่ีทาให้ภาษาเกิดการ เปล่ียนแปลงได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะลกั ษณะด้ังเดิมของไทยที่เป็นคาโดด จากอทิ ธิพลคายืมทาให้ เกิดการเปล่ียนแปลงทางด้านเสียง คาศัพท์ ความหมาย และการเรียงคาซึ่งจะกล่าวโดยลาดับ (จริ วฒั น์ เพชรรตั น์ และอมั พร ทองใบ, 2556 : 295) อิทธพิ ลที่มตี อ่ ระบบเสยี งภำษำไทย การยืมคาภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางด้านระบบเสียง ภาษาไทย กล่าวคือ ทาใหเ้ กิดเสยี งใหม่ในภาษาขึ้น ดังนี้ 1. มีเสียงพยัญชนะควบกล้ำเพิ่มข้ึน ซ่ึงเดิมภาษาไทยมีพยัญชนะควบกล้าดังตัวอย่างจาก หนงั สือภาษาศาสตรเ์ บ้ืองตน้ (อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์, 2527 : 103) ดังนี้ อักษรไทย สญั ลกั ษณ์ คำตัวอย่ำง กร [ kr ] กรง กรุง กล [ kl ] กลาง กลุ่ม กว [ kw ] กว่า กวา้ ง ขร คร [ khr ] ครอง ครมึ้ ขล คล [ khl ] คลา้ ย คลี่ ขว คว [ khw ] ความ ขวา
126 ปร [ pr ] ปราง แปรง ปล [ pl ] ปลา เปลีย่ น พร [ phr ] พระ พลงุ่ พล ผล [ phl ] พลาง พลอย ตร [ tr ] ตรา ตรู เมอ่ื เรารบั คาสันสกฤตเข้ามา ทาให้เรามีพยัญชนะควบกลา้ เพิ่มขึน้ คือ ทร [ thr ] (ซงึ่ เดิม ไทยออกเสียงเปน็ ซ [ s ] ทง้ั สน้ิ ) เชน่ ในคาวา่ ทฤษฎี [ thrirt – sa – dii ] จันทรา [ can – thraa ] อินทรา [ ?in – thraa ] ภทั รา [ phat – thraa ] และเมื่อเรารับคาภาษาอังกฤษมา ทาใหม้ ีเสียงพยญั ชนะควบกล้าเพิ่มอีก คือ ดร [ dr ] เช่น ดรมั เมเยอรด์ ราฟต์ บร [ br ] เช่น เบรก บรอนซ์ บล [ bl ] เชน่ บลยู นี ส์ บล็อก ฟร [ fr ] เชน่ ฟรงั กฟ์ รี ฟล [ fl ] เชน่ ฟลุค แฟลต 2. มเี สียงพยัญชนะท้ำยเพิ่มขึน้ เดมิ พยัญชนะทำ้ ยของคำมี 9 หน่วยเสียง ได้แก่ ป ต ก ม น ง ย ว และ /?in – thraa/ (ซึ่งไม่ปรากฎรปู ตามพยญั ชนะ) อิทธิพลจากคาภาษาอังกฤษที่ไทยยืมเข้ามาใช้ ทาให้แนวโน้มในการออกเสียงพยัญชนะท้าย คาเป็นเสยี ง ส ฟ ล เช่น เซฟ กราฟ ฟอสฟอรัส ปรู๊ฟ มสั ตารด์ ยนี ส์ บลั เล่ต์ เซลล์
127 สรุป อิทธิพลคายืมภาษาต่างประเทศท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลงระบบเสียงในภาษาไทยมีหลาย ลักษณะ ไดแ้ ก่ การมีเสยี งพยญั ชนะควบกล้าเพิ่มขึ้น เช่น ฟร- บร- บล- เป็นต้น นอกจากนี้ยังมเี สียง พยัญชนะท้ายท่ีไม่ตรงตามมาตรา กล่าวคือ คาภาษาไทยจะสะกดตรงตามมาตรา แต่เมื่อมีการยืม ภาษาตา่ งประเทศทาให้มคี าที่สะกดไม่ตรงตามมาตรา เช่น วิทยาศาสตร์ พสิ ดาร ฟุตบอล เป็นต้น อทิ ธิพลท่มี ตี อ่ วงศพั ท์ จิรวัฒ น์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2556 , 297-300) ได้กล่าวถึงอิทธิพล ภาษาต่างประเทศที่มีต่อวงศัพท์ไว้ว่า อิทธิพลที่มีต่อวงศัพท์นั้นสิ่งแรกที่เกิดจากอิทธิพลของคายืมซึ่ง ปรากฏชัด คือ มีคาศัพท์เพิ่มข้ึนในภาษา ศัพท์ท่ีเพิ่มเข้ามาอาจจะเป็นศัพท์ที่ใช้พูดถึงสิ่งใหม่ ความคิด ใหม่ท่ีเกิดขึ้นใหม่ บางครั้งศัพท์ที่ยืมเข้ามาก็อาจจะเป็นศัพท์ท่ีใช้พูดถึงส่ิงของ หรือความคิดท่ีเคยมีอยู่ แล้ว และภาษาเดิมก็มคี าศัพทส์ าหรับส่งิ นั้นหรือความคิดนั้นอยู่แล้ว จนเกิดการเปล่ียนแปลงเกี่ยวกับ วงศพั ทเ์ พ่มิ ข้นึ ซึ่งสรุปการเปลี่ยนแปลงทางดา้ นศพั ท์ ไดด้ งั น้ี 1. ทำใหภ้ ำษำไทยมศี พั ทท์ ีใ่ ชใ้ นภำษำเพิม่ ข้ึน เพือ่ ใช้แทนสิ่งใหม่และความคิดใหม่ท่ีเกดิ ขึ้น ในสังคม เช่น หน่วยกิต เครกิต เทคนิค กระสวยอวกาศ ฯลฯ คาท่ีเกิดขึ้นใหม่น้ีอาจจะเป็นคาไทย ทมี่ ีมาต้งั แต่ด้งั เดิม และนามาประสมกันใหม่ หรืออาจจะเป็นคาทับศพั ท์หรือแปลศัพท์ก็ได้โดยเฉพาะ ศพั ทใ์ หมล่ ักษณะน้ีเปน็ ศพั ทท์ ่ีไทยยืมจากภาษาอังกฤษเปน็ ส่วนใหญ่ 2. ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงต่อศัพท์เดิมในภำษำไทย ในกรณีศัพท์ท่ีรับเข้ามาน้ัน เป็นศัพท์ท่ีใช้พูดถึงความคิด หรือสิ่งของท่ีเคยมอี ยู่แล้วในสังคมไทยจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวง ศัพทเ์ ดิม 2.1 เกิดการแข่งขันระหว่างศัพท์เก่าและศัพท์เก่าและศัพท์ใหม่ เช่น เม่ือรับคาว่า “จมูก” “เดิน” จากภาษาเขมรเข้ามาใช้ใหม่ ๆ นั้น ในระยะแรก ๆ จะมีการใช้คาว่า จมูก – ด้ัง , เดิน – ย่าง คูก่ ันไป โดยส่อื ความหมายเหมือนกนั และถ้าจะดูจากตวั อยา่ งในภาษาปัจจุบนั มีคาศพั ทห์ ลายคาซ่ึงใช้ สลับกันได้โดยมีความหมายเทา่ กบั เช่น โทรทัศน์ – ทวี ี บัตร – การด์ รถประจาทาง – รถเมล์ 2.2 เกิดการไม่นิยมระหว่างศัพท์เก่าและศัพท์ใหม่ ศัพท์ใหม่อาจจะแพ้ศัพท์ท่ีเคยมีใช้อยู่ ในภาษาแต่เดมิ เชน่ ศัพท์เกา่ “กระโปรงยว้ ย” (หรอื กระโปรงผ้าเฉลยี ง) ศัพท์ใหม่ “กระโปรงนิว ลุค” เรายังนิยมใช้ศัพท์เก่าอยู่ในทางตรงกันข้าม ศัพท์เก่าอาจจะแพ้และเลิกใช้ไปกลายเป็นศัพท์ โบราณและเลือกใช้ศพั ท์ใหมแ่ ทน เชน่ เกอื ก – รองเทา้ กระดวง (ฝอย – ขัดหม้อ = ลกู มะพรา้ วทยุ ที่ ตัดครึ่งทอ่ น สาหรบั ถพู นื้ บ้าน) - สกอ๊ ตไบรท์ 2.3 ทั้งศัพท์เก่าและศัพท์ใหม่ ยังคงใช้ในภาษาท้ังคู่ แต่จะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางด้านความหมายของคาศัพท์ เช่น แพ้ เดิมหมายถึง “ชนะ” เม่ือรับคา ชนะ” เข้ามาใช้ ความหมายของคาว่า “แพ้” เปล่ียนความหมายเปน็ “สไู้ มไ่ ด”้
128 ด้ัง เดิมหมายถึง “จมูก” เม่ือรับคา “จมูก” เข้ามาใช้ ความหมายของ “ด้ัง” เปล่ียนไปเปน็ “สว่ นหนง่ึ ของจมกู ” ย่าง (ญ่าง) เดิมหมายถึง “เดิน” เมื่อรับคา “เดิน” เข้ามาใช้ ความหมายของ “ยา่ ง” เปล่ยี นไปเป็น “เดนิ ท่มี ที ่าทางอยา่ งละครเมอ่ื เข้าออกโรง” ในบางครั้งเราใช้ศัพท์เก่าและใหม่ ส่ือความหมายอย่างเดียวกัน แต่ใชใ้ นโอกาสที่ต่างกัน เช่น ใช้เป็นภาษาราชการ ภาษาสุภาพ ภาษาท่ีใช้ในคาประพันธ์ ฯลฯ ลักษณะเช่นนี้ ทาให้ภาษาไทยมีคา ไวพจน์มาก และมีผลกระทบต่อการใช้ภาษาทาให้เกิดวิธีการพูดและการเขียนแบบต่าง ๆ ผู้พูดหรือ ผูเ้ ขยี น สามารถเลอื กใชศ้ ัพท์ตามความตอ้ งการและใหเ้ กิดความเหมาะสมกบั กาลเทศะและบคุ คล ตวั อยำ่ งคำไวพจน์ เช่น พระเจา้ แผ่นดนิ = ภมู ี นฤบดี นราธปิ นฤบาล บพิตร ภบู ดี ภธู ร นเรนทร์ อดิศร ภเู ขา = ครี ี บรรพต ไศล ศขิ รินทร์ ภผู า สงิ ขร พนม ภู มหิธร ศิขร แม่น้า = คงคา นที กนุ ที สาคร ธารา ชลาลัย สินธุ อุทกธารา สาคเรศ ยมนา สมทุ ร ชา้ ง = กุญชร สาร กรี คช หตั ถี ไอยรา ดารี มาตงค์ พารณ คเชนทร์ ทอ้ งฟา้ = นภา เวหา อัมพร ทฆิ ัมพร คดั นานต์ คัดนมั พร นภาดล นภาลัย ปา่ ไม้ = อรัญ พนา พนาลี พนสั เถอื่ น ชฏั ไพรสณฑ์ พนาสณฑ์ ไพรสัณฑ์ อิทธิพลภาษาต่างประเทศในภาษาไทยในส่วนของการมีคาไวพจน์ใช้ในภาษา ข้างต้น สอดคล้องกับการอธิบายอิทธิพลคายืมของ วิไลศักดิ์ กิ่งคา (2556 : 228) คือ เม่ือนาคา ภาษาต่างประเทศมาปะปนในภาษาไทย ทาให้มีคาศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกันเพิ่มข้ึน ซึ่งสะดวก และสามารถเลอื กใช้คาให้เหมาะสมกบั ความต้องการได้ โดยเฉพาะการแตง่ คาประพันธ์ เช่น นก คาไวพจน์คือ สกุณา สุโหนก วิหค ปกั ษา ม้า คาไวพจน์คือ พาชี อาชา สนิ ธพ ผู้หญงิ คาไวพจนค์ อื สตรี นารี อติ ถี กัญญา ดอกไม้ คาไวพจน์คอื สมุ าลี ผกา บุษบา 3. มผี ลทำใหค้ ำประสมในภำษำไทยน้อยลง การรบั ศัพท์ตา่ งประเทศเข้ามาในลักษณะของ การทับศัพท์ มีผลทาให้คาประสมของไทยน้อยลง เพราะโดยปกติถ้าเราไม่ยืมศัพท์ด้วยการทับศัพท์ เรามักจะสร้างคาข้ึนใช้ด้วยการประสม เช่น เราสร้างคาว่า ดาวเทียม มนุษย์อวกาศ ยาสีฟัน แทนที่จะทับศพั ท์คาวา่ Satellite Astronaut และ toothpaste. ปจั จบุ ันเรามศี ัพท์จานวนมากท่ี ใช้ศัพท์ เช่น เทนนิส เบสบอล แซนวิช ไอศกรีม ล็อตเตอร่ี สนุกเกอร์ บิลเลียด กัปตัน ตั้งไฉ่ สลัด ฯลฯ คาแต่ละคานี้ถ้าเราไมใ่ ช้ทับศพั ท์ จะทาใหม้ ีคาประสมเกิดมากมาย เชน่ กว๋ ยเต๋ียว ถ้า สร้างเป็นคาประสมอาจจะเป็น ข้าวเส้นเล็ก ข้าวเส้นใหญ่ ข้าวเส้นเหลือง ข้าวเส้นหมี่ ฯลฯ (วิไลวรรณ ขนษิ ฐานนั ท์, 2523 : 108) 4. ทำใหค้ ำศัพท์ทใ่ี ช้ในภำษำไทยเป็นคำที่มีหลำยพยำงค์ลักษณะเดิมของภาษาไทยคาส่วน ใหญ่จะออกเสียงพยางค์เดียว จากอิทธิพลของภาษาต่างประเทศที่ไทยรับเข้ามาใช้ทาให้คาใน
129 ภาษาไทยกลายเป็นคาที่มีหลายพยางค์ เช่น สลาตัน กัลปังหา รามะนา จะละเม็ด ตะแลงแกง อภิปราย อปุ าทาน อปุ ัชฌาย์ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีอิทธิพลต่อการออกเสียงของคาในภาษาไทยแต่เดิม ให้มีจานวนพยางค์ เพม่ิ ขึน้ อีกด้วย เชน่ ตุก๊ ตา ตกั๊ แตน จักจี้ (จกั๊ จี)้ อตุ พิด จุนสี พสิ ดาร 5. ทำให้รูปแบบในกำรสร้ำงคำในภำษำไทยเปล่ียนแปลงไป ภาษาไทยมีวิธีการสร้างคา โดยการประสมคา มีคาหลักอยู่หน้า และคาขยายอยู่หลัง อิทธพิ ลของภาษาบาลีสันสกฤต อังกฤษ ทาให้รบั วิธีการสร้างคาขยายอยู่ข้างหน้าเข้ามาใช้ในภาษาด้วย เช่น สรรพสินค้า อนุภรรยา ราชวัง มหาบรุ ษุ วีรชน กลุ บตุ ร กาฬปักษ์ (ข้างท่มี ืดข้างแรม) ซุปเปอรค์ ราม ฯลฯ 6. ทำให้ภำษำพูดและภำษำเขียนของไทย เกิดควำมแตกต่ำงกัน กล่าวคือ คาท่ีออกเสียง เดียวกัน แต่มีความหมายต่างกัน เขียนด้วยตัวสะกดการันต์ต่างกัน ทาให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการ เขยี นคาศัพท์ใหถ้ ูกตอ้ งตามความหมาย เช่น [ kaan ] กาน (ตัด) กาล (เวลา) การ (งาน) การณ์ (เหตุ) กาฬ (ดา) กาญจน์ (ทอง) กานท์ (บทกลอน) กานต์ (ที่รกั ) [ phan ] พนั (วงโดยรอบ จานวน 10 ของร้อย) พรรณ (สีผิว) พันธุ์ (ญาติพน่ี ้อง) พรรณ (พวก) ภัณฑ์ (ส่ิงของ) พัญจน์ (การล่อลวง) พนั ธ์ (ผกู มดั ) [ san ] สัน (สงิ่ ท่ีมลี ักษณะนนู สงู ข้นึ เปน็ แนวยาว ๆ) สัณฑ์ (ชัฎ ดง ท่รี ก ทีท่ ึบ) สันต์ (เงียบ สงบ) สณั ห์ (เกลี้ยงเกลา อ่อนนมุ่ น่มุ นวล) สรร (เลือก) สรรค์ (สร้าง) สรรพ์ (ทุกสง่ิ ) ศลั ย์ (ลูกศร ของมีปลายแหลมอน่ื ๆ) ษัณ (หก) สาเหตุอีกประการหน่ึงที่ทาให้ภาษาพูดและภาษาเขียนแตกต่างกันก็คือ ระบบการเขียน ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย แบบถ่ายตัวอักษร (transliteration) คาศัพท์ภาษาตา่ งประเทศท่ีเรา นามาใช้นั้นจะปรับเสียงให้เข้ากับระบบภาษาไทย แต่ในรูปของภาษาเขียน ถ่ายตัวอักษรตามแบบ ภาษาเดิม และเสียงใดที่ไม่ต้องการออกเสียง จะใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตกากับ ทาให้ศัพท์น้ันเขียน อย่างหน่ึงที่เห็นไดช้ ัดเจน คือ เสียงและรูปในตาแหน่งพยัญชนะท้าย ซึ่งเป็นปัญหาตัวสะกดไม่ถูกต้อง เช่น
130 ผนวช เมฆ มขุ กราฟ มาร์ช เบรก โชว์ เมล์ ทัณฑ์ นิตย์ ศนู ย์ กษัตรยิ ์ 7. ทำให้เกิดแนวเทียบผิดเก่ียวกับกำรเขียน คำศัพ ท์ ด้วยเหตุที่เรารับคาจาก ภาษาต่างประเทศมาใช้มีการตัดเสยี งบางเสียง โดยเฉพาะพยางค์ทา้ ยของคา โดยใช้เคร่ืองหมายทัณฑ ฆาตกากับบนอักษรที่ไม่ออกเสียง คาลักษณะนี้มีจานวนมากจึงเกิดการเข้าใจผิด นาเอาคาอื่นซ่ึงเป็น คนละความหมายแตอ่ อกเสยี งเหมือนกันไปเทยี บ ทาใหเ้ ขยี นผิดพลาดงา่ ย เช่น สังวาล เขียนเป็น สงั วาลย์ เพราะนาไปเทยี บกบั มาลย์ อานสิ งส์ เขียนเป็น อานสิ งฆ์ เพราะนาไปเทียบกบั พระสงฆ์ กาพดื เขียนเปน็ กาพืช เพราะนาไปเทยี บกับ พืช สาอาง เขยี นเป็น สาอางค์ เพราะนาไปเทยี บกบั สุรางค์ อาจณิ เขยี นเป็น อาจนิ ต์ เพราะนาไปเทยี บกบั จนิ ต์ อวสาน เขียนเปน็ อวสานต์ เพราะนาไปเทยี บกับ วสันต์ จานง เขียนเปน็ จานงค์ เพราะนาไปเทยี บกบั อนงค์ ไขม่ ุก เขยี นเป็น ไข่มุกค์ เพราะนาไปเทยี บกบั มุกดา มุกตลก เขยี นเป็น มขุ ตลก เพราะนาไปเทยี บกับ ประมขุ สรุป อิทธพิ ลภาษาต่างประเทศที่มีต่อวงศ์ศพั ท์ในภาษาไทย ทาให้ภาษาไทยท่ีจากเดิมมีคาใช้ น้อย เกิดคาศัพท์ใหม่เพิ่มมากขึ้น ท้ังนี้เน่ืองจากภาษาต่างประเทศมีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงศัพท์ เดิม คาประสมแบบไทยน้อยลงเพราะใช้วิธีการสร้างคาแบบคายืม หรือประสมกับคายืม และทาให้ ภาษาพูดและภาษาเขียนของไทยแตกต่างกันทั้งน้ีเน่ืองจากไทยรับคายืมเข้ามาใช้เป็นคาสุภาพแต่ ผลกระทบของการเพ่ิมคาศัพท์ เช่น คาไวพจน์ คาพ้องเสียง เหล่านี้ทาให้ภาษาไทยเกิดการเขียน สะกดคาไม่ถูกต้องเพราะเกิดจากแนวเทียบผิด
131 อิทธพิ ลทำงดำ้ นกำรเรียงคำในประโยค การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเรียงคาในภาษาไทย ซ่ึงอิทธิพลของภาษาต่างประเทศนั้น นอกจากจะมกี ารเปล่ียนแปลงด้านเสียง และคาแล้วยังมีการเปล่ียนแปลงในระดับประโยค และระดับ ตา่ กว่าประโยค (วิไลศกั ด์ิ ก่งิ คา, 2556 : 229-230) สามารถสรปุ ได้ดังนี้ 1. เรียงคาขยายไว้ข้างหน้า ซ่ึงในภาษาไทยจะเรียงคาขยายข้างหลังคาที่ถูกขยาย และมี โครงสร้างประโยคที่เรียงลาดับจากประธาน กริยา และกรรม แต่ปัจจุบันมีลักษณะการเรียงคาใหม่ เกิดข้ึนในภาษาไทย ให้คาขยายมาก่อนคาท่ีถูกขยาย เนื่องจากอิทธิพลของภาษาบาลี สันสกฤต และอังกฤษ เช่น มหาราชา มหาชน ราชรถ อเมรกิ นั ฟตุ บอล ดีไซนไ์ ทย ฯลฯ 2. จานวนนับอย่หู ลังคานาม ตามปกติแล้วโครงสร้างประโยคในภาษาไทยคาบอกลักษณนาม มักจะเกิดหลังจานวนนับ เม่ือภาษาไทยได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ โครงสร้างของประโยคก็ เปล่ียนแปลงไปด้วยเห็นได้จากการไม่นิยมใช้ลักษณนาม ซึ่งจะพบได้โดยท่ัวไปจากส่ือมวลชนท้ัง ทาง วทิ ยุ โทรทัศน์ และโดยเฉพาะหนังสอื พิมพ์ เช่น - สัง่ ปดิ 3 โรงเรียนเถือ่ น - 4 นักว่ิงไทยพลาดเหรยี ญทองเอเชยี นเกมส์ - เปิด 5 โรงเรยี นใหญ่ท่นี นทบรุ ี - ตารวจตามล่า 2 ดาวรา้ ยเมอื งกรงุ การโฆษณาสนิ ค้า ก็มีการใช้ลักษณนามท่ผี ิดแปลกไปจากเดิม เช่น - ยาหอมตราหา้ เจดยี ์ - ถา่ นไปฉายตราหา้ แพะ - สงั กะสีตราสามหว่ ง - นา้ มันสามทหาร - ไกย่ ่างหา้ ดาว - กระเบอ้ื งตราหา้ หว่ ง 3. การเรียงคาเข้าเปน็ ประโยค ใช้บทกรรมของประโยคไว้ข้างหน้าตามลกั ษณะ passive voice ของภาษาอังกฤษ เชน่ - เด็กถูกรถยนต์ชนตาย - เขาถูกแตง่ ตั้งใหเ้ ป็นนายกสมาคม - นวนิยายเร่ืองนี้ถูกแปลโดยทมยนั ตี - ตารวจถกู สรรเสริญจากประชาชน - หนังสือเรื่องน้ีถูกแบง่ ออกเป็นสองตอน สรุป ภาษาต่างประเทศท่ีเข้ามาปะปนในภาษาไทย นอกจากจะมีอิทธิพลต่อระบบเสียง ระบบคา และความหมายแล้ว คายืมยังมีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงทางโครงสร้างประโยคใน ภาษาไทยดว้ ย ได้แก่ การเรยี งคาขยายไว้หนา้ คาหลกั จานวนนับอย่หู ลังคานาม หรือไม่ใช้ลักษณนาม
132 และการเรียงคาเข้าเป็นประโยค โดยใช้บทกรรมของประโยคไว้ข้างหน้าตามลักษณะ passive voice ของภาษาอังกฤษ ดังน้ัน จะเห็นได้ว่า เมื่อไทยรับคายืมเข้ามางใช้แล้วบางคร้ังอาจทาให้รับการเรียง ประโยคตา่ งประเทศเขา้ มาดว้ ย อิทธิพลตอ่ กำรใชค้ ำและสำนวนภำษำตำ่ งประเทศ จันจิรา จิตตะวิริยะพงษ์ (2546 : 168) กล่าวถึงอิทธิพลภาษาต่างประเทศที่มีต่อสานวน ภาษาไทยมีการลอกเลียนแบบสานวนภาษาต่างประเทศมาใช้ ทั้งสานวนภาษาอังกฤษ บาลีสันสกฤต จนี ฯลฯ ดังตวั อยา่ ง สานวนภาษาองั กฤษ เช่น - หนังสือเล่มนีเ้ ขยี นโดย“กาญจนา เงารงั ษี” - เขาเดินทางไปเชยี งใหม่โดยรถไฟ - ฉนั พบตวั เองอยู่ในบ้านคนเดียว - ท้องฟ้าเต็มไปดว้ ยดวงดาว - ฉันเข้ารบั ราชการได้โดยการสอบแข่งขัน สานวนจากภาษาบาลี เชน่ - ปัญญาย่อมนามาซงึ่ นกั ปราชญ์ - อนั วา่ คนดีย่อมประพฤติอยู่ในศลี ธรรม - พระบิดาแห่งพระสวามขี องกระหม่อมฉนั - ขา้ แตพ่ ระมหามนุ ผู้มีความเพียรใหญ่ สานวนจากภาษาจีน เช่น - ขอคารวะทา่ นสกั จอก - ศษิ ย์สมควรตาย - หมอ่ มฉันมิบังอาจ - ขา้ นอ้ ยมิบังอาจ - ทาตนเปน็ ฮ่องเต้ - ขอจงอายุยนื หมน่ื หม่ืนปี สรุปอิทธิพลดังกล่าวทาให้ภาษาไทยมีคาศัพท์เพิ่มมากขึ้น มีคาท่ีสื่อความหมายได้เข้าใจมาก ข้ึนและเห็นพัฒนาการของภาษาไทยได้เป็นอย่างดี แต่การยืมภาษาย่อมมีการเปล่ียนแปลงหลายด้าน เม่ือมีการเปล่ียนแปลงที่ดี ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเขียนสะกดคาท่ี ไม่ถกู ตอ้ ง การใชค้ าไมต่ รงตามความหมาย ใชค้ าผิดหลักไวยากรณไ์ ทย เปน็ ต้น
133 ผลดีและผลเสียในกำรรับคำภำษำตำ่ งประเทศเข้ำมำในภำษำไทย จันจิรา จิตตะวิรยิ ะพงษ์ (2546 : 169 – 172) กล่าวว่า การนาภาษาต่างประเทศมาใช้ใน ภาษาไทยน้ัน มีทั้งผลดีและผลเสีย ภาษาอื่น ๆ เช่น บาลีสันสกฤต เขมร จีน มักจะไม่ค่อยมี ปัญหานัก ถา้ จะมีปญั หากเ็ ป็นด้านการอ่าน การเขยี นคา แต่ทีเ่ ป็นปัญหาสาคัญในปจั จุบัน กลับเป็น ภาษาองั กฤษมากกว่า เพราะมีจานวนคาภาษาอังกฤษในภาษาไทยเพ่ิมขึ้นมาก รวมไปถึงคาทับศัพท์ และการบญั ญตั ศิ พั ท์ข้ึนใช้อกี ด้วย การนาคาภาษาตา่ งประเทศมาใช้น้ันจึงมีทั้งข้อดแี ละข้อเสยี ดงั น้ี 1. ผลดขี องกำรรบั ภำษำต่ำงประเทศเขำ้ มำใชใ้ นภำษำไทย การนาคาภาษาต่างประเทศมาใช้ ขอ้ ดีท่เี ห็นไดช้ ัด คือ ทาให้มีจานวนคาในภาษาใช้มากขึ้น เพอื่ จะได้สามารถเลือกคามาใช้ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง โดยเฉพาะ 1.1 ใชเ้ ป็นคาราชาศัพท์ ซึง่ สว่ นใหญ่ได้มาจากภาษาตา่ งประเทศ เชน่ ภาษาเขมรเช่นพระขนง พระขนอง พระเขนย พระกรรบิด พระกรรแสง เสวย ฯลฯ ภาษาบาลสี นั สกฤต เช่น พระเศียร พระนลาฏ พระหัตถ์ พระบาท พระชงฆ์ ฯลฯ ภาษาบาลกี บั ภาษาไทย เชน่ พระอู่ พระท่ี พระเต้า ฯลฯ ภาษาบาลกี ับสันสกฤตกบั ภาษาอ่นื เชน่ พระศอ พระเกา้ อี้ พระปราง พระโธรน ฯลฯ 1.2 ใช้เปน็ ศัพท์ในวรรณคดี ภาษาในวรรณคดีย่อมต้องการความไพเราะสละสลวย คาท่ีกิน ใจไดล้ กึ ซึ้ง ดังเชน่ วรรณคดีสนั สกฤต (รามเกยี รต)ิ์ วรรณคดีของชวา (อิเหนา) และการประพันธ์ วรรณคดีของไทยซง่ึ มีมาเป็นเวลาช้านานกน็ ิยมใช้คาศพั ท์ภาษาบาลสี ันสกฤต เขมร เพราะถือวา่ เป็น คาศพั ทส์ งู มีความไพเราะ สละสลวย และกินความได้ลึกซึง้ กวา่ คาไทย 1.3 ใช้เป็นคาศัพท์ทางศาสนา เพ่ือให้ดูศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ คาศัพท์ที่เป็นนามธรรม หรือขอ้ ธรรมะตา่ ง ๆ ท่ีมมี ากคอื คาบาลแี ละสนั สกฤต เพราะถอื วา่ เป็นศัพทส์ ูง 1.4 ใช้เป็นคาศัพท์สามัญท่ีใช้กันในชีวิตประจาวัน จนติดปากคิดว่าเป็นภาษาของเราเอง ไดแ้ ก่ คาท่ีมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต เขมร จนี ชวา มลายู องั กฤษ เปน็ ต้น 1.5 ใช้เป็นคาศัพท์บัญญัติทางวิชาการ ได้แก่ คาที่เราสร้างขึ้นใหม่ เพราะรับอิทธิพลจาก วทิ ยาการตะวันตก รวมท้ังอารยธรรม เคร่ืองมือเครือ่ งใช้และอุปกรณต์ ่าง ๆ เข้ามาทาให้ต้องรับคาเข้า มาด้วย และยังตอ้ งสรา้ งศัพท์บัญญัติข้ึนเพ่อื จะได้สะดวกในการใช้ศพั ทบ์ ัญญตั ิท่สี ร้างข้ึน มักจะเป็นใน รูปตา่ ง ๆ กนั การรับเอาคาภาษาต่างประเทศมาใช้น้ัน ก็มีผลดีอยู่มากทาให้ภาษาของเราสมบูรณ์ขึ้น แต่กย็ งั มผี ลเสียอยู่หลายประการ 2. ผลเสียของกำรนำคำภำษำต่ำงประเทศเขำ้ มำใช้ในภำษำไทย การนาคาภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ในภาษาทาให้ภาษาของเราเกิดการเปล่ียนแปลง ทั้งใน ดา้ นเสียง วงศัพท์ และความหมาย จงึ มีผู้ห่วงใยภาษาไทยอยู่มาก การนาคาภาษาต่างประเทศเข้ามา ใช้และรวมถงึ การบัญญตั ศิ ัพทม์ ีผลเสยี ตอ่ ภาษาไทยหลายประการ พอสรุปเป็นขอ้ ๆ ไดด้ ังตอ่ ไปน้ี 2.1 การนาคาทับศัพท์ของภาษาอังกฤษมาใช้ คนไทยมักถ่ายเสียงและสะกดเป็น ภาษาไทยกันตามความสะดวก เพราะไม่มีแบบแผนจะให้ยึดถือ หรือหาข้อยุติไม่ได้ว่าเขียนอย่างไร ขอใหส้ งั เกตคาต่อไปนี้
134 sauce ซอ้ ส เขยี นไดห้ ลายแบบ เช่น ซ๊อส ซอ็ ส ซอส ซอ้ ส cake เคก้ เขยี นไดห้ ลายแบบ เช่น เคก๊ เค็ก เคก้ เคก cell เซลล์ เขียนได้หลายแบบ เช่น เซล เซลล์ เซล็ ล์ เซ็ล note โนต้ เขียนไดห้ ลายแบบ เชน่ โน้ต โน็ต โนต๊ นอกจากน้ีมนกรณีที่คาภาษาอังกฤษมีเสียงทาบหน้าสองเสียง เม่ือนามาเขียนทับศัพท์ก็จะ เกดิ ปญั หาการเขียนผิดในเร่ืองอักษรนา เชน่ slang ถ้าจะเขียนเป็นภาษาไทยว่า แสลง ก็จะอ่านเป็น /สะ – แหลง/ ซ่ึงจะทาให้เกิด ปญั หา เพราะคาน้ีมีใช้ในภาษาไทย แต่เป็นอีกความหมายหน่ึง ดังนั้นจึงให้เขียนว่า “สแลง” เม่ือ เขียนเป็นรูปน้ีก็มีปัญหาอีกว่า เมื่ออ่านว่า /สะ – แลง/ ก็ควรจะประวิสรรชนีย์ หรือไม่ คา ประเภทนยี้ งั มีอีก เช่น slack - สแลค slow - สโลว์ sweater - สเว้ตเตอร์ czechoslovakia - เชคโกสโลวาเกีย นอกจากคาทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ก็ยังมีคาศัพท์บัญญัติอีกส่วนหน่ึงท่ียังไม่ได้จดบันทึกไว้ใน พจนานุกรม จึงไม่มขี อ้ ยุตใิ นการเขียน ทาให้เกดิ ไขวเ้ ขววา่ จะสะกดให้ถกู ตอ้ งวา่ อย่างไร เชน่ สัญลกั ขณ์ สญั ลกั ษณ์ อดุ มการณ์ อดุ มการ วิกฤตการณ์ วิกฤตกาล ฯลฯ ปัญหาการเขียนสะกดการันต์ในคาที่ถ่ายทอดมาจากภาษาอังกฤษและศัพท์บัญญัติ มีปัญหา มากซึ่งไม่สามารถจะหาข้อหยดุ ติได้ คาทับศัพท์หรือศัพท์ภาษาต่างประเทศท่เี รานามาสรา้ งขึ้นใช้ใหม่ กจ็ ะเกดิ ปัญหาอยู่อย่างน้ไี ม่มขี ้อยุตทิ ีแ่ นน่ อนอยูน่ นั่ เอง ทาให้ยุ่งยากต่อผใู้ ชภ้ าษาเป็นอย่างมาก 2.2 การอ่านคาท่ีถา่ ยเสียงคาศัพท์เปน็ ภาษาไทยแลว้ บางคาออกเสียงไม่ตรงกบั เสียงใน ภาษาเดิม เชน่ คอมพวิ เตอร์ ออกเสยี งวา่ คอม – พิ้ว – เต้อ เตน็ ท์ ออกเสยี งวา่ เต๊น ชอลก์ ออกเสียงว่า ชอ้ ก คลนิ ิก ออกเสียงว่า คลี – หนกิ คาทบั ศัพท์เหลา่ นี้จะออกเสยี งตามภาษาเดิม ไมใ่ ช่ออกเสียงตามลกั ษณะตัวสะกด ในภาษาไทย ซ่งึ ดจู ะขัดกบั ความเป็นจริง 2.3 การทบั ศัพท์มอี ิทธพิ ลต่อโครงสร้างและระเบยี บการใชภ้ าษาไทยบางประการ เช่น การไม่ใชล้ ักษณนาม ตารวจรวบ 2 วัยรนุ่ จอมซ่าส์ การใช้กรรมวาจกท่ีผดิ เขาถกู ลงโทษโดยธรรมชาติ การใชค้ าขยายผดิ ท่ี ซุปเปอรม์ นั ส์ นวิ ภัตตาคาร
135 นอกจากน้ียงั มีการสะกดคาไทย คนไทยบางคนนิยมแบบแผนคาภาษาอังกฤษมาใช้ปะปนกัน กลายเป็นโครงสรา้ งแบบผสม คือ “จะเปน็ ภาษาอังกฤษกไ็ ม่ใช่ ไทยก็ไม่เชิง” เช่น คาว่า ยากส์ มนั ส์ ซึ่งเป็นลกั ษณะท่ีผดิ แบบแผนของภาษาไทยที่มีระเบียบดงี ามอยแู่ ลว้ 2.4 ข้อท่เี ป็นผลเสียต่อภาษาท่เี ห็นเด่นชัดอีกข้อหนง่ึ คอื ภาษาพูดท่ีเราใชก้ ารสร้างคา วลี และประโยคขน้ึ ใหม่จากภาษาไทยและภาษาองั กฤษปนกนั มีทั้งแปลจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งผดิ หลักเกณฑ์มาก เช่น “ทีใครทีมนั ” ที whoที it “งู ๆ ปลา ๆ” สเน็ค ๆ ฟชิ ๆ (snake snake fish fish) “ทะลุความมันส์” “ประสาทแดกซ์” “อารมณบ์ ่จอย” 2.5 ภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด เม่ือมีภาษาต่างประเทศเข้ามาปะปน มักจะเขียนอ่านกัน ผดิ ๆ เพราะปัจจบุ นั คนไทยเราไม่ได้ศกึ ษาภาษาไทยใหล้ ึกซง้ึ นึกชอบใจอยา่ งไรก็ใช้อยา่ งน้นั เชน่ ประณตี มักเขยี นผิดเปน็ ประณีต อาชญากร มักเขยี นผดิ เปน็ อาด – ชะ – ยา – กอน ยมบาล มักเขียนผิดเปน็ ยม – มะ – บาน สมรรถภาพ มักเขียนผดิ เปน็ สะ – หมัด – ถะ – พาบ ส่วนคาที่มาจากภาษาต่างประเทศซึ่งนามาเขียนกันจนเป็นที่ยอมรับและนิยมกันโดยท่ัวไป บางทีก็ใช้พูด ซึ่งมีทั้งศัพท์บัญญัติ และคาทับศัพท์ เช่น แอร์ มอเตอร์โหวต ก๊าซ เช้ิต คอรัปชั่น ฮอทดอก ฟุตบอล ไอศกรีม ไนต์คลับ คุกก้ี พลาสติก เถ้าแก่ เฮลิคอปเตอร์ ซ่าหริ่ม กามะหยี่ เป็นตน้ นอกจากน้ียังมีคาภาษาตา่ งประเทศท่มี กั เขยี นผดิ เชน่ โคด้ มกั เขียนผดิ เปน็ โค๊ต แฟบ้ มกั เขียนผิดเป็น แฟ๊บ , แฟบ็ โน้ต มักเขยี นผิดเป็น โนต๊ สัมมนา มกั เขยี นผดิ เป็น สัมนา ฯลฯ ในปัจจุบันภาษาไทยมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากรับภาษาต่างประเทศมาใช้ ท้ังภาษาพูดและภาษาเขียน ท้ังน้ีภาษาเปรียบเหมอื นชีวิต และเป็นวัฒนธรรมอย่างหน่ึงซงึ่ ต้องมีการ เปล่ียนแปลงแตถ่ ้าเปลี่ยนแปลงมากเกินไปก็จะทาให้หมดคุณค่า ดังน้ันถ้าเราจะรกั ษาวัฒนธรรมของ เราไว้ เราก็ควรจะรักษาภาษาไทยท่ใี ชไ้ ดอ้ ย่างดีและเหมาะสมเอาไว้ มิฉะน้ันแล้วภาษาไทยของเราก็ อาจจะไมม่ ลี กั ษณะเปน็ ภาษาไทยอกี ต่อไปก็ได้ ขอ้ ควรระวังในกำรศกึ ษำเร่ืองกำรยมื ภำษำ การศึกษาเร่ืองการยืมภาษามีข้อดอี ยูม่ ากท้งั การเพ่ิมของจานวนศัพท์ การเพ่มิ ถ้อยคาสานวน มภี าษาทีใ่ ช้ตามกาลเทศะ แตก่ ารยมื ภาษาก็มีขอ้ ควรระวังเบอื้ งตน้ ที่สาคญั ๆ ดังที่ วัลยา ช้างขวัญยืน และคณะ (2555 : 109 - 111) ได้กลา่ วถงึ ข้อควรระวังในการศึกษาเรือ่ งการยืมภาษาไวด้ งั นี้
136 1. ควำมพ้องโดยบังเอิญ การศึกษาเรื่องการยืมภาษามีข้อควรระวงั เบือ้ งต้นทีส่ าคัญ 4 ประการ ดังนี้ ภาษา 2 ภาษาอาจมีลักษณะเหมือนกันเนื่องจากเกิดพ้องกันโดยบังเอิญ เม่ือพิจารณาผิว เผินอาจเข้าใจผิดว่า ภาษาใดภาษาหน่ึงยืมอีกภาษาหน่ึงไปใช้ เช่น คาว่า ไฟ , ริม , ประณีตใน ภาษาไทยมีเสียงและความหมายพ้องกับคาว่า fire , rim , neat ในภาษาอังกฤษ คาว่า กาก /kaaka/ ในภาษาบาลีและสันสกฤต มีเสียงและความหมายใกล้เคียงกับคาว่า (อี)กา ในภาษาไทย แต่คาว่า ไฟ , ริม , ประณีต ในภาษาไทย ไม่ได้ยืมมาจากภาษาอังกฤษ และคาว่า (อี)กา ใน ภาษาไทยก็ไม่ได้ยืมมาจากคาว่า กาก /kaaka/ ในภาษาบาลีและสันสกฤต คาเหล่าน้ีเป็นคาที่มี เสยี งและความหมายพ้องกนั โดยบังเอญิ 2. ควำมสัมพนั ธท์ ำงเชื้อสำย เมื่อภาษา 2 ภาษามีความสัมพันธ์กันทางเช้ือสาย การพิจารณาว่าภาษาใดยืมภาษาใดไป ต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างย่ิง เช่น กรณี ภาษาไทยกับภาษาลาว ภาษาทั้ง 2 มี ความสัมพนั ธ์กนั ใกล้ชดิ ท้ังความสัมพันธ์ในแง่ตระกลู และความสมั พันธ์ในแงก่ ารยมื ภาษา ภาษาไทย กับภาษาลาว มีความร่วมเช้ือสาย(cognate) เป็นจานวนมาก คาท่ีตัดสินว่าเป็นคาท่ีภาษาไทยยืมมา จากภาษาลาว หรือภาษาลาวยมื ไปจากภาษาไทย ต้องไม่ใชค่ าร่วมเช้อื สายของภาษาทัง้ 2 นน้ั 3. กำรยมื จำกภำษำต่ำงประเทศเดียวกนั ในบางกรณีคาในภาษา 2 ภาษาซ่ึงเข้าใจว่าภาษาหน่ึงยืมอีกภาษาหนึ่งไปใช้ อาจเป็นคาท่ี ภาษาท้ัง 2 ยืมมาจากภาษาต้นตอเดียวกัน การพิจารณาความสัมพันธ์ว่าภาษาใดยืมจากภาษาใดไป ใช้จึงต้องกระทาด้วยความระมัดระวัง เช่น คาว่า มรสุม ในภาษาไทย กับคาว่า monsoon ในภาษาอังกฤษ แม้วา่ จะมีเสยี งใกล้เคียงกันและใช้ในความหมายเดียวกัน แต่ในภาษาไทยก็ไม่ได้ยืม คาดังกล่าวมาจากภาษาอังกฤษ และภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ยืมไปจากภาษาไทย สันนิษฐานว่าท้ัง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษยืมคานี้มาจากภาษาดัชต์กลาง (Middle Dutch) ว่า monsoon ซง่ึ ยืมมาจากภาษาอาหรับอกี ตอ่ หนึง่ ว่า mausimแปลว่า “เวลา, ฤดกู าล” เปน็ ตน้ 4. กำรยืมต่อกันเป็นทอด ๆ ในบางกรณี ภาษา ก ยืมคามาจากภาษา ข แต่คาท่ียืมมาน้ันเป็นคาที่ภาษา ข ยืมมา จากภาษา ค กรณีนี้อาจทาให้เข้าใจผิดได้ว่า ภาษา ก และภาษา ข ต่างยืมคาเดียวกันมาจาก ภาษา ค การพิจารณาจาเปน็ ต้องพิจารณาประวัตคิ านั้นใหร้ อบคอบโดยเปรียบเทียบความคล้ายคลึง ทางระบบเสยี งระหว่างภาษาทั้ง 3 และประวตั ิความสมั พันธร์ ะหวา่ งเจา้ ของภาษาท้ัง 3 5. กำรปรบั คำยืมใหเ้ ข้ำกับภำษำผรู้ ับ เม่ือภาษาผู้รับยืมคามาจากภาษาผู้ให้ ภาษาผู้รับจะพยายามปรับระบบเสียงและระบบการ เขียนคายืมมาให้กลมกลืนกับคาอ่ืนๆ ของภาษาผู้รับ เช่น คา 2 พยางค์ในภาษาอังกฤษท่ีลงน้าหนัก เสียงเฉพาะที่พยางค์แรก เช่น technique , programme , doughnut ฯลฯ เม่ือยืมเข้ามาใน ภาษาไทยจะปรับใหล้ งนา้ หนกั เสียงทั้ง 2 พยางค์เปน็ เทคนคิ , โปรแกรม , โดนทั ฯลฯ ตามลกั ษณะ ของคาในภาษาไทย อย่างไรก็ตาม คายมื จานวนมากมีลักษณะพิเศษทั้งลักษณะทางเสียงและรูปเขยี น แตกต่างกับคาอ่นื ๆ จนสงั เกตได้ชัด ลักษณธพิเศษดังกล่าวช่วยให้นกั ภาษาศาสตร์พิจารณาได้ง่ายว่า คาใดเป็นคาท่ียืมมาจากภาษาอะไร เช่น คายืมภาษาจีนแต้จิ๋วในภาษาไทย มักเป็นคาเป็นท่ีมีเสียง วรรณยุกต์ตรีและจัตวา เช่น โป๊ยเซียน ซาเล้ง โอยัวะ (หัว)ไช้เท้า (เห็ด)เป๋าฮ้ือ หมั่นโถว โหงวเฮ้ง ฯลฯ คายืมภาษาเขมรในภาษาไทยมักออกเสียงแบบอักษรนา เช่น ขมีขมัน โฉนด (ตาล)โตนด
137 สงวน เสมยี น ฯลฯ ส่วนคายมื ภาษาอังกฤษในภาษาไทยใชเ้ ครอื่ งหมายทัณฑฆาตเขยี นบน ร หรือ ล ทอ่ี ยกู่ ่อนพยญั ชนะตัวสุดทา้ ยของคา เชน่ เสิรฟ์ ชา้ รจ์ (โรค) ซารส์ วาลว์ ฟลิ ์ม ฯลฯ มีประเด็นสาคัญประการหนึ่งท่ีผู้ศึกษาคายืมควรตระหนัก คือ คาที่ยืมจากภาษาผู้ให้มาใช้ ในภาษาผู้รับแล้ว ต้องถือว่าเป็นส่วนหน่ึงของคาในคลังคา (lexicon) ของภาษาผู้รับ ไม่ใช้คาของ ภาษาผู้ให้อีกต่อไป เช่น คาว่า gas lift film opera sex internet ฯลฯ ใน ภาษาอังกฤษ เม่ือยืมเข้ามาใช้ในภาษาไทย เป็น แก๊ส ลิฟต์ ฟิล์ม โอเปร่า เซ็กส์ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ แล้วต้องถือว่าคาเหล่าน้ีเป็นคาภาษาไทยไม่ใช่คาภาษาอังกฤษอีกต่อไป ดังน้ันจึงควรออกเสียง คาดงั กล่าวตามแบบท่ีคนไทยส่วนใหญ่ออกเสยี ง คือเป็นเสียงที่กลมกลืนกับระบบเสยี งของภาษาไทย สรุป ข้อควรระวังในการศึกษาเร่ืองการยืมคา ผู้รับภาษาคายืมมาใช้ต้องระวังการใช้ภาษา ในเร่ืองความพ้องโดยบังเอิญของภาษา ความสัมพันธ์ทางเช้ือสาย การยืมจากภาษาต่างประเทศ เดียวกัน การยืมต่อกันเป็นทอด ๆ และการปรับคายืมให้เข้ากับภาษาผู้รับ ซึ่งในบางครั้งภาษาท่ีมี ความสมั พันธ์ทางตระกลู ภาษา มีความใกล้ชดิ กันดา้ นเชือ้ สาย อาจทาให้ผยู้ มื เกดิ ความสับสนว่าคายืม น้ันมาจากภาษาใด ดังนั้นจึงต้องพิจารณาอย่างถ่ีถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนเก่ียวกับที่มาของคา หรอื การนามาใช้ สรุป คายืมภาษาต่างประเทศมีอิทธิพลต่อภาษาไทยนั้นทาให้จานวนคาในภาษาไทยเพิ่มมากขึ้น และสะดวกในการใช้หลายอย่าง ซึ่งอิทธิพลเหล่าน้ีมีหลายประการ ได้แก่ อิทธิพลท่ีมีต่อระบบเสียง ภาษาไทยเช่น มีเสียงพยัญชนะต้นควบเพ่ิมมากขึ้น มีเสียงตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา อิทธิพลต่อวง ศัพท์ เนื่องจากภาษาต่างประเทศมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงศัพท์เดิม ใช้วิธีการสร้างคาแบบคายืม หรือประสมกับคายืม และทาให้ภาษาพูดและภาษาเขียนของไทยแตกต่างกันท้ังน้ีเน่ืองจากไทยรับคา ยืมเข้ามาใช้เป็นคาสุภาพ ซึ่งถือเป็นผลดีในการยืมคา แต่มีผลเสียของการยืมคาศัพท์มาใช้เช่นกัน กล่าวคือเกิดผลกระทบของการเพิ่มคาศัพท์ เช่น คาไวพจน์ คาพ้องเสียงคาเหล่าน้ีทาให้ภาษาไทยเกิด การเขียนสะกดคาไม่ถูกต้องเพราะเกิดจากแนวเทียบผิด เขียนสะกดการันต์ไม่ถูกต้อง ออกเสียง ผดิ เพี้ยนจากภาษาผู้ให้ยืมใช้คาตา่ งประเทศปนภาษาไทยทั้งท่ีมีคาไทยใช้อยู่แล้ว ดงั น้ัน ผู้ใช้ภาษาไทย ควรระมัดระวังการใช้คายืมให้เหมาะสม ถูกต้องตามกาลเทศะ ข้อควรระวังผู้ใช้ภาษาอาจจะระวังใน เร่ืองการยืมจากภาษาต่างประเทศเดียวกัน การยืมต่อกันเป็นทอด ๆ และการปรับคายืมให้เข้ากับ ภาษาผู้รับ เป็นตน้
138 คำถำมทบทวน 1. ภาษาต่างประเทศมีอทิ ธพิ ลตอ่ การเปลย่ี นแปลงภาษาไทยด้านใดบ้าง 2. คาควบกล้าในภาษาไทยมีกห่ี นว่ ยเสยี ง อะไรบา้ ง และคายืมภาษาต่างประเทศมีอิทธิพลตอ่ เสยี งคาควบกลา้ ในภาษาไทยอยา่ งไร อธบิ าย และยกตวั อย่าง 3. จงอธิบายอิทธิพลภาษาตา่ งประเทศทมี่ ีผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงภาษาด้านตวั สะกด 4. คายืมภาษาต่างประเทศมีอิทธิพลต่อคาศัพท์ในภาษาไทยอย่างไร อธิบาย และยกตัวอย่าง ประกอบ 5. จงเขียนคาไวพจน์ของคาศัพท์ต่อไปน้ี “พระจันทร์ ภูเขา ท้องฟ้า ผู้ชาย”(คาละ 3 ตวั อย่าง) 6. การใชแ้ นวเทยี บผดิ หมายถึงอะไร อธิบาย 7. คาในภาษาไทยมีหลายคาที่ใช้ส่ือสารกันได้เข้าใจ แต่เม่ือมีการรับคายืมภาษาต่างประเทศ เข้ามา ทาให้เกดิ การเลอื กใช้คาภาษาต่างประเทศท้ังท่ีมีคาไทยใช้อยู่ จงยกตัวอยา่ งคาไทยท่ีใชต้ รงกับ ภาษาตา่ งประเทศ (5 คา) 8. ผลเสียของการนาคาภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ในภาษาไทยมีอะไรบา้ ง อธิบาย 9. จงยกตวั อย่างสานวนภาษาตา่ งประเทศท่ีใช้ในสอ่ื มวลชน (5 ประโยค) 10. จงอธิบายขอ้ ควรระวังของการศึกษาเร่ืองการยืมคา
139
บรรณานกุ รม
140
141 บรรณานกุ รม กตัญญู ชูช่ืน. (2543). คายืมภาษาต่างประเทศ ชุด ภาษาเขมรในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดียนส โตร์. กาญจนา นาคสกุล. (2554). บรรทัดฐานภาษาไทยเล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สถาบัน ภาษาไทย สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. กาชยั ทองหลอ่ . (2556). หลกั ภาษาไทย. พิมพ์ครงั้ ที่ 54. กรุงเทพฯ : รวมสาสน์ . จันจิรา จิตตะวิริยะพงษ์. (2546). อิทธิพลภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ พฒั นาศึกษา. จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ. (2556). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอ. เอส. พริน้ ติง้ เฮ้าส.์ ณัฐวรรณ ช่ังใจ. (2555). วิวัฒนาการของภาษาไทย. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัย รามคาแหง. ดียู ศรีนราวัฒน์ และชลธิชา บารุงรักษ์. (2558). ภาษาและภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. ธวัช ปุณโณทก. (2553). วิวัฒนาการภาษาไทย. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . แน่งน้อย ดวงดารา. (2542). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. จันทบุรี : คณะมนุษยศาสตร์และ สงั คมศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั ราไพพรรณ.ี บรรจบ พนั ธุเมธา. (2523). ลกั ษณะภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพม์ หาวิทยาลัยรามคาแหง. ________. (2554). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. พิมพ์คร้ังท่ี 11. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง. บุญธรรม กรานทอง และคณะ. (2553). คาไทยท่ีมาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต. กรุงเทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน. บญุ ยงค์ เกศเทศ. (2548). วิธีคิด วธิ เี ขียน. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์หลักพิมพ์. ประพนธ์ เรืองณรงค์. (2556). จดหมายจากครูยูโซะ เล่าเรื่องภาษามลายูในภาษาไทย. สถาพร บคุ๊ ส์. พฒั น์ เพ็งผลา. (2552).บาลีสันสกฤตในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์มหาวิทยาลยั รามคาแหง. มงคล เดชนครินทร์. (2558). ศัพท์บัญญัติ-บัญญัติศัพท์. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ: นานมบี ุคส พับลเิ คชน่ั ส์. ลัดดา วรลัคนากุล. (2558). คาภาษาจีนในภาษาไทย. เข้าถึงเม่ือวันท่ี 15 ธันวาคม 2560, จาก http://www.royin.go.th/?knowledges=. คาภาษาจนี ในภาษาไทย (1).
142 บรรณานุกรม(ตอ่ ) ลลิตา โชติรังสียากุล. (2545).ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย.สงขลา : คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ สถาบนั ราชภัฏสงขลา. วัลยา ช้างขวัญยืน. (2555). บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม 2.พิมพ์ครั้งท่ี 3. กรุงเทพฯ :สถาบัน ภาษาไทย สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร. วิไลศักดิ์ กิ่งคา. (2556). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ศานติ ภักดคี า. (2553). เขมรใชไ้ ทยยมื . กรงุ เทพฯ : อมรนิ ทร.์ ศุภกร เลิศอมรมีสุข. (2556). พัฒนาการของคายืมภาษาจีนที่ปรากฏในพจนานุกรมไทย. วทิ ยานพิ นธ์อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. สุภาพร มากแจ้ง. (2535). ภาษาบาลี-สันสกฤตในภาษาไทย. พิมพ์ครั้งท่ี 2. กรุงเทพฯ : โอเดียนส โตร์. อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล. (2555). บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม 2.พิมพ์ครั้งท่ี 3. กรุงเทพฯ : สถาบัน ภาษาไทย สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร. อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์. (2527). ภาษาศาสตร์เบื้องต้น. กรุงเทพฯ :สานักพิมพ์มหาวิทยาลัย รามคาแหง.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148