45 4.1 พยัญชนะวรรค ใช้เป็นตัวสะกดได้เฉพาะพยัญชนะวรรคแถวที่ 1 3 และ 5 ของวรรค เท่านั้น นอกน้ันเป็นตัวสะกดไม่ได้ แต่พยัญชนะวรรคในสันสกฤต นอกจากจะใช้เป็นตัวสะกดใน หลกั เกณฑบ์ าลีแลว้ ยังมีหลกั อื่นๆดงั น้ี ตัวสะกดตัวตามไม่ต้องเรียงลาดับตามแบบบาลีก็ได้ พยัญชนะวรรคแถวที่ 3 เป็นตัวสะกด พยัญชนะวรรคแถวท่ี 5 เป็นตัวตามได้ เช่น ปรัชญา อาชญา เปน็ ตน้ ตวั สะกดตวั ตามเป็นพยัญชนะต่างวรรคกันกไ็ ด้ เชน่ มุกดา อัคนี ศักด์ิ เปน็ ต้น 4.2 พยัญชนะเศษวรรคในบาลีท่ีใช้เป็นตัวสะกดได้มี 5 ตัว คือ ย ล ว ส ฬ มีหลักเกณฑ์ ดงั นี้ ตวั ย จะเปน็ ตวั สะกดได้เมือ่ ย หรือ ห ตามหลัง เช่น อยั ยิกา คยุ ห ฯลฯ ตัว ล จะเป็นตัวสะกดได้เม่ือ ล ย หรือ ห ตามหลัง เช่น มัลลิกา กัลยาณวุลห ฯลฯ ตัว ว และ ฬ จะเป็นตัวสะกดได้เม่ือมีตัว ห ตามหลัง เช่น ชิวหา วิรุฬหก อาสาฬห ฯลฯ ตัว ส จะเป็นตัวสะกดได้เมื่อ ต น ม ย ว หรือ ส ตามหลัง เช่น ภัสตา มสั สุตสั มา ฯลฯ ในภาษาสันสกฤต มีหลักเกณฑ์คล้ายกบั บาลี แต่มีตัวสะกดเพ่ิมอีกสองตวั คอื ศ ษ เช่น อัศว พฤศจิกายน ราษฎร ฯลฯ สว่ นตัว ร กับ ห เป็นตัวสะกดไม่ได้ทั้งในบาลีและสันสกฤต แต่เม่ือนามาใช้ในภาษาไทยเราให้ เป็นตัวสะกดด้วย เช่น พรหม พราหมณ์ จร ศร อมร อาหาร บริวาร อาการ วรรค พรรค สรร มรรค ฯลฯ สรุป ภาษาบาลี สันสกฤต มีความแตกต่างจากภาษาไทยมาก เม่ือไทยรับมาใช้จึงต้องมีการเลือก วิธีรับเพ่ือให้เป็นไปตามระบบของภาษาไทย และสะดวกต่อการใช้ ท้ังน้ีคาศัพท์จากภาษาบาลีสันสกฤต บางคา จะมีลักษณะรูปคาที่เปลี่ยนไป หากต้องการสืบทราบที่มาของคาจึงต้องใช้หลักการสังเกตคายืม ภาษาบาลี สันสกฤตจากการสงั เกตพยัญชนะ สระ เปน็ ต้น ตวั อย่ำงคำยืมภำษำบำลี สนั สกฤตในภำษำไทย คายืมภาษาบาลี สนั สกฤตถอื ไดว้ ่าพบใชม้ ากท่ีสดุ ในภาษาไทย ดังตวั อย่างที่ บุญธรรม กรานทอง และคณะ (2553) ได้เรยี บเรียงตัวอยา่ งคาไทยท่ยี มื มาจากภาษาบาลี สนั สกฤต ดังน้ี คำภำษำไทย ควำมหมำย คำภำษำบำลี สันสกฤต ควำมหมำย กฐนิ น. ผา้ พิเศษท่ีพระพทุ ธเจา้ ป. ,ส. กฐิน น. ไมส้ ดึง (กรอบไม้ กตเวที ทรงอนญุ าตแก่ภกิ ษุสงฆ์ สาหรับขงึ ผ้าทจ่ี ะเย็บ เฉพาะกฐินกาล เปน็ จีวร) (กต+เวที) ว. (ผู้) ประกาศคุณท่าน, ว. น. ผใู้ ห้รู้, ผ้ปู ระกาศ (ผ้)ู สนองคุณท่าน ป. กต (ส. กฤต) ว. ทาแลว้ , ประกอบแลว้ , สร้างแล้ว, จดั แจงแลว้ ป. เวที (ส. เวทนิ )ฺ น. ผู้ให้ร,ู้ ผ้ปู ระกาศ
46 กตกิ า น. กฎเกณฑห์ รือข้อตกลงท่ี ป. กตกิ า น.การตกลง, การนัด กรณี บคุ คลตั้งแต่ 2 ฝ่ายข้ึนไป หมาย กรรมสทิ ธ์ิ กาหนดข้นึ เป็นหลกั ปฏิบัติ (กรฺม+สิทธฺ )ิ น. คด,ี เร่ือง, เหตุ ป., ส. กรณี ว. ท่เี ป็นเหตกุ ระทา น. ความเปน็ เจา้ ของทรัพย์ ส. กรมฺ (ป. กมฺม) น. การ, การกระทา, ป., ส. สทิ ฺธิ การงาน, กิจ กวี น. ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในศิลปะ ป., ส. กวิ น. ความสาเรจ็ การประพนั ธบ์ ทกลอน น. ผมู้ ีปัญญา กันดาร ว. อัตคัด, ฝืดเคือง,ลาบาก, ป.กนตฺ าร น. ทางไปยาก แห้งแลง้ (ส. กานตฺ าร) น. ตัว กอง ฝูง หมู่ ป., ส. กาย ประชุม กาย น. ตัว ป. , ส. กาลิ น. บาป โทษ เคราะห์ ป., ส. กาก ร้าย ความระทมทุกข์ กาลี ว. ช่วั ร้าย เสนียดจัญไร ป., ส. ปาท น. กา (นก) ป. กิจฺจ (ส. กฤตฺย) น. ตีน กากบาท น. เคร่ืองหมายอย่างตีนกา ป., ส. การ น. ธุระ การงาน หน้าท่ี (กาก+ปาท) มีรูป + หรอื x ส. ทกษฺ (ป. ทกขฺ ) น. งาน ส่ิงหรือเรื่องท่ีทา น. การงานทปี่ ระกอบ ธุระ ป. ทสฺสน (ส. ผู้ทา กจิ การ ทรศฺ น) ว. สันทัด สามารถ (กิจจฺ +การ) น. ความเห็น การเห็น ป., ส. คติ เครื่องรู้เห็น สง่ิ ที่เห็น ทกั ษะ น. ความชานาญ ป. ตณฺหา การแสดง ทัศนคติ น. แนวความคดิ เห็น (ส. ตฤษณฺ า) น. การไป การเดินไป (ทสฺสน + คติ) ท่ีต้ังอยู่ การตกลง ท่ีเกิด เหตุตา่ ง ๆ ตัณหา น. ความทะยานอยาก น. ความอยาก โดยท่วั ไปหมายถงึ ความใคร่ ความกระหาย ในกาม(ก.) ส. ตรกฺ (ป. ตกกฺ ) น. ความวิตก ตรึก ก. นกึ คดิ ป., ส. ตุลยฺ ความคาดคะเน ดลุ ยภาพ น. ความเท่ากนั ป., ส. ภาว ความตรึก เหตุผล (ตุลยฺ + ภาว) ความเสมอกนั ว. เหมือน คล้าย เช่นกนั น.ความมี ความเป็น ความปรากฏ
47 โคตร น. วงศส์ กุล เผ่าพันธ์ุ ส. โคตฺร (ป. โคตฺต) น. วงศ์ ตระกูล เผ่าพันธุ์ ฆาตกร ต้นสกุล ป., ส. ฆาต เหลา่ กอ เชื้อ เชอื้ สาย (ฆาต + กร) น. ผทู้ ฆ่ี า่ คน ป., ส. กร น. การฆา่ การทาลาย ส. โฆษณา ก. ตี โฆษณา ก. เผยแพรข่ ้อความออกไป (ป.โฆสนา) ว. ผู้ทา ยังสาธารณชน; ป่าวรอ้ ง ป., ส. จราจร น. มือ; แขน; แสง ป่าวประกาศ ก. โหร่ อ้ ง ปา่ วรอ้ ง ป., ส. จลาจล กึกก้อง จราจร น. การท่ียวดยานพาหนะ ป. จตรุ สสฺ ก. เคลอ่ื นท่ีได้ คน หรือสัตว์พาหนะเคล่ือน ป.จาริตฺต (ส. จา ไปมาตามทาง รติ รฺ ) ก. หว่นั ไหวไปมา ป.จนิ ตฺ น, จินฺต (ส. เคล่ือนไหวไปมา จลาจล น. ความปั่นป่วนวุ่นวายไม่มี จินตฺ ) ว. ซึ่งเป็นสี่เหล่ียม, มีส่ี ระเบยี บ ป., ส. อาการ มุม ป., ส. เจตนา ก. เดินไป, ทาตาม จัตรุ สั น. รูปส่ีเหล่ียมด้านเท่าที่มี ก. คดิ มมุ ภายในเป็นมุมฉาก ป., ส. ชรา น.ท่าทาง; การกระทา; ส. ชวฺ าล (ป. ชาลา) ความเปน็ ไป จารตี น. ประเพณีที่ถือสืบต่อกัน ป. ฌาปน น. ความคดิ มานาน ป. กิจจฺ (ส. กฤตฺย) น. ความแก่, จนิ ตนาการ น. การสรา้ งภาพขึ้นในจติ ใจ ความทรดุ โทรม (จินฺตน + อาการ) น. เปลวไฟ น. การทาใหไ้ หม้ เจตนา ก.ตง้ั ใจ จงใจ มงุ่ หมาย น. ท่ี ที่ตัง้ ตาแหน่ง น. ความต้ังใจ ความจงใจ ชรา ความมุ่งหมาย ชัชวาล ว. แก่ด้วยอายุ, ชารุดทรุด ฌาปนกจิ โทรม (ฌาปน + กิจจฺ ) ว. สวา่ ง รุง่ โรจน์ โพลงขึน้ น. การเผาศพ
48 ญตั ติ น. คาประกาศให้สงฆ์ทราบ ป. ญตฺติ (ส. ชญฺ ปฺต)ิ น. คาประกาศใหร้ ู้ ฐานนั ดร เพื่อทากิจของสงฆ์ร่วมกัน; (ฐาน + อนตฺ ร) ข้อเสนอเพื่อลงมติ; หัวข้อ ป. ฐาน (ส. สฺถาน) น. ที่ ทต่ี ง้ั ตาแหนง่ โตว้ าที ป., ส. อนตฺ ร ว. ระหว่าง น. ลาดับในการกาหนดชั้น น. ลาดับ บคุ คล กศุ ล น. ส่งิ ทด่ี ีทชี่ อบ บญุ ส. กศุ ล (ป. กสุ ล) น. ส่งิ ท่ีดีทช่ี อบ บญุ เกษตร ว. ฉลาด ว. ฉลาด โกหก น. ทดี่ นิ ทุ่ง นา ไร่ ส. เกฺษตรฺ (ป. เขตฺต) น. ทีด่ นิ ทุง่ นา ไร่ เกษียณ ก. จงใจกลา่ วคาที่ไมจ่ รงิ ป., ส. กุหก น. ผู้หลอกลวง เขต พูดปดพูดเท็จ ขณะ ก. ส้ินไป ส. กฺษีณ (ป. ขีณ) ก. สิน้ ไป ขีปนาวธุ น. แดนทีก่ าหนดขีดคนั่ ไว้ ป. เขตฺต (เกฺษตรฺ ) น. ท่ดี ิน ทงุ่ นา ไร่ (ขิปน + อาวุธ) น. ครู่ ครั้ง คราว เวลา ป. ขณ (ส. กษฺ ณ) น. ครู่ คร้ัง คราว เวลา สมัย ป. ขปิ ณ สมยั คณบดี น. อาวุธซ่ึงถูกสง่ อกไปจาก ป. อาวธุ อายธุ ก. ซดั พงุ่ ยงิ (คณ + ปติ) ผิวพิภพเพ่ือใช้ (ส. อายุธ) น. เคร่ืองประหาร คณิตศาสตร์ ประหตั ประหารหรือทาลาย (คณติ + ศาสตฺ รฺ ) ในการสงคราม ป., ส. คณ น. หมู่ พวก น. หวั หนา้ คณะใน ป., ส. ปติ น. นาย เจ้าของ เจา้ มหาวทิ ยาลัยหรือในสถาบัน ส. คณิต หัวหน้า ทเี่ ทยี บเท่า ส. ศาสตฺ ฺร(ป. สตฺถ) น. การนับ การคานวณ น. วิชาวา่ ด้วยการคานวณ ป., ส. คมน น. คมั ภรี ์ ตารา ป., ส. อาคม ระบบวชิ าความรู้ คมนาคม น. การตดิ ต่อไปมาถึงกัน, ป., ส. คณุ น. การไป การถงึ (คมน + อาคม) การส่อื สาร ป., ส. ภาว น. การมา การมาถงึ น. ลกั ษณะที่ดเี ดน่ ของ ป., ส. คณุ น. ความดที ี่มปี ระจาอยู่ในสงิ่ คุณภาพ บคุ คลหรือสิง่ ของ ป. วุฑฒฺ ,ิ วุทฺธิ นนั้ ๆ ; ความเก้ือกลู (คุณ +ภาว) (ส. วฤทธฺ ิ) น. ความดี ความเปน็ ความ ปรากฏ คุณวุฒิ น. ความรู้ความสามรถของ น. ความดีที่มีประจาอยู่ในส่ิง (คุณ + วุฑฺฒ)ิ บคุ คล, ระดบั การศึกษา นน้ั ๆ; ความเกือ้ กลู น.ความเจรญิ , ความสมบรู ณ์
คำภำษำไทย ควำมหมำย คำภำษำบำลี สนั สกฤต 49 ดาราศาสตร์ น. วิชาวา่ ด้วยดาว ป. ตารา (ส. ตาร ควำมหมำย (ตารา + ศาสตฺ ฺร) ตารา) น. ดาว ส. ศาสฺตฺร (ป. สตฺถ) น. คมั ภรี ์ ตารา ระบบวิชาความรู้ ดถิ ี น. วนั ตามจันทรคติ ป., ส. ตถิ ิ น. วันตามจันทรคติ ศรทั ธา 1. ความเชือ่ ความเลอื่ มใส ส. ศฺรทฺธา; ป. สทธฺ า เชอื่ เล่อื มใส บางทกี ใ็ ช้เขา้ คู่กับคา พสิ ดาร ประสาทะ เปน็ ศรัทธา ส. วสฺตาร; กว้างขวาง สถาปนา ประสาทะ ป. วิตฺถาร ละเอยี ดลออ 2. เช่ือ เล่ือมใส ส. สถฺ าปน; ยกย่องโดยแต่งต้งั ให้ อนาคต 1. กวา้ งขวาง ละเอยี ดลออ ป. ฐาปน สูงขึ้น ตั้งขึ้น ทวี (ใช้แก่เน้ือความ) เศวต 2. (ปาก) แปลกพลิ ึก ป., ส. อนาคต ยังมาไมถ่ งึ สัตย์ ก. ยกย่องโดยแต่งต้งั ให้ ป., ส. ทวฺ ิ เพิม่ ขึ้น มากขึน้ สูงขึน้ ต้งั ข้นึ (มักใช้แก่ ส. เศวฺ ต; ป. เสต สีขาว มัธยัสถ์ หน่วยงานราชการหรอื ส. สตยฺ , ป.สจฺจ ความจริง องค์การที่สาคัญ ๆ ในระดบั ส. มธยฺ สฺถ ปานกลาง ตง้ั อยู่ใน กระทรวง ทบวง ท่ามกลาง มหาวิทยาลัย) ทาง ว. ยงั มาไม่ถงึ น. เวลาภายหน้า ความเส่อื ม ก. เพม่ิ ขึ้น มากขึน้ ความเสยี หาย น. สขี าว ความฉบิ หาย ความจริง ก. ใช้จา่ ยอยา่ งประหยดั มรรค น. ทาง ส. มารฺค, ป. มคฺค น. เหตุ ใช้ค่กู บั ผล ว่า เป็นมรรคเป็นผล น. ในพระพุทธศาสนา เป็น ชอื่ แห่งโลกุตรธรรม คู่กบั ผล มี 4 ช้นั , ทางท่จี ะ นาไปสู่ความพ้นทุกข์ หายนะ น. ความเส่อื ม ป. หายน ความเสยี หาย ความฉบิ หาย
50 สรปุ ภาษาบาลีสันสกฤตจัดอยู่ในตระกูลภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย ซ่ึงแตกต่างจากตระกูลภาษาไทย คา ส่วนใหญ่ท่ีใช้ในภาษาไทยมักเป็นคายืมจากภาษาบาลี สันสกฤต ด้วยเหตุที่ไทยมีความสัมพันธ์กับอินเดีย ท้ังทางตรง และทางอ้อมในด้านการรับนับถือพระพุทธศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม ความเช่ือต่าง ๆ เป็น ตน้ เมื่อมีเหตุท่ีทาให้เกิดการรับคายืมเข้ามาใช้ทาให้ไทยมีวิธีการรับคายืมเหล่าน้ีมาใช้ตามความเหมาะสม และเป็นไปตามระบบภาษาไทย วิธีการยืม เช่น การเปลี่ยนแปลงเสียง การเปลี่ยนรูปคา การกลาย ความหมาย เปน็ ต้น เม่ือยืมเข้ามาใช้ก็ทาให้เกิดลกั ษณะเฉพาะของภาษาคายืมบาลี สันสกฤตในภาษาไทย ได้แก่ ใช้พยัญชนะท่ีไทยไม่นิยมใช้ มักเป็นคาท่ีไม่มีไม้ไต่คู้ ใช้ตัวสะกดการันต์ หากเราอยากทราบท่ีมา ของคาท่ียืมมาแล้วว่ายืมจากภาษาใด ต้องอาศัยหลักการสังเกตคานั้น ๆ ด้วย เน่ืองจากคาภาษาบาลี สันสกฤตไมม่ ไี ด้มีลักษณะเหมอื นกนั ทุกคา คำถำมทบทวน 1. สาเหตุใดบา้ งท่ีทาให้ภาษาบาลี สันสกฤตเขา้ มาปะปนในภาษาไทย 2. เหตุใดคาภาษาบาลี สันสกฤตจึงเขา้ มาปะปนในภาษาไทยมากกว่าคาภาษาอื่น ๆ 3. จงเขียนรากศัพท์ของคายืมต่อไปนี้ ให้ถูกต้อง “นิคหิต ไทยทาน ขัตติยะ จันทร์ บังสุกุล ปจั จบุ ัน เกษยี ณ ขรรค์ วเิ คราะห์ ดนัย พัฒน์ วรรณ ศูนย์” 4. จงบอกหลกั ตวั สะกดตัวตาม (สังโยคบาล)ี ใหถ้ กู ตอ้ ง พรอ้ มยกตัวอย่างประกอบ 5. จงอธิบายลักษณะภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทยมาพอเขา้ ใจ 6. ไทยนาภาษาบาลี สนั สกฤตมาใช้ดว้ ยวธิ กี ารใดบา้ ง 7. จงยกตัวอย่างคายืมภาษาบาลีสันสกฤตท่ีมีการเปลี่ยนแปลงด้านความหมาย ท้ังแคบเข้า กวา้ งออก และยา้ ยท่ี มาข้อละ 5 คา 8. จงยกตัวอย่างคายืมภาษาบาลี สันสกฤตที่ไทยยืมมาใช้ท้ัง 2 คาแต่มีรูปคา และความหมาย ต่างกัน (ยกมา 5 คา) 9. ไทยนาคายืมภาษาบาลี สันสกฤตมาใชใ้ นลกั ษณะใดบ้าง อธิบาย 10. นักศึกษาคิดว่า เหตุใดการเขียนคายืมภาษาบาลี สันสกฤตในปัจจุบันมักมีการเขียนสะกดคา ไม่ถูกต้อง (อธบิ ายไม่ต่ากวา่ 5 บรรทดั )
บทท่ี 4 คำยมื ภำษำเขมรในภำษำไทย คำยืมภำษำเขมรในภำษำไทยถือได้ว่ำเป็นอีกภำษำหนึ่งที่ไทยเรำใช้พูดจำกันในปัจจุบัน เป็นหนว่ ยคำพื้นฐำนจนยำกท่ีจะแยกวำ่ คำใดเป็นคำภำษำไทย คำใดเป็นภำษำเขมร อำจด้วยลกั ษณะ ภำษำ ลักษณะรูปคำ หรือแม้กระทั่งนำคำยืมมำสร้ำงคำแบบไทยอีกด้วย คำยืมภำษำเขมรใน ภำษำไทยมีลักษณะเฉพำะ แตกต่ำงจำกคำยืมภำษำอื่น ๆ ในภำษำไทย เพรำะส่วนใหญ่เป็นภำษำ เขมรโบรำณ และอำจมีภำษำเขมรในภำษำไทย ในรำวพุทธศตวรรษท่ี 19-24 บ้ำง แต่ไม่มำกนัก ภำษำเขมร เป็นภำษำประจำชำติของชนชำวเขมรในประเทศกัมพูชำและยังเป็นภำษำพูดของคนไทย เช้ือสำยเขมรที่อำศัยอยู่ในบริเวณที่มีอำณำเขตติต่อกัน คำยืมภำษำเขมรจึงเป็นอีกภำษำหนึ่งที่มี ควำมสำคญั ตอ่ ภำษำไทย และนบั ได้ว่ำสำคญั รองลงมำจำกภำษำบำลีสันสกฤต ดว้ ยวำ่ ชนชำติไทยและ ชนชำติเขมรในอดีตนั้นมีควำมสำคัญใกล้ชิด ทำงประวัติศำสตร์ สภำพภูมิศำสตร์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศำสนำ กำรศึกษำ กำรค้ำขำย เปน็ ต้น ภำษำเขมรจงึ มีอิทธิพลมำกในภำษำไทย ไม่วำ่ จะ เป็นคำทีใช้ในชีวิตประจำวัน คำที่นำมำใช้ในคำรำชำศัพท์ คำท่ีนำมำใช้วรรณคดี จนไม่รู้สึกว่ำเป็นคำ ยืมท่ีมำจำกภำษำเขมร เพรำะภำษำเขมรเปน็ คำท่ีมพี ยำงค์เดยี ว เป็นคำโดด และใช้ตวั สะกดแบบไทย เช่นคำว่ำ พ่อ แม่ พี่ นอ้ ง เดนิ เหิน ฯลฯ หำกจะศึกษำเปรียบเทียบภำษำเขมรในภำษำไทยควรจะศึกษำเปรียบเทียบกับภำษำเขมรให้ ตรงกับ ยุคสมัยน้ัน ๆ ดังท่ี ศำนติ ภักดีคำ (2553 : 4-5) กล่ำวถึงกำรศึกษำคำยืมภำษำเขมรใน ภำษำไทยไว้ว่ำ กำรศึกษำคำยืมภำษำเขมรในภำษำไทยส่วนมำกมักนำภำษำไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยำ กรุงรตั นโกสินทร์ ไปเปรียบเทียบกับภำษำเขมรปจั จุบัน กำรศึกษำในลักษณะเช่นนี้อำจ เน่ืองมำจำกเรำหลงลืมไปว่ำภำษำเขมร ก็มีวิวัฒนำกำรเช่นเดียวกับภำษำไทย ดังนั้นหำกจะศึกษำคำ ยืมภำษำเขมรภำษำไทยในแต่ละยุคสมัยเรำควรศึกษำในแนวขนำน กล่ำวคือ เมื่อศึกษำคำยืมภำษำ เขมรในศิลำจำรึกสุโขทัยก็ควรนำไปเปรียบเทียบกับคำเขมรในช่วงสมัยเดียวกัน เมื่อศึกษำภำษำใน ภำษำไทยสมัยกรุงศรีอยุธยำเรำก็ต้องนำมำเปรียบเทียบกับภำษำเขมรโบรำณสมัยเมืองพระนครและ ภำษำเขมรสมัยกลำง ควำมเป็นมำของคำยืมภำษำเขมร ภำษำเขมรเปน็ ภำษำประจำชำตขิ องชำวเขมรในประเทศกัมพูชำ และยงั เปน็ ภำษำพูดของคน ไทยเช้ือสำยเขมรท่ีอำศัยอยู่ในจังหวัดชำยแดนติดต่อกับเขมรท้ังภำคตะวัน ออกและภำค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ เป็นต้น คำยืมภำษำ เขมรจึงเป็นอีกภำษำหน่ึง ท่ีมีควำมสำคัญต่อภำษำไทย ซึ่งรองลงมำจำกภำษำบำลีและสันสกฤตด้วย
52 เหตุท่ีว่ำในอดีตไทยและขอมมีควำมสัมพันธ์กันใกล้ชิดทำงประวัติศำสตร์ สภำพภู มิศำสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี ศำสนำ กำรค้ำขำย เป็นต้น ภำษำเขมรท่ีนำมำใช้ในภำษำไทยจึงมีจำนวน มำกท้ังคำท่ีใชใ้ นชีวติ ประจำวนั คำในวรรณคดี และคำรำชำศพั ท์ และมคี ำอยู่เป็นจำนวนมำกที่เรำไม่ ร้สู ึกว่ำเป็นคำยืมภำษำเขมร เพรำะมีลักษณะคล้ำยคำภำษำไทย คือเป็นคำท่ีมีพยำงค์เดียว และสะกด ตรงตำมมำตรำ เช่น เดิน เกิด ตรง จง คง ฯลฯ คำภำษำเขมรที่เรำรับมำใช้ส่วนใหญ่มี กำรเปล่ียนแปลงเสียงใหเ้ หมำะกบั กำรออกเสียงภำษำไทย เน่อื งจำกมีระบบเสียงที่ต่ำงกัน เช่นคำควบ กล้ำในภำษำเขมรมีท้ังหมด 83 คู่ ซ่ึงไม่ใช่คำควบกล้ำ ร ล ว ท่ีใช้ในภำษำไทย เมื่อไทยรับคำยืม ภำษำเขมรมำใช้จงึ ต้องมวี ธิ กี ำรนำมำใชท้ ส่ี ะดวกต่อกำรออกเสียง เช่น ขจี (ขะ-เจย็ ) ไทยออกเสยี งเป็น ขะ-จี เปน็ ต้น (ลลิตำ โชติรังสียำกลุ , 2545 : 183) นอกจำกนี้วัลยำ ช้ำงขวัญยืน (2555 : 198-199) ก็ได้กล่ำวถึงควำมเป็นมำของคำยืมภำษำ เขมรไว้ว่ำ คำเขมรเข้ำมำอยู่ในภำษำไทยตั้งแต่เมื่อไรไม่อำจบอกได้แต่ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงชนชำว เขมรกับชำวไทยมีมำก่อนที่ไทยจะต้ังบ้ำนเมืองข้ึนเป็นแห่งแรก ณ อำณำจักรสโุ ขทัย ในศลิ ำจำรึกของ พ่อขุนรำมคำแหงเป็นหลักฐำนทำงเอกสำรที่เก่ำแก่ท่ีสุดท่ีเขียนเป็นอักษรไทย เรำพบได้ว่ำมีคำเขมร อยูบ่ ้ำงแล้ว เช่น “เมือ่ ช่ัวพ่อกู กูบำเรอแก่พอ่ กู กูบำเรอแกแ่ มก่ ,ู กลำงเมอื งสโุ ขทัยนีม้ ีน้ำตระพงั โพยสี ใสกินดี...คนในเมืองสุโขทัยน้ี มักทำน มักทรงศีล มักโอยทำน” หลักฐำนเหล่ำนี้แสดงให้เห็นว่ำ ไทย กับเขมรมีควำมสมั พันธก์ ันมำก่อนหน้ำนี้ จึงไดเ้ กิดกำรยืมคำมำใช้ดังกลำ่ ว กำรถำ่ ยทอดวัฒนธรรมทำง ภำษำ และวฒั นธรรมด้ำนอื่น ๆ ทีเ่ กดิ ขึ้นน้ีเปน็ เพรำะประเทศไทยกับเขมรมอี ำณำเขตติดต่อกนั นอกจำกน้ีไทยยังมีควำมสัมพันธ์กับเขมรด้ำนวรรณคดีอีกด้วย กล่ำวคือไทยเรำรับ กำร ปกครอง วัฒนธรรมประเพณีจำกเขมรตั้งแต่ก่อนต้ังกรุงสโุ ขทัย ส่งผลให้คำยืมภำษำเขมรเข้ำมำปะปน มำกมำย ดังจะเห็นได้จำกศิลำจำรึกหลักที่ 1 มีกำรใช้คำรำชำศัพท์ และพระนำมของพ่อขุน รำมคำแหง เป็นต้น นอกจำกนี้เรำยังพบคำยมื ภำษำเขมรในวรรณคดีไทยสมัยอยุธยำ เพรำะในสมัยน้ี เรำรับเอำวัฒนธรรมของขอม แม้ตัวอักษรยังใช้ปนกับกำรเขียนภำษำไทย ส่วนเรื่องทำงวรรณคดีท่ี เก่ียวกับทำงพิธี คือ ประกำศแช่งน้ำโคลงห้ำ หรือที่เรียกว่ำ “ลิลิตโองกำรแช่งน้ำ” เก่ียวกับศำสนำ เช่น มหำชำติคำหลวง ซึง่ มีภำษำเขมรปะปนอยู่มำก ถ้อยคำที่ใช้มีภำษำเขมรปะปนอยู่มำก นอกน้ันมี ภำบำลีสันสกฤต ซ่ึงเข้ำมำโดยพรำหมณ์ท่ีเอำวัฒนธรรมอินเดีย ผ่ำนทำงเขมรมำยังไทยอีกทอดหนึ่ง และยังมีวรรณคดีอีกหลำยเร่ือง เช่น ลิลิตยวนพ่ำย ลิลิตพระลอ โคลงทวำทศมำส คำฉัน ท์ ดษุ ฎสี งั เวยกลอ่ มช้ำง เปน็ ต้น (ลลิตำ โชติรงั สยี ำกุล, 2545 : 226)
53 สรุป ควำมเป็นมำของคำยืมภำษำเขมรในภำษำไทยน้ันเกิดจำกสำเหตุที่ไทยรับเอำระบบ กำรเมืองปกครอง ประเพณี วัฒนธรรม รวมท้ังอำณำเขตที่ติดต่อกัน และไทยกับเขมรมี ควำมสัมพันธ์กันมำยำวนำนตั้งแต่ก่อนท่ีไทยจะมีกำรต้ังบ้ำนเมืองข้ึน ดังหลักฐำนต่ำง ๆ ในสมัย สุโขทัย อยุธยำ และรัตนโกสินทร์ ทำให้ไทยมีกำรใช้คำยืมภำษำเขมรจนถึงปัจจุบัน และลักษณะ ต่ำง ๆ มีควำมคล้ำยคลงึ กนั อย่ำงแยกกนั ไม่ออก วิธกี ำรยืมคำภำษำเขมรมำใช้ในภำษำไทย กำชัย ทองหล่อ (2554 : 325-326) ได้กล่ำวถึงวิธีกำรนำคำเขมรมำใช้ในภำษำไทย มหี ลำยวธิ ี สำมำรถสรุปได้ ดังนี้ 1. ใชต้ ำมรูปเดมิ เช่น เขมร อำ่ นวำ่ ไทยใช้ ควำมหมำย กังวล กัง-ว็อล กังวล เกีย่ วขอ้ ง ห่วงใย ขจร ขจฺ อ ขจร ฟุ้งไป ขจำย ขฺจำย ขจำย เร่ยี รำยฟุง้ ไป แข แข แข พระจันทร์ ฉนำ ฉฺนำ ฉนำ ปี ฉงำย ฉงฺ ำย ฉงำย ไกล หำ่ ง ถกล ถกฺ ็อล ถกล กอ่ สรำ้ ง ตั้ง 2. เปลย่ี นตัวสะกดใหผ้ ิดไปจำกเดมิ เช่น เขมร ไทยใช้ ควำมหมำย กรำล กรำน ปู ลำด ขนล ขนน หมอนอิง เถมริ เถมนิ ผู้เดิน พวก เหลำ่ ทหำร พรำนป่ำ เผอิล เผอิญ หำกให้เปน็ จำเพำะเปน็ สรำญ สำรำญ สบำยใจ เบำใจ เย็นใจ จสั จดั แก่ เข้ม เต็มที่ มำก กลำ้ แรง โปฺรส โปรด ถกู ใจหรือพอใจมำก แสดงควำมเมตตำกรุณำโดยปลด เปลื้องควำม เดือดร้อนเปน็ ต้น 3. เปลย่ี นรูปและเสียงใหผ้ ิดไปจำกเดมิ เชน่ เขมร ไทยใช้ ควำมหมำย ครฺ ัวสฺ กรวด ก้อนหนิ เล็ก ๆ กญั ฌูสฺ กระฉดู พ่งุ ออก ไสไปโดยตรง กรฺ สวง กระทรวง ข้ำง ฝ่ำย รำชกำรแผนกสว่ นใหญ่
54 แขฺสรฺ กระแส สำย อำกำรไหล เส้นเชอื ก ทรง ธำมรงค์ แหวน 4. ลดพยำงค์ใหน้ ้อยลง เชน่ เขมร ไทยใช้ ควำมหมำย จิญเจมิ เจิม ควิ้ กำชฺรวจ จรวด กรวด ช่ือดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง พิโดร โดร หอม กลิ่นหอมฟ้งุ 5. แผลงอักษร เช่น เขมร ไทยใช้ ควำมหมำย เฉนฺ ร เฉนียน ฝั่งนำ้ ขจฺ ก กระจอกเขยก งอ่ ย ผฺทม, ผฺทมุ ประทม, บรรทม นอน ผฺจง ประจง, บรรจง ควำมตง้ั ใจ ตั้งใจทำให้ดี สงฺแรก สำแหรก เครือ่ งหำบของ โสวฺ ย เสวย ได้รับ กิน เสพ ครอง นอกจำกนี้วัลยำ ช้ำงขวัญยนื (2555 : 204-211) กไ็ ดอ้ ธิบำยวิธีกำรรับคำยืมภำษำเขมรมำใช้ ในภำษำไทย สรปุ ได้ ดังนี้ 1. คำยืมภำษำเขมรทเี่ ป็นคำเดีย่ วและแผลงไมไ่ ด้ คำที่ไทยใช้ คำเขมร ควำมหมำย กระดำน กฎฺ ำร /กดำ/ กระดำน กะทิ ขฺทิะ /คตฺ ิฮ/์ กะทิ ขลำ ขลฺ ำ /คลฺ ำ/ เสือ เชิง เชีง /เจิง/ เท้ำ ตนี ทรำย ทรฺ ำย /เตฺรียม/ สัตวป์ ระเภทกวำง ผกำ ผกฺ ำ /พฺกำ/ ดอกไม้ 2. คำยืมภำษำเขมรทเ่ี ป็นคำแผลง คำยืมภำษำเขมรท่เี ป็นคำแผลง ไทยรบั มำใช้ในลักษณะ ดงั น้ี 2.1 ยืมแตค่ ำเดิมเชน่ คำท่ไี ทยใช้ คำเขมร คำ ควำมหมำย คำเดมิ ควำมหมำย คำแผลง ควำมหมำย กรอง รอ้ ย (ก). กรฺ ง /กฺรอง/ ร้อย (ก). กมรฺ ง สง่ิ ท่รี อ้ ยเป็น /กอ็ ม-รอง/ พวง โฉด โง่ โฉต /โฉด/ โง่ กญโฺ ฉต โง่ เซ่อ /กอ็ ญ-โฉด
55 คำท่ไี ทยใช้ คำเดมิ คำเขมร ควำมหมำย คำ ควำมหมำย ทูล /ตูล/ ควำมหมำย คำแผลง จำนวนของที่ ทนู วำงสงิ่ ของไว้ บำง /บัง/ ทนู หัวไปได้ ทนู ทรฺ นูล เที่ยวหน่งึ ๆ บนศรี ษะ /โตฺร-นูล/ เครอื่ งบงั บัง ปิด กัน้ เครื่องกำบัง บัง รบำง /โร – บัง/ เวยี น ลักษณะ เวียน /เวยี น/ เวยี น ขด ครฺ เวยี น ขด คดุ คขู้ อง อำกำร /โกรฺ -เวยี น/ สิ่งหน่งึ เคลือ่ นไหว ไปโดยรอบ คำเขมร อกี ส่ิงหนง่ึ 2.2 ยมื แตค่ ำท่ีแผลงแลว้ เช่น ควำมหมำย คำแผลง คำท่ีไทยใช้ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย คำเดมิ กังวล กงวฺ ล่ ควำมกงั วล กงั วล ห่วงใย มใี จ ขวฺ ล่ /คฺว็อล/ /กอ็ ง – วอ็ ล/ ห่วงใย ทำให้หำย พะวงอยู่ หำย บบำต่ ทำให้แพ้ บำบดั ทำให้หำย บำต่ /บดั / /บ็อม – บัด/ แผนก ผจญั ต่อสู้ จำญ่ /จัญ/ แพ้ ผฺจำญ / พจฺ ัญ/ แผนก ส่วนย่อยพวก แบก /แบก/ หมู่ แตก แผนฺ ก /แพนฺ ก 2.3 ยืมท้ังคำเดิมและคำแผลง เช่น คำท่ไี ทยใช้ คำเขมร คำเดมิ ควำมหมำย คำแผลง ควำมหมำย คำเดิม ควำมหมำย คำแผลง ควำมหมำย เกดิ เป็นขนึ้ มขี น้ึ กำเนดิ กำรเกิด เกตี เกดิ กเณีต กำรเกิด เกดิ /เกีด/ /กอ็ ม- เนิด/ ขลงั อำนำจท่ีอำจ กำลัง ส่ิงท่ีทำให้ ขลฺ ำง มีกำลัง, กลำง กำลงั เกิดอำนำจ, /คฺลงั ⁄ แขง็ แรง บนั ดำลให้ ควำม /ก็อม-ลงั / เป็นไปได้ เข้มแข็ง
56 คำท่ไี ทยใช้ คำเขมร คำเดมิ ควำมหมำย คำแผลง ควำมหมำย คำเดมิ ควำมหมำย คำแผลง ควำมหมำย ฉัน กิน (ใช้กบั จังหัน ขำ้ ว อำหำร ฉำน่ กนิ จงหฺ ำน/่ จ็ จังหนั พระสงฆ)์ (ใชก้ บั /ชนั / (ใชก้ บั อง-ฮัน/ พระสงฆ์) พระสงฆ)์ ถวำย ให้ มอบให้ ตงั วำย ของถวำย ถฺวำย / ถวำย ตงฺวำย ของถวำย ทฺวำย/ /ตอ็ ง-วำย/ ตรง ไม่คดโค้ง ดำรง ทรงไว้ ชูไว้ ตฺรง่ ตรง ตมฺรง่ ดำรง /ตฺรอ็ ง/ /ตอ็ ม- ทำใหต้ รง ไม่เอยี ง ผนวช บวช รอ็ ง/ เพ่ง บวช ถอื เพศเป็น บวส บวช ผนฺ วส กำรบวช /พนฺ วั ะฮ/์ ภกิ ษุ (รำชำ.) /บัวะฮ/์ สำมเณรหรือ นกั พรตอ่ืนๆ ตรำ กำหนดไว้ ตำรำ แบบแผน ตรฺ ำ ตรำ ตมรฺ ำ ตำรำ /ต็อม-รำ/ จดจำไว้ ทว่ี ่ำดว้ ย /ตฺรำ/ หลักวิชำ ต่ำงๆ กตัญญู ชูชื่น (2543 : 52 - 55) กล่ำวว่ำ หลักหรือกำรนำคำภำษำต่ำงประเทศมำใช้ใน ภำษำไทยนั้น มีข้อสำคัญอยู่ตรงทต่ี ้องปรับปรุงให้เข้ำกันได้ท้ังรูปและเสียงในภำษำไทย เพื่อให้สะดวก ในกำรใช้เขยี น ในกำรใช้อ่ำน และกำรตีควำมหมำย กำรนำภำษำเขมรมำใชใ้ นภำษำไทยสรปุ ได้ดงั นี้ 1. เขียนเหมือนหรือใกล้เคยี งกบั เขมรและอ่ำนอย่ำงเขมร เช่น เขมรเขียน เขมรอำ่ น ไทยใช้ กรฺ ำบ กรฺ ำบ กรำบ เกีด เกิด เกิด ขฺลำ ขลฺ ำ ขลำ สลฺ ำ สฺลำ สลำ 2. เขียนอยำ่ งเขมรแต่อ่ำนอยำ่ งไทย เช่น ไทยใช้ เขมรเขียน เขมรอำ่ น กงั วล กงฺวล กอ็ งว็อล ควร ควร กวั ร์ เชิง เชงี เจงิ งำย เงยี ย งำ่ ย ตรฺ ง ตฺร็อง ตรง รเบียบ โรเบยี บ ระเบียบ
57 3. ไทยใช้ตำมเสยี งอ่ำนของเขมร เชน่ เขมรอ่ำน เขมรเขยี น ไทยใช้ เกีย เกย เกย เขฺนยี เขฺนย เขนย ขลฺ ำง ขฺลงั ขลัง จำบ่ จับ จบั เปฺรี เปรฺ อ เปรอ 4. ไทยดัดแปลงตัวเขียนและเสยี งอำ่ น เช่น เขมรเขียน เขมรอ่ำน ไทยใช้ กเฏำ ก็อมเดำ กำเดำ ขึง เคิง ขง้ึ จณง จ็อมน็อง จำนง สุม โสม สรวม (ขอ) 5. ไทยดดั แปลงตัวสะกด เช่น เขมรใช้ ไทยใช้ เขมรใช้ ไทยใช้ กฺรำล กรำน ขฺลำจ ขลำด แขลฺ แขน ฎำจ่ (ผฺฎำจ่) เด็จ (เผดจ็ ) ถนฺ ล ถนน โปรส โปรด รมำส ระมำด เลฺมีส ละเมดิ 6. ไทยเปล่ียนแปลงควำมหมำย เชน่ ควำมหมำยเขมร ควำมหมำยไทย คำเขมร ขฺจอก (กระจอก) งอ่ ย ยำกจน ไม่ภูมฐิ ำน โขมฺ ด ผที ั่ว ๆ ไป ผกี ๊กหน่งึ ฉฺลอง ขำ้ ม พธิ ฉี ลอง เสนยี ด หวีทั่ว ๆ ไป หวีชนดิ หน่งึ 7. ยืมมำใชเ้ ฉพำะถิ่น เชน่ มึก ภำคใต้ใช้ ควำมหมำยว่ำ ด่มื นำ้ อย่ำงกระหำย มุด ภำคใต้ใช้ ควำมหมำยวำ่ ดำน้ำ จดั ภำคใต้ใช้ หมำกจดั หมำยควำมว่ำ หมำกแก่จดั ฉฺมวย ภำคใตใ้ ช้ หมวย หมำยควำมว่ำ ขลัง แบะ ภำคใตใ้ ช้ แบะพลู หมำยควำมวำ่ พลู 1 เรยี ง 8. ไทยใช้คำแผลง (พยญั ชนะ – สระ – ตวั สะกด) และอำ่ นอยำ่ งไทย เชน่ แผลง กัญ เปน็ กระ เชน่ กัญจก – กระจก กญั จงั – กระจงั กญั เชอ – กระเชอ
58 แผลง กัณ เปน็ กระ เชน่ กณั ฏงึ – กระดึง กณั โฏล – กระโดน กณั เฏียด – กระเดียด แผลง กนั เปน็ กระ เช่น กันโถร – กระโถน กนั โทง – กระทง (ใส่ของ) แผลง กญั เปน็ ตะ เช่น กญั แจรฺ ง – ตะแกรง แผลง กัน เป็น ตะ เช่น กนั ไตฺร – ตะไกร แผลง กรฺ เป็น กระ เชน่ กฺรบี – กระบือ กรฺ หำย – กระหำย แผลง กรฺ เปน็ ข เชน่ กฺรมวน – ขมวน กรฺ อม – ขอม แผลง ก. เป็น กระ เชน่ กดฺ ำร – กระดำน โกดฺ ง – กระโดง แผลง ขฺ เปน็ กระ เช่น ขฺจำย – กระจำย ขจฺ ัด – กระจดั แผลง คฺ เปน็ กระ เช่น ครฺ วัด – กระหวดั คฺวี – กระวี แผลง ก เป็น ตะ เชน่ กกร – ตะกอน กกำย – ตะกำย แผลง ค เปน็ ตะ เช่น คครี – ตะเคยี ร คครฺ ีว – ตะครวิ แผลง จัง เป็น ตะ เช่น จงั กดู – ตะกดู จงั เกียง – ตะเกยี ง แผลง ชรฺ เปน็ ทร เช่น ชรฺ ำบ – ทรำบ แชฺรก – แทรก แผลง ฌ เปน็ ทะ เช่น โฌฺมล – ทะโมน เฌฺลำะ – ทะเลำะ แผลง ฏ เปน็ ด เชน่ เฏีม – เดมิ เฏรี – เดิน ฏเณีร – ดำเนิน แผลง ตรฺ เปน็ ตระ เชน่ ตรฺ กำล – ตระกำล ตรฺ กลู – ตระกูล ตฺรกง – ตระกอง แผลง บัญ เปน็ บรร เชน่ บญั จง – บรรจง บัญจบ – บรรจบ บัญจะุ – บรรจุ แผลง บัณ เปน็ บรร เช่น บณั ฎำ – บรรดำ แผลง บนั เปน็ บรร เชน่ บันทดั – บรรทัด บันทกุ – บรรทกุ แผลง ปรฺ เปน็ ประ เช่น ปฺรกัน – ประกนั ปฺรเคน – ประเคน ปฺรจวบ – ประจวบ แผลง ผ. เป็น ประ เชน่ ผฺกำย – ประกำย ผฺจง – ประจง ผฺสำน – ประสำน แผลง อ เปน็ อำ เช่น กลงั – กำลงั บเรี – บำเรอ ทลำย – ทำลำย อณำจ –อำนำจ อนง่ึ ในกำรแผลงคำ บำงทไี ทยก็แผลงไปไกลจำกภำษำเดมิ ของเขำมำก จนบำงคร้ังจับเค้ำได้ ยำก เช่น มฺรัก - แม่รัก เมฺรญฆฺวำล – รังควำน ฤสฺสีสฺรุก (ไผ่บ้ำน) – (ไผ่) สุก ฤสฏูง (รำกมะพร้ำว) – (โรค) ริดสีดวง ถฺมรำย (หินรำย) – สมอรำย (บำง) ฉฺนัง (หม้อ) – (บำง) เชือก หนัง (เขำ) สมฺบกุ (รงั นก) – (เขำ) เปน็ ตน้ ในวรรณคดีของไทย กวีมักจะแผลงคำให้ผิดแปลกไปจำกเดิม เพรำะต้องกำรควำมไพเรำะ ของเสียง เช่น กระพุ่ม – กรรพุ่ม กระหำย – กรรหำย – กัลหำย ประสำน – บรรสำน บังหำญ – บรรหำญ เป็นตน้ ในเรอื่ งน้ผี ู้ศึกษำควรใช้ควำมสังเกตให้ดี จำกวิธีกำรรับคำภำษำเขมรมำใชใ้ นภำษำไทยดงั ทก่ี ล่ำวไว้ขำ้ งต้นมีหลำยวิธีซ่งึ สำมำรถสรุปได้ คือ กำรเขียนเหมือนหรือใกล้เคียงกับเขมรและอ่ำนอย่ำงเขมร เขียนอย่ำงเขมรแต่อ่ำนอย่ำงไทย ไทยใช้ตำมเสียงอ่ำนของเขมร ไทยดัดแปลงตัวเขียนและเสียงอ่ำน ไทยดัดแปลงตัวสะกด
59 ไทยเลือกใช้เฉพำะคำเดิม เลือกใช้เฉพำะคำแผลง และใช้ทั้งคำเดิมและคำแผลง ซึ่งวิธีกำรเหล่ำน้ี เปน็ กำรปรบั เพอ่ื ให้เขำ้ กับระบบกำรใช้ในภำษำไทย และกำรออกเสยี งของคนไทย กำรกลำยควำมหมำย วัลยำ ช้ำงขวัญยืน (2555 : 218 – 225) กล่ำวไว้ว่ำ เม่ือไทยยืมคำเขมรเข้ำมำใช้นั้นบำงคำ ใช้ในควำมหมำยคงเดิม บำงคำมีกำรเปลี่ยนแปลงทำงด้ำนควำมหมำย ซึ่งอำจเปล่ียนในลักษณะ ควำมหมำยแคบเขำ้ ควำมหมำยกวำ้ งออก หรือควำมหมำยย้ำยที่ ดงั ตวั อยำ่ งตอ่ ไปน้ี 1. ควำมหมำยคงเดิม คำท่ไี ทยใช้ คำเขมร คำ ควำมหมำย กระจก แก้วทที่ ำเป็นแผ่น กญฺจก่ /ก็อญ – จ็อก/ กำจดั ขับไล่ ปรำบ ทำใหส้ ้ินไป กจำต่ /กอ็ ม – จดั / กำธร สนนั่ หว่นั ไหว สะเทอื น กทร /ก็อม – โต/ บัง กัน กัน้ หรือปิดไมใ่ หเ้ ห็น บำง /บงั / ไมใ่ ห้ผ่ำน เพรง กอ่ น เก่ำ เช่น แตเ่ พรงกำล เพรฺ ง /เปรฺ ง/ ระเบยี ง พื้นเรอื นท่ตี อ่ ออกไปทำงด้ำนขำ้ ง รเบยี ง /โร็ – เบียง/ มหี ลงั คำคลุม ; โรงแถวท่ีล้อมรอบ พระอุโบสถหรอื วหิ ำร แสวง เทย่ี วหำ เสำะหำ ค้นหำ แสฺวง /แซวฺ ง/ 2. ควำมหมำยแคบเขำ้ คำยืมจำกภำษำเขมรที่มีควำมหมำยแคบเข้ำน้ัน หมำยถึง คำทย่ี ืมน้ันมีควำมหมำยน้อยกว่ำที่ ใช้อยู่เดิมในภำษำเขมรหรือหมำยถึง คำที่ยืมมำน้ันใช้ในควำมหมำยเจำะจงกว่ำคำเดิมในภำษำเขมร ดังตัวอยำ่ งต่อไปนี้ 2.1 คำท่ียืมมำมีควำมหมำยน้อยกว่ำคำที่ใช้อยู่เดมิ ในภำษำเขมร คำท่ไี ทยใช้ คำเขมร คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย กรรแสง ผ้ำสไบ กนฺแสง /ก็อน – แซง ผำ้ เชด็ ปำก ผ้ำเชด็ มือ ผ้ำขำวม้ำ ขนอง หลัง ใช้เป็นรำชำศัพท์ ขนฺ ง /คนฺ อง/ หลงั ; สนั เขำหรือ วำ่ พระขนอง เนนิ เขำ จังกูด หำงเสอื เรอื จงกฺ ูต /จอ็ ง – โกวด์ / หำงเสือเรอื (ใชใ้ นวรรณคดี) พวงมำลยั รถ
60 เฉลย อธบิ ำยหรือชีแ้ จงข้อ เฉฺลีย /เชฺลย/ ขำน ขำนรับ ตอบ ปัญหำตำ่ ง ๆ ใหเ้ ข้ำใจ เฉลย ผกำ ดอกไม้ (ใช้ในวรรณคดี) ผกฺ ำ /พฺกำ/ ดอกไม้ ดอก ออกดอก มี ดอก ลออ งำม ลอฺ /ลอฺ อ/ สวย งำม ดี สะเทนิ ครง่ึ ๆ กลำงๆ ก้ำก่ึง เสทฺ รี /เซตฺ อ/ ก้ำกงึ่ ไมเ่ ต็ม 2.2 คำทย่ี มื มำใชใ้ นควำมหมำยเจำะจงกวำ่ เดิมในภำษำเขมร คำท่ีไทยใช้ คำเขมร คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย ตะบัน เคร่ืองตำหมำกของคนแก่ ตบฺ ำล่ /ตบฺ ัล/ ครก มรี ปู คลำ้ ยกระบอก โดยมำกทำด้วยทองเหลือง 3. ควำมหมำยกวำ้ งออก ลกั ษณะของควำมหมำยกวำ้ งออกที่ปรำกฏในคำยืมภำษำเขมร มี 2 แบบ คือ คำท่ียืมมำ มีควำมหมำยมำกกว่ำท่ีใช้อยใู่ นภำษำเขมร และคำทีย่ ืมมำใช้ในควำมหมำยทัว่ ไป แตค่ ำเดิมในภำษำ เขมรมคี วำมหมำยจำกดั เช่น 3.1 คำท่ียืมมำมีควำมหมำยมำกกว่ำท่ใี ชอ้ ยู่ในภำษำเขมร คำท่ีไทยใช้ คำเขมร คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย เจรญิ เติบโต งอกงำม มำกขึน้ เจฺรีน /เจรฺ นิ / มำก ดำรง ทรงไว้ ชูไว้ ทำใหค้ งอยู่ เช่นดำรง ฎรง,่ ตมรฺ ง่ ทำใหต้ รง เลง็ ใหต้ รง วงศต์ ระกูล ; ตรง เทีย่ ง /ด็อม–ร็อง ต็อม – รอ็ ง/ เรยี น ศกึ ษำเพื่อให้เจนใจจำได้ใหเ้ กิดควำมรู้ เรยี น /เรยี น/ เรียน ฝึก หดั ควำมเข้ำใจหรือควำมชำนำญ; บอก ใหผ้ ใู้ หญ่หรอื นำยทรำบ สนอง แทน ในคำว่ำ ตอบสนองหรือรบั สนฺ ง /ซฺนอง/ ผ้แู ทน สนอง; โต้ตอบ
61 3.2 คำท่ียืมมำใช้ในควำมหมำยท่ัวไปแต่คำเดิมในภำษำเขมรมีควำมหมำยจำกัด คำทไี่ ทยใช้ คำเขมร คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย ลำเนำ แนว แถว แถบ ถ่นิ ลเนำ /ลุม – ท่อี ยู่ เชน่ ป่ำเป็นที่อยู่ของสตั ว์ นวึ / กำธร สน่นั หว่ันไหว สะเทือน กทร /กอ็ ม – บันลือเสียงตีรวั โต/ เพลำ ตัก ขำ; แกนสำหรับสอดดุมรถหรือ เภลฺ ำ /พฺลวึ / ขำ ขำอ่อน ตกั เพลำรถ ดมุ เกวียนโดยปรยิ ำยหมำยถึง แกน สำหรับให้ล้อหรือใบจักรหมนุ 4. ควำมหมำยยำ้ ยท่ี ในกรณีท่ีควำมหมำยของคำยืมภำษำเขมรเปลี่ยนแปลงไป ซ่ึงอำจมีเค้ำควำมหมำยเดิม หรอื ไม่กไ็ ด้ เรำเรียกวำ่ ควำมหมำยยำ้ ยที่ ดังตวั อยำ่ งต่อไปนี้ คำที่ไทยใช้ คำเขมร คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย ขจี งำมสดใส ใช้ในคำวำ่ ขฺจี /เคฺจย็ / ดิบ ออ่ น เขียวขจี ดำเนิน เดนิ ไป ใหเ้ ป็นไป เช่น ฎเณรี /ด็อม – เนอ/ กำรเดิน ทำ่ เดนิ ดำเนินงำน ดำเนนิ ชีวติ กำรดำเนนิ เหตกุ ำรณ์ เรือ่ งรำวท่ดี ำเนินไป เร่อื งหรอื เหตุ บงั อร นำง ; เดก็ ๆ ที่กำลงั นำ่ รัก บงอฺ ร /บ็อง – อร/ ทำใหด้ ใี จ ล่อใหด้ ีใจ ระเบียน ทะเบยี น แบบ รเบียน /โร–็ เบียน/ควำมรทู้ ี่ไดจ้ ำก กำรเรียน ลบอง แบบ ฉบับ ; แต่ง ทำ ลฺบง /ลฺบอง/ ทดลอง ประลองฝมี ือ สรุปกำรรับคำยืมภำษำเขมรในภำษำไทย นอกจำกจะมีวิธีกำรรับคำ กำรกลำยเสียงในคำ ซึ่งควำมหมำยของคำจะไม่มีกำรเปลี่ยนแปลง แต่ยังมีคำอีกส่วนหนึ่งที่ไทยรับมำแล้วเปล่ียนแปลง ควำมหมำยโดยมกี ำรเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่ำง ๆ ไดแ้ ก่ ควำมหมำยแคบเขำ้ ควำมหมำยกว้ำงออก และควำมหมำยย้ำยท่ี ในกำรเลือกรับมำใชส้ ำมำรถเลอื กใชไ้ ด้ตำมควำมเหมำะสม กำรสรำ้ งคำแบบไวยำกรณ์ภำษำเขมร คำยืมภำษำเขมรเข้ำมำใช้อยู่ในภำษำไทยจำนวนมำกดังได้กล่ำวไว้แล้ว คำยืมภำษำเขมร เหล่ำน้ันได้นำมำใช้เป็นเวลำนำน จนบำงคำไม่สำมำรถจะแยกได้ว่ำเป็นคำมรดกภำษำไทยหรือคำยืม
62 เขมร เช่น รำบ จอง จง จำ ระวัง ประหยัด สะเดำะ ฯลฯ แต่อย่ำงไรก็ตำมหำกศึกษำกระบวนกำร สร้ำงคำศัพท์ตำมไวยำกรณ์ภำษำเขมรอำจจะทำให้เข้ำใจได้ว่ำ คำข้ำงต้นมีใช้ในภำษำไทยและภำษำ เขมร และมีแนวโน้มทจี่ ะเปน็ คำยืมภำษำเขมรมำกกวำ่ คำมรดกของไทย กำรทภ่ี ำษำไทยปัจจุบนั มีคำยมื ภำษำเขมรจำนวนมำกและนำเขำ้ มำใช้เป็นเวลำนำน จึงพบว่ำ กระบวนกำรสร้ำงคำแบบภำษำเขมรจึงเข้ำมำเป็นส่วนหนงึ่ ของไวยำกรณ์ไทยด้วย ท้ังกำรเตมิ อปุ สรรค และกำรลงอำคม (คำแผลง) หำกเรำพิจำรณำคำพื้นฐำนภำษำเขมรและคำพ้ืนฐำนภำษำไทย จะพบว่ำ ท้ังภำษำเขมรและภำษำไทยมีคำตรงกันจำนวนมำก และคำเหล่ำน้ันยำกที่จะชี้ชัดว่ำเป็นคำยืมเขมร หรือคำยืมไทย (คำไทยปะปนอยู่ในภำษำเขมร) ซึ่งแสดงว่ำสมัยอดีตชำวไทยและเขมรมีควำมสัมพันธ์ กันใกล้ชิดทำงด้ำนวฒั นธรรม โดยเฉพำะภำษำพูด กำรสร้ำงคำของไวยำกรณ์เขมรมี 4 แบบ คือ (1) กำรเติมอุปสรรค (2) กำรลงอำคม (3) กำร อัพภำสหรือกำรซ้ำคำ (4) กำรสร้ำงคำแบบประสม เช่น ปฺรำก่แข (เงินเดือน) ภฺนเภฺลีง (ภูเขำไฟ) ใน ท่ีน้ีจะอธิบำยเฉพำะกระบวนกำรสร้ำงคำเขมรท่ีมีอิทธิพลต่อไวยำกรณ์ไทย คือกำรเติมอุปสรรคและ กำรลงอำคม (ธวชั ปุณโณทก, 2553: 170-178) สรุปไดด้ ังน้ี 1. กำรเติมอุปสรรค กำรเติมอุปสรรค คือกำรเติมหน้ำคำ เพื่อทำให้คำน้ันเปล่ียนหน้ำที่ คือทำคำกริยำให้เป็น คำนำมหรือกรยิ ำกำรตี และมคี วำมหมำยใหม่ด้วย เช่น เตมิ อปุ สรรค ไทยใช้ แปลว่ำ เกิด (=ขนึ้ ) บงเฺ กิด บังเกิด ให้กำเนิด เป็นขน้ึ โฉด (=โง)่ บญฺโฉด บญั โฉด ทำใหโ้ ง่ หลอก เหิร (=เหำะบิน) บงเฺ หิร บังเหนิ ทำให้บิน 1.1 กำรเติมอุปสรรค บ กำรเติม บ ข้ำงหน้ำคำเพ่ือทำคำกริยำหรือคำวิเศษณ์ให้เป็นกริยำ กำรีต (ทำให้) อุปสรรค บ เมื่ออยู่หน้ำคำใหเ้ ปลยี่ นนิคหิตเป็น ง ญ ณ น ม ตัวหนึ่งตัวใดตำมพยัญชนะ วรรคท่ีเป็นตน้ เสียงของคำน้ัน ๆ เช่น คำเดมิ เตมิ อปุ สรรค ไทยใช้ แปลวำ่ คำบ่ (=ถูกตอ้ ง) บงคฺ ำบ่ (บ็องเกอื ็บ) บงั คับ ทำใหถ้ กู ต้อง คำส่ัง จง่ (=อยำก) บญฺจง (บอ็ นจง) บรรจง ประจง ทำใหด้ ี บวง (=บชู ำ) บบวง (บอ็ มบวง) บำบวง บูชำ เช่น“ทกุ ทศิ ท่ัวบำบวง สนั รวงโอนอำรำธนำแล” (มหำชำตคิ ำหลวง, มัทรี จะุ (=ใส)่ บญฺจุะ (บ็อนโจะ) บรรจุ ประจุ ทำใหเ้ ตม็ จบ่ (=รอบ) บญจฺ บ่ (บ็อนจ็อบ) บรรจบ ทำให้ถงึ ตลอด ทกุ (=เกบ็ วำงไว)้ บนฺทุก (บอ็ นตุก) บรรทกุ ประทุก ใส่ให้เตม็ บำด่ (=หำย) บบำด่ (บ็อมบดั ) บำบดั รกั ษำ ทำให้หำย เพญ (=เต็ม) บเพญ (บ็อมเป็ญ) บำเพญ็ ทำใหเ้ ตม็ ควร (=ดี เหมำะสม) บงฺควร (บอ็ งกัว) บงั ควร เหมำะอยำ่ งยง่ิ อำจ (=กลำ้ สำมำรถ) บงอฺ ำจ (บอ็ งอำจ) บังอำจ ทะนง กลำ้ หำญ 1.2 กำรเติมอุปสรรค ป ผ พ ภ หน้ำคำเพื่อทำคำกริยำและคำวิเศษณ์ให้เป็นกริยำกำรีต หำกต้องกำรให้เป็นเสียงอโฆษะใช้ ป ผ ถำ้ ต้องกำรออกเสียงโฆษะ ใช้ พ ภ เปน็ อุปสรรค ดงั นี้
63 คำเดมิ เตมิ อุปสรรค ไทยใช้ แปลวำ่ รำย (=กระจำย) ปฺรำย ปรำย ทำใหก้ ระจำย รำบ (=เรยี บ) ปรฺ ำบ ปรำบ ทำใหเ้ รยี บ ปรำบปรำม ชิด (=ตดิ ) ภชฺ ิด ประชิด ทำให้ตดิ สนทิ จำญ่ (=แพ)้ ผฺจำญ่ ผจญ ประจญั ทำใหแ้ พ้ ฎำจ่ (=ขำด) ผฺฎำจ่ เผด็จ ทำให้ขำด ลำญ (=แตก หกั ) ผลฺ ำญ ผลำญ ทำให้วอดวำย ทำลำย เฎีม (=ต้น กอ่ น) เผฺฎีม เผดมิ ประเดิม ครัง้ แรก ฎงี (=รู้) เผฎฺ ยี ง เผดียง ทำใหร้ ู้ บอกใหท้ รำบ เชน่ “ฆำตเภรีตกี ลองป่ำว เผดยี งข่ำวแกพ่ ลทวั่ แล” (มหำชำติคำหลวง นครกณั ฑ์) จำ (=คอย เฝ้ำ) ภฺจำ ประจำ เฝำ้ คอย อยู่กับที่ สมำ่ เสมอ โลม (=ปลอบ) ปรฺ โลม ประโลม โอโ้ ลม ทำให้พึงใจ สม (=รวม) ผฺสม ประสม ปนกนั รวมกนั 1.3 กำรเติมอุปสรรค ส เติมหน้ำคำเพื่อแปลงคำกริยำให้เป็นกริยำกำรีต หรือเป็นคำนำม มี ควำมหมำยเปล่ียนไปเล็กน้อย ซึ่งมักจะแปลว่ำ “ทำให้” ส เม่ืออยู่หน้ำคำจะเปล่ียนนิคหิตเป็น พยญั ชนะตัวที่ 5 (ง ญ น ณ ม) ของพยญั ชนะตวั หนำ้ ของคำนน้ั ๆ เช่น คำเดิม เตมิ อุปสรรค ไทยใช้ แปลว่ำ กด่ (=ทับไว้) สงฺกด่ (สอ็ งกอ็ ด) สะกด ทำให้หยดุ รวม (=รวบรวม) สรวม (สอ็ มรวม) สำรวม สงบ ระมดั ระวัง ประสมกัน แรก (=หำบ) สงฺแรก (สอ็ งแรก) สำแหรก ท่ีสำหรับหำบ “กรรเช้ำแสรก (สำแหรก)คำน ก็พลัดจำก พระอังสำ” ณกึ (=คดิ ) สณกึ (ส็อมนึก) สำนึก รแู้ ลว้ ร้สู กึ เขำ้ ใจ ควร (=ดี เหมำะสม) สควร (ส็อมกวั ) สมควร ควำมดี ควำมเหมำะสม เรงิ (=คะนอง สนุก) สเรงิ (สอ็ มเริง)สำเรงิ สนุกสนำน 2. กำรลงอำคม หรือกำรเตมิ เสียงกลำงคำ กำรลงอำคมในภำษำเขมรที่ไทยนำมำใช้ในไวยำกรณ์ไทย เรียกว่ำ “คำแผลง” แต่กำรลง อำคมในภำษำเขมรน้ันเป็นกระบวนกำรสร้ำงคำแบบหนึ่ง เพ่ือสร้ำงคำเดิมให้มีแง่ควำมหมำยแตกต่ำง ไปหรือมคี วำมหมำยใหมโ่ ดยยงั คงเค้ำควำมหมำยของคำเดมิ อยู่ 2.1 กำรลงอำคม อำ น, อำ ณ คำศัพท์ท่ีเป็นคำโดด(พยำงค์เดียว) ในภำษำเขมรมีกำรแทรกเสียง อำ น ระหว่ำงพยัญชนะต้นกับสระเพื่อทำให้เป็นคำสองพยำงค์ และเกิดควำมหมำยใหม่ อำคม อำ น จะใช้กับพยัญชนะต้นเป็นเสียงโฆษะ (พยัญชนะตัวที่ 3, 4, 5 ในพยัญชนะวรรค) ถ้ำพยัญชนะต้นเป็น เสียงอโฆษะ (พยญั ชนะตวั ที่ 1, 2 ในพยญั ชนะวรรค) จะแปลงเปน็ อำ ณ ดงั น้ี ลงอำคม ไทยใช้ แปลว่ำ เกีด (=ขนึ้ ) กเณดี (ก็อมเนดิ ) กำเนดิ กำรเกิด ที่เกิด จง (=ผูก) จณง (จ็อมนอง) จำนอง กำรผกู พนั กำหนด แตง่
64 “จงึ จำนองโคลงอำ้ ง ถวำยแด่บพิตรเจ้ำชำ้ ง” (ลิลติ พระลอ) จง่ (=อยำก) จณง่ (จอ็ งน็อง) จำนง ควำมปรำรถนำ ต้งั ใจ ฎำก่ (=ใส่ พัก) ฎณำก่ (ด็อมนัก) ตำหนัก ที่พัก บำ้ นเจำ้ นำย ติ (=ตเิ ตียน) ฎณิะ (ด็อมเนะส)์ ตำหนิ กำรตำหนิ คำบ่ (=ถูกต้อง) คนำบ่ (กมเนอื บ็ ) คำนับ เคำรพ ทำใหถ้ ูกต้อง คำล่ (=เฝ้ำ) คำนำล่ (กมเนือล็ ) กำนลั คนเฝ้ำ นำงกำนัล ทบ่ (=กั้น) ทนบ่ (ตมนบุ ) ทำนบ เขอ่ื นกนั้ นำ้ ทูล (=บอกกลำ่ ว) ทนูล (ตมนลู ) ทำนูล คำเพด็ ทูล สวร (=ถำม) สนวร (ส็อมนัวร)์ สำนวน คำฟ้องศำล สำนวนพดู ควร (=ดี เหมำะสม) คนวร (กอ็ มนวร) คำนวร เหมำะสม เชน่ “คดิ คว้ิ คำนวรนวย คือธนูอนั กง่ ยง” (สมทุ รโฆษคำฉันท)์ จำบ่ (=จับ ถือ เริ่ม) จณำบ่ (จอ็ บเนือบ) จำหนับ มำกย่ิง จำย (=จำ่ ย ใชเ้ งิน) จณำย (จอ็ มนำย) จำหนำ่ ย แจกจ่ำย ขำยไป แจก (=แบง่ ปัน) จแณก (จ็อมแนก) จำแนก สัดส่วน แบง่ ส่วน โจท (=ถำม) จโณท (จ็อมโนท) จำโนทย์ ปญั หำ คำฟ้อง จำ (=คอย เฝำ้ ) จณำ (จอ็ มนำ) จำนำ จดจำ หมำยไว้ใหจ้ ำได้ จน (=แพ้ ยำกจน) จนน (จอ็ มนน) จำนน ยอมแพ้ ฉงฺ ำย (=ไกล) จงำย (จ็อมงำย) จำงำย ทำงไกล ห่ำงจำก เช่น “หำกใหเ้ จ้ำตฉู บิ หำย จำงำยพรำกพระบรุ ”ี (มหำชำตคิ ำหลวง, ชชู ก) ฌื (=เจ็บ ไข)้ ชงื (จว็ มงอื ) ชำงอื วิตก ป่วย เป็นไข้ เช่น “ตำชุม่ ชืน่ ชำงอื ใจ” (มหำชำตคิ ำหลวง, ฉกษตั รยิ )์ 2.2 กำรลงอำคม - (นิคหิต) กำรลงอำคมนิคหิต เป็นกระบวนกำรสร้ำงคำเหมือนกับกำรลง อำคม อำ น ข้ำงต้น ต่ำงกันทค่ี ำเดมิ นั้นมีพยัญชนะต้นเป็นเสียงควบกล้ำ จึงลงอำคมนิคหิตกลำงคำได้ ทันที (หำกคำเดิมมพี ยญั ชนะตน้ ธนติ กล้ำให้แปลงเปน็ เสียงสถิ ลิ ) ตัวอย่ำง ลงอำคม ไทยใช้ แปลว่ำ ขฺลำง (=เร่ียวแรง) กลำง (ก็อมลงั ) กำลัง กำลงั เร่ียวแรง เฉลฺ ยี (=ตอบ) จเลีย (จ็อมเลย) จำเลย ผู้ตอบ จำเลยศำล ถวฺ ำย (=ถวำย) ตงฺวำย (ตองวำย) ตังวำย เครื่องถวำย ตรฺ ง่ (=เท่ียงตรง) ฎรง่ (ดอ็ มรง) ดำรง ทำใหต้ รง คงไว้ เจฺรยี ง (=รอ้ งเพลง) จเรียง (จอ็ มเรียง) จำเรียง เพลง นกั รอ้ ง ปรฺ ำบ (=ทำใหร้ ำบ) ปรํ ำบ (บ็อมรำบ) บำรำบ ทำใหร้ ำบคำบ
เปฺรี (=รับใช้) บเรี (บ็อมเรอ) บำเรอ 65 คนใช้ บริกำร เช่น ปฺรำส (=ไมม่ )ี บรำส (บ็อมระส์) บำรำส “อันวำ่ กูบำเรอ ธฺลำย (=พงั ) ทลำย (ตมเลยี ย) ทำลำย พณหวั ผู้เปน็ ผัวผ่ำนเผำ้ ” รลกึ (=นึกถงึ ) รลึก (รมลึก) รำลึก (มหำชำตคิ ำหลวง, มัทร)ี เสฺรจ (=แล้ว) สเรจ (ส็อมรัจ) สำเรจ็ ทำใหห้ มดไป ปรำศจำก ปรฺ งุ (=ตกแต่ง เตรียม) บรุง (บอ็ มรง) บำรุง ทำใหเ้ สยี หำย เจฺรีน (=มำก) จเรนี (จ็อมเรนิ ) จำเรญิ กำรคิดถงึ เฉยี ง (=เฉ เอยี ง) จเหยี ง (จอ็ มเหยี ง) จำเหยี ง ทำให้แล้วเสรจ็ ทำให้พรอ้ ม รกั ษำ สฺอำง (=แต่ง) สอำง (ส็อมอำง) สำอำง มำกขึน้ เพิ่มเติม สฺอำด (=หมดจด) สอำด (สอ็ มอำด) สำอำด ครึ่งหนงึ่ เสย้ี ว (พระจันทร์) ครฺ บ่ (=เพ่ิมขนึ้ ) ครบ่ (ก็อมโร็บ) คำรบ เช่น “งำเจียงจำเหียงแข” สฺพำย (=แบก) สพำย (ส็อมเปียย) สำพำย (ยวนพ่ำย) เขลฺ ำ (=โง่ เขลำ) กเลำ (กอ็ มเกลำ) กำเลำ เครื่องตกแตง่ เครอื่ งหอม บรสิ ุทธ์ิ ควำมงำม จรฺ ำย (=กระจำย) จรำย (จ็อมรำย) จำรำย ครบถ้วน ครั้งที่ เช่น คำรบสำม กฺรู (=วิง่ พร้อมกัน) กรู (กอ็ มรู) กำรู ถงุ ยำ่ ม กระเป๋ำ (ไทยไม่ค่อยใช้) ขึง (=โกรธ) กหึง (กอ็ มเฮิง)็ กำหึง ไม่รเู้ ทำ่ ทัน ไม่มไี หวพริบ แขง (=กล้ำ) กแหง (กอ็ มแฮง) กำแหง เชน่ “ดุจตักแตนเตน้ เหน็ ไฟ เกฺฎำ (=ร้อน) กเฎำ (กอ็ มเดำ) กำเดำ บ่มใิ ผหนีไกลกำเลำกำเลำะ หวังเข็ญ” (อนริ ุทธคำฉนั ท)์ ขจฺ ี (=ดิบ อ่อน) กจี (กอ็ มเจ็ย) กำจี แผ่ไป กระจำย สฺนง (=ตอบแทน) สนง (สอ็ มนอง) สำนอง เชน่ “เสดจ็ จรจำรำยศกั ดิ์ โสภติ ” (ทวำทศมำส) ประดงั เข้ำมำ เช่น “กำรูคลนื่ เป็นเปลว” (โองกำรแช่งน้ำ) ควำมโกรธ ฉุนเฉยี ว ขม่ เหง (ไทยใช้ –เกง่ กล้ำ) ทำให้ร้อน (เลือดกำเดำ) เชน่ “ทุกขกำเดำอำดูร บจ่ ำรญู รำชหฤทยั ” (มหำชำตคิ ำหลวง, วนปเวศ) ดบิ ออ่ นมำก ทดแทน เช่น “แผ่นหลำ้ สำนองไผท
66 หนังเสือไทท้ ่ำนทรงธำร” (มหำชำติคำหลวง, มหำพน) สฺรวง (=เทพ) สรวง (สอ็ มรวง) สนั รวง เทวดำ เช่น “ทกุ ทิศทัว่ บำบวง สนั รวง โอนอำรธนำแล” (มหำชำติคำหลวง, มัทร)ี กลฺ ูน (=กรณุ ำ) กลูน (ก็อมลนู ) กำลูน สงสำร เชน่ “ครัน้ บ่มเิ หน็ ยิ่งระทด กำลนู สลดชีวำ” (มหำชำตคิ ำหลวง, มทั รี) 2.3 กำรลงอำคม น กลำงคำ ส่วนใหญ่จะเป็นคำกริยำพยำงค์เดียวเพื่อทำให้คำกริยำเป็น คำนำม มีควำมหมำยใหม่เป็นคำนำมที่เกี่ยวข้องกับคำกริยำน้ันๆ กำรลงอำคม น นั้นถ้ำพยัญชนะต้น เป็นสิถิลต้องเปลี่ยนเป็นพยญั ชนะธนิต (ก-ข ค-ฆ ฯลฯ) เช่น ลงอำคม ไทยใช้ แปลว่ำ เกีย (=หนนุ พำก) เขนฺ ีย (เคนฺ ย) เขนย หมอน (รำชำศพั ท)์ เกดี (=เกดิ ขึ้น) เขนฺ ีด (เคฺนิด) เขนดิ ข้ำงขนึ้ สง (=ตอบแทน ใช้หนี)้ สฺนง (สฺนอง) สนอง ตอบแทน แบก (=แตก) แผนฺ ก (แพนฺ ก) แผนก ส่วนต่ำงๆ บวส (=บวช) ผฺนวส (ผนฺ วั ะส)์ ผนวช กำรบวช รำบ (=รำบ) รนำบ (โรเนียบ) ระนำบ พ้ืนเรียบ 2.4 กำรลงอำคม บ ม กลำงคำ ลงอำคม บ กลำงคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นพยัญชนะ เศษวรรค ส่วนอำคม ม จะใส่คำท่ีมีพยัญชนะต้นเป็นเสียงสิถิล กำรลงอำคม บ และ ม นี้ก็เพื่อทำให้ คำกริยำเป็นคำนำม ตัวอยำ่ ง ลงอำคม ไทยใช้ แปลว่ำ เรยี น (=เรยี น) รเบียน (โรเบียน) ระเบยี น วชิ ำท่เี รยี น เรียบ (=จดั ) รเบียบ (โรเบยี บ) ระเบียบ จดั แบบแผน รำ (=รำ) รบำ (โรบำ) ระบำ กำรฟ้อนรำ ลำส่ (=ผล)ิ ลฺบำส่ (ลฺบะฮ)์ ละบดั ผลใิ บ “ละบัดอนั อ่อนเกลย้ี ง ฟัดฟ้นุ เพยี งสำลีผอง” (มหำชำติคำหลวง, มหำพน) เลง (=เล่น) เลบฺ ง (ลเฺ บง) เลบง กำรเลน่ เชน่ เลบงละคร เฎรี (=เดิน) เถมฺ รี (ถฺเมอร) เถมิร เดนิ ป่ำ พรำนปำ่ เลีส (=เกนิ ) เลมฺ ีส (ลฺเมอะส์) ละเมดิ ลว่ งเกิน โลภ (=อยำกได)้ โลมฺ ภ (ลโฺ มบ) ละโมบ ควำมโลภ ลือ (=เสียงลอื ) รบือ (โรบอื ) ระบือ เรอ่ื งลือ เอิกเกริก
67 สรุป กำรสร้ำงคำอย่ำงภำษำเขมรน้ัน เกิดจำกกำรรับคำยืมภำษำเขมรมำใช้ในภำษำไทย ซ่ึง แสดงให้เห็นวำ่ ภำษำเขมรมีอิทธิพลต่อภำษำไทยเป็นอย่ำงมำก ท้ังด้ำนคำศัพท์ และกำรสร้ำงคำข้นึ ใช้ ส่งผลให้ภำษำไทยมีคำศัพท์ที่มำกพยำงค์ คำท่ีอ่ำนแบบอักษรนำ คำรำชำศัพท์ และคำท่ีมีตัวสะกดไม่ ตรงตำมมำตรำ กำรใช้คำยืมภำษำเขมรในภำษำไทย ดังท่ีกล่ำวแล้วข้ำงต้นเกี่ยวกับควำมสัมพันธ์ระหว่ำงไทยกับเขมร กล่ำวคือ ไทยได้รับอิทธิพล ต่ำง ๆ จำกเขมร เช่น ศำสนำ กำรปกครอง ควำมเช่ือ ประเพณีวัฒนธรรม วรรณคดีวรรณกรรม หรือแม้กระทั่งกำรมีอำณำเขตที่ติดต่อกัน ทำให้ไทยมีคำยืมภำษำเขมรมำใช้มำกมำยซ่ึงอำจเป็นคำที่ เก่ียวกับคำรำชำศัพท์คำที่ใช้ในวรรณคดี ควำมที่เก่ียวกับประเพณี วัฒนธรรม และคำท่ีใช้ท่ัวไป ดังตวั อยำ่ งที่ วัลยำ ชำ้ งขวัญยนื (2555 : 211-218) อธบิ ำยเกยี่ วกับกำรใชค้ ำยมื ภำษำเขมร ดังน้ี 1. ใชเ้ ปน็ คำสำมัญทั่วไป คำยืมภำษำเขมรท่ีปรำกฏใช้เป็นคำสำมัญทั่วไปในภำษำไทยมีอยู่เป็นจำนวนมำก คนไทยมัก คนุ้ เคยกับคำยืมเหลำ่ นจ้ี นบำงครง้ั ไมไ่ ด้คิดวำ่ เป็นคำยมื ก็มี เชน่ คำทไ่ี ทยใช้ คำเขมร คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย เกิด เป็นขึน้ มีขึ้น กำเนิด เกีต /เกดิ / เกดิ เป็นได้ กรำบ กรำบ กฺรำบ /กฺรำบ/ กรำบ กำลัง แรง กลำง /ก็อม-ลัง/ กำลัง ขนนุ ชือ่ ตน้ ไม้ ผลใหญ่ ภำยนอก ขฺนุร /คฺนล/ ขนุน เปน็ หนำมถ่ี ภำยในมยี วง สีเหลอื งรสหวำน กินได้ ควร เหมำะ เหมำะสม ควร /กัว/ เหมำะ ควร ครบ ถ้วน เต็มจำนวนทก่ี ำหนดไว้ คฺรบ่ /กฺรบุ / ครบถ้วน สงดั เงียบ สฺงำต่ /ซงฺ ดั / เงียบ คำยืมภำษำเขมรท่ีใช้เป็นคำสำมัญทั่วไปนี้ นอกจำกจะใช้ตำมลำพังเป็นคำเด่ียวแล้ว ใน ภำษำไทยยังใช้คำเหล่ำนบี้ ำงคำร่วมกับคำไทยหรือคำบำลแี ละสันสกฤตในลักษณะของคำซ้อนอีกด้วย เชน่ ใช้ซ้อนกับคำไทย กรำบไหว้ แกะสลักขจัดปัดเป่ำ ค้ำประกัน เงียบสงัดเจริญงอกงำม เจริญเติบโต ซ่ือตรง ทำลำยล้ำง ถนนหนทำง ปรุงแต่ง ผลัดเปลี่ยน พังทลำยระเบียบเรียบร้อย ระลึกนึกถึง รำพึงคิด ล้ำงผลำญสงบน่ิง เสง่ียมเจียมตวั แสวงหำ หวั กบำล พอเหมำะพอควรดำรงคงอยู่ บรรเทำเบำบำง เล่ำแจง้ แถลงไข ใช้ซอ้ นกับคำบำลสี ันสกฤต กรำบนมัสกำร ฉงนสนเท่ห์ ชยั ชนะ ถนอมรักษำ สงบสุข อำนำจรำชศักดิ์
68 2. ใชเ้ ป็นคำในวรรณคดี ถ้อยคำในวรรณคดีไทยหลำยเรื่องที่กวีได้บรรจงร้อยกรองข้ึนมำอย่ำงไพเรำะ งดงำมน้ัน นอกจำกจะประกอบด้วยคำไทยและคำบำลีและสันสกฤตแล้ว ยังมีคำยืมภำษำเขมรปะปนอยู่ด้วยเป็น จำนวนมำก คำเขมรเหล่ำน้ีบำงคำเรำก็รู้จักคุ้นเคย เพรำะมักปรำกฏใช้ซ้ำ ๆ อยู่ในวรรณคดีหลำย เร่ือง แต่ก็มีคำเขมรอีกจำนวนไม่น้อยท่ีไม่ค่อยพบหรือพบเพียงคร้ังเดียวในวรรณคดีเรื่องเดียว ดัง ตัวอยำ่ งต่อไปน้ี คำท่ีไทยใช้ คำเขมร คำ ควำมหมำย คำ ควำมหมำย กรรเจียก ดอกไม้ทัด : หู ตรฺ เจียก /ตรอ็ -เจีย/ หู กรรแสง ผ้ำสไบ กนแฺ สง /ก็อน-แซง/ ผำ้ เช็ดปำก ผ้ำเชด็ มอื กันเมียง เด็ก เกฺมง /เคฺมยง์ / เด็ก ขจร ฟงุ้ ไป ขฺจร /คจฺ อ/ ใต้ ลำ่ ง ฟุ้งไปท่ัว มักใชค้ ู่ กับ ขฺจำย เปน็ ขฺจร ขฺจำย หมำยถงึ เฟอ่ื งฟ้งุ มักใชก้ ับ ชือ่ เสยี ง ขลำ เสอื ขฺลำ /คฺลำ/ เสอื จังกดู หำงเสือเรอื จงฺกูต /จ็อง-โกฺว์ด/ หำงเสือเรอื ตระบอก กลีบ ตฺรบก /ตฺรอ็ -บอก/ กลีบ ไถง ตะวัน วนั ไถงฺ /ทฺงัย/ ดวงตะวัน วัน ผกำ ดอกไม้ ผฺกำ /พฺกำ/ ดอกไม้ พเยีย พวงดอกไม้ ภญฺ ี /พฺญ/ี พวงดอกไม้ ลวดลำย พวงดอกไม่ทเ่ี ขียน หรอื สลกั ให้เกี่ยวพนั กนั สลำ หมำก สลฺ ำ /ซฺลำ/ หมำก สดำ ขวำ สฎำ /ซดฺ ำ/ ขวำ 3. ใช้เปน็ คำรำชำศพั ท์ คำยืมภำษำเขมรที่ใชเ้ ป็นคำรำชำศัพท์ในภำษำไทยมีอยู่ 2 ประเภท คือ 3.1 คำที่เป็นรำชำศัพท์อยู่แล้วในภำษำเขมร ไม่ต้องมีคำว่ำ ทรง พระหรือ ทรงพระ นำหน้ำ เชน่ คำท่ีไทยใช้ คำเขมร คำรำชำศพั ท์ ควำมหมำย คำรำชำศัพท์ คำธรรมดำ ควำมหมำย ตรัส พดู ตฺรำส่ /ตฺระฮ/์ นิยำย สฺฎี พดู ถวำย ให้ มอบให้ ถฺวำย /ทวฺ ำย/ โอย ให้ มอบให้ (ใชแ้ ก่เจ้ำนำย และพระภิกษสุ งฆ)์
69 บรรทม นอน ผทฺ /พตฺ มุ / เฎก นอน เสด็จ ไป เสฎฺ จ /ซดฺ ัจ/ เทำ ไป เสวย กิน เสพ โสฺวย /โซฺวย/ ญำ เสวยได้รบั เป็น คำโบรำณปัจจบุ ัน ใช้โสย) 3.2 คำธรรมดำของเขมรท่ีไทยนำมำใช้เป็นรำชำศัพท์จะเติมคำว่ำ ทรง พระหรือทรงพระ นำหนำ้ เช่น คำรำชำศัพท์ ควำมหมำย คำเขมร ทรงดำเนิน เดิน ฎเณีร /ด็อม-เนอ/ ทรงทรำบ รู้ ชฺรำบ /เจรฺ ียบ/ พระขนอง หลัง ขนฺ ง /คฺนอง/ พระดำริ ควำมคิด ตริะ /ต็อม – เระฮ/์ พระดำรัส คำพดู ตมฺรำส่ /ต็อม – ระฮ์/ ทรงพระเจริญ อว้ น เจรฺ ีน /เจรฺ ิน/ ทรงพระสำรำญ สบำย ไมเ่ จบ็ ปว่ ย สรำล /ซอ็ ม – รำล/ จำกตัวอย่ำงกำรใช้คำรำชำศัพท์ข้ำงต้นอำจกล่ำวได้ว่ำวิธีกำรสร้ำงคำรำชำศัพท์ด้วยกำรเติม คำวำ่ พระ ทรง ทรงพระ นำหนำ้ คำธรรมดำ กำรใช้คำบำลีสนั สกฤตเปน็ รำชำศัพท์ ตลอดจนกำร รบั คำรำชำศัพท์เขมรบำงคำมำเป็นรำชำศัพท์ไทยด้วย ล้วนเป็นเคร่ืองยืนยันวำ่ ไทยรับรูปแบบกำรใช้ รำชำศัพทม์ ำจำกเขมร หลักกำรสงั เกตคำยมื ภำษำเขมรในภำษำไทย ไทยรับคำเขมรมำใช้ในภำษำไทยเป็นจำนวนมำก ดังที่ บรรจบ พันธุเมธำ (2523: 7) กล่ำวว่ำ “ภำษำท่ีสำคัญรองจำกภำษำบำลีสันสกฤต ได้แก่ ภำษำเขมร” ไทยรับภำษำเขมรทั้งที่ เป็นคำธรรมดำ เช่น เกิด เดิน เจริญ จมูก ฯลฯ และคำรำชำศัพท์ เช่น โปรด เสด็จ เสวย สรง ฯลฯ เรำจะเห็นว่ำภำษำเขมรส่วนหนึ่งมีรูปลักษณะของภำษำคำโดด ซึ่งเหมือนกับภำษำไทย และไทยยังรับเอำวธิ ีกำรแผลงคำ (กำรเติมอุปสรรค และกำรลงอำคม) ของเขมรมำใช้ภำษำไทยด้วย คำยืมท่ีรบั มำกด็ ัดแปลงเสยี ง รูปคำแบบไทย แต่เรำกพ็ อมหี ลักสงั เกตคำเขมรในภำษำไทยได้ดงั ต่อไปน้ี 1. สังเกตจำกคำโดดหรือคำพยำงค์เดียวของเขมรที่ไทยยืมมำ เนื่องจำกคำโดดเหล่ำนี้มี ลกั ษณะเหมือนคำไทยมำก จึงต้องอำศัยกำรจำให้ดีว่ำคำใดเป็นคำเขมร คำใดเป็นคำไทย คำยืมภำษำ เขมรท่ีเป็นพยำงคเ์ ดยี ว เชน่ เดิน เกดิ แข ช่วย เลกิ (ยก) โดย (ตำม) เหิน ตกั จง เชงิ (ตนี ) ศก (ผม) ชุม 2. สังเกตจำกคำควบกลำในภำษำเขมร นอกจำกจะมีคำควบกล้ำ ร ล ว อย่ำงไทยแล้ว คำควบกล้ำของเขมรยังหมำยถึงพยัญชนะซ้อนกันสองตัว เขมรนิยมมีเสียงควบกล้ำในพยำงค์หน้ำ โดยใชพ้ ยัญชนะต้นซอ้ นกันสองตัวประสมสระเดียวกัน ออกเสียงพร้อมกันด้วย ดังน้ี
70 2.1 คำที่ควบกล้ำ ร ล ว เช่น ปรำบ ปรุง ปรัง ตรวจ กรำบ โปรด ไพร ตรัส ตริ ตรู ปรำศ ขลัง ขลำด ผลำญ เพลำ ฯลฯ 2.2 คำควบกล้ำอ่ืน ๆ เช่น ขบวน เสด็จ ขนง ขจี ขจร ฉลำด ถวิล ถนอม ผกำ ทลำย สรำญ เจรญิ ถนน สงบ ขนำด ฯลฯ ในภำษำเขมรคำควบกล้ำที่มีพยัญชนะต้นซ้อนกันจะออกเสียงติดต่อกัน เม่ือไทย นำมำใช้ออกเสยี งแบบอักษรนำ 3. สังเกตจำกพยัญชนะท้ำย (ตัวสะกด) คำเขมรจะสะกดด้วยตัว จ ญ ร ล และ ส ดงั นี้ จ สะกด เชน่ เสด็จ เสรจ็ ตรวจ เผด็จ สำเรจ็ บงั อำจ ญ สะกด เชน่ ผจญ ผจัญ เชิญ เพ็ญ ควำญ ชำญ ร สะกด เช่น ขจร กำจร ระเมียร ควร เขมร ล สะกด เช่น ตำบล ถกล (งำม ก่อสร้ำง ต้ังขึ้น) ทลู ส สะกด เช่น ตรสั ดำรสั จรสั 4. สังเกตจำกคำแผลง(คำเติมอุปสรรคและคำท่ีลงอำคม) ของเขมร ไทยนำมำใช้ทั้งคำเดิม และคำท่แี ผลงแล้ว ดังนี้ 4.1 คำเตมิ หนำ้ (คำท่ีเติมอุปสรรค) บำ บัง บนั และ บรร บำ - เช่น บำบดั บำเรอ บำนำญ บำรำบ บำรุง บัง - เชน่ บงั เกดิ บังควร บังอร บังอำจ บงั คน บัน - เชน่ บันดำล บนั ทกึ บนั ได บันลือ บนั ดล บรร - เชน่ บรรทกุ บรรทัด บรรทม บรรลุ บรรจบ 4.2 คำเติมกลำง (คำลงอำคม) เช่น เกดิ > กำเนิด ขลงั > กำลัง จง > จำนง กรำบ > กำรำบ แขง็ > กำแหง ฉนั > จงั หนั 5. สังเกตจำกคำสองพยำงค์ที่ขึนต้นด้วย กำ คำ จำ ชำ ดำ ตำ ทำ มักจะเป็นคำ ทม่ี ำจำกภำษำเขมร เชน่ กำ - เชน่ กำจัด กำจำย กำเดำ กำแพง กำลงั คำ - เชน่ คำนัล (เฝ้ำเจ้ำนำย) คำนงึ คำรบ คำเพลิง (ปนื ) จำ - เช่น จำนง จำงำย (สำย) จำนอง จำนำ จำเนียร ชำ - เช่น ชำนิ ชำนำญ ชำระ ชำเรำ ชำแรก ดำ - เชน่ ดำรัส ดำเนนิ ดำริ ดำรง ตำ - เช่น ตำรวจ ตำลงึ ตำหนกั ตำรบั ตำนำน ทำ - เชน่ ทำบน (หว่ งใย) ทำนูล (บอก กล่ำว) ทำลำย
71 นอกจำกน้ี กตัญญู ชูช่ืน (2543 : 43) ก็ได้ให้หลักสังเกตท่ีสอดคล้องกับหลักสังเกตข้ำงต้น ซึง่ อธบิ ำยไว้วำ่ ภำษำไทยในปัจจุบันหยิบยมื คำภำษำต่ำงต่ำงประเทศมำใช้มำกมำย ถ้ำหำกเรำจะตัด คำต่ำงประเทศที่ปรำกฏในพจนำนุกรม ฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ.2525 และฉบับปรับปรุงต่อ ๆ มำออกท้ังหมดกจ็ ะเหลอื คำไทยซึง่ มีควำมหนำเปน็ เลม่ หนังสือประมำณ 100 หนำ้ เท่ำน้นั ภำษำเขมรมีเขำ้ มำปะปนในภำษำไทยมำกประมำณ 2,000 คำ นับว่ำเป็นรองแต่เพียงภำษำ บำลีและสันสกฤต ซึ่งเป็นภำษำทำงศำสนำ กำรสังเกตคำภำษำเขมรในภำษำไทยนั้นเป็นเรื่องยำก เนื่องจำกเป็นภำษำคำโดดเหมือนกัน และไทยนำมำใช้กลมกลืนไปกับภำษำไทยแทบจะแยกออกได้ ยำก แต่ก็พอจะมขี อ้ สังเกตบ้ำง ดงั นี้ 1. สังเกตคำ คอื เป็นคำโดดเป็นส่วนใหญ่ คำทม่ี กี ำรเตมิ อปุ สรรคเทยี ม คำทีม่ ีกำรลงอำคม 2. สังเกตตัวสะกดกำรันต์ ตัวสะกดกำรันต์ในภำษำเขมรจริง ๆ ออกเสียงด้วย (ต่ำงจำก ภำษำไทยซึ่งมักจะใช้ตัวสะกดตำมมำตรำตัวสะกด แต่ไม่ออกเสียง) ไม่นิยมกำรใช้ตัวสะกดมำกกว่ำ 1 ตัว นอกจำกเป็นคำยืมมำจำกภำษำอื่น ๆ เช่น ภำษำบำลี สันสกฤต ตัวสะกดในภำษำเขมรอำจ ใช้ ตัว จ ซ ส ต เปน็ ต้น ทำใหส้ งั เกตไดง้ ำ่ ย 3. สังเกตกำรใช้วรรณยกุ ต์และเครือ่ งหมำยอื่นๆ ภำษำเขมรไม่มีกำรใช้วรรณยุกต์ ดังนั้นจึง ไมม่ ีรูปวรรณยุกต์ใช้ ส่วนเคร่อื งหมำยอื่น ๆ มบี ้ำง มักแตกต่ำงไปจำกภำษำไทย 4. สังเกตคำควบกลำ คำควบกล้ำในภำษำเขมรไม่เหมือนในภำษำไทย ยกเว้นท่ีควบกล้ำ ด้วย ร ล และ ว 5. สังเกตคำแผลง คำแผลงหรอื คำแปลงรูปที่มีมำกกว่ำ 2 พยำงค์ อย่ำงไรก็ตำม แม้ว่ำคำยืมภำษำเขมรจะมีหลักสังเกตได้ตำมที่กล่ำวมำแล้วข้ำงต้น แต่ก็มีคำ จำนวนหน่ึงที่น่ำจะเป็นคำยืมภำษำเขมร ปรำกฏว่ำในพจนำนุกรมไทยไม่ได้บอกไว้ว่ำเป็นคำมำจำก ภำษำเขมร แสดงว่ำคนไทยกับคนเขมรมีควำมสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมำก ทำให้ภำษำเข้ำมำปะปนจน สรุปไม่ได้ว่ำเปน็ คำไทยหรือคำเขมร บำงคำก็ไม่สำมำรถบอกไดว้ ่ำไทยยืมเขมร หรือเขมรยืมไทย ดังที่ บรรจบ พันธุเมธำ (2521 : 16) กล่ำวว่ำ “ปัญหำเรื่องท่ีมำของคำโดยเฉพำะคำใดเป็นคำไทย คำใดเป็นคำเขมร หรือคำใดเป็นคำภำษำอ่ืนท่ีต่ำงคนต่ำงยืมมำใช้หรือต่ำงยืมผ่ำนกันและกัน นบั เปน็ เร่อื งทตี่ ดั สินไดย้ ำก” ตัวอย่ำงคำยืมภำษำเขมรในภำษำไทย จำกพจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. 2554 คำยมื ภำษำเขมรท่ีปรำกฏในพจนำนุกรมฉบบั รำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. 2554 มีจำนวนไม่นอ้ ย และหำกคำน้ันเป็นคำยืมภำษำดังกล่ำว หลังคำจะใช้อักษรย่อเป็น ข. = เขมร ซึ่งตัวอย่ำงคำยืมภำษำ เขมรท่ีปรำกฏในพจนำนุกรมฯ (2556) มดี ังน้ี
72 ควำมหมำย คำศัพท์ น. สิง่ ทท่ี ำเป็นซ่ี ๆ ล้อมรอบสำหรบั ขงั นกเปน็ ตน้ ตง้ั อยู่ กรง [กรฺ ง] กับท่ีหรือยกไปได;้ ในบทกลอนใช้หมำยควำมว่ำ เปล กม็ ี เช่น ถนอมในพระกรงทอง (เหก่ ล่อม). (เทยี บ ม. กรม (1) [กฺรม] กรงุ ; ข.ทฺรุง). กรม (2) [กฺรม] (แบบ) ก. ระทม, เจ็บอยู่ภำยในเรอ่ื ยไป เชน่ กรมใจ; กลดั เช่น กรร (1) [กนั ] (โบ) กรมหนอง. [ข. กรฺ ุ◦ (กฺรม)ลำบำกเช่น กฺรุ◦จิต= กรรเจยี ก[กัน-] ลำบำก] กรรเชยี ง [กนั -] น. ลำดบั เชน่ จะเล่นโดยกรม (สมทุ รโฆษ). [ส; ข. กฺ รุม(กฺรม) หมวด,หมู่,กอง;ครอบครัว เช่น มวยกรมุ = กรรฐ,์ กรรฐำ [กนั ,กนั ถำ] ครอบครัวหน่ึง]. กระทรวง 2[-ซวง] (กฎ) ก. จับ เชน่ กรกรรนฤบดี (สมุทรโฆษ). (ข. กำน่ ว่ำถอื ). น. เครอ่ื งประดบั หมู รี ูปเป็นกระหนก ใช้ประกอบกับ กระทอ่ ม 1 พระมหำมงกฎุ พระชฎำ หรือรดั เกลำ้ เช่น กรรเจียก กระแทะ ซอ้ นจอนแกว้ แพรวพรำว (อเิ หนำ). (ข. ตฺรเจยี ก ว่ำ กระบวร [-บวน] ห)ู . น. เครื่องพ้ยุ นำ้ ใหเ้ รอื เคลอื่ นทีไ่ ปรปู คลำ้ ยแจวแต่ไมม่ ี หมวกแจว พำดกบั หูกรรเชยี งบนหลกั ทอ่ี ยขู่ ำ้ งแคมเรอื ขำ้ งละอันคู่กัน ใชเ้ หนย่ี วด้ำมให้พยุ้ น้ำ, ท่ำวำ่ ยนำ้ โดย นอนหงำย แล้วใช้แขนทัง้ 2 พุย้ นำ้ ให้เคล่ือนตัวไป, ตี กรรเชยี ง ก็วำ่ ก. กรยิ ำทีน่ ั่งหันหนำ้ ไปทำงทำ้ ยเรอื แลว้ ใชม้ ือเหนย่ี วกรรเชียงพุ้ยน้ำใหเ้ รือเคลื่อนไป, ตี กรรเชียง ก็ว่ำ. (ข. กรฺ ชงี กรรเชยี ง,หันกลับ,หวนกลบั ). น. คอ (เทียบ ข. กรฐฺ วำ่ คอ). น. สว่ นรำชกำรสงู สดุ ของรำชกำรบรหิ ำรส่วนกลำงมี ฐำนะเป็นนติ บิ คุ คล มรี ฐั มนตรีวำ่ กำรกระทรวงเปน็ หวั หน้ำ; (โบ)ส่วนรำชกำรทพี่ อเทยี บได้กบั กรมหรอื กระทรวงในปจั จุบัน เชน่ ถ้ำเปน็ กระทรวงแพง่ แล ฝำ่ ยจำเลยนั้นเป็นกรม ฝำ่ ยนอกให้ส่งไปแพ่งกระเสม พิจำรณำ, ถ้ำมีผรู้ ำ้ ยลักช้ำงมำ้ ผูค้ นโคกระบือทรัพย์สง่ิ ใด ๆ เปนกระทรวงนครบำลได้ว่ำ (สำมดวง). (เทียบ กรฺสวง; ไทยเหนอื สว่ ง วำ่ , ขำ้ ง, ฝำ่ ย). น. เรอื นเล็ก ๆ ทำพออยู่ได,้ กระตอ๊ บ กเ็ รียก. (เทียบ ข. ขทฺ ม). น. ยำนชนิดลำกขนำดเลก็ มี 2 ลอ้ ใช้ววั เทียม ตัวเรอื น รำบไมย่ กสงู อยำ่ งเรือนเกวียน มที ง้ั ชนิดโถงและ ประกอบหลงั คำ,ระแทะหรือรันแทะ กเ็ รียก (ข. รเทะ). ก. แตง่ ,ประดับ. ว. งำม (แผลงมำจำก กบูร).
กระบอก 3 (กลอน) 73 กระบอง น. ดอกไม,้ กลีบดอกไม,้ เชน่ กระบอกทพิ ยผ์ กำกวน กระบำล [-บำน] กำเมศ กูเอย (นิ. นรินทร)์ , กวำ่ กล่ินกระบอกบง- กช เกศเอำใจ (เสอื โค), ใช้ว่ำ ตระบอก ก็ม.ี (เทียบ กระบือ อะหม บฺลอก; ไทใหญ่ หมอก; ไทขำว และ ไทนงุ กระพงั 1 บอก; ข. ตรฺ บก). กระยำ น. ไม้ใช้เปน็ อำวธุ สำหรับใชต้ ,ี มรี ปู กลมบ้ำง เหลี่ยมบ้ำง , ใชว้ ำ่ ตระบอง กม็ ี (ข. ฏบง; ปกั ษ์ใต้ บอง). ขจร 1[ขะจอน] น. สว่ นกลำงของกะโหลกศรี ษะ,หวั (คำไมส่ ภุ ำพ) เช่น ขจอก[ขะ-] ตีกระบำล เขกกระบำล, (โบ) เขยี นเปน็ กระบำน ก็มี ขจัด[ขะ-] เช่น เพิกหนงั ทงั ผมน้ันออกเสียแล้วเอำกรวดทรำยขดั ขจำย[ขะ-] กระบำนศีศะชำระใหข้ ำวเหมอื นพรรณศรสี งั ข์ (สำม ขจี[ขะ-] ดวง); แผ่นกระเบี้อง เช่น ปรุตรเุ คลือบกระบำลหิน ขตอย[ขะ-] (จำรกึ วดั โพธิ์); ลำนกลำงหมูบ่ ำ้ น เรียกว่ำกฺระบำล ขนน[ขะหฺนน] บำ้ น (แผลงมำจำก กบำล). น. ควำย (มักใช้เป็นทำงกำร) เชน่ รูปพรรณโคกระบือ (ข. กรฺบี; ม. เกรฺเบำ). น. แอง่ , บอ่ , หนอง, ตระพงั ตะพงั หรอื สะพัง ก็เรียก (เทยี บ ข. ตฺรพำง ว่ำ บอ่ ทเี่ กิดเอง). น. เครอ่ื ง, สงิ่ ของ, เครอ่ื งกิน เช่น เทยี นธูปแลประทีบ ชวำลำ เครื่องโภชนกระยำ สังเวยประดบั ทกุ พรรณ (ดษุ ฎสี ังเวยกล่อมชำ้ งของเกำ่ คร้ังกรุงเก่ำ) เขยี นเปน็ กรยำ กม็ ี เช่น พระไพรดมำนโฉม นบุ พิตรแลงผอง มนตรอญั สดดุ ยิ ฮอง กรยำนถุ กลทำบ (ดุษฎสี งั เวย กล่อมช้ำงของเก่ำ ขุนเทพกะวีแตง่ ). (ข. กฺรยำ). ก. ฟงุ้ ไป. (ข. ขฺจร ว่ำ ฟุ้งไป แผลงเปน็ กำจร กไ็ ด;้ ป; ส. ข วำ่ อำกำศ + จร ว่ำ ไป). ว. กระจอก, ง่อย, ขำเขยก. ( ขฺจก ว่ำ ขำเขยก, พกิ ำร). ก. กำจัด เชน่ ขจัดควำมสกปรก; กระจดั , แยกยำ้ ย ออกไป. (ข. ขจฺ ำต่ ว่ำ พลดั , แยก). ก. กระจำย, มกั ใช้เขำ้ คกู่ บั คำ ขจร เป็น ขจรขจำย. (ข. ขจฺ ำย). ว. งำมสดใส, ใชใ้ นคำว่ำ เขยี วขจี. (ข. ขฺจี วำ่ ดบิ , อ่อน). น. แมงปอ่ ง. (ข. ขทฺ วย). น. หมอนอิง (ข. ขนฺ ล่ ว่ำ หมอนองิ , ขอนท่ีใช้เป็น หมอน).
74 น. แบบอย่ำง, แผน, ระเบยี บ; กลบี , รอยท่ีพับ (ของ สมดุ ขอ่ ย หรือผำ้ จีบ หรอื จีวร เปน็ ตน้ ); ชั้น เช่น ขนบ ขนบ[ขะหนฺ บ] หิน. (ข. ขฺนบ่ ว่ำ สงิ่ ทีอ่ ยใู่ นหอ่ , ทีห่ มก). ขนอง[ขะหฺนอง] น. หลงั , ใชเ้ ปน็ รำชำศพั ทว์ ่ำ พระขนอง. (ข. ขนฺ ง). ขนำน 2 [ขะหนฺ ำน] ก. เรยี งคู่กนั ไป เชน่ เรอื แลน่ ขนำนกันไป ว่ิง ขนำน, เรยี ก เขลำ[เขลฺ ำ] เรอื ทผี่ ูกหรือตรึงตดิ เรยี งคู่กนั สำหรบั ขำ้ มฟำก วำ่ เรอื เขลำะ[เขฺลำะ] ขนำน; เรียก, ตั้ง, เชน่ ขนำนนำม ว่ำ ตั้งชือ่ (คณิต). แข น. เรยี กเส้นตรงคใู่ ด ๆ ซึง่ อยูห่ ่ำงกันเป็นระยะเท่ำกัน แขสร[์ ขะแส] โดยตลอด ว่ำ เส้นขนำน. (ข. ขนฺ ำน ว่ำ เทยี บ). จมูก[จะหฺมูก] ว.ขำดไหวพริบ,รูไ้ ม่ถงึ ,ร้ไู ม่เท่ำทนั ,ไมเ่ ฉียบเหลียม, ไม่ ฉลำด. (ข.). จังไร ว. กำเลำะ, หน่มุ , สำว. (ข. เขลฺ ำะ ว่ำ หนุม่ ). จังหวะ น. ดวงเดอื น, พระจันทร์. (ข.). น. กระแส; เส้นเชือก. (ข.). จงั หัน 1 น. อวยั วะส่วนหนง่ึ ทยี่ ่ืนออกมำอยเู่ หนือปำก มีรู 2 รู จำนอง สำหรับดมกลิน่ และหำยใจเข้ำหำยใจออก, (ปำก) ตมูก กว็ ำ่ , รำชำศพั ท์ว่ำ พระนำสิก พระนำสำ โดยปรยิ ำย ชำระ เรียกสิ่งทีย่ นื่ ออกมำคลำ้ ยจมูก, เรียกสง่ิ ท่ีเจำะเปน็ รู 2 รเู พ่ือร้อยเชือกเป็นตน้ เช่น จมูกซุง. (ข. .จฺรมะุ ). ว. เลวทรำม, เป็นเสนียด, ไม่เปน็ มงคล, จัญไร ก็วำ่ . (ข. จฺงไร). น. ระยะทสี่ ม่ำเสมอ เชน่ หัวใจเตน้ เปน็ จังหวะ, ระยะ ทีก่ ำหนดไวเ้ ป็นตอน ๆ เชน่ เพลงจังหวะชำ้ จงั หวะ เรว็ พูดเปน็ จงั หวะ, โดยปรยิ ำยหมำยควำมว่ำโอกำส อันควร เชน่ เจำ้ นำยกำลงั โกรธ ไมม่ จี ังหวะจะเขำ้ พบ. (ข. จงวำก่). น. ขำ้ ว, อำหำร, (ใชแ้ ก่พระสงฆ์) (ข. จงฺหำน่). ก. ผูก, คลอ้ ง, หมำยไว,้ กำหนด, จำไว้ (โบ; กลอน) ประพนั ธ,์ แต่ง, เชน่ จง่ึ จำนองโคลงอ้ำง ถวำยแด่ บพติ รเจ้ำชำ้ ง (ลอ). (กฎ) น. ช่ือสัญญำซึ่งบคุ คลหน่งึ เรยี กวำ่ ผจู้ ำนอง เอำทรพั ยส์ ินตรำไวแ้ ก่บุคคลอกี คน หน่ึง เรียกว่ำ ผู้รบั จำนอง เพอื่ เปน็ ประกันกำรชำระ หน้ี โดยไมส่ ง่ มอบทรัพยส์ ินน้นั ใหแ้ ก่ผู้รบั จำนอง. (แผลงมำจำก จอง). ก. ชะล้ำงให้สะอำด เช่น ชำระร่ำงำกำย; สะสำง, ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขน้ึ , เช่น ชำระพระไตรปิฎก ชำระ พจนำนุกรม; พิจำรณำตัดสิน เช่น ชำระควำม; จ่ำย
ชมุ 75 ดำเนนิ 1 ดำเนียน (แบบ) เช่น ชำระเงิน ชำระหนี้ ชำระค่ำไฟฟ้ำ.(ข.ชฺระ ว่ำ ดำรง ล้ำง). ก. มำรวมกัน เช่น เตรียมต้งงโชมโรมรำชำ ชุมทับ ตำรบั [-หฺรับ] พลับพลำ แลร้งงยงฝั่งสระสนำน (สรรพสิทธ์ิ);ดำษดื่น, ตำรำ มมี ำก, เช่น ขโมยชุม ยงุ ชมุ . (ข. ช)ุ . ตำหนัก ก. เดิน, ใช้ในรำชำศัพท์ว่ำ ทรงพระดำเนิน; เป็นไป เช่น กำรประชุมดำเนินไปด้วยดี, ทำให้เป็นไป.เช่น ถนน[ถะหนฺ น] ดำเนินงำน ดำเนินกำร ดำเนินชวี ติ . (ข. ฎเณรี ). ถนอม[ถะหฺนอม] ก. ตเิ ตยี น. (ข.ฎเณยี ล วำ่ คำติเตยี น, คำตำหน)ิ ก. ทรงไว้, ชูไว้, ทำให้คงอยู่, เช่น ดำรงวงศ์ตระกูล บรรทม [บนั -] (รำชำ) ดำรงธรรม, คงอยู่ เช่น ประเทศชำติจะดำรงคงอยู่ได้ บังคม (รำชำ) ด้วยควำมสำมัคคี. ว. ตรง, เท่ียง, มั่นคง, เช่น ไผท ของไทยทุกสว่ น อยู่ดำรงคงไวไ้ ดท้ ง้ั มวล. (แผลงมำจำก บงั คล ตรง). (ข. ฎรง่,ตมฺรง)่ . บงั ควร น. ตำรำท่ีกำหนดไว้เป็นเฉพำะแต่ละเรื่องละรำย เช่น บงั คับ ตำรับหอสมุดแห่งชำติ; ใบส่ังยำ (ใช้เฉพำะแพทย์ ศำสตร์). (ข. ฎรำบ่, ตมฺรำบ่). น. แบบแผนท่ีวำ่ ด้วยหลกั วชิ ำต่ำง ๆ, ตำรับตำรำ ก็วำ่ . (ข. ฎรำ, ตมรฺ ำ). น. ที่ประทับของเจ้ำนำย เช่น ตำหนักปลำยเนินหรือ ของสมเด็จพระสังฆรำช เช่น ตำหนักเพชร, ถ้ำเป็นท่ี ประทับของพระบำทสมเดจ็ พระเจ้ำอยูห่ ัว เรียกวำ่ พระ ตำหนัก เช่น พระตำหนักจิตรลดำรโหฐำน พระ ตำหนกั วำสุกรี.(ข. ฎณำก่ วำ่ ตำหนัก, ที่พัก). น. ทำงที่ทำขึ้น, ลักษณะนำมว่ำ สำย, เส้น, สนน ก็ว่ำ, โบรำณเขียนเป็น ถนล.(จำรึกวัดป่ำมะม่วง).(ข. ถนฺ ล่ ว่ำ ทำงทที่ ำขึ้น). ก. คอยระวังประคับประคองไว้ให้ดี เช่น ถนอมน้ำใจ, ใช้อย่ำงระมัดระวังเพื่อไม่ให้เสียหรือหมดเร็ว เช่น ถนอมของกินของใช้ ถนอมแรง, เก็บไว้อย่ำงดี เช่น ถนอมเอำไว้ก่อน,สนอม กว็ ่ำ. (ข.ถฺนม). ก. นอน โบรำณใช ประทม กม็ ี (ข.ผทฺ ). ก. แสดงควำมเคำรพพระมหำกษตั รยิ สมเดจ็ พระบรมรำชินนี ำถ สมเด็จพระบรมรำชนิ ี และ พระ บรมรำชวงศชัน้ สงู ตำมประเพณไี ทย ใชวำ ถวำยบงั คม. (ข.). ก. มอบให เชน เปนบังคลแกทำนแล (ม. คำหลวงวน ปเวสน). (ข. ปฺรคล วำ มอบให). ว. ควรอยำงยิ่ง เหมำะอยำงยิ่ง (มักใชในควำมปฏิเสธ) เชน ไมบงั ควร หำเปนกำรบังควรไม (ข. บงคฺ วั ร). น. (โบ.) กำรวำกลำวปกครอง, อำนำจศำลสมัยมี สภำพนอกอำณำเขต, เชน่ คนในบงั คับอกั ฤษ; กฎเกณฑ์ในกำรประพนั ธ์ท่บี ญั ญตั ใิ ชใ้ นฉนั ทลกั ษณ์ เช่น บงั คบั ครุลหุ บงั คับเอกโท บงั คบั สมั ผสั . ก.ใชอำนำจส่งั
76 เปรอ [เปรฺ อ] ใหทำหรือ ใหปฏบิ ัติหรอื ใหจำตองทำ เชน่ เขำถก โปรด [โปรฺ ด] สถำนกำรณบ์ งั คับ, ใหเ้ ป็นไปตำมควำมประสงค์ เช่น บังคับเครอื่ งบนิ ใหข้ ึน้ ลง; ทำใหเ้ ปน็ ไปตำมกฎเกณฑ์ ผจญ ผจัญ [ผะจน, ผะจนั ] กำรใช้ภำษำ เชน่ บังคับให้ใชเ้ ครื่องหมำยอัญประกำศ เมือ่ อ้ำงถงึ คำพดู ของผอู้ ่นื ภำษำไทยไมบ่ ังคับกำรใช้ ผจำน เครอื่ งหมำยมหัพภำคเครง่ ครัดนกั ; ทำตำมสภำพทีถ่ ูก ผชุม กำหนดไว้ เช่น ทำงนบี้ ังคบั ใหเ้ ลยี้ วซำ้ ย ประตูนีบ้ ังคบั ผทม [ผะทม] ให้ผลักเขำ้ . (ข. บงคฺ ำบ). เผด็จ [ผะเดด็ ] ก. บำเรอ. (ข. เปฺรี วำ ใช). เพลงิ [เพฺลงิ ] ก. ถูกใจหรือพอใจมำก เชน่ โปรดสงิ่ สวยงำม, แสดง ลออ [ละ-] ควำมเมตตำกรณุ ำโดยปลดเปล้ืองควำมเดอื ดรอน เปนต น เชน โปรดขำพเจำสักคร้งั , ใชประกอบหนำกรยิ ำ แสดงควำมขอรองอยำงสภุ ำพ เชน โปรดนั่งนิ่ง ๆ ที่ ถกู ใจหรอื พอใจมำก เชน คนโปรด ของโปรด. (ข. โปฺ รส). ก. พยำยำมตอสู พยำยำมเอำชนะ เชน มำรผจญ, ตอสู ดน้ิ รนเพื่อเอำชนะ เชน ผจญควำมทุกขยำก ผจญ อปุ สรรค, ประจญ หรอื ประจัญ กว็ ำ. (ข. ผจฺ ำญ วำ ทำใหแพ). ก. เปดเผยควำมช่ัว ประจำน. (ข.ผจฺ ำล วำ ทำใหเขด็ หลำบ). ก. ประชุม. (ข. บฺรช)ุ . ก. นอน (ใชแกเจำนำย), ประทม หรอื บรรทม กใ็ ช. (ข. ผฺท). ก. ตัด, ขจัด, ขำด. (ข. ผฺฎำจ). น. ไฟ เชน่ เพลงิ ไหมบำน ดับเพลงิ . (ข. เภลฺ งิ ). ว. งำม เช่น นวลลออเอย่ี มลออ. (ข.). สรุป ภำษำไทยกับภำษำเขมรมีควำมเก่ียวเน่ืองสัมพันธ์กันต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศำสตร์ เม่ือครั้ง ยงั ไม่ถือกำเนดิ อำณำจกั สุโขทัย และควำมสัมพันธ์ดังกล่ำวไดแ้ ก่ควำมสัมพันธ์ดำ้ นประวัติศำสตร์ ด้ำน กำรเมืองกำรปกครอง ด้ำนประเพณีวัฒนธรรม ควำมเชื่อ และวรรณคดี ซ่ึงทำให้เกิดกำรยืมภำษำ เขมรในภำษำไทย เมื่อไทยรับเอำภำษำเขมรเข้ำมำใช้จึงมีวิธีกำรรับคำยืมนี้มำใช้โดย กำรทับศัพท์ กำรเปล่ียนแปลงตวั สะกด กำรกลำยเสยี งพยัญชนะ กำรกลำยควำมหมำย เป็นต้น คำศัพทส์ ่วนใหญ่ เป็นคำที่เรำใช้อยู่ในชีวิตประจำวันจนกลมกลืนแบบแยกกันไม่ออกว่ำคำใดเป็นคำไทย หรือคำใดมำ จำกเขมร นอกจำกกำรรับคำศัพท์มำใช้แล้ว ไทยยังรับวิธีกำรสร้ำงคำของภำษำเขมรเข้ำมำด้วย ได้แก่ กำรเติมอุปสรรคหรือเติมหน้ำ กำรลงอำคมหรือเติมกลำงซ่ึงเป็นลกั ษณะกำรสรำ้ งคำของตระกลู ภำษำ คำติดต่อที่แตกต่ำงจำกภำษำไทย ส่งผลให้ไทยมีวธิ ีกำรสรำ้ งคำมำใช้เพ่มิ มำกขึ้นอีกท้ังทำให้เรำมี “คำ แผลง” ในภำษำไทย
77 คำถำมทบทวน ให้นกั ศึกษำตอบคำถำมต่อไปนใี้ ห้ถกู ต้อง 1. จงอธิบำยควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงไทยกับเขมรมำพอเขำ้ ใจ 2. จงสรปุ ควำมเป็นมำของยมื ภำษำเขมรในภำษำไทย 3. สำเหตุใดท่ที ำให้ภำษำเขมรเข้ำมำปะปนในภำษำไทย 4. คำยืมภำษำเขมรในภำษำไทยมีลักษณะอยำ่ งไร 5. วิธกี ำรรบั ภำษำเขมรมำใชใ้ นภำษำไทยมวี ธิ กี ำรใดบำ้ ง อธิบำย 6. จงยกตวั อยำ่ งคำยืมภำษำเขมรในภำษำไทยทพ่ี บใชใ้ นชวี ิตประจำวัน (ยกตัวอยำ่ ง 15 คำ และบอกควำมหมำยของคำท่ียกมำ) 7. ไทยใชค้ ำภำษำเขมรเปน็ คำรำชำศัพท์กีล่ กั ษณะ อะไรบ้ำง อธบิ ำย 8. จงยกตัวอย่ำงคำที่มีกำรเปลย่ี นแปลงทำงควำมหมำย ทั้งควำมหมำยแคบเข้ำ กวำ้ งออก และยำ้ ยที่ (ขอ้ ละ 5 คำ) 9. จงบอกหลักสังเกตคำยืมภำษำเขมรในภำษำไทย 10. ใหน้ ักศึกษำค้นคว้ำคำยืมภำษำเขมรในภำษำไทย จำกวรรณคดเี รื่อง สมทุ รโฆษคำฉันท์ คำฉนั ท์ดุษฎสี ังเวยกล่อมชำ้ ง กำสรวลศรีปรำชญ์ (เร่ืองละ 10 คำ พรอ้ มบอกควำมหมำยของคำที่ ยกมำ)
บทท่ี 5 คำยมื ภำษำอังกฤษในภำษำไทย หากกล่าวถึงภาษาคายืมท่ีมีอิทธิพลต่อภาษาไทยรองมาจากคายืมภาษาบาลี สันสกฤตและ เขมรแล้วคงต้องนึกถึงคายืมภาษาอังกฤษ ซึ่งคายืมภาษานี้มีความสัมพันธ์กับภาษาไทยมายาวนาน ต้ังแต่สมัยอยธุ ยา และมีความโดดเด่นเรื่องวิธีการรับมาใช้ต้ังแต่สมยั รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สาเหตุท่ีภาษาอังกฤษเข้ามาปนปนในภาษาไทยนั้น เร่ิมจากสาเหตุที่ไทยได้มีการทาสนธิสัญญา ทางการค้า การทูต การค้าขาย การศึกษา และวิทยาการท่ีทันสมัย หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ เมื่อไทยรับ อิทธิพล ค่านิยมต่าง ๆ เหล่านี้จึงทาให้เกิดการยืมภาษาข้ึนด้วยวิธีการอันจะสะดวกแก่การใช้ใน ภาษาไทย แตค่ งความเป็นศัพท์เดมิ สามารถสบื ค้นที่มาของคายืมได้ ควำมเปน็ มำของคำยืมภำษำอังกฤษ หนังสือ “ประชุมพงศาวดารภาคท่ี 62 เรื่องทูตฝร่ังสมัยกรุงรัตนโกสินทร์” มีความตอนหน่ึง ว่า ไทยได้เริ่มติดต่อค้าขายกับอังกฤษมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ ” แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษในครั้งนั้นยังไม่ถึงข้ันมีการเจริญสัมพันธไมตรี จนกระท่ังในปี พ.ศ. 2310 ไทยเสียกรุงแก่พม่า อังกฤษ และฝรั่งชาติอื่น ๆ ก็ได้เลี่ยงไปค้าขายกับเมืองอื่นเป็น เวลานาน ต่อมาภายหลังที่ได้มีการต้ังกรุงเทพฯ เป็นราชธานีแล้ว ในปี พ.ศ.2365 ในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มาร์ควิส เฮสติงส์ ผู้สาเร็จราชการ หัวเมืองอินเดียของอังกฤษที่เบงกอล ได้แต่งตั้งให้จอห์น ครอฟอร์ดเชิญอักษรสารและเคร่ืองราช บรรณาการเข้ามาถวายเพ่ือขอเจริญทางพระราชไมตรีกับไทยเป็นคร้ังแรก ปรากฏว่าการสื่อสาร ระหว่างสองชาติในครั้งนัน้ ไม่สะดวกอยา่ งยง่ิ ในสมัยรัชกาลท่ี 3 ไทยกับอังกฤษเกิดความเข้าใจผิดกันหลายเร่ือง ดังนั้นในปี พ.ศ. 2368 ลอร์ด แอมเฮิสต์ ผู้สาเร็จราชการอินเดียของอังกฤษจึงได้แต่งตั้งให้ร้อยเอก เฮนรี เบอร์นี เป็นทูต เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ในปี พ.ศ. 2375 ประธานาธิบดี แอนดรู แจ็คสัน ได้แต่งตั้งให้ เอดมันด์ โรเบิร์ต เป็นทูตของเข้ามาทาหนังสือสัญญาทางพระราช ไมตรี และการค้าขาย ในปี พ.ศ.2393 ก็แต่งต้ังให้ โยเซฟ บัลเลสเตีย เข้ามาขอแก้หนังสือสัญญา ในปีเดียวกนั น้เี องอังกฤษกไ็ ด้สง่ เซอร์เจมส์ บรุ ุก เป็นทตู เขา้ มาขอแกห้ นงั สือสัญญา เมื่อถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2398 สมเด็จพระนางเจ้า วคิ ตอเรียได้ทรงแต่งต้ังให้ เซอร์จอห์น เบาริง เป็นราชทูตเชิญพระราชสาส์นเข้ามาเจริญทางพระราช ไมตรี นับเปน็ ราชทูตคนแรกทม่ี าจากสานกั พระเจา้ แผน่ ดินองั กฤษ และในปี พ.ศ.2400 ไทยไดส้ ่งคณะ ทูตไทยไปประเทศอังกฤษโดยมีหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูร ณ อยุธยา) ทาหน้าที่ เป็นล่ามหลวง
80 จากท่ีกล่าวมาข้างต้นทาให้เห็นว่า ไทยกับอังกฤษได้ติดต่อค้าขาย มีสัมพันธภาพกันมาต้ังแต่ สมัยอยุธยา แต่ในสมัยน้ันไทยใกล้ชิดกับชาวโปรตุเกส และฝรั่งเศสมากกว่าชาวอังกฤษ ดังนั้นหลักฐาน ทางเอกสารต่าง ๆ ท่ีพบได้ในปัจจุบัน จึงไม่ค่อยปรากฏคายืมจากภาษาอังกฤษ จนกระทั่งในสมยั รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีการติดต่อกับอังกฤษอย่างเป็นทางการ จึงเริ่มพบการเขียนคาทับศัพท์ ภาษาอังกฤษบ้างเล็กน้อยในเอกสารบางฉบับ เช่น จดหมายเหตุสมัยรัชกาลท่ี 2 เป็นต้น กระท่ังในสมัย รัชกาลท่ี 3 คาทับศัพท์ภาษาอังกฤษมีใช้เพ่ิมมากข้ึน โดยเฉพาะในหนังสือ “จดหมายเหตุบางกอกรีคอร์ เดอร์” ซ่ึงเป็นหนังสือฉบับแรกของไทย มีหมอบรัดเล มิชชันนารีชาวอเมริกันเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ ลักษณะที่สังเกตได้อย่างหน่ึงคือ คายืมในสมัยรัชการที่ 3 ส่วนใหญ่เป็นคาเรียกช่ือเมือง ช่ือคน ชื่อยศ และตาแหน่ง รวมท้ังคาที่เป็นช่ือเฉพาะของบางส่ิงบางอย่าง เช่น ธาตุ เป็นต้น (อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล, 2555 : 152-154) ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี องิ ลนั ดา (England) อีระลนั ดา (Ireland) สกดลนั ดา (Scotland) ลอู ฟิ ิลิบ (Louis Philips) อกซเุ ชน๊ (Oxygen) นดิ โรเชน๊ (Nitrogen) กะปิตัน หนั ตรี บารนี (CaptainHenry Burney) นอกจากนี้ สุนันท์ อัญชลีนุกูล (2527 : 203) กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษว่า ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ เข้ า ม า มี บ ท บ า ท ใน ภ า ษ า ไท ย เมื่ อ ไ ท ย มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ กั บ ส ห รั ฐ อ เม ริ ก า ใ น ส มั ย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยน้ันพวกมิชชันนารีจากสหรัฐอเมริกาได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่ ครสิ ตศ์ าสนานิกายโปรแตสแตนทใ์ นไทย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยได้ติดต่อกับชาติอังกฤษและอเมริกัน มากขน้ึ อีกท้ังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัวยงั สนพระราชหฤทัยศกึ ษาภาษาอังกฤษจนแตกฉาน คายืมจากภาษาอังกฤษจึงได้มีจานวนมากขึ้น คายืมภาษาอังกฤษในช่วงสมัยนี้ นอกจากช่ือเมือง ชื่อคน ชอื่ ยศ และตาแหน่งแล้ว ยังมีคาทัว่ ๆ ไปอีกดว้ ย เช่น โปลศิ แมน (policeman) เอนวิโลบ (envelope) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดาริเห็นความสาคัญของภาษาอังกฤษท่ีมีต่อ วิชาการสาขาต่าง ๆ ทรงจ้างครูฝรั่งชื่อนางแอนนา ลิโอโนเวนซ์ ซ่ึงเป็นครูสอนภาษาให้ลูกผู้ดีที่ประเทศ สิงคโปร์ มาสอนภาษาอังกฤษถวายแด่พระเจ้าลูกยาเธอในพระบรมมหาราชวัง เมื่อคร้ังพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์อยู่น้ัน ก็ได้ทรงศึกษากับครูแอนด้วย เม่ือเสด็จ ออกไปอยู่ฝ่ายหน้าแล้วได้ทรงศึกษาต่อกับหมอจันดเล ชาวอเมริกัน ทาให้ทรงพระปรีชาสามารถใน ภาษาอังกฤษเปน็ อยา่ งดี
81 นักเรียนไทยได้มีโอกาสไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 นักเรียนเหล่าน้ีเพ่ิม จานวนมากข้ึนในสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน ไทยจึงได้รับวิทยาการและความคิดสมัยใหม่จากประเทศ ตะวนั ตกมากข้ึนตามลาดบั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสาเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ ในสมัยน้ัน มีนักเรียนไปศึกษาต่อที่ประเทศองั กฤษและประเทศอ่ืน ๆ และสาเร็จการศึกษากลบั มาอีกเปน็ จานวนมาก ทาให้มีผู้รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น นอกจากน้ันคนไทยในประเทศก็ศึกษาภาษาอังกฤษกันอย่างกว้างขวาง ได้ รู้จักภาษาอังกฤษจากตารา หรือส่ือมวลชนต่าง ๆ ปัจจุบันคายืมภาษาอังกฤษจึงเข้ามาในประเทศไทย เพิ่มขึน้ เป็นทวี โดยเฉพาะในวงการทตี่ อ้ งติดต่อกบั ตา่ งประเทศ ทั้งวงการธรุ กิจ การเมอื ง และการบันเทิง ประวตั ิของกำรยืมคำจำกภำษำองั กฤษ แม้ว่าความสัมพันธ์ไทยกับอังกฤษจะเร่ิมตั้งแต่สมัยอยุธยาแต่ในครั้งน้ันก็ยังไม่ได้เกิดการยืมคา ภาษาอังกฤษแต่อย่างใด กระทั่งในสมัยรตั นโกสินทร์ตอนต้นโดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ไทย เร่ิมมีวิธีการยืมภาษาอังกฤษจากการบัญญัติศัพท์ทางวิชาการดังน้ันผู้เขียนจึงขอเสนอประวัติโดยย่อของ การยมื คาภาษาองั กฤษเริม่ ตัง้ แต่สมัยรัชกาลท่ี 4 จนถึงปัจจบุ นั มงคล เดชนครินทร์ (2558 : 1-8) ได้กลา่ วถึงประวัติการสร้างคายมื ภาษาอังกฤษ ซงึ่ สามารถสรุป ได้ดงั น้ี 1. กำรสร้ำงคำยืมในสมัยรชั กำลที่ 4 (ช่วงครองราชย์ พ.ศ. 2394 - 2411) คนไทยเร่ิมรับคายืมภาษาอังกฤษมาใช้เป็นจานวนมากเริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลท่ี 4 หลังจากไทย ได้เปิดประเทศและทาสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝร่ังเศส สหรัฐอเมริกา ซึ่งทาให้มีชาวตะวันตกเขา้ มาติดต่อกบั คนไทยและเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยมากขึ้น การรับภาษาอังกฤษมาใช้ในช่วงนี้ ใชว้ ธิ กี ารทับศพั ท์เป็นส่วนใหญ่ สังเกตไดจ้ ากพระราชหตั ถเลขา ของรัชกาลท่ี 4 ซึ่งทรงใช้คาว่า “เอเนต์ (agent)” “กันโบ๊ต (gun boat)” “มินิต (minute)” เป็นต้น หรือจากหนังสือนิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูร ณ อยุธยา) ซึ่งแต่งใน โอกาสที่ท่านเป็นลา่ มในคณะราชทูตไทย ไปเข้าเฝ้าพระราชินีวิกตอเรียแห่งประเทศอังกฤษ ใน พ.ศ.2400 ดงั คากลอนตอนหน่ึงวา่ ตะวันชายบา่ ยประมาณสักโมงเศษ จาจากเขตกรุงไทยมไหศวรรย์ ฝา่ ยองั กฤษตวั ดีทกี่ ปั ตนั ใหช้ ว่ ยกันถอนสมอจะจรลี เอนชะเนยี นายจักรก็ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ใสไ่ ฟติดน้าพลงั ดังฉฉ่ี ่ี สะกรหู ันผันพัดในนทั ที เรอื กร็ ่เี รว็ คว้างไปกลางชล 2. กำรสร้ำงคำยมื ในสมัยรชั กำลท่ี 5 (ช่วงครองราชย์ พ.ศ.2411-2453) ในรัชกาลที่ 5 นี้ การรับภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยยังคงใช้วิธีการทับศัพท์เช่นเดียวกับ ใน รัชกาลที่ 4 ดังจะเห็นไดจ้ ากพระราชกระแสรบั สงั่ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว ตอนหนึง่ วา่
82 “ให้มาประชุมท่ีหอมิวเซียมในวันข้ึน 1 ค่าเหือน 8 ปฤกษาด้วยเร่ืองท่ีจะจัดการรักษาด่านเมือง ตาก ตรวจข้อบังคับนายด่านซ่ึงพระยาสุจริตรักษาทา และตรวจกฎหมายโปลิศซ่ึงได้ร่างขึ้นไว้ในท่ีประชุม เคาน์ซิลแต่คร้ังกอ่ น” อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยน้ีการรับคาในภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยได้พัฒนาไปอีกข้ันหน่ึง คือ มีการนาคาในภาษาบาลี สันสกฤตมาใช้แทนคาทับศัพท์บางคาในภายหลัง วิธีการนี้มีเล่าไว้ในบันทึกของ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ซง่ึ มขี อ้ ความตอนหนึ่งวา่ “คาภาษาสังสกฤตที่เอามาใช้เป็นช่ือ เช่น โทรเลข และไปรษณีย์นั้น เป็นของใหม่ เมื่อแรกมีโทร เลขเรียกชื่อตามภาษาฝร่ังว่า เตเลกราฟ แต่แปรไปเป็นตะแล็บแก๊บ ไปรษณีย์เม่ือกงสุลอังกฤษยังเป็น เจา้ ของเพราะสง่ หนังสือไปตา่ งประเทศทางเมืองสิงคโปร์ และฮ่องกงใช้ตั๋วตราของสิงคโปร์มอี ักษร B พิมพ์ เพิ่มความหมายวา่ บางกอก ใช้กันแตพ่ วกฝรง่ั กเ็ รียกตามภาษาองั กฤษวา่ โปสตเ์ รยี กตัว๋ ตราว่าแสตมป์” สว่ นคาศพั ท์ภาษาองั กฤษทแ่ี ปลเปน็ ไทยโดยใชค้ าไทยแท้กเ็ ริ่มมขี ้นึ บ้าง เชน่ lighthouse = กระโจมไฟ pawnshop = โรงรับจานา raincoat = เสือ้ ฝน shipyard = อู่เรือ 3. กำรสร้ำงคำยมื ในสมยั รัชกำลที่ 6 (ช่วงครองราชย์ พ.ศ. 2453-2468) วิธีการรับคาจากภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยยังคงคล้ายกับในสมัยก่อนหน้าน้ี คือ ใช้คาบาลี สันสกฤต และคาไทยแท้เป็นศัพท์ในภาษาไทยมากขึ้น แทนที่จะทับศัพท์อย่างเดียว ตัวอย่างของคา ภาษาอังกฤษทีบ่ ัญญัติเปน็ คาในภาษาไทยโดยไมท่ บั ศพั ทใ์ นรชั กาลนี้ คอื balloon = ลกู สวรรค์ carbon paper = กระดาษถา่ น cartoon = ภาพลอ้ gum = หมากฝรงั่ typewriter ribbon = ผ้าพมิ พ์ freedom = เสรภี าพ United States of America = สหรัฐอเมริกา ในรัชสมัยนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างคายืมจานวนมากขึ้นใช้แทนคา ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งเมื่อทรงสภาปนาจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัยขึ้นใน พ.ศ. 2459 นนั้ พระองค์ ได้พระราชทานคาศัพท์ใหม่ท่ีทรงสร้างขึ้นเพ่ือใช้ในกิจการมหาวิทยาลัย เช่น ศาสตราจารย์ (professor) ปาฐก (lecturer)ปริญญา (degree) คณะ (faculty) คณบดี (dean) วิศวกรรม (engineering) เป็นตน้ 4. กำรสร้ำงคำยมื ในสมยั รัชกำลที่ 7 (ชว่ งครองราชย์ พ.ศ.2468-2477) วิธีการรับคาในภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ในภาษาไทยในรัชสมัยน้ีมีทั้งการทับศัพท์และการใช้คา ในภาษาไทย เช่นเดยี วกบั ในสมัยรัชกาลท่ี 5 และรชั กาลที่ 6 ตัวอย่างคาศัพท์ในรชั สมัยนี้ เช่น bill = บิล cigar = ซกิ าร์ meter = มิเตอร์ plug = ปลั๊ก
83 bomb = ลูกแตก horse-power = แรงม้า leaflet = ใบปลวิ powdered milk = แป้งนม หลังการเปล่ียนแปลงระบบการปกครองใน พ.ศ. 2475 แล้วรัฐบาลได้จัดตั้ง รำชบัณฑิตยสถำน ขึ้น ใน พ.ศ. 2476 เพอ่ื ให้ทาหนา้ ที่ทานุบารุงศิลปะและวัฒนธรรมของชาติในสว่ นท่ีเป็นวชิ าการควบคกู่ ับ กรมศิลปำกร ซึ่งทาหน้าท่ีอย่างเดียวกันน้ีในส่วนท่ีเป็นการปฏิบัติการ ต่อมารัฐบาลได้มอบหมายให้ หน่วยงานแรกที่กล่าวถึง คือ ราชบัณฑิตยสถาน ทาหน้าบัญญัติศัพท์วิชาการเป็นภาษาไทยสาหรับใช้ใน ราชการ 5. กำรบัญญัตศิ ัพท์ภำษำไทยในสมยั รชั กำลท่ี 8 (ชว่ งครองราชย์ พ.ศ. 2477-2489) ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2485 คณะรัฐมนตรีได้มมี ติให้จัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาบญั ญัติศพั ท์ ภาษาไทยข้ึนคณะหน่ึง และได้มอบหมายให้พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ำวรรณไวทยำกร (ซึ่งต่อมา ได้รับสถาปนาเป็น พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนรธิปพงศ์ประพันธ์) ท่ีปรึกษานายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เป็นผู้ดาเนินการร่วมกับผู้แทนกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง นับเป็นคร้ังแรกใน ประเทศไทยที่คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ภาษาไทยได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ พ.ศ. 2485 จึงถือได้ว่าเป็นจุดเร่ิมต้นของการบัญญัติศัพท์ยุคใหม่อย่างเป็นทางการ ผลงานของคณะกรรมการคณะนี้ คือศัพท์บัญญัติในสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์ แพทยศาสตร์ สถิติ อุตสาหกรรม จิตวิทยา ปรัชญา ฯลฯ ซง่ึ ภายหลังได้พมิ พเ์ ผยแพรใ่ นรูปของหนงั สอื บัญญตั ิศพั ทข์ องคณะกรรมกำรบญั ญตั ศิ ัพท์ 6. กำรบญั ญตั ิศพั ทภ์ ำษำไทยในสมัยรัชกำลที่ 9 (ชว่ งครองราชย์ พ.ศ. 2489-2559) ใน พ.ศ. 2490 ราชบัณฑิตยสถานได้รับช่วงงานบัญญัติศัพท์ของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2485 มาทาแทน แต่ก็ทาได้ไม่เต็มท่ีเพราะขาดทั้งงบประมาณและกาลังคน งานบัญญัติศัพท์ภาษาไทยจึง ดาเนินไปอย่างเชื่องช้า เม่อื ถึง พ.ศ. 2504 คณะรัฐมนตรีได้แต่งต้ัง คณะกรรมกำรบญั ญัติศัพท์ภำษำไทย ขึ้น ตามที่ราชบัณฑติ ยสถานเสนอแนะ คณะกรรมการชดุ นีม้ ีผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภายในราชบัณฑิตยสถาน เองและจากหน่วยงานภายนอกร่วมกันเป็นกรรมการ และได้ทางานท้ังที่เป็นการแก้ไขศัพท์ท่ี คณะกรรมการชุดเดมิ ทาไว้ และการบัญญัติศัพท์ในสาขาวิชาการสาขาต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นใหม่ ซ่ึงภายหลังได้ พมิ พเ์ ผยแพร่ในรูปของหนังสือ ศพั ท์บญั ญัติ อังกฤษ-ไทย ไทย-องั กฤษ ใน พ.ศ. 2521 คณะรัฐมนตรีได้มีมติต้ัง คณะกรรมกำรบัญญัติวิทยำศำสตร์ ข้ึนมาช่วยแบ่งเบา ภาระของคณะกรรมการบญั ญัตศิ ัพท์ภาษาไทย โดยรบั งานบัญญตั ศิ ัพทท์ างด้านวิทยาศาสตรม์ าทาต่างหาก ราชบัณ ฑิ ตยสถานมีคณ ะกรรมการบั ญ ญั ติศัพ ท์วิชาการหลายสิบคณ ะซ่ึงล้วน แต่ ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี งานบัญญัติศัพท์ของสถาบันนี้ครอบคลุมสาขาวิชาการจานวนมาก ท้ังทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ซ่ึงปรากฏออกมาในรูปของพจนานุกรมศัพท์ บัญญัติทางด้านวิชาการท่ีเกี่ยวข้อง นอกจากน้ียังมีหน่วยงานราชการหน่วยงานอื่น ๆ และหน่วยงาน เอกชนจานวนหนึ่งที่เห็นความจาเป็นของการสร้างศัพท์วิชาการใหม่ ๆ ข้ึนใช้ และได้จัดตั้งคณะกรรมการ บญั ญัติศพั ท์ขน้ึ มาทางานในสาขาวชิ าของตน
84 ปัจจุบัน ราชบัณฑิตยสถาน ได้เปล่ียนชื่อเป็น สำนักงำนรำชบัณฑิตยสภำ และสภาราชบัณฑิต เปลี่ยนชื่อเป็น รำชบัณฑิตยสภำ ตามท่พี ระราชบญั ญัติราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2558 ได้ประกาศลงในราช กิจจานุเบกษา เล่มที่ 132 ตอนที่ 10 ก วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 และมีผลบังคับใช้ต้ังแต่วันที่ 14 กมุ ภาพนั ธ์ 2558 สรุป ประวัติของการยืมคาภาษาอังกฤษนั้น อันที่จริงเกิดการยืมคาตั้งแต่ใน สมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่การยืมในรัชสมัยนั้นยังไม่มีระบบการยืมท่ีแน่นอน กระท่ัง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยได้ทาสนธิสัญญาการค้ากับชาติตะวันตก จึงเริ่มมีวิธีการรับคายืมภาษาอังกฤษด้วยวิธีการทับศัพท์ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า- เจ้าอยู่หัว การรับคายืมภาษาอังกฤษเข้ามาก็ยังคงใช้วิธีการทับศัพท์ แต่ก็มีการพัฒนาการยืมคาไปอีกขั้น หนึ่ง คือ มีการนาคาในภาษาบาลี สันสกฤตมาใช้แทนคาทับศัพท์บางคาในภายหลัง ในรั ชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างคายืมจานวนมากข้ึนใช้แทนคาในภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ เม่ือทรงสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้น คายืมภาษาอังกฤษเริ่มมีการบัญญัติศัพท์ ในสมัยรัชกาลที่ 7 และมีการตั้งคณะกรรมการบัญญัติศัพท์ในสมัยรัชกาลท่ี 8 ในสมัยรัชกาลท่ี 9 ราชบัณฑิตยสถานได้รับช่วงงานบัญญัติศัพท์ของคณะกรรมการในสมัยรัชกาลที่ 8 จนถึงปัจจุบัน ราช บัณฑิตสถานมีคณะกรรมการบัญญัติศัพท์วิชาการสาขาต่าง ๆ หลายสิบคณะ และได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ เปน็ สานกั งานราชบัณฑติ สภาตามประกาศในพระราชกจิ จานุเบกษา พ.ศ.2558 วิธกี ำรยมื คำภำษำอังกฤษเข้ำมำใช้ในภำษำไทย วิไลศกั ด์ิ กิ่งคา (2556 : 120-122) ได้อธบิ ายถึงวิธีการรบั คาภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทย ซึ่งมี วิธกี ารหลายอย่าง ดงั ต่อไปน้ี 1. กำรเปล่ยี นแปลงเสียงและคำ การยืมคาภาษาอังกฤษมาใช้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเสียงเพื่อความสะดวก และอีกประการหนึ่ง เน่ืองจากเสียงบางเสียงไม่มีใช้ในภาษาไทย เม่ือยมื เสียงจาพวกน้ีจึงต้องมีการปรับปรุง ทาให้เสียงผิดเพ้ียน ไปจากเดมิ บา้ ง เช่น sign ออกเสียงเป็น เซ็น pipe ออกเสียงเปน็ แปบ๊ goal ออกเสยี งเปน็ โก England ออกเสียงเป็น องั กฤษ statistic ออกเสียงเป็น สถิติ france ออกเสียงเป็น ฝรั่ง 2. กำรลำกเข้ำควำม การลากเข้าความ เป็นวิธีการเปล่ียนแปลงเสียงของคาภาษาอังกฤษ เพื่อลากเข้าหาคาไทยท่ีคุ้นหู หรือแปลความหมายได้ด้วย วิธีนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีปรับเปลี่ยนสิ่งท่ีไม่คุ้นหูคุ้นปาก แปลไม่ออก การท่ีออก
85 เสยี งใหฟ้ ังเป็นไทย ๆ ทาให้แปลได้ งา่ ยต่อการจดจา (เริ่มนิยมใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นจดุ เรม่ิ ต้นของการ ทบั ศพั ท)์ ดงั ตัวอย่าง court shoes ลากเข้าหาเสยี งภาษาไทยเปน็ คัดชู bradlay ลากเข้าหาเสยี งภาษาไทยเป็น ปลัดเล coffee ลากเข้าหาเสยี งภาษาไทยเปน็ กาแฟ uniform ลากเขา้ หาเสียงภาษาไทยเปน็ อยูใ่ นฟอรม์ Madam ลากเข้าหาเสียงภาษาไทยเปน็ หมาดา 3. กำรทบั ศัพท์ การทับศัพท์ เป็นการยืมคาภาษาอังกฤษมาใช้โดยตรง ไม่มีการเปล่ียนแปลงรูปคา หรือเสียง แต่ อาจจะเปลยี่ นแปลงบ้างเลก็ น้อยในบางคา เช่น kiwi ไทยใช้ กีวี suit ไทยใช้ สูท beer ไทยใช้ เบียร์ term ไทยใช้ เทอม fashion ไทยใช้ แฟชั่น bonus ไทยใช้ โบนัส 4. กำรบัญญัติศัพท์ การบัญญัติศัพท์ เป็นวิธีการยืมคาภาษาอังกฤษมาใช้โดยกาหนดคาให้มีความหมายตรงกับ ภาษาอังกฤษ ส่วนมากเป็นคาศัพท์เฉพาะ และภาษาที่นามาใช้บัญญัติศัพท์โดยมากเป็นคาภาษาไทยแท้ บา้ ง ภาษาบาลสี นั สกฤตบา้ ง ดังจะอธิบายตอ่ ไป ตัวอย่างศัพท์บัญญัติ เชน่ องคก์ าร บญั ญัติจาก organization ภมู ิหลัง บัญญัตจิ าก background พฒั นาการ บญั ญตั ิจาก development 5. กำรตดั คำ เม่ือยืมคาภาษาอังกฤษมาใช้แล้ว บางคร้ังอาจมีการใช้โดยตัดพยางค์ให้สั้นลง เพ่ือสะดวก ในการออกเสียง สว่ นใหญ่มักเปน็ ภาษาพดู เช่น entrance ไทยใช้ตัดคาเป็น เอน็ double ไทยใชต้ ัดคาเปน็ เบิ้ล champion ไทยใชต้ ัดคาเป็น แชมป์ memory card ไทยใช้ตัดคาเปน็ เม็ม 6. เปล่ยี นควำมหมำยของคำ หรอื กำรกลำยควำมหมำย ในการยืมคาภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทย ทาให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไปจาแนกได้ 3 ลกั ษณะ ดังนี้
86 6.1 ความหมายกว้างออก เม่ือเดิมคาท่ียืมมามีความหมายเฉพาะอย่าง แต่ภาษาไทยเอามาใช้ใน ความหมายหลายอย่าง เช่น คำศพั ท์ ควำมหมำยภำษำอังกฤษ ควำมหมำยในภำษำไทย bungalow เรอื นหรอื กระท่อมทาดว้ ยไม้ บ้านพักตากอากาศทาแบบใดกไ็ ด้ fan (s) สนบั สนุนคนเกง่ ทางดา้ นการกฬี า ค่รู กั สามี หรอื ผ้สู นับสนนุ คนเกง่ และการแสดง ในดา้ นการกีฬา dope ยาบารงุ กาลัง ยาเสพตดิ ยาท่ที าใหเ้ กดิ กาลัง game การเลน่ วิธีการ การพนนั การเลน่ วิธกี าร การพนัน จบ สนิ้ สดุ 6.2 ความหมายแคบเขา้ หมายความว่า คาเดิมนน้ั มคี วามหมายหลายอย่าง เม่ือยืมมาใช้ใน ภาษาไทยมคี วามหมายเฉพาะเจาะจง เชน่ คำศัพท์ ควำมหมำยภำษำอังกฤษ ควำมหมำยในภำษำไทย boy เดก็ ผู้ชาย พนักงานรบั ใช้ พนักงานรับใช้ report รายงาน ชอ่ื เสียง รายงาน free อสิ ระ ไม่ตอ้ งเสยี เงนิ ไมต่ ้องเสยี เงนิ สะดวก ได้เปลา่ goal จดุ หมาย ประตูฟุตบอล ประตูฟุตบอล peg หมดุ ท่ัว ๆ ไปท่ีใช้ตอกสาหรบั แขวนหมวก หมดุ ที่กดกระดาษ 6.3 ความหมายย้ายท่ี หมายถึง ไทยเรารับเอาคายืมภาษาอังกฤษมาใช้ โดยเปลี่ยนแปลง ความหมายไปจากเดิม เชน่ คำศัพท์ ควำมหมำยภำษำอังกฤษ ควำมหมำยในภำษำไทย fit เหมาะ พร้อม สขุ ภาพดี ขนาดพอดีกับตัว คบั gay ร่าเริง แจ่มใส หรูหรา เบกิ บาน ฉดู ฉาด รักร่วมเพศเดียวกนั scrum เขา้ แถวกอดคอแย่งลกู รักบ้ี จูโ่ จม รุม(มกั ใชใ้ นการต่อสู้ หรือการกิน) สรปุ การยืมคาภาษาองั กฤษมาใช้ในภาษาไทย มีวิธกี ารหลายวิธีการ ได้แก่ การเปล่ียนแปลงเสียง และคา การลากเข้าความ การทับศัพท์ การบัญญัติศัพท์ การตัดคา นอกจากการรับคามาใช้แล้วยังมี
87 การกลายความหมายของคาทั้งการกลายความหมายแบบกว้างออก แคบเข้า และความหมายย้ายที่ ซ่ึงวิธีการต่าง ๆ ท่ีกล่าวมานี้เป็นการเปล่ียนแปลงเพื่อให้สะดวกในการออกเสียง และการใช้พูดใช้เขียน ใหง้ า่ ยต่อการจดจา อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล (2555 : 259-268) ได้อธิบายถึงลักษณะภาษาอังกฤษไว้ว่าภาษาอังกฤษ จัดอยู่ในภาษามีวิภัตติปัจจัย คาในภาษาอังกฤษสามารถเปลี่ยนรูปด้วยการเติมหน่วยผันคา หรือเปล่ียน เสียงสระ นอกจากน้ีคาภาษาอังกฤษยังมีการเปลี่ยนแปลงรูปคาเม่ือเข้าประโยคเพ่ือแสดงลักษณะทาง ไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษมีหน่วยเติมท้าย และไม่มีเสียงวรรณยุกต์ ซ่ึงท่ีกล่าวมานี้ มีความแตกต่างจาก ภาษาไทยอย่างมาก ดังนั้นหากจะยืมคาภาษาอังกฤษต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อสะดวกในการใช้ และ เหมาะกับภาษาไทย คายมื ภาษาอังกฤษทีป่ รากฏใช้อยูใ่ นภาษาไทย มลี ักษณะ ดังน้ี 1. เปน็ คำหลำยพยำงค์ คายืมภาษาอังกฤษส่วนใหญ่เป็นคาหลายพยางค์ เมื่อไทยยืมมาใช้จึงทาให้ภาษาไทยมีคาหลาย พยางค์มากขึ้น เช่น แคปซูล โฟกัส เทรนเนอร์ คอมพิวเตอร์ ไวโอลิน ดรัมเมเยอร์ เทคโน โลยี อิเลก็ ทรอนิกส์ เปน็ ตน้ 2. ไม่มีกำรเปลี่ยนแปลงรูปทำงไวยำกรณ์ ภาษาอังกฤษมีการเปล่ียนแปลงรปู คาตามลักษณะทางไวยากรณ์ แต่เมื่อยืมมาใช้ในภาษาไทย ไม่ มีการเปลย่ี นแปลงรปู คาไปตามลกั ษณะทางไวยากรณ์ทเี่ ปลี่ยนแปลงไปน้ัน คนไทยใช้คายืมภาษาองั กฤษโดยไม่ได้คานึงถงึ ชนดิ และหน้าทขี่ องคาในภาษาอังกฤษ เช่น คาทีไ่ ทยใช้ คาภาษาอังกฤษ ซอรี่ (ก.) sorry (ค.) ช็อปปิ้ง (ก.) shopping(น.) ไดร์ (ก.) dry (ก.) ไดเอ็ต (ก.) diet (น.) 3. มกี ำรปรบั เสยี งใหเ้ ข้ำกับระบบเสียงภำษำไทย คาภาษาอังกฤษท่ียืมเข้ามาใช้ในภาษาไทย มักมีการปรับเสียงให้เข้ากับระบบเสียงของภาษาไทย ดังนี้ 3.1 การปรบั เสียงพยญั ชนะต้น คาภาษาองั กฤษที่ใช้ในเสียงพยัญชนะต้นท่ีไมม่ ีในระบบเสียงภาษาไทย จะปรับมาใชเ้ สียง พยัญชนะต้นที่มสี ทั ลักษณะใกลเ้ คียงกันแทน พยัญชนะตน้ / g / / k / เช่น คาทีไ่ ทยใช้ คาองั กฤษ กอลฟ์ golf เกม game
88 พยญั ชนะต้น / z / / s / เช่น คาท่ีไทยใช้ คาอังกฤษ เบนซนิ benzene โซน zone พยัญชนะตน้ / v / / w / เชน่ คาท่ไี ทยใช้ คาอังกฤษ วิว view ไวโอลิน violin 3.2ปรบั เสยี งพยัญชนะท้าย การรับคายืมภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทย บางคร้ังมีการปรับเสียงพยัญชนะให้เข้ากับ เสยี งตัวสะกดแม่กบ กน และกด ของไทย เชน่ golf ออกเสยี งเป็น /กอ๊ บ/ football ออกเสยี งเป็น /ฟดุ บ็อน/ tennis ออกเสียงเป็น /เทนนดิ / gas ออกเสยี งเป็น /แก๊ด/ 3.3 ตัดเสียงพยญั ชนะตาแหน่งท่ี 1 ของเสยี งพยัญชนะท้ายประสมออก พยางค์ในภาษาไทยไม่มีการออกเสียงพยัญชนะประสมในตาแหน่งท้ายพยางค์ แต่พยางค์ใน ภาษาอังกฤษมีลักษณะดังกล่าวอยู่ด้วย เช่น film golf card pearl เม่ือภาษาไทยยืมคาภาษาอังกฤษ มาใช้ ได้ปรับเสียงพยัญชนะท้ายประสมของภาษาอังกฤษให้เข้ากับระบบเสียงภาษาไทย โดยการตัดเสียง พยัญชนะตาแหน่งท่ี 1 ของเสียงพยัญชนะท้ายประสมออก ด้านรูปเขียนนั้นใช้เครื่องหมาย ทัณฑฆาตบน พยัญชนะท่ีไม่ออกเสียงดังกล่าว คายืมภาษาอังกฤษบางคาจึงมีเคร่ืองหมายทัณฑฆาตอยู่ตรงกลาง ซึ่ง แตกตา่ งกับคายมื ภาษาอืน่ เชน่ คาทไี่ ทยใช้ คาองั กฤษ การ์ด card คอร์ส course ฟาร์ม farm ฟอร์ม form การ์ด guard ฮอร์น horn ชอล์ก chalk ฟลิ ม์ film กอล์ฟ golf ปาล์ม palm
89 สรุป การปรับเปล่ียนเสียงคายืมภาษาอังกฤษให้ออกเสียงได้สะดวกตามระบบเสียงภาษาไทย ดังกล่าวข้างตน้ ยังรักษาความใกล้เคยี งของเสียงและคาภาษาอังกฤษไว้ได้ไมแ่ ตกต่างไปมากนัก เพราะเม่ือ อา่ นหรือเหน็ คาศพั ทก์ ็ยังเขา้ ใจตรงกนั ว่าคาเดมิ ของภาษาอังกฤษน้นั เปน็ คาใด 3.4 คาภาษาอังกฤษจานวนมากเมื่อยืมมาใช้ในภาษาไทยในกรณีท่ีไม่เป็นทางการ มักตัด พยางคใ์ หม้ ีพยางค์นอ้ ยลง เช่น คาภาษาองั กฤษ คาทีไ่ ทยใช้ air-conditioner แอร์ air hostess แอร์ badminton แบด battery แบ็ต computer คอมพ์ football บอล hair dryer ไดร ได kilogram กโิ ล kilometer กิโล microphone ไมค์ number เบอร์ xerox ซี 4. กำรใช้เสียงพยัญชนะที่ไม่มีในระบบเสียงภำษำไทย 4.1 การเพมิ่ เสียงพยัญชนะควบ เสียงพยัญชนะควบกล้าในภาษาไทยมีอยู่ 11 คู่ ได้แก่ /pr- phr- pl- phl- tr- kr- khr- kl- khl- kw- khw-/ ซ่ึงใช้เป็นพยัญชนะต้นได้ทั้งหมด เช่น ประ แปลก พลุ ตรา กรอบ ขรุขระ คร้าน กลม คลุม โขลง กวาด ขว้าง คว้าง เป็นต้น เม่ือไทยยืมคาภาษาอังกฤษมาใช้อาจมีคาบางคาที่ พยญั ชนะต้นเป็นพยญั ชนะควบกลา้ ซึ่งไม่มอี ย่ใู นระบบเสยี งภาษาไทย ทาใหภ้ าษาไทยมีเสยี งพยญั ชนะเพ่ิม มากข้ึน เชน่ /bl- br- dr- fl- fr- thr- tr-/ เปน็ ต้น ดังตัวอยา่ ง คาทไี่ ทยใช้ คาอังกฤษ บลอ๊ ก block บลู blue เบรก brake บร็อกโคลี broccoli บรอนซ์ bronze ดรัมเมเยอร์ drum major ดร็อป drop
90 แฟลต flat ฟลุก fluke ฟรี free เฟรม frame อิเล็กทรอนกิ ส์ electronics เทรน train สตรอวเ์ บอร์รี strawberry 4.2 เพิม่ เสยี งพยญั ชนะทา้ ย เสียงพยัญชนะท้ายในภาษาไทยมี 9 เสียง ได้แก่ /-k -t -p -ŋ… -n -m -j -w -?/ และมีรูปตัวสะกด 8 แม่ ได้แก่ กก กด กบ กง กน กม เกย เกอว เมื่อไทยยืมคาภาษาอังกฤษมาใช้ อาจ มีบางคาท่ีมีเสียงพยัญชนะท้ายท่ีตรงกัน แต่ก็มีบางหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายท่ีไม่มีในระบบเสียง ภาษาไทย เช่น /-f -l -s/ เป็นต้น คาท่ีมีพยัญชนะท้ายดังกล่าวน้ีคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันสามารถ ออกเสียงได้ใกล้เคียงกับเสียงในภาษาอังกฤษ ลักษณะการออกเสียงตัวสะกดแบบภาษาอังกฤษเช่นนี้ทา ใหม้ เี สียงพยญั ชนะท้ายดังกล่าวเพมิ่ ขน้ึ ในภาษาไทย เชน่ คาที่ไทยใช้ คาองั กฤษ กอลฟ์ golf ปรฟู๊ proof สตา๊ ฟ staff แอ๊ปเปล้ิ apple บอล ball แคปซลู capsule ดบั เบล้ิ double อ-ี เมล e-mail โบนัส bonus เดร๊ส dress โฟกสั focus แกส๊ gas ออ๊ ฟฟศิ office เทนนสิ tennis สรุป การยืมคาภาษาอังกฤษในภาษาไทยมีการเปล่ียนแปลงด้านเสียง เน่ืองจากระบบเสียงใน ภาษาอังกฤษแตกต่างจากระบบเสียงในภาษาไทย เมื่อไทยยืมคาภาษาอังกฤษเข้ามาบางคร้ังมีการ เปลี่ยนแปลงบางเสียงใหส้ ะดวกแก่การใช้ ลกั ษณะการยืมท่ีทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงด้านเสยี งน้ีมีอิทธิพล ตอ่ ภาษาไทยทงั้ ดา้ นการเพ่มิ พยัญชนะต้นควบ มตี วั สะกดไม่ตรงตามมาตรา
91 วงศัพท์คำยมื ภำษำองั กฤษในภำษำไทย สาเหตุที่ภาษาอังกฤษเข้ามาปนในภาษาไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นเหตุผลทางการค้าขาย การศึกษา และความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ ทาให้เกิดคายืมเหล่าน้ีมากมายในภาษาไทย และมีจานวน มากขึ้นเร่ือย ๆ ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะคนไทยบางส่วนมีค่านิยมว่าการรู้จักภาษาอังกฤษมาก ๆ และนามาใช้ โดยไม่พยายามหาคาไทยมาใช้แทนน้ันเป็นการแสดงภูมิรู้ของผู้ใช้ภาษา ว่าเป็นผู้มีการศึกษาหรืออยู่ในวง สังคมชั้นสูง ปัจจุบันพบว่าวงศัพท์คายืมภาษาอังกฤษกระจายอยู่ทั่วไปในภาษาไทย ดังที่ วิไลศักดิ์ กิ่งคา (2556 : 123-156) ไดใ้ ห้ตวั อย่างคายืมภาษาอังกฤษในวงศัพท์ต่าง ๆ ไว้ดงั น้ี คำศัพทใ์ นวงกำรเมอื ง คอมมวิ นสิ ต์ (communist) ฟาสซสิ ต์ (fascism/fascist) คอรร์ ัปชัน (corruption) คำศัพทใ์ นวงกำรชำ่ ง คลตั ซ์ (clutch) คอนกรตี (concrete) โซลา (sola) ไดนาโม (dynamo) ตอรป์ โิ ด (torpedo) แทรกเตอร์ (tractor) นอต (knot) ปั๊ม (pump) แป๊บ (pipe) มอเตอร์ (motor) สกรู (screw) สปรงิ (spring) ปาร์เกต์ (parquet) สต๊าร์ตเตอร์ (starter) คำศัพท์ในวงกำรกฬี ำ กอล์ฟ (golf) เกม (game) เทนนิส (tennis) เนตบอล (netball) โปโล (polo) ฟตุ บอล (football)
92 มาราธอน (marathon) ยมิ นาสติก (gymnastics) รกั บ้ี (rugby/rugby football) วอลเลยบ์ อล (volley ball) สก๊อตจัม๊ พ์ (scotch jump) สกอร์ (score) สกอร์บอรด์ (score board) เสิรฟ์ (serve) คำศัพทใ์ นวงกำรแพทย์ (ผ้า) กอซ (gauze) เกาต์ (gout) คลินกิ (clinic) โคมา่ (coma) ซลั ฟา (sulpha) ซฟิ ลิ สิ (syphilis) เซรมุ่ (serum) ทอนซิล (tonsil) ทิงเจอร์ (tincture) ปรสิต (parasite) วัคซีน (vaccine) ไวรสั (virus) คำศพั ท์ในวงกำรวทิ ยำศำสตร์ กาแลก็ ซี (galaxy) แกมมา (gamma) โซเดียมคาร์บอเนต (sodium carbonate) ไนโตรเจน (nitrogen) ออกซิเจน (oxigen) ออกไซด์ (oxide) ฮีโมโกลบิล (hemoglobin) ไฮโดรคาร์บอน (hydrocarbon) คลอรนี (chlorine) โคบอลต์ (cobalt)
93 คำศพั ท์ในวงกำรศกึ ษำ คอนแวนต์ (convent) แคลคูลัส (calculus) ชอล์ก (chalk) เทอม (term) ฟงั ก์ชัน (function) ลอการอทมึ (logarithm) คำศพั ท์ในวงกำรเศรษฐกจิ เครดติ (credit) เคานเ์ ตอร์ (counter) แค็ตตาลอ็ ก (catalog) เช็ค (cheque) แชร์ (share) สต็อค (stock) คำศพั ทใ์ นมำตรำชั่ง ตวง วดั เซนตกิ รมั (centigramme) เซนตเิ มตร (centimatre) ตนั (ton) มิลลิเมตร (millimetre) เดซเิ มตร (decimetre) เมตร (metre) เมตรกิ (metric) ฟุต (foot) ไมล์ (mile) ลิตร (litre) คำศพั ท์เกี่ยวกบั อำหำร เครอื่ งด่มื ผกั ผลไม้ กาแฟ (coffee) เค้ก (cake) คกุ กี้ (cookie) ครีม (cream) ช็อกโกแลต (chocolate) ชี้ส (cheese) แซนดว์ ชิ (sandwich)
94 โดนตั (doughnut) ทนู ่า (tuna) พุดดงิ้ (pudding) ไอศกรีม (ice cream) แอ๊ปเป้ลิ (apple) โซดา (soda) ดริง๊ ก์ (drink) เบียร์ (beer) ไวน์ (wine) สตรอว์เบอรร์ ี (strawberry) บรอ็ กโคลี (broccoli) คำศัพทเ์ ก่ยี วกับเครื่องดนตรี กีตาร์ (guitar) แซก็ โซโฟน (saxophone) ฟลตุ (flute) เปียโน (piano) ไวโอลิน (violin) คำศัพทเ์ ก่ยี วกบั เครอ่ื งใชต้ ่ำง ๆ คลิป (clip) คตั เตอร์ (cutter) ชอลก์ (chalk) โซฟา (หนดฟ) เน็กไท (necktie) เชติ้ (shirt) ล็อกเกต (locket) ไมโครโฟน (microphone) คอมพวิ เตอร์ (computer) โน้ตบกุ๊ (notebook) วิดโี อ (video) คำศัพท์เก่ยี วกับกริ ยิ ำอำกำรต่ำง ๆ คอนโทรล (control) เคลยี ร์ (clear) แคนเซลิ (cancel)
95 ชอ็ ป (shop) ช้ารจ์ (charge) ซเี รียส (serious) เซ็น (sign) เซอรเ์ วย์ (survey) เทก้ แคร์ (take care) ปั๊ม (pump) แฟร์ (fair) เว้อร์ก (work) สตารต์ (start) ศพั ท์บัญญัติ การยืมคาภาษาอังกฤษที่อธิบายข้างต้น เป็นลักษณะการปรับเปล่ียนเสียงจากคาภาษาอังกฤษมา ใช้ในภาษาไทยเพียงเล็กน้อย หรือใช้วิธีการทับศัพท์ซ่ึงเป็นการยืมที่ใกล้เคียงกับคาเดิม มีคาอีกส่วนหน่ึง ทไ่ี ทยคิดคาศัพท์ขึน้ ใช้แทนศัพท์ภาษาอังกฤษ คาเหล่านี้หลายคาผูกขน้ึ หรือประกอบขึ้นจากคาศัพท์ภาษา บาลี สันสกฤตและได้ผ่านการพิจารณาจากคณะผู้เชี่ยวชาญทางภาษาแล้ว และมีการประกาศใช้ ถ้าศัพท์ ใดผใู้ ช้ยอมรับกจ็ ะมกี ารใชต้ อ่ กันเรือ่ ยมา ศัพทท์ ี่คิดขึ้นในลักษณะน้ี เรยี กวา่ ศพั ทบ์ ญั ญตั ิ สถาบันท่ีทาหน้าที่บัญญัติศัพท์ภาษาไทยอย่างเป็นทางการในปัจจุบันคือ สานักงานราชบัณฑิตย สภา ซ่ึงเป็นส่วนราชการระดับกรม ไม่สังกดั หน่วยงานใด ๆ ของรัฐ แต่ข้ึนตรงต่อนายกรฐั มนตรี นอกจาก สานักงานราชบัณฑิตยสภาจะเป็นหน่วยงานท่ีบัญญัติศัพท์แล้ว ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งท่ีเป็นหน่วยงาน ราชการและหน่วยงานเอกชน ท่ีได้บัญญัติศัพท์วิชาการภาษาไทยข้ึนมาใช้เป็นการภายใน หรือเพื่อพิมพ์ จาหน่ายออกเป็นวงกว้าง ท้ังนี้เพ่ือให้หน่วยงานท่ีมีความรู้ ความเชี่ยวชาญเก่ียวกับศาสตร์นั้น ๆ โดยตรง เป็นผู้ช่วยสร้างศัพท์บัญญัตินั่นเอง หน่วยงานดังกล่าว เช่น สานักงานส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี สมาคมสง่ เสรมิ เทคโนโลยี สมาคมจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย และสมาคมสิ่งแวดลอ้ มแห่ง ประเทศไทย เปน็ ตน้ หลักเกณฑ์บัญญัติศัพท์ของสำนักงำนรำชบัณฑิตยสภำ (มงคล เดชนครินทร์, 2558 :13-15) ซึ่งคณะกรรมการบัญญัติศัพท์ของสานักงานราชบัณฑิตยสภาทุกคณะใช้หลักเกณฑ์การบัญญัติศัพท์ หลกั เกณฑ์เดียวกัน สามารถสรปุ ได้ ดงั น้ี 1. เรมิ่ ตน้ ด้วยการพยายามหาคำไทยแท้มาใช้เป็นศพั ทบ์ ญั ญัติ 2. ถ้าหาคาไทยแท้ไม่ได้ ให้พยายามใช้คำจำกภำษำบำลี สันสกฤต โดยเฉพาะคาที่มีใช้อยู่ก่อน แลว้ ในภาษาไทยมาสร้างเปน็ คาศัพท์บัญญัติ 3. หากทาตามข้ันตอนท่ี 2 นี้ไม่ได้ ก็ใช้วิธี ทับศัพท์ เป็นข้ันตอนสุดท้าย โดยอาศัยหลักเกณฑก์ าร ทบั ศพั ท์ท่สี านักงานราชบณั ฑติ ยสภาไดก้ าหนดไว้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148