Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาปันจักสีลัต

คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาปันจักสีลัต

Description: คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาปันจักสีลัต.

Search

Read the Text Version

¤ÙÁ‹ ×ͼŒ½Ù ƒ¡Ê͹¡ÕÌÒ ËÒŒ Á«Íé× -¢Ò www.satc.or.th

คูม่ ือผู้ฝึกสอนกีฬาปันจกั สลี ัต คู่มอื ผู้ฝึกสอนกฬี าปนั จักสีลัต หา้ มซือ้ -ขาย จัดท�ำ โดย กองวิชาการกฬี า การกฬี าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2559 1

ค่มู อื ผู้ฝกึ สอนกฬี าปนั จักสลี ตั 2

คู่มือผ้ฝู กึ สอนกีฬาปันจกั สลี ตั คค�ำ �ำนนำ�ำ� การกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรหลักในการพัฒนากีฬาไปสู่ความเป็นเลิศและ ในระดับอาชีพ ใหป้ ระเทศเปน็ หนงึ่ ในกลมุ่ ผู้น�าทางการกีฬาของเอเชีย ดงั น้ัน การส่งเสรมิ บุคลากรให้ เกิดความสนใจในการเล่นกีฬาแล้ว ยังต้องส่งเสริมบุคลากรไปสู่ความเป็นเลิศและระดับอาชีพได้ ตอ่ ไป ดังน้ัน การกีฬาแห่งปปรระะเเททศศไไททยยจ ึงไไดด้ด้ด�า�ำเเนนินินกกาารรจจัดัดทท�า�ำคคู่มู่มือือฝฝึกสอนกีฬาปันจักสีลัต เพื่อให้เป็นหลักในการฝึกกีฬาชนิดน้ี อันถือได้ว่ามีรากฐานที่สืบเน่ืองมายาวนานในประเทศไทย ใหส้ คู่ วามเปน็ เลิศ จนสามารถสร้างชื่อเสยี งใหก้ ับประเทศชาตไิ ด้สบื ไป หวังเป็นออยย่าา่ งงยยิ่งงิ่ วว่าา่ คคู่มมู่ ืออื ฝผึกฝู้ ผกึ ู้ฝสึกอสนอกนฬี กาีฬปานัปจันกัจสักสลี ีลตั ัตจจะะเปเปน็ ็นปปรระะโโยยชชนนต์ ์ตอ่ ่อผผสู้ ้สนใจ ผผฝู้ ู้ฝกึ ึกสอน นักกีฬา ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี และขอขอบคุณนางสาวยูวารีเยาะ อับดุลดานิง ผู้เรียบเรียงต้นฉบับ ตลอดจนผ้มู ีส่วนสนบั สนนุ ให้คู่มือผูฝ้ ึกสอนกฬี าปนั จักสีลัตสา� เรจ็ ไว้ในโอกาสน้ี การกฬี าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 25594 3

ค่มู อื ผฝู้ กึ สอนกีฬาปันจกั สีลัต คำ� นคำ� �ำ นำ� ปันจักสีลัต เป็นกีฬาศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวท่ีผสมผสานกลิ่นไอแห่งวัฒนธรรมและประเพณี ดั้งเดิมของประเทศในแถบภูมิภาคแหลมมลายู ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร ์ และทางตอนใต้ของประเทศไทย ปันจักสีลัตในประเทศไทยยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก ทั้งหนังสือ ท่เี ก่ยี วกับปนั จักสลี ัตกย็ ังมนี ้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของผูท้ ีส่ นใจ หนังสือ “ปันจักสีลัต (ต่อสู้)” เล่มน้ี เป็นหนังสือซึ่งได้แปลจากต้นฉบับหนังสือช่ือ “Teknik Dasar Pencak silaT TanDing” ผู้แต่ง คือ KoToT slameT HariyaDi ชาวอินโดนีเซียอดีตผู้ฝึกสอน ปันจักสีลัตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นบุคคลผู้เชี่ยวชาญในด้านกีฬาปันจักสีลัต จึงเป็นหนังสือที่ให้ ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคพ้ืนฐาน เหมาะส�าหรับผู้ท่ีสนใจ จนสามารถน�าไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ทุกกระบวนทา่ เนื่องจากมภี าพประกอบอย่างสมบรู ณ ์ และจะสามารถส่งเสริมใหเ้ ยาวชนหันมาสนใจ กีฬากนั มากขึน้ ด้วย ผู้แปลขอขอบคุณ อาจารย์ oong Maryono ผู้ให้ค�าแนะน�าเก่ียวกับการแปลหนังสือเล่มนี้ ต้ังแต่เร่ิมต้นจวบจนแปลส�าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอขอบคุณ พล.ต.อรรควุฒิ โพธิแพทย์ และ คณะผู้บริหารสมาคมปันจักสีลัตแห่งประเทศไทย ซ่ึงสนับสนุนเผยแพร่ กีฬาปันจักสีลัตจนเป็น ที่รจู้ กั กันโดยท่ัวไปในปจั จบุ นั ดิฉันหวังว่า หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือท่ีให้ประโยชน์ แก่ผู้ที่สนใจท่ัวไป ได้เข้าใจกีฬา ปันจกั สีลตั และสามารถเล่นกีฬาปนั จกั สีลัตไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง จนสามารถพัฒนาการเลน่ ไปจนถึงระดับ มืออาชีพตอ่ ไปได้ ยวู ารเี ยาะ อบั ดุลดานงิ กรกฎาคม 2553 4

ค่มู ือผู้ฝึกสอนกฬี าปนั จักสีลัต คำ�คน�ำยิ นยิมม ผมต้องขอขอบคุณ “ยูวารีเยาะ อับดุลดานิง” (คุณลูกสาวที่ผมมักเรียกชื่อเล่นๆ เธอว่า “กะยา”) เด็กสาวรุ่นใหม่ผู้มีน้�าใจและเป็นผู้รักกีฬาปันจักสีลัตโดย “ธรรมชาติ” คือทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เวลา ความรู้ และเสียสละยอมละอาชีพคุณครูมาให้กับกีฬาปันจักสีลัต โดยมิได้หวัง ผลประโยชน์ใดๆ สมาคมเรา (และรวมถึงสังคมกีฬาเมืองไทยในภาพรวม) ต้องการบุคคลากรเช่นน้ี ครับ คือ มีทั้งความ “รู้” ความ “รัก” และเธอก็มีความเอ้ืออารี “สามัคคี” กับคนรอบข้างเธอด้วย ผมจึงต้องขอบคณุ เธอโดยธรรมชาตเิ ชน่ กนั ท่านท้ังหลายครับ ความรู้ดังแจ้งอยู่ในต�าราก็จริง แต่ในด้านการกีฬา หากไม่น�าเทคนิค ทกั ษะ และ ฯลฯ จากในตา� รามาฝึกฝน มาซอ้ ม มาปฏบิ ัติ มาประยกุ ต์หรอื พฒั นาให้เหมาะสมกบั ตน จนท�าได้เป็นอัตโนมัติแล้ว ส่ิงท่ีผู้เขียนต�าราเล่มต้นต�าหรับ (ขออนุญาตกล่าวนาม R.KoToT slameT HariyaDi) และผู้แปลเป็นต�าราไทย (กะยา/ยูวารีเยาะ) ก็คงจะเสียเวลาเปล่า เพราะยังประโยชน์แค่ เป็นตัวอักษรที่อยู่ในรูปเล่มบนห้ิงเท่าน้ัน..เรามาเริ่มสร้างเยาวชนของเราให้รักการกีฬากันดีกว่าครับ ขอแนะน�ากีฬาปันจักสีลัตให้เป็นกีฬาประเภทหน่ึงที่อยากให้ลูกหลานของเราหันมาเหลียวด ู รวมท้ัง ผฝู้ ึกสอนด้วย เพราะเป็นกีฬาท่สี รา้ งความแข็งแรง ความอดกล้นั ไหวพรบิ และท่สี า� คญั คือเปน็ กฬี า ทส่ี ร้าง “คุณธรรม” ให้กบั ผู้เลน่ ผู้ฝกึ สอน และผ้ตู ดั สินครับ พลตร ี อรรถวฒุ ิ โพธแิ พทย์ 5

คมู่ ือผฝู้ กึ สอนกีฬาปนั จกั สลี ตั คคำ� น�ำ นยิ มยิ ม ในการแข่งขันกีฬา เป้าหมายสูงสุด คือ ชัยชนะ นักกีฬาจึงจ�าเป็นต้องมีการฝึกฝนทักษะ ยุทธวิธีการเล่น การน�าวิทยาศาสตร์การกีฬาและเทคโนโลยีในด้านต่างๆ มาใช้ในการพัฒนา ความสามารถทางกีฬา นักกีฬาที่มีทักษะการเล่นท่ีดีและถูกต้องจะเป็นปัจจัยส�าคัญท่ีส่งผลต่อ การประสบความสา� เรจ็ ในการแขง่ ขนั คู่มือปันจักสีลัตฉบับน้ี จะช่วยเป็นแนวทางให้ผู้ท่ีสนใจมีความรู้และพัฒนาทักษะการเล่น ได้อย่างถูกต้องเพ่ิมข้ึน น�าไปใช้ในการออกก�าลังกายเพื่อสุขภาพ หรือฝึกเพ่ือความเป็นเลิศ ก่อใหเ้ กดิ ชือ่ เสียงแก่วงศต์ ระกูลและประเทศชาตติ อ่ ไป ผม หน่ึงในคณะกรรมการบริหารสมาคมปันจักสีลัต ขอขอบคุณ ยูวารีเยาะ อับดุลดานิง ผู้จัดท�าเอกสารฉบับน้ี อันเป็นประโยชน์อย่างย่ิงส�าหรับวงการกีฬาปันจักสีลัต ผมคาดหวังว่าคู่มือ ฉบับนี้จะสร้างเสริมและพัฒนานักกีฬาปันจักสีลัต ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และยังท�าให้กีฬา ปันจักสลี ตั เป็นทร่ี จู้ กั และนิยมเลน่ กันอย่างแพร่หลายตอ่ ไป นายนกั รบ ทองแดง กรรมการบริหารสมาคมปนั จักสีลตั แห่งประเทศไทย 6

คู่มอื ผฝู้ ึกสอนกีฬาปันจกั สีลัต คคำ� ำ�นนยิ ยิ มม ปันจักสีลัต เป็นศิลปะการต่อสู้อีกแขนงหน่ึงท่ีมีการแข่งขันในระดับชาติและนานาชาต ิ ทั้งในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ กีฬามหาวิทยาลัยอาเซียน กีฬาแห่งชาติ ชิงแชมป์ประเทศไทย ท่ีจัดขึ้นเป็นประจ�าทุกปี นอกจากน้ันปันจักสีลัตบรรจุอยู่ในหลักสูตรของสถาบันการพลศึกษาด้วย ทุกวันน้ีปันจักสีลัตเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในวงกว้างมากข้ึน แต่ในทางกลับกันหนังสือ และต�ารา เกี่ยวกับปนั จักสีลตั มีนอ้ ยมากหรอื ค่อนข้างจา� กดั จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างย่ิง ท่ีอาจารย์ยูวารีเยาะ ได้แปลและเรียบเรียงหนังสือ “ปนั จกั สีลตั (PencaKsilaT)” ถือไดว้ ่าเปน็ งานทท่ี า� ได้ยาก เพราะตอ้ งใชเ้ วลาศกึ ษา ค้นควา้ และอาศัย ข้อมูลตา่ ง ๆ มากมาย ถอื เป็นคุณประโยชนอ์ ย่างยิง่ ตอ่ วงการกีฬา นายวันใหม่ ประพันธบ์ ณั ฑิต อดตี ผู้ฝึกสอนกีฬาปันจกั สลี ัตทีมชาตไิ ทย 7

ค่มู ือผูฝ้ ึกสอนกฬี าปนั จกั สีลตั คค�ำ ำ�นนยิ ยิ มม ปันจกั สีลตั เปน็ กีฬาต่อสปู้ ้องกันตัวของชาวมลาย ู หรอื ท่ีร้จู กั กนั ว่า “ดกี า” ในเขต 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ปัจจุบันได้มีการแข่งขันในระดับชิงแชมป์แห่งประเทศไทย ซ่ึงแบ่งเป็นรุ่นยุวชนไมเ่ กนิ 14 ปี เยาวชนไมเ่ กนิ 18 ป ี และรนุ่ ประชาชน ทง้ั ประเภทตอ่ สู้และร่ายร�า เน่ืองจาก หนังสือเกี่ยวกับกีฬาปันจักสีลัต มีน้อยในปัจจุบัน กระผมจึงขอชื่มชม น.ส. ยวู ารเี ยาะ อับดลุ ดานิง อดีตนกั กีฬาปันจกั สลี ัตทมี ชาตไิ ทยประเภทร่ายร�า ที่มีความตั้งใจศึกษา ค้นหาความรู้เกี่ยวกับกีฬาปันจักสีลัตทั้งในและต่างประเทศ จนได้แปลหนังสือ “ปันจักสีลัต (ต่อสู้)” เลม่ นี้ไดเ้ ปน็ ผลส�าเร็จ ท�าให้เกิดประโยชน ์ แกว่ งการกีฬาปนั จกั สลี ัต ที่สามารถน�าความร้จู ากในต�ารา เลม่ นไ้ี ปพัฒนาฝีมือตนเองใหด้ ยี ่งิ ขนึ้ ได้ อบั ดุลเลาะ มะหลี อดตี นกั กฬี าปันจกั สลี ัตทมี ชาติไทย 8

คู่มือผู้ฝึกสอนกฬี าปันจักสลี ตั สส�ารรบบญัญ 1 1 บทท่ี 1 บทนา� 7 ประวตั กิ ฬี าปันจกั สลี ัต 12 13 บทที่ 2 ระเบียบการปฎฏบิ ัตกิ ่อนการซ้อมกฬี าปันจกั สลี ตั 19 บทที่ 3 เทคนิคพื้นฐานกฬี าปันจกั สลี ัต 25 29 3.1 เทคนคิ การนัง่ ม้ากดู า กดู า (Kuda-kuda) 29 3.2 เทคนิคการรา� ซกี บั ปาซัง (Sikap Pasang) 43 3.3 เทคนคิ การก้าวเทา้ ลงั กะห์ (Langkah) 47 3.4 เทคนคิ การหลบ เบลาอนั (Belaan) 50 50 3.4.1 เทคนิคการหลบ ตังเกสสนั (Tangkisan) 61 3.4.2 เทคนคิ การหลบ ฮินดารนั (Hindaran) 64 ทบทวนเทคนคิ การหลบเพ่ือปอ้ งกนั ตวั 73 3.5 เทคนคิ การออกอาวธุ ซอื รงั งนั (Serangan) 77 3.5.1 การตอ่ ย ปโู กลลัน (Pukulan) 78 3.5.2 การศอก ซกี วู ัน (Sikuan) 80 3.5.3 เทคนิคการเตะ ตึงดงั งัน (Tendangan) 82 3.5.4 เทคนิคการเข่า ดึงกูลลนั (Dengkulan) 84 3.6 เทคนคิ ลม้ รดี ามัน (Redaman) 3.6.1 เทคนคิ ล้มหน้า จาโตฮ ดือปัน (Jatuh Depan) 3.6.2 เทคนคิ ล้มหลงั จาโตฮ บือลากงั (Jatuh Belakang) 3.6.3 เทคนิคล้มข้าง จาโตฮ ซา� เป็ง (Jatuh Samping) 3.6.4 เทคนคิ ล้มม้วนหน้า จาโตฮ ปโู งง (Jatuh Punggung) 9

คมู่ อื ผู้ฝกึ สอนกีฬาปนั จกั สลี ตั 3.7 เทคนคิ ท�าล้ม จาโตฮฮัน (Jatuhan) 86 3.7.1 เทคนิคการกวาด ซาปฮู วัน (Sapuan) 86 3.7.2 เทคนิคการหนบี ล้ม กนุ ตงิ งนั (Guntingan) 94 96 ทบทวนกระบวนท่าเทคนิคการท�าลม้ 99 3.8 เทคนคิ การจับขา ตงั กปั ปนั (Tangkapan) 100 3.8.1 เทคนคิ การจับขาเข้าใน ตังกัปปนั ดาลัม (Tangkapan Dalam) 101 3.8.2 เทคนิคการจับขาออกนอก ตังกัปปนั ลวู รั (Tangkapan Luar) 102 3.9 เทคนิค การทา� ลม้ บันเตง็ งนั (Bantingan) 3.10 เทคนคิ ถ่วงดุลการทา� ลม้ ปรื ตาฮนั นนั ตืรฮาดับ บันเต็งงัน 115 (Pertahanan Terhadap Bantingan) 122 125 นิยามค�าศพั ท์กีฬาปันจักสลี ตั 126 อา้ งอิง ประวัตผิ ู้แปล 10

คู่มือผู้ฝึกกสอานรกกฬี ีฬาปาันแจหกั ส่งลี ปัต ระเทศไทย บทนำ� 1 ประวัติควำมเป็นมำของกีฬำปนั จักสลี ัต ปันจักสีลัต (PENCAK SILAT) เป็นศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวท่ีใช้มือเปล่า รวมทั้งอาวุธประกอบ การเลน่ เช่น กระบอง มดี โซ ่ เคยี วเก่ียวข้าว เป็นตน้ นอกจากนน้ั ปนั จกั สีลัตเปน็ กฬี าทมี่ ีการแข่งขนั อย่างเปน็ ทางการ ปันจกั สลี ตั ประเภทต่อสู้ใชเ้ ทคนคิ การตอ่ ย การเตะ การทา� ล้ม สา� หรับการแข่งขันปนั จักสลี ตั ประเภท รา่ ยรา� มที ้ังรา่ ยร�าเดย่ี ว (ประกอบด้วยมอื เปล่า มดี กระบอง) ร่ายรา� คู ่ 2 คน และรา่ ยร�าทมี 3 คน ใช้ค�าสัง่ ใน กระบวนทา่ เทคนิค ตลอดจนค�าสง่ั ในการแข่งขันเปน็ ภาษามลายู กีฬาปันจักสีลัต มีหลักฐานยืนยันกันว่ามีแหล่งก�าเนิดท่ีประเทศอินโดนีเซีย และได้รับความนิยมกัน อย่างแพรห่ ลาย ในเขตภูมิภาคเอเซยี อาคเนย์ ไดแ้ ก ่ มาเลเซยี บรูไน สงิ คโปร ์ ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และเวียดนาม รวมทั้ง ภาคใตข้ องประเทศไทย และปจั จบุ ันปันจักสีลัตได้แพรห่ ลายและมกี ารแขง่ ขนั ทัว่ ยโุ รปแลว้ แตเ่ ดมิ นั้น ปันจกั สลี ตั มกี ารฝกึ ฝนกนั ไวเ้ พ่อื ป้องกันตัว ฝึกให้เหล่าทหารใชป้ อ้ งกนั ประเทศ และเพ่ือ ต่อสู้กับสัตว์ร้าย ท่ีน่าประหลาดใจคือ เทคนิคและกระบวนท่าของปันจักสีลัต เป็นการเลียนแบบจากสัตว์ นานาชนิด เช่น กระบวนท่าสีลัตเสือ ช้าง นกกระเรียน หรือท่าเดินย่องแมว เป็นต้น อย่างไรก็ตามการฝึก ปันจักสีลัตจะต้องมีสมรรถภาพทางกายและจิตใจ ซ่ึงประกอบด้วยความแข็งแรง (Strength) พลังกล้ามเนื้อ (Power) ความอดทน (Endurance) ความอ่อนตัวหรือความยืดหยุ่นของกล้ามเน้ือ (Flexibility) ความเร็ว (Speed) ความว่องไว (Agility) และต้องมีสมาธิในการฝึกซ้อม ปัจจุบันปันจักสีลัตเป็นที่รู้จักในนามกีฬา ศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวและได้รับอนุมัติให้มีการแข่งขันอย่างเป็นทางการ ภายใต้การดูแลของสมาพันธ ์ ปนั จักสีลตั นานาชาต ิ ซงึ่ ท�าหนา้ ท่ใี นการเผยแพร ่ สนับสนนุ รวมทง้ั วางกฎฏ กตกิ า การแขง่ ขนั ในปจั จุบนั การแขง่ ขนั ท่ียง่ิ ใหญ่ดูจะเป็นการแข่งขนั ปันจกั สลี ัต ชิงแชมปโ์ ลกทจี่ ะมีการแข่งขันตลอด 2 ปี 1 ครั้ง แตล่ ะปมี สี มาชกิ รว่ มเขา้ แขง่ ขนั เพม่ิ ขน้ึ ทกุ ป ี ลา่ สดุ ม ีมากกว่า 40 ประเทศทวั่ โลก เปน็ การแขง่ ขนั ทแี่ ตล่ ะประเทศ สมาชิก รอคอยเพื่อการช่วงชิงและครอบครองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ และในทวีปยุโรปมีการจัดการแข่งขัน กันอย่างต่อเนื่อง ทั้งปันจักสีลัตชิงแชมป์แห่งอังกฤษ ชิงแชมป์แห่งฝร่ังเศส และปันจักสีลัตชิงแชมป์แห่ง ยุโรปด้วย ในภูมิภาคเอเชีย กีฬาปันจักสีลัต แข่งขันอย่างเป็นทางการในระดับซีเกมส์ (Sea Games) เอเชี่ยน อินดอร์เกมส์ บาหลีบีช ปันจักสีลัตชิงแชมป์แห่งเอเซียแปซิฟิก ซ่ึงปัจุบันเป็นกีฬาที่นิยมกันมากข้ึน นอกจากนี้ทางสมาพันธ์ปันจักสีลัตนานาชาติ ได้ผลักดันกีฬาปันจักสีลัต ให้เข้าเป็นหนึ่งในการแข่งขัน เอเช่ียนเกมส์ (Asian Games) จนกระท่ังได้เข้าเป็นกีฬาสาธิตการแข่งขันเอเช่ียนเกมส ์ (Asian Games) ท่ีปูซาน ประเทศเกาหล ี ปี 2002 สว่ นในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรไู น แมก้ ระทงั่ สงิ คโปร์ เรม่ิ แขง่ ขันกนั ตั้งแต่ระดับอนุบาล ระดับมัธยม ระดับเขต ระดับมหาวิทยาลัย ไปจนถึงการแข่งขันต่างชมรม ท้ังนี้แม้ว่า ค่มู อื ผฝู้ กึ สอนกีฬาปันจักสีลัต 1 1

การกีฬาแคหู่ม่งือผปฝู้ รกึ สะเทอนศกไีฬทายปนั จักสลี ัต ปนั จกั สลี ตั จะมผี ู้เช่ยี วชาญในแต่ละชมรมมากมายแตท่ ุกคนก็ยอมรับท่จี ะอยู่ภายใตก้ ฎ ข้อบังคับ หรอื ภายใต้ กตกิ าการแข่งขนั มาตรฐานสากลของสมาพนั ธ ์ ปันจกั สีลัตนานาชาติ IPSI (Ikatan Pencak Silat Indonesia) นอกจากการแขง่ ขนั แลว้ กฬี าปนั จกั สลี ตั เปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ในนาม ศลิ ปวฒั นธรรมประจา� ของแหลมมลายู จึงมีการแสดง การละเล่นในทุกพ้ืนที่ท่ัวภูมิภาค อาทิเช่น การแสดงในงานแต่งงาน งานบุญข้ึนบ้านใหม่ ไปจนถึงการรเเฉฉลลิมิมฉฉลลอองงคครรอองงรราาชชยอ์ ันย่ิงใหญ่ ด้วยเป็นกีฬาท่ีปรากฏในประวัติศาสตร์มายาวนาน ว่าเป็น กีฬาศิลปะป้องกันที่มีการฝึกด้วยการใช้พลังลมปราณ เพ่ือความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถเล่น ได้ท้ังหญิงและชาย เด็กและผู้สูงอายุ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าสนใจผสมผสานไปด้วยความงดงามของ กระบวนทา่ แตแ่ ฝงไปดว้ ยความรนุ แรงและเฉยี บขาดตามแบบฉบบั ของปนั จกั สลี ตั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ผทู้ ส่ี นใจ ..กีฬาประเภทนี้ ต้องไดร้ ับค�าแนะนา� ทดี่ จี ากผู้เชย่ี วชาญ ซึ่งจะต้องฝกึ ฝนดว้ ยความระมดั ระวงั เปน็ อย่างยิ่ง ประโยชน์ของกำรเลน่ กฬี ำปนั จักสีลัต ปันจักสีลัตเป็นกีฬาต่อสู้ป้องกันตัว สามารถใช้ป้องกันตัวจากภัยอันตรายต่างๆ ทั้งจากคน และจากสตั วร์ า้ ย เป็นกีฬาที่ผสมผสานการเคลื่อนไหวต่างๆ มาใช้ร่วมกันท้ังการต่อย การเตะ การทุ่มท�าล้ม .. การจับทา� ให้ลม้ การวิ่ง การหลบหลีก การกระโดด ฯลฯ ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย ให้แข็งแรง ระบบต่างๆ ในร่างกายท�างานและประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งระบบกล้ามเนื้อ ระบบหายใจ ระบบขับถา่ ย และระบบไหลเวียนของโลหิต ผู้เล่นปันจักสีลัตจะมีไหวพริบดี อารมณ์มั่นคง สมาธิดี มีความเช่ือมั่นในตนเอง มีความ กล้าหาญ สามารถแก้ปญั หาต่างๆ และมกี ารตดั สินใจท่ีดีและถกู ต้อง ปันจักสีลัตเป็นกีฬาที่มีกฎ กติกา มารยาทท่ีดี ที่ผู้เล่นต้องเคารพและปฏิบัติตาม มีความ อดทน อดกล้นั มีนา�้ ใจนักกีฬา รูแ้ พ ้ รชู้ นะ รู้อภัย .ระเบียบและกติกำกำรแข่งขันกฬี ำปันจกั สลี ัต 1. อปุ กรณ์กำรแขง่ ขัน สนามการแขง่ ขนั เปน็ รปู สเ่ี หลย่ี มจตรุ สั ตอ้ งปพู นื้ ดว้ ยเบาะ ซงึ่ มลี กั ษณะราบเรยี บไมย่ ดื หยนุ่ มีควาามมหหนนาาไม3่เก-ิน5 5เซ เนซนตติเมิเมตตรร หรือแปผผ่น่นยยาางสงังสเังคเรคาระาหะ ์ มหีค์ วมาีคมวกาวม้างก ว1้0า ง เ1ซน0ตเิ มตร ยาว 1100 เซเนมตตเิ มรตพร้ื นพทน้ื ี่ตทรตี่ งรกงกลลาางงมมีลลี ักกั ษษณณะะเป็นวงกกลลมมเสเสน้ ้นผผา่ น่าศนนูศยูนก์ ยล์กาลงา ยงาวย 8า เวซน8ตเิ มตร คอื สงั เวยี นท่ีท�าการแขง่ ขนั (Competition Ring) ซงึ่ การแข่งขันผูแ้ ขง่ ขันต้องแขง่ ภายใน บรเิ วณนี้ 2 2 คมู่ ือผู้ฝกึ สอนกฬี าปันจกั สีลัต

คมู่ ือผฝู้ กึ กสอานรกกีฬาีฬปันาจแกัหสง่ ลี ตัประเทศไทย . ตรงกลางของสงั เวยี นทที่ า� การแขง่ ขนั จะประกอบดว้ ยวงกลม มเี สน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3 เมตร และเสน้ กวา้ ง 5 เซนตเิ มตร วงกลมนีจ้ ะเป็นเส้นทแี่ ยกใหผ้ ู้แขง่ ขันท้ังสองอยหู่ ่างกันและ เตรยี มความพรอ้ มก่อนการเร่ิมต้นของการแขง่ ขนั . มมุ ทั้งสองของนกั กฬี า จะตง้ั อยู่ในมมุ ทแยงของสนามแข่งขัน มฝี ่ายแดงและฝ่ายน�า้ เงนิ ส่วนมุมทเี่ หลอื อกี สองมุมเปน็ มมุ กลาง แผนผังสนำมแข่งขันปนั จกั สลี ตั คมู่ อื ผฝู้ ึกสอนกฬี าปนั จักสีลัต 3 3

การกฬี าแหคูม่ ง่ อื ปผูฝ้ รกึ ะสเทอนศกไฬีทายปนั จกั สลี ตั 2. อุปกรณใ์ นบริเวณสนำมแขง่ ขนั ประกอบดว้ ย . ถังน�า้ ผา้ เชด็ หน้า และพรมเชด็ เท้า ... นาฬิกาจับเวลา ฆ้องหรอื อุปกรณซ์ ่ึงทา� หนา้ ที่อยา่ งเดยี วกนั สญั ญาณไฟหรอื สัญญาณอืน่ ๆ ท่ีใชใ้ นการบอกยกแต่ละยก .. ไฟสแี ดง ไฟสนี า้� เงนิ หรอื อปุ กรณอ์ ะไรกต็ ามทสี่ ามารถใหส้ ญั ญาณบอกผชู้ นะในการแขง่ ขนั อุปกรณ์สา� หรับชว่ ยเหลือผู้แข่งขนั 3. อุปกรณ์กำรแข่งขัน ... ชุดแขง่ ขนั กฬี าปนั จักสีลัตสดี า� เคร่ืองปอ้ งกนั รา่ งกาย เครือ่ งปอ้ งกนั อวยั วะเพศ (กระจบั ) กำรแบง่ รุ่น ประเภทชำย รนุ่ A ตงั้ แต่ 45 กก. ถึง 50 กก. ร่นุ B มากกวา่ 50 กก. ถงึ 55 กก. รนุ่ C มากกวา่ 55 กก. ถึง 60 กก. ร่นุ D มากกวา่ 60 กก. ถึง 65 กก. รนุ่ E มากกวา่ 65 กก. ถงึ 70 กก. รุ่น F มากกว่า 70 กก. ถึง 75 กก. รุ่น G มากกวา่ 75 กก. ถงึ 80 กก. รุ่น H มากกว่า 80 กก. ถงึ 85 กก. รุ่น I มากกวา่ 85 กก. ถงึ 90 กก. รนุ่ J มากกวา่ 90 กก. ถึง 95 กก. กำรแบ่งร่นุ ประเภทหญงิ รนุ่ A ต้งั แต ่ 45 กก. ถงึ 50 กก. รุ่น B มากกว่า 50 กก. ถึง 55 กก. รุ่น C มากกวา่ 55 กก. ถงึ 60 กก. รนุ่ D มากกว่า 60 กก. ถงึ 65 กก. รุ่น E มากกว่า 65 กก. ถงึ 70 กก. รนุ่ F มากกว่า70 กก. ถึง 75 กก. การจัดร่นุ เพมิ่ เตมิ ท�าได้โดยการจัดใหแ้ ต่ละรนุ่ มีน�า้ หนักเพม่ิ ขึ้นตา่ งกัน 5 กก. 4 4 คู่มอื ผู้ฝกึ สอนกีฬาปนั จักสีลตั

คู่มอื ผฝู้ ึกกสอานรกกีฬาีฬปันาจแกัหสง่ ลี ัตประเทศไทย เวลำของกำรแขง่ ขัน เวลาในการแข่งขัน การแขง่ ขนั มี 3 ยก เวลาของแต่ละยก 2 นาท ี และเวลาส�าหรบั การพกั ระหว่างยก 1 นาที ประเภทรา่ ยร�าต้องรา่ ยรา� ทกุ กระบวนท่าบังคับภายในเวลา 3 นาที ค�ำสงั่ ท่ีใชใ้ นกำรแข่งขัน . คา� สง่ั วา่ “เบอรซ์ เี ดยี ” (Bersedia) หมายถงึ การเตรยี มความพรอ้ ม คา� สง่ั นใ้ี ชส้ า� หรบั เตอื นผแู้ ขง่ ขนั กรรมการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน ให้เตรียมพร้อม ขณะที่การแข่งขันก�าลังจะ เริม่ ตน้ . คา� สง่ั วา่ “มลู าย” (Mulai) หมายถงึ เรมิ่ ได ้ คา� สง่ั นใ้ี ชเ้ มอื่ ตอ้ งการใหเ้ รม่ิ แขง่ ขนั หรอื แขง่ ขนั ตอ่ ไปได้ . คา� ส่งั ว่า “เบอรเ์ ฮนตี” (Berhenti) หมายถงึ หยดุ คา� สัง่ น้ีใชเ้ พ่อื หยดุ การแขง่ ขัน . คา� สงั่ วา่ “ปาซงั ” (pasang) หมายถงึ การจบั ค่ ู คา� สง่ั นใี้ ชเ้ พอ่ื ใหผ้ แู้ ขง่ ขนั จบั คเู่ ตรยี มพรอ้ มแขง่ ขนั ตามแบบฉบับของปันจกั สีลตั . เสยี งฆ้อง เป็นสญั ญาณใหเ้ ริ่มต้นหรือยตุ ิการแข่งขนั จะมีคา� ส่ังใหเ้ ร่มิ หรอื หยุดการแขง่ ขนั ควบคู่ ไปดว้ ย เปำ้ หมำย เป้าหมาย คือ ส่วนต่างๆ ของร่างกายท่ีนักกีฬาสามารถเข้ากระทา� ได้ ตามก�าหนด (ยกเว้นคอและ อวยั วะเพศ) ดังน ้ี คือ - อก - ท้อง (บรเิ วณลา� ตวั และเหนอื ข้ึนไป) - ด้านข้างซ้าย - ขวา ของเอว - บริเวณหลงั แขนและขาอาจเป็นเป้าหมายของการเข้ากระท�า เพ่อื ทีจ่ ะให้คู่ตอ่ สู้ล้มลงได้ หรือหยุดคูต่ ่อสู้ แต่การ กระท�าท่ีแขนและขาจะไม่ไดค้ ะแนน ..กำรใหค้ ะแนน 1. หลกั กำรให้คะแนน ส�ำหรบั กำรแขง่ ขนั จำกเทคนคิ ของกำรต่อสู้มีดงั ตอ่ ไปนี้ ได้ 1 คะแนน ส�าหรับการต่อสู้ถูกเป้าหมายด้วยการใช้มือ โดยคู่ต่อสู้ไม่ได้หลบหลีกป้องกัน หรือตอบโต้ ได้ 2 คะแนน สา� หรับการต่อสถู้ กู เป้าหมายดว้ ยการใชเ้ ท้า โดยคูต่ ่อสู้ไม่ได้หลบหลกี ป้องกนั หรอื ตอบโต้ คูม่ ือผู้ฝกึ สอนกีฬาปันจกั สีลัต 5 5

การกีฬาแหค่มู ่งือปผฝู้ รึกะสเทอนศกไีฬทายปันจกั สลี ตั . ได้ 3 คะแนน ส�าหรับการต่อสู้ใช้เทคนิคการท�าให้ล้ม มีผลท�าให้การล้มสมบูรณ์ ภายใน 5 วินาที .ได้ 1+1 คะแนน สา� หรับการตอบโต ้ ป้องกัน หรอื หลบหลกี จากการเขา้ กระท�าของคตู่ ่อสู้อยา่ ง ได้ผล และตามดว้ ยการเข้ากระทา� ถูกเป้าหมาย ด้วยการใช้มอื โดยทันที .ได้ 1+2 คะแนน ส�าหรับการตอบโต ้ ป้องกัน หรือ หลบหลีกจากการเขา้ กระท�าของค่ตู ่อสูอ้ ย่าง ได้ผล และตามดว้ ยการเขา้ กระท�าถกู เปา้ หมาย ดว้ ยการใช้เท้าโดยทนั ที .ได้ 1+3 คะแนน สา� หรับการตอบโต้ ปอ้ งกนั หรอื หลบหลกี จากการเขา้ กระท�าของคู่ตอ่ สอู้ ย่าง ได้ผล และตามด้วยการใช้เทคนิคการท�าให้ค่ตู ่อส้ลู ้มสมบรู ณ์โดยทนั ที 2. ระบบเทคนคิ กำรให้คะแนน . การใช้มือเข้ากระท�า จะได้คะแนนเมื่อการเข้ากระท�านั้นถูกเป้าหมายด้วยเทคนิค การใช้มือ (ในลักษณะใดก็ได้ท่ีไม่ผิดกติกา) ซึ่งการเข้ากระท�าน้ันต้องหนักแน่น มีน้�าหนักและมีแรงส่ง อย่างเห็นไดช้ ดั . การใช้เท้า หรือขาเข้ากระท�า จะได้คะแนนเมื่อการเข้ากระท�าน้ันถูกเป้าหมายด้วยเทคนิค การใชเ้ ทา้ (ในลกั ษณะใดกไ็ ดท้ ไ่ี มผ่ ดิ กตกิ า) ซง่ึ การเขา้ กระทา� นน้ั ตอ้ งหนกั แนน่ มนี า้� หนกั และ มแี รงส่ง อยา่ งเห็นได้ชดั . การใช้เทคนิคการท�าล้ม จะได้คะแนนเมื่อผู้แข่งขันสามารถท�าให้คู่ต่อสู้ล้มลงโดยสมบูรณ์ ภายใน 5 วินาที นั่นคือ การท�าให้ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งถูกพื้น เทคนิคการท�าให้ล้มไม่ได้ เก่ียวกับการปลา้� การท�าลักษณะน้ีตอ้ งเกดิ ขน้ึ เนอื่ งจากความพยายามในการที่จะป้องกนั ตัว จากการเข้าทา� หรอื เกดิ ข้ึนเนื่องจากมีการเขา้ ท�าก่อน กำรตดั สนิ ผชู้ นะกำรแขง่ ขนั 1. การชนะคะแนน (Wining Score) การตัดสินชนะโดยคะแนน 2. การชนะโดยเทคนิค (Technical Win) 3. การชนะโดยสมบูรณ์ หรือการชนะโดยนอ๊ คเอาท์ (Absolute Win) 4. การชนะโดยใหอ้ อก (ตอ้ งตคี วามใหอ้ อกเพราะอะไร) จากการแขง่ ขนั (Win due to Disqualification) 5. การชนะเนื่องจากคู่แขง่ ขันมฝี ีมือต่างกันมาก (R.S.C.) 6. การชนะเนอ่ื งจากคตู่ อ่ สู้ไมม่ าท�าการแข่งขนั ท่สี นามแข่งขนั หรอื ชนะโดยได้ผ่าน (Walk Over) 6 6 คมู่ ือผฝู้ กึ สอนกีฬาปนั จกั สลี ตั

คูม่ อื ผฝู้ ึกกสอานรกกฬี าีฬปนัาจแหกั สง่ ีลปตั ระเทศไทย บทที่ 2 1. ระเบียบกำรปฏบิ ัติกอ่ นกำรฝกึ ซ้อมกฬี ำปันจกั สีลตั ส�าหรับกีฬาทุกประเภทนั้นจะต้องมีระเบียบการปฏิบัติ หรือกฎกติกาการฝึกซ้อม ท้ังก่อนการซ้อม ระหว่างการซ้อมและหลังการซ้อม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม และป้องกันอุบัติเหต ุ รวมทั้งเป็นการเชื่อม สัมพนั ธไมตรีทีด่ ีระหว่างครบู าอาจารยแ์ ละเพ่ือนนักกฬี า ภายใต้กฏกติกาทไี่ ด้วางไว้และยอมรับรว่ มกนั กฬี าปนั จักสลี ตั กเ็ ช่นเดียวกัน ระเบยี บการปฏิบัตกิ ่อนและหลงั การซ้อม ถือวา่ เป็นสิง่ ที่มคี วามสา� คัญ และจ�าเป็นต้องกระท�า จะสามารถสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย จะรู้จักการแสดงความเคารพ ไม่ว่าจะ เป็นการแสดงความเคารพระหว่างครูกับลูกศิษย์ พ่ีกับน้อง หรือกระท่ังการแสดงความเคารพระหว่างคู่ซ้อม ดว้ ยกันเอง ซึง่ แต่ละทีม หรือชมรมจะมกี ารวางกฎ ระเบียบที่แตกตา่ งกัน ขนึ้ อย่กู บั ขอ้ ตกลงระหว่างทมี ภายในกฎ กตกิ าการซอ้ มสว่ นใหญ่ต้องระบุเวลาในการซ้อมอย่างชัดเจน (ซอ้ มกี่ช่วั โมงตอ่ วนั ก่วี นั ตอ่ สปั ดาห์) ระบุถงึ ข้อหา้ มและขอ้ ควรกระท�าต้งั แตก่ อ่ นการซ้อมไปจนถงึ เสรจ็ สนิ้ การซอ้ ม อาทเิ ช่น ต้องรา� ไหว้ครู ประจ�าชมรมก่อนการซ้อม ต้องแสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์ทุกคร้ัง ห้ามมาสาย (เม่ือมาสายต้องถูก ลงโทษ) หา้ มดื่มน�้าหรือรับประทานอาหารในระหวา่ งการซ้อม(เนื่องจากจะท�าให้เกิดอาการเสยี ดท้อง) ตอ้ งขอ อนุญาตผู้ฝึกสอนทุกคร้ังเม่ือต้องการลากิจหรือลาป่วย (โดยการโทรแจ้ง หรือมีใบลา หรือแจ้งต่อผู้ฝึกสอน โดยตรง) เป็นตน้ นกั กฬี าจะไดร้ บั ประโยชนจ์ ากกฎ กตกิ าการซอ้ มไดอ้ ยา่ งมหาศาล ทง้ั ในเรอ่ื งของมารยาทในการแสดง ความเคารพผทู้ อี่ าวโุ สกวา่ ในเรอื่ งของการตรงตอ่ เวลา รจู้ กั หนา้ ท ี่ และความรบั ผดิ ชอบ จะสง่ ผลใหน้ กั กฬี าเปน็ ผู้ที่มีความเปน็ ระเบยี บ มวี นิ ัย มีมารยาทท่ีด ี สามารถอยู่ร่วมกันกบั บคุ คลอ่ืนไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ในแตล่ ะทมี หรอื ชมรมจะมกี ารวางกฎ ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั ท่ีแตกตา่ งกัน จากการท่ผี เู้ ขียนไดผ้ า่ นการ เป็นนักกีฬาต้ังแต่อยู่ในชมรมเล็กๆ (ชมรมปันจักสีลัตนูซันตาราแห่งประเทศไทย) เป็นนักกีฬาปันจักสีลัตทีม ชาติไทย จนกระท่ังเป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอนกีฬาปันจักสีลัต ระเบียบข้อบังคับในการซ้อมที่ดี ควรประกอบ ไปดว้ ย 1. จัดแถวอย่างเปน็ ระเบยี บ เรียบร้อย และผู้ฝึกสอนนบั จ�านวนผูเ้ รยี น 2. ผู้ฝึกสอนกล่าวน�าให้นักกีฬา หลับตาน่ังสมาธิ ก่อนการซ้อม (แต่ละศาสนาอาจกล่าวบทสวด เพ่ือขอพรใหป้ ลอดภยั จากการซ้อม) 3. อ่านค�าปฏญิ าณ ประจา� ชมรม (ถา้ มี) 4. คา� นบั แสดงความเคารพตอ่ ผฝู้ กึ สอน และจดั แถวใหเ้ ปน็ ระเบยี บอกี ครง้ั โดยการนา� ของผฝู้ กึ สอน 5. การอบอ่นุ รา่ งกายกอ่ นการซอ้ ม (Warm up) 6. ทา� การซ้อมอยา่ งเครง่ ครดั คู่มือผฝู้ ึกสอนกีฬาปนั จักสีลัต 7 7

การกีฬาแหคู่ม่งือปผฝู้ รกึ ะสเทอนศกไฬีทายปันจกั สลี ตั 7. อธิบายถงึ ประโยชน์ของการซอ้ มในวนั น้ี 8. การคลายอุ่นหลังการซ้อม (Cool down) 9. หลังการซ้อมทกุ ครัง้ ให้แสดงความเคารพและขอบคุณผูฝ้ กึ สอน โดยวิธกี ารจับมือ หรอื ไหว ้ จน กระทัง่ แสดงความเคารพตอ่ เพ่อื นนักกฬี าดว้ ยกันเอง การอบอุ่นร่างกายก่อนการซ้อม (Warm up) และการคลายอุ่นหลังการซ้อม (Cool down) จะเป็นไปตามการอบอุ่นร่างกายแบบมาตรฐานสากลของ วิทยาศาสตร์การกีฬา หรือหากไม่มีความรู้ด้าน วทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า กใ็ หเ้ ปน็ ไปตามประสบการณจ์ ากการไดเ้ รยี นรสู้ บื ตอ่ กนั มา หรอื จากผทู้ ม่ี คี วามเชยี่ วชาญ ในกีฬาปนั จกั สลี ัตอยา่ งแทจ้ ริง คา� อธบิ าย วิธีการปฏบิ ัติ การจัดแถว การน่งั สมาธ ิ การกลา่ วค�าปฏิญาณ และการแสดงความเคารพ ดงั น้ี 1. วิธีการที่ดีในการจัดแถว คือ โดยปกติแล้วค�าสั่งการจัดแถวของกีฬาปันจักสีลัต ใช้ค�าส่ังท่ีเป็น สากล เป็นค�าสั่งเฉพาะ ภาษามลายู (อินโดนีเซีย) ค�าส่ังเพ่ือให้นักกีฬาอยู่ในท่าท่ีพร้อมจะท�าการซ้อม คือ คา� ว่า ซียบั (siap) เมือ่ นักกฬี าได้ยินคา� สั่งนี้จากผู้ฝกึ สอนแล้ว ต้องต้งั ตวั ตรง อกผายไหลผ่ ึง่ ขาสองขา้ งชิดกนั ปลอ่ ยแขนลงมาชิดลา� ตวั หนั หนา้ ไปทางขา้ งหน้า คา� สัง่ นี้เป็นคา� ส่ังเริ่มต้น เพือ่ ให้นกั กฬี าเตรยี มพรอ้ มในการ รบั ค�าสั่งต่อไป ค�าส่งั ซ้ายหนั คอื ลนั จัง กรี ี (lencang kiri) ขวาหัน คอื ลนั จัง กานนั (lencang kanan) กางแขน คือ รนั ตงั กนั ตางนั (rentangkan tangan) พกั อยู่กบั ท ี่ คอื อสิ ตเี รฮัต ด ี ตมึ ปัต (istirahat di tempat) 2. การนงั่ สมาธิ คอื การหลบั ตานั่งสมาธิเพ่อื ทา� จิตใจให้สงบกอ่ นการซ้อม อาจจะเป็นการนัง่ สมาธิ เพ่ือทบทวนการซ้อมคร้ังที่แล้ว หรือการขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ิให้การซ้อมในวันนี้เป็นไปด้วยความปลอดภัย ปราศจากอบุ ัตเิ หตุ การนง่ั สมาธอิ าจจะหลบั ตาในขณะทีย่ ืนโดยให้ขาทงั้ สองข้างชดิ กัน หรือน่งั ขัดสมาธ ิ ขึน้ อยู่ กบั แตล่ ะทมี หรือชมรมทจี่ ะวางระเบยี บการน้ี 3. การกล่าวค�าปฏิญาณ (ถ้ามี) คือ แต่ละทีม หรือ ชมรมต้องวางบทบัญญัติ หรือค�าปฏิญาณให้ ทุกคนกล่าว และทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เห็นด้วยกับค�าปฏิญาณนั้น ตัวอย่างค�าปฏิญาณของชมรม นูซนั ตารา แห่งประเทศไทย คือ ก. ขา้ พเจา้ จะจงรกั ภกั ด ี ต่อศาสน์ กษตั รยิ ์ และประเทศชาติ ข. ขา้ พเจ้า จะเคารพ ตอ่ ครบู าอาจารย ์ และตอ่ นกั กีฬาดว้ ยกนั ค. ขา้ พเจา้ จะสานตอ่ กฬี าปนั จกั สลี ัตตราบจนชีวิตจะหาไม่ ง. ขา้ พเจ้า จะปฏิบัตติ ามกฎ ระเบยี บ ดังน้ีอย่างเคร่งครดั 4. การแสดงความเคารพ คือ การแสดงความเคารพระหว่างผู้ฝึกสอนกับนักกีฬา โดยนักกีฬาควร แสดงการขอบคณุ สา� หรบั การสอนในวนั น ้ี อาจจะเปน็ การจบั มอื หรอื การไหว ้ และตอ้ งแสดงความเคารพระหวา่ ง 8 8 คู่มือผ้ฝู ึกสอนกฬี าปันจักสีลตั

คมู่ อื ผู้ฝกึ กสอานรกกีฬฬีาปานั แจหกั สง่ ลี ปัต ระเทศไทย นักกีฬาด้วยกัน ขอบใจเพ่ือนทุกคนท่ีต้ังใจซ้อมจนการซ้อมเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยด ี ซึ่งแต่ละชาต ิ แต่ละศาสนา จะแสดงความเคารพท่ีแตกตา่ งกันออกไป จะสามารถกอ่ ใหเ้ กดิ ความสัมพันธท์ ด่ี ใี นหมคู่ ณะ เกิดความรักใคร่ สามคั ค ี เพอ่ื ใหท้ มี ประสบความสา� เรจ็ และสรา้ งชอ่ื เสยี งใหแ้ กท่ มี ไดแ้ ละทสี่ า� คญั การแสดงความเคารพน ี้ ไมใ่ ช่ แสดงเฉพาะเมอื่ อยใู่ นระหวา่ งการซอ้ มปนั จกั สลี ตั เทา่ นน้ั แตน่ กั กฬี าตอ้ งแสดงความเคารพทกุ ครง้ั ทม่ี กี ารพบปะ เจอหน้ากัน ก่อนการซ้อมจะเสร็จส้ิน ผู้ฝึกสอนจะต้องสรุปการซ้อมในวันนี้ และอธิบายหัวข้อการซ้อมคร้ังต่อไป ซง่ึ การช้แี จงดังกล่าว ผูฝ้ กึ สอนตอ้ งใหน้ กั กีฬานงั่ ลง และฟงั อย่างตง้ั ใจ เม่ือถามนักกฬี าก็ตอ้ งตอบด้วยเสยี งท่ี เด็ดขาด และหนักแน่น และนักกีฬาเองก็สามารถแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับการซ้อมได้ ทุกคนจะช่วยกันลง มตใิ นขอ้ พพิ าทในการซอ้ มอยา่ งเปน็ ประชาธปิ ไตย ตัวอย่ำงภำพ ระเบียบ กำรปฏบิ ตั ิทด่ี ี ในกฬี ำปันจักสลี ัต รูปที ่ 1 รปู ท่ ี 2 ท่ำ เตรยี มซยี ับ (siap) ท่ำ ไหวแ้ สดงควำมเคำรพ (hormat khas Pencak Silat) คูม่ อื ผฝู้ ึกสอนกฬี าปนั จกั สีลตั 99

การกีฬาแห่งประเทศไทย คู่มือผูฝ้ กึ สอนกีฬาปนั จกั สีลตั รูปท ี่ 3 ท่ำนง่ั เพื่อเตรยี มท�ำสมำธิ (berdoa) รปู ท ่ี 4 กำรไหวเ้ พอ่ื แสดงควำมเคำรพกันและกัน ซึง่ นยิ มปฏิบัตทิ ั้งก่อนและหลงั กำรซ้อม กำรแสดงควำมเคำรพเช่นน ้ี จะปฏิบัตทิ กุ คร้ังเม่อื เจอกันไม่วำ่ จะเป็นในชมรม หรอื ตำมสถำนท่ีตำ่ ง ๆ 10 10 ค่มู ือผฝู้ ึกสอนกฬี าปันจกั สลี ตั

คมู่ ือผฝู้ กึ กสอานรกกฬี าฬี ปนัาจแหักสง่ ลี ัตประเทศไทย รูปท่ ี 5 กำรจับมือ เช่นนก้ี ็เป็นกำรแสดงควำมเคำรพอกี วิธหี นงึ่ เพือ่ แสดงควำมเปน็ มิตรตอ่ กนั และกำรใหเ้ กียรติซ่งึ กนั และกนั คูม่ ือผู้ฝกึ สอนกีฬาปนั จกั สลี ตั 11 11

การกีฬาแคหู่มง่ อื ผป้ฝู รกึ สะเทอนศกไีฬทายปนั จกั สีลตั บทท่ ี 3 3. เทคนิคพ้นื ฐำน กฬี ำปันจกั สีลตั เทคนิคพื้นฐานถือว่าเป็นสิ่งที่จ�าเป็นอย่างยิ่งส�าหรับศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวทุกประเภท เพื่อให้นักกีฬา สามารถพฒั นาฝมี อื ประสบความสา� เรจ็ ในการแขง่ ขนั ตลอดจนเปน็ ทยี่ อมรบั ของสงั คมลว้ นแลว้ แตต่ อ้ งมาจาก การมคี วามรพู้ ้นื ฐานท่สี มบูรณ์ นักกีฬาจึงจา� เป็นที่ต้องมคี วามพรอ้ มในดา้ นเทคนคิ พ้ืนฐาน การเรียนเก่ียวกับเทคนิคพ้ืนฐานปันจักสีลัตที่ดี ผู้เรียนควรที่จะเอาใจใส่และตั้งใจเรียนให้มาก เพื่อเป็นฐานที่มั่นคงก่อนท่ีจะเรียนในล�าดับข้ันสูงข้ึน เมื่อเทคนิคพ้ืนฐานถูกต้องและดีแล้วก็จะสามารถ แสดงท่าทางได้อย่างสวยงาม ปัจจุบันยังคงมีนักกีฬาหลายท่านที่ยังแสดงท่าทางไม่ถูกต้อง จึงท�าให้ต้อง เสยี คะแนนในการแขง่ ขนั และเปน็ ปญั หาทผี่ ฝู้ กึ สอนตอ้ งวางแผนการซอ้ มใหม ่ เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ ความผดิ พลาดอกี บางครง้ั การฝกึ ซอ้ มอยา่ งไมเ่ ขม้ งวด เพอื่ ใหน้ กั กฬี าไดก้ ระบวนทา่ แตม่ องขา้ มความถกู ตอ้ งของเทคนคิ พน้ื ฐานอยา่ งจรงิ จงั และนกั กฬี าเองกใ็ ชเ้ ทคนคิ ทผ่ี ดิ ๆ จนตดิ เปน็ นสิ ยั เพราะนกั กฬี าคดิ วา่ ตนจะฝกึ ใหไ้ ดท้ ว่ งทา่ อยา่ งรวดเรว็ เลยมองขา้ มความถกู ตอ้ งไปแลว้ นน้ั จะทา� ใหน้ กั กฬี าเสยี เวลากลบั มาเรยี นเทคนคิ ตงั้ แตข่ น้ั พน้ื ฐาน กันใหม่อีกคร้ัง ในส่วนของผู้ฝึกสอนเอง การเตรียมการสอนเทคนิคพื้นฐานเป็นส่ิงท่ีจา� เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นผู้ฝึกสอน ต้องขยันทบทวนกระบวนท่าพ้ืนฐานซ�้าแล้วซ�้าเล่า เพ่ือให้นักกีฬาสามารถน�ามาใช้จริงได้อย่างอัตโนมัติ เมื่อนักกีฬามีเทคนิคพื้นฐานที่ดีแล้ว การเรียนการสอนในกระบวนท่าต่อไป จะเป็นส่ิงท่ีง่ายและประสบ ความสา� เร็จไดต้ ามเปา้ หมาย ปญั หาทส่ี า� คญั ของนกั กฬี า คอื เมอ่ื นกั กฬี าใชก้ ระบวนทา่ ผดิ ๆ จนตดิ เปน็ นสิ ยั และเมอื่ ผฝู้ กึ สอนตอ้ งการ ที่จะเปล่ียนแปลงก็เป็นเรื่องยากท่ีจะแก้ไขให้ถูกต้องได้ ผู้ฝึกสอนจึงต้องใช้ความพยายามอย่างสูงและอดทน เป็นอย่างมากท่ีจะต้องย้อนกลับมาอธิบายว่า หากเทคนิคพื้นฐานถูกต้องแล้วจะสามารถน�าไปใช้ท�าอะไร? ท�าอย่างไร? เพ่ืออะไร? เป็นส่ิงที่ผู้ฝึกสอนควรค�านึงก่อนฝึกสอนด้วยการอธิบายเหตุผลทุกคร้ัง เพื่อนักกีฬา จะไดท้ ราบวา่ กระบวนทา่ ไหนมวี ตั ถปุ ระสงคใ์ ด? และนา� ไปปฏบิ ตั จิ รงิ อยา่ งไร? จะสามารถชว่ ยกระตนุ้ ใหน้ กั กฬี า ตั้งใจซ้อมมากข้ึน ตัวอย่างเช่น กระบวนท่าน่ังม้าหรือภาษาอินโดนีเซียเรียกว่าท่า กูดา กูดา (kuda kuda) เป็นเทคนิคพื้นฐานท่ีส�าคัญในกีฬาปันจักสีลัต จุดประสงค์ของการซ้อมคือ เราจะมีวิธีการสอนอย่างไรเพื่อให้ ขาท้งั สองข้างอยู่ในต�าแหน่งทพ่ี รอ้ มจะตอ่ สู้ สอนอย่างไรใหน้ กั กฬี าเกิดความสมดุลของร่างกาย หรอื จะสอน อยา่ งไรเพอื่ ใหน้ กั กฬี าสามารถทนตอ่ การรบั นา้� หนกั ของตวั เอง ตลอดจนตอ้ งสอนอยา่ งไรเพอ่ื ใหก้ ารนงั่ มา้ มสี ว่ น ให้การเคลื่อนไหวในแต่ละกระบวนท่าว่องไว ดังน้ันท่าน่ังม้า กูดา กูดา (kuda kuda) น้ีจะช่วยให้นักกีฬา เกิดความเคยชินกับการเคลื่อนไหวของขาให้สมดุลกับร่างกาย ผู้ฝึกสอนจึงต้องให้ความส�าคัญกับท่านั่งม้า 12 12 คู่มอื ผฝู้ กึ สอนกฬี าปันจักสีลตั

คู่มือผฝู้ กึ กสอานรกกีฬาีฬปันาจแหักส่งลี ัตประเทศไทย กูดา กูดา (kuda kuda) เป็นพิเศษ มิฉะน้ันแล้วนักกีฬาจะเกิดอันตรายกับระบบกล้ามเนื้อ ท�าให้เกิดอาการ ปวดกลา้ มเนื้อเรื้อรังได้ 3.1 เทคนคิ กำรนง่ั ม้ำกูดำ กดู ำ (kuda-kuda) กระบวนท่านงั่ ม้ากดู า กดู า (kuda kuda) แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ทา่ นง่ั มา้ ทม่ี ชี อื่ ทางภาษาอนิ โดนเี ซยี วา่ ดารโี บบต (dari bobot) คอื กระบวนทา่ นง่ั มา้ จากการ ถา่ ยนา�้ หนกั ตวั ลงทข่ี าทง้ั สองขา้ ง เพอ่ื ใหข้ าสามารถรบั นา้� หนกั ตวั ทก่ี า� ลงั ยอ่ ตวั ลง ลกั ษณะของทา่ นงั่ มา้ ประเภท น ้ี คือ การย่อเขา่ สูง กลาง ต�่า ในการรบั น�้าหนกั ตัวของตนเอง เพื่อท่ีจะสามารถนา� มาใชค้ วบคู่กบั ท่าทางในการ เดินหนา้ ถอยหลงั หันซา้ ยหรอื หันขวา เกิดความถกู ต้องในการทรงตัวและอยู่ในทว่ งทา่ ทพี่ รอ้ มจะตอ่ สู้ กระบวนท่านง่ั มา้ ดารโี บบต (dari bobot) มี 3 กระบวนท่า ได้แก่ 1.1 กูดา กูดา รีงนั ( kuda-kuda ringan) คอื กระบวนท่าท่ถี ่ายนา้� หนักตวั ลงมาท่ขี าเลก็ นอ้ ย เท่าน้ัน โดยที่น�้าหนักตัวจะอยู่ท่ีล�าตัวมากกว่าท่ีขา กระบวนท่าน้ีเหมาะที่จะใช้ในกรณีที่ต้องเป็นฝ่ายรุก (ฝา่ ยเขา้ หาคูต่ ่อสู้) เพื่อจะไดร้ ีบหลบคตู่ ่อสไู้ ด้อย่างรวดเรว็ 1.2 กดู า กูดา เซดงั (kuda-kuda sedang) คอื กระบวนท่าน่ังมา้ ทเ่ี ป็นกระบวนทา่ มาตรฐาน การถ่ายน้�าหนักตัวจะถูกถ่ายลงมาท่ีขาท้ังสองข้างเท่าๆ กัน เหมาะท่ีจะใช้ในกรณีที่เป็นท้ังฝ่ายรับหรือฝ่ายรุก กไ็ ด้ 1.3 กูดา กดู า บือรตั (kuda-kuda berat) คือ กระบวนทา่ ท่ีน�้าหนักตวั ถา่ ยลงมาทขี่ าทั้งสอง ขา้ งเหมาะทจ่ี ะนา� มาใช้เม่อื เป็นฝา่ ยรับ (ฝ่ายรบั ค่ตู อ่ ส้)ู ค่มู อื ผฝู้ ึกสอนกีฬาปันจกั สีลัต 13 13

การกีฬาแหคมู่ ง่ อื ปผ้ฝู รึกะสเทอนศกไฬี ทายปันจักสลี ตั ภำพประกอบแสดงท่ำทำงนงั่ ม้ำ กูดำ กดู ำ (kuda kuda) รปู ที่ 1 รูปท่ี 2 รปู ท่ ี 3 กูดา กูดา รีงัน (kuda-kuda กูดา กดู า เซดงั (kuda-kuda กูดา กดู า บือรัต (kuda-kuda ringan) คือ การทงิ้ น�า้ หนกั ตวั ลงที่ sedang) คือการท้ิงน้�าหนักตัวลง berat) คอื การทงิ้ นา้� หนกั ตวั ลงทข่ี า ขาทั้งสองข้าง และยืนต้ังตัวตรง ท่ีขาท้ังสองข้าง แยกขาพร้อม ทงั้ สองขา้ ง แยกขาออกใหส้ ามารถ ขาข้างใดข้างหนึ่งอยู่ด้านหน้าใช้ ยอ่ เขา่ เล็กน้อย ทรงตัวเพ่ือรับน�้าหนักตัวเองได ้ เดินหนา้ และถอยหลงั ตวั ตั้งตรง อกผาย ไหล่ผงึ่ ดงั รปู 14 14 คู่มือผฝู้ ึกสอนกีฬาปนั จกั สีลตั

คูม่ ือผู้ฝกึ กสอานรกกีฬาฬี ปนัาจแหกั ส่งลี ัตประเทศไทย 2. ทา่ นง่ั ม้า ทีม่ ชี อ่ื ทางภาษาอนิ โดนเี ซียว่า กดู า กูดา ดีตินเจา ดารี บึนโตะยา (kuda kuda ditinjau dari bentuknya) คอื กระบวนทา่ นงั่ มา้ ทสี่ มาพนั ธ์ IPSI แหง่ อนิ โดนเี ซยี ไดก้ �าหนดมาตรฐานและกฎเกณฑข์ อง กระบวนท่าเพอื่ ใหใ้ ช้เปน็ มาตรฐานเดียวกนั ทวั่ โลก กล่าวคอื เมื่อตอ้ งการทา่ ทางทส่ี วยงามแลว้ ก็จา� เป็นทต่ี ้อง ประกอบไปด้วยท่านั่งม้าซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพ่ือการให้คะแนนในการแข่งขันมีความยุติธรรมมากที่สุด กระบวนท่าน่ังม้านจ้ี ะใช้กระบวนทา่ จากทา่ ดารโี บบต (dari bobot) ได้แก่ กดู า กูดา รีงนั (kuda-kuda ringan) กูดา กูดา เซดงั (kuda-kuda sedang) กูดา กดู า บือรัต (kuda-kuda berat) เป็นพน้ื ฐานหลกั ในการน�าไป ประกอบการแสดงทา่ ทางรว่ มกนั ทง้ั การปอ้ งกนั ตวั จรงิ การแขง่ ขนั ประเภทตอ่ ส ู้ และการแขง่ ขนั ประเภทรา่ ยรา� กระบวนท่า กดู า กูดา (kuda kuda ) ประเภทนี้สามรถแยกประเภทออกเปน็ 4 กระบวนท่า คือ 2.1 กดู า กดู า ดือปนั (kuda kuda depan) คอื ท่านั่งม้าที่ต้องวางขาขา้ งใดขา้ งหนึง่ ไว้ดา้ นหน้า อกี ขา้ งไวด้ า้ นหลงั ขาหลงั ตงึ ขาหนา้ ยอ่ เขา่ พรอ้ มถา่ ยนา�้ หนกั ตวั ไปกบั ขาดา้ นหนา้ เลก็ นอ้ ย และหนั หนา้ ทศิ ทาง เดียวกับขาที่อยูด่ า้ นหน้าแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 แบบ คอื 2.1.1 ทา่ กูดา กดู าดือปัน ลูรสุ (kuda-kuda depan lurus) 2.1.2 ท่า กดู า กูดา ดอื ปนั เซรอง (kuuda- kuda depan serong) 2.2 กูดา กูดา บือลากัง (kada-kuda belakang) คือ ท่านั่งม้าท่ีต้องวางขาข้างใดข้างหนึ่งไว้ ด้านหนา้ อีกขา้ งไว้ดา้ นหลงั ขาหน้าและขาหลังงอเขา่ เลก็ น้อย พร้อมถ่ายนา�้ หนักตัวลงไปทข่ี าด้านหลัง 2.3 กูดา กูดา ซมั เปง (kuda-kuda samping) คือ ท่าน่งั มา้ ท่ใี ห้ขาข้างใดขา้ งหน่งึ อยู่ดา้ นหน้า พรอ้ มงอเข่า และอีกข้างไวด้ า้ นหลงั และเหยียดขาตรง 2.4 กูดา กูดา ตอื งะห์ (kuda-kuda tengah) คอื ท่านงั่ มา้ ที่ให้ขาทั้งสองขา้ งกางออก ย่อเข่าลง ทั้งสองข้าง พรอ้ มทิง้ นา�้ หนกั ตัวลงไปที่ขาทงั้ สอง คู่มือผ้ฝู ึกสอนกฬี าปนั จกั สลี ตั 15 15

การกฬี าแหคู่มง่ อื ปผู้ฝรึกะสเทอนศกไฬีทายปนั จักสลี ตั ภำพประกอบแสดงท่ำนัง่ ม้ำ (kuda kuda) รปู ท ี่ 1 กูดำ กูดำดือปัน ลูรสุ (kuda-kuda depanlurus) วางขาข้างใดข้างหนึ่งไว้ด้านหน้า พรอ้ มงอเขา่ และทง้ิ นา้� หนกั ตวั ลงบรเิ วณ เข่าและนิ้วเท้า ส่วนขาด้านหลังให้ เหยียดตรงเป็นแนวเฉียงกับล�าตัว ข้อควรระวังคือให้ขาด้านหน้าอยู่บน เส้นขนานเดียวกันกับขาด้านหลัง และ หันหนา้ ไปทิศทางเดียวกบั ขาดา้ นหนา้ รูปที่ 2 กดู ำ กดู ำ ดือปนั เซรอง (kuuda- kuda depan serong) ลักษณะการวางขาเหมือน กูดา กูดาดือปัน ลูรุส (kuda-kuda depan lurus) ทกุ ประการ แต่จดุ ท่แี ตกต่างกัน คอื ขาดา้ นหนา้ และขาดา้ นหลงั จะไมอ่ ยู่ บนเส้นขนานเดียวกัน แต่จะให้ขาด้าน หลังวางเป็นเส้นเฉียงกับขาด้านหน้า เลก็ นอ้ ย 16 16 ค่มู อื ผฝู้ กึ สอนกีฬาปนั จกั สีลัต

คู่มือผ้ฝู ึกสอนกีฬาปนั จกั สีลัต คู่มอื ผูฝ้ กึ กสอานรกกฬี ีฬาปันาแจหักสง่ ลี ปัต ระเทศไทย รูปท ่ี 3 กูดำ กดู ำ บือลำกงั (kada-kuda belakang) วางขาข้างใดข้างหนึ่งไว้ด้านหน้าและ งอเข่าปล่อยขาตามสบายโดยทิ้งน้�าหนักตัว ลงเลก็ นอ้ ยเทา่ นนั้ สว่ นขาดา้ นหลงั ใหง้ อเขา่ วางขาหลงั หา่ งจาก ขาหน้าเล็กน้อยและทิง้ นา�้ หนกั ตัวลงบริเวณก้นและส้นเท้า ขอ้ ควร ระวังคือให้ขาด้านหน้าและขาด้านหลังอยู่ บนเสน้ ขนานเดยี วกนั โดยหนั หนา้ ไปทศิ ทาง เดียวกับขาด้านหนา้ รปู ท ี่ 4 กูดำ กูดำ ซัมเปง (kuda-kuda samping) วางขาขา้ งใดขา้ งหนง่ึ ไวด้ า้ นหนา้ พรอ้ ม งอเข่า ขาอีกข้างไว้ด้านหลังเหยียดขาตรง เป็นแนวเฉียงกับล�าตัว กระบวนท่านี้จะทิ้ง นา�้ หนกั ตวั ไวท้ ข่ี าทง้ั สองขา้ ง ขอ้ ควรระวงั คอื ให้ขาด้านหน้าอยู่บนเส้นขนานเดียวกันกับ ขาดา้ นหลงั และใหห้ นั ขา้ งลา� ตวั (ระหวา่ งขา ท้งั สองขา้ ง) รูปที่ 5 กดู ำ กูดำ ตืองะห์ (kuda-kuda tengah) แยกขาทั้งสองข้าง พร้อมงอเข่า ท้ิง น�้าหนักตัวลงที่ขาทั้งสองข้าง หากผู้แสดง ต้องการให้กระบวนท่านี้ดูสวยงามแล้ว ควรงอเข่าให้มาก ๆ ซึ่งผู้ท่ีสามารถงอเข่า ไดม้ ากนน้ั แสดงวา่ เปน็ ผทู้ มี่ สี มรรถภาพของ ขาสมบรู ณแ์ ขง็ แรง และตอ้ งผา่ นการซอ้ มมา อย่างหนกั จึงจะสามารถแสดงทา่ ดงั นี้ได้ 17 17

การกีฬาแหคู่มง่ อื ปผฝู้ รึกะสเทอนศกไฬีทายปนั จกั สีลตั กระบวนท่านงั่ มา้ หรอื ท่า กดู า-กดู า (kuda-kada) เป็นกระบวนท่านง่ั ม้าพ้ืนฐานที่มคี วามส�าคญั มาก ส�าหรับกีฬาปันจักสีลัต กล่าวคือ กระบวนท่าทุกท่าของปันจักสีลัตจะสวยงามและสมบูรณ์ได้ด้วยท่านั่งม้า ไม่ว่าจะเป็นท่าเตะ ท่าต่อย ท่าร่ายร�า ล้วนแล้วต้องใช้ท่านั่งม้าเป็นท่าพ้ืนฐานทั้งสิ้น ผู้ฝึกสอนจึงต้องให้ ความสา� คญั ในการสอนท่านั่งมา้ ดังกล่าวเป็นอย่างมาก ในการแข่งขนั ประเภทต่อสู้ ท่านง่ั ม้า กูดา-กูดา โบบต (kuda-kada bobot) ประเภท ริงงนั (ringan) และ สอื ดงั (sedang) จะเปน็ ท่าท่ีนิยมใชค้ วบคกู่ บั กระบวนทา่ ในท่าน่ังม้า กูดา กูดา ดีตินเจา ดารี บนึ โตะยา (kuda kuda ditinjau dari bentuknya) มากท่ีสุด โดยกระบวนท่านี้นักกีฬาจะทิ้งน�้าหนักตัวลงในระดับท่ี เล็กน้อยเท่าน้ันท�าให้สามารถใช้ขาเตะคู่ต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว และจะสามารถหลบหลีกคู่ต่อสู้ ได้อย่างว่องไว ดว้ ยเชน่ เดียวกนั แตท่ า่ นง่ั มา้ ประเภท กดู า กดู า บอื รตั (kuda-kuda berat) กเ็ ปน็ สงิ่ ทขี่ าดไมไ่ ดโ้ ดยเฉพาะในการแขง่ ขนั ประเภทตอ่ ส ู้ เนื่องจากวา่ หากนักกฬี าสามารถใชก้ ระบวนท่า กดู า กูดา บือรตั (kuda-kuda berat) ได้อย่าง แข็งแรงและสมบูรณ์แล้ว นักกีฬาก็จะได้เปรียบคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้ามในเร่ืองพละก�าลังของขาท่ีเหนือกว่า กลา่ วคอื เม่ือโดนคตู่ อ่ ส้จู บั ทุ่ม หรือเม่ือโดนคู่ต่อสูเ้ ตะกจ็ ะ แขง็ แรง ไมล่ ้มไดง้ า่ ยๆ จงึ เปน็ ขอ้ ไดเ้ ปรียบสา� หรบั นกั กฬี า ดงั นัน้ ท่านงั่ มา้ ประเภท กูดา กดู า บือรตั (kuda-kuda berat) กเ็ ป็นสง่ิ ท่ีผู้ฝึกสอนและนกั กฬี าไมค่ วร มองข้ามเไชมน่ ่ไเดดเ้ ียชวน่ กเดันียวกนั สา� หรบั ผฝู้ กึ สอน จา� เปน็ ตอ้ งมคี วามอดทนเปน็ อยา่ งสงู ในการสอนกระบวนทา่ นง่ั มา้ กดู า-กดู า (kuda- kuda) ทงั้ หมด จะตอ้ งหม่นั ทบทวนกระบวนท่าอยเู่ สมอ ซ้�าไปซ�้ามา ควรสอนใหน้ ักกฬี าเดนิ หน้า ถอยหลงั ใน กระบวนท่าน่ังม้าแต่ละประเภทได้อย่างคล่องแคล่ว จะต้องใช้จิตวิทยาในการหาวิธีการสอนท่ีหลากหลาย เพอ่ื ไมใ่ หน้ กั กฬี าเกดิ ความเบอ่ื หนา่ ยและมคี วามสนกุ สนานอยากทจี่ ะซอ้ มอยตู่ ลอดเวลา กอ่ นทจี่ ะเปลย่ี นเปน็ กระบวนท่าอนื่ ๆ ที่ยากยงิ่ ขน้ึ ไป ข้อควรค�านึงของกระบวนทา่ น่ังมา้ กดู า กูดา (kuda-kuda) คอื การวางขาให้ถกู ต้อง เพอ่ื ให้สามารถ วางขาได้อยา่ งสมดุลกับร่างกาย สมดลุ กับการวางแขน (รา่ ยรา� ) ไปจนถงึ มีความสมดุลกบั อวยั วะบางส่วน เช่น หลงั กน้ อก ไหล ่ เปน็ ตน้ ดงั นน้ั ผฝู้ กึ สอนตอ้ งหมน่ั ฝกึ ฝนใหน้ กั กฬี านา� กระบวนทา่ นง่ั มา้ กดู า กดู า (kuda-kuda) มาใช้ได้อย่างอัตโนมัต ิ เมื่อใช้แล้วจะเกิดท่วงท่าท่ีมีความสวยงาม ท่วงท่าที่มีความสมดุลกับร่างกาย จึงเป็น ขอ้ ได้เปรียบที่จะสามารถเอาชนะใจกรรมการ ในการตัดสนิ การแขง่ ขันได้ 18 18 คูม่ อื ผฝู้ ึกสอนกีฬาปันจักสลี ตั

คู่มอื ผู้ฝกึ กสอานรกกฬี ีฬาปานั แจหกั ส่งีลปตั ระเทศไทย 3.2 เทคนิคกำรรำ� ซีกปั ปำซงั (Sikap pasang) ซกี ัป ปาซัง (sikap pasang) คือ กระบวนท่ารา่ ยรา� เป็นเอกลักษณเ์ ฉพาะตวั ทา� ใหป้ นั จกั สลี ัตมี ความแตกต่างจากกีฬาศิลปะตอ่ สปู้ อ้ งกันตัวประเภทอนื่ ซีกัป ปาซงั (sikap pasang) จะเปน็ กระบวนทา่ ทีม่ ี การผสมผสานกันระหวา่ ง ขา แขน และท่านง่ั ม้ากูดา กดู า (kuda-kuda) นา� มารวมกันเปน็ กระบวนท่าทม่ี ชี ื่อ เฉพาะ ทัง้ นี้แต่ละชมรมจะมีทา่ ของซีกัป ปาซัง (sikap pasang) หรอื การรา่ ยรา� แตกต่างกันออกไป ทา่ รา่ ยรา� ทสี่ วยงาม เกดิ จากการฝกึ ฝนกนั อยา่ งสมา่� เสมอ จนสามารถนา� มาใชไ้ ดอ้ ยา่ งอตั โนมตั ิ นกั กฬี า สามารถเลือกสรรท่าร่ายร�าที่ตนเองถนัด และชื่นชอบมาเป็นท่าประจ�าตัวในการแข่งขันประเภทต่อสู ้ ซึ่งเมื่อกระบวนท่าสวยงาม นักกีฬาจะเกิดความมั่นใจไปแล้วเกินครึ่ง ดังนั้นท่าร่ายร�าที่ดีจึงมีอิทธิพลต่อ ความพรอ้ มและความม่ันใจทั้งรา่ งกายและจติ ใจของนกั กฬี าเป็นอย่างมาก ชมรมแต่ละชมรม ประเทศแต่ละประเทศจะมีท่วงท่าการร่ายร�าที่ไม่ซ�้าแบบใคร ตัวอย่างเช่น ชมรม ปันจักสีลัตนูซันตารา ได้ก�าหนดกระบวนท่าร่ายร�าพ้ืนฐานจากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านกีฬาปันจักสีลัต เปน็ กระบวนทา่ รา่ ยรา� ประจา� ชมรม ทมี่ ชี มรมแตกสาขาอยทู่ ว่ั ทกุ มมุ โลก ไมว่ า่ จะเปน็ ชมรมปนั จกั สลี ตั นซู นั ตารา แหง่ ประเทศอนิ โดนเี ซยี ประเทศไทย ประเทศฟลิ ปิ ปนิ ส ์ ประเทศเยอรมนั และประเทศอติ าล ี เปน็ ตน้ ซง่ึ นอกจาก ชมรมนูซันตาราแล้ว ประเทศอินโดนีเซียผู้เป็นเจ้าต�านานของศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวปันจักสีลัต ก็ยังมีชมรม ปันจักสีลตั อน่ื อีกหลายชมรม ดงั น้ันกระบวนทา่ ร่ายร�าในแต่ละชมรมก็ยอ่ มมีความแตกต่างกันออกไป คูม่ ือผู้ฝึกสอนกฬี าปนั จกั สลี ัต 19 19

การกฬี าแหค่มู ่งือปผฝู้ รึกะสเทอนศกไีฬทายปันจกั สีลัต กระบวนท่ำร่ำยร�ำเบือ้ งต้นที่แตล่ ะชมรมจะน�ำมำใชเ้ พ่ือเปน็ พืน้ ฐำนเดยี วกันมอี ย่ ู 2 ประเภท คอื 1. ท่าร่ายร�าแบบเปิด (Sikap Pasang Terbuka) คือท่าร่ายร�าท่ีมือและแขนกางออก และต้องไม่ บดบังรา่ งกาย 2. ท่าร่ายร�าแบบปิด (Sikap Pasang Tertutup) คือ ท่าร่ายร�าท่ีมือและแขน ต้องบังร่างกายเพื่อ ปกป้องร่างกายจากการท�าร้ายของคตู่ ่อสู้ รปู ท1ี่ รูปท ่ี 2 ทำ่ ร่ำยรำ� แบบเปดิ ท่ำร่ำยร�ำแบบปิด (SikapPasangTerbuka) (Sikap Pasang Tertutup) กางแขนออก ปล่อยแขนตามสบาย ทา่ รา่ ย แขนท้ังสองข้างอยู่ในท่าท่ีปิดเพื่อปิดบัง รา� นเ้ี หมาะทจ่ี ะใชเ้ พอ่ื เปน็ ทา่ ลอ่ ลวงคตู่ อ่ สใู้ หเ้ ขา้ มา รา่ งกายสว่ นบน พรอ้ มกม้ ตวั เอนตวั ไปทางขา้ งหนา้ ประชิดตัว พร้อมเฝ้าคอยการรุกของคู่ต่อสู้อย่าง เล็กน้อย ท่านี้จะใช้ได้ทั้งการเป็นฝ่ายรุกและเป็น ระมดั ระวัง เม่ือคู่ตอ่ สู้เผลอคิดว่าจะสามารถเข้าถึง ฝา่ ยรบั ตัวไดง้ า่ ยแลว้ จงึ ค่อยหาทางโตต้ อบ ท่าร่ายร�าทั้ง 2 ประเภท ดังนี้ นิยมใช้กันมากในขณะท�าการแข่งขันประเภทต่อสู้ เป็นกระบวนท่า ร่ายร�าก่อนท�าการต่อสู ้ โดยร่ายรา� แบบเปิด ใช้เพื่อหลอกล่อ คู่ต่อสู้ และร่ายรา� แบบปิดใช้เพ่ือป้องกันบริเวณ ล�าตัว 20 20 คูม่ อื ผฝู้ ึกสอนกีฬาปันจกั สีลตั

คูม่ ือผ้ฝู กึ กสอานรกกฬี ฬีาปาันแจหักสง่ ลี ปัต ระเทศไทย ทำ่ ร่ำยรำ� พ้นื ฐำน นซู นั ตำรำ Nusantara (12 bentuk Sikap pasang Nusantara) ท่ำที่ 1 เหยียดแขนขวาไปข้างหน้ามือซ้ายก�าหมัด ยกข้นึ วางบริเวณห ู พับศอก (หลงั มือหันเข้าห)ู แยกขาออก โดยขาซ้ายอยู่หน้างอเข่า ขาขวาถอยหลงั ใหข้ าตงึ ตามองคตู่ อ่ สู้ ทำ่ ท่ี 2 กางแขนซ้ายไปทางด้านข้าง แขนขวา พบั ศอกแบมือวางบรเิ วณใต้คาง ยกขาขวา สงู ประมาณเข่าซ้าย ตามองค่ตู ่อสู้ คมู่ อื ผฝู้ ึกสอนกฬี าปันจักสีลัต ทำ่ ที่ 3 กางแขนออกทั้งสองข้าง แขนขวากางไป ข้างหน้า (ต�่ากว่าใบหน้า) แขนซ้ายกางออกไป ข้างหลัง (ชูสูงกวา่ ศรี ษะ) ขาขวาไขวห้ ลงั ขาซา้ ยงอเขา่ เลก็ นอ้ ย หนั หนา้ มองตามแขนขวา 21 21

การกฬี าแหคู่มง่ อื ปผูฝ้ รกึ ะสเทอนศกไีฬทายปนั จักสีลัต ท่ำที่ 4 กางแขนออกทั้งสองข้างแขนขวากาง ตา่� บรเิ วณเอว แขนซา้ ยกางยกสงู ขนึ้ เหนอื ศรี ษะ แยกขาออกท้ังสองข้าง งอเข่าเล็กน้อย หันหนา้ ตรงตามล�าตัว ทำ่ ท่ี 5 ยกแขนขวาขึ้นพับศอกตั้งฉากกับใบหน้า แขนซ้ายปิดลา� ตวั มือจบั เอว ขาทั้งสองชิดติดกัน หันหน้าข้างล�าตัว (ทางด้านแขนขวา) ท่ำท ่ี 6 กางแขนขวาไปด้านข้างล�าตัว (ต่�ากว่า ใบหน้า) แบบมอื หงาย แขนซ้ายพับศอกตง้ั มอื วางใตค้ าง ขาขวาไขวห้ น้าขาซา้ ย งอเขา่ เล็กน้อย ตาม องคู่ต่อสู้ (หันหลงั ให้คตู่ ่อสู้) 22 22 คมู่ อื ผฝู้ ึกสอนกีฬาปันจักสีลัต

คมู่ ือผฝู้ กึ กสอานรกกีฬฬีาปาันแจหกั ส่งลี ปตั ระเทศไทย ท่ำท ี่ 7 แขนขวางอศอก มือขวาก�าหมัด เข้าหาล�าตัว แขนซ้ายแบมือ วางมือ บรเิ วณศอกขวา แยกขาทง้ั สองขา้ ง งอเขา่ ตามอง ที่ศอกขวา (มองคู่ต่อสู้เม่ือเข้าประชิด ตวั ) ทำ่ ท ี่ 8 แขนขวาจับเข่าขวา แขนซ้ายพับ งอศอกตัง้ ฉากเหนอื ศีรษะ ขาขวางอเข่าเล็กน้อย ขาซ้าย แยกออกเหยยี ดตรง ตามองค่ตู อ่ สู้ คู่มือผู้ฝึกสอนกฬี าปนั จกั สีลตั ทำ่ ที ่ 9 แขนขวาพับศอก มือก�าหมัดวาง บริเวณหู แขนซ้ายพับศอกตั้งฉากปิด ตัวบริเวณอก ก้าวขาขวาไปข้างหน้า งอเข่า แยก ขาซ้ายวางด้านหลัง ขาเหยียดตึง หนา้ มองคูต่ ่อสู้ 23 23

การกฬี าแหคู่มง่ ือปผฝู้รกึ ะสเทอนศกไฬีทายปนั จกั สลี ัต ท่ำที ่ 10 นงั่ ลงโดยขาขวาวางทบั บนขาซา้ ย 24 แขนทั้งสองกางออกแขนซ้ายยก สูงเหนือศีรษะ แขนขวากางต่�ากว่า ใบหน้า หันหน้ามองตามทิศทาง แขนขวา (เน่ืองจากเป็นท่าแบบนั่ง จึงไม่นิยมใช้ในการแข่งขันประเภท ต่อส้)ู ทำ่ ท่ี 11 น่ังลงโดยขาขวาพับเข่ าไป ข้างหน้า ขาซ้ายวางด้านหลังงอเข่า เล็กน้อย แขนซา้ ยยกสงู เหนอื ศรี ษะงอศอก เลก็ นอ้ ย แขนขวาวางบนพนื้ (เนอื่ งจาก เป็นท่าแบบน่ัง จึงไม่นิยมใช้ในการ แข่งขันประเภทตอ่ ส)ู้ ท่ำท่ ี 12 แขนขวากา� หมดั วางบรเิ วณหนา้ อก แขนซ้ายเหยียดไปข้างหน้าแบมือ งอศอกเลก็ นอ้ ย แยกขาทั้งสองข้างออก ล�าตัว ตั้งตรง อกผายไหล่ผ่ึง ตามองตาม ทศิ ทางแขนซา้ ย (เปน็ ทา่ รา่ ยรา� พน้ื ฐาน ทนี่ ิยมน�ามาใชม้ ากทสี่ ดุ ) 24 คูม่ อื ผฝู้ ึกสอนกีฬาปันจักสีลตั

ค่มู ือผฝู้ ึกกสอานรกกฬี ฬีาปาันแจหกั สง่ ลี ปัต ระเทศไทย 3.3 เทคนคิ กำรกำ้ วเท้ำ ลังกะห ์ (Langkah) การก้าวเท้าเป็นเทคนิคที่ใช้ในการเดินหน้าและเดินถอยหลัง ทั้งนี้ต้องอาศัยความสมดุลของร่างกาย เทา้ และแขน ให้เป็นไปในทศิ ทางเดียวกนั การกา้ วเทา้ กเ็ ปน็ เทคนคิ ทสี่ �าคญั ไมแ่ พเ้ ทคนคิ อนื่ ๆ เนอ่ื งจากในการแขง่ ขนั ไมว่ า่ เราจะเปน็ ฝา่ ยรกุ หรอื เปน็ ฝา่ ยรบั การเคลอ่ื นไหวของเทา้ มสี ว่ นส�าคญั มากทส่ี ง่ ผลใหน้ กั กฬี ามคี วามพรอ้ มและมน่ั ใจ เพอ่ื ใหก้ ารแขง่ ขนั สมบรู ณ์ บอ่ ยครงั้ ทก่ี ารตอ่ สลู้ ม้ เหลว ไมเ่ ปน็ อยา่ งทตี่ อ้ งการ สว่ นหนงึ่ เนอื่ งจากวา่ การกา้ วเทา้ ของนกั กฬี ายงั คง บกพรอ่ งอย ู่ เมอ่ื นกั กฬี าไมม่ น่ั ใจในการกา้ วเทา้ ของตนเอง ทา� ใหค้ ตู่ อ่ สอู้ กี ฝา่ ยสามารถอา่ นการเคลอื่ นไหวและ ตอบโตไ้ ด้ทนั ความผิดพลาดท่นี ักกฬี าไมส่ ามารถกา้ วเท้าอย่างถกู วิธ ี ทา� ใหผ้ ฝู้ ึกสอนและนักกฬี าต้องกลบั มา ซอ้ มเทคนิคการก้าวเท้าอย่างหนักอกี ครงั้ เพื่อแกไ้ ขปญั หาดงั กลา่ ว เทคนิคการก้าวเท้าของกีฬาปันจักสีลัต จะมีเทคนิคพ้ืนฐานที่น�ามาฝึกฝนกันอย่างแพร่หลาย ส่วนเทคนิคเฉพาะท่ีแต่ละทีมคิดค้น หรือนา� มาเป็นเทคนิคก้าวเท้าเฉพาะของแต่ละบุคคลน้ัน ข้ึนอยู่กับทีมจะ เป็นผู้สรรหา ท้ังน้ีในบทน้ีต้องขออธิบายถึงเทคนิคพื้นฐานเพ่ือเป็นประโยชน์ในการคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ และ ยากย่ิงขน้ึ ไป โครงสรำ้ งกำรก้ำวเท้ำโดยรวม 1. a.A1-D1 : ก้าวหนา้ ซา้ ย b. A2-D1 : กา้ วหน้าขวา c. A1-D2 : ก้าวหลงั ซ้าย d. A2-D2 : ก้าวหลังขวา 2. a. A1-B1 : ก้าวข้างซ้าย b. A2-B2 : กา้ วขา้ งขวา 3. a. A1-C1 : ก้าวเฉยี งหนา้ ซ้าย b. A2-C2 : ก้าวเฉยี งหน้าขวา c. A1-C3 : ก้าวเฉียงหลังซา้ ย d. A2-C4 : กา้ วเฉยี งหลงั ขวา คมู่ อื ผฝู้ ึกสอนกีฬาปนั จักสีลตั 25 25

การกีฬาแหค่มู ่งอื ปผ้ฝู รกึ ะสเทอนศกไฬีทายปันจกั สีลัต 1. ก้ำวเท้ำไปข้ำงหนำ้ ลงั กะห ์ ลูรสุ (Langkah lurus) a. กา้ วหน้าซา้ ย (Langkah lurus depan kiri) b. ก้าวหนา้ ขวา (Langkah lurus depan kanan) c. ก้าวหลังซา้ ย (Langkah lurus mundur kiri) d. ก้าวหลงั ขวา (Langkah lurus mundur kanan) 2. ก้ำวเท้ำไปด้ำนขำ้ ง ลังกะห์ ซำ� เป็ง (Langkah samping) a. กา้ วขา้ งซ้าย (Langkah samping kiri) b. ก้าวข้างขวา (Langkah samping kanan) 26 26 คมู่ ือผฝู้ ึกสอนกฬี าปนั จักสีลตั

คมู่ ือผฝู้ ึกกสอานรกกีฬาีฬปันาจแหักส่งลี ตัประเทศไทย 3. ก้ำวเทำ้ เฉียง ลงั กะห์ เซรอง (Langkah serong) a. ก้าวเฉยี งหนา้ ซา้ ย (Langkah serong depan kiri) b. กา้ วเฉยี งหนา้ ขวา (Langkah serong depan kanan) c. กา้ วเฉียงหลงั ซ้าย (Langkah serong mundur kiri) d . กา้ วเฉยี งหลงั ขวา (Langkah serong mundur kanan) 4. ก้ำวเทำ้ ซีลัง ลงั กะห ์ เซลัง (Langkah Selang) a. ก้าวซลี งั ซา้ ย (Langkah Selang depan kiri) b. กา้ วซีลงั ขวา(Langkah Selang depan kanan) ค่มู ือผู้ฝึกสอนกฬี าปนั จักสลี ตั 27 27

การกีฬาแหคูม่ ่งอื ปผู้ฝรกึ ะสเทอนศกไฬี ทายปันจกั สีลัต 5. กำ้ วเทำ้ ปีลิน (Langkah Pilin) a. กา้ วปลี นิ ซา้ ย Langkah Pilin ke kiri b. กา้ วปลี นิ ขวา Langkah Pilin ke kiri 6.ก้ำวเท้ำ ปูตรั (Langkah Putar) a. กา้ ว ปตู ัร ซ้าย Langkah Putar ke kiri b. ก้าว ปตู รั ขวา Langkah Putar ke kanan 28 28 ค่มู ือผฝู้ กึ สอนกฬี าปนั จักสลี ตั

คมู่ ือผฝู้ ึกกสอานรกกีฬาฬี ปนัาจแหกั ส่งลี ตัประเทศไทย 3.4 เทคนิคกำรหลบเบลำอัน (Belaan) เทคนคิ การปอ้ งกนั ตวั เปน็ เทคนคิ ทมี่ คี วามจ�าเปน็ อยา่ งยง่ิ ทต่ี อ้ งเรยี นรแู้ ละฝกึ ฝนอยา่ งถกู วธิ ี โดยทว่ั ไป มนุษย์ตอ้ งป้องกันตวั เสมอเมือ่ มีอันตรายเกิดข้ึน การตอ่ สู้เม่ือตอ้ งอยู่ในสภาพเปน็ ฝ่ายเสยี เปรยี บ ยอ่ มจ�าเปน็ ทีจ่ ะตอ้ งปอ้ งกันตวั จากอนั ตรายนัน้ ๆ การตั้งรับทดี่ ีต้องตง้ั รับอย่างมสี ต ิ ตง้ั รับอย่างไรให้ปลอดภัย ต้ังรับอยา่ งไรให้บาดเจ็บน้อยทีส่ ุด และ ตงั้ รับอย่างไรเพ่อื สามารถตอบโตค้ ู่ตอ่ ส้ไู ด้ทนั เทคนิคการปอ้ งกันตวั หรอื การเป็นฝ่ายรบั นี ้ ถอื ได้วา่ เปน็ เทคนิค ขั้นสูงและค่อนข้างยาก นักกีฬาจึงต้องหมั่นฝึกซ้อม จนเกิดเป็นทักษะเฉพาะตัว และเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยแล้ว สามารถนา� มาใชไ้ ดอ้ ยา่ งอตั โนมตั ิ เชน่ คตู่ อ่ สเู้ ตะขาขวาตรงบรเิ วณลา� ตวั ฝา่ ยรบั ตอ้ งรบี กระโดดสลบั ขาเขา้ ทาง ขา้ งลา� ตวั ซา้ ยของคตู่ อ่ สจู้ งึ จะไมโ่ ดนเตะ เปน็ ตน้ แตห่ ากนกั กฬี าไมเ่ คยฝกึ ฝนกระบวนทา่ หลบหลกี เลย นกั กฬี า จะไม่สามารถหลบได้ทนั และสง่ ผลใหเ้ สียคะแนน และเจ็บตัวอีกด้วย การแข่งขันกีฬา ปันจักสีลัต ประเภทต่อสู้นั้น หากนักกีฬาสามารถหลบหลีกและตอบโต้ได้ทันเวลา จะสามารถเพิม่ คะแนนได ้ +1 เชน่ เมอื่ หลบหลีกได้แล้ว และเตะโดนบริเวณล�าตวั คตู่ อ่ สู้ไดอ้ ีก คะแนนทีค่ วรได้ คือ 1+2 คะแนน เป็นตน้ เทคนคิ กำรป้องกนั พนื้ ฐำนหรือกำรหลบหลกี มี 2 ประเภท ได้แก่ 3.4.1. เทคนิคกำรหลบ ตังเกสสัน (Tangkisan) เทคนคิ ตงั เกสสนั (Tangkisan) เปน็ เทคนคิ เพอื่ ปอ้ งกนั ตวั และตอบโตค้ ตู่ อ่ ส ู้ โดยใชอ้ วยั วะ ของร่างกาย บริเวณ ลา� ตัว แขน และขา เทคนคิ ตงั เกสสนั (Tangkisan) พนื้ ฐานทนี่ ยิ มนา� มาใชใ้ นสนามแขง่ ขนั ทว่ั ไป จนถงึ สนาม แขง่ ระดบั นานาชาต ิ ม ี ดว้ ยกนั 6 เทคนคิ คอื เทคนิค ตังเกสสัน (Tangkisan) ตือเปส (tepis) กือดิก (gedik) สกี ู (siku) จือป๊ดิ (jepit) ปอตอง (potong) กาลัง (galang) และลูตุด(lutut) เทคนคิ การปอ้ งกนั ตวั พื้นฐานน้ี ถือว่าเป็นเทคนิคท่ีส�าคัญอย่างย่ิงส�าหรับนักกีฬา ผู้เขียนจึงมีภาพประกอบเพ่ือให้ผู้สนใจสามารถฝึกฝนได้ อย่างตอ่ เนื่อง และเกิดทักษะอยา่ งอตั โนมตั ใิ นทส่ี ุด ดังนี ้ A. ตังเกสสนั ตอื เปส (Tangkisan tepis) เป็นเทคนิคทีใ่ ชป้ ้องกนั ตวั ไดด้ ีเมื่อคตู่ อ่ สู้เตะเข้าบริเวณล�าตวั ซึง่ อวัยวะท่ใี ชป้ ้องกนั คอื การใช้ฝ่ามือ ปัดขาคตู่ อ่ สู้ เพือ่ ป้องกันไม่ใหเ้ ตะโดนส่วนส�าคัญของร่างกาย เทคนิคการป้องกันน้ี จะน�ามาใช้ได้ดีในกรณีที่คู่ต่อสู้เตะด้วยท่าเตะ ไซด์ คิก (Side kick) และ ฟรอ้ น คกิ (front kick) เป็นท่าทนี่ ยิ มกันมากในการแขง่ ขนั ระดบั นานาชาต ิ เน่อื งจากเป็นท่าทงี่ า่ ยตอ่ การฝกึ ฝน และสามารถป้องกนั ตวั ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ สง่ิ ท่นี ักกฬี าพงึ ระวังในการใชเ้ ทคนคิ ตอื เปส คือ ตอ้ งเกบ็ นวิ้ ทุกนวิ้ ใหช้ ิดกนั เพือ่ ปอ้ งกันการกระแทก จากแรงเตะ ซ่งึ อาจจะเกิดการหักของนิว้ ได้ ดงั ภาพประกอบ คมู่ อื ผฝู้ กึ สอนกฬี าปันจักสีลัต 29 29

การกีฬาแคหมู่ ง่ ือผป้ฝู รกึ สะเทอนศกไฬี ทายปนั จักสีลตั ตงั เกสสัน ตอื เปส ( Tangkisan tepis) เทคนคิ การซ้อมเพื่อการยนื กับท่ี รปู ที่ 1 รปู ท่ี 2 ยนื ดว้ ยกระบวนทา่ กดู า-กดู า ตอื งะห ์ รงี นั (kuda- แกว่งแขนจากเหนือศรี ษะ ลงปัดป้องตัวตามการ kuda tengah ringan) ชูแขนขวาข้ึนเหนือศีรษะ เตะของคตู่ อ่ ส ู้ (สว่ นใหญก่ ารเตะจะประมาณเอวลงมา นิว้ ชิดกันทุกนว้ิ ( ตามองตาม) มอื ซ้ายกา� หมัดปอ้ งตวั เลก็ นอ้ ย) พรอ้ มทง้ั ใหเ้ ปลยี่ นทศิ ทางของขาทง้ั สองตาม บริเวณอก การปดั ขา (ขาขวาบิดตรง ขาซ้ายงอเขา่ เลก็ น้อย) เทคนคิ การซอ้ มเพ่ือการเคล่อื นไหวไปขา้ งหนา้ ใชก้ ระบวนท่า กดู า-กดู า ดือปัน เซรอง (Kuda-Kuda depan serong) รปู ที่ 1 รูปท่ี 2 รูปท่ี 3 ขาซา้ ยวางขา้ งหนา้ ขาขวาวาง ขาขวาชดิ ซ้าย ลา� ตัวเอยี งซ้าย แกว่งแขนป้องตัวจากข้างบน ข้างหลังย่อตัวลง แขนท้ังสองข้าง เล็กน้อย พร้อมแขนซ้ายกางเหนือ พร้อมก้าวขาขวาไปข้างหน้า ป้องตวั สายตามองค่ตู ่อสู้ ดงั รปู ศรี ษะ (เตรียมปัด) (ตามองฝา่ มือ) 30 30 คู่มือผูฝ้ ึกสอนกฬี าปนั จกั สีลัต

คู่มือผู้ฝกึ กสอานรกกีฬาีฬปันาจแหักส่งลี ัตประเทศไทย B. ตังเกสสัน กอื ดกิ (Tangkisan Gedik ) เปน็ เทคนคิ ทใ่ี ชป้ อ้ งกนั ตวั ไดด้ ี เมอ่ื คตู่ อ่ สทู้ ง้ั เตะ และตอ่ ย กลา่ วคอื เทคนคิ นจี้ ะสามารถรบั มอื ไดท้ ง้ั เตะ และต่อย โดยอวยั วะทใี่ ชป้ อ้ งกันคอื สว่ นล่างของแขน เทคนิคตังเกสสัน กือดิก (Tangkisan Gedik ) ต้องใช้ความระมัดระวังในการน�ามาใช้ เนื่องจาก เทคนคิ น้ ี ตอ้ งใชแ้ ขนสว่ นลา่ งซงึ่ เปน็ สว่ นทโี่ ดนบรเิ วณกระดกู หากคตู่ อ่ สเู้ ตะเขา้ อยา่ งหนกั อาจท�าใหเ้ กดิ อาการ บาดเจ็บ จนถงึ ขนั้ แขนหกั ได ้ กระบวนท่าของเทคนิค จะคลา้ ยเทคนคิ ตงั เกสสนั ตือเปส (Tangkisan tepis) ต่างกันตรงท่ี ต้องก�าหมัดและป้องตัวโดยใช้บริเวณแขน ส่วนเทคนิค ตังเกสสัน ตือเปส (Tangkisan tepis) ใชบ้ รเิ วณฝ่ามือปดั คมู่ อื ผฝู้ ึกสอนกีฬาปนั จกั สลี ตั 31 31

การกีฬาแหค่มู ง่ อื ปผู้ฝรกึ ะสเทอนศกไีฬทายปนั จักสีลัต ตงั เกสสัน กอื ดกิ (Tangkisan Gedik ) เทคนิคการซ้อมเพอ่ื การยืนกบั ที่ รูปท่ี 1 รปู ที่ 2 ยนื ดว้ ยกระบวนทา่ กดู า-กดู า ซา� เปง็ รงี นั (kuda- แกว่งแขนจากเหนอื ศีรษะ ลงป้องตวั บริเวณล้นิ ป่ี kuda samping ringan) ก�าหมัดและชูแขนขวา และทอ้ ง (หรอื ตามความสงู ของขาและหมดั ของคตู่ อ่ สู้ ขึ้นเหนือศีรษะ ตามองตาม มือซ้ายแบมือป้องตัว ขณะออกอาวุธ) พร้อมทั้งให้เปล่ียนทิศทางของขาท้ัง บรเิ วณอก สองตามแรงแกว่งของการปดั (ยอ่ เขา่ ขวาเข่าชีต้ รงไป ดา้ นหนา้ สว่ นขาซา้ ยช้ไี ปด้านข้าง) เทคนิคการซ้อมเพื่อการเคล่อื นไหวไปข้างหน้า ใชก้ ระบวนทา่ กดู า-กดู า ตอื งะห์ รงี ัน Kuda-Kuda tengah serong รปู ที่ 3 รปู ท่ี 4 รูปที่ 5 ขาซา้ ยวางขา้ งหนา้ ขาขวาขา้ ง ขาขวาชิดขาซ้าย ล�าตัวเอียง แกว่งแขนป้องตัวจากข้างบน หลังย่อตัวลง แขนท้ังสองข้างป้อง ซ้ายเล็กน้อย พร้อมชูแขนซ้าย พรร้อ้อมมกก้าว้าขวาขขวาาขไวปาขไ้าปงหนต้าา มตาอมง ตัวสายตามองคูต่ ่อสู้ มือก�าหมัดเหนือศีรษะ แขนขวา อตงาตมาฝม่าฝม่าืมอือ( ใ(ใชช้ท้ท่า่าน่ังม้าา กกูดู า- แบมอื ปอ้ งตวั ระดบั อก สายตามอง กูดา ตืองะห์ รีงัน (Kuda-Kuda ตามหมัด ย่อเขา่ เล็กน้อย tengah serong) 32 32 คมู่ ือผู้ฝึกสอนกฬี าปันจกั สลี ตั

คู่มือผฝู้ ึกกสอานรกกฬี าฬี ปนัาจแหักส่งลี ปตั ระเทศไทย C. ตงั เกสสัน จอื เปด บำวะห ์ (Tangkisan Jepit Bawah) เป็นเทคนิคท่ีใช้ป้องกัน อวัยวะส่วนส�าคัญของร่างกาย ในส่วนของบริเวณล้ินปี่ ท้องน้อย ซ่ีโครง ไปจนถึงบริเวณส่วนใบหน้า เน่ืองจากเป็นเทคนิคท่ีสามารถป้องกันการเตะ (Front kick) หรือท่าเตะอ่ืนๆ โดยการใช้แขนส่วนล่างทงั้ สองขา้ งป้องกันไม่ให้โดนอวัยวะส�าคัญ เทคนคิ น ี้ นอกจากสามารถปอ้ งกนั ตวั จากการเตะแลว้ กย็ งั สามารถโตต้ อบกลบั ไดด้ ว้ ยการจบั ขาคตู่ อ่ สู้ แล้วผลกั ออกไป หรอื จบั ขาแล้วทา� ล้ม เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดี การซ้อมด้วยเทคนิคนี้ ควรเป็นการซ้อมแบบคู่ ให้หน่ึงคนเป็นคนเตะและ อกี หน่งึ คนเปน็ ผรู้ ับการตอบโต ้ สลับกันไป ค่มู อื ผู้ฝกึ สอนกฬี าปันจกั สลี ัต 33 33

การกีฬาแหคูม่ ่งือปผู้ฝรกึ ะสเทอนศกไีฬทายปนั จักสลี ตั ตงั เกสสนั จือเปด บำวะห ์ (Tangkisan Jepit Bawah) เทคนคิ กำรซอ้ มเพอื่ กำรยืนกบั ที่ รูปท่ ี 1 รูปท่ี 2 ยนื ตัวตรงแยกขาเล็กนอ้ ย มอื ทงั้ สองขา้ งกา� หมดั ออกแรงดันหมัดท้ังสองข้างลงบริเวณเอว หรือ (หงายข้นึ ) วางบริเวณอกใกล้ รักแร้ บริเวณทค่ี ตู่ ่อสอู้ อกอาวุธ แขนทง้ั สองข้างไขวห้ นบี ขา ค่ตู ่อสู้ (บรเิ วณที่ใชป้ อ้ งกนั คือบรเิ วณกระดูกแขนใกล้ ขอ้ มือ) เทคนคิ กำรซอ้ มเพ่อื กำรเคลือ่ นไหวไปขำ้ งหนำ้ ใชก้ ระบวนทำ่ กดู ำ-กูดำ ดือปัน เซรอง (Kuda-Kuda depan serong) รปู ท่ี 3 รูปที ่ 4 รปู ที ่ 5 ขาซา้ ยวางขา้ งหนา้ ขาขวาขา้ ง ขาขวาชิดขาซ้ายงอเข่า ก้าวขาขวาไปข้างหน้า งอเข่า หลังย่อตัวลง แขนท้ังสองป้องตัว เล็กน้อย เอียงตัวไปทางขวา ขาซา้ ยเหยยี ดตรง (เอียงตวั ไปข้าง สายตามองค่ตู อ่ สู้ เล็กน้อย ก�าหมัดไวบ้ ริเวณอก หนา้ ) พรอ้ มออกแรงดนั หมดั 34 34 คมู่ อื ผฝู้ ึกสอนกฬี าปันจกั สีลัต

คูม่ ือผฝู้ กึ กสอานรกกฬี ีฬาปานั แจหักสง่ ีลปตั ระเทศไทย D. ตังเกสสัน ปอตอง (Tangkisan Potong) เทคนิค ตงั เกสสนั ปอตอง (Tangkisan Potong) เป็นเทคนคิ ทน่ี ิยมใช้กันมาก ในการแข่งขนั ประเภท ตอ่ ส้ ู เนอ่ื งจากเปน็ เทคนคิ ทใ่ี ชไ้ ดง้ า่ ยและมปี ระสทิ ธภิ าพ แมก้ ระทง่ั นกั กฬี าทเ่ี ขา้ แขง่ ขนั เปน็ ครง้ั แรกกม็ กั จะน�า เทคนคิ นม้ี าใช้ในการแขง่ ขัน เทคนิคน้ีสามารถใช้ป้องกันการเตะได้กับทุกกระบวนท่าเตะ ท้ังการเตะ ไซด์ คิก (Side kick), ฟร้อน คิก (Front kick), ราวด ์ คกิ (Round kick) และ แบก๊ คิก(Back kick) เปน็ ต้นทง้ั น ้ี นักกีฬาตอ้ งออกแรง ป้องกันต้ังแต่บริเวณไหล่ แขนไปจนถึงการเกร็งนิ้วมือ ใช้ส่วนแขนในการรับลูกเตะของคู่ต่อสู้ ดังน้ัน นักกีฬา ควรเกร็งแขน งอศอกเลก็ น้อย หา้ มเหยียดแขนตรงเพราะแรงจากการเตะทหี่ นกั แนน่ อาจท�าใหแ้ ขนหักได้ นกั กฬี าควรเกร็งบริเวณขอ้ มือและนิว้ มอื ไปพร้อมๆ กัน เพอื่ ปอ้ งกนั การหักของนวิ้ และขอ้ มือ คูม่ อื ผู้ฝึกสอนกฬี าปนั จักสีลตั 35 35

การกฬี าแหคมู่ ง่ อื ปผู้ฝรึกะสเทอนศกไีฬทายปนั จกั สีลัต ตังเกสสัน ปอตอง (Tangkisan Potong) เทคนิคกำรซอ้ มเพ่อื กำรยนื กบั ที่ รูปท ี่ 1 รูปที ่ 2 ขาชิด แขนขวาวางบนแขนซ้าย เพื่อป้องกัน แกวง่ แขนขวาจากลา� ตวั ลงลา่ ง พรอ้ มแยกขาออก การเตะหรือตอ่ ยบริเวณล�าตัวบน (ขาซ้ายงอเข่า ขาขวาเหยยี ดตึง เอียงตวั ไปทางขวา) เทคนิคกำรซ้อมเพ่อื กำรเคลื่อนไหวไปข้ำงหน้ำ ใช้กระบวนทำ่ กดู ำ-กูดำ ดือปนั เซรอง (Kuda-Kuda depan serong) รปู ที่ 1 รูปท่ ี 2 รูปท ี่ 3 ขาซา้ ้ายยววาางวงาขง้าขงา้ หงหนน้าา้ ขขาาขวา ขาขวาชิดซ้ายเอียงตัวไปทาง ก้าวขาขวาไปข้างหน้าและ ข้างหลังย่อตัวลง แขนท้ังสองข้าง ซ้าย งอเข่าเล็กน้อย มือทั้งสอง ย่อเข่า ขาซ้ายเหยียดตึง พร้อม ปอ้ งตัวสายตามองค่ตู ่อสู้ ก�าหมัดป้องตัว (แขนขวาอยู่บน แกว่งแขนขวาลงล่าง แขนซ้าย แขนซ้ายอยูล่ า่ ง) ดงั รปู ป้องอก 36 36 คู่มือผฝู้ กึ สอนกฬี าปันจักสีลัต

คมู่ ือผ้ฝู ึกกสอานรกกฬี าีฬปนัาจแหักส่งีลตัประเทศไทย E. ตังเกสสนั กำลงั (Tangkisan Galang) เทคนิค ตังเกสสัน กาลัง (Tangkisan Galang) ใช้บริเวณแขนส่วนล่างตั้งแต่ข้อศอกไปจนถึงหมัด เป็นอวัยวะป้องกันหรือท่ีต้องรบั การออกอาวธุ จากค่ตู อ่ สู้ ขณะที่พับศอก และย่ืนออกนอกลา� ตวั ให้พบั ศอกท�ามุม 90 องศา ของข้อศอก แกว่งแขนจากข้างล�า ตวั เขา้ ปอ้ งกนั ลา� ตวั แขนอกี ขา้ งปดิ ปอ้ งอก ลา� ตวั และเอวหมนุ เปลย่ี นทศิ ทางไปตามแรงแกวง่ ของแขน (นกั กฬี า ตอ้ งออกแรงเกร็งแขนเข้าหาลา� ตวั เพือ่ ปอ้ งกัน เมอื่ คู่ต่อสูอ้ อกอาวธุ ) แต่เทคนิคนี้ ไม่นิยมน�ามาใช้ในการแข่งขันประเภทต่อสู้ เนื่องจากเป็นเทคนิคที่ใช้ป้องกันการเตะ หรือตอ่ ยระดบั สงู (บริเวณใบหนา้ ) ซง่ึ การแข่งขนั ประเภทตอ่ สไู้ ม่อนญุ าตใหน้ กั กีฬา เตะหรอื ตอ่ ยสงู เทคนิคน้ี จึงนยิ มนา� มาใช้เพ่ือป้องกันตัวเทา่ น้ัน คูม่ ือผูฝ้ ึกสอนกีฬาปันจกั สีลัต 37 37

การกีฬาแหคู่ม่งือปผฝู้ รกึ ะสเทอนศกไีฬทายปันจกั สลี ตั ตงั เกสสัน กำลัง (Tangkisan Galang) เทคนิคกำรซอ้ มเพอ่ื กำรยนื กบั ที่ รูปท่ี 1 รูปท่ี 2 ยกแขนขวาก�าหมัด ยื่นออกจากล�าตัว แขนซ้าย แกว่งแขนจากขา้ งลา� ตัว เข้าในล�าตวั เพ่อื ป้องตัว แบมือปอ้ งกนั บรเิ วณอก แยกขาออกเลก็ น้อย และบดิ เอวตามแรงแกว่ง เทคนคิ กำรซอ้ มเพอ่ื กำรเคล่อื นไหวไปขำ้ งหน้ำ ใชก้ ระบวนทำ่ กดู ำ-กูดำ ดือปนั เซรอง (Kuda-Kuda depan serong) รปู ท่ ี 3 รปู ท ่ี 4 รปู ท่ี 5 ขาซา้ ยวางหนา้ ขาขวาวางหลงั ขาขวาชิดซ้ายงอเข่าเล็กน้อย ก้าวขาขวาไปข้างหน้า งอเข่า ย่อตัวลง แขนทั้งสองป้องตัว เอียงตัวไปทางขวา แขนขวาก�า ขาซ้ายเหยียดตึง เอียงตัวตามขา ตามองคู่ต่อสู้ หมัด ยื่นออกไปนอกล�าตัว แขน ขวาพร้อมแกว่งแขนขวาจากข้าง ซ้ายแบมือปิดป้องบรเิ วณอก ล�าตัวเข้าในล�าตัว แขนซ้ายแบมือ ปดิ ปอ้ งอก 38 38 คมู่ อื ผู้ฝกึ สอนกฬี าปันจักสลี ตั

ค่มู ือผู้ฝกึ กสอานรกกีฬาีฬปันาจแหักส่งลี ัตประเทศไทย F. ตงั เกสสัน ซกี ู (Tangkisan Siku) เทคนคิ ตังเกสสนั ซีก ู (Tangkisan Siku) หรือเทคนคิ การป้องกันดว้ ยการศอก เปน็ เทคนคิ ปอ้ งกนั ที่ อันตรายส�าหรับคู่ตอ่ ส ู้ เนื่องจากเทคนคิ การศอกจะใชแ้ รงของขอ้ ศอกปะทะกบั ลา� แขง้ หรอื บรเิ วณใด ๆ ในสว่ น ของขา จนอาจเกดิ อาการชา�้ ของกล้ามเน้ือ หรือกระดกู ร้าว ไปจนถึงขัน้ กระดกู แตกหกั ไดเ้ ชน่ กัน ศอกเปน็ อวยั วะสว่ นทแ่ี ขง็ แรงทส่ี ดุ อกี สว่ นหนงึ่ ของรา่ งกาย อวยั วะศอกจะเปลย่ี นเปน็ อาวธุ ทอ่ี นั ตราย ไดห้ ากนา� มาใชป้ อ้ งกนั ตวั อยา่ งถกู วธิ ี เทคนคิ การปอ้ งกนั ดว้ ยการใชศ้ อกน ้ี จะใชแ้ รงเหวย่ี งศอกจากลา� ตวั ตง้ั แต่ หวั ถงึ เอวท�าหนา้ ทอี่ อกแรงเหวย่ี งศอก และขาเอยี งตามล�าตวั เพอื่ ชว่ ยใหก้ ารปอ้ งกนั ดว้ ยศอกแขง็ แรง สามารถ ออกแรงได้อยา่ งมีประสิทธิภาพมากขึน้ นักกฬี าควรใช้ความระมดั ระวังในการซอ้ ม โดยเฉพาะเม่อื ต้องซ้อมเขา้ ค ู่ เพราะหากท�าการซ้อมอย่าง ผดิ วิธอี าจเกิดการบาดเจบ็ สาหสั ได้ คมู่ อื ผฝู้ ึกสอนกฬี าปนั จกั สีลัต 39 39