Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การแกะลายตัวหนังตะลุง

การแกะลายตัวหนังตะลุง

Description: การแกะลายตัวหนังตะลุง.

Search

Read the Text Version

หนงั สืออานเพิม่ เติม ประกอบชดุ การเรียนรศู ิลปวัฒนธรรม การแกะลายตวั หนงั ตะลงุ โดย ผูชวยศาสตราจารย ดร.มนตรี วงษสะพาน คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

๒ คาํ นํา เอกสารประกอบการเรียนรู้ชดุ การเรียนรู้ศิลปวฒั นธรรมการแกะลายตวั หนงั ตะลงุ จดั ทําขนึ $ ตามโครงการหน'งึ คณะหนงึ' ศลิ ปวฒั นธรรม ประจําปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของมหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม โดยมีเป้ าหมายเพ'ือให้นกั เรียน นกั ศกึ ษา ครู อาจารย์ หรือ ผ้สู นใจนําไปใช้ในการฝึ กฝี มือในการแกะตวั หนงั ตะลงุ นอกจากนนั$ ยงั มีประโยชน์ในการฝึ ก สมาธิ สามารถนําความรู้และทกั ษะท'ีได้ไปตอ่ ยอดเพอ'ื ผลิตผลงานศิลปะหตั กรรมเพื'อเพม'ิ มลู ค่าและจําหน่าย หรือเป็ นแนวทางในการนําวสั ดเุ หลือใช้ในท้องถ'ินมาดดั แปลงใช้ ประโยชน์ ซง'ึ จะสง่ ผลให้ผ้ทู 'ีเรียนรู้ได้เห็นคณุ ค่าของศิลปวฒั นธรรมไทยและร่วมกนั สง่ เสริม ความเป็ นไทยให้เข้มแข็งย'ิงขนึ $ หวงั เป็ นอย่างยงิ' วา่ ชดุ การเรียนรู้ศิลปวฒั นธรรมการแกะลายตวั หนงั ตะลงุ จะช่วย รังสรรค์คณุ ค่ามรดกทางวฒั นธรรมท้องถิ'น และเป็ นแนวทางส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทย ที'มีพรสวรรค์ด้านศลิ ปะการแกะตวั หนงั ได้มีโอกาสฝึ กฝนและพฒั นาฝี มือ อนั จะทําให้เกิด การพฒั นาท'ียงั' ยืนสืบไป ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มนตรี วงษ์สะพาน ตลุ าคม ๒๕๕๘

สารบัญ ๓ บทท$ี หน้า ๑ ๑. ความเป็ นมาเก$ียวกับการเชิดหนัง ๙ ๒. ประวัตคิ วามเป็ นมาของหนังตะลุง ๑๖ ๓. การแกะตัวหนังตะลุงในภาคใต้ ๓๒ ๔. การแกะตวั หนังตะลุงในภาคอีสาน ๔๖ ๕. การแกะและการประกอบตวั หนังตะลุง ๕๖ บรรณานุกรม

บทท$ี ๑ ความเป็ นมาเก$ียวกบั การเชดิ หนัง ศลิ ปะการละเลน่ และการแสดงพืน$ บ้านเป็นผลผลติ ทางวฒั นธรรมของกลมุ่ ชนตา่ ง ๆ เชน่ เดียวกบั วฒั นธรรมด้านอ'ืน ๆ ที'มนษุ ย์สร้างสรรค์ขึน$ เพื'อตอบสนองความต้องการของตนเองและ สงั คมในชมุ ชนนนั$ ศลิ ปะการละเลน่ และการแสดงพืน$ บ้านจงึ มีบทบาทตอ่ ชมุ ชนผ้เู ป็นเจ้าของศลิ ปะ การละเลน่ เหลา่ นนั$ หลายประการ ทงั$ ด้านการให้ความบนั เทิงและด้านอ'ืน ๆ โดยเฉพาะการประกอบ พิธีกรรมที'แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมในชมุ ชนนนั$ ๆ นอกจากนนั$ ยงั มีสว่ นสนบั สนนุ ความเชื'อของกลมุ่ คนในสงั คม มีสว่ นสง่ เสริมทางการศกึ ษา และปลกู ฝังคา่ นยิ ม เป็ นต้น ศลิ ปะ การละเลน่ เกี'ยวกบั ตวั หนงั เป็นศลิ ปะการละเลน่ แขนงหนงึ' ท'ีมีมาอยา่ งยาวนานจนกระทงั' ไมส่ ามารถ สืบค้นต้นตอหรือจดุ เริ'มต้นของศลิ ปะการละเลน่ จากตวั หนงั ได้ อยา่ งไรก็ตามเป็นที'เชื'อกนั ว่าจดุ เร'ิมต้น ของศลิ ปะการละเลน่ จากตวั หนงั เกิดจากการเลน่ เงาซงึ' เกิดจากแสงของดวงอาทิตย์และแสงจากกองไฟ และได้พฒั นามาเป็นการใช้ตวั หนงั ในการเล่นเงา และศลิ ปะการละเลน่ จากตวั หนงั นีก$ ็ได้รับการพฒั นา ให้มีรูปแบบการละเลน่ ที'หลากหลายมากย'ิงขนึ $ ตามความเช'ือและความต้องการของแตล่ ะท้องถิ'น โดย มกั ใช้ในการเลา่ เรื'องราวหรือการแสดงเป็นนทิ านจากเร'ืองสนั$ ๆ พฒั นามาเป็นเรื'องราวท'ียาวมากขนึ $ และมีการพฒั นาเรื'องราวจากการบรรยายหรือการบอกเลา่ ให้เป็นบทร้องท'ีไพเราะ เพ'ือให้เป็นที'นา่ สนใจ มากยิ'งขนึ $ การแสดงตวั หนงั เป็นสว่ นหน'งึ ของการแสดงศลิ ปะการเลน่ เงาซง'ึ มีมานานมากแล้ว และยงั เป็น การแสดงท'ีแพร่หลายในสมยั ก่อนพทุ ธกาล โดยเฉพาะในประเทศไอยคปุ ต์ หรืออียิปต์ ซงึ' ถือเป็นการ แสดงที'ราชสํานกั ของฟาโรห์หรือกษัตริย์ของอียปิ ต์1 การแสดงหนงั หรือศลิ ปะการเลน่ เงาในอียิปต์ใน ครัง$ นนั$ เกิดขนึ $ เพ'ือ สรรเสริญพระเกียรตคิ ณุ ของพระมหากษตั ริย์ หรือสดดุ ีวีรชน เป็นแบบอยา่ งการ แสดงแก่อนชุ นรุ่นหลงั เป็นการแสดงอํานาจขขู่ วญั ศตั รู โดยใช้การแสดงเป็นสื'อ นอกจากนีม$ ีนิยาย ปรัมปราบางเลม่ กลา่ ววา่ การแสดงหนงั หรือศิลปะการเลน่ เงาและหนุ่ ในอียปิ ต์จะใช้ตวั ละครท'ีทํามา จากกระดาษแขง็ หรือดีบกุ และกลมุ่ คนที'จะนํามาแสดงคือ กลมุ่ วนิพก ซงึ' มีอาชีพมอบความบนั เทิง ให้กบั คนทวั' ไป กลมุ่ วนพิ กเอาเร'ืองราวของบคุ คลสําคญั ที'ได้รับการจารึกไปเลา่ สใู่ ห้ผ้อู 'ืนฟังโดยใช้ดนตรี ประกอบประเภทพิณสายเดียว หรือที'เรียกวา่ “เรบษั ” มาบรรเลงประกอบการเลา่ เรื'อง ในระยะตอ่ มา พวกเขาได้ปรับปรุงการเลา่ เร'ืองด้วยการทํารูปวีรชน และรูปตวั ละครอื'น ๆ มาใช้ประกอบการเลา่ เร'ือง 1 สุจิตรา มาถาวร. (๒๕๔๑) หนงั ใหญ่และหนงั ตะลุง. เอส.ที.พี เวลิ ด์ มีเดีย : กรุงเทพฯ. หนา้ ๙ - ๑๒.

๒ การแสดงของกลมุ่ วนิพก นอกจากจะมีทงั$ ตวั หนงั และดนตรีแล้ว การเลา่ เรื'องจะใช้รูปตวั ละครเชดิ ไป เชิดมารอบกองไฟ ถือเป็นการเคลื'อนไหวที'เพ'ิมความสนกุ สนานย'ิงขนึ $ การแสดงหนงั เป็นมหรสพท'ีเกิดจากการนําหนงั สตั ว์ชนิดตา่ ง ๆ เชน่ หนงั ควาย หนงั ววั หนงั เก้ง หนงั กวาง ฯลฯ มาผา่ นกระบวนการฟอกตากแดดจนแห้งก่อนท'ีจะแกะหนงั เป็นรูปตวั ละครตา่ ง ๆ เพ'ือใช้ในการแสดงประกอบการเลา่ เรื'อง ตวั หนงั ที'แกะเป็นลวดลายฉลเุ รียบร้อยแล้วจะลงสีสนั ให้ สวยงามจากนนั$ จงึ นํามาตอ่ ก้านไม้ไว้สําหรับคนจบั หนงั ใช้ถือเวลาเชิด ผ้เู ชิดจะต้องเชิดหนงั อยหู่ น้าจอ หรือหลงั จอ ซง'ึ ทําขนึ $ จากผ้าขาวขงึ เป็นจอหนงั สี'เหล'ียม สว่ นด้านหลงั จอจะใช้แสงไฟสอ่ งเพื'อให้เหน็ เงา ของตวั หนงั ปรากฏขนึ $ บนจอ ผ้ชู มท'ีอยเู่ บือ$ งหน้าก็จะเห็นการเคล'ือนไหวของเงาหนงั ไปมา รูปแบบการ แสดงนีเ$รียกวา่ การเลน่ เงา (Shadow Play) หรือ “หนงั เงา” 2 การแสดงที'ปรากฏขนึ $ บนหน้าจอหนงั นนั$ จะต้องใช้แสงซง'ึ ถือวา่ เป็ นสว่ นประกอบสําคญั อยา่ งหนงึ' สําหรับการแสดงหนงั สมยั ก่อนจะใช้ไฟสมุ ขนึ $ จากกะลามะพร้าว หรือใช้ตะเกียงท'ีใช้ไขมนั สตั ว์ หรือนํา$ มนั จากพืชเป็นเชือ$ เพลิง แตภ่ ายหลงั เปล'ียนมาใช้ตะเกียงเจ้าพายแุ ละหลอดไฟฟ้ าแทน แตโ่ บราณกลา่ วไว้วา่ แสงไฟที'ได้จากธรรมชาตจิ ะ ให้ความสวา่ งนวลตากว่าแสงไฟจากสปอร์ตไลต์ แตค่ วามยงุ่ ยากในการจดั เตรียมเชือ$ เพลงิ ทําให้การ แสดงปัจจบุ นั นิยมใช้สปอร์ตไลตม์ ากขนึ $ พฒั นาการท'ีเกิดขนึ $ เกี'ยวกบั ตวั หนงั ถือเป็นศลิ ปะการแสดงท'ีได้รับความนยิ มอยา่ งสงู ในชว่ งเวลาหนง'ึ แตไ่ ด้เริ'มลดความนยิ มลงเมื'อมีการแสดงประเภทอ'ืนท'ีทนั สมยั และเป็ นท'ีนา่ สนใจ มากกวา่ แตน่ น'ั ถือเป็นบทบาทในด้านการให้ความบนั เทิง แตใ่ นด้านการปลกู ฝังคา่ นิยมของท้องถ'ิน และการสง่ เสริมการเรียนรู้ภูมปิ ัญญาของท้องถิ'นหรือขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ งๆ ศลิ ปะการละเลน่ จากตวั หนงั ยงั เป็นสญั ลกั ษณ์ที'สําคญั ที'แสดงถงึ ความเจริญรุ่งเรืองทางวฒั นธรรมของท้องถ'ินนนั$ ๆ ได้ นอกจากนนั$ ยงั สามารถนํามาเป็นส'ือในการบรู ณาการเพ'ือการเรียนรู้ของเดก็ และเยาวชนเพ'ือเช'ือมโยง ประสบการณ์ของท้องถ'ินกบั ความรู้ในแขนงวชิ าตา่ งๆ ซง'ึ จะเป็นการพฒั นาการเรียนรู้ของนกั เรียนให้มี ประสทิ ธิภาพมากยิ'งขนึ $ ดงั นนั$ การศกึ ษาเกี'ยวกบั ศลิ ปะการแกะตวั หนงั จงึ จะเป็นประโยชน์อยา่ งยิง' ตอ่ การศกึ ษาของนกั เรียน และยงั เป็นการสืบทอดภมู ิปัญญาที'เป็นศลิ ปะเก'ียวกบั ตวั หนงั ซง'ึ เป็นมรดกทาง วฒั นธรรมของไทยให้มีบทบาทตอ่ สงั คมไทยอยา่ งตอ่ เนื'องและยงั ยืนในอนาคต จากการค้นคว้าของคณุ เย'ียมยง สรุ กิจบรรหาร ซงึ' ได้ค้นคว้าเพมิ' เตมิ เกี'ยวกบั การแสดงหนงั หรือศลิ ปะการเลน่ เงาในอียปิ ต์ กลา่ ววา่ พระเจ้าอเลก็ ซานเดอร์มหาราช ผ้คู รองอาณาจกั รมาเซโดเนีย ใช้เวลาพิชิตโลกเกือบ ๑๑ ปี ในการพิชติ ดนิ แดนตา่ ง ๆ รวมถงึ ดนิ แดนของอียปิ ตด์ ้วย เมื'อพระองค์ เสดจ็ กลบั ออกมา หวั หน้านกั พรตได้สรรเสริญพระองคว์ ่าทรงเป็นโอรสของอํามอนรา และได้จดั งาน 2 สุจิตรา มาถาวร. (๒๕๔๑) หนงั ใหญ่และหนงั ตะลงุ . เอส.ที.พี เวิลด์ มีเดีย : กรุงเทพฯ. หนา้ ๑๓ - ๑๔.

๓ เฉลมิ ฉลองขนึ $ โดยนําการแสดงศลิ ปะการเลน่ เงาของไอยคปุ ตม์ าแสดงถึงวีรกรรมการพิชิตโลกของ พระองค์กนั อยา่ งครึกครืน$ มโหฬาร จากนนั$ พระเจ้าอเลก็ ซานเดอร์มหาราชได้ยกทพั ไปยงั เตอรกีสถาน ในระหวา่ งทางที'มีการหยดุ ทพั ก็มีการแสดงหนงั เพื'อแสดงความย'ิงใหญ่ของพระองค์ขึน$ เป็นประจํา เม'ือ ทพั ของพระองค์เข้ามายงั แคว้นปัญจาบ ประเทศอนิ เดยี การแสดงหนงั ก็ตดิ ตามมากบั กองทพั ของ พระองคด์ ้วย และในนครปัญจาบนีเ$อง ถือได้วา่ เป็นประตดู า่ นแรกสําหรับการเผยแพร่การแสดงหนงั ใน ภมู ภิ าคเอเชีย เพราะฉะนนั$ การแสดงหนงั ของชาวเอเชียก็เป็นสว่ นหนงึ' ท'ีได้รับอทิ ธิพลมาจากการแสดง หนงั ของชาวไอยคปุ ต์ หลงั จากอินเดยี ได้รับอทิ ธิพลการแสดงหนงั มาแล้ว ก็ได้มีการปรับปรุงและดดั แปลงตามแบบ อารยธรรมของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยใช้การแสดงหนงั เป็นการสรรเสริญวีรบรุ ุษซึง' อยใู่ นมหากาพย์ รามายณะหรือรามเกียรตTิ จากหลกั ฐานการแสดงหนงั ท'ีเก่าแก่ที'สดุ ในอินเดีย ปรากฏอยใู่ นคมั ภีร์พทุ ธ ศาสนาภาษาบาลีชื'อ “เถรีกถา” และคมั ภีร์มหาภารตะอีกหลายตอน ในอนิ เดียเรียกการแสดงชดุ นีว$ า่ “ฉายานาฏกะ” (ฉายา หมายถงึ เงา) ซง'ึ เป็นที'นิยมอยา่ งแพร่หลายในหมขู่ องคนอินเดยี โบราณ นอกจากนีใ$ นประเทศอ'ืน ๆ ในภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ออกยงั พบหลกั ฐานการแสดงในลกั ษณะเดยี วกนั อีก หลายประเทศ อาทิ ในประเทศจีนปรากฏวา่ มีการเลน่ หนงั ในสมยั ราชวงศ์ฮน'ั ซง'ึ ตรงกบั แผน่ ดินพระ จกั รพรรดยิ วนตี' (พ.ศ. ๔๙๕ - ๕๑๑) การแสดงหนงั ครัง$ นนั$ เกิดขนึ $ ในงานศพของนางเกาเชากนุ สนม เอกท'ีพระองคท์ รงโปรดมากที'สดุ และด้วยความอาลยั อาวรณ์พระองค์จงึ ดํารัสให้นกั พรตในลทั ธิเตา๋ จดั แสดงหนงั ขนึ $ โดยให้แสดงถึงชีวติ ความเป็นอยขู่ องนางเกาเชากนุ เม'ือยงั มีชีวิตอยู่ การแสดงในประเทศ จีนครัง$ นนั$ มีการดดั แปลงการแสดงหนงั ให้เข้ากบั ขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรมของชาวจีน โดยได้นําเสือ$ ผ้าและเครื'องประดบั มาตกแตง่ บนตวั หนงั อีกด้วย การเล่นหนังในประเทศจีน3 เชื'อวา่ เป็นแบบฉบบั ของจีนเองโดยเฉพาะ ตวั หนงั ของจีนใน ระยะแรกใช้ผ้าไหมหรือผ้าแพรวาดตดั เป็นรูป ตอ่ มานิยมทําด้วยหนงั แกะ สว่ นหวั ของตวั หนงั ทําแยก ออกจากตวั ซงึ' สามารถเปลี'ยนหวั ได้ หนงั จีนนิยมเลน่ เร'ืองตา่ งๆ ในวรรณคดีโบราณของจีนเอง นิยม เลน่ เร'ืองทวั' ๆ ไป เก'ียวกบั กลยทุ ธ์ของนกั รบ แสดงให้เห็นบทบาทและชีวติ ครอบครัวของเขาเหลา่ นนั$ หนงั จีนไมเ่ คยเลน่ เรื'องท'ีแสดงให้เหน็ ถงึ อิทธิพลของวฒั นธรรมจากภายนอก การแสดงก็นยิ มกนั แตใ่ น ราชสํานกั การเล่นหนังในประเทศอินเดีย ทางซีกโลกตะวนั ออกนบั ย้อนหลงั ไปนบั พนั ๆ ปี มีการแสดงหนงั กนั แล้วในอินเดยี โบราณเรียกวา่ แตจ่ ะมีมานานเพียงใดยากจะหาหลกั ฐานกําหนดให้ แนช่ ดั ได้ ปรากฏวา่ ในคมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาและคมั ภีร์ของมหาภารตะ มีคําเรียกการละเลน่ ชนิดนีว$ า่ 3 สธุ ิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์. (๒๕๒๙). หนงั ตะลงุ . สงขลา ศนู ย์สง่ เสริมภาษาและวฒั นธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ สงขลา.

๔ ฉายานาฏกะ เข้าใจวา่ อนิ เดียเริ'มมีการเลน่ หนงั หลงั พทุ ธกาลเล็กน้อย ซงึ' นกั วิชาการสนั นิษฐานวา่ ไทย และชวาอาจจะรับต้นเค้ามาจากอนิ เดยี ๑ การเลน่ หนงั ของอินเดียมีหลายแบบ เรื'องท'ีเลน่ ตา่ งก็ นํามาจากมหากาพย์สําคญั ๒ เรื'อง คือ รามายณะ และมหาภารตะ ซงึ' ศลิ ปะการแสดงตวั หนงั แบบ อื'นๆ ของอินเดยี สว่ นใหญ่ได้เลกิ ไปแล้ว เหลือเพียง โธลโุ ลมมาลาตะ (Tholulommalata) ซง'ึ เป็นแบบ ที'เก่าท'ีสดุ ๒ มีเลน่ กนั ในภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ของแคว้นอนั ตรประเทศ ใกล้เมืองมทั ราส มีลกั ษณะ คล้ายหนงั ใหญ่ของไทย จอหนงั ยาวประมาณ ๒๐ ฟตุ ตวั หนงั ทําจากหนงั และมีความสงู ประมาณ ๔ ฟตุ ระบายสีตา่ งๆ อยา่ งสวยงามใช้คนเชิดและพากย์ ๒-๓ คน การเล่นหนังในเอเชียอาคเนย์ มีการเลน่ หนงั เกือบทกุ ประเทศนอกจากเวียดนามและพมา่ การเลน่ หนงั ในแถบนีแ$ บง่ ออกเป็นสองชนิดใหญ่ๆ ชนิดแรกมีตวั หนงั ขนาดใหญ่เคล'ือนไหวไมไ่ ด้ (แบบ หนงั โธลโุ ลมมาลาตะของอินเดีย) เชน่ หนงั ใหญ่ของไทย และหนงั เสบก (Nang Sbek) ของเขมร ชนิดท'ีสองใช้ตวั หนงั ขนาดเล็ก ชกั แขนให้เคล'ือนไหวได้ข้างหนง'ึ หรือสองข้าง เป็ นหนงั ท'ีแพร่หลายและ รู้จกั กนั ดีกวา่ ชนิดแรก มีในชวา บาหลี มาเลเซีย สิงคโ์ ปร ไทย ลาว และเขมร ซง'ึ แตล่ ะประเทศ เรียกช'ือตา่ งๆ กนั ไป ในชวาเรียก วางยงั ปรู วา (Wayang Purwa) หรือ วายงั กลู ติ (Wayang Kulit) มาเลเซียเรียกวายงั กลู ิต (Wayang Kulit) ไทยเรียกหนงั ตะลงุ และเขมรเรียก อายอง (Ayong) การเล่นหนังในอินโดนีเซีย การเลน่ หนงั ขนาดเลก็ ดงั กลา่ วมาแล้ว มีความแพร่หลาย หนาแนน่ ในแถบภาคใต้ของไทยลงไปถงึ อนิ โดนีเซีย (โดยเฉพาะภาคใต้ของไทย รัฐกลนั ตนั ของ มาเลเซียและอนิ โดนีเซียเกือบทงั$ ประเทศ) โดยเฉพาะอนิ โดนีเซียนบั ได้วา่ เป็นประเทศที'นิยม ศลิ ปะการแสดงตวั หนงั แพร่หลายมากที'สดุ ในแถบเอเชียอาคเนย์นี $ ทงั$ ยงั มีความสลบั ซบั ซ้อนในรูปแบบ และเนือ$ หา โดยยึดมนั' เป็ นขนบประเพณีอยา่ งเหนียวแนน่ ในการแสดงท'ีเรียกวา่ “วายงั ” (Wayang) อยมู่ าก 4 คําวา่ “วายงั ” ในภาษาอินโดนีเซีย มีความหมายว่า “เงา” แตต่ อ่ มาความหมายของคาํ นีไ$ ด้ กลายไป หมายถึง “การแสดง” ซงึ' อาจเป็นการแสดงตวั หนงั หนุ่ หรือละครก็ได้ บางครัง$ ก็หมายถึง “ผ้แู สดง” แตม่ กั นิยมในความหมายท'ีวา่ การแสดงมากที'สดุ คําอธิบายอีกอยา่ งหนงึ' ของคําวา่ วายงั คอื มาจากคําวา่ “วาโยห์” ซงึ' เป็นคําเก่าของ ชวา แปลวา่ การเผยให้เห็นซงึ' การดลใจทางวิญญาณ5 แตเ่ ดมิ การแสดงวายงั เป็ นการแสดงทางศาสนาซง'ึ หวั หน้าครอบครัวจดั ให้มีขนึ $ เพื'ออญั เชิญวญิ ญาณ ของบรรพบรุ ุษในพิธีตา่ งๆ เชน่ การแตง่ งาน โดยชมเพียงสมาชิกในครอบครัวและวิญญาณเหลา่ นีจ$ ะ ปรากฏขนึ $ ในเงา จะเห็นได้ว่านอกจากการแสดงวายงั จะเป็นการให้ความบนั เทงิ แก่ผ้ชู มแล้ว ยง'ิ ไปกวา่ 4 ชมุ เดช เดชภมิ ล. (๒๕๓๑). การศกึ ษาเรื'อง “หนงั ตะลงุ ” ในจงั หวดั ร้อยเอด็ . ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั ศรีนคริ นทรวโิ รฒ มหาสารคาม. 5 รานี ศกั ดิTสิทธTิววิ ฒั นะ. (ม.ป.ป.). นาฏศลิ ป์ อินโดนีเซยี . บี พี บางกอกพริน$ ติง$ .

๕ นนั$ วายงั มีบทบาทสําคญั ในพธิ ีกรรมตามวถิ ีชีวติ ของชาวอินโดนีเซีย ซง'ึ เป็นเร'ืองราวอนั เก'ียวเน'ืองด้วย ปรัชญาและหลกั แหง่ ความประพฤติ โดยเฉพาะอยา่ งยิ'งเม'ือเราเรียนรู้คําวา่ “ดาหลงั ” (Dalang) ซง'ึ หมายถงึ นายหนงั แปลเป็ นภาษาชวาวา่ “งดู ลั บวี ลู งั ” หมายถึง การคลี'คลายปัญหา นอกจากนี $ วายงั ยงั แบง่ ออกเป็นหลายชนดิ แตแ่ รก วายงั เป็นการแสดงละครแสดงเรื'องราว ตา่ งๆ จากมหากาพย์ภารตะและรามเกียรติT ตอ่ มามีการสร้างตวั หนงั และห่นุ ไม้ขนึ $ มาเลน่ แทนตวั ละคร เพราะคนยอ่ มแปลกใจพอใจ และสนกุ ขบขนั ในการที'ตวั หนงั และหนุ่ สามารถ เลียนแบบทา่ ทางของคน จริงได้อยา่ งนา่ ประหลาด ทางด้านเนือ$ หาเรื'องนนั$ ในยคุ ตอ่ ๆ มาก็เป็นการเลา่ เรื'องราวและนยิ ายโบราณ จากประวตั ศิ าสตร์ จากวรรณคดีอาหรับ แม้แตต่ อนตา่ งๆ ของเหตกุ ารณ์ปัจจบุ นั เช่น การปฏิวตั ิ ช'ือ ของวายงั แตล่ ะชนิดเรียกตามวสั ดแุ ละลกั ษณะของเนือ$ เรื'องท'ีนํามาแสดงก็มี เชน่ ๑. วายงั ปรู วา (Wayang Purwa) หรือวายงั กลู ติ (Wayang Kulit) “กลู ติ ” ใน ภาษาอนิ โดนีเซีย แปลวา่ เปลือกหรือหนงั ของสตั ว์ สว่ น “ปรู วา” คือ บรู พา ในภาษาสนั สกฤษ แปลวา่ ก่อน หรือ แรก นน'ั เอง ท'ีเรียกในนีเ$พราะเป็ นศิลปะการแสดงเก่าแก่ เป็ นที'นยิ มแพร่หลายมา นาน มีตวั แสดงทําด้วยหนุ่ หนงั (ตวั แบน) และเลน่ เรื'องที'มาจากมหากาพย์ฮินดสู องเรื'อง คอื รา มายณะ และมหาภารตะ จะเห็นได้วา่ เรียกวา่ ยงั กลู ติ ตามวสั ดทุ 'ีนํามาสร้างตวั หนงั เรียกวา่ ยงั ปรู วา ตามลกั ษณะเร'ืองราวที'นํามาแสดง (สว่ นมากเรียก วายงั ปรู วา) ฉะนนั$ จงึ เรียกได้สองอยา่ ง แตห่ มายถึงส'งิ เดียวกนั ๒. วายงั โกเล็ก (Wayang Golex) ใช้หนุ่ ทําด้วยไม้ เล่นในชวาตะวนั ตก เลน่ เร'ืองรา มายณะ และมหาภารตะ เชน่ เดียวกบั วายงั ปรู วา แตใ่ นยอร์กจาการ์ต้าแสดงนิยายโบราณของเอเชียด้วย ๓. วายงั ครูจลิ (Wayang Kruchil) ใช้หนุ่ ไม้เลน่ เชน่ กนั แตเ่ ร'ืองที'แสดงนํามาจาก ประวตั ศิ าสตร์ชวามายาปาฮิต (มชั ปาหตั ) โดยเฉพาะเร'ืองราวของดามาร์วลู นั ซงึ' เป็ นตวั ละครเอกของเร'ือง ๔. วายงั เกอโด๊ก (Wayang Gedog) เลน่ นยิ านปรัมปราจากตํานานและ ประวตั ศิ าสตร์อินโดนีเซีย สว่ นมากเกี'ยวกบั เรื'องราวตา่ งๆ ของปันหยี ซง'ึ เป็นวีรบรุ ุษในตาํ นานและ นทิ านของชวาเกาะตะวนั ออก ๕. วายงั มดั ยา (Wayang Madya) เป็นแบบฉบบั ของชวาในเรื'องวรรณคดีอาหรับ และวรรณคดตี า่ งๆ ของเอเชีย รวมทงั$ เรื'องราวของบคุ คลตา่ งๆ ท'ีเก'ียวข้องกบั พระศาสดามฮู มั หมดั การแสดงชนิดนีน$ บั วา่ เป็นการเผยแพร่ศาสนาอิสลามได้ด้วย ๖. วายงั เบเบร์ (Wayang Beber) เบเบร์ แปลวา่ คลี'ตวั ผ้พู ากย์หรือดาหลงั ใน สมยั นนั$ ใช้ผ้าเป็ นชิน$ ๆ ซง'ึ เขียนรูปตา่ งๆ จากสายสลกั ตามผนงั ในโบสถ์วหิ าร เข้าใจวา่ เป็นจดุ เร'ิมต้น การพฒั นาของวายงั ชนิดตา่ งๆ

๖ ๗. วายงั ซลู หู ์ (Wayang Suluh) เร'ิมเลน่ ในสมยั ปฏิวตั ิ ค.ศ. ๑๘๔๖ หนุ่ ท'ีนํามา เลน่ ทําเป็นรูปบคุ คลสําคญั ตา่ งๆ เชน่ หวั หน้าของทงั$ สองฝ่ ายที'เป็นท'ีรู้จกั กนั ดี เนือ$ เรื'องกลา่ วถงึ การดนิ $ รนตอ่ ส้เู พื'ออิสรภาพด้วยความยากลําบาก ๘. วายงั ปัญจศลิ า (Wayang Pancasila) คล้ายคลงึ กบั วายงั ซลู หู ์ แตเ่ นือ$ เรื'อง เน้นหนกั ไปในทางหลกั การและความคดิ ของปัญจศลิ า ๙. วายงั กริติ (Wayang Kritik) เป็นการแสดงหนุ่ ดีบกุ ซงึ' ตวั เทา่ นิว$ คน ตงั$ ไว้บนโต๊ะ ประจําและทําให้เคลื'อนไหวโดยการใช้แมเ่ หลก็ ลากไปใต้กระจกแขนของหนุ่ เหลา่ นีเ$คลื'อนไหวได้ วายงั ชนิดนีส$ ําหรับเดก็ ๑๐. วายงั วายหู ์ (Wayang Wahyu) เลน่ เร'ืองในคมั ภีร์ไบเบลิ $ ซงึ' แตง่ โดยหมอสอน ศาสนาในชวากลาง ๑๑. วายงั โอรัง (Orang) หรือ วายงั วอง (Wong) (วอง แปลว่า คน) เลน่ เร'ืองมหา ภารตะและรามายณะเหมือนวายงั ปรู วาและวายงั โกเล็กแตต่ วั แสดงใช้คนจริง จะเหน็ ได้วา่ ทงั$ เนือ$ เรื'องและวสั ดทุ ี'นํามาสร้างตวั แสดงมีสว่ นในการกําหนดเรียกช'ือวายงั ชนิด ตา่ งๆ ให้แตกตา่ งกนั ออกไป วายงั ปรู วา หรือวายงั กลู ติ เป็นวายงั ชนิดท'ีงดงามและวจิ ิตรกวา่ ชนดิ อ'ืน ทงั$ หมด เป็นที'รวมศลิ ปะทงั$ หมดของอินโดนีเซีย ทงั$ ในด้านการเขียน การดนตรี วรรณคดี นาฏกรรม ศลิ ปกรรม รวมทงั$ ประวตั ศิ าสตร์ การศกึ ษา ศานา นโยบายสงั คม ความลกึ ลบั และสญั ลกั ษณ์ ตลอดจนหลกั ปรัชญาตา่ งๆ ของชาวอินโดนีเซีย วายงั ปรู วาหรือวายงั กลู ิตนนั$ เป็นศลิ ปะการแสดงแบบ ขนบประเพณีที'มีผ้นู ิยมมากที'สดุ ในอินโดนีเซีย ในขณะที'การแสดงหนุ่ แบบอ'ืนๆ นนั$ นบั วนั แตจ่ ะเสื'อม ความนิยมลงไปตามลําดบั การเล่นหนังในมาเลเซีย เรียก “วายงั กลู ิต” (Wayang Kulit) เชน่ เดยี วกบั ชวา กลู ิตใน ภาษามลายู แปลว่า เปลือกหรือหนงั ของสตั ว์เชน่ เดียวกบั ในภาษาชวา วายงั กลู ติ หรือการเลน่ หนงั ใน มาเลเซียยงั แบง่ ออกไปได้อีกเป็น ๒ ชนดิ คอื “วายงั สยาม” (Wyang Siam) ออกเสียงวา่ “วายงั เซียม” และ “วายงั ชวา” (Wayang Jawa) ออกเสียงวา่ “วายงั ยาวอ” แม้จะมีชื'อเก'ียวข้องกบั สยามและชวา แตร่ ูปแบบก็เป็นแบบมลายู แสดงในแถบรัฐชายแดนไทยและมาเลเซีย การเลน่ หนงั ทงั$ สองชนดิ ดงั กลา่ วนี $ วายงั เซียมได้รับความนิยมและมีเลน่ กนั แพร่หลายมากกวา่ โดยมีรัฐกลนั ตนั เพียง รัฐเดยี วท'ีเป็นศนู ย์กลางของวายงั เซียม คือ มีนายหนงั หรือดาหลงั และคณะหนงั อยรู่ ่วม ๓๐๐ คณะ สว่ นวายงั ยาวอปัจจบุ นั คอ่ ยๆ เลือนหายไปยงั มีอย่บู ้างก็เป็นเครื'องบนั เทิงของผ้ดู ีชนั$ สงู หรืออยใู่ น ความอปุ ถมั ภ์ของเจ้านาย การเลน่ หนงั มลายทู งั$ สองชนิดดงั กลา่ วมีวธิ ีการเลน่ คล้ายคลงึ กนั ข้อแตกตา่ งสําคญั ก็คือบท หนงั ตวั หนงั ดนตรี และพธิ ีกรรม โดยในด้านพธิ ีกรรม ความเช'ือเก'ียวกบั ภูตผีวญิ ญาณตลอดจนชนิด

๗ และลกั ษณะของตวั หนงั มีอิทธิพลของชวาปรากฏอยู่ ทําเลที'ตงั$ ทําให้รัฐกลนั ตนั เป็นเบ้าหลอม วฒั นธรรมจากไทยรวมทงั$ อินโดจีนซง'ึ อยทู่ างเหนือ และรัฐอื'นๆ ของมาเลเซียตลอดถึงอนิ โดนีเซีย ซง'ึ อยทู่ างใต้ ซงึ' สะท้อนออกมาในรูปแบบของวายงั เซียมลกั ษณะตวั หนงั ของวายงั เซียมนนั$ ตรามงกฎุ ของตวั พระถ้าดอู ยา่ งผวิ เผนิ ทําให้คดิ วา่ ได้รับอทิ ธิพลจากไทยแตถ่ ้ามองอยา่ งพินจิ พิเคราะห์แล้ว ปรากฏวา่ ตวั หนงั ดงั กลา่ วมิได้เลียนแบบจากตวั หนงั ของไทยเพียงฝ่ ายเดียว แตม่ ีลกั ษณะศลิ ปะกลนั ตนั อนั เดน่ ชดั รวมอยดู่ ้วย6 ตวั หนงั วายงั เซียมแบง่ ออกเป็นฝ่ ายธรรมะและฝ่ ายอธรรมเชน่ เดยี วกบั ชวา ลกั ษณะของตวั หนงั เป็ นการผสมผสานกนั ระหว่างตวั หนงั ไทยกบั ตวั หนงั ชวา ตวั หนงั เจ้าชายฝ่ ายธรรมะ นนั$ วงหน้าตวั หนงั มีความงามตามแบบฉบบั มลายสู วมมงกฎุ ยอดแหลมอยา่ งไทย นยั น์ตาอยสู่ งู และ แดงคล้ายนยั น์ตาตวั หนงั ฝ่ ายธรรมะของชวา ไหลต่ งั$ ตรงเป็นเหลี'ยมตามลกั ษณะตวั หนงั ชวา มือถือคนั ธนู (พระราม) หรือถือดาบ (พระลกั ษณ์) ปัจจบุ นั เจ้าชายบางองค์สวมเสือ$ ผ้าแบบมลายู บางครัง$ มี เครื'องประดบั แปลกๆ เชน่ ครองมงกฎุ แบบยโุ รป รูปยกั ษ์แบบโบราณนนั$ สวมมงกฎุ ยอดแหลม จมกู สนั$ คล้ายหนงั ตะลงุ ไทย แตอ่ ทิ ธิพลชวาปรากฏชดั ตรงนยั น์ตากลมทงั$ คขู่ องมหาราชาวานา (ย่อมาจาก คาํ “มหาราชา ราวานา” คือ ราพนาสรู หมายถึง ทศกณั ฐ์) ดวงตากลมนนั$ ตามคตชิ วาบง่ บอกนิสยั เกรีย$ วกราด ชอบรุนแรง อทิ ธิพลของตวั หนงั หนงั ชวาชดั เจนยง'ิ ขนึ $ ตรงรูปนายทหาร (ปาเต๊ะ) ของ รากษส คือ ถ้าพจิ ารณาลําตวั ยงั มีทว่ งทีแบบหนงั ตะลงุ ไทยแตไ่ หลซ่ ้ายท'ียืดยาวเป็นแบบชวาอยา่ งเหน็ ได้ชดั ตวั หนงั ตวั เล็กๆ ซงึ' มีความสําคญั น้อย มกั ทําด้วยเซลลลู อยดห์ รือพลาสตกิ แตว่ สั ดชุ นิดนีแ$ กะฉลุ ยาก ความโปร่งแสงทําให้ลวดลายที'แกะฉลไุ ร้ความหมาย นายหนงั วายงั เซียมนนั$ เรียกวา่ “ดาหลงั ” (Dalang) เชน่ เดยี วกบั ในชวา ทําหน้าที'พากย์ เชดิ พร้อมทงั$ กํากบั วงดนตรีด้วย เชน่ กนั ดาหลงั จะเลน่ หนงั ตามโครงเร'ืองหลกั ที'วางไว้ และตรงตาม บคุ ลกิ ของหนงั ไมม่ ีบทพดู ตายตวั ที'จะต้องจดจํา แตม่ ีขอบเขตของตนเองพอสมควรที'จะแปรเปล'ียน อารมณ์ท'ีนํามาใช้ และกําหนดความเข้มข้นของตอนตา่ งๆ ตามท้องเรื'องแล้วยงั แสดงความคดิ เห็นตอ่ ชีวติ และสงั คมท'ีตนประสบด้วย ดาหลงั จะเชิดหนงั โดยนง'ั หา่ งจากจะระยะหนง'ึ ชว่ งแขน มีตะเกียง แขวนอยใู่ นระดบั เดียวกบั หน้าผากระหวา่ งดาหลงั กบั จอหนงั ใต้จอมีต้นกล้วยสําหรับปักตวั หนงั สอง ทอ่ นวางขนานกนั สว่ นยอดของตวั หนงั เทา่ นนั$ ที'วางติดกบั จอ ทําให้สว่ นอ'ืนเคลื'อนไหวได้สะดวกและดู มีชีวติ ชีวามากกวา่ ที'จะวางทางตดิ ทงั$ ตวั ตรงปลายต้นกล้วยทงั$ สองปักรูปที'ไม่ต้องการใช้ ตวั หนงั ฝ่ าย ธรรมะหรือฝ่ ายมีชยั ปักอยทู่ างขวามือ ฝ่ ายอธรรมหรือฝ่ ายปราชยั ปักอยทู่ างซ้ายมือของดาหลงั และ ด้านหลงั จะเป็นนกั ดนตรีประมาณ ๑๒ คน 6 ประพนธ์ เรืองณรงค์. (๒๕๑๙). ตํานานการละเลน่ และภาษาชาวใต้. โอเดียนสโตร์.

๘ การเลน่ หนงั ในมาเลเซียไมใ่ ชเ่ ป็นเพียงการแสดงเพ'ือความบนั เทงิ อยา่ งเดียวเทา่ นนั$ ยงั ทํา หน้าที'เป็นสื'อกลางของวญิ ญาณด้วย ในปี หนง'ึ ๆ ดาหลงั จะแสดง ๑๐๐-๓๐๐ ครัง$ และจะมีครัง$ หนงึ' หรือมากกวา่ สองครัง$ มีความประสงคใ์ นการแสดงนอกเหนือไปจากเพ'ือให้ความบนั เทิง เชน่ การแก้ บน การขอเป็นศษิ ย์ การขบั ไลโ่ รคหา่ หรืออหิวาต์ ออกจากหมบู่ ้าน รูปแบบพิธีกรรม เชน่ นีม$ ีพืน$ ฐาน เดยี วกบั การเลน่ หนงั ชวา เรื'องเกี'ยวกบั เวทมนต์ของดาหลงั เป็นสงิ' สลบั ซบั ซ้อน ดาหลงั หลายคนยงั เป็นหมอยา หมอผี อยา่ งไรก็ตามทกุ ครัง$ ก่อนเริ'มแสดงจะมีพธิ ีกรรมสวดอ้อนวอนดวงวญิ ญาณ เพ'ือขอขมาและขอพร คาถาอาคมของดาหลงั ถือเป็ นส'งิ สําคญั เชน่ ระหวา่ งพธิ ีกรรมเบอร์มายู หรือพธิ ีบวงสรวงวิญญาณ ดาหลงั จะเคลิม$ สตชิ ว'ั คราวเพ'ือเข้าทรงเซน่ อาหาร เหลา่ นีล$ ้วนเป็นส'ิงยืนยนั ได้วา่ วายงั เซียมไมใ่ ชก่ าร แสดงเพื'อความบนั เทิงเพียงอยา่ งเดียว การเลน่ หนงั ในประเทศไทย เชื'อกนั วา่ ได้รับอทิ ธิพลมาจากประเทศอินเดยี เป็นหลกั ดงั จะเห็นได้ จากเรื'องราวที'ใช้ในการเลน่ จะเป็นเร'ืองรามเกียรติT นอกจากนนั$ ยงั มีความเช'ือ ขนบนิยม และพิธีกรรม ท'ีสอดคล้องกบั ความเชื'อทางศาสนาพราหมณ์ของประเทศอนิ เดีย แตก่ ็ไมม่ ีหลกั ฐานแสดงให้เห็นถงึ ท'ีมาของการเล่นหนงั ในประเทศไทยอยา่ งแนช่ ดั จงึ มีการสนั นิษฐานว่าการเล่นหนงั ได้เข้ามาในประเทศ ไทยจากการแลกเปลี'ยนทางวฒั นธรรมในระหวา่ งการค้าขายของพอ่ ค้า และการเผยแพร่ศาสนาที'ได้นํา การแสดงหนงั เข้ามาเลน่ ให้ชาวไทยดแู ล้วจงึ ได้มีการฝึ กฝนเพื'อสืบทอดใช้แสดงภายในประเทศตงั$ แต่ สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทยหรือก่อนสมยั กรุงสโุ ขทยั โดยได้เผยแพร่เข้ามาพร้อมกบั การเผยแพร่ พทุ ธศาสนา ด้วยเหตทุ ี'การแสดงหนงั เป็นวฒั นธรรมอย่างหนง'ึ ท'ีมกั มีการเผยแพร่ไปพร้อมกบั วฒั นธรรม อยา่ งอ'ืน ดงั นนั$ การเลน่ หนงั จงึ อยคู่ กู่ บั วฒั นธรรมไทยมาเป็นระยะเวลานาน จากหลกั ฐานในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชย์ ทรงมีพระราชโองการให้จดั การรือ$ ฟื น$ การเลน่ หนงั ขนึ $ มาใหมจ่ าก ของเดมิ ที'มีอยแู่ ล้ว และสมยั กรุงศรีอยธุ ยานีเ$องท'ีมีหลกั ฐานปรากฏแนช่ ดั วา่ ในสมยั ของสมเดจ็ พระ นารายณ์มหาราช มีพระราชโอการโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาราชครูแตง่ เร'ือง “สมทุ รโฆษชาดกคาํ ฉนั ท์” เพื'อใช้เลน่ หนงั เพ'ิมเตมิ จากท'ีเคยมีมา7 ยอ่ มแสดงให้เหน็ ชดั เจนวา่ การแสดงหนงั มีอยเู่ ดมิ แล้ว ซงึ' สง'ิ ท'ี อยคู่ กู่ บั การแสดงหนงั ก็คอื การทําตวั หนงั นนั' เอง 7 พระนุชิต วชิรวฑุ โฒ. (๒๕๓๗). การศึกษากบั การถ่ายทอดวฒั นธรรม : กรณีศึกษาหนงั ใหญ่วดั ขนอน. คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . หนา้ ๔๑ - ๔๔.

๙ บทท$ี ๒ ประวัตคิ วามเป็ นมาของหนังตะลุง การแสดงหนงั ตะลงุ มีปรากฏในวฒั นธรรมของชาตติ า่ งๆ หลายชาตใิ นโลก ยากท'ีจะบอกได้ วา่ ชาตใิ ดคดิ ขึน$ กอ่ น ชาตเิ ก่าแก่ตา่ งๆ เชน่ อียปิ ต์ กรีก โรมนั จีน และอนิ เดีย มีนิยายปรัมปรา เกี'ยวกบั การแสดงหนงั หรือหรือศลิ ปะการเลน่ เงาและหนุ่ มาแล้ว ตวั แสดงทําด้วยกระดาษแขง็ บ้าง แผน่ ดบี กุ บ้าง สวนทางเอเชียสว่ นมากทําด้วยหนงั สตั ย์ ซงึ' การแสดงหนงั ในแถบตะวนั ออกกลาง กรีก ตรุ กี ซีเรีย อฟั ริกาเหนือ และจีน ไมเ่ กี'ยวข้องหรือคล้ายคลงึ กนั กบั กลมุ่ หนงั ตะลงุ อินเดยี และเชียตะวนั ออก เฉียงใต้ 8 การเลน่ หนงั ตะลงุ ในภาคใต้ เป็นถิ'นหนง'ึ ท'ีนิยมการเลน่ หนงั ตะลงุ กบั อยา่ งแพร่หลายมากเป็น มหรสพเก่าแก่ที'ได้รับความนิยมตอ่ เนื'องกนั เป็นเวลานาน แตเ่ น'ืองจากหลกั ฐานบนั ทกึ ตา่ งๆ ไมว่ า่ จะ เป็นบทละคร ภาพจิตรกรรม ไมป่ รากฏว่าได้บนั ทกึ เรื'อง หรือภาพของหนงั ตะลงุ ไว้เลย ดงั นนั$ จงึ เป็น การยากท'ีจะค้นหาประวตั ิความเป็นมาของหนงั ตะลงุ ได้อยา่ งแนช่ ดั อยา่ งไรก็ตามได้มีผ้สู นั นษิ ฐานท'ีมา ของช'ือ “หนงั ตะลงุ ” และประวตั คิ วามเป็นมาของหนงั ตะลงุ ตา่ งๆ กนั ไปเป็นหลายกระแส ใน วรรณกรรมพืน$ บ้านของปักษ์ใต้เองก็ไมเ่ คยปรากฏเอย่ ถงึ การละเลน่ ชนิดนีท$ งั$ ๆ ท'ีปกตใิ นวรรณกรรม ตา่ งๆ เม'ือถงึ ตอนจดั งานสมโภชตา่ งๆ มกั กลา่ วถึงมหรสพตา่ งๆ ที'นํามาแสดงในงานควบคกู่ บั การ บรรยายให้เหน็ ภาพประชาชนทงั$ หลายที'มาดกู ารละเลน่ ในงานกนั อยา่ งสนกุ สนาน มหรสพเหลา่ นี $ ได้แก่ ไม้สงู ชกมวย ไตล่ วด ละคร โขน หนงั เป็นต้น แต่ “หนงั ” นนั$ คงเป็นหนงั ใหญ่มากกวา่ เพราะเม'ือเอย่ ถึงครัง$ ใดก็เป็น “หนงั ” ทกุ ครัง$ ไมเ่ คยกลา่ วให้แนช่ ดั ปกตหิ นงั ใหญ่ก็มกั เลน่ ในงานตา่ งๆ อยเู่ สมอซงึ' การอ้างถงึ เชน่ นีเ$ราจะหาหลกั ฐานยืนยนั ได้จากวรรณคดีแทบทกุ เร'ือง โดยเฉพาะวรรณคดี ภาคกลาง9 ปัจจบุ นั นีช$ าวภาคใต้เรียกหนงั ตะลงุ สนั นิษฐานวา่ เดมิ คงจะเรียกกนั วา่ “หนงั ” เฉยๆ เหมือนกบั ท'ีภาคกลางในอดีตเรียกหนงั ใหญ่วา่ “หนงั ” ตอ่ มากลายเป็นการเรียกวา่ หนงั ลงุ และ หนงั ตะลงุ มาจากคําวา่ หนงั พทั ลงุ ซง'ึ พดู สนั$ ๆ แบบคนภาคใต้วา่ หนงั ลงุ แล้วกลายเป็น “หนงั ตะลงุ ” ในที'สดุ 10 บางสว่ นท'ีไมเ่ ห็นด้วยกบั ท'ีมาของคาํ วา่ “ตะลงุ ” ดงั กล่าว ได้ให้ความเหน็ วา่ ธรรม เนียมหนงั ตะลงุ แตเ่ ดมิ นนั$ เมื'อเดนิ ทางไปถงึ บ้านเจ้าภาพจะตีกลองรัวสองไมเ่ รียกเจ้าของบ้าน เสียง 8 ชวน เพชรแก้ว. (๒๕๒๗). บทอศั จรรย์ (บทสมห้อง) ของหนงั ตะลงุ . นครศรีธรรมราช ศนู ย์วฒั นธรรมภาคใต้ วทิ ยาลยั นครศรีธรรมราช. 9 สนุ นั ทา โสรัจจ์. (๒๕๑๖). โขน ละคร ฟ้ อนระ และการละเลน่ พืน$ เมอื ง. โรงพมิ พ์พิฆเณศ. 10 รัถพร ซงั ธาดา. (๒๕๒๖). หนงั ตะลงุ : หนงั ตะลงุ ภาคอีสาน. โรงพมิ พ์ศกั ดTิโสภาการพมิ พ์.

๑๐ กลองที'ตีจะดงั ตะลงุ ตงุ ตงุ .... ดงั นนั$ จงึ นา่ จะเป็นไปได้อีกวา่ คําวา่ “ตะลงุ ” มาจากเสียงตกี ลอง บ้าง ก็วา่ มาจากช'ือหลกั ลา่ มช้างที'เรียกกนั ว่าหลกั ตะลงุ แตก่ ่อนหนงั ตะลงุ เวลาเลน่ หนงั จะใช้หลกั ลา่ มช้าง ทําเป็นเสาขงึ จอ จงึ พลอยเรียกหนงั ท'ีเลน่ วา่ หนงั ตะลงุ และในพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้อธิบายไว้วา่ “ตะลงุ น. เสาประโคน เสาสําหรับผกู ช้าง การมหรสพอยา่ งหนง'ึ ใช้ หนงั สลกั เป็นรูปภาพเล็กๆ เชิดในจอเรียกหนงั ตะลงุ จงั หวดั พทั ลงุ เชน่ ราตรีล้วนชาวตะลงุ (อเิ หนา)” ความเหน็ กลมุ่ สดุ ท้ายสําหรับที'มาของคําวา่ หนงั ตะลงุ นีก$ ลา่ ววา่ มาจากชื'อพวกรักษากองช้าง ซงึ' เรียก กนั ในสมยั นนั$ วา่ “พวกตะลงุ ” หรือท'ีชาวบ้านเรียกวา่ “หลงุ ”11 จะเห็นได้วา่ ที'มาจากคําวา่ “หนงั ตะลงุ ” เทา่ ท'ีกลา่ วมาแล้วนี $ ความเชื'อที'วา่ มาจากคําวา่ หนงั พทั ลงุ คอ่ นข้างจะได้รับความเช'ือถือมาก แตก่ ็ยงั ไมม่ ีข้อยตุ ใิ นเร'ืองนี $ สมเดจ็ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ ทรงบนั ทกึ ไว้ในเชงิ อรรถหนงั สือ “ตํานานเรื'องละคร อิเหนา” วา่ “หนงั ตะลงุ นนั$ เป็นของใหมพ่ งึ' เกิดขนึ $ ในรัชกาลท'ี ๕ พวกชาวบ้านควนพร้าว (ควน มะพร้าว) แขวงจงั หวดั พทั ลงุ คดิ เอาอยา่ งหนงั แขก (ชวา) มาเลน่ เป็ นเร'ืองไทยขนึ $ ก่อน แล้วจงึ แพร่หลายไปที'อื'น ในมณฑลนนั$ เรียกวา่ “หนงั ควน” เจ้าพระยาสรุ วงคไ์ วยวฒั น์ (วร บนุ นาค) พาเข้า มากรุงเทพฯ ได้เลน่ ถวายตวั ที'บางประอินเป็นท'ีแรก เม'ือปี ชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ ทรงถามวา่ มาจากไหน ก็ได้รับคําตอบจากคนใต้ ซงึ' ชอบพดู สนั$ ๆ วา่ หนงั ลงุ ซึ'งหมายถงึ หนงั ที'มาจากพทั ลงุ จงึ เรียกกนั มา วา่ “หนงั ตะลงุ ” อยา่ งไรก็ตามคาํ วา่ “หนงั ตะลงุ ” คงจะใช้กนั แพร่หลายแล้วตงั$ แตส่ มยั รัชกาลที' ๕ ดงั ปรากฏหลกั ฐานในจดหมายเหตปุ ระพาสหวั เมืองปักษ์ใต้ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ ประมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั (เม'ือครั'งยงั เป็นสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช) ฉบบั ท'ี ๑ ลงวนั ที' ๑๒ เมษายน รัตนโกสนิ ทร์ ศก ๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๒) ความตอนเสด็จจงั หวดั ชมุ พรมีวา่ ในตอนหวั ค'ําก็มีมหรสพ ตา่ งๆ มาเล่นถวาย คือ เพลง ๑ โรง หนงั ตะลงุ ๑ โรง มโนรา ๑ โรง คนติดเพลงมากกวา่ อยา่ งอื'น เห็นจะเป็นเพราะเป็นของแปลก นานๆ ได้ดคู รัง$ หนง'ึ และถ้อยคําที'ใช้โต้ตอบกนั ก็อยขู่ ้างเผด็ ร้อนถึงใจ อยดู่ ้วย” จากข้อความนีแ$ สดงวา่ หนงั ตะลงุ ใช้กนั อยา่ งแพร่หลายแล้ว ตามท'ีกลา่ วมาเชื'อได้วา่ คําวา่ หนงั ควน เป็นคาํ เก่าแก่กวา่ คําวา่ หนงั ตะลงุ และเป็นคําที'ใช้เรียกหนงั ตะลงุ อย่างแพร่หลายมาก่อน แม้คําวา่ “หนงั ตะลงุ ” จะหาท'ีมาแนช่ ดั ไมไ่ ด้ แตค่ าํ วา่ “ตะลงุ ” เคยปรากฏวา่ มีมาก่อนสมยั รัชกาลที' ๒ แล้ว ในสมยั โบราณมกั จะเรียกหวั เมืองหรืออาณาจกั รภาคใต้วา่ “เมืองตะลงุ ” เชน่ ใน พงศาวดารเขมรตอนสร้างนครธม กลา่ วถึงเมืองสว่ นของพระยาปทมุ สรุ ิยวงศว์ า่ “เมืองสโุ ขทยั สง่ สว่ ยนํา$ เมืองตะลงุ สง่ สว่ ยไหม เมืองละโว้สง่ สว่ ยปลาแห้ง” และเรียกชาวใต้วา่ “ชาวตะลงุ ” ดงั ปรากฏในบท ละครเรื'อง อิเหนา พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั รัชกาลท'ี ๒ 11 สธุ ิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์. (๒๕๒๙). หนงั ตะลงุ . สงขลา ศนู ยส์ ง่ เสริมภาษาและวฒั นธรรมภาคใต้ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ สงขลา.

๑๑ อยา่ งไรก็ตามท'ีกล่าวมาแล้วนีเ$ป็นเพียงการหาที'มาของคําวา่ “หนงั ตะลงุ ” ไมไ่ ด้หมายความวา่ การเลน่ หนงั ตะลงุ จะเพ'มิ เกิดมีขนึ $ ในสมยั ต้นกรุงรัตนโกสินทร์เทา่ นนั$ สว่ นแนวคิดที'วา่ คาํ วา่ หนงั ตะลงุ มาจากเสียงกลองของคณะหนงั หรือมาจากช'ือหลกั ลา่ มช้างท'ีวา่ “เสาตะลงุ ” นนั$ นา่ จะเป็นอนั ตกไป เพราะคาํ วา่ หนงั ตะลงุ ที'ใช้กนั อยทู่ กุ วนั นีไ$ มไ่ ด้เกิดในภาคใต้ ไมใ่ ชค่ ําในภาษาใต้มาแตเ่ ก่า แตเ่ ป็นคําท'ี เกิดขนึ $ ในกรุงเทพฯ แล้วแพร่เข้าไปในภาคใต้ ภายหลงั คนได้รับไปใช้เรียกหนงั ของตวั เองอยา่ ง แพร่หลาย เพื'อให้แตกตา่ งออกไปจากหนงั สมยั ใหม่ คือ ภาพยนตร์ที'เข้าไปสภู่ าคใต้ในภายหลงั ดงั กลา่ วมาแล้ว แม้ชื'อจงั หวะเพลงในปัจจบุ นั ที'วา่ จงั หวะตะลงุ นนั$ ก็เพื'อให้หมายรู้ว่าเป็นจงั หวะของ ทํานองเพลงแบบภาคใต้ ไม่ใชจ่ งั หวะแบบหนงั ตะลงุ เพราะจงั หวะตะลงุ คล้ายกบั จงั หวะกลองของ โนรามากกวา่ หนงั ตะลงุ และเอือ$ สนุ ทรสมาน เป็นผ้นู ํามาปรับปรุงใช้ ประวตั คิ วามเป็นมาของหนงั ตะลงุ นนั$ ยงั หาข้อยตุ ไิ มไ่ ด้ บ้างก็วา่ เกิดขนึ $ ในภาคใต้เอง กลา่ ววา่ ผ้เู ร'ิมต้นนนั$ นําเอาใบไม้ท'ีมีรอย หนอนกินมาจินตนาการออกเป็นรูปมนษุ ย์และรูปอ'ืนๆ แล้วนํามาเชิดเลน่ ตอ่ มาจงึ เกิดมีดนตรีประกอบ แล้วพฒั นาเป็นหนงั ตะลงุ เหตทุ ี'ผ้เู ชดิ ต้องนงั' เชดิ บนที'เนินท'ีสงู เพื'อให้คนดเู ห็นได้ถนดั จงึ เรียกวา่ “หนงั ควน” บ้างก็วา่ หนงั ตะลงุ สืบสายแตกสาขามาจากหนงั ใหญ่ของภาคกลาง และอีกทรรศนะหนงึ' เช'ือวา่ หนงั ตะลงุ ของภาคใต้มีอิทธิพลของหนงั ชวาท'ีหลอ่ หลอมมาจากอารยธรรมอนิ เดีย หนงั ตะลงุ เป็นการละเลน่ พืน$ บ้านของชาวภาคใต้ของไทยท'ีมีมาช้านานหลายร้อยปี อาจจะ กลา่ วได้วา่ เป็นสว่ นหนงึ' ของการดําเนนิ ชีวิตของชาวภาคใต้ เพราะหนงั ตะลงุ แม้จะเป็ นการละเลน่ พืน$ บ้านก็จริง แตก่ ็มีบคุ คลในสงั คมท'ีมีสว่ นเกี'ยวข้องกบั การเลน่ หนงั ตะลงุ มากมาย ซง'ึ มีดงั ตอ่ ไปนี $ ๑.นายหนงั ตะลงุ ถือวา่ เป็ นบคุ คลที'มีความสําคญั มากเป็ นอนั ดบั แรก มีความเกี'ยวข้องกบั หนงั ตะลงุ เป็นอยา่ งมาก ทําหน้าที'ในการสืบทอดหนงั ตะลงุ โดยตรง นายหนงั ตะลงุ เป็ นผ้ทู ี'กอ่ ให้เกิด บคุ คลที'เก'ียวข้องกบั หนงั ตะลงุ อีกมากมาย คนท'ีจะเป็ นนายหนงั ตะลงุ ได้นนั$ จะต้องมีความนิยมชมชอบ เป็นการส่วนตวั ส'งิ ท'ีสําคญั ที'ขาดไมไ่ ด้ก็คือ พรสวรรค์ เพราะหากไมม่ ีพรสวรรค์อย่ดู ้วยแล้ว ถึงจะมี ความพยายามมากเพียงไรก็ไมส่ ามารถจะเป็นนายหนงั ตะลงุ ได้ หลายคนที'มีความต้องการจะเป็นนาย หนงั ตะลงุ แตก่ ็ไมส่ ามารถทําได้ ดงั นนั$ ผ้ทู 'ีทําหน้าท'ีเป็นนายหนงั ตะลงุ ใชว่ า่ จะเป็นกนั ได้ทกุ คนตามที'ตน ต้องการ ๒.ลกู คหู่ นงั ตะลงุ เป็นผ้บู รรเลงดนตรีสําหรับการเลน่ หนงั ตะลงุ หนงั ตะลงุ แตล่ ะคณะจะมีลกู คอู่ ย่างน้อย ๗ – ๘ คน การท'ีจะมีคณะหนงั ตะลงุ ซกั หนงึ' คณะไมใ่ ชเ่ พียงแตจ่ ะมีนายหนงั คนเดียวก็ถือ วา่ เป็นคณะหนงั ตะลงุ ได้ หากไมม่ ีลกู คผู่ ้ทู ําหน้าที'บรรเลงดนตรีประกอบการเลน่ ความเป็นหนงั ตะลงุ ก็ เกิดขนึ $ ไมไ่ ด้ ฉะนนั$ จะเห็นได้วา่ ลกู คหู่ นงั ตะลงุ มีความสําคญั และเก'ียวข้องกบั การเลน่ หนงั ตะลงุ โดยตรง

๑๒ ๓.นายชา่ งแกะตวั หนงั ตะลงุ หนงั ตะลงุ เป็นการละเลน่ ท'ีอาศยั ความงามของเงาที'เกิดจากการ เชิดตวั หนงั ตะลงุ ประกอบการใช้เสียงของผ้เู ป็นนายหนงั ในลีลาตา่ ง ๆ ทงั$ การร้องกลอน การเจรจา และมขุ ตลก ซง'ึ ตวั หนงั แตล่ ะรูปจะได้รับการแกะจากหนงั ววั ยกเว้นตวั หนงั ศกั ดสิT ิทธTิบ้างตวั ซงึ' ในอดีต มกั แกะจากหนงั สตั ว์ชนิดอื'น ซง'ึ ในการแกะตวั หนงั เน้นความสวยงามวิจติ รตระการตา แตง่ กายด้วย เสือ$ ผ้าที'สวยงามตามบทบาทในเนือ$ เรื'อง ระบายด้วยสีที'มีสีสนั สวยงาม ทําหน้าท'ีเป็ นตวั ละครท'ีใช้ ถ่ายทอดสาระตา่ ง ๆ ที'ผ้เู ป็ นนายหนงั กํากบั เพื'อส'ือสาระตา่ ง ๆ ให้กบั ผ้ชู มได้รับรู้ หากไมม่ ีชา่ งแกะตวั หนงั แล้วนายหนงั ตะลงุ ก็ยากที'จะนําส'ิงใดมาส'ือความหมายเพ'ือถา่ ยทอดเนือ$ หาสาระให้ผ้ชู มได้ดไู ด้ฟัง ๔.นายชา่ งทําเครื'องดนตรีและอปุ กรณ์หนงั ตะลงุ เคร'ืองดนตรีและอปุ กรณ์ที'ใช้บรรเลง ประกอบการเลน่ หนงั ตะลงุ แตล่ ะชนิด เป็นเครื'องดนตรีพืน$ บ้านที'ใช้ภมู ปิ ัญญาท้องถ'ินประดษิ ฐ์ขนึ $ มาใช้ สําหรับการเลน่ หนงั ตะลงุ โดยเฉพาะ อาจจะนําไปใช้ในการละเลน่ อย่างอ'ืนบ้างในบางโอกาส แต่ จดุ ประสงค์หลกั ก็เพ'ือใช้กบั การเลน่ หนงั ตะลงุ โดยตรง เชน่ ทบั ปี' หนงั กระจงั โหมง่ (รางโหมง่ ) แผง เก็บรูปหน้าจอหนงั ตะลงุ ม่านหรือฉากคณะหนงั บคุ คลที'ทําหน้าที'ผลติ สงิ' เหลา่ นี $ ถือได้วา่ เป็นบคุ คลที' สําคญั ท'ีจะทําให้การเล่นหนงั ตะลงุ ประสบความสําเร็จ ๕.ผ้ชู มหนงั ตะลงุ การเลน่ หนงั ตะลงุ หรือการละเลน่ ทกุ ชนิดทกุ ประเภท ไมว่ า่ จะเป็นการ แสดงของภาคไหน ๆ ก็ตาม หากไมม่ ีผ้ชู มคอ่ ยให้การสนบั สนนุ ติดตามชมให้กําลงั ใจแล้ว ศลิ ปะการแสดงประเภทนนั$ ก็คงยืนหยดั อยไู่ มไ่ ด้ เพราะเป้ าหมายของการละเลน่ ก็คือต้องการเลน่ หรือ แสดงให้คนชม จงึ นบั ได้วา่ ผ้ชู มเป็นกลมุ่ บคุ คลท'ีมีความสําคญั กบั การละเลน่ หนงั ตะลงุ โดยตรง หรือ อาจกลา่ วได้วา่ เป็นผ้ทู ี'สามารถทําให้การละเลน่ พืน$ บ้านประเภทนีส$ ามารถสืบทอดตอ่ ไปได้ ๖.ผ้รู ับหนงั หรือเจ้าภาพ บคุ คลเหลา่ นีก$ ็เป็ นอีกกลมุ่ หนง'ึ ท'ีชว่ ยสืบทอดหรือจรรโลงหนงั ตะลงุ ให้คงอย่กู บั สงั คม เพราะศลิ ปินหรือกลมุ่ ผ้แู สดง เม'ือก่อตงั$ คณะขนึ $ มาแล้ว ใชว่ า่ จะเปิดเวทีการแสดง ได้ โดยเรียกเก็บเงินจากผ้ชู มการแสดงแตล่ ะครัง$ ก็หาไม่ หากแตต่ ้องอาศยั กลมุ่ คนกลมุ่ หนง'ึ ที'เรียกวา่ “เจ้าภาพ” คอยติดตอ่ นําพาไปแสดงท'ีตา่ ง ๆ มิฉะนนั$ แล้วศลิ ปินเหลา่ นีก$ ็ต้องยตุ ิตวั เองลงโดยปริยาย ๗.ผ้เู ขียนเรื'อง การเลน่ หนงั ตะลงุ จะต้องใช้เวลาในการเลน่ ตดิ จ่อกนั ยาวนานไมน่ ้อยกว่า ๕ – ๖ ชว'ั โมง เป็นการเลา่ นิทานหรือเลา่ เรื'องประกอบการเชิดตวั หนงั ตะลงุ พร้อมทงั$ สอดแทรกสาระและมขุ ตลก เพ'ือตรึงผ้ชู มให้นง'ั ชมเป็นเวลานาน ๆ ซงึ' ต้องอาศยั องคป์ ระกอบที'สําคญั คือ เนือ$ เรื'องท'ีจะนํามา เลน่ ดงั นนั$ ผ้เู ขียนจงึ มีบทบาทที'สําคญั มากในการเขียนเรื'องเพื'อให้ผ้ชู มดแู ล้วเกิดความสนกุ สนานอยาก ตดิ ตาม ดงั นนั$ ผ้ทู ี'เรียนเรื'องที'ใช้ในการแสดงหนงั ตะลงุ จะต้องเป็นผ้ทู 'ีมีความรอบรู้ในวรรณคดียคุ ตา่ ง ๆ เพ'ือจะได้ใช้เป็นวตั ถดุ บิ ในการสร้างสรรคเ์ ร'ืองในการนําไปแสดง ๘. ปชู นียบคุ คลทางด้านหนงั ตะลงุ บคุ คลกลมุ่ นีน$ บั ได้วา่ มีบทบาทที'สําคญั ตอ่ คณะหนงั ตะลงุ ทกุ คณะเป็ นอยา่ งยิ'ง เพราะเป็นแบบอยา่ งที'ดขี องหนงั ตะลงุ เป็นแหลง่ ความรู้ซง'ึ เป็นบคุ คลที'คณะหนงั

๑๓ ตะลงุ สามารถค้นหาความรู้ ในทางด้านการเลน่ หนงั ตะลงุ ได้เป็นอยา่ งดี อปุ มาเหมือนห้องสมดุ ของ นายหนงั ตะลงุ บคุ คลกลมุ่ นีเ$ป็นผ้มู ีประสบการณ์ทางการเลน่ หนงั ตะลงุ มาเป็นเวลายาวนาน ดงั กลา่ ว มาข้างตน ล้วนแล้วแตเ่ ป็นบคุ คลท'ีมีความเกี'ยวข้องกบั หนงั ตะลงุ ไมว่ า่ จะทางตรงหรือทางอ้อม ซงึ' ไม่ สามารถขาดหายไปได้แม้แตเ่ พียงคนเดียวหรือกลมุ่ เดียว ทกุ อยา่ งต้องพงึ' พาอาศยั ซง'ึ กนั และกนั จงึ จะ ทําให้ศลิ ปะการละเลน่ หนงั ตะลงุ สามารถธํารงอยสู่ ืบไปได้ ในระยะตอ่ มาเม'ือเส้นทางการคมนาคมดีขึน$ มีคนอีสานเดนิ ทางไปทํามาหากินท'ีภาคใต้ หรือ คนภาคใต้เดนิ ทางมาทํามาค้าขายท'ีภาคอีสาน ก็เกิดการซมึ ซบั แลกเปล'ียนทางวฒั นธรรมขนึ $ หนงั ตะลงุ จงึ ได้เผยแพร่เข้ามายงั ภาคอีสานและได้รับความนยิ มอยชู่ ว่ งเวลาหนง'ึ ก่อนท'ีจะเสื'อมความนิยมลง เม'ือ มีสื'ออ'ืนๆ เข้ามาแทนท'ี เชน่ ภาพยนตร์ และหมอลําซ'ิง เป็ นต้น ในขณะที'หมอลําเป็นการละเลน่ หรือสง'ิ บนั เทิงอนั เป็นท'ีนิยมแพร่หลายทว'ั ไปในภาคอีสานนนั$ หนงั ตะลงุ ก็เป็นปรากฏการทางวฒั นธรรม การละเลน่ อีกอยา่ งหนง'ึ ที'เกิดขนึ $ มา แม้จะไมน่ านและได้รับความนยิ มเทา่ หมอลํา แตห่ นงั ตะลงุ ก็ คอ่ นข้างจะแพร่หลายไปในหลายจงั หวดั ของภาคอีสาน รัถพร ซงั ธาดา12 ได้อธิบายลกั ษณะของหนงั ตะลงุ วา่ เป็นการผสมผสานระหวา่ งการเลน่ หนงั ตะลงุ กบั หมอลํา บางทา่ นให้คาํ อธิบายว่าหนงั ตะลงุ เหมือนกบั หมอลํา เพียงแตเ่ อารูปหนงั มาเชิดแทน13 นอกจากนีย$ งั กลา่ ววา่ ชื'อเรียกหนงั ตะลงุ มีหลาย ชื'อ เชน่ หนงั ประโมทยั หนงั ปะโมทยั หนงั ปราโมทยั หนงั บกั ตือ$ หนงั ตะลงุ หนงั บกั ป่ องบกั แก้ว ทงั$ ๖ ชื'อนนั$ ช'ือหนกั บกั ตือ$ เป็ นชื'อที'รู้จกั กนั แพร่หลายมากท'ีสดุ แตก่ ็ยงั ไมม่ ีข้อยตุ ิ เรื'องประวตั คิ วามเป็นมาของหนงั ตะลงุ ไมม่ ีผ้ใู ดได้บนั ทกึ ไว้เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรไว้ สนั นิษฐานว่าหนงั ตะลงุ คงจะได้รับการถ่ายทอดศลิ ปะการแสดงมาจากหนงั ตะลงุ ภาคใต้ ส่วนจะ ถา่ ยทอดเข้ามาช้านานเพียงไรก็ไมม่ ีผ้ใู ดทราบ อยา่ งไรก็ตามจากข้อเขียนของ มลิ เลอร์ และ เจริญชยั ชนไพโรจน์14 กลา่ ววา่ อบุ ลราชธานีเป็นศนู ย์กลางแหง่ แรกของหนงั ตะลงุ หวั หน้าคณะหนงั ตะลงุ หลายคณะ กลา่ ววา่ เริ'มเก'ียวข้องกบั หนงั ตะลงุ ครัง$ แรกจากคณะประโมทยั จงั หวดั อบุ ลราชธานี หนงั ตะลงุ คณะเก่าแก่ท'ีสดุ คือ คณะฟ้ าบ้านทงุ่ ซง'ึ ตงั$ ขนึ $ เม'ือปี พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยมีหวั หน้าคณะคนแรกช'ือ ขวญั มาจากจงั หวดั อยธุ ยา หนงั ตะลงุ คณะเก่าแกร่ องลงมา ได้แก่ คณะบญุ มี ซงึ' มาจากจงั หวดั อบุ ลราชธานี และตงั$ คณะขึน$ ในจงั หวดั ร้อยเอ็ด เมื'อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ คณะประกาศสามคั คี ตงั$ ขนึ $ เมื'อ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ต้นกําเนิดหนงั ตะลงุ นนั$ มีแนวคดิ หลายประการ ดงั นี $ 12 รัถพร ซงั ธาดา. (๒๕๒๖). หนงั ตะลงุ : หนงั ตะลงุ ภาคอีสาน. โรงพมิ พ์ศกั ดTิโสภาการพมิ พ์. 13 ผ้ใู หญ่ถงั หวั หน้าคณะหนงั ตะลงุ แหง่ อาํ เภอนํา$ พอง เป็ นผ้ใู ห้สมั ภาษณ์ 14 Miller, Terry E. and Jarernchai Chonpairot. (๑๙๗๙). “Shadow Puppet Theatre in Northeast,” Journal of the Siam Society. ๑ : ๒๙๓-๓๑๑, October,

๑๔ ๑. มีต้นกําเนิดโดยรับมาจากหนงั ตะลงุ ภาคกลาง สิง' ท'ีช่วยเสริมให้แนวคิดนีน$ า่ เช'ือถือ ยงิ' ขนึ $ ก็คือ เครื'องดนตรี หนงั ตะลงุ ท'ีอบุ ลราชธานี หรือที'หดั มาจากอบุ ลราชธานี คือ ระนาดเอก อนั เป็นเคร'ืองดนตรีท'ีนิยมเลน่ กนั มากในภาคกลาง และเคร'ืองดนตรีชนิดนี $ หนงั ตะลงุ ภาคใต้ไมไ่ ด้ใช้ บรรเลงประกอบการแสดง จงึ ทําให้นา่ เช'ือวา่ หนงั ตะลงุ คณะแรกท'ีเข้ามาแสดงและเผยแพร่ในภาค อีสาน คือ หนงั ตะลงุ ที'มาจากภาคกลาง ๒. ชาวอีสานไปทํางานภาคกลางได้เห็นการแสดงของหนงั ตะลงุ ของชาวปักษ์ใต้ที'เข้ามา แสดงในกรุงเทพฯ แล้วนํามาดดั แปลงแสดงให้เหมาะสมกบั ท้องถิ'นของตน ๓. คณะหนงั ตะลงุ ปักษ์ใต้ได้รับการวา่ จ้างมาแสดงในภาคอีสาน โดยเฉพาะได้รับการ วา่ จ้างจากชาวปักษ์ใต้ ที'มาประกอบอาชีพอยใู่ นภาคอีสาน ศลิ ปินชาวอีสานที'ได้ดหู นงั ตะลงุ ปักษ์ใต้ จงึ นํามาดดั แปลงแสดงให้เหมาะกบั ท้องถิ'น เชน่ เปลี'ยนบทพากย์ และบทเจรจาเป็นภาษาถิ'นอีสาน นําดนตรีอีสาน เชน่ แคน ซึง เข้ามาใช้บรรเลงประกอบการแสดง และนําเอาวรรณกรรมพืน$ เมือง อีสาน เชน่ นางผมหอม สงั ข์ศลิ ป์ ชยั มาดดั แปลงให้เหมาะสมกบั การแสดงหนงั ตะลงุ ๔. ชาวอีสานที'ลงไปทํามาหากินในภาคใต้ ได้เหน็ การแสดงของหนงั ตะลงุ ได้นําหนงั ตะลงุ ภาคใต้มาดดั แปลงแสดงให้เหมาะสมกบั ท้องถิ'น โดยดดั แปลงในด้านบทพากย์ และบทเจรจา ภาษาปักษ์ใต้มาเป็นภาษาอีสาน และได้นําเอาการลําของภาคอีสานเข้าไปประกอบการแสดงหนงั ตะลงุ สว่ นเรื'องท'ีนําเข้ามาแสดงนนั$ นอกจากจะแสดงเรื'องรามเกียรตแิT ล้ว ยงั ได้นําเอาวรรณกรรม ท้องถิ'น เชน่ แก้วหน้าม้า สงั ข์ทอง มาแสดงอีกด้วย สว่ นเครื'องดนตรีก็นําเอาเคร'ืองดนตรีพืน$ เมือง อีสาน คือ แคน ซงึ ฉ'ิง ฉาบ กลอง มาบรรเลงประกอบการแสดง สําหรับชื'อหนงั ตะลงุ ในภาคอีสานนนั$ สรุปได้เป็น ๒ ลกั ษณะใหญ่ๆ ดงั นี $ ๑. ช'ือท'ีคณะหนงั ใช้เรียกตวั เองหรือชื'อที'คณะหนงั ใช้เขียนประกาศบอกไว้บนผ้าจอ (ขอบ จอด้านบน) นนั$ มีดงั นี $ คอื หนงั ปราโมทยั หนงั ตะลงุ หรือหนงั ปะโมทยั มาจากคําๆ เดยี วกนั คือ ปราโมทยั ซงึ' มาจากคําวา่ ปราโมทย์ ซงึ' หมายถึงความบนั เทิงใจ ความปลืม$ ใจ ท'ีเขียนประโมทยั ก็ เพราะแผลงสระอาเป็นสระอะ และท'ีเขียน “ปะโมทยั ” นนั$ ก็เขียนตามเสียงอา่ นในภาษาอีสาน คอื ภาษาอีสานไมม่ ีเสียงควบกลํา$ “ปร” จะออกเสียงเป็น “ป” เฉยๆ ๒. ชื'อที'ชาวอีสานทวั' ๆ ไปเรียกคณะหนงั ในฐานะผ้ชู มการแสดงนนั$ สว่ นใหญ่จะเรียกวา่ หนงั ตะลงุ ไมว่ า่ จะเป็ นคนเฒา่ คนแก่หรือคนหนมุ่ คนสาว ช'ือรองลงมาท'ีสว่ นใหญ่ใช้เรียกคณะหนงั นนั$ เรียกตามชื'อตวั ตลกเดน่ ๆ เช่น หนงั บกั ตือ$ หนงั บกั ป่ องบกั แก้ว หรือหนงั บกั แก้วบกั ป้ อด ตามแตใ่ น ท้องถิ'นนนั$ คณะหนงั จะใช้ตวั ตลกตวั ใดเป็นตวั เดน่ ผ้ชู มส่วนมากจะไมเ่ รียกคณะหนงั วา่ ประโมทยั เลย เป็นชื'อที'คณะหนงั ใช้เรียกเพ'ือให้ดเู ป็นทางการหรือเพ'ือความโก้เกเ๋ ท่านนั$

๑๕ เมื'อพจิ ารณาคําวา่ ปราโมทยั แล้ว จะเห็นวา่ เป็นคํามาจากภาษาสนั สกฤต ไมนา่ จะเป็นคําที' ชาวบ้านคดิ ขนึ $ ใช้เรียกการละเลน่ พืน$ เมือง จะเหน็ ได้วา่ การละเลน่ อื'นๆ ใช้คําเรียงชื'อฟังเป็นภาษาถ'ินที' มีการสร้างคําอยา่ งงา่ ยๆ แตค่ าํ ปราโมทยั ประโมทยั และปะโมทยั ไมม่ ีลกั ษณะร่วม ดงั กลา่ วเลย ทําให้คดิ ได้วา่ นา่ จะเป็นคําที'เอามาจากภาคอ'ืนหรือไมก่ ็เป็นคําท'ีคนภาคอื'นคดิ ขนึ $ 15 ในภาคกลางนนั$ คําวา่ ปราโมทยั เป็นช'ือของคณะละครร้องซงึ' มีประวตั ิความเป็นมาในปลาย สมยั ราชกาลท'ี ๕ นนั$ การละครของไทยได้พฒั นาไปมากขนเกิดมีละครร้องขนึ $ เนื'องจากละครร้องได้รับ ความสนใจจากประชาชนมากขนึ $ ทําให้มีโรงละครเกิดขนึ $ หลายโรงทงั$ เจ้านายเชือ$ พระวงศก์ ็ให้การ สนบั สนนุ โดยมีละครของตนเองขนึ $ หลายคณะฉะนนั$ จงึ ได้ชว่ ยกนั สนบั สนนุ ดดั แปลงปรับปรุงขนึ $ ตงั$ แต่ สมยั ราชกาลท'ี ๕ และนิยมแพร่หลายสืบทอดมา จนถงึ สมยั รัชกาลท'ี ๗ ละครร้องในชว่ งนีแ$ บง่ ออกเป็น ๒ แบบ ตามลกั ษณะความเป็ นมาดงั นี $ คือ ละครร้องแบบไทยเดมิ และละครร้องสลบั พดู 16 ในขณะที'ละครร้องกําลงั ได้รับความนยิ มอยา่ งแพร่หลายอยนู่ นั$ เป็นชว่ งเวลาเดียวกบั ท'ีเกิดมีหนงั ตะลงุ ขนึ $ ชว่ งที'คณะละครนฤมิตรได้เป็นละครหลวงใน พ.ศ. ๒๔๕๖ ก็หา่ งจากชว่ งที'ตงั$ หนงั ตะลงุ คณะฟ้ า บ้านทงุ่ ซงึ' เป็นคณะแรกในอบุ ลราชธานี ใน พ.ศ. ๒๔๖๙ เพียง ๑๓ ปี ละครร้องคณะท'ีตงั$ ขนึ $ ตอ่ จาก คณะหลวงนฤมิตร ก็คือคณะปราโมทยั และปราโมทย์เมือง จะเหน็ ได้วา่ ร่วมสมยั กนั จงึ นา่ จะเป็นไปได้ ที'ทางกรุงเทพฯ ได้ตงั$ คณะละครร้องซงึ' เป็นของใหมก่ ําลงั เป็นที'นิยมในขณะนนั$ ขนึ $ หลายคณะ ตา่ งก็คดิ หาช'ือมาตงั$ คณะละครของตวั ตา่ งๆ กนั ได้มีผ้ยู ืมเอาชื'อละครคณะหนงึ' ในสมยั นนั$ มาตงั' ชื'อเรียกหนงั ตะลงุ อีสาน ซง'ึ ก็เป็น 15 ชมุ เดช เดชภมิ ล. (๒๕๓๑). การศึกษาเรือง “หนังตะลุง” ในจงั หวัดร้อยเอด็ . ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั ศรี นครินทรวิโรฒ มหาสารคาม. 16 วิมลศรี อปุ รมยั . (๒๕๒๖). นาฏกรรมและการละคร หลกั บริหารและการจดั การแสดง.

๑๖ บทท$ี ๓ การแกะหนังตะลุงในภาคใต้ การออกแบบตวั หนงั ตะลงุ มีปัจจยั สําคญั ที'สดุ คอื การมีความรู้พืน$ ฐานเดมิ เกี'ยวกบั ตวั หนงั สําหรับภมู ิปัญญาชาวบ้านเดมิ เป็นความรู้ที'ได้รับมาจากบรรพบรุ ุษ ในสมยั นนั$ การเรียนที'มีเนือ$ หาแก่น ท'ีแท้จริงเกี'ยวกบั ลวดลายตา่ งๆ สว่ นมากจะเป็นลายแบบชาวบ้านอนั มีพืน$ ฐานมาจากเดมิ ๆ แม้แตต่ วั ลายกนกตา่ งๆ ก็จะไมเ่ ดน่ ชดั เทา่ ที'ควร ดงั นนั$ ภมู ิปัญญาชาวบ้านเมื'อก่อน ตงั$ แตล่ วดลายตงั$ แต่ รูปทรงเม'ือก่อนนีก$ ็ไมค่ อ่ ยจะชดั เจนเหมือนกบั ปัจจบุ นั เพราะปัจจบุ นั มีการเรียนการค้นคว้าการสร้าง ตาํ ราและสร้างรูปแบบขนึ $ มาหลากหลายซง'ึ ไมย่ ดึ เอาของเดมิ มากเกินไป แตช่ า่ งจะพยายามใช้เทคนคิ ของตนเองให้มนั หลากหลายขนึ $ ความมีทางเลือกมีความสวยงามเป็นหลายอยา่ ง ฉะนนั$ ตวั หนงั เรื'อง แบบจงึ มีความสําคญั ที'สดุ เร'ืองการแกะ และการระบายสีมีความสําคญั รองลงมา ถ้าแบบมีความ ประณีตสะดดุ ตาจะสร้างความสนใจให้กบั คนดไู ด้ จงึ ต้องนกึ ถงึ เรื'องการออกแบบเป็นจดุ สําคญั ท'ีสดุ เพ'ือดงึ ดดู ความสนใจ

๑๗ แม้แตห่ นงั ตะลงุ ในปัจจบุ นั ก็มีการประยกุ ต์ตวั หนงั เป็นแบบใหมๆ่ เว้นแตน่ ายชา่ งต้องการ อนรุ ักษ์ของเก่าไว้ แตเ่ รื'องการพลกิ แพลงลวดลายให้เหมาะสมสวยงามก็เป็นส'งิ จําเป็ น ดงั นนั$ ในการ ออกแบบตวั หนงั จงึ หลกั ในการพิจารณารูปแบบของตวั หนงั 3 รูปแบบ คือ17 ๑. ประเภทอนรุ ักษ์ คือ การลอกลาย รูปหนงั เกา่ มาทําใหม่ เป็นการคงรูปแบบเดมิ จาก แบบของตวั หนงั ของท้องถ'ิน แล้วนํามาแกะเป็น ตวั ใหม่ เพ'ือรักษารูปแบบเดมิ ๆ ไว้ ๒. ประเภทพฒั นาการ คือ เอารูปแบบ เดมิ มาพฒั นาใหมใ่ ห้มีลวดลายที'ละเอียด ซบั ซ้อน และเพ'ิมเตมิ ลวดลายที'เป็น มาตรฐานย'ิงขนึ $ ซงึ' ตวั หนงั ที'ได้สามารถ นําไปใช้ในการเลน่ หนงั ตะลงุ และนําไปเป็น ของท'ีระลกึ ได้ ๓. ประเภทสร้างสรรค์ คือ ทําให้ สอดคล้องกบั ความต้องการของตลาด แบบของตวั หนงั บางครัง$ จะได้มาจากลกู ค้า ทําให้มีรูปแบบที' หลากหลายไมจ่ ํากดั อยทู่ ี'ตวั หนงั ตะลงุ เชน่ การแกะ เป็นรูปช้าง หรือรูปแบบภาพสมยั ใหม่ ในการแกะตวั หนงั ตะลงุ เพ'ือนําไปใช้ในการเลน่ หนงั ของคณะตา่ งๆ สว่ นมากจะใช้รูปแบบ ดงั$ เดมิ แตอ่ าจมีการตดั แปลงบางสว่ นเพ'ือความเป็นเอกลกั ษณ์ของนายหนงั หรือผ้แู กะหนงั แตล่ ะคน เชน่ ปรับเปล'ียนลายเสือ$ ผ้า เคร'ืองแตง่ กาย แตย่ งั คงเอกลกั ษณ์ของหนงั ตวั นนั$ ไว้ เช่น หน้าตา ทา่ ทาง เป็นต้น ซงึ' แบบของตวั หนงั จะมีลกั ษณะที'ตายตวั อยา่ งชดั เจน สามารถลอกแบบเพ'ือเขียนลง บนตวั หนงั การออกแบบทําได้โดยการใช้เหล็กแหลมเขียนลายของตวั หนงั ท'ีจะแกะลงบนผืนหนงั ท'ีผา่ น การเตรียมแล้ว โดยจะนําแบบลายเส้นตวั หนงั วางไว้ด้านลา่ งของแผน่ หนงั เม'ือนําหนงั ที'เป็นแก้วมา ทาบจะเหน็ เส้นแล้วก็ใช้เหล็กแหลมขีดเหมือนปากกา จะเกิดเส้นบนตวั หนงั ท'ีต้องใช้เหลก็ แหลมก็ 17 สัมภาษณ์ กิตตทิ ตั ศรวงศ์ และกวศี กั ดิT ชวู ิจิตร, วนั ที' ๘ มถิ นุ ายน ๒๕๕๐, ๑๖๕/๒ หมู่ ๒ ถ.เพชรเกษม ต.ท่ามหิ ลํา อ.เมือง จ.พทั ลงุ .

๑๘ เพราะป้ องกนั การเปรอะเปื อ$ นของดนิ สอเวลาระบายสีจะไมส่ วย ซง'ึ แบบของตวั หนงั มีตวั อยา่ งแบบของ ตวั หนงั ดงั นี $ 18 รูปฤๅษี ขนาดของรูปฤๅษีแตล่ ะคณะมีขนาดใหญ่เล็กไมเ่ ทา่ กนั รูปเลก็ ขนาดสงู ประมาณ ๓๕ เซนตเิ มตร รูปใหญ่ประมาณ ๖๕ เซนตเิ มตร ฤๅษีจะใช้ออกตอนหวั คํา' ซงึ' ถือเป็ นรูปศกั ดสTิ ิทธTิ หนงั ตะลงุ ทกุ คณะจะต้องบชู าฤๅษีเป็นบรมครูของตน การแกะรูปฤๅษีนิยมใช้หนงั เสือ ถ้าไมม่ ีหนงั เสือก็ใช้ หนงั ววั การระบายสีสว่ นใหญ่นยิ มใช้สีดาํ ถ้าไมใ่ ช้สีดาํ ก็ใช้สีตา่ งๆ ตามความต้องการของนายหนงั ท'ี นํามาเคารพบชู า การแกะรูปฤๅษีโดยทวั' ไปเป็นรูปคนแก่ มีหนวด มือขวาถือไม้เท้าเคล'ือนไหวได้ มือ ซ้ายถือตาลปัตร ศีรษะสวมชฎามงกฎุ เคร'ืองนงุ่ หม่ ใช้ผ้าลายเสือ รูปฤๅษี รูปพระอศิ วร เป็นรูปท'ีสําคญั รูปหนง'ึ ที'หนงั ตะลงุ ทกุ คณะต้องเชิดตามขนบนิยมทกุ ครัง$ ท'ี มีการแสดงและเชิดเป็นตวั ท'ีสองตอ่ จากรูปฤๅษี ขนาดของรูปพระอิศวร รูปขนาดเลก็ ขนาดความสงู ประมาณ ๔๐ เซนตเิ มตร ตอ่ มาได้วิวฒั นาการให้รูปใหญ่ขนึ $ กวา่ เดมิ ขนาดของรูปพระอศิ วรสงู 18 มงคง คชรัตน.์ (๒๕๓๙). ลกั ษณะและคณุ ค่าของเคร;ืองประกอบการแสดงหนงั ตะลงุ ในภาคใต.้

๑๙ ประมาณ ๗๐ เซนตเิ มตร พระอศิ วรเป็นเทพองคห์ นงึ' มีจกั รและพระขรรค์เป็นอาวธุ ทรงโคอสุ ภุ ราช ซงึ' ตามตํานานมีสีเผือก แตร่ ูปท'ีใช้เชดิ บางคณะมีสีดาํ เน'ืองจากความไมเ่ ข้าใจของชา่ งผ้ตู ดั ตวั หนงั หรือ อาจเกิดจากศลิ ปะในการใช้สีและรูปแบบอนั เป็นลกั ษณะที'มีความอิสระตามวฒั นธรรมพืน$ บ้าน รูปพระอิศวร ภาพตวั หนงั ของกลมุ่ แกะ ตวั หนงั ตะลงุ หน้าถํา$ พระ เขาชยั สน รูปปรายหน้าบท ในแตล่ ะท้องถิ'นเรียกรูปนีว$ า่ ออกอากาศ ออกรูปกาศ ออกรูปหน้าบท รูปปรายหน้าบทหรืออภิปรายหน้าบทเป็นขนั$ ตอนหนงึ' ของการแสดงหนงั ตะลงุ ตอ่ จากการออกพระอิศวร ลกั ษณะของรูปปรายหน้าบท เป็นรูปชายหนงึ' ทรงเครื'องทรงแบบโอรสของเจ้าเมือง มือข้างหลงั ถือ ดอกบวั ท'ีผา่ มือจะตดั แยกออกเป็นสองสว่ นระหวา่ งหวั แมม่ ือกบั นิว$ ทงั$ สี' เวลาเชิดจะได้มีลกั ษณะ เหมือนคนจริง เวลาเชิดจะได้ดสู วยงาม ความสงู ของรูปปรายหน้าบท ปัจจบุ นั รูปเล็กสงู ประมาณ ๔๐ เซนตเิ มตร รูปใหญ่สงู ประมาณ ๖๐ เซนตเิ มตร รูปปรายหน้าบทถือเสมือนเป็ นตวั แทนของนายหนงั ท'ี เรียกวา่ ออกอากาศหรือออกรูปกาศนนั$ เป็นการเรียกตามบทบาทบนหน้าจอของรูป เพราะรูปกาศจะอ อกมาประกาศหรือบอกกลา่ วเรื'องราวตา่ งๆ แทนตวั นายหนงั การระบายสีรูปนิยมใช้สีแดง เขียว ดาํ นํา$ เงิน เพราะเห็นได้ชดั เจนเวลาเชิดออกจอ

๒๐ รูปปรายหน้าบท รูปบอกเร$ือง เป็นรูปหนงั ท'ีใช้เป็นตวั แทนนายหนงั ซง'ึ สามารถตวั หนงั อะไรก็ได้ หนงั ตะลงุ สว่ นมากใช้ตวั ตลก เชน่ รูปขวญั เมืองเป็นตวั แทนของนายหนงั ในการบอกเรื'องและเพ'ือแสดง คารวะส'งิ ศกั ดสTิ ิทธTิตลอดทงั$ สิ'งที'เคารพนบั ถือ ลกั ษณะของรูปขวญั เมืองเป็นรูปของผ้ชู าย ผอมบาง คอ่ นข้างเตีย$ ผิวดาํ หวั เถิก มีผมหยกิ งอ จมกู โตยาวปลายแหลมเชิด ตาเหลือกขาว คางลา่ งแหลม ปากกว้าง พงุ โย้ยาน ก้นเชิดงอน รูปบอกเร'ืองเป็นตวั ที'ทําความเข้าใจกนั ระหวา่ งคณะหนงั กบั ผ้ชู มใน เร'ืองราวตา่ งๆ อีกทงั$ เป็นการทกั ทาย เพ'ือจะรักษาไว้ซงึ' วฒั นธรรมไทยโดยกลา่ วคาํ วา่ สวสั ดีครับ ถ้า นายหนงั เป็ นผ้หู ญิง ก็ใช้คาํ วา่ สวสั ดีคะ่ และพดู สําเนียงเสียงปักษ์ใต้เป็นการรักษาวฒั นธรรมทางด้าน ภาษา ซงึ' รูปบอกเรื'องของหนงั ตะลงุ อาจผิดแผกแตกตา่ งกนั ออกไป บางคณะใช้รูปอินแก้ว รูปสีแก้ว หรือรูปอื'นๆ ที'นายหนงั ชอบ

๒๑ รูปกษัตริย์ เป็นรูปที'แตง่ กายด้วย เครื'องทรง นิยมสวมมงกฎุ และฉลองพระ บาท มือด้านหน้าเคลื'อนไหวได้ มือ ด้านหลงั เคล'ือนไหวไมไ่ ด้ นิยมถือพระขรรค์ หรือธนเู ป็ นอาวธุ หนงั ตะลงุ ใช้รูปกษัตริย์ ตงั$ เมืองหรือดําเนนิ เรื'องปกครองเมืองตา่ งๆ รูปกษัตริย์ขนาดเลก็ มีความสงู ประมาณ ๔๕ เซนตเิ มตร รูปขนาดใหญ่มีความสงู ประมาณ ๘๕ เซนตเิ มตร รูปตวั หนงั ของ นายเจริญ เมธารินทร์ รูปราชนิ ี เป็นรูปนางเมือง สวมชฎา ห้อยสไบ มือด้านหน้าเคล'ือนไหวได้ มือข้าง หลงั เคลื'อนไหวไมไ่ ด้ วางแนบลําตวั รูปนาง มกั จะฉลใุ บหน้าให้มีลวดลายใบหน้าที'ชดั เจน ซง'ึ แตกตา่ งจากรูปอื'นๆ หนงั ตะลงุ ใช้รูปราชินีคู่ กบั รูปกษัตริย์ในการดําเนินเรื'องหรือตงั$ เมือง ระบายสีด้วยสีตา่ งๆ ให้เกิดความสวยงาม รูป ราชนิ ีขนาดเล็กมีความสงู ประมาณ ๔๐ เซนตเิ มตร รูปขนาดใหญ่มีความสงู ประมาณ ๘๐ เซนตเิ มตร รูปจากตวั หนงั ของ นายเจริญ เมธารินทร์

๒๒ รูปตัวพระ รูปตัวพระ หนงั ตะลงุ มีรูปตวั พระเป็นผ้ชู ายเรียกโดยทว'ั ไปวา่ “รูปนดู ” แตง่ กาย ตามวถิ ีชีวติ หรือวฒั นธรรมท'ีสะท้อนสงั คม มีขนาดตงั$ แต่ ๒๐-๔๕ เซนตเิ มตร เป็นรูปโอรสของกษัตริย์ แตง่ กายด้วยเคร'ืองทรงกษัตริย์ ไมส่ วมมงกฎุ มือด้านหลงั นิยมถืออาวธุ ประจํากาย ได้แก่ พระขรรค์ หรือธนู เป็นต้น รูปสามญั ชนแตง่ กายตามบทบาทหน้าท'ีหรือแตง่ ตามสมยั นิยม มือด้านหน้า เคล'ือนไหวได้

๒๓ รูปตวั นาง รูปตัวนาง หนงั ตะลงุ ใช้รูปตวั นางท'ีมีลกั ษณะเป็นผ้หู ญิง แตง่ กายตามยคุ ตามสมยั เป็น การบง่ บอกถึงวฒั นธรรมการแตง่ กายตามสมยั นิยม ขนาดของรูปมีขนาดความสงู ประมาณ ๒๐-๔๕ เซนตเิ มตร สว่ นใบหน้าจนถึงลําคอจะแกะฉลเุ น้นลวดลายของอวยั วะตา่ งๆ เชน่ ควิ $ จมกู ปาก รอย ยน่ ท'ีลําคอ อยา่ งชดั เจน เหมือนกบั รูปราชินีหรือนางเมือง

๒๔ รูปยักษ์ผู้ชาย รูปจากตวั หนงั ของชา่ งสงควนเนียง รูปยักษ์ผู้ชาย จะมีลกั ษณะสงู ใหญ่ หน้าตาดรุ ้าย มีเขีย$ วและหนวดเครา สวมเคร'ือง ทรงเตม็ ยศ มีมงกฎุ สว่ นใหญ่จะยกขาหลงั ถือกระบองเป็นอาวธุ รูปยักษ์ผู้หญิง มีหน้าตาดรุ ้าย ตกถลน ปากกว้างมีเขีย$ วแหลมคม ฟันซ'ีใหญ่ ซง'ึ สว่ น ใหญ่จะเป็นรูปนางยกั ษ์ป่ า ผิวดาํ ร่างกายใหญ่โต นงุ่ ห่มด้วยใบไม้ มือด้านหนงึ' ถือกระบอง รูปยกั ษ์ ผ้หู ญิงโดยทวั' ไปจะยกขาหน้า รูปลงิ สว่ นใหญ่เป็นหนมุ าน ซง'ึ เป็นลงิ เผือกที'มีอิทธิฤทธTิมาก เป็นทหารเอกของพระราม ใช้ออกรูปแสดงหนงั ตะลงุ เร'ืองรามเกียรตTิ

๒๕ รูปหนุมาน รูปจากตวั หนงั ของชา่ งสงควนเนียง รูปไอ้เท่ง เป็นตวั ตลกของหนงั ตะลงุ ที'คณะหนงั ตะลงุ ทกุ คณะมีไว้ประจําโรง และทกุ คณะจะสวมบทบาทลกั ษณะนสิ ยั ลีลาการพดู สําเนียงพดู เป็นลกั ษณะเดียวกนั แสดงคกู่ บั ไอ้หนนู ้ยุ รูปของไอ้เทง่ นนั$ ผ้ตู ดั ได้เลียนแบบรูปร่างลกั ษณะและถอดนิสยั มาจากคนจริง ซงึ' เป็นชาวบ้าน คนหนง'ึ อาศยั อยใู่ นตําบลคขู ดุ อําเภอสทิงพระ จงั หวดั สงขลา มีอาชีพทํานําตาลโตนด ทํากระแช่ และรุนก้งุ ฝอยให้เมียขาย มีรูปร่างลกั ษณะผอมบาง สงู โยง่ ทอ่ นบนยาวกวา่ ท่อนลา่ ง ผวิ ดํา หวั เถิก ผมหยิกเป็นปอยอยเู่ ฉพาะสว่ นท้ายทอย จมกู ท่โู ต ตาขาวโต ปากกว้าง หน้าตาพกิ ลคล้ายนกกระฮงั หรือคล้ายหวั ต๊กุ แก มือเคลื'อนไหวได้ทงั$ สองข้าง นิว$ มือข้างซ้ายกําหลวมๆ นิว$ ชีก$ บั หวั แมม่ ืองอหงิกเป็ น วงเข้าหากนั สว่ นมือข้างขวาเหลือเพียงนิว$ ชีเ$พียงนิว$ เดียวทโู่ ต ลกั ษณะมือที'ปรากฏในรูปนนั$ มีลกั ษณะ เป็นรูปอวยั วะเพศชาย ซงึ' ผ้แู กะตวั หนงั ตะลงุ แกะรูปมือให้เป็นเชน่ นนั$ เพราะอ้างเทง่ ชอบใช้มือทงั$ สอง ข้างทําทา่ ดา่ แมผ่ ้อู ื'น แทนถ้อยคําที'เรียกวา่ “ฉบั โขลก” การแตง่ กาย ไมส่ วมเสือ$ นงุ่ ผ้าโสร่งลายตา หมากรุกขาวดํา เคยี นพงุ ด้วยผ้าขาวม้า เหน็บไอ้ครก ซ'ึงเป็นมีดพืน$ เมืองชนิดหนงึ' นิสยั เป็นคนตลก

๒๖ คะนอง ขบขนั ง่าย มทุ ะลุ ไมก่ ลวั คน ชอบล้อเลียนเพ'ือน มีความฉลาดเฉียบแหลมในบางโอกาส แต่ บางครัง$ ก็พดู พร่อยๆ เป็ นคนทา่ ดที ีเหลว ชอบขสู่ ําทบั เพื'อน แตใ่ จจริงไมส่ ้คู น ใครดา่ ว่าก็ไมโ่ กรธ แต่ มกั ย้อนกลบั ดา่ คนได้ง่ายๆ ชอบบา่ ยอ ลีลาการพดู พดู ช้าๆ แตไ่ มช่ ดั คําเสียงขนึ $ จมกู เกือบตดิ อา่ ง มี อารมณ์ขนั อยใู่ นที มกั มีเสียงหวั เราะแทรก บางทีพดู โผงผางแบบขวางผา่ ซากไมเ่ กรงใจใคร ไมย่ งั$ คดิ เม'ือพลงั$ ผิดมกั ดา่ ตวั เอง ชอบทําทา่ ประกอบคําพดู และจ้องหน้าคสู่ นทนา รูปไอ้เท่ง จากตวั หนงั ของ นายเจริญ เมธารินทร์ รูปไอ้หนูนุ้ย เป็นตวั ตลกหนงั ตะลงุ แสดงคกู่ บั ไอ้เทง่ ไอ้หนนู ้ยุ เช'ือวา่ เป็นตวั ตลกท'ีจําลอง มาจากคนจริงๆ ซงึ' เป็นคนบ้าๆ บอๆ เคยเท'ียวเตร่อยแู่ ถวๆ คลองขวางในเขตเทศบาลเมืองสงขลา เม'ือนายหนงั ตะลงุ เห็นเข้าก็เกิดอารมณ์ขนั จงึ จําเอารูปร่างลกั ษณะมาตดั เป็ นตวั ตลกหนงั ตะลงุ เรียก กนั วา่ “ไอ้หนนู ้ยุ ” ตามชื'อของคณะหนงั ตะลงุ ซง'ึ เป็นผ้คู ดิ ประดิษฐ์ขนึ $ มาเป็ นเบือ$ งต้น มีรูปร่าง ลกั ษณะผิวดํา ล'ําเตีย$ ก้นเชดิ พงุ ยานและโย้ ลําตวั แขง็ หน้าเสีย$ มยาวยื'นคล้ายหน้าววั เส้นผมชีไ$ ป ข้างหน้าคล้ายแส้ม้า มีไฝที'ใต้คาง และมีหนวดยาวย้อยลงมาเป็นกระจกุ ลํา$ ลายย้อยเหมือนววั จนถกู ล้อเลียนจากคนอ'ืนว่า “พอ่ ของไอ้หนนู ้ยุ เป็นววั ” จงึ ถกู เรียกวา่ “ไอ้ลกู ววั ” การแตง่ กายจะไมส่ วมเสือ$ นงุ่ ผ้าโสร่งแบบคนสมยั ก่อนแตห่ นงั ตะลงุ บางคณะจะนงุ่ กางเกงสนั$ หนา มือซ้ายถือกรรไกรหนีบหมาก เป็นอาวธุ ประจําตวั นิสยั เป็ นคนไมเ่ ตม็ เตง็ ไมเ่ ป็นตวั ของตวั เอง มกั แสดงความเป็ นคนปัญญาอ่อนให้ ปรากฏ เป็นคนบ้องตือ$ ผีเข้าผีออก แสดงความโงใ่ ห้เป็ นที'ขบขนั ของคนอ'ืน ยอมลงคนง่ายๆ ขีน$ ้อยใจ

๒๗ ขวญั ออ่ น เก็บความลบั ไมไ่ ด้ ไมท่ นั คน ถกู สําทบั เลก็ น้อยก็จะเปิ ดเผยความลบั ทนั ที ลีลาการพดู จะ พดู ไมค่ อ่ ยชดั เสียงเบา ลงลําคอ ชอบพดู คล้อยตามเพ'ือน ถ้อยคําแสดงถงึ ความเป็ นคนปัญญาออ่ น รูปไอ้หนูนุ้ย รูปจากตวั หนงั ของ นายเจริญ เมธารินทร์ รูปไอ้หนูเนือย เป็นตวั ตลกซงึ' หนงั อ'ิมเทง่ บ้านควนเนียง อําเภอควนเนียง จงั หวดั สงขลา คดิ ตดั ขนึ $ มาจากจินตนาการให้เป็นรูปตลกประจําคณะ เป็นน้องของไอ้หนนู ้ยุ รูปร่างหน้าตาของไอ้หนู เนือยเหมือนไอ้หนนู ้ยุ แตเ่ ป็นคนผอมแห้งแรงน้อย ตวั เลก็ หลงั โกง คอตก ลีลาการพดู จะพดู ช้าๆ เสียงเลก็ แหลม ชอบพดู แตเ่ ร'ืองกิน ไมค่ อ่ ยสนใจเรื'องอ'ืน รูปไอ้สีแก้ว เป็นตวั ตลกที'ออกคกู่ บั ไอ้ยอดทอง เชื'อกนั วา่ เป็นรูปตวั ตลกท'ีเลียนแบบมา จากคนจริงๆ เป็นชาวบ้านเขารัดปนู ตาํ บลเชิงแส อําเภอกระแสสินธ์ุ จงั หวดั สงขลา รูปร่างลกั ษณะ อ้วนเตีย$ แบบมะขามข้อเดยี ว ผิวดําคลํา$ ลงพงุ หวั ล้านเกลีย$ งคล้ายบาตรพระ จมกู โต คางสนั$ คอสนั$ การแตง่ กาย ไมส่ วมเสือ$ สวมสร้อยคอนงุ่ ผ้าโจงกระเบน ผ้าลายตาหมากรุก เคียนด้วยผ้าขาวม้า นสิ ยั เป็นคนซื'อสตั ย์สจุ ริต มีสตปิ ัญญารอบคอบหลกั แหลม พดู น้อย หนกั แน่น พดู จริงทําจริง ไมพ่ ดู

๒๘ เลน่ ใจสู่ ใช้หวั ชนคตู่ อ่ สเู่ ป็ นอาวธุ เป็นคนสงวนทา่ ที มีตบะ ลีลาการพดู จะพดู น้อย พดู ช้าแตห่ นกั แนน่ ชดั ถ้อยชดั คํา พดู ด้วยความมนั' ใจ นํา$ เสียงนา่ นบั ถือรู้จงั หวะการพดู มีสมั มาคารวะ ไมพ่ ดู นอก เร'ือง รูปไอ้ยอดทอง รูปจากตวั หนงั ของ นายเจริญ เมธารินทร์ รูปไอ้ยอดทอง เป็ นตวั ตลกที'สําคญั อีกตวั หนงึ' เป็นเพื'อนคหู่ กู บั ไอ้สีแก้ว เชื'อกนั วา่ เป็น ตวั ตลกท'ีจําลองแบบมาจากคนจริง เป็นชาวนครศรีธรรมราช บ้างก็วา่ เป็นชาวบ้านศรีวิชยั อําเภอสทิง พระ จงั หวดั สงขลา บ้างก็ว่าเป็นชาวพทั ลงุ รูปร่างลกั ษณะอ้างยอดทองมีรูปร่างอ้วน ดําเตีย$ ก้นงอน พงุ โย้ สะเอวคอด มีโหนกคอ ผมหงิกม้วนไปข้างหน้า จมกู ใหญ่ยาว หน้าตาคล้ายๆ จระเข้ คางย'ืน ยาน สะดอื จนุ่ การแตง่ กาย ไมส่ วมเสือ$ นงุ่ ผ้าลายไทย โจงกระเบน เหน็บฝักกริชเป็นประจํา มือ ขวาถือกริช นิสยั เป็ นโอ้อวด ขีโ$ ม้ แตข่ ีข$ ลาดตาขาว เป็นคนเข้าชู้ เข้าใกล้ผ้หู ญิงไมไ่ ด้จะชอบพดู เกีย$ ว จกตนจม่ ทา่ น เป็นคนบ้ายอ ถ้าใครยอจะอาสาตวั ตายไมค่ ดิ จนเกิดมีสํานวนขนึ $ ว่า “ไอ้ยอดทองบ้า นาย” ชอบทําร้ายคนอื'นข้างหลงั และขม่ ขคู่ นที'ไมส่ ู่ การพดู จะพดู เสียงดงั กระโชกโฮกฮากพดู แบบเค้น คอพดู เน้นเสียงทกุ ๆ พยางค์ เสียงแหบสนั' อยใู่ นลําคอ พดู มากแบบบ้านํา$ ลาย ชอบสอดเสือกไมร่ ู้จกั กาลเทศะ ไมม่ ีเหตผุ ล ดนั ทรุ ังแล้วจะยอมจํานนในภายหลงั

๒๙ รูปไอ้สะหม้อ รูปจากตวั หนงั ของชา่ งสงควนเนียง รูปไอ้สะหม้อ หรือบังสะหม้อ เป็นตวั ตลกซงึ' เป็นชาวไทยมสุ ลิมแสดงคกู่ บั ไอ้ขวญั เมือง ไอ้สะหม้อเป็นตวั ตลกท'ีจําลองมาจากคนจริงๆ อยหู่ มบู่ ้านสะกอม อําเภอจะนะ จงั หวดั สงขลา เป็น คนนสิ ยั ตลกโปกฮา เป็นคนดุ และเป็นนกั เลงเตม็ ตวั รูปร่างลกั ษณะหลงั โกงมีโหนกที'คอ คางยานๆ แบบคนแก่ ผอมสงู ท้องป่ อง คล้ายคนอมโรค การแตง่ กายจะสวมหมวกแขก ไมส่ วมเสือ$ นงุ่ ผ้าโสร่ง ม้วนชายพกแบบชาวไทยมสุ ลมิ มือซ้ายถือไม้พาย นิสยั ชอบตลกคะนอง หยอกล้อและทบั ถมคนอ'ืน พดู จาเป็นเชงิ หยิกแกมหยอก ชอบพดู ยอผ้อู 'ืนนิดๆ แล้วคดิ ตลบหลงั ให้เจบ็ ใจ เป็นนกั เลงกล้าได้กล้า เสีย นบั ถือศาสนาอสิ ลามแตไ่ มเ่ คร่งครัด ชอบขดั คอคนแตใ่ จจริงรักและนบั ถือเพ'ือน เสียสละแตไ่ ม่ ยอมเสียเปรียบใคร ลีลาการพดู จะพดู ตามสําเนียงชาวไทยมสุ ลมิ ที'อย่บู ้านสะกอม อําเภอจะนะ จงั หวดั สงขลา พดู เนบิ ๆ ช้าๆ หนกั แนน่ แบบคนหวั โบราณ คดิ อยา่ งไรก็พดู อยา่ งนนั$ ไมเ่ กรงใจใคร เป็นตวั ของตวั เอง และชอบคยุ เร'ืองขําขนั

๓๐ รูปไอ้แข้ง เป็นตวั ตลกที'มีรูปร่างอ้วนเตีย$ หวั หลมิ จมกู เล็กแหลม คอใหญ่ หน้าผากยื'น ไมส่ วมเสือ$ นงุ่ กางเกงขาสนั$ มือถือช้อน ท'ีสะเอวผกู ลกู พรวน มือถือหนงั สตกŠิ ลีลาการพดู พดู ออกเสียงไมช่ ดั แบบเดก็ หดั พดู รูปไอ้ปราบ เป็นตวั ตลกซงึ' เป็นคนท'ีจมกู เป็นริดสีดวง จมกู บบุ บีแ$ บนราบมองไมเ่ หน็ จมกู ผิวดาํ ผอมพงุ ย'ืน ก้นงอนเล็กน้อย การแตง่ กายนงุ่ กางเกงขาสนั$ ไมส่ วมเสือ$ ตดั ผมสนั$ หวีแสกตรง กลางหวั ลกั ษณะโดยทว'ั ไปมือข้างหนงึ' ถือหวี อีกข้างหนึง' ถือกระจก นสิ ยั เป็นคนเจ้าสํารวยชอบแตง่ ตวั ส'ิงท'ีไอ้ปราบเป็นห่วงกวา่ ส'งิ อ'ืนใด คือ ทรงผม มกั แอบเอากระจกสอ่ งดหู น้า และหวีผมบอ่ ยๆ ไมเ่ ป็น คนเจ้าช้เู พราะสนใจตวั เองมากกวา่ ผ้อู ื'น รูปไอ้ดกิ เป็นตวั ตลกที'ทําหน้าท'ีเป็นทหารของฝ่ ายยกั ษ์ หรือประจําเมือง ออกคกู่ บั ไอ้ ปราบ มีลกั ษณะพิเศษกวา่ ตวั ตลกอื'นๆ ท'ีมีปากยาวคล้ายปากเป็ด หน้าผากย'ืน หน้าหกั ก้อนขวดิ พงุ บาน สะเอวคอด ไว้ทรงผมสงู นงุ่ กางเกง ไมส่ วมเสือ$ ไมม่ ีจมกู พดู ไมช่ ดั ถ้อยชดั คาํ มีนิสยั คอ่ นข้างเกเร ชอบพดู หาเรื'อง ดนั ทรุ ัง มือถือลกู ขวาน (ขวานเลก็ ๆ) แบบนกั เลงทางปักษ์ใต้สมยั ก่อน รูปไอ้โถ เป็นตวั ตลกท'ีเป็ นคนจีนร่างเตีย$ ล'ําสนั ไว้เปี ย หวั เลก็ นงุ่ กางเกงขายาวแบบ จีน (อาจพบั กางเกงขนึ $ มาเสมอเขา่ ) บางทีสวมกางเกงมีจดุ แดง เป็นคนท'ีเห็นแก่กิน สนใจแตเ่ ร'ืองกิน มากกวา่ เร'ืองอ'ืนๆ ขีข$ ลาดตาขาวไมส่ ้คู น รูปไอ้อนิ แก้ว เป็นตวั ตลกท'ีมกั ทําหน้าที'เป็นนายทวารบาล คอยซกั ถามแขกเมือง และ นําความไปรายงานเจ้าเมือง มีรูปร่างยอมบาง คอ่ นข้างสงู ฟันลา่ งครอบฟันบน มีผมกระจกุ เป็น หยอ่ มๆ อยตู่ รงกลางกระหมอ่ ม นงุ่ ผ้าลายตาหมากรุก ไมส่ วมเสือ$ มีนิสยั เป็นตรงไปตรงมา ไมม่ ีชนั$ เชงิ เป็นคนเอางานเอาการ รูปไอ้พูนหรือผู้ใหญ่พูน รูปจากตวั หนงั ของหนงั สชุ าติ ทรัพย์สิน

๓๑ รูปไอ้พูนหรือผู้ใหญ่พูน เป็นตวั ตลกที'โดยปกตจิ ะเป็นเสนาบดี มีหน้าท'ีเป็นนายทวาร ประจําเมืองยกั ษ์ เมืองแขก หรือเมืองฝรั'ง มีรูปร่างอ้วน ใหญ่ ผิวดํา หวั ล้าน จมกู ทู่ ยาว และง้มุ พงุ ใหญ่ย้อยยาน ก้นเชิดงอน ท'ีศีรษะมีขอสําหรับเก'ียว เป็นรูปส'ีเหลี'ยมอย่ขู ้างบน คางย'ืนแบบฟันลา่ ง ครองฟันบน สะเอวคอด การแตง่ กายนงุ่ กางเกงขาสนั$ หรือบางทีนงุ่ ผ้าดาํ คร'ึงทอ่ น ไม่สวมเสือ$ ถือลกู ขวานเป็นอาวธุ นสิ ยั เป็นคนบ้าๆ บอๆ ไมจ่ ริงจงั อะไร ชอบขเู่ พื'อน แตถ่ ้าเพื'อนส้จู ะทําเป็นพดู ดเี อาใจ ทําตวั เป็นอนั ธพาล พดู เสียงดงั เตม็ ปาก รูปไอ้จีนจ้ง เป็ นตวั ตลกเดิมชื'อวา่ เจ๊กโกก เป็นคนประกอบอาชีพขายนํา$ ชาอยสู่ 'ีแยก โรงเรียนอนบุ าลสงขลา เป็ นคนจีนท'ีมาจากเมืองจีน พดู ภาษาไทยไมช่ ดั รูปร่างผอมสงู ขีโ$ รค นงุ่ กางเกงขาก๊วย ขาหนง'ึ ปล่อยอีกขาหนง'ึ พบั ขนึ $ มา สวมเสือ$ ฮอ่ มแบบจีน หวั มีหางเปี ยแบบแมนจู มือ ถือกล้องยาสบู เป็นคนซื'อสตั ย์ โกรธง่ายหายเร็ว ขยนั ขนั แขง็ ข'ีบน่ และพดู ตรงไปตรงมา ไมเ่ กรงใจ ใคร ไมส่ นใจเร'ืองการเมือง สนใจแตเ่ ร'ืองการทํามาหากิน บางครัง$ ก็พาซ'ือจนถกู หลอกลวงจากตวั ตลก อ'ืนงา่ ยๆ การร่างภาพลงบนผืนหนงั สมยั ก่อนการร่างภาพจะใช้เขมา่ ไฟผสมกบั นํา$ ข้าวแล้วเขียนเป็น โครงร่างภาพ เมื'อเสร็จแล้วใช้ลกู สะบ้าขดั ลงไปให้เป็นเงา ตอ่ มามีการนําดนิ สอพองมาเขียนร่างแทน แตม่ ีปัญหาท'ีเส้นร่างใหญ่เกินไปทําให้ตวั หนงั ที'ออกมาไมส่ มดลุ เทา่ ท'ีควรและหากเกิดความผิดพลาดจะ ไมส่ ามารถลบได้เพราะย'ิงลบยงิ' เลอะมากขึน$ ระยะหลงั จงึ มีการใช้เหล็กแหลมร่างภาพแทน การใช้เหลก็ จารหรือเหล็กแหลมมีข้อดีตรงที'เมื'อเขียนผิดพลาด สามารถใช้นํา$ ลบออกได้โดย ไมม่ ีรอยให้เหน็ สําหรับภาพท'ีร่างสว่ นใหญ่เป็นภาพท'ีมีรูปแบบตามตวั ละครในหนงั ตะลงุ คอ่ นข้าง ตายตวั เชน่ ตวั ละครในรามเกียรติT และเรื'องอ'ืนๆ ท'ีดดั แปลงมาจากวรรณคดี ถือเป็นตวั หลกั ที'ชา่ งทํา ถนดั และอาจมีบางตวั ท'ีคดิ ทําเสริมขนึ $ มาใหมซ่ งึ' ขนึ $ อยกู่ บั จินตนาการของชา่ ง

๓๒ บทท$ี ๔ การแกะตัวหนังตะลุงในภาคอีสาน แบบของตวั หนงั ประโมทยั จะมีเอกลกั ษณ์เฉพาะถิ'นของภาคอีสาน คอื มีความเรียบงา่ ย ลวดลายไมส่ ลบั ซบั ซ้อนมากนกั เพราะศลิ ปะเก'ียวกบั หนงั ประโมทยั จะให้ความสําคญั กบั การแสดงเป็ น หลกั คณะที'เป็นท'ีนยิ มไมไ่ ด้อยทู่ ี'ความสวยงามของตวั หนงั แตเ่ ป็นความสนกุ สนานของการแสดง เชน่ การเลน่ ตลกและคําร้องท'ีไพเราะ โดยมีตวั อยา่ งแบบตวั หนงั แตล่ ะตวั พร้อมลกั ษณะของตวั ละครนนั$ ๆ ดงั นี $ พระฤๅษี เป็นรูปหนงั ชนั$ สงู สําหรับเป็นท'ี เคารพบชู า ใช้สําหรับเชดิ เบิกโรง หนือแสดงเป็นนกั บวชในเรื'องตา่ งๆ รูปจากตวั หนงั ของ นายสมร พลีศกั ดิT

รูปจากตวั หนงั ของ นายสมร พลีศกั ดิT ๓๓ ปลัดตือ> หรือ บักตือ> รูปร่างลกั ษณะก้นงอน พงุ ยื'น ปากยื'น มือถือขวานเป็นอาวธุ การแตง่ กายสวมเสือ$ คอกลมแขน สนั$ ใสก่ างเกงขายาว สวมรองเท้า ใสห่ มวกแขก มกั ใสล่ กู กระด'ิงหรือ กระพวนท'ีข้อเท้า นิสยั เป็นคน อารมณ์ดี หวั เราะเสมอ ซ'ือสตั ย์ ตอ่ หน้าที' พดู ภาษาใต้ออกสําเนียง อีสาน เช'ือว่าสร้างเลียนแบบจาก คนจริงที'เป็นชาวโคราชแตไ่ ม่ทราบ ประวตั ิที'มาอยา่ งแนช่ ดั พระราม รูปร่างลกั ษณะรูปหน้าสวย หนุ่ สะโอดสะอง มีคนั ศรเป็นอาวธุ นิสยั โอบอ้อมอารี เอือ$ เฟื อ$ เผ'ือแผ่ รักพี' น้องและบริวาร ลกั ษณะการพดู จะ พดู ภาษากลาง รูปจากตวั หนงั ของ นายบญุ ชวน สอนอ้น

๓๔ พระลักษณ์ รูปร่างหน้าตาสวย หนุ่ สะโอดสะอง กายสีแดง มีศร เป็นอาวธุ นิสยั โอบอ้อมอารี เอือ$ เฟื อ$ เผื'อแผ่ รักพ'ีน้องและ บริวาร ลกั ษณะการพดู จะพดู ภาษากลาง รูปจากตวั หนงั ของ นายสงั วาลย์ ผอ่ งแผ้ว นางสีดา เป็นผ้หู ญิงสงู มีเสน่ห์ กาย สีเขียว แดง จิตใจโอบอ้อมอารี พดู ภาษากลาง รูปจากตวั หนงั ของ นายสมร พลีศกั ดิT

๓๕ หนุมาน เป็นลงิ เผือก มีความกล้า หาญ มีฝี มือในการรบทกุ ด้าน แตน่ สิ ยั เจ้าชู้ ลกั ษณะการพดู จะ พดู ภาษากลาง รูปจากตวั หนงั ของ นายสมร พลีศกั ดิT ทศกัณฑ์ กายสีเขียวแดง มีพระขนั ธ์เป็น อาวธุ นิสยั ดรุ ้าย หยิ'งทะนง ลกั ษณะการพดู จะพดู ภาษากลาง รูปจากตวั หนงั ของ นายสมร พลีศกั ดิT

๓๖ ไมยราพ เป็นยกั ษ์สองมือสองเท้า กายสีเขียว นสิ ยั ดรุ ้าย พดู ภาษากลาง รูปจากตวั หนงั ของ นายสมร พลีศกั ดิT ไอ้ป่ อง หรือบักป่ อง หรือ เสนาป่ อง ลกั ษณะหวั โต จมกู ทู้ ปากกว้าง นงุ่ โจงกระเบนเสือ$ คอ กลมแขนสนั$ ถือปื นเป็ นอาวธุ นสิ ยั ขีข$ ลาด ฉลาดแกมโกง พดู ภาษาอีสานเสียงดงั เชื'อวา่ เลียนแบบมาจากคนจริงชื'อป่ อง ชาวอบุ ลราชธานี เป็นตวั ตลกใน คณะหมอลํามีลีลาเลน่ ตลกที'ถกู ใจ คนดมู าก จงึ ได้มีการนํามา เลียนแบบเลน่ ในหนงั ประโมทยั รูปจากตวั หนงั ของ นายสมร พลีศกั ดิT

๓๗ บักแก้ว ลกั ษณะเป็ นคนมีพงุ ศรี ษะ ล้าน นงุ่ โสร่ง สวมเสือ$ กล้าม ถือพร้าเป็ นอาวธุ นิสยั เป็นคน จริงจงั เช'ือคนง่าย กล้าหาญ พดู ภาษาอีสาน รูปจากตวั หนงั ของ นายสมร พลีศกั ดิT นางพมิ พลิ ากวน เป็นคนรับใช้ของฝ่ ายยกั ษ์ หรือทศกณั ฑ์ นิสยั ซ'ือตรง พดู จาตรงไปตรงมา ถือเป็นตวั ตลกอีกตวั หนงึ' ลกั ษณะการพดู จะพดู ภาษาอีสาน รูปจากตวั หนงั ของ นายสมร พลีศกั ดิT

๓๘ ตวั อยา่ งรูปสตั ว์ที'ใช้ประกอบการแสดง ของคณะหนงั ปราโมทยั เหรียญชยั พฒั นา นางเอก นางฟ้ า และพระเอก ของคณะหนงั ปราโมทยั เหรียญชยั พฒั นา

๓๙ ตวั ร้ายและพระอินทร์ ของคณะหนงั ปราโมทยั เหรียญชยั พฒั นา ตวั ยกั ษ์ ของคณะหนงั ปราโมทยั เหรียญชยั พฒั นา

๔๐ บกั แหมบ และบกั หวั โต ซงึ' เป็นตวั ตลกของคณะหนงั ปราโมทยั เหรียญชยั พฒั นา ตาโหร และยายตําแย ของคณะหนงั ปราโมทยั เหรียญชยั พฒั นา

๔๑ เคร$ืองประกอบการแสดงหนังประโมทัย ๑. โรงและจอหนงั เม'ือจะแสดงหนงั ประโมทยั แตล่ ะครัง$ จะต้องสร้างโรงชวั' คราวขนึ $ ทกุ ครัง$ โดยหวั หน้าคณะจะบอกขนาดและรูปร่างของโรงให้เจ้าภาพเป็นผ้จู ดั การสร้างไว้ให้ลกั ษณะของ โรงหนงั เป็นรูปทรงสี'เหลี'ยมยกพืน$ สงู ขนึ $ จากพืน$ ดินประมาณ ๑-๒ เมตร มีหลงั คา ด้านข้าง ๒ ด้าน กนั$ ทบึ ด้านหลงั โรงใช้เป็ นทางเข้าออกของผ้แู สดง ด้านหน้ากนั$ ด้วยจอผ้าขาวท'ีมีผา่ สีดําหรือสีนํา$ เงิน เป็นขอบโดยรอบ ท'ีใต้จอด้านในวางต้นกล้วยไว้สําหรับปักตวั หนงั แหลง่ กําเนิดแสงซ'ึงอยดู่ ้านหลงั จอ อาจเป็นตะเกียงหรือหลอดไฟก็ได้แล้วแตย่ คุ สมยั ปัจจบุ นั ใช้ไฟฟ้ าเพราะสะดวกกวา่ ผ้แู สดงทงั$ หมด ได้แก่ คนเชิด และนกั ดนตรีจะอยบู่ นโรงนีท$ งั$ หมด ๒. นายหนงั และผ้ทู 'ีมีบทบาทในการแสดงหนงั ประโมทยั คนเชิดและคนพากย์หนงั ประ โมทยั เป็นคนๆ เดียวกนั เสมอ คอื ผ้เู ชิดตวั หนงั ตวั ใดก็ต้องพากย์เป็ นตวั ละครตวั นนั$ ด้วย ในบางฉากมี ตวั ละครออกมาแสดง ๓-๔ ตวั ก็ต้องใช้ผ้พู ากย์และผ้เู ชิด ๓-๔ คน ตามไปด้วย ผ้ทู 'ีเป็นหวั หน้าคณะหนงั ประโมทยั เรียกวา่ หวั หน้าคณะ (ไมเ่ รียกวา่ นายหนงั แบบหนงั ตะลงุ ปักษ์ใต้) หวั หน้าคณะมกั จะเสียงดี พากย์ได้ไพเราะ มีความรู้ในเรื'องที'แสดงดกี วา่ ผ้อู ื'นและมกั พากย์เป็นตวั เอก หรือตวั ละครสําคญั ๓. บทพากย์และบทเจรจา เน'ืองจากตวั หนงั ประโมทยั เชดิ ฉายเคลื'อนไหวไปบนจอนนั$ เป็นส'งิ ที'ไมม่ ีชีวติ ผ้เู ชิดจงึ ต้องพากย์และเจรจาเพื'อดาํ เนินเรื'อง การเลา่ เรื'องก็ดี คําพดู ของตวั หนงั ก็ดี การบอกอารมณ์และกิริยาของตวั หนงั ก็ดี ใช้การพากย์และเจรจาทงั$ สิน$ ตวั หนงั เปรียบเสมือนคนใบ้ จงึ ต้องมีผ้ทู ําหน้าที'พากย์และเจรจาแทน ผ้พู ากย์และเจรจาจงึ เป็นคนสําคญั อยา่ งย'ิงในการแสดงหนงั ประโมทยั เพราะต้องมีความเข้าใจแจม่ แจ้งในเรื'องราวและวิธีการแสดงในตอนนนั$ ๆ ทงั$ จะต้องจดจํา บทพากย์ ซง'ึ เป็นบทกวีนพิ นธ์ท'ีแตกไว้โดยเฉพาะ การพากย์หนงั ประโมทยั นนั$ แบง่ ออกเป็น ๒ ลกั ษณะ คือ การพากย์และการเจรจา เพื'อให้เป็ นไปในทํานองเดียวกนั กบั โขน หนงั ใหญ่ และหนงั ตะลงุ ของภาคใต้ เพราะท่วงทํานองและลีลาการพากย์ตลอดจนองค์ประกอบอ'ืนๆ ของหนงั ประโมทยั เป็นไปในรูปแบบของการแสดงแบบเก่า ชาวอีสานและชาวคณะหนงั ประโมทยั ทวั' ไปเรียกการพากย์ หนงั ประโมทยั ด้วยคาํ ภาษาถ'ินง่ายๆ วา่ “ฮ้องหนงั ตะลงุ ” (ร้องหนงั ตะลงุ ) และเรียกการเจรจาวา่ “ความเว้า” (คาํ พดู ) คําวา่ พากย์และเจรจา ไมม่ ีใช้ในวงการหนงั ประโมทยั และความเข้าใจทว'ั ไปของ ชาวอีสาน บทพากย์หนงั ประโมทยั มีทงั$ ที'เป็นกลอนแปด กลอนบทละครแบบภาคกลาง และกลอนลํา ชนิดตา่ งๆ เชน่ ทางยาว ทางสนั$ เต้ย เป็นต้น ทงั$ นีแ$ ล้วแตเ่ รื'องที'แสดง ๔. ดนตรีประกอบ เคร'ืองดนตรีประกอบการแสดงหนงั ประโมทยั มี ๒ แบบ คือ แบบท'ี ๑ แบบที'ใช้ระนาดเอกเป็นหลกั ของวง โดยมกั มกั เป็นคณะที'เลน่ เรื'อง รามเกียรตTิ เคร'ืองดนตรีที'ใช้มีดงั นี $

๔๒ ๑.๑ ระนาดเอก ๑ ราง ๑.๒ กลอง ๑ ลกู ๑.๓ ฉ'ิง ๑ คู่ ๑.๔ ฉาบ ๑ คู่ ดนตรีที'ใช้ประกอบการแสดงของหนงั ประโมทยั เครื'องดนตรีของกลมุ่ ที'เลน่ เรื'องรามเกียรตนิT ีม$ ีเครื'องดนตรีสําคญั เพียง ๔ ชิน$ ดงั กลา่ ว แล้วข้างต้น ลกั ษณะการผสมวงเป็นไปอยา่ งงา่ ย ไมไ่ ด้จดั ตามแบบแผนของการผสมวงปี' พาทย์ มโหรี ใดๆ ทงั$ สิน$ ทงั$ นีจ$ ะเหน็ ได้จากการขาดฆ้องวง ซง'ึ เป็นหลกั ของวงดนตรีไทย ทงั$ ที'ใช้ระนาดแบบดนตรี ไทยแตด่ นตรีหนงั ประโมทยั ก็ไมไ่ ด้ยดึ ถือแบบแผนการผสมวงเคร่งครัดแบบดนตรีภาคกลาง เป็นท'ีเช'ือ ได้แนน่ อนวา่ ระนาดเป็นเคร'ืองดนตรีท'ีหนงั ประโมทยั รับมาจากหนงั ตะลงุ ภาคกลาง เพราะหนงั ตะลงุ ภาคกลางใช้วงปี' พาทย์ประกอบการแสดงหนงั ตะลงุ แบบท'ี ๒ แบบที'ใช้เคร'ืองดนตรีพืน$ เมืองอีสานประกอบการแสดง เครื'องดนตรีท'ีใช้ใน กลมุ่ นีค$ ือ ๒.๑ พิณ (ซงุ ) ๑ ตวั ๒.๒ แคน ๑ เต้า ๒.๓ ซอ (คล้ายสะล้อของภาคเหนือ และซออ้ขู องภาคกลาง) ๑ ตวั ๒.๔ กลอง ๑ ลกู ๒.๕ ฉ'ิง ๑ คู่ ๒.๖ ฉาบ ๑ คู่

๔๓ รูปแบบวิธีการแสดงหนังประโมทยั ๑. การเตรียมพร้อม คอื การจดั วางอปุ กรณ์ตา่ งๆ ประจําท'ี เชน่ เคร'ืองดนตรี หีบหนงั และเสียบตวั หนงั กบั ต้นกล้วย และตรวจสอบสภาพเครื'องเสียง ก่อนใช้งานทดลองเสียง จดั ขงึ ผ้าท'ีผกู จอหนงั ให้เรียบร้อย ๒. การไหว้ครูเบกิ โรง ก่อนเร'ิมการแสดงต้องมีการไหว้ครู ซงึ' จะมีหวั หน้าคณะนําไหว้ ลกู วงนง'ั ล้อมวงพนมมือไหว้ ซงึ' ในการไหว้ครูจะต้องมีขนั ธ์ ๕ ขนั ธ์ ๘ คอื เงิน ๖ บาท เหลา่ ๑ ขวด แป้ ง ๑ ซอง นํา$ หอม ๑ ขวด หมาก ๒ คํา บหุ รี' ๒ มวน จากนนั$ หวั หน้าก็จะนําแป้ งให้ลกู วงทา โดยทวั' กนั หรือบางทีก็นําเหล้าให้ดืม' โดยทว'ั กนั ทงั$ นีก$ ็เพ'ือให้เกิดศริ ิมงคลแกผ่ ้แู สดงและดลบนั ดาลให้ การแสดงในคนื นนั$ ประสบความสําเร็จ ๓. การโหมโรง เม'ือเสร็จพิธีไหว้ครูหลงั โรงแล้ว นกั ดนตรีและผ้แู สดงทกุ คนในคณะก็จะ ประจําหน้าที'ของตน นกั ดนตรีเร'ิมบรรเลงเพลงโหมโรง ซง'ึ บางคณะก็จะใช้เพลงเดยี' ว เลน่ วนไปวนมา บางคณะก็จะใช้หลายเพลง ซง'ึ จะแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะคณะ ๔. การประกาศบอกเร'ือง เมื'อบรรเลงเพลงโหมโรงจบลงจะมีโฆษกกลา่ วสวสั ดแี ก่ผ้ชู ม และบอกเรื'องท'ีจะนําแสดงในคืนนนั $ ๕. การออกรูป การออกรูปหนงั ประโมทยั นนั$ มีการออกรูปฤๅษี ออกรูปปลดั ตือ$ ออกรูป เต้นโชว์หรือชกมวย และออกรูปตวั แสดงทงั$ หมดเป็ นเบือ$ งต้น เม'ือประกาศเกร'ินการแสดงหรือบอกเร'ือง ที'จะแสดงแล้วก็เป็นการไหว้ครูในจอหรือไหว้ครูในการแสดงนงั' เอง หวั หน้าคณะจะเชิดรูปพระฤๅษี ออกมา ดนตรีบรรเลงเพลงออกแขกประกอบการเชดิ พระฤๅษีไปตามจงั หวะเพลง แล้วปักรูปลงท'ีหยวก กล้วยกลางจอแล้วร้องบทพากย์พระฤๅษี ดงั นี $19 “...นะโมตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นะโมตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นะโมตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ ขอเชิญทงั$ พระพทุ ธผ้ชู ีน$ ํา ขอเชญิ ทงั$ พระธรรมผ้ลู ํา$ คา่ ขอจงลงมาชว่ ยยงั หลานยา่ ขอเชญิ คณุ ครูบาอาจารย์ที'ได้สทิ ธิTสอนคณุ บดิ รและมารดา ขอจงมาชว่ ยยงั พวกข้า แม้พดู ไปขออยา่ ได้พลาดพลงั$ ขอให้ปัญญาไหลหลงั' นะเทมา ขอเชิญทงั$ คณุ รามเกียรตทิT ี'ได้เคยเลา่ เคยเรียนขอจงลงมาช่วยยงั พวกข้า แม้พดู ไปขออยา่ ได้ขดั ข้อง ขอให้ปัญญาสอดสอ่ งดงั คาํ ปฏิญาณ 19 บทสัมภาษณ์ สมร พลีศกั ด=ิ, วนั ท;ี ๑ กนั ยายน ๒๕๕๐, เลขที; 37 ม.8 ต.ธวชั บรุ ี อ.ธวชั บรุ ี จ.ร้อยเอด็ .

๔๔ ขออยา่ ให้เป็ นกรรมเป็นเวรเป็นลางเข็นแก่พวกข้า แม้พดู ไปขออยา่ ได้พลาดพลงั$ ขอให้ปัญญาไหลหลง'ั นะเทมา วา่ แล้วฝ่ ายฤๅษีมณุ ีไพรมิรอไรอยชู่ ้า จะหนั หน้าเข้าไปพกั ศาลาไล...” เม'ือกลา่ วเสร็จจะเคล'ือนรูปฤๅษีมาปักไว้ตรงกลางแล้วเอารูปตวั หนงั อ'ืนมาเรียงรอบๆ ตวั ฤๅษี แบง่ เป็น 2 ฝ่ าย คือ ฝ่ ายตวั พระ ตวั นาง ลงิ ยกั ษ์ จะอยฝู่ 'ังด้านหน้าของพระฤๅษี สว่ นตวั ตลก และตวั ประกอบอื'นๆ จะอยฝู่ 'ังด้านหลงั ของพระฤๅษี จากนนั$ จงึ กลา่ วคาํ ไหว้ครูบาอาจารย์ สงิ' ศกั ดสTิ ิทธิTทงั$ หลาย และขออญั เชิญคณุ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มาชว่ ยให้การแสดงดําเนนิ ไป ด้วยดี ตลอดจนขออภยั ตอ่ ผ้ชู ม หากจะมีการผิดพลาดขึน$ ระหวา่ งการแสดง ซงึ' มีบทร้องไหว้ครูกอ่ น การแสดง ดงั นี $ 20 “...ข้าจะขอคํานบั จบั เป็นตอน จบั เอาบทสนุ ทรหนอมากลา่ ววา่ จะได้เลน่ ลดั ตดั ตอน ตดั เอาบทสนุ ทรที'มีมา จะได้เลน่ ลดั ตดั สนั$ เอาตอนสําคญั หนอมากลา่ ววา่ จะได้เลน่ ตามเรื'องท'ีมนั มี มิได้แหกพระบาลีมากลา่ วกลอน ถ้ามนั พลงั$ ไปนิด ถ้ามนั ผิดไปหนอ่ ย ขออภยั แกล่ กู น้อยเถิดคณุ นายเจ้าขา จงคอยชมเลน่ พอได้เป็นขวญั ตา คอยดเู ถิดจะว่าไปอยา่ งไร สิบนิว$ ข้ายกขนึ $ เหนือเศยี ร ข้าขอไหว้ทงั$ คณุ ธปู เทียนและมาลา ไหว้ทงั$ คณุ พระพทุ ธที'สดุ แสน ท'ีได้ตอบแทนคณุ พระพทุ ธศาสนา ไหว้ทงั$ คณุ บิดาและมารดร ท'ีได้อาบนํา$ ร้อนและเลีย$ งดู ข้าขอไหว้ทงั$ คณุ ครูเพง่ ให้มาดลใจจิต ขอให้มาชว่ ยคิดเม'ือเวลาขดั สน เม'ือจะลําหรือจะร้องขอให้คลอ่ งแก่ปัญญา ให้คิดเห็นตวั ข้าอย่าลืมเอย...” เมื'อกลา่ วเสร็จ ก็จะเก็บตวั หนงั ที'ปักอยหู่ น้าจอทงั$ หมด แล้วก็จะนําตวั ปลดั ตือ$ หรือบกั ตือ$ ออกมาเชิด พร้อมกบั กลา่ วบทกลอนประกาศช'ือเรื'องที'จะทําการแสดง หรือนําเข้าสเู่ นือ$ เรื'องของการ แสดง ซงึ' มีบทร้องของปลดั ตือ$ ดงั นี $ “...หะหะหะหะ... สวสั ดสี วสั ดี พอ่ แมพ่ 'ีน้องทงั$ หลายโวย 20 บทสัมภาษณ์ สมร พลีศกั ด=ิ, วนั ที; ๑ กนั ยายน ๒๕๕๐, เลขท;ี 37 ม.8 ต.ธวชั บุรี อ.ธวชั บรุ ี จ.ร้อยเอด็ .

๔๕ วนั นีว$ นั นีเ$กล้ากระผมจะได้สมมตุ นิ ามตวั ของเกล้ากระผม เกล้ากระผมจะได้แสดงหนงั ประโมทยั เร'ืองรามเกียรติT ตอนพระรามออกบวชและไมยราพสะกดทพั ให้พ'ีน้องดใู นคํา' คืนนี $ กอ่ นท'ีจะแสดงไอ้ตือ$ จะต้องปลอ่ ยระบําโป๊ ออกมาเต้นโชว์ ให้พ'ีน้องดเู สียก่อน วา่ แล้วไอ้ตือ$ จะต้องเข้าไปพกั กายา... ...(ไอ้ตือ$ ร้อง) คดิ แล้วหละกะไหลกะไลตือ$ เออเออะเฮอะเองิ เอยมีต้องอยชู่ ้ารับตาํ เนนิ ดําเนนิ ไคคารีบ เร่งไคคาด้วยทนั หน้าใดไปหละหวาไปหละหวา... ๖. การเชดิ จะใช้ผ้เู ชิดหลายคน และจะยืนเชิดตลอดเร'ือง เม'ือผ้เู ชิดจบั ตวั หนงั ตวั ใดก็จะ พากย์และเจรจาตวั นนั$ ไปด้วย ศิลปะการเชิดเม'ือตวั หนงั พากย์หรือเจรจา ถ้าเป็นตวั หนงั นาง ยกั ษ์ ลงิ ซงึ' ปาดขยบั ไมไ่ ด้ ก็จะใช้การเคล'ือนไหวมือข้างหนง'ึ ประกอบคําพดู โดยเชิดอยา่ งมีศลิ ปะเพื'อให้รู้ วา่ ตวั หนงั ตวั ใดกําลงั พดู อยู่ ถ้าเป็นตวั ตลก ซงึ' ปากขยบั ได้ เพราะมียางยืดบงั คบั อยู่ และมีเชือกผกู ดงึ สว่ นลว่ งของปากให้ขยบั ขนึ $ ลงได้ โดยใช้นิว$ ชีก$ ระตกุ ดงึ เชือกให้ปากขยบั ตรงกบั คําพดู มืออีกข้างของ ผ้เู ชดิ ก็ถือก้านเชิดแขนให้เคล'ือนไหวทงั$ ปากทงั$ มือไปพร้อมกนั ในบางครัง$ การเชดิ ตวั ตลกนีต$ ้องใช้ศลิ ปะ และความชํานาญมาก เพราะต้องแยกประสาททงั$ ปากและมือทงั$ สองข้างตลอดจนนิว$ ชีข$ องผ้เู ชิด แสดงวา่ ฝึกหดั มาอยา่ งดี

๔๖ บทท$ี ๕ การแกะและการประกอบตัวหนังตะลุง ๑. การตอกด้วยมกุ หรือต๊ดุ ตู่ ซงึ' จะใช้ร่วมกบั เขียงไม้เนือ$ แข็ง โดยตอกลงไปเฉพาะสว่ นท'ี เป็นลายวงกลมหรือลายเหลี'ยมและลายโค้ง สําหรับผ้เู ร'ิมต้นการตอกใหมม่ ีหลกั ดงั นี $ การตอกมกุ ในการตอกทําได้สองแบบ คือ หนงึ' ตอกเป็นรูกลมๆ เรียกวา่ ตอกมกุ เรียง สว่ นอีกแบบ เรียกวา่ ตอกมกุ ขาด คือ ตอกให้ตดิ กนั ๑๕ ครัง$ แล้วเว้น เพื'อไมใ่ ห้หนงั ขาด การตอกมกุ ขาดมีหลกั อยวู่ า่ เมื'อตอกรูท'ีหนง'ึ แล้ว รูที'สองจะต้องไปกินรูที'หนงึ' อย่คู ร'ึงหนงึ' รูท'ีสามไปกินรูที'สองอยคู่ รึ'งหนงึ' ตอ่ ไปเรื'อยๆ จะทําให้เส้นเรียบไมเ่ ป็นฟันปลา มกุ เรียงจะตอกตามเส้นตา่ งๆ ที'เป็นลวดลาย สว่ นมกุ ขาดจะตอกกนั$ อาณาเขต เชน่ เส้นแขน หรือมือ ให้ขาดเป็นชว่ งให้เห็นเป็นรูปมืออย่างชดั เจน แตถ่ ้า เป็นสว่ นยอ่ ยตรงไหนที'ไมส่ ําคญั สามารถตอกมกุ เรียงได้ การดวู า่ ตรงไหนเป็นมกุ ขาดกบั มกุ เรียงมี หลกั การวา่ มกุ ขาดจะเป็นเส้นท'ีภาพแยกออกจากกนั อยา่ งชดั เจน เป็ นสง'ิ ของคนละอยา่ งกนั หรือเป็น เป็นอวยั วะคนละสว่ นกนั เพื'อให้เห็นเส้นท'ีชดั เจน 21 21 สมั ภาษณ์ เจริญ เมธารินทร์, วนั ท'ี ๙ มิถนุ ายน ๒๕๕๐ , ๑๗๕๘ ถ.ท่าโพธิT อําเภอเมือง จงั หวดั นครศรีธรรมราช

๔๗ ๒. การแกะหรือการขดุ หลงั จากตอกเป็นรูปเสร็จขนั$ ตอ่ ไปเป็นการแกะ โดยจะต้องทราบ ก่อนวา่ ตรงไหนควรแกะ ตรงไหนไมค่ วรแกะ ตวั ตลกส่วนใหญ่จะให้แขนเคล'ือนไหวได้ก็จะทําแขน ตา่ งหาก แตบ่ างตวั ที'แขนไมม่ ีการเคลื'อนไหวเป็ นแขนตดิ กบั ตวั ก็จะต้องแกะรอบแขนให้เหน็ ลายที' ชดั เจน สรุปคือ เมื'อตอกตวั ตอกเสร็จแล้วก็ให้แกะลวดลายข้างในทงั$ หมดให้เสร็จ สดุ ท้ายจงึ เป็ นการ แกะรอบนอกของตวั หนงั ในสว่ นของแขนและมือที'มีการเคลื'อนไหวซง'ึ ทําไว้ตา่ งหากก็จะต้องประกอบ จากสว่ นมือเข้ากบั ข้อมือก่อน เมื'อได้แขนครบแล้วจงึ นําไปประกอบเข้ากบั ตวั จากนนั$ เป็นการประกอบ ปาก ในการแกะสว่ นมากจะให้เริ'มจากการแกะลวดลายข้างในให้เสร็จกอ่ นแล้วจงึ มาแกะลวดลายรอบ นอก และการใช้มีดแกะจะใช้ร่วมกบั เขียงไม้เนือ$ ออ่ นเสมอ การแกะตวั หนงั โดยใช้มีดขดุ สําหรับผ้เู ร'ิมต้นแกะใหม่ มีหลกั การจบั มีดแกะอยา่ ให้เอียงแตจ่ ะต้องตงั$ มีดให้ตรงหรือวาง มีดประมาณ ๘๐ องศา มือท'ีจบั มีดจะต้องให้นิว$ ชีแ$ นบกบั ใบมีด เพ'ือให้สามารถบงั คบั มือให้มีดขึน$ ลง ได้พอดไี มห่ นกั และเบาเกินไป นิว$ อื'นจะชว่ ยกําด้ามของมีด ก่อนใช้มีดแกะหรือมีดขดุ จะต้องทาขีผ$ งึ $ ก่อน แล้วกดหรือดนั ให้จมลงไปท'ีตวั หนงั ให้หนงั ขาดพอดี แล้วใช้นิว$ ชีด$ งึ ขนึ $ ดงึ ลง และทกุ ครัง$ อยา่ ใช้ มืออีกข้างไปขวางทางมีด ให้วางข้างๆ กดหนงั ไว้ แล้วต้องทาเทียนบอ่ ยๆ เพ'ือให้ล'ืน ขนั$ ต้นจะต้อง วางรากฐานของการใช้มีดให้ถกู ต้อง ระหวา่ งใช้ของมีคมจะต้องระมดั ระวงั ไมใ่ ห้เกิดความผิดพลาด และอาจารย์เป็นผ้ลู บั มีดให้นกั เรียนเพ'ือป้ องกนั อนั ตรายท'ีเกิดจากคมมีด โดยวิธีลบั มีดจะถขู นานกบั ขอบมีด การแกะหนงั ตะลงุ มีความเชื'อเรื'องของตวั หนงั สําคญั บางตวั เชน่ รูปตวั ตลก รูปฤๅษี ซงึ' นิยมทําด้วยหนงั ที'ได้มาพิเศษ เชน่ หนงั ววั ท'ีตายผดิ ปกติ เชน่ ถกู ฟ้ าผา่ ตาย หรือออกลกู ตาย หรือ