Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ฐานข้อมูลเชื้อพันธุ์พืช : ยางพารา

ฐานข้อมูลเชื้อพันธุ์พืช : ยางพารา

Description: ฐานข้อมูลเชื้อพันธุ์พืชยางพารา.

Search

Read the Text Version

ฐานขอ มลู เช้อื พนั ธพุ ืช : ยางพารา Plant Germplasm Database : Para rubber จดั ทาํ โดย สํานักคุมครองพันธุพ ืชแหงชาติ กรมวชิ าการเกษตร จตจุ กั ร กรุงเทพมหานคร 10900. โทรศัพท 02-9405687, 02-9406670 ตอ 112 โทรสาร 02-9405687 ISBN 974-436-222-7 พมิ พครัง้ แรก กนั ยายน 2545 จาํ นวนท่พี ิมพ 1,000 เลม อา งองิ วชิ า ธติ ิประเสรฐิ และคณะ. 2545. ฐานขอมลู เชอ้ื พนั ธุพชื : ยางพารา Plant Germplasm Database : Para rubber. ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศ ไทย จาํ กดั . กรงุ เทพฯ. 120 หนา. พิมพท่ี ชมุ นุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย จํากัด กรุงเทพฯ

1 คาํ นาํ การปรับปรุงพันธุพืชหรือพัฒนาพันธุพืชใหไดมาซ่ึงพันธุใหม (new plant variety) หรือพันธุที่ มลี ักษณะที่ดที ง้ั คณุ ลักษณะทางดานปริมาณ (quantitative) และทางดานคุณภาพ (qualitative) เปนที่ตองการของ ผูบริโภคหรือนักปรับปรุงพันธุพืช ปจจัยท่ีสําคัญคือตองมีพอ-แมพันธุพืชท่ีมีฐานพันธุกรรมที่กวางหรือมีความ หลากหลายทางดานพันธุกรรม (genetic diversity) พอสมควร อีกประการหน่ึงฐานขอมูลเชื้อพันธุพืชเปน สิ่งจาํ เปน ในการทจี่ ะทราบประวัติความเปนมาตลอดจนคุณลักษณะแตละสายพันธุวามีลักษณะเดนหรือลักษณะ ดีอยางไร ทศิ ทางในการวางแผนเพือ่ ปรบั ปรุงพันธุพืชก็จะสะดวกข้ึนถามีฐานขอ มลู ทด่ี พี อ ปจจุบันพันธุพืชใหมท่ีไดรับการปรับปรุงพันธุหรือพัฒนาพันธุโดยนักปรับปรุงพันธุพืช ผูท่ี ปรับปรุงพันธุพืชสามารถย่ืนขอรับการคุมครองสิทธ์ิ (Plant Breeder’s Rights) ไดตามพระราชบัญญัติคุมครอง พันธุพืช พ.ศ. 2542 ในการตรวจสอบพันธุพืชใหมตามกฎหมายฉบับน้ีจําเปนตองอาศัยฐานขอมูลเก่ียวกับพันธุ พืชมากพอสมควร ต้ังแตปพ.ศ. 2540 เปนตนมา กรมวิชาการเกษตรโดยสํานักคุมครองพันธุพืชแหงชาติ ได ทําการศกึ ษาและเกบ็ รวบรวมขอ มูลเชอื้ พนั ธุตางๆ ภายใตโ ครงการอนุรกั ษพัฒนาพชื สมุนไพร พืชพ้ืนเมืองและจุ ลินทรยี  เพ่ืออนรุ ักษและใชป ระโยชนอยา งสงู สุดของเชื้อพันธุพืช ในระยะตนของโครงการดังกลาว (พ.ศ. 2540- 2544) สํานักคุมครองพันธุพืชแหงชาติรวมกับศูนยวิจัยพืชสวนจันทบุรี สถาบันวิจัยพืชสวน ศูนยวิจัยยาง ฉะเชิงเทรา สถาบันวิจัยยางและศูนยวิจัยขาวปทุมธานี สถาบันวิจัยขาว ไดทําการศึกษาและรวบรวมขอมูลเช้ือ พันธุพชื จาํ นวน 4 พืช ไดแ ก มะมว ง ทเุ รียน ยางพารา และขาว ในโอกาสนี้จึงไดจัดทําเอกสารวิชาการฐานขอมูล เชื้อพันธุพืชเหลานี้ข้ึนมาโดยเปนเร่ืองเก่ียวกับขอมูลสําหรับบันทึกลักษณะเชื้อพันธุพืช (Descriptor) และ รายละเอียดเกี่ยวกบั ฐานขอมูลเชอ้ื พันธุพืช (Plant Germplasm Database) ชนดิ ตา งๆ เอกสารวิชาการเรื่อง ฐานขอมูลเช้ือพันธุพืช : ยางพารา (Plant Germplasm Database : Para rubber) เลมน้ีเปนสวนหนึ่งของผลงานภายใตโครงการดังกลาว เปนเรื่องเก่ียวกับเชื้อพันธุยางพาราท่ีมีรายงาน การปลูกเล้ียงในประเทศไทยมาต้งั แตอดตี จนถึงปจ จบุ ัน ภายในเลม จะประกอบดว ยโครงสรางฐานขอมูลสําหรับ บันทึกลักษณะเช้ือพันธุยางพารา ชื่อพันธุ ประวัติพันธุ แหลงท่ีมาของพันธุ การแนะนําพันธุ ลักษณะประจําเช้ือ พันธุ ตลอดจนภาพประกอบลักษณะประจําพันธุยางพารา โครงสรางฐานขอมูลเชื้อพันธุยางพารานับวาเปนคร้ัง แรกในการจัดพิมพทางคณะผูจัดทํายินดีนอมรับคําติชมจากทานผูรูและผูเชี่ยวชาญยางพาราทุกทาน เพื่อ ปรับปรงุ แกไขขอมูลและความสมบูรณของฐานขอ มลู เชอ้ื พันธุย างพาราสําหรับประเทศไทยในลําดบั ตอไป (นายวิชา ธติ ปิ ระเสริฐ) หวั หนา โครงการระบบจดั ทาํ ฐานขอ มลู เชอื้ พนั ธพุ ืช ภายใตโ ครงการพืชอนุรักษ พฒั นาพืชสมนุ ไพร พืชพืน้ เมืองและจุลินทรีย

2 สารบญั หนา คาํ นาํ (1) 3 บทนาํ 7 66 การบนั ทึกลกั ษณะประจําเช้ือพนั ธุยางพารา 68 82 รายช่อื พนั ธุย างพารา 124 125 ตารางเปรยี บเทียบลกั ษณะประจําพนั ธุยางพารา พันธุยางพาราและลกั ษณะประจาํ พันธุ เอกสารอา งองิ คํานยิ ม สํานกั คุมครองพันธพุ ชื แหงชาติ กรมวิชาการเกษตร

3 บทนาํ Hevea Aubl. พชื ในสกลุ ฮเี วยี วงศ EUPHORBIACEAE พืชในสกุลฮีเวีย (Hevea) หรือสกุลยางจัดอยูในพืชวงศ EUPHORBIACEAE พืชสกุลนี้มีถิ่น กําเนิดในแถบทวีปอเมริกาใต ซ่ึงรูจักกันดีในนามหุบเขาแหงปาลุมแมน้ําอะเมซอน โดยเฉพาะบริเวณหุบเขา Orinoco ตอนบนของประเทศเกียนา และบริเวณเขต Matto Grosso ในประเทศบราซิล ชาวอะเมซอนเนียนรูจัก กันดีในนาม hylaea พืชสกุลน้ีมีลักษณะทางดานสัณฐานวิทยาคอนขางแปรปรวนสามารถแพรกระจายพันธุได ในระบบนิเวศวิทยาท่ีมีความหลากหลายรูปแบบ พืชในสกุลนี้มีประมาณ 9 ชนิดท่ีรูจักกันดี บางชนิดพันธุมี คุณลักษณะพิเศษสามารถขึ้นอาศัยในสภาพภูมิประเทศในวงจํากัด บางชนิดพันธุออนแอตอสภาพแวดลอม แต การผสมขามระหวางชนดิ เปนไปดว ยดี บางครงั้ เปนไปโดยธรรมชาตเิ องหรือโดยมนษุ ยผ สมพันธขุ ึ้นมาซึ่งนับวา เปนการวิวัฒนาการทางดานชนดิ พันธอุ ยางหน่ึงของธรรมชาติ ในป ค.ศ.1775 พืชในสกุลฮีเวียไดถูกคนพบและจําแนกชนิดคร้ังแรกโดยนักพฤกษศาสตร ชาวเฟรนชเกียนาชื่อวา Aublet โดยใหช่ือวิทยาศาสตรวา Hevea guianensis ตอมาในชวงป ค.ศ. 1849- 1864 นักพฤกษศาสตรช่ือ Spurce ไดเก็บรวบรวมพันธุยางเพ่ิมอีก 8 ชนิด ณ แถบบริเวณ Rio Negro ในประเทศ บราซิล แตพืชสกุลน้ีไดถูกตีพิมพในเอกสารวิชาการเปนครั้งแรกในชวงป ค.ศ. 1873 ถึงป ค.ศ. 1874 โดย Mueller ซ่ึงเขาไดจําแนกชนิดไวประมาณ 11 ชนิดและไดยายพืชชนิด Siphonia brasiliensis HBK. มาจัดไวใน พืชสกุลน้ีดวย ซ่ึงตอมาก็เปนที่ยอมรับโดยทั่วไป แตนักพฤกษศาสตรอีกทานหนึ่งชื่อ Ducke หลังจากท่ีเขาได ศึกษาพันธุยางในธรรมชาติจํานวนหลายปพบวาพืชสกุลน้ีจําแนกออกไดถึง 12 ชนิดซึ่งเขาไดจําแนกชนิดถึง ระดับวารไรต้ี (variety) และฟอรม (forms) ดวย ตอมาในป ค.ศ. 1956 นักพฤกษศาสตรชื่อ Schultes ไดเก็บรวม รวมศึกษาพันธุยางในเขตลุมแมน้ําอะเมซอนอีกครั้งหนึ่งพบวาในพืชสกุลฮีเวียจําแนกชนิดแลวมีเพียง 9 ชนิด เทา นน้ั พชื สกลุ ฮเี วียเปนไมย นื ตน ทรงพมุ ขนาดใหญพบในบรเิ วณเขตรอ นช้นื ที่มีฝนตกชกุ ขน้ึ อาศยั ใน ระบบนิเวศนวิทยาที่มีความหลากหลายมาก พบตั้งแตท่ีลุมจนถึงยอดเขาท่ีสูงชัน บริเวณที่มีดินเปนกรด หรือ บริเวณท่ีราบสงู ระบายน้ําไดดี บรเิ วณเทือกเขาทสี่ ูงชนั เปนตน พืชสุกลฮีเวียจะมีนํ้ายางในทุกสวนของตน ใบเรียงสลับกันหรือคอนขางตรงกันขามในสวน สํานกั คุมครองพนั ธพุ ืชแหง ชาติ กรมวิชาการเกษตร

4 ยางพารา Hevea brasiliensis (A.Juss.) Muell.- Arg. ผลผลิตยางธรรมชาติมากกวา 90% มา จากยางชนิดน้ี เดิมทีเดียวยางที่กลาวน้ีซ้ือขายกันที่เมืองพารา ประเทศบราซิล ทวีปอเมริกาใตเพียงแหงเดียว เทานั้น เพ่ือสะดวกแกการซ้ือขายกันคร้ังน้ันจึงเรียกยางชนิดวา ยางพารา ในเวลาตอมาปจจุบันปลูกกันมากใน แถบทวปี เอเชยี รวมถึงประเทศไทยดว ย Hevea benthamiana Muell – Arg. ยางชนิดน้ีพบบริเวณตอนเหนือของแมนํ้าอะเมซอนเทาน้ัน ซึ่งเปนทิศตะวันตกเฉียงเหนือของปาอะเมซอนและชวงตอนบนของท่ีราบลุม Orinoco จะมีบริเวณหนึ่งท่ีเปน แหลงแพรกระจายพันธุบริเวณเดียวกับยางพารา คือบริเวณ ทางดานตะวันตกของ Manaos ทําใหเกิดการผสม ขามตามธรรมชาติระหวางยางสองชนิดนี้ ยางชนิดน้ีอาจมีตนสูงถึง 90 ฟุต แตตนจะเล็กกวายางพารา ลักษณะ เดนใบจะมีขนสีทองบนผิวใบดานบน ชอบขึ้นอาศัยบริเวณสันทรายหรือดินตมท่ีเกิดจากการทับถมโดยแมนํ้า พัดมา ผลผลิตน้ํายางจะต่ํากวายางพารา น้ํายางมีสีขาว ยางชนิดน้ีมีความทนทานตอโรคใบรวงลาติน อเมริกา (Microcyclus ulei) Hevea camporum Ducke ยางชนิดน้ีมีแหลงแพรกระจายในเขตทุงหญาซาวันนา แถบใจกลาง ลมุ แมนํ้า Madeira มีลกั ษณะใกลเ คียงกบั ยางชนดิ Hevea pauciflora แตเ ปน ชนดิ ตนเตีย้ (dwaft) Hevea guianensis Aubl. และ var. lutea (Spruce ex Benth.) Ducke & R.E. Schultes ยางชนิดนี้ มีหลากหลายลกั ษณะแพรก ระจายพนั ธโุ ดยท่ัวไป ตน สูงประมาณ 100 ฟุตหรือมากกวา ใบยอ ยเรียบตรง ชอบขึ้น อาศัยบริเวณท่ีสูงระบายน้ําไดดี พบบริเวณท่ีมีระดับสูงถึง 6,000 ฟุต จากระดับนํ้าทะเล น้ํายางมีสีเหลืองออน สวนใหญจะเปนยางไมม ีคณุ ภาพ Hevea microphylla Ule ยางชนิดนี้เปนยางเฉพาะถ่ินของบริเวณตอนเหนือของท่ีราบลุม Rio Negro ประเทศบราซิล โคลัมเบียและเวเนซูเอลา มีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ตนสูงประมาณ 60 ฟุต ผลไม สามารถแตกแยกออกจากกนั ไดใ นสภาพธรรมชาติ ชอบขึน้ อาศยั ทีล่ ุมวา งเปลา หรอื บริเวณที่มีนํ้าทว มขังอยูเสมอ น้าํ ยางมีสีขาว มนี ํา้ ยางคอ นขางนอย Hevea nitida Mart.ex Muell.-Arg. ยางชนิดนี้พบเปนบริเวณกวางแถบลุมน้ําอะเมซอนและ ตอนเหนือของที่ราบลุม Orinoco ทรงตนยางขนาดกลาง ใบยอยมีผิวมัน พบข้ึนอาศัยในสภาพปาและบริเวณดิน ทราย นํา้ ยางมีสีขาวทนทานการเผาไหมไดดี ยางชนิดน้ีมีความทนทานตอโรคใบรวงลาตินอเมริกา (Microcyclus ulei) เชนกันและยางชนิดน้ี Hevea nitida Mart.ex Muell.-Arg. var. toxicodendroides (R.E. Schultes & Vinton) สํานกั คุมครองพนั ธุพืชแหง ชาติ กรมวิชาการเกษตร

5 Hevea pauciflora (Spruce ex Benth.) Muell.- Arg. ยางชนิดน้ีมีแหลงแพรกระจายพันธุในเขต Rio Negro และเขตตอนบนของที่ราบลุม Orinoco ประเทศบราซิล และประเทศเกียอะนา เปนยางทรงตนขนาด กลาง ใบยอยมีขนาดใหญ ลายเสนใบเห็นชัด เมล็ดมีขนาดใหญ ขึ้นอาศัยบนเนินภูเขาหินและระบายน้ําไดดี น้ํา ยางมีสีขาว Hevea pauciflora var. coriacea Ducke มีแหลงแพรกระจายพันธุที่กวางกวา Hevea nitida Mart.ex Muell.-Arg. และใบยอ ยมีขนาดเล็กกวาชนดิ Hevea pauciflora ใบมัน นา้ํ ยางมสี ขี าวคอ นขา งเหลอื ง Hevea rigidifolia (Spruce ex Benth.) Muell.- Arg. ยางชนิดน้ีเปนยางเฉพาะถ่ิน (endemic) บริเวณตอนเหนือของ Rio Negro ประเทศบราซิล ประเทศโคลัมเบียและประทศเวเนซูเอลา ทรงตนขนาดกลาง สูงประมาณ 60 ฟุต ใบคอนขางหนา ใบมัน เจริญเติบโตบริเวณท่ีระบายนํ้าไดดี นํ้ายางมีสีครีม แตไมคอยมี rubber แตม ปี รมิ าณ resin คอนขางสูง Hevea spruceana (Benth.) Muell.-Arg. ช่ือพองกับ Hevea discolor (Spurce ex Benth.) Muell. – Arg. ยางชนิดนี้พบมากบริเวณตอนใตลุมแมน้ําอะเมซอน ลําตนมีฐานกวางชวงโคนตน ใบยอยดานลางมี ลักษณะออนนุม ดอกมีสีน้ําตาลออน เมล็ดและฝก(แคปซูล) มีขนาดใหญที่สุดในบรรดาพืชสกุลนี้ ขึ้นอาศัย บรเิ วณพ้ืนทที่ มี่ นี าํ้ ทว มขัง นา้ํ ยางไมค อ ยมียาง (rubber) ในแถบอเมริกาใชลูกผสมระหวางยางชนิดนี้กับยางพารา เปน ตน ตอพนั ธยุ าง ซง่ึ ทนทานตอโรคเก่ียวกบั ตนตอไดดี ฐานพันธุกรรมเชื้อพันธุพืชเปนปจจัยสําคัญอยางย่ิงในการปรับปรุงพันธุและผสมพันธุใหได พันธุที่ดีโดยใหผลผลิตสูง เหมาะสมกับดินฟาอากาศ ตานทานโรคและศัตรูพืช ไมมีผลกระทบตอสิ่งแวดลอม ตลอดจนมคี ุณภาพดเี ปนที่ตอ งการของตลาดทั้งภายในและตางประเทศ แตปจจุบันพันธุพืชหรือเชื้อพันธุพืชตาม ธรรมชาติไดถูกทําลายจนใกลจะสูญพันธุโดยกิจกรรมของมนุษย นอกจากน้ียังถูกทําลายโดยภัยธรรมชาติ นกั วิชาการดานพนั ธพุ ืช นักอนรุ กั ษธรรมชาติไดตระหนักถึงความสูญหายของพันธุพืชซึ่งถูกทําลายลงไปเรื่อยๆ จงึ ไดรณรงคใ หม ีการรวมมอื กนั อนุรักษพันธุพชื ตามธรรมชาติใหค งอยูสภาพเดิม สวนนักพัฒนาพันธุพืชก็ไดทํา การสํารวจรวบรวมและนําเทคนิคใหมๆ เขามาใชในการเก็บรักษาเช้ือพันธุพืช การแลกเปลี่ยนเชื้อพันธุพืชและ ขอมูลทางดา นเช้อื พนั ธพุ ืช เพื่อที่จะไดนํามาใชประโยชนในการปรับปรุงพันธุและผสมพันธุพืชใหไดพันธุพืชที่ ดใี หผ ลผลติ สูงและคณุ ภาพดตี อ ไป กรมวิชาการเกษตรไดม กี ารรวบรวมและอนรุ กั ษเ ชือ้ พนั ธยุ างพาราโดยนําเขาจากตา งประเทศไว จํานวนมากท้ังชนิดและปริมาณไวตามศูนยและสถานีทดลองยางตางๆ ท่ัวประเทศ นอกจากงานรวบรวมเก็บ รกั ษา ปลูกตอ อายุ และการประเมินลกั ษณะประจาํ พันธขุ องเช้ือพันธุยางพาราแตละพันธแุ ลว ยังจาํ เปนตองมีการ บันทึกขอ มูล (Documentation) ไวเ พอ่ื ใชคนควาอางอิงหรือจัดทํารายงานภายหลังซึ่งมีหลายรูปแบบ เชน บันทึก ลงในสมุดหรือกระดาษ บันทึกลงในโปรแกรมซอรฟแวรสําเร็จรูปตางๆ เปนตน การจัดทําฐานขอมูลเช้ือพันธุ สาํ นกั คุมครองพนั ธพุ ืชแหงชาติ กรมวชิ าการเกษตร

6 1. เพือ่ ทบทวน/ปรบั ปรุงโครงสรา งฐานขอ มูลเช้อื พันธุยางพาราใหครบถว นสมบูรณ 2. เพื่อทบทวน/ปรับปรุงขอมูลท่ีทําการบันทึกในฐานขอมูลเช้ือพันธุยางพาราใหมีความ ถูกตอ งชดั เจนตรงกบั ลกั ษณะของพันธยุ างพาราแตล ะพนั ธุ 3. เพื่อนําขอมูล/ขอเสนอแนะ/ขอคิดเห็นจากนักวิชาการ ผูมีประสบการณ มาพัฒนา ฐานขอมลู เช้อื พันธุยางพารา 4. เพ่ือใชเ ปน แบบอยางในการทําฐานขอมูลเชอ้ื พันธุพชื ชนิดอน่ื ๆ ดังนั้นเอกสารเลมนี้เปนสวนหน่ึงหลังจากการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการดังกลาวซึ่งไดปรับปรุง ฐานขอ มลู ใหส มบูรณข ึ้นและไดดาํ เนนิ การจดั พิมพไวเ ปน เอกสารทางดา นวชิ าการเพื่อใชประโยชนต อ ไป สาํ นกั คุมครองพนั ธุพืชแหง ชาติ กรมวิชาการเกษตร

7 การบันทึกลกั ษณะประจาํ เชอื้ พนั ธุยางพารา (Descriptors for Para rubber) โครงสรางฐานขอมูลเชื้อพันธุยางพาราในเอกสารเลมน้ีจะทําการบันทึกลักษณะทางดาน สัณฐานวิทยา (morphology) เปนหลักซ่ึงจะประกอบดวย ลักษณะรูปทรง (shape) สีสัน (colour) ขนาด (size) และบันทึกลักษณะเชิงคุณภาพโดยใชประสาทสัมผัส (panel test) ตลอดจนการบันทึกลักษณะเชิงปริมาณ เปน ตน ในการบันทึกลักษณะประจําเช้ือพันธุยางพาราในแตละพันธุ ลักษณะที่สําคัญอยางยิ่งที่ควรตองบันทึกไวคือ ลักษณะประจําพันธุ (characteristic) ซึ่งเปนลักษณะท่ีไมมีการแปรปรวนไปตามสภาพแวดลอม นอกจากนี้ควร จะบันทึกขอมูลเชิงปริมาณและบันทึกลักษณะที่เดนและสําคัญของพันธุน้ันๆ ไวดวย เพื่อใชประโยชนซ่ึงขอมูล ในอนาคต ในการตรวจสอบลักษณะพันธุยางพาราและบันทึกขอมูล ผูตรวจสอบควรจะไดรับการ ฝกอบรมใหมีความรูและมีประสบการณในการจําแนกพันธุยางมากพอสมควร โดยเฉพาะในสภาพแปลงปลูก จริง ทั้งน้ีเพ่ือใหไดข อ มลู ทถ่ี กู ตอ งในการบนั ทกึ ไวใ นฐานขอ มูล โครงสรางของฐานขอมูลเชื้อพันธุยางพาราท่ีปรากฎในเอกสารฉบับน้ีเปนผลสืบเนื่องจากการ ประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เร่ือง การจัดทําระบบฐานขอมูลเชื้อพันธุยางพาราของกรมวิชาการเกษตร จํานวน 2 คร้ัง ซ่ึงเปนขอมูลท่ีไดรับมาจากการบอกเลาของผูมีประสบการณในการจําแนกพันธุยางพาราและนักวิชาการ ซ่ึงมีความเช่ียวชาญทางดานยางพาราโดยตรง ของกรมวิชาการเกษตร ขอมูลสวนใหญจะมีตัวอยางพันธุ ภาษาองั กฤษและภาษาลาตนิ กํากบั ไวดว ยเพ่อื สะดวกในการบันทึกและเปนมาตรฐานเดียวกัน สําหรับการบันทึก สี (colour) จะบันทึกเปนรหัสสีโดยใชแผนมาตรฐานเทียบสีของ Royal Horticultural Society Colour Chart ประเทศอังกฤษ โครงสรางในการบันทึกลักษณะประจําเชื้อพันธุยางพาราของกรมวิชาการเกษตร จะ ประกอบดว ยหัวขอ หลักดังตอ ไปน้ี 1. ขอมลู เบอื้ งตน (Passport Data) 2. การบรหิ ารเชือ้ พนั ธุยางพารา (Management) 3. ลักษณะประจําเชอื้ พนั ธยุ างพารา (Characterization) 4. รูปภาพประกอบ (Picture)

8 ขอมลู เบอื้ งตน PASSPORT DATA ในการตรวจสอบพันธุยางการบันทึกขอมูลเบื้องตน นับวา เปนส่งิ สําคัญประการหน่ึง ทั้งนี้เพื่อทราบประวัติของ เชื้อพันธุยางที่ตองการจะตรวจสอบและเพื่อการใช ประโยชนในการเก็บรวบรวมฐานขอมูลและอนุรักษเชื้อ พันธุยาง การแลกเปล่ียนเชื้อพันธุยาง ทั้งในและ ตางประเทศ การขออนุญาตนําเขาหรือสงออกตาม กฎระเบียบและกฎหมายตางๆ ที่เกี่ยวของทางดานอนุรักษ ดานคุมครองและใชประโยชนจากเช้ือพันธุยางและรวมถึง การขึ้นทะเบียนพันธุยาง เปนตน หัวขอการบันทึกขอมูล เบอ้ื งตน ของเชือ้ พันธุย างพารา มดี ังน้ี คอื 1. หมายเลข (Accession number) เชอ้ื พันธยุ างพาราแตละตวั อยางจะตอ งมรี หัสหมายเลขกาํ กบั ไวท กุ ตวั อยางเพอ่ื สะดวกในการเรยี กใช ขอ มลู ในภายหลังซง่ึ อาจจะกําหนดดว ยตวั อักษรภาษาองั กฤษ เชน อกั ษรยอ ตวั หนาของชื่อสถาบนั หรือชอ่ื เจา ของขอ มูลนัน้ ๆ แลวตามดวยลาํ ดับตวั เลขรหัสประจําเชอื้ พันธุยางพาราตามลาํ ดบั เชน RRIT 00001 เปนตน 2. ชอ่ื พันธุ (Name) 3. ชื่อเดมิ (Former name) 4. ชอ่ื วทิ ยาศาสตร (Scientific name) เชน Hevea brasilliensis (A.Juss.) Muell.-Arg. เปน ตน 5. ประวัติพนั ธุ (Pedigree) ในท่ีนหี้ มายถงึ การผสมพันธุเทยี มซึ่งเกดิ จากการกระทาํ โดยมนษุ ยเ ทาน้ัน (artificial hybrid) 5.1 พอ-แมพันธุ (parents) 5.2 วันเดอื นปท ี่แนะนํา (date) (DDMMYYYY)1 5.3 ชอื่ และทอี่ ยสู ถาบันหรอื หนว ยงานทผ่ี ลิตเช้ือพนั ธยุ าง(name and address of -institution) 1 DD หมายถึง วนั ท่ีใหร ะบุตวั เลข 2 ตําแหนง กรมวิชาการเกษตร MM หมายถึง เดือนใหระบุตัวเลข 2 ตาํ แหนง YYYY หมายถึง ปใ หร ะบตุ ัวเลข 4 ตําแหนง สาํ นักคุมครองพนั ธุพ ชื แหงชาติ

9 6. สถานภาพของพันธุ (Status of sample) 6.1 สถานภาพทางดา นพนั ธุ - เชอ้ื พนั ธุ (germplasm) - สายพนั ธุ (line) - พันธุ (clone) 6.2 สถานภาพตามมาตรฐานพนั ธุยาง - พันธุย างชั้น 1 - พนั ธยุ างชั้น 2 - พนั ธุยางช้ัน 3 7. วนั เดอื นปท ี่ไดร ับ (Acquisition date) (DDMMYYYY) 8. ลกั ษณะของตวั อยางท่ีไดร บั (Type of material received) 8.1 เมล็ด (seed) 8.2 ทอนพันธุ (stem) 8.3 ตายอด (bud) 8.4 สว นขยายพนั ธพุ ชื ในสภาพปลอดเชอ้ื (in vitro) 8.5 อ่นื ๆ (others) 9. ปริมาณท่ีไดร บั (Accession size) 9.1 จํานวนนบั เชงิ ปริมาณ (quantity) 9.2 จาํ นวนนบั เชิงน้ําหนกั (weight) 9.3 ตามภาชนะบรรจุ (packing) 10. หมายเลขอื่นๆ (Other number) 10.1 หมายเลขเดิมท่เี จาของเชื้อพันธกุ ําหนดไว (donor number) 10.2 หมายเลขทะเบยี นนําพชื (plant introduction number) ตามพระราชบญั ญตั กิ กั พชื พ.ศ. 2507 แกไข เพ่ิมเติมโดยพระราชบญั ญัตกิ ักพชื (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 11. แหลงท่ีมา (Source) 11.1 ผใู ห (donor) - ชือ่ และทีอ่ ยู (name and address) - วนั ท่ี / เดือน / ป ทไ่ี ดร ับ (date) (DDMMYYYY) 11.2 ผูน าํ เขา (importer) - ช่อื และที่อยู (name and address) สํานักคุมครองพนั ธุพชื แหงชาติ กรมวชิ าการเกษตร

10 - วนั ที่ / เดอื น / ป ท่นี าํ เขา (date) (DDMMYYYY) 11.3 ผูเก็บตวั อยาง (collector) - ช่ือและทอ่ี ยู (name and address) - วนั ท่ี / เดือน / ป ท่เี ก็บตวั อยา ง (date) (DDMMYYYY) 11.4 แหลง ทม่ี าภายในประเทศ (indigenous source) - ระบุชื่ออําเภอ / ชอ่ื จงั หวัด 11.5 แหลงท่ีมาจากตา งประเทศ (introduction source) - ระบชุ ่อื ประเทศหรือรหสั ประเทศตาม ISO (International Standard Code for the representation of name of countries) 11.6 ตวั อยางสําหรบั ทาํ ตัวอยางแหง (herbarium specimen) / ภาพถา ย (photograph) 12. หมายเหตุ (Note) สาํ นักคุมครองพันธพุ ืชแหงชาติ กรมวิชาการเกษตร

11 การบริหารเช้ือพันธยุ างพารา MANAGEMENT การบรหิ ารเชอื้ พนั ธุย างพาราเปนการปฏิบัติตามข้นั ตอนท่เี ก่ยี วขอ งกบั หลกั วิชาการและตามกฎระเบยี บ และกฎหมายตางๆ ทง้ั น้ีเพอ่ื การนาํ เช้ือพนั ธยุ างไปใชประโยชนสงู สุด หวั ขอ ที่ควรพจิ ารณาดาํ เนนิ การ มดี งั นคี้ อื 1. การกกั กนั พืชและการขออนุญาต (Plant quarantine and permits) การนําเขาและสง ออกเชอื้ พันธยุ าง (Hevea Aubl) จะตอ งปฏิบตั ติ ามพระราชบัญญตั กิ ักพืช พ.ศ. 2507 แกไ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญัติกกั พืช (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติควบคมุ ยาง พ.ศ. 2542 และคําส่งั กรมวชิ าการเกษตร ที่ 352/2528 เร่อื ง ระเบยี บการนาํ พันธพุ ืชเขามาในประเทศไทยและกาํ หนดแหลง รวบรวม พนั ธพุ ชื เปนตน 1.1 การนําเขา (import) 1.1.1 ใบอนญุ าตนําเขา (import permit) Yes/No 1.1.2 ใบรบั รองปลอดศัตรูพืชจากประเทศตนทาง (Phytosanitary Certificate)Yes/No 1.1.3 การปองกันกําจดั ศตั รพู ชื ทางกักกนั พชื (quarantine treatment) Yes/No 1.1.4 สถานกกั พชื (Post Entry Quarantine) Yes/No 1.1.5 ทะเบยี นนําพืช (plant introduction) Yes/No 1.2 การสง ออก (export) 1.2.1 การปอ งกนั กําจดั ศตั รพู ืชทางกกั กนั พชื (quarantine treatment) Yes/No 1.2.2 ใบรับรองปลอดศัตรพู ชื (Phytosanitary Certificate) Yes/No 1.2.3 ใบอนุญาตสงออก (export permit) Yes/No 2. การแลกเปลีย่ นพนั ธรุ ะหวางประเทศ (Exchange of germplasm) 2.1 ใหปฏบิ ตั ติ ามระเบียบกรมวชิ าการเกษตรวา ดวยหลกั เกณฑก ารแลกเปลย่ี นสว นขยายพนั ธพุ ชื ระหวาง ประเทศ พ.ศ. 2531 ซง่ึ ปริมาณสว นขยายพนั ธพุ ืชที่อนญุ าตใหแลกเปล่ยี นกับตางประเทศตามระเบยี บดงั กลาวมี เง่ือนไขดงั น้ี คอื กลุมพนั ธุยางพารา กงิ่ ตาสีนํ้าตาล พันธุละ 5 เมตร 2.2 ใหป ฏิบัตติ ามพระราชบญั ญตั คิ ุมครองพันธุพชื พ.ศ. 2542 และกฎหมายอืน่ ๆ ท่ีเก่ียวขอ ง 2.3 หมายเลข (accession number) ทีส่ ามารถแลกเปลย่ี นพนั ธุ (Passport Data I) Yes/No สํานักคุมครองพันธุพ ืชแหงชาติ กรมวิชาการเกษตร

12 3. การเก็บรวบรวมพันธแุ ละอนุรกั ษ (Collection and conservation) รหสั /code 3.1 แหลงรวบรวมและอนรุ กั ษเ ชอ้ื พันธุยาง (maintenance site of collection) รหสั /code 3.1.1 ชื่อและทอ่ี ยู (name and address) 3.1.2 ผดู ูแล (curator) รหัส/code 3.2 วิธีการเกบ็ รวบรวมและอนรุ กั ษเชอื้ พนั ธยุ าง (methods) รหัส/code 3.2.1 ex situ (นอกทีเ่ ดมิ ตามธรรมชาต)ิ รหสั /code - แปลงกิง่ ตา (budding field collection) - แปลงพันธยุ างใหญ (field collection) 3.2.2 in vitro (สวนขยายพนั ธุในสภาพปลอดเชอ้ื ) 3.3 หมายเลขทีเ่ กบ็ รวบรวม (accession number) (Passport Data 1) 3.4 ปริมาณทีเ่ กบ็ รวบรวม (collection size) 3.5 ระยะเวลาในการเก็บรวบรวม (period of collection) 3.6 วธิ ีการจดั การ (management) 3.6.1 การดูแลรักษา (maintenance) 3.6.2 การปองกันกาํ จัดศัตรูพชื (treatment) 4. การนําไปใชป ระโยชน (Economic use) 5. หมายเหตุ (Note) สาํ นกั คุมครองพนั ธพุ ืชแหง ชาติ กรมวชิ าการเกษตร

13 ลักษณะประจาํ เช้อื พนั ธยุ างพารา CHARACTERISTIC ลักษณะประจําเชื้อพันธุยางพาราจะแบงออกเปนกลุมๆ ตามลักษณะโดยท่ัวไปของเชื้อพันธุ ยางพาราโดยกําหนดไวเปนหัวขอๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบไดดวยตาเปลา ภายใตแตละหัวขอจะกําหนดตัวเลือก ไวใหอยางชัดเจน เชน ลักษณะรูปทรง (shape) สีสัน (colour) ขนาด (size) และลักษณะทางดานคุณภาพ (quality) และลักษณะทางดานปริมาณ (quantity) เปนตน ที่สําคัญลักษณะประจําเช้ือพันธุยางพาราในแตละ หัวขอจะถูกกําหนดภายใตเง่ือนไขท่ีแตกตางกันไปซ่ึงไดอธิบายไวใตหัวขอนั้นๆ และหลักการพิจารณาตัวเลือก ในแตละหัวขอใหใชลักษณะสวนใหญท่ีตรวจพบเห็นในตัวอยางท่ีใชในการตรวจสอบท้ังหมด ชวยในการ ตัดสินใจและความนาจะเปนใหอยูในระดับที่ 95 % หรือใหใชตัวอยางพันธุที่ระบุไวเปนพันธุอางอิงและเปน แนวทางในการพิจารณาตัดสนิ ใจในการบนั ทึกขอ มลู 1. ฉัตรใบ (Leaf storey) (เง่อื นไข ใหด ูฉตั รที่ 2 โดยนับจากยอดลงมาเปนหลักในการตรวจสอบและสภาพของใบในฉัตรจะตองเปนใบที่ แกจ ัด ในกรณีทฉี่ ตั รที่ 2 ไมส ามารถตรวจสอบไดใ หดฉู ัตรตอ ไป) 1.1 ลักษณะทรงฉตั ร (Shape of leaf storey) (รปู ที่ 1) ตวั อยางพนั ธุ เลขรหัส 1.1.1 ครึ่งวงกลม (hemisphere) สงขลา 36 1 1.1.2 รูปรม (umbrella- shaped) PR 255 2 1.1.3 กรวย (conical) GT 1 3 1.1.4 ปรามดิ (pyramid-shaped) PB 260 4 1.2 ความสงู ของฉัตร (Height of leaf storey) (เงือ่ นไข ใหว ดั ขนาดเปนเซนติเมตรจากโคนกา นใบ (petiole) บนสุดลงมาถึงโคนกา นใบลา งสุดภายใน ฉัตร) ตวั อยางพนั ธุ เลขรหัส 1.2.1 สน้ั (short) PR 235 3 1.2.2 ปานกลาง (medium) BPM 24 5 1.2.3 ยาว (long) GT 1 7

14 1.3 ความกวา งของฉตั ร (Width of leaf storey) (เงื่อนไข ใหวัดขนาดเปน เซนตเิ มตรตรงสว นที่กวางทีส่ ดุ ของฉัตร) ตัวอยา งพนั ธุ เลขรหสั 1.3.1 แคบ (narrow) GT 1 1 1.3.2 ปานกลาง (medium) BPM 24 2 1.3.3 กวาง (width) PR 255 3 1.4 ระยะระหวา งฉตั ร (Separation between leaf storey) (รูปท่ี 2) ตวั อยา งพนั ธุ เลขรหสั 1.4.1 ชดิ (close) GT 1 1 1.4.2 หา ง (separated) RRIM 600 2 1.5 ความหนาแนนของใบในฉัตร (Composed of a relative number of leaves) (รปู ท่ี 3) (เงือ่ นไข ในการตรวจสอบใหดภู าพทางดานขา ง (lateral view) ของฉตั รท่ีใชในการตรวจสอบ ; อดั แนน คือไมเหน็ กา นใบ/ โปรง คือ เห็นกา นใบ) ตวั อยางพันธุ เลขรหัส 1.5.1 โปรง (sparsely foliated) RRIM 600 1 1.5.2 อดั แนน (densely foliated) GT 1 2 1.6 การตกของใบในฉตั ร (Position of laminae) (รปู ท่ี 4) (เง่ือนไข ในการตรวจสอบใหด ภู าพทางดา นขา ง (lateral view) ของฉตั รทใ่ี ชในการตรวจสอบ ; ฉัตร เปด ลกั ษณะแผนใบจะต้งั ขน้ึ / ฉตั รปด ลกั ษณะใบจะตกลง) ตวั อยา งพันธุ เลขรหัส 1.6.1 ฉัตรเปด (opened) RRIM 600 1 1.6.2 ฉัตรปด (closed) GT 1 2 2 ลกั ษณะใบ (Leaf) (เง่ือนไข ใหดูใบท่ีมีความสมบูรณและเจริญเติบโตเต็มที่ (แกจัด) ใบท่ีใชตรวจสอบจะตองนํามาจากตรง กลางของทรงพมุ ใบหรือท่สี ามารถเปน ตวั แทนของใบสว นใหญได) 2.1 รูปรา งของใบกลาง (Shape of the middle leaflet) (รูปที่ 5) ตวั อยางพันธุ เลขรหัส 2.1.1 ปอมกลางใบ (elliptical) BPM 24 1 2.1.2 ปอ มปลายใบ (obovate) RRIM 600 2 2.1.3 รูปเปยกปนู (diamond shaped) PR 255 3 สํานกั คุมครองพนั ธพุ ชื แหง ชาติ กรมวชิ าการเกษตร

15 2.2 ความกวางของใบกลาง (Width of the middle leaflet) ตวั อยางพันธุ เลขรหัส 2.2.1 แคบ (narrow) GT 1 1 2.2.2 ปานกลาง (medium) RRIM 600 2 2.2.3 กวาง (width) PB 310 3 2.3 ความยาวของใบกลาง (Length of middle leaflet) ตวั อยา งพันธุ เลขรหัส 2.3.1 สัน้ (short) GT 1 1 2.3.2 ปานกลาง (medium) RRIM 600 2 2.3.3 ยาว (long) PB 310 3 2.4 สใี บ (Leaf colour) (เงอ่ื นไข ใหใชแผน ชารท มาตรฐานสีของ Royal Horticultural Society Colour Chart เปน ตัวเปรยี บเทยี บและบนั ทกึ รหสั สีกํากับไวดว ย) ตวั อยางพันธุ เลขรหัส 2.4.1 เขียวอมเหลือง (yellowish-green) RRIM 600 1 2.4.2 เขยี วแก (dark green) GT 1 2 2.4.3 เขียวออ น (light green) BPM 24 3 2.5 ความเปนมัน (Leaf luster) (เงือ่ นไข ใหดผู วิ ใบดา นบน/ดูความเปน เงาหรือสะทอ นแสงโดยใชพ ันธมุ าตรฐานเปนตัวเปรยี บเทียบ) ตัวอยา งพนั ธุ เลขรหัส 2.5.1 ไมเ ปน มัน (slightly grossy) RRIC 110 1 2.5.2 เปนมัน (grossy) RRIM 600 2 2.6 ฐานใบ (Leaf base) (รปู ท่ี 6) ตวั อยางพนั ธุ เลขรหสั 2.6.1 รูปล่ิม (cuneate) PB 235 1 2.6.2 สอบเรียว (attenuate) RRIM 600 2 2.6.3 มน (obtuse) RRIT 250 3 2.7 ปลายใบ (Leaf apex) (รปู ที่ 7) ตวั อยางพันธุ เลขรหสั 2.7.1 เรยี วแหลม (acuminate) PB 235 1 สํานกั คุมครองพันธุพชื แหง ชาติ กรมวิชาการเกษตร

16 2.7.2 แหลมเขม็ (aristate) GT 1 2 3 2.7.3 เปนติง่ แหลม (cuspidate) RRIC 110 4 (รปู ที่ 8) 2.7.4 ติ่งหนาม (mucronate) PB 310 เลขรหสั 1 2.8 เสน กลางใบ (Middle vein) 2 ตัวอยางพนั ธุ เลขรหัส 1 2.8.1 นนู / มองเหน็ เดนชดั (prominent) PB 260 2 2.8.2 ไมนนู / ไมชัด (non prominent) PR 255 (รปู ท่ี 9) เลขรหัส 2.9 สขี องเสนใบ (Colour of vein) 1 (เง่ือนไข ใหใ ชแผน ชารท มาตรฐานสีของ Royal Horticultural Society Colour Chart) 2 (รูปที่ 10) เปนตวั เปรียบเทยี บ และบนั ทึกรหัสสีกาํ กับไวดวย) เลขรหสั 1 ตัวอยางพันธุ 2 3 2.9.1 เขียวออน (light green) BPM 24 4 (รปู ท่ี 11) 2.9.2 เหลอื งอมเขียว (greenish yellow) RRIM 600 เลขรหัส 1 2.10 ลกั ษณะแผน ใบ (Leaf blade) 2 3 ตัวอยางพนั ธุ 2.10.1 เรยี บ (smooth) RRIM 600 2.10.2 ขรขุ ระ (rough) PR 255 2.11 ลกั ษณะใบตัดตามขวาง (Cross section of leaf) ตวั อยางพันธุ 2.11.1 รูปตัววี (V-shaped) PB 5/51 2.11.2 ตรง (straight) PB 235 2.11.3 เวาหรือรปู ทอ งเรอื (boat shaped) RRIT 251 2.11.4 นูน (convex) PB 28/59 2.12 ลักษณะใบตัดตามยาวของใบกลาง (Longitudinal profile of the middle leaflet) ตัวอยางพนั ธุ 2.12.1 ตรง (straight) RRIC 110 2.12.2 นนู (convex) PB 310 2.12.3 รูปตัวเอส (S-form) PR 260 สาํ นกั คุมครองพันธพุ ืชแหง ชาติ กรมวชิ าการเกษตร

17 2.13 ขอบใบ (Leaf margin) (รูปที่ 12) ตัวอยางพนั ธุ เลขรหสั 2.13.1 เรียบ (entire) RRIM 600 1 2.13.2 คล่ืนหยาบ (wavy) สงขลา 36 2 2.13.3 หยักถี่ (crimped) PR 107 3 2.14 ใบยอยซา ย-ขวา เปรียบเทยี บกบั ใบกลาง (Left and right leaflets / comparative with middle leaflet) (รูปท่ี 13) ตัวอยา งพนั ธุ เลขรหัส 2.14.1 รูปรางแบบเดยี วกนั และขนาดเทากนั (same shape and equal) RRIM 600 1 2.14.2 รูปรางแบบเดยี วกนั แตข นาดเล็กกวา (same shape but smaller) RRIC 110 2 2.14.3 รูปรา งตา งกันและขนาดเล็กกวา (different shape and smaller) PR 255 3 2.15 ตําแหนง ขอบใบยอ ย (Relative position to side leaflets) (รปู ท่ี 14) ตัวอยา งพันธุ เลขรหสั 2.15.1 ขอบใบแยกจากกนั (separated) PR 255 1 2.15.2 ขอบใบสมั ผสั กัน (touching) RRIC 110 2 2.15.3 ขอบใบทบั กัน (over lapping) PB 260 3 2.16 ระดับของใบยอย (Position of leaflets with respect to middle leaflet) (รูปท่ี 15) ตัวอยางพันธุ เลขรหสั 2.16.1 ใบยอยท้ังสองขา งอยูเหนอื ใบกลาง (side leaflets upward) PB 310 1 2.16.2 ใบยอยท้งั สองขางอยูต ่ํากวา ใบกลาง (side leaflets downward) GT 1 2 2.16.3 ใบยอ ยทงั้ สองขา งอยูในแนวระดบั เดยี วกัน (leaflets horizontal) PB 235 3 สาํ นักคุมครองพันธพุ ชื แหง ชาติ กรมวชิ าการเกษตร

18 2.17 ความรสู กึ เมือ่ สมั ผสั (Leaf texture) (เงือ่ นไข ใหใ ชมอื สมั ผัสผวิ ใบทงั้ สองดา นและใชพนั ธมุ าตรฐานเปนตวั เปรยี บเทยี บ) ตวั อยา งพนั ธุ เลขรหสั 1 2.17.1 หยาบกระดา ง (stiff) PR 255 2 2.17.2 นม่ิ (soft) RRIM 600 (รปู ท่ี 16) เลขรหัส 3. ลักษณะกา นใบ (Petiole) 1 3.1 รปู รา งของกา นใบ (Shape of petiole) 2 3 ตวั อยางพันธุ 4 3.1.1 ตรง (straight) PB 235 เลขรหสั 1 3.1.2 นนู (convex) - 2 3 3.1.3 เวา (concave) RRIM 623 (รูปที่ 17) 3.1.4 รปู ตวั เอส (S-shaped) สงขลา 36 เลขรหัส 3.2 ความยาวของกา นใบ (Length of petiole) 1 2 ตวั อยา งพนั ธุ (รูปท่ี 18) เลขรหสั 3.2.1 สั้น (short) GT 1 1 2 3.2.2 ปานกลาง (medium) RRIM 600 (รปู ที่ 19) เลขรหสั 3.2.3 ยาว (long) RRIM 623 1 2 3.3 รปู รางของฐานกา นใบ (Shape of petiole base) 3 ตวั อยางพันธุ 3.3.1 ฐานมีรอง (two-part) RRIM 600 3.3.2 ฐานเรยี บ (flat) PB 235 3.4 ลกั ษณะของฐานกา นใบ (Petiole) ตวั อยางพันธุ 3.4.1 ชน้ั เดยี ว (single) PB 235 3.4.2 สองชั้น (double) GT 1 3.5 รอยแผลกา นใบ (Leaf scar) ตวั อยางพนั ธุ 3.5.1 กลม (round) GT 1 3.5.2 รี (oval) PB 235 3.5.3 รปู หัวใจ (heart shaped) RRIM 600 สาํ นกั คุมครองพนั ธพุ ชื แหงชาติ กรมวชิ าการเกษตร

19 3.5.4 กรวยหงาย (obconic) RRIC 110 4 (รูปที่ 20) 3.6 ทิศทางของกานใบทาํ กบั ลาํ ตน (Direction in petiole) เลขรหสั (เง่อื นไข ใหพ จิ ารณาจากสว นลางของฉัตรใบ) 1 2 ตวั อยางพันธุ 3 3.6.1 ตัง้ ฉาก (horizontal) PB 235 (รูปที่ 21) เลขรหสั 3.6.2 ทาํ มมุ ยกขน้ึ (upward) RRIM 600 1 3.6.3 ทิง้ ลง (downward) สงขลา 36 2 3 4. ลักษณะกา นใบยอย (Petiolules) (รปู ที่ 22) เลขรหัส 4.1 ลกั ษณะการแผของกา นใบยอ ย (Direction in regard to petiolules) 1 2 ตวั อยางพนั ธุ 3 4.1.1 แนวเดยี วกนั (same plane) PR 255 (รปู ท2ี่ 3) เลขรหัส 4.1.2 ยกขึน้ (upward) RRIM 600 1 4.1.3 งุมคลายเล็บสัตว (claw) สงขลา 36 2 3 4.2 การทาํ มุมระหวา งกานใบยอย (Angle between the petiolules) (รูปท่ี 24) ตัวอยา งพนั ธุ เลขรหสั 4.2.1 แคบ (narrow) GT 1 1 4.2.2 กวา ง (widely) PB 28/59 4.2.3 ตั้งฉาก (right angle) PR 255 4.3 ความยาวกา นใบยอย (Length of petiolules) (เงื่อนไข ใหว ดั ขนาดเปน เซนตเิ มตร จากโคนกา นใบยอยถงึ ฐานใบ) ตวั อยา งพนั ธุ 4.3.1 สั้น (short) PB 5/51 4.3.2 ปานกลาง (medium) RRIC 110 4.3.3 ยาว (long) PR 255 5. ลักษณะเปลอื ก (Bark) ตวั อยา งพันธุ RRIC 110 5.1 สว นสเี ขยี ว (Green part) 5.1.1 รูหายใจชดั (strongly protruding lenticel) สาํ นกั คุมครองพนั ธพุ ชื แหง ชาติ กรมวิชาการเกษตร

20 5.1.2 รหู ายใจไมช ัด (lightly protruding lenticel) RRIM 600 2 5.2 สว นสนี าํ้ ตาล (Brown part) (รปู ที่ 25) ตวั อยางพันธุ เลขรหัส 5.2.1 เรยี บ (smooth) RRIM 600 5.2.2 เปนขุย (scabridulous) RRIC 100 1 2 6. ตา (Axillary bud) ตวั อยา งพนั ธุ RRIM 600 (รูปท่ี 26) 6.1 ลักษณะของตากานใบ (Characteristic of leaf bud) BPM 24 เลขรหัส PR 261 6.1.1 ฝง ในลําตน (sunken) PB 5/51 1 6.1.2 เสมอลําตน (normal) 2 6.1.3 นูนนอย (protuberant) ตัวอยางพนั ธุ 3 6.1.4 นูนมาก (spur) RRIM 600 4 6.2 ที่ตัง้ ของตากานใบ (Position of leaf bud) GT 1 (รูปท่ี 27) PB 5/51 เลขรหัส 6.2.1 อยูในฐานกา นใบ (sunken) 1 6.2.2 ชิดฐานกา นใบ (closed) ตวั อยางพนั ธุ 2 6.2.3 หา งฐานกานใบ (separated) - 3 6.3 ลักษณะของตาคิ้ว (Characteristic of scale bud) สงขลา 36 (รูปที่ 28) PB 5/51 เลขรหสั 6.3.1 ตาฝง ในลาํ ตน (sunken) 1 6.3.2 ตาเสมอลําตน (normal) ตวั อยางพันธุ 2 6.3.3 ตานูน (protruded) RRIM 600 3 6.4 ทิศทางของตาคว้ิ (Direction of scale bud ) RRIT 251 (รปู ที่ 29) เลขรหัส 6.4.1 โคง สมดลุ (balanced) 1 6.4.2 เอียงดานใดดานหน่ึง (unbalanced) 2 สาํ นักคุมครองพนั ธุพืชแหง ชาติ กรมวิชาการเกษตร

21 7. นาํ้ ยาง (Latex) 7.1 สีของนาํ้ ยาง (Colour of latex) (เงอ่ื นไข ใหใ ชแ ผน ชารท มาตรฐานสขี อง Royal Horticultural Society Colour Chart เปน ตัวเปรยี บเทยี บ) ตวั อยา งพันธุ เลขรหสั 7.1.1 ขาว (white) RRIM 600 1 7.1.2 เหลอื งออ น (slightly yellow) BPM 24 2 7.1.3 เหลือง (yellow) PB 235 3 8. ลาํ ตน ยางใหญ (Stem) 8.1 รูปรางของลําตน (Form of stem) (รูปท่ี 30) ตวั อยา งพนั ธุ เลขรหสั 8.1.1 ตรง (straight) PB 235 1 8.1.2 คด (crooked) RRIT 251 2 8.1.3 บดิ (twisted) PB 235 3 8.2 สขี องลําตน และกิ่ง (Colour of stem and branches) ตัวอยา งพนั ธุ เลขรหสั 8.2.1 ออน (light) GT 1 1 8.2.2 เขม (dark) RRIM 600 2 8.3 ลักษณะของผิวเปลอื ก (Bark) (รูปท่ี 31) ตัวอยา งพันธุ เลขรหัส 8.3.1 เรยี บ (smooth) RRIM 600 1 8.3.2 หยาบ (coarse) สงขลา 36 2 8.3.3 ตกสะเกด็ (scabrous) PR 255 3 9. ทรงพมุ (Crown) 9.1 ลกั ษณะทรงพุม (Shape of crown) (รปู ที่ 32) ตัวอยางพนั ธุ เลขรหสั 9.1.1 รปู พัด (broom shaped) RRIM 600 1 9.1.2 ทรงกรวย (conical) PB 235 2 9.1.3 ทรงกลม (rounded) PR 255 3 9.1.4 รูปรี (oval) GT 1 4 สํานกั คุมครองพนั ธพุ ืชแหงชาติ กรมวิชาการเกษตร

22 9.2 ขนาดทรงพมุ (Size of crown) (เง่อื นไข ใหว ดั ระยะเสนผา นศนู ยก ลางของทรงพมุ ตรงชว งที่กวางท่สี ุดในแนวนอนโดยวดั เปนเมตร) ตวั อยา งพันธุ เลขรหัส 9.2.1 เล็ก (small) GT 1 1 9.2.2 กลาง (medium) RRIM 600 2 9.2.3 ใหญ (large) PR 255 3 9.3 ระดบั ทรงพุม (Level of crown) (รูปท่ี 33) (เงอ่ื นไข ใหวดั ระยะจากโคนตน ถึงฐานของทรงพุมหรือกิง่ ลางสุดโดยวดั เปน เมตร) ตวั อยางพันธุ เลขรหสั 9.3.1 ตาํ่ (low set) BPM 24 1 9.3.2 สูง (high set) PB 235 2 9.4 ความหนาแนน ของทรงพมุ (Density of crown) (เงอื่ นไข ใหด คู วามหนาแนน ของใบในทรงพุม โดยดูจากทางดา นขาง (lateral view) และใชพนั ธุ มาตรฐานเปน ตวั เปรยี บเทยี บ) ตวั อยา งพันธุ เลขรหัส 9.4.1 แนน (dense) BPM 24 1 9.4.2 ปานกลาง (medium) RRIM 600 2 9.4.3 โปรง (sparse) PB 235 3 10. การแตกก่งิ (Branching) 10.1 ก่ิงหลัก (Primary branching) (เงอ่ื นไข ใหน บั จาํ นวนก่งิ ทแ่ี ตกออกจากลาํ ตน) ตัวอยา งพนั ธุ เลขรหัส 10.1.1 นอ ย /1-3 ก่งิ (few) PB 235 1 10.1.2 มากกวา 3 ก่งิ (many) RRIM 600 2 10.2 กง่ิ รอง (Secondary branching) (เงื่อนไข ใหนบั จาํ นวนก่งิ ทแ่ี ตกออกจากกง่ิ หลัก) ตัวอยางพนั ธุ เลขรหสั 10.2.1 นอย (few) RRIC 110 1 10.2.2 มาก (many) RRIM 600 2 สํานกั คุมครองพันธุพชื แหงชาติ กรมวชิ าการเกษตร

23 ตวั อยางพนั ธุ เลขรหัส GT 1 1 10.3 กงิ่ แขนง (Tertiary branching) RRIM 600 2 (เงอ่ื นไข ใหน บั จาํ นวนกิ่งทแี่ ตกออกจากกง่ิ รอง) 10.3.1 นอย (few) 10.3.3 มาก (many) 10.4 การทํามุมของก่งิ หลกั กับลาํ ตนั (Angle of branches) ตวั อยางพนั ธุ (รูปที่ 34) (เง่ือนไข ใหว ดั มมุ ของกิ่งหลักทาํ กับลําตนเปน องศา) RRIM 600 BPM 24 เลขรหัส 10.4.1 แคบ (steep) 1 10.4.2 กวาง (spreading) 2 10.5 ลกั ษณะของการแตกกงิ่ (Branching type) (รูปท่ี 35) (เง่อื นไข ใหเปรยี บเทยี บการแตกกงิ่ ทัง้ สองขา งโดยใหล ําตน เปนแกนกลาง) เลขรหสั 1 ตัวอยา งพนั ธุ 2 10.5.1 สมดลุ (balanced) RRIM 600 เลขรหสั 1 10.5.2 ไมส มดุล (unbalanced) RRIT 251 2 3 11. เมลด็ (Seed) (รปู ที่ 36) 11.1 ขนาดของเมล็ด (Size of seed) เลขรหสั (เงื่อนไข ใหวดั ขนาด กวาง X ยาว ของเมลด็ เปนมิลลเิ มตร) 1 2 ตัวอยา งพันธุ 3 4 11.1.1 เลก็ (small) GT 1 5 11.1.2 กลาง (medium) RRIM 600 11.1.3 ใหญ (large) PR 255 11.2 รูปรา งของเมล็ด (Shape of seed) ตัวอยางพันธุ 11.2.1 ทรงกลม (rounded) BPM 24 11.2.2 ทรงรี (oval) RRIC 52 11.2.3 รูปสีเ่ หลย่ี มคางหมู (trapezoid) GT 1 11.2.4 ทรงสเี่ หล่ยี ม (squared) RRIM 600 11.2.5 ทรงยาวเรียว (elongated) RRIT 218 สํานักคุมครองพันธุพ ชื แหงชาติ กรมวชิ าการเกษตร

24 11.3 ลักษณะสว นหวั (Front view) (รปู ท่ี 37) ตัวอยางพนั ธุ เลขรหสั 11.3.1 เรียบ (flat) RRIM 600 1 11.3.2 บุม (concave) RRIC 110 2 11.4 ลักษณะสว นทา ย (Back view) (รูปที่ 38) ตวั อยางพนั ธุ เลขรหัส 11.4.1 เรียบ (flat) RRIM 600 1 11.4.2 บมุ (concave) PB 5/51 2 11.5 ลกั ษณะสว นอก(Bottom view) (รปู ท่ี 39) ตวั อยา งพันธุ เลขรหสั 11.5.1 เรยี บ (flat) RRIM 600 1 11.5.2 สนั นนู (protrude) GT 1 2 11.6 ลกั ษณะสว นหลัง (Top view) ตัวอยา งพนั ธุ เลขรหสั 11.6.1 เรยี บ (flat) RRIM 600 1 11.6.2 สันนูน (protrude) GT 1 2 11.7 ความหนา (Thickness) ตวั อยางพันธุ เลขรหสั 11.7.1 บาง (thin) RRIM 600 1 11.7.2 หนา (thick) PR 255 2 11.8 ตําแหนง ของรหู ัวเมล็ด (Position of micropyle) ตัวอยางพนั ธุ เลขรหสั 11.8.1 ตรงกลางของสวนทายเมล็ด (close to bottom) RRIM 600 1 11.8.2 คอ นมาทางสวนอก(close to centered) PB 5/51 2 11.9 ผิวของเมลด็ (Seed coat colour) 11.9.1 สี (Colour) (เงื่อนไข ใหใชแผนชารทมาตรฐานสีของ Royal Horticultural Society Colour Chart) เปนตวั เปรยี บเทยี บและบันทกึ รหัสสกี าํ กับไวดวย) ตัวอยา งพนั ธุ เลขรหสั 11.9.1.1 นาํ้ ตาล (brown) PB 235 1 สาํ นกั คุมครองพันธุพ ชื แหงชาติ กรมวิชาการเกษตร

25 11.9.1.2 นาํ้ ตาลออน (light brown) BPM 24 2 11.9.1.3 สเี ทา (greynish) RRIC110 3 11.9.2 ความเปนเงา (Shiny) (เงอ่ื นไข ใหดกู ารสะทอ นแสงของผวิ เมลด็ หรอื ความเปน มัน / ใชพนั ธุมาตรฐานเปนตัว เปรียบเทยี บ) ตวั อยางพันธุ เลขรหสั 11.9.2.1 เปน เงา (shiny) PB 5/51 1 11.9.2.1 ไมเปน เงา (dull) RRIM 600 2 11.9.3 ลายของเมล็ด (Seed coat colour ; Type of variegation) ตัวอยา งพันธุ เลขรหสั 11.9.3.1 เปนจดุ (spotted) RRIC 52 1 11.9.3.2 เปน ปน (shaded) RRIM 600 2 12. ลกั ษณะเดน ประจาํ พันธุ ตัวอยางพนั ธุ 12.1 ใบยอ ย (leaflets) มีมากกวา 3 ใบ PB 235 12.2 ฐานกา นใบมีสีมว ง PB 235 12.3 ใบสวนบนของฉตั รบิด GT 1 12.4 กงิ่ กระโดงคด RRIT 251 12.5 เปลือกมรี อยเปอ นสดี ํา RRIC 110 12.6 ใบยอยใบกลางยาวกวา ใบยอยดา นขา งมาก PR 255 12.7 เปลือกสว นท่อี ยเู หนอื ตานนู มาก PR 261 12.8 มี 2 ตาทฐ่ี านกา นใบ BPM 24 12.9 เปลือกแตกมนี าํ้ ยางไหล PR 255 12.10 อน่ื ๆ สํานักคุมครองพนั ธุพืชแหง ชาติ กรมวชิ าการเกษตร

26 การบันทกึ ลกั ษณะทางการเกษตร 1. ผลผลิต 2 ปแรก (Yield for first 2 year) - กรัม/ตน/ครัง้ กรดี (gram/tree/tapping) - กิโลกรัม/ตน /ป (kilogram/tree/year) - กโิ ลกรัม/ไร/ ป (kilogram/rai/year) 2. ผลผลิต 3-10 ป (Yield,3-10 th year) - กรมั /ตน /ครง้ั กรดี (gram/tree/tapping) - กโิ ลกรมั /ตน /ป (kilogram/tree/year) - กิโลกรัม/ไร/ป (kilogram/rai/year) 3. ผลผลิตทีเ่ พมิ่ ขนึ้ เม่ือใชส ารเคมีเรงนํา้ ยาง (%ผลผลิตทเ่ี พิ่มขึน้ ) (Response to stimulation) (% increased in yield) 4. ผลผลิตลดลงในชว งผลัดใบ (Wintering yield depression) (%) 5. การเจรญิ เตบิ โตระยะกอนเปด กรดี (Growth vigour) 6. ขนาดลําตน ขณะเปด กรดี (เซนตเิ มตร) (Vigour at opening) (cm.) 7. ตนเปดกรดี (%) (Tappability) (%) 8. การเจริญเตบิ โตท่ีเพ่มิ ขึ้นระหวา งกรดี (เซนติเมตร) (Girth increment on tapping) (cm.) 9. การผลดั ใบ (Wintering) - สมบูรณ (complete) ทะยอย (partial) ไมชดั เจน (indistinct) - เร็ว (early) ปานกลาง (intermediate) ชา (late) - ส้นั (short) ยาวนาน (prolong) 10. ความทนแลง (% ผลผลติ ท่ีลดลง) (Drought resistance) (% reduction in yield) 11. ความเหมาะสมของการปลูกในพืน้ ทรี่ ะดับนํ้าใตดนิ สงู (Suitable to high water table) 12. ความเหมาะสมของการปลกู ในพ้นื ทล่ี าดชนั (Suitable for steep terrain) 13. ความเหมาะสมของระยะปลกู ชดิ (Suitable for close planting) 14. ความเสยี หายเนอื่ งจากลม (%) (Wind damage) (%) - นอ ย (low) ปานกลาง (moderate) มาก (high) - ถอนราก (uprooting) - ก่งิ ฉีก (branch snap) สาํ นักคุมครองพันธพุ ชื แหงชาติ กรมวชิ าการเกษตร

27 - ก่ิงฉกี (trunk snap) 15. เปลอื ก (Bark) - เปลอื กเดมิ (Virgin bark) ผวิ เรยี บ (smooth) ปานกลาง (intermediate) หยาบ (rough) - ความหนาเปลือกเดมิ (มม.) (virgin bark thickness) (mm.) - เปลอื กงอกใหม (Renew bark) ผิวเรยี บ (smooth) ปานกลาง (intermediate) หยาบ (rough) - ความหนาเปลอื กงอกใหม (มม.) (Renew bark thickness) (mm.) 16. วงทอ นาํ้ ยาง (Latex vessel ring number) - เปลือกเดมิ (virgin bark) - เปลือกงอกใหม (renew bark) 17. ความหนาแนน ของวงทอน้ํายาง (ตอ มม.) (Latex vessel ring density) (per mm.) ในเปลอื กเดมิ และ เปลอื กงอกใหม 18. การตอบสนองตอ รอยแผลกรดี (Wounding) 19. อาการเปลอื กแหง (Tapping panel dryness) (TPD) - จํานวนตนเปลอื กแหง (TPD tress) (%) - ความรุนแรงของอาการเปลอื กแหง (TPD reactions) 20. การไหลบา หนากรีด (Overflow) 21. การจับตวั บริเวณหนากรดี (Precoagulation) 22. การออกดอก (Flowering) 23. การตดิ ฝก (Fruiting) 24. เปอรเ ซน็ ตก ารติดตา (Grafting-bud emergence) 25. ปรมิ าตรเนื้อไม (Volume of wood) สาํ นกั คุมครองพันธพุ ืชแหงชาติ กรมวิชาการเกษตร

28 ความออนแอตอผลกระทบจากส่ิงมีชีวติ (Biotic stress susceptibility) ตวั เลือก หวั ขอหลกั ตานทา คอ นขา ง ปานกลาง คอ นขา ง ออ นแอ หมายเหตุ น ตา นทาน ออนแอ โรค (Disease) โรคใบรว งทีเ่ กดิ จากเชื้อ 1 2 3 4 5 รหัสตัวเลข (Secondary leaf fall) - Colletotrichum gloeosporioides - Oidium heaveae โรคใบรว ง (Abnormal leaf fall) - Phytophthora sp. โรคใบจุดกา งปลา (Corynespora leaf spot) - Corynespora cassiicola โรคใบจุดตานก (Birds eye spot) - Drechslera heveae โรคเสนดาํ (Black stripe) - Phytophothora palmivora โรคเนา (Mouldy rot) - Ceratocystis fimbriata โรคราสีชมพู (Pink disease) - Corticium salmonicolor สาํ นกั คุมครองพันธพุ ืชแหงชาติ กรมวิชาการเกษตร

29 ลักษณะประจาํ พนั ธยุ างพารา : Characterization of Para rubber Variety รายละเอียดประจาํ พนั ธุ เลข ตวั อยางพนั ธุ รปู ภาพ รหัส (รปู ท่ี 1) สงขลา 36 1. ฉัตรใบ (Leaf storey) PR 255 (รปู ท่ี 2) GT 1 (รปู ที่ 3) (เงอ่ื นไข : ใหด ูฉัตรท่ี 2 โดยนับจากยอดลงมาเปน หลัก ในการ PB 260 ตรวจสอบและสภาพของใบในฉัตรจะตอ งเปนใบทแี่ กจดั ในกรณที ่ี PR 235 BPM 24 ฉตั ร ที่ 2 ไมส ามารถตรวจสอบไดใ หฉ ัตรตอ ไปน)ี้ GT 1 1.1 ลกั ษณะทรงฉตั ร (Shape of leaf storey) 1 GT 1 1.1.1 ครึง่ วงกลม (hemisphere) 2 BPM 24 1.1.2 รปู รม (umbrella- shaped) 3 PR 255 1.1.3 กรวย (conical) 4 GT 1 1.1.4 ปรามดิ (pyramid-shaped) RRIM 600 1.2 ความสูงของฉตั ร (Height of leaf storey) RRIM 600 (เงอื่ นไข : ใหว ัดขนาดเปน เซนตเิ มตรจากโคนกา นใบ (petiole) 3 GT 1 บนสุดลงมาถงึ โคนกานใบลา งสดุ ภายในฉตั ร) 5 7 1.2.1 สัน้ (short) 1.2.2 ปานกลาง (medium) 1.2.3 ยาว (long) 1.3 ความกวา งของฉตั ร (Width of leaf storey) (เงื่อนไข : ใหว ดั ขนาดเปนเซนตเิ มตรตรงสว นท่กี วางทสี่ ุดของฉัตร) 1 1.3.1 แคบ (narrow) 2 1.3.2 ปานกลาง (medium) 3 1.3.3 กวา ง (width) 1.4 ระยะระหวางฉัตร (Separation between leaf storey) 1 1.4.1 ชดิ (close) 2 1.4.2 หา ง (separated) 1.5 ความหนาแนน ของใบในฉตั ร (Composed of a relative number of leaves) (เงอื่ นไข : ในการตรวจสอบใหด ูภาพทางดา นขา ง (lateral view) ของฉัตรทีใ่ ชใ นการตรวจสอบ ; อดั แนน คือไมเห็นกา นใบ/ โปรง คอื เหน็ กา นใบ) 1 1.5.1 โปรง (sparsely foliated) 2 1.5.2 อดั แนน (densely foliated)

30 เลข ตัวอยางพนั ธุ รปู ภาพ รหัส รายละเอยี ดประจําพนั ธุ (รปู ที่ 4) 1.6 การตกของใบในฉตั ร (Position of laminae) (เงือ่ นไข : ในการตรวจสอบใหด ภู าพทางดา นขา ง (lateral view) 1 RRIM 600 ของฉัตรท่ีใชในการตรวจสอบ ; ฉัตรเปด ลักษณะแผน ใบ 2 GT 1 จะตงั้ ข้ึน/ ฉตั รปด ลักษณะใบจะตกลง) 1.6.1 ฉัตรเปด (opened) (รปู ที่ 5) 1.6.2 ฉัตรปด (closed) 1 BPM 24 2 RRIM 600 2. ลกั ษณะใบ (Leaf) 3 PR 255 (เงื่อนไข : ใหด ใู บท่ีมีความสมบูรณแ ละเจริญเตม็ ท่ี (แกจ ดั ) ใบทใ่ี ชต รวจสอบจะตอ งนํามาจากตรงกลางของทรงพุมใบหรอื 1 GT 1 ที่สามารถเปน ตัวแทนของใบสวนใหญได) 2 RRIM 600 2.1 รูปรางของใบกลาง (Shape of the middle leaflet) 3 PB 310 2.1.1 ปอ มกลางใบ (elliptical) 2.1.2 ปอ มปลายใบ (obovate) 1 GT 1 2.1.3 รูปเปยกปนู (diamond shaped) 2 RRIM 600 2.2 ความกวา งของใบกลาง (Width of the middle leaflet) 3 PB 310 2.2.1 แคบ (narrow) 2.2.2 ปานกลาง (medium) 1 RRIM 600 2.2.3 กวาง (width) 2 GT 1 2.3 ความยาวของใบกลาง (Length of middle leaflet) 3 BPM 24 2.3.1 สัน้ (short) 2.3.2 ปานกลาง (medium) 2.3.3 ยาว (long) 2.4 สีใบ (Leaf colour) (เงื่อนไข : ใหใ ชแผน ชารทมาตรฐานสีของ Royal Horticultural Society Colour Chart เปนตวั เปรยี บเทยี บและบันทึกรหสั สี กาํ กับไวด ว ย) 2.4.1 เขียวอมเหลอื ง (yellowish-green) 2.4.2 เขยี วแก (dark green) 2.4.3 เขยี วออ น (light green)

31 รายละเอียดประจําพนั ธุ เลข ตวั อยางพันธุ รปู ภาพ รหสั 2.5 ความเปนมนั (Leaf luster) RRIC 110 (รูปท่ี 6) (เงือ่ นไข : ใหด ูผิวใบดา นบน/ดูความเปน เงาหรอื สะทอนแสงโดยใช 1 RRIM 600 (รูปที่ 7) พันธุมาตรฐานเปน ตวั เปรียบเทยี บ) 2 (รูปท่ี 8) 2.5.1 ไมเปน มัน (slightly grossy) PB 235 2.5.2 เปนมัน (grossy) 1 RRIM 600 (รปู ท่ี 9) 2 RRIT 250 (รูปท่ี 10) 2.6 ฐานใบ (Leaf base) 3 2.6.1 รูปลิม่ (cuneate) PB 235 2.6.2 สอบเรยี ว (attenuate) 1 GT 1 2.6.3 มน (obtuse) 2 RRIC 110 3 PB 310 2.7 ปลายใบ (Leaf apex) 4 2.7.1 เรียวแหลม (acuminate) PB 260 2.7.2 แหลมเข็ม (aristate) 1 PR 255 2.7.3 เปน ตง่ิ แหลม (cuspidate) 2 2.7.4 ต่ิงหนาม (mucronate) BPM 24 1 RRIM 600 2.8 เสน กลางใบ (Middle vein) 2 2.8.1 นนู / มองเหน็ เดนชดั (prominent) RRIM 600 2.8.2 ไมนูน / ไมชดั (non prominent) 1 PR 255 2 2.9 สีของเสนใบ (Colour of vein) PB 5/51 (เงอื่ นไข : ใหใ ชแ ผน ชารท มาตรฐานสขี อง Royal Horticultural 1 PB 235 Society Colour Chart เปนตวั เปรียบเทยี บ และบันทกึ รหสั สี 2 RRIT 251 กํากบั ไวด ว ย) 3 PB 28/59 2.9.1 เขียวออน (light green) 4 2.9.2 เหลืองอมเขยี ว (greenish yellow) 2.10 ลักษณะแผนใบ (Leaf blade) 2.10.1 เรียบ (smooth) 2.10.2 ขรุขระ (rough) 2.11 ลักษณะใบตดั ตามขวาง (Cross section of leaf) 2.11.1 รูปตัววี (V-shaped) 2.11.2 ตรง (straight) 2.11.3 เวา หรอื รปู ทองเรอื (boat shaped) 2.11.4 นนู (convex)

32 รายละเอียดประจําพนั ธุ เลข ตัวอยา งพันธุ รปู ภาพ รหัส (รปู ที่ 11) 2.12 ลักษณะใบตัดตามยาวของใบกลาง (Longitudinal profile of the RRIC 110 (รปู ท่ี 12) middle leaflet) 1 PB 310 (รปู ท่ี 13) 2.12.1 ตรง (straight) 2 PR 260 2.12.2 นูน (convex) 3 RRIM 600 (รปู ท่ี 14) 2.12.3 รปู ตวั เอส (S-form) 1 สงขลา 36 (รปู ที่ 15) 2 PR 107 2.13 ขอบใบ (Leaf margin) 3 2.13.1 เรียบ (entire) RRIM 600 2.13.2 คลืน่ หยาบ (wavy) 1 RRIC 110 2.13.3 หยักถ่ี (crimped) 2 PR 255 3 PR 255 2.14 ใบยอ ยซา ย-ขวา เปรียบเทียบกบั ใบกลาง (Left and right leaflets / 1 RRIC 110 comparative with middle leaflet) 2 PB 260 2.14.1 รปู รา งแบบเดยี วกนั และขนาดเทา กนั (same shape and 3 equal) PB 310 2.14.2 รูปรา งแบบเดยี วกันแตขนาดเลก็ กวา (same shape but 1 GT 1 smaller) 2 PB 235 2.14.3 รปู รางตางกันและขนาดเลก็ กวา (different shape and 3 smaller) 2.15 ตําแหนง ขอบใบยอ ย (Relative position to side leaflets) 1.15.1 ขอบใบแยกจากกนั (separated) 1.15.2 ขอบใบสมั ผสั กัน (touching) 1.15.3 ขอบใบทับกัน (over lapping) 2.16 ระดบั ของใบยอ ย (Position of leaflets with respect to middle leaflet) 2.16.1 ใบยอ ยทั้งสองขา งอยูเหนือใบกลาง (side leaflets upward) 2.16.2 ใบยอยทัง้ สองขางอยตู า่ํ กวา ใบกลาง (side leaflets downward) 2.16.3 ใบยอ ยทั้งสองขา งอยใู นแนวระดบั เดยี วกัน (leaflets horizontal) 2.17 ความรูสกึ เมอ่ื สัมผัส (Leaf texture) (เงือ่ นไข : ใหใ ชม อื สัมผสั ผิวใบทั้งสองดา นและใชพ ันธมุ าตรฐาน เปนตัวเปรยี บเทียบ)

33 เลข ตัวอยา งพนั ธุ รปู ภาพ รหสั รายละเอียดประจําพนั ธุ 1 PR 255 2.17.1 หยาบกระดาง (stiff) 2.17.2 นมิ่ (soft) 2 RRIM 600 3. ลกั ษณะกา นใบ (Petiole) 3.1 รูปรางของกา นใบ (Shape of petiole) (รูปที่ 16) 3.1.1 ตรง (straight) 1 PB 235 3.1.2 นูน (convex) 2- 3.1.3 เวา (concave) 3 RRIM 623 3.1.4 รูปตัวเอส (S-shaped) 4 สงขลา 36 3.2 ความยาวของกานใบ (Length of petiole) 3.2.1 สนั้ (short) 1 GT 1 3.2.2 ปานกลาง (medium) 2 RRIM 600 3.2.3 ยาว (long) 3 RRIM 623 3.3 รปู รา งของฐานกานใบ (Shape of petiole base) 3.3.1 ฐานมรี อง (two-part) (รูปท่ี 17) 3.3.2 ฐานเรียบ (flat) 1 RRIM 600 3.4 ลักษณะของฐานกา นใบ (Petiole) 2 PB 235 3.4.1 ชนั้ เดยี ว (single) 3.4.2 สองชน้ั (double) (รูปท่ี 18) 3.5 รอยแผลกา นใบ (Leaf scar) 1 PB 235 3.5.1 กลม (round) 2 GT 1 3.5.2 รี (oval) 3.5.3 รูปหวั ใจ (heart shaped) (รูปที่ 19) 3.5.4 กรวยหงาย (obconic) 1 GT 1 3.6 ทศิ ทางของกานใบทาํ กบั ลาํ ตน (Direction in petiole) 2 PB 235 (เง่อื นไข : ใหพ ิจารณาจากสวนลางของฉัตรใบ) 3 RRIM 600 3.6.1 ต้งั ฉาก (horizontal) 4 RRIC 110 3.6.2 ทาํ มุมยกขึน้ (upward) 3.6.3 ทงิ้ ลง (downward) (รปู ท่ี 20) 1 PB 235 2 RRIM 600 3 สงขลา 36

34 รายละเอียดประจําพันธุ เลข ตวั อยา งพันธุ รปู ภาพ รหสั (รปู ที่ 21) 4. ลกั ษณะกา นใบยอ ย (Petiolules) PR 255 4.1 ลักษณะการแผของกา นใบยอ ย (Direction in regard to petiolules) 1 RRIM 600 (รปู ที่ 22) 4.1.1 แนวเดยี วกัน (same plane) 2 สงขลา 36 4.1.2 ยกข้ึน (upward) 3 (รปู ท2่ี 3) 4.1.3 งมุ คลายเล็บสตั ว (claw) GT 1 4.2 การทํามุมระหวา งกานใบยอ ย (Angle between the petiolules) 1 PB 28/59 (รูปที่ 24) 4.2.1 แคบ (narrow) 2 PR 255 (รูปที่ 25) 4.2.2 กวา ง (widely) 3 (รปู ท่ี 26) 4.2.3 ตั้งฉาก (right angle) PB 5/51 4.3 ความยาวกานใบยอ ย (Length of petiolules) 1 RRIC 110 (เงื่อนไข : ใหว ัดขนาดเปนเซนตเิ มตร จากโคนกา นใบยอ ยถงึ 2 PR 255 ฐานใบ) 3 4.3.1 ส้นั (short) RRIC 110 4.3.2 ปานกลาง (medium) 1 RRIM 600 4.3.3 ยาว (long) 2 RRIM 600 5. ลักษณะเปลอื ก (Bark) 1 RRIC 100 5.1 สวนสีเขียว (Green part) 2 5.1.1 รหู ายใจชัด (strongly protruding lenticel) RRIM 600 5.1.2 รหู ายใจไมชดั (lightly protruding lenticel) 1 BPM 24 5.2 สวนสีน้าํ ตาล (Brown part) 2 PR 261 5.2.1 เรยี บ (smooth) 3 PB 5/51 5.2.2 เปนขุย (scabridulous) 4 6. ตา (Axillary bud) 6.1 ลกั ษณะของตากา นใบ (Characteristic of leaf bud) 6.1.1 ฝงในลําตน (sunken) 6.1.2 เสมอลาํ ตน (normal) 6.1.3 นนู นอ ย (protuberant) 6.1.4 นูนมาก (spur)

35 รายละเอียดประจําพันธุ เลข ตัวอยา งพนั ธุ รูปภาพ รหสั 6.2 ทีต่ ง้ั ของตากานใบ (Position of leaf bud) (รปู ที่ 27) 6.2.1 อยใู นฐานกานใบ (sunken) 1 RRIM 600 6.2.2 ชิดฐานกา นใบ (closed) 2 GT 1 6.2.3 หา งฐานกานใบ (separated) 3 PB 5/51 6.3 ลักษณะของตาคิ้ว (Characteristic of scale bud) (รปู ท่ี 28) 6.3.1 ตาฝง ในลําตน (sunken) 1- 6.3.2 ตาเสมอลําตน (normal) 2 สงขลา 36 6.3.3 ตานูน (protruded) 3 PB 5/51 6.4 ทิศทางของตาคิ้ว (Direction of scale bud ) (รูปท่ี 29) 6.4.1 โคงสมดลุ (balanced) 1 RRIM 600 6.4.2 เอยี งดา นใดดานหนง่ึ (unbalanced) 2 RRIT 251 7. น้ํายาง (Latex) 7.1 สขี องน้ํายาง (Colour of latex) (เงอื่ นไข : ใหใ ชแผน ชารท มาตรฐานสีของ Royal Horticultural Society Colour Chart เปนตวั เปรียบเทยี บ) 1 RRIM 600 7.1.1 ขาว (white) 2 BPM 24 7.1.2 เหลอื งออน (slightly yellow) 3 PB 235 7.1.3 เหลอื ง (yellow) 8. ลําตนยางใหญ (Stem) 8.1 รูปรางของลาํ ตน (Form of stem) (รปู ที่ 30) 8.1.1 ตรง (straight) 1 PB 235 8.1.2 คด (crooked) 8.1.3 บิด (twisted) 2 RRIT 251 3 PB 235 8.2 สีของลาํ ตน และกิ่ง (Colour of stem and branches) 1 GT 1 8.2.1 ออน (light) 2 RRIM 600 8.2.2 เขม (dark) 8.3 ลกั ษณะของผวิ เปลอื ก (Bark) (รูปท่ี 31) 8.3.1 เรยี บ (smooth) 1 RRIM 600 8.3.2 หยาบ (coarse) 8.3.3 ตกสะเกด็ (scabrous) 2 สงขลา 36 3 PR 255

36 รายละเอียดประจาํ พนั ธุ เลข ตัวอยางพันธุ รปู ภาพ รหัส (รปู ท่ี 32) 9. ทรงพมุ (Crown) RRIM 600 9.1 ลกั ษณะทรงพมุ (Shape of crown) 1 PB 235 (รปู ท่ี 33) 9.1.1 รปู พดั (broom shaped) 2 PR 255 9.1.2 ทรงกรวย (conical) 3 GT 1 9.1.3 ทรงกลม (rounded) 4 9.1.4 รปู รี (oval) GT 1 9.2 ขนาดทรงพุม (Size of crown) 1 RRIM 600 (เงอ่ื นไข : ใหว ดั ระยะเสนผานศนู ยก ลางของทรงพุมตรงชวงทก่ี วาง 2 PR 255 ท่สี ุดในแนวนอนโดยวัดเปน เมตร) 3 9.2.1 เล็ก (small) BPM 24 9.2.2 กลาง (medium) 1 PB 235 9.2.3 ใหญ (large) 2 9.3 ระดบั ทรงพมุ (Level of crown) BPM 24 (เงอ่ื นไข : ใหว ดั ระยะจากโคนตนถึงฐานของทรงพุมหรือ 1 RRIM 600 กง่ิ ลา งสดุ โดยวดั เปน เมตร) 2 PB 235 9.3.1 ตาํ่ (low set) 3 9.3.2 สูง (high set) PB 235 9.4 ความหนาแนน ของทรงพุม (Density of crown) 1 RRIM 600 (เง่ือนไข : ใหด ูความหนาแนนของใบในทรงพุม โดยดจู าก 2 ทางดา นขาง (lateral view) และใชพนั ธมุ าตรฐานเปนตวั เปรยี บเทียบ) 9.4.1 แนน (dense) 9.4.2 ปานกลาง (medium) 9.4.3 โปรง (sparse) 10. การแตกกิง่ (Branching) 10.1 กง่ิ หลกั (Primary branching) (เง่อื นไข : ใหน บั จํานวนกง่ิ ที่แตกออกจากลาํ ตน ) 10.1.1 นอย /1-3 กง่ิ (few) 10.1.2 มากกวา 3 กิ่ง (many)

37 รายละเอียดประจําพันธุ เลข ตวั อยา งพนั ธุ รปู ภาพ รหสั 10.2 ก่งิ รอง (Secondary branching) (เงือ่ นไข : ใหน ับจํานวนก่งิ ทีแ่ ตกออกจากก่ิงหลกั ) 1 RRIC 110 10.2.1 นอย (few) 2 RRIM 600 10.2.2 มาก (many) 1 GT 1 10.3 กง่ิ แขนง (Tertiary branching) 2 RRIM 600 (เงอื่ นไข : ใหน บั จาํ นวนก่ิงท่ีแตกออกจากกง่ิ รอง) 10.3.1 นอ ย (few) (รูปที่ 34) 10.3.2 มาก (many) 1 RRIM 600 10.4 การทํามุมของกิ่งหลกั กบั ลาํ ตนั (Angle of branches) 2 BPM 24 (เงอื่ นไข : ใหว ัดมมุ ของกิ่งหลกั ทํากับลาํ ตน เปนองศา) 10.4.1 แคบ (steep) (รปู ที่ 35) 10.4.2 กวา ง (spreading) 1 RRIM 600 10.5 ลกั ษณะของการแตกกงิ่ (Branching type) 2 RRIT 251 (เง่ือนไข : ใหเปรียบเทียบการแตกกงิ่ ทง้ั สองขางโดยใหลาํ ตน เปน แกนกลาง) 1 GT 1 10.5.1 สมดลุ (balanced) 2 RRIM 600 10.5.2 ไมสมดลุ (unbalanced) 3 PR 255 11. เมล็ด (Seed) (รูปที่ 36) 11.1 ขนาดของเมลด็ (Size of seed) 1 BPM 24 (เงื่อนไข : ใหว ดั ขนาด กวา ง X ยาว ของเมล็ดเปนมลิ ลิเมตร) 2 RRIC 52 11.1.1 เลก็ (small) 3 GT 1 11.1.2 กลาง (medium) 4 RRIM 600 11.1.3 ใหญ (large) 5 RRIT 218 11.2 รูปรา งของเมลด็ (Shape of seed) 11.2.1 ทรงกลม (rounded) 11.2.2 ทรงรี (oval) 11.2.3 รูปสีเ่ หลี่ยมคางหมู (trapezoid) 11.2.4 ทรงสเ่ี หล่ียม (squared) 11.2.5 ทรงยาวเรยี ว (elongated)

38 เลข ตัวอยา งพันธุ รูปภาพ รหสั รายละเอียดประจาํ พนั ธุ (รูปท่ี 37) 11.3 ลกั ษณะสว นหวั (Front view) 1 RRIM 600 11.3.1 เรียบ (flat) 2 RRIC 110 11.3.2 บมุ (concave) (รปู ท่ี 38) 11.4 ลักษณะสวนทาย (Back view) 1 RRIM 600 11.4.1 เรยี บ (flat) 2 PB 5/51 11.4.2 บุม (concave) (รปู ท่ี 39) 11.5 ลักษณะสว นอก(Bottom view) 1 RRIM 600 11.5.1 เรียบ (flat) 11.5.2 สันนนู (protrude) 2 GT 1 11.6 ลกั ษณะสวนหลัง (Top view) 1 RRIM 600 11.6.1 เรยี บ (flat) 2 GT 1 11.6.2 สันนนู (protrude) 1 RRIM 600 11.7 ความหนา (Thickness) 2 PR 255 11.7.1 บาง (thin) 11.7.2 หนา (thick) 1 RRIM 600 2 PB 5/51 11.8 ตําแหนง ของรหู ัวเมลด็ (Position of micropyle) 11.8.1 ตรงกลางของสวนทา ยเมลด็ (close to bottom) 1 PB 235 11.8.2 คอนมาทางสว นอก (close to centered) 2 BPM 24 3 RRIC 110 11.9 ผวิ ของเมลด็ (Seed coat colour) 11.9.1 สี (Colour) 1 PB 5/51 (เงอ่ื นไข : ใหใ ชแผนชารท มาตรฐานสขี อง Royal 2 RRIM 600 Horticultural Society Colour Chart เปนตวั เปรียบเทยี บและบันทึกรหัสสีกํากับไวด ว ย) 11.9.1.1 นํ้าตาล (brown) 11.9.1.2 นํ้าตาลออ น (light brown) 11.9.1.3 สีเทา (greynish) 11.9.2 ความเปน เงา (Shiny) (เงอื่ นไข : ใหด ูการสะทอ นแสงของผวิ เมล็ดหรือความ เปนมนั / ใชพนั ธมุ าตรฐานเปนตวั เปรยี บเทยี บ) 11.9.2.1 เปนเงา (shiny) 11.9.2.2 ไมเ ปน เงา (dull)

39 รายละเอียดประจําพนั ธุ เลข ตวั อยา งพันธุ รูปภาพ รหสั 11.9.3 ลายของเมลด็ (Seed coat colour ; Type of variegation) RRIC 52 11.9.3.1 เปนจดุ (spotted) 1 RRIM 600 11.9.3.2 เปนปน (shaded) 2 PB 235 12. ลักษณะเดน ประจาํ พันธุ PB 235 12.1 ใบยอ ย (leaflets) มมี ากกวา 3 ใบ GT 1 12.2 ฐานกานใบมสี มี วง RRIT 251 12.3 ใบสวนบนของฉัตรบิด RRIC 110 12.4 กงิ่ กระโดงคด PR 255 12.5 เปลอื กมีรอยเปอ นสดี ํา PR 261 12.6 ใบยอยใบกลางยาวกวาใบยอยดานขา งมาก BPM 24 12.7 เปลือกสว นทอ่ี ยเู หนือตานนู มาก PR 255 12.8 มี 2 ตาท่ีฐานกา นใบ 12.9 เปลือกแตกมนี าํ้ ยางไหล 12.10 อ่ืน ๆ การบันทกึ ลกั ษณะทางการเกษตร 1. ผลผลิต 2 ปแรก (Yield for first 2 year) - กรมั /ตน /คร้ังกรดี (gram/tree/tapping) - กิโลกรัม/ตน/ป (kilogram/tree/year) - กิโลกรมั /ไร/ ป (kilogram/rai/year) 2. ผลผลิต 3-10 ป (Yield,3-10 th year) - กรมั /ตน/คร้ังกรดี (gram/tree/tapping) - กิโลกรมั /ตน /ป (kilogram/tree/year) - กโิ ลกรัม/ไร/ป (kilogram/rai/year) 3. ผลผลิตทีเ่ พ่มิ ขนึ้ เมอื่ ใชส ารเคมีเรงนาํ้ ยาง (%ผลผลิตที่เพ่ิมข้นึ ) (Response to stimulation) (% increased in yield) 4. ผลผลติ ลดลงในชว งผลดั ใบ (Wintering yield depression) (%) 5. การเจรญิ เตบิ โตระยะกอนเปด กรีด (Growth vigour) 6. ขนาดลําตน ขณะเปด กรีด (เซนตเิ มตร) (Vigour at opening) (cm.) 7. ตนเปด กรดี (%) (Tappability) (%)

40 รายละเอียดประจําพันธุ เลข ตวั อยา งพนั ธุ รูปภาพ รหัส 8. การเจรญิ เตบิ โตทเ่ี พิม่ ขน้ึ ระหวา งกรดี (เซนตเิ มตร) (Girth increment on tapping) (cm.) 9. การผลัดใบ (Wintering) - สมบรู ณ (complete) ทะยอย (partial) ไมชดั เจน (indistinct) - เร็ว (early) ปานกลาง (intermediate) ชา (late) - สั้น (short) ยาวนาน (prolong) 10. ความทนแลง (% ผลผลติ ท่ีลดลง) (Drought resistance) (% reduction in yield) 11. ความเหมาะสมของการปลกู ในพน้ื ท่รี ะดับนา้ํ ใตดนิ สงู (Suitable to high water table) 12. ความเหมาะสมของการปลูกในพน้ื ทีล่ าดชนั (Suitable for steep terrain) 13. ความเหมาะสมของระยะปลกู ชิด (Suitable for close planting) 14. ความเสียหายเนอ่ื งจากลม (%) (Wind damage) (%) - นอย (low) ปานกลาง (moderate) มาก (high) - ถอนราก (uprooting) - กิง่ ฉกี (branch snap) - กงิ่ ฉกี (trunk snap) 15. เปลอื ก (Bark) - เปลอื กเดิม (Virgin bark) ผวิ เรยี บ (smooth) ปานกลาง (intermediate) หยาบ (rough) - ความหนาเปลือกเดิม (มม.) (virgin bark thickness) (mm.) - เปลือกงอกใหม (Renew bark) ผวิ เรยี บ (smooth) ปานกลาง (intermediate) หยาบ (rough) - ความหนาเปลอื กงอกใหม (มม.) (Renew bark thickness) (mm.) 16. วงทอนํา้ ยาง (Latex vessel ring number) - เปลือกเดิม (virgin bark) - เปลือกงอกใหม (renew bark) 17. ความหนาแนน ของวงทอนา้ํ ยาง (ตอ มม.) (Latex vessel ring density) (per mm.) ในเปลือกเดิมและเปลอื กงอกใหม 18. การตอบสนองตอรอยแผลกรีด (Wounding)

41 เลข ตัวอยา งพนั ธุ รปู ภาพ รหัส รายละเอยี ดประจําพันธุ 19. อาการเปลอื กแหง (Tapping panel dryness) (TPD) - จํานวนตน เปลอื กแหง (TPD tress) (%) - ความรนุ แรงของอาการเปลือกแหง (TPD reactions) 20. การไหลบา หนา กรดี (Overflow) 21. การจับตวั บริเวณหนา กรดี (Precoagulation) 22. การออกดอก (Flowering) 23. การติดฝก (Fruiting) 24. เปอรเ ซน็ ตการติดตา (Grafting-bud emergence) 25. ปริมาตรเนื้อไม (Volume of wood)

42 ครงึ่ วงกลม (hemishere) ¼ วงกลม/รูปรา งหรอื คนั ธนู (umbrella-shaped) กรวย (conical) ปรามดิ (pyramid-shaped) รปู ที่ 1 ลักษณะทรงฉัตร (Shape of leaf storey)

43 ชดิ (close) หาง (separated) รูปท่ี 2 ระยะระหวางฉตั ร (Separation between leaf storey) อัดแนน (densely foliated) โปรง (sparsely foliated)

รูปท่ี 3 ความหนาแนนของใบในฉตั ร 44 (Composed of a relative number of leaves) ฉตั รเปด (opened) ฉัตรปด (closed) รปู ท่ี 4 การตกของใบในฉัตร (Position of laminae) ปอมกลางใบ (elliptical) รูปเปยกปนู (diamond shaped) ปอ มปลายใบ (obovate)

45 middle leaflet) รปู ท่ี 5 รูปรา งของใบกลาง (Shape of the สอบเรียว (attenuate) รูปลม่ิ (cuncate) มน (obtuse) รูปที่ 6 ฐานใบ (Leaf base) เรียวแหลม (acum แหลมเขม็ (aristate) ตง่ิ แหลม (cuspidate) ต่งิ หนาม (mucronate)

46 รปู ท่ี 7 ปลายใบ (Leaf apex) นนู /มองเห็นเดน ชดั (prominent) ไมน ูน/ไมช ดั (non prominent) รปู ท่ี 8 เสน กลางใบ (Middle vein) เรียบ (smooth) หยาบ/ขรุขระ (rough) รูปท่ี 9 ลักษณะแผน ใบ (Leaf blade)

47 รูปตวั วี (V-shaped) ตรง (straight) รปู เวา หรอื ทอ งเรือ (boat shaped) รูปนูน (convex) รูปท่ี 10 ลกั ษณะใบตดั ตามขวาง (Cross section) ตรง (straight) นนู (convex) ตัวเอส (S-form) รปู ที่ 11 ลักษณะใบตัดตามยาวของใบกลาง (Longitudinal profile of the middle leaflet)

48 เรยี บ (entire) คลื่นหยาบ (wavy) หยกั ถ่ี (crimped) รปู ท่ี 12 ขอบใบ (Leaf margin)