Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปแบบการเรียนรู้วรรณคดีไทย โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี

รูปแบบการเรียนรู้วรรณคดีไทย โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี

Description: รูปแบบการเรียนรู้วรรณคดีไทย โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี.

Search

Read the Text Version

๑ รปู แบบการเรยี นรวู้ รรณคดไี ทย โดยประยกุ ต์ใช้ทฤษฎกี ารสรา้ งความร้ดู ้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรบั นักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร” บทนา การศึกษาเปน็ หัวใจสาคัญของการพัฒนาประเทศและไดร้ ับการคาดหวงั ให้ทาหน้าที่ตา่ ง ๆ ท่เี ป็นเปน็ รากฐานสาคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เปน็ สว่ นช่วยในการเพิม่ ความเท่าเทยี มใน สังคม และเปน็ จดุ เริม่ ต้นของการสรา้ งอาชีพ ซึง่ เปน็ ตัวขับเคลือ่ นการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ และความเจรญิ รุ่งเรืองของประเทศ แต่ในสภาวการณป์ ัจจบุ ัน ทัว่ โลกกาลงั เผชญิ กับการเปล่ียนแปลง ทางสงั คม วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีอย่างรวดเรว็ ไมว่ ่าจะเปน็ ประเทศท่ีพัฒนา แลว้ หรือกาลงั พฒั นา ส่งผลให้วิถชี ีวติ ของคนท่ีแตกตา่ งกนั มีความแตกต่างกันมากขึ้น ผ้คู นจานวนมาก หลากหลายเชอื้ ชาติย้ายข้ามประเทศ ขา้ มภาษาและข้ามวัฒนธรรม มาอาศัยอยรู่ วมกันและทางาน ร่วมกัน กอ่ ให้เกิดเปน็ สงั คมพหุวฒั นธรรม โลกการทางาน ปรบั เปลย่ี นจากการทางานที่ใช้บคุ คลที่มี องค์ความร้เู ดยี วกนั ทักษะเดียวกันและทางานในสายงานเดียวกนั จาเปน็ ต้องปรบั ตัวให้ทนั ตอ่ การเปล่ียนแปลง โดยต้องจดั การศึกษาใหท้ ันกบั สถานการณโ์ ลก ท่เี ต็มไปด้วยความรแู้ ละข้อมูลที่ เพิ่มข้นึ รวมท้ังต้องวางแผนการผลิตและพฒั นากาลงั คนของประเทศใหก้ ้าวทันต่อกระแสอาชีพใน ปจั จบุ ัน และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทจี่ ะเกดิ ข้นึ ในอนาคต (สานักงานบรหิ ารงานการมัธยมศึกษา ตอนปลาย สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน, ๒๕๕๙, คานา) แมก้ ระทงั่ การศึกษาในยุคปจั จบุ นั กไ็ ดม้ ีการเปลย่ี นแปลงไปตามยคุ ตามสมยั อยู่ตลอดเวลา ตามวิถที างสงั คมมนุษย์และความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยที ่ีไร้ขดี จากัด การศกึ ษาไทย แม้ว่าจะมี การเปล่ียนแปลงตามยุคตามสมัย และวิถีความเปล่ียนแปลงของสังคมโลก โดยเฉพาะประเทศทม่ี ี การพฒั นาแลว้ ก็ตาม หลักสตู รและวิธีการจัดการเรียนรใู้ หม่ ๆ ยงั ไม่สามารถบง่ ช้ีให้ครูผ้สู อนเหน็ วา่ ผู้เรียนเกดิ ความเปลย่ี นแปลงในการเรียนรูแ้ ละยกระดับผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนใหส้ งู ขนึ้ ท้ังหมด ทว่ั ประเทศได้ ซงึ่ ขณะเดียวกันครูผสู้ อนก็ได้พยายามอย่างเต็มทเี่ พ่ือหาวิธีท่จี ะทาใหผ้ ู้เรียนเกิด การเรียนรทู้ ีเ่ หมาะสม และนามาเพ่ือการยกระดับผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนให้สงู ขน้ึ (สานักงาน บริหารงานการมัธยมศกึ ษาตอนปลาย สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน, ๒๕๕๙, คานา) สาหรับการสอนภาษาไทยนัน้ ไมว่ ่าสงั คมโลกจะเปล่ยี นแปลงไปในทิศทางอยา่ งไรก็ตาม กระบวนการในการจดั การเรยี นร้ใู นรายวิชาภาษาไทยกย็ ังคงมุ่งเน้นให้ผเู้ รียน เกดิ ทกั ษะที่จาเปน็ ใน ดา้ นของการสื่อสาร การฟัง พูด อา่ น เขียน ให้มปี ระสทิ ธภิ าพ โดยทงั้ หมดจะตอ้ งใหผ้ ู้เรยี นสามารถ รปู แบบการเรยี นรูว้ รรณคดีไทย โดยประยกุ ต์ใชท้ ฤษฎกี ารสรา้ งความรดู้ ้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี สาหรบั นกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร”

๒ เข้าใจหลักภาษาและวรรณคดีไทยอย่างเหน็ คุณคา่ ในฐานะที่เปน็ มรดกทางวฒั นธรรม โดยครผู ้สู อน จาเปน็ ทีจ่ ะต้องหาเทคนิควธิ เี พ่ือจะใหน้ ักเรียนได้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจในเน้ือหาวชิ ามากยง่ิ ขึ้น ในการพัฒนาผู้เรยี นในศตวรรษที่ ๒๑ น้นั หมายความว่า เปน็ วิธีที่ครผู สู้ อนภาษาไทยจะตอ้ ง สามารถบูรณาการ จัดการเรยี นการสอน โดยมงุ่ เนน้ การเสริมสร้างความรู้ ความสามารถของผู้เรยี น และคุณลักษณะอนั พึงประสงคข์ องผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี ๒๑ ตามหลกั สตู รการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน ๒๕๕๑ ใหส้ อดคล้องกบั ปฏิญญาวา่ ด้วยการจดั การศกึ ษาของ UNESCO ประการแรก คือการเรยี น เพ่อื ใหม้ ีความรู้ในสิง่ ต่าง ๆ อันจะเป็นประโยชน์ตอ่ ไป เชน่ การรู้จักแสวงหาความรู้ การต่อยอด ความรูท้ ี่มีอยู่ การสร้างความร้ขู นึ้ ใหม่ (Learning to know) ประการทส่ี อง คือการเรยี นเพื่อปฏบิ ตั ิ ลงมอื ทา นาไปสู่การประกอบอาชีพจากความรูท้ ี่ได้มา และการสร้างประโยชน์แก่สงั คม (Learning to do) ประการที่สาม คือการเรยี นรเู้ พอ่ื การดาเนินชีวิตอยู่รว่ มกับคนอื่นได้อยา่ งมีความสุข เชน่ การเรียน ครอบครัว สังคมและการทางาน (Learning to live together ) ประการสดุ ท้าย คอื การเรยี นรูเ้ พื่อรจู้ ักตนเองอย่างถ่องแท้ ร้ถู ึงศักยภาพ ความถนัดและความสนใจของตนเอง และ สามารถวางแผนชีวิตใหแ้ ก่ตนเองได้ (Learning to be) (วุฒิพงษ์ คาเนตร, ออนไลน์) สาหรบั รปู แบบการเรียนรูว้ รรณคดีไทย โดยประยุกตใ์ ชท้ ฤษฎกี ารสรา้ งความรูด้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร” น้นั คือการจัดการเรียนการสอนเพื่อใหผ้ ู้เรียนมีศักยภาพบรู ณาการกบั คณุ ลักษณะของผูเ้ รยี นใน ศตวรรษที่ ๒๑ โดยจะตอ้ งเป็นบคุ คลที่มีคณุ ภาพ มที ักษะในการคน้ คว้า แสวงหาความรแู้ ละมีความรู้ พน้ื ฐานทจ่ี าเปน็ โดยครผู ู้สอนจะตอ้ งพยายามจดั การเรยี นรู้ให้ผเู้ รยี นสามารถเรยี นรูแ้ ละเขา้ ถึง องค์ความรดู้ ว้ ยตนเองได้ (Constructivism) ซง่ึ รปู แบบการเรียนรู้วรรณคดไี ทย โดยประยกุ ต์ใชท้ ฤษฎี การสร้างความรดู้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี สาหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรยี นแกลง “วิทยสถาวร” ยงั สามารถทจ่ี ะนามาใชใ้ นการบรู ณาการจดั การเรียนรูใ้ นรายวชิ า ภาษาไทยและสหวิชาได้ ซึ่งมีขน้ั ตอน ๕ ขนั้ สูว่ ธิ ีการและการจดั การเรียนรใู้ นบริบทและขน้ั ตอน ต่อไปนี้ ขนั้ ท่ี ๑ ฝกึ ฝนตงั้ คาถาม (Learning to Question) เป็นขั้นตอนที่ครูผู้สอน จะตอ้ งฝึกให้ผเู้ รียนได้รจู้ ักคิด สงั เกต ตัง้ คาถาม และเกดิ การเรียนรจู้ ากการตั้งคาถาม ขั้นท่ี ๒ แสวงหาความรู้ใหม่ (Learning to Search) ครูผู้สอนจะตอ้ งฝึกให้ ผเู้ รียนแสวงหาความรู้ สืบคน้ ขอ้ มลู จากแหล่งข้อมลู และสารสนเทศตา่ ง ๆ จากการฝกึ ปฏบิ ตั แิ ละ การทดลอง ตลอดจนการเก็บข้อมูล เป็นต้น รูปแบบการเรยี นรวู้ รรณคดีไทย โดยประยกุ ต์ใชท้ ฤษฎกี ารสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรยี นแกลง “วิทยสถาวร”

๓ ขน้ั ท่ี ๓ ก้าวไกลเกดิ ประสบการณ์ (Learning to Construct) เป็นสิ่งสาคัญ เช่นเดยี วกันทีค่ รูผสู้ อนจะตอ้ งฝึกใหผ้ ู้เรยี นนาความรู้จากการศกึ ษาค้นคว้า การทดลอง มาใชใ้ น การถกแถลง แสดงความคดิ เห็น อภปิ รายความรรู้ ่วมกัน เพ่อื นาไปสกู่ ารสรปุ และสร้างองคค์ วามรู้ ข้ันท่ี ๔ ส่อื สารนาเสนอความรู้ (Learning to Communication) เป็นการฝกึ ให้ผเู้ รยี นนาความรูท้ ี่ไดม้ าส่ือสารอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ เช่น การพูด การอา่ น การเขียน หน้าชนั้ เรียน ข้ันท่ี ๕ ควบคใู่ ห้บริการสงั คม (Learning to Serve) คือการที่ครผู ู้สอนจะตอ้ ง ฝึกใหผ้ เู้ รียนนาความรูม้ าสู่การปฏิบัติ สามารถเชอ่ื มโยงความรไู้ ปสกู่ ารทาประโยชน์ให้กบั สงั คม อันจะสง่ ผลตอ่ การมีจิตสาธารณะของผเู้ รียนและการบริการสงั คม จากแนวคดิ ข้างตน้ ผู้วิจยั เหน็ ว่ารูปแบบการเรียนรู้วรรณคดีไทย โดยประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎี การสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี สาหรบั นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร” จะสามารถนามาใชใ้ นการพัฒนาความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินคา่ ในการเรยี นรู้วรรณคดีไทยให้สงู ขึน้ และเป็นการส่งเสรมิ ความรขู้ องผเู้ รียน ใหม้ ีความคงทนและสามารถต่อยอดประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตประจาวันไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ทฤษฎแี ละแนวคิดพืน้ ฐานของรูปแบบการสอน รูปแบบการเรียนรวู้ รรณคดีไทย โดยประยุกตใ์ ชท้ ฤษฎีการสรา้ งความรูด้ ้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรบั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” โดยมีรายละเอยี ดของแนวคดิ พอสังเขป ดังน้ี ๑. แนวทางในการจดั การเรยี นการสอนวรรณคดีไทย การจัดการเรยี นการสอนวรรณคดไี ทยเปน็ การศึกษาเพอื่ ศิลปะ คอื มุ่งเน้นการค้นหา ความงาม ความไพเราะ หรือสุนทรียภาพจากการใชภ้ าษาและเนอ้ื หาว่ามคี วามประณตี และวิจติ ร อยา่ งไร และการเรียนการสอนวรรณคดไี ทยในระดับมัธยมศกึ ษา ครูจะต้องนาจติ วทิ ยามาใชใ้ น การเรยี นการสอนโดยเฉพาะหลักจติ วทิ ยาเดก็ วัยรุน่ แรงจูงใจ หลกั ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล นอกจากน้ี การเรยี นการสอนวรรณคดีไทยต้องเนน้ สภาพการณ์ท่ีนักเรยี นมสี ว่ นรว่ ม มีบทบาทใน การเรียน เป็นศนู ย์กลางการปฏบิ ัติกจิ กรรม และสามารถแสดงความคดิ เหน็ วิพากษ์วจิ ารณ์ได้ และ ควรเลอื กใช้วธิ ีการสอนที่หลากหลาย สิริพชั ร์ เจษฎาวโิ รจน์ (๒๕๕๒, หนา้ ๑๗๘-๑๘๔) กลา่ วถึง แนวทางการจัดการเรยี นการสอนวรรณคดีไทย สรปุ ได้ดังน้ี ๑. อ่านเข้าใจ การอ่านเข้าใจเปน็ ข้นั ตอนแรกในการสอนวรรณคดไี ทย ซ่งึ ครูจะต้อง เตรียมการสอนโดยการอา่ นวรรณคดเี รอ่ื งน้นั ๆ ใหเ้ ข้าใจทั้งการทาความเขา้ ใจเนื้อเร่ืองว่าเป็นเรอื่ ง รปู แบบการเรียนรวู้ รรณคดีไทย โดยประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎกี ารสร้างความรูด้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โรงเรยี นแกลง “วทิ ยสถาวร”

๔ อะไร กล่าวถงึ ใคร ทาอะไร ที่ไหน เม่อื ไหร่ ทาอยา่ งไร และผลของการกระทานั้นเปน็ อย่างไร ส่งิ ที่ สาคญั อีกประการหน่งึ คือ การทาความเข้าใจคาศพั ท์ หากครูไมเ่ ขา้ ใจคาศัพท์ไมค่ วรผ่านเลยไป อาจค้นดูความหมายจากพจนานุกรม หรอื ถามผรู้ ู้ แต่ไมค่ วรกงั วลกับคาศัพท์มากจนเกินไป ๒. ไดเ้ สยี งเสนาะ การสอนวรรณคดีไทยไมว่ า่ จะเป็นร้อยแก้วหรอื รอ้ ยกรองล้วนแต่ มีความไพเราะในรปู แบบแตกต่างกันออกไป ครูตอ้ งให้ความสาคญั ในการสอนใหน้ ักเรียนอยากอ่าน และเหน็ ความสาคัญของเสยี งเสนาะดังกลา่ ว ทั้งการอ่านออกเสียงร้อยแก้วท่คี รูต้องสอนให้นักเรยี น พยายามฝึกการใชน้ ้าเสยี ง ลลี า การเว้นจังหวะ การเนน้ เสยี ง การผ่อนเสยี ง การกระแทกกระทน้ั ฯลฯ ครูอาจยกตัวอย่างผู้ประกาศข่าว โฆษก พิธกี ร ผูด้ าเนนิ รายการวิทยหุ รอื โทรทัศน์ เพ่ือเป็นการกระตนุ้ ให้นกั เรียนสนใจทจี่ ะฝึกอ่านออกเสียงร้อยแก้ว การสอนอ่านร้อยกรองก็เช่นเดยี วกนั ครภู าษาไทยทด่ี ี ควรฝึกอ่านทานองเสนาะให้ได้ วธิ ที ่ีดีท่ีสดุ คอื การสาธิต เพราะจะทาใหน้ กั เรยี นจับจังหวะ ลีลา และ นา้ เสียงได้ ครทู ่ีไม่รู้สกึ สนุกกับการอ่านทานองเสนาะ โอกาสที่จะสอนหรือฝกึ ให้นักเรียนรักการอ่าน วรรณคดกี ย็ งิ่ ลดน้อยลงเช่นเดียวกัน ๓. เจาะแนวคิดสาคัญ การสอนวรรณคดีนนั้ สง่ิ ทีส่ าคญั ประการหน่งึ คือการสอนให้ นกั เรียนจับแนวคดิ สาคัญของเร่ือง (theme) ได้ แลว้ สามารถประมวลเรอื่ งท่ีอา่ นเพ่ือวิเคราะห์ใน ประเด็นต่าง ๆ ครูต้องคอยกระต้นุ ใหน้ กั เรยี นมวี ิธคี ดิ พจิ ารณาสาระสาคัญ ใหน้ กั เรียนค้นพบดว้ ย ตนเองไดโ้ ดยงา่ ยกจ็ ะทาให้นกั เรียนภาคภูมใิ จ ๔. หม่นั วิเคราะห์วนิ จิ ฉัย การสอนให้นกั เรียนรจู้ กั วเิ คราะห์ วินิจฉยั ประเดน็ ตา่ ง ๆ น้นั เป็นเรอื่ งสาคญั ในการเรียนการสอนวรรณคดีไทย ครูต้องสอนใหน้ ักเรยี นตีความได้ ตอ้ งพยายาม ค้นหาสาระหรอื ความรู้สกึ ที่แฝงเร้นในวรรณคดเี รื่องนน้ั ๆ ใหพ้ บโดยอาศยั ความรู้และประสบการณ์ ๕. ใสใ่ จวพิ ากษ์วิจารณ์ การสอนให้นักเรียนกลา้ แสดงความคิดเห็นต่อเร่ืองท่ีอ่านนั้น ถือวา่ มีความสาคัญอยา่ งหนึ่ง เพราะเมือ่ สามารถวิเคราะห์ วนิ จิ ฉยั รายละเอียดต่าง ๆ และสามารถ แสดงให้เหน็ ถงึ ความสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบตา่ ง ๆ อย่างมีเหตุผลการสอนในข้ันนีห้ ากมุ่งใหน้ ักเรยี น เขียนบทวจิ ารณ์จะเปน็ สิ่งทย่ี ากจนเกินไป แตค่ รูสามารถใช้วิธีการสนทนา ซกั ถาม หรือบทบาทสมมติ ๖. ประสานกิจกรรม ครคู วรรู้จักเลือกใชก้ จิ กรรมตา่ ง ๆ ประกอบการเรียนการสอน วรรณคดีและวรรณกรรม จะทาใหก้ ารเรียนการสอนสนกุ สนานและน่าสนใจยง่ิ ขึน้ เช่น กิจกรรม กลมุ่ สัมพนั ธ์ กิจกรรมบทบาทสมมติ กจิ กรรมการแสดงละคร กิจกรรมการขับรอ้ งฟ้อนรา กจิ กรรม วาดภาพ กจิ กรรมเขียนแผนที่ กจิ กรรมสถานการณจ์ าลอง กจิ กรรมคน้ ควา้ กิจกรรมนิทรรศการ และ กิจกรรมทายปญั หา เปน็ ต้น รปู แบบการเรยี นรู้วรรณคดีไทย โดยประยุกตใ์ ชท้ ฤษฎกี ารสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี สาหรบั นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร”

๕ ๗. สมั พนั ธเ์ นื้อหา การเรียนการสอนวรรณคดีไทยนัน้ ครูควรบูรณาการความรู้ให้ สมั พนั ธ์กับเนื้อหาในสาระอื่น ๆ ท้ังในกลุ่มสาระเดียวกันและตา่ งกลุ่มสาระฯ เพราะการเรียนรู้แบบ คขู่ นานกนั เชน่ นจ้ี ะทาให้นักเรียนเกดิ ความรูท้ ี่หลากหลาย เหน็ ความเชือ่ มโยงของสาระวิชา เกดิ ความร้สู ึกว่าเรยี นเพียงหนึ่งเร่ืองแตส่ ามารถไดร้ บั ความรู้หลากหลายเร่อื ง ๒. แนวทฤษฎกี ารสรา้ งความร้ดู ว้ ยตนเอง สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน (ออนไลน์) กลา่ วถึงการนาแนวคิดผู้เรียนสร้าง ความรู้เองไปใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน สรุปได้ว่า ในการสอนตามทฤษฎกี ารสรา้ งองค์ความรดู้ ว้ ย ตนเองนัน้ ครูมีบทบาทสาคัญในการท่ีจะควบคุมกระบวนการให้นักเรยี นสามารถสรา้ งองค์ความรู้ได้ ครูจึงควรมคี วามรู้ในทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ และเข้าใจสาระสาคัญของบทเรยี นเป็นอยา่ งดี ปรบั บทบาททัศนคติของตนเองและของนกั เรียนให้สอดคล้องกับทฤษฎีการสร้างองค์ความร้ดู ว้ ย ตนเอง บทบาทของครูในการจดั การเรียนร้ตู ามทฤษฎีการสรา้ งองค์ความรู้ด้วยตนเองนนั้ มดี ังนี้ ๑. ครูเป็นผ้จู ัดทาใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ กาหนดบริบทของการเรียนรู้ให้นกั เรียนได้ใช้ความคิดให้ ซับซอ้ นยิ่งขน้ึ กาหนดใหน้ ักเรียนเหน็ ปญั หาทม่ี ีขอบเขตกวา้ งขวาง กระตุน้ ให้นกั เรียนเห็นว่าปัญหานน้ั เป็นปญั หาของเขา ๒. ครูต้องจัดบรรยากาศการเรียนร้ใู หเ้ หมาะสมโดยควบคมุ กระบวนการการเรียนรใู้ ห้บรรลุ เปา้ หมายตามท่กี าหนดไว้ ๓. ครเู ป็นผู้ช้แี นะไม่ใชช่ ้ีนา แสดงความคดิ เห็นและให้ข้อมลู ทีเ่ ป็นประโยชน์แก่นักเรยี น ตามโอกาสทเี่ หมาะสม อีกทั้งตอ้ งคอยสังเกตพฤติกรรมการเรียนรขู้ องนักเรียนและบรรยากาศ การเรียนทีเ่ กิดข้ึนอยู่ตลอดเวลา ๔. ครูต้องเปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนรู้จกั สงั เกต มีสว่ นรว่ มในกิจกรรมการเรยี นโดยทว่ั ถึงกัน ตลอดจนรบั ฟงั และสนบั สนุนส่งเสริมให้กาลังใจแกน่ กั เรยี นยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ของนักเรียนยอมรับ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล ๕. ครูควรมปี ฏิสัมพันธ์ทดี่ กี ับนกั เรียน ทาให้บรรยากาศในการเรยี นการสอนเกดิ ความเปน็ กันเองและมีความเปน็ มิตรท่ดี ีต่อกนั คอยช่วยแกป้ ัญหาใหใ้ หเ้ รยี น ครจู ึงควรมคี วามเป็นมติ ร ๖. ครูควรชว่ ยเชอ่ื มโยงความคิดเห็นของนักเรยี นและสรุปผลการเรียนรตู้ ลอดจนสง่ เสริมและ นาทางให้นักเรียนได้รู้วิธวี เิ คราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อนักเรยี นจะได้นาไปใช้ให้เกดิ ประโยชนไ์ ด้ ๗. ในการจัดเวลาสอน ครคู วรจดั ให้ยืดหยุน่ เหมาะสมกับเวลาทใ่ี หน้ กั เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติ กิจกรรม ครูต้องพยายามเปดิ โอกาสให้นักเรียนไดล้ งมอื ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมภายในเวลาทเ่ี หมาะสมไม่ มากหรอื น้อยจนเกนิ ไป รูปแบบการเรยี นรู้วรรณคดีไทย โดยประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีการสรา้ งความร้ดู ้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โรงเรยี นแกลง “วทิ ยสถาวร”

๖ ดังนนั้ การเรยี นการสอนตามแนวคิดผ้เู รียนสรา้ งความรู้เองน้ันต้องใหน้ ักเรียนเปน็ ผู้ปฏบิ ัติ กิจกรรมเพือ่ สร้างความเข้าใจดว้ ยตนเองจนพบความรู้ โดยกจิ กรรมการเรยี นรู้น้นั ควรเช่อื มโยงกับ ประสบการณห์ รือพน้ื ความรเู้ ดิมของนักเรียน ควรเนน้ กิจกรรมกลมุ่ เลก็ เพื่อสร้างใหน้ กั เรียนสรา้ ง ความรูไ้ ดง้ ่ายขน้ึ ซึง่ ครคู วรจะกระตุน้ และยอมรับความคดิ รเิ ริ่มของนักเรยี น สอนใหน้ ักเรียนร้จู กั ใช้ ข้อมูลปฐมภมู ิพร้อม ๆ กบั การสอนท่ีเกิดจากการจดั กระทาปฏิสมั พนั ธท์ างกายภาพ สง่ เสริมและ พฒั นากระบวนการคิดวเิ คราะห์ และคิดเชิงสรา้ งสรรค์ จะเปน็ การเอ้ือใหม้ ีการตอบสนองของนักเรียน ท้ังน้ีครตู ้องทาความเข้าใจในมโนทศั น์หรอื ความคิดรวบยอดในความร้เู ดิมของนักเรยี น เพอ่ื ทจ่ี ะต้อง กระตุ้นให้นักผูเ้ รียนมีสว่ นรว่ มในการแลกเปลีย่ นทั้งกับครู และเพ่ือนร่วมชัน้ ได้อย่างดี รวมไปถึง การกระต้นุ ให้นักเรียนตั้งคาถาม รวมกับคาถามระดบั สูงของครทู ่ีกระตุน้ ให้คิดวเิ คราะห์ ให้ไดเ้ รียนรู้ จากประสบการณ์จรงิ และมเี วลาใหก้ บั นักเรียนเพอื่ ทจี่ ะคน้ พบความสัมพนั ธข์ องความร้เู ก่าและใหม่ ด้วยตนเอง ทัง้ นี้ความคิดของนักเรยี นจะมีคุณค่ายิ่งข้ึนเมื่อครยู อมรบั และเปิดโอกาสใหแ้ สดง ความคดิ เหน็ อยา่ งมเี หตุผล อันจะส่งต่อการเรียนรู้อย่างสรา้ งสรรค์ องคป์ ระกอบของรูปแบบการสอน รูปแบบการเรียนรู้วรรณคดีไทย โดยประยกุ ต์ใช้ทฤษฎีการสร้างความรูด้ ้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี สาหรับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร” สร้างขน้ึ โดยมอี งค์ประกอบหลายองค์ประกอบซงึ่ มีความสัมพันธ์ สอดคล้องและส่งเสริมซ่งึ กนั และกัน โดยได้ผา่ นข้ันตอนการสร้างอยา่ งเป็นระบบ โดยองค์ประกอบตา่ ง ๆ มีดังน้ี ๑. หลักการ ๒. จุดมงุ่ หมาย ๓. เน้ือหา ๔. กระบวนการจดั การเรียนการสอนตามรูปแบบการสอน ประกอบด้วยขน้ั ตอน ดังนี้ ข้ันที่ ๑ ฝกึ ฝนตงั้ คาถาม (Learning to Question) ขั้นที่ ๒ แสวงหาความรใู้ หม่ (Learning to Search) ขน้ั ท่ี ๓ ก้าวไกลเกดิ ประสบการณ์ (Learning to Construct) ขน้ั ที่ ๔ ส่อื สารนาเสนอความรู้ (Learning to Communication) ขั้นที่ ๕ ควบค่ใู หบ้ รกิ ารสงั คม (Learning to Serve) เน้ือหาวรรณคดีท่ใี ช้ในการเรียนรตู้ ามรูปแบบการเรยี นรู้วรรณคดไี ทย แบบเบญจวิถี น้ี เปน็ เนื้อหาตรงตามหลกั สูตรแกนกลางขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ในหนงั สือวรรณคดวี จิ กั ษ์ รปู แบบการเรยี นรู้วรรณคดีไทย โดยประยกุ ต์ใช้ทฤษฎีการสรา้ งความร้ดู ้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร”

๗ ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร (๒๕๕๗) โดยมกี ารเลือกวรรณคดีที่เรยี นในภาคเรียนที่ ๑ ตามโครงสรา้ ง หน่วยการเรยี นรู้ ดงั น้ี ๑. หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ ๑ ความรกั คือเหตแุ ห่งมรณา (ขุนช้างขุนแผน ตอนขนุ ชา้ ง ถวายฎกี า) ๘ ชว่ั โมง ๒. หน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๒ ทอ่ งธาราเห่เรือสอื่ สมั ผสั รกั (กาพย์เห่เรือ) ๗ ชว่ั โมง ๓. หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ ๓ ธรรมประจกั ษ์ไตรภูมิพระร่วง (ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ) ๘ ชว่ั โมง ทง้ั นี้ในแต่ละหนว่ ยการเรยี นรู้ไดม้ กี ารแบ่งรายละเอียดการเรยี นรู้ออกเปน็ ๗ ตอน ดงั นี้ ตอนที่ ๑ เรยี นรเู้ ชงิ ประวตั ิ ตอนที่ ๒ เครง่ ครัดฉันทลักษณ์ ตอนที่ ๓ ประจักษว์ รรณคดี ตอนที่ ๔ ถ้วนถี่คาศัพท์ ตอนท่ี ๕ จับประเด็นข้อคิด ตอนที่ ๖ พินิจสังคม ตอนท่ี ๗ ร่ืนรมย์วรรณศลิ ป์ ๕. การวัดและการประเมินผลตามรปู แบบ โดยองคป์ ระกอบต่าง ๆ มีความสมั พันธ์กัน ดงั แสดงในแผนภมู ติ อ่ ไปน้ี รปู แบบการเรยี นรู้วรรณคดีไทย โดยประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีการสร้างความรดู้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ โรงเรยี นแกลง “วทิ ยสถาวร”

๘ การสอนวรรณคดีไทยคือการสอนใหผ้ ้เู รยี นรู้จักคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ประเมนิ ค่าในวรรณคดเี รอ่ื งต่าง ๆ ได้โดยผสานไปกบั การเรยี นรู้ คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์ และคณุ ค่าดา้ นสงั คม ซ่งึ ต้องเรยี นรแู้ บบคน้ พบความรู้ดว้ ยตนเอง มีทัศนคตทิ ด่ี ใี นการเรียนรภู้ าษาไทย และสามารถต่อยอดความรไู้ ปส่สู าธารณชนได้ ทฤษฎีและแนวคดิ พื้นฐาน รูปแบบการจดั การเรียนรู้วรรณคดีไทย หลักการ แบบเบญจวิถี ๑. เปน็ รปู แบบการสอนทเ่ี น้น ทฤษฎกี ารสร้างความรดู้ ้วยตนเอง การปฏิบตั ิทสี่ ร้างความรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนการสอนตามแนวคดิ ผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนการสอน จนเกดิ เปน็ การเรยี นรอู้ ยา่ งมี สร้างความรเู้ องนน้ั ต้องให้นักเรยี นเป็น ขน้ั ท่ี ๑ ฝกึ ฝนตัง้ คาถาม ความหมาย ผ้ปู ฏบิ ตั กิ ิจกรรมเพอ่ื สรา้ งความเข้าใจ ขน้ั ที่ ๒ แสวงหาความร้ใู หม่ ๒. เป็นรูปแบบทสี่ ง่ เสรมิ การสร้าง ดว้ ยตนเองจนพบความรู้ โดยกิจกรรม ขั้นท่ี ๓ กา้ วไกลเกิดประสบการณ์ ความเข้าใจในการเรยี นรวู้ รรณคดีไทย การเรยี นรนู้ น้ั ควรเชอื่ มโยงกบั ขั้นที่ ๔ สือ่ สารนาเสนอความรู้ ดว้ ยกระบวนการเรยี นร้ทู ่ีตอบสนองตอ่ ประสบการณ์หรือพืน้ ความร้เู ดิมของ ข้ันท่ี ๕ ควบคใู่ หบ้ รกิ ารสงั คม คุณลักษณะที่พงึ ประสงคข์ องผเู้ รยี น นักเรยี น ควรเนน้ กิจกรรมกลมุ่ เล็ก ในศตวรรษท่ี ๒๑ เพอื่ สร้างให้นักเรยี นสร้างความรู้ได้ บทบาทผูส้ อน บทบาทผูเ้ รยี น ๓. เป็นรปู แบบที่ส่งเสรมิ การมสี ่วนรวม ง่ายขน้ึ ซึ่งครูควรจะกระตนุ้ และ ในกระบวนการเรยี นรู้ ยอมรับความคดิ รเิ รม่ิ ของนักเรียน ๑. จดั ส่งิ แวดล้อมทเ่ี ออ้ื ๑. แลกเปลย่ี นเรียนรู้ ๔. การนาเสนอผลงานตอ่ สาธารณชน สอนให้นักเรียนรจู้ กั ใช้ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ ต่อการเรยี นรู้ แสดงความคดิ เหน็ รวมไปถงึ การมคี วามสามารถในการนา พร้อม ๆ กบั การสอนทเี่ กดิ จากการจัด ๒. สร้างแรงจงู ใจ ๒. เรียนรูแ้ ละทา ความรทู้ ่มี ีไปให้บริการแก่สังคมได้ กระทาปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพ ๓. กระตุ้นให้ทบทวน ความเขา้ ใจกบั ความรูใ้ หม่ สง่ เสริมและพัฒนากระบวนการคดิ ความรเู้ ดิม ๓. กระตือรอื รน้ ในการร่วม จดุ มงุ่ หมาย วเิ คราะห์ และคดิ เชิงสรา้ งสรรค์ ๔. ส่งเสริมให้นักเรยี น กจิ กรรม ๑. เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ จะเปน็ การเอือ้ ให้มกี ารตอบสนองของ เกิดค้นพบความรู้ใหม่ ๔. มปี ฏสิ ัมพนั ธ์ร่วมกนั ใน ทางการเรียนวรรณคดไี ทย นกั เรียน ทั้งน้ีครูตอ้ งทาความเข้าใจ ๕. เนน้ กระบวนการสรา้ ง ชนั้ เรยี น ๒. เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการม-ี ในมโนทัศน์หรือความคดิ รวบยอด ปฏสิ ัมพนั ธ์เพอ่ื พฒั นา ๕. กล้าคิด กล้าแสดงออก ปฏิสมั พนั ธร์ ่วมกันของนกั เรียน ในความรู้เดมิ ของนกั เรยี น เพอ่ื ท่จี ะ ความรูร้ ่วมกนั ในการนาเสนอองค์ความรู้- ๓. เพอ่ื พัฒนาเจตคตทิ ีด่ ตี อ่ ตอ้ งกระตุ้นใหน้ ักผูเ้ รียนมสี ว่ นรว่ ม ๖. ฝกึ ฝนการให้นกั เรยี น ใหม่ การเรยี นรูว้ รรณคดีไทยและภาษาไทย ในการแลกเปลีย่ นทง้ั กบั ครู และ นาความรูไ้ ปประยุกตใ์ ช้ ๖. ประเมนิ ผลงานของ เพอ่ื นรว่ มชนั้ ไดอ้ ยา่ งดี รวมไปถงึ ๗. ประเมินผลการเรียนรู้ ตนเองและเพอื่ นรว่ มช้ัน เน้อื หา การกระตุ้นใหน้ ักเรียนต้งั คาถาม รวม กับคาถามระดบั สูงของครทู กี่ ระตุน้ วรรณคดไี ทย ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ ใหค้ ดิ วเิ คราะห์ ใหไ้ ดเ้ รียนรู้จาก ตามหลักสตู รของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ประสบการณจ์ รงิ และมเี วลาใหก้ บั นกั เรียนเพื่อที่จะคน้ พบความสมั พนั ธ์ การวัดและการประเมินผล ของความรูเ้ กา่ และใหม่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวรรณคดีไทย รูปแบบการเรียนรูว้ รรณคดีไทย โดยประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรบั นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรยี นแกลง “วทิ ยสถาวร”

๙ สาหรบั รายละเอียดในแต่ละองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนรมู้ ดี งั น้ี ๑. หลกั การ รปู แบบการเรยี นรวู้ รรณคดีไทย โดยประยกุ ต์ใช้ทฤษฎีการสร้างความรดู้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร” เปน็ รปู แบบการเรียนรทู้ ผ่ี วู้ จิ ยั พัฒนาข้ึนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรดู้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) การรยี นรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ และการจดั การเรียนรู้วรรณคดีไทยเป็นทฤษฎแี ละแนวคิดพน้ื ฐาน ซ่ึงมหี ลกั การต่อไปน้ี ๑.๑ รูปแบบการเรียนรูน้ ี้เปน็ การสอนทเ่ี น้นผเู้ รยี นค้นพบข้อมลู และความรู้ ด้วยตนเอง ผา่ นการจัดกิจกรรมการเรียนรขู้ องผูส้ อน โดยอาศัยพนื้ ฐานความรูเ้ ดิมนามาต่อยอดกบั ความรูท้ ีเ่ กิดจากการเรียนร้ใู หม่ ๑.๒ รปู แบบการเรียนร้นู เ้ี นน้ การเรียนรู้ท่ผี ้เู รยี นเปน็ ศูนย์กลาง โดยคานงึ ถงึ ความแตกต่างของผ้เู รียนเปน็ สาคญั การมปี ฏิสัมพนั ธ์กบั เพื่อนรว่ มช้นั ในการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ และ สรปุ ความคดิ เปน็ ความคิดรวบยอดท่ีคงทน ๑.๓ รูปแบบการเรียนร้นู เ้ี ป็นการสอนใหผ้ ู้เรียนรู้จกั นาความรทู้ ี่เกดิ จากการเรยี นรู้ ด้วยตนเองไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจาวัน และการนาความรนู้ ้ันไปเผยแพรแ่ กส่ าธารณชนทางใด ทางหนง่ึ ท่ีเกดิ ประโยชนส์ งู สุด ๒. จดุ มงุ่ หมาย รูปแบบการเรียนรู้น้ี มจี ดุ มุ่งหมาย ๓ ประการ คือ ๒.๑ เพือ่ พัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวรรณคดีไทย ๒.๒ เพ่ือพัฒนาทักษะการมปี ฏิสมั พนั ธร์ ว่ มกนั ของนักเรียน ๒.๓ เพ่ือพฒั นาเจตคติท่ีดีต่อการเรียนรู้วรรณคดีไทยและภาษาไทย ๓. เนือ้ หา เน้ือหาท่ใี ชใ้ นการจดั การเรียนรู้วรรณคดีไทย แบบเบญจวถิ ี นามาจากเน้ือหาตาม หนงั สือเรียนวรรณคดีวจิ ักษ์ของกระทรวงศึกษาธิการ ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ (๒๕๕๗) โดยแบง่ ออกเปน็ ๓ เร่ือง ๓ หน่วยการเรยี นรู้ ตามโครงสรา้ งทีก่ าหนดไว้ในภาคเรยี นท่ี ๑ ดงั น้ี รูปแบบการเรยี นรู้วรรณคดีไทย โดยประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีการสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี สาหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร”

หน่วยการเรยี นรู้ที่ ชื่อหน่วย ชือ่ วรรณคดี ๑๐ ขุนชา้ งขนุ แผน ๑ ความรกั คือเหตแุ ห่งมรณา ตอนขนุ ช้างถวายฎกี า เวลาทใี่ ช้ กาพย์เห่เรือ ๘ ชั่วโมง ๒ ท่องธาราเหเ่ รือสอื่ สัมผสั รัก ไตรภมู ิพระร่วง ๗ ชั่วโมง ตอนมนุสสภูมิ ๘ ช่ัวโมง ๓ ธรรมประจักษ์ในไตรภมู ิ ๒๓ ช่วั โมง รวม ๔. กระบวนการจัดการเรียนการสอนตามรปู แบบการเรียนรู้ ประกอบด้วยขนั้ ตอน ดงั นี้ ขั้นท่ี ๑ ฝกึ ฝนตั้งคาถาม (Learning to Question) ฝกึ ฝนต้ังคาถาม หมายถึง การจัดกิจกรรมใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรู้ด้วยการศึกษาเน้ือความ จากวรรณคดีในแตล่ ะตอน จากหนังสือเรียนวรรณคดีวจิ กั ษ์ โดยให้เวลาผู้เรียนไดอ้ ่านทาความเขา้ ใจ เร่อื งราวน้นั ดว้ ยตนเอง แล้วให้ต้ังคาถามจากส่งิ ทอ่ี ่านน้นั ซึ่งเปน็ การกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นเกิดการคดิ เกิดข้อสงสัยจะสามารถทาใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรียนรทู้ ่ดี ีและหาคาตอบด้วยตนเองได้ ดังนั้นเพื่อใหเ้ กิด ความต่นื เต้นสนกุ และนา่ สนใจในการเรียนร้วู รรณคดีของผูเ้ รยี น ครอู าจคอยกระตุน้ ให้นักเรยี น ตัง้ คาถามตามที่ผู้เรียนสนใจอยากจะรู้ หรือเชญิ ชวนให้ตัง้ ประเดน็ ข้อสงสัยในเน้ือหาวรรณคดีเร่ือง ท่จี ะเรยี น ยกตัวอยา่ งคาถามเก่ยี วกับวรรณคดีเรื่องขนุ ช้างขุนแผน ตอนขุนชา้ งถวายฎีกาว่า ทาไม ขนุ ชา้ งจงึ ต้องถวายฎีกาแกพ่ ระพนั วษา เมือ่ ผ้เู รียนตง้ั คาถามแลว้ ครูและผู้เรยี นพจิ ารณาคาถาม ร่วมกนั แล้วชว่ ยกนั เลอื กคาถามเพ่ือนาไปสบื คน้ เรียนรู้และหาคาตอบ เปน็ ต้น ขน้ั ที่ ๒ แสวงหาความรใู้ หม่ (Learning to Search) แสวงหาความรูใ้ หม่ หมายถึง หลงั จากผ้เู รียนไดต้ ั้งคาถามจากเร่ืองทเี่ รยี นแล้ว ครูทาหน้าทแ่ี นะนาแหลง่ เรยี นรู้ให้ผู้เรียนได้ไปศกึ ษาหาความรู้ ไมว่ า่ จะเปน็ สืบคน้ ทางอินเทอรเ์ นต็ การเรยี นรูใ้ นห้องสมุดของโรงเรยี น หรือหอ้ งสมุดของชมุ ชน อาจเป็นการเก็บข้อมลู หรือสัมภาษณ์ ความรูจ้ ากผหู้ ลักผูใ้ หญ่ โดยมีครเู ปน็ ทป่ี รึกษาในการออกแบบวิธีการเกบ็ ข้อมูล แบบสัมภาษณ์ เพ่ือ ใหไ้ ดข้ ้อมูลทเ่ี หมาะสม สาหรบั การสบื ค้นข้อมูลทางอินเทอรเ์ นต็ หรือเอกสาร ตาราต่าง ๆ นั้น ครคู วร แนะนาวธิ ีการบนั ทึกความรตู้ ่าง ๆ ให้ตอบสนองต่อเน้อื หา ความรู้ หรือคาถามที่ได้เรียนรู้ไวก้ อ่ นหนา้ น้ี รปู แบบการเรยี นรูว้ รรณคดีไทย โดยประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎกี ารสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวิถี สาหรับนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร”

๑๑ ขนั้ ท่ี ๓ กา้ วไกลเกิดประสบการณ์ (Learning to Construct) ก้าวไกลเกิดประสบการณ์ หมายถงึ ขน้ั ตอนท่ผี ู้เรียนได้สะท้อนความรู้ของตน หลังจากการศึกษาคน้ ควา้ ข้อมลู ต่าง ๆ มาแล้ว เปน็ ขั้นตอนทผี่ ูเ้ รียนจะได้อภปิ รายกล่มุ กบั เพ่ือนรว่ ม ชนั้ เพอ่ื สร้างปฏิสัมพันธใ์ นการสงิ่ ท่ไี ดไ้ ปเรียนรมู้ า ซึ่งคาตอบทไ่ี ดม้ าอาจมคี วามแตกตา่ งกัน ครคู วร เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้แสดงความคดิ เหน็ วิพากษ์วิจารณ์ความรรู้ ่วมกนั ในมุมมองที่แตกต่างเพื่อหา ขอ้ สรุปขององค์ความรทู้ ่ีได้มา ขนั้ ที่ ๔ ส่อื สารนาเสนอความรู้ (Learning to Communication) ส่ือสารนาเสนอความรู้ หมายถงึ ขั้นตอนในการรวบรวมองคค์ วามรทู้ ้ังหมดที่ผเู้ รียน ได้รบั แล้วสรุปเป็นองค์ความรู้จากเร่ืองท่ีเรยี นทงั้ หมดในแตล่ ะตอน เช่น ตอนท่ี ๑ เรียนรู้เชิงประวัติ ผเู้ รยี นจะสามารถสรุปไดว้ า่ ผู้นิพนธ์กาพย์เหเ่ รือคือเจา้ ฟ้าธรรมาธเิ บศ หรือเจา้ ฟ้ากุ้ง ในสมยั - กรุงศรีอุยธยา เป็นต้น อีกท้ังในรายละเอยี ดย่อยผเู้ รยี นท่ีไดไ้ ปศกึ ษาคน้ คว้าเพ่มิ เติมในหัวข้อที่สามารถ เพมิ่ เติมได้ ก็นาเสนอความรูข้ องตนเพือ่ เพิม่ องค์ความรแู้ ก่เพอื่ นรว่ มชั้น จนได้ความคดิ รวบยอดใน แตล่ ะตอนท่ีมีความสมบูรณ์ ทงั้ น้คี รูเปน็ ผู้จดั กจิ กรรมกระตนุ้ ความคิด และนาเสนอ ให้แนวคดิ เก่ยี วกับประเด็นท่สี าคญั แตข่ าดไปใหค้ วรถ้วน ข้ันที่ ๕ ควบคู่ให้บรกิ ารสงั คม (Learning to Serve) ควบคใู่ หบ้ รกิ ารสงั คม หมายถึง ขน้ั ตอนท่ีเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้ วรรณคดีอย่างเหน็ คุณค่ามากย่ิงขึ้น โดยนามาสู่การบริการสังคม เช่น การนาความรู้เผยแพร่เสยี ง ตามสายในการประชาสัมพนั ธ์ของทางโรงเรยี น การจดั นิทรรศการ ป้ายนิเทศตา่ ง ๆ การจัดแสดง ละครจากวรรณคดี การนาความรูไ้ ปถ่ายทอดแกช่ มุ ชนด้วยการรว่ มกับครูในการให้ความรกู้ บั นกั ศึกษา ของการศึกษานอกโรงเรยี น (กศน.) และการเผยแพรค่ วามรู้ทางส่ืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ในช่องทางต่าง ๆ เช่น โพสต์ขอ้ มลู ลงในเฟซบุ๊ก กลมุ่ ทค่ี รสู รา้ งไว้คือ \"ภาษาไทยครสู ภุ ัทรพงศ์\" เพ่ือเผยแพร่ข้อมลู ดว้ ย การนาเสนอเปน็ ภาพนง่ิ วีดทิ ัศน์ประเภทต่าง ๆ ลงในเวบ็ ไซต์ยทู บู ตามแต่ความคิดสรา้ งสรรค์ของ ผเู้ รียน เป็นตน้ ๕. การวดั และการประเมินผลการเรยี นรูต้ ามรูปแบบการเรียนรู้ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรตู้ ามรปู แบบการเรียนรู้วรรณคดีไทยครอบคลมุ ทั้งการวัด ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นระหว่างเรียนในแตล่ ะหนว่ ยการเรียนรู้ท้งั ก่อนเรยี นและหลังเรียน และ การวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนก่อนและหลงั การเรียนรตู้ ามรปู แบบการเรียนรู้วรรณคดีไทยที่สร้างข้ึน ซ่ึงมรี ายละเอยี ดดงั นี้ รูปแบบการเรยี นรวู้ รรณคดีไทย โดยประยุกตใ์ ช้ทฤษฎกี ารสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรับนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โรงเรยี นแกลง “วทิ ยสถาวร”

๑๒ ก่อนการเรียนรมู้ ีการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเพื่อวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วรรณคดไี ทย และภายหลังการเรยี นร้ตู ามรปู แบบจัดให้มีการทดสอบอีกครง้ั หน่ึง โดยใช้ข้อสอบ ชดุ เดยี วกบั ที่ใช้ก่อนการเรยี นรู้ นาคะแนนจากผลการทดสอบทง้ั สองครัง้ มาเปรยี บเทียบ หากผูเ้ รยี น มีคะแนนหลงั การเรียนรสู้ ูงกวา่ ก่อนการเรยี นร้แู สดงว่าผูเ้ รียนมีพฒั นาการในการเรยี นรู้วรรณคดี เช่นเดยี วกันกบั การเรยี นรูร้ ะหวา่ งเรยี นในแตล่ ะหนว่ ย มกี ารทดสอบก่อนการเรียนรแู้ ละ หลงั การเรยี นรู้เช่นเดยี วกนั และมีการเปรียบเทยี บผลคะแนนเพือ่ ศกึ ษาพัฒนาการในการเรียนรู้ วรรณคดขี องผู้เรยี นในแต่ละหน่วยการเรยี นรู้ รูปแบบการเรยี นรวู้ รรณคดีไทย โดยประยุกต์ใชท้ ฤษฎกี ารสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) แบบเบญจวถิ ี สาหรับนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ โรงเรยี นแกลง “วิทยสถาวร”