Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการวิจัยแนวทางการอนุรักษ์วัฒนธรรมเปอรานากันเพื่อพัฒนาศักยภาพ

รายงานการวิจัยแนวทางการอนุรักษ์วัฒนธรรมเปอรานากันเพื่อพัฒนาศักยภาพ

Description: รายงานการวิจัยแนวทางการอนุรักษ์วัฒนธรรมเปอรานากันเพื่อพัฒนาศักยภาพ.

Search

Read the Text Version

รายงานการวจิ ยั แนวทางการอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมเปอรานากนั เพอ่ื พฒั นาศกั ยภาพ การทอ่ งเทยี่ วในพ้ืนทจี่ งั หวดั ตรงั และภเู กต็ Guidelines for conservations Peranakan culture to development of Potential attraction in Trang and Phuket Province. ฟา้ พไิ ล ทวสี นิ โสภา FapilaiThaweesinsopha กติ ตศิ กั ด์ิ ทวสี นิ โสภา KittisakThaweesinsopha วทิ ยายการโรงแรมและการทอ่ งเทยี่ ว มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั วทิ ยาเขตตรงั ไดร้ ับทนุ สนับสนนุ งานวจิ ยั จากวทิ ยาลยั การโรงแรมและการทอ่ งเทยี่ ว งบประมาณประจาปพี .ศ.2560

กิตตกิ รรมประกาศ งานวิจัยเรื่อง แนวทางการอนุรักษ์วัฒนธรรมเปอรานากันเพ่ือพัฒนาศักยภาพการท่องเท่ียวใน พ้ืนที่จังหวัดตรังและภูเก็ต คณะผู้ศึกษาวิจัยได้จัดทาผลงานนี้เพ่ือศึกษาลักษณะวัฒนธรรมต่างๆ ของ ชาวเปอรานากันในพนื้ ที่จังหวดั ตรงั และภเู ก็ต คณะผู้ศึกษาวิจัยขอขอบพระคุณ เจ้าหน้าที่ประจาพิพิธภัณฑ์เปอรานากัน คุณปิยะนันท์ หนู แดง คุณชไมพร ทิมผุด และคุณโสภิดา วสันต์ท่ีช่วยสละเวลาให้คาแนะนาเกี่ยวกับลกั ษณะการแต่งกาย ของชาวเปอรานากนั สุดท้ายน้ขี อขอบพระคุณวทิ ยาลัยการโรงแรมและการท่องเที่ยว ทไ่ี ด้สนบั สนุนทุนในการทาวิจัย จนโครงงานวจิ ยั เล่มน้ีเสรจ็ สมบรูณ์ คณะผู้วจิ ัยจงึ ขอกราบขอบพระคุณเปน็ อย่างสูง นางฟ้าพไิ ล ทวสี นิ โสภา นายกติ ตศิ ักดิ์ ทวีสินโสภา 17 สงิ หาคม 2561

บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์ (1) เพ่ือศึกษา ลักษณะของวัฒนธรรมเปอรานากันในประเด็นด้านการแต่งกาย การกิน และประเพณีต่างๆ 2) เพื่อ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลของนักท่องเท่ียวชาวไทย ท่ีมาเที่ยวจังหวัดภูเก็ตกับการ จดจาภาพลักษณ์ของวัฒนธรรมเปอรานากัน โดยมีข้ันตอนในการทาวิจัยดังนี้กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ เป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเท่ียวในจังหวดั ภูเก็ต จานวน 400 คน ใช้วิธีการส่มุ แบบสะดวก และ กลุ่ม ตัวอย่างในเชิงคุณภาพคือ พนักงานประจาพิพิธภัณฑ์เปอรานากัน และลูกหลานท่ีสืบเชื้อสายเปอรานา กัน จานวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทาวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ คา่ เฉล่ยี และรอ้ ยละ ผลการวจิ ยั กลุม่ ตวั อย่างโดยสว่ นใหญเ่ ป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 60.5 มีอายุระหว่าง 21-30 ปี สถานภาพแต่งงานแล้ว มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี มีอาชีพทาธุรกิจส่วนตัว และมีรายได้ 10,001-20,000 บาท โดยศึกษาตามวัตถปุ ระสงค์ดังนี้ (1) การแต่งกายของชาวเปอรานากันเป็นการศึก ความรแู้ ละความเข้าใจเก่ียวกับลกั ษณะการแตง่ กายของชาวเปอรานากันในจงั หวัดภเู ก็ตซ่งึ ชาวเปอรานา กันส่วนใหญ่จะแต่งกายด้วยชุด บ้าบ๋า และย่าหย่า โดยมีเครื่องประดับที่แตกต่างกันออกไปได้แก่ ชุด บ้าบ๋าจะใส่เสื้อคอตั้งแขนจีบติดกระดุมทอง กลัดป่ินตั้ง และนุ่งผ้าปาเต๊ะ ชุดย่าหย่า ใส่ผ้าป่านหลายสี ปลายเสื้อด้านหน้าจะแหลมยาวด้านหลังส่ันกวา่ คลุมสะโพก ประดับด้วย กอรอสัง และนุ่งผ้าปาเต๊ะ ชุด เจา้ สาว ใส่เสอื้ บา้ บา๋ ดา้ นในคลมุ ด้วยครุยยาว ประดับดว้ ยมงกฎุ เจ้าสาว ต่างหูหางหงส์ สร้อยหลันเตป๋ ๋าย แหวนบาเย๊ะ กาไลข้อเท้า รองเท้าลูกปัด และนุ่งผ้าปาเต๊ะ ด้านการกินจะนิยมนาเอาวัตถุดิบในท้องถ่ิน มาผสมผสานกับอาหารด้ังเดิมของชาวจีน และด้านประเพณี นิยมจัดงานประเพณีที่ระลึกถึงบรรพบุรุษ เช่น งานกินเจ (2) กลุ่มตัวอย่างมีความเหน็ ชอบใหม้ ีการนาเอาวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวเปอรานา กันไปพัฒนาเป็นการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมเพ่ือสืบทอดและสงวนรักษาวัฒนธรรมการแต่งกายให้เป็น เอกลักษณ์ของคนในท้องถ่ิน (2) ด้านการจดจาภาพลักษณ์เป็นการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม นักท่องเท่ียวชาวไทย พบว่า อายุมีความสัมพันธ์กับภาพลักษณ์ของวัฒนธรรมเปอรานากัน โดย นักท่องเท่ียวที่มาเที่ยวจังหวัดตรังและภูเก็ต จะมีอายุระหว่าง 21-30 ปี กลุ่มนี้จะมีการจดจาวัฒนธรรม เปอรานากันประเภทการแตง่ กาย มากท่ีสดุ รองลงมาคือเทศกาลต่างๆ ด้านสถานภาพของนักท่องเท่ียว กลุ่มท่ีมีความสัมพันธ์กับภาพลักษณ์ของวัฒนธรรมเปอรานากัน คือนักท่องเที่ยวท่ีมาเท่ียวจังหวัดตรัง และภูเก็ต ท่ีมสี ถานภาพโสด มีการจดจาวฒั นธรรมเปอรานากันประเภทการแต่งกายมากทส่ี ุด คาสาคัญ: วัฒนธรรม เปอรานากัน ภาพลกั ษณ์

Abstract This research is a quantitative and qualitative research. The objective is (1) to study the culture of the Peranakan issues in a dress having meal tradition and 2) to study the relationship between the individual factors of tourists from Thailand. The visiting Trang and Phuket to remember the image of culture Peranakan. The sample quantitatively as tourists who come to Thailand in Phuket, Trang and 400 using a random sample of convenience and quality of the Peranakan Museum staff and grandchildren descended Peranakan 20 by sampling. The instrument used in the research consisted of analyzing data using mean and percentage. The results showed that the study objectives are: (1) the dress of the Peranakan popular dress Bgaba and divorced grandmother with different ornaments to include Bgaba set to wear the collar buttoned sleeves pleated gold clasp and pin to wear batik dress divorced grandmother wearing a multi-colored linen. The jacket is shorter than the front to the back cover hip-length cape adorned with a tuft wait for weeks and wear a batik shirt dress with ruffle long Bgaba the inside cover. The bride is adorned with a crown Haghgss necklace, earrings, ring, scramble for Alan Ter Eia basketball shoes beaded anklet and wear batik. Culture Peranakan were eating a popular local ingredients combined with traditional Chinese food. Part of the tradition Popular religious festivals commemorate ancestors, such as vegetarianism, the data showed that the samples are in favor of bringing the cultural dress of the Peranakan to develop the tourism, cultural heritage and preservation of culture. The dress code is unique to the local people, and (2) the recognition of image data from the questionnaires showed that Thailand's tourists. Every culture has a relationship with the image of Peranakan visitors who come to Phuket and Trang. Are aged between 21-30 years, this group is a recognition culture of the Peranakan costumes, followed by the most festivals. The status of a group that is associated with the image of culture Peranakan are the visitors to Trang and Phuket as a single Keywords: Culture Peranakan and Image

สารบญั เรือ่ ง หนา้ กติ ตกิ รรมประกาศ................................................................................................................................ ก บทคดั ย่อ .............................................................................................................................................. ข Abstract.............................................................................................................................................. ค สารบัญ .................................................................................................................................................. ง สารบัญตาราง....................................................................................................................................... ฉ สารบญั แผนภูมิ..................................................................................................................................... ช สารบญั ภาพ.......................................................................................................................................... ซ บทท่ี 1 บทนา....................................................................................................................................... 1 1.1 วัตถุประสงค์ของโครงการวิจยั ........................................................................................................ 3 1.2 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ ........................................................................................................................... 3 1.3 ทฤษฎี สมมตุ ฐิ าน และกรอบแนวความคิดของโครงการวิจัย .......................................................... 5 บทท่ี 2 วรรณกรรม งานวิจยั และทฤษฏี ............................................................................................... 7 2.1 ทฤษฎที ่ีใช้ในงานวิจัย..................................................................................................................... 7 2.1.1 การอนุรักษ์................................................................................................................................. 7 2.1.2 วัฒนธรรมเปอรานากนั ................................................................................................................ 7 2.1.3 ศกั ยภาพแหล่งท่องเทีย่ ว (Potential attraction) ...................................................................... 8 2.1.4 การพัฒนา (Develop)................................................................................................................ 9 2.2 เอกสารงานวิจัยดา้ นศักยภาพการท่องเทีย่ ว ................................................................................... 9 2.3 เอกสารงานวจิ ยั ด้านวฒั นธรรมเปอรานากัน................................................................................. 11 2.4 ประวตั คิ วามเปน็ มาของชาวเปอรานากนั ...................................................................................... 13 บทที่ 3 วธิ วี ิจัย.................................................................................................................................... 19 3.1 สถานทีท่ าการเก็บข้อมลู ............................................................................................................. 19 3.2 วิธดี าเนนิ การวิจัย........................................................................................................................ 19 3.3 ระยะเวลาทาการวจิ ัย และแผนการดาเนินงานตลอดโครงการวิจยั .............................................. 21 3.4 แผนการถา่ ยทอดเทคโนโลยหี รอื ผลการวิจัยสู่กลุ่มเป้าหมาย ........................................................ 22 3.5 ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รับ........................................................................................................... 22 3.5.1 ในเชิงนโยบาย........................................................................................................................... 22 3.5.2 ในระดับการดาเนนิ งาน/ปฏิบตั กิ าร.......................................................................................... 23 บทที่ 4 ผลการวิจยั ............................................................................................................................. 24 4.1 ผลการวจิ ยั จากแบบสอบถาม....................................................................................................... 24 4.2 ผลการวจิ ัยตามวตั ถุประสงค์ ........................................................................................................ 39

จ สารบญั (ตอ่ ) เร่อื ง หนา้ บทท่ี 5 อภปิ รายผลการวิจยั ............................................................................................................... 44 5.1 อภิปรายผลการวิจยั ..................................................................................................................... 44 5.2 สรปุ ผล......................................................................................................................................... 48 5.3 ขอ้ เสนอแนะ ................................................................................................................................ 50 บรรณานกุ รม...................................................................................................................................... 52 ภาคผนวก ก ....................................................................................................................................... 55 แบบสอบถาม...................................................................................................................................... 55 เรือ่ ง ศึกษาลักษณะการแตง่ กายของชาวเปอรานากนั เพื่อส่งเสรมิ การท่องเทีย่ วเชิงวัฒนธรรมของจังหวดั ภเู ก็ต .................................................................................................................................................. 55 ภาคผนวก ข ....................................................................................................................................... 58

สารบญั ตาราง สารบัญ หนา้ ตารางท่ี 3.1 แสดงจานวนประชาชนในพื้นทจี่ งั หวัดตรังและภเู กต็ ...................................................... 20 ตารางท่ี 3.2 การบรหิ ารและแผนการดาเนินการ ................................................................................ 21 ตารางท่ี 4.1 แสดงเพศของกลุ่มผูต้ อบแบบสอบถาม 24 ตารางท่ี 4.2 แสดงอายุของกล่มุ ผ้ตู อบแบบสอบถาม........................................................................... 25 ตารางที่ 4.3 แสดงสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม........................................................................ 26 ตารางที่ 4.4 แสดงระดบั การศกึ ษาของกลุม่ ผูต้ อบแบบสอบถาม......................................................... 27 ตารางที่ 4.5 แสดงอาชพี ของกลุม่ ผู้ตอบแบบสอบถาม........................................................................ 28 ตารางท่ี 4.6 แสดงรายได้ของผ้ตู อบแบบสอบถาม .............................................................................. 29 ตารางที่ 4.7 รวู้ ่าบ้าบ๋าคือลกั ษณะการแต่งกายของชาวภูเก็ตหรือไม่................................................... 30 ตารางที่ 4.8 แสดงทา่ นรวู้ า่ ย่าหยา่ เปน็ ชุดของผูห้ ญิงในจงั หวัดภูเกต็ หรอื ไม่ ........................................ 31 ตารางท่ี 4.9 การแตง่ กายของชาวบ้าบา๋ และยา่ หยา่ จะต้องใส่เครอ่ื งประดบั ให้ถกู ต้องตามกาลเทศะ.. 32 ตารางท่ี 4.10 เครือ่ งประดับแต่ละชนิ้ จะมีความหมายตามลักษณะกิจกรรมที่ใส่รวมกบั ชุด เช่น ดอกไม้ ไหว กระดมุ เหล่านี้เป็นตน้ ................................................................................................................. 33 ตารางที่ 4.11 รวู้ ่าชดุ บา้ บ๋า ยา่ หยา่ เป็นชดุ ของชาวเปอรานากันหรอื ไม่ ............................................. 34 ตารางท่ี 4.12 ชดุ ของชาวเปอรานากนั สามารถสวมใสใ่ นพิธีการต่างๆ โดยการสวมใส่ในแตล่ ะพธิ ีการจะ มีการประดับเคร่ืองประดบั ไม่เหมือนกนั ............................................................................................. 35 ตารางที่ 4.13 แสดงการประเมนิ เกย่ี วกับลกั ษณะการแตง่ กายของชาวเปอรานากนั ได้ผลวจิ ัยดังนี้...... 36 ตารางท่ี 4.14 แสดงการประเมินเก่ียวกับการพัฒนาเปน็ แหล่งท่องเท่ียวของชาวเปอรานากนั ได้ผลวจิ ยั ดังน้ี .................................................................................................................................................... 38 ตารางท่ี 5. 1 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างปัจจยั ส่วนบคุ คลของนักทอ่ งเทย่ี ว ท่มี าเที่ยวจงั หวดั ตรังและภูเก็ต กับภาพลกั ษณข์ องวฒั นธรรมเปอรานากนั 47

สารบญั แผนภมู ิ สารบัญ หนา้ แผนภูมทิ ี่ 4. 1 แสดงเพศของผู้ตอบแบบสอบถาม .............................................................................. 24 แผนภมู ทิ ี่ 4.2 แสดงอายุของผูต้ อบแบบสอบถาม................................................................................ 25 แผนภมู ทิ ่ี 4.3 แสดงสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม...................................................................... 26 แผนภูมทิ ี่ 4.4 แสดงระดบั การศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถาม ............................................................. 27 แผนภมู ทิ ี่ 4.5 แสดงอาชีพของผตู้ อบแบบสอบถาม............................................................................. 28 แผนภมู ทิ ่ี 4.6 แสดงรายได้ของผู้ตอบแบบสอบถาม ............................................................................ 29 แผนภูมทิ ่ี 4.7 แสดงความรูด้ ้านลักษณะการแต่งกายของบา้ บา๋ ของชาวภูเก็ตหรือไม่........................... 30 แผนภมู ิท่ี 4.8แสดงความรูเ้ กี่ยวกบั ชุดยา่ หย่าเปน็ ชดุ ของผู้หญงิ ในจังหวดั ภเู ก็ต................................... 31 แผนภูมทิ ี่ 4.9 แสดงความรูเ้ กี่ยวกับการแต่งกายของชาวบา้ บ๋าและยา่ หยา่ จะตอ้ งใส่เครอื่ งประดบั ให้ ถูกต้องตามกาลเทศะ .......................................................................................................................... 32 แผนภมู ิที่ 4.10 แสดงความรู้เกย่ี วกับเคร่ืองประดับแต่ละชนิ้ จะมคี วามหมายตามลักษณะกิจกรรมทใ่ี ส่ รวมกบั ชุด เชน่ ดอกไม้ไหว กระดมุ เหล่าน้ีเป็นตน้ ............................................................................. 33 แผนภมู ทิ ่ี 4.11 แสดงความรูเ้ ก่ยี วกบั ชดุ บา้ บา๋ ยา่ หยา่ เป็นชุดของชาวเปอรานากนั ........................... 34 แผนภูมิที่ 4.12 แสดงความรู้เกยี่ วกับชุดของชาวเปอรานากันสามารถสวมใส่ในพิธีการต่างๆ โดยการ สวมใส่ในแตล่ ะพิธีการจะมีการประดบั เครื่องประดบั ไม่เหมือนกัน ...................................................... 35 แผนภูมทิ ่ี 4.13 แสดงการประเมนิ เก่ียวกบั ลกั ษณะการแต่งกายของชาวเปอรานากัน ......................... 37 แผนภูมทิ ี่ 4. 14 แสดงการประเมินเก่ยี วกับการพฒั นาเปน็ แหล่งทอ่ งเทยี่ วของชาวเปอรานากัน ......... 39

สารบญั ภาพ สารบญั หนา้ ภาพที่ 1.1 ประมาณการจานวนนกั ทอ่ งเทยี่ วใน พ.ศ.2563 .................................................................. 1 ภาพที่ 1.2 แสดงกรอบแนวความคิด..................................................................................................... 6 ภาพท่ี 2.1 แผนทก่ี ารเดนิ ทางไปยงั พิพิธภณั ฑเ์ ปอรานากนั จังหวัดภเู ก็ต 14 ภาพท่ี 2.2 ภายนอกพิพธิ ภัณฑ์เปอรานากนั ........................................................................................ 15 ภาพท่ี 2.3 ลักษณะชดุ แต่งกายของชาวเปอรานากัน........................................................................... 15 ภาพท่ี 2.4 มงกฎุ ประกอบพิธแี ต่งงานของชาวเปอรานากัน................................................................. 16 ภาพท่ี 2.5 ชดุ กอรอสงั เปอรานากนั .................................................................................................... 16 ภาพท่ี 2.6 ต่างหูหางหงส์ เปอรานากนั ............................................................................................... 17 ภาพที่ 2.7 เคร่ืองประดับปนิ่ ตง้ั เปอรานากัน...................................................................................... 17 ภาพที่ 2.8 รองเท้าลูกปดั ของชาวเปอรานากัน.................................................................................... 18

บทที่1 บทนา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเท่ียวที่สาคัญอยู่หลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านประวัติ ศาสตร์ ด้านธรรมชาติ ด้านวัฒนธรรม เป็นต้น ด้วยเหตุน้ีจึงทาให้มีนักท่องเท่ียวเข้ามาเท่ียวใน ประเทศไทยมากข้ึนทุกปี โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณชายฝ่ังอันดามัน ซ่ึงประกอบไปด้วย แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วที่สาคัญมากมาย ทง้ั ทางด้านประวตั ศิ าสตร์ วัฒธรรม ทางด้านสถานการณ์การท่องเที่ยว โดย องค์การการท่องเท่ียวโลก (World Tourism Organization : UNWTO) อ้างถึงใน World Tourism Organization : (UNWTO) ได้พยากรณ์ว่าเมื่อถึงปี พ.ศ. 2563 จะมีนักท่องเที่ยวระหว่าง ประเทศจานวน 1,600 ล้านคน ภูมิภาคท่ีมีแนวโน้มเป็นแหล่งท่องเท่ียวยอดนิยม คือ ภูมิภาคเอเชีย ตะวันออก และแปซิฟิค และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นจุดหมายการท่องเที่ยวแห่ง ใหม่ท่ีมีผู้นิยมเดินทางเข้ามาเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเนื่อง โดยมีนักท่องเท่ียวเป็น 1 ใน 3 ของนักท่องเท่ียว ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ดังภาพ ภาพที่ 1.1 ประมาณการจานวนนกั ทอ่ งเท่ยี วใน พ.ศ.2563 ที่มา : องค์การการท่องเทีย่ วโลก (UNWTO) จากแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2555-2559 ได้กล่าวถึงสถานการณ์การท่องเท่ียว ของไทยว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึงปีละ 9 ล้านคน รวมถึงรายได้การท่องเท่ียวมีแนวโน้มขยายตัวในอัตรา ร้อยละ 11.90 จึงทาให้ตลาดต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับการท่องเที่ยวต้องพัฒนาควบคู่กันไปพร้อมกับการ เพ่ิมข้ึนของนักท่องเที่ยวและจากการท่ีไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ได้ร่วมกันจัดทาแผนงานการพัฒนา เขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซยี -ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) ในการจัดทาแผนดังกล่าวนี้ไทยถูกจัดเป็น Lead Country ในด้านการท่องเที่ยว เป็นผลให้ ประเทศไทยจะต้องเตรียมความพร้อมทางดา้ นการท่องเที่ยวมากยงิ่ ขน้ึ นอกจากน้ีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดทายุทธศาสตร์การปฏิรูปการท่องเที่ยวไทย พ.ศ.2558-2560 เพื่อปรับยุทธศาสตร์ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง โดยเน้นส่ิงที่จาเป็นต้องดาเนินการ

2 เร่งด่วน การปรบั เปลยี่ นวธิ ีคิด การวางรากฐานจัดระบบวิธกี ารทางานใหม่ของผู้มีสว่ นไดส้ ว่ นเสียทุกกลุ่ม กาหนดเป้าหมายทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม รวมท้ังกาหนดทิศทางการตลาดนาการ พัฒนา การขับเคล่ือนสู่แหล่งท่องเท่ียวคุณภาพ (Quality Destination) ด้วยการบูรณาการอย่างเป็น ระบบ และการมีส่วนรว่ มอยา่ งแท้จรงิ ให้สามารถแปลงไปสกู่ ารปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งเปน็ รปู ธรรม และเชื่อมต่อ กับแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ.2560-2564) และยังมีการรณรงค์ให้คนไทยเที่ยว ไทย การท่องเที่ยววิถีไทย ซ่ึงคาดว่าเม่ือมีการเปิดประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทุกประเทศต่างก็ ส่งเสริมให้เกิดการท่องเท่ียวตามวิถีของประเทศตนเอง ซ่ึงประเทศไทยก็จะมีคู่แข่งด้านการท่องเที่ยว มากข้ึน ดังน้ันการมุ่งเน้นการท่องเท่ียวลงไปสู่ชุมชนจึงจาเป็นจะต้องศึกษาถึงความเข้มแข็งของมรดก ทางวัฒนธรรมของชุมชนในพ้ืนท่ีนั้นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขันด้านการท่องเท่ียวใน ประชาคมอาเซียน ด้วยประเดน็ ดงั กล่าวทาให้การท่องเทย่ี วเชิงวัฒนธรรมเปน็ ส่ิงทีจ่ ะต้องให้ความสาคัญเพราะการ ท่องเท่ียวในลักษณะน้ีถือเป็นจุดแข็งของการท่องเที่ยวท่ีสามารถถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์ของคน ไทยให้ต่างชาติได้เห็น และยังเป็นเสน่ห์ของการท่องเที่ยววิถีไทย ซ่ึงอาจกาหนดเป็นได้ท้ังเอกลักษณ์ ด้ังเดิมของคนไทยแท้และคนไทยลูกผสม งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษามรดกทางวัฒนธรรมท่ีเป็นกลุ่มคนไทย ลกู ผสมท่ีเรียกวา่ “วฒั นธรรมเปอรานากัน” เปอรานากนั (มลายู: Peranakan) หรอื บาบ๋า-ยา่ หยา (อังกฤษ: Baba-Nyonya, จีน: 峇峇 娘惹, พินอิน: Bābā Niángrě, ฮกเก้ยี น: Bā-bā Niû-liá) คือกลุม่ ลูกครึ่งมลายู-จีนท่มี วี ฒั นธรรม ผสมผสาน และสร้างวฒั นธรรมแบบใหม่ข้ึนมาโดยเปน็ การนาเอาสว่ นดีระหว่างจีน และมลายูมารวมกัน โดยชอื่ \"เปอรานากัน\" มคี วามหมายวา่ \"เกดิ ท่ีนี่\" พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 นิยาม \"บาบา๋ \" และ \"ย่าหยา\" ว่า \"เรยี กชายท่ีเปน็ ลูกครึ่งจนี กับมลายทู เ่ี กิดในมลายแู ละอนิ โดนเี ซยี ว่า บา้ บ๋า, คู่ กับ ย่าหยา ซง่ึ หมายถึงหญิงลูกครง่ึ จนี กับมลายูที่เกดิ ใน มลายูและอนิ โดนีเซยี .\" อย่างไรก็ตามชาวเปอรา นากันในประเทศไทย บริเวณจงั หวัดชายฝัง่ ทะเลอนั ดามันโดยเฉพาะภเู กต็ และตรังทงั้ เพศชายและหญิง จะถกู เรยี กรวม ๆ ว่า บ้าบ๋า หรอื บาบา ส่วน ย่าหยา เปน็ เพยี งชือ่ ของชุดสตรเี ทา่ นั้น(อ้างองิ จาก https://th.wikipedia.org/wiki/เปอรานากัน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2558) ตอ่ มาราวกลางพุทธศตวรรษที่ 24 (ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19) มชี าวจนี อพยพเขา้ ไปต้ังถ่ินฐาน เพิ่มมากขึ้น ทาใหส้ ายเลือดมลายขู องชาวเปอรานากันจางลง จนรนุ่ หลังแทบจะเปน็ จนี เตม็ ตัว แตก่ ็ไม่ได้ ทาใหว้ ัฒนธรรมผสมผสานของชาวเปอรานากนั จดื จางลงไป การผสมผสานยังเห็นไดจ้ ากการแต่งกาย แบบมลายเู ขา้ ดว้ ยกัน เช่น ซารุง กบายาและชดุ ยา่ หยา มีอาหารแบบเฉพาะตวั และภาษาทีผ่ สมผสานคา ทงั้ มลายู จีนและองั กฤษไว้ด้วยกนั (ปริวรรต และนสิ ิต. 2010. หน้า 63) จากการท่ีไดศ้ ึกษาพนื้ ที่การท่องเที่ยวในจงั หวัดตรงั และภูเก็ต พบว่าการท่องเท่ียวท่สี องพ้ืนท่ี นน้ั มงุ่ เน้นการท่องเทยี่ วเชิงธรรมชาติมากกว่าการท่องเท่ยี วทางวัฒนธรรม ทัง้ ทว่ี ฒั นธรรมของทั้งสอง จังหวัดนั้นมคี วามงดงามและมีการผสมผสานท้งั วฒั นธรรมของมสุ ลมิ และชาวจนี ได้อยา่ งลงตวั เพยี งแต่ ยังขาดการสนับสนนุ ท่ีดใี นการส่งเสรมิ การท่องเที่ยว และยังขาดการประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนไดร้ ู้จักอยา่ ง เพียงพอแมว้ า่ จะมีการประชาสมั พนั ธ์บา้ งแต่กไ็ มม่ ากมายนัก นกั ท่องเทย่ี วท่ีเดินทางมาท่องเท่ียวยงั สอง จังหวัดน้โี ดยส่วนใหญ่นยิ มมาเทีย่ วชายทะเล แต่ยังไม่ไดส้ ัมผสั กบั วิถชี วี ติ ของชุมชนในพน้ื ท่ีท้ังสอง

3 จงั หวัดมากมายนัก และหลายคนกย็ งั ไมร่ ูจ้ กั วัฒนธรรมเปอรานากนั ทงั้ ทว่ี ัฒนธรรมเปอรานากนั ปรากฏ ร่องรอยอยู่ในรปู แบบตา่ งๆ มากมายแต่นักท่องเทย่ี วก็ไม่ทราบว่านคี้ ือวฒั นธรรมเปอรานากัน นอกจากน้ี วัฒนธรรมเปอรานากันยังเป็นวัฒนธรรมท่ีปรากฏอยู่ในพื้นที่ของมาเลเซีย อินโดนีเซียและสิงคโปร์อย่างชัดเจน แต่ในประเทศไทยยังไม่เป็นท่ีนิยมมากมายนัก หากได้มีการทาวิจัย อย่างจริงจังและเผยแพร่ข้อมูลวัฒนธรรมเปอรานากันที่ปรากฏในรูปแบบต่างๆ เช่นการแต่งกาย อาหารการกิน ภาษา สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมต่างๆ ออกสู่สาธารณะ อาจทาให้จานวน นักท่องเที่ยวเข้ามาเท่ียวยังพ้ืนท่ีทั้งสองจังหวัดเพิ่มมากขึ้น และอาจจะมีวัตถุประสงค์เพ่ือมาเย่ียมชม วฒั นธรรมเปอรานากันโดยเฉพาะกเ็ ป็นได้ ท้งั น้ีการอนุรกั ษ์วฒั นธรรมเปอรานากันก็เปน็ ส่ิงจาเปน็ ในการ ช่วยส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการท่องเท่ียวของจังหวัดตรังและภูเก็ตได้เป็นอย่างดี และยังรักษา วัฒนธรรมเปอรานากนั ไว้ไดอ้ ยา่ งยงั่ ยืนอีกด้วย ด้วยเหตุนว้ี ฒั นธรรมเปอรานากนั ซึง่ ปรากฏใหเ้ หน็ ในพ้นื ที่จงั หวัดฝ่ังอันดามันโดยเฉพาะจังหวัด ภูเก็ตและจังหวัดตรัง จึงเป็นวัฒนธรรมที่ควรมีการอนุรักษ์ไว้ และส่งเสริมให้เป็นส่วนหนึ่งของการ ท่องเที่ยวตามวิถีไทยด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพ่ือเป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยให้มีความหลากหลาย ทางด้านวัฒนธรรมและเปน็ Lead Country ในด้านการทอ่ งเท่ียวไดอ้ ยา่ งมศี กั ยภาพในลาดับต่อไป 1.1 วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการวจิ ยั 1 เพอื่ ศึกษาเอกลักษณด์ ้านวัฒนธรรมเปอรานากันของพน้ื ทจ่ี งั หวัดตรงั และภเู ก็ต 2 เพอ่ื วิเคราะห์แนวทางทเี่ หมาะสมในการอนุรักษว์ ัฒนธรรมเปอรานากันของจังหวัดตรงั และ ภูเก็ต 3 เพ่ือพฒั นาศักยภาพการท่องเทย่ี วในจังหวดั ตรงั และภเู ก็ต 1.2 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ เปอรานากนั หมายถงึ กลุ่มลูกครึง่ มลายู-จนี ที่มวี ฒั นธรรมผสมผสาน และสรา้ งวัฒนธรรมแบบ ใหม่ขึ้นมาโดยเป็นการนาเอาส่วนดีระหว่างจีนกับมลายูมารวมกัน โดยช่ือ \"เปอรานากัน\" มีความหมาย ว่า \"เกิดที่น่ี\" (เข้าถึงได้จาก https://www.dek-d.com/board/view/1594798 เม่ือวันที่ 6 ธันวาคม 2560) การท่องเท่ียวเชงิ วฒั นธรรม หมายถึง การศึกษาหาความรู้ในพื้นท่ีหรือบริเวณที่มีคุณลกั ษณะท่ี สาคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีการบอกเล่าเร่ืองราวในการพัฒนาทางสังคมและมนุษย์ผ่าน ทางประวัติศาสตร์อันเป็นผลเก่ียวเน่ืองกับวัฒนธรรม องค์ความรู้ และการให้คุณค่าของสังคม โดย สถาปตั ยกรรมที่มีคณุ ค่าหรือสภาพแวดล้อมอย่างธรรมชาติ ทสี่ ามารถแสดงออกใหเ้ หน็ ถึงความสวยงาม และประโยชน์ที่ได้รับจากธรรมชาติ สามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของคนในแต่ละ ยุคสมัยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม หรือขนบธรรมเนียมประเพณี (ไกรฤกษ์ ปิน่ แกว้ .2556) วัฒนธรรมการแต่งกายของเปอรานากัน หมายถึง การแต่งกายของคนภูเก็ตจะเป็นการ ผสมผสานของหลายชนชาติออกมาอยา่ งสวยงาม ซึ่งปัจจุบันชาวภเู กต็ ยังคงรกั ษาวัฒนธรรมการแต่งกาย แบบจีนบาบ๋าไว้โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยชุดแต่งกายที่นาเสนอจะเป็น การแตง่ กายของคนภูเกต็ เม่ือสมัยรอ้ ยกว่าปมี าแลว้ ซ่ึงเป็นการผสมผสานของหลายชนชาตอิ อกมาอย่าง สวยงาม ชุดเส้ือคอต้ังแขนจีบ ชุดนี้ใช้ได้ต้ังแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ ใช้ในชีวิตประจาวันในโอกาสไป ตลาด ไปวัด ไปไหว้พระท่ีศาลเจ้า ผ้านุ่งเป็นผ้าปาเต๊ะ ตัวเส้ือความยาวระดับเอวชายเส้ือแต่งขอบด้วย

4 ลูกไม้ คอต้ังติดคอผ่าหน้าติดกระดุมทองหรือเข็มกลัดแถว แขนเสื้อยาวจีบปลายแขน มีกระเป๋าใบใหญ่ สองข้าง ชุดนายเหมืองและภรรยา ชุดนายเหมือง ประกอบด้วยกางเกงและเส้ือคอตั้ง แขนเสื้อยาว มี กระเป๋าคล้ายชุดราชประแตน สวมหมวกกะโล่ สาหรับผู้สูงวัยก็จะใช้ไม้เท้าด้วย ส่วนภรรยา หากออก งานพิธีการสาคัญ ๆ จะแต่งชุด เสื้อครุย ประกอบด้วยเส้ือตัวในเป็นเสื้อคอต้ังปลายแขนจีบเหมือนชุด เสื้อคอต้ังแขนจีบทั่วไป นุ่งผ้าปาเต๊ะ สวมทับด้วยเส้ือครุยยาวผ้าป่านรูเบียหรือผ้ามัสลินมีลวดลาย ติด เข็มกลัดช้ินใหญ่เป็นชุด เรียกว่า ชุดโกสัง ซ่ึงมี 3 ตัว ใส่กาไลข้อเท้า สวมรองเท้าปักดิ้นหรือลูกปัด ทรง ผม เกล้าผมทรงสูง ด้านหน้าเรียบตึง ด้านหลังโป่งออกเรียกว่า ชักอีโบย เกล้ามวยไว้บนศีรษะ ส่วน ด้านข้างสองข้างดึงให้โป่งออกเรียกว่า อีเปง มวยด้านบนดึงขึ้นเป็นรูปหอยโข่ง ใช้ดอกมะลิหรือดอกพุด ตูม ประดับรอบมวยผม แล้วปักปิ่นทอง ชุดเจ้าสาว มีลักษณะเครื่องแต่งกายและทรงผมแบบเดียวกับ ชุดคหปตานี ต่างกันที่เส้ือครุยเจ้าสาวส่วนใหญ่จะใช้ผ้าลูกไม้โปร่งหรือผ้าป่านแก้ว ส่วนผ้านุ่งจะใช้ ปาเตะ๊ สีสด รอบมวยผมเป็น ฮ่ัวก๋วน หรือ มงกุฎเจ้าสาวประดับดว้ ยดอกไม้ไหวซึ่งทาจากทองคา ปักปิ่น ทองคา เครอื่ งประดบั เป็นทองและเพชรอลังการ ใส่ต้มุ หรู ะยา้ สวมสรอ้ ยคอทอง เรียกวา่ หลนั่ เตป่ า๋ ย ที่ หนา้ อกเสอื้ จะประดบั ประดาด้วยป่ินตั้งทองคาเหมือนรูปดาวเต็มหน้าอก หอ้ ยสายสรอ้ ยทอง สวมแหวน กาไลมือ กาไลข้อเท้า สวมรองเท้าปักดิ้นเงินดิ้น ส่วนชุดเจ้าบ่าวจะหันมานิยมสวมสูทแบบตะวันตก แต่ ยังนาจ้ีสร้อยคอหรือป่ินตั้งมาตดิ ท่ีปกเสอื้ ชุดย่าหยา เป็นชุดลาลอง ตัวเสื้อตัดด้วยผา้ ลกู ไม้หรือผา้ ปา่ นรู เบีย แขนยาว เข้าเอวรัดรปู ปักลายฉลทุ ้ังทคี่ อเส้ือ ชายเสอื้ และปลายแขน ตัวเสอื้ ด้านหนา้ ปลายแหลม ยาว ความยาวตัวเสื้อจะอยู่ระดบั สะโพกบน ปกเส้ือด้านหน้าแบะออกสาหรับตดิ โกสงั หรือ กระดุมทอง ฝังเพชรท่ีร้อยเช่ือมด้วยสร้อยทอง ส่วนผ้านุ่งปัจจุบันนิยมใช้ผ้าปาเต๊ะปักเลื่อม เพ่ือสนับสนุนงานฝีมือ ของกลุ่มแม่บ้านในชุมชน (เข้าถึงได้จาก https://kaewtopten10.wordpress.comg เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560) ศักยภาพการท่องเที่ยวเชงิ วัฒนธรรม (Potential attraction)การท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย (2543: 2) ได้อธิบายวัฒนธรรมไว้ว่า เป็นผลรวมของการส่ังสม สิ่งสร้างสรรค์และภูมิธรรม ภูมิปัญญาที่ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาของสังคมน้ัน ๆ ถ้าจะขยายความก็อาจบอก ว่าวัฒนธรรมนั้น รวมไปถึงวิถีวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ทั้งหมดของสังคม ตั้งแต่ภายในจิตใจของคน มีค่านิยม คุณค่าทางจิตใจ คุณธรรม ลักษณะ นิสัย แนวคิดและสติปัญญา ออกมาจนถึงท่าทีและวิธีปฏิบัติ ของมนุษย์ ต่อร่างกายและจิตใจของตน ลักษณะและความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมนุษย์ ตลอดจนความรู้ ความเขา้ ใจ ท่าที การมองและการปฏิบัติของ มนุษย์ต่อธรรมชาติแวดล้อม ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายวัฒนธรรม เป็นการสั่งสม ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถภมู ิธรรม ภมู ิปญั ญาทั้งหมดท่ีได้ชว่ ยให้มนุษย์ในสังคมนั้น ๆ อย่รู อด และเจริญสบื ต่อมาได้ และเป็นอย่างท่ีเป็นในบัดนี้ ขอพูดให้ส้ันอีกครั้งหน่ึงว่า วัฒนธรรม ก็คือ ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ทส่ี งั คมนน้ั มีอยู่ หรอื เนอ้ื ตัวทง้ั หมดของสังคมนัน่ เอง บุญเลิศ จิตต้ังวัฒนา (2548) ได้กล่าวว่า การท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมเป็นรูปแบบหน่ึงของการ ท่องเที่ยวแบบย่ังยืนท่ีมุ่งเดินทางไปท่องเท่ียวยังแหล่งท่องเที่ยวท่ีมนุษย์สร้างขึ้น หรืออาจเป็นการ ท่องเท่ียวในพ้ืนที่แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติในเมือง หรือในหมู่บ้านชนบทก็ได้ เพ่ือให้ได้รับความ สนุก เพลิดเพลนิ ได้รบั ความร้จู ากการศึกษา จากความเช่ือ ความเข้าใจตอ่ สภาพสังคมและวฒั นธรรม มี ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพ่ิมข้ึน มีจิตสานึกต่อการรักษาสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรม โดยการท่องเท่ียว เชงิ วัฒนธรรมตอ้ งให้การศึกษาแก่นักท่องเที่ยว และกิจกรรมการทอ่ งเที่ยวท่ีเกื้อหนุนใหเ้ กิดการกระจาย

5 รายได้แก่ประชาชนในท้องถ่ินแต่ต้องไม่ทาใหเ้ กิดการซื้อขายวัฒนธรรมโดยคนในท้องถิ่นผลิตวัฒนธรรม ขายใหก้ บั นกั ท่องเท่ียว การจัดแบ่งมรดกทางวัฒนธรรม (Ratanakomut, 2006: 6 อ้างถึงใน Arjo Klamer และ PeterWim Zuidhof) โดยแบ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมทีจ่ ับตอ้ งได้ และเคลื่อนย้ายไม่ได้ ประกอบดว้ ย มรดกที่ สร้างขึ้น เช่น อนุสาวรีย์ อาคาร รูปปั้น สิ่งท่ีจารึกไว้ ถ้าที่อยู่อาศัย ศูนย์กลางของเมือง สถาน ทตี่ ้ัง เชน่ พ้นื ท่ีใตน้ า้ สถาปตั ยกรรม ท่ตี ั้งทางประวัติศาสตร์ ภูมทิ ัศนท์ างวฒั นธรรม มรดกทางวัฒนธรรม ท่ี เคล่ือนย้ายได้ ประกอบด้วย สิ่งประดิษฐ์ เช่น ภาพวาด การแกะสลัก วัตถุต่าง ๆ รวมถึงส่ิงต่างๆ ท่ี เก็บไว้ ส่ือรูปแบบต่าง ๆ ประกอบด้วย หนังสือ การแสดง โน้ตเพลง สินค้าบริโภคและสินค้า อุตสาหกรรมต่าง ๆ มรดกทางวัฒนธรรมท่ีจับต้องไม่ได้ การแสดงออกมาในรูปของศิลปะ เช่น ดนตรี การเต้นรา วรรณกรรม ละคร ศิลปะป้องกันตัว ภาษา วัฒนธรรมการเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม เร่อื งเล่า การ เปลยี่ นแปลง เครือขา่ ย และนทิ านพ้ืนบ้าน คุณคา่ ทางวัฒนธรรมประเมนิ ได้ใน รูปแบบของคุณค่าท่ีถูกใช้ และไม่ถูกใช้ มรดกทางวัฒนธรรมที่ ถูกใช้ถูกประเมินเม่ือถูกใช้ใน ชีวิตประจาวันโดยสมาชิกในสังคมวันต่อวัน เช่นเดียวกันกับทุกคน ขณะท่ี คุณค่าทางวัฒนธรรมที่ไม่ถูก ใช้ โดยแบ่งเป็น คุณค่าทางเลือก คุณค่าท่ีเกิดจากการเลือกท่ีจะใช้ และคุณค่า ท่ีเป็นอยู่ ซึ่งคุณค่าทาง วฒั นธรรมได้รบั การสบื ทอดไว้ เพ่อื เปน็ ของขวัญใหก้ ับผูค้ นในรุ่นต่อไป 1.3 ทฤษฎี สมมตุ ฐิ าน และกรอบแนวความคดิ ของโครงการวจิ ยั การศกึ ษาการวจิ ยั ในครัง้ นม้ี ุ่งเน้นศึกษาวฒั นธรรมเปอรานากนั และรูปแบบท่ีเหมาะสมในการ อนุรกั ษ์วฒั นธรรมเปอรานากัน รวมถงึ การสง่ เสริมการท่องเท่ียวตามวิถไี ทย ดงั ภาพท่ี

ระยะท่ี 1 1. ศกึ ษาเอกลักษณ์ด้านวฒั นธรรมเปอรานากนั ของจังหวดั 6 ระยะที่ 2 ตรงั และภเู กต็ ระยะท่ี 3 1.1 สารวจวฒั นธรรมเปอรานากนั แนวทางท่ี 1.2 กาหนดกลุ่มประชากร เหมาะสมใน การอนรุ กั ษ์ -หนว่ ยงานทอ้ งถ่ิน วฒั ธรรมเปอ -ประชาชนในพื้นที่ รานากนั ของ -นกั ทอ่ งเที่ยว จงั หวดั ตรงั 1.3สรปุ ผลวฒั ธรรมเปอรานากนั ท่ปี รากฏหลกั ฐานใน และภเู กต็ 2จงั หววิเคดั รตาระงั หแ์แลนะภวทูเกาต็งทเ่ี หมาะสมในการอนุรกั ษ์วฒั นธรรม เปอรานากนั ของจังหวัดตรังและภเู ก็ต 2.1 วเิ คราะหจ์ ุดอ่อนจุดแขง็ ของการอนรุ ักษ์วฒั ธรรมเปอ รานากันในแตล่ ะพ้นื ทข่ี องจังหวัดตรงั และภเู ก็ต 2.2 ปัญหาและอุปสรรคในการจดั การอนรุ ักษ์ 2.3 วิเคราะห์สาเหตขุ องปญั หา 2.4 ศึกษาแนวทางแกไ้ ขปญั หา 2.5 วเิ คราะห์ศักยภาพทางการทอ่ งเทย่ี ว 3 ส่งเสรมิ การท่องเทีย่ ววถิ ไี ทยพน้ื ทจี่ ังหวดั ตรังและภเู ก็ต จัดประชมุ กลุ่มชาวบา้ น 1.2 กาหนดรปู แบบการเผยแพรว่ ัฒนธรรมเปอรานากนั 1.3 กาหนดแนวทางพฒั นาศักยภาพการทอ่ งเท่ียว ในพน้ื ทจี่ งั หวดั ตรังและภูเก็ต ภาพท่ี 1.2 แสดงกรอบแนวความคิด

บทที่ 2 วรรณกรรม งานวจิ ยั และทฤษฏี งานวิจยั ชน้ิ นีเ้ ป็นการศกึ ษาเก่ียวกบั ลักษณะการแต่งกายของชาวเปอรานากนั เพือ่ สง่ เสริมการ ท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม ในจงั หวัดภเู กต็ โดยการทาวิจยั คร้ังนใ้ี ช้ทฤษฎีและแนวความคดิ ต่างๆดังต่อไปนี้ 2.1 ทฤษฎีท่ใี ชใ้ นงานวจิ ัย 2.1.1 การอนรุ ักษ์ 2.1.2 วฒั นธรรมเปอรานากนั 2.1.3 ศักยภาพแหล่งทอ่ งเท่ียว (Potential attraction) 2.1.4 การพัฒนา (Develop) 2.2 เอกสารงานวิจยั ดา้ นศักยภาพการท่องเทย่ี ว 2.3 เอกสารงานวจิ ัยดา้ นวัฒนธรรมเปอรานากัน 2.4 ประวตั ิความเปน็ มาของชาวเปอรานากัน 2.1 ทฤษฎที ่ีใชใ้ นงานวจิ ยั 2.1.1 การอนรุ ักษ์ กาญจนา ภาคสุวรรณและคณะ. (1) กล่าวไว้ว่า “การอนุรักษ์” หมายถึง การรักษาให้คงเดิม ดังน้ัน การอนุรักษ์ศิลปกรรมไทยจึงหมายถึงการรักษาศิลปกรรมที่สร้างขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยอันเป็น วัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่เป็นมรดกของชนรุ่นหลังต่อไป โดยศึกษาถึงสาเหตุและการเส่ือมสลาย และหาแนวทางเพื่อการอนุรกั ษ์ใหศ้ ลิ ปะไทยดารงอยู่ในสภาพท่สี มบูรณเ์ ท่าท่ีจะทาได้ ดร.นิวัติ เรืองพานิช. (2) กล่าวไว้ว่า “การอนุรักษ์” คือ การบารุงรักษาส่ิงที่ดีงามไว้เช่น ประเพณตี า่ ง ๆ หตั ถกรรม และคณุ ค่าหรอื การปฏบิ ตั ติ นเพื่อความสมั พนั ธ์อันดกี ับคนและสิ่งแวดลอ้ ม ทรรศนียา กัลยาณมิตร. (3) กล่าวไว้ว่า การอนุรักษ์ หมายความว่า การดูแล รักษา เพื่อให้คง คณุ คา่ ไวแ้ ละให้หมายรวมถงึ การป้องกัน การรกั ษา การสงวน การปฏสิ งั ขรณ์ และการบูรณะดว้ ย ทวี ทองสว่าง และทัศนีย์ ทองสว่าง, 2523 : 1 (4) การอนุรักษ์ หมายถึง การใช้ ทรัพยากรธรรมชาติด้วยวิธีการฉลาดเหมาะสม โดยใช้อย่างประหยัด ให้เกิดประโยชน์และเกิดคุณค่า มากท่สี ุด รวมทั้งการปรับปรงุ ของเสียให้นากลับมาใชใ้ หม่ เพื่อใหเ้ กิดการสูญเสยี น้อยทส่ี ุด สุรภี โรจน์อารยานนท์ , 2526 : 9 (5) การอนุรักษ์ หมายถึง การรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างชาญฉลาดให้เป็นประโยชน์ต่อมหาชนมากท่ีสุด และใช้เป็นเวลานานที่สุด ท้ังน้ีต้องให้สูญเสีย ทรัพยากรธรรมชาติโดยเปลา่ ประโยชนน์ ้อยทส่ี ุด และจะตอ้ งกระจายการใช้ประโยชนโ์ ดยทวั่ ถึงกันด้วย 2.1.2 วฒั นธรรมเปอรานากนั จากการเข้ามาต้ังถิ่นฐานของชาวจนี โดยเฉพาะในแถบคาบสมทุ รมลายู-อนิ โดนีเซีย(Nusantara) ทาให้ก่อกาเนิดสายเลือดลูกผสม และมีการผสมผสานทางวัฒนะรรมจนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ท่ีมีอัต ลักษณ์เรียกว่า เปอรานากัน(Peranakan) หรือเรียกอีกช่ือหน่ึงว่า บ้าบ๋า-ย่าหยา (Baba-Nyonya) ซ่ึง

8 เป็นคาท่ชี มุ ชนชาวจนี เลอื ดผสมในมะละกาเรียกตนเองวา่ บ้าบ๋า (Baba) เปน็ คาท่ีมาเลย์ยมื มาจากภาษา เปอรเ์ ชีย แปลวา่ การใหเ้ กียรติบรรพบุรษุ (พุมรี อรรถรัฐเสถียร.2556. หน้า 91) นอกจากน้ียังมีชาวต่างชาติอ่ืนๆ ท่ีอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณ คาบสมุทรมลายู-อินโดนีเซีย ทา ให้ก่อกาเนิดเปอรานากันที่มีสายเลือดลูกผสมระหว่างชนพ้ืนเมืองเดิมกับชาวต่างชาติมากมาย ดังน้ันจึง สามารถแบ่งชาวเปอรานากันตามเชื้อชาติผสมได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มชาวจีนเปอรานากัน (Peranakan Chinese) กลุ่มชาวอาหรับเปอรานากัน (Peranakan Arabs) กลุ่มชาวดัชต์เปอรานากัน (Peranakan Dutch) และกลุ่มชาวอินเดียเปอรานากัน (Peranakan Indians) แต่ด้วยกลุ่มชาวจีนเปอ รานากันเป็นกลุ่มท่ีมีขนาดใหญ่และมีบทบาทสาคัญในสังคมทาให้คาว่า “เปอรานากัน” ถูกใช้อ้างถึง เฉพาะกลุ่มชาวจนี เปอรานากันเท่านัน้ (เลม่ เดมิ . หน้า 92) พระยาอนุมานราชธน ( 2515, หน้า 6 ) ได้กล่าวถึงวัฒนธรรมว่าวัฒนธรรมเป็นเรื่องเก่ียวกับ พฤติกรรมวาจาท่าทางกิจกรรมและผลิตผลของกิจกรรมท่ีมนุษย์ในสังคมผลิตหรือปรับปรุงขึ้นจาก ธรรมชาติในพระราชบัญญัติบารุงวัฒนธรรมแห่งชาติพุทธศักราช 2483 หมายถึงลักษณะท่ีแสดงความ เจริญงอกงามความเป็นระเบียบอันดีงามความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติและศีลธรรมอันดีงามของ ประชาชน อารงสุทธาศาสน์ ( 2519, หน้า 132-133 ) ได้ถึงวัฒนธรรมว่าวัฒนธรรมในความหมาย โดยทั่วไปคือแนวทางการดารงชีวิตของสังคมหรือของกลุ่มแต่ละกลุ่มที่สบื ทอดจากรนุ่ หนึง่ ไปอีกรุ่นหนึง่ อยา่ งไม่ขาดสายวฒั นธรรมเปน็ ส่ิงที่แตล่ ะสังคมถือว่าเปน็ ส่ิงที่ดีงามเป็นแบบฉบับของชวี ติ ซ่ึงคนส่วนมาก หวงแหนและปกป้องรักษา ระวีวรรณชอุ่มพฤกษ์ ( 2528, หน้า 7 ) ได้ถึงวัฒนธรรมว่าวัฒนธรรมเป็นชื่อรวมสาหรับ แบบอย่างของพฤติกรรมท้ังหลายท่ีได้มาทางสังคมและท่ีถ่ายทอดกันไปทางสังคมโดยอาศัยสัญลักษณ์ วัฒนธรรมจึงเป็นชื่อสาหรับสัมฤทธ์ิผลท่ีเด่นชัดท้ังหมดของกลุ่มมนุษย์รวมสิ่งทั้งหลายเหล่าน้ีเช่นภาษา การทาเคร่ืองมืออุตสาหกรรมศิลปะวิทยาศาสตร์กฎหมายศีลธรรมและศาสนารวมถึงอุปกรณ์ท่ีเป็นวตั ถุ หรือส่ิงประดิษฐ์ซ่ึงแสดงรูปแบบแห่งสัมฤทธิผลทางวัฒนธรรมและทาให้ลักษณะวัฒนธรรมทาง ปัญญา สามารถยงั ผลเปน็ ประโยชนใ์ ชส้ อยไดเ้ ชน่ อาคารเครื่องมอื เคร่ืองจักรกลเครือ่ งมือสื่อสารศิลปวตั ถุฯลฯ 2.1.3 ศกั ยภาพแหลง่ ท่องเทย่ี ว (Potential attraction) กรมพัฒนาชุมชน (2541) กล่าวไว้ว่าประเทศไทยเรามีการใช้คาที่มีความหมายที่เกี่ยวข้องกับ การทอ่ งเท่ยี วมาเปน็ เวลาช้านานแลว้ โดยในระยะแรกๆ ใช้คาวา่ “ไปเทีย่ ว” หมายถึงการเดนิ ทางไปในท่ี ต่างๆ เพ่ือความสนุกสนานเพลิดเพลิน คาว่า “ท่องเที่ยว” เร่ิมมีการใช้มากข้ึนในปีพ.ศ.2479 และในปี พ.ศ.2480 คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาความหมายของการ “ท่องเที่ยว” มีความหมายเชิงเท่ียวเตร่ เหลวไหลได้ ต่อมาในปีพ.ศ.2492 สมเด็จในกรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ จึงได้ประทานคาว่า “ทศั นาจร” ขึ้นมาใช้ ทาใหค้ วามหมายของการ “ทอ่ งเทยี่ ว” เรมิ่ มคี วามหมายกว้างขวางขน้ึ เพื่อมกี าร โอนสานักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวจากกระทรวงคมนาคมมาอยู่กรมโฆษณาการ คาว่า “ท่องเที่ยว” ก็ จึงมีความหมายไม่ตรงกับ “ไปเที่ยว” หรือ “เท่ียว” หรือ “ทัศนาจร” แต่มีความหมายเปน็ การเป็นงาน จนเป็นอุตสาหกรรมชนิดหนึ่ง ความหมายในเชิงการศึกษาท่ีนามาใช้กันมาก คือ “ทัศนศึกษา” กล่าว โดยสรุป คาว่า “การท่องเท่ียว” หมายถึงการเดินทางพักผ่อนหย่อนใจหรือเพื่อหาความสนุกสนาน การประชุมสัมมนาเพื่อศึกษาหาความรู้ เพื่อการศึกษา เพื่อการติดต่อธุรกิจตลอดจนการเย่ียมเยือน ญาติมติ ร

9 2.1.4 การพฒั นา (Develop) สัญญา สัญญาวิวัฒน์ ได้ให้ความหมายของคาว่า พัฒนา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงท่ีมีการ กาหนดทิศทาง (directed change) หรือการเปล่ียนแปลงท่ีได้วางแผนไว้แน่นอนล่วงหน้า (planned change) ยุวัฒน์ วุฒิเมธี ให้ความหมายของคาว่า พัฒนา หมายถึง การกระทาให้เกิดข้ึน คือเปล่ียนจาก สภาพหนึง่ ไปสู่อกี สภาพหนึง่ ท่ดี กี วา่ อมร รักษาสัตย์ และ ขัตติยา กรรณสูต ได้ให้ความหมายของคาว่าพัฒนาว่าหมายถึงการ เปล่ียนแปลงในตัวระบบที่ทาการ ซึ่งเป็นการเปล่ียนแปลงในตัวระบบที่ทาการ ซ่ึงเป็นการเปลี่ยนแปลง ด้านคุณภาพ (qualitative changes) ส่วนการแปลงรูป (transformation) เป็นการเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมของตัวกระทาการ (environmental changes) ซึ่งนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลง ทางด้านคุณภาพและปรมิ าณ เชน่ การคมนาคมของประเทศไทยเมื่อเรมิ่ แรกได้มีการใช้รถเทียมม้า แล้ว ปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยใช้เครื่องจักรไอน้ามาทารถไฟ และค่อย ๆ ปรับปรุงให้ดีย่ิงขึ้น ๆ เร็วย่ิงข้ึน ๆ การ เปล่ียนแปลงจากรถม้ามาเป็นรถไฟหรือเป็นรถยนต์ หรือเคร่ืองบิน จนเป็นจรวดก็ดี นับได้ว่าเป็นการ พฒั นา ทิตยา สุวรรณชฎ ได้อธิบายการพัฒนา ไว้ว่า การพัฒนา คือการเปล่ียนแปลงท่ีต้องการและได้ กาหนดทิศทางและมุ่งที่จะควบคุมอัตราการเปลี่ยนแปลงด้วย สภาวะการพัฒนาเป็นสภาวะสมาชิกของ สังคมได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนได้เต็มท่ีโดยไม่มีสภาวะครอบงา เช่น ความบีบค้ันทางการเมือง ความบีบคั้นทางเศรษฐกิจ หรือความไม่สมบูรณ์ในอนามัย ทุกคนสามารถท่ีจะนาเอาศักยะของตน ออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มท่ี เช่น การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรของไทยไม่สามารถจะใช้รถ แทรกเตอร์แบบอเมริกาได้ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ได้ประดิษฐ์ “ควายเหล็ก” ขึ้นมาใช้ไถนาใน สภาพแวดลอ้ มของสังคมไทย วิทยากร เชียงกูล กล่าวไว้ว่า การพัฒนาที่แท้จริงควรหมายถึงการทาให้ชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนมีความสุข ความสะดวกสบาย ความอยู่ดีกินดี ความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมและจิตใจและ ความสงบสนั ติ ซง่ึ นอกจากจะขึ้นอยู่กับการได้รับปัจจัยทางวัตถุเพ่ือสนองความต้องการของร่างกายแล้ว ประชาชนยังต้องการพัฒนาทางด้านการศึกษาสงิ่ แวดลอ้ มที่ดี การพักผ่อนหย่อนใจ และการพัฒนาทาง วัฒนธรรมและจิตใจด้านต่าง ๆ ด้วย ความต้องการทั้งหมดนี้บางคร้ังเราเรียกกันว่าเป็นการพัฒนา “คุณภาพ” เพื่อที่ให้เห็นว่าการพัฒนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเพิ่มปริมาณสินค้าหรือการเพ่ิมรายได้เท่านั้น หากอยูท่ ีก่ ารเพมิ่ ความพอใจความสุขของประชาชนมากกว่า 2.2 เอกสารงานวจิ ยั ดา้ นศักยภาพการทอ่ งเทยี่ ว ศิริวรรณ เต็มสุข(2547) ได้ศึกษาวิจัยเร่ืองศักยภาพของชุมชนท้องถิ่นในการส่งเสริมการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นผลิตภัณฑ์ธุรกิจชุมชน พบว่านโยบายและความช่วยเหลือของรัฐบาลไม่มีส่วน เก่ียวข้องกับชุมชนเลย ที่ผ่านมานโยบายการท่องเท่ียวถูกกาหนดโดยชุมชนเอง กล่าวคือ การ กาหนดการได้รับความช่วยเหลือร่วมมืออย่างดีจากสมาชิกชุมชนน้ัน ส่งผลให้ชุมชนนั้นอยู่ในภาวะท่ี สามารถพึ่งตนเองได้เป็นอย่างดี ชุมชนมีความเข้มแข็ง รวมถึงการเจริญเติบโตของรายได้ภายในชมุ ชน ควบคู่กนั ไปกับการรักษาสภาพแวดล้อมใหส้ วยงามและย่งั ยืนมากขึ้น

10 พรชัย ปรีชาปัญญา (2543) ได้ทาการศึกษาวิจัยเรื่องสถานภาพของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยช้างในจังหวัดเชียงใหม่วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการวิจัยโครงการวิจัยนี้จัดทาขึ้นเพื่อประเมนิ สถานภาพ โดยรวมอุตสาหกรรมเลี้ยงช้างเพื่อการท่องเที่ยวในจงั หวัดเชียงใหม่ และประเมินผลกระทบ ท่ีจะเกิดข้ึนต่อส่ิงแวดล้อม ป่าไม้ เศรษฐกิจ สภาพสังคมของบุคคล และชุมชนที่เข้ามาเก่ียวข้องกับ ธรุ กจิ น้ีตลอดจนสถานภาพและสุขภาพของตัวชา้ งเอง พนมวรรณ อยู่ดีและคณะ (2543) ได้ทาการศึกษาวิจัยเรื่องทางเลือกและรูปแบบการจัดการ ท่องเที่ยวเชิงอนุรกั ษ์ในจงั หวัดเชียงใหม่ วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการวจิ ัยโครงการวิจยั จดั ทาข้นึ เพ่ือวิเคราะห์สถานการณ์และปัจจัยท่ีมีผลต่อการจัดการท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ในปัจจุบัน และเพื่อ วิเคราะห์ศักยภาพของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วม ข้อสรุปสาคัญท่ีจะ นาไปสกู่ ารยกระดับของกจิ กรรมการท่องเท่ียวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมต้องมกี ารจัดตัง้ กลไกประสานงาน ท่ีเป็นทางการ ในรูปแบบของคณะกรรมการมีชมุ ชนเป็นหลักในการบริหารจัดการพร้อมท้ังมหี นว่ ยงาน ซ่ึงน่าสนใจการจัดการท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์อย่างจริงจังร่วมกันอยู่ในคณะกรรมการด้วยทั้งนี้มีบทบาท ภาระหน้าท่ีตามนโยบายขององค์กรเท่าน้ัน บทบาทของภาระหน้าท่ีของกลไกต้องชัดเจน เพื่อเอ้ือต่อ การประสานงานความร่วมมือในการปฏิบัติงานมีการเตรียมความพร้อมของชุมชนในการบริหารการ จัดการ ด้านความปลอดภัยของแหล่งท่องเที่ยวและมีการสร้างความเข้าใจของชุมชนต่อการท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์ส่งเสริมให้ชุมชนมีการจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างยั่งยืน เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามี ส่วนร่วมในการดาเนินงานทุกข้ันตอน องค์กรภายนอกที่เก่ียวข้องมีบทบาทภาระหน้าที่หลักในการ เสริมสรา้ งความเข้มแขง็ ของชุมชน กนษิ ฐา อุ่ยถาวร และคณะ(2545) ไดท้ าการศึกษาวิจยั เร่ืองการจดั การท่องเทีย่ วเชิงนิเวศโดย มีส่วนร่วมของชุมชนบริเวณอุทยาแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง สาขาหนองแม่นาจังหวัดเพชรบูรณ์ วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการวจิ ัยโครงการวิจัยนจ้ี ัดทาข้ึนเพื่อศึกษาศักยภาพและความพร้อมของ ชมุ ชนในการเข้ามามีสว่ นรว่ มในการจัดการท่องเท่ียวเชิงนเิ วศบริเวณอุทยาแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ซ่งึ อยู่ ภายในท้องถิน่ ของตน และศกึ ษาถึงรูปแบบท่เี หมาะสมในการบรหิ ารจัดการดา้ นการท่องเท่ียวเชิงนิเวศ ภายในทอ้ งถิ่น วัชรินทร์ ศรีสัตบุตร และคณะ(2544) ได้ทาการศึกษาวิจัยเรื่องรูปแบบท่ีเหมาะสมในการ จัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชนบ้านถ้าหนองเบี้ย ตาบลศรีดงเย็น อาเภอไชยปราการจังหวัด เชียงใหม่ วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการวิจัยโครงการวิจัยน้ีจัดทาขึนเพื่ออนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ อันได้แก่ ภูเขา ป่าไม้และน้ารู (ตาน้า) ให้เป็นมรดกแก่ชนรุ่นหลังนอกจากนั้นยัง เป็นการศึกษาค้นหารูปแบบการจัดการให้ชุมชนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยชุมชนมีส่วนร่วมและ เพื่อสร้างกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติร่วมกัน วางแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของ ชุมชน โดยการพ่ึงตนเองและร่วมกันสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ข้อสรุปท่ีสาคัญที่จะไปสู่การ ยกระดับของกิจกรรมการทอ่ งเท่ียวเชงิ นเิ วศและวฒั นธรรมมดี งั นี้ 1. การปลูกฝังเยาวชนให้มจี ิตสานึกเรอื่ งการอนรุ กั ษ์ส่ิงแวดลอ้ ม 2. พระสงฆ์ ครู และชาวบ้านเห็นพรอ้ มต้องกนั วา่ เยาวชนมคี วามสาคญั เพือ่ ให้มีการ อนุรักษ์ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมของท้องถิ่นอย่างยั่งยืนและดาเนินงานบังเกิดผลในเชิงปฏิบัติอย่าง แท้จริง ควรปลูกฝังจิตสานึกในการอนุรักษ์ธรรมชิตและสิ่งแวดล้ม ครูเตรียมจัดทาหลักสูตรท้องถิ่นที่ สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เพ่ือให้เยาวชนศึกษาเรียนรู้ถึงฐานทรพั ยากรธรรมชาติท่ีท้องถ่ินมีอยู่

11 และรู้ถึงพัฒนาการของชุมชน รวมท้ังสร้างโอกาสให้พระสงฆ์ชาวบ้าน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ครู และนักเรยี นได้ทากจิ กรรมร่วมกนั อย่างตอ่ เน่ือง 3. การใชก้ ารทอ่ งเทีย่ วเชงิ นเิ วศเปน็ กระบวนการสรา้ งความเข้มแข็งใหแ้ ก่ชมุ ชน ชาวบา้ น เด่นร่องธารและบ้านถ้าหนองเบี้ยมีความตั้งใจที่จะใช้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นเคร่ืองมือในการสร้าง ความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน กระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมมือกันอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและรักษาดุลยภาพของระบบนิเวศ รวมทั้งรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันเป็นต้นทุน ที่ชุมชนมีอยู่ พร้อมทั้งนาเอาองค์ความรู้ใหม่เรื่องการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มาปรับใช้ให้ เหมาะสมกับบริบทพ้ืนท่ี เพ่ือให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจเป็นการสร้างรายได้เสริมให้ชุมชน และ พฒั นาไปสู่ความย่งั ยืนตอ่ ไป 4. การพัฒนาบุคลากรเป็นมคั คเุ ทศก์ทอ้ งถน่ิ ควรมีการพฒั นาศกั ยภาพชาวบา้ นท่เี ข้ารว่ ม กิจกรรมการท่องเทีย่ วเชิงนเิ วศ ให้ทาหน้าที่เป็น “มัคคุเทศก์ท้องถิ่น” เพ่ือรองรับการพัฒนาชุมชนเป็น แหล่งท่องเที่ยว มีความรู้ความเข้าใจเร่ืองระบบนิเวศย่อยและวัฒนธรรมชุมชนสามารถแลกเปล่ียน เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และนาเดินป่าศึกษาธรรมชาติหรือให้ข้อมูลรายละเอียด เกยี่ วกับระบบนิเวศหนองน้าแก่บรรดานกั ท่องเทีย่ วไดเ้ ป็นอย่างดี รุ่งรัตน์ ทองสกุล (2549) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการท่องเท่ียววิถีชีวิตชุมชน ประเพณีและ วรรณกรรมท้องถ่ินของจังหวัดภูเก็ต พังงานและกระบ่ี จากการศึกษาลักษณะการจัดการท่องเท่ียววิถี ชีวิตชุมชน ประเพณีและวรรณกรรมท้องถิ่น พบว่า ชุมชนชาวไทยถ่ินยังไม่มีระบบการจดั การ ในการ นาเสนอเพ่ือการท่องเที่ยวท่ีชัดเจน เพราะวิถีชีวิต ประเพณีของชุมชนยังไม่มีระบบการที่ชัดเจนและ ดีเด่นพอสมควร ส่วนวรรณกรรมท้องถ่ินแม้จะมีความโดดเด่นก็ไม่เป็นที่ต้องการเย่ียมชมของ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีมีวิถีชีวิต ประเพณี ที่น่าสนใจ มีการจัดการโดยการมี ส่วนร่วมของชุมชนแต่ยงไม่เป็นระบบที่ชัดเจน ส่วนวรรณกรรมท้องถิ่นไม่มีการนาเสนอเพื่อการ ทอ่ งเทยี่ วอยา่ งชัดเจน ชุมชนชาวไทยมุสลิมมวี ิถชี ีวติ ประเพณี ท่ีน่าสนใจ มีการจดั การโดยการมีส่วน ร่วมของชุมชนแต่ยังไม่เป็นระบบที่ชัดเจนนัก ส่วนวรรณกรรมท้องถิ่นไม่มีการนาเสนอท่ีเป็นระบบ ชดั เจน ชุมชนชาวเลมีวิถีชวี ิต ประเพณี ที่น่าสนใจ เพราะความทีเ่ ป็นชนกลุ่มนอ้ ย แตไ่ ม่มกี ารจดั การ เพ่ือใช้ภาษาชาวเล จงึ ทาใหเ้ ข้าใจเรอื่ งราวไดย้ าก 2.3 เอกสารงานวจิ ยั ด้านวฒั นธรรมเปอรานากนั พุมรี อรรถรฐั เสถียร (2556 , หน้า 93) ได้ศกึ ษาวจิ ยั เร่อื งลกั ษณะการแต่งกายของชาวเปอรานา กนั วา่ เป็นวฒั นธรรมการแต่งกายท่ผี สมผสานรปู แบบของชาวจีนและชาวมลายเู ข้าด้วยกนั อย่างสวยงาม โดยผู้หญิงจะสวมเสื้อผ้าหน้าตัวยาว มีแขนยาว และฉลุลายดอกไม้พร้อมท้ังติดเข็มกลัดท่ีมีลวดลาย งดงาม 3-4ช้ิน/ตัว แลว้ นุง่ ผ้าปาเต๊ะ ซ่ึงเปน็ ผ้าพ้ืนเมืองของมลายูและสวมรองเท้าทป่ี ักด้วยลูกปัดหลากสี เปน็ ลวดลายตา่ งๆ ส่วนผชู้ ายแต่งกายคล้ายแบบจีนดั้งเดมิ หรือแตง่ กายดว้ ยสทู แบบตะวนั ตก ปริวรรตธรรมาปรชี ากรและนสิ ติ มโนตง้ั วรพนั ธุ์ (2553 , หนา้ 63 ) เรอ่ื ง เรยี นรวู้ ัฒนธรรมเปอ รานากัน ( บ้าบ๋า ย่าหยา ) จากเครื่องประดับนนยา ได้กล่าวว่า คาว่า “บ้าบ๋า” และ “ย่าหยา” ว่า “เรียกชายที่เป็นลูกคร่ึงจีนกับมลายูท่ีเกิดในมลายูและอินโดนีเซียว่า “บ้าบ๋า” คู่กับ “ย่าหยา” ซ่ึง หมายถงึ หญงิ ลูกคร่ึงจนี กับมลายทู ีเ่ กิดในมลายแู ละอนิ โดนีเซีย” อย่างไรกต็ ามชาวเปอรานากนั ในจังหวัด

12 ภูเก็ตกลับเข้าใจว่าท้ังผู้หญิงและผู้ชายท่ีเป็นลูกครึ่งผสมระหว่างชาวจีนกับชาวมลายูรวมเรียกกันว่า “บ้าบ๋า” ส่วน “ย่าหยา” เป็นเพียงชื่อของชุดสตรีเท่านั้นอาจเป็นการสับสนหรือเข้าใจผิดในวัฒนธรรม ของชาวเปอรานากันรุ่นหลังในจังหวัดภูเก็ตซ่ึงอยูห่ ่างไกลจากแหล่งต้นวัฒนธรรมเนื่องจากมีความหมาย แตกต่างจากมาเลเซียสงิ คโปร์และอินโดนเี ซยี เพราะสามประเทศนเ้ี ป็นเจ้าของวัฒนธรรมโดยตรง เมื่อกลุ่มชาวจีนกลุ่มนี้มีจานวนเพ่ิมมากขึ้นก็ได้นาวัฒนธรรมของตนกระจายไปด้วยพร้อมท้ัง สร้างวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากของบรรพบุรุษวัฒนธรรมที่เกิ ดขึ้นใหม่นี้ถูกเรียกว่า “วัฒนธรรมเปอรานากัน” ต่อมาราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 24 (ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 19) มีชาวจีนอพยพ เข้าไปต้ังถิ่นฐานเพ่ิมมากขึ้นทาให้สายเลือดมลายูของชาวเปอรานากันจางลงจนรุ่นหลังแทบจะเป็นจีน เต็มตัวแต่ก็มิได้ทาให้วัฒนธรรมผสมผสานของชาวเปอรานากันจืดจางลงไปการผสมผสานน้ียังเห็นได้ จากการแต่งกายแบบมลายูเช่นซารุงกบายาและชดุ ย่าหยาซ่ึงถือเป็นวฒั นธรรมการแต่งกายอันสวยงามที่ ผสมผสานรูปแบบของชาวจนี และชาวมลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงามผู้หญิงจะสวมเส้ือฉลุลายดอกไม้รอบ คอเอวและปลายแขนอย่างงดงามนิยมนุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะผู้ชายยังคงแต่งกายคล้ายเส้ือแบบจีนด้ังเดิม อาหารแบบเฉพาะตวั และภาษาที่ผสมผสานทั้งมลายูจีนและอังกฤษไว้ด้วยกัน มานพ มานะแซม ( 2547 , หน้า 132-133 )ปัจจุบันชาวเชียงใหม่ได้มีการฟื้นฟูวัฒนธรรมการ แต่งกายพ้ืนเมืองขึ้นซ่ึงมีหลายรูปแบบตามเผ่าพันธ์ุ ของกลุ่มชนท่ีอาศัยอยู่ในอาณาจักรล้านนาในอดีต เป็นการประยุกต์รูปแบบของเส้ือผ้าในยุคต์ด่ังเดิมมาแต่ง โดยพยายามรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของ ชาวพ้ืนเมืองเชียงใหม่ไว้ ดังน้ัน จึงได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบในรูปแบบการแต่งกายพ้ืนเมือง โดยคณะอนกุ รรมการวัฒนธรรมจงั หวดั เชียงใหมเ่ ม่อื พ.ศ. 2534 มรี ายละเอียดดังน้ี 1.เครอื่ งแตง่ กายหญงิ แบบท่ี 1 เส้ือคอกลม แขนกระบอกต่อแขนต่า ผ่าอกตลอด ผูกเชือก หรือติดบ่าต่อมแต็บ มี กระเป๋าสองข้างส่วนผ้านุ่งจะเป็นซิ่นลายขวาง ต่อตีน ต่อเอวสีดา เฉพาะช่วงเอวจะต่อด้วยผ้าขาวอีก ประมาณฝ่ามือ ปัจจุบันจะซ่ินตีนรวด คือ ทอทั้งเชิงเอวเดียวกัน เหมือนท่ีผ่านมา และเชิงจะมีลวดลาย สลบั สอี ีกด้วย แบบที่ 2 เสอ้ื หญงิ แบบคอกลม ตวั หลวม แขนกระบอกตอ่ แขนต่าผ่าคร่ึงอกติดกระดุมเป็บ แบบท่ี3 เสื้อหญิงแบบคอกลมตัวหลวม เข้ารวบเล็กน้อย จับเกร็ดเอวด้านหน้าและหลังข้างละ เกร็ด ผ่าอกตลอด ติดกระดุมอัด แขนเสื้อเป็นแขนกระบอกส่ันหรือยาว แต่การต่อแขนโดยการตัดเว้า ทรงปุ่มไหลแ่ บบเสอื้ ปจั จุบนั แบบที่ 4 เสื้อคอกลมมีระบายตรงสาบเสื้อ ปลายแขนและชายนิยมใช้ผ้าป่านขาว หรือ แพรศรี สว่ นเส้ือชน้ั ในจะเป็นเสอ้ื คอกระเช้า 2. เคร่อื งแตง่ ชาย กาหนดไว้ 2 แบบได้แก่ แบบท่ี 1 เส้อื คอกลม แขนสัน้ หรอื แขนยาวผ่าหนา้ ตลอดผูกเชือกมีกระเป๋าปะทั้ง 2 ข้าง สี ของผ้าเป็นสีขาวตุ่นของใยฝา้ ย หรอื แบบย้อมครามที่เรียกวา่ หมอ้ หอ้ ม แบบที่ 2 เสื้อคอกลมผ่าคร่ึงอก ติดบ่าต่อมหอย2เม็ด มีกระเป๋าหรือไม่มีกระเป๋าก็ได้ ส่วน กางเกงชายจะมีรูปแบบคล้ายกางเกงจีน มีทั้งเต่ียวสะดอขาส้ันและเตี่ยวยาวขาวยาวถึงข้อเท้า เรียกว่า เตยี่ วยาวท้งั 2แบบน้ี ตัดเยบ็ ดว้ ยผ้าฝ้ายทอมอื

13 2.4 ประวตั คิ วามเปน็ มาของชาวเปอรานากนั การศึกษามรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม ด้านการแต่งกายของชาวเปอรานากัน เป็นการศึกษา ระบบความรู้และความเข้าใจเก่ียวกับเครื่องแต่งกายของชาวเปอรานากันของจังหวดั ภเู ก็ต ผ่านข้ันตอน การลงพ้ืนท่ีเพื่อสัมภาษณ์ผู้ผลิตผ้า ผู้ถือครอง ผู้สืบทอดมรดกภูมิปัญญา ผู้จาหน่ายผ้า และเยาวชนท่ีมี ความสนใจ เม่อื กระบวนการจัดเกบ็ ความรูส้ ่วนหน่ึงสัมฤทธ์ผิ ล กระบวนการกระตนุ้ ใหเ้ กิดความสานึกใน การสืบทอดและสงวนรกั ษาวฒั นธรรมไว้ จึงเปน็ เปา้ หมายต่อไปในการรวบรวมความเป็นเอกลักษณ์ของ พลเมืองในท้องถ่ิน เคร่ืองแต่งกายของชาวเปอรานากันถือเป็นเครื่องหมายหน่ึงท่ีแสดงให้เห็นถึง อัต ลักษณ์ของความเป็นกลุ่มชาติพันธ์หนึ่งในประเทศไทย การทาความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายจึง จาเปน็ ต้องเชอ่ื มโยงกบั บริบทของชาวเปอรานากันในจงั หวัดภูเกต็ (ปราณี สกลุ พิพัฒน์.2555) บทเรียนประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจของลูกหลานชาวเปอรานากันในการยึดถือปฏิบัติตาม กรอบความแนวความคิดเพ่ือนามาปรับใช้กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การ นาเสนอเร่ืองราวเครื่องแต่งกายของชาวเปอรานากันในอดีตเป็นดั่งกระจกที่สะท้อนความเจริญรุ่งเรือง ของชุมชนชาวเปอรานากันและเป็นการบอกเล่าความเป็นมาท่ีงดงามของวฒั นธรรมลูกผสม การร่วมมือ ร่วมใจของคนในชมุ ชน เพื่อสร้างกลยุทธ์การสืบทอดองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมการแต่งกายเปอรานากนั นี้เป็นส่วนท่ีสาคัญท่ีสุดในประวัติศาสตร์ แม้วิวัฒนาการโลกจะปรับเปล่ียนไปจากเดิมมาก แต่แนวทาง การดาเนินชวี ิตและความเป็นตัวตนยังคงมีใหเ้ ห็นอยูใ่ นวัฒนธรรมการแตง่ กาย ของบรรพบุรษุ ชาวเปอรา นากัน (จักรพันธ์ เชาวป์ รชี า.2555) เปอรานากัน เป็นกลุ่มชาวจีนท่ีมีเช้ือสายมลายูเนื่องจากในอดีต กลุ่มพ่อค้าชาวจีนโดยเฉพาะ กลุ่มฮกเก้ียนเดินทางเข้ามาค้าในบริเวณดินแดนคาบสมุทรมลายู และตัดสินใจต้ังถ่ินฐานในเมืองมะละ กา ประเทศมาเลเซีย ในตอนต้นทศวรรษท่ี 14 โดยแต่งงานกับชาวมลายูท้องถิ่น โดยภรรยาชาวมลายู จะเป็นผู้ดูแลกิจการการค้าท่ีนี่ แม้แต่คนในระดับพระราชวงศ์ก็มีสัมพันธไมตรีระหว่างสุลต่านมะละกา กับจักรพรรดิราชวงศ์หมิง โดยในปี ค.ศ. 1460 สุลต่านมันโซชาห์ทรงอภิเษกกับเจ้าหญิงฮังลีโปแห่ง ราชวงศ์หมิง และทรงประทับบนภูเขาจีน หรือ บูกิตจีนา พร้อมเช้ือพระวงศ์อีก 500 พระองค์ (พุมรี อรรถรัฐเสถียร.2555) สาหรับสายเลือดใหม่ของชายชาวจีนกับหญิงมลายูหากเปน็ ชายจะได้รับการเรียกขานวา่ บาบา๋ หรือบ้าบ๋า (Baba) ส่วนผู้หญิงจะเรียกว่า ย่าหยา (Nyonya) และเมื่อคนกลุ่มนี้มีจานวนมากขึ้น ก็ได้ สร้างวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมของบรรพบุรุษโดยมาผสมผสานกันเป็นวัฒนธรรมใหม่ เม่ือพวกเขาอพยพไปต้ังถ่ินฐานในบริเวณนี้ก็ได้นาวัฒนธรรมของตนกระจายไปด้วย วัฒนธรรมใหม่น้ีจึง ถกู เรียกรวมๆวา่ จีนช่องแคบตอ่ มาเม่ือสมัยอาณานิคมดัตช์ช่วงตน้ ทศวรรษ 1800 ไดม้ ีชาวจนี อพยพเข้า มามากข้ึน จนทาให้เลือดมลายูของชาวเปอรานากันจางลง จนรุ่นหลังแทบจะเป็นจีนเต็มตัวไปแล้ว ๆ ฟแต่ก็ไม่ได้ทาให้วัฒนธรรมผสมผสานของชาวเปอรานากันจืดจางลงไปเลย การผสมผสานนี้ยังมีให้เห็น ในการแต่งกายแบบมลายเู ชน่ ซารุงกบายา และชุดย่าหยาซ่งึ ถือเปน็ การแต่งกายอันสวยงามที่ผสมผสาน รูปแบบของชาวจีนและมลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝ่ายหญิงใส่เสื้อฉลุลายดอกไม้ รอบคอ เอว และ ปลายแขนอย่างงดงาม นิยมน่งุ ผา้ ซิน่ ปาเต๊ะ ฝ่ายชายยงั คงแต่งกาย คล้ายรปู แบบจีนด้งั เดิม อาหารแบบ เฉพาะตวั และภาษาทผ่ี สมผสานคาท้งั มลายู จนี และอังกฤษไวด้ ว้ ยกนั (ปราณี สกุลพิพัฒน.์ 2553)

14 ภาพท่ี 2.1 แผนทก่ี ารเดินทางไปยงั พิพิธภณั ฑ์เปอรานากนั จังหวัดภเู ก็ต ที่มา http://peranakanphuketmuseum.com/contact-us เมื่อวนั ท่ี 6 ธนั วาคม 2560

15 ภาพท่ี 2.2 ภายนอกพิพธิ ภณั ฑ์เปอรานากัน ทีม่ า https://www.phuketemagazine.com/พิพิธภณั ฑ์เพอรานากันภเู ม่ือวันท่ี 6 ธันวาคม 2560 ภาพท่ี 2.3 ลักษณะชุดแต่งกายของชาวเปอรานากนั ทมี่ า http://peranakanphuketmuseum.com/babastudioเมื่อวนั ที่ 6 ธนั วาคม 2560

16 ภาพท่ี 2.4 มงกฎุ ประกอบพธิ ีแต่งงานของชาวเปอรานากัน ทม่ี า http://travel.sanook.com/1390748/เมื่อวันท่ี 6 ธันวาคม 2560 ภาพท่ี 2.5 ชดุ กอรอสังเปอรานากนั ทมี่ า http://peranakanphuketmuseum.com/เมื่อวนั ท่ี 6 ธันวาคม 2560

17 ภาพท่ี 2.6 ต่างหูหางหงส์ เปอรานากนั ท่ีมา http://peranakanphuketmuseum.com/เมื่อวันท่ี 6 ธันวาคม 2560 ภาพที่ 2.7 เครอ่ื งประดบั ปน่ิ ตั้ง เปอรานากนั ท่ีมา https://www.facebook.com/เครอ่ื งประดบั เปอรานากัน-บาบา๋ -ย่าหยา เมอื่ วนั ที่ 6ธันวาคม 2560

18 ภาพท่ี 2.8 รองเท้าลกู ปัดของชาวเปอรานากัน ท่มี า http://www.manager.co.th/aspbin เมอ่ื วันท่ี 6 ธนั วาคม 2560

บทท่ี 3 วธิ วี จิ ยั การวิจัยคร้ังนี้ใช้วิธีวิเคราะห์เอกสารควบคู่กับการศึกษาโดยการสารวจด้วยวิธีวิจัยเชิงปริมาณ และรายกรณีตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสังเกต การสัมภาษณ์ เพ่ือให้ได้ข้อมูลตาม ประเด็นการวิจัย และนาข้อมูลทั้งสองส่วนมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เสนอผลการวิจัย ในรูปแบบ พรรณนาวิเคราะห์ โดยมขี ั้นตอนดังน้ี 3.1 สถานที่ทาการเก็บข้อมลู ได้แก่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝ่ังอันดามัน 5 จังหวัด คือ ระนอง ภูเก็ต พังงา กระบแ่ี ละตรัง 3.2 วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง การศึกษาวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)และเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยเชิงคุณภาพใช้วิธกี ารสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ ของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนเชิงปริมาณ จะใชว้ ิธีการสุ่มตวั อยา่ ง โดยใชแ้ บบสอบถามในการเกบ็ ข้อมลู เพอ่ื นาผลที่ได้จากการศึกษามาวิเคราะห์ องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมเปอรานากันในพ้ืนที่จังหวัดตรังและภูเก็ต และเสนอแนวทางความเหมาะสม ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมเปอรานากัน เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเท่ียวของพื้นที่จังหวัดตรังและ ภูเก็ต โดยใช้วิธีและเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การศึกษาข้อมูลเบื้องต้นจากเอกสา ร แนวคิด ทฤษฏี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และออกแบบคาถามท่ีใช้ในการสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคคล รวมท้ังออกแบบสอบถาม มีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ไดแ้ ก่ แบบบันทึกในการซักถามและ เครื่องบันทึกเสียงเพ่ือความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูล โดยจะนาข้อมูลที่ได้มาทาการวิเคราะห์เชิง พรรณนา โดยกล่มุ ตัวอย่างมดี งั นี้ 1. การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ใชว้ ธิ ีการคัดเลอื กกลุ่มตวั อย่าง 2 แบบ 3 กลุ่มตวั อยา่ ง แบบที่ 1 การคัดเลอื กกลุม่ ตัวอยา่ งแบบเฉพาะเจาะจง(Purposive Sampling) กล่มุ ตวั อย่างที่ 1 กลุ่มบุคลากรภาคเอกชนกาหนดเป็นบรษิ ทั ทัวร์ จานวน 30 บริษัท ทัวร์ โดยแยกเป็นจังหวัดละ 15 บริษัท เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เพื่อศกึ ษาศกั ยภาพการท่องเที่ยวของแต่ละจังหวดั กลุ่มตัวอยา่ งที่ 2 กลุ่มตัวอย่างจากบุคลากรภาครฐั กาหนดเป็นองคก์ รในทอ้ งถิน่ กาหนดจานวน 20 คน โดยกาหนดจังหวัดละ 10 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ การสนทนา กลุม่ เพ่ือศึกษาSWOT ด้านการอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมเปอรานากนั แบบท่ี 2 การคดั เลือกกลมุ่ ตัวอยา่ งแบบลูกโซ่ (Snowball Sampling) กลมุ่ ตวั อยา่ งที่ 3 กล่มุ ตวั อย่างชาวเปอรานากันในพื้นท่จี ังหวัดตรังและภูเก็ต จานวน 10 คน โดยได้รับคาแนะนาจากภาครัฐในพื้นที่ท้ังสองจังหวัด เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลคือการ สัมภาษณเ์ ชงิ ลึก เพอื่ ศกึ ษาวัฒนธรรมเปอรานากัน

20 2. การวจิ ัยเชิงปรมิ าณ ใช้วิธกี ารคดั เลือกกลุม่ ตัวอยา่ งแบบโดยบงั เอญิ (Accidental Sampling) โดยมี 2 กลุ่มตัวอยา่ ง คอื ประชาชน และนักท่องเที่ยว 2.1 ประชาชนในพืน้ ท่จี ังหวดั ตรงั และภเู ก็ต กาหนดกล่มุ ตัวอยา่ งโดยใช้ใช้สูตร Yamane,1973 อา้ งถงึ ธีรวุฒิ เอกกะกุล.2543 ดงั ตารางต่อไปน้ี ตารางท่ี 3.1 แสดงจานวนประชาชนในพืน้ ท่ีจังหวดั ตรงั และภูเก็ต จงั หวดั จานวน แหล่งท่มี าของขอ้ มลู ขนาดประชากรท่ี คา่ ความคลาด เคลอ่ื น ประชากร ใชส้ าหรบั กลมุ่ ±5% ตวั อยา่ ง ตรงั 638,746 คน กรมการปกครอง ภูเก็ต 378,364 คน กระทรวงมหาดไทย ปีพ.ศ. 400 กลมุ่ ตัวอยา่ ง 2557 2.2 นกั ท่องเท่ียวในจงั หวดั ตรงั และภเู กต็ กาหนดกลมุ่ ตวั อยา่ งโดยใช้สตู รใช้สูตรของ W.G.cochran n  P(1 P)Z2 d2 เมอ่ื n คือ จานวนกลุ่มตวั อย่างทตี่ อ้ งการ P คอื สัดส่วนของประชากรทีผ่ ูว้ จิ ัยต้องการสมุ่ กาหนดท่ี 30% หรือ 0.30 Z คอื ระดับความม่ันใจทกี่ าหนด หรือระดบั นัยสาคญั ทางสถติ ิ กาหนดท่ี Z ท่รี ะดบั นยั สาคญั 0.05 เทา่ กบั 1.96 (ความเชื่อมนั่ 95%) >> Z = 1.96 d คือ สัดสว่ นความคลาดเคล่อื นท่ยี อมให้เกดิ ข้ึนได้ กาหนดที่ ระดับความเชอ่ื มน่ั 95% สดั ส่วนความคลาดเคลื่อนเท่ากับ 0.05 ดงั นน้ั กลมุ่ ตัวอย่างนักท่องเทีย่ วจงึ อยทู่ ี่จังหวดั ละ 350 คน การเก็บและรวบรวมขอ้ มูล ในการศึกษาคร้ังน้ีใช้แหล่งข้อมูล 2 ประเภท คือ แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ และแหล่งข้อมูลทุติยภมู ิ โดยมรี ายละเอียดดังนี้ 1. แหล่งข้อมลู ปฐมภมู ิ (Primary Data) เป็นขอ้ มลู เบ้อื งตน้ ที่ได้จากการสงั เกต การสมั ภาษณ์ และแนวคาถามจากกลุม่ ตวั อย่างทก่ี าหนดข้างต้น 2. แหล่งข้อมูลทุตยิ ภมู ิ (Secondary Data) ไดแ้ ก่ข้อมูลจากเอกสาร เปน็ การศกึ ษาขอ้ มูลเบอื้ งต้นเกี่ยวกบั แนวคดิ ทฤษฏี เอกสารและ งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง เพ่ือกาหนดแนวทางในการศึกษา เป็นประโยชน์ในการทาความเข้าใจและนาไปสู่ แนวทางในการศกึ ษาวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป

21 การวิเคราะหข์ ้อมลู การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย (µ) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (SD) และใช้วิธีการ วิเคราะห์เนื้อหา การสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิ และข้อมูลปฐมภูมิที่ได้จาก การศึกษาในพื้นท่ี จังหวัดตรังและภูเก็ต รวมถึงการใช้หลักสถิติต่างๆ ในการประมาณการหรือการ คาดคะเนจากข้อมูลท่ีได้ และนาผลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา และนาไปสรุปผลของการวิจัย ในลาดบั ตอ่ ไป 3.3 ระยะเวลาทาการวจิ ยั และแผนการดาเนนิ งานตลอดโครงการวจิ ยั 1 ระยะเวลาทาการวิจยั 1 ปี 2 แผนกการดาเนนิ งานตลอดโครงการวิจยั ตารางท่ี 3.2 การบรหิ ารและแผนการดาเนนิ การ 2559 – 2560 กิจกรรม / ขน้ั ตอน ไตร ไตร ไตร ไตร มาสที่ มาสที่ มาสท่ี มาสท่ี 1234 1. ลงพ้นื ทีศ่ กึ ษาขอ้ มลู ช้ันตน้ 2. ตรวจสอบวัฒนธรรมเปอรานากันในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝ่ังอัน ดามนั 3. ศกึ ษาข้อมลู ดา้ นการอนรุ ักษข์ องแต่ละพน้ื ท่ี ตารางท่ี 3.2 การบริหารและแผนการดาเนนิ การ (ตอ่ ) 2559 – 2560 กิจกรรม / ขน้ั ตอน ไตร ไตร ไตร ไตร มาสท่ี มาสที่ มาสท่ี มาสท่ี 4. ศึกษาความพรอ้ มในการรองรบั นกั ท่องเท่ียว 5. เกบ็ ขอ้ มูลจากองคก์ รตา่ งๆทีเ่ กีย่ วข้อง 1234 6. เกบ็ ขอ้ มลู จากประชาชนในพ้นื ท่ี 7. ระดมความคิดเหน็ จากประชาชนในพื้นที่ 8. วิเคราะห์ข้อมูลและหาบทสรปุ ในการวจิ ัย 9. สรุปผลและจัดทาเลม่ ฉบับสมบรู ณ์

22 3.4 แผนการถา่ ยทอดเทคโนโลยหี รอื ผลการวจิ ยั สกู่ ลมุ่ เปา้ หมาย แผนการถ่ายทอดเทคโนโลยแี บง่ ออกเป็น 3 ชว่ งดงั นี้ ช่วงท่ี 1 เม่ือการดาเนินการวจิ ยั ผา่ นไปได้ประมาณ ครึ่งปีงบประมาณแรก มีแผนดาเนินการ ดงั น้ี กจิ กรรมท่ี 1 การจดั ทาข้อมูลเพ่ือเตรยี มการเผยแพร่ 1.1 รวบรวมข้อมูลด้านวัฒนธรรมเปอรานากันท่ีปรากฏเป็นหลักฐานในพ้ืนที่จังหวัดตรังและ ภูเก็ต 1.2 จัดทาเอกสารขอ้ มูลเชงิ หลักการ ซ่งึ เน้ือหาในเอกสารจะเปน็ ขอ้ มลู ท่ีได้มาจากการรวบรวม ข้อมูล ทั้งหมด เพ่ือทาเป็นคู่มือสาหรับเผยแพร่วัฒธรรมเปอรานากันในพื้นท่ีจังหวัดตรังและภูเก็ต เพื่อ นาไปสูก่ ารพฒั นาศกั ยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวดั ตรงั และภูเกต็ ในลาดบั ต่อไป ชว่ งที่ 2 เมอ่ื การดาเนินการวจิ ยั ผ่านไปได้คร่ึงปหี ลงั มีแผนดาเนินการดงั นี้ กิจกรรมท่ี 1 วิเคราะห์แนวทางในการอนุรักษ์ที่เหมาะสมในการเผยแพร่วัฒนธรรม เปอรานากันในพืน้ ท่จี งั หวดั ตรงั และภเู กต็ กจิ กรรมที่ 2 จัดประชุม/สมั มนารว่ ม 3 ฝา่ ย ท้งั หมด 3 ครั้ง ดังนี้ 1 คณะนกั วิจยั ในโครงการ 2 ชมุ ชน/ท้องถ่นิ และหนว่ ยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง 3 สถานศกึ ษาเครือขา่ ย ผลลพั ธ์ท่ีคาดว่าจะได้ในอนาคต 1 ชุมชน/ทอ้ งถิน่ และหน่วยงานในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความตนื่ ตวั ในการพัฒนา ดา้ นการท่องเท่ียว 2 เกิดความร่วมมือกันระหว่างนักวิจัยในโครงการ สถานศึกษาเครือข่าย และชุมชน/ท้องถนิ่ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ในการพัฒนาการท่องเที่ยวและบุคลากรด้านการท่องเที่ยวเพ่ือรองรับ โอกาสทางการตลาดในอนาคต ช่วงท่ี 3 เม่อื งานวจิ ยั เข้าสูเ่ ดือนสุดทา้ ยของงายวจิ ยั กิจกรรมท่ี 1 วางแผนการเผยแพร่ กจิ กรรมท่ี 2 จดั ทารายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ 3.5 ประโยชน์ท่คี าดว่าจะไดร้ ับ เช่น การเผยแพรใ่ นวารสาร จดสิทธิบตั ร ฯลฯ และหน่วยงานท่ีนาผลการวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์ 3.5.1 ในเชงิ นโยบาย 1 หน่วยงานระดับบน เช่น กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา การท่องเท่ียวแห่ง ประเทศไทยสามารถเอาข้อมูลท่ีได้ไปกาหนดเป็นแผนชาติ ยุทธศาสตร์ชาติ เสนอรัฐบาล เพื่อเตรียม ความพรอ้ มของประเทศไทยในการเป็น Hub ด้านการท่องเท่ยี ว 2 หน่วยงานระดับปฏิบัติการ เช่น ระดับจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบจ. อบต. สามารถนาเอาข้อมูลท่ีได้ไปจัดทาโครงการเตรียมความพร้อมในระดับล่าง ตลอดจน

23 สามารถวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ท่ีน่าสนใจให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ตลอดจนการพัฒนาด้าน สาธารณูปโภค/โครงสรา้ งพ้นื ฐานต่างๆ เพอ่ื รองรับการทอ่ งเทย่ี ว 3 หน่วยงานระดับองค์กรเอกชน เช่น สมาคมการท่องเท่ียว สมาคมการโรงแรม สามารถนาเอาข้อมูลท่ีได้ไปวางแผนระยะยาว ระยะสั้น และแผนปฏิบัติการขององค์กรตนเองตลอด วางแผนสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคเอกชนด้วยกัน ภาคเอกชนกับภาครัฐ และกาหนด ทศิ ทางในการทางาน การขอความชว่ ยเหลือจากภาครฐั เพอื่ เตรยี มการส่งเสรมิ การท่องเทย่ี วได้ 3.5.2 ในระดบั การดาเนินงาน/ปฏบิ ัตกิ าร 1 หน่วยงานระดับปฏิบัติการ ต้องมีการพัฒนาท้องถิ่นในรูปแบบต่างๆ ให้มีความ หลากหลาย เพื่อให้มีความแตกต่าง โดดเด่น และมีอัตลักษ์ของตนเองให้ชัดเจน ชุมชนและธุรกิจใน ท้องถ่ินก็ต้องปรับตัว เพื่อรองรับการขยายตัวของจานวนนักท่องเที่ยวท่ีจะเข้ามาในประเทศไทยใน อนาคต 2 สถาบันการศึกษา สามารถนาเอาข้อมูลที่ได้มาจัดทาหลักสูตรพัฒนาการเรียนการ สอนเพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรได้ในหลายสาขาวิชา เช่น สาขาการท่องเที่ยว สาขาการโรงแรม สาขาภาษาศาสตร์ สาขาบริหารธุรกิจ เป็นต้น ได้ตรงตามความต้องการท่ีแท้จริงของแต่ละท้องถิ่น และยังสามารถจัดทาหลักสูตรเพ่ือพัฒนาบุคลากรนอกสถานศึกษาในระดับต่างๆ ได้อีกหลากหลาย หลกั สูตร 3 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของหน่วยงานองค์กรท้องถ่ินในกลุ่มภูมิภาค สามารถ กระทาได้ง่ายข้ึน การเชื่อมต่อเครือข่ายการท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาค เพ่ือเสริมสร้างความเข้าใจกัน และกนั โดยใช้วัฒนธรรมเปน็ สอื่ สัมพันธ์ก็จะมคี วามง่ายและสะดวกข้นึ

บทท่ี 4 ผลการวจิ ยั จากการวเิ คราะหข์ ้อมลู เร่ือง ศึกษาลักษณะการแต่งกายของชาวเปอรานากัน โดยดาเนนิ การ ประเมนิ จากแบบสอบถามมีทั้งหมด 4 ตอน ดงั ผลการวจิ ัยต่อไปน้ี 4.1 ผลการวจิ ยั จากแบบสอบถาม ตอนท่ี 1 ใชส้ าหรับประเมินสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสบถาม ผลการวจิ ัยได้ดงั ต่อไปน้ี ตารางท่ี 4.1 แสดงเพศของกล่มุ ผู้ตอบแบบสอบถาม รายละเอยี ดของเพศ Frequency Percent 158 39.5 ชาย 242 60.5 หญิง 400 100.0 Total จากกลุ่มตัวอย่างท้ังหมด 400 กลุ่มตัวอย่าง พบว่าเป็นเพศหญิงมากท่ีสุด จานวน 242 คน คิด เป็นร้อยละ 60.5 และเปน็ เพศชายน้อยทสี่ ุด จานวน 158 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 39.5 ดงั แผนภมู ิที่ 4.1 ตารางแสดงเพศ ชาย หญิง 39.5 60.5 แผนภมู ิ ชาย หญงิ ที่ 4. 1 แสดงเพศของผตู้ อบแบบสอบถาม

25 ตารางที่ 4.2 แสดงอายขุ องกล่มุ ผู้ตอบแบบสอบถาม รายละเอยี ดของอายุ Frequency Percent 42 10.5 ต่ากว่า 20 ปี 111 27.8 20-30 ปี 149 37.3 31-40 ปี 70 17.5 41-50 ปี 28 7.0 50 ขึน้ ไป 400 100.0 Total จากกลุ่มตัวอย่างพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากมีอายุ 31-40 ปี จานวน 149 คนคิดเป็น ร้อยละ 37.3 รองลงมาคืออายุ 20-30 จานวน 111 คนคิดเป็นร้อยละ 27.8 รองลงมาอายุ 41-50 ปี จานวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 17.5 รองลงมาคอื ต่ากว่า 20 ปี จานวน42 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 10.5และ น้อยทส่ี ุด 50 ปีข้ึนไป จานวน 28 คนคดิ เปน็ ร้อยละ 7.0 ตามลาดับ ดังแผนภมู ทิ ี่ 4.2 ตารางแสดงอายุ ต่ากว่า 20 ปี 20-30 ปี 31-40 ปี 41-50 ปี 50 ขนึ้ ไป 37.3 7 27.8 17.5 10.5 ตา่ กว่า 20 ปี 20-30 ปี 31-40 ปี 41-50 ปี 50 ขนึ้ ไป แผนภมู ทิ ่ี 4.2 แสดงอายุของผ้ตู อบแบบสอบถาม

26 ตารางที่ 4.3 แสดงสถานภาพของผ้ตู อบแบบสอบถาม รายละเอยี ดของสถานภาพ Frequency Percent 124 31.0 โสด 55 13.8 หย่าร้าง 221 55.3 แตง่ งานแล้ว 400 100.0 Total จากกลมุ่ ตัวอย่างพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญม่ สี ถานภาพ แตง่ งานแลว้ จานวน 221 คน คิดเป็นร้อยละ 55.3 รองลงมาคือ โสด จานวน 124 คน คิดเป็นร้อยละ 31.0 และน้อยที่สุดคือ หย่าร้าง จานวน 55 คนคิดเป็นร้อยละ 13.8 ตามลาดบั แผนภูมิท่ี 4.3 ตารางแสดงสถานภาพ โสด หย่าร้าง แต่งงานแล้ว 55.3 31 13.8 แผนภมู ทิ ี่ โสด หย่าร้าง แต่งงานแล้ว 4.3 แสดง สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม

27 ตารางที่ 4.4 แสดงระดบั การศึกษาของกล่มุ ผูต้ อบแบบสอบถาม รายละเอยี ดของการศึกษา Frequency Percent 50 12.5 ต่ากว่ามัธยมศึกษา/ประกาศนียบัตร วิชาชีพ 60 15.0 ประกาศนยี บตั รวิชาชพี ชน้ั สงู 56.0 16.5 ปรญิ ญาตรี 224 100.0 สูงกว่าปรญิ ญาตรี 66 Total 400 จากกลุ่มตัวอย่างพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามสว่ นมากมีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี จานวน 224 คน คิดเป็นร้อยละ 56.0 รองลงมาระดับสูงกว่าปริญญาตรีจานวน 66 คน คิดเป็นร้อยละ 16.5 รองลงมา ระดับประกาศนียบัตรวชิ าชพี ชั้นสูงจานวน 60 คน คิดเป็นร้อยละ 15.0 และน้อยท่ีสุดต่ากวา่ มัธยมศกึ ษา/ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ จานวน 50 คน คดิ เป็นร้อยละ 12.5 คน ดงั แผนภูมิท่ี 4.4 ตรารางแสดงการศึกษา ตา่ กว่ามธั ยมศึกษา/ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ ประกาศนียบัตรวชิ าชีพช้ันสูง ปริญญาตรี สูงกว่าปริญญาตรี 12.5 15 56 16.5 แผนภูมทิ ี่ 4.4 แสดงระดับการศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถาม

28 ตารางที่ 4.5 แสดงอาชีพของกลมุ่ ผูต้ อบแบบสอบถาม รายละเอยี ดของอาชีพ Frequency Percent รบั ราชการ/รัฐวสิ าหกจิ 44 11.0 พนกั งานบริษทั 92 23.0 ทาธรุ กจิ ส่วนตวั 96 24.0 เกษตรกร 47 11.8 นักเรยี น/นักศึกษา 94 23.5 รบั จ้างทว่ั ไป 27 6.8 Total 400 100.0 จากกลุ่มตัวอย่างพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ทาธุรกิจส่วนตัว จานวน 96 คน คิดเป็น ร้อยละ 24.0 รองลงมา นักเรียน/นักศึกษา จานวน 94 คน คิดเป็นร้อยละ 23.5 รองลงมาพนักงาน บริษัทจานวน 92 คน คิดเป็นร้อยละ 23.0 รองลงมาเกษตรกร จานวน 47 คน คิดเป็นร้อยละ 11.8 รับ ราชการ/รัฐวิสาหกิจจานวน 44 คน คิดเป็นร้อยละ 11.0 และน้อยที่สุดคือรับจ้างท่ัวไป จานวน 27 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 6.8 ดังแผนภมู ิที่ 4.5 ตารางแสดงอาชีพ รับราชการ/รัฐวสิ าหกจิ พนักงานบริษทั ทาธุรกจิ ส่วนตัว รับจ้างทว่ั ไป เกษตรกร นักเรียน/นักศึกษา 11 23 24 11.8 23.5 6.8 แผนภมู ทิ ่ี 4.5 แสดงอาชพี ของผตู้ อบแบบสอบถาม

29 ตารางที่ 4.6 แสดงรายได้ของผูต้ อบแบบสอบถาม รายละเอยี ดของรายได้ Frequency Percent 2 .5 ไม่มรี ายได้ 109 27.3 5,000-10,000 บาท 39.5 10,001-20,000 บาท 158 32.8 มากกว่า 20,000 บาท 131 100.0 Total 400 จากกล่มุ ตัวอย่างพบว่าสว่ นใหญม่ ีรายได้ 10,001-20,000 บาท จานวน 158 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 39.5 รองลงมาพบว่ามีรายได้มากกว่า มากกว่า 20,000 บาท จานวน 131 คน คิดเป็นร้อยละ 32.8 รองลงมารายได้ 5,000-10,000 บาท จานวน 109 คน คิดเป็นร้อยละ 27.3 และน้อยท่ีสุดไม่มีรายได้ จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 40.5 ดงั แผนภูมทิ ี่ 4.6 ตารางแสดงรายได้ ไม่มีรายได้ 5,000-10,000 บาท 10,001-20,000 บาท มากกวา่ 20,000 บาท 39.5 32.8 27.3 0.5 แผนภมู ทิ ี่ 4.6 แสดงรายได้ของผูต้ อบแบบสอบถาม

30 การประเมนิ เกย่ี วกบั ความรู้และความเข้าใจลักษณะการแตง่ กายของชาวเปอรานากนั ไดผ้ ลวจิ ยั ดงั น้ี ตารางท่ี 4.7 รวู้ ่าบา้ บา๋ คอื ลักษณะการแต่งกายของชาวภเู ก็ตหรอื ไม่ รายละเอียด Frequency Percent 317 79.3 รู้ 83 20.8 ไมร่ ู้ 400 100.0 Total จากตารางที่ 8 พบว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้ว่าบ้าบ๋าคือลักษณะการแต่งกายของชาวภูเก็ต จานวน 317 คน คิดเป็นร้อยละ 79.3 และไม่รู้ว่าบ้าบ๋าคือลักษณะการแต่งกายของชาวภูเก็ต น้อยท่ีสุด จานวน 83 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 20.8 ดังแผนภูมิท่ี 4.7 บ้าบ๋าคือลกั ษณะการแต่งกายของชาวภูเกต็ รู้ ไมร่ ู้ 79.3 20.8 รู้ ไม่รู้ แผนภูมทิ ี่ 4.7 แสดงความรดู้ า้ นลักษณะการแต่งกายของบ้าบ๋าของชาวภเู ก็ตหรอื ไม่

31 ตารางท่ี 4.8 แสดงท่านรู้ว่าย่าหย่าเปน็ ชดุ ของผู้หญงิ ในจงั หวดั ภูเก็ตหรอื ไม่ รายละเอยี ด Frequency Percent 254 63.5 รู้ 146 36.5 ไม่รู้ 400 100.0 Total จากกลุ่มตัวอย่างพบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะรู้ย่าหย่าเป็นชุดของผู้หญิงในจังหวัดภูเก็ต จานวน 254 คน คิดเป็นร้อยละ 63.5 และน้อยท่ีสุดคือไม่รู้ว่าย่าหย่าเป็นชุดของผู้หญิงในจังหวัดภูเก็ต จานวน 146 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 36.5 ตามลาดบั แผนภูมทิ ่ี 4.8 ย่าหย่าเป็ นชุดของผู้หญงิ ในจังหวดั ภูเกต็ รู้ ไม่รู้ 63.5 36.5 รู้ ไม่รู้ แผนภมู ทิ ่ี 4.8แสดงความรเู้ กย่ี วกบั ชดุ ยา่ หย่าเปน็ ชดุ ของผหู้ ญิงในจังหวดั ภเู กต็

32 ตารางที่ 4.9 การแต่งกายของชาวบ้าบา๋ และยา่ หย่า จะต้องใส่เครือ่ งประดับให้ถูกต้องตามกาลเทศะ รายละเอยี ด Frequency Percent 175 43.8 รู้ 225 56.3 ไมร่ ู้ 400 100.0 Total จากกลุ่มตัวอย่างพบว่าส่วนใหญ่นักท่องเท่ียวจะไม่รู้ว่าการแต่งกายของชาวบ้าบ๋าและย่าหย่า จะต้องใส่เครื่องประดับให้ถูกต้องตามกาลเทศะ จานวน 225 คน คิดเป็นร้อยละ 56.3 และน้อยท่ีสุดจะ รู้วา่ การแต่งกายของชาวบ้าบ๋าและย่าหย่า จะต้องใสเ่ คร่ืองประดบั ให้ถูกต้องตามกาลเทศะ จานวน 175 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 43.8 ตามลาดับแผนภูมิท่ี 4.9 แผนภูมทิ ่ี 4.9 แสดงความรูเ้ ก่ยี วกบั การแต่งกายของชาวบา้ บ๋าและย่าหย่า จะต้องใส่เครอื่ งประดบั ให้ ถูกต้องตามกาลเทศะ

33 ตารางที่ 4.10 เครือ่ งประดบั แต่ละช้นิ จะมีความหมายตามลักษณะกิจกรรมท่ีใส่รวมกับชดุ เชน่ ดอกไม้ ไหว กระดุม เหลา่ น้เี ปน็ ต้น รายละเอยี ด Frequency Percent 191 47.8 รู้ 209 52.3 ไม่รู้ 400 100.0 Total จากกลุ่มตวั อย่างพบว่าสว่ นใหญ่นักท่องเที่ยวไม่รู้ว่าเคร่ืองประดบั แต่ละช้นิ จะมีความหมายตาม ลักษณะกิจกรรมท่ีใสร่ วมกับชดุ เชน่ ดอกไมไ้ หว กระดุม เหลา่ นีเ้ ป็นตน้ จานวน 209 คน คิดเป็นร้อยละ 52.3 และรู้ว่าเครื่องประดับแต่ละชิ้นจะมีความหมายตามลักษณะกิจกรรมท่ีใส่รวมกับชุด เช่น ดอกไม้ ไหว กระดุม เหลา่ นเ้ี ป็นตน้ 191 คน คิดเป็นร้อยละ 47.8 ตามลาดบั แผนภมู ทิ ่ี 4.10 เคร่ืองประดับแต่ละชิน้ จะมคี วามหมายตามลกั ษณะกจิ กรรมทใ่ี ส่ รวมกบั ชุด เช่น ดอกไม้ไหว กระดุม เหล่านีเ้ ป็ นต้น รู้ ไม่รู้ 52.3 47.8 รู้ ไม่รู้ แผนภูมทิ ี่ 4.10 แสดงความรูเ้ กี่ยวกบั เคร่ืองประดับแต่ละชน้ิ จะมคี วามหมายตามลักษณะกจิ กรรมท่ีใส่ รวมกบั ชดุ เชน่ ดอกไมไ้ หว กระดุม เหลา่ นเ้ี ปน็ ต้น

34 ตารางท่ี 4.11 รู้วา่ ชุดบา้ บ๋า ยา่ หยา่ เป็นชดุ ของชาวเปอรานากันหรือไม่ รายละเอยี ด Frequency Percent 157 39.3 รู้ 243 60.8 ไมร่ ู้ 400 100.0 Total จากกลุ่มตัวอย่างพบว่าส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะไม่รู้ว่าชดุ บ้าบ๋า ย่าหย่า เป็นชุดของชาวเปอรา นากัน จานวน 243 คน คิดเป็นร้อยละ 60.8 รู้ว่าชุดบ้าบ๋า ย่าหย่า เป็นชุดของชาวเปอรานากันจานวน 157 คน คิดเปน็ ร้อยละ 39.3 ตามลาดับแผนภูมทิ ี่ 4.11 ชุดบ้าบ๋า ย่าหย่า เป็ นชุดของชาวเปอรานากนั รู้ ไม่รู้ 60.8 39.3 รู้ ไม่รู้ แผนภมู ทิ ่ี 4.11 แสดงความรู้เกี่ยวกับชดุ บา้ บ๋า ย่าหยา่ เปน็ ชุดของชาวเปอรานากนั

35 ตารางที่ 4.12 ชดุ ของชาวเปอรานากันสามารถสวมใสใ่ นพิธีการตา่ งๆ โดยการสวมใส่ในแต่ละพิธกี ารจะ มกี ารประดบั เคร่ืองประดับไม่เหมือนกัน รายละเอยี ด Frequency Percent 222 55.5 รู้ 178 44.5 ไมร่ ู้ 400 100.0 Total จากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะพบว่านักท่องเที่ยวรู้ว่าชุดของชาวเปอรานากันสามารถสวมใส่ใน พธิ ีการตา่ งๆ โดยการสวมใสใ่ นแต่ละพิธกี ารจะมีการประดับเครื่องประดับไมเ่ หมือนกนั จานวน 222 คน คิดเป็นร้อยละ 55.5 รองลงมาจะไม่รู้ว่าชุดของชาวเปอรานากันสามารถสวมใส่ในพิธกี ารต่างๆ โดยการ สวมใสใ่ นแต่ละพธิ ีการจะมีการประดับเครื่องประดับไม่เหมือนกนั จานวน 178 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 44.5 ตามลาดับแผนภมู ิท่ี 4.12 ชุดของชาวเปอรานากนั สามารถสวมใส่ในพธิ ีการต่างๆโดยการ สวมใส่ในแต่ละพธิ ีการจะมีการประดบั เครื่องประดบั ไม่ เหมือนกนั รู้ ไม่รู้ 55.5 44.5 รู้ ไม่รู้ แผนภมู ทิ ่ี 4.12 แสดงความรู้เก่ยี วกับชดุ ของชาวเปอรานากันสามารถสวมใส่ในพธิ ีการตา่ งๆ โดยการ สวมใสใ่ นแต่ละพธิ กี ารจะมกี ารประดบั เครื่องประดบั ไมเ่ หมือนกนั

36 ตารางที่ 4.13 แสดงการประเมนิ เกีย่ วกบั ลักษณะการแต่งกายของชาวเปอรานากันไดผ้ ลวิจยั ดังน้ี N = 400 รายการ Std. ความหมาย Mean Deviation ด้านเคร่ืองแต่งกาย เอกลกั ษณ์และความเปน็ วัฒนธรรม 3.48 .67 ปานกลาง รูปแบบและความสวยงามของชดุ 3.28 .80 ปานกลาง ความเหมาะสมในการแตง่ กายตามกาลเทศะ 3.47 .84 ปานกลาง การออกแบบลักษณะลวดลายของชดุ 3.22 .88 ปานกลาง ความสวยงามของเคร่ืองประดับ 3.28 .87 ปานกลาง ความโดดเดน่ ของรองเทา้ ทส่ี วมใส่ 3.34 .89 ปานกลาง ความทันสมัยในการสวมใส่ 3.34 .90 ปานกลาง 3.31 .80 ปานกลาง ความคงทนของเส้ือผา้ ของชาวเปอรานากนั 3.33 .85 ปานกลาง ความสนใจของลกั ษณะการแต่งกายของชาวเปอรานา กัน 3.39 .90 ปานกลาง ลวดลายและความเรียบง่ายของชดุ รวม 3.34 0.84 ปานกลาง จากตารางที่ 4.13 ผลการวิจัยด้านเครื่องแต่งกาย พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามแสดงถึงลักษณะ การแต่งกายของชาวเปอรานากันเพ่ือสงเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดภเู ก็ต โดยลาดับตามระดับค่าเฉล่ยี สูงสุดคือลาดับผู้ที่ตอบมากที่สุดคือ เอกลักษณ์และความเป็นวัฒนธรรม โดยมีค่าเฉล่ียอยู่ที่ 3.48 และมี ค่า SD. อยู่ที่ 0.67 รองลงมาคือความเหมาะสมในการแต่งกายตามกาลเทศะ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.47 และมีค่า SD. อยู่ท่ี 0.84 รองลงมาคือ ลวดลายและความเรียบง่ายของชดุ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ท่ี 3.39 และ มีค่า SD. อยู่ที่ 0.90 รองลงมาคือความทนั สมัยในการสวมใส่โดยมีคา่ เฉลยี่ อยู่ที่ 3.34 และมคี ่า SD. อยทู่ ่ี 0.90 รองลงมาคือ ความโดดเด่นของรองเท้าท่ีสวมใส่ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ 3.34 และมีค่า SD. อยู่ท่ี 0.89 รองลงมาคือ ความสนใจของลักษณะการแต่งกายของชาวเปอรานากัน โดยมีค่าเฉล่ียอยู่ท่ี 3.33 และมี ค่า SD. อยู่ท่ี 0.85 รองลงมาคือ ความคงทนของเสื้อผ้าของชาวเปอรานากัน โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ท่ี 3.31 และมีค่า SD. อยู่ที่ 0.80 รองลงมาคือความสวยงามของเครอ่ื งประดบั โดยมคี า่ เฉลยี่ อยทู่ ี่ 3.28 และมคี ่า SD. อยู่ท่ี 0.87 รองลงมาคือ รูปแบบและความสวยงามของชุดโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ท่ี 3.28 และมีค่า SD.

37 อยทู่ ่ี 0.80 และ การออกแบบลักษณะลวดลายของชดุ โดยมีค่าเฉลีย่ อย่ทู ี่ 3.22 และมีคา่ SD. อยู่ท่ี 0.88 โดยมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ท่ี 3.34 และมีคา่ SD รวมอยูท่ ่ี 0.84 ดังแผนภูมิ 4.13 ความสนใจของ ลวดลายและความด้านเคร่ืองแต่งกาเยอกลกั ษณ์และความ ลกั ษณะการแต่งกาย เป็นวฒั นธรรม, ของชาวเปอรานา เรียบง่ายของชุด, 3.39 3.48 รูปแบบและความ กนั , 3.33 สวยงามของชุด, 3.28 ความคงทนของ ความเหมาะสมใน เส้ือผา้ ของชาว การแตง่ กายตาม เปอรานากนั , กาลเทศะ, 3.47 3.31 ความทนั สมยั ใน การออกแบบ การสวมใส่, 3.34 ลกั ษณะลวดลาย ของชุด, 3.22 ความโดดเด่นของ รองเทา้ ท่ีสวมใส่, ความสวยงามของ เคร่ืองประดบั , 3.28 3.34 แผนภมู ทิ ี่ 4.13 แสดงการประเมนิ เกยี่ วกับลกั ษณะการแต่งกายของชาวเปอรานากนั

38 ตารางที่ 4.14 แสดงการประเมนิ เกย่ี วกับการพัฒนาเป็นแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วของชาวเปอรานากนั ได้ผลวจิ ยั ดงั นี้ N = 400 รายการ Std. ความหมาย ลาดบั Mean Deviation ดา้ นการพฒั นาเปน็ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี ว มเี อกลักษณเ์ ฉพาะตัวท่ีแตกต่างจากวัฒนธรรม 3.33 .85 ปาน 2 อื่นๆ กลาง มอี งค์ประกอบที่เหมาะสมในการพัฒนาการ 3.14 ทอ่ งเท่ยี ว ไดแ้ ก่ความมีเอกลักษณ์ ความ .82 ปาน 4 สวยงาม ความมีช่ือเสยี งความแปลกใหม่ที่คง 3.35 กลาง ความเป็นบา้ บ๋าและยา่ หย่าดั้งเดมิ 3.20 3.25 .73 ปาน 1 มคี วามเหมาะสมในการพฒั นาเป็นการ กลาง ทอ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของคนในชุมชน .77 ปาน 3 ชุมชนให้ความสาคญั กับการแต่งกายแบบบ้าบ๋า กลาง ย่าหย่า 0.79 ปาน รวม กลาง จากตารางที่ 4.14 ผลการวิจัยด้านการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเท่ียวพบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม แสดงถึงลักษณะการแต่งกายของชาวเปอรานากันเพ่ือสงเสริมการท่องเท่ียวในจังหวัดภูเก็ต โดยลาดับ ตามระดับร้อยละสูงสุดคือ มีความเหมาะสมในการพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของคนใน ชุมชนโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.35 และมีค่า SD. อยู่ที่ 0.73 รองลงมาคือมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่าง จากวัฒนธรรมอนื่ ๆโดยมีค่าเฉลีย่ อยู่ที่ 3.33 และมคี ่า SD. อยทู่ ่ี 0.85 รองลงมาคือ ชมุ ชนใหค้ วามสาคัญ กับการแต่งกายแบบบ้าบ๋าย่าหย่าโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ท่ี 3.20 และมีค่า SD. อยู่ที่ 0.77 รองลงมาคือ มี องค์ประกอบท่ีเหมาะสมในการพัฒนาการท่องเท่ียว ได้แก่ความมีเอกลักษณ์ ความสวยงาม ความมี ชื่อเสยี งความแปลกใหม่ทคี่ งความเปน็ บ้าบา๋ และย่าหย่าดง้ั เดิมโดยมีคา่ เฉลีย่ อยู่ที่ 3.14 และมคี า่ SD. อยู่ ที่ 0.82โดยมคี า่ เฉล่ยี รวมอย่ทู ี่ 3.25 และมีคา่ SD รวมอยู่ท่ี 0.79 ดงั แผนภูมิ 4.14

39 แผนภูมทิ ี่ 4.14 แสดงการประเมนิ เกี่ยวกับการพัฒนาเป็นแหล่งทอ่ งเที่ยวของชาวเปอรานากัน 4.2 ผลการวจิ ยั ตามวตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือศึกษาการแตง่ กายของชาวเปอรานากนั ในเขตพื้นทจี่ ังหวัดภูเกต็ 1.1 ดา้ นลักษณะการแตง่ กาย ชุดบ้าบ๋าเป็นชุดท่ีสามารถใช้ได้ต้ังแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ ใช้ในชีวิตประจาวันในโอกาสไป ตลาด ไปวัด ไปไหว้พระที่ศาลเจ้า ผ้านุ่งเป็นผ้าปาเต๊ะ ตัวเส้ือความยาวระดับเอวชายเสื้อแต่งขอบด้วย ลูกไม้ คอตั้งติดคอผ่าหน้าติดกระดุมทองหรือเข็มกลัดแถว แขนเสื้อยาวจีบปลายแขน มีกระเป๋าใบใหญ่ สองขา้ ง ชดุ ยา่ หยา่ จะแบง่ ออกเป็น 3 แบบด้วยกัน ได้แก่ เคบายาลินดานยิ มใช้ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2463-2473 นิยมใช้กับผ้าปา่ นหลายสีหรือผ้าหนา ที่มีลายดอก ปลายเสื้อด้านหน้าแหลมยาวแต่ด้านหลังจะส่ันกว่าคลุมสะโพก เข้ารูปเล็กน้อยไม่ถึงกับ รดั รูป ชายเสือ้ ปลายแขนเสือ้ ขอบปกและคอเสอ้ื ตดิ ผ้าลกู ไมจ้ ากยุโรป ฮอลนั ดาเปน็ ประเทศทม่ี ีชือ่ เสียง ในดา้ นการผลิตผ้าลูกไม้ทามือคนขายผา้ ในภูเก็ตเรียกว่า รเู บีย แตช่ าวองั กฤษ เรยี กว่า ออกันดี ลูกไม้ตก แต่งตัวเส้ือจะมีสีขาวเท่านั้น ใช้เครื่องประดับกอรอสังท่ีมีเข็มกลัด 3 ตัว กลัดรวมกันลักษณะเป็นลาย เครือเถาช่อดอกไม้หรือรูปสัตว์มงคลแมลงปอ ใบไม้โยงด้วยสายสร้อยเชื่อมต่อกัน ทาด้วยทอง

40 ทองเหลือง หรือนาก โซ่ติดเสื้อแทนกระดุม เป็นเสื้อเข้ารูปในภาษามาลายูเรียกว่า “Kebaya” สาหรับ ชาวจนี เรียกวา่ “ปวั่ ตง่ึ เต้”(คร่ึงส้นั ครึง่ ยาว) เคบายา บีกู (KebayaBiku) นิยมในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2473 -2483 ซ่ึงถือเป็นการพัฒนา แฟช่ันเส้ือของผู้หญิงบ้าบ๋าอีกรูปแบบหน่ึง เนื่องจากความเจริญด้านเทคโนโลยีทาให้รูปแบบของเส้ือ เปลยี่ นไป เสอื้ แบบน้มี กี ารฉลลุ ายเล็กๆริมขอบสาบเสื้อด้านหน้ารอบสะโพกคล้ายคัตเวริ ์ค ลายท่ีนยิ มคือ ลายหอยแครง จกั รเยบ็ ผ้าสามารถทาอะไรได้มากข้ึนผา้ ที่ใชต้ ัดเส้ือเปน็ ผ้าพ้นื ผูห้ ญิงบา้ บษาส่วนใหญ่จะ ปกั ลายของเสือ้ ดว้ ยตนเอง เคบายา ซูแลม (KebayaSulam) นิยมอยู่ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2ประกอบด้วยกางเกงและ เสื้อคอตั้ง แขนเส้ือยาว มีกระเป๋าคล้ายชุดราชประเต็น สวมหมวกกะโล่ สาหรับผู้สูงวัยก็จะใช้ไม้เท้า 483-2500 ลักษณะคล้ายเคบายาบีกู แตกต่างกันตรงลายฉลุท่ีงดงามกว่าเน้นการฉลุลายด้วนสีสัน สวยงามท้งั ด้านหนา้ และด้านหลัง เสอื้ แบบน้ปี รากฏในภูเกต็ จนถงึ ประมาณหลังสงครามโลกคร้งั ที2่ เสื้อ ย่าหยา แบบเคบายาบีกู และเคบายา ซูแลม ค่อยข้างเน้นทรวดทรงมากและเส้ือตัวในซึ่งเป็นเส้ือซับใน ปรบั เปล่ยี นจากเสื้อคอกระเชา้ รมิ ตดิ ลูกไมเ้ ล็กๆมาเป็นเสือ้ ช้ันในบราเซยี ชุดแต่งงานของเจ้าสาว มีความวิจิตรงดงามต้ังแต่หัวจรวดเท้าเสื้อครุยเจ้าสาวส่วนใหญ่จะใช้ ผ้าลูกไมห้ รอื ผา้ ป่านแกว้ ข้างในเปน็ เอคอตัง้ แบบจีน ปลายแขนเสื้อจับจีบแบบเสอื้ มเลเซยี ตวั เสื้อสั้นลอย แบบพม่า ส่วนผ้านุ่งใช้ปาเต๊ะสีสดแบบชาวอินโดนิเซีย เคร่ืองแต่งกายที่ใช้บงบอกให้เห็นถึงความ หลากหลายทางชาติพันของชาวเปอรานากัน ม่ใช่ชุดจีนหรือมุสลิมอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เกิดจากการ ผสมผสานกันจนออกมาเป็นชุดท่ีสวยงามอลังการความเป็นจีนสะท้อนออกมาจากรูปแบบของชุดครุยท่ี คล้ายกับฉลองพระองค์ของฮองเฮา ขณะที่ความเป็นมุสลิมก็ปรากฏในลายปีกท่ีละเอียด จากเดิมคนจีน นิยมชุดสีแดงก็เริ่มมีสีม่วงของมุสลิมเข้ามาปนกลายเป็นสีอ่อนลงมา สวมกับด้วยครุยยาวผ้าป่านรูเบียร์ หรือผ้าแพรจีน สีที่นิยมคือชมพู ส้ม ครีม ฟ้า หรือโทนสีหวานๆ ลวดลายของครุย มักเป็นดอกไม้แมลง หรือสัตว์มงคลตามความเชื่อ เครื่องประดับเป็นทองและเพชรอลังการใส่ตุ้มหูระย้าสวมสร้อยคอทอง เรียกวา่ สร้อยคอโกปี้จี๋ ท่นี ่าอกเส้ือจะประดบั ประดาดว้ ยปิ่นต้งั ที่ทาจากทองคาเหมือนรูปดาวเตม็ หน้าอก ห้อยสายสร้อยทองสวมแหวนกาไลกาไลข้อเท้า นุ้งโสร่งปาเต๊ะ ซ่ึงจะเลือกสีคลุมโทนเดียวกับเสื้อครุย และสวมรองเท้าลูกปัด ซ่ึงผู้ใส่ต้องตัดเย็บเองโดยการสบื ทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น สตรีบ้าบ๋าเม่ือเข้าสู่ วัยรุ่นจะได้รับความถ่ายทอดความรู้ด้านงานผีมือแม่บ้านการเรือน ในการเย็บปักถักร้อยไม่ว่าจะเป็น รองเท้าการฉลุผ้าคัตเวิร์คการปักลูกปักการเย็บหมอนปลอกหมอน ม่านหน้าต่างจากผู้ใหญ่ได้แก่ ยาย แม่ ป้า อา ซึ่งเป็นสมาชิกในบ้านเพื่อเตรียมตัวที่จะเป็นเจ้าสาวในอนาคต ความรู้เหล่าน้ีล้วนเป็นส่ิงท่ี จาเป็นอย่างยิ่งสาหรับสาวๆเพราะเป็นคุณสมบัติท่ีจะต้องมีติดตัวก่อนที่จะออกเรือน รวมท้ังสืบทอดส่ิง งานฝีมอื เหลา่ นสี้ ู่ลูกสาวของตนต่อไปนี้อนาคต ชุดนายเหมอื งประกอบด้วยกางเกงและเส้ือคอตั้ง แขนเส้ือยาว มีกระเป๋าคล้ายชุดราชประเตน็ สวมหมวกกะโล่ สาหรับผ้สู งู วยั ก็จะใช้ไม้เทา้ การแต่งกายของผูช้ ายแบบชดุ สากล เส้ือเชิ้ตแขนยาวผูกเนคไทใส่สูตรโดยทั่วไปเจ้าบ่าวจะแตง่ กายสวมเส้ือนอกแบบยุโรปเช่นกัน เพราะคนภูเก็ตค่อนข้างจะมีวิถีไปทางยุโรป เป็นกลุ่มคนที่มีฐานะ เสอ้ื เจา้ บ่าวมกั จะมเี ข็มกลดั ติดพสู่ ีชมพตู กแต่งเพอื่ ความสวยงาม ชาวบ้าบ๋าในยคุ น้นั จะมีคาเรยี กการแต่ง กายแบบสากลว่า .”สวมแมเ่ สอื้ ใสเ่ กอื กแบเรต็ ”

41 ผ้าปาเต๊ะจะมีลวดลายที่แตกต่างกันโดยแต่งตามฐานะหรือตามเทศกาลต่างๆส่วนงานมงคลจะ ใช้เปน็ ลายดอกโบตน๋ั ซึ่งเป็นดอกไมม้ งคล ชุดตึงผ่าว(ชุดกี่ผ่าวยาว) และชุดผ่าว(ชุดกี่เพ้าสั้น)2ชุดน้ีเป็นที่นิยมมากใส่ออกงานนอกบ้านไป งานสาคัญเพื่อถ่ายรูปใส่กลับบ้านเพ่ือเจ้าสาวแต่งงานแล้วครบ6วัน นิยมใส่ตึงผ่าวมากกว่าดูสุภาพ เรยี บร้อยชุดแบบนเ้ี น้นทรวดทรงผู้สวดใส่ต้องหุ่นดีสาวเปรีย้ วนิยมใส่แบบนี้ การแตง่ กายของเดก็ ผหู้ ญงิ นยิ มนุ่งกางเกงชุดเซ่ียวไฮ้เปน็ ชุดทีใ่ ช้ใสท่ ั้งที่บา้ นและนอกบา้ นใช้ผ้า มีลวดลายเล็กๆสอี อ่ น เชน่ สีชมพู สีฟ้า โดยเสื้อกบั กางเกงสีเข้าชดุ กนั กางเกงขาใหญ่คล้ายกางเกงเลต้อง มีเข็มขัดคาดเอวตัวเส้ือยาวประมาณสะโพกเส้ือคลุมสะโพกคอจีนป้ายข้างผ่าตลอดติดกระดุมป้อลิ๋ด้าน ในมีกระเป๋าใส่เลก็ เพอ่ื ใส่เงินหรือผ้าเช็ดหนา้ ผ้ชู ายแบบจีนยคุ แรกๆจะมีเส้ือคลุมแพรจีนยาวกบั กางเกงขายาวชดุ คลมุ มีกระดุมเชือกถักยาวท่ี หนา้ อกส่ีชุดและกระดุมเชือกถักสั้นทคี่ อหนง่ึ ชดุ สวมหมวกสีดาคลา้ ยเจา้ พอ่ ในหนังจีน รองเทา้ ใช้เป็นรองเท้าที่ผู้จะปักด้วยตัวเองโดยใช้ลูกปัดปักลงไปทีละเม็ด เพ่ือแสดงถึง ประณีต และความเป็นกลุ สตรใี นตัวผหู้ ญงิ คนนั้น 1.2 ดา้ นเครอ่ื งประดับ มงกุฎเจา้ สาว หรือ ฮ่ัวก๋วน ที่ประดิษฐ์จากดิ้นเงินดิ้นทอง เป็นดอกไม้ไหว หรือเรียกว่า “ดอก เฉงก๊อ” และลูกปัดแก้ว-ทอง โดยเจ้าสายจะต้องเกลา้ ผมแบบโบราณที่เรียกวา่ “ทรงชักอีโบย” ด้านบน ท า ม ว ย “ห อ ย โ ข่ ง ”ซ่ึ ง ป ร ะ ดั บ ด้ ว ย “ห ง ส์ ”-“เ ฟิ ง ” ห รื อ เ ฟิ่ ง ห ว า ง ( Feng-Huang) ห รื อ “ฟินิกซ์”(Phoenix) โดยความหมาย คือ หงส์เป็นใหญ่สุดในหมู่มวลสัตว์ปีกมีเสียงร้องกังวานดุจเสียง ขลุ่ย หงส์ปรากฏตัวในแผ่นดินที่มีแต่ความสงบร่มเย็น จึงเป็นนัยยะท่ีจะสอนเจ้าสาวว่าเม่ือแต่งงานเข้า อยู่บา้ นสามีแลว้ ตอ้ งมี ปยิ ะวาจาที่อ่อนหวานดุจเสยี งกังวานของหงส์ดูแลบ้านสามีใหเ้ กิดความสงบร่มเย็น และในภายภาคหน้า อาจจะได้เป็นใหญ่ดุจนางพญาหงส์ของบ้าน ด้านหน้าของมวยผมประดับด้วยดอกไม้และผีเส้ือ ด้วย ความหมายสอื่ ถงึ การใชช้ ีวติ คู่ และความรักความผูกพนั ทีม่ ตี อ่ กบั ชั่วกัลปาวสาน ปน่ิ ปักผม ปิน่ ปกั ผมทาด้วยทองคาประดับเพชรฉีกสมัยก่อนผูหญิงมักไว้ผมยาวมีการเกล้าม้วน ผมเป็นสองแบบแบบแรกเป็นการรวบผมตึงประมาณทา้ ยทอยแบบมวยตา่ ใช่เข้มเหน็บมวยเพียงอนั เดียว หรือสองอันแบบต่อมาเป็นการเกล้ามวยสูงหรือที่เรียกว่าชัก “อีโบย” แบบน้ีจะใช้เมื่อแบบสวมชุดครุย ยาวรอบมวยผมจะตกแต่งด้วยดอกไม้ใช่เข็มเหน็บมวยสาม,ห้าหรือเจ็ดอัน ถ้าเป็นเจ้าสาวต้องปักหกอัน เท่าน้ันโดยผู้ท่ีปักทางขวาคือสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานที ส่วนสตรีท่ีปักทางด้านซ้ายคือสตรีที่แต่งงานแล้ว วิธีปักอันแรกของป่ินปักผมต้องให้อยู่กลางหน้าผากหรือตรงกลางจมูกของเจ้าสาวถึงจะถูกต้องโดยการ ปักจากอันเล็กไล่ไปถึงอันใหญ่ สาหรับชุดแต่งงานมวยผม จะประดับด้วยฮิวก๋วน (มงกุฎ) ติดดอกไม้ไหว ปกั ดว้ ยเขม็ เหนบ์ มวยรอบด้าน สร้อยหลันเต๋ป๋ายเป็นสร้อยคอทองคาประดับเพชรลูกหรือเพชรซีกหรืออัญมณีอ่ืนๆ ฉลุลาย เครือเถารูปนกหรือแมลงและดอกไม้มีความพริ้วไหวทาให้เวลาเคล่ือนไหวทาให้เพชรระยิบระยับสะดุด ตาและดูอ่อนช้อยนางแบบสามารถถอดแยกช้ินเป็นเข็มกลัดสร้อยมือหรือกลับหัวเป็นมงกุฎได้ ด้วยมี ความวจิ ติ รสวยงามตามรูปแบบชา่ งชาวจีนในยุคน้ัน