ลําดบั ท่ี ภาษาชอง ความหมาย ลาํ ดับท่ี ภาษาชอง ความหมาย ๑๒๑. ลองกอง ลองกอง ๑๓๑. อดู ค่าบ พร่ี ๑๒๒. ละ กะ ละ ฮอง ผกั โขมปา่ ๑๓๒. อดู คา่ บ โพร่ง ไม้รวก ๑๒๓. ละ ยี รา ยีห่ รา่ , กระเพรา ๑๓๓. อูดคา่ บ มะ รวก ญวน ๑๓๔. อดู ค่าบ ลา่ ย ไม้ตะเคยี น ๑๒๔. ลาํ ใย ลําไย ๑๓๕. อูดคา่ บ ลาํ มะ มะค่าโมง ๑๒๕. วาน นา่ ม หวา้ น้ํา ลอก ผกั หวาน ๑๒๖. อูดค่าบ ไผ่ ๑๓๖. อูด ตะเคยี ว ตงั หัน ๑๒๗. อูดค่าบ คันรมุ ๑๓๗. อดู มะค่า ๑๒๘. อดู คา่ บ เช้ ไม้ซี้ ๑๓๘. ฮละ ปรจิ ๑๒๙. อดู คาบ ซกุ ๑๓๙. ฮับ ปราป ๑๓๐. อดู ค่าบ ต็อง ทั้งนี้พบชื่อพืชท่ีเป็นคําเรียกของชาวชอง แต่ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับชื่อเรียกภาษาไทยได้ทั้งหมด จาํ เป็นตอ้ งมกี ารศกึ ษาค้นคว้าต่อไป นอกจากน้ียังมีการรวบรวมคําศัพท์ไว้ในพจนานุกรมภาษาชอง ท้ังฉบับท่ี ชุมชนได้รวบรวมไว้๑ และฉบับท่ีนักวิชาการได้รวบรวมไว้ ในพจนานุกรมภาษาชอง๒ และพจนานุกรมภาษา ชอง – ไทย – อังกฤษ๓ โดย สวุ ิไล เปรมศรีรตั น์และคณะ ๒.๔ ลกั ษณะการส่ือสาร ตัวอยา่ งประโยคพ้ืนฐานในชวี ิตประจําวันของชาวชอง ถาม ตอบ เจว ปะนิฮ เจว ดงึ วด่ั / เจว โรง่ เรี่ยน ไปไหน ไปวัด / ไปโรงเรียน ๑ คณะกรรมการภาษาชอง. (๒๕๔๑). พจนานุกรมภาษาชอง ฉบับชาวบ้าน พ.ศ. ๒๕๔๔. โครงการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูภาษาชอง ต.ตะเคยี นทอง – คลองพลู อ.เขาคชิ ฌกฏู . จ.จันทบุรี ๒ สุวิไล เปรมศรีรัตน์และคณะ. (๒๕๕๑). พจนานุกรมภาษาชอง. ศูนย์ศึกษาและฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต สถาบนั วจิ ยั ภาษาและวัฒนธรรมเพือ่ พัฒนาชนบท มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. ๓ สวุ ไิ ล เปรมศรีรัตนแ์ ละคณะ. (๒๕๕๑). พจนานกุ รมภาษาชอง – ไทย – องั กฤษ. ศนู ย์ศึกษาและฟน้ื ฟูภาษาและวัฒนธรรมใน ภาวะวิกฤต สถาบนั วิจยั ภาษาและวฒั นธรรมเอเชีย มหาวทิ ยาลยั มหิดล. ๔๕
ทอ่ กะปิฮ เล่ง ลูกคาง ซา / โชย ปางอูด ทาํ อะไร เล่นลูกข่างกัน / ปลูกดอกไม้ ฮอบ ปล็อง อฮิ โด ฮอบ เฮย / โด กนิ ข้าวหรอื ยงั กนิ แล้ว / ยังหรอก ฮอบ ปลอ็ ง มอ็ ง่ กะปิฮ ฮอบปล็อง ม็อง่ ช่ิวแลก กินข้าวกบั อะไร กนิ ขา้ วกับแกงไก่ พ่ิ อฮิ แต พิ่ / พ่ิ อิฮ อร่อยไหม อร่อย / ไม่อร่อย ตอ็ ง กยึ ปะนฮิ ตอ็ ง ชนั กึย ตฮิ คลองกะมลู่ ติฮ บ้านอยทู่ ีไ่ หน บา้ นฉนั อยู่โน่น คลองพลูโน่น ๒.๕ คณุ ค่าภาษาชอง ภาษาชอง ถือเป็นภาษาในกลุ่มชาติพันธ์ุที่อยู่ในภาวะวิกฤต ปัจจุบันมีผู้พูดภาษาชองได้ดีประมาณ ๒๐๐ คน ของจํานวนคนชองท้ังหมดประมาณ ๒,๐๐๐ คน (สุวิไล เปรมศรีรัตน์, ๒๕๔๓) ปัจจุบันชาวชอง อาศัยอยู่หนาแน่นในเขตอําเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี โดยเฉพาะ ๒ ตําบลทางตอนเหนือของอําเภอ คือ ตําบลตะเคียนทอง และตําบลคลองพลู ส่วนตําบลที่อยู่ทางตอนใต้ คือ ตําบลพลวง และตําบลชากไทย มี ประชากรที่พูดภาษาไดจ้ ํานวนไมม่ าก และในตําบลทับไทรของอําเภอโป่งน้ําร้อนน้ันมีประชากรที่พูดภาษาชอง เหลอื อยนู่ อ้ ยมาก ภาษาและวัฒนธรรมท้องถ่ินมีความสําคัญและคุณค่าหลายประการ ได้แก่ ๑) ภาษาท้องถ่ินเป็นเคร่ืองมือในการสื่อสารและถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น เป็นเคร่ืองมือสําคัญ ของการรู้หนังสือ การศกึ ษา และการพัฒนากลุ่มชนต่าง ๆ ๒) ภาษาท้องถิ่นเป็นแหล่งรวบรวมมรดกทางภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบ ความคิด ระบบความรู้ ความเข้าใจโลกและสิ่งแวดล้อม อันแสดงออกถึงภูมิปัญญา และอัตลักษณ์ทาง วฒั นธรรม เปน็ ปูมบันทกึ ประวัตศิ าสตร์ องคค์ วามรทู้ อ้ งถิ่นและคณุ ค่าท่สี ืบทอดจากอดีต ๓) ภาษาท้องถ่ินเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มชน เป็นส่ิงที่แสดงลักษณะเฉพาะหรือความเป็นตัวตนของ กลุ่มชน และเสริมสร้างความภาคภูมิใจในการเป็นสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ของตนท่ีสามารถอยู่ร่วมกับสังคมใหญ่ ไดอ้ ยา่ งมศี กั ดศ์ิ รี ๔๖
๔) ภาษาท้องถ่ินเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมโยงความสามัคคี และเสริมสร้างความมั่นคงของ ประเทศ ในการดาํ รงรักษาความม่นั คงของประเทศไทย กล่าวโดยสรุปคือ การดํารงอยู่ของภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ถือเป็นการสร้างอัตลักษณ์ ของชุมชน ทําให้เกิดความเข้มแข็งและสามารถนําไปสู่ความมั่นคงของสังคมไทย ถือเป็นฐานรากที่มี ความสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการดํารงอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีและมีสันติสุขที่ ยงั่ ยนื ๒.๖ การถ่ายทอดและการสบื ทอด ภาษาชอง จดั อยูใ่ นกลุม่ ภาษาท่อี ยใู่ นภาวะวิกฤต มผี ู้พดู ทสี่ ามารถใช้ภาษาชองได้อย่างดจี ํานวนไม่มาก ทั้งน้ีเนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจ ระบบการคมนาคม ระบบการ ส่ือสารมวลชน ไดแ้ ก่ วิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ตลอดจนระบบการศึกษา ทําให้การใช้ภาษาภายในบ้าน ตลอดจนองคค์ วามรภู้ มู ิปญั ญาท่ีเคยถา่ ยทอดมารุน่ ตอ่ รุ่นขาดหายไป จนกระทง่ั ในปี ๒๕๔๗ ชุมชนชาวชองได้มี ความพยายามในการฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง โดยผ่านกระบวนการงานวิจัยเพ่ือท้องถ่ิน (ดู รายละเอียดในบทที่ ๕) ทําให้เกิดการถ่ายทอดภาษาและองค์ความรู้ภูมิปัญญาในด้านต่าง ๆ สู่กลุ่มเด็กและ เยาวชนชอง เช่น เกิดการเรียนการสอนภาษาชองในห้องเรียน ในโรงเรียนวัดคลองพลู โรงเรียนทุ่งกบิล โรงเรียนวัดน้ําขุ่น และโรงเรียนวัดตะเคียนทอง เป็นต้น เกิดการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถ่ินของชาวชอง โดย ผ่านรูปแบบการจดั กจิ กรรมผ่านศนู ยก์ ารเรยี นรู้ชุมชน เชน่ การเรยี นรกู้ ารใช้ประโยชนจ์ ากป่า เปน็ ต้น นอกจากน้ีในการดําเนินโครงการ “บันทึกรวบรวม เพ่ือการสงวนรักษาภาษาและภูมิปัญญาท้องถ่ิน ของกลุ่มชาติพันธุ์ : ภาษาชอง” ยังทําให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่กลุ่มเยาวชนอีกด้วย ดังเช่น การจัด กิจกรรมทําชอง โดยการถ่ายทอดองค์ความรู้จากกลุ่มแม่ครัวสู่กลุ่มเยาวชน เกิดความรู้ในการประกอบอาหาร และการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรท้องถ่นิ หรือแหล่งอาหารในชุมชนอีกด้วย อย่างไรกต็ ามการฟ้ืนฟูภาษาและ วัฒนธรรมของชาวชอง ยังจําเป็นต้องดําเนินการอย่างต่อเน่ือง โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ และหนว่ ยงานอืน่ ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งในพ้ืนท่ี เชน่ สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด องค์การบรหิ ารส่วนตาํ บล เป็นต้น ๔๗
บทท่ี ๓ ภาษาและองคความรทู อ งถ่ิน องคความรูทองถ่ินของกลุมชาติพันธุชอง จะสามารถศึกษาผานวรรณกรรมทองถิ่น นิทาน เพลง กลอน บันทกึ ประเพณี พิธีกรรม และอาหารพนื้ บาน ดงั ตัวอยา งตอไปนี้ ๓.๑ นิทาน ๑) ยาย มอง กะทง ยาย เจว แซ กอก กะทาย ลองปง โอจ เจว ชา ทุกอาว. กะทง พ่ิจ ฮิว เพราะ อิ อีน กะป ชา อิฮ เลย. เพาะ ดี ท่ัง ยาย กอก กะทาย ลองปง, ทอ ยังอิฮ จะ โอจ ลองปง ชา อีน. คิ่ด อีน จะ ทอ แปน พิ่จ โฮจ ฟาง ครา ยาย เจว. ยาย ทั่ง กะทง พจิ่ โฮจ ฟาง ครา ก็ ดไี จ. นก่ึ ลอก กะทง พ่จิ โฮจ จะ โอจ เจว ทึ่ม ชิ่ว ชา. ชีบ กะทง ไซ กะทาย ลองปง กอก เจว ตาม ครา. กะทง ก็ ดีไจ อีน ลองปง ยาย. ชา เฮย โอจ กะเกาะ โยน เจว ปะงาย ยาย. “มิฮ ชา ลองปง เจว ตอย อิญ” ยาย พูด. เจว วิจ ก็ เจอะ กะเกาะ ลองปง. “มิฮ ชา ลองปง เจว ตอย อิญ” ยาย พูด. กะทง แพก ดีไจ ฮัจ ออก จาก กะทาย, ยาย ทอย วาย กะทง. กะทง แพก ดีไจ โจก ทู ท่ีง พร่ี เจว ฮดี . คําแปล เรื่อง ยายกับกระตา ย ยายกําลังไปนา แบกกระบุงใสกลวยสุกไปกินท่ีนาทุกวัน กระตายนอนหลับต่ืนมาหิว เพราะไมมี อะไรกินเลย พอดีเห็นยายแบกกระบุงกลวยสุก ก็คิดวาจะทําอยางไรจึงจะเอากลวยสุกมากินได แลวก็คิดไดวา จะแกลงทาํ เปน นอนตายขวางทางทีย่ ายกาํ ลงั จะไป พอยายเห็นกระตา ยนอนตายขวางทางอยูก็ดีใจ คิดวาจะนํา กระตายไปหุงแกงกิน จึงจับกระตายใสกระบุงกลวยสุกแลวแบกไปตามทาง กระตายก็ดีใจท่ีไดกินกลวยสุกของ ยาย กินแลวก็เอาเปลือกโยนท้ิงไปขางหนายาย ยายก็พูดวา “ใครนะกินกลวยสุกไปกอนกู” พอเดินไปอีกก็เจอ เปลือกกลวยสุกอีก ยายก็พูดขึ้นอีก “ใครนะกินกลวยสุกไปกอนกู” กระตายหัวเราะดีใจกระโดดออกจาก กระบุง ยายเหน็ จึงวิ่งไลตกี ระตา ย กระตา ยหวั เราะดีใจวงิ่ หนหี ายเขา ปา ไป ๒) อดู มะฮอม กะมราชม ดกั แปน ช่มึ วัด่ อูดมะฮอม ตอก. ดัก นะ โอจ เจว จอก เพาะ อีน ปรัก ทิ่ว กะปฮ ท้ิว ลุก ชา โมยนึ่ม ๆ. กะมราชม ดัก ว่ัด อูดมะฮอม อิ คัฮ ชิ้ว ดอง ตอ ชิ้ว ดอง. วั่นโมย ระดูพรัง ดัก กราก ซะเบยี ง เจว จังนอ น ๆ ร่ยั อูดมะฮอม เจว เรื่อย ๆ. เพาะ ทั่ง อูดมะฮอม กะมราชม ดัก ก็ วาง ซะเบียง ออญ. เฮย ดกั ก็ โอจ กะตาน บอง เนม มะฮอม รั่ย. แต ก็ อิ อีน แกน อฮิ เลย. กะมราชม ดัก ก็ เลย เจว ตอ วิจ. ดัก เจว ปาก นอ ง จฮุ ฮุบ ท่งี พรี่ ลกึ เจว เรอื่ ย ๆ. กะมราชม ดัก เจว กา จ งา ย ยังอิฮ ดัก ก็ อิ คัฮ ตัวนอน. กะตูจ กะมราชม ดัก ก็ อึด เค้ิม อูดมะฮอม. เฮย ก็ ทั่ง อูดมะฮอม เนม ตักโป เยอะ แยะ เจว มัด. กะมราชม ดัก ก็ ๔๘
โอจ กะตาน บอง อูดมะฮอม ร่ัย วิจ. เฮย ดัก ก็ ทั่ง แกน มะฮอม. ว่ันท่ัน กะมราชม ดัก เลย อีน มะฮอม กราก กลบั ตอ็ ง เยอ ะ กวา ทกุ อาว. คําแปล เรื่อง ไมหอม นาชมมีอาชีพหาไมหอมขาย เขาจะนําไปขายพอมีเงินซื้อกะปซ้ือพริกไวกินเปนป ๆ นาชมหาไม หอมไมรูก่ีครั้งตอกี่คร้ัง วันหน่ึงในชวงหนาแลง นาชมหาบเสบียงไปคนเดียว หาไมหอมไปเรื่อย ๆ พอเห็นไม หอมนาชมก็วางเสบียงลง แลวเขาก็ใชขวานปูลูเจาะตนไมหอมดู แตก็ไมพบแกนไมหอมเลย นาชมก็เลยไปตอ อีก เขาไปข้ึนเขาลงหุบเขา และเขาปาลึกไปเรื่อย ๆ เขาเดินไปไกลเทาไรก็ไมทันรูตัว จมูกของนาชมก็ไดกลิ่น หอมของไมหอมเขา แลวเขาก็พบไมหอมตนใหญมากมายเต็มไปหมด นาชมก็เลยเอาขวานปูลูเจาะไมหอมดูอีก แลว กเ็ ห็นแกน ไมห อม วันนั้นนา ชมเลยไดไมห อมกลับบานมากกวาทกุ ครัง้ ๓) อูญยามอก ม่็อง เคนพะซา อญู ยามมอก ญา ย คนึ่ จดั คาว คอง อีน โตดชก อนี แลก อนี นม อนี ครา ญ อีน ปล็อง อีน กะโค ปางอูด ทบู เทยี่ น แซ็ด เฮย ก็นํ่า เจว ตอ็ ง พรฮั กยึ โตดวายแซ คาง ตอ็ งพรฮั อนี เนม มะคาม กยึ โมย เนม ตัก อีน โพรง อูญยามอก เจว โตด ก็ จัด คาวคอง ออญ ดึง ซาน จัด ชก แลก นม คราญ คนพะซา ดอด ตาม โมน อูญยามอก เจว ม็อก ตัว ดึง โคน มะคาม อูญยามอก จุด ทูบเท่ียน บ็อน ญาย อึด จาวที่ ชา ชก ชาแลก ชา นม ชา คราญ เคนพะซา รั่บ เออ เออ อูญยามอก ญาย ตอ น่ึม อนั โชย ฮาย โมย ทัง ลูม อดึ อนี โมย รอ ย ทงั เทดิ เคนพะซา เออ เออ ญา ย ตอ วิจ นึ่ม อัน ทอ แซ ลูม มา ย อดึ งวั่ กะปาว ม็อ่ ง กะช่มึ ทอ แซ มาย คัด่ ทุ เลย เออ เออ อูญยามอก เช่นิ จา วที่ จุฮ เจน ชา เทิด เคน พะ ซา พูด พู ล็อบ เจว อึด งาย ตอย อิญ เคละ ชา อีนอิฮ อูญยามอก ล็อบ เจว งาย จาว เคนพะซา ออก เจน ก็ ชา มัด อูญยามอก กลับ เจน รั่ย ทั่ง ชก แลก นม คราญ มัด ลอบ คอง กลับ ต็อง ทึง ต็อง พูด ม่็อง ค่ึน ญาย ค่นึ นึ่ม อนั ดี ลอ จาวที่ จา วทา ง ชา มัด บ็อน ยังอิฮ ญา ย ยังอฮิ ก็ รบ่ั เออ เออ จอ็ บ คําแปล เร่อื ง พอ ตา กบั ลกู เขย เริ่มทํานามีการบอกเจาที่เจาทาง มีพอตากับลูกเขย พอตาก็บอกใหเมียจัดขาวของ มีหัวหมู มีไก มีขนม มีเหลา มีขาวสุก ขาวสาร ดอกไม ธูป เทียน เสร็จแลวก็นําไปท่ีศาลเจา ศาลเจาอยูท่ีหัวทุงนา ขางศาล เจามีตนมะขามอยูตนหนึ่ง ตนใหญและมีโพรง พอตาไปถึงก็วางหัวหมูไวบนศาล จัดหมู ไก ขนม เหลา ดอกไม ธูปเทียน เสร็จก็บนบานเจาที่เจาทางในทองที่มารับเคร่ืองเซนไหว มีหมู ไก ขนม เหลา ลูกเขยยองตามหลัง พอ ตาไปซอ นตวั ทีต่ นมะขาม พอตาจดุ ธูปเทียนบอกเจา ที่ กนิ หมูกนิ ไก กินขนมกนิ เหลา ลูกเขยรับ เออ เออ ขอ ตออีก ปนี้ทํานาขออยาใหวัวควายและผูคนทํานาเจ็บปวยเลย ลูกเขยรับ เออ เออ พอตาก็เชิญเจาที่ลงมาเสวย เถิด ลูกเขยพูด มึงหลบไปกอน กูอายกินไมได พอตาหลบไปไกล ลูกเขยออกมากินก็กินหมดเกลี้ยง พอตา กลับมาเห็นหมูไก ขนมเหลาหมดเกลี้ยง ก็เก็บของกลับบาน ถึงบานพูดกับเมีย บอกวาปนี้ดีมาก เจาที่เจาทาง กนิ หมด บนพูดวาอะไรกร็ ับ เออ เออ จบ ๔๙
๔) ยักษกบั ชาวนา คอย เจน เฮย อีน ย่ัก โมย ตัว อาซัย กึย ดึง นอง กาด ม็่อง แซ กึย เจน โมย วั่น ยั่ก ก็ ทั่ง ชอง ชุก เจน ทอ แซ ยั่ก เลย ชับ ชองซุก อีน ย่ัก ก็ ฮา กา จะ ชา ชองซุก ชองซุก เลย พูด ล็่อก ยุด ละ มาย ชา ชัน เลย ยั่ก เลย ทาม ทออิฮ ละ ชองซุก เลย ญาย ล็่อก ชา ชัน จ็องนอน พาอิฮ เลย ปลอย ชัน เทอะ เดียว ชัน จะวั่ด ชอ งซกุ เพา ะ ยกั่ ปลอย ชองซกุ เฮย ชอ งซกุ ก็ คิด่ ล็่อก จะ ทอ ยงั อฮิ อิอึด ยก่ั ชา ตัวนอน เลย ญาย ยั่ก ล่็อก โอจ ยัง อันนุฮ เจน แคง ทอ เจดี ซา ทา มิฮ ทอเฮย ตอย ก็ แปน พู ชะนัฮ ทา ชัน ชะนัฮ ก็ ปลอย ชัน เลาะ ทา ชัน แพ ก็ ชา มูแฮง เทอะ ทา แก แพ ก็ ออก เจว จาก แซ ชันเลาะ ยั่ก ญาย ต็อกลง ยั่ก ค่ิด ต็่อง แปน พู ชะนัฮ แน เฮย จะอีน ชา ชองซุก ลาย น่ัก เพาะ จัก เฮน ชองซุก ก็ เจว ญาย ชองซุก ชองซุก ชวย ซา ทอ เจดี ซา ยาย พร็อฮ ตอง ทอ ย่ักซา ซวน ยัก ก็ ทอ เจดี นัจ ทออิฮ นัจ เพระ ยั่ก คิ่ด ดู ทอน ชองซุก ล่็อก พ่ัย ต่็อง ชะนัฮ แน เพาะ วั่น เวลา พาน เจว ชองซุก ก็ ทอ เจดี แซ็ด เฮย ยัก่ ทั่ง โชย เจดี คอง ชองซกุ ก็ ต็อกไจ เพา ะ ทอ นจั ทอ อิฮ นัจ พั่ย ก็ โจก ท่งี เระ พร่ี เจว ฮดี คําแปล เรอื่ งยักษก บั ขาวนา นานมาแลวมียักษอยูตัวหน่ึงอาศัยอยูท่ีภูเขาใกลกับนา อยูมาวันหนึ่งยักษเห็นชาวนามาทํานา ยกั ษเลยจบั ชาวนาได ยกั ษอา ปากจะกินชาวนา ชาวนาก็พูดวาหยุดกอน อยาเพ่ิงกินฉันเลย ยักษเลยถาม ทําไม ละ ชาวนาตอบวา กินฉันคนเดียวไมอ่ิมหรอก อยากินฉันเลย ปลอยฉันไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะหาชาวนาหลาย ๆ คนให จะไดกินอ่ิมกวากินฉันคนเดียว ยักษเลยปลอยชาวนาไป พอยักษปลอยชาวนาแลว ชาวนาก็คิดวาจะทํา อยา งไรดีทจ่ี ะไมใ หยกั ษก นิ ตวั เองเลยบอกกับยักษวา เอาอยางนแ้ี ลว กัน มาแขงสรางเจดียกันดีกวา ถาใครสราง เสร็จกอนเปนผูชนะ ถาฉันชนะก็ปลอยฉัน ถาฉันแพก็กินพวกฉันเถิด ถาทานแพก็ออกไปจากนาฉัน ยักษตอบ ตกลง ยักษคิดวาตัวเองตองเปนผูชนะแน ๆ แลวจะไดกินชาวบานหลายคนพรอมกัน หลังจากนั้นชาวนาก็ไป บอกชาวบาน ชาวบานก็ชวยกันสรางเจดียกันใหญเพราะกลัวยักษกิน สวนยักษก็สรางเจดียบางไมสรางบาง เพราะยักษคิดดูถูกชาวบานวามันตองชนะแน ๆ พอวันเวลาผานไป ชาวบานก็สรางเจดียเสร็จ ยักษพอเห็น ปลายเจดียช าวบา นกต็ กใจ เพราะมนั ทาํ บา งไมทําบาง มนั ก็หนีเขาปา ไป ๕) คองวเิ่ ซด อีน พราม แปน โบด ลึง ซา โพน นั่ก แปน ชึ่ม อีน ฟาม ชอบ ทอ ฟามดี อึด ตัวนอน ชอบ กึย ซันโดด อิวาง ยุง ม็่อง ซังคมอิฮ ก็ แทก ซา เจว บวด แปน รือซี กึย เระพรี่ ปาฮิมมะพาน ก็ อีน ชวย ซา ทอ ชาลา กึย อาซัย นา นั่ก โมย ลัง กึย ซา แปน แทว พร็อฮ กึย ม็่อง ซา เจน คอย ลาย นึ่ม ลึง ตัก ก็ อีน โฮจ เจว ก็ อนี เกดิ แปน พระอนิ กยึ ดึง ซะวนั ชัน่ ดาววะ ดงึ จาก กาน ท่ี ตัวนอน ทอ แต ฟามดี ทุก ยาก นะ กึย แปน มะนุด ท่ัง ล่็อก ตัวนอน อีน บาระมี เจน เกิด แปน พระอิน เฮย อาซัย ล็่อก ใจ ตัวนอน อีน ฟามรัก ฟามเมตตา แปน ฮวง คิ่ดทึง โบบด เพว นก่ั โด ก็ จฮุ ซะวัน เจน วดั่ งก โบด รือซี เพว น่ัก ก็ อีน ท่ังล็่อก โบด อีน ฟามทุก ม่็อง ซา เจว โมย ยาง โมย ยาง โบด ตัก แปน ช่ึม อีน โรก ซัจ ตัว ซัน ต่็อง ว่ัด อูด ตูด เพลว ซัจ ตะลอด ทั่งงิ ท่ังแคลง ฟามร่ัก โบด มึด โบด ก็ ทาม โบด ล่็อก โบด วาง อีน กะป ลึง จะ เนระมิด อึด โบด ก็ กึย คิ่ด นึ่ก อีน ล่็อก ชัน วาง อีน คองวิ่เซด ออญ แก ซัจ แก ซัน นะ อีน ต็่อง ลําบาก เจว กลิจ เนมอูด อิฮ ๕๐
พร็อฮ เซียดาย เนม เระ พร่ี อัน เลือ เกิน โบด กะญาย เฮย ลึง พระอิน ก็ เนระม่ิด จาด ว่ิเซด อึด โบด ญาย ล่็อก ทา โบด วาง อีน กะป ก็ ลูม จาด อัน และ จาด จะอึด อีน ทุกยาง โบด รอง กะดาย ญาย ลึง ล่็อก ชัน ชอบ ซาอาด ชัน วาง อีน คอง ทอ ฟามซาอาด ลึง ก็ อึด กะโพน ออญ ตูญ ลูม อีน ทูกยาง โบด ซุกทอง ญาย ล่็อก ชัน กะคิ่ เลอื ง อนี แรง อฮิ เลย วา ง อีน คอง วเิ ซด อึด ทอ ทากทุเชาะ ออญ ชา อึด อีน แรง ลึง ก็ เนระ มิด แกะ วเ่ิ ซด อึด ออญ ลมู ทากทุ เชา ะ ชา วาง อีน กะป ก็ อดึ ลมู ม่อ็ ง แกะ ก็ จะ อีน ทูกยาง โบด ทั่ง เพว น่ัก ก็ อีน ฟาม ยินดี ดีใจ เฮย คอบบุน คอบคุน อึดลึง พระอิน นับเจน จัก เฮน โบด รือซี ทั่ง เพว นั่ก ก็ อีน แรง กําลัง จําซีน พาวะนา กึย เจน อีน ฟามซะบาย ตะลอด ลึง อีน ฟามร่ัก โบด แต โบด จะอีน ฟามร่ัก ลึง แค นิฮ คอง วิ่เซด เปรียบ ยงั พ่ิจโพะ แต ทุก น่ัก ก็ ชอบ วาง อนี จึง ฮีด เจา คา คาํ แปล เรอ่ื ง ของวเิ ศษ มีพราหมณ ๔ คน เปนพี่นองกัน เปนคนท่ีชอบทําความดี ชอบอยูสันโดษ ไมชอบเขาสังคม ก็เลย ชวนกันไปบวชเปนฤาษีอยูในปาหิมพานต ก็ชวยกันสรางศาลาอาศัยคนละหลังอยูเปนแถว พออยูกันไปหลายป พ่ีคนโตก็ตายไป ก็ไปเกิดเปนพระอินทรอยูบนสวรรคช้ันดาวดึงส เหตุเพราะที่ตัวเองทําแตความดีทุกอยาง จะ อยูเปนมนุษยก็เห็นวาตัวเองมีบารมีไปเกิดเปนพระอินทรก็อาศัยวาใจตัวเองมีความรักความเมตตาเปนหวง คิดถงึ นอ ง ๓ คน ก็ลงมาจากสวรรค เย่ียมนอ งฤาษี ๓ ตน กเ็ หน็ วานอ งมีความทกุ ขด วยกนั ไปคนละอยา ง คนโตเปน โรคหนาวสั่น ตอ งหาไมม าจุดไฟตลอดทั้งวันท้ังคืน ดวยความรักนอง สงสารนอง จึงถาม นองวา นองอยากไดอะไร พ่ีจะเนรมิตให นองก็น่ังนึกวา ฉันอยากไดของวิเศษไวแกหนาว จะไดไมตองลําบาก ไปตัดไม เพราะเสียดายตนไมในปา นองบอกเลยพี่พระอินทรก็เนรมิตมีดวิเศษใหนอง บอกวาถานองอยากได อะไรใหขอมดี นี้ แลวมีดจะใหทุกอยาง นองคนรองบอกพี่วา ฉันชอบสะอาด ฉันอยากไดของทําความสะอาด พ่ี ก็ใหกลองไวตี ขอไดทุกอยาง นองคนสุดทองบอกวา ฉันผอมไมมีแรงเลยอยากไดของวิเศษไวทํานํ้ารอนไวกินมี แรง พ่ีก็เนรมิตหมอวิเศษไวขอน้ํารอนกิน อยากไดอะไรก็นึกก็ขอกับหมอไดทุกอยาง นองท้ัง ๓ คนดีใจ เลย ขอบคุณพี่พระอินทร จากนั้นมานองฤาษีทั้ง ๓ ตนก็มีแรงจําศีลภาวนาดวยความสบายตลอด พี่มีความรักนอง แตน องจะมคี วามรกั พี่แคไ หน ของวเิ ศษเปรยี บเหมือนความฝน แตทุกคนก็ชอบอยากได ของวิเศษจึงหายไป ๖) โพนเกลอ โมย แลกอู พาย แลกแจ เพว ชี้มอูด โพน ชี้มแลกทา ก แลกอู แลกแจ ชี้มอูด ชี้มแลกทาก ปรึกซา ซา ทออิฮ ชองมะนุด ชอบ ชา มูแฮง ทั่งมัด พูด ค่ันซิ จะ ทอ ยังอิฮ อึด ดัก ชา แฮง อิฮ ชี้มแลกทาก พูด ต่็อง เจว ญาย พระอิน ชี้มอูด พูด ทูก ทูก มิฮ จะ เจว ชี้ม แลกทาก พูด วิจ อึด แลกอู เจว แลกอู พูด อิญ เจว อิเยาะ อิญ ตัว ตัก ฮึยไง ฮึย ปากอิฮ ชี้มอูด พูด วิจ ทูก ทูก อึดแลกแจ เจว เทอะ ฮึย เร็่ว แลกแจ ต็อกลง แลกแจ ก็ ฮึย เจว ทึง พระอิน พูด ม็่อง ทออิฮ พวก มะนุด ชอบ ชา แต พวก ญั่ง อึด พระอิน ชวย เจว ญาย พวก มะนุด ม็่อง เฮย เฮย ญาย อีนอิฮ อิญ ก็ ยัง ชอบ ชา แลกแจ ตอง พระอิน จึง ร่ีบ เจน เพาะ แลกแจ กลับ เจน ทึง แลกอู ก็ ทาม ดัก จะ โอจ ยังอิฮ โวย แลกแจ ญาย ดักจะ โอจ วจิ ชม้ี อดู พดู วจิ ทูก ทูก... ช้ีมแลก ทาก พูด วิจ กูวา ยกยก กูวา ยก ยก กูวา ยก ยก... โดน อฮิ แต ก็ คฮั อิฮ ลอง แง เซยี ง มูพยั่ เทว รือ มพู ่ยั คลา ลอง แง จ็อบ ๕๑
คําแปล เร่ือง ส่เี กลอ หนง่ึ ไกอ ู สอง ไกแจ สาม นกกระปดู ส่ี นกกวกั ไกอู ไกแจ นกกระปูด นกกวัก ปรึกษากัน ทําไม พวกมนุษยชอบกินพวกเรา ท้ังหมดพูด น่ันซิ จะ ทํายังไงท่ีจะใหเขาไมกินเรา นกกวักพูดวาเราตองไปฟองพระอินทร นกกระปูดพูดวา ถูก ใครจะไป นกกวักพูด อีก ใหไ กอไู ป ไกอูพดู อีกวา กไู มไป กูตัวโต ตัวหนัก บินไมขึ้น นกกระปูดพูดอีก ถูก ไกแจไปเถอะ บินเร็ว ไกแจ ตกลง ไกแจบนิ ไปถึงพระอินทรพดู กับพระอนิ ทรว า ทําไมพวกมนุษยถึงชอบกินแตพวกเรา ใหพระอินทรไปชวย บอกพวกมนุษยท ี พระอินทรบอก เฮย บอกไมไ ด ไปไป กกู ็ยังชอบกิน ไกแจกลัวพระอินทรจึงบินกลับมา พอไก แจกลับมาถึง ไกอูถามวาจะเอายังไงโวย ไกแจบอกวา เขายังจะเอาอีก (ดัก จะ โอจ วิจ) นกกระปูดพูดอีก ถูก ถูก ถกู นกกวักพูดอีกวา กวู า ยก กวู า ยก ถกู หรอื เปลากไ็ มรู ลองฟง เสียงพวกมนั ขันหรือรอ งดู จบ ๗) ศัตรูขาว พาง ว่ันท่ิด จุก ชอบ ตาม อูญ เจว แซ บอย บอย จุก ม่็อง อูญ เจว ตามครา จ็อน โทด แซ เฮย จุก ทั่ง เนมฮาย คาง แซ ทัก ลาย คม จุก ทาม อูญ ล่็อก “เนม ฮาย แปน กะป” อูญ ญาย ล็่อก คอน แซ พั่ย ตับ นัฮ เคน คอน แซ แปน ซัตรูฮาย วิจ โมย ยาง” อูญ ญาย วิจ “มัด จัก คอน แซ เฮย อีน กะป วิจ ท่ีแปน ซดั ตรู ฮาย” จกุ ทาม อญู วิจ ม็่อง วา ง คัฮ “ก็ อีน มเู พลย้ี กะทวิ ม็อ่ ง ช้ีมริจ “ เฮย อูญ จะทอ ยังอิฮ ม็่อง พ่ัย ดี” “เฮง ต็่อง เปรอ กะนํา ที่ ทอ อีน จัก คอง ทําชาด แฮง ต็อง โอจ เรด ฮาง ไล งัย โตด กะญา ละซูเดา งั้ด โตด กะดีง ชึด ชึด โอจ เจน มัก ม่็องซา เฮย โอจ ทาก ที่ มัก อีน เจน พน เระ แซ ฮาย” “ทออิญ อูญ อิฮ ท่ิว กะนํา เมื่อ เจน เปรอ” จุก ทาม อูญวิจ “กะนํา เมื่อ อีน พิด อันตราย แฮง เปรอ กะนํา ท่ี ทอ นอน เพ่ือ ความ ปลอดภัย แก ตัว แฮง ม่็อง และ ฮายม่็อง” อูญ ม็่อง จุก เจว ร่ัย ฮาย เระ แซ ร่ัย ล็่อก อีน ซัดตรู ฮาย กะป วิจ ที่ ทอ ฮาย บอ็ ง คําแปล เร่อื ง ศตั รูขา ว เชาวันอาทิตย จุกชอบตามพอ ไปนาเสมอ จกุ กบั พอเดนิ ตามทางจนถงึ นาแลว จกุ เหน็ ตนขา วริมนา ขาดหลายกอ จุกจึงถามพอวา “ตนขาวเปนอะไร” พอบอกวา “หนูนามันกัดนะลูก” “หนูนาก็เปนศัตรูขาว อยางหนึ่ง” พอบอกอีก “นอกจากหนูนาแลวยังจะมีอะไรอีกบางที่เปนศัตรูขาว” จุกถามพอดวยความอยากรู “ก็มีพวกเพลี้ย ต๊ักแตน และพวกนกกระจิบ” “แลวพอจะทํายังไงกับพวกมันดี” “เราจะตองใชยาที่ทําไดจาก ธรรมชาติ เอาตองเอารากหางไหลแดง หัวกลอย ใบสะเดาขม หัวขาแก ๆ มาหมักรวมกัน แลวเอานํ้าท่ีหมัก ไดมาพนในนาขา ว” “ทําไมพอไมซ้ือยาในเมอื งมาใช” จุกถามพออีก “ยาในเมืองมีพิษ และอันตราย เราควรใช ยาที่ทําขนึ้ เอง เพอ่ื ความปลอดภัยของตวั เราเองและตนขาวดว ย” พอ และจุกตางเดินดูขาวในนา ดูวามีศัตรูขาว อะไรอีกที่ทําขา วใหเ สยี หาย ๘) ยายคาน มอตําแย อุแว อุแว อีน เนว เกิด พลา ปะนิฮ ต่็อง อีน ยายคาน กึย ม่็อง ทั่ง เฮน ว่ัน อัน ก็ ยั่ง ซา ยาย คาน เจน โอจ เคน ออก อดึ เมส อน “อีปรกิ เอย พู ต็อม ทากทุ ออญ ลอ” “แปญ ยั่งอิฮ นัจ เคน พั่ย คั่ด อีน ๕๒
ลม เบง อิโด” “อีน เฮย แมเอย โอย โอย ฮือ ฮือ” “เมสอน ยาม คลา วาง ค่ัด” “เอาพู เอา เบง เอา ฮือ ฮือ ยายคาน ทอ เบง นอ น” “เอา เบง อึด ลอลอ เนว จะ เกิด เฮย เอา เบง วิจ เบง วิจ อุแว อุแว เนว เกิด เฮย อี ปริก โอจ ทากทุ เจน เร่็ว อปี รกิ โจก โอจ ทา กทุ อดึ ยา ยคาร ยายคาน ซ็อมทา ก ฮมู เจว พูด เจว “อีสอน เอย เคน พู แปน จํามลอง บุน คอง พู เฮย” นางสอน พ่ิจ ค่ัด ซึม มัด ทั่ง ตัว แง ยายคาน แก พูด เจว เร่ือย ๆ เพาะพั่ย ตัก ดึง พ่ัยก็พอ ชา เลี่ยง แฮง ยายคาน ฮูม ทาก เนว เฮย ก็วาง เนว ออญ ดึง วก เระ กะเปาะ เระ กะเปาะ คาง เนว อีน นังซือ อีน กะมา อีน ละปรัก ละทอง ยายคาร โอจ เทะ กะพอง ม็่อง คะเมด ลาบ ทั่ว ตัว เนว คอด กะโลน โอจ อดู เพลว เจน อปี รกิ เอย จะอึด อสี อน พ่ัย กึย เพลว จุด เพลว อึด นางสอน พั่ย กึย เฮย ยายคาน ก็โอจ วก มะฮาม เจว พุฮ ยายคาน แกทอ ยัง อัน ทอ เฮย ทอ วิจ ลาย นึ่ม เจน เฮย แก อิอีน เคน อิเยาะ แต มิฮ มิฮ ก็ เคว แก เม เม มัด ต็อง เพาะ แก แปน ยาย กะมอบ ชวย ชีวิด ทั้งเม ท้ังเคน เจน ลอ จอ็ น นบั่ อวิ ัย อิฮ คําแปล เรือ่ ง ยายคาร หมอตําแย อุแว อุแว มีเด็กเกิดใหมท่ีไหนตองมียายคารอยูดวยทั้งนั้น วันนี้ก็เหมือนกัน ยายคารมาทําคลอด ใหแมสอน “อีปริกเอย มึงตมนํ้ารอนเอาไวนะ เปนอยางไรบางลูก มันเจ็บมีลมเบงหรือยัง” “มีแลวแมเอย โอย โอย ฮือ ฮือ” แมสอนรองไหดวยความเจ็บปวด “เอา มึงเบง เอามึงเบง เอา” ฮือ ฮือ ยายคารทําเปนเบงเอง “เอาเบงแรง ๆ เด็กจะออกแลว เอา เบงอีก เบงอีก “อุแว อุแว” เด็กเกิดแลว อีกปริกเอาน้ํารอนมาเร็ว อีปริก ว่ิงเอานํ้ารอนใหยายคาร ยายคารผสมนํ้าอาบใหเด็ก อาบไปพูดไป “อีสอนเอย ลูกมึงเปนผูชาย บุญของมึง แลว ” นางสอนนอนซมระบมหมดทง้ั กาย ฟงยายคารแกพูดเรื่อย ๆ “พอมันโตขึ้นจะไดทํากินเล้ียงเรา” ยายคา รอาบน้ําใหเด็กแลวก็วางเด็กบนผาไวในกระดง ในกระดงขางเด็กมีหนังสือ ใบเข็ม ใบเงิน ใบทอง ยายคารเอา เดนิ สอพองกับขมนิ้ ทาเด็กจนท่ัว พรอมท้ังผูกสายสะดือ “เอาไมฟนมา อีปริกเอย จะใหอีสอนมันอยูไฟ” จุดไฟ ใหน างสอนอยไู ฟแลวยายคารกเ็ อาผา เปอนเลอื ดไปซกั ยายคารแกทําอยางน้ี ทาํ แลว ทําอีกมาหลายป แกไมเคย มีลูกเองหรอก แตใ คร ๆ ก็เรยี กแก แม ๆ ๆ หมดทุกบาน เพราะแกเปนหมอตําแย ชวยชีวิตทั้งแมทั้งลูกมามาก จนนับไมถว นแลว ๙) ซบั ปะเรอ ท็อมดาว ท็อมดาว กึย ต็อง อิฮแต ฮือ ฮือ เซียง จําคึน ญาย อูญ ชัน โฮจ เฮย ท็อม ชวย ช่ัน ม็่ อง ทอ ซ็อบ อูญ ชัน ม็่อง เฮย ทั่ง งาย ซา ทุก อาว ก็ แฮก เจว ตอยวิจ ท็อมดาว พูด เฮย ก็ เปก ปะตู เจน ปะกาย เออ ไย เอย อญู พู ก็ ชึด ลอ เฮย ยงั อิฮ แก ก็ ต็่อง โฮจ มา ย ยา ม นกั เลย กลับ เจว ต็อง เตรย่ี ม ทา ก ฮูม ซ็อบ เตรียม คอด กะปอฮ ม่็อง ละ พู เจว ตอ ย ละ อิญ จะ เจว พอย ท็อมดาว จัดแจง กะป ตอ กะป เฮย ก็ จุฮ จัก ต็อง เจว เพาะ ทึง ต็อง ซ็อบ ท็อมดาว ก็ จัดแจง ฮูมทาก ซ็อบ ไซ เอา ปด กุงกิง อัน เมาะ เมาะ เม็ง คอด กะปอฮ ดอย เฮย ก็ โอจ เครื่อง ซูจ เฮย ก็ แซ็ด พิ่ที่ เปก โลง ท็อมดาว โอจ ละลอง เจน ทอ กรวย ไซ ตี ซ็อบ เระ กราย อีน ทูบเทียน ปางอูด พรอม ปรัก โมย บาด ทอ กรวย ไซ ตี ช็อบ เฮย ก็ โอจ ซ็อบ ที่ง โลง ตัง ซ็อบ ท่งี โลง ตัง ซอ็ บ เฮย ก็ ตอ็ กลง ซา จะ ออญ ซอ็ บ ช้ีว แคลง ช่ึม ก็ โฮจ เจว เฮย ออญ ลอ แคลง ก็ บอ็ ง ปรัก ลอ ชัน จะ ออญ เพว แคลง อูจ เจว อิฮแต ท็อม เจา พาบทาม ต็อก แคลง พระ ที่ นิ่มน ออญ ก็ ๕๓
เจน ซวด พระ ซวดเฮย อีน กะป ก็ โอจ เจน เล่ียง กะเม ที่เจนเพาะ ทึง ว่ัน พูย ชึ่ม ก็ เจน ลอ เดว เดว ท็อม ดาว เปก โลง โอจ ทากดูง ราบ งาย ซ็อบ กลิจ กะปอฮ ดอย เฮย ก็ บ็อน จ็องนอน จ็องนอน วิจ โมย เฮย ซับ ปะเรอ ยา ง แฮง ช้วี อาว อเิ ยาะ แฮง ตอ่็ ง ทอ น ดกั พูย ยงั ซา คาํ แปล เรื่อง สปั เหรอ (ความตาย) ลุงดาว ลุงดาว อยูบา นหรือเปลา ฮอื ฮอื เสยี งผหู ญิงรองไห พอฉันตายแลว ลุงชวยฉันดวย ชวยทํา ศพพอ ฉันดวย เออ เหน็ หนา กันทุกวนั ก็มาดว นไปกอ นซะแลว ลงุ ดาวพูดแลว กเ็ ปดประตอู อกมาขางนอก เออใย เอย พอมึงก็แกมากแลว ยังไงแกก็ตองตาย อยารองไหไปเลย กลับไปบาน เตรียมอาบน้ําศพ เตรียมผูกตราสัง เถอะ มึงไปกอนเถอะ กูจะไปทีหลัง ลุงดาวจัดแจงอะไรตอมิอะไรแลวก็ลงจากบานไป พอถึงบานศพ ลุงดาวก็ จัดแจงอาบนํ้าศพ ใสเส้ือนุงกางเกงใหสวยงาม ผูกดวยตราสังแลวก็เอาเคร่ืองเซนไปเปดโลง ลุงดาวทํานํ้ามนต ประโลงเซนแลวเสร็จพิธีเปดโลง ลุงดาวเอาใบตองมาทํากรวยใสมือศพ ในกรวยมีธูปเทียน ดอกไมและเงิน ๑ บาท ทํากรวยใสมือศพแลวก็เอาศพเขาโลง ตั้งศพแลวตกลงกันวาจะเอาศพไวก่ืคืน คนก็ตายไปแลว เอาไวมาก คนื กเ็ สียเงินเยอะ ฉันจะไวสามคืน นอยไปหรือเปลาลุง เจาภาพถาม ตกกลางคืน พระท่ีนิมนตไวก็มาสวด พระ สวดแลว มีอะไรก็เอามาเลี้ยงแขกท่ีมา พอถึงวันเผา คนก็มามากจริง ลุงดาวเปดโลงเอาน้ํามะพราวลางหนาศพ ตัดดายตราสังแลว ลุงดาวก็บนคนเดียว อีกหน่ึงแลว สัปเหรออยางเรา ไมกี่วันหรอก เราก็ตองถูกเผา เหมอื นกนั ๑๐) ลกุ กะท่ิ ยายดํา ม็่อง ตาบนุ วา ง ชา ลูกกะทิ่ ยายดาํ เปรอ ตาปุน จอฮ ดงู คดู ดูง อึด ยาย ดํา พัก กะ เทด ชอก ลุก เฮย ตาบุน แทก ยายดํา เจว คีด กะพึด โอจ เจน ไซ ลุกกะทิ่ ยาย ดํา แปน ช่ึม คีด ตาบุน แปน ชึ่ม คึ่ง กะทาย ยายดํา คีด อีน โอจ ไซ เระ กะทาย ตาบุน จ็อน เพาะ ยายดํา แทก ตาบุน ทอ กะพึด คาจ ลอย ทา ก มดั ยา ยดํา เพม ม่อ็ ง ตาบนุ ทาม พู เคก โตด อิญ ทอ อิฮ พู ทอ อฮิ พู ทอ กะทา ย คาจ ทออิจ กลับ ต็อง อิญ จะ อึด พู ฮอบปล็อง มอ็่ ง ลุกกะโมย คาํ แปล เรื่องนํ้าพรกิ กะทิ ยายดาํ กับตาบญุ อยากกินนํ้าพริกกะทิ ยายดําใชตาบุญไปปอกมะพราว ขูดมะพราวเอาไว ยาย ดําเก็บพริก ตํานํ้าพริกเอาไว แลวชวนตาบุญไปชอนกุงเอามาใสน้ํากะทิ ยายดําเปนคนชอน ตาบุญเปนคนถือ กระบุง ยายดําชอนไดใสในกระบุงท่ีตาบุญถือ จนพอแลวก็ชวนกันกลับบาน ตาบุญเกิดเหยียบกอนหิน ลื่นหก ลมหัวท่ิม กุงหกลอยนํ้าหมด ยายดําเคืองตาบุญทํากุงหก ยายดําเลยเขกหัวตาบุญ ตาบุญถาม แกเขกหัวฉัน ทําไม ยายทํากต็ อบแกทาํ กงุ หกทาํ ไม กลับบานฉนั จะใหแ กกินขาวกบั เกลือ ๑๑) อญู ยา มอง ญาย อูญยามอก ญาย เคนพะซา จูด ฮาย ปอด ฮาย แช็ด เฮย ค็อน ปาก ยุง ชาง เรี่ยบ รอย เฮย ที่ อัน พู ตอ็่ ง เจว ญาย ลา จา วทีจ่ าวทาง คอื ลา ชิ่ง ช่ัง ฮาย เคนพะซา ก็ญาย อึด คึน จัด คาวคอง ก็อีน ชก อี นแลก อีน นม อีน คราญ อีน ปล็อกชีน กะโค ปางอูด ทูบ เท่ียน แซ็ด เฮย ก็นํ่า เจว ท่ี ซานจาว เคนพะซา ๕๔
เจว ทึง จัด คาวคอง ออญ ดึง ซานเจา ก็ จัด ชก แลก นม คราญ ปางอูญ ทูบเที่ยน แซ็ด ก็บ็อนบาน จาวท่ี จาวทาง ญาย ล็่อก โชย ฮาย ทอ แซ จูด ฮาย แซ็ด เร่ียบรอย เฮย เจน ญาย ลา อึด กึย ยูเย็น แปนซุก เซน จฮุ เจน ชา ชก ชาแลก ชานมซา ครา ญอึด พา ซําราน เทดิ อญู ยามอก ตาม ชูย เคน ซา เจน ดอด ทึง เจว กึย เระ พอก มะคาม ก็ พูด ล็่อก เออ เออ เคนพะซา อีนซัง ก็ ญาย เซน จุฮ เจน ชา เทิด ชัน จะล็อบ เจว ตอง จาว คะเคละ อูญยามอก พูด เออ เออ ตอยท่ี เคยพะซา จะ ล็อบ เจว เคนพะซา เจว โอจ กะนึ์ง โยน กอง ออญ ดึง โคน มะคาม โอจ เพลว จุด เฮย ล็อบ เจว อูญยามอก ทุ เพลว ยาม โอย โอย ทุ เคนพะซา โจก กลับ เจน พจิ เพลว เอย พดู ล็่อก อูญยามอก เฮาะแฮ นึก ล่็อก จาวมะคา ม จอ็ บ คําแปล เรอ่ื งพอตากบั ลูกเขย พอตาบอกลูกเขย เก่ียวขาว นวดขาวเสร็จแลว เข็นข้ึนยุงฉางเรียบรอยแลว ทีนี้มึงตองไปบอก ลาเจาท่ีเจาทางคือเซนลา เออ เออ ลูกเขยก็บอกเมียใหจัดส่ิงของ ก็มี หมู ไก ขนม มีเหลา มีขาวสุก มีขาวสาร ดอกไมธูปเทียน เสร็จแลวก็พาไปที่ศาลเจา ลูกเขยไปถึง จัดขาวของไวบนศาลเจา ก็จัดหมู ไก ขนม เหลา ดอกไมธ ปู เทียน เสรจ็ แลวก็บนเจาที่เจาทาง บอกวาปลูกขาวทํานาเกี่ยวขาวเสร็จเรียบรอยแลวมาบอกลาใหอยู เย็นเปนสุข เชิญมากินหมูกินไก กินขนมกินเหลาใหสําราญเถิด พอตาตามตูดลูกเขยมาออมเขาไปในโพรง มะขาม ก็พูดวา เออ เออ ลูกเขยไดยินก็บอกวา เชิญลงมากินเถิด ผมจะหลบไปกลัวเจาจะอาย พอตาพูดวา เออ เออ กอนท่ีลูกเขยจะหลบไป ลูกเขยจึงเอาฟางไปโยนไวที่โคนตนมะขาม เอาไฟจุดแลวหลบไป พอตารอน ไฟรอ งโอย ๆ รอน ลูกเขยว่งิ มาดับไฟแลว พูดวาพอตาดอกหรอื นกึ วา เจามะขาม จบ ๑๒) วนั อาสาฬหบูชา เอย ทึง ต็อง ทึง คะนํา เฮย ยาย อายุ กะนูย เซ นึ่ม พูด ม่็อง โจแลง วาง กะทาย ออญ ตงทั่น และ ยาย เดียว ชัน จะลอบ นอน วั่นอั่น ช่ึม ทอบุน ดึง ว่ัด ลอ เดว เดว โจแลง พูด เจว เมร็จ มรูจ เจว ก็ ว่ัน อัน่ คึน่ รายทํา ค่าํ กาง ตี เฮย นาย กร็อง มอ็่ ง ว่ัน อาซานฮะ ชึ่ม ต็องนิฮ ก็ เจว ทอบุน ซา ท่ังเฮน วั่นอาซาน ฮะ ทานซมพาน ท่ัน โต ญาย ออญ ยาย เพาะ จําอีน ล่็อก พายพ่ัน กวา น่ึม เจน เฮย พระพุดทะอ็อง เจว โปรด รือซี พรํา อ็อง อึด ม่ัด ท่ัง ทํา เระ พรี่อิซิปะตะนะ ติฮ ตั่งแต ทั่น เจน รัดตะนะ ท่ัง เพว ก็ ยังเกิด ดึง แฮง แปนชาวพุด ทอบุน ออญ เทอะ อิโฮจ อิฮโด ก็ อีน ความซุก เฮย พาง วั้น วิจ โมย อาว ก็ เปน ว่ัน ปะ วาระนา ที่ พนั ซา พระ ดัก ก็ จําวั่ด อิเจว นฮิ เจน นฮิ วิจ “ทออิฮ พระ ดัก อิเจว นิฮ เจน นิฮ เระ ระดู ทงี่ พันซา” โจแลง ทาม ยาย “ก็ ระดู พันซา มะ ลอ ทาก ลอ มูนิฮ ต็อง นิฮ ดัก ก็ โชย กะตาก ทูง ฮาย ซา มัด เฮย พระ ดัก ตอ ง ชั่น กะตาก ชั่น ฮาย บ็อง ตอง ชั่น ซัด กิจ กิจ ม็่อง เออ พางวั้นโจ จะ ทอ กะป เจว ดึง ว่ัด” “โจ จะ ทอ นม ปอก ทอ นม กะโลก เจว” “ยา ง เฮน แฮง เจน เตรยี ม คอง ทอ นม ซา เทอะ โจ แฮง จะอนี บุน ลอ ฮอ” คาํ แปล เรื่องวันอาสาฬหบชู า เอย ถึงบานชองแลว ยายอายุ ๗๐ พูดกับหลานสาว “วางกระบุงไวตรงนั้นแหละยาย เด๋ียวฉัน จะเก็บเอง วันนี้คนทําบุญท่ีวัดกันเยอะจริง ๆ “ หลานสาวพูดไปยิ้มไป “ก็วันน้ีขึ้น ๑๕ คํ่า เดือน ๘ แลวนี่นา ๕๕
ตรงกับวันอาสาฬหบูชา คนบานไหนก็ไปทําบุญกันทั้งนั้นแหละ วันอาสาฬหบูชาทานสมภารสอนยายไว ยาย พอจําไดวา สองพันปกวามาแลว พระพุทธองคเคยไปโปรดฤาษี ๕ องค ใหดวงตาเห็นธรรม ในปาอิสิปตะนะ โนน ต้ังแตนั้นมา รัตนะท้ัง ๓ ก็เกิดขึ้น เราเปนชาวพุทธ หลานเอง ทําบุญไวเถอะ ยังไมตายก็มีความสุขแลว เชา พรุง นีอ้ ีกวนั กจ็ ะเปน วนั ปวารณาเขา พรรษา พระทา นก็จะจําวดั ไมไปไหนมาไหนอกี “ทาํ ไมพระทา นไมไปไหนมาไหนในฤดูพรรษา” หลานสาวถามยาย “ก็ฤดูพรรษาฝนมาก น้ํามาก หมูบานไหนเขาก็ปลูกถั่วดํานากันหมดแลว พระทานกลัวเหยียบ ถ่วั เหยียบขา วเสียหาย กลัวสัตวเล็กสัตวนอยดวย เออ เชาพรุงน้ีหลานจะทําอะไรไปท่ีวัด” “หลานจะทําขนม หอ ทาํ ขนมดีกริมไป (ปะกรมิ ) “อยางนน้ั เรามาเตรียมของทาํ ขนมเถอะหลาน เราจะไดบ ญุ มาก ๆ” ๓.๒ เพลง ๑) เพลง ชับ กบู กะมะ ลัก่ กูบ กอง พั่ย ยาม พวก แฮง แทก ทาม จะ เท่ียว ชับ กูบ ชับ กูบ จะ โอจ เจน ญ่ํา ชับ กูบ จะ โอจ เจน ญ่าํ แฮง มาย ทอ รมุ ราม เดยี ว จะ ออ็ ด ญํ่า กบู คําแปล เพลง ชบั กูบ ฝนตกไดย นิ เสยี งอะไรบาง เวลาฝนตกเราทําอะไรบาง เพลงที่จะรองใหฟงน่ีเปนเพลงชองเกี่ยวกับ กิจกรรมจบั กบในเวลาฝนตก ๒) เพลง ลิงประกอบทาทาง ทาว พัย่ กยึ พ่ัย ทอ ทา ยัง กะ ชึม่ วา วา วา พ่ยั ทอ ทา ยัง กะ ช่มึ พ่ัย กดึ พยั่ ทาว พยั่ ก็ เจว ยัง กะ ชึ่ม วา วา วา พ่ัย ทอ ทา ยงั กะ ช่มึ พย่ั เจอะ ลอง ปง พั่ย ก็ ชา ยัง กะชมึ่ วา วา วา พั่ย ทอ ทา ยงั กะ ชึม่ พ่ยั โดน ชกึ กะชุย พ่ัย มะโฮ ยงั กะช่ึม วา วา วา พ่ยั ทอ ทา ยงั กะ ชึ่ม พ่ยั คําแปล เพลงลงิ ประกอบทา ทาง มันยืน มันนงั่ มนั ทําทา เหมอื นคน ลิง ลิง ลิง มนั ทําทา เหมือนคน มันลกุ มันยนื มันทําทา เหมอื นคน ลงิ ลงิ ลิง มันทําทา เหมือนคน มนั เจอกลว ยสกุ มนั ก็กนิ เหมอื นคน ลงิ ลิง ลิง มนั ทาํ ทาเหมอื นคน มันโดนหยิกกน มนั โมโหเหมือนคน ลงิ ลิง ลงิ มันทาํ ทา เหมอื นคน ๓) เพลง ฮอบ ปล็อง ม็อ่ ง กรบึ ฮอบ ปลอ็ ง มอ่็ ง กรบึ ฮอบ อนี ซา ชบึ ยัง ซา เพ่ือน เอย ฮอบ ปล็อง ม่อ็ ง ทา ก นํา่ ปลา ก็ พ่ิ ยงั ซา นะ เพื่อน เอย เจว ดงึ เจว ตา ก็ แว็ฮ คยุ ซา ละซิ เพ่ือน เอย ๕๖
เจว นฮิ กะชุ กะชา ก็ แวฮ็ ชา ทาก ละซิ เพอื่ น เอย ๔) เพลงแก ชาย – หญิง ชาย “จฮุ ฮบุ ปาก นอง มฮิ จะ ครอ ง พูไ ฮ นาง เอย ๆ” หญิง “จุฮ ฮุบ ปาก นอ ง อึด ลึง ครอ ง ชนั ม่อ็ ง ลึง เอย ๆ” หญงิ “เอย โมย กะชอบ พา ย กะชอบ ออิ ีน ลอบ อเิ ยาะ ลงึ เอย ๆ ๆ” ชาย“เอย โมย รอ ย โมย ชั่ง อทิ อย ลงั อิเยาะ โบด เอย ๆ ๆ” ๕) เพลง ปากนอง เจว ทอ กะปฮ ซา-ไอ โบด ลึง เจว ปะนฮิ คะงิ คะงิ ฮึฮ จะ เจว ปาก นอ ง เจน ซา ก็ ดี จะ แทก เจว เทีย่ ว พร่ี จะ เจว เจอะ วา ชา ซี ละ มนั ปาก นอ ง ก็ เจว ตาม ครา จะ เจว โอจ พรงี ซา ดี กวา ซีละมัน พั่ย ก็ ปง ปง จะ เจว กดั กะตอ โอจ เจว ดอง พกั พรีง อดึ ลอ ลอ จะ เจว ลอบ ญอง โอจ เจว ตอ็ ง ชนั กราก กะตอ จุฮ นอ ง อัน และ ช่ึม ชอง แฮง ชอบ ซา เจน ชว ย เจน ชว ย ชัน ม่็อง ๖) เพลง ชม วาย ทอง เฮเ ฮ. .... ฮา ฮา.... ปร้อื เฮเฮ.... ฮาฮา มูแฮง ชวย ซา ฮะ เม่ือ เวลา จําเปน ฮูย คลุย ฮะ ตึก ปาว ทุย เจว เจน ยายพ่ัด ตวั แทน แฮง เจว เจน ตาม พลอื แซ นุก ทั่ง อาว ทื่ด กอง โลง ปาว ปาว ซาตู เจน พา ทั่น กูบ พั่ย คลา อูบ อูบ พ่ัย ตัก ฮัน วา เซียง กอ ง พ่ยั คลา เวลา มะ พรํา ชมี้ กระรอก เวด ชา แนกนอก ก็ พร็อฮ รอก กอก โคง ท่ัน ทาม ูมปูจ เคลาะ ชูย โดง ทาม ูจ ตวั โกง พ่ัย วา ง ชา เคลาะโร เคียว เลือง เรือง รอง วายแซ ซีทอง มอง ปานิฮ ระยอ ท่ัน พัด ยาม เอะ มิฮ กําลัง คุดทอ ช่ึม คอ็ ฮ กะลอ แง แปน แพลง ตะลุง นุกนาน เดวเดว จูด ฮาย ตอน เปว แฮง ก็ ยุด ชา คราญ จูด ฮาย เฮย แฮง ก็ แพก ูกญาญ แฮง ยดุ ชา ครา ญ เฮย แฮง ก็ เจว โตม พอน เฮเฮ... ฮาฮา.... พวกแฮง ชวย ซา ฮะ เมื่อ เวลา จําแปน ฮูย คลุย ฮะ ตึก ปาวทุย เจว เจน ยาย พ่ัด ตวั เอน แฮง เจว เจน ตาม พลือ แซ ๕๗
๗) เพลง ฮอบ ปล็อง ม่อ็ ง กรบึ เจอะ กะยาง พ่ัยตบึ กึด ดึง พาง พาง ชอ พัย่ ก็ เกว พย่ั ก็ เจว แซว ทงึ คลึบ ชัน กลับ เจว ตอ็ ง กลบั เจว ตอ็ ง ฮอบปลอ็ ง มอ็่ ง กรึบ ฮอบ อีน ก็ จะชึบ ฮอบ ปลอ็ ง ม่อ็ ง กรึบ พยั่ ก็ พิ่ ยงั ซา ๘) เพลง ซกุ แฮง อีน กาน ซกุ แฮง อนี กาน ต่็อง ทอ นม จุก ท่ึม ช่ิว ชอก ลุก เฮย ทอ นม ตอ็ ม นมเที่ยน โบด ลึง เคน โจ ตาง เจน แวฮ เวย่ี น แวฮ ชา นมเท่ยี น นม ต็อง นม จกุ นมปาย นม ปอ ก คะนอ็ ก ตัก ตกั แฮง อนี ความรั่ก แฮง แบ ซาซา รวมแรง รว มไจ แฮงโบด ลงึ ซา ชว ย ซา ทอ ชา ชวย ซา ทอ กาน คําแปล เพลงบา นเรามีงาน บานเรามงี านตองทาํ ขนมจนี ตํานํ้าพริกกบั แกงแลวทําขนมเทยี น พนี่ อ งลกู หลานตา งมาแวะเวียน แวะกนิ ขนมเทยี นขา วตม ขนมจีน ขนมปายขนมปอกทห่ี อ โต ๆ เพราะมีความรกั เราแบงกันกิน รว มแรงรว มใจพีน่ อ งทว่ั ถ่ิน ชวยกนั ทํากินชว ยกนั ทาํ งาน ๓.๓ กลอน ๑) กลอน มด่ั ต่กั มด่ั อเิ ท ตกั โป โทเ มเอย เคนช้ีมกกู อดึ อัด รั่ยมั่ดเม โทเ คนเอย ม่ดั ตกั โป อิคัฮต็อน เมญ า ยเคน มดั่ อญิ พยู ังซาเลย คาํ แปล ตาไมเท ใหญโต โอแ มเ อย ลูกนกเคาแมว อึดอัด มองตาแม โธล กู เอย ตาใหญโต ไมรูตน แมบอกลูก ตากมู งึ เหมอื นกันเลย ๕๘
๒) กลอน โชบชอ งมั่ด จะกยึ กดึ ทง่ั เจว เพล่นิ นักนา โชบชองมดั่ กึยซาเจน รยั่ ฟามซกุ เรนอนี คุน มอ่็ งมด่ั เดวจรงิ ๆ เจนว่นั โมย โชบทะลึ่ง เอยปนยา มดั่ จึงอนี ชม นา ง และซบั ซงิ โชบชว ยน่ํา มั่ดเจว ท่ีตาง ๆ เรน โชบอัน แปนคอง ควนบชู า เพราะชะนัน ดวงมั่ด จงปะวิง จงึ เรน ญาย ออกเจว โดยคัด่ มด่ั อีนแง โชบคุยโม กม็ ่ันไซ ร่ยั คลา เซดแกวคะละ พัย่ ชอบโชก เรน ทโี่ ชบ เจวเฮนิ อีน ก็พร็อกม่ัด โชบไมค วน จะเรน คดิ ดมู นิ พร็อฮอนั และ มัด่ จึง ซําคันกวา ท่ัวทานิน โชบเจวอีน กพ็ รอ็ ฮมดั่ ซะรุบเรน มัด่ อนี คา ยิ่งกวาโชบ เรง ฮัจ ออกเจว กา ดนาพา โชบอนี แง อดึ คง่ั แคน แซนจะเพม ดวงชีวา ดบั เจว ดัฮอฮิ เลย พร็อฮอวดดี คยุ แบง็ แก็งกวามดั่ กเ็ พม แกลงระงบั พ่ิจม่ดั เชย ม่ดั ท่ังโชบ ทอ แกง็ เรงจะฮจั ลกั่ พาเลย มอระนา ทัง่ มดั่ โชบ โชบนามดั ทะลาเงจ็ ท่งั โงนเงย คําแปล กลอน ตีนกับตา จะนง่ั ลุก ยืนเดิน เพลินหนักหนา ตีนกบั ตา อยูก นั มา อยางผาสุก วา มคี ุณ แกต า เสียจริง ๆ มาวนั หน่งึ ตนี ทะล่ึง เอย ปรชั ญา ตาจึงได ชมทาง และสรรพสง่ิ ตนี ชว ยตา พาไป ท่ีตา ง ๆ วา ตนี น้ี เปน ส่ิง ควรบูชา เพราะฉะนั้น ดวงตา จงประวงิ จงึ รอ งบอก ออกไป ดวยโทษา ตาไดฟง ตนี คยุ โม กห็ มัน่ ไส ดมู รรคา เศษแกวหนาม ไมต าํ ตนี วา ท่ีตีน เดนิ เหินได ก็เพราะตา ตนี ไมค วร จะมา คิดดหู ม่นิ เพราะฉะนนั้ ตาจึง สาํ คัญกวา ทว่ั ธานินทร ตีนไปได กเ็ พราะตา สรปุ วา ตามคี า สงู กวาตนี เรงกระโดด ออกไป ใกลหนา ผา ตีนไดฟ ง ค่ังแคน แสนจะโกรธ ดวงชวี า จะดบั ไป ไมรเู ลย เพราะอวดดี ทําเบง เกงกวา ตา กพ็ โิ รธ แกลง ระงับ หลับตาเฉย ตาเห็นตนี ทําเกง เรง กระโดด ตกผาเลย มรณา ทัง้ ตาตีน ตีนพาตา ถลาลม ทงั้ กมเงย อญิ จะเอย น่ทิ าน บูรานญาย ๓) กลอนนทิ าน ท่ังดําญาย อีดซดั นัดประชุม ต้งั คอ ยค่ิ เกนิ กาน คอยเจน เฮย ทอชดั เจน ย่ังอฮิ งิชึบพาง ราดชะซี จอมพรี่ แหงพงไพร โคย ญายมอ่็ ง พา งงชิ บึ อดึ เพาะซา ทงั กจิ ตกั เจนทน่ี ัด ซัดทั้งเฮน โคยญา ยควาง พา งงชิ ึบ งชิ ิบพาง กะนายญาย งิชายกาง ชบึ เพว กาง กะนายญา ง งิชายกาง ชึบเพว กาง ๕๙
กะนายคอ ย งชิ า ยกาง ชึบเพวกาง โคย กายพาง พางงิชบึ ชึบงิเอย คาํ แปล นานนม เกินกาล ผานมาแลว ฉันจะเอย นิทาน โบราณบอก ราชสหี จอมปา แหง พงไพร ทง้ั บอกกลาว ใหส ตั ว นดั ประชมุ ทงั้ เล็กใหญ ทีม่ านดั สัตวท ัง้ นั้น ทาํ ชัดเจน อยางไร กลางวันกลางคนื เชา ชา งบอกกลางวนั ๙ เดอื น กลางคืน ๓ เดือน กิง้ กา บอกบาง เชากลางวันกลางคนื เทากนั ชางบอกกลางวนั ๙ เดือน กลางคืน ๓ เดอื น กิง้ กาขวาง เชา กลางคนื กลางวัน กลางวันกลางคนื เชา ชางชา กลางวนั ๙ เดอื น กลางคืน ๓ เดือน ก้งิ กาขวาง เชากลางวันกลางคนื กลางคนื กลางวนั เอย ๓.๔ บนั ทึกประเพณี พิธีกรรม ๑) พิที ปาก ต็อง พลา พทิ ี ปาก ตอ็ ง พลา อีน ช่ึมชดึ กยึ ดงึ ตอ็ ง โมย นั่ก อีน มอ ทอ ทา กมน ปาก ต็อง พลา โอจ ดิว โอจ มอน ปอ แมว โมย ตวั มอ นํา่ เวยี่ น ตอ็ ง อีน มอ ทอ ทา กมน ปาก ต็อง เพส รอบ เจน ทึง งาย กะซอง ก็ เคว ตา กึย ดึง ต็อง ตา ชัน ลูม กึย ม่็อง ชัน อีน ต็อง อิฮ เลย เจน ลูม ตา กึย ม่็อง ตา ก็ พูด เจน เทอะ เจน กยึ ม็อ่ ง ตา มอ ก็ พา ปาก เจว ดึง ต็อง พลา ตา ก็ พูด อึดพอน กึย ต็อง พลา อึด รํ่ารวยตลอดไป มอ ก็ โอจ ทากมน เท่ียว ประ อึด ท่ัว ต็อง พลา คําแปล พธิ ขี ้ึนบา นใหม พิธีข้ึนบานใหม ตองมีคนแกอยูบนบานหนึ่งคน มีหมอทํานํ้ามนตขึ้นบานใหม เจาของบานอา หมอน เอาเสื่อ อุมแมวตัวหน่ึง หมอนําเวียนรอบบานสามรอบ มาถึงหนาบันได ก็เรียกตาที่อยูบนบาน “ตาฉัน ขอไปอยดู ว ย ฉันไมม บี านเลย มาขอตาอยูดวย” ตาก็พูด “มาเถอะ มาอยูกับตา” หมอก็พาขึ้นบนบาน ตาก็พูด ใหพร “อยบู า นใหมใ หร ่าํ รวยตลอดไป” หมอก็เอานา้ํ มนตเท่ยี วประใหทว่ั บาน ๒) เรือ่ ง โกยจกุ ระวาง กาง โพน อีน กาน มงคน กาน โกยจุก เนว ตอย ตอย เนม เกิด พลา พลา ทา ยาม แก็ง แก็ง ต่อ็ ง ออญ จุก เนว จะ ฮีด ยา ม ทึง ราย โมย กาง ทงึ จะ โกย อนี เว ลา โกย ต่็อง เจว มน พระ เจน ซวด มน ญาย ชม่ึ เจน ทอ บุน ชว ย ซา ทอ นมจกุ นม เทยี น นม ต็อม ทอ บายซี ตอน เพว ต็่อง ซาน เซพา อีน พระ ซวด ตอน เปว เพา ะ ตอน พาง พระ ก็ เจน ทอ พทิ ี โกยจุก เฮย ก็ คอด ตี เนว ๖๐
คาํ แปล เร่อื งโกนจุก ระหวางเดือนสี่มีงานมงคลคืองานโกนจุก เด็กแตกอนแรกเกิด เด็กบางคนก็งอแง แมมักจะไวจุก แลวก็หายงอแง แมก็ตองไวจุกไวไดประมาณ ๑๑ ขวบ ถึงจะโกน ไดเวลาโกนตองจัดงาน ตอนจัดงานตอง นิมนตพระมาเจริญพระพุทธมนต พระเจริญพระพุทธมนตก็ตองมีบายศรี ชวยกันทําขนมจีน ขนมเทียน ขนม ตม บอกพ่นี องไปชวยงานโกนจุกของชอง ตอนเชา พระทําพิธีโกนจกุ โดยพระจะเปนผูตัดผมกอน จากนั้นก็จะมี นายฤกษโ กนผมจกุ แลว ก็ผกู ขอ มือ ๓) เรอื่ ง ทอ บุน ซาด ตอย จะทอ บุน ซาด โอจ ฮายมีบ เจน คั่ว แปน บูน เฮย โอจ ฮายมีบ เจน คั่ว ทอ แปน บูน เฮย โพย จักทั่น ก็ โอจ เจน กูย แปน กะยาซาด เคร่ืองปรุง กะยาซาด อีน ดูงนม ออยนมตาน นมตานปบ แปะแซ กะเพา ลอง กะโง กะทุฮ ตุงเทด ตุงโอยเค้ิม จักเฮน ก็ โอจ เจว เช่ือม ม็่อง นมตานตอย เฮย จักเฮน ก็โอจ กะ ดูง เจว ค่ัน ทากกะท่ิ โอจ เจว เคี่ยว เพาะดี เฮย ก็ โอจ กะทุฮ โอจ บูน โอจ กะโง โอจ กะตาก นมออย น มตาน แปะแซ โอจ เจว กูย ม่็องซา เพาะ ช้ีน เฮย ก็ ว็อก ไซ ชาม เพาะ ตอน พาง ๆ รายทํ่า ค่ํา วั่น ทอบุน ซาด เจว ทอ บุนซาด ดึง ว่ัด ดัก ก็ เจว ว่ัด โอจ ช่ิว โอจ ปล็อง โอจ นม กะยาซาด เจว วั่ด ทอ บุน เฮน จัก เฮย มั่ดงิ บาย ว่ัน โมย ซา เมต็อง ดัก ก็ โอจ ติวลิว เจวปก ดึง มุม แซ เฮยโอจ เครื่อง ซูจ เม โพซบ เพาะ ลา แมโพซบ ก่ําลั่ง ปุง ดัก เลย โอจ ลอง โอจ เชาะ โอจ เนมออย กะยาซาด ปอก คอด ติด ม็่อง ติวลิว ดึง มุม แซ เฮย โพย จัก เฮน ดัก ก็ เซน เมโพซบ ดัก ก็ ออก เจน ร่ับ เคร่ือง ซูจ นะตอย ดัก อึด จํามลอง โอจ เครื่อง ซูจ เมโพซบ เพาะ ซูจ เมโพซบ ดัก ก็ ออก เจน ชา นม จํามลอง ทั่ง เมโพซบ ดัก เมาะ เลย ทอย ปลํา ดัก เฮน จกั เฮน ดกั อึด จําคีน ซจู เมโ พซบ ตะลอด เจน เฮย คําแปล เรอ่ื งทาํ บญุ สารท กอนจะทําบุญสารท เอาขาวเหนียวมาคั่วเปนขาวตอก แลวเอาขาวเหนียวมาตําเปนขาวเมา แลว หลังจากน้ันเอามากวนเปนกระยาสารท เครื่องปรุงกระยาสารทมีมะพราว น้ําออย น้ําตาลทราย นํ้าตาลปบ แปะแซ ฟกทอง กลวย เผือกหอม มันเทศ งา ถั่วลิสง เอามาพราวมาค่ัวกะทิใหเปนมัน เอาขาวตอก ขาวเมา ถั่วลิสง งา นํ้าออย น้ําตาล แบะแซ แลวกวนดวยกัน พอสุกดีใสภาชนะ พอตอนเชาแรมสิบหาค่ํา วันทําบุญ สารท เขาก็ไปวัดกัน เอากับขาว ขนม กระยาสารท ไปวัดทําบุญกัน หลังจากนั้น ตอนบายวันเดียวกันนั้น แมบานเขาทําติวลิวไปปกท่ีหัวมุมนาพรอมดวยเคร่ืองเซนแมโพสพ เพราะวาแมโพสพกําลังทอง เคร่ืองเซนแม โพสพมี กลวย ออย สม กระยาสารท มัดติดกันกับติวลิวที่มุมหัวคันหา แลวเขาก็อัญเชิญแมโพสพมารับ เคร่ืองเซน พอเซนเสร็จแมโพสพก็ออกมารับเครื่องเซน เมื่อกอนเขาใหผูชายคนนั้น เห็นแมโพสพสวยเกิดชอบ ข้ึนมาเลยไลปลํ้า แมโพสพเลยหนีไปที่หัวคันนา ตั้งแตน้ันมาเขาเลยใหผูหญิงเปนคนนําของเซนแมโพสพตลอด มา ๖๑
๔) เรอื่ ง ทอบุน กรุจ ซงกราน ระดู กรุจ ระดู ซงกราน ชอง ครองกะมลู แทก ซาเจว ทอบุญ ดึง ว่ัด ครองกะมลู เจว ตักบาด ทะวายทาน เฮย ก็ กลบั ตอ็ ง ฮอบปลอ็ ง ก็ แทก วา เจว ฮูม ทาก พระ ฮูม ทาก ชองชึด ตาม ประเพนี คอง ช อง เฮย จาก เฮน ก็ เลง ซะบา เลงคาง พะนัน ซา คาง มิฮ แพ ก็ เซีย ปรั่ก ท่ิว คราญ อึด ซา ซา คะนุกเฮฮา ตาม ประเพนี ชอง เพาะ ชึบ ก็ เลง ซอง ลําวง ซาวิจ จ็อน กะท่ัง ดึก ก็กลับ ต็อง พ่ิจ เพาะ ทึง ตอน พาง ก็ เจว เลง ซาวิจ จ็อน เพว แลง คําแปล ทําบุญตรษุ สงกรานต ฤดูตรุษสงกรานต ชาวคลองพลูก็ชวนกันไปทําบุญวัดคลองพลู ไปตักบาตร ถวายทานแลวก็กลับ บานกินขาว แลวชวนกันไปอาบนํ้าพระ และรดนํ้าคนเฒาคนแกตามประเพณีของชอง แลวจากนั้นก็มีการเลน สะบา เลนตลี ูกขางแขงกัน ใครแพก็ตองเสียเงิน ซื้อเหลาเลี้ยงกันจนสนุกสนานเฮฮา ตามประเพณีของชอง พอ ตกตอนค่ําก็มีการเลน ราํ วงอะไรตอมิอะไร พอหมดเวลาก็กลับบา น รงุ เชา กม็ าเลน ตอจนครบสามวนั ๓.๕ อาหารพ้นื บานชอง ๑) กานทอ ลกุ กะทิ่ ซวนพะซอ็ ม โมย ดูงคูด เพว กิโล พา ย เทดซอ็ ด เพวคีด เพว ทม่ี , ฮัวฮอม โมยกําตี โพน กะปฮ เพวคดี พราํ ละมะกรดู เพาะประมาน กะตอง ชก ซบั คร่ึงกิโล วิทีทอ ๑. คน่ั กะทิ่ ไซกะทาฮ ตังเพลง อึดแปน ปริง่ ๒. โอจ เทด , ฮวั ฮอม, ทม่ิ , กะปฮ ไซโคลอก โคลก พรอ มซาวจ็อดลีด ๓. เพาะทากกะทิ่แปนปรั้งก็โอจเทดไซกะทาฮ ม็่องชกซับ เคียวอึดพัฮเพาะประมาน ปรุงร ดตามใจชอบ โรยละมะกรดู เพอื่ อดึ กลินเค้ิม คําแปล การทาํ น้าํ พรกิ กะทิ สวนผสม ๑. มะพราวขดู ๓ กิโล ๒. พรกิ สด ๓ ขดี ๓. กระเทยี ม หอม (อยา งละ) ๑ กํามอื ๔. กะป ๓ ขดี ๖๒
๕. ใบมะกรดู พอประมาณ ๖. หมสู บั ครง่ึ กิโล วธิ ที าํ ๑. คั้นกะทใิ สกระทะ ตั้งไฟ ใหขน้ึ ตานา้ํ มัน ๒. นําพริก หอม กระเทียม กะปใ สครก ตาํ พรอ มกันใหล ะเอียด ๓. พอน้ํากะทิข้ึนมนั ก็นํานา้ํ พริกใสล งไปในกระทะ แลว ใสหมูสบั และเค่ยี วใหแหง พอประมาณ ปรุงรสตามตอ งการ โรยใบมะกรูดเพ่ือทําใหไดก ล่นิ หอม ๒) ชว่ิ ควั เมวกะวาญ ซวนพะซ็อม โมย ลกุ ชวิ่ ครง่ึ กโิ ล พา ย เมวซบั เพว กิโล เพว หนอกะวาญฮัน รา ยนอ โพน ละชะพลูฮัน เพว เซละ พราํ ละเพราย่ีรา ซอย โมยกาํ ตี กะตองพกั ชีฟะรังซอยเพาะประมาน วทิ ที อ โอจลกุ ชิว่ ไซกะทาฮคัวอึดชี้น ไซทา กเจวม่อ็ งอูจมาย โอจชูจ เมวไซกะทาฮ ควั อดึ ชเู มวชี้น ไซกะ วาญ, ชะพลู ละเพรา ยี่รา พกั ชี วอ็ กพล็อกอึดคัฮรด เตมิ รดตามใจชอบ ซบั พะคนุ ช่วิ คัวกะวาญ ชว ยคับลม บํารงุ รางกาย ชว ยอึด มะ ฮาม ลม ซะดวก คําแปล แกงค่วั ปลากระวาน สวนผสม ๑. น้ําพรกิ แดง คร่งึ กโิ ล ๒. ปลาสับ ๓ กิโล ๓. หนอ กะวานห่ัน ๑๐ หนอ ๔. ใบชะพลูห่นั ๓๐ ใบ ๕. ใบยี่หรา ซอย ๑ กาํ มอื ๖. ผกั ชีฝร่งั ซอย พอประมาณ วิธที าํ นําน้ําพรกิ แกงใสกระทะควั่ ใหส ุก โดยใสนา้ํ ลงไปดว ยเลก็ นอย ใสเ นอ้ื ปลาลงไปใหเนอื้ ปลาสกุ ใส กระวาน ชะพลู ยี่หรา ผักชี ชิมรสและปรุงรสตามตอ งการ สรรพคุณ แกงค่ัวกะวาน ชว ยขบั ลม บาํ รงุ รา งกาย ชวยใหเลือดลมเดินสะดวก ๖๓
๓) นมตงุ คอ น ซวนพะซอ็ ม โมย ซึกมบี โมย กโิ ล พาย ซกึ โพย ครึ่งกิโล เพว ลุกโมย พายชอน โพน ทาก เพวทว ย พรําดูงฮา วคดู เพาะประมาน วทิ ีทอ โอจซกึ โพยซกึ มีบ เจน พะ ซอ็ มซาโอจ ทา กท่ีพะ ซอ็ มลุกโมย คลกุ จุฮเจวนวดอึดเคาซาดี ก็ปนแปน รูบญา มตี ไซเจวละแก็ฮทา กพฮุ เพา ะนม ลอย ก็วอ็ กโอจเจว กราํ ทากชกั่ ว็อกไซชามคลุก ม่อ็ งดูงท่ีพะ ซ็อมลุกโมย คลุกอดึ ดี ชาอีนเลย คําแปล ขนมเล็บมืองนาง สว นผสม ๑. แปงขาวเหนียว ๑ กโิ ล ๒. แปงขา วจา ว คร่ึงกโิ ล ๓. เกลือ ๒ ชอนโตะ ๔. น้ํา ๓ ถวย ๕. มะพรา วขดู พอประมาณ วธิ ีทาํ นําแปงขาวจาว และแปงขาวเหนียวมาผสมกัน นําน้ําที่ผสมเกลือเทลงไป แลวนวดพอเขากันดี ปนเปน รปู นิว้ มอื ใสล งไปในหมอ น้าํ เดอื ด พอขนมลอยกต็ กั ขน้ึ และแชใ นนาํ้ เยน็ ตักใสภ าชนะ คลุกดวยมะพราว ทีผ่ สมเกลอื คลกุ เคลาใหเ ขา กันดี รบั ประทานไดเ ลย ๔) ชว่ิ ชก เชา ะยา ก ซวนพะซอ็ ม โมย เทด พายคดี พา ย ทีม่ พรําโตด เพว ฮวั ฮอม พรําโตด โพน กะมจู เพวเนม พราํ กะปฮ พายชอ น กะตอง ลกุ กะโมย พายชอ นชิว่ นูย เชาะยาก พายรงึ ๖๔
กะตี ชก พายกโิ ล วทิ ที อ โอจทา วไซกะทาฮ เพา ะทา กพฮุ โอจลุกช่วิ ไซกะทาฮ เพา ะลุกชิ่วเคมิ้ ไซชก เพาะชน้ี ไซเชาะยาก เพาะชน้ี เตมิ ทากอุยมา ย วิทที อลกุ ช่วิ ไซกะมูจ ทมี่ ฮวั ฮอม เทด ชอกอึด ลี่ดเฮย ไซกะปฮชอกอดึ ลี่ด คําแปล แกงหมูชะมวง สวนผสม ๑. พรกิ ๒ ขีด ๒. กระเทยี ม ๕ หัว ๓. หวั หอม ๕ หวั ๔. ตะไคร ๓ ตน ๕. กะป ๒ ชอ น ๖. เกลือ ๒ ชอนแกง ๗. ใบชะมวง ๑ ถว ย ๘. หมู ๒ กิโล วิธที าํ เอาน้าํ ใสก ระทะ พอนํา้ เดือดเอานาํ้ พรกิ แกงใสก ระทะ พอน้ําพริกแกงหอม ใหใ สหมพู อสกุ แลว ใสใบชะมวง เติมน้ําเล็กนอย วธิ ีทาํ พรกิ แกง ใสต ะไคร กระเทยี ม พรกิ หัวหอม ตําใหเ ขากนั แลว ใสก ะป ตาํ ใหละเอียด ๕) ชิ่วฮงุ เพว โมย ซวนพะ ซ็อม พา ยโล โมย ฮงุ เพว เนม พาย แลก พายโตด เพว กะมจู โมยโมย โพน กะดงิ่ พรําโตด พราํ มะ กรูด พราํ โตด กะตอง ฮัวฮอม โมยกํา นูย ทีม่ เพวคดี กะตี ปางกะเพรา กะชาย เทดญัด่ ๖๕
รา ย กะปฮ พายคดี รายโมย ลกุ กะโมย พา ยชอน วทิ ที อ โอจทา กไซกะทาฮ ไซลุกชว่ิ พดั อึดเคม้ิ กไ็ ซแลก พดั อดึ ชี้น ไซฮุง เตมิ ทาก พัดจ็อนพุฮ เมือดละเพ รามอ่็ งละยี่ราเฮย ยกออก วิทีทอลุกช่วิ โอจกะมูจดีงมะกรูด ฮัวฮอม ท่ีม ปางกะเพรา เทดซ็อด ไซรวมซา ชอกอึดลี่ด เฮยไซกะปฮ ชอก อดึ ลีด่ วิจโมยแลง คําแปล แกงมะละกอ สว นผสม ๑. มะละกอ ๓ ลกู ๒. ไก ๒ กโิ ล ๓. ตะไคร ๓ ตน ๔. หวั ขา ๒ หัว ๕. มะกรดู ๑ ลูก ๖. หวั หอม ๕ หวั ๗. กระเทยี ม ๕ หวั ๘. ดอกกระเพรา ๑ กํามอื ๙. พรกิ สด ๓ ขดี ๑๐. กะป ๒ ขดี ๑๑. เกลือ ๒ ชอ น วธิ ที าํ เอานาํ้ ใสกระทะ เอาพริกแกงใส ผัดใหมีกลนิ่ หอม ใสไกผดั ใหสุกและใสม ะละกอ เติมนาํ้ ผดั จน นํา้ เดอื ด ใสใ บกระเพรา และใบยีห่ รา แลว ยกขึ้น วธิ ีทาํ พริกแกง เอาตะไคร หัวขา มะกรูด หัวหอม กระเทียม ดอกกระเพรา พริกสด เกลือ ใสรวมกันแลวตําให ละเอยี ด ใสก ะป ตาํ ใหล ะเอยี ดอกี คร้ัง ๖) นม ปอก โมย โลคร่งึ ซวนพะซ็อม พายชอน โมย ซึกโคมีบ โมยโล พา ย ลกุ โมย เพว ดงู คดู ๖๖
วิทีทอ ลายลุกโมย โอจทากลุกโมย เจนญํ่าม็องซึก ปนซึกอึดกล็อม บีบอัดแบน ไซไซดูงที่ เคลาม็องลุก โมย ฮะบบี อดึ กล็อม โอจไซละลอง ปอกเฮย กลัดมอ็่ งอดู ทางดงู โอจ เจวนึงอึดชีน้ คําแปล ขนมปอ ก สว นผสม ๑. แปงขา วเหนียว ๑ กิโลครง่ึ ๒. เกลอื ๒ ชอน ๓. มะพรา วขูด ๑ กโิ ล วิธที าํ เอาเกลือใสนํ้า แลวเอานํ้าเกลือมานวดแปงใหเขากัน แลวเอาแปงมาปนใหกลม แลวบีบใหแบน ใสมะพราวขูดตรงกลางท่ีคลุกดวยเกลือ ปนใหเปนกอนกลม หอดวยใบตอง แลวกลัดดวยกานมะพราว นําไป นง่ึ จนสุก ๗) เลียงพูด งัด่ ไซเชา ะยาก ซวนพะซอ็ ม โมย เชาะยา ก โมยกํา พา ย พูดงั่ด พราํ เนม เพว ฮัวฮอม เพวโตด โพน กะปฮ คร่งึ ชอ น พราํ ลกุ โมย ครงึ่ ชอน วทิ ที อ ต็อมพูดงั่ดอึดพูฮ ไซกะปฮ ฮัวฮอม ลุกโมย เจวม่็อง จ็อนพูดงั่ดเปอย เฮยไซ ละเชาะยาก จ็อน อิ่นรด เชาะ แซด็ เฮย ยกออก คาํ แปล แกงเลยี งยอดหวาย สวนผสม ๑. ใบชะมวง ๑ กํา ๒. ยอดหวาย ๕ ตน ๓. หอมแดง ๓ หวั ๔. กะป คร่ึงชอ น ๕. เกลือ ครงึ่ ชอน วธิ ีทาํ ๖๗
ตมยอดหวายใหเดือด โดยใสกะป หัวหอมและเกลือลงไปตมดวยจนยอดหวายเปอย และใสใบ ชะมวงทําใหมรี สเปรี้ยว เสรจ็ แลวยกออก ๘) ช่วิ มลองมอ่็ งพูด ง่ดั ซวนพะ ซอ็ ม โมย มลอ ง ครึง่ โล พา ย พดู ง่ดั นยู เนม เพว ลุกชิ่ว พา ยคดี โพน ละมะ กรดู อจู มาย พราํ ละเพรา อูจ มา ย วิทที อ โอจทากไซกะทาฮ อูจ มาย พัดลกุ ช่วิ จอ็ นเค้ิม เฮยไซ มลอ ง พดั จอ็ นชน้ี จากอันไซพูดง่ัด เฮยพัดวิจ โมย แลงปรงุ จ็อนอีนรดชา ดพอใจ เฮยไซละมะกรูด ฮะกอ ละเพราโรย งาย เฮยยกออก คาํ แปล แกงปลาไหลกับยอดหวาย สวนผสม ๑. ปลาไหล ครึ่งกโิ ล ๒. ยอดหวาย ๗ ยอด ๓. พรกิ แกง ๒ ขีด ๔. ใบมะกรดู เลก็ นอ ย ๕. ใบกะเพรา เลก็ นอย วิธีทํา เอานํ้าใสกระทะเล็กนอย ผัดพริกแกงจนหอม แลวใสปลาไหลผัดจนสุก จากนั้นใสยอดหวายแลว ผัดอีกคร่งึ หน่งึ ปรงุ จนไดร สชาตทิ ีพ่ อใจ เสรจ็ แลวใสใ บมะกรูด และใบกะเพราโรยหนาแลวยกออก ๙) ชิว่ ชกไซพลลี อง ซวนพะซอ็ ม โมย ชก พา ยโล พาย ลอง โมย โล เพว ลุกช่ิว พา ยคีด โพน ละมะ กรดู อูจมา ย วิทที อ โอจทากไซกะทาฮ พัดลกุ ชิว่ จอ็ นเคิ้ม ไซชก พัดจอ็ นชีน้ โอจลอง ทฮี่ นั ออญไซเจว พดั อดึ ชีน้ วจิ โม ยแลง โรย ละมะ กรูด เฮยยก ออก คําแปล แกงเผด็ หมใู สล ูกกลว ย ๖๘
สว นผสม ๑. หมู ๒ กิโลกรัม ๒. ลูกกลว ย ๑ กิโลกรมั ๓. พรกิ แกง ๒ ขีด ๔. ใบมะกรดู เลก็ นอ ย วิธีทาํ เอานํ้าใสกระทะ ผัดพริกแกงจนหอม ใสหมูผัดจนสุก แลวนํากลวยที่หั่นไวใสลงไป ผัดใหสุกอีก ครง่ึ หน่งึ โรยดว ยใบมะกรูด แลวยกออก ๑๐) นมปาย ซวนพะ ซ็อม โมย ซกึ โคมบี่ พา ยโล พาย ดูงคูด พา ยโล เพว ลกุ โมย พา ยชอน โพน นาํ่ ตาน โมย โล พราํ โงโ พรง เพา ะประมาน กะตอง นํา่ มนั พดื พายลิด วทิ ีทอ ตอ็ มทากอึดอุน โอจเจวเตลา ม็่องซกึ โคม่ีบ ไซดงู คดู ลุกโมย น่ําตาน โงโ พรง นวดอึดเคาซา ปนแปน เปลก้ิ โอจเจวทอดจ็อนชี้น คาํ แปล ขนมปาย สวนผสม ๑. แปงขาวเหนียว ๒ กิโลกรัม ๒. มะพราวขดู ๒ กิโลกรัม ๓. เกลือปน ๒ ชอน ๔. น้าํ ตาล ๑ กิโลกรมั ๕. งาขาว พอประมาณ ๖. นา้ํ มันพชื ๒ ลติ ร วิธีทาํ ตมนาํ้ ใหอุน แลว นาํ มาเคลากบั แปง ขาวเหนียว ใสม ะพราวขูด เกลอื ปน นาํ้ ตาล และงาขาว นวด ใหเ ขา กัน ปนเปนชนิ้ แลว นาํ ไปทอดจนสุก อาจกลาวไดวา การศึกษาภาษาชองโดยผานวรรณกรรมทองถ่ิน ท้ังนิทาน เพลง กลอน ประเพณี พิธีกรรม อาหารพื้นบาน ฯลฯ ทําใหเห็นโลกทัศน วิถีชีวิต และภูมิปญญาทองถิ่นของชาวชอง นอกจากนี้จะ ๖๙
เห็นวา การใชภ าษาชองหลายคาํ มกี ารใชคาํ ทบั ศัพทใ นภาษาไทยเปนจํานวนมาก นั่นแสดงใหเห็นวา ภาษาชอง กําลังอยูในภาวะวิกฤตข้ันรุนแรง ทั้งน้ีการบันทึกองคความรูทองถิ่นเหลานี้ ยังบันทึกทั้งในภาษาไทยและภาษา ชอง ซ่ึงถือเปนเอกสารหรือหลักฐานสําคัญท่ีทําใหเด็กหรือเยาวชนรุนหลังไดเรียนรู เขาใจ วัฒนธรรมและภูมิ ปญญาของตนเองอกี ดว ย ๗๐
บทท่ี ๔ เงือ่ นไขภาวะวิกฤต / ปจั จยั คุกคามของภาษา ๔.๑ สภาพปจั จบุ นั ปัจจุบันชาวชองอาศัยอยู่หนาแน่นในเขตอําเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี โดยเฉพาะ ๒ ตําบลทาง ตอนเหนือของอําเภอ คือ ตําบลตะเคียนทอง และตําบลคลองพลู ส่วนตําบลท่ีอยู่ทางตอนใต้ คือ ตําบลพลวง และตาํ บลชากไทย มีประชากรชองที่พดู ภาษาไดจ้ ํานวนไม่มาก และในตําบลทับไทรของอําเภอโป่งน้ําร้อนนั้นมี ประชากรท่ีพูดภาษาชองเหลอื อยู่นอ้ ยมาก ส่วนใหญ่ชาวชองนับถือศาสนาพุทธ มีวัดเป็นศูนย์กลางประกอบพิธีกรรม เช่น งานศพ การทําบุญ เล้ยี งพระ แต่ยังมีประเพณที ี่เป็นเอกลกั ษณเ์ ฉพาะของชาวชอง ได้แก่ การแต่งงานแบบชอง หรือ “กาตัก” และ การเล้ียง “ผีห้ิง” และ “ผีโรง” ซ่ึงเป็นพิธีกรรมท่ีจัดข้ึนในวาระพิเศษเพื่อการ “สนทนา” กับบรรพบุรุษที่ ลว่ งลบั ไปแล้วผ่านทาง “คนทรง” นอกจากนี้ชาวชองยังมีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่น่าสนใจอื่น ๆ อีก ซึ่งควร ค่าแก่การดํารงรักษาไว้ เช่น ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธ์ุชอง ประเพณีและความเชื่อเก่ียวกับ ชีวิต วัฒนธรรมการรกั ษาโรคภัยไข้เจบ็ วัฒนธรรมการทําเกษตร ประเพณี วิถชี ีวติ และความเชื่อ ฯลฯ ภาษาชอง เป็นภาษาที่พูดอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขามอญ – เขมร กลุ่มย่อยเปียริก ซึ่งเป็น กลุ่มคนกลุ่มหน่ึงในอาณาจักรเขมร ถือเป็นภาษาท่ีเป็นที่สนใจของนักภาษาศาสตร์เป็นอย่างย่ิง เน่ืองจากมี ลกั ษณะนาํ้ เสยี งถึง ๔ ลักษณะ (สเุ รขา ๒๕๒๕; สริ กิ าญจน์ ๒๕๓๐; ธรี ะพันธ์ ๒๕๓๔) ในขณะท่ีภาษาส่วนใหญ่ ในสาขามอญ – เขมร จะมีเพียง ๒ ลักษณะน้ําเสียงเท่าน้ัน ดังท่ีปรากฏในภาษามอญ กูย – กวย ญัฮกุร เปน็ ตน้ ลกั ษณะเด่นของลักษณะนํ้าเสียงในภาษาชอง คือ การกักท่ีเส้นเสียง (Glottal Constriction) ซ่ึงถือว่า เป็นเอกลักษณ์ของภาษาชอง ลักษณะน้ําเสียงในภาษาชอง ๔ ลักษณะ ได้แก่ ๑) ลักษณะน้ําเสียงปกติ ๒) ลักษณะน้ําเสียงปกติ ตามด้วยการกักของเส้นเสียง ๓) ลักษณะนํ้าเสียงก้อง มีลม ๔) ลักษณะนํ้าเสียงก้องมีลม ตามด้วยการกกั ของเส้นเสียง นอกจากนี้ยังมลี ักษณะทางไวยากรณท์ ่ีเปน็ เอกลกั ษณ์ ภาษาชองจัดอยู่ในภาษาภาวะวิกฤตใกล้สูญ เนื่องจากในปัจจุบันมีจํานวนคนที่สามารถพูดภาษาชอง ได้ดีมีประมาณ ๒๐๐ คนของจํานวนคนชองทั้งหมดประมาณ ๒,๐๐๐ คน (สุวิไล เปรมศรีรัตน์, ๒๕๔๓) ผู้พูด ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ และยังใช้กันในกิจกรรมทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตบางโอกาสเท่านั้น ทําให้ชาว ชองไดม้ ีความพยายามทีจ่ ะฟ้นื ฟูภาษาและวัฒนธรรมของตนเองตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ดําเนินการในพ้ืนที่ตําบล ตะเคียนทอง และตําบลคลองพลู อําเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี และได้รับทุนสนับสนุนจากสํานักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่นต่อเนื่องหลายโครงการ เช่น การสํารวจสถานการณ์ทาง ภาษา การสร้างระบบตัวเขียน การสอนภาษาชองในโรงเรียนเป็นหลักสูตรท้องถ่ิน การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ เพื่อฟื้นฟูภาษา – วัฒนธรรมชอง การศึกษาความรู้ของชาวชองเรื่องคลุ้ม – คล้า (รุ่นทาก – รุ่นเชอ) และการ ปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรและวัฒนธรรมประเพณีชอง แบบบูรณาการโรงเรียนวัดตะเคียนทอง โดยชุมชนมี ๗๑
ส่วนร่วม ซึ่งในการทํางานฟ้ืนฟูดังกล่าวได้ทําให้เกิดองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนเกิดการพัฒนา ศักยภาพชุมชนอกี ดว้ ย ปัจจุบันชาวชองยังมีการฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมของตนเองอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากความ ร่วมมือของชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและกลุ่มแม่บ้านในการดําเนินงานโครงการ “รักษ์ครัวช์อง” ภายใต้ โครงการ “การฟื้นฟูของกินพ้ืนบ้านเพ่ือเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและสืบสานวัฒนธรรมในกลุ่มชาติ พันธุ์” สนับสนุนงบประมาณโดยกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซ่ึงจากการดําเนินโครงการน้ี ทําให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านอาหารพื้นบ้านจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย นอกจากนี้ปัจจุบันชาวชองยังเป็นที่ รู้จักของกลุ่มคนทั่วไป ดงั จะเห็นได้โดยมีส่ือสาธารณะได้ให้ความสนใจ และมีการถ่ายทํารายการที่เกี่ยวข้องกับ คนชอง ในแง่มุมต่าง ๆ เช่น ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของชาวชองเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอีกด้วย เช่น รายการพนั แสงรุ้ง รายการฟู้ดส์ ฟัน แฟร์ ฮอลิเดย์ เป็นต้น นอกจากนี้ชาวชองยังมีคู่มือระบบเขียน ภาษา ชอง อกั ษรไทย ซ่งึ ได้รับการรับรองจากราชบณั ฑิตยสถานเป็นทเ่ี รียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามภาษาและวัฒนธรรมของชาวชอง ยังจําเป็นต้องมีการฟ้ืนฟูอย่างต่อเนื่อง เพื่อการชะลอ การตายของภาษาและวัฒนธรรม ทั้งนี้ควรได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เก่ียวข้องในพ้ืนท่ี เช่น โรงเรียน องค์การปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ เป็นตน้ ๔.๒ ปัจจยั คกุ คาม ภาษาชอง ถือเป็นภาษาที่อยใู่ นภาวะวกิ ฤตใกล้สูญ เน่อื งจากมีผพู้ ูดเปน็ จํานวนน้อย สามารถพูดได้ดีใน รุ่นสูงอายุ ยังมีการใช้ในบ้านและในชุมชนไม่มากนัก ทั้งนี้มีสาเหตุสําคัญที่ทําให้ภาษาอยู่ในภาวะวิกฤต ๒ ประการ ได้แก่ ๑) เกิดจากกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ส่งผลทําให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เช่น ระบบการคมนาคมขนสง่ ระบบการสือ่ สาร เทคโนโลยสี ารสนเทศ เปน็ ตน้ ทาํ ให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการเปล่ียนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ ดังเช่น แต่เดิมชุมชนชอง อาศัย การเพาะปลูกเพ่ือเลี้ยงชีพ ประกอบกับการพึ่งพิงทรัพยากรจากป่า เช่น การเพาะและเก็บลูกกระวานของชาว ชอง การล่าสัตว์ เป็นต้น ปัจจุบันการเลี้ยงชีพได้เปลี่ยนไปสู่การเกษตรท่ีเช่ือมโยงกับระบบตลาดอย่างชัดเจน นอกจากน้ียังมีการพัฒนาระบบคมนาคม ระบบส่ือมวลชน ได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ท่ีล้วนใช้ ภาษาไทยเปน็ ภาษาในการสือ่ สาร รวมถึงการอพยพเข้ามาของประชากรกลุ่มชาติพันธุ์อื่น การติดต่อค้าขายกับ คนตา่ งถ่ิน ล้วนสง่ ผลให้ภาษาชองสญู เสยี สถานะของการเป็นภาษาหลกั ในชีวติ ประจาํ วันของชุมชนลงไปเร่ือยๆ รวมถงึ สง่ ผลต่อการสญู เสยี ภูมิปัญญา วัฒนธรรมทอ้ งถนิ่ และอัตลักษณ์ทางชาตพิ นั ธ์ุของตนเองอกี ด้วย ๒) เกิดจากนโยบายของภาครัฐ ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากการท่ีรัฐบาลไทยออกกฎหมายการศึกษา ภาคบังคับ (พ.ศ. ๒๔๖๘) ท่ีกําหนดให้เยาวชนทั่วประเทศเข้าเรียนในโรงเรียนสามัญของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจัดการเรียนการสอนและสื่อการเรียนการสอนเป็นภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาราชการ ประกอบกับการจัดการ เรียนการสอนที่ขาดการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ ระหว่างภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นกับภาษาและวัฒนธรรม ๗๒
ของโรงเรียนซ่ึงใช้ภาษาราชการ (ภาษาไทย) เพียงภาษาเดียวเป็นส่ือ (สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ, ๒๕๕๓) ทาํ ใหเ้ ดก็ และเยาวชนกลุ่มชาตพิ ันธ์ุไมไ่ ด้ใชภ้ าษาท้องถน่ิ ในโรงเรยี น จากปัจจัยดังกล่าวทําให้คนในชุมชน หรือเจ้าของภาษาท้ังกลุ่มชอง มีความพยายามในการฟื้นฟูภาษา รวมถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของตนเอง ด้วยตนเอง โดยได้รับการสนับสนุนทางด้านวิชาการจาก กลุ่มนักวิชาการทางด้านภาษาศาสตร์ จากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล และ ได้รับงบประมาณสนับสนุนการทําวิจัยในรูปแบบงานวิจัยเพื่อท้องถ่ินจากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ดังจะกลา่ วในรายละเอียดตอ่ ไปในบทที่ ๕ ๗๓
บทท่ี ๕ การอนรุ กั ษฟ์ ้นื ฟูภาษาและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ โดยชุมชน ภาษาชองถือเปน็ กลุ่มทมี่ ภี าษาอยใู่ นภาวะวกิ ฤตใกล้สญู (สวุ ิไล เปรมศรีรัตน์, ๒๕๔๓) เนื่องจากมีผู้พูด ภาษาได้ดีมีจํานวนไม่มาก ประกอบกับกระแสโลกาวิภัฒน์ และนโยบายของประเทศซึ่งถือเป็นปัจจัยสําคัญที่ ทําให้ภาษาชาติพันธ์ุตกอยู่ในภาวะวิกฤต อย่างไรก็ตามชุมชนชาวชองยังคงเห็นคุณค่าและความสําคัญของ ภาษาและวัฒนธรรมตนเองที่กําลังจะสูญหายไป โดยผ่านการดําเนินงานฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมในลักษณะ งานวิจัยเพ่ือท้องถ่ิน ได้รับการสนับสนุนทุนจากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มีเป้าหมายเพ่ือ ชะลอการตายของภาษาและการสูญเสียภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยเจ้าของภาษาเป็นผู้ดําเนินการด้วยตนเอง กระบวนการดังกล่าวสามารถทําให้ชุมชนเกิดการตื่นตัวในการฟ้ืนฟูภาษาและภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ ตนเอง ตลอดจนสรา้ งความมน่ั ใจและความเขม้ แข็งใหก้ ับคนในชุมชนอกี ด้วย ๕.๑ การอนรุ กั ษ์ฟนื้ ฟูภาษาและภูมิปญั ญาท้องถน่ิ โดยชมุ ชนชอง ๕.๑.๑ การดาํ เนนิ งานฟืน้ ฟภู าษาและภูมิปัญญาท้องถ่ินที่ผ่านมา หากมองย้อนกลับไปเม่ือประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๗ กลุ่มนักภาษาศาสตร์จากสถาบันวิจัยภาษา และวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล นําโดยอาจารย์สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และนักภาษาศาสตร์ชาว ต่างประเทศผู้เช่ียวชาญด้านสัทศาสตร์ ซ่ึงมีโอกาสไปศึกษาสํารวจลักษณะนํ้าเสียงภาษาชองท่ีบ้านคลองพลู อาํ เภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี อาจารย์สุวิไลได้พบชาวชองอาวุโส ๔ – ๕ ท่าน จากการพูดคุยทําให้ได้รับรู้ ถึงความวิตกของคนชอง เรื่องการถดถอยในการใช้ภาษาและความรู้ความเข้าใจวัฒนธรรมชองในหมู่เยาวชน แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เห็นความกระตือรือร้น ความพยายามท่ีจะรักษาและเผยแพร่มรดกทางภาษาและ วฒั นธรรมชอง ความตอ้ งการท่ีจะให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชอง ความพยายามที่จะเขียนภาษาชองตามระบบของ ตนเอง และความภมู ใิ จทจี่ ะสอนภาษาชองแก่เยาวชนและคนท่ัวไป (สวุ ิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ, ๒๕๕๐) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ อาจารย์สุวิไลได้มีโอกาสกลับไปท่ีบ้านคลองพลูอีกคร้ังหน่ึง และได้ พบอดีตกํานนั เฉิน ผันผาย ผ้มู ีความกระตือรือร้นในการอนุรักษ์และวัฒนธรรมชอง อาจารย์สุวิไลจึงได้ชวนชาว ชองจํานวน ๓ คน ไปร่วมสอนนักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาภาษศาสตร์ ในวิชา “ระเบียบวิธีวิจัยภาษาศาสตร์ ภาคสนาม” ร่วมกับผู้พูดภาษากะซองและภาษาซัมเรจากจังหวัดตราด ซ่ึงเป็นภาษาใกล้เคียงกับภาษาชอง หลังจากนั้นนักศึกษาระดับปริญญาโท ได้ลงพ้ืนที่ภาคสนาม โดยศึกษาตามประเด็นท่ีน่าสนใจ และสามารถ สื่อสารดว้ ยภาษาชองในขนั้ พนื้ ฐานได้ ทาํ ให้ชาวชองมีความพอใจที่นักศึกษาสามารถใช้ภาษาชองในการสื่อสาร ได้ ๗๔
ภาพ การเก็บขอ้ มูลภาคสนามภาษาชองของอาจารยแ์ ละนกั ศกึ ษาภาษาศาสตร์ ผลจากการท่ีมีนักศึกษาลงพื้นท่ีภาคสนาม และมีการศึกษาในระดับลึก ทําให้เกิดความรู้ทาง โครงสร้างภาษาที่ชัดเจน และผลจากการทดลองสร้างระบบตัวเขียนกับชุมชนชอง ทําให้เห็นโอกาสที่จะ ดําเนินงานฟื้นฟูภาษาชองและการสอนภาษาชองแก่เยาวชนและคนทั่วไปได้ โดยท่ีคณะนักภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เห็นถึงความร่วมมือของชาวชองและความสนใจมุ่งม่ันที่จะรักษาภาษาชองไว้ และใน ขณะเดียวกันชาวชองได้เห็นช่องทางว่าภาษาชองสามารถเขียนได้อย่างเป็นระบบ สามารถนําไปใช้เป็น เครื่องมือในการบันทึกภาษา วัฒนธรรม ประเพณี นิทานพ้ืนบ้าน ตํานาน และประวัติคนชอง รวมท้ังเป็น เครอื่ งมือในการสอนภาษาชองแก่ลูกหลานชาวชองและผู้สนใจทั่วไป ๕.๑.๒ การฟืน้ ฟูภาษาและวฒั นธรรมชองภายใตง้ านวิจัยเพอื่ ทอ้ งถ่นิ ต้งั แตป่ พี .ศ. ๒๕๔๔ เปน็ ต้นมา ชุมชนชองได้รว่ มกนั จัดทําโครงการวิจัยเพื่อท้องถ่ิน ซ่ึงมุ่งเน้น การดําเนินงานตามความต้องการของชุมชน ชุมชนมีส่วนร่วม และสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับชุมชน เพื่อ นําไปสู่ความเป็นชุมชนเข้มแข็ง โดยมีทีมพี่เลี้ยงจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพ่ือท้องถิ่น ประเด็นภาษาและ วัฒนธรรมในภาวะวิกฤต ร่วมกับนักวิชาการด้านภาษาศาสตร์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้คอยหนุนเสริมการดําเนินงานวิจัยเพ่ือท้องถ่ินให้เกิดความสําเร็จ และได้เสนอขอรับ ทุนสนับสนุนจากสาํ นกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อดําเนินงานอนุรักษ์และฟ้ืนฟูภาษาชองด้วยตัว ชมุ ชนเอง ดงั รายละเอยี ดดังน้ี โครงการที่ ๑ “โครงการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูภาษาชอง” (ปีพ.ศ. ๒๕๔๔) คณะกรรมการ อนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาชอง นําโดยนายเฉิน ผันผาย และคณะ ได้ดําเนินกิจกรรมการวิจัยเพ่ือหาวิธีการให้ ๗๕
ชุมชนชองในเขตตําบลตะเคียนทองและตําบลคลองพลู อําเภอเขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี ได้อนุรักษ์ฟ้ืนฟู ภาษาชองในชวี ิตประจําวนั โดยมีกิจกรรมหลกั ๓ กิจกรรมดงั นี้ (สุวิไล เปรมศรรี ัตน์ และคณะ, ๒๕๕๐) ๑) การสํารวจสํามะโนประชากรคนรู้ภาษาชอง ซ่ึงเป็นการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประชากร ชาวชองในพื้นที่ตําบลตะเคียนทองและตําบลคลองพลู และเป็นการสํารวจเกี่ยวกับความสามารถในการใช้ ภาษาชอง (ฟงั – พดู ) การใช้ภาษาชองในชีวิตประจาํ วัน รวมถึงความสนใจและความตอ้ งการเกี่ยวกับการเรียน ภาษาชอง ๒) รวบรวมและบันทึกภาษาชอง ได้แก่ การสร้างระบบตัวเขียนภาษาชอง โดยใช้ อักษรไทยให้สามารถอ่าน – เขียนภาษาชองได้ ทําให้ได้ระบบตัวเขียนภาษาชอง เพื่อเป็นเครื่องมือในการ รวบรวมและบันทึกองค์ความรู้ของชาวชอง ตลอดจนรวบรวมและบันทึกคําศัพท์ในภาษาชอง เพื่อจัดพิมพ์เป็น พจนานกุ รมเบอื้ งตน้ ใหส้ ามารถนําไปใชไ้ ดเ้ หมอื นกันในชุมชนชองอ่ืน ๆ ๓) วางแผนการทํางานในระยะต่อไป โดยนําเอาข้อมูลและบทเรียนท่ีสรุปได้จากการ ดําเนินกิจกรรม ๒ กิจกรรมข้างต้นมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผน โดยมีข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อการ ดําเนินงานอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาชองในข้ันต่อไป คือ ประชากรส่วนใหญ่ท้ังผู้ใหญ่และเยาวชนมีความเห็น สอดคล้องกันในการสนับสนุนการอนุรกั ษ์และฟน้ื ฟภู าษา และต้องการให้มีการเรียนการสอนภาษาชอง และยัง ต้องมีการรวบรวมและบันทึกภาษาชองให้ครบถ้วยสมบูรณ์และเป็นระบบ ซ่ึงพบว่านักเขียนชองสามารถใช้ “ระบบเขยี นภาษาชอง” ไดอ้ ยา่ งดี จนประสบความสาํ เรจ็ ในการผลติ หนังสือ และนําไปเผยแพรใ่ นชุมชน ภาพการทดสอบระบบตวั เขยี นภาษาชอง โครงการท่ี ๒ “โครงการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูภาษาชอง ระยะที่ ๒” (ปีพ.ศ. ๒๕๔๗) เป็นการ ดําเนินโครงการต่อยอดจากการดําเนินโครงการท่ี ๑ มีนายเฉิน ผันผายเป็นหัวหน้าโครงการ โดยมุ่งเน้นการ สร้างหลกั สูตรทอ้ งถ่นิ ทางด้านภาษาชอง ด้วยเน้อื หาวัฒนธรรมชองในช้ันเรียนประถมศึกษาปีที่ ๓ – ๔ ร่วมกับ ๗๖
โรงเรียนประถมในท้องถ่ิน อีกท้ังยังมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและบันทึกเน้ือหาทางวัฒนธรรมชองท่ีจะนํามา เปน็ หลกั สตู ร และสื่อการเรยี นการสอน โดยใชร้ ะบบเขยี นภาษาชองและส่อื อน่ื เพอื่ พฒั นาหลักสูตรท้องถ่ินโดย ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนในพื้นที่และชุมชนชอง เพ่ือให้มีการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูภาษาชองโดยใช้แนว ทางการพัฒนาหลักสูตรท้องถ่ินร่วมกับโรงเรียนในชุมชน และเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ และกิจกรรมศูนย์ การเรยี นรู้ชุมชนซงึ่ เปน็ การเสรมิ สร้างการเรยี นรู้ของนกั เรียนอกี ดว้ ย (เฉิน ผันผาย, ๒๕๔๗) ภาพการประมวลผลข้อมูลจากการสาํ รวจสถานการณภ์ าษาชอง โครงการท่ี ๓ “การสร้างหลักสูตรภาษาชองโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน” (ปีพ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๕๐) หัวหน้าโครงการคือนายสุรพล ไชยพงษ์ (ผู้อํานวยการโรงเรียนวัดคลองพลู) การดําเนินงานโครงการน้ี มุ่งเน้นการเรียนการสอนภาษาชอง ยกระดับหลักสูตรท้องถิ่นภาษาชองสู่หลักสูตรท้องถ่ินภาษาชองเพ่ิมเติม และขยายผลหลักสูตรท้องถิ่นภาษาชองสู่โรงเรียนอ่ืน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ ให้เด็กรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ภาษา ชองโดยสามารถพูด อ่าน เขียน และใช้ภาษาชองควบคู่กับภาษาไทยได้มากข้ึน ได้จัดกระบวนการจัดการเรียน การสอนหลักสูตรท้องถ่ินภาษาชองที่เหมาะสมกับผู้เรียน ได้หลักสูตรท้องถ่ินภาษาชอง เป็นต้นแบบในการ จัดการเรียนการสอนหลักสูตรท้องถ่ินด้านภาษาแก่ชุมชนภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤตท่ีน่าสนใจ เด็กรุ่น ใหม่เกดิ ความตระหนักเห็นคณุ ค่า ภูมใิ จในวัฒนธรรมของตนเอง อีกท้ังยังสามารถใช้หลักสูตรท้องถ่ินภาษาชอง เชื่อมความสัมพันธอ์ นั ดรี ะหวา่ งโรงเรยี นกับชมุ ชนในด้านตา่ ง ๆ ได้ (สุรพล ไชยพงษ,์ ๒๕๕๐) ๗๗
ภาพ ฝึกกลวธิ กี ารสอนใหก้ ับครูภมู ปิ ัญญาชอง ภาพ การเรียนการสอนภาษาชองในโรงเรียน โครงการท่ี ๔ “การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ฟื้นฟูภาษา – วัฒนธรรมชองเป็นแหล่งเรียนรู้ ชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วม” (ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๕๑) โดยมีนายรุ่งเพชร ผันผาย เป็นหัวหน้าโครงการ มุ่งเน้นให้ศูนย์การเรียนรู้ฟื้นฟูภาษา – วัฒนธรรมชอง เป็นแหล่งการเรียนรู้ของชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ ฟื้นฟูภาษา – วัฒนธรรมชอง ให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ของชุมชนท้ังด้านภาษาและ วัฒนธรรมชอง เพื่อหากระบวนการให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินกิจกรรมศูนย์การเรียนรู้ฟ้ืนฟู ภาษา – วัฒนธรรมชอง และเพ่ือหาแนวทางสร้างความเข้มแขง็ ให้ชุมชนอย่างยง่ั ยนื โดยใช้พนื้ ที่ศูนย์การเรียนรู้ ชมุ ชนเป็นสถานทด่ี าํ เนินการ จากการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ฟ้ืนฟูภาษา – วัฒนธรรมชอง ทําให้เกิดนิทรรศการภายในศูนย์ การเรียนรู้ ซ่ึงมีเนื้อหา ๖ สว่ นด้วยกนั ไดแ้ ก่ ๑) ส่วนนํา ประวัติความเป็นมาของศูนย์การเรียนรู้ ฟ้ืนฟูภาษาวัฒนธรรมชอง ประกอบดว้ ย ประวตั ิความเป็นมา ทําเนยี บคณะกรรมการ และโครงสร้างส่วนการจัดแสดง ๒) สว่ นที่ ๑ คนชอง ประกอบด้วย คนชองในประเทศไทย จนั ทบุรี และภาษาชอง ๗๘
๓) ส่วนที่ ๒ ประวัติความเป็นมา ประกอบด้วย ความเป็นมาตามประวัติศาสตร์ และคํา บอกเล่า ลกั ษณะท่วั ไป เช่น การแต่งกาย ลกั ษณะนสิ ัย ชีวิตความเปน็ อยู่ อาหารการกนิ ๔) ส่วนที่ ๓ วฒั นธรรมชอง ประกอบด้วยประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของคนชอง กิจกรรมใน รอบปี สมนุ ไพรและสขุ ภาพ ๕) ส่วนที่ ๔ ภาษาและการอนุรกั ษ์ ประกอบดว้ ย ภาษาชอง การอนุรกั ษฟ์ ืน้ ฟู โครงการ ขยายผล ๖) ส่วนที่ ๕ ประกอบด้วยงานวิจัยท่ีเก่ียวกับภาษาและกลุ่มชาติพันธุ์ชอง (รุ่งเพชร ผัน ผาย, ๒๕๕๑) ภาพ กระบวนการเรียนรู้ในศูนย์การเรียนรู้ภาษา – วัฒนธรรมชอง โครงการที่ ๕ “การศึกษาความรู้ชาวชองเร่ืองคลุ้ม – คล้า (รุ่นทาก – รุ่นเชอ) โดยใช้ภาษา ชองเป็นแนวทางในการศึกษา” (ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๕๐) มีนายมณเฑียร พัฒเสมา เป็นหัวหน้าโครงการ มงุ่ เนน้ การศกึ ษาและฟ้ืนฟพู ืชคลมุ้ – คล้าให้คงอยคู่ กู่ ับชมุ ชนชอง มีวัตถุประสงค์เพ่ือทําการศึกษารวบรวมและ บันทึกข้อมูลด้านต่าง ๆ ของคลุ้ม – คล้าในชุมชน และทําเส้นทางศึกษาคลุ้ม – คล้าในชุมชน เพ่ือส่งต่อข้อมูล คลุ้ม – คล้าสําหรับผลิตหนังสือและส่ือนิทรรศการชุดความรู้เกี่ยวกับคลุ้ม – คล้า เผยแพร่ภายในศูนย์การ เรียนรู้ชุมชน เพื่อทําการฟื้นฟูและพัฒนาคลุ้ม – คล้าในรูปแบบของเคร่ืองจักสานหัตถกรรมภูมิปัญญาพ้ืนบ้าน ชาวชองให้คงอยู่ตลอดไป และเพื่อให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการดําเนินกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาและ วัฒนธรรมเพ่อื ความคงอยคู่ ู่ชมุ ชนตลอดไป (มณเฑยี ร พัฒเสมา, ๒๕๕๐) ๗๙
ภาพ ต้นคลมุ้ – คล้าทพ่ี บในชุมชน ภาพ ผลติ ภณั ฑ์จากพชื คล้มุ – คลา้ โครงการที่ ๖ “ศึกษาแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรภาษาและวัฒนธรรม ประเพณีชองแบบบูรณาการโรงเรียนวัดตะเคียนทอง (เพชโรปถัมภ์) โดยชุมชนมีส่วนร่วม ตําบลตะเคียนทอง อําเภอเขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี” (ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ – ๒๕๕๔) มีนายประวีร์ บรรจงการ (ผู้อํานวยการ โรงเรียนวัดตะเคียนทอง) เป็นหัวหน้าโครงการ มุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรภาษาและวัฒนธรรม ประเพณีชองแบบบูรณาการของโรงเรียนวัดตะเคียนทอง โดยชุมชนมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาข้อมูล สภาพปญั หาและความต้องการของชุมชนในการจัดการเรียนการสอนภาษาชอง เพื่อศึกษาข้อมูลชุมชนและภูมิ ปญั ญาทอ้ งถิน่ ในสาขาต่าง ๆ สาํ หรับนํามาเป็นเนื้อหาในการพัฒนาหลักสูตรภาษาและวัฒนธรรมประเพณีชอง แบบบูรณาการ เพ่ือศึกษาสถานการณ์ต้นทุน / ศักยภาพ ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้การเรียนภาษาชองของ ๘๐
นักเรียนโรงเรียนวัดตะเคียนทองที่ผ่านมา เพ่ือทดลองสร้างหลักสูตรภาษาและวัฒนธรรมประเพณีชองแบบ บรู ณาการในโรงเรียนวัดตะเคยี นทอง โดยชุมชนมีส่วนร่วม ภาพ การเรียนการสอนนักเรยี นภาษาชองนอกห้องเรยี น ๘๑
๕.๒ ผลที่ไดจ้ ากการดําเนนิ งานฟืน้ ฟูภาษาและวฒั นธรรมชอง จากการดําเนินงานฟน้ื ฟูภาษาและวัฒนธรรมชอง ทาํ ให้เกดิ ผลลัพธท์ ี่หลากหลาย สามารถแบง่ เปน็ ประเภทต่าง ๆ ดงั น้ี ๑) ประเภทระบบตัวเขียนภาษาชอง อกั ษรไทย ๑.๑ ระบบตัวเขยี นภาษาชอง ประกอบด้วย - พยญั ชนะต้น จาํ นวน ๒๒ ตวั - ตัวสะกด จาํ นวน ๑๑ ตัว - สระ จาํ นวน ๒๔ ตัว - วรรณยกุ ต์ จํานวน ๑๖ ตัว ๘๒
ภาพ แผน่ ภาพตวั อักษรภาษาชอง ๑.๒ คมู่ ือระบบตัวเขยี น “ภาษาชอง” อักษรไทย (ฉบับราชบณั ฑิตสถาน) ได้รบั การจัดพิมพ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ พจนานุกรม หมวดคาํ ศพั ท์ ๔๐ หมวด ประมาณ ๔,๐๐๐ คาํ (ฉบบั รา่ ง ๑ พ.ศ. ๒๕๔๔ และ ฉบับร่าง ๒ พ.ศ. ๒๕๔๗) ประกอบไปดว้ ย ๔๐ หมวด ดังน้ี ๑. หมวดคําศัพท์ตรงข้าม ๑๔. หมวดสตั ว์เลอ้ื ยคลาน ๒. หมวดอุปกรณย์ านพาหนะ ๑๕. หมวดสตั วป์ ีก ๓. หมวดเคร่อื งจับสตั วน์ ้ําและวธิ ีจบั ๑๖. หมวดสตั วบ์ ก ๔. หมวดเคร่อื งทํานา การทาํ นา ทาํ ไร่ ๑๗. หมวดสัตว์น้าํ ๕. หมวดความรสู้ กึ ๑๘. หมวดพืชล้มลกุ ๖. หมวดโลกพภิ พจกั รวาล ๑๙. หมวดพืชสมนุ ไพร ๗. หมวดโลกพน้ื ดินอากาศ ๒๐. หมวดของใช้ในบ้าน ๘. หมวดกําหนดระยะเวลาขนาด ๒๑. หมวดทายาท ๙. หมวดแขง็ และออ่ นเบา ๒๒. หมวดกริ ิยาผสมสรรพนาม ๑๐. หมวดปฏิเสธ ๒๓. หมวดกริ ยิ าและขยายประโยค ๑๑. หมวดกริ ิยาสมั ผสั ประสาท ๒๔. หมวดกริ ยิ า ๑๒. หมวดล้นิ สมั ผสั ๒๕. หมวดกริ ิยาทางมือ ๑๓. หมวดวิเศษนาม ๒๖. หมวดกิรยิ าใช้มอื และตีน ๘๓
๒๗. หมวดกิริยาทาํ อาหาร ๓๔. หมวดพืชยนื ต้น ๒๘. หมวดกริ ิยาทาํ รา้ ยรา่ งกาย ๓๕. หมวดผลไมบ้ ้าน ผลไม้ป่า ๒๙. หมวดกิริยาเคลอ่ื นไหว ๓๖. หมวดไม้ไผ่ต่างๆ ๓๐. หมวดวิธีปรุงอาหาร ๓๗. หมวดตน้ ไม้ยนื ต้น ๓๑. หมวดอาหารคาว ๓๘. หมวดอาหารของมนุษย์ ๓๒. หมวดปา่ เขาภูมิประเทศต่าง ๆ ๓๙. หมวดลําดบั ญาติเช้อื สาย ๓๓. หมวดลักษณะทางภมู ศิ าสตรแ์ ละ ๔๐. หมวดอวยั วะร่างกาย ทรัพยากรธรรมชาติ ๒) ประเภทเรื่องเล่า นทิ าน ส่อื การเรียนการสอนภาษาชอง ๒.๑ หนงั สอื เลม่ เล็ก ๖๖ เร่อื ง ได้แก่ ๑. กะค่อ ม็อง่ กะท่ง ๒๓. ตาเบย้ี ว ๒. กะทง่ ม็อง่ กะยาง ๒๔. ตาอิน ม็อง่ ตามา ๓. กะปาว อิ อนี โซจ ๒๕. โตด เทีย่ ว พร่ี ๔. กะมรา ม็อง่ โจ ปอด ฮาย ๒๖. เที่ยว พร่ี ๕. กะยาง ม่อง ซี กะล่อง ๒๗. นายพรานล่าสตั ว์ ๖. กะว่าย เคน กิจ ๒๘. เน้ว พ์าย นก่ั เจอะ ว่าย ซู้จ ๗. กะว่าย ตบั ช์ก ๒๙. เน้ว พา์ ย นัก่ ทงั่ ครัง่ ๘. แกว้ วา์ ง คัฮ ๓๐. บงิ บาง ท่ัง กู้บ ๙. คะนญั มะฮดั ซะจนั ๓๑. บุญธรรม เจว โรง่ เรย่ี น ๑๐. คะเน้ว ซุก ญญั ๓๒. เพลงรําวง ๑๑. คะเน้ว ติ โม์ย นก่ั ๓๓. มู ตอ็ ง แสน สขุ ๑๒. คะเนว้ นัฒ เจว โรง่ เรีย่ น ๓๔. เม่ กะตา มอ็ ง่ เคน ๑๓. คะเน้วๆ เจอะ ค้ยุ จัง๊ ๆ ๓๕. แมงท่บั ม่อง มะง่าม ๑๔. เคน ช้มิ ร่อด โฮจ ๓๖. ย่าย มอ็ ่ง กะทง่ ๑๕. งิ บาย วน่ั เซา คอล หนู นา ๓๗. รัก เนม้ อดู ตาํ ลงึ ๑๖. ชอ ทอย ก้บู ๓๘. โรง่ เรย่ี น คอง หนู ดี ๑๗. ชอ์ ง ท่อ แซ มอ่ ง ซี วาก ๓๙. เลง่ ทด่ื ม่า กาบ ลอง ๑๘. ชม่ึ ชอง ตอ้ ง สู้ ๔๐. วา น่อง (ฉบบั ทดสอบ) ๑๙. แดง ทู่ โร๋งเร่ียน ๔๑. เจวจันทะบยู ๒๐. ตาญกุ ปาก นอ่ ง เจอะ กะว่าย ซู้จ ๔๒. เลย่ี งโบด เล่ียงกะปาว ๒๑. ตาติงกบู้ ม็อ่ง โจ ๔๓. เน้วกะม่าง ๒๒. ตาทุย ๔๔. ชอ์ งโฮจแทฮจัก ๘๔
๔๕. ชึ่มชอ์ ง นะ ตอ้ ย ๕๖. กอ็ งร่ญู ๔๖. เคียนจักเคนมา่ งเมม่ ่างอูญ ๕๗. ทืด่ ม่า กะล่ัก พงั่ กะปาว ๔๗. เมอ่ ูญ เคน ๕๘. กะท่ง มอ็ ่ง กะวา่ ย ๔๘. ชะมัยต้อยชนั แป็นเนว้ ๕๙. ท่อ กะทา่ ย ๔๙. ค็อบขัน ๖๐. นิทานโบราณ ๕๐. กึยอดึ อนี เทล่ว เจวอดึ อนี เพอ่ื น ๖๑. ตาพา เลยี่ ง ง่วั ๕๑. ชนั รอค โฮจ เพร่ะ อดู กะค่าบ ๖๒. เท่ียว กะเพลิง ๕๒. ยา่ ยกะตา ๖๓. ชึม่ เลีย่ ง งวั่ ๕๓. เพว้ นกั เจวเท่ยี วพร่ี ๖๔. เน้ว เล่ียง กะปาว ๕๔. กะปาวปอดฮาย ๖๕. กะยาง ม็อ่ง ซี ๕๕. ทอ่ ซวนกะวาญ ๖๖. คะเนว้ กะฮอด แท็ฮ ปงึ ๒.๒ หนังสอื สาํ หรบั ระดบั ๒ (เรื่องเลา่ ) จาํ นวน ๔๓ เรอื่ ง ไดแ้ ก่ ๑. กะช่มึ พจู ม่ันยาง พรี่ ครอง กะโค ๒๐. ตาตงิ ก้บู มอ็ ง่ โจ โจว พร่ี น่อง ๒. กระท่ง จอม ปอ็ ด ๒๑. ตาเทน ๓. กะท่ง แกลง กะวา่ ย 1 ๒๒. ตาบุน ยา่ ยจัน มอ็ ่ง โจ ท่อ แซ ๔. กะทง่ แกลง กะว่าย 2 ๒๓. ตายุ คอด กะเพลิง ๕. กะทง่ มอ็ ่ง เคลาะ ๒๔. ท็อมพงี ทึ่ง พรี่ ๖. กะแทฮ็ ล่อย ท่าก ๒๕. ทู่เรย่ี นเพ่ือนรั่ก ๗. กะมลอฮ โตด กะมลา่ ง ๒๖. นก่ั มะ่ โฮจ ๘. กะว่าย ซะมงิ ๒๗. นา่ งปาง ๙. เขาลูกชา้ ง เกาะช้าง ๒๘. นายพร่าน เปรียว ๑๐. คะเนว้ ชอ์ ง ครองมลู่ ตอ็ ง พร่ี ๒๙. พรอก คี เบอื คอก แซ ๓๐. พย่ั ยัง ค่ัน อิฮ เยาะ ๑๑. คะเน้ว พา์ ย นั่ก ม็อง่ ช้มึ ๓๑. มูจ้ เย่าะ ต้อง ตาหลอม ๑๒. คะเน้ว เลง่ นงั กะติก ๓๒. เม์ว กะมล่อง ๑๓. คะเนว้ เลง่ ร่ด ซุง ๓๓. แม่โพซบ ๑๔. คะเนว้ เลยี่ ง กะปาว ๓๔. แมว ม็อง่ ชอ ๑๕. คะเนว้ อิ อีน วก่ เอา ๓๕. รมคะนํา ๑๖. เจ้น รึ เพลง ซา ๓๖. ร่าย พ่าย นาง ๑๗. ชอโง่ ๓๗. เร่ือง เพว้ เกลอ ๑๘. ช้มื แกล็ฮ มอ็ ่งชม้ึ กะลา่ ง ๓๘. เรอื่ งโกฮก ๑๙. ตาญกุ กราก มัน่ ยาง ๓๙. ลกู แก่ว วิเ่ ซด ๘๕
๔๐. วีระ่ บรุ ดุ ชึม่ พ่ยุ ๔๒. อูญ ยา่ ย มอก ม็อง เคน พะซา ๒ ๔๑. อญู ย่าย มอก ม็อง เคน พะซา ๑ ๔๓. อดู ค่าย มอ็ ่ง อูด ครกั ๒.๓ หนังสือรวมเร่อื งเล่านิทาน เพลง และบทกลอน ภาษาชอง จํานวน ๖๑ เร่อื ง ๑. ท่ืด กะปฮั ม่า ๒๙. ลูกกตญั ญู ๒. เพลง ชับกูบ้ ๓๐. โกนจกุ ๓. ยักษ์กบั ชาวนา ๓๑. พ่อตากับลูกเขยถากเสาบนเขา ๔. ตาํ นาน ซุกควิ่ ทอง (ตะเคียนทอง) ๓๒. ตักน้าํ มันยาง ๕. ดาํ นา ๓๓. เพลง ช่มว่ายท่อง ๖. เพลงลงิ ประกอบทา่ ทาง ๓๔. กลอนมด่ั ดัก ๗. ตาํ นาน ซกุ ล่าํ พงั ๓๕. เพลงฮอบ ปล็อง ม็อง่ กรบึ ๘. ลงุ หนกู ับน้าบุญขายเงาะ ขาย ๓๖. เรื่อง ทําบญุ สาร์ท ทุเรียน ๓๗. ชม่ึ ช์อง เที่ยว พกั พลกี ะทง่ (หาลูก ๙. ลงึ ชอบลาบวช เร่ว) ๑๐. เพลง วด่ั เม์ว ๓๘. การทอ่ ซวนกะวาญ ๑๑. เพลง ฮอบ ปลอ็ ง มอ็ ง่ กรบึ ๓๙. เพลงบา้ นเรามีงาน ๑๒. กะล่างกลัก พา่ ยทก่ ๔๐. กาตัด ๑๓. การเล่น ญกิ ญองพอ่ งแจง ๔๑. ตีนกับตา ๑๔. นายมากบั นายเบีย้ ว ๔๒. ลุกกะท่ิ ๑๕. น่ทิ ่าน เรื่อง คองวเ่ิ ซด ๔๓. ตาโปง้ ท่อบาย ๑๖. เพลงแก้ ชาย – หญิง ๔๔. เพลง กอ้ งปาก ๑๗. เรอื่ งสเ่ี กลอ ๔๕. รักษาภาษาชอง ๑๘. ศัตรขู า้ ว ๔๖. เขาพังน้าํ ทว่ ม (นอ่ งพั่ง) ๑๙. ยา่ ยคาร มอตําแย ๔๗. เพลง กล่อมลกู ๒๐. ซบั ปะเรอ (ความตาย) ๔๘. คองฮดี ๒๑. การเลน่ ซีชาพดั ๔๙. ท่อบุนกรจุ ซงกราน ๒๒. ตาํ นาน ขนมจีน ๕๐. ช้มึ รอก มอ็ ง่ กะปาว ๒๓. เรอื่ งวันอาสาฬหบูชา ๕๑. เมย่ ายกับลกู เขย ๒๔. เรอ่ื ง ผี ๕๒. คาํ คม ๒๕. ลงุ ดาํ กับลงุ เขยี น (แตง่ กง่ิ ผลไม)้ ๕๓. เพลงจําใหไ้ ด้ ๒๖. ขน้ึ บ้านใหม่ ๕๔. เน้ว พ์ายนกั่ ๒๗. เพลง ปากนอ่ ง ๕๕. เร่ืองของเพ่ือบ้านอกั ษร ล. ๒๘. เม่ย่าง มอ็ ่ง เคนยา่ ง ๕๖. คาํ คล้องจอง ๘๖
๕๗. กลอน ๖๐. เสอื กับเตา่ ๕๘. วนั กลอนพรรษา ๖๑. เพลง ก้กู ว่า ๕๙. พ่อตากับลกู เขยตอนที่ 2 ๒.๔ หนังสอื ๑๐๐ บรรทดั จํานวน ๒ เร่อื ง ไดแ้ ก่ เร่ือง อึด ซาน เซพา และ เร่อื ง ช้ีมกยึ โฮจ ๓) ประเภทคมู่ ือครภู มู ิปัญญา และแบบเรยี นการเบื้องตน้ ภาษาชอง - คูม่ ือครูภูมิปญั ญา หลักสูตรทอ้ งถ่ินภาษาชอง ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๓ ภาคการศึกษา ท่ี ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๔๖ (โครงการอนรุ กั ษแ์ ละฟ้นื ฟูภาษาชอง) - คมู่ ือครภู มู ปิ ญั ญา หลกั สูตรทอ้ งถน่ิ ภาษาชอง ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ ภาคการศกึ ษา ที่ ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๔๖ (โครงการอนรุ ักษ์และฟ้นื ฟภู าษาชอง) - คูม่ ือครูภูมปิ ัญญา หลักสูตรทอ้ งถน่ิ ภาษาชอง ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๓ ภาคการศึกษา ท่ี ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๔๗ (โครงการอนรุ ักษแ์ ละฟ้ืนฟูภาษาชอง) - คูม่ อื ครภู ูมปิ ญั ญา หลกั สตู รทอ้ งถ่ินภาษาชอง ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๔ ภาคการศกึ ษา ท่ี ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๔๗ (โครงการอนุรักษแ์ ละฟืน้ ฟภู าษาชอง) - แบบเรยี นเบือ้ งตน้ ภาษาชอง สาํ หรับนักเรียนประถมศกึ ษา ท่ีอา่ นออกเขยี น ภาษาไทยได้ (โครงการอนรุ ักษแ์ ละฟื้นฟภู าษาชอง จันทบรุ ี พ.ศ. ๒๕๔๕) จาํ นวน ๑๗ บท ๔) ประเภทองคค์ วามรูแ้ ละภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ ๔.๑ หนงั สอื ชุดความรู้ “พืชคลมุ้ และคลา้ (รนุ่ ท่าก – รุน่ เชอ) ประกอบดว้ ยเนือ้ หาดังน้ี - เส้นทางการศึกษาพชื คลุ้มกบั งานวิจัย - ลักษณะสกลุ ของคลมุ้ - ภาวะปัจจบุ นั ของพชื คลมุ้ - คลุ้มกับความสมั พนั ธ์ในธรรมชาติ - พืชคล้มุ กบั ความเชื่อ - คุณลกั ษณะเดน่ ของพืชคลุม้ – คล้า - การใชป้ ระโยชนจ์ ากคลุ้ม – คล้า - สภาพดั้งเดมิ และความเปลี่ยนแปลง - คุณลกั ษณะคลา้ กบั ธรรมชาติและถ่นิ อาศยั - การนําคล้ามาใช้ประโยชน์ - ความรู้ทวั่ ไปเกี่ยวกับพืชคลมุ้ คลา้ (๑) - ความรทู้ ่วั ไปเกย่ี วกับพชื คลมุ้ คล้า (๒) - นทิ านเกี่ยวกับพชื คลุม้ เรือ่ ง ยายกะตยุ กับกระต่าย และ ยา่ ย ม็อ่ง กะทง่ - ทําเนียบภมู ิปัญญาจกั สานในชมุ ชน ๘๗
๔.๒ ข้อมลู องคค์ วามรู้ของชาวชอง (จากโครงการศนู ยก์ ารเรียนรู้ฟืน้ ฟูภาษา – วฒั นธรรมชอง) ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้ ๑) บริบทท่ัวไปของชาวชอง - ชาวชอง : ชนพืน้ เมอื งในภาคตะวันออกของประเทศไทย - ถิ่นฐานที่ตง้ั ของชมุ ชนชาวชองในตาํ บลตะเคียนทองและตําบลคลองพลู - ข้อมูลทัว่ ไปของชาวชองในชมุ ชนตะเคียนทองและตาํ บลคลองพลู ๒) ประวตั ิความเป็นมาของชาวชอง - ตํานานจนั ทบุรีกบั คนชอง - ตาํ นานเมืองกาไวกับคนชอง - พญากาํ พุชกบั ชาวชอง - สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราชกับชาวชอง - คาํ บอกเลา่ ของหลวงพอ่ เพ็ชร และวัดโบราณ - ประวตั ิศาสตร์ความทรงจําเกยี่ วกบั วถิ ีชีวิตชาวชอง ๓) บริบทชาวชองในปัจจบุ นั - การตัง้ ถ่นิ ฐานและบ้านเรือนของชาวชอง - ความสมั พนั ธ์ของคนในชมุ ชน - วิถีการผลิต เศรษฐกจิ และการทํามาหาเลี้ยงชพี ๔) วฒั นธรรมชอง - ภาษาท้องถน่ิ (ภาษาชอง) - วัฒนธรรมการแต่งกาย - ประเพณแี ละความเช่ือเกี่ยวกับชีวติ - วฒั นธรรมการพยาบาล - วฒั นธรรมการเกษตร - จารตี ประเพณี และพิธกี รรมความเชอ่ื ของชาวชอง - ข้อห้ามของชาวชอง - การให้ศาลพระภูมเิ จ้าท่ี - การทาํ พิธีเลน่ ผหี ง้ิ - ประเพณเี ซน่ ไหวศ้ าลประจาํ หมู่บา้ น - อาหารพ้ืนบ้านของชาวชอง - ดนตรแี ละเพลงพืน้ บา้ น - ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน เครื่องใช้สอยในการดําเนินชีวิตของชาวชอง - วฒั นธรรมการผลิตและการทาํ มาหากินของชาวชอง ๘๘
- กจิ กรรมของชมุ ชนชองในรอบปี - งานประเพณที ั่วไปของชุมชน - ลักษณะบ้านเรอื นของชาวชอง อาจกล่าวสรุปการดําเนินงานฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญาท้องถ่ินของชาวชอง ทําให้เกิดการ รวบรวมองค์ความรแู้ ละภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ของชาวชองในรปู แบบตา่ ง ๆ มากมาย อาทิเช่น ระบบตัวเขียนภาษา ชอง พจนานุกรมภาษาชอง เรอื่ งเล่า นทิ าน ตลอดจนองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถ่ินของชาวชอง นอกจากนี้ ยงั เกดิ การถ่ายทอดสกู่ ลุม่ เยาวชน โดยการนําภาษาชองเขา้ ไปสอนในระบบโรงเรียน ท้ังในรูปแบบรายวิชา ตาม หลกั สตู รทอ้ งถิ่น และรูปแบบการบูรณาการเข้ากับสาระการเรียนรู้ ซ่ึงถือเป็นการฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรมท้ัง ภายในชุมชนและในระบบโรงเรียน เกิดการสืบทอดภาษาและวัฒนธรรมของชาวชองต่อไปยังรุ่นเยาวชน นอกจากนี้กระบวนการทํางานวิจัยเพ่ือท้องถ่ินยังถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ ทําให้ชุมชนได้เรียนรู้ภาษาและ องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวชอง อีกทั้งยังสามารถสร้างศักยภาพนักวิจัยท้องถ่ินชาวชองให้สามารถ พัฒนาชมุ ชนในดา้ นอน่ื ๆ ตอ่ ไปได้อกี ด้วย ๕.๓ กา้ วตอ่ ไปของการฟ้ืนฟูภาษาและภูมิปญั ญาทอ้ งถิ่นของชมุ ชนชอง การฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนชองได้มีการดําเนินงานมาอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยเกิดขึ้นในลักษณะการบันทึกรวบรวมภาษา และภูมิปัญญาท้องถ่ินของชาวชอง โดยใช้ระบบ ตวั เขยี นภาษาชองเป็นเครอ่ื งมือในการบนั ทกึ ตลอดจนการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรมสู่กลุ่ม เยาวชนในชุมชน ท้ังภายในชุมชนและภายในระบบโรงเรียน นอกจากน้ีปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๖) ชาวชองยังได้ รวมกลุ่มกัน โดยเกิดการดําเนินงานวิจัยในโครงการ “เยาวชนรักษ์ครัวช์อง” ภายใต้โครงการ “การฟื้นฟูของ กินพ้ืนบ้านเพ่ือเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและสืบสานวัฒนธรรมในกลุ่มชาติพันธุ์” ได้รับสนับสนุนทุน จากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซ่ึงได้มีการทํากิจกรรมร่วมกัน โดยกลุ่มแม่บ้าน รว่ มกันถา่ ยทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถ่ินในการประกอบอาหารพ้ืนบ้านของตนเอง ให้แก่กลุ่มเยาวชน โดยผ่านการปฏิบตั ิจรงิ และมีการบนั ทึกเมนูอาหาร สว่ นประกอบ และวธิ ีการปรงุ อาหารร่วมกัน ซึ่งสามารถทํา ให้เด็กและเยาวชนชองสามารถซึมซับวัฒนธรรมชองได้ในระดับหนึ่งด้วย นอกจากนี้ชุมชนยังได้รับการส่งเสริม และสนบั สนนุ จากสาํ นักงานสนับสนุนการวจิ ยั ใหเ้ กิดแหลง่ เรยี นรู้และแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วเชงิ อนรุ ักษอ์ กี ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนชองอย่างยั่งยืน ยังคงมีความ จําเป็นตอ้ งได้รับการสนับสนุนและการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดให้มีการเรียนการสอนภาษา และวัฒนธรรมชองในโรงเรียนอย่างต่อเน่ือง นอกจากน้ียังต้องได้รับการสนับสนุนทั้งการทํางานและ งบประมาณจากหนว่ ยงาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องในพืน้ ทอี่ ย่างต่อเนือ่ งอีกดว้ ย ๘๙
๕.๔ ขอ้ เสนอใหเ้ ปน็ มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาติ / มนุษยชาติ ๕.๔.๑ เหตผุ ล ภาษาชอง ถือเป็นภาษากลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขามอญ – เขมร เป็น เครื่องมือท่ีใช้ส่ือสารในวิถีการดํารงชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุ ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซ่ึงสะท้อนโลกทัศน์ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน ท้ังเสียงพูด ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ท่ีใช้แทนเสียงพูด ทั้งภาษา ชองมีลักษณะท่ีโดดเด่นดังน้ี ภาษาชอง มีระบบเสียงท่ีแสดงลักษณะของภาษากลุ่มมอญ – เขมรท่ีชัดเจน โดยมี พยัญชนะต้น (๒๒ ตัว) พยัญชนะสะกด (๑๑ ตัว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ตัวสะกด จ ญ และ ฮ เป็นต้น และ มีลักษณะน้ําเสียงท่ีโดดเด่น ๔ ลักษณะ ได้แก่ ๑) ลักษณะนํ้าเสียงกลางปกติ เช่น กะวาญ = กระวาน, กะปาว = ควาย ๒) ลักษณะนํ้าเสียงต่ําใหญ่ (เสียงก้องมีลม) เช่น กะว่าย = เสือ, มะง่าม = ผึ้ง ๓) ลักษณะน้ําเสียงสูง บีบ (เสียงปกติตามด้วยการกักของเส้นเสียง) เช่น ค้อน = หนู, ซู้จ = มด ๔) ลักษณะนํ้าเสียงต่ํากระตุก (เสียง ก้องมีลมตามด้วยการกักของเส้นเสียง) เช่น ช์อง = ชอง, เม์ว = ปลา ไวยากรณ์ภาษาชองโดยท่ัวไปมีลักษณะ เรียงคําแบบประธาน – กริยา – กรรม เช่นเดียวกับภาษากลุ่มมอญ-เขมรอื่น ๆ เช่น ประโยคว่า อูญ ฮอบ ปล็อง ม่อง เม์ว <พ่อ-กิน-ข้าว-กับ-ปลา> = พ่อกินข้าวกับปลา ลักษณะไวยากรณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ คือการใช้ คําปฏิเสธ ๒ คํา ประกบหน้าและหลังคํากริยาหรือกริยาวลี เช่น ย่าย ม่อง ตา พ์าย น่ัก อิฮ อีน กะปิฮ ฮอบ ปล็อง อิฮ <ยาย-กบั -ตา-สอง- คน-ไม่-มี-อะไร-กนิ -ขา้ ว-ไม่> = สองคนตายายไมม่ อี ะไรจะกิน เปน็ ต้น ปัจจุบันการใช้ภาษาชอง ตลอดจนวัฒนธรรมของชาวชองอยู่ในภาวะถดถอยเป็นอย่างมาก คนชอง ส่วนมากใช้ภาษาไทยในการส่ือสารในชีวิตประจําวันแม้แต่ผู้สูงอายุ เยาวชนชาวชองรุ่นอายุตํ่ากว่า ๓๐ ปี ไม่ สามารถพูดภาษาชองได้ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่หนึ่ง ภาษาชองจึงจัดเป็นภาษาท่ีอยู่ในภาวะวิกฤตขั้น รุนแรงใกล้สูญ ซ่ึงมีผลต่อการสูญเสียภูมิปัญญาท้องถ่ินและองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ ท่ีสะท้อนผ่านคําศัพท์ใน ภาษาชอง เช่น เรื่องเก่ียวกับป่า พรรณพืช อาหารพื้นบ้าน สมุนไพร พิธีกรรม ความเชื่อและประเพณี เช่น พิธี แต่งงาน “กาตัก” ของชาวชอง และการละเลน่ พื้นบ้าน เชน่ “ซะบา” เป็นต้น ทั้งนี้ภาษาชอง ถือเป็นภาษาที่มีคุณสมบัติอยู่ในเกณฑ์การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญา ทางวฒั นธรรมของชาติ / มนุษยชาติ กล่าวคือ เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของชุมชน เป็นภาษาท่ีเคยใช้หรือใช้ใน ชุมชน และเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเผชิญกับภัยคุกคาม มีการสืบทอดและยังปฏิบัติอยู่ในวิถีชีวิต และเป็น เอกลักษณ์ของชาติ หรอื อัตลักษณข์ องชมุ ชนหรอื ภมู ภิ าค ดังนั้น ภาษาชอง จึงได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขา ภาษา ประจําปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือบันทึกประวัติความเป็นมา ภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ของ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อเป็นฐานข้อมูลสําคัญเกี่ยวกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ีอยู่ใน อาณาเขตประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างบทบาทสําคัญ และความภาคภูมิใจของชุมชน กลุ่มคน หรือบุคคลที่เป็น ผู้ถือครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพ่ือส่งเสริมและพัฒนาสิทธิชุมชนในการอนุรักษ์ สืบสาน ฟื้นฟู และ ปกป้องคุ้มครองมรดกถูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของท้องถ่ินและของชาติ และเพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคี ๙๐
อนุสัญญาเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมท่ีจับต้องไม่ได้ของยูเนสโก ทั้งน้ีการประกาศขึ้นทะเบียนมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จึงเป็นหนทางหนึ่งในการปกป้องคุ้มครอง และเป็นหลักฐานสําคัญของประเทศไทย ในการประกาศความเป็นเจา้ ของมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม (กรมสง่ เสริมวฒั นธรรม, ๒๕๕๕) ๕.๔.๒ แนวทางการส่งเสริมให้ภาษาชองเป็นมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาต/ิ มนษุ ยชาติ ทีมวิจัยได้ดําเนินการจัดประชุมในเวที “ระดมความคิดเห็น แนวทางในการสงวนรักษา ภาษาและภูมิปัญญาท้องถ่ินของกลุ่มชาติพันธุ์ชอง” โดยชุมชนชองได้ร่วมกันระดมความคิดเห็นร่วมกันใน ประเดน็ ปัจจยั หรือแนวทางที่จะทาํ ให้สามารถฟื้นฟภู าษาและวฒั นธรรมของตนเอง มรี ายละเอียดตอ่ ไปน้ี ทีมวิจัยและชุมชนชาวชองได้ร่วมกันจัดเวที “ระดมความคิดเห็น แนวทางในการสงวนรักษา ภาษาและภูมิปัญญาท้องถ่ินของกลุ่มชาติพันธ์ุ : ภาษาชอง” ในวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ ศาลาวัดทุ่ง กบนิ ทร์ ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกฏู จ.จนั ทบรุ ี โดยมีผ้ทู รี่ ่วมระดมความคดิ เห็นได้แก่ คนในชุมชนท้ังตําบลคลอง พลู และตาํ บลตะเคียนทอง, ปราชญ์ชุมชน, กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน, เทศบาลตําบลพลวง, กลุ่มเยาวชน ต.คลองพลู, ครูจากโรงเรียนวัดคลองพลู, ครูจากโรงเรียนวัดตะเคียนทอง, อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฎรําไพพรรณี, นักวิชาการวัฒนธรรมชํานาญการ วัฒนธรรมอําเภอเขาคิชฌกูฏ, ศึกษานิเทศจากสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาจันทบุรี เขต ๒ โดยได้แบ่งกลุ่มย่อย และร่วมกันระดมความคิดเห็น สามารถสรุปปัจจัยหรือ แนวทางที่จะทาํ ใหส้ ามารถฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมชองไดด้ ังนี้ ผู้นําชุมชน และหน่วยงานที่เก่ียวข้องมีการทํางานด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟูภาษาและ วฒั นธรรมชองรว่ มกันอยา่ งจรงิ จัง เกดิ เครือข่ายคณะทํางานทงั้ ในระดับชุมชน ตําบล และจงั หวดั ได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านการทํางานและงบประมาณจากหน่วยงานราชการ ให้เกิด กิจกรรมด้านการอนุรักษ์ภาษาและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างต่อเน่ือง และสามารถเชื่อมโยงสู่ด้านการท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมชอง (ภาษาชอง เกษตรอินทรีย์ ความม่ันคงทางอาหาร สมุนไพร ผลิตภัณฑ์ พน้ื บ้านชอง) เกิดเครือข่ายผู้รู้ หรือครูภูมิปัญญา ท่ีสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ทางด้านภาษาและ วฒั นธรรมสลู่ กู หลานคนชอง ทําให้คนชองเกิดสํานึกรักบ้านเกิด เสริมสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง และกระตุ้นให้คน ชองมคี วามตนื่ ตัวในการอนรุ กั ษ์ภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง สนับสนุนและส่งเสริมให้มีจัดการเรียนการสอนภาษาชอง ตามหลักสูตรท้องถิ่นใน โรงเรียนอย่างตอ่ เนอ่ื ง จัดกิจกรรมการถ่ายทอดความรู้สู่กลุ่มเด็กและเยาวชน เช่น ฝึกพูดภาษาชอง, ฝึก ทาํ อาหารชอง, ฝกึ เขยี นภาษาชอง, เรยี นรูค้ วามเปน็ อย่ขู องคนชองในอดีต รณรงค์ใหค้ นชองพูดภาษาชองกบั คนในครอบครวั / เพ่ือนบา้ น ๙๑
จัดกิจกรรมวัฒนธรรม ประเพณีพื้นบ้านและการละเล่นของคนชอง ตามงานหรือ เทศกาลตา่ ง ๆ เช่น การเลน่ สะบา้ การรํายนั แย่ ในงานสงกรานต์ เปน็ ตน้ ชว่ ยกันอนุรักษ์พืชผักสมนุ ไพรพ้นื บ้านของชอง เช่น กระวาน ตะไคร้ ขา่ แลว้ นํามา ประกอบอาหารชองทานกันเอง จดั ต้ังชมรมคนใชภ้ าษาชอง สนับสนนุ ใหม้ กี ารเผยแพรภ่ าษา และภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นของชาวชองอย่างต่อเนอื่ ง อาจกล่าวสรุปได้ว่า ชุมชนชองมีความต้องการให้เกิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาของตนเอง อย่างต่อเนื่องและเกิดความยั่งยืน ทําให้ชุมชนเกิดความตระหนักและเห็นคุณค่าในภาษาและวัฒนธรรมของ ตนเอง โดยการจัดกิจกรรมในชุมชนหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์และฟ้ืนฟู ภาษาและวัฒนธรรม การจัดทําแหล่งเรียนรู้ในชุมชน การส่งเสริมให้พูดภาษาท้องถ่ินภายในบ้าน การจัดให้มี การเรียนการสอนท้ังในระบบโรงเรียน และภายในชุมชน ท้ังน้ีควรได้รับการสนับสนุนการทํากิจกรรมและด้าน งบประมาณจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน สํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศกึ ษา เป็นตน้ ๙๒
บรรณานุกรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. ๒๕๕๕. มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวง วัฒนธรรม. ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ. ๒๕๕๕. เอกสาร (ร่าง) แนวทางการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรม. เอกสารอัดสําเนา เฉิน ผันผาย. ๒๕๔๗. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาชอง ต.ตะเคียนทอง และ ต. คลองกลู กงิ่ อ.เขาคชิ ฌกูฎ จ.จันทบุรี ระยะที่ ๒. สํานักงานกองทุนสนับสนนุ การวิจัย (สกว.). _____. ม.ป.ป. บันทกึ วัฒนธรรมชอง. เอกสารอดั สําเนา. ชัยอนันต์ สมุทรวานิช. ๒๕๕๑. ปาฐกถาพิเศษ เร่ือง “ความสําคัญของนโยบายภาษาแห่งชาติ” ในการประชุม ทางวิชาการเรื่อง “ความหลากหลายและความสําคัญของภาษาท้องถิ่นที่นําไปสู่นโยบายภาษา แห่งชาต”ิ . ประวีร์ บรรจงการ. ๒๕๕๔. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรภาษา และวฒั นธรรมประเพณชี องแบบบูรณาการโรงเรยี นวดั ตะเคยี นทอง (เพชโรปถัมภ์) โดยชุมชนมีส่วนร่วม ตาํ บลตะเคยี นทอง อําเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวดั จนั ทบรุ ี. สาํ นกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวิจัย (สกว). มณเฑยี ร พัฒเสมา. ๒๕๕๐. รายงานฉบบั สมบูรณ์ โครงการการศกึ ษาความรชู้ าวชองเรื่องคลุ้ม – คล้า (รุ่นทาก – ร่นุ เชอ) โดยใช้ภาษาชองเป็นแนวทางในการศึกษา. สาํ นักงานกองทนุ สนับสนุนการวิจัย (สกว.). ราชบัณฑติ ยสถาน. ๒๕๕๕. คู่มอื ระบบเขยี น ภาษาชอง อกั ษรไทย. ราชบัณฑิตยสถาน. รุ่งเพชร ผันผาย. ๒๕๕๑. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ฟ้ืนฟูภาษา – วัฒนธรรมชอง เป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วม. สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.). สายฝน เหล่ือมคั้น. ๒๕๓๔. ภาษาชอง หมู่บ้านนํ้าขุ่น ๑ ตําบลคลองพลู อําเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาจารึกภาษาไทย ภาควิชาภาษาตะวันออก บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. สิริรัตน์ สีสมบัติ. ๒๕๕๒. แหล่งเรียนรู้ชุมชนกับการฟ้ืนฟูอัตลักษณ์ทางชาติพันธ์ุของชาวชอง. วิทยานิพนธ์ ปรญิ ญามหาบัณฑติ สาขาวัฒนธรรมศกึ ษา บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหิดล. สุรพล ไชยพงษ์. ๒๕๕๐. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการการสร้างหลักสูตรภาษาชองโดยการมีส่วนร่วมของ ชุมชน ต.คลองพลู และ ต.ตะเคียนทอง กิ่งอ.เขาคิชฌกูฎ จ.จันทบุรี. สํานักงานกองทุนสนับสนุนการ วิจยั (สกว.). สุเรขา สุพรรณไพบูลย์. ๒๕๒๕. ระบบเสียงในภาษาชองหมู่บ้านตะเคียนทอง ตําบลตะเคียนทอง อําเภอ มะขาม จังหวัดจันทบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒประสานมิตร. _____. ๒๕๓๐. การศึกษากลุ่มชาตพิ ันธ์ชุ าวชอง. สมาคมสังคมศาสตรแ์ หง่ ประเทศไทย. _____. ๒๕๔๒. สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง เล่ม ๔. มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทย พาณชิ ย์. ๑๐๒
สวุ ิไล เปรมศรรี ัตน์. ๒๕๔๓. “พฒั นาระบบเขยี นภาษาชอง”. วารสารภาษาและวฒั นธรรม ฉบบั ท่ี ๒: ๕ – ๑๘. สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และสิริรัตน์ สีสมบัติ. ม.ป.ป. สารานุกรมชอง. สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล. สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ. ๒๕๔๗. แผนที่ภาษาของกลุ่มชาติพันธ์ุต่าง ๆ ในประเทศไทย. สํานักงาน คณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาติ. _____. ๒๕๕๓. โครงการวิจัยปฏิบัติการเรื่อง “การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาท้องถิ่น และภาษาไทย เป็นส่ือ : กรณีการจัดการศึกษาแบบทวิภาษา (ภาษาไทย – ภาษามลายูถิ่น) ในโรงเรียนเขตพ้ืนที่ ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้. ศูนย์ศึกษาและฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต สถาบันวิจัยภาษาและ วฒั นธรรมเอเชีย มหาวิทยาลยั มหิดล. _____. ๒๕๕๐. ประสบการณ์การฟ้ืนฟูภาษาในประเทศไทย กรณีภาษาชอง จังหวัดจันทบุรี. สํานักงาน กองทนุ สนับสนนุ การวจิ ัย (สกว.). _____. ๒๕๕๑. พจนานุกรมภาษาชอง. ศูนย์ศึกษาและฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต สถาบันวิจัย ภาษาและวฒั นธรรมเพอ่ื พัฒนาชนบท มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. อิสระ ชูศร.ี ๒๕๔๓. “วิถคี นชอง วัฒนธรรมการกินของชนชั้นดั้งเดิมในจันทบุรี”. วารสารครัว ฉบับที่ ๗๑: ๗๐ – ๗๗. _____. ๒๕๔๖. ชอง ฟ้นื ความหลงั และไปข้างหน้า”. วารสารเมืองโบราณ ฉบับท่ี ๓ : ๖๐ – ๖๗. Isara Choosri. 2002. Mapping Dialects of Chong in Chanthaburi Province, Thailand: An Application of Geographical Information System (GIS). The degree of Master of Art (Linguistic) Faculty of Graduate Studies Mahidol University. Nattamon Rojanakul. 2009. Chong Syntax. The degree of Master of Art (Linguistic) Faculty of Graduate Studies Mahidol University. Siripen Ungsittipoonporn. 2001. A phonological comparison between Klongphlu Chong and Wangkraphrae Chong. The degree of Master of Art (Linguistic) Faculty of Graduate Studies Mahidol University. ๑๐๓
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124