Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สาดน้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย

สาดน้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย

Description: หนังสือ”สาดนำ้สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย” เพื่อขยายพรมแดนความรู้ว่าด้วยสงกรานต์ ชวนคิดและตั้งคำถามต่อเหตุการณ์และเทศกาล ชวนให้สืบค้นต่อไป รวมทั้งส่งเสริมให้รักและภูมิใจในความเป็นชาติแต่พองาม แล้วเปิดพื้นที่ใจให้รักและเข้าใจเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกันให้มากขึ้น ขอเชิญอ่านให้ชุ่มฉ่ำใจก่อนไปชุ่มฉ่ำกายในวันสงกรานต์

Search

Read the Text Version

สาดนา�้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี พิพัฒน์ กระแจะจนั ทร์ บรรณาธิการ ผเู้ ขยี น : สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกลู รุ่งโรจน์ ภริ มย์อนุกลู ศิริวรรณ วรชยั ยทุ ธ สิทธิพร เนตรนยิ ม ธีระวัฒน์ แสนคา� กติ ตพิ งศ์ บุญเกิด ส�านักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา ส�านักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

หนงั สือรวมบทความประกอบการเสวนา สาดน้า� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี จัดเสวนาวนั พฤหสั บดี ท่ี ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องประชมุ รมิ นา้� คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ทา่ พระจนั ทร์ จดั โดย สา� นักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ร่วมกับ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล และฝ่ายวชิ าการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ บรรณาธกิ าร : พิพฒั น์ กระแจะจนั ทร์ ผูเ้ ขยี น : สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ คณะท�างาน : อภิลักษณ์ เกษมผลกูล ประสานงาน : รุ่งโรจน์ ภิรมยอ์ นกุ ูล ออกแบบปก : ศริ ิวรรณ วรชยั ยทุ ธ รูปเลม่ : สทิ ธพิ ร เนตรนิยม พิมพค์ ร้งั แรก : ธรี ะวฒั น์ แสนคา� พมิ พท์ ่ี : กิตตพิ งศ์ บุญเกิด นายการณุ สกลุ ประดษิ ฐ์ เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน นายบญุ รักษ์ ยอดเพชร ผชู้ ว่ ยเลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน นางสกุ ัญญา งามบรรจง ผอู้ �านวยการสา� นักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา นายเฉลิมชยั พนั ธเ์ ลิศ ผู้อ�านวยการกล่มุ สถาบันสงั คมศกึ ษา ชัชพร อตุ สาหพงษ์ สุทธพิ งษ์ ตะเภาทอง ธรรมรตั น์ บญุ แพทย์ เมษายน ๒๕๕๙ จ�านวนพมิ พ์ ๕,๐๐๐ เลม่ โรงพมิ พส ํานักงานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ ๓๑๔ - ๓๑๖ ซอยบานบาตร แขวงบานบาตร เขตปอ มปราบศตั รพู า ย กรงุ เทพฯ ๑๐๑๑๐ โทร. ๐๒-๒๒๓-๓๓๕๑ ลขิ สทิ ธ์ิเป็นของสา� นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน

สาดนำ�้ สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี



¤�านาí àÅ¢Ò¸¡Ô Òä³Ð¡ÃÃÁ¡ÒáÒÃÈÖ¡ÉÒ¢é¹Ñ ¾¹é× °Ò¹ Ë ลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีเรื่องส�าคัญเก่ียวกับวัฒนธรรมและประเพณี กระจายอยู่ในหลายระดับชั้น ต้ังแต่ระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๑ ถึงช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ ดงั ตวั อยา่ งในชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๓ หลกั สตู รทไ่ี ดก้ า� หนดใหผ้ เู้ รยี นสามารถ “สรปุ ลกั ษณะสา� คญั ของขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมชุมชน ที่เกดิ จากปัจจัยทางภมู ศิ าสตร์และปัจจยั ทางสังคม” นอกจากน้ียังให้สามารถ “เปรียบเทียบความเหมือนและความต่างทางวัฒนธรรม ของชุมชนตนเองและชุมชนอ่ืน” หลักสูตรดังกล่าวเม่ือน�าไปสู่การออกแบบเป็นหนังสือเรียน กย็ อ่ มเปน็ ธรรมดาทจี่ ะมกี ารนา� ประเพณี “สงกรานต”์ มาเขยี นเปน็ เนอ้ื หาสาระเพอื่ ใหน้ กั เรยี น ไดเ้ รยี นรตู้ ามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชว้ี ดั โดยกลา่ วถงึ “เทศกาลเนอื่ งในวนั ปใี หมข่ องไทย อันเป็นประเพณีที่สอดคล้องกับสังคมเกษตรกรรม ลักษณะภูมิประเทศที่มีล�าคลองมากมาย และลักษณะภูมิอากาศร้อนช้ืน ทุกภาคของประเทศไทยจัดประเพณีสงกรานต์ฉลองปีใหม่ เหมอื นกนั ส่วนใหญจ่ ะทา� บุญที่วดั สรงน�้าพระ และมีรายละเอียดแตกต่างกันไปบ้างในแตล่ ะ ภมู ิภาค” อย่างไรก็ตามในสว่ นของกาลเวลา ท่ีมที ง้ั ขา่ ว เหตกุ ารณ์ งานเทศกาล วันสา� คัญ ทั้งท่ี เป็นวนั เกี่ยวกับสากล ไทย และทอ้ งถ่ิน ท้งั ที่เกีย่ วกับราช รัฐ และศาสนา กล็ ว้ นแตม่ ที ี่ไปที่มา มเี หตผุ ลในการกา� หนดใหเ้ ปน็ วนั สา� คญั จงึ ควรใชเ้ ปน็ โอกาสใหน้ กั เรยี นไดค้ ดิ ทบทวน วเิ คราะห์ และเรียนรู้ โดยเฉพาะ “วันสงกรานต์” ท่ีแม้จะอยูใ่ นช่วงเวลาปดิ ภาคเรียนของนักเรียนกต็ าม หากเป็นช่วงเวลาท่ีนักเรียนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากส่ือต่างๆ มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม งานเทศกาลในรปู แบบต่างๆ ไมว่ า่ จะเปน็ การรดน้า� ดา� หวั ผู้ใหญ่ ท�าบญุ ปลอ่ ยนก ปล่อยปลา กอ่ กองทราย รว่ มงานบนั เทงิ รน่ื เรงิ รวมทงั้ “การสาดนา้� ” ซง่ึ หากมกี ระบวนการทช่ี ว่ ยใหน้ กั เรยี น ได้คิด ต้งั ค�าถาม และศกึ ษา กจ็ ะช่วยให้เรยี นรใู้ นโลกของความเป็นจริงนไี้ ดอ้ ย่างกว้างขวาง

ส6 าดนำ�้ สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี ส่ิงที่ต้องยอมรับประการหนึ่งคือ ความรู้อันมากมายเหมือนมหาสมุทร จึงมีทั้งที่ลาด ท่ลี ่มุ และทีล่ กึ น้ัน ฝา่ ยการจดั การศกึ ษาซ่งึ มีต้นทนุ ความรู้สำ� คัญ คือ “ศาสตร์การสอน” แตก่ ็ ต้องพึ่งพิงความรู้จากศาสตร์แขนงอื่นมาใช้ เฉพาะความรู้ด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วัฒนธรรม ที่มีความรู้กว้างขวาง และมีการศึกษาจนขยายพรมแดนไปมากมาย ซ่ึงทางฝ่าย การจัดการศึกษาเองก็ควรได้ติดตามความก้าวหน้านั้น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ความรู้ที่ทันสมัย ถูกต้อง และก้าวทนั การเปลย่ี นแปลง การพัฒนาการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของ สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน จงึ ใหค้ วามสำ� คญั กบั การศกึ ษาเรยี นรขู้ อ้ มลู ตา่ งๆ ท่ีต้องเชื่อมโยงกับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มีการศึกษาและสั่งสมความรู้จ�ำนวนมาก น�ำมาวิเคราะห์ คัดสรร และปรับใช้ในการเรียนการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมท้ัง การเปิดมิติการเรียนรู้ที่ก้าวพ้นไปจากการศึกษาท่ีจ�ำเพาะแต่เป็นการเรียนอย่างเป็นทางการ ในช้ันเรียน ขยายไปสู่ “นโยบายลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” ในลักษณะของการจัดกิจกรรม สง่ เสรมิ การเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย รวมทงั้ ใชม้ ติ กิ ารเรยี นรทู้ เี่ กดิ ขนึ้ ในชวี ติ ประจำ� วนั ขา่ ว เหตกุ ารณ์ เทศกาล และวนั ส�ำคญั ใหเ้ ป็นชว่ งเวลาสำ� หรบั การศึกษา เรยี นรู้ ตัง้ คำ� ถาม แสวงหาความรู้ได้ เกิดเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-long learning) ท่ีเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักเรียน สามารถเรียนรกู้ ับทกุ เรอ่ื ง และทุกประเดน็ ทีเ่ กดิ ข้นึ ได้ แก่นส�ำคัญของหนังสือเล่มน้ีคือ การศึกษาเก่ียวกับความเป็นไทยท่ีมีการพัฒนา มาอย่างต่อเน่ือง แต่ก็ไม่ได้ตัดขาดจากประเทศหรือดินแดนอ่ืน หากแต่มีความเชื่อมโยง และสัมพนั ธ์กนั อย่างแยกกันไมอ่ อก น�ำไปสู่ความเขา้ ใจการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกตา่ ง และหลากหลาย เอกสารนี้ได้ประมวลความรู้และประสบการณ์การศึกษาของผู้เช่ียวชาญด้าน ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวัฒนธรรม หลากหลายมุม ทั้งเรื่องสงกรานต์ที่ปรากฏ ในวรรณกรรมและตำ� นาน สงกรานต์ของประเทศต่างๆ ได้แก่ ลาว พมา่ กัมพชู า จีน อนิ เดีย รวมทง้ั ประเพณสี งกรานตข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ จงึ จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การทำ� ความเขา้ ใจใน วัฒนธรรมทีผ่ ู้คนในดนิ แดนต่างๆ ทีอ่ ยรู่ ่วมกันเป็นพลเมืองของประเทศตา่ งๆ พลเมืองอาเซยี น พลเมอื งเอเชีย และพลเมืองโลก ท่ีจะมพี ลงั ร่วมกันสรา้ งสรรค์สิ่งต่างๆ ตอ่ ไป ส�ำหรับครูผู้สอน นอกจากจะศึกษาเอกสารเพ่ือขยายประสบการณ์และเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเองแล้ว ก็ยัง สามารถเลอื กสรรบางภาพ บางข้อความ ความรู้บางประการในเอกสารนี้ไปออกแบบ การจัด การเรียนการสอนใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั พัฒนาการของนกั เรียนไดด้ ้วย

สาดน้�าสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 7 ขอขอบคุณ คณะผู้เขียน ทุกท่านที่แบ่งปันความรู้ท่ีเกิดจากการศึกษา การคิดและ เชอ่ื มโยงความรตู้ ่างๆ ซงึ่ จะเป็นตน้ ทนุ ทางปัญญาที่จะน�าไปสู่การจัดการเรยี นการสอนตอ่ ไป ขอขอบคณุ ทกุ คน ทกุ องคก์ ร ทม่ี สี ว่ นรว่ มในการดา� เนนิ การจนเอกสารนส้ี า� เรจ็ ออกมา เปน็ รูปเลม่ ขอขอบคณุ คณะศลิ ปศาสตร์ ทง้ั จากมหาวทิ ยาลยั มหดิ ลและมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ท่ีได้ร่วมกับส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการจัดงานเสวนาวิชาการ ในช่ือเดยี วกบั หนงั สือนี้ เพอ่ื เชญิ นักเขียนและผู้เก่ยี วขอ้ งมาบอกเล่าเรือ่ งราวเก่ยี วกับสงกรานต์ ให้มีการศึกษา วิพากษ์ และตั้งค�าถามเพ่ือการเรียนรู้ ซ่ึงจะเป็นข้อมูลท่ีมีคุณค่าในการพัฒนา การจัดการเรียนรปู้ ระวัตศิ าสตร์ต่อไป (นายการณุ สกลุ ประดษิ ฐ์) เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน



สารบÑÞ เรื่อง หนา้ ค�านา� ๕ บทบรรณาธิการ ๙ ๑) รดน้า� , สาดนา�้ สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มของอษุ าคเนย์ ๒๙ ๓๙ สจุ ิตต์ วงษ์เทศ ๔๙ ๒) สงกรานต์ : ความซ้�าซ้อนของการเปลย่ี นวันเวลา ๖๙ ๘๑ รุ่งโรจน์ ภริ มยอ์ นกุ ลู ๙๙ ๓) “สงกรานต”์ ในวรรณกรรมและตา� นานของคนไท-ไทย ๑๒๓ อภิลักษณ์ เกษมผลกูล ๔) สงกรานต์ : เทศกาลสาดนา�้ ถิ่นจีน วนั วาน และวันน้ี ศริ ิวรรณ วรชัยยทุ ธ ๕) ด่ะจาน : สงกรานต์พมา่ เทศกาลเปลยี่ นผา่ น วิถเี กษตร กับความหวังของผคู้ น สทิ ธพิ ร เนตรนิยม ๖) “บุญเดือนห้า-สงกรานต”์ ในลาวและอีสานโดยสงั เขป ธรี ะวัฒน์ แสนคา� ๗) เทศกาลโฮลี สงกรานตส์ ใี นอนิ เดีย กิตตพิ งศ์ บุญเกิด



บ·บรรณา¸Ôการ ¾¾Ô Ѳ¹ ¡ÃÐá¨Ð¨¹Ñ ·Ã ก ¼ŒªÙ Ç‹ ÂÈÒʵÃÒ¨ÒÏ ¤³ÐÈÔÅ»ÈÒʵÏ ÁËÒÇÔ·ÂÒÅÂÑ ¸ÃÃÁÈÒʵÏ ารสาดนา�้ รดนา้� และถอื เอาวนั สงกรานตเ์ ปน็ วนั เรม่ิ ตน้ ศกั ราชใหม่ ไมไ่ ดม้ เี ฉพาะ ในประเทศไทยเท่านน้ั แตย่ งั ปฏิบตั ิกนั ในกัมพชู า พม่า ลาว และบางกล่มุ ชนในเขตจนี ตอนใต้ (ทรงศกั ดิ์ ปรางคว์ ฒั นากลุ , ๒๕๓๙ ; ปรานี วงษเ์ ทศ, ๒๕๔๘) ดงั นนั้ จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ สงกรานต์ เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมรากที่ไม่จ�ากัดอยู่เฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือที่เรียกว่า “อุษาคเนย์” ทว่ายังรวมไปถึงภูมิภาคที่เรียกว่าเอเชียอีกด้วย จึงเป็นเหตุผลให้ตั้งชื่อหนังสือ และงานเสวนาคร้ังน้ีว่า “สาดน้�าสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย” แทนท่ีจะตั้งช่ือว่า อุษาคเนยเ์ พียงอยา่ งเดยี ว ก่อนหน้าที่จะมีการจัดท�าหนังสือเล่มน้ี เม่ือปีท่ีแล้วทางส�านักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร รว่ มกบั คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จดั ท�าหนงั สอื และจัดเสวนาเร่ือง “ลอยกระทง เรือพระราชพิธี วฒั นธรรมนา้� รว่ มราก” ขน้ึ ในชว่ งใกล้วันลอยกระทง โดยมปี ระเด็นส�าคญั ๓ ประการกล่าวคือ ประเดน็ แรก ลอยกระทง คอื ประเพณที จ่ี ดั ขน้ึ เพอ่ื สง่ ทา้ ยปเี กา่ และบชู าผบี รรพบรุ ษุ ประเดน็ ทส่ี องคอื ลอยกระทงในแตล่ ะ ภมู ภิ าคและชาตพิ นั ธม์ุ คี วามหลากหลายแตกตา่ งกนั จนมอิ าจนยิ ามไดว้ า่ ลอยกระทงของแทน้ น้ั เป็นเช่นใด และลอยกระทงแบบกรุงเทพฯ ก็ไม่จ�าเป็นต้องเป็นมาตรฐานของประเพณีนี้ ประเดน็ สดุ ทา้ ยคอื ตอ้ งการใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั วา่ ประเพณลี อยกระทงในเมอื งสโุ ขทยั เปน็ ประเพณี ประดษิ ฐใ์ หม่ เพราะตามหลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์เทา่ ทมี่ ี ไม่พบการลอยกระทงแบบหนงั สือ นางนพมาศในสมัยสุโขทัย ดังน้ัน หนังสือนางนพมาศก็ไม่ใช่เป็นเร่ืองที่เกิดข้ึนในสมัยสุโขทัย แต่เป็นวรรณกรรมทีแ่ ตง่ ขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยหู่ ัวเท่าน้ัน นอกเหนือไปจากความร้ทู างดา้ นประวตั ิศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแล้ว การจัดท�าหนังสอื ประกอบงานเสวนาในครงั้ นนั้ ยงั มเี ปา้ หมายเพอื่ ตอ้ งการสรา้ งองคค์ วามรใู้ หเ้ กดิ ขน้ึ กบั สงั คมไทย และคาดหวังจะน�าไปสู่การค่อยๆ ปรับปรุงความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ใช้ สอนกันอยู่ในโรงเรียนในอนาคต อันจะท�าให้สังคมไทยเป็นสังคมที่อุดมปัญญาและมีความรู้ ที่ทันสมัยมากกว่าที่เป็นอยู่ เป้าหมายเดียวกันน้ีจึงเป็นที่มาของการจัดท�าหนังสือประกอบ

ส12 าดนำ�้ สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย งานเสวนาเร่ือง “สาดน�้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย” ซ่ึงจะช่วยท�ำให้การศึกษา ของไทยเกิดความกา้ วหนา้ ย่ิงขึน้ ก่อนที่จะได้รับความรู้เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์จากบทความต่างๆ เรื่องหนึ่งที่ บรรณาธิการต้องการจะขอน�ำเสนอเป็นอันดับต้นคือ การต้ังค�ำถามว่าเพราะเหตุใดชนช้ันน�ำ และนกั วิชาการยุคตน้ ๆ จึงได้ใหค้ วามสำ� คัญกับการเขียนประเพณี มหี นังสอื ท่ีสำ� คญั อยู่ ๒ เลม่ ท่ีน่าถกเถียง เล่มแรกคือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่งเม่ือ พ.ศ. ๒๔๓๑ เล่มที่สองคือเรื่องเกี่ยวกับประเพณีไทย (เน่ืองในเทศกาลตรุษสารท) เขียนโดยเสฐยี รโกเศศ ตีพิมพ์เม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๕ ถ้าหากพิจารณาจากระยะเวลาท่ีหนังสือทั้งสองเล่มได้รับการตีพิมพ์ อาจกล่าวได้ว่า บริบทหรือเหตุการณ์ท่ีรัชกาลที่ ๕ และเสฐียรโกเศศ ต้องเผชิญมีความคล้ายคลึงกันอยู่ คือเป็นช่วงเวลาท่ีสังคมไทยมีการเปล่ียนแปลงอย่างสูง กล่าวคือ ในสมัยรัชกาลท่ี ๔ - ๕ วฒั นธรรมตะวนั ตกทห่ี ลงั่ ไหลเขา้ มาทำ� ใหส้ งั คมสยามเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ จงึ เปน็ เหตทุ ำ� ให้ ชนชน้ั นำ� สยามตอ้ งพยายามสรา้ งความตอ่ เนื่องของตนเองกบั อดตี (นิธิ เอยี วศรีวงศ,์ ๒๕๕๗) ด้วยการมองหารากทางวัฒนธรรมของตนเอง เราจึงพบว่าชนชั้นน�ำสยามพยายามค้นคว้า ประเพณีในอดีตตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึงสมัยอยุธยา ซึ่งกระบวนการนี้นอกจากช่วยท�ำให้เกิด ความรู้สึกมั่นคงแล้วยังสร้างความสืบเนื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์จากอดีตถึงปัจจุบัน ซงึ่ ทำ� ใหช้ นชน้ั นำ� สยามสามารถควบคมุ การเปลย่ี นแปลงตา่ งๆ ไดด้ ยี งิ่ ขนึ้ ชนชนั้ นำ� สยามจงึ ตอ้ ง เขียนประเพณีของตนเองให้เปน็ ระบบ ในขณะที่ช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๐๐ ในกรณีของเสฐียรโกเศศ สังคมไทยต้องปะทะ เข้ากับวัฒนธรรมอเมริกัน ความเป็นไทยจึงเร่ิมถูกท้าทายและสั่นคลอนจากความเจริญ และทันสมัยท่ีเข้ามาพร้อมกับทหารอเมริกัน ส่งผลท�ำให้นักวิชาการและประชาชนต่ืนตัว ในการส�ำรวจวัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตรข์ องตนเองอีกระลอกหน่งึ เพอื่ ทำ� ใหโ้ ลก ทห่ี มนุ ไปอย่างรวดเรว็ เป็นโลกทม่ี ัน่ คงและตอกย�ำ้ ความเจริญของวฒั นธรรมไทย ในทนี่ ขี้ อเขา้ สปู่ ระเดน็ อาจกลา่ วไดว้ า่ นบั ตง้ั แตก่ ารเกดิ ขน้ึ ของรฐั ชาตสิ มยั ใหม่ หนงั สอื เล่มแรกที่อธิบายเรื่องเก่ียวกับประเพณีสงกรานต์อย่างละเอียดคือหนังสือพระราชพิธีสิบสอง เดือน สมเด็จกรมพระยาดำ� รงราชานุภาพได้ทรงเขียนอธบิ ายวา่ สาเหตทุ กี่ รรมการหอพระสมุด วชริ ญาณกราบบงั คมทลู อาราธนาขอใหท้ รงพระราชนพิ นธ์ เพราะเหน็ วา่ เรอื่ งทสี่ มาชกิ เหน็ กนั อยู่เสมอแต่หามีผู้ใดท่ีจะเข้าใจเรื่องราวเหตุผลในพระราชพิธีทั้งหมดอย่างถ่องแท้ จึงเห็นว่า ถา้ ทรงพระราชนิพนธ์พระราชพิธปี ระจำ� พระนครทั้ง ๑๒ เดือน จะเปน็ ประโยชน์ในทางความรู้ ต่อสมาชกิ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั , ๒๕๐๕ : ก-ข) ดังน้ัน พระราชพิธีสิบสองเดือนจึงไม่ใช่หนังสือท่ีบอกธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนอย่าง หนงั สอื คมู่ อื แตเ่ ปน็ หนงั สอื ทว่ี เิ คราะหใ์ หเ้ หน็ ถงึ เหตผุ ลของการปฏบิ ตั ปิ ระเพณี ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะ

สาดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี 13 ของความคิดทางโลก (Secular world) อันสะท้อนถึงศึกษาประเพณีตามกรอบแนวคิด สมัยใหม่ (Modernism) ดังความว่า “ลักษณะท่ีทรงพระราชนิพนธ์นั้น มีพระราชประสงค์ จะช้ีแจงให้ผอู้ า่ นเข้าใจให้แจ่มแจ้งเป็นข้อส�ำคญั ” (พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , ๒๕๐๕ : ค) ดังน้ัน เร่ืองสงกรานต์ในพระราชพิธีสิบสองเดือนจึงเป็นการอธิบายเร่ืองราวต่างๆ ในเชิงเหตุผล ตัวอย่างเช่น “นิทานประกอบ” สงกรานต์คือเรื่องท้าวกบิลพรหมกับธรรมบาล กุมารที่ว่าอ้างมาจาก “พระบาลีฝ่ายรามัญ” รัชกาลที่ ๕ จึงได้ทรงให้ท�ำการตรวจสอบว่า มใี นพระบาลแี ละในอินเดยี หรือไม่ ซึง่ พบว่าไมม่ แี ตป่ ระการใด หรอื เรื่องการก่อพระเจดยี ท์ ราย รัชกาลท่ี ๕ ก็ได้ต้ังค�ำถามว่าท�ำไมจึงต้องก่อพระเจดีย์ทราย และได้ให้ไปค้นในคัมภีร์ ทางพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ เมอื่ ใหไ้ ปคน้ กไ็ มม่ ขี อ้ ความเรอื่ งพระเจดยี ท์ ราย เปน็ ตน้ (พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ๒๕๐๕ : ๓๒๘ - ๓๔๔) ดังนั้น ประเพณีต่างๆ ต้ังแต่สมัย รชั กาลท่ี ๕ เป็นต้นไปจะไมใ่ ชป่ ระเพณที ่ปี ฏบิ ัติสบื ๆ กันมาอยา่ งไร้เหตุผล นอกจากนใี้ นขณะ เดยี วกนั จะพบดว้ ยวา่ มปี ระเพณหี ลายอยา่ งทไ่ี ดร้ าชสำ� นกั ไดป้ ระดษิ ฐข์ น้ึ และไมพ่ บในสมยั กอ่ น หนา้ สมยั รชั กาลท่ี ๔ ตวั อยา่ งเชน่ ประเพณกี ารสรงนำ�้ พระมหามณรี ตั นปฏมิ ากร ซง่ึ ในประเพณี สงกรานต์จะมีเพียงพระเจ้าแผ่นดินทรงสรงน้�ำต่อเฉพาะพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์เท่านั้น (พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั , ๒๕๐๕ : ๓๘๒) อยา่ งไรกต็ าม ประเพณสี งกรานตใ์ นหนงั สอื พระราชพธิ สี บิ สองเดอื นนนั้ กเ็ ปน็ ประเพณี ท่ีปฏิบัติกันเฉพาะในราชส�ำนัก ไม่ใช่ประเพณีท่ีปฏิบัติกันในหมู่ราษฎร คือเป็นของเฉพาะ ชนช้ันสูงเท่านั้น และด้วยการที่ประเพณีสงกรานต์ในราชส�ำนักเป็นเร่ืองศักด์ิสิทธิ์ หน้าท่ีของ สงกรานต์จึงตอบสนองต่อความเช่ือทางศาสนาและส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก เราจงึ สงั เกตไดว้ า่ ประเพณสี งกรานตข์ องราชสำ� นกั เนน้ การสรงนำ้� สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ ไมใ่ ชก่ ารสาดนำ�้ เพอื่ ความบนั เทิงเริงใจต่างจากสงกรานต์ของไพร่ ในขณะท่ีเจ้าเขียนประเพณีสงกรานต์ของตนเอง ไพร่หรือสามัญชนก็เขียนประเพณี ของตนเองเช่นกัน โดยเป็นบรรยากาศที่จะเกิดข้ึนเมื่ออ�ำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไดล้ ดลงไปแลว้ หลงั พ.ศ. ๒๔๗๕ เสฐยี รโกเศศหรอื พระยาอนมุ านราชธน เปน็ หนงึ่ ในนกั ปราชญ์ สามญั ชนทส่ี �ำคัญคนหน่ึงของไทย ได้เขยี นหนงั สือเรอ่ื งเกย่ี วกบั ประเพณีไทย (เนือ่ งในเทศกาล ตรษุ สารท) หนงั สอื เล่มน้เี น้นไปท่ีเรอ่ื งของสงกรานตโ์ ดยเฉพาะ เร่มิ ต้นดว้ ยการอธบิ ายถึงทม่ี า ทไี่ ปของสงกรานตท์ ง้ั ในแงข่ องศกั ราช นทิ านหรอื ตำ� นานสงกรานต์ และนางสงกรานต์ ซง่ึ กด็ จู ะ ไมไ่ ดต้ า่ งไปจากพระราชพธิ สี บิ สองเดอื นมากนกั แตจ่ ดุ ทท่ี ำ� ใหห้ นงั สอื เลม่ นต้ี า่ งไปคอื การอธบิ าย ประเพณีสงกรานต์ในแง่มุมทางมานุษยวิทยาเช่นเรื่องการแต่งตัวของชาวไทยในประเพณี สงกรานต์ การสาดน�้ำเล่นสนุกกัน และการเล่นร่ืนเริงวันสงกรานต์ จนเราอาจกล่าวได้ว่า สงกรานต์ในราชส�ำนักคือสงกรานต์ท่ีไม่ได้สาดน้�ำและไม่สนุก ไม่ได้ตอบสนองต่อชีวิตของคน

ส14 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี หมู่มากอย่างแทจ้ ริง แตก่ ็น่าแปลกใจทีม่ ักมคี นมักอา้ งองิ ความเป็นไทยจากหนังสอื พระราชพธิ ี สิบสองเดือน (สจุ ิตต์ วงษ์เทศ, ๒๕๕๗) ทง้ั ๆ ท่ีประเพณีสงกรานต์ท่ปี ฏบิ ตั กิ นั ทุกวนั นน้ี ้ันเปน็ ประเพณีทีป่ ฏิบตั ิกนั นอกราชสำ� นกั และหลายอยา่ งก็เพ่ิงประดษิ ฐข์ น้ึ เสยี ดว้ ยซ�้ำ มีตอนหน่ึงในหนังสือของเสฐียรโกเศศท่ีอยากจะยกมาน�ำเสนอให้อ่านกัน เพราะ น้อยคนที่จะได้เห็นภาพของสงกรานต์ในไทยและพม่าเมื่อร้อยปีก่อนคือในหัวข้อ “สาดน�้ำ เลน่ สนุกกัน” ความว่า “เวลาบา่ ยแดดตกวนั สงกรานต์ เห็นเขาเล่นสาดน้ำ� รดกันหรอื ไม่ก็เลน่ ปลำ้� มอมหนา้ กนั อยา่ งสนกุ สนาน เปน็ การเลน่ สนกุ ระหวา่ งพวกหนมุ่ ๆ สาวๆ ตลอดจนคนแกร่ า้ ง และสาวทึนทึกกลางคนที่ยังสนุกอยู่ ก็เข้าร่วมเล่นสนุกด้วย เขาเล่นสนุกในหมู่ผู้ท่ีรู้จักกัน ไม่เก่ียวไปถึงผู้อ่ืนท่ีไม่รู้จัก และเล่นด้วยความยินดีสมัครใจ” (เสฐียรโกเศศ, ๒๕๐๕ : ๑๐๗) เรือ่ งราวขา้ งต้นเป็นบรรยากาศสงกรานต์ราวทศวรรษ ๒๔๕๐ - ๗๐ เสฐียรโกเศศยังเล่าต่อไปว่าสมัยก่อนเล่นสาดน้�ำกันด้วยขันน�้ำและตอนหลังมีคน มีปัญญาประดิษฐ์กระบอกฉีดน�้ำท�ำจากไม้ไผ่และมีแบบที่เป็นเหล็กวิลาศด้วย ท�ำให้เล่น สงกรานตก์ ันได้สนุกสนานขน้ึ อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการเล่นสงกรานตใ์ นกรงุ เทพฯ ค่อยๆ เปลยี่ นไปหลงั ทศวรรษ ๒๔๗๐ - ๘๐ ดงั ท่เี สฐียรโกเศศเลา่ ให้ฟงั วา่ “การสาดนำ�้ เลน่ สนกุ กนั วันสงกรานต์ในหมู่พวกชาวบ้านหรือในหมู่พวกกันเอง ก็ขยายตัวกลายเป็นมีคนอ่ืนเข้ามา แทรกแซงรว่ มสนกุ ด้วย ไม่รอู้ ิโหน่อิเหน่ สาดนำ้� ไมเ่ ลือกวา่ ใคร ซ้�ำเจา้ พวกเด็กๆ กเ็ ลน่ แผลงๆ ใช้น้�ำลูกแมงลักท่ีเขาตั้งไว้ให้กินเป็นทาน หรือร้ายยิ่งกว่าน้ันใช้น้�ำสกปรกโสมมหรือน้�ำที่ท�ำให้ เกิดผื่นคัน สาดรดไม่เลือก... (บางครั้ง) เกิดอันตรายรถทับเด็กก็มี เพราะมุ่งแต่จะเล่นสาด ไมร่ ะวังรถใหด้ ”ี (เสฐียรโกเศศ, ๒๕๐๕ : ๑๑๓) นอกจากบรรยากาศของการเล่นสงกรานต์ในกรุงเทพฯ แล้ว เสฐียรโกเศศ ยังได้เล่า ถึงบรรยากาศการเล่นสงกรานต์ในพม่าด้วย ซ่ึงนับว่าน่าสนใจ เพราะในพม่าสมัยท่ีอังกฤษ ปกครองนั้นได้ท�ำให้สังคมของพม่าเกิดความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์และกลุ่มคนสูงข้ึน เสฐียรโกเศศเล่าว่า “ในเมืองพม่าเมื่อวันสงกรานต์มีสาดน�้ำกัน ชาวต่างชาติก็ไม่ขัดข้องอะไร เวน้ แตช่ าวอินเดยี ที่ถอื วา่ เปน็ ผดู้ ชี ้ันสูงนนั้ แหละขดั ข้อง ไมเ่ หน็ สนกุ ดว้ ย แต่พวกจีนตรงกนั ขา้ ม พลอยสนุกสาดน้�ำไปกับเขาด้วย ถึงกบั ลงทนุ จ้างเขาตักน�ำ้ ไว้ใหส้ าดกัน ทกี่ ค็ ล้ายกับกรงุ เทพฯ เมือ่ ก่อน...” (เสฐยี รโกเศศ, ๒๕๐๕ : ๑๑๕) ดังนนั้ ตามทเี่ คยมขี ้อเสนอว่าการสาดน้ำ� สงกรานต์ ในพม่าเป็นวิธีการหนึ่งในการปลดปล่อยความรู้สึกท่ีฝรั่งมาปกครองน้ัน แท้จริงแล้วอาจมี แง่มุมอ่ืนดว้ ย เสฐียรโกเศศเล่าอีกว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๘ ทูตอังกฤษในกรุงอังวะก็ได้เล่นสงกรานต์ สาดน�้ำอย่างสนุกสนานกับชาวพม่าเช่นกัน และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ เสฐียรโกเศศได้มีโอกาสไป กรุงย่างกุ้งก็พบ “เห็นพวกหนุ่มๆ รวมท้ังเด็กด้วย น่ังรถยนต์กระบะรวมกันไปในรถคันหนึ่ง

สาดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย 15 หลายๆ คน ในรถมีนำ�้ บรรทุกไปดว้ ย เม่ือแล่นไปตามถนนร้องร�ำท�ำเพลงไปตลอดทาง ตามวสิ ยั ของคนหนุ่มท่ีคะนองและสนุกร่าเริง เมื่อมีรถอื่นผ่านมาตลอดจนคนเดินถนนก็ถูกพวกหนุ่มๆ เหล่าน้ี เอาน�้ำสาดอย่างไม่ปรานีสาดกันเป็นขันใหญ่ๆ ... เห็นพวกที่มารถกระบะ หยุดรถ ทำ� สงครามสาดนำ�้ กนั กบั พวกทอ่ี ยปู่ ระจำ� ทอ่ ประปา สาดรดกนั อยา่ งสนกุ สนาน...” (เสฐยี รโกเศศ, ๒๕๐๕ : ๑๑๗) ดังนน้ั สงกรานตส์ าดน�้ำแบบรุนแรงนั้นสมั พนั ธก์ บั การเปล่ียนแปลงทางสังคม ที่ต้องการความสนุกและความบันเทิงอย่างสุดข้ัวซึ่งเป็นลักษณะของสังคมสมัยใหม่ (Modern society) น่ันเอง จากตัวอย่างหนังสือสองเล่มข้างต้นที่ยกมาอธิบายน้ัน ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าเวลาท่ีอ่าน หนังสือท่ีเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมประเพณีไม่ควรอ่านเพียงเพื่อมองหาความเป็นไทย และโหยหาอดตี หรอื อา่ นเพอื่ จดจำ� เทา่ นน้ั แตค่ วรอา่ นเพอื่ ตงั้ คำ� ถามวา่ เพราะเหตใุ ดคนในอดตี จึงได้เขียนประเพณีสิบสองเดือนข้ึน และสัมพันธ์กับการเปล่ียนแปลงทางสังคมอย่างไร หรอื ในอกี แบบหนง่ึ คอื การตงั้ คำ� ถามวา่ ประเพณวี ฒั นธรรมทที่ ำ� กนั อยใู่ นสงั คมทกุ วนั นเ้ี รากำ� ลงั เดินไปสู่การปฏิบัติเพราะเชื่อตามๆ กันมา ซ่ึงถ้าหากท่านได้อ่านพระราชพิธีสิบสองเดือน หรอื เร่อื งเก่ียวกบั ประเพณไี ทย จะเหน็ ได้ชัดว่าผนู้ พิ นธห์ นงั สือทัง้ สองเลม่ พยายามคิดวเิ คราะห์ หาเหตุผลวา่ ทำ� ไมจงึ ต้องปฏิบัตปิ ระเพณีตา่ งๆ หรือมคี วามหมายใดทีซ่ อ่ นอยู่ในประเพณี เช่น เดียวกับหนังสือ “สาดน�้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย” ที่ต้องการให้มองประเพณี วฒั นธรรมในมุมมองแบบวิชาการ ดังน้ัน เพื่อให้เข้าใจบทความต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้มากขึ้น ในฐานะบรรณาธิการ จึงขอทำ� หนา้ ท่ีสรปุ เน้ือหาหลกั ของบทความตา่ งๆ จำ� นวน ๗ บทความ พรอ้ มทั้งพยายามช้ใี ห้ เห็นแนวคิดเบ้ืองหลังบางประการของผู้เขียนบทความแต่ละท่านตามท่ีบรรณาธิการมองเห็น ผ่านการอา่ น ดังน้ี ๑) บทความเรื่อง รดน�้ำ, สาดน้�ำ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมของอุษาคเนย์ โดย สจุ ติ ต์ วงษ์เทศ แหง่ มตชิ น เป็นบทความเกยี รตยิ ศของหนังสือเล่มนี้ บทความเรือ่ งน้ชี ี้ให้เห็นวา่ วัฒนธรรมสงกรานต์ด้วยการ “รดน้�ำ” เป็นรากเหง้าด้ังเดิมของอุษาคเนย์ ก่อนที่ประเพณีนี้ จะพัฒนามาเป็น “สาดน้�ำ” สงกรานต์แบบที่รู้จักกันในปัจจุบัน สุจิตต์ได้บอกชัดเจนว่า เดิมที่ผู้คนในสังคมไทยมักคิดว่าการสาดน�้ำสงกรานต์มาจากอินเดีย และสัมพันธ์กับเทศกาล โฮลีนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะสงกรานต์พัฒนามาจากประเพณีรดน�้ำไหว้ผีบรรพบุรุษ และไหว้ผู้อาวุโสที่จัดขึ้นหลังฤดูเก็บเก่ียว รวมถึงในช่วงเดียวกันนี้ยังมีการร้องร�ำท�ำเพลง การละเลน่ ตา่ งๆ และปลอ่ ยสัตวเ์ สย่ี งทายอกี ดว้ ย ในขณะที่สงกรานต์ที่หมายถึงการเปลี่ยนปีนักษัตรมีที่มาจากอินเดียตามความเชื่อ ในศาสนาพราหมณ์โดยปฏิบัติกันในราชส�ำนักก่อนหน้าสมัยอยุธยา จนถึงยุคต้นรัตนโกสินทร์

ส16 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย ชนชั้นน�ำจึงได้ถ่ายทอดความรู้ลงสู่ประชาชน กระบวนการข้างต้นเกิดข้ึนมานานมาก จนคนหลงลมื กนั ไป ดงั นั้น สงกรานตท์ ถ่ี อื กนั วา่ เปน็ ปีใหม่ไทยนน้ั แทจ้ ริงแล้วคอื “ปใี หมแ่ ขก” ของพราหมณ์อนิ เดยี ส่วนขนึ้ ปใี หมด่ ง้ั เดิมของชาวอษุ าคเนย์คือประเพณลี อยกระทง ถา้ จะใหส้ รปุ แนวคดิ ในการวเิ คราะหข์ องสุจิตต์ วงษ์เทศ จากบทความเร่อื งนี้จะพบว่า มีอยู่ ๒ แนวคิดหลักคือ แนวคิดแรกเป็นการค้นหาแยกแยะวัฒนธรรมด้ังเดิมกับวัฒนธรรม จากภายนอกด้วยการวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม จากนนั้ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ กระบวนการปรบั ใหเ้ ปน็ ทอ้ งถน่ิ (Localization) จนสงกรานตแ์ ขกกลายเปน็ สงกรานต์ไทย ส�ำหรับแนวคิดที่สองคือการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมหลวง กบั วฒั นธรรมราษฎรท์ ร่ี ว่ มกนั พฒั นาประเพณสี งกรานตข์ นึ้ มา ซงึ่ สดุ ทา้ ยแลว้ ไดถ้ กู การทอ่ งเทย่ี ว กลายความหมายของประเพณีสงกรานตไ์ ป ๒) บทความถัดมามีช่ือเร่ืองว่า สงกรานต์ : ความซ�้ำซ้อนของการเปล่ียนวันเวลา เขียนโดย ผศ.ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล แห่งมหาวิทยาลัยรามค�ำแหง บทความนี้ มีใจกลาง ของเร่ืองอยู่ที่การวิเคราะห์ระบบการนับศักราชปีใหม่ที่มีระบบแตกต่างกัน อันประกอบด้วย สงกรานต์ที่รบั มาจากอินเดีย, ปีใหม่ดง้ั เดมิ ของอุษาคเนย,์ ปนี ักษัตร, และนิทานนางสงกรานต์ โดยทั้งหมดนว้ี เิ คราะหผ์ า่ นเอกสารทางประวัตศิ าสตรแ์ ละจารกึ บทความเร่ิมต้นด้วยการอธิบายว่า สงกรานต์มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “การโคจรข้ามของพระอาทิตย์จากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่ง” ดังนั้นในหนึ่งปี จะมีสงกรานต์ทั้งหมด ๑๒ ครั้ง ส�ำหรับในประเทศไทยค�ำว่า “สงกรานต์” ปรากฎคร้ังแรก ในจารึกเขมร และคนในพระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยาโดยใชใ้ นความหมาย “การก้าวข้าม ราศี” จนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ค�ำว่า “สงกรานต์” เร่ิมถูกจ�ำกัดความหมายให้แคบลง ดังเห็นได้จากอักขราภิธานศรับท์ของหมอปรัดเล (บรัดเลย์) ว่า หมายความถึงกาลเมื่อถึง เดือนห้าทีพ่ ระอาทติ ย์ย้ายราศี ยกจากราศีมนี มาส่รู าศเี มษ เทา่ นัน้ ในขณะท่ีเดือนท่ีข้ึนปีใหม่ของคนในเขตลุ่มน�้ำเจ้าพระยารับรู้กันนั้นคือเดือนอ้าย (ตกราวเดอื นธันวาคม) ซ่ึงเปน็ การนับตามระบบปฏทิ ินแบบจนั ทรคติ ส่วนแบบแผนการนับถอื ปนี กั ษตั รนัน้ รบั มาจากจนี สดุ ท้ายคตนิ ิทานนางสงกรานตเ์ ปน็ ความเชอื่ ท้องถิน่ ไมไ่ ดร้ ับมาจาก อนิ เดยี แตม่ าจากมอญ ค�ำถามท่ีน่าสนใจคือเพราะเหตุใดราชส�ำนักจึงยึดเอาสงกรานต์แบบอินเดียเป็นปี เริ่มต้นศักราช ดร.รุ่งโรจน์ ได้อธิบายว่าเป็นเพราะรับวิธีการค�ำนวณทางดาราศาสตร์มาจาก ชมพูทวีป แต่บรรณาธิการขอขยายประเด็นเพิ่มเติมอีกว่าอินเดียคือศูนย์กลางความเจริญ ทางอารยธรรมของราชส�ำนักในอุษาคเนย์ ซึ่งใช้เป็นต้นแบบในพิธีกรรมและความรู้ต่างๆ ท�ำให้ต้องอิงกับการนับปีใหม่ตามอย่างของอินเดีย แต่ในขณะเดียวกันจีนก็เป็นศูนย์กลาง

สาดน�้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี 17 ทางด้านการเมืองและการค้าของโลก คนในภูมิภาคอุษาคเนย์จึงใช้ปีนักษัตรของจีนท่ีเร่ิมต้น ราวเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์แล้วแต่ปีเพื่อให้ทราบถึงการเปลี่ยนปีของจีนไปพร้อมกัน สว่ นการนบั ปใี หมแ่ บบดง้ั เดมิ ทเี่ รม่ิ ตน้ ทเี่ ดอื นอา้ ย อาจเรยี กไดว้ า่ เปน็ ปฏทิ นิ ทส่ี มั พนั ธก์ บั ฤดกู าล การเกษตร และชีวติ ทางสังคมของผคู้ นในภูมิภาคน้ีจงึ เป็นสิ่งที่ยังคงต้องคงไว้ อาจกล่าวได้ว่าบทความนี้ไม่เพียงช่วยสะสางกับความซับซ้อนสับสนเร่ืองเดือนท่ีขึ้น ปีใหม่แล้ว แต่ยังท�ำให้เราเห็นว่าผู้คนและบ้านเมืองในอุษาคเนย์น้ันเช่ือมโยงตนเองกับ โลกภายนอกผ่านมิตขิ องเวลามาโดยตลอด ๓) ปริมณฑลหนึ่งท่ีงานเขียนเกี่ยวกับสงกรานต์ยังไม่กระท�ำกันมากนักคือการศึกษา เร่ืองสงกรานต์ผ่านวรรณกรรมและต�ำนานของคนที่พูดภาษาตระกูลไท(ย) บทความเร่ือง “สงกรานต์” ในวรรณกรรมและต�ำนานของคนไท-ไทย โดย ผศ.ดร.อภิลักษณ์ เกษมผลกูล แหง่ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล บทความเรอื่ งนท้ี ำ� ใหเ้ ราเหน็ ไดว้ า่ สงกรานตค์ อื ชว่ งเวลาสำ� คญั มาตง้ั แต่ สมยั เขมรโบราณกอ่ นหนา้ กลมุ่ คนในภาษาตระกลู ไทจะกา้ วขน้ึ มามบี ทบาททางการเมอื ง ตอ่ มา ในสมยั อยุธยา ประเพณีสงกรานตค์ งเปน็ เรอื่ งทีจ่ ัดกันเปน็ งานบญุ ในราชสำ� นักดงั ปรากฏในพธิ ี ทวาทศมาศของเก่า โดยวันดังกล่าวกษัตริย์จะเสด็จสรงน�้ำพระศรีสรรเพชญ์และเทวรูปต่างๆ รวมถงึ นิมนต์พระสงฆม์ าสรงนำ�้ ในพระราชวัง ก่อพระเจดีย์ทราย และต้ังโรงทานใหก้ ับราษฎร เคลอื่ นมาในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ หลกั ฐานจากวรรณกรรมชชี้ ดั วา่ สงกรานตเ์ ปน็ ประเพณี ของทัง้ ชาววงั และชาวบ้าน ในส่วนของชาววงั ตามความเช่อื ถือกันวา่ สงกรานตเ์ ปน็ การเปลย่ี น ศักราชใหม่ ในวันนั้นจะมีการบอกบุญก่อพระเจดีย์ทราย มีการสวดมนต์ เชิญพระมาฉันและ รดน�้ำ ในส่วนของชาวบ้าน ถ้าเป็นสงกรานต์บ้านนอกดังปรากฏอยู่ในเสภาขุนช้างขุนแผน ชาวบ้านจะพากันไปวัดเพ่ือท�ำบุญ น�ำอาหารไปถวายพระ และหญิงชายต่างก็ขนทรายเข้าวัด เพื่อก่อพระเจดีย์ทรายกัน แต่ถ้าเป็นสงกรานต์ของชาวบ้านในเมืองหลวงจะมีการท�ำบุญ ไหว้พระ ท�ำข้าวแช่ แต่งตัวด้วยผ้าสีสันฉูดฉาด มีประทินเครื่องหอมตามตัว มีการละเล่น และเล่นพนันกนั ดว้ ย ข้อน่าสังเกตที่น่าสนใจของบทความน้ีคือประเพณีสงกรานต์ไม่ใช่พิธีกรรมของ “คนไท” มาแต่ดั้งเดิม ดังน้ัน คติเรื่องสงกรานต์และต�ำนานนางสงกรานต์จึงพบเฉพาะ ในกลุ่มคนไทที่รับศาสนาพุทธ ส่วนคนไทที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เช่น ชาวจ้วง ชาวไทด�ำ จะไม่มีประเพณสี งกรานต์ กล่าวอีกแบบหนึง่ ก็คือประเพณีสงกรานตไ์ มใ่ ช่สารัตถะ (essential) ของคนไทเสมอไป มเี พยี งไทบางกลุ่ม และโดยเฉพาะไทที่มี “ย” (ไทย) ในประเทศไทยเทา่ น้ัน ท่ีมกั ยึดวา่ สงกรานต์เป็นวฒั นธรรมไทยแท้ มกั มกี ารกลา่ วถงึ กนั เสมอวา่ ตำ� นานนางสงกรานตม์ าจากมอญ แตบ่ ทความนไี้ ดน้ ำ� เสนอ ข้อมูลที่น่าสนใจว่าต�ำนานท่ีคล้ายกันนี้แพร่กระจายอยู่ในกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทด้วย

ส18 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย มีตำ� นาน ๒ เรอ่ื งที่น่าสนใจคอื ตำ� นานขนุ สาง และต�ำนานการสร้างโลก ในทน่ี ้ขี อสรุปเน้ือหา ต�ำนานทั้งสองเรื่องอย่างสั้นๆ ความว่า ต�ำนานขุนสางเป็นต�ำนานของคนไทใต้คง (ไทใหญ่) เล่าว่าขุนสางได้ถูกภรรยาคนท่ีเจ็ดตัดหัว โดยเมื่อหัวของขุนสางตกลงบนพื้นดินก็จะเกิด ไฟลุกไหม้ ท�ำให้ภรรยาท้ังเจ็ดต้องผลัดกันยกหัวขุนสางคนละปี ในจังหวะที่ผลัดกันยกนั้น จะมีเลือดไหลออกจากหัว ต้องให้คนน�ำน้�ำมารดให้สะอาดเพ่ือไม่ให้ไฟไหม้ ตั้งแต่น้ันมาคนไท จงึ เล่นรดนำ้� กนั ทกุ ปี ต�ำนานอีกเรื่องหน่ึงที่น่าสนใจคือต�ำนานการสร้างโลกของชาวไทลื้อสิบสองปันนา เล่าโดยสรุปคอื เดิมบนโลกแผน่ ดินเป็นทงุ่ หญ้า “หุ่นซเี จีย่ ” (เทพ) ไดเ้ อาเมล็ดพันธ์พุ ืน้ มาปลกู และเมื่อเก็บเอาออกมาแล้วจะเกิดไฟไหม้ใหญ่ และเกิดน�้ำท่วมตามมา หุ่นซีเจี่ยก็ลงมาหว่าน เมลด็ บวั เมือ่ ดอกบัวบานกไ็ ด้เนรมติ ให้กลายเป็นทวีป พรอ้ มทงั้ มเี ทพยาดาชายหญิงไปประจ�ำ และมีลูกออกมามากมาย ปรากฏว่ามีเทพอยู่องค์หนึ่งชื่อว่า “หุ้นส่ง” ขัดแย้งกับเทพอีกองค์ สามทวีป ในเร่ืองการเสนอว่าเดือนหน่ึงควรมีจ�ำนวนวันกี่วัน หุ้นส่งแพ้พร้อมท้ังบอกว่า อกี ๑๐ ปี “ถา้ ฉนั ผดิ พวกนายตัดหวั ฉันได้แตถ่ า้ พวกนายผิดฉันจะตัดหัวพวกนายเอง” ครบ ๑๐ ปี วันเดอื นปีและฤดกู าลแปรปรวน เม่ือเหตกุ ารณเ์ ปน็ เช่นน้ี เทพทง้ั สามทวปี และหุ่นซเี จี่ย จึงปรึกษากันว่าจะจัดการกับหุ้นส่งอย่างไรดี สุดท้ายเมียของหุ้นส่งคนหนึ่งซ่ึงแอบรักหุ่นซีเจ่ีย จึงอาสาลอบฆ่าด้วยการเอาเส้นผมของหุ้นส่งตัดคอจนตาย แต่พอหัวของหุ้นส่งตกถึงพ้ืน ไฟก็ลุกไหม้ บรรดาเมียของหุ้นส่งจึงต้องผลัดกันอุ้มหัวของหุ้นส่งเอาไว้ และเอาน�้ำเย็นราด ล้างกัน หลังจากน้ันหุ่นซีเจ่ียกับเทพทั้งสามก็พากันก�ำหนดแบ่งฤดูกาลโลกใหม่ ท�ำให้พืชพันธุ์ อุดมสมบรู ณ์ ในช่วงทา้ ยของบทความ ผเู้ ขยี นไดถ้ อดรหัสของต�ำนานขา้ งต้นดว้ ยแนวคดิ โครงสร้าง นิยม (Structuralism) ซ่ึงเป็นแนวคิดที่มองว่าต�ำนานหรือนิทานของคนแต่ละกลุ่มมีตรรกะ และความหมายของตนเองเพียงแต่เราจะถอดความหมายของมันออกมาได้หรือไม่ ภายใต้ แนวคิดดังกล่าวผู้เขียนได้สรุปว่าต�ำนานท้ังหมดสะท้อนความขัดแย้งของกลุ่มคนในเรื่อง ความเชื่อทางศาสนา อ�ำนาจของผู้ปกครอง และยังสะท้อนว่าในสังคมบรรพกาลผู้หญิง เปน็ ใหญ่/มาตาธปิ ไตย (matriarchy) (ค�ำตรงข้ามคอื patriarchy) รวมถงึ อธบิ ายการเปลย่ี น ศกั ราชและฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่บรรณาธิการขออธิบายเพิ่มเติมสั้นๆ ด้วยก็คือจะเห็น ได้ว่าตำ� นานนางสงกรานตเ์ ป็นเรือ่ งเล่าทแ่ี ชร์รว่ มกันทัง้ ในกลมุ่ มอญและไท และเป็นเสมอื นกับ รา่ งกาย จนเมอ่ื รบั ศาสนาพทุ ธและพราหมณเ์ ขา้ มาตวั แสดงในเรอื่ งไดเ้ ปลยี่ นชอ่ื เปน็ อนิ เดยี และ โยงเขา้ กบั คติสงกรานต์จากแดนภารตะ อาจเปรยี บได้กบั เปน็ อาภรณ์ท่หี ่อคลมุ ร่างกายเอาไว้

สาดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 19 ๔) กลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทตั้งถ่ินฐานจ�ำนวนมากอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน พวกเขายังประเพณสี งกรานต์หรอื สาดน้ำ� กันอยู่ โดยเรียกประเพณนี ว้ี า่ “โพวสุ่ยเจ๋ีย” แปลวา่ “เทศกาลสาดน�ำ้ ” และถือเปน็ “ป๋ีไม่” หรือปีใหมเ่ ชน่ กัน บทความเรื่อง สงกรานต์ : เทศกาล สาดน�้ำถิ่นจีน วันวาน และวันนี้ เขียนโดย อ.ดร.ศิริวรรณ วรชัยยุทธ แห่งมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ความนา่ สนใจของบทความนอ้ี ยตู่ รงทเี่ ปน็ การใชเ้ อกสารของประเทศจนี ซงึ่ ไมค่ อ่ ย แพรห่ ลายนักในงานวชิ าการไทยเพราะก�ำแพงของภาษา ส�ำหรบั ในภาพรวม ทางการจนี เช่อื วา่ ประเพณีสงกรานต์หรือเทศกาลสาดนำ�้ มีทม่ี าจากอนิ เดยี ผา่ นทางพระพุทธศาสนาแลว้ จากน้นั ถูกส่งต่อมายงั พมา่ ไทย และสิบสองปันนา ในบทความของ ดร.อภิลักษณ์ ได้กล่าวถึงต�ำนานวันสงกรานต์ไปบ้างแล้ว ซ่ึงใน บทความของ ดร.ศิริวรรณ มีต�ำนานที่คล้ายคลึงกันเร่ืองหน่ึงคือเรื่องพญามารถูกตัดหัว ด้วยเส้นผมของตนเอง แต่ในบทความนี้ได้มีเนื้อหาและส�ำนวนเกี่ยวกับต�ำนานสงกรานต์ เพิ่มเติมข้ึนอีกและแตกต่างออกไป ตัวอย่างเช่นต�ำนานหนึ่งเล่าว่าหมู่บ้านชาวไทที่ริมแม่น�้ำ จินชาเกิดเพลิงไหม้ ปรากฏว่ามีชายหนุ่มคนหน่ึงช่ือว่า “หลี่เหลี่ยง” มาช่วยดับไฟจนมอด ชาวบา้ นจงึ ดแู ลเขาและตกั นำ้� เทา่ ไหรก่ ไ็ มส่ ามารถดบั กระหายได้ หลเ่ี หลยี่ งจงึ เอาหวั จมุ่ ลงในนำ�้ และกลายเป็นมังกรว่ายน�้ำไป แต่บางต�ำนานว่าเขากลายเป็นต้นไม้ไป จากคุณงามความดี ของเขาทุกปีในวันข้ึน ๓ ค�่ำ เดือน ๓ จะร�ำลึกถึงเขาด้วยการท�ำอุโมงค์ต้นไม้ใกล้กับบ่อน้�ำ ชาวบ้านจะพากันลอดอโุ มงค์และสาดน�้ำกัน อีกต�ำนานหน่ึงเล่าว่ามีแม่ลูกคู่หน่ึง มีอยู่วันหนึ่งแม่จะมาส่งข้าวให้ลูกแต่กลับล่ืนล้ม หัวไปกระแทกกับต้นไม้เสียชีวิต ลูกชายเสียใจจึงโค่นต้นไม้ต้นน้ันแล้วแกะสลักเป็นรูปแทนแม่ ของตนเอง ทกุ ปหี ลงั เทศจากเชง็ เมง้ ไป ๗ วนั เขาจะนำ� รปู สลกั แมอ่ อกมาเชด็ ลา้ งทำ� ความสะอาด ซึ่งกลายเป็นทีม่ าของเทศกาลสาดน�้ำ บรรณาธิการขอเพิ่มเติมว่า รหัสของต�ำนานเรื่องหลี่เหล่ียงสะท้อนปัญหาเรื่องปัญหา ภัยแล้ง ซ่ึงมีมังกรเป็นสัญลักษณ์ของฤดูฝนในการดับความแห้งแล้ง การตีความเช่นน้ี ดูจะสอดคล้องกับในสารานุกรมของจีนฉบับชนกลุ่มน้อยอธิบายว่าเทศกาลสาดน้�ำของคนไท ก�ำเนิดมาจากความปรารถนาที่จะเอาชนะความแห้งแล้ง ส่วนต�ำนานเร่ืองท่ีสองท่ีกล่าวถึง เรื่องแม่ลูกคู่หน่ึงก็สะท้อนถึงลัทธิการบูชาผู้หญิงและผีบรรพบุรุษ ซ่ึงสอดคล้องกับบทความที่ สุจติ ต์ได้อธิบายไว้ ดร.ศิริวรรณ อธิบายว่าสงกรานต์ถือเป็นประเพณีใหญ่ของชาวไทในสิบสองปันนา และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมล้านนา ดังเห็นได้ว่าสงกรานต์วันแรกจะเรียกว่ “หวน่ั มอ่ ” หรือ “วนั สงกรานต์ล่อง” ซง่ึ เป็นการส่งท้ายปีเก่า วันทีส่ องเรยี กว่า “หว่นั เหนา่ ” หรือ “วันเนา” วันนี้เป็นวันที่เชื่อว่าพญามารชั่วร้ายถูกฆ่า และเร่ิมต้นการสาดน้�ำเป็นนัยว่า

ส20 าดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย เปน็ การชำ� ระลา้ งสงิ่ ชวั่ รา้ ย สำ� หรบั วนั ทส่ี ามเรยี กวา่ “หวน่ั พา่ ยาหวนั่ หมา่ ” หรอื “วนั พญาวนั ” ถือเป็นวันเถลิงศกเริ่มต้นศักราชใหม่ มีการท�ำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ ถ้าเป็น ทางล้านนาจะมีการน�ำตุง (ธง) ไปปักบนเจดีย์ทราย และในตอนบ่ายจะมีการไปรดน�้ำด�ำหัว ผใู้ หญ่กนั ชาวไททีส่ ิบสองปันนาก็ท�ำเช่นเดียวกนั ในวนั ที่สามจะเป็นวันทีช่ าวบ้านจะนำ� ถังน้ำ� บรรจดุ อกไมไ้ ปประพรมคนอนื่ เพอื่ อวยพรกนั สาดกนั จนพระอาทติ ยต์ กดนิ และในเวลากลางคนื จะมีการแสดงร้องร�ำท�ำเพลงกัน ในวันเดียวกันน้ีช่วงกลางวันยังมีการแข่งเรือมังกรในแม่น้�ำ และการลอยกระทงโดยมีความหมายเพ่ือการพุ่งทะยานไปสู่ความเร็จในปีใหม่ นอกจาก การสาดน�้ำแล้วชาวไทในสิบสองปันนายังมีการจุดบ้ังไฟเพ่ือไปเตือนพญาแถนให้ปล่อยน้�ำฝน อกี ดว้ ย ในปจั จบุ นั ทางรฐั บาลจนี ไดย้ กยอ่ งประเพณเี ทศกาลสาดนำ�้ ใหเ้ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ของชาวไท โดยมีค�ำเชิญชวนเพื่อการท่องเท่ียวว่า “เทศกาลแห่งความร่ืนเริงตะวันออก” ซ่ึงด้านบวกของการยกย่องก็คือท�ำให้วัฒนธรรมระดับท้องถ่ินได้รับการส่งเสริม แต่ปัญหา ดา้ นลบกค็ อื มนี กั ทอ่ งเทย่ี วเขา้ ไปมากจนเกนิ ไปทำ� ใหว้ ฒั นธรรมเปลย่ี นจากคณุ คา่ เชงิ จติ วญิ ญาณ ไปสู่การกลายเป็นสินค้าเพื่อการท่องเที่ยว ประเด็นปัญหานี้คงไม่แตกต่างไปจากสิ่งท่ี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยดำ� เนนิ นโยบายมากนกั ๕) พม่าหรือเมียนมาร์เป็นประเทศเพ่ือนบ้านของประเทศไทย ถึงจะแตกต่างกัน ในแง่ของภาษา แต่มีวัฒนธรรมร่วมกันอยู่ไม่น้อย “ด่ะจาน” หรือสงกรานต์ในภาษาพม่า ถือเปน็ ประเพณสี ำ� คัญระดับชาตขิ องพมา่ บทความเรอื่ ง “ดะ่ จาน”: สงกรานตพ์ ม่า เทศกาล เปลีย่ นผ่าน วถิ ีเกษตร กับความหวังของผูค้ น โดย คุณสิทธิพร เนตรนิยม นักปฏบิ ัตกิ ารวิจัย แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาและวัฒนธรรมอย่างย่ิงคนหน่ึง ได้อธิบายว่า สงกรานตใ์ นภาษาพม่าเรยี กวา่ “ด่ะจาน” แปลวา่ ชว่ งเวลาแหง่ การเปล่ียนจากปเี กา่ เข้าส่ปู ีใหม่ และถอื เปน็ เทศกาลสาดนำ�้ ปใี หม่ ตกอยใู่ นราวเดอื น “ดะก-ู ละ” ของพมา่ หรอื ราวครง่ึ เดอื นหลงั ของเดือนเมษายน สงกรานต์ของพมา่ คลา้ ยของไทยคอื แบ่งออกเปน็ สงกรานต์ของชาววัง และสงกรานต์ ของชาวบ้าน ในสมัยท่พี มา่ ยงั ปกครองดว้ ยระบอบกษัตริย์ ในราชสำ� นกั จะจัดพธิ ชี �ำระสระเกศ ของกษัตริย์เพ่ือความเป็นมงคลของแผ่นดิน และในวันสงกรานต์ยังมีพิธีส�ำคัญท่ีมีชื่อแปล เปน็ ไทยวา่ “พธิ เี รยี กพระสงกรานต”์ โดยพธิ ดี งั กลา่ วจะมหี มายเรยี กบรรดาเจา้ เมอื งและเจา้ ฟา้ หัวเมืองประเทศราชต่างๆ มาร่วมพิธี เมื่อพิธีการเตรียมพร้อม กษัตริย์จะเสด็จเข้าสู่มณฑล แหง่ เทวดานพเคราะหโ์ ดยจะบชู าสรุ ยิ เทพเปน็ อนั ดบั ตน้ พธิ ถี ดั ไปจะมโี หราจารยแ์ ละพราหมณ์ พยากรณ์ว่า ในปีนั้นจะมีเรื่องร้ายหรือดีหรือมีสงครามหรือไม่ เม่ือได้ผลพยากรณ์ออกมา กษตั รยิ จ์ ะสง่ ตอ่ ไปยงั สงั ฆราชแลว้ คอ่ ยนำ� ไปประกาศสรู่ าษฎร เพอื่ ใหร้ วู้ า่ สงกรานตป์ นี จี้ ะมอี ะไร

สาดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี 21 เกิดข้ึนบ้างในหมู่บ้าน อากาศจะเป็นอย่างไร และพืชผลการเกษตรได้ผลดีมากน้อยแค่ไหน นอกจากนแ้ี ลว้ หลงั จากวนั ขนึ้ สงกรานตป์ ใี หมไ่ ปอกี ๑๔๐ วนั กษตั รยิ พ์ มา่ จะมพี ระราชกำ� หนด ให้เฝา้ ดปู รากฏการณธ์ รรมชาติไดแ้ ก่ ดาวฤกษ์ สภาพแห่งฤดกู าล และอายุของพืชพันธุ์ทป่ี ลกู ในอาณาจกั ร ดังนั้น สงกรานต์ของพม่าในระดับหน่ึงก็คือใช้เป็นกลไกทางการเมืองอย่างหนึ่ง ในการควบคุมหัวเมืองต่างๆ ผ่านพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านของปี ในอีกทางหนึ่งพิธีสงกรานต์ ของพม่าก็คือระบบความสัมพันธ์ระหว่างราชส�ำนักกับราษฎร โดยเฉพาะกษัตริย์มีหน้าท่ีหลัก ในการควบคมุ และดแู ลเกษตรกรของรฐั ผา่ นชดุ ความรแู้ บบโบราณทยี่ งั ตอ้ งพง่ึ พาการพยากรณ์ ท�ำให้สงกรานต์เป็นประเพณีส�ำคัญระดับราชส�ำนัก ไม่ใช่เพราะแสดงถึงการเปล่ียนผ่าน ของปเี ทา่ นั้น นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว บทความน้ียังได้บอกเล่าต�ำนานสงกรานต์ของพม่า มีชื่อว่า “มหา-ปิงแน\" หรือต�ำนานการก�ำเนิดพระคเณศ ต�ำนานนี้มีความละม้ายคล้ายคลึง กับต�ำนานสงกรานต์ของมอญเรื่องท้าวกบิลพรหมท้าพนันตั้งค�ำถามธรรมบาลกุมารอยู่บ้าง เลา่ อยา่ งส้ันๆ คอื พระอินทรก์ บั ทา้ วอาจพิ รหมทา้ พนันกนั สุดท้ายทา้ วอาจพิ รหมแพ้เลยตอ้ ง ถูกตัดเศียรถวายพระอินทร์ ต่อมาพระอินทร์น�ำหัวช้างมาต่อร่างอาจิพรหมจึงกลายเป็น พระคเณศแตน่ น้ั มา สว่ นเศยี รเดมิ ของทา้ วอาจพิ รหมมอี านภุ าพเหมอื นตำ� นานขา้ งมอญและไทย คอื ทงิ้ นำ้� นำ�้ จะแหง้ ทงิ้ ลงดนิ จะกลายเปน็ ไฟ ทงิ้ ไปในอากาศฝนจะแลง้ ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ ตอ้ งใหธ้ ดิ า ของทา้ วอาจิพรหมถอื ไวป้ ลี ะองค์ จากตำ� นานขา้ งตน้ บรรณาธกิ ารขอตคี วามวา่ ตำ� นานมหา-ปงิ แน กค็ อื ตำ� นานเดยี วกนั กับต�ำนานของมอญและไท เพียงแต่ต่างกันที่ชื่อของตัวแสดง รายละเอียด และปริมาณ ความมากน้อยของอิทธพลจากต�ำนานเทพปกรณัมของอินเดีย อย่างไรเสียก็จะเห็นได้ว่า พระอินทร์คือสัญลักษณ์ของฟ้าและฝน พระอาจิพรหมคือสัญลักษณ์ของความแห้งแล้งและ การเปล่ียนผ่านฤดูกาลและปีซ่ึงแสดงผ่านเร่ืองการตัดหัว ส่วนผู้หญิงที่ต้องผลัดเปลี่ยนการมา รับเศียรกค็ อื สญั ลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ คำ� ถามท่ีนา่ สนใจคอื ท�ำไมทอ้ งถน่ิ ต้องแปลงตนเองให้กลายเป็นอินเดีย (Indianized) ค�ำตอบสั้นๆ ก็คือ การแปลงให้เร่ืองเล่าท้องถ่ินกลายเป็นอินเดียน้ันมี ๓ เหตุผล คือ เหตุผลแรก เป็นการเพ่ิมความศักดิ์สิทธ์ิให้กับพระราชพิธีของกษัตริย์โดยท�ำให้เร่ืองเล่า ท้องถิ่นมีความศักดิ์สิทธ์ิขึ้น และเช่ือมโยงตนเองเข้ากับจักรวาลทัศน์ของอินเดีย เหตุผลท่ีสอง เพราะแก่นของความเช่ือท่ีกษัตริย์ใช้ปกครองนั้นมาจากอินเดีย การแปลงเรื่องเล่าและก�ำเนิด ของพิธีกรรมผ่านต�ำนานจึงเป็นเร่ืองจ�ำเป็นเพื่อสนับสนุนความชอบธรรมในพระราชพิธีต่างๆ เหตผุ ลทส่ี ดุ ทา้ ย คอื การท�ำใหค้ วามเชอ่ื ดั้งเดิมมคี วามเปน็ อารยธรรม (civilization) มากข้นึ

ส22 าดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี สงกรานต์ของพม่าคือตัวอย่างหนึ่งท่ีท�ำให้เห็นกระบวนการผสมผสานกันระหว่าง ความเช่ือท้องถิ่นเข้ากับความเชื่อจากอินเดียโดยในระดับราชส�ำนักสัมพันธ์กับพิธีพราหมณ์ ในขณะทีร่ ะดับชาวบ้านสัมพันธก์ ับพิธพี ุทธ บทความของคุณสิทธิพร ยังฉายให้เห็นประเด็นส�ำคัญของสงกรานต์ในพม่าด้วยว่า สงกรานตเ์ ปน็ พน้ื ทพี่ เิ ศษแบบหนง่ึ ตวั อยา่ งเชน่ ในสมยั ทพี่ มา่ ถกู ปกครองโดยอาณานคิ มองั กฤษ ชาวพมา่ ไดส้ าดนำ�้ เจา้ อาณานคิ มเพอื่ เปน็ การปลดปลอ่ ยความไมพ่ อใจ หรอื กรณนี ายกรฐั มนตรี อูนุที่ร่วมเล่นน้�ำสงกรานต์กับประชาชนในย่างกุ้ง ท�ำให้สงกรานต์มีนัยของการเป็นพื้นที่ ในการสลายเส้นแบ่งระหวา่ งชนช้ันปกครองกบั ผ้ถู ูกปกครอง นอกจากเรอื่ งทฟี่ งั ดหู นกั ๆ ขา้ งตน้ แลว้ บทความของคณุ สทิ ธพิ ร ยงั ไดพ้ ดู ถงึ เรอื่ งเบาๆ อันเป็นมิติทางวัฒนธรรม ซ่ึงท�ำให้เห็นสายใยทางวัฒนธรรมระหว่างพม่า มอญ และไทย เชน่ เรอื่ งขา้ วแชห่ รอื ทภี่ าษาพมา่ เรยี กวา่ “ดะ่ จาน-ทะมงี ” ซงึ่ จะทำ� กนิ กนั เฉพาะในชว่ งสงกรานต์ ท่ีนา่ สนใจด้วยคือในพม่าจะมกี ารท�ำขนมชนดิ ตา่ งๆ ท่ขี ึ้นชื่อคอื ขนมต้มขาว หรอื ในภาษาพมา่ เรยี กวา่ “โม่ง-โลง-เหย-่ บอ่ ” กล่าวได้ว่าเร่ืองเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้คือสีสันและความหมายของประเพณีสงกรานต์ เพราะทำ� ใหเ้ หน็ วา่ ในชว่ งทแ่ี ลง้ จดั นแี้ ทจ้ รงิ แลว้ คอื เทศกาลเฉลมิ ฉลองสกู่ ารทสี่ งั คมกำ� ลงั เตรยี ม ต้อนรบั ความอุดมสมบรู ณ์แห่งฤดูกาลเพาะปลกู ท่กี �ำลังจะเริ่มตน้ ขน้ึ เม่ืออ่านบทความของคุณสิทธิพรจบจะท�ำให้เราต้องคิดมากข้ึนว่าสงกรานต์มิใช่เป็น เพยี งประเพณพี ธิ กี รรมทางศาสนาความเชอื่ เทา่ นน้ั แตย่ งั เปน็ พน้ื ทที่ างสงั คมและความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งผู้คนต่างดนิ แดนอกี ดว้ ย ๖) ขยับเข้ามาเร่ืองใกล้ตัวกันมากข้ึนในบทความเร่ือง “บุญเดือนห้า-สงกรานต์” ในลาวและอีสานโดยสังเขป โดย อาจารยธ์ ีระวฒั น์ แสนค�ำ แหง่ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เลย จุดเด่นของบทความนี้อย่างหนึ่งคือใช้กระบวนการศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถ่ินด้วยการสัมภาษณ์คนใกล้ชิด อาจเรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ใกล้ตัว (Nearby History) ทำ� ใหไ้ ด้รายละเอียดทางวฒั นธรรมทหี่ าอ่านทใ่ี ดไดย้ าก อีสานคือส่วนหน่ึงของอาณาจักรล้านช้าง คนอีสานจึงมีส�ำนึกเป็นลาว ชาวอีสาน ชาวลาวจงึ มีวัฒนธรรมท่ีคลา้ ยคลงึ กนั ชาวลาวหลวงพระบางถอื ว่าสงกรานต์เป็นงานประเพณี ส�ำคัญ มีต�ำนานรองรับคือเรื่องท้าวกบิลพรหมกับธรรมบาลกุมาร จนน�ำไปสู่การตัดเศียร ท้าวกบิลพรหม และต้องให้ธิดาท้ังเจ็ดมารับเศียรกันในแต่ละปี จากเร่ืองราวดังกล่าวท�ำให้ ที่เมอื งหลวงพระบางมีพิธแี ห่เศียรท้าวกบลิ พรหมเรียกวา่ “พิธแี หว่ อ” โดยธดิ าทง้ั เจด็ ในวนั เนา ด้วยเศียรของท้าวกบิลพรหมจะน�ำความแห้งแล้งมาให้ จึงจ�ำเป็นต้องสาดน�้ำให้เปียกไว้ ในชว่ งสงกรานต์

สาดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 23 สงกรานต์ที่เมืองหลวงพระบางมีทั้งหมด ๔ วัน ได้แก่ วันสังขานล่อง วันเนา วันสังขานข้ึน และวันแห่พระบาง ถือเป็นพระพุทธรูปศักด์ิสิทธิ์ของลาวโดยจะมีการอัญเชิญ ออกมาแห่เพ่ือสรงน�้ำ ในวันสังขานล่อง ผู้คนจะท�ำความสะอาดบ้าน สรงน้�ำพระพุทธรูปด้วย เครอื่ งหอม และมกี าร “ตบพระธาตทุ ราย” รมิ ฝง่ั แมน่ ำ้� และจดุ บง้ั ไฟ เมอื่ ถงึ วนั เนาจะมกี ารแหว่ อ ท้าวกบิลพรหม วอพระราชาคณะช้ันผู้ใหญ่ (ถือเป็นศูนย์กลางของขบวน) วอนางสังขานและ สาวงามอีก ๖ คน ขบวนแหจ่ ะเริม่ จากวดั มหาธาตุไปยงั วดั เชียงทอง ซ่ึงหน้าขบวนจะมกี ารแห่ ปู่เยอ-ยา่ เยอด้วย จากรูปขบวนแห่ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการจัดล�ำดับระบบความเชื่อ โดยปู่เยอ-ย่าเยอ คือตัวแทนของความเชื่อดั้งเดิมของลาวที่นับถือผีบรรพบุรุษ เป็นอ�ำนาจศักด์ิสิทธ์ิก่อนจะรับ ความเชอ่ื อนื่ เขา้ มา สว่ นทา้ วกบลิ พรหมและธดิ าทง้ั เจด็ กส็ ะทอ้ นถงึ ความเชอ่ื เรอ่ื งการเปลย่ี นผา่ น ฤดูกาลในรอบปี ต่อมาเมื่อรับศาสนาพุทธแล้วจึงได้ผนวกวอพระสงฆ์เข้ามาด้วย แต่ก็จะยัง เห็นไดถ้ งึ อำ� นาจผใี นประเพณีสงกรานต์ ส่วนในวันสุดท้ายนั้นจะมีการแห่พระบางไปรอบเมืองเพ่ือให้ประชาชนได้สักการะ เรื่องของการแห่พระบางน้ีน่าสนใจ คงจ�ำกันได้บ้างว่าในสมัยพระเจ้าตากสินได้ทรงอัญเชิญ พระบางมาไวท้ กี่ รงุ ธนบรุ ี ตอ่ มาเมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกเสดจ็ ขน้ึ ครองราชย์ ก็โปรดเกล้าฯ ให้เจ้านันทเสนอัญเชิญพระบางกลับไป เหตุเพราะเช่ือว่าเทวดาหรือผีที่ประจ�ำ พระบางเปน็ อรกิ ับเทวดาประจ�ำพระแกว้ การทีพ่ ระพทุ ธรูปทัง้ สองประจ�ำทก่ี รุงเทพฯ ดว้ ยกัน จึงเป็นเหตุให้ฝนแล้ง เร่ืองน้ีสะท้อนว่าการนับถือพระพุทธรูปของไทย-ลาวน้ัน สัมพันธ์กับ ความเช่ือเรื่องผี การน�ำพระพุทธรูปไม่ว่าจะเป็นพระบางก็ดีหรือการสรงนำ้� พระพุทธรูปสำ� คัญ ก็คือการเอาใจผไี ม่ใหผ้ ที �ำให้ฝนแล้งน่นั เอง ในขณะท่ีของชาวไทยอีสานถือว่าประเพณีบุญเดือนห้าเป็นกิจกรรมงานบุญนานกว่า งานบุญอื่นในฮีตสิบสอง และถือว่าสนุกกว่างานอ่ืน งานจะเริ่มวันแรกจะเป็นวันเตรียมงาน เชน่ จะมกี ารซอ่ มแซมหอสรงน�้ำพระพทุ ธรปู วันถัดมาจะถือเปน็ วนั เริม่ ตน้ ของงานบุญเดือนหา้ ช่วงเช้าจะเป็นการท�ำบุญ และบ่ายเป็นการตีกลองโฮมเพ่ือนัดชาวบ้านไปรวมตัวกันที่วัด เมอ่ื ชาวบา้ นมาพรอ้ มกนั แลว้ จะทำ� การอญั เชญิ พระพทุ ธรปู ลงจาก “สมิ ” (โบสถ)์ มาไวท้ หี่ อสรง แล้วจึงท�ำการสรงน�้ำพระ น�้ำที่ได้จากการสรงพระจะน�ำไปประพรมบ้านเรือน ลอ้ เกวียน และ สตั ว์เลี้ยง วนั ถดั มาเรยี กว่า “วันเนา” อาจารย์ธรี ะวฒั น์ไดน้ �ำเรื่องเลา่ ของคนแกม่ าถ่ายทอดว่า สงกรานต์เมื่อกว่า ๗๐-๘๐ ปีก่อนเป็นอย่างไร โดยเล่าว่าวันเนาเป็นวันสนุกสนานเล่น สาดนำ้� กนั ทั้งเด็กผ้ใู หญ่ไมถ่ อื สากัน และเปน็ วนั ทีผ่ ู้หญิงผูช้ ายสามารถถกู ตวั กนั ได้มผี ิดครรลอง คลองธรรม บางครั้งบางคนเอาน�้ำโคลนมาสาดใส่กันก็มี นอกจากนี้พระสงฆ์และสามเณร

ส24 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย ยงั สามารถมาเล่นสงกรานต์ได้ด้วยไม่ถือวา่ ผดิ ศลี ถอื เปน็ การอนโุ ลมให้เป็นเวลา ๓ วนั โดยท่ี ไมม่ ชี าวบา้ นคนใดตเิ ตยี นพระสงฆ์สามเณร และในวนั รงุ่ ขนึ้ ก็จะมีการทำ� พธิ ขี อขมาตอ่ พระสงฆ์ สามเณรด้วย ในวันสุดท้ายชาวบ้านจะไปขุดทรายตามแม่น�้ำมาก่อเจดีย์ทรายในลานวัดพร้อมท้ัง ประดับด้วยดอกไม้ บางแห่งมีการปั้นกองทรายเป็นรูปสัตว์ที่เก่ียวข้องกับสัญลักษณ์ของ ความอดุ มสมบูรณ์เช่น จระเข้ ปลาชอ่ น เต่า เข้าไปดว้ ยเปน็ ต้น ข้อมูลข้างต้นทั้งหมดเป็นภาพของสงกรานต์ชาวลาวหลวงพระบางและชาวลาว ในภาคอสี านเมอื่ กวา่ ๕๐ ปที แ่ี ลว้ แตใ่ นบทความนย้ี งั ทำ� ใหเ้ ราไดเ้ หน็ ถงึ พลวตั การเปลยี่ นแปลง ของประเพณีสงกรานต์ที่มีแนวโน้มสนองตอบต่อการเข้ามาแทรกแซงของอ�ำนาจรัฐ ตัวอย่างเช่น ขบวนสงกรานต์ท่ีเมืองหลวงพระบางได้มีขบวนแห่จากภาครัฐเข้ามาเพิ่มมาก ถงึ ๒๓ ขบวน และมีขบวนนางสาวสามเผ่าถือธงชาตินำ� หน้าขบวนปูเ่ ยอ-ยา่ เยอ ขบวนวอนาง สงั ขานกลายเปน็ ศนู ยก์ ลางของขบวนแหท่ ง้ั หมด แทนทขี่ บวนวอพระราชาคณะ และทา้ ยขบวน ยงั ปดิ ดว้ ยขบวนของกลมุ่ ชนเผา่ ตา่ งๆ ในลาว ซงึ่ เปน็ ขบวนทถ่ี กู ประดษิ ฐส์ รา้ งใหมต่ ามนโยบาย ของรัฐ นอกจากนี้ขบวนสงกรานต์ยังตอบสนองต่อการท่องเที่ยวอีกด้วยดังเห็นได้จากมีการ ประกวดนางสงกรานต์ เปน็ ตน้ ส่วนในภาคอีสานดังเช่นท่ีจังหวัดหนองบัวล�ำภู ประเพณีสงกรานต์ได้เปลี่ยนไป ราวทศวรรษ ๒๕๓๐ เมอ่ื ชมุ ชนเลก็ ชมุ ชนนอ้ ยมไี ฟฟา้ ใชแ้ ละไดเ้ หน็ ตวั อยา่ งสงกรานตก์ รงุ เทพฯ จากโทรทัศน์ ท�ำให้ค่อยๆ สาดน�้ำรุนแรงข้ึนตามแบบสงกรานต์กรุงเทพฯ (เช่นถนนข้าวสาร) บางแห่งยังพบว่ามีการแห่นางสังขานเลียนแบบเมืองหลวงพระบาง และเกิดการประกวดเทพี สงกรานต์เลียนแบบภาคกลางด้วย นอกจากนี้ หลายชุมชนยังพบว่าเกิดการขาดช่วงของการละเล่นต่างๆ ในเทศกาล สงกรานต์ คนที่เล่นสงกรานต์กินเหล้ามากข้ึน ส่วนพระสงฆ์สามเณรเองก็ไม่สามารถมาร่วม เลน่ สงกรานตไ์ ดด้ งั แตก่ อ่ น เพราะสถานะของพระถกู ยกใหเ้ ปน็ ผทู้ รงศลี และตอ้ งอยใู่ นพระธรรม วนิ ยั อย่างเครง่ ครดั ดงั นนั้ อาจกลา่ วไดว้ า่ บทความเรอื่ งนไ้ี มไ่ ดท้ ำ� ใหเ้ ราเหน็ ภาพเปรยี บเทยี บของสงกรานต์ ในอดีตกับปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังท�ำให้เรามองเห็นภาพการเปล่ียนแปลงของสังคมไทย-ลาว อีกดว้ ย อยา่ งไรกต็ ามเมอื่ ท่านอ่านบทความนีอ้ าจดรู าวกบั วา่ สงกรานตใ์ นอดีตดีกว่าสงกรานต์ ในปัจจุบัน แต่ก็หาใช่เป็นอย่างนั้นไม่ เพราะสงกรานต์แต่ละยุคสมัยย่อมตอบสนองต่อพลวัต การเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์มาโดยตลอด ไม่มีใครรู้ว่าหรอกว่าของด้ังเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ น้ันเป็นเช่นไร เชน่ เดียวกับทีไ่ มร่ ู้วา่ แบบเก่าหรือแบบใหม่จะดีกว่ากัน

สาดน�ำ้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย 25 ๗) ในเมื่อความคิดพ้ืนฐานของสังคมไทยมักจะโยงไปว่าประเพณีต่างๆ มีต้นก�ำเนิด มาจากอินเดยี และเขา้ มาพร้อมศาสนาพทุ ธและพราหมณ์ เชน่ เดียวกบั ประเพณสี งกรานต์ท่มี ัก อธิบายว่ามีต้นก�ำเนิดจากอินเดีย โดยยกเอาเทศกาลโฮลี (Holi) หรือสงกรานต์สีของอินเดีย มาอธิบายว่าเป็นต้นก�ำเนิดของสงกรานต์แบบสาดน้�ำ ทั้งๆ ท่ีเทศกาลสงกรานต์สาดน�้ำของ อุษาคเนย์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทศกาลโฮลีแต่อย่างใด บทความเรื่อง เทศกาลโฮลี สงกรานต์สี ในอินเดีย โดยอาจารย์กิตติพงศ์ บุญเกิด แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านภารตะคนหนึ่ง วิธีการหลักในการศึกษาคือการใช้ความรู้ทางด้านภาษาและมุมมองแบบ นักมานุษยวิทยาในการสำ� รวจรายละเอียดทางวัฒนธรรม อาจารย์กิตติพงศ์ได้เขียนอธิบายอย่างชัดเจนว่าไม่มีเทศกาลสงกรานต์สาดน้�ำ ท้ังในอินเดียเหนือ อินเดียใต้ และศรีลังกา แต่เม่ือรู้เช่นน้ีแล้วก็ไม่ควรจะรีบตัดใจไม่ศึกษา เพราะภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในปัจจุบันเราก็ไม่ควรละเลยประเพณีท่ีมักถูกอธิบายว่า เป็นอื่น เพราะโลกาภิวัฒน์และการเคลื่อนย้ายของคนท�ำให้วัฒนธรรมต่างถ่ินใกล้ชิดกับเรา มากขนึ้ เราจึงจำ� เปน็ ต้องเรยี นรเู้ รื่องของคนอ่นื เพื่อเคารพในความหลากหลายทางวฒั นธรรม อินเดียเป็นดินแดนกว้างใหญ่ท�ำให้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมในตัวเองสูง สงกรานต์ในความหมายของการเปลี่ยนผ่านฤดูกาลและศักราชนั้น ทางอินเดียเหนือ จะจดั เทศกาลโฮลี ส่วนทางอินเดยี ใตจ้ ะจัดเทศกาลกามดะฮะนมั โฮลีเป็นเทศกาลนิยมมากในอินเดียเหนือถือเป็นวันข้ึนปีใหม่ โดยจะจัดข้ึนในช่วง ฤดูใบไม้ผลิ (วสันต์) เพราะถือเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากห้วงเวลาเก่าไปสู่ห้วงเวลาใหม่ ด้วยความหวงั วา่ จะพบในสิง่ ทด่ี กี วา่ นน่ั กค็ ือชีวิตจากพชื พันธ์ุที่เติบโต เทศกาลโฮลีสัมพันธ์โดยตรงกับต�ำนานนางโฮลิกา ขอสรุปต�ำนานนี้อย่างส้ันๆ คือ ในสมัยบรรพกาลประหลาทลูกของอสูรหิรัณบกัศยปุไม่เคารพต่อบิดา แต่หันไปศรัทธาต่อ พระวิษณุ ท�ำให้บิดาไม่พอใจ จึงวางแผนกับน้องสาวคือนางโฮลิกาเพ่ือจะฆ่าลูกของตนเอง นางโฮลิกาเลยออกอบุ ายด้วยการจัดยัญพิธอี ุ้มประหลาทไว้บนตักในกองไฟ ปรากฏว่าผา้ ส่าหรี วิเศษของนางโฮลิกาไม่อาจช่วยให้ไม่ถูกไฟไหม้ได้ นางโฮลิกาจึงถูกไฟเผามอดไหม้กลายเป็น ฝนุ่ ผง จากต�ำนานน้ีจึงเป็นที่มาของพิธีโฮลิกาดะฮันในเทศกาลโฮลีจะมีการสร้างรูปจ�ำลอง ของนางโฮลิกามาจุดไฟเผา เพราะถือเป็นสัญลักษณ์ความเลวทราม นอกจากนี้ ในกองไฟนี้ จะมีการโยนเมล็ดข้าวบาร์เลย์หรือข้าวสาลีลงไปด้วยโดยเลือกข้าวใหม่ เพราะถือกันว่าเป็น พธิ ีการถวายขา้ วใหมแ่ ด่เทพเจา้ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีโฮลิกาดะฮัน วันรุ่งข้ึนผู้คนจะพากันมาเล่นสงกรานต์สี มีทั้งที่ ใช้ผงสี บ้างผสมสีกับน้�ำสาดใส่กัน บางคนก็น�ำสีผสมน้�ำบรรจุในกระบอกฉีดน้�ำที่เรียกว่า

ส26 าดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย “ปิจการ”ี ท�ำใหก้ ระบอกไมไ้ ผ่ ซงึ่ ปจิ การีเป็นของโบราณไมใ่ ช่ประดิษฐใ์ หม่เพราะพบภาพวาด มาแลว้ ต้งั แต่ ๔๐๐ ปี ท่แี ล้วในอนิ เดยี พอถึงเท่ยี งกจ็ ะพากนั กลบั บ้านและพกั ผ่อนกนั โดยสรุปแล้วนัยของสีที่ใช้เล่นในเทศกาลโฮลีก็เพื่อต้องการส่ือถึงสีสันของชีวิต เปรียบไดก้ บั ต้นไมท้ ่ีผลใิ บอันเปน็ สญั ลักษณข์ องการเร่ิมต้นฤดูและชวี ิต ในขณะที่อินเดียใต้ไม่นิยมจัดเทศกาลโฮลี แต่ทางอินเดียใต้จะจัดงานเทศกาล “กามดะฮะนัม” โดยจัดขึ้นตรงกับวันสงกรานต์ของอุษาคเนย์ เพราะยึดปฏิทินสุริยคติ เช่นเดียวกัน โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นวันที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า “เมษสงั กรานต”ิ ถอื เปน็ วนั ขน้ึ ปใี หมเ่ รยี กวา่ “ปตุ ตาณฏ”ุ ชาวอนิ เดยี จะเตรยี มเครอื่ งเซน่ สงั เวย ไปถวายบูชาเทพเจ้า และมีการเขียนลวดลายเรขาคณิตด้วยผงสีหรือกลีบดอกไม้เรียกว่า “รงั โคลี” แตจ่ ะไมม่ ีการสาดน้ำ� สงกรานตแ์ ละไมม่ ีการเลน่ สาดสีอย่างเทศกาลโฮลี โดยสัมพันธ์กับต�ำนานพระกามเทพ เล่ากันว่าพระกามเทพได้ย่ิงศรใส่พระศิวะ เพื่อต้องการปลุกให้ตื่นจากสมาธิเพ่ือมาพบกับนางปารวตี พระศิวะจึงทรงพระกริ้วท่ีโดนปลุก จึงเปิดพระเนตรท่ีสามเผาพระกามเทพจนมอดไหม้ ท�ำให้กามเทพกลายเป็นผู้ไร้ร่าง แต่แล้ว ดว้ ยคำ� ออ้ นวอนของนางรตภี รยิ าของพระกามเทพ พระกามเทพกไ็ ดร้ บั การชบุ ชวี ติ จากตำ� นาน ข้างต้นนี้เองท�ำให้ทางอินเดียใต้มีพิธีเผาพระกามเทพ โดยมีนัยเชิงปรัชญาคือการท�ำลาย ความปรารถนาด้านลบในใจ เพื่อให้มพี ลงั ควบคุมจติ ใจให้ใฝด่ ี ทั้งหมดจะสังเกตได้ว่าอินเดียเหนือเริ่มเทศกาลปีใหม่ก่อนเพราะฤดูกาลเปล่ียนก่อน อินเดียใต้ นอกจากนี้ในแง่ของต�ำนานจะพบว่าถึงจะมีความต่างกัน แต่มีบางส่ิงท่ีร่วมกันอยู่ กลา่ วคอื หนง่ึ ไฟมคี วามสมั พนั ธก์ บั เรอื่ งของชวี ติ และสอง เรอื่ งของพธิ บี ชู าขา้ วใหม่ หรอื การนำ� เครอื่ งเซน่ ไปถวายเทพ ดงั นัน้ แสดงวา่ ไมว่ า่ ต�ำนานจะเลา่ เช่นใดก็ตามประเด็นส�ำคญั อย่ตู รงท่ี การเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลและปีศักราชมีความหมายต่อสังเกตเพราะหมายถึงจุดเปล่ียนผ่าน ของชีวิตและวิถีการเกษตร ความจรงิ แลว้ เรอื่ งราวในบทความทง้ั ๗ เรอ่ื งเปน็ เพยี งตวั แทนของประเพณสี งกรานต์ ของคนบางกลมุ่ และบางประเทศเทา่ นนั้ เปน็ ภาพใหญ่ๆ เพ่ือใหเ้ ห็นลักษณะรว่ มและความต่าง ทางวัฒนธรรมของประเพณสี งกรานตใ์ นอษุ าคเนย์ จากบทความท้งั หมดสรุปได้วา่ ประการแรก วัฒนธรรมการสาดน�้ำและรดน�้ำเป็นประเพณีด้ังเดิมของอุษาคเนย์เอง ไม่ใช่ประเพณีท่ีมาจากอินเดียและศรีลังกา ประเพณีจัดข้ึนเพ่ือแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านของ ฤดูกาลโดยใช้น�้ำเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์เพื่อไล่ความแห้งแล้ง และยังรดน�้ำเพื่อ ไหว้ผบี รรพบุรษุ และผ้สู ูงอายุในชมุ ชนเพ่ือก่อให้เกดิ สิรมิ งคลตอ่ ชุมชนและครอบครัว ประการท่ีสอง ต�ำนานนางสงกรานต์เป็นเรื่องด้ังเดิมของภูมิภาคอุษาคเนย์ มีหลาย สำ� นวน สำ� นวนดง้ั เดมิ ยงั พอเหน็ ไดใ้ นกลมุ่ คนทพี่ ดู ภาษาตระกลู ไทในเขตสบิ สองปนั นา ประเทศจนี

สาดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี 27 แต่ส�ำนวนท่ีแพร่หลายในสังคมไทยคือ เร่ืองท้าวกบิลพรหมท้าพนันต้ังค�ำถามธรรมบาลกุมาร ซ่ึงได้ถกู แปลงผสมผสานให้กลายเป็นอินเดีย ประการที่สาม สงกรานต์ไม่ใช่ปีใหม่ เพราะเดือนท่ีเล่นสงกรานต์ก็บอกชัดว่าเป็น เดือน ๔ หรือเดือน ๕ ไม่ใช่เดือนอ้ายที่แปลว่า ๑ แต่ปีใหม่ดั้งเดิมจริงๆ ตามหลักฐาน ประวัติศาสตร์และข้อมูลเชิงวัฒนธรรมคือเดือนหลังน้�ำนองคือเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม โดยมีเทศกาลฉลองปีใหม่คือลอยกระทงจุดประทีป แต่เหตุที่เข้าใจว่าสงกรานต์เป็นปีใหม่ เพราะใชเ้ ปน็ ฤกษย์ ามในการเปล่ียนศักราชตามตำ� ราโหราศาสตรข์ องพราหมณ์ สุดท้ายน้ีขอขอบพระคุณผู้มีส่วนสนับสนุนและเก่ียวข้องหลายภาคส่วนอันได้แก่ นายการณุ สกลุ ประดษิ ฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ดร.เฉลิมชัย พันธ์เลิศ ผู้อ�ำนวยการสถาบันสังคมศึกษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, ดร.อภิลักษณ์ เกษมผลกูล คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, คณุ ประภาศรี ดำ� สอาด หวั หนา้ งานวชิ าการ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล, ดร.ภาสพงศ์ ศรีพิจารณ์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, ดร.วิชาติ บูรณะประเสริฐสุข ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริหาร เทคโนโลยีสารสนเทศ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุณชัชพร อุตสาหพงษ์ ผปู้ ระสานงานการจดั ทำ� หนงั สอื ประกอบงานเสวนา, และสดุ ทา้ ยนกั วชิ าการผเู้ ขยี นบทความใน หนงั สอื เล่มน้ที กุ ทา่ นที่ร่วมกนั เสริมสร้างอาวธุ ทางปัญญาใหก้ บั สังคมไทย

ส28 าดน�้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย บรรณานกุ รม ทรงศกั ด์ิ ปรางคว์ ัฒนากุล. (๒๕๓๙). สงกรานตใ์ น ๕ ประเทศ: การเปรียบเทียบทางวัฒนธรรม. เชยี งใหม่ : ส�ำนกั สง่ เสรมิ ศลิ ปวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั เชยี งใหม.่ นธิ ิ เอียวศรวี งศ.์ (๒๕๕๗). ประเพณีประดษิ ฐ์ในสยาม-ไทย, มติชนสดุ สัปดาห.์ ฉบับวันศุกร์ ๑๖ พฤษภาคม, หน้า ๓๐-๓๑. ปรานี วงษ์เทศ. (๒๕๔๘). สงกรานตไ์ ม่ได้มที ไ่ี ทยแห่งเดยี ว แต่มที งั้ อุษาคเนย์ และลงั กา. สจุ ิตต์ วงษเ์ ทศ บรรณาธกิ าร. กรงุ เทพฯ: มตชิ น. พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . (๒๕๐๕). พระราชพธิ สี บิ สองเดอื น. พระนคร : กรมศลิ ปากร. สุจิตต์ วงษ์เทศ. (๒๕๕๗). เร่ิมต้นท่ีเจ้า พระราชพิธี “ประดิษฐ์”, มติชนรายวัน. ฉบับประจ�ำ วันพุธที่ ๒๑ พฤษภาคม. เสฐียรโกเศศ (พระยาอนุมานราชธน). (๒๕๐๕). เร่ืองเกี่ยวกับประเพณีไทย (เนื่องในเทศกาล ตรุษสารท). พระนคร: กรมศิลปากร.

รดน้า� , สาดน�้า สงกรานต์ Ç²Ñ น¸รรÁร‹ÇÁ¢ÍงÍØÉา¤àนÂ์ Ê¨Ø Ôµµ ǧÈà ·È ส ÁµªÔ ¹ าดน้�าสงกรานต์ ไม่มีในอินเดีย แต่เป็นพฤติกรรมสร้างใหม่จากรดน�้าขอขมา ประเพณพี ืน้ เมอื ง ซึ่งเป็นวฒั นธรรมรว่ มของอษุ าคเนย์ พฤติกรรมสาดน�้าอย่างก้าวร้าวรุนแรง มีผู้รู้อธิบายว่าน่าจะเร่ิมข้ึนก่อนจากพม่า เพอ่ื แสดงออกทางการเมอื งตอ่ ตา้ นองั กฤษเจา้ อาณานคิ ม แตน่ า่ จะมตี น้ เคา้ จากประเพณอี น่ื อกี ท่ีควรสบื คน้ ตอ่ ไปใหก้ ว้างกวา่ น้ี มีภาพลายเส้นจากหนังสือพิมพ์ของอังกฤษเจ้าอาณานิคม แสดงพฤติกรรมสาดน�้า สงกรานตท์ ่เี มืองมณั ฑะเลย์ในพม่า มากกวา่ ๑๐๐ ปีมาแล้ว (ตรงกบั ไทยสมัย ร.๕) ฝรงั่ ข่ีม้า (ควรเป็นนายอังกฤษ) ท�าท่าปดิ ป้องน้า� สงกรานต์จากกระบอกฉดี ของผู้หญงิ และเด็กพื้นเมือง ซง่ึ กค็ งเปน็ ชาวพม่า ทา่ ทางฝรงั่ ข่มี า้ ไม่สนกุ แตผ่ ูห้ ญิงและเด็กสนกุ มาก ฉดี น้า� และสาดนา้� สงกรานต์ในกรงุ มัณฑะเลยท์ ี่พม่า [THE BURMESE NEW YEAR เม่ือ พ.ศ. ๒๔๓๑ (ตรงกบั ไทยสมัย ร.๕) ภาพจาก THE GRAPHIC (ฉบับวนั ที่ ๗ มกราคม ค.ศ. ๑๘๘๘ หนา้ ๑๓)] กระบอกฉีดน้า� ท่ีเห็นในรปู ลายเสน้ มี ๒ แบบ แบบหนงึ่ เป็นกระบอกไผ่ท่ัวไป มีลกู สบู ดูดน้า� เขา้ กระบอก (ใช้วธิ เี ดยี วกับหลอดเข็มฉีดยา) แล้วอัดฉดี ใหน้ ้า� พงุ่ ไปทเี่ ปา้ หมาย อกี แบบ หนงึ่ เป็นกระบอกนา�้ เตา้ สลักเป็นรปู นกหรือไก่

ส30 าดน�า้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย รดน้�ำขอขมำในอุ ษำคเนย์ รดน�้าขอขมา เป็นประเพณีด้ังเดิมดึกด�าบรรพ์ของสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ (ก่อนรับ สงกรานตข์ องแขกพราหมณ์จากอนิ เดีย) น้ำ� ศกั ด์สิ ิทธ์ิ น้�าเป็นแหล่งก�าเนิดของสิ่งมีชีวิต คือ มนุษย์, สัตว์, พืชระดับสากลยกย่อง น้า� เปน็ สัญลักษณศ์ ักด์สิ ทิ ธ์ิ ทัง้ โลกจึงใช้น้�าในพธิ ีกรรม ในดินแดนสุวรรณภูมิภาคพื้นทวีปของอุษาคเนย์ ผลไม้ศักดิ์สิทธ์ิท่ีให้ก�าเนิด พนี่ ้อง ๕ จา� พวก จงึ เรียกด้วยคา� ว่า น้�า ไดแ้ ก่ นา้� เตา้ ภาษาปากลาวอีสานเรยี ก หมากน�้า ไม่เคยพบว่าสมัยก่อนๆ มีสาดน้�ารุนแรงใส่กัน จึงเพิ่งมีสาดน้�ารุนแรงในไทยสมัย หลงั มา ในอินเดียกไ็ มม่ ีสาดน้า� สงกรานต์ รดน�้า หมายถึงตักน�้ารดราดขอขมากันอย่างนอบน้อมในระบบเครือญาติ ให้ชุ่มฉ่�า รม่ เยน็ หลงั ฤดเู กบ็ เกย่ี ว เปน็ ประเพณดี ง้ั เดมิ ดกึ ดา� บรรพข์ องอษุ าคเนย์ มอี ยกู่ อ่ นรบั คตสิ งกรานต์ จากพิธีพราหมณ์อินเดีย หลังจากน้ันถึงผนวกรดน้�าตามประเพณีพื้นเมืองเป็นส่วนหนึ่ง ของสงกรานต์ ประเพณีรดน้�า บางท้องถ่ินเรียกรดน้�าด�าหัว เป็นอย่างเดียวกับอาบน้�าผู้เฒ่าผู้แก่ ถา้ ท�ากับพระพุทธรูปเรียกสรงน้�าพระ ครัน้ ทา� กบั พระสงฆ์เรยี กรดสงฆ์ หรือรดสรง (ทางลาว เรียกฮดสง) สาดน�้า หมายถึงตักน้�าสาดใส่กันอย่างรวดเร็วและรุนแรง เป็นพฤติกรรมก้าวร้าว เพ่ิงมีไม่เกิน ๑๐๐ ปี แล้วเป็นท่ีนิยมแพร่หลายในไทยไม่เกิน ๕๐ ปีมานี้เอง ด้วยเหตุผล ทางเศรษฐกิจการเมอื ง และกระแสวัฒนธรรมท่องเทีย่ ว ผูร้ ูบ้ างทา่ นอธบิ ายว่าเรมิ่ กอ่ นจากพมา่ ราวหลงั สงครามโลกครั้งทส่ี อง เพื่อแสดงออก ทางการเมอื งตอ่ ตา้ นองั กฤษเจา้ อาณานคิ ม (เรอื่ งนจ้ี รงิ หรอื ไมจ่ รงิ ไมท่ ราบ แตย่ งั ไมพ่ บคา� อธบิ าย อยา่ งอืน่ ) หลังจากนั้นสาดน้�ามีลักษณะระบายความเครียดทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคม มากข้นึ แต่บางคนอธิบายเปน็ อย่างอ่ืนไดอ้ ีก ไมม่ สี าดนา�้ ในสงกรานตอ์ นิ เดยี อ.คมกฤช อยุ่ เตก็ เคง่ [คณะอกั ษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร (ทับแก้ว) จ.นครปฐม] อธิบายยืนยันว่าเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์ในอินเดียใต้ ไมม่ เี ลน่ สาดนา�้ มแี ตไ่ ปเทวสถานทา� บญุ เขา้ ใจวา่ คงมรี ดสรงเทวรปู หรอื รดสรงพราหมณาจารย์ และผสู้ งู วัยด้วย และสาดน้�าสงกรานตก์ ไ็ ม่ไดม้ าจากเทศกาลสาดสีในพธิ โี ฮลี (Holi) ของอนิ เดยี

สาดน้�าสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย 31 ประเพณีชำวบ้ำน ถกู ผนวกรวมเป็นสงกรำนตช์ ำววัง สงกรานต์ในศาสนาพราหมณ์ เป็นพิธีกรรมศักด์ิสิทธิ์ของชาววังหรือคนชั้นสูง ตั้งแต่ พระเจ้าแผ่นดินลงไปจนถึงเจ้านาย, ขุนนาง, ข้าราชการ มีพราหมณ์เป็นผู้ท�าพิธีในเทวสถาน หรือที่รโหฐานในราชสา� นกั ต้งั แตย่ ุคก่อนอยุธยา จนตลอดยคุ อยุธยา ๔๑๗ ปี อาณาประชาราษฎรชาวบ้าน (ซึ่งมีนานาชาติพันธุ์) ไม่รู้จักสงกรานต์ ไม่เก่ียวข้อง สงกรานต์ ไมม่ ีรฐั ชาติ ไมม่ ปี ีใหมไ่ ทย ฯลฯ มีแตเ่ ปลี่ยนฤดกู าลใหม่ เปล่ียนปนี กั ษตั รใหม่ เดือนอ้าย (เดือนที่ ๑ ราวพฤศจกิ ายน ถึงธันวาคม) แล้วมีพิธีกรรมในศาสนาผี ได้แก่ เลี้ยงผีบรรพชน ขอฝน เสี่ยงทาย เดือนห้า หน้าแล้ง (ราวเมษายนถึงพฤษภาคม) จนถงึ ยคุ ตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ คนชน้ั สงู สง่ ความรเู้ รอ่ื งสงกรานตส์ อู่ าณาประชาราษฎร ไพร่บ้านพลเมือง ผ่านนักบวช เชน่ พระสงฆ,์ หมอผี, หมอพร ฯลฯ มจี ารึกวดั โพธ์ิ เลา่ นทิ าน สงกรานตเ์ ร่อื งทายปญั หา (เป็นสัญลักษณเ์ ทา่ น้ัน ไมไ่ ด้ให้ชาวบา้ นอา่ น เพราะอ่านไมอ่ อก) นบั แตน่ ไี้ ป สงกรานตเ์ ปน็ ประเพณจี ากราชสา� นักก็เร่มิ ทยอยลงสชู่ าวบ้าน แลว้ ผนวก การละเลน่ ตามประเพณใี นศาสนาผขี องชาวบา้ น เขา้ ไปรวมเป็นประเพณีสงกรานต์ นานไปคนก็ลืม จนทุกวันนี้จึงเช่ือว่าสงกรานต์เป็นของไทย มีประเพณีต่างๆ ของ ชาวบา้ นมาแต่ดง้ั เดิม ซึ่งไม่จรงิ อย่างน้ัน สงกรานตป์ ีใหมไ่ ทย เป็นประเพณสี รา้ งใหม่เมื่อไม่นานมาน้แี ล้วถกู ขยาย ให้ใหญโ่ ตข้ึนเพ่อื การตลาดขายการท่องเทย่ี ว ในทุกประเทศที่รับอารยธรรมอินเดียล้วนมีสงกรานต์เป็นปีใหม่ของตน เชน่ ปใี หมพ่ มา่ , ปใี หมก่ มั พชู า, ปใี หมล่ าว, รวมถงึ ปใี หมส่ บิ สองพนั นา (ในมณฑล ยูนนานของจีน) และทกุ ประเทศตา่ งคดิ วา่ เปน็ ของตนพวกเดยี ว ซง่ึ ตอ้ งรว่ มกนั แกไ้ ข ไมต่ ขี ลมุ ทึกทักเป็นของตน สงกรานต์ เปน็ ของแขกพราหมณ์อนิ เดีย(บางคนเรยี กปีใหมแ่ ขก) เป็นช่วง เวลาพระอาทิตย์ย้ายราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ซ่ึงพราหมณ์ถือเป็นมหาสงกรานต์ เดอื นเมษายน (ทางจนั ทรคตแิ บบไทยเรยี กเดอื น ๕) แล้วแพร่หลายเข้าสู่อุษาคเนย์, สุวรรณภูมิ, และไทย ต้ังแต่ราวหลัง พ.ศ. ๑๐๐๐ พรอ้ มศาสนาพราหมณแ์ ละพทุ ธ พธิ ีกรรมในศำสนำผี กอ่ นติดต่ออนิ เดีย ประเพณีพิธีกรรมในศาสนาผี ตอนเดอื น ๕ หน้าแลง้ ของคนพน้ื เมืองดัง้ เดมิ มีท่ัวไป ในอษุ าคเนย์ ไมน่ อ้ ยกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว (กอ่ นมพี ุทธศาสนา และกอ่ นตดิ ตอ่ อนิ เดีย)

ส32 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี เรียกรวมๆ กว้างๆ ว่าประเพณีหลังการเก็บเก่ียวในฤดูการผลิตเก่า เพื่อเตรียมตัว รบั ฤดกู ารเพาะปลูกใหมท่ ่ีจะมาถงึ ในอกี ๒-๓ เดือนขา้ งหน้า โดยเฉล่ียแลว้ ชาวนาจะเกบ็ เกย่ี วพชื พันธ์ุธญั ญาหารไดผ้ ลผลิตสมบูรณ์ราวเดอื น ๒-๓ (มกราคมถงึ กมุ ภาพันธ)์ จงึ มีข้าวปลาอาหารที่เกบ็ เกี่ยวกักตนุ ไว้แลว้ ต่อจากน้ีไปเป็นช่วงว่างจากการท�ำนาไร่ ตั้งแต่ราวเดือน ๔-๕ (มีนาคมถึงเมษายน) ท่ีชาวนาส่วนมากจะมกี ิจกรรมท้งั ส่วนตวั และสว่ นรวม เช่น เลี้ยงผีบรรพชน, ท�ำศพที่ฝังดินเก็บรอไว้นานแล้ว, ซ่อมแซมปรับปรุงเครื่องมือ ท�ำมาหากินท�ำนาท�ำไร่และท�ำประมง เช่น ไถ คราด กระบุง ตะกร้า กระด้ง ลอบ ไซ ครก สาก ฯลฯ จนถงึ พาหนะ เชน่ เกวยี น เลื่อน น้�ำ น�้ำใช้ท�ำความสะอาดเรือนและเคร่ืองมือท�ำมาหากินท่ีต้องช�ำระสะสางในพิธีเล้ียงผี ด้วยการรด ราด สาด ลา้ ง แล้วยังใช้อาบให้บรรพชนที่ตายไปแล้ว แต่มีกระดูกหรืออัฐิเหลืออยู่ไว้บูชาเซ่นไหว้ ตามประเพณดี ึกด�ำบรรพ์ของอษุ าคเนย์เรยี ก “ฝังศพคร้งั ท่ีสอง” รวมท้ังอาบให้บรรพชนท่ียังมีชีวิต คือปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา พ่อแม่ และผู้อาวุโส ในหมบู่ ้านหรือชมุ ชนนนั้ ๆ เมอ่ื เสรจ็ แลว้ กส็ าดนำ้� (ทเ่ี หลอื ) ขนึ้ หลงั คาบา้ นเรอื น ตลอดจนตน้ ไมใ้ บหญา้ ทอ่ี ยโู่ ดยรอบ เป็นสัญลักษณ์ของการขอขมาและช�ำระล้างขับไล่สิ่งไม่ดี คือผีเลวปีศาจร้ายให้หมด สนิ้ ไป ยงั มใี นประเพณขี องกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ และเคยมใี นราชสำ� นกั ทม่ี บี า้ นเมอื งในหบุ เขาทางเหนอื รวมท้งั ท่ีสบิ สองพันนา (ในจีน) เหล่าน้ีเองท่ีสืบเน่ืองถึงปัจจุบันในรูปของชักบังสุกุลในวัด แล้วมีสรงน�้ำพระกับรดน้�ำ ด�ำหัวผใู้ หญ่ผ้เู ฒ่าผู้แก่ แล้วสาดน้�ำรดส่ิงปลูกสรา้ งและตน้ ไม้ใบหญา้ ต่อมาปรับเปลี่ยนเป็นสาดน�ำ้ อยา่ งรนุ แรงในทกุ วนั นี้ เลี้ยงผี เลี้ยงผี ท้ังในแง่ผีของครอบครัววงศ์ตระกูลคือผีเรือน กับในแง่ชุมชนคือผีบ้าน (หมายถงึ หมบู่ า้ น) และรวมถงึ ผสี งิ ในเครอื่ งมอื ทำ� มาหากนิ เปน็ พธิ กี รรมสำ� คญั ของชวี ติ และสงั คม ทเ่ี ชื่อในอ�ำนาจเหนอื ธรรมชาติ หรอื ถอื ผี ผสี �ำคญั ของกลุ่มชนลมุ่ น้�ำเจา้ พระยาถึงโตนเลสาบ (ในกัมพชู า) คือแมส่ ี (ผีบรรพชน ฝ่ายหญงิ สี เป็นค�ำเขมร มาจากสตรี) ตอ้ งเชิญแม่สีมาลงทรง แต่นยิ มเขียนเพย้ี นเปน็ แมศ่ รี รวมถึงผีที่สิงอยู่ในเคร่ืองมือท�ำมาหากินทุกชนิดที่มีชื่อเรียกตามเคร่ืองมือน้ันๆ เช่น ผนี างดง้ (หมายถงึ ผสี งิ ในกระดง้ ฝดั ขา้ ว) ผคี รก ผสี าก (หมายถงึ ผสี งิ ในครกและสากตำ� ขา้ ว) เปน็ ตน้ หลงั รบั พทุ ธศาสนา กป็ รบั เปลย่ี นเปน็ เลยี้ งพระ แลว้ มบี งั สกุ ลุ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหผ้ บี รรพชน

สาดน�้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี 33 การละเลน่ เส่ยี งทาย การละเล่นในพิธีเล้ียงผีมีต่างระดับ คือระดับหมู่บ้านเดียวกัน กับระดับต่างหมู่บ้าน โดยแข่งขันกนั เพ่อื การเสยี่ งทาย เชน่ แขง่ ววั -ควาย, แขง่ เกวยี นเทยี มววั -ควาย, แขง่ ชา้ งชนกนั , หวั ลา้ นชนกนั , ตอ่ ยมวย, ตไี ก่, กัดปลา (มใี นกฎมณเฑยี รบาล เรื่องพระราชพธิ เี ดอื น ๕ และบนั ทึกของลาลูแบร์ ราชทูต ฝร่ังเศส) ตลอดจนเล่นเพลงตอบโต้หญิง-ชาย จนถึงชักเย่อระหว่างหญิง-ชาย ท่ีเรียกดึงครก ดงึ สาก ซ่ึงเป็นเครือ่ งมือต�ำข้าว ฯลฯ ประเพณีพธิ กี รรมเหล่านีม้ ีในชุมชนดึกด�ำบรรพข์ องอุษาคเนย์ ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแลว้ จะจัดให้มีข้ึนทุกปีหลังฤดูเก็บเก่ียว โดยไม่มีก�ำหนดแน่นอน แต่จะเสร็จสิ้นเอาเมื่อใกล้ถึง ฤดูการผลติ ใหม่ เพราะเร่มิ มีฝนตก การละเล่นดั้งเดิม เป็นต้นแบบให้มีการละเล่นเป็นการตลาดเพื่อการท่องเที่ยว จนทุกวนั นี้ สิ่งส�ำคัญในงานเล้ียงผีที่ต้องท�ำร่วมกันท้ังชุมชน คือการละเล่น ทุกคนร่วมกันเล่น โดยไม่แยกระหวา่ งคนเล่นกบั คนดู เครื่องมือสื่อสารส�ำคัญคือดนตรีและเหล้า เพ่ือหลอมละลายพฤติกรรมของทุกคน ในชุมชนให้อยู่ในบรรยากาศและจนิ ตนาการอยา่ งเดยี วกันหมด โดยจดั ใหม้ สี ตั วเ์ สยี่ งทาย เชน่ เตา่ ปลา ไก่ นก ฯลฯ แลว้ มคี ำ� ทำ� นายดจู ากสตั วเ์ สยี่ งทาย นน้ั วา่ ในฤดกู ารผลติ ตอ่ ไปจะมคี วามอดุ มสมบรู ณม์ ากนอ้ ยขนาดไหน จะไดเ้ ตรยี มรบั สถานการณ์ ทนั ท่วงที เสร็จแลว้ ก็ปล่อยสัตวเ์ สยี่ งทายไปสูธ่ รรมชาติ เป็นตน้ เหตใุ หเ้ กิดประเพณีปล่อยสัตว์จนถงึ ปจั จบุ นั ดนตรี เครอื่ งดนตรมี หี ลากหลายไมจ่ ำ� กดั เครอ่ื งมอื สดุ แตป่ ระเพณขี องชมุ ชนนน้ั ๆ ในวฒั นธรรม นนั้ ๆ จะมอี ะไร หรือชอบอะไร แตท่ เ่ี ปน็ หลกั ทว่ั ไปคอื ฆอ้ ง กลอง ป-่ี แคน อนั เปน็ ลกั ษณะรว่ มเฉพาะของทงั้ ภมู ภิ าค อุษาคเนย์ กลองมีหลากหลายรูปแบบ แต่ท่ีส�ำคัญเรียกกลองโทนหรือโทน เป็นเหตุให้เกิด การละเล่นเต้นฟ้อนตามจังหวะกลองโทน แล้วเรียกร�ำโทน (ต่อมามีผู้คิดค้นสร้างสรรค์ใหม่ แล้วเรยี กร�ำวง เพราะชาวบา้ นหญิงชายรำ� เปน็ วงกลมสืบถึงทุกวนั น้)ี นอกจากนน้ั การเขา้ ทรงผคี รกผสี ากตำ� ขา้ วยงั ทำ� ใหเ้ กดิ เปน็ การละเลน่ เตน้ ครกเตน้ สาก และดงึ ครกดงึ สาก (สบื เนือ่ งเป็นรำ� กระทบไมใ้ นปจั จบุ ันดว้ ย) เป็นต้นแบบใหม้ ีเพลงร�ำวงสงกรานต์

ส34 าดน�า้ สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย พธิ เี ล้ียงผบี รรพชน บรรพชนคนอุษาคเนย์มีการละเล่นเล้ียงผีประจ�าปีช่วงหน้าแล้ง เพ่ือขอความม่ันคง มั่งค่ังทางอาหารการกินและปลอดภัยจากผีร้าย ต้ังแต่ ๒,๕๐๐ ปี มาแล้ว ยังท�าสืบเน่ืองมา จนปัจจุบัน การละเลน่ เลีย้ งผปี ระจา� ปีของบรรพชนคนอาเซียน (อษุ าคเนย)์ ราว ๒,๕๐๐ ปมี าแล้ว ชว่ งหน้าแลง้ (ราวเดือนส่ี เดือนห้า เดอื นหก) หลกั ฐานเก่าสุดทพ่ี บขณะนี้เปน็ ลายเสน้ จากกลองทอง (มโหระทกึ ) พบทเ่ี วียดนาม (ภาพคัดลอกของศลิ ปวัฒนธรรม) การละเลน่ ศกั ดส์ิ ทิ ธหิ์ ลายอยา่ งในพธิ เี ลย้ี งผปี ระจา� ปี มรี ายชอ่ื หลงเหลอื ใหร้ ตู้ น้ เคา้ อยู่ ในกฎมณเฑยี รบาล เชน่ แขง่ เกวยี น, ชนววั , ชนควาย, ชนคน (หวั ลา้ นชนกนั ), ตไี ก,่ โยนลกู ชว่ ง, ปลา�้ มวย (ชกมวย), ฟันดาบ (กระบี่กระบอง), ฯลฯ มภี าพสลกั อยู่บนผนงั ระเบียงปราสาทบายนเมอื งนครธม ในกัมพูชา แสดงการละเลน่ บางอย่างเหล่านี้ไว้ด้วยซึ่งเป็นของคนพ้ืนเมืองท่ัวไปทั้งอาเซียนโบราณแต่บางอย่างอาจมี เหมือนกนั ทัง้ โลกกไ็ ด้ (เช่น ชกมวย) เม่ือบ้านเมืองเติบโตเป็นราชอาณาจักรพระเจ้าแผ่นดินก็ให้มีการละเล่นน้ีสืบมา แสดงบุญญาธิการของพระเจ้าแผ่นดินและเพ่ือเป็นขวัญก�าลังใจให้ราษฎรมีอยู่ในพระราชพิธี เดือนห้า (ทางจันทรคติ) ตรงกับพราหมณ์ท�าพิธีสงกรานต์ (ราวเมษายน)ดังพบรายช่ืออยู่ใน กฎมณเฑยี รบาล ถ้าไมม่ หี รอื ไมท่ า� แล้วเกดิ อาเพศฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดกู าล พระเจา้ แผน่ ดิน จะถูกสาปแชง่ จากราษฎร การละเล่นเหล่านี้บางอย่างยังท�าสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน เช่น แข่งเกวียน, ชนคน, โยนลกู ช่วง ฯลฯแต่บางอย่างกา้ วหน้าเปน็ ธุรกิจพนนั เช่น ชนวัว, ชนควาย, ตไี ก่, ชกมวย เข้ำทรง พิธีเลีย้ งผตี อ้ งมีเขา้ ทรง แลว้ มีผลี ง หรอื ผเี ข้าเปน็ พธิ ีกรรมเสีย่ งทายอยา่ งหนงึ่ ของคน แต่ก่อนเพ่ือท�านายทายทักถึงข้าวปลาอาหารในฤดูกาลข้างหน้าว่าจะอุดมสมบูรณ์หรือมีวิกฤต อดอยากปากแหง้ จะไดเ้ ตรยี มรับสถานการณ์ถกู ตอ้ ง พธิ เี ลย้ี งผบี รรพชน เพอื่ ขอความอดุ มสมบรู ณใ์ หช้ มุ ชนยคุ ดกึ ดา� บรรพ์ มกี ารละเลน่ คนใสห่ นา้ กากคลมุ หวั รปู สามเหลย่ี ม เหมือนเข้าทรง (ลายเส้นคัดลอกของกรมศิลปากร จากภาพเขียนสี ราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ท่ีผาแต้ม อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธาน)ี พบทเี่ วยี ดนาม (ภาพคดั ลอกของศิลปวัฒนธรรม)

สาดนำ้� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 35 ก่อนรับประเพณีสงกรานต์จากพราหมณ์ชมพูทวีป (อินเดีย) เม่ือหลัง พ.ศ. ๑๐๐๐ ชุมชนหมู่บ้านมีกิจกรรมทั้งส่วนตัวและส่วนรวมช่วงหลังเก็บเก่ียว (ในฤดูการผลิตเก่า) ถึงช่วงก่อนเพาะปลูก (ในฤดูการผลิตใหม่) ประมาณช่วงเวลาทางจันทรคติคือเดือน ๔ (กุมภาพนั ธถ์ งึ มนี าคม) ถึงเดือน ๕ (มีนาคมถึงเมษายน) กจิ กรรมสำ� คญั มากทตี่ อ้ งทำ� ทกุ ปคี อื เลย้ี งผี ตง้ั แตผ่ บี า้ น (ประจำ� ชมุ ชนหมบู่ า้ น) ผเี รอื น (ประจ�ำครอบครัววงศ์ตระกูล) และผีเคร่ืองมือท�ำมาหากินในชีวิตประจ�ำวันที่สิงอยู่ในกระด้ง, กระบุง, ตะกรา้ , ส่วิ , ขวาน, มีด, พร้า, ไถ, ครก, สาก, ลอบ, ไซ, ฯลฯ จนถงึ พาหนะ เช่น ควาย, เกวยี น, ฯลฯ ^เข้าทรงแม่สี ผบี รรพชน การละเลน่ วนั สงกรานต์ของชมุ ชนลุ่มน�ำ้ เจา้ พระยา ภาคกลาง อย่างเดียว กับประเพณเี ขา้ ทรงแม่สีในกัมพชู า (สี กร่อนจากคำ� เขมร หมายถึงผูห้ ญิง) หรอื อาจรบั แบบแผนจาก กัมพูชา(ภาพทศ่ี นู ยว์ ฒั นธรรมแหง่ ประเทศไทย เมอ่ื วันท่ี ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗) ๑ ๒ ๓๔ ^เข้าทรงผีสงิ เคร่อื งมือท�ำมาหากิน ที่ อ. ชาติตระการ จ. พิษณโุ ลก (๑) เลน่ ผนี างด้ง หรอื ผกี ระดง้ (๒) เล่นผีลอบผไี ซ (๓) เล่นผีข้อง (๔) เล่นผีลิงลม [ภาพจากงานวิจัยของ อ.ปรานี วงษ์เทศ ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร เมอื่ พ.ศ. ๒๕๒๖]

ส36 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย ปีใหมใ่ นไทย ปใี หม่ไทย (เรียกตามสากล) ตรงกับเดอื นอา้ ย (เดอื น ๑) หลังลอยกระทง (เดือน ๑๒) เป็นวัฒนธรรมร่วมอุษาคเนย์ สงกรานตถ์ กู ทำ� ใหเ้ ชอ่ื วา่ เปน็ วนั ขนึ้ ปใี หมไ่ ทยแทๆ้ มาแตโ่ บราณกาล ซงึ่ ไมเ่ ปน็ ความจรงิ เพราะสงกรานต์เป็นพิธีข้ึนราศีใหม่ท่ีรัฐโบราณทุกแห่งในอุษาคเนย์รับจากพราหมณ์ ชมพูทวปี (อินเดยี ) เหมอื นๆ กัน ไม่ใช่มีท่ไี ทยแหง่ เดยี ว มกราคม ปีใหม่ฝร่ัง (แต่ยอมรับเป็นปีใหม่สากล), เมษายนสงกรานต์ ปีใหม่แขก พราหมณ์อินเดีย (แตต่ ีขลุมเปน็ ปีใหมไ่ ทย) ปี ใหม่ ปีใหม่ เป็นค�ำผูกข้ึนใหม่ โดยแปลจากค�ำฝร่ัง new year เม่ือเรือน พ.ศ. ๒๔๘๔ ทเ่ี ริม่ แรกก�ำหนด ๑ มกราคม เปน็ วันขนึ้ ปใี หมต่ ามแบบสากล ดั้งเดิมดึกด�ำบรรพ์ ไม่มีประเพณีข้ึนปีใหม่อย่างสากลปัจจุบัน มีแต่ข้ึนฤดูข้าวใหม่ (เข้าใหม่) หมายถงึ ฤดกู าลใหม่ ขอขมาธรรมชาติ (คอื ดินและน�้ำ) ปีใหมไ่ ทยในอษุ าคเนย์ มเี ปลยี่ นแปลงตามล�ำดบั ดงั ต่อไปนี้ ๑. ยุคดกึ ดำ� บรรพ์ ลอยกระทง คือส้ินปีเก่า ข้ึนปีใหม่ (ถ้าเรียกตามปฏิทินสากล) ของไทยและ อษุ าคเนย์ (อาเซียน) มมี าแตย่ คุ ดัง้ เดิมดึกด�ำบรรพ์ราว ๓,๐๐๐ ปมี าแล้ว สิ้นปีเก่า เดือน ๑๒ ขึ้นปีใหม่เดือน ๑ (เดือนอ้าย) เรียกตามปฏิทินจันทรคติ ของไทย (และอษุ าคเนย์) เม่ือเทียบปฏทิ ินสุริยคตขิ องสากล จะอยู่ราวพฤศจกิ ายนถึงธันวาคม ปีนักษัตร (ชวด, ฉลู, ขาล, เถาะ ฯลฯ) ก็เปลี่ยนในช่วงเวลาหลังลอยกระทงนี้ (ปัจจุบันยงั มอี ยู่ในปฏทิ ินหลวง) แต่ล้านนาและดินแดนใกล้เคียงทางเหนือๆ ข้ึนไป เรียกชื่อปีต่างจากภาคกลาง ซง่ึ มผี รู้ ู้เรอื่ งนเ้ี คยตัง้ ข้อสงั เกตวา่ เรียกช่ือตามประเพณีจนี [มักเข้าใจโดยท่ัวไปว่าปีนักษัตรเปล่ียนตอนสงกรานต์ (เมษายน) แต่ไม่ใช่ เพราะสงกรานตเ์ ปน็ ประเพณีเปล่ียนราศีของพราหมณ์อินเดยี ซึง่ ไมม่ ีปีนักษตั ร สว่ นปีนักษัตร มีใชใ้ นอุษาคเนยท์ ่ีรบั จากตะวันออกกลาง เช่น เปอร์เซยี ผา่ นมาทางจนี ] แทจ้ ริงแล้วลอยกระทงเปน็ ประเพณีขอขมาธรรมชาตชิ ว่ งเปลย่ี นฤดูกาล (โดยไม่ แบง่ เปน็ เสน้ ตรงตายตวั ) จากฤดกู าลเกา่ เป็นฤดูกาลใหม่ ของภูมิภาคอุษาคเนยซ์ ึ่งมีไทยอยดู่ ว้ ย

สาดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 37 ๒. ยุคอยธุ ยา สนิ้ ปเี กา่ ขน้ึ ปใี หมใ่ นยคุ อยธุ ยา แยกเปน็ ๒ สว่ น ไดแ้ ก่ สว่ นราชการ กบั สว่ นราษฎร ราชการราชสำ� นักอยธุ ยากำ� หนดสนิ้ ปเี ก่า ข้ึนปีใหม่ ตามประเพณแี ขกพราหมณ์ อนิ เดีย คอื สงกรานต์ ตรงกับ ๑๓ เมษายน ของทกุ ปี (นา่ เช่อื วา่ มแี ลว้ ต้ังแตย่ คุ กอ่ นอยุธยา เชน่ ยุคทวารวดี, ยุคอโยธยา-ละโว้) ราษฎรชาวบา้ นในชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ทรี่ าบลมุ่ นำ้� เจา้ พระยาภาคกลาง กำ� หนดสน้ิ ปเี กา่ ขนึ้ ปีใหม่ ตามประเพณดี งั้ เดมิ ดกึ ดำ� บรรพ์อุษาคเนย์ คอื เดือนอ้าย (เดือน ๑) หลังลอยกระทง (เดอื น ๑๒) ราวพฤศจกิ ายน-ธนั วาคม (เพราะไม่รู้จักศาสนาพราหมณ)์ ๓. ยคุ กรงุ เทพฯ ส้นิ ปเี ก่า ขึ้นปีใหม่ ยุคกรงุ เทพฯ ของทางราชการมี ๒ ระยะ ได้แก่ ระยะแรก ๑ เมษายน ขึ้นปีใหม่ เร่ิม พ.ศ. ๒๔๓๒ (สมัย ร.๕) ครั้งสุดท้าย เมอ่ื ๑ เมษายน ๒๔๘๓ (สมยั ร.๘) ระยะหลัง ๑ มกราคม ขึ้นปีใหม่ เริ่ม พ.ศ. ๒๔๘๔ (สมัย ร.๘ มี จอมพล ป. พิบลู สงคราม เป็นนายกรัฐมนตร)ี แล้วสืบมาจนถึงปจั จุบนั [เป็นเหตใุ ห้ พ.ศ. ๒๔๘๓ มีเพียง ๙ เดอื น คือต้ังแต่ ๑ เมษายน ถงึ ๓๑ ธนั วาคม เทา่ นัน้ พอถึง ๑ มกราคม ก็เร่มิ ปีใหม่ พ.ศ. ๒๔๘๔] ราษฎรยงั คงมีประเพณีลอยกระทง เดือน ๑๒ แลว้ ขึ้นปีนกั ษัตรใหมเ่ ดือนอา้ ย (เดือน ๑) เหมือนเดิม แต่ค่อยๆ ลดความส�ำคัญลง จนท้ายท่ีสุดก็ลืม เปลี่ยนเป็นข้ึนปีใหม่ไทย ตอนสงกรานต์ ตามท่ที างการบอก ราชการสรา้ งสงกรานตป์ ใี หมไ่ ทยขึน้ แทนทเี่ ดือนอา้ ย เพือ่ ขายการท่องเทีย่ ว



สงกรานต์: ¤ÇาÁ«�า้ «ŒÍน¢Íงการà»ÅèÕÂนÇนÑ àÇÅา Ãا‹ â蹏 ÀÔÃÁÂ͏ ¹¡Ø ÅÙ ส ¼ÙŒªÇ‹ ÂÈÒʵÃÒ¨ÒÏ ÀÒ¤ÇÔªÒ»ÃÐÇµÑ ÔÈÒʵÏ ÁËÒÇÔ·ÂÒÅÂÑ ÃÒÁ¤íÒá˧ งกรานต์ตามที่สังคมในปัจจุบันรับรู้กันจะหมายถึง วันขึ้นปีใหม่ของไทย ในสมัยก่อน ซ่ึงตรงกับวันท่ี ๑๓ เมษายน ของปฏิทินสากล แต่แท้ที่จริงแล้วในอดีตค�าว่า “สงกรานต์” ของผคู้ นในเขตลมุ่ แมน่ �้าเจ้าพระยา ไม่ได้มคี วามหมายดงั เชน่ ในปัจจุบัน สงกรำนต์หมำยถึงอะไร คา� ว่า “สงกรานต”์ ซง่ึ คา� น้เี ปน็ ศพั ทใ์ นภาษาสันสกฤต มาจาก กฺรม ธาตุ + ส� อปุ สรรค หมายความวา่ การก้าวพน้ จากท่ีหน่ึงไปสูอ่ ีกทห่ี นึง่ หรอื การโคจรขา้ มของพระอาทติ ย์จากราศี หนงึ่ ไปสอู่ ีกราศีหนึ่ง (M.M. Williams, ๑๙๗๐ : ๑๑๒๗ ; V. S. Apte ๑๙๙๕ : ๙๔๗) ดังน้นั ถา้ ยดึ ถอื ตามความนี้ ในหนง่ึ ปจี ะมสี งกรานตท์ ง้ั หมด ๑๒ ครง้ั แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามในพจนานกุ รม ทง้ั ฉบบั ๒ ดงั กลา่ วไมไ่ ดใ้ หน้ ยิ ามศพั ทข์ องคา� วา่ “สงกรานต”์ วา่ หมายถงึ วนั ปใี หม่ แตป่ ระการใด แนวคิดค�าว่า “สงกรานต์” หมายถึง การที่พระอาทิตย์ก้าวข้ามจากราศีหน่ึงไปสู่ อีกราศีน้นั มปี รากฏร่องรอยในวัฒนธรรมทะเลสาบเขมร ดงั ตัวอย่างจารกึ วดั สระกา� แพงใหญ่ (ศ.ก.๑, K.๓๗๔) จังหวัดศรีสะเกษ ระบุปีมหาศักราช ๙๖๔ (พ.ศ. ๑๕๘๕) รัชกาล พระเจา้ สรู ยวรมันท่ี ๑ ปรากฏข้อความวา่ “๙๖๔ ศก วฺยรเกต ไจตรฺ วศิ วุ สก� รฺ านฺต นุ วฺระกม� รฺ เตงอญ ศวิ ทาส คณุ โทษ” แปลวา่ มหาศักราช ๙๖๔ ขึ้น ๒ ค�่า เดอื นเจตรมาส (เดือน ๕) วิศวุ สงกรานต์ ดว้ ย พระกมรเตงอัญศิวทาสคุณโทษ คา� วา่ “วศิ วุ สงกรานต”์ หมายถงึ วนั ทพ่ี ระอาทติ ยต์ รงศรี ษะมากทสี่ ดุ เปน็ ชว่ งทก่ี ลางวนั กลางคืนเท่ากนั (กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๙ ก : ๑๗๓. ; G. Coedès ๑๙๕๔ : ๒๕๑ – ๒๕๒) อกี ท้ังในจารึกปราสาทพิมาย ๒ (นม.๒๙, K.๙๕๓) จงั หวดั นครราชสมี า ระบปุ มี หา ศกั ราช ๙๖๘ (พ.ศ. ๑๕๖๘) รัชกาลพระเจ้าสรู ยวรมันท่ี ๑ ปรากฏข้อความว่า “จ�านามปฺรตทิ ิน ปรฺววฺ ทวิ สน....(สงฺ)กรานต” แปลว่า ประจา� ทกุ วนั ในวันปรรวทวิ สั และวันสงกรานต์

ส40 าดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย คำ� ว่า “วนั ปรรวทวิ สั ” หมายถึง วันทพ่ี ระจันทรโ์ คจรจากนักษตั รหนง่ึ ไปสู่อกี นกั ษตั ร ดงั นน้ั คำ� วา่ “สงกรานต์” ในท่ีนก้ี ็ควรหมายถึง วันทพี่ ระอาทิตย์โคจรกา้ วข้ามไปสอู่ กี ราศหี น่งึ (กรมศิลปากร, ๒๕๒๙ ก : ๑๗๓. ; G. Coedès ๑๙๖๔ : ๑๒๕) นอกจากนี้ยังพบในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ใจความว่า “วันพฤหัส แรม ๓ ค่�ำ เดือน ๒ เสด็จพยุหยาตราจากปาโมกโดยทางชลมารค แลฟันไมข้ ่มนามต�ำบลเอกราช ต้ังทัพชัยตำ� บลพระหลอ่ วนั นนั้ เป็นวันอุ่น แลเปน็ สงกรานต์ พระเสารไ์ ปราศีธนูเปน็ องศาหนง่ึ ” (กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๙ : ๖๙) จากในตอนต้นของของพระราชพงศาวดารฉบับน้ีได้กล่าวว่าเขียนในสมัยสมเด็จ พระนารายณ์ ดงั นน้ั จงึ พอทเี่ ชอื่ ไดว้ า่ ลมุ่ แมน่ ำ�้ เจา้ พระยาตอนลา่ งกอ่ นหนา้ ราชวงศบ์ า้ นพลหู ลวง ยงั คงรบั ทราบถึงความหมายของคำ� ว่า “สงกรานต์” คอื การกา้ วขา้ มราศี ปัญหาต่อมาว่าค�ำว่า “สงกรานต์” ได้ถูกจ�ำกัดให้มีความหมายเพียงแค่พระอาทิตย์ โคจรเขา้ ส่รู าศเี มษเม่ือไหร่นนั้ ไม่ปรากฏหลักฐานแนช่ ดั หากแต่หลักฐานในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ ไดจ้ �ำกัดความว่าพระอาทติ ย์ข้ามจากราศมี ีนมาสเู่ มษ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ๑. ค�ำแปลคัมภีร์จันทสุริยคติทีปนีต้นสมัยรัชกาลท่ี ๑ มีการกล่าวการโคจร ขา้ มราศีของพระอาทติ ย์ หากแต่ในคำ� แปลคัมภรี น์ ัน้ ไมม่ คี �ำวา่ “สงกรานต์” แต่ประการใด ๒. ในศัพทานุกรม “ค�ำฤษฎี” พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร และ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงภวู เนตรนรนิ ทร์ฤทธ์ิ (๒๕๕๓ : ๘) ซ่งึ เข้าใจว่ารวบรวมในช่วง พ.ศ. ๒๓๗๕ - ๒๔๐๐ ได้ให้ความหมายของค�ำน้ีว่า “สงกรานต์ วา่ ย่างคอื พระอาทิตย์ ขนึ้ สู่ เมศราษี” ๓. ในอกั ขราภิธานศรบั ท์ ของ ปรดั เล (๒๕๑๔ : ๗๑๒) ก็ไดใ้ ห้คำ� จ�ำกัดความวา่ “สงกรานต์, คือกาลเม่ือถึงเดือนห้า, แลพวกโหรท�ำเลขคูณหารรู้เวลาอาทิตย์ย้ายราศรี, คือ ยกจากราศมี ญิ ไปสู่ราศรเี มศปีละหนนน้ั ” แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามเป็นท่นี ่าสงสัยอยู่วา่ เมือ่ มกี ารเอ่ยถึงค�ำว่า “สงกรานต”์ ในบางคร้งั จะเอย่ ว่า “ตรษุ สงกรานต”์ ค�ำว่า “ตรุษ” สนั นิษฐานวา่ มาจากค�ำว่า “ตรฺ ุฏ” แปลวา่ ตัด (M.M. Williams, ๑๙๗๐ : ๔๖๒ ; V. S. Apte ๑๙๙๕ : ๔๘๖) ผู้เขยี นเข้าใจว่า การทเี่ รียก สงกรานต์ว่าตรุษสงกรานต์ คือร่องรอยความหมายที่ว่า การก้าวข้ามราศี แต่การเรียกตรุษ สงกรานตเ์ พราะตอ้ งการเนน้ วา่ เปน็ การขา้ มจากราศมี นี มาเปน็ ราศเี มษ ซง่ึ คอื การเปลยี่ นศกั ราช หลกั ฐานการข้ึนปีใหม่ เร่ืองราวที่เก่ียวกับวันขึ้นใหม่ในอดีตเท่าที่สืบค้นพบปรากฏในบันทึกของจิวตากวน ราชทูตจีนที่เข้ามาเมืองพระนครหลวงในช่วง ปี พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๔๐ ได้บันทึกเร่ืองราว เก่ยี วกับวันขนึ้ ใหมว่ า่

สาดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย 41 “คนเหล่าน้ีถือเดือน ๑๐ ของจีนเป็นเดือนแรกของปีใหม่ เดือนนั้นช่ือว่า เกี๋ยเต๋อ (กรรตกิ ) เบอ้ื งหนา้ พระราชวงั เขาปลกู ร้านใหญ่ไว้ ๑ รา้ น บรรจคุ นได้พนั กว่าคน ตามประทีป และประดบั ประดาดว้ ยดอกไม้ ขา้ งหน้ารา้ นนนั่ ห่างออกไป ๒๐ จ้าง ใชไ้ ม้ตอ่ กันเป็นรา้ นสูง ลักษณะคล้ายกับน่ังรา้ นท่ีใช้ในการสรา้ งสถูป มคี วามสูง ๒๐ กว่าจา้ งเหน็ จะได้ แตล่ ะคนื เขาจะ ปลกู รา้ นสามสร่ี า้ นหรอื หา้ หกรา้ น บนรา้ นนนั้ เขาเอาดอกไมไ้ ฟและประทดั ไปวางไว้ ซง่ึ ในการน้ี ทางจังหวัดต่างๆ ในความปกครองและตามบ้านเรือนของขุนนางเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย พอตกค�่ำก็กราบทูลเชิญพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชด�ำเนินทอดพระเนตร” (จิวตากวน, ๒๕๔๓ : ๒๕ ; P. Pelliot ๑๙๕๔ : ๒๑) เร่ืองราวงานปีใหม่ในเมืองพระนครหลวงท่ีจิวตากวนจดไว้ ท�ำให้ทราบว่าในเมือง พระนครหลวงถอื เดือนกรรติกหรอื เดือนอา้ ยตามจันทรคติ มงี านฉลองโดยมกี ารจดุ ดอกไม้ไฟ ซึ่งร้านดอกไม้ไฟท่ีจิวตากวนบรรยายน้ัน ชวนให้นึกถึงระทาดอกไฟในงานสมโภชของ ราชส�ำนักลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยา และที่ส�ำคัญงานปีใหม่ท่ีจิวตากวนไม่ใช่งานของราษฎรเป็นแน่ ทงั้ นี้เพราะ ร้านดอกไฟเปน็ การเกณฑจ์ ากขนุ นาง อกี ทัง้ พระราชากเ็ สด็จในงานน้ี หลกั ฐานอีกช้นิ ทีร่ ะบุว่าวนั ปใี หมค่ ือเดอื นอ้าย คอื จดหมายเหตลุ าลแู บร์ ราชทูตชาว ฝรง่ั เศสทเ่ี ขา้ มายงั กรงุ ศรอี ยธุ ยาในชว่ งปลายรชั กาลสมเดจ็ พระนารายณ์ (สนั ต์ ท. โกมลบตุ ร, ๒๕๕๒ : ๕๘๓) หากแต่ในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ กลับระบุว่า พิธีซ่ึงท�ำเมื่อขึ้นปีใหม่ เรียกวา่ สงกรานต์ (อัมพร สายสวุ รรณ, ๒๕๔๘ : ๙๗) เปล่ยี นศกศักราชท่ชี ่วงสงกรานต์ แม้ว่าในราชส�ำนักของทะเลสาบเขมรจะนับวันข้ึนปีใหม่ในช่วงเดือนอ้ายก็ตาม แต่การเปลย่ี นศกศกั ราชหาไดเ้ ปลย่ี นท่ีเดอื นอา้ ยแตก่ ลับมาเปลี่ยนทเ่ี ดอื นหา้ ทง้ั นีเ้ พราะ จากหลักฐานในจารึกปราสาทพระวหิ าร (K.๓๘๐) จากขอ้ ความในบรรทัด ๑ กลา่ วว่า “๙๖๐ ศก สปฺตมี โรจ สฺราวณ” แปลว่า มหาศักราช ๙๖๐ (พ.ศ. ๑๕๘๑) แรมเจ็ดค่�ำ เดือนศราวณะ (เดือน ๙) หากแต่เม่ือในบรรทัดที่ ๕๖ กล่าวว่า “๙๖๐ ศก ษษฺฐี เกต มารฺคฺคศีร” แปลว่า มหาศกั ราช ๙๖๐ (พ.ศ. ๑๕๘๑) ข้ึน ๖ ค�่ำ เดือนมาคศีระ (เดือนอา้ ย) จากเนื้อความที่ยกมา แสดงให้เห็นว่าเน้ือความล�ำดับเหตุการณ์ในจารึก เริ่มต้นท่ี เดือน ๙ ปีมหาศักราช ๙๖๐ (พ.ศ. ๑๕๘๑) แต่เม่ือไล่ล�ำดับเหตุการณ์ต่อในบรรทัดที่ ๕๖ ปมี หาศกั ราช ๙๖๐ เดอื นอา้ ย แสดงใหเ้ หน็ วา่ เมอ่ื พน้ เดอื นอา้ ยไปแลว้ มหาศกั ราชยงั ไมเ่ ปลยี่ น ถ้าเช่นน้นั จะเป็นไปไดว้ ่า ในคร้ังนน้ั ถอื ว่าการเปล่ียนศกเปลี่ยนในเดือนส่ีตอ่ เดือนห้า ส่วนหลักฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ชี้ให้เห็นว่าเปลี่ยนศักราชในเดือน ๕ มาต้ังแต่ ในสมยั อยธุ ยาตอนต้น ดังหลกั ฐานต่อไปน้ี

ส42 าดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย ๑. โคลงทวาทศมาศ วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น เร่ิมต้นเร่ืองที่เดือนห้าและ ส้ินสดุ ที่เดอื นสี่ (กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๒) ๒. ในกฎมณเฑียรบาล ชว่ งทก่ี ลา่ วถึงพระราชพิธสี บิ สองเดือน เริม่ ต้นทเี่ ดือนห้า (มาตราที่ ๑๗๐) ดังนั้นจะเป็นไปได้หรอื ไม่ว่า การนับปีใหม่ทีเ่ ดอื นอา้ ยนัน้ นา่ จะเป็นการนบั มาตงั้ แต่ เดมิ ของภมู ภิ าคน้ี เพราะในบนั ทกึ จวิ ตากวนวา่ ปใี หมค่ อื เดอื นอา้ ยแตศ่ กั ราชในจารกึ เปลย่ี นชว่ ง เดอื น ๕ ตอ่ มาเมอื่ เรารบั เอาวธิ กี ารคำ� นวณทางดาราศาสตรม์ าจากชมพทู วปี ศกั ราชจะเปลยี่ น ทีเ่ ดอื น ๕ ผลจงึ ทำ� ใหน้ ับวนั ขึน้ ปใี หม่ทีส่ งกรานต์ อีกทั้งภูมิภาคน้ีใช้ระบบปฏิทินตามจันทรคติ แต่การนับการเปล่ียนศักราชกลับใช้ ระบบสรุ ยิ คติ ดังนน้ั วนั สงกรานตห์ รอื วันเปลีย่ นศกั ราชจึงไมต่ รงกนั ในแต่ละปี อน่ึงเมื่อธรรมเนียมเดิมของภูมิภาคนี้นับขึ้นปีใหม่ที่เดือนอ้าย จึงชวนให้น่าสงสัยว่า ประเพณลี อยกระทงในเดอื น ๑๒ อาจจะเป็นประเพณสี ้นิ ปไี ด้หรอื ไม่ จุ ลศักราชนบั วนั สงกรานต์เป็นวนั เปล่ียนศกั ราช ในลุ่มแม่น้ำ� เจ้าพระยาปรากฏการใช้ศักราช ๓ แบบ คือ มหาศกั ราช จลุ ศกั ราช และ พุทธศักราช จากทไ่ี ดก้ ลา่ วไปแล้วขา้ งตน้ วา่ ในแถบทะเลสาบเขมรซง่ึ ใช้มหาศักราชไดเ้ ปลย่ี น ศกั ราชในเดอื น ๕ ดังนน้ั มหาศกั ราชในลมุ่ แมน่ ้ำ� เจ้าพระยาก็เปล่ยี นในเดอื น ๕ ส่วนจลุ ศักราชปรากฏหลักฐานวา่ เปล่ียนในช่วงเดือน ๕ ด้วยเชน่ เดียวกัน ดังปรากฏ รอ่ งรอยหลกั ฐานในพระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยาฉบบั หลวงประเสรฐิ อกั ษรนติ ์ิ ดงั ขอ้ ความ ตอ่ ไปนี้ “ศกั ราช ๙๔๘ จอศก ณ วันจนั ทร์ แรม ๘ ค�ำ่ เดือน ๑๒ พระเจา้ หงษาวดงี าจสี ะยาง ยกพลลงมาถงึ กรงุ พระนคร ณ วนั พฤหสั ขน้ึ ๒ คำ�่ แลพระเจา้ หงษาเขา้ ลอ้ มพระนคร แลตง้ั ทพั ตำ� บลขะนอนปากคู แลทัพมหาอปุ ราชต้งั ขนอนบางตนาว แลทพั ท้งั ปวงกต็ ้ังรายกนั ไปลอ้ ม พระนครอยู่ แลคร้ังน้ันไดร้ บพ่งุ กันเป็นสามารถ แลพระเจ้าหงษาเลิกทัพคนื ไป ศักราช ๙๔๙ นั้น วันจันทร์ แรม ๑๔ ค�่ำ เดือน ๕ เสด็จโดยทางชลมารคไปตีทัพ มหาอุปราชา” (กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๙ : ๕๙) จากขอ้ ความท่ียกสะท้อนให้เห็นว่า จลุ ศักราชเปลยี่ นท่ี เดอื น ๕ แต่เดิมพุ ทธศกั ราชไม่ไดเ้ ปล่ียนท่ีวนั สงกรานต์ แม้ว่ามหาศักราชและจุลศักราชจะเปล่ียนศักราชในเดือน ๕ แต่หลักฐานในจารึก ชี้ให้เห็นว่าช่วงสมัยก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๕ ในลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยาพุทธศักราช เปล่ยี นท่เี ดือน ๖ ท้งั นเี้ พราะ

สาดน�ำ้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย 43 ๑. จารกึ เจา้ ธรรมรงั สี (สท.๔๓ , หลกั ที่ ๙๘) บรรทดั ที่ ๑–๔ ความวา่ “ศกั ราช ได้ ๒๐๕๗ ปี เจ็ดเดือน ๒๒ วัน วันศุกร์ เดือนอ้าย ออกใหม่ ๗ ค�่ำ” จากข้อความที่ยกมา วันตามจนั ทครคติคอื เดอื นอา้ ย สว่ นค�ำวา่ เจ็ดเดอื น คอื นบั จากเดอื นวิสาข (เดอื น ๖) ๒. จารกึ ปลายรอยพระพุทธบาทวัดเชงิ ครี ี (สท. ๗๗ หลกั ท่ี ๓๒๖) บรรทัดที่ ๑–๒ ความว่า “พระพุทธเจ้านิพพานแล้วได้ ๒๐๕๓ พรรษา ๓ เดือน ๒๐ วัน วันศุกร์ เดือนสิบ ขึ้น ๕ ค่ำ� ” จากขอ้ ความทีย่ กมา พระพทุ ธนิพพานไปได้ ๒๐๕๓ ปีเศษ ๓ เดือน ๒๐ ตรงกบั เดอื นสบิ ข้นึ ๕ ค่ำ� ถา้ คำ� นวณจะพบวา่ พทุ ธศักราชในจารกึ หลักเปล่ยี นวันเพญ็ เดอื น ๖ ๓. จารึกวัดภูขิง (ชร.๖๑) ข้อความวา่ จุลศักราชได้ ๘๔๙ ตัว ปีมะแม ไทยว่า (ปี) เมืองเมด็ เดือนวสิ าขะ ไทยวา่ เดอื น ๖ ออก ๑๓ คำ�่ วันองั คาร ไทย (วา่ ) วนั เมืองเมด็ ไดฤ้ กษ์ ๑๑ ตวั ชอื่ บพุ พคุณ พระพุทธเจา้ นพิ พานได้ ๒๐๓๐ ปี ปลาย ๑๑ เดอื น ๒๘” (ฮนั ส์ เพนธ์ และคณะ, ๒๕๔๐ : ๕๗) จากขอ้ ความที่ยกมาชใ้ี ห้เหน็ วา่ แม้ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ก็นบั การเปล่ียน พ.ศ. ที่วนั ๑๕ ค่ำ� เดือน ๖ ๔. จารกึ วดั พระบรมธาตชุ ยั นาท (ชน.๑ หลกั ที่ ๙๗) รชั กาลสมเดจ็ พระเจา้ ทา้ ยสระ ความวา่ “วนั ศกุ ร์ แรม ๕ ค่�ำเดือน ๗ ปรี ะกานพสก พระพทุ ะศักราชได้ ๒๒๖๐ พระวสั สา เศษสังขยาไดเ้ ดอื นหน่งึ ” (กรมศิลปากร, ๒๕๒๙ ข : ๑๓๕) ปัญหาท่ีตามมาคอื ผู้เขยี นยังไม่พบวา่ มี พ.ศ. เร่ิมมาเปล่ียนศักราชเดือนช่วงสงกรานต์ เมอ่ื ใด แมว้ า่ เอกสารราชการในสมยั รตั นโกสนิ ทรจ์ ะใชจ้ ลุ ศกั ราชกต็ าม หรอื อาจจะเปน็ ไปไดว้ า่ เรานบั การปรบั เปลยี่ นการนบั พทุ ธศกั ราชทเ่ี ดอื นหา้ เพอื่ ใหร้ บั กบั สงกรานต์ เมอื่ มกี ารประกาศ ให้ปพี ุทธศกั ราชเปน็ ศักราชของรฐั บาล เปล่ียนนกั ษัตรช่วงสงกรานต์ คำ� วา่ ปนี กั ษตั รทว่ี า่ นี้กค็ อื สญั ลักษณ์ของสตั ว์ทัง้ ๑๒ เริม่ ตน้ ตัง้ แต่ ปีชวดหนู ฉลวู ัว จนจบท่ปี ีกนุ หมู ซึ่งเป็นท่ีเรารูจ้ กั กนั ดใี นพื้นท่สี ว่ นใหญข่ องสวุ รรณภมู ิภาคพื้นทวปี เพยี งแต่วา่ บางทอ้ งถิ่นก็จะเรียกตา่ งๆ กันไป แลว้ ตกลงเราใช้ปีนักษตั รมาตั้งแต่เม่ือใด ลักษณะการใช้ปีนักษัตรนั้น เป็นสิ่งท่ีไม่พบในจารึกที่พบในชมพูทวีปและปัจจุบัน กไ็ ม่ปรากฏการใช้ด้วย รวมถึงวัฒนธรรมทางยโุ รปกไ็ มม่ ีใช้เชน่ เดียวกนั ดังนนั้ เราจึงสามารถ ตดั ประเดน็ ทว่ี ่าการใชป้ ีนักษตั รในสุวรรณภูมมิ าจากชมพทู วปี และชาตติ ะวนั ตก ธรรมเนยี มการใชป้ นี กั ษตั รพบวา่ จนี โบราณนนั้ กม็ ใี ช้ จงึ อาจสนั นษิ ฐานวา่ ธรรมเนยี ม ในการใช้ปีนักษตั รนั้นเราไดร้ ับแบบแผนมาจากจนี หลักฐานท่ีเก่าท่ีสุดในขณะน้ีท่ีปรากฏใช้ค�ำว่า “นักษัตร” ในลักษณะของสัญลักษณ์ รูปสัตว์แทนปีคือ ศิลาจารึกเสกตาตุยความว่า “๙๖๑ ปญฺจมีเกต จิตฺรา พฺฤหสฺปติพาร ขาลนกฺษตรฺ ” แปลว่า มหาศักราช ๙๖๑ (พ.ศ. ๑๕๘๑) ขน้ึ หา้ คำ�่ เดือนจติ รมาส วนั พฤหัสบดี ขาลนักษตั ร (G. Coedès, ๑๙๔๒ : ๓๒๑)

ส44 าดน�ำ้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี แมว้ า่ จะปรากฏการใชป้ นี กั ษตั รมาตง้ั แตพ่ ทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ แลว้ กต็ าม แตไ่ มป่ รากฏ หลกั ฐานวา่ ดนิ แดนแถบนเี้ ปลยี่ นปนี กั ษตั รเมอ่ื เดอื นใด แตถ่ า้ คดิ วา่ ระบบปนี กั ษตั รเรารบั จากจนี ดงั นนั้ การเปล่ยี นปนี กั ษัตรเมือ่ แรกน่าจะเปล่ยี นในชว่ งเดือนอา้ ย จากเอกสารของ นโิ กลาส์ แชรแวส ชาวฝรงั่ เศสทไี่ ดเ้ ขา้ มายงั กรงุ ศรอี ยธุ ยาครงั้ รชั กาล สมเดจ็ พระนารายณไ์ ดก้ ล่าวว่า “... มา้ ล แพะ , ลงิ , ไก่ , หมา, หมู เม่อื ครบรอบนักษตั รแล้ว ก็เริ่มต้นกันใหม่เรียงล�ำดับไป แต่ มร.ก็องสตังซ์ (หมายถึงเจ้าพระยาวิไชเยนทร์) พิจารณา เห็นว่า การนับปีเช่นน้ีเป็นเหตุยุ่งยากในการท�ำสัญญาและก่อให้เกิดความไม่เรียบร้อยใน ครอบครวั จึงได้ออกคำ� สงั่ ให้นับปีเสียใหม”่ (สันต์ ท. โกมลบตุ ร, ๒๕๕๐ : ๑๓๒) จากขอ้ ความทยี่ กมาไมอ่ าจทจี่ ะทราบไดว้ า่ เจา้ พระยาวไิ ชเยนทรไ์ ดแ้ กก้ ารนบั ปนี กั ษตั ร หรอื ไม่ แตม่ นั กเ็ ปน็ การแสดงใหเ้ หน็ วา่ การนบั ปนี กั ษตั รกบั การนบั ปศี กั ราชนา่ จะเหลอื่ มกนั อยู่ และในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ได้มีการแก้การนับปีนักษัตรให้สอดคล้องกับการนับ การเปลย่ี นปีศกั ราชทชี่ ว่ งสงกรานต์ หลักฐานจารึกสร้างพระวิหารร่มพระแท่นศิลาอาสน์ ปี พ.ศ. ๒๒๙๗ ปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ความว่า “พระวหิ ารแลกำ� แพงแต่ ณะ วัน เสาร์ ข้นึ ๑๓ ค�ำ่ เดอื น ๓ ปีจอ ฉอศก แลได้ร้อื ขดุ กอ่ รากพระวหิ าร ณะ วนั ศกุ ร์ แรม ๑๐ ค�ำ่ เดอื น ๓ วนั ก่อผนงั สำ� เรจ แต่ ณะ วันศกุ ร์ แรม ๑๑ ค�่ำเดือน ๕” (คณะกรรมชำ� ระประวตั ิศาสตร์, ๒๕๑๐ : ๗๗) จากข้อความที่ยกมาสะท้อนให้เห็นว่าอย่างน้อยในสมัยอยุธยาตอนปลายได้ใช้ระบบ การเปลี่ยนปีนักษตั รเมื่อเดือน ๕ แต่อย่างไรก็ตามในจดหมายพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนปีนักษัตรเปลี่ยนก่อนการเปลี่ยนปีศักราช คือเปลี่ยน ในวนั ข้ึน ๑ ค่�ำ เดือน ๕ นิทานนางสงกรานต์ วนั สงกรานตท์ กุ ปจี ะมกี ารบอกว่านางสงกรานต์ปนี ชี้ ่อื อะไร ทรงพาหนะใด แลว้ จะ ทำ� นายต่อไปว่า ในปีใหมจ่ ะเกิดอะไรบ้าง เรอื่ งนทิ านนางสงกรานตท์ ง้ั ๗ ทต่ี อ้ งแหเ่ ศยี รพระกบลิ พรหมพอ่ ของตนรอบมหาสมทุ ร เพราะไปแพพ้ นนั ธรรมบาลกุมารจะเล่ากันตั้งแต่เมือ่ ไหร่ไมส่ ามารถระบุแนช่ ัดได้ หลักฐานท่ีเก่าท่ีสุดเท่าที่ค้นพบในตอนนี้ที่กล่าวถึงนิทานเร่ืองปรากฏจารึก วดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม สมัยรชั กาลที่ ๓ จากขอ้ มลู ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ระบุวา่ จารกึ ตดิ ไว้ทีค่ อสองในประธานศาลาล้อมพระมณฑปทิศเหนอื จารึกแผ่นท่ี ๕ หาย (กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๗ : ๒๐๕) เรมิ่ ตน้ เรอื่ งกก็ ลา่ ววา่ “เรอื่ งมหาสงกรานตน์ ม้ี พี ระบาลฝี า่ ยรามญั ” ประเดน็ อยคู่ วามเชอ่ื ของราชสำ� นกั ครง้ั นนั้ เชอ่ื วา่ นทิ านเรอื่ งมหาสงกรานตม์ าจากมอญ ซง่ึ เรอ่ื งนผ้ี เู้ ขยี นกไ็ มท่ ราบวา่

สาดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย 45 จิตรกรรมวัดโพธิช์ ัย จังหวดั หนองคาย ตอนกบิลพรหมถามปัญหาธรรมปาลกมุ ารและธรรมปาลกมุ ารไปฟังนกเจรจา จติ รกรรมวัดโพธิ์ชยั จังหวดั หนองคาย ธิดากบิลพรหมแห่เศียรกบิลพรหม ข้างมอญจะมีหรือไม่ แต่พระราชพิธีสงกรานต์ของราชส�ำนักเมืองมัณฑเลย์ ได้อธิบายว่า เดือน ๕ พิธีสงกรานต์ (Hnit – thit Thigyandaw Pwé) ถือกันว่าเทวดามหาสงกรานต์ (Thingan Nat) ลงมาอยูใ่ นมนุษยโลกปี ๑ วัน (สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รง ราชานภุ าพ, ๒๕๑๕ : ๘๖๖) แต่อย่างไรก็ตามในจารึกท่ีวัดพระเชตุพนฯ นั้นไม่ให้รายละเอียดของธิดาท้ัง ๗ ของ กบลิ พรหมวา่ ทรงพาหนะอะไร และทรงภกั ษาหารอะไร นอกจากเร่ืองจารึกมหาสงกรานต์แล้วยังปรากฏเร่ืองราวที่คล้ายกันในหนังสือ ปักษีปกรณัมฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ (จัดอยู่ในชุดประชุมปกรณัมภาคท่ี ๒) ล�ำดับท่ี ๒๒ เรอ่ื ง เทวพรหมากับโลกาพรหมา โครงเรื่องเทวพรหมากับโลกาพรหมาน้ันเหมอื นกับจารกึ มหาสงกรานต์ แตกตา่ งกัน ตรงทรี่ ายละเอยี ดชอ่ื บคุ คล สถานะของบคุ คล รวมถงึ คำ� ตอบทเ่ี ฉลย

ส46 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี เร่ืองปักษีปกรณัมถือว่าเป็นหนึ่งในปัญจตันตระนิทานคติธรรมของอินเดียที่ประพันธ์ เปน็ ภาษาสนั สกฤต แตห่ นงั สอื ปกั ษปี กรณมั ฉบบั หอพระสมดุ วชริ ญาณนน้ั ตน้ ฉบบั ไดม้ าอยา่ งไร ไมท่ ราบได้ ปรากฏแตเ่ พยี งวา่ เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๑๒ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงบดนิ ทรไพศาล โสภณ คร้ังยังทรงกรมหมื่น ด�ำรงต�ำแหน่งอธิบดีกรมพระอาลักษณ์ได้จัดพิมพ์ข้ึน ที่ส�ำคัญ เรอ่ื งราวหลายเรอ่ื งกน็ ำ� มาจากอรรถกถชาดก อกี ทง้ั นทิ านปกั ษปี กรณมั ในฉบบั ภาษาสนั สกฤต ไม่ไดก้ ลา่ วถงึ เร่ือง เทวพรหมากบั โลกาพรหมา (สยาม ภัทรานุประวตั ิ, ๒๕๔๖) ถ้าสมมติว่าเรื่องกบิลพรหมและเรื่องเทวพรหมาไม่มีในชมพูทวีปน้ันก็หมายความว่า เร่ืองคตินางสงกรานต์เป็นเรื่องความเชื่อท้องถ่ินดั้งเดิมในแถบภูมิภาคน้ี ซึ่งแนวโน้มก็น่าจะ เปน็ ไปได้อย่วู า่ เพราะทุกวันน้ีเรายงั หาเรือ่ งทเี่ ก่ียวกับธิดาพระพรหมแหเ่ ศยี รพระพรหมไม่พบ ในตำ� ราเทวปกรณท์ ร่ี จนาในชมพทู วปี อกี ทง้ั ในเทวปกรณก์ ไ็ มเ่ คยพบวา่ พระพรหมมธี ดิ า ๗ คน อีกดว้ ย

สาดนำ�้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี 47 บรรณานุกรม กรมศิลปากร. (๒๕๑๗). ประชุมศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จ พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสงั ฆราช. กรมศิลปากร. (๒๕๒๒). โคลงทวาทศมาส กรงุ เทพ ฯ : มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. กรมศลิ ปากร. (๒๕๒๙ ก). จารกึ ในประเทศไทย เล่ม ๔ กรุงเทพ ฯ : กรมศลิ ปากร. กรมศิลปากร. (๒๕๒๙ ข). จารกึ ในประเทศไทย เล่ม ๕ กรุงเทพ ฯ : กรมศิลปากร. กรมศลิ ปากร. (๒๕๔๙). พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ กรงุ เทพ ฯ : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมธริ าช. คณะกรรมการชำ� ระประวตั ศิ าสตร.์ (๒๕๑๐). ประชมุ จดหมายเหตสุ มยั อยธุ ยา ภาคที่ ๑ กรงุ เทพ ฯ : สำ� นักนายกรัฐมนตร.ี จิวตากวน. (๒๕๔๓). บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจนละ, แปลโดย เฉลิม ยงบญุ เกิด. กรุงเทพ ฯ : ศิลปวัฒนธรรม. ปรดั เล. (๒๕๑๔). อกั ขราภิธานศรับท์ กรงุ เทพฯ : องคก์ ารคา้ คุรุสภา. วินัย พงศศ์ รเี พียร. (๒๕๔๘). กฎมณเฑยี รบาลฉบบั เฉลมิ พระเกียรติ กรุงเทพ : สกว. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ. (๒๕๑๕). “กฎมณเทียรบาลพม่า” ลัทธธิ รรมเนยี มต่างๆ เลม่ ๒ กรุงเทพ ฯ : คลังวิทยา , หน้า ๘๒๗ – ๘๘๐. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา เดชาดศิ ร และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรนิ ทร์ฤทธ์.ิ (๒๕๕๓). ค�ำฤษฎี กรุงเทพ ฯ : วัดพระเชตุพนวมิ ลมังคลราม. สยาม ภัทรานุประวัติ. (๒๕๔๖). ปักษีปกรณัม : การศึกษาเปรียบเทียบฉบับสันสกฤต ล้านนา และไทย วิทยานิพนธ์ศิลปะสาสตร์มหาบัณฑิต สาขาภาษาสันสกฤต ภาควิชาภาษา ตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. สันต์ ท. โกมลบุตร. (๒๕๕๐). ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม กรงุ เทพ ฯ : ส�ำนักพมิ พศ์ รปี ญั ญา. สันต์ ท. โกมลบตุ ร. (๒๕๕๒). จดหมายเหตลุ า ลแู บร์ ราชอาณาจกั รสยาม กรุงเทพ ฯ : ส�ำนกั พมิ พศ์ รีปญั ญา. หอพระสมดุ วชิรญาณ. (๒๔๖๖). ประชุมปกรณมั ภาคท่ี ๒ เร่อื งปกั ษีปกรณมั กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ โสภณพิพรรฒธนากร. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ มหาอ�ำมาตย์ตรี พระยา สรุ ยิ เดชวเิ ศษฤทธ์.ิ

ส48 าดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย อัมพร สายสุวรรณ. (๒๕๔๕). ไทยในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร. ฮนั ส์ เพนธ์ และ คณะ. (๒๕๔๐). ประชุมจารึกล้านนา เล่ม ๑ จารกึ ในพิพิธภัณฑ์ ฯ เชยี งแสน. เชียงใหม่ : สถาบนั วิจัยสังคม. G. Coedès. (๑๙๔๒): “L’origine du cycle des douze animaux au Cambodge.” T’oung Pao XXXI :๓๑๕ – ๓๒๙. G. Coedès. (๑๙๕๔). Inscriptions du Cambodge Vol. VI Paris : BEFEO. G. Coedès. (๑๙๖๔). Inscriptions du Cambodge Vol. VII Paris : BEFEO. M.M. Williams.(๑๙๗๐). ASanskrit – English DictionaryDelhi : Motilal Banarsidass. P. Pelliot.(๑๙๕๔). Mémoires sur les Coutumes du Cambodge de Tcheou Ta – Kouan. Paris : Librairie d’Amérique et d’Orient. V.S. Apte. (๑๙๗๘). The Practical Sanskrit – English DictionaryDelhi : Motilal Banarsidass.

“สงกรานต”์ ãนÇรร³กรรÁáÅÐต�านาน¢Íง¤นä·-ä·Â ÍÀÅÔ ¡Ñ ɳ à¡ÉÁ¼Å¡ÙÅ ส¼ÙªŒ ‹ÇÂÈÒʵÃÒ¨ÒÏÊÒªÒÇªÔ ÒÀÒÉÒä·Â ¤³º´¤Õ ³ÐÈÔÅ»ÈÒʵÏ ÁËÒÇ·Ô ÂÒÅÑÂÁË´Ô Å งกรานต์ เป็นงานใหญ่ในหมู่คนไท-ไทย มาแต่โบราณ ด้วยถือกันว่าเป็น การเปลี่ยนผ่านฤดูกาล เป็นเร่ืองน่ายินดี ควรแก่งานรื่นเริงบันเทิงใจการเปล่ียนผ่านฤดูกาลนี้ เดิมไมไ่ ดห้ มายถงึ ปใี หม่ ในหมชู่ นชาตไิ ท นับเดือนอา้ ย เปน็ ปใี หม่ เดอื นห้า เป็นปอยสงั ขานต์ หรอื สงกรานต์ แยกออกจากกัน ขณะทีใ่ นประเทศไทยนับเดือนหา้ เปน็ ทง้ั ตรษุ คือ ปใี หม่ และ สงกรานต์ ท�าให้เทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทยทวีความสา� คัญขน้ึ ไปกวา่ เทศกาลอ่ืนๆ ด้วยความสา� คัญของ “สงกรานต”์ จึงพบวรรณกรรมหลายหลายเรอ่ื งบันทึกเรือ่ งราว ของเทศกาลสงกรานตไ์ วม้ าอย่างตอ่ เนือ่ ง อยา่ งไรกด็ ี แม้จะมกี ารบนั ทึกในวรรณคดหี ลายเรอื่ ง หรอื เปน็ ทรี่ บั รใู้ นฐานะประเพณสี า� คญั ของชาตกิ ต็ าม แตก่ ลบั พบหลกั ฐานเรอ่ื งประวตั สิ งกรานต์ หรือ ตา� นานสงกรานตข์ องคนไทยเมือ่ ในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้ น้ีเอง และเน้ือหาดังกล่าวยงั มคี วามแตกตา่ งจากคนไทกลมุ่ ตา่ งๆ บทความนจี้ งึ จะไดร้ วบรวมวรรณกรรมไทยทก่ี ลา่ วถงึ เรอื่ ง ราวของสงกรานต์และตา� นานสงกรานตข์ องคนไท-ไทย ในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้ ๑. สงกรานต์ในความทรงจา� ผา่ นวรรรณกรรมของคนไทย ๒. ต�านานสงกรานต์ “ไทย” กลิน่ อาย “มอญ” ๓. ตา� นานสงกรานต์ของคนไทกลุ่มตา่ งๆ ๔. มองคนไทย-ไทผ่านวรรณกรรมและตา� นานสงกรานต์ ๑. สงกรำนตใ์ นควำมทรงจ�ำผ่ำนวรรณกรรมของคนไทย วรรณคดีเป็นเครื่องมืออย่างหน่ึงของกวีในการบันทึกเหตุการณ์ผสานกับความรู้สึก นกึ คดิ และจนิ ตนาการของกวี กวไี ทยหลายยคุ สมยั ไดบ้ นั ทกึ เทศกาลสงกรานตไ์ วส้ ะทอ้ นใหเ้ หน็ วถิ ชี วี ิตไทยในแต่ละยคุ สมยั ดงั จะได้น�าเสนอดังตอ่ ไปนี้ ๑.๑ สงกรานต์ในวรรณกรรมกอ่ นสโุ ขทัย๑ ในสมยั กอ่ นสโุ ขทยั พบการบนั ทกึ เทศกาลสงกรานตใ์ นจารกึ ตา่ งๆ จา� นวนหนงึ่ โดยเปน็ ๑อน่ึง มีพบการกล่าวถึงเทศกาลสงกรานต์ในต�ารับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซ่ึงต�ารับท้าวศรีจุฬาลักษณ์น้ีนักวิชาการหลายท่าน มคี วามเหน็ แตกตา่ งกนั ในเรอื่ งยคุ สมยั ทแี่ ตง่ บา้ งวา่ แตง่ ในสมยั สโุ ขทยั บา้ งวา่ แตง่ ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ อยา่ งไรกต็ าม คณะกรรมการ วรรณคดแี หง่ ชาติ โดยศาสตราจารย์ ดร.ชลดา เรอื งรกั ษล์ ขิ ติ ไดน้ า� เสนอแนวคดิ ทน่ี า่ สนใจวา่ ตา� รบั ทา้ วศรจี ฬุ าลกั ษณน์ ี้ เปน็ วรรณกรรม สมยั สโุ ขทยั ทมี่ สี ว่ นทแ่ี ตง่ เตมิ เขา้ มาในสมยั อยธุ ยา และรตั นโกสนิ ทรด์ ว้ ย (คณะกรรมการวรรณคดแี หง่ ชาต,ิ ๒๕๕๖ : ๑๒๗) เมอ่ื ได้ พจิ ารณาแลว้ ผเู้ ขยี นพบวา่ ตอนทก่ี ลา่ วถงึ สงกรานตน์ นั้ มภี าษาและเนอ้ื ความทใ่ี หมก่ วา่ สโุ ขทยั จงึ ไมไ่ ดน้ า� มาไวใ้ นบทความนี้