Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ปีการศึกษา 2563

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ปีการศึกษา 2563

Published by Anurat Onsong, 2021-08-08 02:58:20

Description: ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จังหวัดนครปฐม

Keywords: ฺbookschool

Search

Read the Text Version

๕๐ ทกั ษะจาเปน็ เฉพาะสาหรบั ประสบการณ์สาคัญ บุคคลออทิสติก ๒.๒ ส่ือสารโดยการใช้ (๑) การบอกความต้องการโดยใช้ท่าทาง ช้รี ูปภาพหรอื พดู ทา่ ทาง รูปภาพ สัญลกั ษณ์ (๒) การตอบคาถามโดยใช้ทา่ ทาง ชรี้ ปู ภาพหรอื พูด คาพดู ในชีวิตประจาวนั (๓) การพูดโดยใชส้ ื่อ (๔) การใช้วธิ กี ารสอื่ สารทางเลือก (๕) การเล่นบทบาทสมมุติเกย่ี วกับการสือ่ สาร (๖) การทัศนศึกษาแหล่งเรยี นรู้ (๗) การร่วมกิจกรรมกบั ผู้อน่ื ๓. แสดงพฤติกรรมท่ี เหมาะสมตามสถานการณ์ ๓.๑ รับร้แู ละแสดงอารมณ์ (๑) การใช้ส่ือท่ีส่งเสริมการเรยี นรู้ผ่านการเหน็ เกย่ี วกบั อารมณ์ (๒) การบอกหรือเลือกภาพอารมณ์จากการดูภาพสถานการณ์ ของตนเองและบุคคลอ่ืน ต่างๆ อยา่ งเหมาะสม (๓) การฟงั นทิ าน (๔) การดูวดี ีทศั นน์ ิทานสนั้ ๆ (๕) การเคล่ือนไหวตามเสยี งเพลง ดนตรี (๖) การแสดงสหี น้า ทา่ ทางเกี่ยวกับอารมณ์หนา้ กระจก (๗) การเลน่ หรือทากจิ กรรมรว่ มกบั เพอ่ื น (๘) การรว่ มกจิ กรรมกับผอู้ ื่นในชุมชน ๓.๒ ปฏิบตั ิตามข้อตกลง (๑) การร่วมกาหนดขอ้ ตกลง กติกาและเงื่อนไขของห้องเรียนและ ของหอ้ งเรยี นและโรงเรยี น โรงเรียน (๒) การปฏิบตั ิตนเป็นสมาชกิ ทด่ี ีของห้องเรียนและโรงเรยี น (๓) การให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆในห้องเรียน และโรงเรยี น ๓.๓ ปฏิบัติตนเหมาะสม (๑) การปฏบิ ตั ติ นตามมารยาทของสงั คม ตามสถานการณต์ ่างๆ (๒) การแสดงบทบาทสมมุติ (๓) การใช้ส่ือที่ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการเห็นช้ีบอกพฤติกรรมที่ เหมาะสม (๔) การร่วมกจิ กรรมวันสาคญั ต่างๆ (๕) การศกึ ษานอกสถานท่ี (๖) การทากิจกรรมร่วมกับผ้อู นื่ (๗) การไปในสถานท่ตี ่างๆ (๘) การทากิจกรรมตามมมุ ตา่ งๆ

๕๑ ทกั ษะจาเป็นเฉพาะสาหรับ ประสบการณ์สาคญั บคุ คลออทิสติก (๑) การใชอ้ ุปกรณ์ช่วยในการส่อื สารทางเลอื ก 4. สามารถใช้เทคโนโลยีส่งิ (1) การใช้อุปกรณช์ ว่ ยในการเข้าถงึ คอมพวิ เตอร์ อานวยความสะดวก (1) การใช้โปรแกรมเสรมิ ผา่ นคอมพิวเตอรเ์ พือ่ ชว่ ยในการเรยี นรู้ เคร่อื งชว่ ยในการเรยี นรู้ 4.๑ ใชอ้ ปุ กรณ์ชว่ ยในการ สอ่ื สารทางเลอื ก 4.๒ ใช้อปุ กรณ์ชว่ ยในการ เขา้ ถึงคอมพิวเตอรเ์ พ่ือการ เรียนรู้ 4.๓ ใช้โปรแกรมเสริมผ่าน คอมพวิ เตอรเ์ พอื่ ช่วยในการ เรยี นรู้ ๒. สาระที่ควรเรียนรู้ สาระที่ควรเรียนรู้ เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่นามาเป็นส่ือกลางในการจัดกิจกรรม ให้เด็กเกิดแนวคิดหลังจากนาสาระท่ีควรรู้นั้นๆ มาจัดประสบการณ์ให้เด็ก เพื่อให้บรรลุจุดหมาย ที่กาหนดไว้ ทั้งน้ี ไมเ่ นน้ การท่องจาเน้ือหา ผู้สอนสามารถกาหนดรายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับ วัย ความต้องการ และความสนใจของเด็ก โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์สาคัญ ทง้ั นี้ อาจยดื หยนุ่ เนอื้ หาได้ โดยคานงึ ถึงประสบการณ์และสิ่งแวดลอ้ มในชวี ิตจรงิ ของเดก็ ดังนี้ ๒.๑ เร่ืองราวที่เก่ียวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้ช่ือ นามสกุล รูปร่างหน้าตา อวัยวะ ต่างๆ วิธรี ะวังรักษารา่ งกายใหส้ ะอาดและมีสุขภาพอนามัยทีด่ ี การรับประทานอาหารท่ีเป็นประโยชน์ การระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองจากผู้อื่นและภัยใกล้ตัว รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อ่ืนอย่าง ปลอดภัย การรู้จักประวัติความเป็นมาของตนเองและครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดี ของครอบครัวและโรงเรียน การเคารพสิทธขิ องตนเองและผู้อน่ื การรู้จกั แสดงความคิดเห็นของตนเอง และรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน การกากับตนเอง การเล่นและทาสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองตามลาพัง หรือกับผู้อ่ืน การตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้อารมณ์ และความร้สู ึกของตนเองและผูอ้ ่ืน การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม การแสดง มารยาททด่ี ี การมคี ุณธรรมจรยิ ธรรม ๒.๒ เรื่องราวเก่ียวกับบุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับ ครอบครัวสถานศึกษา ชุมชน และบุคคลต่างๆ ท่ีเด็กต้องเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ ในชีวิตประจาวัน สถานที่สาคัญ วันสาคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สาคัญของชาติไทยและการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้ องถ่ินและความเป็นไทย หรือแหล่งเรียนรู้จากภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ อืน่ ๆ

๕๒ ๒.๓ ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับช่ือ ลักษณะ ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเก่ียวกับดิน น้า ท้องฟูา สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรงและพลังงานในชีวิตประจาวันท่ีแวดล้อมเด็ก รวมท้ังการอนุรักษ์ สง่ิ แวดลอ้ มและการรกั ษาสาธารณสมบตั ิ ๒.๔ ส่ิงต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับการใช้ภาษาเพ่ือสื่อความหมาย ในชีวิตประจาวัน ความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง ปริมาตร น้าหนัก จานวน ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ ของสิ่งต่างๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช้งาน และการเลือกใช้ส่ิงของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการสื่อสารต่างๆ ท่ีใช้อยู่ในชีวิตประจาวันอย่างประหยัด ปลอดภัย และรกั ษาสง่ิ แวดล้อม การจัดประสบการณ์ การจัดประสบการณ์สาหรับเด็กแรกเกิดถึง ๖ ปี เป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะ การบูรณาการผ่านการเล่น การลงมือกระทาจากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลายโดยคานึงถึง ข้อจากัดของเด็กพิการแต่ละคน ให้เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนา ท้งั ดา้ นร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชา โดยมีหลักการ และแนวทาง การจดั ประสบการณ์ ดงั นี้ ๑. หลกั การจดั ประสบการณ์ ๑.๑ จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็ก โดยองคร์ วม อยา่ งสมดุลและต่อเนือ่ ง ๑.๒ เนน้ เด็กเปน็ สาคญั สนองความตอ้ งการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล และบรบิ ทของสงั คมท่เี ด็กอาศยั อยู่ ๑.๓ จัดให้เด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความสาคัญกับกระบวนการเรียนรู้ และพฒั นาการของเด็ก ๑.๔ จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่ง ของการจดั ประสบการณ์ พร้อมท้งั นาผลการประเมนิ มาพัฒนาเดก็ อยา่ งตอ่ เน่อื ง ๑.๕ ให้พอ่ แม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝาุ ยที่เกี่ยวขอ้ งมีส่วนร่วมในการพัฒนาเดก็ ๒. แนวทางการจัดประสบการณ์ ๒.๑ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทางานของสมอง ที่เหมาะกบั อายุ วุฒิภาวะและระดบั พฒั นาการ เพือ่ ให้เด็กทุกคนไดพ้ ัฒนาเตม็ ตามศักยภาพ ๒.๒ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็กพิการแต่ละประเภท เด็กไดล้ งมือกระทา เรยี นร้ผู ่านประสาทสัมผัสท้ังห้า ไดเ้ คล่ือนไหว สารวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแกป้ ญั หาดว้ ยตนเอง โดยมแี นวการจดั การเรยี นรูข้ องเด็กพกิ ารแต่ละประเภท ดงั น้ี 2.2.1 เดก็ ทม่ี คี วามบกพร่องทางการเหน็ ควรจัดการเรียนรู้ท่เี น้นการใช้ประสาท สัมผัสทเ่ี หลอื อยใู่ นการทากจิ กรรม

๕๓ 2.2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้นการสื่อสาร โดยการใชภ้ าษามือ ภาษาทา่ ทาง การอา่ นรมิ ฝปี าก การฝึกพูด 2.2.3 เด็กที่มคี วามบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการสอนซ้าๆ สอนจากง่ายไปยาก เปน็ ขั้นตอน และการวิเคราะหง์ าน 2.2.4 เด็กท่ีมีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคล่ือนไหวหรือสุขภาพ ควรจดั การเรยี นรู้ท่เี น้นการใชเ้ ทคโนโลยสี ่งิ อานวยความสะดวก 2.2.5 เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการจา จากการเห็นและไดย้ ิน การเรยี งลาดับ การจดั ระเบยี บตวั เอง 2.2.6 เด็กท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้น การออกเสยี งใหช้ ดั เจน การสอ่ื สารทผ่ี ู้อ่ืนเขา้ ใจได้ 2.2.7 เดก็ ทม่ี ีความบกพรอ่ งทางพฤตกิ รรมหรืออารมณ์ ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้น การควบคุมพฤติกรรมและอารมณ์ของตนเอง การแสดงออกทางพฤตกิ รรมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2.2.8 เดก็ ออทสิ ติก ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการสื่อสาร การอยู่ร่วมกันในสังคม การตอบสนองตอ่ ประสาทสมั ผสั ทงั้ 7 2.2.9 เด็กพิการซ้อน ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นตามลักษณะความพิการ แต่ละประเภท ๒.๓ จัดประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยบูรณาการท้ังกิจกรรม ทักษะ และสาระ การเรยี นรู้ ๒.๔ จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเร่ิมคิด วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทาและนาเสนอ ความคิด โดยผู้สอนหรอื ผจู้ ดั ประสบการณเ์ ปน็ ผูส้ นบั สนนุ อานวยความสะดวก และเรียนรรู้ ว่ มกบั เด็ก ๒.๕ จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่นกับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อม ทีเ่ อ้อื ตอ่ การเรยี นรู้ในบรรยากาศทีอ่ บอนุ่ มีความสขุ และเรียนรกู้ ารทากิจกรรมแบบร่วมมือในลักษณะ ตา่ งๆ กัน ๒.๖ จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับส่ือ เทคโนโลยี ส่ิงอานวยความสะดวก และแหล่งการเรียนรู้ท่ีหลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก สอดคล้องกับบริบท สังคม และวัฒนธรรมท่แี วดล้อมเดก็ ๒.๗ จัดประสบการณ์ท่ีส่งเสริมลักษณะนิสัยท่ีดีและทักษะการใช้ชีวิตประจาวัน ตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรมจรยิ ธรรม และการมวี ินัย ใหเ้ ป็นสว่ นหนึ่งของการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรอู้ ย่างต่อเนอื่ ง ๒.๘ จัดประสบการณ์ท้ังในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่เกิดขึ้น ในสภาพจรงิ โดยไม่ได้คาดการณ์ไว้ ๒.๙ จัดทาสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของ เดก็ เป็นรายบุคคล นามาไตร่ตรองและใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กและการวจิ ัยในชนั้ เรียน ๒.๑๐ จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วมทั้ง การวางแผนการสนับสนุนส่อื แหล่งเรยี นรู้ การเข้าร่วมกจิ กรรม และการประเมินพฒั นาการ

๕๔ ๓. การจัดกจิ กรรมประจาวนั กิจกรรมสาหรับเด็กอายุแรกเกิดถึง ๖ ปี สามารถนามาจัดเป็นกิจกรรมประจาวันได้หลาย รูปแบบ เป็นการช่วยให้ผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์ทราบว่าแต่ละวันจะทากิจกรรมอะไร เมื่อใด และอยา่ งไร ท้ังน้ี การจัดกิจกรรมประจาวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมใน การนาไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สาคัญผู้สอนต้องคานึงถึงการจัดกิจกรรมให้ ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน การจัดกิจกรรมประจาวันมีหลักการจัดและขอบข่ายของกิจกรรม ประจาวัน ดงั น้ี ๓.๑ หลักการจัดกจิ กรรมประจาวัน 3.1.๑ กาหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย ของเด็กในแตล่ ะวนั แตย่ ืดหย่นุ ไดต้ ามความตอ้ งการและความสนใจของเด็ก เชน่ วยั ๓-๔ ปี มีความสนใจประมาณ ๘-๑๒ นาที วยั ๔-๕ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๒-๑๕ นาที วยั ๕-๖ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๕-๒๐ นาที 3.1.๒ กิจกรรมท่ีต้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลา ต่อเนอื่ งนานเกินกวา่ ๒๐ นาที 3.1.๓ กจิ กรรมทเ่ี ดก็ มีอิสระเลือกเลน่ เสรี เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ดก็ ร้จู ักเลือก ตัดสินใจคิด แก้ปญั หา คดิ สร้างสรรค์ เชน่ การเลน่ ตามมุม การเลน่ กลางแจง้ ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที 3.1.๔ กจิ กรรมควรมีความสมดลุ ระหวา่ งกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กจิ กรรม ทีใ่ ชก้ ลา้ มเนือ้ ใหญแ่ ละกลา้ มเน้อื เล็ก กจิ กรรมท่เี ป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็ก เป็นผ้รู เิ ร่มิ และผ้สู อน หรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้ริเริ่ม และกิจกรรมที่ใช้กาลังและไม่ใช้กาลัง จัดให้ ครบทกุ ประเภท ท้ังนี้ กิจกรรมทีต่ อ้ งออกกาลงั กายควรจัดสลับกับกิจกรรมท่ีไม่ต้องออกกาลังมากนัก เพื่อเดก็ จะได้ไม่เหน่อื ยเกินไป ๓.๒ ขอบขา่ ยของกิจกรรมประจาวนั การเลอื กกิจกรรมทจี่ ะนามาจัดในแตล่ ะวนั สามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสมในการนาไปใชข้ องแตล่ ะหน่วยงานและสภาพชุมชน ทีส่ าคัญผูส้ อนต้องคานึงถึงการจัด กจิ กรรมใหค้ รอบคลุมพัฒนาการทกุ ด้าน ดังตอ่ ไปน้ี ๓.๒.๑ การพัฒนากล้ามเน้ือใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่างๆ และจังหวะการเคล่ือนไหวในการใช้กล้ามเนื้อ ใหญ่ โดยจดั กิจกรรมใหเ้ ดก็ ไดเ้ ลน่ อสิ ระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนปุายเล่นอิสระ เคลื่อนไหว ร่างกายตามจังหวะดนตรี ๓.๒.๒ การพฒั นากลา้ มเนอื้ เลก็ เป็นการพฒั นาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือเล็ก กล้ามเน้ือมือ-นิ้วมือ การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเน้ือมือและระบบประสาทตามือได้อย่าง คล่องแคลว่ และประสานสมั พนั ธก์ นั โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสัมผัส เล่นเกมการศึกษา ฝกึ ช่วยเหลือตนเองในการแตง่ กาย หยิบจับช้อนส้อม และใช้วัสดุอุปกรณ์ศิลปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พู่กัน ดนิ เหนยี ว ฯลฯ

๕๕ ๓.๒.๓ ก าร พั ฒ น าอ าร มณ์ จิต ใจ แล ะ ปลูก ฝั ง คุ ณธ ร ร ม จริ ยธ ร ร ม เป็นการปลูกฝังให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รบั ผิดชอบ ซ่ือสัตย์ ประหยัด เมตตา กรณุ า เอ้ือเฟ้ือ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรม ไทยและศาสนาที่นับถือโดยจัดกิจกรรมต่างๆ ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ไดร้ บั การตอบสนองความต้องการ ไดฝ้ ึกปฏิบตั โิ ดยสอดแทรกคณุ ธรรม จรยิ ธรรม อยา่ งต่อเน่ือง ๓.๒.๔ การพัฒนาสงั คมนสิ ยั เป็นการพัฒนาใหเ้ ดก็ มลี ักษณะนิสยั ทีด่ ี แสดงออก อย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทากิจวัตรประจาวัน มีนิสัยรักการทางาน ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น โดยรวมท้ังระมัดระวังอันตราย จากคนแปลกหน้า ให้เด็กได้ปฏบิ ัติกิจวัตรประจาวันอย่างสม่าเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อนนอน หลับ ขับถ่าย ทาความสะอาดร่างกาย เล่นและทางานร่วมกับผู้อ่ืน ปฏิบัติตามกฎกติกาข้อตกลง ของสว่ นรวม เกบ็ ของเข้าที่เม่ือเลน่ หรือทางานเสรจ็ ๓.๒.๕ การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิด แก้ปัญหาความคิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้ เด็กได้สนทนาอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานท่ี เล่นเกมการศึกษา ฝึกการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ฝึกออกแบบและสร้างขึ้นงาน และทากิจกรรม ทั้งเป็นกลมุ่ ย่อย กลุ่มใหญ่ และรายบคุ คล ๓.๒.๖ การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาส่ือสารถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิด ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถต้ังคาถาม ในส่ิงท่ีสงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรมทางภาษาให้มีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ มุ่งปลกู ฝังให้เดก็ ไดก้ ล้าแสดงออกในการฟงั พดู อ่าน เขียน มีนสิ ยั รักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้อง เป็นแบบอย่างท่ีดีในการใช้ภาษา ท้ังนี้ต้องคานึงถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษาที่เหมาะสมกับเด็ก เป็นสาคญั ๓.๒.๗ การส่งเสรมิ จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็ก มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของส่ิงต่างๆ โดยจัดกจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ ดนตรี การเคล่ือนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ อย่างอสิ ระ เล่นบทบาทสมมติ เลน่ นา้ เล่นทราย เลน่ บล็อก และเลน่ ก่อสร้าง เทคโนโลยสี ิง่ อ้านวยความสะดวก ส่ือ และแหลง่ เรยี นรู้ การจดั การศึกษาสาหรบั เดก็ พิการ ต้องใช้เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ และแหล่ง เรียนรู้ ท่ีสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษ ของแต่ละบุคคล รวมท้ังการใช้แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถ่ิน มาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ ท่ีสามารถส่งเสริมและสื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการ เรยี นรู้ โดยศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ควรจดั ให้มีอยา่ งพอเพยี ง เพื่อพัฒนาให้เด็กพิการเกิดการเรียนรู้อย่าง แทจ้ ริง เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ และแหล่งเรียนรู้นั้น ผู้สอนสามารถจัดทา และพัฒนาขึ้นเอง หรือพิจารณาเลือกใช้จากคู่มือรายการส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษามาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ สา มารถส่งเสริม

๕๖ และสอื่ สารใหเ้ ดก็ พกิ ารเกิดการเรยี นรู้ โดยศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพื่อพัฒนา ให้เด็กพกิ ารเกดิ การเรยี นรอู้ ย่างแทจ้ รงิ ควรดาเนินการดงั น้ี ๑. จัดให้มีแหล่งเรียนรู้ ศูนย์สื่อ นวัตกรรม และเครือข่ายการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ ในสถานศึกษาและชุมชน เพ่ือการศึกษา ค้นคว้า และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ ระหวา่ งสถานศึกษา ทอ้ งถนิ่ ชมุ ชน ๒. จัดทา จัดหาเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือการเรียนรู้สาหรับเด็กพิการ สง่ เสรมิ ให้ผสู้ อนจัดทา จัดหาส่ือท่ีหลากหลาย รวมทง้ั ประยกุ ตใ์ ชส้ ่ิงทีม่ ีอยูใ่ นทอ้ งถนิ่ เป็นสอ่ื การเรยี นรู้ ๓. เลือกใช้เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เหมาะสม และหลากหลาย สอดคล้องกับวิธีการเรยี นรูแ้ ละความแตกต่างของแตล่ ะบุคคล ๔. ประเมนิ ความเหมาะสมคุณภาพของเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ ท่ีเลือกใช้ ในการจดั การเรียนรู้ ๕. ศึกษาค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือการเรียนรู้ ใหส้ อดคล้องกับการพฒั นาเดก็ พกิ าร ๖. จัดให้มีการกากบั ตดิ ตาม ประเมนิ คณุ ภาพ การใช้เทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ และแหลง่ เรียนรอู้ ยา่ งสมา่ เสมอ ในการจัดทา การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก สอื่ และแหล่งเรียนรทู้ ใ่ี ชใ้ นศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ ควรคานงึ ถึงหลกั การสาคญั เชน่ ความสอดคล้องกับ หลกั สตู ร จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ เป็นตน้ การประเมินพฒั นาการ การประเมินพัฒนาการเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ อายุแรกเกิดถึง ๖ ปี เป็นการ ประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยใช้แบบประเมินท่ี หลากหลาย โดยนักสหวิชาชีพ รวมทั้งผู้ปกครองเป็นผู้ให้ข้อมูลและร่วมประเมิน ทั้งน้ีโดยใช้กรอบ มาตรฐาน ตัวบ่งช้ี และสภาพท่ีพึงประสงค์ รวมทั้งเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก ตามความ ต้องการจาเป็น ก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพ่ือนามาใช้ในการวางแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล ระหว่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาและทบทวนแผนให้สอดคล้องกับ ความต้องการจาเป็นของแต่ละบุคคล และเม่ือส้ินสุดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อประเมิน ความสามารถตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กาหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ท้ังน้ี นกั สหวชิ าชีพและผ้ปู กครองต้องร่วมกันประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามมาตรฐานและตัวบ่งชี้ ทก่ี าหนดไวใ้ นหลักสูตรตามช่วงอายุ

๕๗ 1. แนวทางการประเมนิ พฒั นาการ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ กาหนดเปูาหมาย คณุ ภาพของเดก็ โดยยึดพฒั นาการเดก็ ปฐมวัยด้านรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ดงั นี้ 1.1 การประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย การประเมินน้าหนักส่วนสูง และเส้นรอบศีรษะตามเกณฑ์ สุขภาพอนามัย สุขนิสัยที่ดี การรู้จักความปลอดภัย การเคล่ือนไหว และการทรงตัว การเล่นและการออกกาลังกาย และการใช้กล้ามเนอ้ื เล็กอยา่ งประสานสัมพนั ธ์กัน 1.2 การประเมินพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย การประเมิน ความสามารถในการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสมกับวัยและสถานการณ์ ความรู้สึกท่ีดีต่อ ตนเองและผอู้ ่ืน มคี วามเห็นอกเห็นใจ ความสนใจ ความสามารถ และมีความสุขในการทางานศิลปะ ดนตรี และการเคล่ือนไหว ความรับผิดชอบในการทางาน ความซ่ือสัตย์สุจริตและรู้สึกถูกผิด ความเมตตากรณุ า มนี ้าใจและช่วยเหลือแบ่งปนั ตลอดจนการประหยดั อดออมและพอเพียง 1.3 การประเมินพัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย การประเมินความมีวินัยใน ตนเอง การช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน การระวังภัยจากคนแปลกหน้า และสถานการณ์ท่ีเสี่ยงอันตราย การดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การมีสัมมาคาราวะ และมารยาทตามวัฒนธรรมไทย รักความเป็นไทย การยอมรับความเหมือนความแตกต่างระหว่าง บคุ คล การมีปฏิสัมพันธ์ท่ีดีกับผู้อ่ืน การปฏิบัติตนเบ้ืองต้นในการเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคมในระบอบ ประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข 1.4 การประเมินพัฒนาการด้านสติปญั ญา ประกอบด้วย การประเมินความสามารถ ในการสนทนาโต้ตอบและเล่าเรื่องให้ผู้อ่ืนเข้าใจ ความสามารถในการอ่าน เขียนภาพ และสัญลักษณ์ ความสามารถในการคิดรวบยอด การคิดเชิงเหตุผล การคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจ การทางานศิลปะ การแสดงท่าทาง/เคลื่อนไหวตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ การมีเจตคติท่ีดีต่อการเรียนรู้ และความสามารถในการแสวงหาความรู้ 1.5 พัฒนาทกั ษะจาเป็นเฉพาะความพิการแต่ละประเภท 1.5.1 การประเมินทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการเห็น ประกอบด้วย ความสามารถในการบูรณาการประสาทสัมผัสท่ีเหลืออยู่ในการดารงชีวิต ความสามารถในการสร้าง ความคนุ้ เคยกับสภาพแวดลอ้ ม และการเคลื่อนไหวของคนตาบอด การเตรียมความพร้อมในการอ่าน และเขียน อักษรเบรลล์ ความสามารถในการอ่านและเขียนอักษรเบรลล์พยัญชนะไทยที่มีเซลเดียว และตวั เลข และความสามารถในการใช้ลูกคดิ 1.5.2 การประเมินทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการได้ยิน ประกอบด้วย ความสามารถใช้และดูแลเครื่องช่วยฟัง ความสามารถใช้การได้ยินท่ีหลงเหลืออยู่ในชีวิตประจาวัน ความสามารถเปล่งเสียงหรือพูดตามแบบ ความสามารถอ่านริมฝีปาก ความสามารถใช้ภาษาท่าทาง และภาษามือในการสอื่ สาร และความสามารถสะกดนวิ้ มอื 1.5.3 การประเมินทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางสติปัญญา ประกอบด้วย ความสามารถส่ือสารได้เหมาะสมกับสถานการณ์ ความสามารถดูแลตนเองและความปลอดภัยใน ชวี ิตประจาวัน การมีปฏสิ ัมพนั ธท์ างสงั คมกบั ผู้อืน่ อย่างเหมาะสม การร้จู กั ใชท้ รพั ยากรในชมุ ชน

๕๘ 1.5.4 การประเมนิ ทักษะจาเปน็ เฉพาะความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคล่ือนไหว หรือสุขภาพ ประกอบดว้ ย การดแู ลสขุ อนามยั เพอื่ ปูองกันภาวะแทรกซ้อน ความสามารถใช้และดูแล รักษาอุปกรณ์เครื่องช่วยในการเคลื่อนย้ายตนเอง ความสามารถใช้และดูแลรักษากายอุปกรณ์เสริม กายอุปกรณ์ อุปกรณ์ดัดแปลง ความสามารถใช้เทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก เคร่ืองช่วย ในการเรยี นรู้ และการควบคมุ อวัยวะท่ใี ช้ในการพดู การเคย้ี ว และการกลืน 1.5.5 การประเมินทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการเรียนรู้ ประกอบด้วย ความสามารถในการรับรู้การได้ยิน ความสามารถในการรับรู้การเห็น ความสามารถในการจัดลาดับ ความคดิ ความสามารถในการจัดระเบยี บตนเอง และความสามารถในการบอกตาแหนง่ /ทิศทาง 1.5.6 การประเมินทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการพูดและภาษา ประกอบด้วย ความสามารถควบคุมอวัยวะในการออกเสียง สามารถออกเสียงตามหน่วยเสียงได้ ชัดเจน สามารถเปล่งเสียงให้เหมาะสมกับธรรมชาติของแต่ละคน และความสามารถควบคุมจังหวะ การพูด 1.5.7 การประเมินทักษะเป็นเฉพาะความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ประกอบดว้ ย ความสามารถจัดการกับอารมณข์ องตนเอง ความสามารถควบคุมพฤตกิ รรมของตนเองได้ อยา่ งเหมาะสม และความสามารถปรบั ตัวในการอยู่รว่ มกบั สังคม 1.5.8 การประเมนิ ทักษะจาเปน็ เฉพาะบุคคลออทสิ ติก ประกอบด้วย การตอบสนองต่อ ส่ิงเร้าจากประสาทสัมผัสได้เหมาะสม ความสามารถในการเข้าใจภาษาและแสดงออกทางภาษา ได้อย่างเหมาะสม และการแสดงพฤติกรรมท่เี หมาะสมตามสถานการณ์ 2. ข้นั ตอนการประเมนิ การประเมินพัฒนาการเพื่อนาไปใช้ในการวางแผนการจัดการศึกษาตามหลักสูตรปฐมวัย สาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ควรมีการประเมินพัฒนาการโดยใช้แบบประเมิน ที่หลากหลาย โดยนักสหวิชาชีพ รวมทั้งผู้ปกครองเป็นผู้ให้ข้อมูลและร่วมประเมิน ทั้งน้ีโดยใช้ กรอบมาตรฐาน ตัวบ่งช้ี และสภาพที่พึงประสงค์ รวมทั้งเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก ตามความตอ้ งการจาเป็น ทั้งกอ่ น ระหว่างและส้นิ สดุ การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ ดังต่อไปน้ี 2.1 การประเมินพฒั นาการในแต่ละช่วงอายุ 2.๑.๑ ศึกษาและทาความเข้าใจพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงอายุทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ดา้ นอารมณ์ จติ ใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา พิจารณากิจกรรมในการอบรมเลี้ยงดู ลกั ษณะความพกิ ารของเดก็ แตล่ ะประเภท การจดั ประสบการณท์ ีส่ ะทอ้ นพัฒนาการของเด็ก 2.๑.๒ วางแผนเลือกใชว้ ธิ กี ารและเครอ่ื งมือท่เี หมาะสมสาหรับใชบ้ ันทกึ และประเมิน พัฒนาการ เช่น สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กของกรมอนามัย แบบประเมินเฝูาระวังและส่งเสริม พัฒนาการเด็กปฐมวัย (Developmental Surveillance and Promotion Manual : DSPM) หรือ แบบประเมินส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยง (Developmental Assessment and Intervention Manual : DAIM) แบบบันทึกพฤติกรรม เหมาะท่ีจะใช้บันทึกพฤติกรรมของเด็ก การบันทึกรายวัน เหมาะกับการบันทึกกิจกรรมหรือประสบการณ์ท่ีเกิดขึ้นในแต่ละวัน การบันทึกการเลือกของเด็ก เหมาะสาหรับบันทึกลักษณะเฉพาะและปฏิกิริยาท่ีเด็กมีต่อสิ่งต่างๆรอบตัว เป็นต้น ด้วยเหตุน้ี

๕๙ จงึ เปน็ หน้าท่ีของพ่อแม่หรอื ผดู้ แู ลที่จะเลือกใช้เครื่องมือประเมินพัฒนาการให้เหมาะสม เพ่ือจะได้ผล ของพฒั นาการทถี่ กู ตอ้ งตามพฒั นาการ 2.๑.๓ ดาเนินการประเมินและบันทึกพัฒนาการหลังจากท่ีได้วางแผนและเลือก เครอื่ งมอื ที่จะใชป้ ระเมนิ และบันทกึ พัฒนาการแล้ว ก่อนจะลงมือประเมินและบันทึกจะต้องอ่านคู่มือ หรือคาอธิบายวิธีการใช้เครื่องมือน้ันๆอย่างละเอียด แล้วจึงดาเนินการตามข้ันตอนท่ีปรากฏในคู่มือ และบนั ทกึ เป็นลายลกั ษณอ์ ักษรตอ่ ไป 2.๑.๔ ประเมินและสรุป ในการประเมินและสรุปน้ันพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลของส่ิงที่ต้องการประเมิน เช่น การประเมินพัฒนาการด้วยวิธีการสังเกต เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสังเกต วิธีการสนทนา เคร่ืองมือที่ใช้คือแบบบันทึกการสนทนา อาจเป็น การบันทึกการสนทนาระหว่างเด็กกับเด็ก หรือเด็กกับครู พิจารณาผลงานโดยเปรียบเทียบ กับพัฒนาการ การประเมินควรประเมินหลายๆครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลว่าเด็กมีพัฒนาการอย่างไร ทาอะไรได้มากน้อยเพียงใด และสรุปผล 2.๑.๕ รายงานผลการประเมิน เมื่อได้ผลจากการประเมินและสรุปพัฒนาการ ของเด็กแล้ว พ่อแมห่ รือ ผดู้ ูแลจะตอ้ งตัดสนิ ใจวา่ จะรายงานขอ้ มลู น้ีไปยงั ผู้ใดและเพื่อจุดประสงค์อะไร และจะต้องใช้รูปแบบใด สาหรับการอบรมเลี้ยงดูตามวิถีชีวิตประจาวันโดยพ่อแม่ ผู้ดูแล มีการประเมินพัฒนาการเพ่ือเฝูาระวังและเป็นข้อมูลในการพบแพทย์ และอาจนาไปใช้ในการอบรม เล้ียงดูและจัดประสบการณเ์ พื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ สาหรับผู้ดูแลเด็กในศูนย์การศึกษาพิเศษ จะต้องรายงานต่อผู้บริหารศูนย์การศึกษาพิเศษ เพื่อให้ทราบว่ากิจกรรมหรือประสบการณ์ ท่ีศูนย์การศึกษาพิเศษจัดให้เด็กนั้นส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทุกด้านได้ตามจุดประสงค์หรือไม่ เพื่อนาไปปรับปรงุ แกไ้ ขการจัดกจิ กรรมให้เหมาะสมกับเด็กตอ่ ไป 2.1.6 ผู้ดูแลเด็กจะต้องรายงานผลของการประเมินพัฒนาการไปยังผู้ปกครองเด็ก ซง่ึ แตล่ ะศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษจะต้องมีสมุดรายงานประจาตัวเด็ก หรือแบบบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก ของกรมอนามยั หรือแบบประเมนิ DSPM และคมู่ อื เฝาู ระวงั และส่งเสรมิ พัฒนาการเด็กปฐมวัย ผู้ดูแล เด็กใช้สมุดรายงานหรอื แบบบันทึกสุขภาพแม่และเด็กของกรมอนามัย หรือแบบประเมิน DSPM นั้น เป็นเคร่ืองมือรายงานผู้ปกครองได้ และถ้าผู้ดูแลเด็กมีข้อเสนอแนะหรือจะขอความร่วมมือ จากผู้ปกครองเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก็อาจเขียนเพิ่มเติมลงไปในสมุดรายงานได้ และต้องคานึงเสมอไม่ว่าจะใช้แบบรายงานใดข้อมูลควรจะมีความหมาย เกิดประโยชน์แก่เด็กเป็น สาคัญ 2.๑.7 การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเป็นสิ่งสาคัญมาก ผู้ดูแลเด็กต้องตระหนักว่า การทางานร่วมกับผู้ปกครองเก่ียวกับการพัฒนาเด็กเป็นเรื่องสาคัญ ผู้ดูแลเด็กควรยกย่องผู้ปกครอง ที่พยายามมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก ผู้ดูแลเด็กจะต้องต้อนรับผู้ปกครองที่มาศูนย์การศึกษาพิเศษ ขอบคุณสาหรับความช่วยเหลือ เขียนจดหมายถึงผู้ปกครองเพ่ือรายงานเรื่องเด็ก พูดคุยด้วยตนเอง หรือทางโทรศพั ท์ ส่ิงเหล่าน้ีจะทาให้ผู้ปกครองรู้สึกถึงความสาคัญของตนเองและต้องการที่จะมีส่วน รว่ มกบั ผดู้ ูแลเด็กในการพฒั นาเดก็ ของตน

๖๐ 2.2 การประเมินมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ผู้สอนต้องวิเคราะห์มาตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพท่ีพึงประสงค์ และกาหนดสิ่งที่ประเมิน จากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน เพื่อวางแผนการประเมิน พัฒนาการ ดังนี้ 2.2.1 การวเิ คราะหม์ าตรฐาน ตวั บ่งช้ี สภาพที่พึงประสงค์ การนาหลักสูตรสถานศึกษาไปสู่การจัดประสบการณ์ ได้มีการวิเคราะห์สาระ การเรียนรู้รายปีท่ีสอดคล้องของมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ เพ่ือกาหนดหน่วยการเรียนรู้ โดยการนาสภาพที่พึงประสงค์ที่ได้จากการวิเคราะห์มากาหนดเป็น จดุ ประสงค์การเรียนรขู้ องหนว่ ยการเรียนร้นู นั้ ๆ และกาหนดกจิ กรรมหลกั 6 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรม เคลอื่ นไหวและจังหวะ กจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์ กจิ กรรมการเล่นตามมุม กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง เกมการศึกษา หรือใช้รูปแบบการจัดประสบการณ์ตามที่สถานศึกษา กาหนดในการพัฒนาเดก็ 2.2.2 การกาหนดประเด็นการประเมิน เป็นการกาหนดพฒั นาการทต่ี อ้ งการประเมนิ คอื สภาพทพี่ ึงประสงค์ทน่ี ามากาหนด เปน็ จุดประสงคก์ ารเรยี นร้ขู องหนว่ ยการเรียนรู้ซง่ึ ครอบคลมุ พัฒนาการทงั้ 4 ด้าน และทักษะที่จาเป็น เฉพาะความพิการ ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ และเชื่อมโยงไปยังจุดประสงค์ของแผนการจัด ประสบการณ์ในแต่ละวัน ดังนั้นประเด็นการประเมินจึงประกอบไปด้วยจุดประสงค์ของแผนการจัด ประสบการณท์ ส่ี อดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรยี นรขู้ องหนว่ ยการเรียนรูน้ ัน้ ๆ 3. วธิ ีการและเคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ พัฒนาการ เครื่องมือท่ีใช้ในการประเมินพัฒนาการเด็ก ครูผู้สอนต้องวางแผนและกาหนดวิธีการ ประเมินให้เหมาะสมกับกิจกรรม ใช้การสังเกตพฤติกรรม การประเมินผลงาน/ชิ้นงาน การพูดคุย หรือสมั ภาษณเ์ ดก็ วิธีการท่ีครผู ้สู อนเลอื กใช้ต้องมากกว่า 2 วธิ ีการ หรือใชว้ ิธีการทหี่ ลากหลาย เชน่ 1) การสังเกตและการบนั ทกึ 2) การบนั ทกึ การสนทนา 3) การสมั ภาษณ์ 4) สารนทิ ศั นส์ าหรบั เดก็ เพื่อการประเมินพฒั นาการ 5) การประเมนิ การเจรญิ เตบิ โต 6) การประเมนิ ผลงานและช้นิ งาน 7) ฯลฯ 4. เกณฑ์การประเมนิ ในการวดั และประเมนิ ผลมวี ธิ กี ารและเกณฑ์การประเมินดงั น้ี ๑. วิธีการวัดและประเมินผล ใช้การสังเกตพฤติกรรม และประเมินผลการเรียนรู้ตาม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของพัฒนาการแต่ละด้านที่กาหนดในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หรอื แผนใหบ้ ริการชว่ ยเหลือเฉพาะครอบครัว

๖๑ ๒. เกณฑ์ในการประเมินผล ซ่ึงจะนาไปสู่การสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ดาเนินการ ประเมนิ จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมที่กาหนดในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลหรือ แผนให้บริการ ช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยมีเกณฑ์ ดังต่อไปน้ี ๑) ด้านพัฒนาการ ตัดสินคุณภาพผู้เรียนเป็น ๕ ระดับ คือ ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ และปรับปรุง ๒) ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตัดสินเป็น ๕ ระดับ คือ ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ และปรบั ปรงุ ๓) ด้านกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รียน ให้ตดั สนิ เปน็ ผา่ นและไมผ่ า่ น 5. การดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เม่ือผู้สอนวางแผนการประเมินพัฒนาการแล้วควรทาการสังเกตพฤติกรรมของเด็กเป็น รายบุคคล หรือรายกลุ่ม ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การพูดคุย หรือสัมภาษณ์เด็ก หรือการ ประเมนิ ผลงาน/ช้นิ งาน ของเด็กอย่างเป็นระบบ เพ่ือรวบรวมข้อมูลพัฒนาการของเด็กให้ครอบคลุม เด็กทุกคนแล้วสรุปลงในแบบบนั ทกึ ผลการประเมนิ สภาพท่พี ึงประสงค์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพที่พึงประสงค์ ผู้สอน ควรเก็บรวบรวมขอ้ มูลเป็นรายบุคคล โดยสภาพทีพ่ งึ ประสงค์ 1 ข้อ ควรได้รับการประเมินพัฒนาการ อย่างน้อย 2 คร้ังต่อ 1 ภาคเรียน ระยะแรกควรเป็นการประเมินเพื่อความก้าวหน้า ไม่ควรเป็นการประเมินเพื่อตัดสินพัฒนาการของเด็ก ดังนั้น การเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมิน พัฒนาการตามสภาพที่พึงประสงค์จึงเป็นการสะสมเพื่อยืนยันว่าเด็กเกิดพัฒนาการตามสภาพ ที่พงึ ประสงค์นั้นๆ ชดั เจนและมคี วามนา่ เชอ่ื ถือ 6. การสรุปผลการประเมินพัฒนาการเดก็ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ควรสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กรายตัวบ่งชี้ รายมาตรฐาน คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ และในภาพรวมของพัฒนาการรายด้าน ภาคเรียนละ 1 ครั้ง สาหรับ แนวทางการสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพที่พึงประสงค์ในแต่ละตัวบ่งชี้ ควรใช้ ฐานนิยม (Mode) ไม่ควรนาคา่ ระดับคณุ ภาพของสภาพทีพ่ งึ ประสงค์มาหาค่าเฉลีย่ ในกรณีมีฐานนิยม มากกว่า 1 ฐานนิยม คือ มีระดับคุณภาพซ้ามากกว่า 1 ระดับคุณภาพ การสรุปผลการประเมิน พัฒนาการเด็กในแต่ละตัวบ่งช้ีให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา โดยคานึงถึงปรัชญาการศึกษา และหลักการของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ รวมทั้งการนาข้อมูล ผลการประเมนิ ไปใชเ้ พอื่ พัฒนาเดก็ ตอ่ ไป 7. การรายงานผลการประเมนิ พัฒนาการและการนาขอ้ มูลไปใช้ การรายงานผลการประเมินพัฒนาการเป็นการสื่อสารให้พ่อแม่ ผู้ปกครองและผู้เก่ียวข้อง ได้ทราบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินพัฒนาการ และจัดทาเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง

๖๒ การรายงานผลการประเมินพัฒนาการสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพตามพฤติกรรมท่ีแสดงออก ถึงพัฒนาการแต่ละด้าน ท่ีสะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้ง 13 ข้อตามหลักสูตร การศกึ ษาปฐมวยั สาหรับเด็กที่มคี วามตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ แนวทางการใชห้ ลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัยสาหรับเดก็ ทม่ี คี วามต้องการจาเป็นพเิ ศษ 1. ศึกษาหลักสตู ร ศึกษามาตรฐาน ตัวบ่งช้ี สภาพท่ีพึงประสงค์ ในแต่ละช่วงอายุจริงหรืออายุพัฒนาการ ของเด็ก 2. รวบรวมขอ้ มลู เกย่ี วกบั ตวั เด็ก ประวัติครอบครวั ประวตั ทิ างการแพทย์ ประเภทความพิการ 3. ประเมนิ พัฒนาการเด็ก 3.1 ใช้แบบประเมิน DSPM หรือ DAIM ของกรมอนามัย ต้นปีการศึกษาโดยครู และผ้ปู กครอง 3.2 ใชแ้ บบประเมินที่หลากหลาย โดยนกั สหวิชาชีพ 3.3 รวบรวมข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ากการประเมินมาจัดทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบคุ คล (IEP) 4. จัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) 4.1 การจดั ทาแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP) ควรมกี ารแต่งตั้งคณะกรรมการ จัดทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบคุ คล และตรวจสอบหรือประเมินพัฒนาการ 4.2 การจัดทาแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล (IEP) มอี งค์ประกอบดงั น้ี 4.2.๑ ข้อมูลท่ัวไป 4.2.๒ ขอ้ มลู ดา้ นการแพทย์หรือด้านสขุ ภาพ 4.2.๓ ขอ้ มูลด้านการศกึ ษา 4.2.๔ ข้อมลู อืน่ ๆ ทจ่ี าเปน็ 4.2.๕ การกาหนดแนวทางการศึกษาและการวางแผนการจดั การศึกษาพิเศษ 4.2.๖ ความต้องการดา้ นสิง่ อานวยความสะดวก เทคโนโลยีสิง่ อานวยความสะดวก ส่ือ บรกิ าร และความช่วยเหลืออ่นื ใดทางการศึกษา 4.2.๗ คณะกรรมการจัดทาแผน 4.2.๘ ความเห็นของบิดา มารดา ผ้ปู กครอง หรือผู้เรยี น 5. จัดทาแผนการสอนเฉพาะบคุ คล (IIP) นาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (เป้าหมายระยะส้ัน) ท่ีกาหนดในแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล มาดาเนินการจัดทาแผนการสอนเฉพาะบุคคล โดยการวิเคราะห์งานหรือกิจกรรม การเรียนรู้ ด้วยการเรียงลาดับกิจกรรมที่ง่ายไปสู่กิจกรรมท่ียากข้ึน หรือกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมไปสู่ กจิ กรรมท่เี ป็นนามธรรม ให้เหมาะสมกับความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษของผ้เู รียนแต่ละบคุ คล

๖๓ 6. จัดทาแผนการจดั ประสบการณ์ 6.1 ศกึ ษามาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และสภาพทพี่ ึงประสงค์ ตามชว่ งอายขุ องเด็ก เพื่อนามาจัดทา แผนการจัดประสบการณ์ 6.2 จัดทาแผนการจัดประสบการณ์อย่างหลากหลาย ครอบคลุมสภาพที่พึงประสงค์ ซง่ึ เปลี่ยนเป็นจดุ ประสงค์การเรียนรู้ให้ครบทุกสภาพทพี่ ึงประสงคใ์ นช่วงอายจุ รงิ หรอื อายุพฒั นาการ 7. จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 7.1 จัดกิจกรรมตามแผนการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมเคล่ือนไหวและจังหวะ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมการเล่นตามมุม กิจกรรมเสริม ประสบการณ์ กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง เกมการศึกษา หรือใช้รูปแบบการจัดประสบการณ์ ตามท่ีศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษกาหนดในการพัฒนาเดก็ 7.2 ในการจัดกิจกรรมให้คานึงถึงแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ของเด็ก แต่ละคน เพื่อใหส้ อดคล้องกับความตอ้ งการจาเปน็ ตามทวี่ างแผนไว้ 7.3 ในบางทักษะที่จาเป็นเฉพาะความพิการหรือบางทักษะท่ีเป็นปัญหาของเด็ก อาจต้องจดั การเรยี นการสอนเป็นรายบคุ คล 8. ประเมนิ พัฒนาการ 8.1 ประเมินตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) ซึ่งมี 5 ระดับ เป็นระบบตัวเลข คือ 5, 4, 3, 2, 1 หรือ เป็นระบบที่ใช้คาสาคัญ เช่น ดีเย่ียม, ดีมาก, ดี, พอใช้, ควรส่งเสริม หรือตามท่ี สถานศกึ ษากาหนด อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครง้ั 8.2 ประเมินตามแผนการจดั ประสบการณ์โดยมีเกณฑเ์ ป็น 3 ระดบั เปน็ ระบบตัวเลข คือ 3, 2, 1 หรอื เปน็ ระบบทใี่ ช้คาสาคัญ เช่น ด,ี พอใช,้ ควรส่งเสรมิ ตามที่สถานศึกษากาหนด อย่างน้อย ภาคเรียนละ ๒ ครั้ง 8.3 ประเมนิ อายุพัฒนาการเม่อื สิ้นปกี ารศึกษา เพ่อื เปรยี บเทียบกบั ต้นปีการศึกษา 9. สรุป และรายงานผล 9.1 สรุปผลการประเมินเปูาหมายระยะส้ันและระยะยาวในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล (IEP) และรายงานผบู้ ริหาร และผปู้ กครอง 9.2 สรุปผลการประเมินพัฒนาการท้ัง 4 ด้าน ตามมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และสภาพท่ีพึง ประสงคใ์ นชว่ งอายุของเดก็ ทุกมาตรฐานและรายงานผบู้ ริหาร และผปู้ กครอง 9.3 สรปุ ผลการประเมนิ อายุพฒั นาการเด็ก และรายงานผบู้ รหิ าร และผปู้ กครอง

๖๔ การสรา้ งรอยเชอื่ มตอ่ ระหวา่ งการศกึ ษาระดับปฐมวัยกบั ระดบั ประถมศึกษาปีที่ ๑ การสร้างรอยเช่ือมตอ่ ระหว่างการศกึ ษาระดับปฐมวยั กบั ระดบั ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ โรงเรียน เฉพาะความพิการ หรือโรงเรียนจัดการเรียนรวม หรือศูนย์การศึกษาพิเศษในระดับที่สูงข้ึน มคี วามสาคญั อย่างยิ่ง ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้เป็น อย่างดี สามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างราบร่ืน การเช่ือมต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกับระดับ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ หรือระดับท่ีสูงขึ้น จะประสบผลสาเร็จได้ บุคลากรทุกฝุายท่ีเก่ียวข้องต้อง ดาเนินการดังต่อไปน้ี ๑. ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลสาคัญที่มีบทบาทเป็นผู้นาในการสร้างรอยเชื่อมต่อ ระหว่างหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานในชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๑ โดยต้องศึกษาหลักสูตรทั้งสองระดับ เพื่อทาความเข้าใจและจัดระบบการบริหารงานด้าน วชิ าการทจี่ ะเอ้อื ต่อการเช่อื มตอ่ การศกึ ษา โดยดาเนินการดังน้ี ๑.๑ จดั ประชมุ ผู้สอนระดบั ปฐมวัยและผู้สอนระดับประถมศึกษา ร่วมกันสร้างความ เข้าใจรอยเชื่อมต่อของหลักสูตรท้ังสองระดับให้เป็นแนวปฏิบัติของสถานศึกษา เพ่ือผู้สอนทั้งสอง ระดับจะได้เตรยี มการสอนได้สอดคล้องกบั เดก็ วยั น้ี ๑.๒ จดั หาเอกสารหลักสูตรและเอกสารทางวิชาการของทั้งสองระดับมาไว้ให้ผู้สอน และบุคลากรอื่นๆ ได้ศึกษาทาความเข้าใจ อย่างสะดวกและเพยี งพอ ๑.๓ จดั กิจกรรมใหผ้ ้สู อนท้ังสองระดับมีโอกาสแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ความรู้ใหม่ๆ รว่ มกัน ๑.๔ จดั หาสอื่ วสั ดุอุปกรณ์ และจัดสภาพแวดลอ้ มที่สง่ เสรมิ การสร้างรอยเช่ือมตอ่ ๑.๕ จัดกิจกรรมให้ความรู้ กิจกรรมสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ และจัดทาเอกสาร เผยแพรใ่ ห้กบั พอ่ แม่ ผปู้ กครองอย่างสม่าเสมอ เพื่อให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเข้าใจการศึกษาท้ังสองระดับ และใหค้ วามร่วมมือในการชว่ ยเหลอื เดก็ ใหส้ ามารถปรับตวั เข้ากบั สภาพแวดลอ้ มใหม่ไดด้ ี ในกรณีที่โรงเรียนไม่มีชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ในสถานศึกษาของตนเอง ผู้บริหาร สถานศึกษาควรประสานกับสถานศึกษาที่คาดว่าเด็กจะไปเข้าเรียน เพื่อสร้างความเข้าใจให้พ่อแม่ ผปู้ กครอง ในการช่วยเหลอื เดก็ สามารถปรบั ตัวเข้ากบั สถานศึกษาใหมไ่ ด้ ๒. ผูส้ อนระดับปฐมวัย ผ้สู อนระดับปฐมวยั ตอ้ งศกึ ษาหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน การจัดการเรียน การสอนในช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๑ และสร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองและบุคลากรอื่นๆ รวมทงั้ ช่วยเหลอื เดก็ ในการปรบั ตวั กอ่ นเลื่อนขึน้ ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยผู้สอนควรดาเนนิ การ ดงั นี้ ๒.๑ เก็บรวบรวมขอ้ มูลเกย่ี วกับตวั เดก็ เป็นรายบคุ คลเพือ่ ส่งต่อผู้สอนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๑ ซ่ึงจะทาให้ผู้สอนระดับประถมศึกษาสามารถใช้ข้อมูลนั้นช่วยเหลือเด็กในการปรับตัวเข้ากับ การเรยี นรู้ใหมต่ ่อไป ๒.๒ พูดคุยกับเด็กถึงประสบการณ์ที่ดีๆ เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในระดับช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี ๓ เพือ่ ใหเ้ ด็กเกิดเจตคตทิ ดี่ ตี ่อการเรียนรู้

๖๕ ๒.๓ จัดให้เด็กได้มีโอกาสทาความรู้จักกับผู้สอน ตลอดจนการสารวจสภาพแวดล้อม และบรรยากาศของห้องเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี ๑ ๒.๔ จัดสื่อ วัสดุอุปกรณ์ หนังสือท่ีเหมาะสมกับวัยเด็กท่ีส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้ และมีประสบการณ์พนื้ ฐานท่สี อดคลอ้ งกับรอยเชอ่ื มตอ่ ในการเรียนระดับช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ ๓. ผูส้ อนระดับประถมศึกษา ผู้สอนระดับประถมศึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพัฒนาการเด็กปฐมวัย และมีเจตคติท่ีดีต่อการจัดประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อนามาเป็นข้อมูล การพฒั นาการจดั การเรียนรรู้ ะดับชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี ๑ ให้ต่อเนอื่ งกบั การพฒั นาเดก็ ในระดบั ปฐมวัย โดยควรดาเนนิ การ ดงั น้ี ๓.๑ จัดกิจกรรมให้เด็ก พ่อแม่ และผู้ปกครอง มีโอกาสได้ทาความรู้จักคุ้นเคย กบั ผสู้ อนและหอ้ งเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ ๑ ก่อนเปดิ ภาคเรยี น ๓.๒ จัดสภาพห้องเรียนให้ใกล้เคียงกับห้องเรียนระดับปฐมวัย โดยจัดให้มี มุมประสบการณ์ภายในห้อง เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสทากิจกรรมได้อย่างอิสระ เช่น มุมหนังสือ มุมของเล่น มุมเกมการศึกษา เพ่ือช่วยให้เด็กช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๑ ได้ปรับตัวและเรียนรู้ จากการปฏบิ ตั จิ ริง ๓.๓ จดั กจิ กรรมรว่ มกันกับเดก็ ในการสร้างขอ้ ตกลงเกี่ยวกับการปฏบิ ัตติ น ๓.๔ จัดกิจกรรมช่วยเหลือ ส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็กตามความแตกต่าง ระหวา่ งบคุ คล ๓.๕ เผยแพร่ข่าวสารด้านการเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก พ่อแม่ ผู้ปกครอง และชุมชน ๔. พอ่ แม่ ผู้ปกครอง พ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการอบรมเล้ียงดูและส่งเสริมการศึกษา ของบุตรหลาน และเพ่ือช่วยบุตรหลานของตนเองในการศึกษาต่อช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ ควรดาเนนิ การดงั นี้ ๔.๑ ศกึ ษาและทาความเข้าใจหลกั สตู รของการศกึ ษาทง้ั สองระดบั ๔.๒ จัดหาหนังสอื อปุ กรณ์ทเ่ี หมาะสมกบั วัยเด็ก ๔.๓ มีปฏิสัมพันธ์ท่ีดีกับบุตรหลาน ให้ความรัก ความเอาใจใส่ ดูแลบุตรหลาน อย่างใกล้ชดิ ๔.๔ จดั เวลาในการทากจิ กรรมรว่ มกบั บุตรหลาน เชน่ เลา่ นิทาน อ่านหนังสือร่วมกัน สนทนาพดู คยุ ซักถามปญั หาในการเรียน ใหก้ ารเสรมิ แรงและให้กาลงั ใจ ๔.๕ ร่วมมือกับผู้สอนและสถานศึกษาในการช่วยเตรียมตัวบุตรหลาน เพ่ือช่วยให้ บุตรหลานปรับตวั ไดด้ ขี ้นึ

๖๖ การสง่ ตอ่ การสง่ ต่อ เปน็ การประสานงานระหว่างศูนย์การศึกษาพิเศษกับหน่วยงานอื่นๆที่เก่ียวข้อง เพื่อให้เด็กพิการได้รับบริการที่เหมาะสม เช่น บริการทางการแพทย์ บริการทางสังคม บริการทาง ศึกษา โดยประสานงานระหว่างโรงเรียนจัดการเรียนรวม โรงเรียนเฉพาะความพิการ หน่วยบริการ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เมื่อเด็กพิการมีผลการพัฒนาศักยภาพผ่านตามเกณฑ์ที่กาหนด ให้ส่งต่อเข้าสู่ระบบการศึกษาใน ช้ันเรียนที่สูงขึ้น เมื่อย้ายสถานศึกษา หรือรับบริการด้านอื่นๆให้ศูนย์การศึกษาพิเศษ นาส่ง แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล แบบรายงานผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เพ่ือเป็นข้อมูลในการจัด การศึกษาหรือบรกิ ารดา้ นอ่นื ๆตอ่ ไป การกากับ ตดิ ตาม ประเมนิ และรายงาน การจัดการศึกษาปฐมวัยมีหลักการสาคัญในการให้สังคม ชุมชน มีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาและกระจายอานาจการศึกษาลงไปยังท้องถิ่นโดยตรง โดยเฉพาะสถานศึกษาหรือสถาน พัฒนาเด็กปฐมวัย ซ่ึงเป็นผู้จัดการศึกษาในระดับน้ี ดังน้ัน เพื่อให้ผลผลิตทางการศึกษาปฐมวัย มีคุณภาพตามมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน และสงั คม จาเปน็ ต้องมรี ะบบการกากับ ตดิ ตาม ประเมินและรายงานทมี่ ีประสิทธิภาพ เพ่ือให้ทุกกลุ่ม ทุกฝุายท่ีมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษา เห็นความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรค ตลอดจ น การให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน วางแผน และดาเนินงานการจัดการศึกษาปฐมวัย ให้มีคณุ ภาพอยา่ งแท้จรงิ การกากับ ติดตาม ประเมินและรายงานผลการจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการบริหารการศึกษา กระบวนการนิเทศ และระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ท่ีต้องดาเนินการอย่างต่อเน่ือง เพ่ือนาไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาปฐมวัย สรา้ งความม่นั ใจให้ผเู้ กย่ี วขอ้ ง โดยตอ้ งมกี ารดาเนินการท่ีเป็นระบบเครือข่ายครอบคลุมท้ังหน่วยงาน ภายในและภายนอก ในรูปแบบของคณะกรรมการ ที่มาจากบุคคลทุกระดับและทุกอาชีพ การกากับ ติดตาม และประเมินผลต้องมีการรายงานผลจากทุกระดับให้ทุกฝุาย รวมทั้งประชาชนทั่วไปทราบ เพื่อนาข้อมูลจากรายงานผลมาจัดทาแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาหรือสถานพัฒนา เด็กปฐมวัยต่อไป