๑ ๒ ๘ สารบญั เฉลย สุขศกึ ษา ๔ ๑๔ ๑๗ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๑ ระบบอวัยวะของรา่ งกาย ๒๒ หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๒ การวางแผนพัฒนาสุขภาพ ๒๖ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๓ พฤตกิ รรมทางเพศ ๒๙ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๔ สทิ ธิผู้บรโิ ภค ๓๒ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๕ สื่อโฆษณากบั สุขภาพ ๓๕ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๖ โรคจากการประกอบอาชีพและพนั ธุกรรม ๓๘ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๗ สขุ ภาพชุมชน ๔๒ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๘ ใสใ่ จความปลอดภยั ๔๗ หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๙ ป้องกันความเสี่ยงตอ่ การใช้ยา ๕๐ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๑๐ สารเสพติดให้โทษ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๑๑ สัมพนั ธด์ ี มไี มตรี เล่ยี งความขดั แย้ง หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑๒ การชว่ ยฟื้นคืนชีพ หน่วยการเรียนร้ทู ่ี ๑๓ การสร้างเสริมสมรรถภาพทางกาย
๒ เฉลยแบบฝึกหดั ทา้ ยหน่วยการเรียนร้ทู ี่ ๑ ตอนท่ี ๑ จงตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี ๑. ธรรมชำติไดส้ ร้ำงระบบอวยั วะต่ำงๆ ของร่ำงกำยจำแนกได้กร่ี ะบบ อะไรบำ้ ง ธรรมชาติได้สร้างระบบอวยั วะต่างๆ ของรา่ งกายจาแนกไดท้ ัง้ ส้นิ ๑๐ ระบบ ดงั น้ี ๑. ระบบผวิ หนัง ๒. ระบบโครงกระดูก ๓. ระบบกลา้ มเนอ้ื ๔. ระบบย่อยอาหาร ๕. ระบบขับถ่ายปสั สาวะ ๖. ระบบหายใจ ๗. ระบบไหลเวยี นเลือด ๘. ระบบประสาท ๙. ระบบสืบพันธ์ุ ๑๐. ระบบตอ่ มไร้ท่อ ๒. ระบบผวิ หนังมีควำมสำคญั ต่อร่ำงกำยอยำ่ งไร ๑. เปน็ สว่ นทหี่ ่อหมุ้ ร่างกาย เพอื่ ปอ้ งกนั อันตรายตา่ งๆท่ีอาจเกิดข้ึนกับอวยั วะใต้ผวิ หนงั ๒. เป็นอวยั วะรบั สัมผสั ความรสู้ ึกตา่ งๆ เชน่ ร้อน หนาว ๓. เปน็ อวยั วะขบั ถา่ ยของเสยี เช่น เหงอื่ ๔. เปน็ อวยั วะขบั สง่ิ ตา่ งๆ ทอ่ี ยูใ่ นตอ่ มของผวิ หนงั ให้เป็นประโยชน์ตอ่ รา่ งกาย เช่น ขบั ไขมนั ไป หลอ่ เล้ียงเสน้ ขนหรอื ผมใหเ้ งางาม ๕. ชว่ ยเป็นสว่ นปอ้ งกันรังสตี า่ งๆ ไมใ่ ห้เปน็ อันตรายต่อรา่ งกาย ๖. ชว่ ยควบคมุ ความร้อนในร่างกายให้คงทอี่ ย่เู สมอ ๓. ถ้ำกระดกู หักจะส่งผลเสียต่อร่ำงกำยอยำ่ งไร ทาให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ลาบาก ไม่คล่องตัวและอาจทาให้เกิดการติดเช้ือได้หากไม่ได้รับการ รกั ษาอยา่ งถูกวิธี ๔. ข้อตอ่ กะโหลกศรี ษะและขอ้ ต่อของหัวไหล่มลี กั ษณะแตกต่ำงกนั อย่ำงไร ขอ้ ต่อกะโหลกศีรษะเป็นขอ้ ตอ่ ท่เี คลื่อนไหวไมไ่ ด้ แตข่ อ้ ตอ่ ท่หี วั ไหลเ่ ป็นข้อตอ่ ท่ีเคล่อื นไหวได้ ๕. นกั เรียนมีวิธกี ำรสรำ้ งเสริมและดำรงประสิทธภิ ำพของระบบกลำ้ มเน้ืออย่ำงไร ๑. รับประทานอาหารใหค้ รบ ๕ หมูแ่ ละเพียงพอตอ่ ความตอ้ งการของร่างกาย ๒. ออกกาลงั กายอยา่ งสมา่ เสมอ อย่างนอ้ ยสัปดาหล์ ะ ๓ วนั วันละอยา่ งน้อย ๓๐ นาที ๓. ทาจิตใจใหร้ า่ เริงแจม่ ใส ดูแลสขุ ภาพจิตของตนเองใหด้ ี
๓ ๔. ควรพกั ผอ่ นให้เพยี งพอ ไม่ทางานหนกั หรือหักโหมจนเกินไป ๕. เม่ือมีความผดิ ปกติเกย่ี วกับกลา้ มเน้ือ ควรรบี ปรึกษาแพทย์ ๖. เพรำะเหตุใดสผี ิวของแต่ละบคุ คลจึงมคี วำมแตกต่ำงกนั สผี ิวของแตล่ ะบคุ คลมคี วามแตกต่างกนั เพราะมเี มลานนิ ในชั้นหนังกาพรา้ ทแ่ี ตกต่างกัน ทาให้ สผี ิวแตกต่างกัน ๗. หนงั แท้ประกอบดว้ ยอะไรบ้ำง หนังแท้ประกอบดว้ ย เนอ้ื เยอื่ คอลลาเจน อลี าสติน เส้นประสาท เสน้ เลือดฝอย ตอ่ มไขมันและตอ่ ม เหง่อื ๘. จงยกตัวอย่ำงกล้ำมเนื้อท่ีไม่อยู่ภำยใต้อำนำจของจิตใจ กล้ามเนื้อท่ีหลอดลม ปอด กระเพาะอาหาร ลาไส้ และมดลกู ๙. กล้ำมเนือ้ ในรำ่ งกำยแบง่ เปน็ กป่ี ระเภท อะไรบำ้ ง กลา้ มเนื้อในรา่ งกายแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ ๑. กล้ามเนอื้ ลาย ๒. กลา้ มเน้ือเรยี บ ๓. กล้ามเนือ้ หวั ใจ ๑๐. จงอธิบำยสมบตั ิของกลำ้ มเนอ้ื ๑. ไวตอ่ การเรา้ ๒. หดตวั ได้ ๓. ถกู ยืดออกได้ ๔. คืนสู่รูปทรงเดิมได้ ตอนท่ี ๒ คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนเขยี น ลอ้ มรอบคำตอบทถ่ี ูกตอ้ ง ๑. กำรทำงำนของระบบอวัยวะของร่ำงกำยประกอบด้วยอะไร ง. โครงสร้างทส่ี ลับซับซ้อน ๒. ระบบอวยั วะตำ่ งๆ มีควำมสำคัญต่อรำ่ งกำยอย่ำงไร ค. ช่วยรา่ งกายทางานอย่างมปี ระสิทธิภาพเพอื่ สร้างเสรมิ ใหช้ ีวิตดารงอยู่
๔ ๓. ขอ้ ใดตอ่ ไปนไี้ มใ่ ช่กระดูกแกนของรำ่ งกำย ก. กระดูกขา ๔. ข้อตอ่ บริเวณใดที่มีลกั ษณะกำรเคล่อื นไหวไดห้ ลำยทิศทำง ข. ข้อตอ่ กระดูกข้อมอื ๕. “มหี น้ำทีส่ ร้ำงเม็ดเลอื ดแดงและเม็ดเลือดขำวใหแ้ ก่รำ่ งกำย” ข้อควำมดงั กล่ำวคอื หน้ำที่ของส่วนใดของร่ำงกำย ค. ไขกระดูก ๖. ขี้ไคลเกดิ จำกกำรผลัดตวั ของสิง่ ใด ข. หนงั กาพรา้ ๗. กลำ้ มเน้ือเม่อื ได้รับสิ่งเรำ้ จะเกิดกำรเปล่ียนแปลงอย่ำงไร ก. เกดิ การเปลีย่ นแปลงทางไฟฟ้าจัดเปน็ การเปล่ยี นแปลงทางกลศาสตร์ ๘. กล้ำมเนอ้ื ด้ำนในของต้นขำทำหนำ้ ทใ่ี ด ก. หบุ ต้นขา ๙. กำรรับประทำนอำหำรใดทีม่ ีส่วนชว่ ยสง่ เสริมสำรแคลเซียมแก่รำ่ งกำย ง. ถกู ทุกขอ้ ๑๐. โรคกระดกู พรนุ เกดิ จำกกำรรบั ประทำนสิ่งใดมำก ข. กาแฟ ใบงานท่ี ๑.๑ เร่อื ง ระบบของร่างกาย คาชแ้ี จง จงบอกถึงระบบของร่ำงกำยทงั้ ๑๐ ระบบ ๑. ระบบผวิ หนัง (Integumentary System) ๒. ระบบโครงกระดูก (Skeletal System) ๓. ระบบกลา้ มเน้ือ (Muscular System) ๔. ระบบหายใจ (Respiratory System) ๕. ระบบไหลเวยี นเลอื ด (Circulatory System) ๖. ระบบย่อยอาหาร (Digestive System) ๗. ระบบขบั ถา่ ยปสั สาวะ (Urinary System) ๘. ระบบประสาท (Nervous System) ๙. ระบบสบื พันธุ์ (Reproductive System) ๑๐. ระบบตอ่ มไรท้ ่อ (Endocrine System) ใบงานที่ ๑.๒ เรื่อง สว่ นประกอบของผวิ หนงั คาช้ีแจง จำกภำพใหน้ ักเรียนเตมิ ส่วนประกอบของผวิ หนงั ใหถ้ กู ต้อง
๕ ใบงานที่ ๑.๓ เร่อื ง ระบบผิวหนงั คาชีแ้ จง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ ๑. เคอรำทินมคี วำมสำคญั อยำ่ งไร เคอราทนิ มคี วามสาคญั คอื ปอ้ งกนั นา้ ซมึ เขา้ สู่รา่ งกาย ๒. ผิวหนงั มีองค์ประกอบก่สี ว่ น อะไรบ้ำง ผวิ หนงั ประกอบด้วย ๒ ส่วนคอื ๑. ส่วนที่อยู่บนพ้ืนผวิ เรยี กวา่ หนังกาพรา้ (Epidermis) ๒. ส่วนทอี่ ยลู่ กึ ลงไป เรยี กวา่ หนังแท้ (Dermis) ๓. ผวิ หนังมคี วำมสำคัญอยำ่ งไร ๑. เปน็ ส่วนท่หี อ่ หมุ้ รา่ งกาย ๒. เปน็ อวยั วะรับสมั ผสั ความร้สู กึ ต่างๆ เช่น ร้อน หนาว ๓. เปน็ อวัยวะขบั ถ่ายของเสยี เชน่ เหง่ือ ๔. เป็นอวัยวะขับส่ิงต่างๆ ที่อยู่ในต่อมของผิวหนังให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ขับไขมันไป หลอ่ เลีย้ งเส้นขนหรอื ผมใหเ้ งางาม ๕. ชว่ ยเปน็ สว่ นปอ้ งกันรังสตี า่ งๆ ไมใ่ ห้เป็นอนั ตรายต่อร่างกาย ๖. ชว่ ยควบคมุ ความรอ้ นในรา่ งกายใหค้ งทอ่ี ยู่เสมอ ๔. นกั เรียนมีวิธดี แู ลรกั ษำผิวหนังอย่ำงไรบอกมำ ๔ วธิ ี ๑. อาบน้าชาระล้างรา่ งกายใหส้ ะอาดดว้ ยสบอู่ ยา่ งน้อยวันละ ๑-๒ ครั้ง ๒. ทาครมี บารุงผวิ ทมี่ คี ุณภาพและเหมาะสมกบั ผิวของตนเอง ๓. ทาครมี กนั แดดก่อนออกจากบ้านเมอื่ ตอ้ งไปเผชิญกบั แดดร้อนจดั ๔. สวมเสอ้ื ผา้ ท่สี ะอาด พอดตี ัว ๕. รับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ ๖. ด่ืมน้าสะอาดอย่างนอ้ ยวันละ ๖-๘ แก้ว ๗. ออกกาลังกายเปน็ ประจาเพือ่ ให้รา่ งกายแข็งแรง ๘. นอนหลบั พักผอ่ นใหเ้ พียงพออย่างนอ้ ยวันละ ๘ ชวั่ โมง ๙. ดแู ลผวิ หนังอยา่ ใหเ้ ปน็ แผล ถ้ามีควรรีบรักษาเพือ่ ไม่ใหเ้ กดิ แผลเร้ือรังเพราะแผลเป็นทางผ่าน ของเชื้อโรคเข้าสูร่ า่ งกาย
๖ ใบงานที่ ๑.๔ เร่ือง สว่ นประกอบของชน้ั ผิวหนงั คาช้แี จง จำกภำพให้นักเรยี นเตมิ ส่วนประกอบของชัน้ ผิวหนงั ใบงานที่ ๑.๕ เรอื่ ง หนังแท้ (Dermis) คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นเตมิ ส่วนประกอบของหนังแท้ (Dermis) ใบงานที่ ๑.๖ เรอื่ ง กระดูกของร่างกาย คาช้ีแจง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ ๑. โครงกระดกู มคี วำมสำคญั อยำ่ งไรต่อร่ำงกำย ๑. ประกอบเป็นโครงรา่ งสว่ นท่แี ขง็ ของร่างกาย ๒. เปน็ ทีร่ องรบั อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ๓. เป็นท่ียดึ เกาะของกลา้ มเนอื้ ทาใหม้ ีการเคลื่อนไหวได้ ๔. เป็นทส่ี ร้างเมด็ เลอื ด
๗ ๕. เป็นทเ่ี กบ็ และจ่ายแคลเซยี ม ฟอสเฟต และแมกนเี ซียม ๖. ปอ้ งกันอวยั วะภายในร่างกาย เชน่ ปอด หัวใจ ตบั สมอง และประสาท ๒. โครงกระดกู ของร่ำงกำยแบง่ เปน็ กีก่ ลมุ่ อะไรบ้ำง โครงกระดกู ของรา่ งกายแบ่งเปน็ ๒ กลุ่มคือ ๑. กระดูกแกน มีหน้าท่ีค้าจุนและป้องกันอันตรายให้แก่อวัยวะสาคัญภายในร่างกาย มีจานวน ทัง้ สิ้น ๘๐ ชน้ิ ประกอบดว้ ยกะโหลกศรี ษะ กระดูกสันหลงั กระดูกซโ่ี ครง กระดูกอก ๒. กระดูกรยางค์ เป็นกระดูกที่เช่ือมต่อกับกระดูกแกน ทาหน้าที่ค้าจุนและเกี่ยวข้องกับการ เคลื่อนไหวของร่างกายมีจานวนทงั้ สิน้ ๑๒๖ ชนิ้ ประกอบด้วยกระดูกแขน กระดูกขา ๓. นักเรยี นมีวิธใี นกำรดูแลและสร้ำงเสรมิ ประสิทธภิ ำพกำรทำงำนของระบบโครงกระดกู อย่ำงไร ๑. รับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีสารแคลเซียมและวิตามินดี ได้แก่ เนอื้ สตั ว์ นม และผักผลไมต้ า่ งๆ รบั ประทานให้เพยี งพอตอ่ ความต้องการของร่างกายเพื่อไปเสริมสร้าง และบารงุ กระดูกใหแ้ ขง็ แรงสามารถทางานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ ๒. ออกกาลงั กายเปน็ ประจาสม่าเสมอจะช่วยใหร้ ่างกายแขง็ แรง กระดูกและกล้ามเน้ือที่ได้รับการ บริหารหรอื ทางานอย่างสม่าเสมอ จะมีความแข็งแกร่งมากขนึ้ มกี ารยดื หยนุ่ และทางานได้อยา่ งเตม็ ท่ี ๓. ระมัดระวงั การเกดิ อุบตั ิเหตกุ ับกระดูก หากได้รับอุบัติเหตุโดยถูกตี กระแทก ชน หรือตกจากท่ี สูงจะทาให้กระดกู แตกหรือหกั ตอ้ งรีบปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธีและพบแพทย์ เพื่อรักษาให้กระดูกกลับ สสู่ ภาพปกตแิ ละใชง้ านไดด้ ีอย่างปกติ ใบงานที่ ๑.๗ เร่ือง ระบบโครงกระดูก คาชแี้ จง ให้นกั เรียนเตมิ รำยละเอยี ดของโครงกระดกู ของร่ำงกำย (ขึ้นกับดุลพนิ ิจของผสู้ อน) ใบงานท่ี ๑.๘ เร่ือง ระบบกลา้ มเนอ้ื คาชแ้ี จง จงตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี ๑. กลำ้ มเนื้อมคี วำมสำคัญอยำ่ งไร ๑. ช่วยให้รา่ งกายสามารถเคล่ือนไหวได้จากการทางาน ซึ่งในการเคล่ือนไหวของร่างกายนี้ ต้อง อาศยั การทางานของระบบโครงกระดูกและข้อต่อต่างๆ ด้วย โดยอาศัยการยดื และหดตัวของกลา้ มเนื้อ ๒. ช่วยใหอ้ วยั วะภายในต่างๆ เช่น หัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไส้ใหญ่ หลอดเลือด ทางานได้ตามปกติและมีประสิทธิภาพ เนอื่ งจากการบีบรดั ตัวของกลา้ มเนื้อของอวัยวะดงั กล่าว ๓. ผลติ ความร้อนให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ซง่ึ ความร้อนน้ีเกิดจากการหดตัวของกล้ามเน้ือแล้ว เกิดปฏิกริ ิยาทางเคมี ๔. ชว่ ยป้องกันอวัยวะภายในไมใ่ ห้ไดร้ บั ความกระทบกระเทือน ๕. เป็นทเ่ี กดิ พลังงานของรา่ งกาย
๘ ๒. กลำ้ มเนื้อแบ่งเปน็ กี่ประเภท อะไรบำ้ ง กลา้ มเนือ้ แบง่ เป็น ๓ ประเภท ได้แก่ ๑. กล้ามเนื้อลาย (Striated Muscle or Crossstripe Muscle) มีลายตามขวางตลอดความยาว เกาะติดกับกระดูกหรือโครงกระดูกช่วยทาให้เป็นรูปร่างของร่างกายและอยู่ภายใต้อานาจจิตใจ กล้ามเน้ือลายนับว่าเป็นกล้ามเน้ือที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งหมด เช่น กล้ามเน้ือแขน กลา้ มเน้ือขา กลา้ มเนอ้ื ทรวงอก และเป็นกลา้ มเน้ือทแ่ี ขง็ แรงท่ีสุด ลักษณะในการทางานของกล้ามเน้ือ ลายคือ ดงึ ร้งั กระดูกให้มกี ารเคลื่อนไหวตามทใ่ี จต้องการ ๒. กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่มีลักษณะเรียบ ไม่มีลาย และไม่อยู่ใน อานาจของจิตใจ เป็นส่วนประกอบของอวัยวะภายในของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อที่หลอดลม ปอด กล้ามเนื้อในกระเพาะอาหาร ลาไสแ้ ละมดลกู กลา้ มเนอ้ื เรยี บสนองตอบสิ่งเรา้ นานาชนดิ ได้ดี มี ความคล่องไวต่อการเปล่ียนแปลงของส่วนประกอบของเลือดหรือน้าในเนื้อเย่ือ ฮอร์โมน วิตามิน ยา เกลอื กรด ดา่ ง ๓. กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) กล้ามเน้ือหัวใจจะพบท่ีบริเวณหัวใจและผนังเส้นเลือดดา ใหญ่ทีน่ าเลือดเข้าส่หู วั ใจเท่าน้ัน เซลล์กล้ามเน้ือหวั ใจมลี ักษณะโดยทั่วไปคล้ายคลึงกับเซลล์กล้ามเนื้อ ลาย คือ มีการเรียงตัวให้เห็นเป็นลายเมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ กล้ามเน้ือหัวใจมีลักษณะแตกก่ิงและ สานกนั มรี อยตอ่ และชอ่ ง (Gap Junction) ระหวา่ งเซลลซ์ ง่ึ เปน็ บริเวณท่มี คี วามตา้ นทานไฟฟ้าต่าทาให้ เซลล์กล้ามเนื้อหวั ใจสามารถสง่ กระแสไฟฟ้าผา่ นจากเซลล์หน่งึ ไปยงั อกี เซลล์หน่งึ ได้ ๓. นักเรยี นมีวิธกี ำรสร้ำงเสรมิ ประสทิ ธภิ ำพกำรทำงำนของกลำ้ มเน้อื อยำ่ งไร ๑. รับประทานอาหารใหค้ รบ ๕ หมู่ และมีปรมิ าณทีเ่ พยี งพอต่อความตอ้ งการของร่างกาย ๒. ออกกาลงั กายอย่างสมา่ เสมออยา่ งน้อยสัปดาหล์ ะ ๓ วัน อย่างน้อย ๓๐ นาที โดยเน้นการออก กาลังกายด้วยรูปแบบวิธีการบริหารกล้ามเนื้อ จะทาให้กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกายมีความ แขง็ แรง ๓. ทาจิตใจให้รา่ เริงแจม่ ใส ดูแลสุขภาพจติ ของตนเองใหด้ ี ๔. ควรมีเวลาพกั ผ่อนท่ีเพยี งพอ ไม่ทางานหนกั หรือหักโหมจนเกินไปโดยเฉพาะลักษณะงานท่ี ต้องทางานอยูใ่ นทา่ เดิมนานๆ จะทาให้กลา้ มเนอ้ื บรเิ วณน้ันอ่อนลา้ และเกดิ ความไม่แขง็ แรงได้ ๕. เม่อื เกิดความผิดปกติเก่ียวกับระบบกล้ามเนื้อ เช่น มีอาการปวดหลังเร้ือรัง กล้ามเนื้อกระตุก เปน็ ประจา ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เฉลยแบบฝึกหดั ท้ายหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี ๒ ตอนที่ ๑ คำช้ีแจง จงตอบคำถำมตอ่ ไปนี้ ๑. เพรำะเหตใุ ดจงึ ต้องมกี ำรวำงแผนพฒั นำสุขภำพ เพราะการวางแผนพฒั นาสุขภาพเป็นการกาหนดแนวทางและวธิ ีการในการสร้างเสรมิ สุขภาพ จงึ ตอ้ งมกี ารวางแผนพัฒนาสุขภาพเพือ่ ให้มภี าวะสุขภาพทส่ี มบรู ณแ์ ขง็ แรง ๒. นักเรยี นมีวธิ ใี ดในกำรประเมนิ ภำวะสขุ ภำพทำงกำย การสงั เกตและประเมินภาวะทางสขุ ภาพ การตรวจสขุ ภาพประจาปี หรอื ข้ึนกบั ดุลพินิจของผู้สอน
๙ ๓. คอเลสเตอรอลคืออะไร บคุ คลทั่วไปควรมรี ะดับคอเลสเตอรอลเป็นอยำ่ งไร คอเลสเตอรอล คือ ไขมันในเลือดชนิดหน่ึง บุคคลทั่วไปควรมีระดับคอเลสเตอรอลไม่ควรเกิน ๒๐๐ มิลลิกรัม/เดซิลติ ร (mg/dl) ๔. เอชดแี อลและแอลดแี อลคอื อะไร ในบคุ คลทว่ั ไปควรมีระดับเอชดแี อล และแอลดีแอลอยำ่ งไร เอชดแี อล หรือ High-Density Lipoprotein คือไขมันดใี นรา่ งกายท่ีมีความหนาแน่นสูง บุคคลทั่วไป ควรมี HDL ไม่น้อยกว่า ๓๕ มิลลิกรัม/เดซิลิตร จึงจะถือว่าปกติ ส่วนแอลดีแอล หรือ Low-Density Lipoprotein คอื ไขมันทมี่ ีความหนาแนน่ น้อยในบคุ คลท่วั ไปไม่มีคา่ LDL เกิน ๑๓๐ มลิ ลกิ รัม/เดซลิ ิตร ๕. นกั เรยี นมนี ำ้ หนักตวั เทำ่ ไร นำ้ หนกั ตัวของนักเรียนสมั พันธ์กบั ส่วนสงู หรือไม่ ขน้ึ กบั สภาพจริงของนกั เรยี น ๖. จงหำค่ำดชั นมี วลกำยของนักเรยี น ขนึ้ กับสภาพจริงของนักเรียน ๗. โรคอ้วนหมำยถงึ อะไร โรคอ้วน หมายถงึ ภาวะทรี่ า่ งกายไดร้ ับพลังงานจากอาหารมากกว่าพลังงานที่รา่ งกายใชไ้ ป ๘. นกั เรยี นมีกำรวำงแผนพฒั นำสขุ ภำพเร่ืองกำรรับประทำนอำหำรอย่ำงไร รบั ประทานอาหารใหค้ รบ ๕ หมู่ หรอื ขึน้ กับสภาพจรงิ ของนักเรยี น ๙. กีฬำท่ีนักเรียนช่ืนชอบคืออะไร ขึน้ กบั สภาพจริงของนักเรียน ๑๐. สุขภำพของนักเรยี นเปน็ อยำ่ งไร ขึ้นกบั สภาพจริงของนกั เรยี น ตอนท่ี ๒ คำชี้แจง ให้นกั เรียนเขยี น ล้อมรอบคำตอบทีถ่ กู ตอ้ ง ๑. กำรวำงแผนพฒั นำสขุ ภำพเป็นอย่ำงไร ข. การกาหนดแนวทางวธิ ีการในการสร้างสุขภาพ ๒. ระดับไตรกลเี ซอไรดใ์ นผู้ใหญ่ปกติไม่ควรเกนิ เทำ่ ใด ค. ๑๕๐ มลิ ลิกรมั /เดซิลิตร ๓. กำรจดั ทำแผนออกกำลงั กำยเพื่อนำ้ หนักในผู้ใหญ่ควรทำอยำ่ งไร ง. ออกกาลงั กายวันละ ๓๐ นาที ๕ วัน/สปั ดาห์ ๔. ถ้ำร่ำงกำยมีอำกำรต่ำงๆ เช่น เหน่ือยง่ำย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตำมร่ำงกำย ประเมินได้ว่ำร่ำงกำยเป็น อยำ่ งไร ก. ภาวะรา่ งกายไมด่ ี ตอ้ งรบี พบแพทย์ ๕. ระดับนำ้ ตำลในเลือดของคนปกตคิ วรอยใู่ นระดบั ใด ก. ๖๕-๑๐๐ มลิ ลิกรมั /เดซิลิตร ๖. ขอ้ ใดคอื ค่ำควำมดนั เลอื ดปกติ
๑๐ ค. ๑๒๐/๘๐ ๗. ระดบั กรดยูริกในเลือดของคนปกตเิ ป็นเช่นไร ง. ไมเ่ กิน ๗ มลิ ลกิ รัม/เดซลิ ิตร ๘. ผ้เู ป็นโรคอ้วนมดี ชั นมี วลกำยอย่ำงไร ง. ≥๓๐ ๙. เมอื่ ทำแบบคดั กรองภำวะซมึ เศร้ำฉบบั ภำษำไทยแล้วไดค้ ะแนนรวมสงู กวำ่ ๒๒ ถอื ว่ำบุคคลนั้นเป็นอยำ่ งไร ค. มภี าวะซึมเศร้า ต้องได้รบั การตรวจวนิ ิจฉยั เพ่ือช่วยเหลือตอ่ ไป ๑๐. กำรประเมินภำวะสขุ ภำพทำงสงั คมตวั ช้วี ัดทก่ี ำหนดคอื อะไร ข. สงั คมมคี วามปลอดภยั จากอาชญากรรมและความรุนแรง ใบงานท่ี ๒.๑ เรอ่ื ง การวางแผนพัฒนาสขุ ภาพ คาชแ้ี จง ให้นักเรยี นอธิบำยควำมหมำยของกำรวำงแผนพัฒนำสุขภำพและเสนอแนวทำงกำรวำงแผนพัฒนำ สขุ ภำพของตนเองและคนในชุมชน การวางแผนพัฒนาสุขภาพ หมายถึง การกาหนดแนวทาง วิธีการในการสร้างสุขภาพ ดูแล ส่งเสริมสขุ ภาพลว่ งหนา้ โดยมกี ารประเมินภาวะสุขภาพและวิเคราะห์ผลการประเมินภาวะสุขภาพ นา ข้อมูลมาวางแผนพัฒนาสุขภาพและกาหนดแนวทาง วิธีการพัฒนาสุขภาพ เพื่อให้มีสภาวะสุขภาพท่ี สมบรู ณ์แข็งแรง แนวทางการวางแผนพัฒนาสุขภาพทาได้โดย การประเมินภาวะสุขภาพด้วยตนเองท้ังการ ประเมินภาวะสุขภาพทางกาย การประเมินภาวะสุขภาพทางจิตใจ การประเมินภาวะทางสังคม การ ประเมินภาวะสขุ ภาพทางปญั ญา เมอื่ ได้ผลแลว้ จึงนามาจดั กจิ กรรมต่างๆ เชน่ การออกกาลังกาย การ ผ่อนคลายความเครยี ด การจดั กจิ กรรมฟงั ธรรมและนั่งสมาธิ กิจกรรมกลุ่มเพ่ือส่งเสริมการแสดงออก เปน็ ต้น ใบงานท่ี ๒.๒ เร่ือง สขุ ภาพของฉัน คาช้ีแจง ๑. ให้นักเรียนชั่งน้ำหนัก และวดั สว่ นสงู พร้อมทงั้ คำนวณดชั นมี วลกำยของตนเอง ๒. ระบภุ ำวะสขุ ภำพของตนเอง (ขึน้ อย่กู บั สถานการณ์จริงของนักเรยี น) ใบงานที่ ๒.๓ เร่ือง แบบคัดกรองภาวะซมึ เศร้าในวยั ร่นุ คาช้แี จง ให้นกั เรียนทำแบบคัดกรองภำวะซมึ เศรำ้ ในวัยรุน่ (CES-D) ฉบบั ภำษำไทย แล้วแปรผล
๑๑ ทำ่ นมคี วำมรูส้ กึ ดังต่อไปนบี้ ่อยเพียงใดใน ๑ สัปดำห์ทผี่ ำ่ นมำ กรณุ ำเขยี นเครอื่ งหมำย ลงในช่องท่ี ตรงกบั ควำมรูส้ กึ ของท่ำนมำกทส่ี ดุ การแปรผล (ขน้ึ อยกู่ บั สถานการณ์จริงของนกั เรยี น)
๑๒ ใบงานที่ ๒.๔ เรื่อง การประเมนิ ภาวะทางสังคม คาชี้แจง ให้นักเรยี นทำแบบประเมินภำวะทำงสงั คม แล้วแปรผล การแปรผล (ขึ้นอยู่กบั สถานการณจ์ ริงของนกั เรยี น) ใบงานที่ ๒.๕ เรื่อง การประเมินภาวะสุขภาพทางปญั ญา คาชีแ้ จง ให้นกั เรยี นทำแบบประเมินภำวะสขุ ภำพทำงปัญญำ แลว้ แปรผล การแปรผล (ข้นึ อยูก่ ับสถานการณ์จรงิ ของนกั เรยี น)
๑๓ ใบงานที่ ๒.๖ เรื่อง ธงโภชนาการ คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเตมิ ขอ้ มลู ทถ่ี กู ตอ้ งตำมหลกั ธงโภชนำกำรแล้วตอบคำถำม ในแตล่ ะวนั นกั เรยี นมีกำรรบั ประทำนอำหำรใหพ้ อดตี ำมหลกั ธงโภชนำกำรหรอื ไม่ อย่ำงไร (อยู่กับดุลยพนิ ิจของผสู้ อน) ใบงานที่ ๒.๗ เร่ือง เมนอู าหารของฉนั คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นกำหนดเมนอู ำหำรทสี่ มควรรบั ประทำนใน ๑ วัน (อยู่ในดลุ ยพินิจของผสู้ อน) ใบงานที่ ๒.๘ เรือ่ ง โปรแกรมฟติ ห่นุ (อยู่ในดลุ ยพินจิ ของผสู้ อน) คาชีแ้ จง ๑. ใหน้ กั เรียนกำหนดโปรแกรมกำรออกกำลงั กำยใน ๑ เดือน ๒. สรุปผลทีไ่ ดจ้ ำกกำรกำหนดโปรแกรม ใบงานท่ี ๒.๙ เรอื่ ง การวางแผนพัฒนาสขุ ภาพตนเอง คาชี้แจง ให้นักเรียนวำงแผนกำรพฒั นำสขุ ภำพของตนเอง (อยู่ในดลุ ยพินิจของผสู้ อน)
๑๔ ใบงานท่ี ๒.๑๐ เรื่อง ประเมนิ ผลการตรวจสขุ ภาพประจาปี คาชแี้ จง ให้นักเรียนประเมินผลกำรตรวจสขุ ภำพประจำปขี องบคุ คลต่อไปนี้ โดยเขียนเคร่ืองหมำย * ที่มุมบน ด้ำนขวำของตวั เลขทมี่ คี ่ำเกนิ ปกติ และเสนอแนวทำงกำรแกไ้ ข แนวทางการแก้ไข 1. ความดันเลือดสูง ควรออกกาลังกาย ลดน้าหนักตัว ลดอาหารเค็ม งดด่ืมสุรา และพักผ่อนให้ เพยี งพอ 2. ระดับน้าตาลในเลือดสูง ควรงดอาหารขนมหวานและผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น องุ่น ทุเรียน สปั ปะรด 3. กรดยรู ิกในเลือดสูง ควรงดอาหารพวกสัตว์ปีก 4. คอเรสเตอรอลสูง ควรงดเครือ่ งในสัตว์ หนังสตั ว์ ไขแ่ ดง อาหารทะเล น้ามนั มะพร้าว 5. ไตรกรีเซอไรด์สงู งดไขมนั จากสตั ว์ ลดอาหารและเครือ่ งดื่มทม่ี รี สหวาน งดดม่ื สรุ า เฉลยแบบฝึกหดั ทา้ ยหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๓ ตอนท่ี ๑ คำชีแ้ จง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ ๑. ปัจจัยใดทมี่ ีผลตอ่ พฤติกรรมทำงเพศของมนุษย์ ๑. ครอบครัว ๒. เพือ่ น ๓. สงั คม ๔. วฒั นธรรม ๒. นกั เรยี นคดิ ว่ำเร่อื งเพศสำคัญอยำ่ งไร เรือ่ งเพศเป็นเรอื่ งปกตขิ องชวี ิต ทาใหม้ นษุ ย์และสตั วส์ ามารถดารงเผ่าพันธ์ุไวไ้ ด้ แตม่ นุษยต์ ่างกบั สัตวต์ รงทมี่ นษุ ย์มีความรสู้ กึ ผดิ ชอบช่ัวดี แรงขบั ทางเพศท่ีเกิดจากความต้องการทางเพศในตัวมนุษย์ จะสามารถยบั ยงั้ ได้ หรอื อย่ใู นดลุ พนิ ิจของผู้สอน ๓. ค่ำนยิ มทำงเพศที่ดจี ะสง่ ผลอยำ่ งไร เป็นคนทีใ่ ห้เกยี รตผิ ้อู น่ื เป็นทย่ี อมรบั นับถอื ของคนท่ัวไป ๔. จงยกตัวอย่ำงค่ำนยิ มทำงเพศในสังคมวฒั นธรรมไทยทีถ่ กู ตอ้ งมำ ๒ ขอ้ ๑) การรกั นวลสงวนตวั ๒) การเข้าตามตรอกออกตามประตู ๕. จงยกตัวอย่ำงคำ่ นยิ มทำงเพศในสังคมวฒั นธรรมไทยทีไ่ มถ่ กู ตอ้ งมำ ๒ ขอ้ ๑) การไมเ่ ผยแพรค่ วามจริงในเรอ่ื งเพศใหแ้ กบ่ ุตรหลาน ๒) การยกย่องและให้คณุ คา่ เพศชายเหนือคณุ ค่าเพศหญิง ๖. นักเรียนคิดวำ่ กำรมเี พศสมั พันธก์ ่อนแต่งงำนเป็นกำรทำลำยศกั ดิศ์ รีของคนหรอื ไม่ (อยูใ่ นดลุ พินจิ ของผู้สอน)
๑๕ ๗. กำรมีเพศสัมพนั ธ์กอ่ นวยั อนั สมควรนน้ั เพรำะเหตใุ ดจงึ ดูเหมือนวำ่ ฝำ่ ยหญิงมคี วำมเสยี หำยมำกกวำ่ (อยู่ในดลุ พินิจของผูส้ อน) ๘. พฤตกิ รรมทำงเพศตำมวัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งทด่ี หี รือไม่ เพรำะเหตุใด (อยู่ในดลุ พินิจของผู้สอน) ๙. นกั เรยี นมคี วำมเห็นอย่ำงไร ในกรณที ่วี ยั รุ่นมคี วำมสนใจเพศตรงขำ้ ม (อยใู่ นดุลพินิจของผู้สอน) ๑๐. นกั เรยี นมวี ธิ ปี ฏิบตั ติ นเรอื่ งเพศตำมวฒั นธรรมไทยอย่ำงไร (อยู่ในดุลพนิ จิ ของผสู้ อน) ตอนที่ ๒ คำชแี้ จง ให้นักเรยี นเขียน ลอ้ มรอบคำตอบทถ่ี กู ตอ้ ง ๑. กำรมเี พศสมั พันธ์ของค่รู กั กันสว่ นมำกมำจำกสำเหตใุ ด ก. ตอ้ งการสืบเผ่าพนั ธุ์ ๒. สถำนท่ีใดทวี่ ยั ร่นุ ใชเ้ ป็นสถำนทใี่ นกำรมเี พศสัมพันธ์มำกท่ีสดุ ก. บ้าน ๒. ในวัฒนธรรมไทยดงั้ เดมิ มีคำ่ นยิ มในเร่อื งเพศอย่ำงไร ข. เปน็ เร่ืองท่ีไมค่ วรสอน ๓. “กำรรกั นวลสงวนตัว” เป็นคำ่ นยิ มทบี่ ุคคลใดควรปฏบิ ตั ิในสังคมปจั จบุ นั ง. ท้ังชายและหญงิ ทีม่ คี รู่ ัก ๕. คำ่ นยิ มทำงเพศของผู้ใดมคี ณุ ค่ำมำกทสี่ ดุ ง. วภิ าดามคี วามคิดท่มี ั่นคงวา่ จะรักษาความบรสิ ทุ ธข์ิ องตนเองจนถงึ วนั แต่งงาน ๖. “เข้ำตำมตรอกออกตำมประต”ู เปน็ คำ่ นิยมทบี่ ุคคลใดควรปฏบิ ตั ิ ข. ฝ่ายชายที่มคี รู่ ัก ๗. วัฒนธรรมทำงเพศในขอ้ ใดทจ่ี ะสง่ ผลตอ่ สังคมในทำงท่ีดมี ำกทีส่ ุด ก. ยดึ ค่านยิ มแบบผวั เดยี วเมยี เดียว
๑๖ ๘. พฤตกิ รรมทำงเพศในขอ้ ใดทีร่ ะบำดเข้ำมำในหมู่วยั ร่นุ มำกทีส่ ุด ค. การไปเท่ียวกลางคนื กบั ค่รู ัก ๙. คำ่ นิยมทำงเพศในข้อใดท่ไี มส่ อดคล้องกบั สงั คมไทย ข. การทดลองอยูด่ ้วยกนั ๑๐. คำ่ นิยมทำงเพศในข้อใดเป็นคำ่ นิยมทำงเพศทถ่ี กู ตอ้ งในสงั คมไทย ก. การมีรักเดยี วใจเดียว ใบงานที่ ๓.๑ เรอ่ื ง ควำมคิดเหน็ คาช้แี จง ให้นกั เรยี นแสดงควำมคดิ เห็นเกย่ี วกับข้อควำมตอ่ ไปนี้ (อยใู่ นดลุ พนิ ิจของผสู้ อน) ใบงานท่ี ๓.๒ เรอ่ื ง จะทำอยำ่ งไรดี คาชี้แจง ให้นกั เรียนนำเสนอแนวกำรปฏิบัติเมือ่ นกั เรยี นตกอยูใ่ นสถำนกำรณต์ ่อไปน้ี (อยใู่ นดลุ พนิ จิ ของผสู้ อน) ใบงานท่ี ๓.๓ เร่อื ง พฤตกิ รรมทำงเพศที่เหมำะสมกบั วฒั นธรรมไทย คาชีแ้ จง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ ๑. จงเขยี นค่ำนยิ มทำงเพศที่เหมำะสมกบั วฒั นธรรมไทยทน่ี กั เรยี นยึดถอื อยู่มำ ๓ ขอ้ ๑. การรกั นวลสงวนตัว ๒. การเขา้ ตามตรอกออกตามประตู ๓. การมรี ักเดยี วใจเดียว ๒. จงเขยี นค่ำนยิ มทำงเพศที่นักเรยี นเหน็ วำ่ ไมเ่ หมำะสมกับวฒั นธรรมไทยมำ ๓ ขอ้ ๑. การพูดเร่ืองเพศเป็นเร่อื งหยาบคาย น่าอบั อาย ๒. การไม่เผยแพรค่ วามจริงเรื่องเพศ ๓. การยกยอ่ งและใหค้ ณุ ค่าเพศชายเหนอื กวา่ เพศหญงิ (อยใู่ นดุลพินจิ ของผูส้ อน) ใบงานที่ ๓.๔ เรอ่ื ง ปฏบิ ัตติ นตามคา่ นิยมทางเพศท่เี หมาะสมกบั สังคม และวฒั นธรรมไทย คาช้แี จง ให้นักเรยี นตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี ๑. กำรวำงตัวตำมคำ่ นยิ มทำงเพศทีเ่ หมำะสมกบั สงั คมและวฒั นธรรมไทยของผ้ชู ำยควรปฏิบัติอย่ำงไร - การเขา้ ตามตรอกออกตามประตู - การมรี กั เดยี วใจเดยี ว - การไมช่ ิงสุกกอ่ นหา่ ม หรอื อยใู่ นดุลพินจิ ของผสู้ อน ๒. กำรวำงตวั ตำมคำ่ นยิ มทำงเพศทเ่ี หมำะสมกับสังคมและวัฒนธรรมไทยของผหู้ ญิงควรปฏบิ ตั อิ ยำ่ งไร - การเขา้ ตามตรอกออกตามประตู - การมีรักเดยี วใจเดยี ว - การไมช่ งิ สุกกอ่ นหา่ ม หรอื อยใู่ นดลุ พินจิ ของผสู้ อน
๑๗ ใบงานที่ ๓.๕ เรือ่ ง เพศศกึ ษา คาช้แี จง ให้นักเรียนหำข่ำวเก่ียวกับปัญหำทำงเพศที่เกิดกับวัยรุ่นไทย ที่ได้รับอิทธิพลจำกสังคมและ วัฒนธรรมตะวันตก มำติดในใบงำนน้ี และแสดงควำมคิดเห็นว่ำอิทธิพลและวัฒนธรรมตะวันตกได้ เขำ้ มำมบี ทบำทต่อคำ่ นิยมเรอ่ื งเพศในสังคมและวัฒนธรรมไทยอยำ่ งไรบ้ำง (อยใู่ นดลุ พินิจของผสู้ อน) เฉลยแบบฝึกหดั ทา้ ยหน่วยการเรียนรู้ท่ี ๔ ตอนที่ ๑ คำชแ้ี จง จงตอบคำตอบต่อไปนี้ ๑. กำรบรโิ ภคหมำยถึงอะไร การกนิ การใช้ประโยชนจ์ ากสินคา้ และบรกิ ารต่างๆ ๒. ควำมหมำยของคำวำ่ ”ผู้บริโภค” ตำมพระรำชบญั ญัตคิ ุม้ ครองผบู้ รโิ ภคพ.ศ.๒๕๔๑ คืออะไร ผซู้ ื้อ ผู้ใชส้ นิ ค้าและบรกิ ารจากผูป้ ระกอบธุรกิจโดยชอบ แมม้ ิได้เปน็ ผเู้ สยี คา่ ตอบแทน ๓. ในฐำนะผู้บรโิ ภคจงบอกปัญหำของผูบ้ ริโภคมำ ๔ ปญั หำ ไดแ้ ก่ ๑. ไม่ไดร้ บั ความเป็นธรรมจากการซือ้ สินคา้ และบรกิ าร ๒. หลงเช่ือโฆษณาสินค้าและผลติ ภัณฑท์ ่เี ปน็ เทจ็ หรอื เกินความเป็นจริง ๓. ถกู เอาเปรยี บดา้ นสนิ ค้าและบรกิ าร ๔. การถกู เอาเปรียบจากการทาสญั ญา ๕. การถกู เอารัดเอาเปรยี บดา้ นการขายตรงหรือการตลาดแบบตรง ๖. ไม่ไดร้ บั ความเป็นธรรมเกยี่ วกบั การรักษาพยาบาลหรือบริการทางการแพทย์ ๗. ความยากลาบากในการฟอ้ งร้องดาเนนิ คดีกบั ผปู้ ระกอบการ ๔. แนวทำงในกำรปกปอ้ งสทิ ธิของผ้บู ริโภคคอื อะไร แนวทางในการปกป้องสิทธิของผู้บริโภคคือ ภาครัฐใช้อานาจตามกฎหมายในการกากับดูแลให้ ความคุ้มครองและปกป้องสิทธิผู้บริโภคทางหนึ่ง ผู้บริโภคร้องเรียนหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับการ คุ้มครองผบู้ ริโภค ๕. กำรนำสินค้ำและบรกิ ำรมำเสนอขำยให้แก่ผบู้ ริโภคถึงทเ่ี ชน่ ทบี่ ำ้ น โรงเรยี น เป็นกำรขำยสินคำ้ แบบใด การขายตรงหรอื ตลาดแบบตรง
๑๘ ๖. ใหน้ กั เรยี นบอกสทิ ธิผบู้ รโิ ภคสำกลมีก่ปี ระเภท อะไรบ้ำง มี ๘ ประเภท ได้แก่ ๑) สทิ ธทิ จี่ ะได้รับความปลอดภยั ๒) สิทธทิ จี่ ะได้รับขอ้ มลู ขา่ วสาร ๓) สทิ ธิทจี่ ะร้องเรียนเพ่อื ความเป็นธรรม ๔) สทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ ับคา่ ชดใชค้ วามเสียหาย ๕) สิทธิที่จะซอื้ เคร่อื งอปุ โภคบรโิ ภคในราคายตุ ิธรรม ๖) สิทธทิ จ่ี ะได้รบั บรโิ ภคศกึ ษา ๗) สิทธทิ จี่ ะไดร้ บั ความจาเปน็ ขน้ั พน้ื ฐาน ๘) สทิ ธทิ จี่ ะไดอ้ ย่ใู นสงิ่ แวดลอ้ มทสี่ ะอาด ๗. จงบอกหน่วยงำนทใ่ี ห้บรกิ ำรและทำหนำ้ ทเ่ี กยี่ วข้องกับกำรคมุ้ ครองผู้บริโภคมำ ๓ หนว่ ยงำน - สานกั งานคณะกรรมการคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภค (สคบ.) รับและพิจารณาเรอื่ งราวรอ้ งทกุ ขผ์ ู้บริโภค ท่ีไดร้ ับความเดือดร้อนและเสยี หายจากการประกอบธรุ กจิ - สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กากับดูแลส่งเสริมการผลิตจาหน่ายและโฆษณา ผลติ ภณั ฑ์สขุ ภาพ - กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ควบคุมราคาสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมายกาหนดและ ไมใ่ ห้ผูบ้ ริโภคเสียเปรยี บ - กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณชิ ย์ ควบคมุ ปริมาณ การช่งั ตวง และวัดสินคา้ - กรมทีด่ ิน กระทรวงมหาดไทย มีหน้าท่ีเกี่ยวข้องกบั การทาสญั ญาซ้อื ขายที่ดนิ - สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กาหนดและติดตาม ตรวจสอบมาตรฐานสนิ ค้าอุตสาหกรรม - กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควบคุมวตั ถมุ ีพิษทางการเกษตร - คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บรโิ ภคประจาจงั หวดั รับเรื่องรอ้ งทุกข์หรอื รอ้ งเรยี นจากผบู้ รโิ ภค ๘. นักเรียนมีแนวทำงในกำรเลือกบริโภคสนิ คำ้ อยำ่ งไร ๑. ก่อนทีจ่ ะเลอื กซื้อผลติ ภัณฑ์ สินค้า และบริการสขุ ภาพ ผู้บรโิ ภคต้องสามารถแยกความต้องการ ของตนเอง แล้วพจิ ารณาในการเลือกซ้อื ให้ดเี พ่อื ให้เกดิ ความคมุ้ ค่าและใชช้ ีวติ อยา่ งมคี วามพอเพียง ๒. สิ่งที่ควรคานึงถึงก่อนเลือกซ้ือและบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพทุกชนิดควรศึกษาฉลากให้เข้าใจ ก่อนทุกคร้ัง หลังซ้ือสินค้าหรือบริการ ต้องเก็บรักษาหลักฐานต่างๆ เช่น บิลเงินสด สาเนา
๑๙ ใบเสร็จรับเงิน สัญญาซ้ือขายไว้เพ่ือทาการเรียกร้องสิทธิของตน และควรจดชื่อสถานที่ซื้อสินค้าหรือ บริการน้นั ไวเ้ พ่ือประกอบการรอ้ งเรียนในกรณที ถ่ี ูกละเมิดสทิ ธิ ๓. ในการซื้อผลิตภัณฑ์ สินค้า หรือบริการสุขภาพจะต้องมีความละเอียดในการพิจารณาถึง ประโยชน์ท่ีตนเองจะไดร้ ับจากสนิ ค้าและบริการใหด้ ีเสียก่อนท่ีจะตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและใช้บริการ น้นั ๆ อยา่ ให้เสียเปรยี บผูผ้ ลติ หรือผ้ปู ระกอบการ ๔. ถ้าพบว่ามีผลิตภัณฑ์ สินค้า หรือบริการสุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน ควรแจ้งให้หน่วยงานที่ เก่ยี วข้องทราบทนั ที เพ่ือจะได้ดาเนินการคุ้มครองสิทธผิ บู้ ริโภค ๕. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐาน หรือมีการรับรองคุณภาพ มีเคร่อื งหมาย มอก. หรือมี อย. ๖. ถ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการให้ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ ของหนว่ ยงานคุ้มครองผูบ้ ริโภค ๙. ในฐำนะผบู้ รโิ ภคนักเรยี นมีวธิ กี ำรใดในกำรแสดงถงึ สิทธิผบู้ ริโภคของตน ๑. การรวมกลมุ่ หรอื มกี ารรวมตวั กนั เพอื่ รักษาผลประโยชน์ของตนเองเม่ือได้รับความเดือดร้อน หรือการถกู เอารัดเอาเปรียบ หรือประสบปัญหาจากการบริโภค ๒. ศึกษาหาความรู้จากหนังสือ อินเทอร์เน็ต (Internet) วิทยุ โทรทัศน์ วารสารหรือสื่ออื่นๆ เก่ียวกบั เร่อื งสทิ ธขิ องผ้บู รโิ ภคเพ่ือให้มีความรู้และมีความรอบคอบในการพิจารณาเลือกซ้ือสินค้าและ บริการท่ีมคี ณุ ภาพ ๓. มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ความรู้และรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านการคุ้มครองผู้บริโภค การจัด กิจกรรมเพื่อให้มีความรู้ และตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ให้เกิดการรักษาสิทธิของผู้บริโภคให้รู้จัก เลือกซ้ือ เลือกใชส้ ินคา้ หรอื บรกิ ารอยา่ งปลอดภยั ๑๐. กำรคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภคโดยรัฐมีกำรดำเนินกำรอย่ำงไร ภาครฐั ใช้อานาจตามกฎหมายในการกากบั ดูแลให้ความคมุ้ ครองและปกป้องสทิ ธขิ องผบู้ รโิ ภค ตอนท่ี ๒ คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นเขียน ลอ้ มรอบคำตอบทถ่ี กู ตอ้ ง ๑. สิทธขิ องบุคคลซ่ึงเป็นผู้บริโภคย่อมไดร้ ับควำมคุ้มครองตำมกฎหมำยบัญญตั ขิ ้อใด ก. พระราชบญั ญัตคิ ุ้มครองผ้บู ริโภค พ.ศ. ๒๕๔๑
๒๐ ๒. ถ้ำมกี ำรเลือกใช้สนิ ค้ำและบรกิ ำรของผบู้ ริโภค น.ส. เรริน ซึง่ เป็นผบู้ รโิ ภคจะตอ้ งคำนงึ ถึง เรอ่ื งใด ข. ตอ้ งคานึงถงึ ความปลอดภัยเปน็ เรอื่ งสาคญั ๓. ผบู้ รโิ ภคถกู หลอกลวงโดยรูเ้ ทำ่ ไม่ถงึ กำรณใ์ นกำรเลอื กซื้อสินคำ้ ประเภทใดมำกที่สุด ค. อาหารเสริม เคร่ืองสาอาง ยาลดความอ้วน ๔. สทิ ธผิ ูบ้ รโิ ภคมี ๕ ขอ้ มขี ้อใดบำ้ งท่ีเกยี่ วกับนักเรยี นโดยตรง ข. ข้อ ๑, ข้อ ๒ และขอ้ ๕ ๕. นกั เรยี นคิดว่ำ Need ในหวั ขอ้ แนวทำงกำรเลอื กบริโภคอยำ่ งฉลำดและปลอดภัยมีควำมหมำยวำ่ อย่ำงไร ข. ความต้องการแท้ ๖. นกั เรยี นในฐำนะเป็นผบู้ รโิ ภค มีวธิ พี ิจำรณำเลอื กซื้อผลติ ภัณฑต์ ่ำงๆอย่ำงไร ค. มีฉลากภาษาไทยแสดงชอ่ื ผลติ ภณั ฑ์ ทตี่ ง้ั ของผูผ้ ลิตหรือผแู้ ทนจาหน่าย วนั เดอื นปีทีผ่ ลิต ๗. ถ้ำนกั เรยี นจะเลือกซ้ือผลิตภัณฑ์สินคำ้ และบริกำรสขุ ภำพควรพจิ ำรณำข้อใด ง. มีเครื่องหมาย มอก. หรอื อย. ๘. ถำ้ นักเรียนไมไ่ ด้รับควำมเป็นธรรม ถกู เอำรัดเอำเปรยี บจำกผูป้ ระกอบกำรผู้ผลิตจะร้องเรียนไปทใ่ี ด ก. เจา้ หนา้ ท่ีของหน่วยงานคุ้มครองผบู้ ริโภค ๙. สำนักงำนคณะกรรมกำรอำหำรและยำมหี น้ำทอ่ี ย่ำงไร ข. กากับดูแลสง่ เสรมิ การผลิต การจาหนา่ ยและโฆษณาผลิตภณั ฑส์ ขุ ภาพ ๑๐. ข้อใดหมำยถึงสิทธิได้รับควำมปลอดภัยจำกกำรใช้สินค้ำและบริกำรตำมกฎหมำยคุ้มครองผู้บริโภคใน ปัจจบุ นั ค. การใชร้ ถยนตท์ ี่มถี งุ ลมนิรภัยได้มาตรฐาน ใบงานท่ี ๔.๑ เรอ่ื ง สทิ ธิผบู้ รโิ ภค คาชี้แจง ให้นักเรยี นตอบคำถำมจำกหัวขอ้ ตอ่ ไปน้ี ควำมหมำยและควำมสำคัญของกำรบรโิ ภค การบริโภค คือ การกิน การใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการต่างๆ ดังน้ัน การบริโภคก็คือการใช้ สนิ คา้ หรือบรกิ ารตา่ งๆ ในชวี ิตประจาวัน ควำมหมำยและควำมสำคัญของผู้บรโิ ภค ผู้บริโภค คือ ผู้ซ้ือและผู้ใช้สินค้าและบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยชอบ แม้มิได้เป็นผู้เสีย คา่ ตอบแทน ดงั นนั้ ทุกคนไมว่ ่าจะเปน็ หญิงหรือชาย เด็กหรือผใู้ หญ่ ทุกสาขาอาชีพ ทุกฐานะถือว่าเป็น ผบู้ รโิ ภคท้งั สนิ้ สทิ ธผิ บู้ ริโภคเปน็ สิ่งสาคัญ เพราะเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคท่ีได้รับความเสียหายหรือความ ไม่ปลอดภัยจากการบริโภคสินค้า เรียกร้องสิทธิของตนในฐานะผู้บริโภคได้ ทาให้ผู้ประกอบการต้อง รบั ผิดชอบและชดใชค้ วามเสยี หายดังกล่าว
๒๑ แนวทำงกำรปกปอ้ งสิทธพิ ืน้ ฐำนผู้บรโิ ภค สิทธิข้อท่ี ๑ สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคาพรรณนาคุณภาพท่ีถูกต้องและเพียงพอเก่ียวกับ สนิ คา้ และบริการ สทิ ธิขอ้ ที่ ๒ สิทธทิ ่ีจะมอี สิ ระในการเลือกหาสนิ คา้ และบริการ สิทธขิ อ้ ที่ ๓ สทิ ธทิ จี่ ะได้รบั ความปลอดภยั จากการใช้สนิ คา้ และบรกิ าร สิทธิขอ้ ที่ ๔ สิทธิท่ีจะไดร้ ับความเป็นธรรมในการทาสญั ญา สทิ ธขิ อ้ ท่ี ๕ สทิ ธิทจี่ ะได้รบั การพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ใบงานท่ี ๔.๒ เรื่อง สิทธพิ น้ื ฐานของผบู้ ริโภค คาชี้แจง ให้นกั เรยี นยกตัวอยำ่ งกำรใชส้ ิทธิพนื้ ฐำนในฐำนะผ้บู รโิ ภคของสิทธิผู้บริโภค ๕ ประกำร มำข้อละ ๑ ตวั อย่ำง (อยใู่ นดุลพนิ จิ ของผสู้ อน) ใบงานที่ ๔.๓ เรื่อง การเลอื กบรโิ ภคอยา่ งฉลาดและปลอดภยั คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนนำฉลำกสินค้ำมำตดิ ลงบนชอ่ งว่ำงและวเิ ครำะหต์ ำมหัวข้อตอ่ ไปนี้ (อยู่ในดลุ พนิ จิ ของผู้สอน) ใบงานท่ี ๔.๔ เร่อื ง ข่าวสทิ ธผิ ูบ้ รโิ ภค คาชแี้ จง ให้นักเรียนยกตัวอย่ำงข่ำวของกำรปกป้องสิทธิของตนเองในฐำนะผู้บริโภค พร้อมวิเครำะห์ ควำมสำคัญของกำรปกป้องสทิ ธิของตนเองในฐำนะผู้บริโภค (อยูใ่ นดุลพนิ จิ ของผู้สอน) ใบงานที่ ๔.๕ เร่อื ง หนว่ ยงานท่เี กี่ยวข้องกบั การคมุ้ ครองผูบ้ รโิ ภค คาช้ีแจง จงบอกชื่อหน่วยงำนทเี่ กยี่ วข้องกับกำรคุม้ ครองผบู้ ริโภค ๑) สานกั งานคณะกรรมการคมุ้ ครองผู้บรโิ ภค (สคบ.) สานักนายกรัฐมนตรี ๒) สานกั งานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสขุ ๓) กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข ๔) กรมการคา้ ภายใน กระทรวงพาณิชย์ ๕) กรมทะเบยี นการค้า กระทรวงพาณชิ ย์ ๖) กรมท่ีดิน กระทรวงมหาดไทย ๗) สานักงานมาตรฐานผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอตุ สาหกรรม ๘) กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๙) คณะกรรมการคมุ้ ครองผู้บริโภคประจาจงั หวดั
๒๒ เฉลยแบบฝกึ หดั ท้ายหน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๕ ตอนท่ี ๑ คำชแ้ี จง ให้นกั เรียนเตมิ คำตอบลงในช่องว่ำงทก่ี ำหนดให้ ๑. ส่ือโฆษณำแบ่งเปน็ กปี่ ระเภท อะไรบ้ำง สื่อโฆษณาแบง่ เปน็ ๖ ประเภท ได้แก่ ๑. สือ่ ส่งิ พมิ พ์ เชน่ วารสาร นิตยสาร แผน่ พับ และโปสเตอร์ ๒. สื่อสารมวลชน เช่น หนงั สอื พมิ พ์ วิทยุ โทรทัศน์ ๓. ส่ือบุคคล เช่น ครู แพทย์ พยาบาล วิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้นาชุมชน อาสาสมัคร นักเรียน นกั ศึกษา ดารา และผู้ท่ีมชี ่อื เสยี งในสงั คม ๔. สอ่ื อินเทอร์เนต็ เชน่ เกมออนไลน์ (Online Game) และเวบ็ ไซต์ (Website) ๕. สอ่ื กจิ กรรม เชน่ การจัดแถลงขา่ ว การพาสอ่ื มวลชนเยีย่ มชมโรงงาน ๖. สื่ออน่ื ๆ เช่น สอื่ วดี ีทศั น์ ส่ือซดี ี (CD) แนะนาสินคา้ สอ่ื ปา้ ยโฆษณากลางแจง้ สื่อโฆษณาเคลอื่ นท่ี ๒. จงบอกถงึ สือ่ โฆษณำท่ีนกั เรียนชอบมำกที่สดุ ๓ อันดบั พรอ้ มเหตุผล (ข้นึ อยกู่ บั สถานการณจ์ ริงของผเู้ รยี น) ๓. อำหำรหมำยถึงอะไร จงยกตวั อย่ำงอำหำรท่นี ักเรียนรับประทำนในชวี ิตประจำวันมำ ๓ ชนิด อาหาร หมายถงึ วตั ถทุ กุ ชนดิ ที่คนกิน ด่มื หรือนาเข้าสรู่ า่ งกาย (อยใู่ นดลุ พินิจของผู้สอน) ๔. จงบอกชือ่ ผลิตภัณฑส์ ุขภำพที่นักเรยี นใช้ในชีวติ ประจำวนั มำ ๕ ชอ่ื (ขนึ้ อยูก่ บั สถานการณ์จริงของผเู้ รยี น) ๕. จงอธบิ ำยถงึ ควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งยำสมนุ ไพรกบั ยำสังเครำะห์ ๑. ยาสมุนไพร เป็นยาทีไ่ ดจ้ ากส่วนต่างๆ ของพชื ส่วนประกอบของสตั วแ์ ละแร่ธาตุ ๒. ยาสังเคราะห์ เปน็ ยาทไี่ ดโ้ ดยอาศัยปฏิกิรยิ าทางเคมีในห้องปฏบิ ัติการซึ่งปัจจุบันยาส่วนใหญ่ท่ี ใชก้ ันเปน็ ยาสงั เคราะห์
๒๓ ๖. เพรำะเหตุใดกำรเลอื กรับสอ่ื โฆษณำจงึ มีผลตอ่ สขุ ภำพ เพราะส่อื โฆษณามีอทิ ธพิ ลตอ่ การตัดสินใจซ้อื ของผู้บรโิ ภค ในฐานะผบู้ รโิ ภคมคี วามจาเป็นต้องกิน และใช้ หากสินค้าบางชนิดมีน้อยแต่ผู้บริโภคต้องการใช้มากอาจเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตสามารถ เอาเปรียบ นาสนิ คา้ ที่ไม่มคี ุณภาพมาจาหนา่ ย เปน็ ผลให้ผบู้ ริโภคใช้สนิ ค้าทไ่ี ม่มีคณุ ภาพน้ัน แล้วส่งผล ต่อสุขภาพโดยตรงได้ เช่น แพ้ผงซกั ฟอกบางชนิด เป็นตน้ ๗. ให้นักเรยี นวิเครำะห์กำรรบั ข้อมลู ขำ่ วสำรตำมองคป์ ระกอบของกำรสื่อสำร ผู้ส่งสาร คือ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีทาหน้าท่ีในการเสนอข่าวสารโดยการพูด การเขียน การแสดง ทา่ ทาง ขา่ วสาร คอื ขอ้ มูลหรือสารทถี่ ูกส่งผ่านชอ่ งทางสือ่ โดยการพดู การเขียน และรูปภาพ ชอ่ งทางสอ่ื คอื ช่องทางท่ีนาขอ้ มูล ขา่ วสารไปยังผรู้ ับสาร ผู้รับข่าวสาร คอื บคุ คลหรือกลุม่ บคุ คลทีไ่ ดร้ บั ข่าวสารจากผู้ส่งสาร โดยการฟงั การดู และการอ่าน ๘. กำรคำนงึ ถึงควำมเป็นจรงิ ของส่อื นักเรียนควรพิจำรณำถึงอะไร ความเปน็ เหตุเปน็ ผล และความเป็นไปไดโ้ ดยอยบู่ นพื้นฐานตามจริงและเหตุผลทางวทิ ยาศาสตร์ ๙. หลกั กำรพจิ ำรณำเพือ่ กำรรเู้ ท่ำทันส่อื โฆษณำเกยี่ วกับสุขภำพ คืออะไร เป็นการพจิ ารณาเพ่อื การร้เู ทา่ ทันส่อื โฆษณาในประเด็นตา่ งๆ ดังน้ี ๑) ฝึกแยกแยะส่อื ทางบวกและทางลบ ๒) คานงึ ถงึ ความเป็นจริง ๓) มีความไวในการรับส่ือ ๔) ไมห่ ลงเชอ่ื งา่ ย ๑๐. หำกนกั เรียนเปน็ ผู้ผลติ สอื่ โฆษณำนักเรยี นจะผลติ สอ่ื โฆษณำลกั ษณะใด อยใู่ นดุลพินิจของผสู้ อน ตอนที่ ๒ คำชี้แจง ให้นกั เรียนเขียน ลอ้ มรอบคำตอบท่ถี ูกต้อง ๑. ในฐำนะเปน็ ผ้บู รโิ ภค นักเรยี นได้รับอะไรจำกส่ือโฆษณำเกี่ยวกบั สุขภำพ ก. ข้อมลู ข่าวสารดา้ นสขุ ภาพเพ่ือสนองความตอ้ งการทั้งทางดา้ นรา่ งกายและจิตใจ
๒๔ ๒. องค์ประกอบของกำรส่ือสำรมกี ท่ี ำงอะไรบ้ำง ข. มี ๔ ทาง คือ ผู้สง่ สาร ขา่ วสาร ชอ่ งทางสอื่ ผูร้ ับข่าวสาร ๓. เมื่อนักเรียนเกิดอำกำรแพ้อย่ำงรุนแรงหลังจำกใช้ผงซักฟอกยี่ห้อหนึ่ง เป็นผลจำกสื่อโฆษณำเกี่ยวกับ สขุ ภำพด้ำนใด ค. สุขภาพกาย ๔. นกั เรยี นเข้ำใจวธิ ีกำรแยกแยะส่อื ทำงบวกและทำงลบอยำ่ งไร ก. คานึงถึงเน้ือหาของขา่ วสาร ๕. ถ้ำนักเรียนจะรู้เท่ำทนั ส่ือโฆษณำควรไดร้ ับกำรฝึกฝนดำ้ นใด ก. ดา้ นการสง่ เสริมทกั ษะโดยการคดิ วเิ คราะห์ ๖. Consumer Society มีควำมหมำยตรงกับขอ้ ใด ก. สังคมผู้บริโภค ๗. นกั เรียนไดร้ บั ผลของกำรรับสื่อโฆษณำเกี่ยวกับสขุ ภำพจติ อย่ำงไร ข. มีความรูส้ กึ ไมพ่ งึ พอใจเพราะโฆษณา ๘. ประเภทของสือ่ โฆษณำท่นี ักเรียนไดส้ ัมผสั ในชีวติ ประจำวันมำกทส่ี ุดคือประเภทใด ข. สอื่ โทรทศั น์ ๙. ในฐำนะท่ีนักเรยี นเปน็ ผู้เรียนคิดวำ่ ผูเ้ รยี นตรงกับขอ้ ใดมำกท่สี ดุ ก. ผ้รู บั ขา่ วสาร ๑๐. ส่ือโฆษณำเกี่ยวกับสุขภำพมีควำมสำคัญอยำ่ งไร ข. มีอทิ ธิพลตอ่ ทัศนคติจติ ใจและพฤติกรรมทผ่ี ูบ้ ริโภคจะนาไปเลอื กซือ้ สนิ ค้า ใบงานที่ ๕.๑ เรอื่ ง ส่อื โฆษณากบั สขุ ภาพ คาชแี้ จง ให้นกั เรียนอธบิ ำยควำมหมำยตำมหวั ข้อตอ่ ไปนี้ ๑. สื่อโฆษณำหมำยถงึ อะไร สือ่ ทีม่ กี ารเผยแพร่ขอ้ มลู ขา่ วสารของสินค้า หรือบรกิ ารต่างๆ ๒. กำรบรโิ ภคหมำยถงึ อะไร การกนิ การใชป้ ระโยชนจ์ ากสนิ ค้าและบรกิ ารต่างๆ ๓. ประเภทของสอื่ โฆษณำมกี ปี่ ระเภท อะไรบำ้ ง ส่ือโฆษณามี ๖ ประเภท คอื ๑) สอ่ื สง่ิ พมิ พ์ ๒) สื่อสารมวลชน ๓) สอ่ื บคุ คล ๔) ส่ืออินเทอรเ์ น็ต ๕) สอ่ื กจิ กรรม ๖) ส่อื อืน่ ๆ
๒๕ ๔. ส่อื โฆษณำมีควำมสำคัญต่อสุขภำพอย่ำงไร ช่วยในการพิจารณาเลือกซ้ือสินค้า ผลิตภัณฑ์เก่ียวกับสุขภาพ แต่ถ้าขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ อาจทาให้ได้รับสินค้าหรือบริการที่ไม่ก่อประโยชน์ อาจเกิดความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจของ ผ้บู รโิ ภคได้ ใบงานท่ี ๕.๒ เรอ่ื ง อิทธพิ ลของสือ่ โฆษณากบั สขุ ภาพ คาชี้แจง ให้นกั เรียนอธบิ ำยอิทธิพลของสอื่ โฆษณำกบั สขุ ภำพตำมหวั ขอ้ ท่ีกำหนดให้ ดา้ นสขุ ภาพกาย ทำให้คนตดั สนิ ใจซ้อื ผลิตภัณฑห์ รอื ใชบ้ ริกำรตำ่ งๆ ซึง่ ส่งผลต่อสขุ ภำพร่ำงกำยของผู้บรโิ ภคโดยตรง อทิ ธพิ ลของสอ่ื โฆษณำ เก่ียวกับสุขภำพ ดา้ นสขุ ภาพจติ ควำมรสู้ ึกพงึ พอใจ และควำมไมพ่ ึงพอใจในกำรบรโิ ภคสนิ ค้ำและบรกิ ำรเก่ียวกบั สขุ ภำพตำ่ งๆ ใบงานที่ ๕.๓ เรอื่ ง สอ่ื โฆษณาที่มีผลตอ่ สุขภาพ คาช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นนำภำพสือ่ โฆษณำเกย่ี วกบั สขุ ภำพตดิ ลงในชอ่ งวำ่ ง แล้วตอบคำถำมดงั ตอ่ ไปน้ี (อย่ใู นดลุ พนิ จิ ของผสู้ อน) ใบงานท่ี ๕.๔ เรือ่ ง การควบคมุ การโฆษณาโดยรฐั คาช้แี จง ๑. หำขำ่ วเกยี่ วกับกำรควบคมุ โฆษณำโดยรฐั มำติดลงในใบงำนนี้ ๒. ระบุวำ่ เปน็ กำรทำหนำ้ ทีข่ องหน่วยงำนใดของรัฐ (อย่ใู นดุลพนิ ิจของผสู้ อน)
๒๖ เฉลยแบบฝึกหดั ท้ายหน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๖ ตอนท่ี ๑ คำชแ้ี จง จงตอบคำถำมต่อไปน้ี ๑. โรคทีเ่ กิดจำกกำรประกอบอำชีพมโี รคใดบำ้ ง โรคฝ่นุ หินหรือโรคซิลโิ คสิส โรคปอดฝ่นุ ฝ้ายหรอื โรคบิสสิโนสสิ โรคหอบหืดท่ีเกิดจากการประกอบ อาชพี โรคจากสารเคมีกาจัดศตั รูพืช ๒. โรคฝุ่นหนิ หรือโรคซลิ ิโคสสิ มกั เกดิ กบั กลุม่ ผู้ทท่ี ำงำนประเภทใด โรงงานเซรามิก โรงโม่หิน ครกหนิ พ่นทราย แกะสลกั รวมท้ังโรงงานอตุ สาหกรรมทหี่ ายใจเอาฝุน่ เขา้ ไปในปอดอยเู่ สมอและเปน็ เวลานาน ๓. พษิ ของสำรเคมีกำจดั ศตั รพู ชื สำมำรถเข้ำสรู่ ำ่ งกำยไดท้ ำงใดบ้ำง ทางผวิ หนงั ทางการหายใจ และการกลนื กนิ โดยบงั เอญิ หรอื เจตนา ๔. เมื่อสำรเคมกี ำจัดศตั รูพืชถูกผวิ หนัง สงิ่ แรกทค่ี วรทำคืออะไร รีบล้างออกทันทดี ว้ ยนา้ สะอาด และไปพบแพทย์ ๕. โรคทถ่ี ำ่ ยทอดทำงพันธุกรรม ไดแ้ กโ่ รคใดบำ้ ง โรคตาบอดสี โรคฮีโมฟเี ลยี โรคเบาหวาน โรคดักแด้ และโรคธาลสั ซเี มยี ๖. ผทู้ ี่เปน็ ตำบอดสสี ่วนใหญ่จะไมส่ ำมำรถแยกควำมแตกตำ่ งระหว่ำงสใี ดกบั สีใด และทำใหเ้ กิดปัญหำใด สีเขียวและสแี ดง ทาให้มปี ญั หาในการดูไฟจราจร ซ่ึงความผดิ ปกตดิ ังกลา่ วจะเกิดกบั ตาทั้งสองข้าง ไมส่ ามารถรกั ษาได้ ๗. โรคเลือดออกไม่หยุดหรอื โรคฮโี มฟเี ลยี พบมำกในเพศใด มอี ำกำรอยำ่ งไร พบมากในเพศชาย ผู้ท่ีเป็นโรคเลือดออกไม่หยุดจะขาดสารที่ทาให้เลือดแข็งตัว ทาให้เลือดออก งา่ ยและหยุดไหลยาก เลือดกาเดาไหลบ่อย ๘. โรคเบำหวำนนอกจำกเกิดจำกพันธุกรรมแล้วคนอ้วนก็มีโอกำสเส่ียงต่อกำรเป็นโรคเบำหวำนด้วยเพรำะเหตุ ใด เพราะร่างกายผลิตฮอร์โมนอนิ ซลู นิ เผาผลาญอาหารมากกว่าคนปกติ จนทาให้ปริมาณฮอร์โมน อนิ ซูลินลดตา่ ลงจนเกดิ โรคเบาหวานข้นึ ๙. กำรปอ้ งกนั โรคธำลสั ซีเมียทด่ี ที ส่ี ุดคืออะไร สามีและภรรยาควรไปตรวจเลือดก่อนแต่งงานหรอื ก่อนต้งั ครรภ์ เพอ่ื ตรวจหาโรคที่ถ่ายทอดทาง พันธกุ รรม ถา้ พบโรคจะไดอ้ ยภู่ ายใตก้ ารดแู ลของแพทยเ์ พื่อแนะนาการต้งั ครรภ์อยา่ งใกล้ชิด ๑๐. เหตใุ ดจงึ กลำ่ วว่ำ โรคทำงพันธุกรรมนบั เปน็ ภำระทำงเศรษฐกิจของสังคม เพราะโรคทางพันธุกรรมเป็นโรคท่ีติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นเม่ือ เกิดโรคทางพันธุกรรมกับบุคคลในครอบครัวใด นอกจากจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพแล้ว ยังต้อง สูญเสยี ค่าใช้จ่ายในการรกั ษาพยาบาลอย่างต่อเนอ่ื ง
๒๗ ตอนที่ ๒ คำช้ีแจง ใหน้ ักเรียนเขียน ล้อมรอบคำตอบท่ีถูกตอ้ ง ๑. โรคใดไม่ได้เกดิ จำกกำรประกอบอำชีพอตุ สำหกรรม ง. โรคอะมบี า ๒. หำกนักเรียนตอ้ งใช้สำรเคมฉี ดี ฆ่ำแมลง ควรจะปฏิบตั อิ ยำ่ งไร ก. สวมใสอ่ ุปกรณป์ อ้ งกนั ให้มิดชิด ๓. คนไทยมักจะไดร้ บั อนั ตรำยจำกกำรประกอบอำชพี อตุ สำหกรรม เพรำะอะไร ก. ขาดการปอ้ งกัน ๔. วิธกี ำรป้องกันอนั ตรำยจำกกำรประกอบอำชีพเกษตรกรรม สำหรับตวั บุคคลคอื ขอ้ ใด ค. รกั ษาสขุ ภาพใหส้ มบรู ณแ์ ขง็ แรง ๕. ข้อใดไมใ่ ชอ่ ำกำรของโรคเบำหวำน ข. มอี าการซดี ทั้งตัว ๖. โรคใดถำ่ ยทอดทำงพันธกุ รรมไมไ่ ด้ ง. โรคมะเรง็ ตบั ๗. กำรตรวจสุขภำพกอ่ นแตง่ งำนมีประโยชน์อยำ่ งไร ค. ตรวจหาโรคทถ่ี า่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม ๘. ข้อใดเป็นปจั จยั เสย่ี งในกำรเกิดโรคเบำหวำน ง. ถูกทุกข้อ ๙. พุทธสุภำษิตทว่ี ำ่ “ อโรคำ ปรมำ ลำภำ” หมำยถึงอะไร ข. ความไมม่ โี รค เปน็ ลาภอันประเสริฐ ๑๐. ข้อใดไมต่ รงกับขอ้ เท็จจรงิ ก. โรคทางพนั ธุกรรมในมนุษยส์ ว่ นใหญร่ ักษาได้ ใบงานท่ี ๖.๑ เร่ือง โรคทีเ่ กิดจากการประกอบอาชีพ คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนนำขำ่ วทีเ่ กีย่ วกบั โรคตดิ ต่อทเี่ ป็นปญั หำในปจั จบุ นั มำวิเครำะห์ตำมหัวข้อ ตอ่ ไปนี้ ๑. มปี ัจจัยสภำพแวดลอ้ มกำรทำงำนใดบ้ำง ทเี่ ป็นสำเหตใุ หผ้ ูป้ ฏิบัตงิ ำนมโี อกำสเป็นโรคท่ีเกิดจำกกำรประกอบ อำชพี เชน่ โรคฝุ่นหนิ โรคหอบหืด โรคจำกสำรเคมีกำจดั ศตั รูพืช ๒. มีปัญหำใดบ้ำงทเี่ กิดขน้ึ จำกโรคทเ่ี กดิ จำกกำรประกอบอำชพี (อยู่ในดลุ พนิ ิจของผสู้ อน) ใบงานที่ ๖.๒ เรอ่ื ง คาแนะนาที่มีคา่ คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนเขยี นคำแนะนำส้นั ๆที่สื่อถงึ กำรปอ้ งกันโรคท่เี กดิ จำกกำรประกอบอำชีพ ต่อไปน้ี โรคฝุ่นหิน (ซิลิโคสสิ ) โรคปอดฝุ่นฝำ้ ย(บสิ สโิ นสสิ ) โรคหอบหดื โรคจำกสำรเคมีกำจัดศตั รูพชื (อยใู่ นดลุ พนิ จิ ของผู้สอน)
๒๘ ใบงานที่ ๖.๓ เรอื่ ง ตระหนักในการป้องกนั โรคท่ีเกดิ จากพนั ธุกรรม คาช้ีแจง ให้นักเรียนเลือกโรคติดต่อที่นักเรียนคิดว่ำหำกเป็นโรคน้ีแล้วจะส่งผลกระทบท้ังต่อตนเองและ สว่ นรวมมำ ๑ โรค (อยใู่ นดุลพนิ ิจของผสู้ อน) ใบงานท่ี ๖.๔ เร่ือง โรคทเี่ กดิ จากพนั ธุกรรม คาชแี้ จงใหน้ กั เรียนสืบค้นโรคที่เกิดจำกพนั ธกุ รรมโรคอน่ื ๆ ตอ่ ไปนี้ ๑. โรคดำวนซ์ ินโดรม สำเหตุ เป็นโรคพันธุกรรมทีเ่ กดิ จากความผดิ ปกตขิ องโครโมโซม อำกำร ศีรษะค่อนข้างเล็ก แบน และตาเฉียงขึ้น ด้ังจมูกแบน ปากเล็ก ล้ินมักยื่นออกมา ตวั คอ่ นขา้ งเต้ยี มือสน้ั กำรป้องกันโรค โดยการวินิจฉัยก่อนคลอด ปัจจุบันมักทากันในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอัตราเส่ียงสูง เช่น อายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป โดยแพทย์สามารถเจาะน้าคร่ามาตรวจดูโครโมโซมของเด็กในครรภ์ว่า ผดิ ปกตหิ รือไม่ หากพบความผิดปกตคิ ู่สามภี รรยาอาจเลือกยตุ ิการตัง้ ครรภไ์ ด้ ๒. โรคภำวะพรอ่ งเอนไซม์ จี-6 พดี ี สำเหตุโรคนี้เกิดจากภาวะท่ีพร่องเอนไซม์จี -6 พีดี ซึ่งเป็นเอนไซม์สาคัญในกระบวนการ เมทาบอลิซึม อำกำร เกดิ ภาวะซีดจากการทเี่ มด็ เลอื ดแดงแตกอยา่ งฉับพลนั กำรป้องกนั โรค กำรปอ้ งกันภำวะน้ี คือกำรหลกี เล่ียงปจั จยั ที่สำมำรถหลกี เลีย่ งได้ ในผู้ที่ขำดเอนไซม์จี -6 พี ดี แพทย์มักให้บัตรประจำตวั ผูป้ ว่ ย บอกชอ่ื บอกภำวะท่เี ป็น และมีรำย ชอื่ ยำ หรือสำรที่ควรหลีกเลย่ี ง เฉลยแบบฝึกหัดทา้ ยหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ ตอนที่ ๑ คำชแ้ี จง จงตอบคำถำมต่อไปน้ี ๑. กำรสรำ้ งเสริมสขุ ภำพมีควำมสำคัญอยำ่ งไร การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ มีความสาคญั ต่อการดาเนนิ ชีวติ ของบคุ คลทกุ คนทต่ี ้องการเปน็ คนมีสขุ ภาพ ดี การมีสุขภาพท่ีสมบูรณ์จะเป็นทุนในการประกอบกิจกรรมและภารกิจในชีวิตประจาวัน ตามบทบาท หนา้ ท่คี วามรบั ผิดชอบของตนเองไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ๒. แนวทำงสรำ้ งเสรมิ สขุ ภำพกระทำได้โดยวธิ ใี ด การออกกาลังกาย การเลอื กรบั ประทานอาหารทม่ี ปี ระโยชน์ การอยใู่ นทท่ี มี่ ีอากาศบริสุทธิ์ การทา จติ ใจและอารมณ์ใหแ้ จม่ ใส หรอื อยูใ่ นดุลยพินจิ ของผูส้ อน ๓. อธิบำยแนวทำงกำรสรำ้ งเสริมสขุ ภำพท่ีสำมำรถนำไปปฏิบัตไิ ดด้ ว้ ยตนเองมำ ๓ แนวทำง อยใู่ นดลุ ยพินจิ ของผสู้ อน
๒๙ ๔. กำรสร้ำงเสรมิ สุขภำพชุมชนมีแนวทำงกำรปฏบิ ัติอย่ำงไร ๑. การสร้างเสรมิ สขุ ภาพกาย ๒. การสรา้ งเสริมสุขภาพจติ ๓. การสรา้ งเสรมิ สุขภาพสงั คม ๔. การสร้างเสรมิ สุขภาพทางปญั ญา ๕. พฤตกิ รรมสขุ ภำพทีพ่ งึ ประสงค์หมำยถงึ อะไร และมีควำมสำคัญอย่ำงไร พฤติกรรมสุขภาพ คือ การกระทาของบุคคลที่มีผลต่อสุขภาพโดยแสดงออกให้เห็นได้ในลักษณะ ของการกระทาในส่ิงท่ีเป็นผลดี ไม่กระทาในส่ิงท่ีเป็นผลเสียต่อสุขภาพเหมาะสมเพื่อการสร้างเสริม สุขภาพ และป้องกันโรคในมิติของสุขภาพทั้ง ๔ ด้าน คือ มิติทางกาย มิติทางจิตใจ มิติทางสังคม มิติ ดา้ นปัญญา ๖. มิติทำงกำยคือกำรปฏบิ ตั อิ ยำ่ งไร มิติทางกาย คือ มีร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยโดยไม่จาเป็น ไม่ตายก่อนวัยอันควร เม่ือเกิดการ เจ็บป่วยขึ้น สามารถกลับคืนได้รวดเร็ว สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ ควร ปฏิบัตดิ งั นี้ ๑. ออกกาลงั กายอยา่ งสมา่ เสมอและถกู ต้องตามหลักการออกกาลังกาย ๒. รับประทานอาหารทีป่ ลอดภัย มคี ณุ คา่ ทางโภชนาการเพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการของร่างกาย ๓. ไมบ่ ริโภคหรอื ลดการบรโิ ภคเคร่อื งดืม่ แอลกอฮอลแ์ ละยาสูบ ๔. มกี ารปอ้ งกันอบุ ตั ิเหตุและการบาดเจบ็ ๕. ใช้บรกิ ารสาธารณสขุ ที่มอี ยใู่ นท้องถน่ิ ให้เกดิ ประโยชน์สงู สดุ ๗. มติ ิทำงจิตใจคือกำรปฏบิ ัติอยำ่ งไร มติ ิทางจิตใจ คอื มจี ิตใจดี มีความสุข ไมเ่ ครียดและรู้จักวิธกี ารจัดการกบั ความเครยี ด ควรปฏิบัติดังนี้ ๑. สร้างความสัมพันธ์และความอบอุ่นในครอบครัว ให้การดูแลเอาใจใส่สมาชิกในครอบครัวที่ ชว่ ยเหลอื ตนเองได้น้อยหรือไม่สามารถชว่ ยเหลือตนเองได้ เชน่ เดก็ และผู้สงู อายุ ๒. มีความเฉลียวฉลาดทางสติปัญญาและมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ แก้ปัญหาต่างๆ ด้วยวิธีการ สร้างสรรค์และความเหมาะสม ๓. รจู้ กั วธิ ีการผ่อนคลายความเครียดในทางสร้างสรรค์ ๘. มิติทำงสงั คมคอื กำรปฏบิ ัติอย่ำงไร มิติทางสังคม คือ มีการพ่ึงพาช่วยเหลือเก้ือกูลกัน อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข มี ส่ิงแวดล้อมและสภาพแวดล้อมทดี่ ี มอี าชญากรรมและความรุนแรงนอ้ ยควรปฏิบัตดิ ังนี้ ๑. ระมัดระวังความปลอดภัยจากอาชญากรรมและความรุนแรงท่ีเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ การใชค้ วามรนุ แรง ๒. มสี มั มาอาชีพและรายได้เพยี งพอต่อการดารงชีวิตอย่างปกติสขุ ๓. ดูแลท่อี ย่อู าศยั ใหถ้ ูกสุขลกั ษณะ ดแู ลสิ่งแวดลอ้ มให้เออ้ื ต่อการมีสขุ ภาพดี
๓๐ ๙. มติ ทิ ำงปญั ญำคอื กำรปฏิบตั อิ ย่ำงไร มติ ดิ า้ นปญั ญา หรือจิตวิญญาณ คือ มีจิตใจท่ีเปี่ยมสุข เข้าถึงความดีงามถูกต้องมีจิตใจดี มีเมตตา กรณุ า และเขา้ ใจสิง่ ต่างๆ ท่เี กดิ ขน้ึ อย่างมีเหตุผล ควรปฏบิ ัติดังน้ี ๑. หลีกเล่ียง งด ลด เลกิ อบายมขุ และสงิ่ เสพตดิ ๒. มคี วามรกั ใคร่ สามัคคี เออ้ื อาทรตอ่ ผู้อ่นื ๓. มสี ตปิ ญั ญาแกไ้ ขปัญหาความขดั แย้งด้วยเหตุผลและสนั ตวิ ธิ ี ๔. ยดึ มั่นในหลักศาสนาและวฒั นธรรมทด่ี ีงาม ๑๐. นักเรยี นมแี นวทำงอย่ำงไรในกำรสง่ เสริมสุขภำพชุมชน อยู่ในดุลพินิจของผูส้ อน ตอนที่ ๒ คำชแ้ี จง ให้นกั เรยี นเขียน ลอ้ มรอบคำตอบท่ีถูกตอ้ ง ๑. สุขภำพ หมำยถึง สขุ ภำวะทส่ี มบรู ณ์เชือ่ มโยงกันทกุ ด้ำน ยกเว้น ด้ำนใด ง. ความสมดุลของธรรมชาติ ๒. ตำมแนวคิดใหม่ทิศทำงของกำรพัฒนำสง่ิ ใดสำคัญทสี่ ดุ ก. สุขภาพของประชาชน ๓. ข้อใดไมเ่ กีย่ วข้องกบั คำวำ่ “สุขภำพดไี ม่มีขำย ถ้ำอยำกไดต้ อ้ งสรำ้ งเอง” ค. การตั้งใจศกึ ษาเลา่ เรียน ๔. คำวำ่ “กำรสรำ้ งเสริมสุขภำพ” กบั คำว่ำ “กำรส่งเสรมิ สุขภำพ” แตกตา่ งกันในด้ำนใดมำกทส่ี ุด ง. สขุ ภาพอนามัย ๕. ข้อใดไม่เกีย่ วข้องกับควำมหมำยของคำว่ำ “สุขภำพกำย” ข. ความทุพพลภาพ ๖. ผูท้ ี่มีพฤตกิ รรมสขุ ภำพกำยดจี ะส่งผลตอ่ ร่ำงกำยให้เห็นหลำยประกำร ยกเว้น ข้อใด ค. ยอมรับข้อบกพรอ่ งของตนเอง ๗. พฤตกิ รรมสุขภำพของกำรดแู ลตนเองยำมปกตขิ ้อใดมีประโยชนม์ ำกท่ีสุด ข. ออกกาลงั กายอยเู่ สมอ ๘. ข้อใดไม่ใช่พฤตกิ รรมสุขภำพในกำรปอ้ งกนั โรค ง. รับประทานอาหารสกุ ๆ ดิบๆ ๙. กำรพักผ่อนทด่ี ีสดุ คือขอ้ ใด ก. นอนหลับสนทิ ๑๐. ข้อใดเป็นพฤติกรรมสุขภำพทค่ี วรปฏบิ ตั ขิ ณะออกกำลังกำย ข. เหนอ่ื ยต้องพัก ใบงานที่ ๗.๑ เรื่อง การสร้างเสรมิ สุขภาพ
๓๑ คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี นอธบิ ำยควำมหมำยและควำมสำคัญของกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ พร้อมทั้งยกตัวอย่ำงกำร สรำ้ งเสรมิ สขุ ภำพท่ีนักเรยี นปฏบิ ัติเปน็ ประจำ การสร้างเสรมิ สขุ ภาพ หมายถึง กระบวนการสร้างเสริม สนับสนุนด้านสุขภาพโดยให้บุคคลมี การปฏิบัติและการพัฒนาสุขภาพ ตลอดจนจัดการส่ิงแวดล้อมและปัจจัยท่ีมีผลกระทบต่อสุขภาพ เพ่ือให้บรรลุการมีสุขภาพท่ีดีท้ังทางร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมี ความสุข การสร้างเสริมสุขภาพ มีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตของบุคคลทุกคนท่ีต้องการเป็นคนมี สุขภาพดี การมีสุขภาพท่ีสมบูรณ์จะเป็นทุนในการประกอบกิจกรรมและภารกิจในชีวิตประจาวัน ตาม บทบาทหน้าที่ความรบั ผดิ ชอบของตนเองไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ตวั อย่างการสร้างเสรมิ สุขภาพทน่ี ักเรยี นปฏิบัตเิ ป็นประจาไดแ้ ก่ การออกกาลังกายเปน็ ประจา การดแู ลเรื่องการรับประทานอาหาร การดูแลร่างกายให้แข็งแรง การตรวจสขุ ภาพประจาปี เปน็ ตน้ ใบงานท่ี ๗.๒ เรือ่ ง หนว่ ยงานที่เป็นแนวร่วมดา้ นสุขภาพในชมุ ชน คาช้ีแจง ให้นักเรียนสำรวจว่ำในชุมชนที่นักเรียนอำศัยอยู่และบริเวณใกล้เคียงว่ำ มีหน่วยงำนที่เป็นแนวร่วม ดำ้ นสุขภำพในชุมชนอะไรบำ้ ง พรอ้ มทัง้ เขียนภำรกจิ โดยสงั เขปของหนว่ ยงำนน้ันดว้ ย (อยู่ในดลุ พนิ จิ ของผู้สอน) ใบงานท่ี ๗.๓ เร่ือง ปญั หาสขุ ภาพในชุมชน คาช้ีแจง ให้นักเรียนเขยี นปัญหำสุขภำพในชุมชน และผลกระทบต่อประชำชนมำ ๕ ปญั หำ (อยู่ในดลุ พินิจของผู้สอน)
๓๒ ใบงานท่ี ๗.๔ เร่ือง การสาธารณสขุ ในชุมชน คาชี้แจง ให้นักเรียนหำข่ำวเก่ียวกับสำธำรณสุขในชุมชนมำติดลงที่ว่ำงข้ำงล่ำงน้ี แล้วอธิบำยว่ำมีประโยชน์ อยำ่ งไร (อยใู่ นดุลพนิ ิจของผู้สอน) ใบงานที่ ๗.๕ เรื่อง การปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาสุขภาพในชุมชน คาชี้แจง ให้นักเรียนเขียนแนวทำงในกำรป้องกันและแก้ไขปัญหำสุขภำพในชุมชนลงในกรอบท้ัง ๕ กรอบ พรอ้ มอธิบำยดว้ ยว่ำจะป้องกันและแกไ้ ขไดอ้ ยำ่ งไร (อยู่ในดลุ พนิ จิ ของผสู้ อน) ใบงานท่ี ๗.๖ เรอ่ื ง ความร่วมมอื กบั หนว่ ยงานด้านสุขภาพในชมุ ชน คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนบอกถึงกำรให้ควำมร่วมมอื ในกิจกรรมด้ำนสขุ ภำพในชมุ ชนของตนเองกบั หน่วยงำนต่ำงๆ โดยยกตวั อย่ำงมำ ๑ เรือ่ ง (อย่ใู นดลุ พินจิ ของผ้สู อน) เฉลยแบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๘ ตอนที่ ๑ คำชแ้ี จง จงตอบคำถำมตอ่ ไปนี้ ๑. บริเวณใดภำยในบ้ำนที่มีควำมเสีย่ งต่อกำรเกิดอบุ ัตเิ หตมุ ำกที่สุด เพรำะเหตใุ ด ห้องน้า และห้องครัว เพราะเป็นสถานที่เส่ียงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เน่ืองจากความลื่นของพ้ืน หอ้ งน้า ความชันของบนั ได ตลอดจนมีส่ิงกีดขวาง ส่วนห้องครัวก็ต้องระมัดระวังเพราะเป็นห้องที่เสี่ยง ต่อความลื่นและอบุ ตั ิเหตุจากของมคี ม ๒. กำรเรียนวชิ ำอะไรทมี่ คี วำมเสีย่ งตอ่ กำรเกดิ อุบัตเิ หตมุ ำกท่สี ดุ เพรำะเหตใุ ด วชิ าไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ตลอดจนวชิ าที่ตอ้ งอาศัยเครื่องจกั ร เนอ่ื งจากเสี่ยงตอ่ อปุ กรณ์การถูก ไฟฟา้ ดูดหรอื อยูใ่ นดลุ ยพนิ จิ ของผ้สู อน ๓. กำรไม่ปฏิบัตติ ำมกฎจรำจรมีผลตอ่ ควำมปลอดภยั ของตนเองอย่ำงไร สง่ ผลใหเ้ กิดอบุ ตั ิเหตุ เชน่ ไม่ใส่หมวกกันนอ็ ค ไม่ขา้ มถนนที่ทางข้าม การไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ๔. กำรอ่ำนค่มู อื กำรใช้งำนเคร่อื งจกั รมีสว่ นช่วยปอ้ งกนั กำรเกิดอบุ ตั เิ หตุอย่ำงไร ชว่ ยป้องกนั อันตรายเพราะจะได้เคร่ืองจกั รอย่างถกู วธิ ี
๓๓ ๕. เมือ่ ไฟไหมอ้ ำคำรสูง เรำควรปฏิบัติตัวอยำ่ งไร ถา้ มีควันมากควรใช้วิธีหมอบคลาน เพราะจะไม่สาลักควัน เนื่องจากควันไฟจะลอยสูงขึ้น ข้างล่าง ใกลๆ้ พน้ื จะมคี วนั เบาบางมาก และควรแตะที่ประตูก่อน ถ้ารู้สึกว่าร้อนอย่าเปิด เพราะถ้าเปิดจะปะทะ กับไฟ ควรหาทางออกทางอ่ืนต่อไป แต่ถ้าไม่มีทางอื่นแล้วก็ต้องเสี่ยงเปิดออกไป แต่ควรป้องกันด้วย การใชน้ ้าราดตวั ใหเ้ ปยี กแลว้ จะช่วยให้ไดร้ ับอนั ตรายจากไฟน้อยลง ๖. วิธปี อ้ งกนั ภัยจำกแกส๊ หุงตม้ ควรปฏิบัติอย่ำงไร ควรต้ังถังแก๊สและเตาควรต้ังไว้บนพ้ืนท่ีแข็งแรงและมั่นคง ถ้าใช้แก๊สแบบต้องเปิดเม่ือจะใช้ และ เมอื่ ใช้แล้วต้องปิดต้องปิดวาล์วที่หัวถังก่อนปล่อยให้ไฟดับแล้วจึงปิดที่เตา เมื่อต้ังภาชนะบนเตาอย่าง ท้ิงไว้แล้วไปทากิจกรรมอื่น ถ้าพบแก๊สร่ัวจะได้ได้กล่ินแก๊สออกมา ควรเปิดประตูหน้าต่าง ทดสอบว่า สายนาแก๊สรัว่ หรือไม่ ให้ใช้นา้ สบู่ทาบรเิ วณที่สงสยั ถา้ พบวา่ ร่ัวควรใชช้ า่ งแกไ้ ขโดยด่วน ๗. วิธีปอ้ งกนั มดี บำดมือควรปฏิบัตอิ ย่ำงไร ควรวางมีดหรือของมีคมอ่ืนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ควรใช้มีดด้วยความระมัดระวัง และไม่นา ของมีคมมาหยอกล้อกัน ๘. ภยั ในสถำนศึกษำที่นักเรียนพบเหน็ บ่อย มีอะไรบอกมำ ๓ ขอ้ หกลม้ ถกู ไฟฟา้ ดดู ตกบนั ได หรอื อยใู่ นดลุ ยพินจิ ของผสู้ อน ๙. นักเรียนเดินทำงกลบั บ้ำนด้วยวิธีใด และมีวิธกี ำรใดในกำรสรำ้ งควำมปลอดภยั ใหก้ ับตนเอง (ขึน้ อยู่กบั สภาพจริงของนักเรยี น) ๑๐. ปัจจบุ ันสงั คมไทยมสี ถำนกำรณเ์ สยี่ งต่ออุบัตภิ ยั อะไรบ้ำง บอกมำ ๕ ข้อ (อยู่ในดลุ พินจิ ของผู้สอน) ตอนที่ ๒ คำชีแ้ จง ให้นกั เรยี นเขียน ล้อมรอบคำตอบที่ถูกตอ้ ง ๑. ขอ้ ใดเป็นแนวคิดในกำรสรำ้ งควำมปลอดภยั ในกำรดำเนินชีวติ ทถี่ ูกตอ้ ง ก. บุคคลตอ้ งการความปลอดภยั ในชีวิตซง่ึ เปน็ ความตอ้ งการข้ันพื้นฐาน ๒. พฤตกิ รรมของบุคคลใดท่แี สดงถึงกำรสร้ำงควำมปลอดภยั ให้ครอบครัว ก. นายสมชายบอกกลา่ วตกั เตอื นลูกชายไมใ่ หเ้ ปิดประตูรบั คนแปลกหน้าในเวลาที่ตนไม่อยู่ ๓. ข้อใดเป็นกำรปฏิบตั ทิ ี่ไมถ่ ูกต้องเพอื่ ป้องกันอัคคีภยั ในบ้ำน ข. เสยี บปลก๊ั ไฟหลายชนิดท่ีเตา้ เสียบเดยี วกัน ๔. ข้อใดเปน็ ลักษณะกำรเกดิ อบุ ัติภัยตรงกบั ควำมหมำยของอบุ ตั ภิ ยั ในเคหสถำน ก. การเกดิ ไฟฟา้ ลัดวงจรภายในบา้ น ๕. ปญั หำอุบัตภิ ัยท่เี ป็นสำเหตกุ ำรตำยสูงสดุ ของประเทศไทยในปจั จบุ ันคือข้อใด ค. อบุ ัตภิ ยั จากการจราจรทางบก
๓๔ ๖. ผลกระทบร้ำยแรงท่ีสดุ ทเ่ี กดิ จำกอุบัตภิ ัยจำกกำรจรำจรคือข้อใด ค. สญู เสียชีวิต ๗. ปัจจยั สำคัญท่มี ีผลต่อกำรขับขีแ่ ละทำให้เกดิ อบุ ัติภยั จำกกำรจรำจรเพ่ิมมำกขนึ้ คือข้อใด ค. การไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ๘. ข้อใดเปน็ ลักษณะกำรเกิดอุบัติภยั จำกกำรประกอบอำชพี ก. สดุ าได้รับบาดเจ็บจากการยกของหนกั ในโรงงาน ๙. นกั เรยี นคดิ ว่ำขอ้ ใดเป็นมำตรกำรแกไ้ ขอบุ ตั ิภัยในสำธำรณะสถำนท่ไี ดผ้ ลดที ส่ี ุด ก. การกาหนดขอ้ บงั คบั และบทลงโทษ ๑๐. กำรเกดิ อุบัติภยั ในสำธำรณสถำนเปน็ สงิ่ ทีเ่ ปน็ อนั ตรำยรำ้ ยแรงมำกเพรำะอะไร ง. เปน็ การเกิดอบุ ตั ิภยั กบั คนเปน็ จานวนมาก ใบงานท่ี ๘.๑ เรื่อง ภยั อนั ตรายทค่ี าดไมถ่ งึ คาช้ีแจง ให้นกั เรียนยกตวั อย่ำงภัยอนั ตรำยและแนวทำงกำรลดอุบัติเหตทุ เี่ กดิ ขึ้นในสถำนที่ตอ่ ไปน้ี (อยใู่ นดุลพินจิ ของผ้สู อน) ใบงานที่ ๘.๒ เรอื่ ง พฤตกิ รรมเสีย่ งตอ่ สขุ ภาพและความปลอดภยั คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี นวเิ ครำะหพ์ ฤติกรรมต่อไปนีว้ ำ่ มโี อกำสเสี่ยงตอ่ สุขภำพและควำมปลอดภัยอย่ำงไร (อยใู่ นดลุ พินิจของผ้สู อน) ใบงานที่ ๘.๓ เร่อื ง ขบั ขอ่ี ยา่ งปลอดภยั คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเขียนป้ำยรณรงค์ให้ประชำชนสวมหมวกนิรภัย คำดเข็มขัดนิรภัย และขับขี่ รถจักรยำนยนตท์ ีป่ ลอดภัยลงในป้ำยทั้งสำม (อยู่ในดลุ พินิจของผู้สอน) ใบงานที่ ๘.๔ เรือ่ ง อบุ ตั ภิ ยั จากการจราจรทางบกกับสารเสพติด คาชี้แจง ให้นักเรียนหำข่ำวอุบัติภัยจำกกำรจรำจรทำงบกที่มีสำเหตุมำจำกสำรเสพติด มำติดลงในกรอบ ขำ้ งลำ่ งนี้ แล้วเขียนขอ้ ควำมตำมหัวขอ้ ท่กี ำหนด (อยใู่ นดลุ พินจิ ของผู้สอน) ใบงานที่ ๘.๕ เรอ่ื ง ใส่ใจความปลอดภยั คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนยกตัวอยำ่ งวิธหี ลกี เล่ียงพฤติกรรมเส่ียงมำ ๓ วธิ ี พรอ้ มท้ังระบปุ ระโยชน์จำกกำรหลกี เลยี่ ง พฤตกิ รรมเสยี่ ง (อยู่ในดลุ พนิ ิจของผสู้ อน)
๓๕ เฉลยแบบฝึกหดั ทา้ ยหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๙ ตอนท่ี ๑ คำชแี้ จง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ ๑. แนวปฏบิ ตั ิในกำรใชย้ ำมีอะไรบำ้ ง ใชย้ าให้ถูกโรค ใชย้ าให้ถกู ขนาด ใชย้ าให้ถกู เวลา ใชย้ าใหถ้ กู บุคคล และใช้ยาใหถ้ ูกวิธีหรือถกู ทาง ๒. ปญั หำสำคญั ท่ีเกิดจำกกำรใชย้ ำมีอะไรบ้ำง การใช้ยาชดุ การใช้ยาตดิ ตอ่ กันเปน็ เวลานานโดยไม่จาเป็น การใช้ยาในการประกอบอาชีพ การใช้ ยาเพื่อลดความเครียดและวิตกกงั วล การใช้ยาลดความอว้ น ๓. จงบอกสำเหตุของอำกำรไมพ่ ึงประสงค์จำกกำรใชย้ ำ มีปจั จยั อะไรบำ้ ง การรบั ยาตดิ ตอ่ กันเป็นเวลานาน การดอื้ ยา การตดิ ยา อนั ตรายจากพษิ ของยา การเส่ือมและการ หมดอายขุ องยา การแพย้ า และผลข้างเคียงของยา ๔. กลุ่มผูป้ ว่ ยโรคใดบำ้ ง ทม่ี ีควำมเสี่ยงต่อกำรเกิดอำกำรแพ้ยำ ผปู้ ว่ ยติดเชอ้ื เอชไอวี ผปู้ ว่ ยโรคหอบหดื ผ้ปู ่วยทม่ี ีการตดิ เชอ้ื ไวรัส ๕. ควำมเสีย่ งต่อกำรใช้ยำหมำยถึงอะไร การมีโอกาสทจ่ี ะได้รบั อนั ตรายที่อาจเกดิ ขน้ึ กบั ผปู้ ว่ ยหรือผทู้ ี่ใชย้ า ทม่ี วี ตั ถปุ ระสงค์หลักเพือ่ การ รกั ษาโรค การบรรเทาอาการโรค และการปอ้ งกนั โรค ๖. เปำ้ หมำยสำคญั ในกำรใชย้ ำมีอะไรบ้ำง ใชใ้ นการรักษาโรค ใชบ้ รรเทาอาการโรค และใชใ้ นการป้องกนั โรค ๗. อันตรำยทเ่ี กดิ จำกกำรใชย้ ำผิดหลกั หรือไมถ่ กู ต้องจะก่อใหเ้ กดิ อำกำรผิดปกติอย่ำงไร การแพ้ยา ผลขา้ งเคียงของยา การดอ้ื ยา การติดยา พษิ ของยา และการใชย้ าผดิ ประเภท ๘. จงบอกอำกำรอันไมพ่ งึ ประสงคท์ เี่ กิดข้นึ จำกกำรใชย้ ำตง้ั แตอ่ ำกำรไมร่ ุนแรงไปถงึ อำกำรรนุ แรงจนเสียชวี ิต - คลืน่ ไสอ้ าเจียน กระสบั กระสา่ ย นอนไม่หลบั - อาการผื่นลมพิษ มีผ่นื แดง - แนน่ หนา้ อก หายใจไม่ออก - ช็อก หรือหมดสติ - ระบบอวยั วะในรา่ งกายถูกทาลาย - เสยี ชีวิต ๙. นกั เรยี นสำมำรถมีสว่ นรว่ มในกำรปอ้ งกนั ควำมเสี่ยงตอ่ กำรใช้ยำของตนเอง ครอบครวั และสงั คมไดอ้ ย่ำงไรบำ้ ง 1. อา่ นฉลากทกุ ครง้ั ก่อนใช้ยา 2. ดูแลให้คนในครอบครวั ใชย้ าตามที่แพทยส์ งั่ อยา่ งเครง่ ครดั 3. เขา้ รว่ มกจิ กรรมการประชาสมั พันธ์เกยี่ วกบั เรอ่ื งยา 4. ร่วมมอื กบั เพอื่ นนักเรียนจดั กจิ กรรมกล่มุ อาสาสมัครทงั้ ในสถานศกึ ษาและในชุมชน) ๑๐.จงอธบิ ำยกำรใชย้ ำปฏิชวี นะหรือยำแก้อกั เสบ (Antibiotics) ยาปฏชิ วี นะหรือยาแก้อกั เสบ มรี ะยะเวลาของการใช้ยาท่ีต่อเน่อื ง แมว้ า่ อาการของโรคจะทุเลาหรือ หายแล้วกต็ าม จะต้องรับประทานยาต่อไปอกี จนครบระยะเวลาตามทแ่ี พทยส์ ง่ั บางคนเมอื่ อาการดีข้ึน แล้วก็หยุดยา จะทาใหข้ นาดของยาไม่เพยี งพอในการทาลายเชือ้ โรค เช้ือโรคที่ยังเหลืออยู่จะด้ือยา ทา
๓๖ ให้การใช้ยาครั้งต่อไปไม่ได้ผล และต้องใช้ยาที่มีความแรงมากข้ึนเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะไม่มียาท่ีใช้ รกั ษาโรคได้ ตอนท่ี ๒ คำชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นเขียน ล้อมรอบคำตอบทถี่ กู ต้อง ๑. อนั ตรำยจำกกำรใชย้ ำมีอะไรบ้ำง ก. การแพ้ยา ผลข้างเคียงของยา การด้ือยา การติดยา พษิ ของยา ใช้ยาผิดประเภท ๒. กำรปอ้ งกันกำรใชย้ ำในทำงที่ผิดควรทำอยำ่ งไร ง. ควรรบั ประทานยาและอาหารเป็นประจาจะไดแ้ ข็งแรง ๓. ข้อใดไมต่ อ้ งแจง้ ไวใ้ นฉลำกยำ ค. แพทย์ผสู้ ั่ง ๔. EXP. Date 30 April 2016 หมำยควำมว่ำอย่ำงไร ก. ยาหมดอายุ วนั ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559 ๕. กำรป้องกันอนั ตรำยจำกกำรใชย้ ำ ขอ้ ใดถูกตอ้ งทสี่ ดุ ง. ถกู โรค ถูกคน ถกู เวลา ถกู ขนาด ถูกวิธี ๖. เพรำะเหตใุ ดเรำจึงตอ้ งใช้ยำใหถ้ กู กบั เวลำ เชน่ ยำกอ่ นอำหำรกค็ วรรบั ประทำนก่อนอำหำร ไม่ใช่หลงั อำหำร ค. ถ้ารับประทานยาผิดเวลาทก่ี าหนดไป ยาอาจหมดฤทธ์หิ รอื ไมม่ ีผลในการรกั ษา ๗. อนั ตรำยจำกกำรใชย้ ำ ข้อใดถอื วำ่ รนุ แรงทสี่ ุด ข. การแพย้ า ๘. ข้อใดไมใ่ ชย่ ำ ง. สารทใ่ี ชแ้ ลว้ ตอ้ งเพ่มิ ปริมาณ ๙. “เมอื่ เรำรับประทำนยำหรือฉีดยำเข้ำไปในร่ำงกำย ตัวยำจะถูกดูดซึมเข้ำไปในเลือด และกระจำยไปยังส่วน ตำ่ งๆของร่ำงกำยเพ่ือทำลำยเชือ้ โรค ซึง่ เช้อื โรคสว่ นใหญ่จะอยู่ในเลอื ด เรำจงึ ต้องรักษำควำมเขม้ ข้นของยำ ทจ่ี ะทำลำยเช้ือโรค เพรำะว่ำเม่ือตัวยำถูกส่งไปยังตับ ตับถือว่ำยำเป็นสิ่งแปลกปลอม ร่ำงกำยไม่ต้องกำร ตับจะขับตัวยำออกจำกร่ำงกำย ทำให้ควำมเข้มข้นของยำลดลงเรื่อยๆ ดังนั้น เรำจึงต้องรับประทำนยำ ตำมทแี่ พทยส์ ่ัง เช่น 1 เม็ด ทุก 4 ชัว่ โมง เพ่อื รกั ษำระดบั ควำมเข้มข้นของยำไว้” จำกข้อควำมดงั กลำ่ ว ตรง กบั ข้อใด ก. การใชย้ าถกู ขนาด ๑๐. ข้อใดเป็นหลักกำรใชย้ ำท่ปี ลอดภยั ทีส่ ุด ค. ปฏิบตั ิตามคาแนะนาในฉลากยา
๓๗ ใบงานที่ ๙.๑ เร่อื ง การใชย้ าทถ่ี ูกวิธี คาช้ีแจง ให้นักเรียนอธบิ ำยควำมหมำยควำมเสย่ี งต่อกำรใชย้ ำ และบอกแนวปฏิบตั ใิ นกำรใช้ยำทีถ่ ูกต้อง เพื่อ ปอ้ งกนั ควำมเสยี่ งจำกกำรใชย้ ำที่จะทำใหเ้ กิดอำกำรอนั ไมพ่ ึงประสงค์ ความเส่ียงต่อการใช้ยา หมายถึง โอกาสท่ีอาจเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยหรือผู้ท่ีใช้ยาท่ีมี วัตถุประสงค์หลักเพ่ือการรักษาโรค การบรรเทาอาการโรค และการป้องกันโรค แต่อาจเกิดอาการ อน่ื ๆที่อาจเป็นอันตรายต่อรา่ งกายผ้ปู ่วยหรือผทู้ ใ่ี ช้ยา อาการเหล่าน้ี เรียกว่า อาการอันไม่พึงประสงค์ หรือผลขา้ งเคยี งของยา แนวปฏิบตั ใิ นการใชย้ าทถ่ี กู ต้อง ควรยึดหลกั ปฏิบัตดิ ังนี้ ๑. ใช้ยาให้ถูกโรค ๒. ใชย้ าใหถ้ กู ขนาด ๓. ใชย้ าใหถ้ ูกเวลา ๔. ใชย้ าให้ถูกบคุ คล ๕. ใชย้ าให้ถกู ทางและวิธี ใบงานท่ี ๙.๒ เรื่อง ยาสามญั ประจาบา้ น คาช้แี จง ใหน้ ักเรียนอธิบำยอำกำรอันไมพ่ งึ ประสงค์จำกกำรใช้ยำ ดังตอ่ ไปน้ี กำรเสือ่ มและหมดอำยขุ องยำ ยาทม่ี ลี ักษณะเชน่ นี้ไม่ควรนามาใช้ เพราะอาจทาใหเ้ กดิ อันตรายจนถงึ ตายได้ กำรรับยำตดิ ตอ่ กนั เป็นเวลำนำน เช่น ยากลมุ่ สเตียรอยด์ อาจทาให้เกิดความผดิ ปกติ กำรแพ้ยำ อาการจะมีระดบั ความรุนแรงแตกต่างกันไป เช่น ชอ็ ก หายใจไมอ่ อก ผลข้ำงเคียงของยำ เชน่ ยาเตตราซยั คลนิ ทาใหเ้ กดิ อาการคลน่ื ไส้ ยาแกป้ วด กำรดอื้ ยำ ทาให้เชอื้ โรคปรบั ตวั ต่อต้านฤทธิย์ า จงึ เกดิ การดื้อยา ถ้าเปน็ เช่นนี้ตอ้ งเปล่ยี นตวั ยาใหม่
๓๘ ใบงานท่ี ๙.๓ เรอ่ื ง ปญั หาจากการใชย้ า คาช้แี จง ให้นกั เรยี นตอบคำถำมจำกหัวข้อท่กี ำหนดให้ ๑. นกั เรียนเคยใชย้ ำอะไรบำ้ ง และใช้ยำชนดิ ใดบอ่ ยทีส่ ดุ ขนึ้ อยูก่ บั สถานการณ์จรงิ ของผ้เู รียน ๒. นักเรียนมีอำกำรผิดปกติจำกกำรใช้ยำหรือไม่ มีอำกำรอย่ำงไรบ้ำง และนักเรียนปฏิบัติตนอย่ำงไรเมื่อมี ควำมผดิ ปกตขิ ำ้ งตน้ ขึ้นอยูก่ บั สถานการณจ์ ริงของผ้เู รยี น ๓. นักเรยี นสำมำรถมสี ่วนร่วมในกำรปอ้ งกนั ควำมเสี่ยงตอ่ กำรใชย้ ำของตนเอง ครอบครัวและสังคมได้อย่ำงไร บำ้ ง ขนึ้ อยูก่ บั สถานการณ์จรงิ ของผูเ้ รียน และอยใู่ นดลุ พนิ จิ ของผสู้ อน เฉลยแบบฝึกหัดทา้ ยหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี ๑๐ ตอนที่ ๑ คำชแี้ จง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ ๑. สำรเสพติดคอื อะไร จากความหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ หรือความหมายตามที่องค์การ อนามัยโลกกาหนดไว้ สามารถสื่อความหมายของสารเสพติดได้ตรงกันว่าหมายถึง สารหรือยา หรือ วัตถุชนิดใดๆ ที่เม่ือเสพเข้าร่างกายจะโดยวิธีรับประทาน ฉีด สูบ ดม หรือด้วยวิธีใดๆ ก็ตามแล้วจะเป็น ผลตอ่ ร่างกายและจติ ใจของผเู้ สพในลักษณะสาคัญ ๔ ประการ คือ ๑. ผู้เสพจะเกิดความต้องการเสพทัง้ ทางร่างกายและจติ ใจอย่างรนุ แรง ๒. ตอ้ งเพิ่มขนาดหรอื ปรมิ าณของสารเสพตดิ นัน้ ข้นึ เร่อื ยๆ ๓. ตอ้ งตกอยู่ใตอ้ านาจบังคบั อนั เกิดจากฤทธขิ์ องสารเสพติดนั้นๆ ทาใหห้ ยดุ ไม่ไดแ้ ละเกิดอาการ ขาดยา (Withdrawal Syndrome) เมอื่ ไมไ่ ด้เสพ ๔. ผู้เสพจะมีสขุ ภาพร่างกายท่ที รุดโทรมลง และฤทธิ์ทีเ่ ร้อื รงั จะส่งผลใหถ้ ึงตายไดห้ ากไมไ่ ด้รับการ บาบัดรกั ษา ๒. สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของสำรเสพติดในปัจจุบันเป็นอย่ำงไร ในอดีตจะพบว่าการแพร่ระบาดนั้นจะอยู่ท่ีประชาชนผู้ใช้แรงงานและกลุ่มเยาวชน ชุมชนแออัด ผู้ดอ้ ยโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ปจั จบุ ันสารเสพตดิ กลับแพร่ระบาดเข้าไปสูเ่ ยาวชนในสถานศึกษาแทน ๓. กำรใชส้ ำรเสพตดิ มโี ทษตอ่ ตนเองอย่ำงไร ทาใหส้ ุขภาพทรดุ โทรม และมกี ารเปลย่ี นแปลงดงั นี้ ๑. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายคือ สุขภาพทรุดโทรม ซูบผอม อ่อนเพลีย ผิวหน้าหยาบกร้าน ตาสูแ้ สงแดดไมไ่ ด้ มีอาการต่ืนเต้น ลุกล้ลี กุ ลน บางรายกง็ ่วงซึม หากเสพโดยการฉดี จะพบรอยเข็มฉดี ยา
๓๙ ๒. การเปลีย่ นแปลงทางจติ ใจและพฤตกิ รรม คอื ขาดความเชอ่ื มั่นในตนเอง ขาดความรบั ผดิ ชอบ ในหน้าที่ พฤติกรรมเปล่ยี นไป เช่น พดู จากา้ วร้าว เจา้ อารมณ์ หงุดหงิด ความคิดสบั สน มีอาการหลง ผิดประสาทหลอน ๓. อาการเมื่อขาดสารเสพติดจะมีอาการ ขนลุก เหงื่อออก น้ามูกน้าตาไหล กระสับกระส่าย หายใจถี่ คลนื่ ไส้ อาเจียน ปวดทอ้ ง ท้องเดนิ ปวดกระดูก ปวดศรี ษะ นอนไม่หลบั ฯลฯ ๔. ให้ยกตัวอย่ำงกิจกรรมที่นักเรียนสำมำรถมีส่วนร่วมในกำรป้องกันควำมเสี่ยงต่อกำรใช้สำรเสพติดทั้งใน โรงเรยี น และในชุมชน อยู่ในดุลพินิจของผสู้ อน ๕. กำรดำเนินงำนปอ้ งกนั สำรเสพตดิ ในโรงเรยี นได้อยำ่ งไร เนือ่ งจากในโรงเรยี นเปน็ สถานท่ีที่นักเรียนได้ใช้เวลาอยู่นานในแต่ละวัน ดังน้ันจึงมีบทบาทสาคัญ ในการทาให้นักเรียนปลอดภัยจากสารเสพติด ซึ่งโดยท่ัวไปโรงเรียนก็จะมีมาตรการดาเนินงานท้ังใน ด้านการปอ้ งกนั การปราบปราม การบาบัดรักษาและฟ้ืนฟูสมรรถภาพ ซ่ึงการดาเนินการก็จะแตกต่าง กนั ไปตามสภาพของโรงเรียน ซึ่งนกั เรยี นสามารถให้ความร่วมมือและเข้าร่วมในกิจกรรมของโรงเรียน ในโอกาสตา่ งๆ เพอื่ จะไดม้ ีส่วนรบั รู้ปัญหาและปอ้ งกนั แกไ้ ขปัญหาสารเสพติด นอกจากการใชเ้ วลาวา่ ง ให้เป็นประโยชน์แล้ว นักเรียนยังได้รับประสบการณ์ในการทางานร่วมกับผู้อื่นอันจะเป็นประโยชน์ต่อ ตวั เองและสังคมอกี ดว้ ย ๖. จงยกตัวอยำ่ งสำรเสพติดท่ีออกฤทธติ์ อ่ กำรกดประสำทสว่ นกลำง ฝ่ิน มอร์ฟีน โคเคอีน เฮโรอีน โซเดียมเซโคบาร์ บิทาล (เหล้าแห้ง) ไดอะซีแฟม แล็กเกอร์ คลอไดอะซปี อ๊ กไซด์ ทินเนอร์ กาว ฯลฯ ๗. จงยกตัวอย่ำงสำรเสพตดิ ทอ่ี อกฤทธใ์ิ นกำรกระตุน้ ประสำท แอมเฟตามนี (ยาบา้ ยามา้ ยาขยนั ) อเี ฟดนี (ยาอี) โคเคอนี กระท่อม ฯลฯ ๘. พระรำชบัญญตั ิยำเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และฉบับแกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๐ จำแนกเป็น กป่ี ระเภทอะไรบำ้ ง จาแนกตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ๖ ประเภท คอื ๑. ยาเสพติดใหโ้ ทษชนดิ รา้ ยแรง ไดแ้ ก่ เฮโรอีน อที อรฟ์ นี อะซที อร์ฟนี ฯลฯ ๒. ยาเสพติดให้โทษทัว่ ไป ไดแ้ ก่ ฝนิ่ มอร์ฟีน โคเคอนี โคคาอีน ไดฟนี ๊อกซเี ลต เอธลิ มอรฟ์ นี ๓. ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษชนดิ เป็นตารบั ยาทีม่ ียาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทท่ี ๒ ปรงุ ผสมอย่ดู ว้ ย ได้แก่ ยา แกไ้ อ ยาแทท้ อ้ งเสยี ทีม่ ีฝ่ิน โคเคอีนเปน็ สว่ นผสม ๔. สารเคมีทีใ่ ช้ในการผลิตยาเสพติดใหโ้ ทษประเภทที่ ๑ และ ๒ ไดแ้ ก่ อะเซติลคลอไรด์ อะเซตกิ แอนไฮไดรด์ ๕. พชื เสพตดิ ใหโ้ ทษ ไดแ้ ก่ กญั ชา กระท่อม เห็ดข้ีควายซ่งึ จัดเป็นยาเสพตดิ ที่ไม่เข้าประเภท ๑ ถงึ ๔ ๙. นักเรียนคิดวำ่ สำเหตขุ องกำรของกำรตดิ สำรเสพตดิ เกดิ จำกอะไรมำกทส่ี ุด เกิดจากการถูกชักชวน ครอบครัวแตกแยก หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีมีการซ้ือขายสารเสพติด หรืออย่ใู นดลุ พินจิ ของผสู้ อน
๔๐ ๑๐. นกั เรยี นมวี ธิ ีกำรอยำ่ งไรในกำรหลีกเลี่ยงกำรติดสำรเสพติด (อยู่ในดุลพนิ ิจของผสู้ อน) ตอนที่ ๒ คำชแี้ จง ใหน้ ักเรียนเขียน ลอ้ มรอบคำตอบทถี่ กู ตอ้ ง ๑. ข้อใดไมใ่ ชผ่ ลของกำรเสพตดิ ตอ่ ร่ำงกำยและจติ ใจผ้เู สพ ง. มีผลให้รา่ งกายกระปร้กี ระเปร่า สดชืน่ มากขนึ้ ๒. ขอ้ ใดเป็นสำรเสพติดใหโ้ ทษชนดิ ร้ำยแรง ก. เฮโรอนี ๓. ปัญหำสำรเสพตดิ ชนดิ ใดทกี่ ำลังแพรร่ ะบำดในประเทศไทย ง. แอมเฟตามีน ๔. ผู้เสพสำรเสพติดชนดิ ใดทีม่ ีอำกำรจิตใจเลอื่ นลอย ซึม ง่วง พดู จำวกวน อำรมณ์ดี ควำมคดิ และกำรตัดสินใจ เชือ่ งช้ำ ก. ฝิ่น ๕. ผ้เู สพสำรเสพติดชนิดใด ถ้ำเสพมำกจะทำให้หลอนประสำท เห็นภำพลวงตำควำมคิดสับสนควบคุมตนเอง ไม่ได้ ค. กัญชา ๖. ปญั หำรำ้ ยแรงของแอมเฟตำมนี (ยำบำ้ ) ในประเทศไทย คอื ฐำนของผตู้ ดิ ยำบำ้ ได้ขยำยไปยังกลุม่ ใด ก. กลุ่มเยาวชน ๗. แนวทำงในกำรปอ้ งกนั สำรเสพตดิ ในขอ้ ใดทจ่ี ะช่วยสง่ เสรมิ ให้คนในชมุ ชนได้รับรแู้ ละตระหนักถงึ อนั ตรำย เกีย่ วกบั สำรเสพตดิ ข. เอกชยั ชวนเพอื่ นมารว่ มเดนิ รณรงค์เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจถงึ อันตรายของสารเสพตดิ ๘. ข้อใดคอื กำรปอ้ งกนั ตนเองจำกสำรเสพตดิ ท่สี ำคัญทสี่ ุด ค. ไม่ทดลองเสพยาทกุ ชนิด ๙. สำรเสพติดในขอ้ ใดมีสรรพคุณทำงกำรแพทย์ สำมำรถรักษำโรคได้ ก. มอร์ฟนี ๑0. สำรใดในบุหร่จี ะกระตุน้ และกดกำรทำงำนของระบบประสำทส่วนกลำง ทำอันตรำยต่อระบบทำงเดินอำหำร ระบบทำงเดนิ หำยใจ ระบบไหลเวยี นโลหติ ก. นิโคตนิ
๔๑ ใบงานที่ ๑๐.๑ เรอ่ื ง สารเสพตดิ คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเขยี นชอื่ สำรเสพตดิ ที่แพรร่ ะบำดในประเทศไทยมำในรูปแบบของผังควำมคดิ โดยเขยี น ไม่ต่ำกวำ่ ๑๐ ช่ือ (อยู่ในดุลพินิจของผสู้ อน) ใบงานท่ี ๑o.๒ เร่ือง สถานการณ์ระบาดของสารเสพติด คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นนำเสนอขำ่ วทอ่ี ำจเปน็ สำเหตแุ ลละพฤติกรรมเสี่ยงต่อกำรใชส้ ำรเสพตดิ จำกปัจจยั ๓ ประกำรคอื สำรเสพตดิ ผเู้ สพ และสภำพแวดลอ้ มพรอ้ มท้งั แสดงควำมคดิ เหน็ (อยใู่ นดลุ พินจิ ของผสู้ อน) ใบงานท่ี ๑๐.๓ เร่ือง รู้สาเหตุและหาทางแก้ คาช้ีแจง ให้นักเรียนเขยี นสำเหตกุ ำรใช้สำรเสพติด และวธิ ีปอ้ งกนั ปญั หำสำรเสพตดิ ในสถำนศกึ ษำ สาเหตุ วธิ ีปอ้ งกัน ถกู เพอ่ื นชกั ชวน ต้องปฏเิ สธ อย่างจริงจัง อยากรู้ อยาก ครู อาจารยช์ ้ีแนะ เหน็ อยากลอง และลงโทษผกู้ ระทา ผดิ ขาดความรู้ ครู อาจารยใ์ หค้ วามรู้ ความเขา้ ใจ และคาแนะนา ใบงานที่ ๑o.๔ เรอื่ ง กิจกรรมปอ้ งกนั สารเสพติด คาช้ีแจง ใหน้ ักเรียนยกตวั อย่ำงกจิ กรรมปอ้ งกันควำมเส่ียงตอ่ กำรใช้สำรเสพตดิ ท่จี ดั ขน้ึ ในโรงเรียนพร้อมท้ังอธบิ ำย วิธกี ำรจัดกิจกรรมพร้อมแสดงควำมคดิ เหน็ ตอ่ กจิ กรรมนนั้ (อย่ใู นดุลพนิ จิ ของผู้สอน)
๔๒ เฉลยแบบฝกึ หดั ท้ายหน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๑๑ ตอนท่ี ๑ คำชแ้ี จง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ ๑. กำรสรำ้ งสมั พันธภำพทีด่ ีระหว่ำงบคุ คลปัจจัยขอ้ ใดสำคญั ที่สดุ เพรำะเหตใุ ด อยใู่ นดุลพินิจของผสู้ อน ๒. หลักกำรสร้ำงสัมพันธภำพทดี่ กี บั บุคคลในครอบครัว ควรปฏิบตั ิอย่ำงไร หลกั การสร้างสมั พนั ธภาพท่ีดคี วรปฏิบตั ิดังนี้ ๑. ทกุ คนตอ้ งปฏบิ ตั ิตนตามกฎระเบียบของครอบครัวอย่างสม่าเสมอ ๒. เคารพเชื่อฟังและให้เกียรติซึ่งกันและกนั เด็กตอ้ งเคารพผใู้ หญ่ ๓. ให้ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลือไมเ่ อาเปรยี บซง่ึ กนั และกนั ปฏิบตั ิหน้าทท่ี ี่ได้รบั มอบหมายอย่างเต็ม ความสามารถ ๔. รกั และซื่อสตั ยต์ อ่ ครอบครัวและพอ่ แม่ ๕. ทกุ คนในครอบครัวควรมคี วามเอื้ออาทรหว่ งใยซึ่งกันและกนั จะทาใหค้ รอบครัวอบอุ่นและมี ความสุข ๖. ร่วมกนั แก้ปัญหาในทุกเร่ืองที่เกดิ ขึน้ ด้วยความเข้าใจและเห็นใจกนั ๗. ขจัดปญั หาและความขดั แย้งต่างๆ ในครอบครวั ให้หมดไป ๓. ทักษะกำรพูดและทกั ษะกำรฟงั มคี วำมจำเป็นในกำรรักษำสัมพันธภำพท่ีดรี ะหว่ำงบคุ คลอยำ่ งไร การพูดที่จะให้ผู้อื่นประทับใจหรือเป็นคู่สนทนาที่ดีกับบุคคลอื่น ต้องฝึกฝนการพูดอยู่เสมอ โดยใช้คาพูดที่สุภาพนุ่มนวล ไม่หยาบคายและเป็นคาพูดในทางบวก หลีกเล่ียงการพูดท่ีตาหนิติเตียน หวงั ให้รา้ ยผู้อื่น คาพูดท่ีไพเราะจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้อ่ืนและผู้พูดจะได้รับความนิยมชมชอบ จากบุคคลรอบข้าง ส่วนการเป็นผู้ฟงั ท่ีดีสามารถสร้างความประทบั ใจใหก้ ับผพู้ ดู หรือ ผู้ทสี่ นทนาดว้ ยได้ เป็นอย่างดี วิธฝี กึ ให้เกิดทักษะในการฟงั ส่วนสาคัญคือ ไม่สอดแทรก ขัดจังหวะ หรือซักถามในขณะที่ผู้ พูดยงั พดู ไม่จบ หรือยังไม่เปิดให้ซักถาม ๔. ทกั ษะกำรตอ่ รองจะนำมำใชก้ บั สถำนกำรณใ์ ดใหย้ กตัวอย่ำงมำ ๓ สถำนกำรณ์ (อยู่ในดลุ พนิ ิจของผสู้ อน) ๕. ถำ้ เพือ่ นของนักเรียนทะเลำะกนั นกั เรยี นมีวธิ ีกำรแกไ้ ขควำมขัดแย้งดงั กล่ำวอย่ำงไร (อยใู่ นดุลพินิจของผูส้ อน) ๖. กำรอยู่ร่วมในสงั คมอย่ำงเปน็ สุข ควรปฏิบตั ิอย่ำงไร การอยูร่ ่วมกนั ในสังคมอยา่ งเปน็ สขุ จะเกดิ ข้ึนได้โดยมีหลกั ปฏบิ ตั ดิ ังน้ี ๑. พัฒนาบุคลิกภาพให้ผู้พบเห็นเกิดความช่ืนชมและประทับใจด้วยการพูด กิริยาท่าทางต่างๆ และการวางตัวอยา่ งเหมาะสม
๔๓ ๒. การแสดงออกด้วยความใจกวา้ ง ใจดี และจรงิ ใจ ๓. การใหค้ วามชว่ ยเหลอื เอาใจใส่ในกิจกรรมและการงานส่วนรวมด้วยความมนี า้ ใจและเสยี สละ ๔. ให้คาแนะนาหรือเสนอแนะทเี่ ป็นประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม ๕. ร่วมแก้ปัญหาและขอ้ ขดั แย้งในสังคมให้ดขี ้ึน ๖. พูดคุยหรือสนทนากบั ทุกคนดว้ ยความยมิ้ แยม้ แจม่ ใส และเปน็ มติ รกบั คนทกุ คนอยา่ งเสมอภาคกนั ๗. เพรำะเหตใุ ดจงึ ต้องมกี ำรฝึกทักษะในกำรเข้ำสังคม เพราะมนษุ ย์ย่อมมีสังคมของตนเอง เชน่ วัยเด็กจะเป็นสังคมในครอบครัว โรงเรียนหรือเพื่อน บ้านเม่ือโตข้ึนสังคมจะกว้างขวางขึ้นมีสังคมกับคนหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็จะแตกต่างกันไป เช่น วัฒนธรรม อาชีพ ภาษา วัยวฒุ ิ เป็นต้น ดังนนั้ จงึ ตอ้ งมที กั ษะแสดงความพร้อมในการเข้าสังคม คือ ๑. ทักษะในการพูด ต้องมีการเตรียมหรือศึกษากลุ่มสังคมที่จะต้องไปพบปะสังสรรค์เพื่อจะได้ พูดคุยใหต้ รงกบั ความสนใจของผู้ฟัง และเปน็ สมาชกิ ท่ีดีของกลมุ่ ได้ ๒. ตอ้ งเปน็ ผฟู้ ังทดี่ ี ไม่ขัดแย้งหรอื ก่อกวน คอื ต้องทาตวั ใหก้ ลมกลืนอย่ไู ด้ทกุ สถานท่ี ๓. พูดหรือสนทนาในเร่อื งทท่ี าใหผ้ ฟู้ ังสบายใจได้ขอ้ คดิ ไมพ่ ดู ในเรอื่ งทผ่ี ้ฟู งั ฟงั แล้วไมส่ บายใจ เศร้าใจ หรือก้าวรา้ วหาเรือ่ งผอู้ ่นื เปน็ ต้น ๔. มคี วามสภุ าพ รู้กาลเทศะในการพดู คุย ในการวางตวั และการแตง่ กายอยา่ งเหมาะสม ๕. ให้ความร่วมมือในกจิ กรรมตา่ งๆ ของสงั คมดว้ ยความเตม็ ใจและเป็นกนั เอง ๘. ให้นกั เรียนบอกสำเหตขุ องควำมขัดแยง้ ในกล่มุ นักเรียนและเยำวชนมำ ๓ สำเหตุ ๑. การทะเลาะววิ าทภายในสถาบนั ๒. การทะเลาะวิวาทภายนอกสถาบัน ๓. การถูกทารา้ ยทางเพศ ๙. ให้นักเรียนบอกแนวทำงกำรแกป้ ัญหำควำมขดั แย้งมำ ๕ วธิ ี ๑. ฝกึ ตนเองใหส้ ามารถรู้จกั แก้ปัญหาด้วยการใช้ความคิดมเี หตุผล ๒. เขา้ รว่ มกิจกรรมเพือ่ สรา้ งเสริมสัมพันธภาพอันดใี นกลมุ่ นักเรยี น ๓. เขา้ รว่ มกจิ กรรมพัฒนาคณุ ธรรม จริยธรรมในรปู แบบต่างๆ ๔. เช่ือฟังคาสั่งสอนและคาแนะนาของบิดา มารดา ครู อาจารย์ เม่ือมีปัญหาควรปรึกษาผู้ใหญ่ ทันที ๕. ควรมีการรวมกลุ่ม ตามความสนใจและความถนัดของตนเอง เพ่ือทากิจกรรมร่วมกัน (หรือตามดุลพินจิ ของผูส้ อน) - มีความระมัดระวงั ตนเอง ให้ปลอดภยั จากการเกดิ เหตุการณ์ทะเลาะวิวาท - แจง้ ใหผ้ ูใ้ หญ่ทราบทนั ทเี มอื่ พบเหตกุ ารณ์ทจี่ ะเปน็ ปญั หาทาใหเ้ กิดความรนุ แรง - มจี ติ สานึกตอ่ ส่วนรวม โดยคานึงถงึ ผลประโยชนข์ องส่วนรวม
๔๔ - เลือกรบั ส่อื ที่สร้างสรรค์ หลกี เลี่ยงการรบั สือ่ ท่ีมกั นาเสนอขอ้ มูลในทางลบ - จัดตง้ั กล่มุ ในโรงเรยี นและชมุ ชน มีอาสาสมัครและแกนนานักเรียนคอยสงั เกตและเฝ้าระวัง (หรืออย่ใู นดุลพินิจของผู้สอน) ๑๐. ให้นักเรยี นบอกถงึ แนวทำงกำรป้องกนั และแก้ไขปญั หำควำมขัดแยง้ ในโรงเรียนโดยสนั ติวิธมี ำ ๕ ข้อ ๑) ฝกึ ตนเองใหส้ ามารถร้จู ักการแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผล ๒) รจู้ กั การใหอ้ ภยั ๓) ไมใ่ ชอ้ ารมณต์ ดั สินปัญหาความขัดแย้ง ๔) รจู้ ักขม่ ใจ อดทน อดกลั้น ๕) ไม่ใช้ความรนุ แรงตอ่ กนั ท้ังทางร่างกายและจติ ใจ (หรือตามดลุ ยพินจิ ของผูส้ อน) - ชว่ ยหา้ มปรามไกล่เกลยี่ เพื่อนและคนใกล้ชิด อย่าใหเ้ กิดการทะเลาะวิวาทกนั - ไม่ช่วยเพอ่ื นในทางท่ผี ิด - เมื่อมคี วามขัดแย้งจนตกลงกันไม่ได้ อาจไปขอคาปรึกษาหรือคาแนะนาจากครู อาจารย์ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ตอนที่ ๒ คำช้ีแจง ให้นกั เรียนเขียน ล้อมรอบคำตอบท่ถี ูกต้อง ๑. นักเรยี นคดิ วำ่ ควำมคดิ ควำมร้สู กึ และควำมต้องกำรของใครสำคัญท่สี ุด ง. สาคัญเทา่ กนั แตต่ ้องพิจารณาถงึ เหตุผลทสี่ มควรดว้ ย ๒. ถ้ำเพื่อนของนักเรียนทำงำนผิดพลำดทำใหค้ ะแนนของกลุม่ ไมด่ ี นกั เรียนจะทำอยำ่ งไร ข. ตรวจสอบหาสาเหตทุ ่ีเขาทางานผิดพลาด ๓. ถ้ำนักเรยี นมเี พ่ือนทช่ี อบพดู ตลกไปวันๆ ไมท่ ำงำนอะไร นักเรียนคดิ วำ่ ควรจะทำขอ้ ข. เขาทาใหพ้ วกเราอารมณด์ ี ควรให้โอกาสเขาไดท้ างานท่ีเหมาะกบั เขา ๔. นกั เรียนจะเขำ้ ใจเพอ่ื นของนักเรียนอย่ำงถกู ตอ้ งได้ดว้ ยวธิ ีใด ง. ถูกทุกข้อ ๕. นักเรยี นควรแสดงควำมเห็นใจเพ่ือนที่ประสบอบุ ตั ิเหตจุ นต้องเขำ้ โรงพยำบำลอยำ่ งไร ก. พดู ใหก้ าลังใจว่าอีกไมช่ ้าจะหาย สว่ นเรอ่ื งเรยี นไม่ต้องหว่ งจะช่วยเมือ่ หายดีแล้ว ๖. แนวทำงแก้ปญั หำทเี่ กิดจำกควำมขัดแย้งในสังคมไดค้ วรทำอย่ำงไร ก. ทากจิ กรรมรว่ มกัน ๗. นกั เรียนคดิ ว่ำใครมอี ิทธพิ ลมำกท่สี ดุ ท่จี ะทำใหเ้ กดิ ปญั หำควำมขัดแยง้ ก เพอ่ื น
๔๕ ๘. ควำมขัดแยง้ จะเกดิ ขึ้นได้อยำ่ งไร ค. เมอื่ บคุ คลหรอื กลุ่มคนอยใู่ นภาวะที่ไม่สามารถจะตดั สินใจหาขอ้ ยตุ ิได้ ๙. กำรปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หำควำมขัดแย้งโดยกำรเขำ้ ร่วมกิจกรรมมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื อะไร ก. เพอ่ื สรา้ งเสริมสัมพันธภาพอันดใี นกลมุ่ นักเรียน ๑๐. เมือ่ มีควำมขดั แย้งจนตกลงกันไมไ่ ดน้ ักเรียนควรทำอยำ่ งไร ข. ควรปรึกษาขอคาแนะนาจากครู-อาจารย์ พอ่ แม่ ผู้ปกครอง ใบงานที่ ๑๑.๑ เร่ือง แบบประเมินผลการสร้างสัมพันธภาพและการส่อื สาร (ก) ถ้ำนักเรียนเห็นว่ำข้อควำมใดเป็นกำรสร้ำงสัมพันธภำพในทำงบวก ให้ใส่เครื่องหมำย ถ้ำ นักเรียนเห็นว่ำข้อควำมใดเป็นกำรสร้ำงสัมพันธภำพในทำงลบ ให้ใส่เครื่องหมำย หน้ำข้อที่ท่ำน พิจำรณำ ๑. นกั เรียนทำควำมเคำรพครทู ุกครง้ั ด้วยกำรยนื ตรง เมือ่ พบกับคุณครู ๒. นักเรยี นชอบคยุ กบั เพื่อนสนทิ ดว้ ยเสียงอนั ดงั ทำใหค้ นอนื่ ๆ สนใจ ๓. นกั เรยี นมำโรงเรียนสำยเพรำะไม่อยำกพบฝ่ำยปกครองหนำ้ โรงเรียน ๔. ลูกชว่ ยแมท่ ำงำนบ้ำนเพ่ือแบ่งเบำภำระของแม่ ๕. ลกู ต้องคอยประจบเอำใจแม่เพื่อให้แมส่ บำยใจ ๖. แมต่ ้องดุลูกให้มำกๆ เพ่อื ใหล้ ูกเป็นคนดีตำมคำโบรำณ ๗. แม่ต้องเขำ้ ใจในควำมเปล่ยี นแปลงทำงร่ำงกำยและจิตใจของลกู วัยรนุ่ ๘. พ่อและแม่คอื แบบอยำ่ งท่ดี ีของลูก ๙. ครคู ือทปี่ รกึ ษำของนกั เรียนเมื่อนักเรยี นมีปัญหำครคู วรดูแลใส่ใจ ๑๐. ครูพ่ีเลย้ี งในทีฝ่ กึ งำนเป็นท่พี งึ่ ที่สำคญั ทน่ี กั เรียนควรใหค้ วำมเคำรพ (ข) ถ้ำนักเรียนเห็นว่ำข้อควำมใดเป็นกำรสื่อสำรอย่ำงสร้ำงสรรค์ ให้ใส่เคร่ืองหมำย ถ้ำนักเรียนเห็นว่ำ ข้อควำมใดเปน็ กำรส่อื สำรที่ไม่สร้ำงสรรค์ ใหใ้ สเ่ ครอ่ื งหมำย หนำ้ ข้อทท่ี ่ำนพจิ ำรณำ ๑. ดวงดำวเขียนเรียงควำมเรอื่ งพระคุณแมเ่ พือ่ แสดงถงึ ควำมซำบซงึ้ ในบญุ คุณของแม่ ๒. ธำรำจดั ทำปำ้ ยโฆษณำติดประกำศเพอื่ รับบรจิ ำคสิ่งของนำไปให้เด็กกำพร้ำ ๓. สำยใจใช้วิธกี ำรโทรถงึ เพอ่ื นๆ ทลี ะคนเพือ่ บอกให้ทุกคนรวู้ ่ำเธอกำลงั จะไปตำ่ งประเทศ ๔. ชิดชมตะโกนดว้ ยเสียงอันดงั เพ่ือใหท้ ุกคนรวู้ ่ำตนเองไมพ่ อใจ ๕. กนั สเี กบ็ ดอกไมส้ วยๆ ท่ีเธอปลูกไว้มำมอบใหก้ ับเพ่อื นใหม่
๔๖ ๖. ทัศนัยใช้วัสดุเหลอื ใช้มำทำเปน็ ส.ค.ส. ใหเ้ พอื่ นวันปีใหม่ ๗. ธญั ญำบอกกับสภุ ำวำ่ เธอตอ้ งกำรมเี พอ่ื นที่เรียนเก่งหรอื ร่ำรวยเท่ำนนั้ ๘. นกั เรียนควรหำเพอื่ นจำกอนิ เทอร์เนต็ เพรำะทำใหม้ ีประสบกำรณ์มำก ๙. กำรเล่นเกมกับเพื่อนทกุ วันทำให้สนิทกบั เพ่อื นมำก ๑๐. กำรย้ิมคอื กำรให้มติ รภำพทไ่ี มต่ อ้ งลงทนุ ถ้านักเรียนตอบได้ตรงกับการเฉลยแสดงว่าท่านมีความสามารถสร้างสัมพันธภาพและมีการ สื่อสารอยา่ งสร้างสรรค์ ถา้ นักเรียนตอบได้ตรงกบั การเฉลยน้อยกวา่ ๑๐ ขอ้ ใหป้ รับปรุงและเรียนรู้ใหม่ ใบงานท่ี ๑๑.๒ เร่อื ง ขุมทรพั ย์สดุ ขอบฟา้ คาชีแ้ จง ให้นักเรียนอธบิ ำยตำมหวั ข้อทีก่ ำหนดให้ (อยใู่ นดุลพนิ จิ ของผสู้ อน) ใบงานที่ ๑๑.๓ เร่อื ง ความขดั แยง้ คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนอธบิ ำยตำมหวั ข้อทก่ี ำหนดให้ ๑. ควำมขัดแยง้ หมำยถงึ อะไร ความขัดแย้ง คือ ความรู้สึกนึกคิด หรือการกระทาที่ไม่ลงรอย ขัดขืน หรือต่อต้านกันท้ังภายใน ตนเอง และระหว่างบคุ คล ๒. ยกตัวอยำ่ งควำมขดั แย้งทเ่ี กดิ ขนึ้ ในโรงเรยี นมำ ๓ ตวั อยำ่ ง ๑) การล้อเลยี นกัน ๒) การคกุ คามทางเพศ ๓) เด็กเลก็ ถกู เดก็ โตรงั แก ๓. ยกตวั อย่ำงควำมขัดแยง้ ทเี่ กิดขน้ึ ในสงั คมมำ ๓ ตวั อย่ำง การประท้วง การแยง่ ทรัพยากร การเมืองการปกครอง ใบงานที่ ๑๑.๔ เรื่อง ความขดั แย้งในวยั เรยี น คาช้ีแจง ให้นักเรียนนำข่ำวที่เกิดจำกควำมขัดแย้งในกลุ่มนักเรียนและเยำวชนมำติดลงบนช่องว่ำงและตอบ คำถำมต่อไปน้ี (อยูใ่ นดุลพนิ จิ ของผสู้ อน) ใบงานท่ี ๑๑.๕ เรือ่ ง การแกป้ ัญหาความขัดแย้ง คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นบอกวิธกี ำรปฏิบัติตนเม่ือเกิดควำมขดั แยง้ จำกสถำนกำรณ์ทกี่ ำหนดให้ เพอ่ื นเล่นด้วยแรงเกนิ ไปทำให้นกั เรียนไม่พอใจ - ใช้เหตผุ ลในการแกป้ ัญหา และยอมรบั ฟงั เหตุผลซ่ึงกนั และกัน
๔๗ - รจู้ กั การให้อภัย - ไม่ใชอ้ ารมณ์ตัดสนิ ความขดั แยง้ (หรอื อย่ใู นดลุ พินจิ ของผสู้ อน) พ่อแมท่ ะเลำะกนั เปน็ ประจำ - ใชเ้ หตุผลในการแก้ปญั หา และยอมรบั ฟังเหตุผล ซึง่ กันและกนั - ไม่ใช้อารมณต์ ัดสินความขัดแยง้ (หรอื อยใู่ นดลุ พินิจของผ้สู อน) นกั เรยี นตำ่ งสถำบนั ทะเลำะววิ ำทกนั - ใช้เหตุผลในการแก้ปญั หา และยอมรบั ฟงั เหตผุ ล ซึง่ กันและกัน - รู้จักการให้อภัย - ไม่ใช้อารมณ์ตดั สนิ ความขัดแย้ง (หรืออยู่ในตามดลุ พินจิ ของผ้สู อน) แบบฝกึ หัดท้ายหน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๑๒ ตอนท่ี ๑ คำชแ้ี จง จงตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี ๑. หลักกำรท่ัวไปในกำรชว่ ยเหลอื ผู้บำดเจบ็ มอี ะไรบ้ำง ๑. ควบคมุ อารมณใ์ หป้ กติ ไมแ่ สดงอาการต่นื เต้นตกใจ ๒. ดูแลอยา่ ใหค้ นมงุ ดู ใหม้ ีอากาศถา่ ยเทไดส้ ะดวก ๓. สังเกตประเมินสภาพของอาการบาดเจบ็ ที่ได้รบั ๔. ให้ความช่วยเหลอื อยา่ งถกู ต้องและรวดเร็ว ๕. พยายามอย่าเคล่ือนย้ายผบู้ าดเจบ็ จนกว่าจะทราบลักษณะการบาดเจ็บทแี่ นช่ ดั ๖. หากไดร้ บั อันตรายบรเิ วณชอ่ งท้อง อย่าใหอ้ าหารและน้าดม่ื ทางปากแกผ่ บู้ าดเจ็บ ๒. ภำวะท่คี ุกคำมชีวติ คืออะไร มีลักษณะอยำ่ งไร ภาวะทีค่ กุ คามชวี ติ คอื ภาวะท่ีผ้ปู ว่ ยได้รบั บาดเจ็บ ถา้ ไดร้ บั การปฐมพยาบาลถูกต้องก็จะรอดชีวิต ถา้ ปฐมพยาบาลผิดอาจทาให้พกิ ารหรอื ตายได้ มลี กั ษณะคอื ๑. เลือดออกหรือตกเลอื ด ๒. ชอ็ กและเป็นลมหมดสติ ๓. หยดุ หายใจ และหัวใจหยดุ เตน้ ๔. การได้รับสารเปน็ พษิ เขา้ ไป ๓. กำรสงั เกตกำรทำงำนของระบบประสำทของผู้ป่วยทำได้โดยวิธใี ด ตรวจสอบการเคลื่อนไหวของแขนและขา การพดู คยุ ใหผ้ ู้ป่วยโตต้ อบ
๔๘ ๔. ถ้ำผู้ป่วยมีเลือดออกใต้กะโหลกศีรษะและผู้ป่วยเสียเลือดมำกชีพจรจะเต้นแตกต่ำงกันหรือไม่ อย่ำงไร แตกต่างกัน ถ้าผู้ป่วยมีเลือดออกใต้กะโหลกศีรษะจะทาให้ชีพจรเต้นช้าและแรง แต่ถ้าผู้ป่วยเสีย เลือดมากชีพจรจะเตน้ เบาและเรว็ ๕. กำรช่วยฟื้นคืนชีพ หมำยถึงอะไร (การชว่ ยฟ้นื คนื ชีพ หมายถงึ การช่วยเหลือผู้ท่ีหยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น ให้มีการหายใจและ การไหลเวยี นของ โลหติ กลบั คนื สสู่ ภาพเดิม) ๖. กำรช่วยฟื้นคืนชีพมีประโยชนม์ ำกทส่ี ดุ ในเรอ่ื งใด (การชว่ ยชวี ติ ผู้ป่วยทีห่ ยดุ หายใจกะทันหนั ) ๗. ภำวะหยุดหำยใจจะมีผลกระทบต่อระบบใดบำ้ ง (ภาวะหยุดหายใจจะมผี ลกระทบต่อสมองและระบบการไหลเวียนเลือด) ๘. สำเหตทุ ี่ทำให้เกิดภำวะหยุดหำยใจทพ่ี บบอ่ ย มอี ะไรบ้ำง (การได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงที่กะโหลกศีรษะ เป็นโรคที่เกี่ยวกับสมองและกระดูก สันหลัง การจมนา้ ถกู รัดคอ และหัวใจหยุดทางาน) ๙. ภำวะหัวใจหยดุ เต้น หมำยควำมว่ำอย่ำงไร (ภาวะหัวใจหยดุ เต้น หมายความว่า หวั ใจหยุดทางาน คอื หยุดการสบู ฉีดเลอื ดไปเลี้ยงร่างกาย เป็น สญั ญาณแดงให้ทราบว่าบุคคลน้ันอยใู่ นภาวะอนั ตรายถึงขน้ั เสยี ชีวติ ได้) ๑๐. วิธใี ดเปน็ กำรกระตุน้ หวั ใจ หรือกำรปฐมพยำบำลผปู้ ว่ ยหัวใจหยุดเต้นในภำวะฉุกเฉนิ ไดด้ ีที่สุด (การนวดหวั ใจภายนอก) ตอนท่ี ๒ คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นเขียน ลอ้ มรอบคำตอบท่ถี ูกต้อง ๑. กำรช่วยเหลอื ผู้ปว่ ยทีเ่ ป็นลมหรือชอ็ ก ควรจดั ให้นอนอย่ำงเหมำะสมในลักษณะใด ค. นอนราบพาดเท้าให้สงู กว่าศีรษะ ๒. วิธกี ำรตรวจสญั ญำณชพี ทถี่ กู ต้องคอื ใช้นว้ิ มือแตะดำ้ นหนำ้ แขนใกล้หัวแมม่ อื โดยใช้นิว้ ใดบำ้ ง ง. น้ิวช้ี นว้ิ กลางและนิว้ นาง ๓. กำรเตน้ ของสัญญำณชพี ในสภำวะปกติในผูใ้ หญจ่ ะเต้นก่ีครง้ั ต่อนำที ข. ๖๐-๘๐ คร้งั ตอ่ นาที ๔. กำรช่วยฟน้ื คืนชพี มีชือ่ ย่อว่ำอะไร ข. ซีพีอาร์ ๕. ข้อใดกล่ำวไมถ่ ูกตอ้ งเก่ียวกบั กำรช่วยฟืน้ คืนชพี ง. ช่วยชีวติ ผ้ปู ว่ ยที่ป่วยดว้ ยโรคเร้อื รัง
๔๙ ๖. กำรชว่ ยฟนื้ คืนชพี เมอ่ื ผู้ปว่ ยหยดุ หำยใจหรือหวั ใจหยุดเต้น จะทำทนั ทภี ำยในเวลำกี่นำที ก. ๔ นาที ๗. กำรทำ CPR ควรทำด้วยอตั รำอย่ำงไร ข. เปา่ ปาก ๒ ครง้ั กดหน้าอก ๑๕ คร้งั ๘. กำรจัดทำ่ ผู้ปว่ ยเพ่ือฟนื้ คืนชีพ ควรจดั ในท่ำใด ง. นอนหงายราบบนพืน้ แข็ง ๙. สิ่งแรกทีค่ วรทำเม่ือพบผูป้ ว่ ยหมดสติคือขอ้ ใด ก. รีบตรวจวดั ชพี จร ๑๐. ข้อใดไมใ่ ช่อนั ตรำยจำกกำรทำ CPR ไมถ่ ูกวธิ ี ข.กระดกู พรุน จากการเปา่ ลมเขา้ ไป ใบงานที่ ๑๒.๑ เรอ่ื ง ความหมายและหลกั การปฐมพยาบาล คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเขยี นอธบิ ำยควำมหมำยและควำมสำคญั ของกำรชว่ ยฟืน้ คนื ชพี มำให้เขำ้ ใจ ๑. กำรชว่ ยฟื้นคนื ชีพหมำยถงึ อะไร กำรช่วยฟื้นคืนชีพหมายถึง การช่วยเหลือผู้ท่ีหยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นให้มีการหายใจและ การไหลเวียนของโลหิตกลับคืนสู่สภาพเดมิ ซ่ึงสามารถทาได้โดยการช่วยฟื้นคืนชีพข้ันพืน้ ฐาน เชน่ การผายปอดและการนวดหัวใจภายนอก ๒. จงบอกควำมสำคัญของกำรชว่ ยฟื้นคืนชีพ การชว่ ยฟน้ื คนื ชพี ให้ผปู้ ว่ ยทันที เนอื่ งจากภาวะหยุดหายใจนี้ หวั ใจจะยงั คงทางานอยตู่ อ่ ไปได้ ประมาณ ๒-๓ นาที เพราะฉะนั้นการปฏิบัติช่วยฟื้นคืนชีพจะป้องกันภาวะหัวใจหยุดเต้นได้ และชว่ ยป้องกนั ภาวะเนือ้ เยอ่ื สมองขาดออกซิเจนอกี ด้วย ใบงานท่ี ๑๒.๒ เร่ือง การหายใจและการตรวจสัญญาณชพี คาชีแ้ จง นักเรียนจับคู่กันแล้วผลัดกันตรวจสัญญำณชีพและสำรวจอำกำรบำดเจ็บ และผลัดกันประเมินตำม หัวข้อที่กำหนด (อยใู่ นดลุ พนิ ิจของผูส้ อน) ใบงานท่ี ๑๒.๓ เรือ่ ง ความขดั แยง้ คำช้แี จง เขยี นเครื่องหมำย หนำ้ ขอ้ ควำมทีถ่ กู และเครื่องหมำย หน้ำข้อควำมที่ผดิ ....................๑. กำรตัดสินใจอย่ำงรวดเรว็ ของผชู้ ว่ ยเหลอื ไมม่ ผี ลตอ่ กำรชว่ ยชีวติ ผบู้ ำดเจ็บ ....................๒. ใครๆ กส็ ำมำรถทำกำรชว่ ยฟ้นื คนื ชพี ผ้บู ำดเจบ็ ได้ ...................๓. กำรตรวจสัญญำณชพี เป็นกำรตรวจดูอัตรำกำรเตน้ ของหวั ใจ ....................๔. ในภำวะหยุดหำยใจ หวั ใจจะยงั คงทำงำนอยตู่ ่อไปไดป้ ระมำณ 10 นำที ...................๕. ผู้บำดเจบ็ ทห่ี วั ใจหยดุ เตน้ ต้องได้รับกำรช่วยเหลือก่อนผู้บำดเจบ็ กระดูกหัก ....................๖. หลักสำคัญของกำรให้กำรชว่ ยเหลอื ผบู้ ำดเจบ็ คือกำรมสี ตขิ องผใู้ ห้กำรช่วยเหลือ ....................๗. กำรผำยปอดเปน็ วิธที ่นี ิยมใช้และได้ผลดีในกำรชว่ ยฟื้นคนื ชพี ผปู้ ่วยหยดุ หำยใจ
๕๐ ....................๘. จิตวทิ ยำในกำรพูดสรำ้ งสรรคข์ องผชู้ ว่ ยเหลอื สำมำรถช่วยใหก้ ำลังใจผบู้ ำดเจ็บไดเ้ ปน็ อย่ำงดี ....................๙. กำรนวดหัวใจภำยนอก เปน็ กำรกระตนุ้ หวั ใจทป่ี ฏิบตั ไิ ด้ยำก มีขน้ั ตอนมำกมำย ....................๑๐. สง่ิ สำคัญอนั ดบั แรกในกำรสงั เกตควำมผิดปกติของผบู้ ำดเจบ็ คือ ภำวะกำรณม์ ีสติ แบบฝกึ หดั ท้ายหนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๑๓ ตอนท่ี ๑ คำชแี้ จง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ ๑. กำรสร้ำงเสริมสมรรถภำพทำงกำยมคี วำมจำเปน็ เพรำะอะไร การสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายมีความจาเป็นเพราะจะทาให้สามารถดาเนินชีวิตได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ การทจ่ี ะมสี มรรถภาพทางกายท่ีดี จะต้องอาศัยการออกกาลังกายหรือการเล่นกีฬาอย่าง สม่าเสมอ เพื่อท่ีจะมากระตุ้นให้อวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกายทางานมากกว่าภาวะปกติ นอกจากน้ัน การประกอบอาชีพ หรือการปฏิบัติภารกิจประจาวัน ก็จะมีส่วนกระตุ้นให้สมรรถภาพทาง กายดเี ชน่ กนั ๒. สมรรถภำพทำงกำยท่ดี มี คี ุณคำ่ อยำ่ งไร ๑. ผูม้ สี มรรถภาพทางกายดจี ะเปน็ ผู้ทีม่ สี ขุ ภาพดี ๒. ผ้มู ีสมรรถภาพทางกายดจี ะชว่ ยใหม้ บี ุคลกิ ลกั ษณะสงา่ ผา่ เผย คลอ่ งแคล่ว กระฉับกระเฉง ๓. ผู้มีสมรรถภาพทางกายทีด่ ีจะมีการทางานประสานกนั ระหวา่ งระบบตา่ งๆ ในรา่ งกายไดด้ ี ๔. ผมู้ สี มรรถภาพทางกายดี จะทางานสาเร็จไดโ้ ดยใช้แรงงานทน่ี อ้ ยกว่า ๓. สมรรถภำพทำงกำยแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้ำง สมรรถภาพทางกายแบง่ เป็น ๒ ประเภท คือ สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ และสมรรถภาพ ทางกลไก ๔. กำรทดสอบสมรรถภำพทำงกลไกเป็นกำรประเมินสมรรถภำพของบคุ คลกลมุ่ ใด ประกอบด้วยอะไรบ้ำง การทดสอบสมรรถภาพทางกลไกเป็นการประเมินสมรรถภาพของนักกีฬา ประกอบด้วยการ ทดสอบกาลัง ความแขง็ แรงของกลา้ มเนอื้ ความคลอ่ งแคล่วว่องไว ความเร็ว ความทนทาน ความ ออ่ นตวั และการทรงตวั ๕. แอลกอฮอลม์ ีผลตอ่ สมรรถภำพอย่ำงไร แอลกอฮอล์มีผลต่อสมรรถภาพโดยตรงแอลกอฮอล์ที่สะสมอยู่ในเลือดจะกระตุ้นให้ประสาท ส่วนท่เี กย่ี วกบั การควบคุมการเคล่ือนไหว การมองเห็นประสิทธภิ าพลดลง ๖. สมรรถภำพทำงกำยมกี ป่ี ระเภท อะไรบ้ำง แตล่ ะประเภทมีองค์ประกอบอย่ำงไร ๒ ประเภท คือ ๑. สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ เป็นสมรรถภาพที่เก่ียวข้องโดยตรงต่อสุขภาพ ได้แก่ สัดส่วน ของร่างกาย ความทนทานของระบบหายใจและไหลเวยี นเลือด ความแขง็ แรงและความทนทานของกล้ามเน้ือ ความออ่ นตัวหรอื ความยืดหย่นุ
Search