T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า คำนำ เอกสารหลักสูตรอบรมแบบ e-Training หลักสูตรสุขศึกษาและพลศึกษา เป็นหลักสูตร ฝึกอบรมภายใต้โครงการพัฒนาหลักสูตรและพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษาโดยยึดถือภารกิจ และพ้ืนที่เป็นฐานด้วยระบบ TEPE Online โดยความร่วมมือของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พ้ืนฐานและคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพ่ือพัฒนาผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการ ศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร โดยพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะท่ีใช้ในการปฏิบัติงานได้ อย่างมีคุณภาพ โดยใช้หลักสูตรและวิทยากรที่มีคุณภาพ เน้นการพัฒนาโดยการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่าน เทคโนโลยีการสื่อสารผา่ นระบบเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต สามารถเข้าถงึ องคค์ วามรใู้ นทกุ ที่ทกุ เวลา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานและคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หวังเป็นอยา่ งย่ิงวา่ หลักสูตรอบรมแบบ e-Training หลักสูตรสุขศึกษาและพลศึกษาจะสามารถนาไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาตามเป้าหมายและวัตถปุ ระสงคท์ ี่กาหนดไว้ ทัง้ น้ีเพ่ือยงั ประโยชน์ตอ่ ระบบการศกึ ษาของประเทศไทยต่อไป 1 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 1 3 สำรบญั 4 4 คานา 4 หลกั สูตร “สุขศกึ ษาและพลศึกษา” 4 รายละเอยี ดหลักสูตร 4 คาอธบิ ายรายวชิ า 4 วตั ถุประสงค์ 5 สาระการอบรม 5 กิจกรรมการอบรม 6 สอ่ื ประกอบการอบรม 9 การวัดผลและประเมนิ ผลการอบรม 19 บรรณานุกรม 32 เคา้ โครงเน้อื หา 34 ตอนท่ี 1 หลกั สูตรและสาระการเรียนรู้ 37 ตอนที่ 2 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 48 ตอนท่ี 3 การพัฒนาคณุ ลักษณะของผู้เรยี นตามมาตรฐานการเรยี นรู้ 49 ตอนที่ 4 สอ่ื และแหลง่ เรียนรู้ 50 ตอนที่ 5 การวดั และประเมินผล 51 ใบงานที่ 1.1 52 ใบงานที่ 1.2 53 ใบงานที่ 1.3 54 ใบงานท่ี 1.4 55 ใบงานท่ี 2.1 56 ใบงานท่ี 2.2 57 ใบงานท่ี 3.1 58 ใบงานท่ี 3.2 59 ใบงานท่ี 4.1 ใบงานที่ 4.2 ใบงานที่ 5.1 ใบงานท่ี 5.2 2 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า หลกั สตู ร สขุ ศกึ ษำและพลศกึ ษำ รหัส TEPE-55117 ช่ือหลักสูตรรำยวิชำ สุขศกึ ษาและพลศึกษา วิทยำกร ผศ.ดร.สธุ นะ ตงิ ศภัทยิ ์ รศ.ดร.จนิ ตนา สรายทุ ธพิทกั ษ์ สาขาวิชาการสอนสขุ ศกึ ษาและพลศึกษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ผทู้ รงคุณวุฒติ รวจสอบเนือ้ หำ งามบรรจง 1. นางสุกัญญา โฮส่ กุล 2. นางสาวจรนิ ทร์ วัฒนาบรุ านนท์ 3. รศ.ดร. เอมอชั ฌา หอมสนทิ 4. รศ.ดร.เทพวาณี ติงศภทั ยิ ์ 5. ผศ.ดร.สธุ นะ 3 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า รำยละเอยี ดหลักสูตร คำอธบิ ำยรำยวชิ ำ หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ การพฒั นาคุณลักษณะของผู้เรียน ตามมาตรฐานการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ และการวดั และประเมนิ ผล วัตถุประสงค์ เพ่ือให้ผเู้ ขา้ รับการอบรมสามารถ 1. วเิ คราะหห์ ลกั สตู รและสาระการเรยี นร้สู ขุ ศึกษาและพลศึกษา 2. จดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ุขศึกษาและพลศึกษา 3. จดั ทาหนว่ ยการเรยี นร้สู ขุ ศึกษาและพลศึกษา 4. จดั กิจกรรมการเรยี นรูท้ ่ีเหมาะสมกบั สาระการเรียนรู้ และสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การ เรยี นรู้ของสาระการเรยี นรูส้ ขุ ศึกษาและพลศึกษา 5. พัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 6. เลอื กใช้สอื่ และแหล่งเรยี นรู้ได้เหมาะสมตามจุดมงุ่ หมายของการจัดการเรยี นรู้ 7. เลือกใช้การวดั และประเมนิ ผลไดเ้ หมาะสมตามจุดมุง่ หมายของการจัดการเรยี นรู้ สำระกำรอบรม ตอนท่ี 1 หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้ ตอนที่ 2 การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ตอนท่ี 3 การพัฒนาคณุ ลกั ษณะของผ้เู รยี นตามมาตรฐานการเรยี นรู้ ตอนท่ี 4 สอื่ และแหล่งเรยี นรู้ ตอนท่ี 5 การวัดและประเมนิ ผล กจิ กรรมกำรอบรม 1. ทาแบบทดสอบก่อนการอบรม 2. ศกึ ษาเนื้อหาสาระการอบรมจากสอ่ื อเิ ล็กทรอนิกส์ 3. ศึกษาเน้ือหาเพ่ิมเติมจากใบความรู้ 4. สบื ค้นข้อมลู เพิ่มเติมจากแหล่งเรยี นรู้ 5. ทาใบงาน/กจิ กรรมทีก่ าหนด 6. แสดงความคดิ เห็นตามประเด็นท่สี นใจ 7. แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ระหวา่ งผูเ้ ข้ารับการอบรมกับวิทยากรประจาหลักสูตร 8. ทาแบบทดสอบหลงั การอบรม สอื่ ประกอบกำรอบรม 1. บทเรยี นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 2. ใบความรู้ 3. วดี ทิ ศั น์ 4 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 4. แหล่งเรียนร้ทู เ่ี กีย่ วข้อง 5. กระดานสนทนา (Web board) 6. ใบงาน 7. แบบทดสอบ กำรวดั ผลและประเมนิ ผลกำรอบรม วิธีการวัดผล 1. การทดสอบก่อนและหลงั อบรม โดยผูเ้ ข้ารบั การอบรมจะต้องได้คะแนนการทดสอบหลัง เรียนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 2. การเข้ารว่ มกิจกรรม ได้แก่ ส่งงานตามใบงานท่ีกาหนด เขา้ ร่วมกิจกรรมบนกระดาน สนทนา บรรณำนุกรม คณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน, สานักงาน. (2550). นิยำมคำศพั ท์หลักสตู ร: หลักสูตรกำรศึกษำ ข้นั พนื้ ฐำน พทุ ธศกั รำช 2554. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว. คณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน, สำนักงำน. แนวทำงกำรบรหิ ำรจดั กำรหลกั สูตร ตำมหลกั สูตร แกนกลำง กำรศึกษำขนั้ พนื้ ฐำน พุทธศักรำช 2551. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. 2552. จินตนา สรายุทธพิทกั ษ์. 2555. เอกสำรคำสอนรำยวชิ ำ 2723358 วธิ วี ิทยำกำรสอนสุขศกึ ษำ. สาขาวิชาสขุ ศึกษาและพลศึกษา ภาควชิ า หลักสูตร การสอน และเทคโนโลยกี ารศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั วาสนา คุณาอภิสทิ ธ์.ิ (2539). กำรสอนพลศกึ ษำ. กรุงเทพมหานคร: บรษิ ทั วิทยพฒั น์ จากัด. วรศกั ดิ์ เพยี รชอบ. หลักและวิธีกำรสอนวชิ ำพลศึกษำ. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ไทยวฒั นาพานิช , 2527. วรศักดิ์ เพยี รชอบ. รวบรวมบทควำมเกี่ยวกับปรชั ญำ หลกั กำร วิธีสอนและกำรวัดเพอื่ ประเมินผล ทำงพลศึกษำ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , 2548. สงัด อทุ รานันท,์ พื้นฐำนและหลกั กำรพัฒนำหลักสูตร. พิมพ์ครงั้ ที่ 3. กรงุ เทพฯ: มิตรสยามพิมพ์. 2532. สาขาวชิ าสขุ ศกึ ษาและพลศึกษา จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . เอกสำรประกอบโครงกำรพัฒนำกำรเรียน กำรสอนกลุม่ สำระกำรเรยี นรูส้ ุขศกึ ษำและพลศึกษำ ณ สานักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษา ประถมศึกษา ราชบรุ ี เขต 2 จังหวดั ราชบรุ ,ี 2556 (เอกสารเย็บเลม่ ). สธุ นะ ติงศภัทยิ .์ หนงั สอื เรยี นสำระกำรเรยี นรู้พืน้ ฐำน กล่มุ สำระกำรเรียนรสู้ ขุ ศึกษำและพลศกึ ษำ พลศกึ ษำ. กรงุ เทพมหานคร : บริษทั สานักพิมพแ์ ม็ค จากดั , 2548. Wuest, D.A and Lombardo, B.J. Curriculum and Instruction : The Secondary School Physical Education Experience. St.Louis: The C.V. Mosby, 1994. 5 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า หลกั สตู ร TEPE-55117 สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา เคา้ โครงเนื้อหา ตอนที่ 1 หลักสูตรและสำระกำรเรียนรู้ เรอ่ื งท่ี 1.1 การวิเคราะหห์ ลักสูตรและสาระการเรียนรู้สุขศกึ ษาและพลศึกษา เรือ่ งท่ี 1.2 การจดั ทาหลักสูตรสถานศกึ ษากลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา เรอ่ื งท่ี 1.3 การจดั ทาหน่วยการเรยี นรู้สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา แนวคดิ 1. การวิเคราะห์หลักสูตรและสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา หมายถึง การ พิจารณาให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ของหลักสูตร กับ พฤติกรรมการ เรียนรู้ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เพ่ือนามา วางแผนในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูแ้ ละการวดั ประเมินผล 2. จดุ มุง่ หมายหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศกั ราช 2551มคี วามมุ่งหมาย ท่ีสาคัญทต่ี ้องการให้ท้องถ่ินและสถานศึกษาจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาขึ้นใชเ้ องอย่างถูกต้องและ สมบูรณ์ การจัดทาหลักสตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษา จึงเป็นควร หลกั สตู รทส่ี อดคล้องกับความตอ้ งการของท้องถ่นิ และสถานศกึ ษา 3. การจัดทาหน่วยการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาเป็นการนาหลักสูตรและสาระการ เรียนรู้ไปวางแผนในการจดั กิจกรรมการเรียนร้แู ละการวดั ประเมินผล เพ่ือให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ตาม ตัวชีว้ ัดของหลกั สูตรและตามจุดประสงคก์ ารเรียนรขู้ องกลมุ่ สาระการเรียนรูส้ ขุ ศึกษาและพลศึกษา วัตถปุ ระสงค์ 1. ผู้เรยี นสามารถวเิ คราะหห์ ลักสูตรและสาระการเรยี นรู้สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 2. ผู้เรยี นสามารถจดั ทาหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ขุ ศึกษาและพลศึกษา 3. ผ้เู รียนสามารถการจัดทาหนว่ ยการเรยี นรูส้ ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ตอนท่ี 2 กำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรู้ เร่อื งท่ี 2.1 แนวคดิ ปรัชญาการสอนสุขศึกษาและพลศกึ ษา เรื่องท่ี 2.2 กิจกรรมการเรยี นรูท้ ่เี หมาะสมกบั สาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศึกษา แนวคิด 1. หลกั เบอ้ื งตน้ ของการสอนสุขศกึ ษา ประกอบดว้ ย จดุ ประสงคใ์ นการเรียนการสอน เพอื่ ใหน้ กั เรียนมีสุขภาพทด่ี ี โดยไม่เพยี งให้ผเู้ รียนได้รบั แต่เพยี งความรเู้ ท่านัน้ แต่ยงั จะต้องมีเจตคตทิ ี่ ดี และมีการปฏิบัตทิ ีเ่ หมาะสมในการดูแลสุขภาพ เนอ้ื หาสาระในการเรียนการสอนควรจัดแบบบรู ณา การ เนน้ เรือ่ งสขุ ภาพในลกั ษณะเชิงบวก (Positive) ท่ีตอ้ งคานึงถึงภมู ิหลงั ความสนใจ ความตอ้ งการ และความสามารถของนักเรยี น ควรมกี ารเสรมิ แรงจงู ใจให้นักเรยี นตง้ั ใจเรยี น 2. หลักเบื้องตน้ ของการสอนพลศึกษา ประกอบด้วย จดุ ประสงคใ์ นการเรียนการสอน เพือ่ ใหน้ กั เรยี นมสี ุขภาพทีด่ ี จากการนากิจกรรมการเคลื่อนไหว เกม กีฬาเป็นสื่อในการจัดการเรียน การสอนเพื่อให้นักเรียนไดเ้ กดิ ทกั ษะ กลไกการเคลอ่ื นไหว (Motor Learning) มสี มรรถภาพทางกาย 6 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า จากการเคล่อื นไหวรา่ งกาย มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมจากการเคารพกฎ กติกาการเลน่ มเี จตคติท่ดี ีจาก ความสนุกสนานในการเล่น และมีความรู้ ความเขา้ ใจจากการลงมือปฏบิ ตั ิ 3. กิจกรรมการเรยี นการสอนสขุ ศึกษาควรจัดใหม้ ีความหลากหลายเพื่อใหเ้ หมาะสมกับ นกั เรียนทมี่ ีความแตกตา่ งกนั และควรจดั ใหส้ ัมพันธ์กับประสบการณ์ในชีวิตจริงของนักเรียนเสมอ การใชส้ ่ือการสอนควรเหมาะสมกับเนอื้ หา สถานที่ และระยะเวลา รวมทั้งควรมกี ารประเมินผลการ เรยี นการสอนอยา่ งสม่าเสมอ 4. กิจกรรมการเรียนการสอนพลศกึ ษาควรจดั กจิ กรรมใหเ้ ดก็ นกั เรยี นไดม้ ีส่วนรว่ มใน กิจกรรมต่างๆ เปน็ หลกั เน้นใหน้ ักเรยี นได้เคลือ่ นไหวมากๆ ในเวลา 1 คาบเรียน จัดกิจกรรมท่ีท้าทาย ความสามารถของผเู้ รียน และหลากหลายแบบฝกึ แบบปฏิบัติ วัตถุประสงค์ เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นสามารถจดั กจิ กรรมการเรียนรทู้ เี่ หมาะสมกบั สาระการเรียนรู้ และ สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ของสาระการเรียนรู้สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ตอนที่ 3 กำรพัฒนำคุณลกั ษณะของผ้เู รยี นตำมมำตรฐำนกำรเรียนรู้ เรอ่ื งท่ี 3.1 การพฒั นาคณุ ลกั ษณะของผูเ้ รียนตามมาตรฐานการเรยี นรสู้ ุขศึกษา เรอ่ื งท่ี 3.2 การพฒั นาคุณลกั ษณะของผเู้ รียนตามมาตรฐานการเรียนรู้พลศึกษา แนวคิด 1. การพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้สุขศึกษา คือ เพื่อให้ นักเรียนมีสุขภาพท่ีดีเกิดการพัฒนาทางด้านความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพมากข้ึน มีเจตคติที่ดีใน การดแู ลสุขภาพ และการนาความร้ไู ปปฏิบัติจนเป็นสขุ นสิ ัย 2. การพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้พลศึกษา คือ เพ่ือให้ นักเรียนมีสุขภาพท่ีดีเกิดการพัฒนาทางด้านความรู้ความเข้าใจในเร่ืองของสุขภาพ ด้านเจตคติท่ีดีใน การออกกาลังกาย ด้านทักษะท่ีสามารถนาไปใช้ในการออกกาลังกายและเล่นกีฬาได้ ดา้ นสมรรถภาพ ทางกายทีด่ จี ากการออกกาลงั กายเป็นประจาสม่าเสมอ และด้านคุณธรรม จริยธรรมจากการฝึกปฏบิ ัติ ตามกฎ กตกิ าอยา่ งเครง่ ครัด วัตถปุ ระสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพฒั นาคณุ ลกั ษณะของผ้เู รียนตามมาตรฐานการเรยี นรูส้ ุขศกึ ษาและ พลศึกษา ตอนท่ี 4 สอ่ื และแหล่งเรียนรู้ เรือ่ งที่ 4.1 สื่อและแหล่งเรยี นรูส้ ขุ ศกึ ษา เรอ่ื งท่ี 4.2 สือ่ และแหลง่ เรียนรู้พลศึกษา แนวคิด วิชาพลศึกษามักใช้กิจกรรมทางกายเป็นสื่อในการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดพัฒนาการด้านต่างๆ ของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม แต่สอ่ื การเรียนรู้สมัยใหม่มีการออกแบบได้นา่ สนใจ น่านาไปใช้ เล่น อีกทั้งรูปภาพ และภาพเคล่ือนไหวจานวนมาก เป็นแรงจูงใจให้นักเรียนอยากเล่น อยาก เลียนแบบมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนที่จะต้องรู้จักการใช้ภาพเหล่าน้ีเป็นส่ือให้นักเรียน สนใจวชิ าพลศกึ ษามากขนึ้ ดว้ ย 7 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า นอกจากน้ีกิจกรรมกีฬานับเป็นเครื่องมือทสี่ าคัญของชุมชน ในหลายชุมชนมสี นามกีฬา มี ลานกฬี า และจดั การแข่งขนั กีฬาข้ึน จึงเป็นแหลง่ เรียนร้ทู ่ีสาคญั ของนักเรียน ซง่ึ ครูสามารถมอบหมาย งานให้นักเรยี นไดไ้ ปออกกาลงั กาย หรือมสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมเหล่านีข้ องชมุ ชนไดด้ ้วย การใช้ส่ือและแหล่งเรียนรู้ จะประสบผลตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนได้มาก น้อยเพียงไรนั้น ย่อมข้ึนอยู่กับการเลือก การเตรียมและการใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้ของครูในแต่ละคร้ัง เปน็ สาคัญ วตั ถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเลือกใช้ส่ือและแหล่งเรียนรู้ได้เหมาะสมตามจุดมุ่งหมายของการ จดั การเรียนรู้ ตอนที่ 5 กำรวัดและประเมินผล เร่ืองที่ 5.1 การวัดและประเมนิ ผลวิชาสขุ ศึกษาตามสภาพจรงิ เรอื่ งที่ 5.2 การวัดและประเมินผลวชิ าพลศึกษา แนวคิด 1. การวัดและประเมินผลในวิชาสุขศึกษา หมายถึง กระบวนการอย่างมีระบบในการ ตรวจสอบว่า หลังจากการจัดการเรียนรู้สุขศึกษา นักเรียนเกิดการเรียนรู้ มีเจตคติ และการปฏิบัติ ทางด้านสุขภาพบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ท้ังน้ีเพ่ือเป็นแนวทางในการปรับปรุง ส่งเสริม สุขภาพของนักเรียน อีกทั้งยังช่วยให้ครูได้วัดหรือประเมินผลความสาเร็จในการสอนของตน โดย พิจารณาจากความสาเร็จในการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ ของครตู ่อไปอีกด้วย 2. การวัดและประเมินผลในวิชาพลศึกษา หมายถึง กระบวนการอย่างมีระบบในการ ตรวจสอบว่า นักเรียนได้เกิดพัฒนาการทางด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านเจตคติ ด้านทักษะ ด้าน สมรรถภาพทางกาย และด้านคุณธรรม จริยธรรม โดยเกิดจากพัฒนาการในการเรียนการสอน การ ตรวจสอบ ในทุกๆ ครั้งของการเรียน และเป็นแนวทางให้ครูได้ใช้ในการปรับปรุงพัฒนาการของ นกั เรยี น เสรมิ เทคนคิ และวธิ ีการตา่ งๆ ใหผ้ ู้เรยี นพัฒนาไปสจู่ ดุ หมายได้ วตั ถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเลือกใช้การวัดและประเมินผลได้เหมาะสมตามจุดมุ่งหมายของการ จัดการเรียนรู้ 8 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตอนที่ 1 หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้ เร่อื งท่ี 1.1 การวิเคราะหห์ ลักสตู รและสาระการเรียนร้สู ขุ ศกึ ษาและ พลศึกษา การวเิ คราะหห์ ลักสตู รและสาระการเรยี นรู้สุขศกึ ษาและพลศึกษา หมายถึง การพิจารณา แยกแยะให้เหน็ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรขู้ องหลักสูตร กับ พฤติกรรมการ เรียนรซู้ ่งึ เปน็ จดุ หมายปลายทางของหลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรูส้ ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา เพอ่ื นามา วางแผนในการจดั กิจกรรมการเรยี นรูแ้ ละการวดั ประเมนิ ผล ดังนั้นก่อนมีการจัดกิจกรรมการเรียนรแู้ ละการวดั ประเมินผล ผูส้ อนจงึ จาเป็นตอ้ งวเิ คราะห์ หลักสูตรและสาระการเรียนรู้วา่ จะจัดกิจกรรมการเรยี นรู้และการวดั ประเมนิ ผลในสาระใดและ พฤติกรรมใดบา้ งท่ีต้องการให้เกดิ ข้นึ แกผ่ เู้ รยี น สาระสาคญั ในการวิเคราะหห์ ลักสตู รและสาระการเรยี นรูส้ ุขศึกษาและพลศึกษา จึงขึ้นอยู่กบั องคป์ ระกอบ 2 ประการ คือ ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนรู้ที่กาหนดไว้ในหลักสูตร กบั พฤตกิ รรมที่ ต้องการให้เกิดขนึ้ ในแต่ละสาระการเรียนรู้ ความสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบท้งั 2 ส่วนดงั กล่าว จึง ออกมาในรูปของตารางท่ีแสดงความสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบทงั้ สองประการ ขั้นตอนกำรวิเครำะหห์ ลกั สตู รและสำระกำรเรยี นรู้ 1. สรา้ งตารางวเิ คราะหห์ ลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ สือ่ และแหลง่ การเรียนรู้ วธิ ีวัดและประเมนิ ผล จานวนช่ัวโมง ผสู้ อน 2. วิเคราะห์ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรูข้ องหลกั สตู ร กบั พฤติกรรมการเรียนรู้ท่ีให้จะเกิดกับ ผ้เู รียนเม่ือเรียนจบแตล่ ะสาระการเรยี นรู้ เพอื่ ให้ได้ จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม (จดุ ประสงคก์ าร เรียนรู้) 3. วเิ คราะห์สาระการเรียนรู้แตล่ ะสาระออกเปน็ หนว่ ยยอ่ ย แล้วนาสาระทเี่ ป็นหน่วยย่อยนั้น มาเรยี งลาดับการจัดการเรียนรู้กอ่ นหลงั เพอ่ื ให้ได้ สาระการเรยี นรู้รายหนว่ ย 4. ออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้เพอ่ื พัฒนาคุณลกั ษณะของผ้เู รียน สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้ และวธิ ีวดั ประเมินผล ให้สอดคลอ้ งกับตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้ของการวเิ คราะหห์ ลกั สูตรและสาระ การเรยี นรูส้ ขุ ศึกษาและพลศึกษาเพอื่ ใหไ้ ด้ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ และวิธีวดั ประเมินผล 9 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตัวอยำ่ งตำรำงวิเครำะห์หลกั สตู รรำยวชิ ำ กำรวเิ ครำะหห์ ลกั สตู รและสำระกำรเรยี นรสู้ ุขศกึ ษำและพลศกึ ษ สปั ดำห์ สำระที่ มำตรฐำนกำร จุดประสงคเ์ ชิง สำระกำรเรียนรู้ ที่ เรยี นรู้/ตวั ชีว้ ดั พฤติกรรม 1-3 1 พ 1.1 เขา้ ใจ นักเรียนสามารถ การเจริญเติบโตและ 1. ครใู ห การเจริญเติบโต ธรรมชาตขิ องการ 1.วิ เค ร า ะ ห์ แ ล ะ พัฒนาการของรา่ งกาย 2. ให้น และพัฒนาการ เจริญเติบโตและ อธิบ าย อิท ธิพ ล ท่ี แ ล ะ จิ ต ใจ ต า ม วั ย รูปร่างแ ของมนษุ ย์ พฒั นาการของ ส่ ง ผ ล ต่ อ ก า ร (ในชว่ งอายุ 9 -12 ป)ี และแส มนุษย์ เจ ริญ เติ บ โต แ ล ะ ตอ่ การ ป.4/1 พัฒนาการทางด้าน และจิต อธบิ ายการ ร่ า ง ก า ย แ ล ะ จิ ต ใ จ 3.ให้นัก เจรญิ เติบโตและ ของบุ คคลในช่วง ร่างกาย พัฒนาการของ อายุ 9 -12 ปี 4.ใหน้ กั รา่ งกายและจติ ใจ 2.วางแผนเพ่ือสร้าง จกั รกา ตามวัย เ ส ริ ม ก า ร จติ ใจขอ เจ ริญ เติ บ โต แ ล ะ 5. ให้น พั ฒ น า ก า ร ข อ ง ร่างกาย ร่างกายและจิตใจให้ เปรยี บ เหมาะสมตามวัย อนามัย 3.แสดงบทบาท 6.ใหน้ ัก สมมตปิ ญั หาทาง ตนเอง ร่างกายและจิตใจ ทดสอบ และการแกไ้ ขปญั หา รบั ลูกบ ของบคุ คลในชว่ ง เขียนต อายุ 9 – 12 ปี วาดรปู
ษำ สำระท่ี 1 ชั้นประถมศกึ ษำปีที่ 4 ภำคกำรศึกษำต้น กิจกรรมกำรจัดกำรเรยี นรู้ สอ่ื และแหล่งเรียนรู้ กำรวดั และกำร ประเมนิ ผล หน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1. แบบทดสอบก่อนเรียน 1. แบบทดสอบกอ่ น นกั เรยี นดูรูปภาพคนในช่วงอายุ 9 -12 ปีทมี่ ี 2.รูปภาพคนในชว่ งอายุ 9 -12 ปี เรียน แตกตา่ งกันและตัง้ คาถามใหน้ ักเรียนวเิ คราะห์ ที่มรี ูปรา่ งแตกต่างกัน 2. แบบสังเกต สดงความคดิ เหน็ ว่าอทิ ธิพลอะไรบ้างทส่ี ง่ ผล 3. คลิปวดิ ีโอเรือ่ งการเจรญิ เติบโต พฤติกรรมการเรยี น รเจรญิ เติบโตและพฒั นาการทางดา้ นรา่ งกาย และพัฒนาการของมนุษย์ในแตล่ ะ และความรว่ มมือใน ตใจของบคุ คลในชว่ งอายุ 9 -12 ปี ช่วงวัย การทางานกลุ่ม แบบ กเรยี นชมคลปิ วดิ ีทศั น์เรื่องพฒั นาการด้าน http://www.youtube.com/watch?v=4 Rubric Sore ยและจติ ใจของมนษุ ยใ์ นแตล่ ะช่วงวยั exnkDqfGcc 3. แบบประเมินใบ กเรียนแบง่ กลมุ่ เพอื่ เขียนผงั ความคดิ สรุปวัฏ งานเรอื่ งผังความคิด ารเจริญเตบิ โตและพฒั นาการทางรา่ งกายและ http://www.youtube.com/watch?v= สรปุ วัฏจักรการ องมนษุ ยต์ ามทไ่ี ดช้ ม Mc3szX8-bU4 เจรญิ เตบิ โตและ 4. ใบงานเรอ่ื งผงั ความคดิ สรปุ วฏั จกั รการเจรญิ เตบิ โตและ นักเรยี นสารวจการเจรญิ เติบโตทางดา้ น พัฒนาการทางร่างกายและจติ ใจ พัฒนาการทาง ยของตนเอง โดยการชงั่ น้าหนักและวัดสว่ นสงู ของบคุ คลในช่วงอายุ 9 -12 ปี ร่างกายและจิตใจของ บเทยี บกับกราฟการเจรญิ เตบิ โตของกรม 5.เครอ่ื งช่งั น้าหนักและวัดส่วนสงู บคุ คลในชว่ งอายุ 9 - ย และบนั ทึกผลลงในแบบบันทึก 6.แบบบนั ทกึ เพอื่ ทดสอบ 12 ปี กเรยี นสารวจพฒั นาการทางดา้ นร่างกายของ พฒั นาการทางดา้ นรา่ งกายของ 4. แบบประเมนิ การ โดยปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตามแบบบันทึกเพ่อื ตนเอง คือ รับลูกบอลมอื เดยี ว ยืน แสดงบทบาทสมมติ บพฒั นาการทางด้านรา่ งกายของตนเอง คือ ขาเดยี วทรงตัว 15 วินาที เขยี น ปัญหาทางรา่ งกาย บอลมอื เดยี ว ยนื ขาเดยี วทรงตัว 15 วนิ าที ตัวหนังสือตัวบรรจงเตม็ บรรทดั และจิตใจและการ ตัวหนงั สือตวั บรรจงเต็มบรรทดั และคร่ึงบรรทดั และคร่งึ บรรทดั วาดรูป แก้ไขปัญหาของ ปทรงกระบอกและวาดรปู ส่เี หล่ียมมุมฉาก และ ทรงกระบอกและวาดรูปสเี่ หล่ียม บุคคลในชว่ งอายุ 9 – 10 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า สปั ดำห์ สำระท่ี มำตรฐำนกำร จดุ ประสงค์เชิง สำระกำรเรียนรู้ ที่ เรียนรู้/ตวั ช้วี ดั พฤตกิ รรม บันทึกผ 7.ให้นกั แสดงบ การแก 8.ใหน้ ัก และพฒั ตามวัย สรุป วเิ คราะหห์ ลกั สูตรและสาระการเรยี นรูช้ ่วย ตอ่ ไปนี้ 1. เปน็ แนวทางแกผ่ ้สู อนวา่ จะสอนอะไร 2. เป็นแนวทางแก่ผู้สอนวา่ จะสอนสาระนนั้ 3. เปน็ แนวทางแกผ่ สู้ อนวา่ จะพัฒนาคุณลัก 4. เปน็ แนวทางแกผ่ สู้ อนในการจดั กิจกรรม 5. เปน็ แนวทางแกผ่ ู้สอนวา่ จะมีวิธวี ัดประเ หลงั จำกศกึ ษำเนอื้ หำสำระเรอ่ื งที่ 1.1 แ
กิจกรรมกำรจดั กำรเรยี นรู้ ส่อื และแหลง่ เรยี นรู้ กำรวัดและกำร ประเมินผล ผลลงในแบบบนั ทกึ มมุ ฉาก 12 ปี แบบ Rubric กเรียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผงั ความคิดพรอ้ มกับ 7.นาฬกิ าจับเวลา Sore บทบาทสมมติปญั หาทางรา่ งกายและจติ ใจและ 8.ลกู บอล กไ้ ขปญั หาของบคุ คลในช่วงอายุ 9 – 12 ปี 9.แบบบันทึกการเจรญิ เตบิ โตและ กเรียนวางแผนเพื่อสร้างเสรมิ การเจริญเติบโต พฒั นาการทางดา้ นร่างกาย ฒนาการของรา่ งกายและจติ ใจใหเ้ หมาะสม ย ยให้การจัดการเรียนรู้มีมาตรฐาน ด้วยเหตผุ ล นๆ ไปทาไม และสอนใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรยี นร้อู ะไร กษณะหรือความสามารถอะไรใหแ้ กผ่ ้เู รียน มการเรยี นรู้ และการเลือกสอื่ และแหลง่ การเรียนรู้ เมนิ ผลอยา่ งไร แลว้ โปรดปฏบิ ตั ใิ บงำนที่ 1.1 11 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า เรอื่ งที่ 1.2 การจัดทาหลกั สูตรสถานศกึ ษากลุม่ สาระการเรยี นรู้ สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา หลักสูตรสถานศึกษาเป็นหลักสูตรของแต่ละโรงเรียนโดยเฉพาะประกอบด้วยหลักสูตร แกนกลาง ความต้องการของท้องถ่ิน และส่วนท่ีสถานศึกษาเพ่ิมเติม ในส่วนของสุขศึกษาผู้สอน สามารถเพิ่มเติมสาระการเรียนรู้ท่ีเป็นปัญหาสุขภาพของนักเรียน เช่น จากการรายงานข้อมูลปัญหา สขุ ภาพของนกั เรยี นท่ีอยู่ในชว่ งวยั 7 – 18 ปี พบสถานการณ์ปญั หาดา้ นสขุ ภาพ ดังน้ี 1. ภาวการณเ์ จริญเติบโต จากผลสารวจในรอบ 3 ปี (ปี พ.ศ. 2547 – 2550) พบวา่ เดก็ ไทย มีพฤติกรรมการบริโภคยุคใหม่ ท่ีนิยมกินอาหารฟาสต์ฟู้ดขนมกรุบกรอบ และเครื่องดื่มอัดลมเป็น ประจา เพ่ิมข้ึน 1.8 และ 1.5 เทา่ ตามลาดับ นอกจากนั้น เด็กวัยเรยี นกินผักเพียงวันละ 1.5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งต่ากว่ามาตรฐานท่ีต้องกินผักอย่างน้อยวันละ 12 ช้อนโต๊ะ ส่งผลให้เด็กไทยมีปัญหาภาวะทุพ โภชนาการทั้งขาดและเกิน โดยเฉพาะโรคอ้วนในเด็กไทย เพิ่มขึ้นรวดเร็วลาดับต้น ๆ ของโลก และ คาดว่าในปี 2558 ความชุกเด็กอ้วนจะสูงถึง 1 ใน 5 ของเด็กวัยก่อนเรียน และ 1 ใน 10 ของเด็กวัย เรียน โดยจะเป็นโรคอ้วนและเสีย่ งตอ่ การเกดิ โรคเรื้อรังตา่ งๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลอื ด 2. ปัญหายาเสพตดิ ปัจจุบันผู้ใช้ยาเสพติดเร่ิมใช้ยาเสพติดเมื่ออายุน้อยลงวัยรุ่นคอื กลุ่มเส่ียง ที่สดุ สาเหตุ ส่วนใหญ่ เพราะอยากลองและเพ่ือนชวน แนวโน้มการใช้ฝิ่น กัญชา ลดลง แต่เสพยาบ้า เสพเพ่มิ ข้ึน ผลการตรวจปสั สาวะ นักเรยี นระบวุ า่ ภาคกลางมีจานวนนักเรยี นเสพมากท่สี ุด 3. ภาวะพฤติกรรมเส่ียงในวัยเรียนจากข้อมูลการเสียชีวิตในเด็กและเยาวชนไทยในแต่ละปีมี เด็กอายุ 1-14 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุและความรุนแรงจานวนกว่า 3,300 คนคิดเป็นอัตราการตาย 22/100,000 คน ในช่วง 7 ปี คือปี พ.ศ. 2542-2548 มีแนวโน้มว่าเด็กจะตายจากอุบัติเหตแุ ละความ รนุ แรงสูงข้นึ โดยจังหวดั ทีม่ ีจานวนการเสียชีวิตสงู สุด คือกรุงเทพมหานคร 4. ปัญหาสุขภาพจิต ผลสารวจความเข้มแข็งเด็กไทย พบเด็ก ในวัยเรียน อายุ 6 - 11 ปี มี ปญั หาดา้ นสุขภาพจติ ไร้เพ่ือน ร้อยละ 73 ตามมาด้วยปัญหาความก้าวร้าว และ สมาธิสั้น สรุป การจัดทาหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ในส่วนของ สุขศึกษาผู้สอนสามารถเพ่ิมเติมสาระการเรียนรู้ที่เป็นปัญหาสุขภาพของนักเรียนในหลักสูตร สถานศกึ ษาเพือ่ แก้ปญั หาสขุ ภาพของนกั เรยี นได้ หลังจำกศึกษำเนอ้ื หำสำระเรื่องที่ 1.2 แลว้ โปรดปฏิบตั ิใบงำนที่ 1.2 12 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า เรอ่ื งท่ี 1.3 การจดั ทาหน่วยการเรยี นรู้สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา องค์ประกอบท่ีสาคัญของหนว่ ยการเรยี นรู้อิงมาตรฐาน 1. หัวเร่อื งหรือชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ควรมลี กั ษณะดังน้ี 1.1 นา่ สนใจ อาจเปน็ ประเด็นปัญหา ขอ้ คาถามหรือข้อโต้แยง้ ที่สาคญั 1.2 สอดคลอ้ งกับชวี ติ ประจาวนั และสงั คมของนักเรยี น 1.3 เหมาะสมกบั วยั ความสนใจ และความสามารถของนกั เรยี น แหล่งข้อมลู สาหรบั การพจิ ารณา กาหนดหัวเรอื่ งทจี่ ะสอน จากข้อสงสัย คาถาม ความสนใจ และความต้องการของนกั เรยี น จากการสารวจแหล่งการเรียนรู้ จากคาสาคญั (Keyword) ทร่ี ะบุ มาตรฐานไว้ในการเรยี นรู้ 2. มาตรฐานการเรียนรชู้ ่วงช้นั ทุกหนว่ ยการเรียนรู้ตอ้ งระบุมาตรฐานการเรียนร้ชู ่วงชนั้ ท่ี เปน็ เปา้ หมายในการพฒั นานักเรยี น ไวอ้ ย่างชดั เจน ระบชุ ่วงช้ันมาตรฐานมากกว่าหนง่ึ มาตรฐาน แต่ ไมค่ วรเกิน 3 มาตรฐาน 3. สาระสาคญั ของหน่วยการเรยี นรู้ สาระสาคญั หรอื สาระหลักนี้เปน็ การกาหนดเน้ือหา และ ทกั ษะทีจ่ ะจัดการเรียนการสอนในหนว่ ยนน้ั ๆ ไดจ้ ากการวเิ คราะห์มาตรฐานวา่ อะไรคือสิ่งท่ี “นักเรียน ตอ้ งรแู้ ละปฏบิ ตั ิได้” จงึ ควรมกี ารวิเคราะห์มาตรฐานของแต่ละกลุ่มสาระทัง้ หมดในภาพรวมตลอด แนวก่อน เพื่อกาหนดขอบเขตสาระหลักคร่าวๆ ว่าจะจดั การเรยี นการสอนมาตรฐานน้นั ๆในระดับชนั้ ใดบา้ ง มีเนื้อหาหรอื ทกั ษะท่ีสาคญั อะไรท่ีจะสอนในแต่ละช้นั 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ หลักในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 4.1 เปน็ กจิ กรรมที่พฒั นานักเรยี นไปสมู่ าตรฐานการเรยี นรูช้ ว่ งช้ันท่ีกาหนดไว้ในหนว่ ยการ เรียนรู้ 4.2 นาไปสกู่ ารสร้างช้ินงานหรือภาระงานที่แสดงถงึ การบรรลมุ าตรฐานของนักเรียน 4.3 นกั เรียนมสี ว่ นรว่ มในการออกแบบและจดั กจิ กรรม 4.4 เปน็ กิจกรรมท่ีเน้นนักเรียนเป็นสาคญั 4.5 มีความหลากหลาย/เหมาะสมกับนักเรยี น 4.6 สอดแทรกคุณธรรมจรยิ ธรรม และคา่ นยิ มที่พึงประสงค์ 4.7 ช่วยให้นกั เรยี นเขา้ สู่แหลง่ การเรยี นรู้และเครือข่ายการเรยี นรทู้ ่ีหลากหลาย 4.8 เปดิ โอกาสให้นักเรยี นไดล้ งมอื ปฏิบัติ ข้ันตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วยกิจกรรมใน 3 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ กิจกรรมนาสู่ การเรียนรู้ กจิ กรรมทีช่ ว่ ยพฒั นาผเู้ รยี น และกิจกรรมรวบยอด 1) กจิ กรรมนาสูก่ ารเรียนรู้ (Introduction Activities) เปน็ กิจกรรมที่ใช้ในการกระต้นุ ความสนใจของนกั เรียนในตอนตน้ ก่อนการจดั กจิ กรรมทีช่ ่วยพัฒนาผเู้ รยี น 1.1) กระตุ้นให้นักเรียนเกดิ ความสนใจ มคี วามกระตือรือรน้ อยากเรียน 1.2) เช่ือมโยงสกู่ จิ กรรมทช่ี ่วยพฒั นาผู้เรยี นและกจิ กรรมรวบยอด 1.3)เช่อื มโยงถงึ ประสบการณ์เดิมทน่ี กั เรียนมีอยู่ 1.4)ช่วยใหน้ กั เรียนไดแ้ สดงถึงความต้องการในการเรียนร้ขู องตนเอง 13 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 2) กจิ กรรมท่ีชว่ ยพัฒนาผู้เรยี น (Enabling Activities) เปน็ กิจกรรมท่ใี ช้ในการพฒั นา นกั เรียนให้เกิดความรู้ และทักษะทเ่ี พยี งพอต่อการจดั กิจกรรมรวบยอด การกาหนดกจิ กรรมท่ีชว่ ย พฒั นาผ้เู รียนควรมีลักษณะดังนี้ 2.1) สัมพันธ์เชือ่ มโยงกบั มาตรฐานที่เป็นเปา้ หมายของหนว่ ยการเรียนรู้ 2.2) ชว่ ยสรา้ งองคค์ วามรู้และทกั ษะ เพื่อพัฒนานักเรียนไปสู่มาตรฐานตามท่ีกาหนด 5. ชิ้นงานหรือภาระงานท่นี กั เรียนปฏิบัติ อาจเป็นส่งิ ทค่ี รูกาหนด หรือครแู ละนักเรียนที่ ร่วมกันกาหนดขึ้น เพ่ือใหน้ กั เรียนไดล้ งมือปฏบิ ัตใิ นแตล่ ะหน่วย ตัวอยา่ งชน้ิ งานหรือภาระงาน 5.1 งานเขียน 5.2 ภาพ/แผนภมู ิ 5.3 การพดู /รายงานปากเปล่า 5.4 สิง่ ประดิษฐ์ 5.5 งานทมี่ ลี กั ษณะผสมผสานกนั วธิ ีการเลอื กชิ้นงานหรือภาระงาน 1) พจิ ารณาชิ้นงาน/ภาระงาน 2) พจิ ารณาจากกจิ กรรมการเรยี นรู้ วา่ นักเรียนตอ้ งสร้างชน้ิ งานหรอื ปฏบิ ตั ิงาน 3) ระดมความคิดกับเพื่อครู เพ่ือเลอื กงาน 4) วางแผนกาหนดช้ินงานหรอื ภาระงาน ควรพจิ ารณาการพัฒนาสตปิ ัญญาหลายๆด้าน พรอ้ มๆ กนั 5) นาไปสกู่ ารประเมนิ ตามสภาพจริง 6. การประเมนิ ผล 6.1 มีเกณฑ์การประเมนิ ผลทเี่ ชอ่ื มโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้ชว่ งชน้ั ท่ีกาหนดในหน่วยการ เรยี นรู้ 6.2 อธิบายลักษณะช้ินงานหรือภาระงานทค่ี าดหวังไว้อยา่ งชัดเจน 6.3 รวมเข้าไปอยใู่ นกระบวนการการเรียนการสอน และกิจกรรมการเรยี นการสอน 6.4 มคี าอธบิ ายคณุ ภาพงานที่ชัดเจนและบ่งบอกคุณภาพของงานในแต่ละระดับ 6.5 ใชผ้ ลการประเมินในการปรับปรงุ การเรยี นการสอน ให้สอดคล้องกบั นักเรยี นแตล่ ะคน แต่ละกล่มุ หรือทัง้ ช้นั 6.6 แจ้งผลการประเมินเก่ยี วกบั การเรยี นรแู้ ละพัฒนาการของนักเรยี น เพ่ือเทยี บเคียงไปสู่ มาตรฐานให้นกั เรยี น ผ้ปู กครอง และชมุ ชนทราบเปน็ ระยะ 14 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตัวอยำ่ งหน่วยกำรเรียนรสู้ ุขศึกษำ รองศาสตราจารย์ ดร.จนิ ตนา สรายทุ ธพทิ ักษ์ 1. หนว่ ยกำรเรียนรู้ เรือ่ ง ร่ำงกำยของเรำ: จะทำอยำ่ งไรใหม้ สี ุขภำพดี กลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศกึ ษาชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 เวลาทีใ่ ช้ 3 คาบ ผูส้ อน............................................................โรงเรยี น......................................... _________________________________________________________________________ 2. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ชว่ งชน้ั มาตรฐาน พ 1.1 (1/1) เข้าใจธรรมชาตกิ ารเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการของรา่ งกายและจติ ใจ มาตรฐาน พ 1.1 (1/2) เข้าใจวัฏจกั รของชีวติ มนษุ ย์ มาตรฐาน พ 4.1 (1/4) รู้ เข้าใจ และมีทักษะในการเลือกบริโภคอาหารผลิตภัณฑ์สุขภาพ และปฏเิ สธส่งิ ทเ่ี ป็นผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพ 3. สำระสำคัญของหน่วยกำรเรยี นรู้ เน้ือหาและทักษะทนี่ ักเรยี นควรรู้และทาได้จากหนว่ ยการเรยี นรู้ เรื่องรา่ งกายของฉัน เนือ้ หา : อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย การทาความสะอาดอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ฟันประโยชน์และคุณคา่ ของอาหาร สขุ นิสัยทีด่ ีในการรับประทานอาหาร ทกั ษะกระบวนการ : บอกหน้าท่อี วัยวะสว่ นตา่ งๆของร่างกาย : นาความรู้เกี่ยวกับการทาความสะอาด อวัยวะส่วนต่างๆของ ร่างกาย ไป ใช้ในชวี ิตประจาวัน : แปรงฟันไดถ้ ูกวธิ ี : รบั ประทานอาหารครบทงั้ 5 หม่เู ปน็ ประจา : มสี ุขนิสัยที่ดีในการรบั ประทานอาหาร 4. ชน้ิ งำนทีใ่ หน้ กั เรียนปฏิบัติ ชนิ้ งาน นกั เรียนทาชิ้นงาน “ร่างกายของฉัน” โดยมเี งอ่ื นไขดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การเลือกรับประทานอาหารของนกั เรยี นใน 1 สปั ดาห์ จากรูปภาพอาหารในใบงาน 2. โยงเส้นความสัมพันธ์ระหว่างรูปภาพของอวัยวะท่ีสาคัญกับหน้าที่ต่างๆของอวัยวะน้ันๆ ในใบงาน 3. ทาเครือ่ งหมาย รปู ภาพท่แี สดงสุขนิสัยทดี่ ใี นการรับประทานอาหารในใบงาน 15 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 5. กำรประเมนิ ผล การประเมนิ ชิ้นงาน นา้ หนักคะแนน 3 2 1 เกณฑ์ 1. การเลอื กรับประทาน น.ร. เลอื กไดถ้ ูกตอ้ งได้ น.ร.เลือกได้ถกู ต้อง 7 ใน น.ร. เลอื กไดถ้ กู ตอ้ ง 5 อาหารของนกั เรยี นจาก ทุกข้อ 10 ข้อ ใน10 ขอ้ รูปภาพอาหาร ในใบงาน 2. การโยงเส้น น.ร. โยงเสน้ น.ร.โยงเสน้ น.ร. โยงเสน้ ความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ความสมั พนั ธไ์ ดถ้ กู ต้อง ความสมั พันธไ์ ด้ถูกตอ้ ง7 ความสัมพนั ธไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง รปู ภาพ ทุกข้อ ใน 10 ขอ้ 5 ใน10 ข้อ 3. การทาเคร่อื งหมาย นักเรยี นทาเคร่อื งหมาย นักเรียนทาเคร่ืองหมาย นักเรียนทา รปู ภาพทีแ่ สดงสขุ นิสยั รูปภาพท่แี สดงสุขนสิ ยั รูปภาพทแ่ี สดงสขุ นสิ ยั เคร่ืองหมายรปู ภาพ ทด่ี ีในการรับประทาน ไดถ้ ูกต้องทุกข้อ ได้ถกู ตอ้ ง7 ใน 10 ข้อ ท่ีแสดงสขุ นิสยั ได้ อาหารในใบงาน ถูกตอ้ ง7 ใน 10 ข้อ 6. กิจกรรมกำรเรยี นรู้ 6.1 กจิ กรรมนาสู่การเรียนรู้ ครูนาเข้าสู่บทเรียนโดยการติดภาพโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ที่ภาพลายเส้นแต่ไม่มี อวัยวะ แล้วต้ังคาถามว่า ร่างกายมีอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง จากคาตอบของนักเรียนครูโยงเข้าสู่ บทเรยี น อวัยวะส่วนต่างๆของรา่ งกาย 6.2 กจิ กรรมทีช่ ่วยพฒั นาผู้เรยี น 1. ครูแจกบัตรคาหน้าท่ีอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายแต่ละส่วน ให้นักเรียนแต่ละคน ออกไปติดบัตรคาหนา้ ทีข่ องอวัยวะส่วนตา่ งๆของรา่ งกาย บนภาพโครงสร้างของรา่ งกายบนกระดาน 2. ครูเล่านทิ านเรอ่ื ง “หนูนิดข้เี กียจแปรงฟัน”, “หนูหน่อยชอบอาบน้า” แล้วให้นักเรียน สรุปสาระ สาคัญทนี่ กั เรียนจะนาไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ 3. ครแู บ่งกลุ่มนักเรียนแสดงบทบาทสมมติ เรือ่ งสขุ นสิ ัยทด่ี ีในการรับประทานอาหาร,การ แปรงฟนั ที่ถูกวิธี,การรบั ประทานอาหารครบท้งั 5หมู่ 4. ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปสาระสาคญั จากการแสดงบทบาทสมมตทิ น่ี ักเรียนจะ นาไปปฏิบัติ 6.3 กจิ กรรมรวบยอด ใหน้ กั เรยี นทาช้นิ งานในใบงาน ส่งครรู ายบคุ คล 16 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตวั อยำ่ งหนว่ ยกำรเรยี นร้พู ลศึกษำ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. สธุ นะ ตงิ ศภัทยิ ์ 1. หน่วยกำรเรียนรู้ เร่อื ง บำสเกตบอล กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สขุ ศึกษาและพลศึกษา ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4 เวลาทใี่ ช้ 1 คาบ ผูส้ อน ................................................... โรงเรยี น ....................................... 2. มำตรฐำนกำรเรยี นรูช้ ่วงชั้น มาตรฐาน พ 3.1 (4/1) เข้าใจมที กั ษะในการเคล่ือนไหว กจิ กรรมทางกาย การเล่นเกมและ กฬี า มาตรฐานที่ 3.2 (4/1) รักการออกกาลงั กาย การเล่นเกม และการเลน่ กีฬาปฏิบัตเิ ปน็ ประจาอยา่ งสม่าเสมอ มวี ินยั เคารพสิทธิ กฎ กติกา มีนา้ ใจนักกฬี ามจี ิตวิญญาณในการแข่งขนั และช่ืน ชมในสนุ ทรยี ภาพของการกีฬา มาตรฐานท่ี 4.1 (4/1) เหน็ คณุ ค่า มีทกั ษะในการสรา้ งเสริมสขุ ภาพ การดารงสขุ ภาพ การ ปอ้ งกนั โรคและการสร้างเสริมสมรรถภาพเพ่ือสขุ ภาพ 3. สำระสำคัญของหน่วยกำรเรยี นรู้ ความรู้เกย่ี วกับกีฬาบาสเกตบอล - การปฐมนเิ ทศ เพ่ือชแี้ จงกฎ ระเบยี บ ข้อบงั คบั ในการเรียนการสอนและการ ประเมินผล - ประวัตกิ ฬี าบาสเกตบอล - ประโยชนข์ องการเล่นบาสเกตบอล - ลักษณะการเลน่ บาสเกตบอล - สิ่งที่ควรคานงึ ถึงในการเล่นบาสเกตบอลด้วยความปลอดภัย - มารยาทของผเู้ ลน่ และผดู้ บู าสเกตบอลที่ดี - การดูแลรักษาอปุ กรณ์บาสเกตบอล 4. กจิ กรรมกำรเรียนรู้ 4.1 กิจกรรมนาเข้าสกู่ ารเรียนรู้ ครูเข้าสบู่ ทเรยี นด้วยการต้อนรับนักเรียน นาสาเหตุของการต้องมีกฎ กติกาในชีวิตประจาวัน มายกตวั อย่าง ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจความจาเป็นของกฎ กติกา 4.2 กิจกรรมทีช่ ่วยพัฒนาผเู้ รยี น 1. ครูเล่าให้นกั เรียนฟังถงึ ความเป็นมา ขนบธรรมเนียม ความเป็นมาแบบย่อๆ ให้นักเรียนได้ สนใจตดิ ตามในเรอื่ งของประวัติในกฬี าบาสเกตบอล 2. ครูนาภาพยนตร์ (คลิปภาพเคล่ือนไหว้ถึงทักษะกีฬาบาสเกตบอล) ให้นักเรียนชม และชี้ ประโยชน์ ความท้าทายของกีฬาบาสเกตบอล 17 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 3. ครแู นะนาการใช้ และบารุงรกั ษาอปุ กรณก์ ารเรยี น มารยาทผู้เลน่ และผู้ชมท่ีดี 4. ครูแบ่งกลุ่มงานสืบค้นประวัติกีฬาบาสเกตบอลพร้อมทั้งประโยชน์ของการเล่นกีฬา บาสเกตบอล ใหน้ กั เรยี นไปค้นควา้ เพม่ิ เติม 5. ครูสรุป และประเมินความตั้งใจ ความสนใจ ทัศนคติของนักเรียนต่อกีฬาบาสเกตบอล หากมีนักเรียนที่ไม่สนใจ ก็จะต้องเชิญชวนนาข้อดี ของกีฬาบาสเกตบอลมาสร้างแรงจูงใจให้นักเรียน ให้มากข้ึน 5. ช้นิ งำนทีใ่ ห้นักเรียนปฏบิ ัติ 1. สบื ค้นประวัตกิ ฬี าบาสเกตบอลพร้อมทั้งประโยชนข์ องการเล่นกฬี าบาสเกตบอล 2. วิเคราะห์มารยาทของผเู้ ล่นและผูด้ ูบาสเกตบอลทดี่ ี 6. กำรประเมนิ ผล น้ำหนัก 3 2 1 คะแนน เกณฑ์ น.ร.สืบคน้ ประวตั ิมา น.ร.สบื คน้ ประวัติมาได้ดี น.ร.สืบค้นประวัติมาได้ 1. สืบค้นประวัติกฬี า อยา่ งสมบรู ณ์พร้อมท้ัง พอสมควรพร้อมท้งั บอก แตย่ ังต้องมขี ้อเพมิ่ เตมิ บาสเกตบอลพร้อมท้งั บอกประโยชนข์ องการ ประโยชน์ของการเลน่ พร้อมท้งั บอกประโยชน์ ประโยชน์ของการเลน่ เล่นกฬี าบาสเกตบอลมา กฬี าบาสเกตบอลมาได้ ของการเลน่ กีฬา กีฬาบาสเกตบอล ได้ 7 ข้อขน้ึ ไป 5-7 ขอ้ บาสเกตบอลมาไดน้ ้อย กว่า 5 ขอ้ 2. วิเคราะหม์ ารยาทของ น.ร.สามารถวิเคราะห์ น.ร.สามารถวเิ คราะห์ น.ร.สามารถวิเคราะห์ ผู้เลน่ และผดู้ ู มารยาทของผ้เู ล่นและผู้ มารยาทของผเู้ ล่นและผู้ มารยาทของผูเ้ ล่นและผู้ บาสเกตบอลท่ีดี ดูบาสเกตบอลทดี่ ไี ด้ ดบู าสเกตบอลทด่ี ีได้ดี ดบู าสเกตบอลท่ดี ไี ด้ อย่างสมบูรณ์ พอสมควรแตย่ งั ต้องมีข้อ พอใช้ยังต้องมีข้อเพ่ิมเติม เพ่ิมเติม สรุป การจัดทาหน่วยการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาเป็นการนาหลักสูตรและสาระการ เรียนรู้ไปวางแผนในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้และการวดั ประเมินผล เ พ่ื อ ใ ห้ ผู้ เ รี ย น มี ผลสัมฤทธ์ิตามตัวชี้วัดของหลักสูตรและตามจุดประสงค์การเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุข ศึกษาและพลศึกษา มีองค์ประกอบที่สาคัญ ได้แก่ 1) หัวเรื่องหรือชื่อหน่วยการเรียนรู้ 2) มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 3) สาระสาคัญของหน่วยการเรียนรู้ 4) กิจกรรมการเรียนรู้ 5) ชน้ิ งานหรือภาระงานทีน่ กั เรยี นปฏิบตั ิ และ6) การประเมินผล หลังจำกศึกษำเนอ้ื หำสำระเรื่องท่ี 1.3 แลว้ โปรดปฏิบัติใบงำนท่ี 1.4 18 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตอนที่ 2 การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งที่ 2.1 แนวคิดและปรัชญาสขุ ศึกษาและพลศึกษา แนวคิดปรัชญาสุขศึกษา และหลักเบื้องต้นของการสอนสุขศึกษา ประกอบด้วย จุดประสงค์ ในการเรียนการสอนเพ่ือให้นักเรยี นมีสุขภาพท่ีดี โดยไม่เพียงให้ผู้เรยี นได้รบั แต่เพียงความร้เู ทา่ นั้น ยัง จะตอ้ งมเี จตคตทิ ด่ี ี และการปฏบิ ตั ิทเี่ หมาะสมในการดูแลสุขภาพ เนอ้ื หาในการเรียนการสอน ควรจัด บูรณาการเน้ือหาสาระ เน้นเร่ืองสขุ ภาพในลักษณะบวก (Positive) ที่ตอ้ งคานึงถึงภูมิหลงั ความสนใจ ความต้องการ และความสามารถของผู้เรียน ควรมีการเสริมแรงจูงใจให้นักเรียนตั้งใจเรียน กิจกรรม การเรียนการสอนควรจัดให้มีความหลากหลายเพ่ือให้เหมาะสมกับนักเรียนท่ีมีความแตกต่างกันและ ควรจัดให้สัมพันธ์กับประสบการณ์ในชีวิตจริงของนักเรียนเสมอ การใช้สื่อการสอนในที่เหมาะสมกับ เนอ้ื หา สถานท่ี และระยะเวลา และควรมีการประเมินผลอยูต่ ลอดเวลา จุดประสงค์ของการสอนสุขศึกษา คือ การสอนให้นักเรียนเกิดความรู้ ( Knowledge ) เจตคติ ( Attitude ) และการปฏิบัติ ( Practice ) ที่ดีทางสุขภาพ หรือการสอนสุขศึกษาทาให้เกิด KAP แต่การสอนสุขศึกษาท่ีทาให้นักเรียนเกิด KAP นี้ ครูต้องสอนและเน้นให้แตกต่างกันตาม ระดบั ช้ันและวัยของนกั เรียน ชั้น อนั ดับ 1 อันดับ 2 อนั ดบั 3 อนบุ าลและประถมศึกษาชว่ งแรก การปฏิบัติ เจตคติ ความรู้ ประถมศกึ ษาชว่ งหลงั ( ป. 5-6 ) เจตคติ การปฏิบัติ ความรู้ เจตคติ การปฏบิ ตั ิ ความรู้ มัธยมศกึ ษาช่วงแรก (ม.1-3 ) ความรู้ เจตคติ การปฏบิ ัติ มัธยมศกึ ษาช่วงหลงั ( ม.4-6 ) ความรู้ เจตคติ การปฏิบัติ อุดมศึกษา แนวคิดปรัชญาพลศึกษา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พลศึกษา เริ่มจากการที่ครูจะต้องจัด กิจกรรมเพ่ือให้นักเรียนได้มีพัฒนาการทั้ง 5 ด้านคือด้านทักษะ (Motor Skill) ด้านสมรรถภาพทาง กาย (Physical Fitness) ด้านเจตคติ (Affective) ด้านความรู้ความเข้าใจ (Cognitive) และด้าน คุณธรรม จริยธรรม (Moral) ในทุกคาบเรียนของการสอนพลศกึ ษา ครูพลศึกษาจงึ ต้องใช้ศิลปะในการ สอดแทรกสง่ิ ต่างๆ ทส่ี าคัญน้ีในการจัดการเรยี นการสอนทกุ ชวั่ โมง 19 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า สรุป แนวคดิ หรือปรัชญาการสอนสุขศึกษาเปน็ แนวทางในการจัดการเรยี นรู้ใหผ้ ู้เรียนมี ความรู้ มเี จตคตทิ ่ีดีในการดแู ลสขุ ภาพ และนาความรู้ไปปฏิบัติได้จริงในชวี ติ ประจาวนั โดย โรงเรียนควรจัดโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียน ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ การจดั สง่ิ แวดลอ้ มในโรงเรียน การบรกิ ารสขุ ภาพในโรงเรียน และการสอนสุขศึกษาซึง่ สามารถ สอดแทรกการสอนเขา้ ไปในวิชาอ่ืน ๆ รวมทัง้ ควรประสานความรว่ มมือระหวา่ งบ้าน โรงเรียน และชมุ ชน เพื่อใหผ้ ้เู รียนได้พัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และมสี ว่ นรว่ ม รบั ผดิ ชอบทางสขุ ภาพตอ่ สงั คม แนวคดิ ปรัชญาพลศึกษาเป็นแนวทางในการจดั การเรยี นรใู้ ห้ผเู้ รียนมพี ัฒนาการทั้ง 5 ด้านคอื ด้านทักษะ (Motor Skill) ด้านสมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness) ด้านเจตคติ (Affective) ด้านความรคู้ วามเข้าใจ (Cognitive) และด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม (Moral) โดย การจดั โปรแกรมพลศึกษาในโรงเรยี น ซ่ึงเปน็ การรวบรวมและนาผลจากการจดั การเรยี นรู้ไปใช้ ในการแข่งขันกฬี าภายในโรงเรียน และคดั เลอื กผมู้ ีความสามารถของโรงเรียนไปแขง่ ขัน ภายนอกโรงเรียน และไม่ความละเลยสาหรบั นกั เรียนที่มีความพเิ ศษ หรือการจดั การเรยี น เสริมแก่นกั เรยี นพิเศษ และการจดั กิจกรรมนันทนาการต่างๆในโรงเรียน หากโรงเรียนใดจดั โปรแกรมพลศึกษาในโรงเรยี นได้ครบถว้ นกจ็ ะเป็นเครอ่ื งยนื ยันไดว้ า่ การจดั การเรียนการสอน จะต้องมีประสิทหธลภิ งั าจพำสกูงศกึ ษำเน้อื หำสำระเรื่องท่ี 2.1 แล้ว โปรดปฏบิ ัติใบงำนท่ี 2.1 20 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า เร่อื งท่ี 2.2 การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ท่เี หมาะสมกบั สาระการเรยี นรู้ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ลักษณะของกำรสอนสขุ ศกึ ษำ และพลศึกษำทด่ี ี 1. ควรส่งเสริมให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงด้วยการให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วย ตนเองใหม้ ากทสี่ ุด หรอื ฝึกปฏบิ ัติใหบ้ ่อยๆ จนเกิดเปน็ ทกั ษะ 2. ควรมจี ดุ ประสงคข์ องบทเรียนทกุ คร้งั เพื่อเปน็ แนวทางในการวดั ประเมนิ ผลการสอน 3. ควรคานึงถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ตลอดจนประสบการณเ์ ดิมของนักเรียน มากกว่าที่จะเอาหลักสูตรเป็นเกณฑ์ นักเรยี นหลายๆ คนมคี วามสามารถทางกลไกท่ีไมเ่ ท่ากนั 4. ควรมีการประเมินผลอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อใหแ้ น่ใจว่า การสอนได้ผลตามจุดประสงค์ การเรยี นรู้ทวี่ างไว้ 5. ควรมีการเตรียมการสอนอย่างดี การเตรียมการสอนนับเป็นเทคนิคการสอนอย่างหนึ่ง เพื่อครจู ะได้ทราบว่าจะสอนอย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไรบา้ ง 6. ควรมีสอื่ การเรียนการสอน เพอ่ื ชว่ ยให้นักเรยี นสนใจและเข้าใจบทเรยี น 7. ควรส่งเสรมิ ให้นักเรียนทางานเป็นหมู่คณะ โดยมีการปรึกษาหารือแบ่งงานกันทา และ สอนใหน้ กั เรยี นรจู้ ักการทางานเปน็ ทีม 8. ควรมุ่งให้เด็กได้ท้ังความรู้ ทัศนคติที่ดี พร้อมท่ีจะนาไปปฏิบัติในชีวิตประจาวันจนเป็น สขุ นิสยั 9. ควรมีกิจกรรมให้นักเรียนทา เพ่ือเร้าความสนใจของนักเรียนและช่วยให้นักเรียน สนกุ สนานกบั การเรียน 10. ควรใช้วิธีสอนหลาย ๆ วิธปี ะปนกัน ไม่ยดึ วิธีสอนเพียงวธิ ีใดวิธหี นึง่ และควรเป็นวิธีสอน ทีเ่ หมาะกับวัยของนักเรียน หรอื ใช้กิจกรรมท่ีทา้ ทายความสามารถของผู้เรียน 11. ควรส่งเสริมการสอนแบบประชาธิปไตย ฉะน้ันการสอนจึงไม่ควรบังคับให้นักเรียน ทา แตจ่ ะต้องส่งเสริมจงู ใจใหน้ ักเรียนคดิ และยินดีปฏบิ ตั ิดว้ ยตนเอง 12. ควรมีแรงจูงใจ หรือมีเคร่ืองล่อใจ เช่น การให้รางวัล การชมเชย การทาโทษ การติ เตยี น การใหค้ ะแนน ส่ิงเหลา่ นี้จะกระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นเกดิ ความสนใจและต้งั ใจ ขยันหมนั่ เพียรยิ่งขน้ึ 13. สง่ เสรมิ ใหเ้ กิดความคดิ สรา้ งสรรค์ส่ิงใหม่ ๆ รจู้ ักแกป้ ัญหาด้วยตนเองตามแนวทาง วทิ ยาศาสตร์ เปิดโอกาสใหน้ ักเรียนคดิ หาเหตุผลความเปน็ มาของสง่ิ ท่เี รยี น 14. สร้างบรรยากาศให้เหมาะสมแก่การเรียนรู้ ทั้งในแง่ของส่ิงแวดล้อมและอารมณ์ของ นักเรยี น 15. ควรมกี ารนาเข้าสูบ่ ทเรียน หรือเร้าความสนใจกอ่ นทาการสอนเสมอ 21 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตัวอย่ำงแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ รองศาสตราจารย์ ดร.จนิ ตนา สรายุทธพทิ ักษ์ ชอ่ื หน่วยกำรเรียนรู้ พัฒนาตนใหเ้ ตบิ โตสมวยั สำระท่ี 1 การเจรญิ เติบโตและพฒั นาการของมนุษย์ แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ท่.ี . 1 .....ความสัมพันธร์ ะหวา่ งน้าหนักของรา่ งกายกับสขุ ภาพ... ชนั้ ........................มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1...........................เวลำ................ 1 คาบ................................. มำตรฐำน พ 1.1 เข้าใจธรรมชาตขิ องการเจริญเติบโตและพฒั นาการของรา่ งกายและจติ ใจ ตวั ชีว้ ดั ม.1.3 วิเคราะห์ภาวะการเจรญิ เติบโตทางรา่ งกายของตนเองกบั เกณฑ์มาตรฐาน สำระสำคัญ น้าหนักของร่างกายเป็นส่วนหน่ึงที่จะบ่งชี้ถึงภาวะสุขภาพ ทุกคนจาเป็นต้องตรวจสอบ นา้ หนักของตนเองอย่เู สมอ และควบคมุ ให้อยู่ในระดบั ปกติ จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ นักเรียนสามารถ 1. ประเมนิ น้าหนกั ของรา่ งกายตนเอง 2. ใช้กระบวนการวจิ ัยเพอ่ื หาความสัมพนั ธร์ ะหว่างนา้ หนักของรา่ งกายกบั สุขภาพ 3. ชักชวนหรือวางแผนช่วยเหลือเพื่อนที่มีน้าหนักเกินปกติให้เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค อาหารและการออกกาลงั กาย 4. ช่ังน้าหนักตนเองอย่างน้อยสัปดาหล์ ะ 1 ครั้ง เพื่อตรวจสอบน้าหนักของร่างกายตนเองให้ อยใู่ นเกณฑป์ กติ สำระกำรเรยี นรู้ 1. การประเมินนาหนักของร่างกายตนเองโดยเปรียบเทียบกับตารางแสดงน้าหนักเฉล่ียตาม สว่ นสูงของเดก็ ไทยของกรมอนามัย 2. กระบวนการวจิ ยั เพอ่ื หาความสมั พันธร์ ะหวา่ งน้าหนกั ของรา่ งกายกบั สุขภาพ 3. ผลของนา้ หนักร่างกายทม่ี ีผลต่อสขุ ภาพ 4. วิธกี ารดแู ลน้าหนกั ของรา่ งกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ กจิ กรรมกำรจัดกำรเรยี นรู้ ขน้ั นำ 1. ครูเลือกนักเรียนท่ีมีน้าหนักเท่ากัน 3-4 คน มาเปรียบเทียบความเหมือน และความ แตกต่างกนั ในดา้ นขนาดรูปร่าง เพือ่ โยงเข้าสบู่ ทเรยี น “ความสมั พันธ์ระหว่างนา้ หนักของร่างกาย” ข้ันสอน 22 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 2. ใหน้ กั เรยี นชงั่ นาหนักและวัดสว่ นสงู ของตนเอง แลว้ บนั ทกึ ผลไว้ 3. ครูนาตารางแสดงน้าหนักเฉล่ียตามส่วนสูงของนักเรียนไทยมาให้นักเรียนดู พร้อมท้ัง อธบิ ายใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวธิ ปี ระเมินนา้ หนกั ตวั กบั ตารางนา้ หนกั เฉลยี่ 4. ให้นักเรยี นประเมนิ น้าหนกั ส่วนสงู ของตนเองกับตารางแสดงน้าหนักเฉล่ยี 5. ครูแบ่งกลุ่มให้นักเรียนใช้กระบวนการวิจัย เพ่ือหาความสัมพันธ์ระหว่างน้าหนักของ ร่างกายกับสุขภาพ โดยครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม กาหนดบทบาทสมาชิก เพื่อดาเนินตามข้ันตอนใน การแสวงหาคาตอบ ดงั ต่อไปน้ี 1) ระบปุ ัญหาการวิจัย : นา้ หนกั ของร่างกายมีผลต่อสขุ ภาพหรอื ไม่ อย่างไร ต่อสุขภาพ 2) ตั้งสมมติฐานการวิจัย : ผู้ที่มีน้าหนักของร่างกายมากเกินปกติ จะทาให้มีปัญหา 3) พิสูจน์ ทดสอบสมมติฐาน : ให้นักเรียนทดลองเดินถือหรือแบกของหนัก 3, 5 และ 8 กโิ ลกรัม เปรียบเทียบกับการเดนิ ปกตทิ ่ไี ม่ไดแ้ บกของหนัก 4) เก็บรวบรวมข้อมูล : แบกของหนัก 3 กิโลกรัม เดนิ ได้เรว็ กวา่ 5, 8 กิโลกรัม 5) วิเคราะห์ข้อมูล : ยิ่งแบกของหนัก 5, 8 กิโลกรัม ยิ่งเดินช้าลงและเหน่ือย ปวด หลัง ปวดหัวเข่า มากกว่าการแบกของหนัก 3 กิโลกรัม แสดงว่าน้าหนักตัวท่ีมากกว่าปกติจะมีผลต่อ สขุ ภาพ 6) การสรปุ ผลการวิจยั : นา้ หนักของรา่ งกายมคี วามสัมพันธต์ อ่ สุขภาพ 6. ใหแ้ ต่ละกลุ่มเสนอผลการใชก้ ระบวนการวิจยั ท้ัง 6 ขนั้ ตอน ขัน้ สรปุ 7. ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายและให้นกั เรยี นสรปุ การปฏิบัตติ นเพ่อื วางแผนดแู ลน้าหนัก ของร่างกายใหอ้ ยใู่ นเกณฑป์ กติ เชน่ การตรวจสอบชั่งน้าหนักของรา่ งกายอย่างน้อยสปั ดาห์ละ 1 ครั้ง และชกั ชวนหรือแนะนาผอู้ ่นื ในเร่อื งการปรับน้าหนกั ของร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ 8. ครูให้นักเรียนจัดทารายงานแสดงผลการชั่งน้าหนักร่างกายของนักเรียนในแต่ละสัปดาห์ ตลอด 1 ภาคการศึกษา โดยเสนอเป็นกราฟเส้น เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน น้าหนักร่างกายของ เด็กไทย ส่อื และแหลง่ กำรเรยี นรู้ 1. ตารางแสดงนา้ หนกั เฉล่ยี ตามส่วนสูงของเดก็ ไทยของกรมอนามยั 2. วสั ดุหรอื ส่ิงของทมี่ ีน้าหนัก 3, 5 และ 8 กโิ ลกรมั 3. เคร่ืองชั่งน้าหนัก และเครอ่ื งวัดสว่ นสูง กำรวัดและประเมินผล 1. ประเมนิ ข้อเขียนการวางแผนดูแลนา้ หนกั ร่างกายใหอ้ ย่ใู นเกณฑป์ กติของนักเรียนทุกคน 2. สังเกตการณใ์ ช้กระบวนการวิจัย และการสรุปผลการวิจัยของแต่ละกลมุ่ 3. สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 23 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 4. ประเมินจากรายงานแสดงผลการช่งั น้าหนักรา่ งกายของนกั เรยี น บันทกึ หลังกำรสอน 1. ผลการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 2. ปัญหา/อุปสรรค ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ ............................................................................... (.........................................................) วนั ........เดือน......................ปี........... สรุป หลักเบื้องต้นของการสอนสุขศึกษา ประกอบด้วย จุดประสงค์ในการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนมีสุขภาพท่ีดี โดยไม่เพียงให้ผู้เรียนได้รับแต่เพียงความรู้เท่านั้นยังจะต้องมีเจต คติท่ีดี และการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดูแลสุขภาพ เน้ือหาในการเรียนการสอน ควรจัด บูรณาการเน้ือหาสาระ เน้นเรื่องสุขภาพในลักษณะบวก (Positive) ที่ต้องคานึงถึงภูมิหลัง ความสนใจ ความต้องการ และความสามารถของผู้เรียน ควรมีการเสริมแรงจูงใจให้นักเรียน ตงั้ ใจเรียน กิจกรรมการเรยี นการสอนควรจัดให้มีความหลากหลายเพอ่ื ให้เหมาะสมกับนักเรยี น ท่ีมีความแตกต่างกันและควรจัดให้สัมพันธ์กับประสบการณ์ในชีวิตจรงิ ของนักเรยี นเสมอ การ ใช้สื่อการสอนในที่เหมาะสมกับเน้ือหา สถานท่ี และระยะเวลา และควรมีการประเมินผลอยู่ ตลอดเวลา 24 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตวั อย่ำงแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ุขศึกษาและพลศึกษา สาระการเรยี นรู้พลศกึ ษา หนว่ ยกำรเรยี นรู้ เกม กฬี า พัฒนา แผนกำรเรยี นรู้ การเคล่อื นไหวรปู แบบต่างๆ ในการเลน่ กฬี า ช้นั มัธยมศึกษำปีที่ .... ห้อง ..... จำนวน 1 คาบเรียน วนั ท่ี .......... เวลา ............ สถานทีส่ อน .............. ผูส้ อน นายสธุ นะ ติงศภัทยิ ์ ............................................................................................................................. .............................. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ พ 3.1 เขา้ ใจทกั ษะในการเคลื่อนไหว กจิ กรรมทางกาย การเล่นเกม และกฬี า พ 3.2 รกั การออกกาลงั กาย การเลน่ เกม และการเล่นกีฬา ปฏบิ ตั เิ ป็นประจา อยา่ งยิ่ง สม่าเสมอ มีวินยั เคารพสทิ ธิ กฎ กตกิ า มีน้าใจนักกีฬา มจี ิตวญิ ญาณในการแข่งขนั กฬี าและ ช่ืนชมในสนุ ทรยี ภาพของการกีฬา พ 4.1 เห็นคณุ คา่ และมีทกั ษะในการสรา้ งเสริมสุขภาพ การดารงสุขภาพ การ ปอ้ งกนั โรคและการสร้างเสรมิ สมรรถภาพเพื่อสุขภาพ สำระสำคญั การเคลื่อนไหวในการประกอบกิจกรรมเปน็ ลักษณะของการเคล่อื นไหวเฉพาะแบบในการ นามาใช้ในการออกกาลังกายหรือเล่นกีฬาชนดิ นน้ั ๆ ซง่ึ ก่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ ภายในรา่ งกาย ทีต่ อ้ งทางานหนกั เพม่ิ มากขน้ึ แตเ่ ปน็ ผลดตี ่อสขุ ภาพร่างกาย ดังน้นั การรู้หลักการ เคลอ่ื นไหวรปู แบบตา่ งๆ ในการออกกาลงั กายจะช่วยใหน้ ักเรียนสามารถนาความรู้ไปใช้ในการพฒั นา สมรรถภาพรา่ งกายในด้านต่างๆ ของตนเองให้ดียิ่งข้ันได้ จุดประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นอธบิ ายความรูเ้ ร่ืองการเคล่ือนไหวรปู แบบตา่ งๆ ในการเล่นกฬี าได้ถกู ต้อง 2. นกั เรยี นสามารถแตะสลบั ได้ 20 คร้งั ตอ่ เนื่องได้ 3. นักเรียนสามารถเคลื่อนไหวด้วยรปู แบบต่างๆ การเลน่ กีฬาได้ถกู ต้อง 4. นักเรียนเข้าเรยี นตรงต่อเวลาและแต่งกายถูกระเบียบ 5. นักเรียนเกดิ ความสนุกสนานในกิจกรรมการเรียนการสอน ผลกำรเรยี นรทู้ ค่ี ำดหวงั นักเรียนเขา้ เรียนตรงต่อเวลาและแต่งกายถูกระเบียบและสามารถปฏิบตั ิไดต้ ามจุดประสงค์ การเรยี นรไู้ ด้อยา่ งถกู ต้องและสามารถเอาความรู้เร่ืองการเคล่อื นไหวรปู แบบต่างๆ ในการเล่นกฬี าไป ใช้ไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่ว ในการออกกาลงั กายและการเล่นกีฬาเพือ่ พัฒนาสมรรถภาพทางกายเพอื่ สขุ ภาพและสมรรถภาพทางกลไก ตลอดจนนาไปใช้ในการฝึกฝนเพ่ือเพ่ิมทักษะทางกฬี าต่อไป 25 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า สาระการเรยี นรู้ กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ผลลัพธก์ ารเรยี นรู้ กำรเคลอ่ื นไหวประกอบกิจกรรม 1.ขน้ั เตรียม Affective – นกั เรยี นสามารถ การเคล่อื นไหวในการประกอบ - กำรอบอุ่นร่ำงกำย (Warm-up) (7 แสดงเจตคติทดี่ ีในเรอื่ งของความมี กจิ กรรมเป็นลักษณะของการเคลอ่ื นไหว นำที) ระเบยี บ ความตรงต่อเวลาในการเขา้ เฉพาะแบบในการนามาใช้ในการออก ใหน้ กั เรียนจัดแถวตอน 6 แถวเท่าๆ กนั เรียน การแตง่ กายถกู ระเบยี บ กาลงั กายหรอื เล่นกฬี าชนดิ ครู นน้ั ๆ เช่น การวิง่ การเคล่อื นทแี่ บบการ กา้ วเท้าตามกัน (SLIDE) การกระโดด ในลักษณะตา่ งๆ ตามลกั ษณะกีฬา ซึง่ ลักษณะของการกระโดดจะเป็น ลกั ษณะเฉพาะ เชน่ การกระโดดในกีฬา - ครสู ารวจนกั เรยี นโดยการเช็คช่ือ บาสเกตบอล การกระโดดในกีฬา นกั เรยี นตามเลขท่ี วอลเลย์บอลมลี ักษณะไม่ - ครใู ห้นักเรยี นวง่ิ รอบสนาม 2 รอบ เหมือนกนั นอกจากการเคล่ือนไหว - ครูใหต้ ัวแทนนกั เรียนของแต่ละแถว ลกั ษณะเฉพาะในการออกกาลังกายหรือ ออกมานายดื เหยยี ดกล้ามเนือ้ Psychomotor – นักเรียนสามารถ การเลน่ กีฬาและยังมกี ารเคลื่อนไหวใน - ขน้ั ตอนกำรพฒั นำสมรรถภำพรำ่ งกำย แสดงความสามารถในการใช้ การทางานหรือกจิ กรรมเฉพาะบุคคล - แตะสลับ ให้นักเรยี นยนื อยู่ในท่าเตรียม สมรรถภาพทางกายดา้ นความ ไดแ้ ก่ การทางานบ้าน การกวาดถู ลกั ษณะกางแขนออกท้ัง 2 ขา้ ง พรอ้ มทง้ั กาง คล่องตวั , ความอ่อนตัว บา้ น การขจี่ กั รยาน ขาออกความกวา้ งเท่าหวั ไหลข่ องตนเอง เมอ่ื การขบั รถ การพายเรือ ครูใหส้ ญั ญาณเรมิ่ นักเรยี นก้มตัวแล้วใช้มือ ในการเคล่อื นไหวโดยทว่ั ไปแล้วไม่ ขวาแตะเท้าซา้ ย แลว้ ขน้ึ มายนื ในทา่ เตรียม วา่ จะเปน็ การเคลือ่ นไหวแบบใดกต็ าม แล้วจึงก้มแลว้ ใช้มือซ้ายแตะเท้าขวา ทา 20 พอจะจาแนกออกได้ 3 แบบด้วยกนั ครั้งตอ่ เนื่องกนั คือ 1. การเคลอ่ื นไหวอย่กู บั ท่ี 2. การเคล่อื นไหวแบบเคลอ่ื นที่ 3. การเคลือ่ นไหวท่ใี ชอ้ ุปกรณ์ ซึ่ง ไมว่ ่าจะเป็นการเคล่อื นไหวแบบใดกต็ าม จะเก่ยี วขอ้ งกับการใช้แรงซึง่ กระทาให้ 2. ขน้ั อธิบำยและสำธติ (7 นำท)ี Cognitive – นกั เรียนสามารถบอก ร่างกายของเราเคลอ่ื นไหวได้อันเกดิ 2.1 ครูทบทวนความร้เู ดมิ เร่อื ง หลักการ หลกั การออกกาลงั กายและการเลน่ จาก การทางานของกล้ามเน้ือดว้ ยการ ออกกาลังกายและการเล่นกีฬา ทีไ่ ด้เรยี นไป กฬี าไดถ้ กู ต้อง ยดื และหดของกล้ามเนอ้ื โดยทาให้ขอ้ เมื่อคาบท่แี ล้ว ต่อของรา่ งกายที่มกี ลา้ มเนอ้ื พยงุ 2.2 ครูอธบิ ายและสาธิตเร่อื งการ อยู่ เคล่อื นไหว เช่น การพับ การ เคล่ือนไหวรูปแบบตา่ งๆ ในการเลน่ กีฬา อัน เหยยี ด การหมุน เปน็ ตน้ ไดแ้ ก่ - การเคลือ่ นไหวอยกู่ บั ที่ คอื การ เคลือ่ นไหวทีร่ ่างกายของผู้ปฏบิ ตั ไิ ม่ไดเ้ คลอ่ื นที่ ไปจากจดุ เดมิ เชน่ การก้ม การเหยยี ด การยา่ อยกู่ ับที่ 26 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า - การเคล่อื นไหวแบบเคล่ือนท่ี คอื การเคลื่อนไหวรา่ งกายท่ผี ู้ปฏบิ ัตเิ คล่อื นยา้ ย ร่างกายจากตาแหนง่ หนึง่ ไปยังอีกตาแหนง่ หน่ึง เชน่ การเดิน การวิง่ การกระโดดไป ขา้ งหนา้ - การเคลื่อนไหวท่ีใชอ้ ปุ กรณ์ คือ การเคลือ่ นไหวรา่ งกายทีผ่ ้ปู ฏบิ ตั ใิ ช้รา่ งกาย บงั คับหรอื ควบคมุ วตั ถุประกอบในการ เคลอื่ นไหว ซึ่งเก่ยี วขอ้ งกบั มือและเท้า ประกอบการเคล่อื นไหว ไดแ้ ก่ กจิ กรรมการ เลน่ กฬี า กจิ กรรมตา่ งๆ ในชีวิตประจาวัน - การเคลอ่ื นไหวแบบผสมผสาน คือ การเคลอ่ื นไหวรา่ งกายที่ผู้ปฏบิ ตั ใิ ชท้ กั ษะ พ้ืนฐานต่างๆ พรอ้ มกันในการเคลอื่ นไหว เชน่ การเลยี้ งลกู บอลไปข้างหนา้ 2.3 ครูให้นกั เรียนยกตวั อยา่ งกจิ กรรมที่ Cognitive – นกั เรยี นสามารถ ตรงกบั กบั การเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ ที่ครู ยกตวั อย่างกิจกรรมที่ตรงกับลกั ษณะ พดู ขนึ้ ให้ได้จานวนมากทสี่ ุด การเคล่อื นไหวรปู แบบต่างๆ ได้ 3. ข้นั ฝกึ หัดทักษะ (10 นำท)ี 3.1 การเคลือ่ นไหวอยู่กบั ท่ี - ครูให้นักเรยี นแบ่งออกเปน็ 6 แถวเทา่ ๆ 27 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า กนั แลว้ ขยายแถวออกไป 2 ช่วงแขน ครูให้ Psychomotor – นักเรยี นสามารถ นักเรียนนั่งลงกบั พนื้ พรอ้ มกบั เหยียดขาไป แสดงความสามารถในการใช้ ขา้ งหน้า เมือ่ ครูให้เปา่ นกหวีดให้สญั ญาณเรม่ิ สมรรถภาพทางกายดา้ นความอดทน ใหน้ กั เรียนยกขาลอยเหนือจากพนื้ และเตะขา ของกล้ามเนือ้ ส่วนทอ้ ง ไขวส้ ลบั ไปมา 20 ครงั้ Psychomotor – นักเรยี นสามารถ 3.2 การเคลือ่ นไหวแบบเคลอื่ นท่ี แสดงความสามารถในการใช้ - ครใู หน้ ักเรยี นยกขาขา้ งทีไ่ มถ่ นัดขึน้ มา สมรรถภาพทางกายดา้ นความ ในลักษณะทา่ กระโดดขาเดยี ว เมอื่ ครูเปา่ แข็งแรงของกลา้ มเนอ้ื ส่วนขา นกหวีดใหส้ ัญญาณเรมิ่ ใหน้ กั เรยี นกระโดดขา เดยี วเคลื่อนทไ่ี ปมาอยู่ในเขตทคี่ รกู าหนด เมือ่ ครเู ปา่ นกหวดี 1 คร้งั ให้นักเรียนทกี่ ระโดดไป หยดุ กระโดดแลว้ ยืนอยู่กบั ที่ เมอ่ื เป่านกหวดี อีกครัง้ ก็ให้นกั เรยี นกระโดดต่อไปเร่ือยๆ ทา เชน่ นสี้ ลับกันไปมา 3.3 การเคล่ือนไหวทีใ่ ชอ้ ปุ กรณ์ Psychomotor – นกั เรยี นสามารถ - ครูใหน้ ักเรียนแบง่ ออกเป็น 6 แถวเทา่ ๆ แสดงความสามารถในการใช้ กนั แลว้ ใหแ้ ตล่ ะแถวยนื หลงั กรวยท่คี รูกาหนด สมรรถภาพทางกายดา้ นความ ไว้ โดยแตล่ ะแถวจะมลี ูกบอล แถวละ 1 ลูก คล่องตัว เม่ือครเู ปา่ นกหวีดใหส้ ัญญาณเริ่ม ให้คนแรก ของแถวใชเ้ ทา้ เล้ยี งลกู บอลไปออ้ มกรวยทคี่ รู วางไวอ้ ีกฝั่ง แลว้ เลย้ี งลกู บอลกลับมาสง่ ใหค้ น ที่สอง ทาเชน่ เดยี วกนั ไปจนครบทงั้ แถว - ครใู ห้นกั เรียนแบ่งออกเปน็ 3 แถวเท่าๆ Psychomotor – นักเรยี นสามารถ กนั และให้แตล่ ะแถวชว่ ยกันคดิ รปู แบบการ แสดงความสามารถในการใช้ เดนิ ในตาราง 9 ช่อง พรอ้ มทัง้ ใหต้ ัวแทนแต่ละ สมรรถภาพทางกายดา้ นการ กลุ่มออกมาสาธิตหนา้ ช้ันเรยี น พรอ้ มทั้งนา ประสานสมั พนั ธ์และความ เพ่อื ในช้ันเรยี นฝกึ ปฏิบตั ิร่วมกนั 21 28 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า คล่องแคล่ว 43 Affective – นกั เรยี นสามารถแสดง เจตคตทิ ดี่ ี จากการมีสว่ นรว่ มใน 4. ขน้ั นำไปใช้ (Game activity) ( 18 กจิ กรรมการเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ นำที) ในการเลน่ กีฬา 4.1 ครใู ห้นกั เรียนแบง่ กลมุ่ ออกเปน็ 3 Affective – นักเรียนสามารถ กลมุ่ เท่าๆ กัน แลว้ ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ สง่ ตัวแทน แสดงเจตคติทดี่ ี ให้ความร่วมมือ ออกมาจบั สลากรูปแบบการเคล่อื นไหวหน้า ปฏบิ ัตติ ามกลมุ่ เพอื่ นทอี่ อกมานา กิจกรรม ชั้นเรียน 4.2 ครใู หเ้ วลา 5 นาที เพื่อให้นักเรียนคิด Psychomotor – นกั เรยี น กจิ กรรมเคลือ่ นไหว ตามรูปแบบทกี่ ลุ่มของ สามารถแสดงความสามารถในการ เคลือ่ นไหวรูปแบบตา่ งๆ ได้ ตนเองจบั สลากได้ 4.3 ครใู ห้นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ออกมานา คล่องแคลว่ กจิ กรรมทต่ี รงกบั รูปแบบการเคลอ่ื นไหวทกี่ ลมุ่ Cognitive – นกั เรยี นสามารถจัด ตนเองจับสลากได้ เพอื่ ให้เพ่ือนในช้นั เรยี นได้ กจิ กรรมไดถ้ ูกตอ้ งและเหมาะสมตาม ปฏบิ ตั ติ าม กลุ่มละ 5 นาที โดยเรยี งตามกลมุ่ รูปแบบการเคลอ่ื นท่ี ดงั น้ี - การเคล่ือนไหวอยูก่ ับที่ - การเคลอื่ นไหวแบบเคลื่อนท่ี - การเคลื่อนไหวที่ใชอ้ ุปกรณ์ 5. ข้ันสรุปและสขุ ปฏบิ ัติ (8 นำท)ี Cognitive – นกั เรยี นสามารถบอก - ครูใหน้ กั เรียนร่วมกนั สรปุ การ การเคลือ่ นไหวรปู แบบตา่ งๆ ในการ เคลอื่ นไหวรปู แบบตา่ งๆ ในการเลน่ กีฬา - ครใู ห้นกั เรียนแบง่ ออกเปน็ 6 กลุม่ เลน่ กฬี าได้อยา่ งถกู ต้อง เทา่ ๆ กัน พร้อมสัง่ การบ้านใหน้ กั เรยี นแตล่ ะ กลมุ่ ไปคดิ กจิ กรรมการออกกาลงั กายเพือ่ เสรมิ สร้างสมรรถภาพทางกายและสมรรถภาพ ทางกลไกพร้อมทั้งแจกรปู แบบใบงานใหก้ ลมุ่ ละ 1 แผน่ โดยกิจกรรมที่จดั จะตอ้ งมีการ พัฒนาสมรรถภาพทางกายเพือ่ สุขภาพครบทกุ ดา้ น และมสี มรรถภาพทางกลไกอยา่ งนอ้ ย 2 ด้าน - ครูเนน้ ยา้ สุขปฏบิ ตั แิ ละอนามัย หลงั จากการออกกาลังกายหรือการเล่นกีฬา ทุกครัง้ กำรวัดและประเมนิ ผล 1. ครูสงั เกตจากการตอบคาถามในขัน้ สรปุ ว่า นกั เรยี นมีความเขา้ ใจเร่ืองการเคลื่อนไหว รปู แบบตา่ งๆ 29 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ในการเล่นกีฬามากน้อยเพียงใด 2. ครูสงั เกตขั้นพัฒนาสมรรถภาพทางกายว่า นกั เรยี นสามารถแตะสลับ 20 ครัง้ ต่อเน่ืองได้ 3. ครูสงั เกตการณ์เคล่ือนไหวรูปแบบต่างๆ จากขั้นฝกึ หดั ทักษะ 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการเข้าเรยี น การแต่งกาย ความมีระเบยี บวินัยในชน้ั เรยี น และการมี สว่ นรว่ มในชั้นเรียน 5. ครูสังเกตความร่าเริงแจม่ ใสของนกั เรยี นในขณะเล่มเกม สอ่ื 1. ลกู ฟุตบอล 10 ลกู 3. กรวย 14 อนั 4. ตารางเกา้ ชอ่ ง 5 อนั 5. ใบงานกิจกรรม “การออกกาลังกายเพือ่ เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายและสมรรถภาพ ทางกลไก” 41 แผ่น (เทา่ จานวนนกั เรียน) บนั ทกึ หลังกำรสอน 1. ผลการสอน ................................................................................................................................ .................. ................................................................................................................................ ................................ 2.ปญั หา/อุปสรรค ............................................................................................................................. ..................... ................................................................................................................................................................ 3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข ............................................................................................................................. ..................... .......................................................................................................................................... ...................... ลงชอ่ื ................................................................ (..............................................) วัน ....... เดือน ............... ปี …… 30 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า สรุป หลักเบ้ืองต้นของการสอนพลศึกษา ประกอบด้วย จุดประสงค์ในการเรียนการสอนเพ่ือ เนน้ ใหน้ ักเรียนได้ฝกึ ปฏิบัตเิ พอ่ื เป็นการสรา้ งเสริมสุขภาพทายกาย โดยต้องสร้างให้นกั เรียนได้ มีเจตคติท่ีดีจากความสนุกสนานในการออกกาลังกาย หรือเล่นกีฬา นอกจากนี้ยังต้องส่งเสริม ความมีระเบียบวินัย คุณธรรม และน้าใจเป็นนักกีฬาแก่นักเรียนทุกคน ทุกครั้งที่มีการเรียน การสอนด้วย ส่วนเน้ือหาในการสอนควรจัดให้อยู่ในความสนใจ ความต้องการ และ ความสามารถของผ้เู รยี น ควรมีการเสริมแรงจงู ใจให้นักเรียนตง้ั ใจเรยี น กิจกรรมการเรียนการ สอนควรจัดให้มีความท้าทายเพื่อให้เหมาะสมกับนักเรียนที่ การใช้สื่อการสอนในที่เหมาะสม จะช่วยเป็นแรงจูงใจให้นกั เรียนสนใจมากข้ึน และควรมีการประเมนิ ผลอยูต่ ลอดเวลา และครบ ทุกด้าน หลงั จำกศกึ ษำเน้ือหำสำระเร่ืองท่ี 2.2 แลว้ โปรดปฏบิ ัติใบงำนที่ 2.2 31 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตอนที่ 3 การพัฒนาคณุ ลกั ษณะของผเู้ รยี นตามมาตรฐานการเรียนรู้สุขศกึ ษา และพลศกึ ษา เร่อื งท่ี 3.1การพฒั นาคณุ ลักษณะของผูเ้ รยี นตามมาตรฐานการเรยี นรู้ สุขศึกษา กำรพฒั นำคณุ ลกั ษณะของผูเ้ รยี นตำมมำตรฐำนกำรเรียนรูส้ ขุ ศกึ ษำ จุดประสงค์ในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้สุขศึ กษาเป็น แนวทางให้ครูจัดและดาเนินการสอนได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกบั จุดมุ่งหมายของหลักสูตร อีกทั้ง ยงั เป็นแนวทางให้ครูใชว้ ดั ผลการเรียนการสอนวา่ นกั เรียนได้เปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปจากเดิม คุณลักษณะของผู้เรียนทต่ี อ้ งพัฒนาการจัดการเรียนรู้สุขศึกษามี 3 ระดับ ดังนี้ 1. ความรดู้ า้ นสขุ ภาพ (Health Knowledge) หมายถึง การท่นี กั เรยี นมีความรคู้ วามเข้าใจ ในเน้ือหาวิชาสุขศึกษามากขึ้นกว่าเดิม เช่น หลังจากการสอนเรื่องโทษของบุหร่ีแล้ว นักเรียนมีความรู้ และสามารถอธิบายได้ว่า บุหร่ีมีสารพิษใดบ้าง และสารพิษแต่ละชนิดเป็นอันตรายอย่างไรต่อสุขภาพ เปน็ ตน้ 2. ทัศนคติทางด้านสุขภาพ (Health Attitude) หมายถึง การที่นักเรียนมีทัศนคติหรือ ปฏิกิริยาในด้านความรู้สึกนกึ คิดต่อเร่ืองสขุ ภาพดขี ้ึนกว่าเดิม เชน่ หลังจากสอนเรื่องโทษของบหุ รแี่ ล้ว นักเรียนขอรอ้ งใหผ้ ้ปู กครองเลิกสูบบุหรหี่ รือรังเกียจผ้สู บู บหุ ร่ี เป็นต้น 3. การปฏิบตั ิทางดา้ นสุขภาพ (Health Practice) หมายถงึ การท่ีนกั เรียนไดก้ ระทาหรอื มี ความสามารถในเชิงปฏิบัติในเรื่องสุขภาพอย่างถูกต้องเหมาะสมกว่าเดิม เช่น หลังจากการสอนเรื่อง โทษของบหุ ร่แี ลว้ นกั เรยี นไมส่ ูบบหุ รี่หรอื เลิกบุหรี่ เปน็ ตน้ การสอนให้นกั เรียนมีความรู้และมที ัศนคติที่ดจี ะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ด้านการปฏิบัติ ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในบทเรียนด้วยการฝึกปฏิบัติด้วยนั้น ย่อมมี ผลโดยตรงในการส่งเสริมการปฏบิ ัติ สรุป คุณลักษณะของผเู้ รียนท่ีต้องพัฒนาการจัดการเรียนร้สู ุขศึกษา คือ ให้นักเรียนมีสุขภาพ ที่ดีเกิดการพัฒนาทางด้านความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้นมีเจตคติท่ีดีในการ ดูแล สขุ ภาพ และการนาความรไู้ ปปฏบิ ัตจิ นเป็นสุขนสิ ัย หลังจำกศึกษำเนื้อหำสำระเรือ่ งท่ี 3.1 แลว้ โปรดปฏบิ ัติใบงำนท่ี 3.1 32 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า เรอื่ งท่ี 3.2 การพัฒนาคุณลักษณะของผูเ้ รยี นตามมาตรฐานการเรียนรู้ พลศกึ ษา จุดประสงค์การจัดการเรียนรู้พลศึกษามีจุดประสงค์ท่ีสาคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับ ประโยชน์จากการเรียนการสอนใน 1 คาบเรียนถึง 5 ปัจจัยสาคัญ ซึ่งเป็นหน้าท่ีของครูผู้สอนจะต้อง ทาให้นักเรียนเกิดพัฒนาการด้านต่างๆ ทั้ง 5 ด้านนี้คือ 1) ด้านทักษะ (Motor Skill) เม่ือเรียนพล ศึกษาแล้วนักเรียนต้องได้พัฒนาทักษะทางกลไก ให้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายจนเกิดทักษะจากการ ปฏบิ ัติซ้าบอ่ ยๆ 2) ดา้ นสมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness) เมอ่ื เรยี นพลศึกษาและนักเรยี นต้อง ได้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ จนเกิดความเหน่ือยซึ่งเป็นการสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายท่ีดี 3) ด้านเจต คติ (Affective) จากการฝึกปฏิบตั ิ จากความสนุกสนานของเกม การแขง่ ขัน ช่วยให้นักเรียนเกิดความ สนุกสนาน และประทับใจในการเรียน 4) ด้านความรู้ความเข้าใจ (Cognitive) คือเมื่อนักเรียนได้ เคล่ือนไหวร่างกาย ก็จะทาให้สมองได้เกดิ การพัฒนาตลอดเวลาดว้ ย และ 5) ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม (Moral) คอื กีฬาทุกชนดิ เป็นการสร้างสังคมจาลองที่ทาให้ผู้เล่นต้องร้จู ักการทางานเปน็ ทีม การเคารพ กฎ กติกา การฝึกปฏิบัติตามระเบียบวนิ ัยอย่างเคร่งครัด ทาให้นักเรียนได้รับการพัฒนาเป็นบุคคลท่ีมี ระเบียบวนิ ัยของสงั คมตอ่ ไป นอกจากนี้ครูผู้สอนสามารถสอดแทรกคุณลักษณะท่ีสาคัญของโรงเรียนในการจัดการเรียน การสอนวิชาพลศึกษาได้ เช่นการสอนวิชาพลศึกษาเพ่ือส่งเสริมความมีระเบียบวินัย การสอนวิชาพล ศึกษาเพ่ือส่งเสริมความมีน้าใจเป็นนักกีฬา ซึ่งครูผู้สอนสามารถหยิบคุณลักษณะท่ีสาคัญข้ึนมาเป็น ประเด็น และรณรงค์โดยการสอนแทรกในขั้นต่างๆ ของการสอนไม่ว่าจะเป็นข้ันเตรียม /อบอุ่น ร่างกาย และพัฒนาสมรรถภาพทางกาย ขั้นฝึกหัด ปฏิบัติ หรือขั้นนาไปใช้เล่นเพ่ือความสนุกสนาน โดยการกลา่ วยา้ และจดั เป็นเกม กิจกรรมสอดแทรกใหน้ กั เรียนได้ฝึกเป็นประจาสม่าเสมอ สรปุ คณุ ลักษณะของผ้เู รียนที่ต้องพัฒนาในวิชาพลศึกษาคือการสงเสริมให้นักเรยี นมีทัศนคติ ที่ดีต่อการออกกาลังกายและเล่นกีฬา จนสามารถนาไปใช้เล่นเป็นประจาสม่าเสมอ แม้จะจบ การศึกษา หรือสอบผา่ นไปแล้ว นกั เรียนก็ยังคงอยากจะออกกาลังกาย และเล่นกฬี าอยู่เสมอ หลงั จำกศึกษำเนื้อหำสำระเรือ่ งท่ี 3.2 แล้ว โปรดปฏิบตั ใิ บงำนที่ 3.2 33 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตอนท่ี 4 สอ่ื และแหล่งเรยี นรู้ เรอ่ื งท่ี 4.1ส่ือและแหลง่ เรยี นรสู้ ุขศึกษา สอ่ื และแหล่งเรียนรู้สุขศกึ ษำ สื่อการสอนเป็นเคร่ืองมือ หรือสื่อสาคัญประการหนึ่งที่จะช่วยให้การเรียนการสอนดาเนินไป ได้ด้วยดแี ละมีประสิทธภิ าพ ทงั้ น้เี พราะส่ือการสอนมีลักษณะพิเศษ ซ่งึ สามารถทาให้เกิดประสบการณ์ (Experience) ในการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful) กล่าวคือ ส่ือการสอนจะเป็นจุดรวม ความสนใจสามารถเพ่ิมความเป็นรปู ธรรมและความเป็นจริงตอ่ การเรยี นรู้ สามารถนาเร่ืองราวหรอื ส่ิง ต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกลเข้ามาในห้องเรียนได้ ส่ือการสอนจะเป็นเครื่องกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิด มองเห็นความสัมพันธ์ของเรื่องราวหรือสิ่งที่จะเรียนรู้ได้ถูกต้อง จดจาเร่ืองต่าง ๆ ได้นาน เกิดความ เข้าใจในส่ิงที่จะเรียนรู้ได้ง่าย และเข้าใจได้รวดเร็วถูกต้องโดยครูสุขศึกษาสามารถนาสื่อมาใช้ ประกอบการสอนได้ทุกข้ันตอนของการสอนตั้งแต่ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน ข้ันสอน และข้ันสรุป ซึ่งแต่ละ ขน้ั ตอนน้ันจะมีวิธีการใชท้ แี่ ตกต่างกนั ออกไปตามความเหมาะสมของขน้ั นัน้ ๆ กำรใช้สือ่ กำรสอน 1. ควรใช้อุปกรณ์การสอนไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ โดยการฝึกใชก้ อ่ นสอนจริง 2. ควรแสดงอุปกรณ์ให้เห็นได้ชัดทั่วห้อง เช่น การยกภาพให้ผู้เรียนดู ควรยกให้สูงในระดับ อกของผู้สอนและอยู่ข้างหน้า พยายามยืนชิดกระดานชอล์กให้มากที่สุด โดยเฉพาะห้องท่ีมีช่องว่าง เล็กนอ้ ย ระหวา่ งทีน่ ง่ั ของผู้เรยี นกบั กระดานชอล์ก เพ่ือชว่ ยให้ผ้เู รยี นทน่ี ั่งหน้าสุดสามารถมองเหน็ ได้ 3. ควรหาที่ตง้ั วาง แขวน อุปกรณ์ที่มขี นาดใหญ่ และมีนา้ หนักมาก เช่น แผนภูมิ แผนท่ี ฯลฯ ในมุมท่ีจะทาให้ผู้เรียนเห็นได้ชัดทั่วทั้งห้อง ไม่ควรยืนถือแล้วอธิบาย จะทาให้ผู้สอนไม่คล่องแคล่ว เท่าท่ีควร อีกท้ังระหว่างที่ผู้สอนอธิบายย่อมมีท่าทางเคล่ือนไหวไปมาทาให้ผู้เรียนเห็นอุปกรณ์นั้นไม่ ชัดเจน 4. ควรใช้ไม่ยาวและมีปลายแหลมชี้ แผนภูมิ แผนที่ กระดานชอล์ก แทนการใช้นิ้วมือ โดยที่ ผสู้ อนยืนชดิ ไปด้านใดดา้ นหนึ่ง เพอื่ ไมใ่ ห้บงั สายตาของผู้เรียนท่ีมีต่อสว่ นใดสว่ นหนง่ึ ของอุปกรณน์ น้ั 5. ควรนาอุปกรณ์มาวางเรียงกันไว้เป็นลาดับท่ีหน้าชั้นเรียนก่อนถึงเวลาสอน เพ่ือสะดวกใน การหยบิ ใช้ เช่น การใช้ภาพ ภาพใดใช้ก่อนควรเรียงไว้ขา้ งบน เป็นตน้ และควรจัดวางไว้ในลักษณะท่ี จะไม่หนั เหความสนใจของผู้เรียนเม่ือยังไม่ถึงเวลาใช้ เช่น คว่าหน้าภาพหรอื แผนภูมิท่ียังไม่ใช้ หรือนา หนุ่ จาลองใสถ่ ุงหรือกล่อง เป็นต้น 6. ควรเลือกใชป้ ระกอบการใช้อุปกรณใ์ หเ้ หมาะสม เชน่ ถ้าต้องการจะติดแผนภมู ิ ภาพแผนที่ ฯลฯ บนกระดานนิเทศ ควรใช้หมุดติด แต่ถ้าจาเป็นต้องติดบนกระดานชอล์ก ก็ไม่ควรใช้หมุด ควรใช้ ดินน้ามัน หรือเทปกาวแทน และควรตัดเทปกาวเป็นช้ินๆ โดยติดปลายข้างหน่ึงไว้กับแผนภูมิให้ครบ ทุกมุมเสียก่อน เมื่อจะใช้ก็สามารถติดกระดานได้เลย หรือตัดเทปกาวเป็นช้ินๆขนาดที่ต้องการ แล้ว ตดิ ไวท้ มี่ ว้ นเทปกาวเสียก่อน โดยไมต่ อ้ งเสียเวลาตดั เทปจากม้วนแล้วนามาติดแผนภูมิ 34 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 7. ในบางกรณีควรมีการเตรียมผู้เรียนในการใช้อุปกรณ์ เช่น ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนมีการ สังเกตในเรื่องใด ตอนใด ควรบอกให้ผู้เรียนทราบเสียก่อน ผู้เรียนจึงจะทาตามความประสงค์ของ ผู้สอนได้ เชน่ การสอนดว้ ยวธิ กี ารทดลองทตี่ อ้ งการใหม้ กี ารสังเกตผล 8. การใช้อุปกรณ์ให้คุ้มค่ากับที่ได้เตรียมมาและใช้อย่างทะนุถนอม กล่าวคือ พยายามใช้ให้ เป็นประโยชน์มากท่ีสุด เช่น เมอื่ ไดใ้ ชภ้ าพแสดงสว่ นต่างๆของอวัยวะภายในร่างกายคนแลว้ ครูอาจใช้ ภาพนั้นซ้าอีกครั้งหนึง่ ในข้นั สรปุ บทเรียนแต่ตอ้ งมีวธิ ใี ชท้ ีแ่ ตกต่างกนั ในขั้นการสอน ผสู้ อนควรใช้ภาพ แสดงส่วนตา่ งๆ 9. พยายามเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีกิจกรรมร่วม หรือได้ศึกษาจากอุปกรณ์น้ันๆ ด้วยตนเอง เชน่ การให้ผเู้ รยี นอธบิ ายภาพ อภปิ รายผลการทดลอง การเลอื กภาพจบั คู่กบั คา เปน็ ต้น 10. ควรฝึกให้ผู้เรียนเกิดระเบียบในการใช้อุปกรณ์ เช่น ในโอกาสที่ต้องการแจกอุปกรณ์ไป ตามโตะ๊ ผเู้ รียนเพ่ือทาการทดลอง ผู้สอนควรส่งอุปกรณ์ทัง้ หมดให้กับผเู้ รียนท่นี ง่ั หนา้ หยิบส่วนของตน ไว้แลว้ ส่งที่เหลอื ให้แก่คนต่อไป หรือในโอกาสทตี่ ้องการให้ผเู้ รียนมาใชอ้ ปุ กรณห์ น้าช้นั เรียน ควรฝึกให้ ผู้เรยี นหันหน้าเขา้ หาช้ันเรยี น และไมย่ ืนบังสายตาของเพ่ือนจากอุปกรณ์ต่างๆ ท่ใี ช้ 11. ควรคานึงความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์บางชนิด โดยเฉพาะในกรณีที่จาเป็นต้องให้ ผู้เรียนใชเ้ อง ก็ควรกาชับผเู้ รยี นให้ระมัดระวังในการใช้เป็นพเิ ศษ เช่น การใช้ของมีคม การใช้สง่ิ ของท่ี เกี่ยวกับไฟ เช่น การจุดไม้ขีด ควรมีฝาโลหะหรือจานแก้วรองรับก้านไม้ขดี ที่จุดแล้วมากกว่าจะวางทิ้ง ไว้บนโต๊ะ ซ่ึงอาจทาให้โต๊ะเป็นรอยไหม้ และอาจเกิดอุบัตเิ หตุขึ้นได้สื่อและแหล่งการเรยี นรทู้ ี่นิยมการ ใช้ในปัจจุบัน คือ ส่ือจากอินเตอร์เน็ตจากเวปไซด์ ของ Thaihealth.or.th | สานักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) (www.thaihealth.or.th/) บทความดีๆ เก่ียวกับสุขภาพ - ThaiGoodView.com (www.thaigoodview.com/) ก ร ม สุ ข ภ า พ จิ ต ( www.dmh.go.th/) หนงั สอื พมิ พ์ไทยรฐั (www.thairath.co.th/today) ยูโทป (www.youtube.com) สรปุ การใช้สื่อการสอนจะประสบผลตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนได้มากน้อย เพียงไรนั้น ย่อมขึ้นอยูก่ ับการเลือก การเตรียมและการใช้ส่ือการสอนของครูในแต่ละครง้ั เป็น สาคัญ ในปัจจุบันนี้สื่อการและแหล่งการเรียนที่เป็นแ หล่งค้นคว้าที่สาคัญ ได้แก่ Thaihealth.or.th | ส านั ก งาน ก อ งทุ น ส นั บ ส นุ น ก ารส ร้างเส ริม สุ ข ภ าพ (ส ส ส .) (www.thaihealth.or.th/) บ ท ค ว า ม ดี ๆ เก่ี ย ว กั บ สุ ข ภ า พ - ThaiGoodView.com (www.thaigoodview.com/) กรมสุขภาพจิต (www.dmh.go.th/) หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (www.thairath.co.th/today) ยทู ูป (www.youtube.com) หลังจำกศึกษำเนือ้ หำสำระเรอื่ งท่ี 4.1 แล้ว โปรดปฏบิ ตั ิใบงำนท่ี 4.1 35 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า เรอื่ งท่ี 4.2 สอ่ื และแหล่งเรยี นร้พู ลศึกษา สอ่ื และแหล่งเรียนรู้พลศึกษาเป็นเครอ่ื งมือที่สาคญั ท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไดร้ วดเร็ว ขึ้น เนื่องจากสมองของคนนับเป็นส่ิงท่ีมีความอัศจรรย์อย่างยิ่ง มนุษย์สามารถเรียนรู้จากภาพการ แสดงทักษะกีฬาท่ีซับซ้อน และเอาไปเลียนแบบได้ในทันที เช่น ท่าการยิงประตูฟุตบอลที่สวยงาม นักกีฬายิมนาสติกตีลังกาอย่างสวยงาม ดังนั้นการใช้รูปภาพการเคล่ือนไหวในทักษะกีฬาท่ีสวยงาม หรือภาพเคล่ือนไหว (คลิปภาพ) จะช่วยเร้าใจ และสร้างแรงจูงใจแก่ผูเ้ รียนเป็นอย่างมาก ซ่งึ ครูที่ดี ไม่ ควรมองขา้ มสอ่ื ในการเรียนการสอนเหลา่ น้ี กิจกรรมกีฬาหลายๆ ชนิดมีอุปกรณ์การเล่นที่มีราคาสูง ต้องการการเอาใจใส่ดูแลอย่างดี ดังนั้นจึงเป็นหน้าท่ีของครูผู้สอนจะต้องทาให้นักเรียนดูเป็นแบบอย่าง ในการดูแล เก็บรักษา บารุง ซ่อมแซมให้อยใู่ นสภาพทพ่ี ร้อมจะใช้ฝกึ ปฏิบัติกจิ กรรมตา่ งๆ และที่สาคัญตอ้ งนาจุดนี้มาเป็นเครือ่ งมือ ในการสอน ปลกู ฝงั ใหน้ ักเรียนรูจ้ กั การเก็บรกั ษาอปุ กรณ์การเรียนวิชาพลศกึ ษา แหลง่ เรียนของชุมชนเปน็ ส่ิงท่สี าคัญทค่ี รู ไมค่ วรพลาดโอกาสในการช้ีแนะให้นักเรียนไดไ้ ป ศึกษาเพิ่มเติม หรือไปมีส่วนร่วมในการออกกาลังกาย หรือเล่นกีฬาเพิ่มเติม เพ่ือให้การเรียนการสอน เป็นสว่ นหนึ่งของชมุ ชนดว้ ย สรปุ สื่อการสอนวิชาพลศึกษาอาจเป็นรูปภาพนักกีฬาง่ายๆ แต่เป็นแรงจูงใจท่ีสร้างนักกีฬา ระดับชาติ ระดับโลกมากมายหลายคนแล้ว ดังนั้นจึงเป็นหน้าท่ีของครูผู้สอนที่จะเลือกใช้สื่อ เหล่านี้เพื่อนักเรียน อุปกรณ์พลศึกษาปัจจุบันมีเป็นจานวนมากที่จัดทาให้มีสีสัน น่าสนใจ ช่วย กระตุน้ ความสนใจของนกั เรยี นได้เปน็ อย่างดี ดังนั้นครูเมื่อมโี อกาสจัดหามาไดก้ ็จาเป็นจะต้องมั่น ดแู ลรักษาเป็นอย่างดี และแหล่งเรียนรู้ด้านการออกกาลังกายและเล่นกีฬาของชุมชน ในปัจจุบัน มีอยมู่ ากมาย จึงเปน็ การเรียนรนู้ อกห้องเรียนอกี ทางหนึง่ ที่ครู ตอ้ งเลอื กใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชน์ หลงั จำกศึกษำเนื้อหำสำระเรอื่ งที่ 4.2 แลว้ โปรดปฏบิ ัตใิ บงำนท่ี 4.2 36 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตอนท่ี 5 การวัดและประเมินผล เร่ืองที่ 5.1 การวดั และประเมินผลสุขศกึ ษาตามสภาพจริง กำรประเมินกำรเรยี นรู้ตำมสภำพจริงในวชิ ำสขุ ศกึ ษำเปน็ กำรประเมินในเรื่องต่อไปนี้ 1. ความรู้ ความเข้าใจในสาระ 2. เจตคติ เช่น การพัฒนาเจตคติในการดูแลสุขภาพ การทางานได้สาเร็จตรงเวลา ความ รบั ผิดชอบ ความอดทนให้ได้งานท่มี คี ณุ ภาพ การทางานอยา่ งตอ่ เน่ือง 3.ทักษะและสมรรถนะ เชน่ ทักษะการนาเสนอ ทักษะการทางานเปน็ ทมี สขุ ปฏบิ ัติ สุขนิสัย วธิ กี ำรท่ใี ชใ้ นกำรประเมินตำมสภำพจรงิ ในวิชำสุขศึกษำ การประเมินตามสภาพจริงเป็นการกระทา การแสดงออกหลาย ๆ ด้าน ของนักเรียนตาม สภาพความเป็นจริงทงั้ ในและนอกห้องเรยี น มีวธิ กี ารประเมินโดยสงั เขปดังน้ี 1. การสังเกต เป็นวิธีการที่ดีมากวิธีหน่ึงในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมด้านการใช้ความคิด การ ปฏิบัติงาน และโดยเฉพาะดา้ นอารมณ์ ความรู้สกึ และลักษณะนิสยั สามารถทาได้ทุกเวลา ทุกสถานท่ี ทั้งในห้องเรยี น นอกห้องเรยี น หรอื ในสถานการณ์อน่ื นอกโรงเรียน วธิ ีการสังเกตทาได้โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ การสังเกตโดยต้ังใจหรือมีโครงการสร้างหมายถึงครู กาหนดพฤติกรรมท่ีต้องสังเกต ช่วงเวลาสังเกตและวิธีการสังเกต (เช่น สังเกตคนละ 3-5 นาทีเวียนไป เรื่อย ๆ )อีกวิธีหน่ึง คือ การสังเกตแบบไม่ตั้งใจ หรือไม่มีโครงสร้าง ซ่ึงหมายถึงไม่มีการกาหนด รายการสังเกตไว้ล่วงหน้า ครูอาจมีกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ติดตัวไว้ตลอดเวลาเพื่อบันทึกเมื่อพบ พฤติกรรมการแสดงออกที่มีความหมาย หรอื สะดุดความสนใจของครู การบันทึกอาจทาได้โดยยอ่ กอ่ น แล้วขยายความสมบูรณ์ภายหลังวิธีการสังเกตที่ดีควรใช้ท้ังสองวิธี เพราะการสังเกตโดยต้ังใจ อาจทา ให้ละเลยมองข้ามพฤติกรรมที่น่าสนใจแต่ไม่มีในรายการท่ีกาหนด ส่วนการสังเกตโดยไม่ต้ังใจอาจทา ให้ครูขาดความชัดเจนว่าพฤติกรรมใด การแสดงออกใด ที่ควรแก่การสนใจและบันทึกไว้ เป็นต้น ข้อ เตือนใจสาหรับการใช้วิธีสังเกต คือ ต้องสังเกตหลาย ๆ ครั้งในหลายๆ สถานการณ์ (การเรียน การ ทางานตามลาพัง การทางานกลุ่ม การเลน่ การเข้าสังคมกบั เพ่ือน การวางตัว ฯลฯ) เม่อื มเี วลาผ่านไป ระยะหน่งึ ๆ (2-3 สปั ดาห)์ จึงนาขอ้ มลู เหลา่ น้ีมาเพอื่ พิจารณาสักครั้งหนึง่ เครื่องมืออ่ืน ๆ ที่ใช้ประกอบการสังเกต ได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วน ประมาณคา่ แบบบนั ทกึ ระเบียนสะสม เป็นตน้ 2. การสัมภาษณ์ เป็นอีกวิธีหน่ึงที่ใช้เก็บข้อมูลพฤติกรรมด้านต่างได้ดี เช่น ความคิด (สติปัญญา) ความรู้สึก กระบวนการขั้นตอนในการทางาน วิธีแก้ปัญหา ฯลฯ อาจใช้ประกอบการ สงั เกตเพ่อื ให้ได้ขอ้ มลู ทม่ี ัน่ ใจมากย่ิงขึ้น 37 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ขอ้ แนะนาบางประการเก่ยี วกบั การสัมภาษณ์ (1) ก่อนสัมภาษณ์ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลังของนักเรียนก่อนเพ่ือทาให้การ สัมภาษณ์เจาะตรงประเดน็ และไดข้ ้อมลู ย่งิ ขึ้น (2) เตรียมชุดคาถามล่วงหนา้ และจัดลาดบั คาถามช่วยใหก้ ารตอบไม่วกวน (3) ขณะสัมภาษณ์ครูใช้วาจา ท่าทาง น้าเสียงที่อบอุ่นเป็นกันเอง ทาให้นักเรียนเกิด ความรู้สึกปลอดภัย และแนวโน้มใหน้ ักเรียนอยากพดู / เลา่ (4) ใช้คาภามที่นกั เรยี นเขา้ ใจง่าย (5) อาจใช้วธิ สี ัมภาษณ์ทางออ้ มคือ สัมภาษณ์จากบคุ คลที่ใกล้ชิดนกั เรียน เช่น เพ่อื น สนิท ผปู้ กครอง เปน็ ตน้ 3. การตรวจงาน เป็นการวัดและประเมินผลที่เน้นการนาผลการประเมินไปใช้ทันทีใน 2 ลักษณะ คือ เพื่อการช่วยเหลือนักเรียนและเพ่ือปรับปรุงการสอนของครู จึงเป็นการประเมินที่ควร ดาเนินการตลอดเวลา เช่น การตรวจแบบฝึกหัด ผลงานภาคปฏิบัติ โครงการ/โครงงานต่างๆ เป็นต้น งานเหล่าน้ีควรมีลักษณะท่ีครูสามารถประเมินพฤติกรรมระดับสูงของนักเรียนได้ เช่น แบบฝึกหัดท่ี เน้นการเขียนตอบ เรียบเรียง สร้างสรรค์ (ไม่ใช้แบบฝึกหัดที่เลียนแบบข้อสอบเลือกตอบซ่ึงมัก ประเมินได้เพียงความรู้ความจา) งาน โครงการ โครงงาน ท่ีเน้นความคิดข้ันสูงในการวางแผนจัดการ ดาเนินการและแก้ปัญหาส่ิงท่ีควรประเมินควบคู่ไปด้วยเสมอในการตรวจงาน (ทั้งงานเขียนตอบและ ปฏิบัติ) คอื ลกั ษณะนิสัยและคุณลักษณะท่ีดใี นการทางาน ข้อแนะนาบางประการเก่ยี วกับการตรวจงาน โดยปกติครูมักประเมินนักเรยี นทกุ คนจากงานท่ีครูกาหนดชิ้นเดียวกัน ครูควรมีความยืดหยุ่น การประเมนิ จากการตรวจงานมากขน้ึ ดงั นี้ (1) ไม่จาเป็นต้องนาช้ินงานทุกช้ินมาประเมิน อาจเลือกเฉพาะชิ้นงานที่นักเรียนทาได้ดีและ บอกความหมาย / ความสามารถของนักเรียนตามลักษณะท่ีครูต้องการประเมินได้ วิธีน้ีเป็นการเน้น “จุดแข็ง” ของนักเรียน นับเป็นการเสริมแรง สร้างแรงกระตุ้นให้นักเรียนพยายามผลิตงานที่ดี ๆ ออกมามากขนึ้ (2) จากแนวคิดตามข้อ 1 ชิ้นงานท่ีหยิบมาประเมินของแต่ละคน จึงไม่จาเป็นต้องเป็นเรื่อง เดียวกัน เช่น นักเรียนคนที่ 1 งานที่ (ทาได้ดี) ควรหยิบมาประเมินอาจเป็นงานช้ินท่ี 2, 3, 5 ส่วน นกั เรียนคนท่ี 2 งานที่ควรหยบิ มาประเมนิ อาจเป็นงานช้ินท่ี 1, 2 ,4 เปน็ ตน้ (3) อาจประเมนิ ชิ้นงานท่ีนกั เรียนทานอกเหนือจากท่ีครูกาหนดใหก้ ็ได้ แตต่ ้องม่ันใจว่าเป็นส่ิง ที่นักเรยี นทาเองจริง ๆ เช่น สิ่งประดิษฐ์ท่ีนักเรียนทาเองท่ีบ้าน และนามาใช้ท่ีโรงเรียนหรืองานเลือก ต่าง ๆ ท่ีนักเรียนทาขึ้นเองตามความสนใจ เป็นต้น การใช้ข้อมูล / หลักฐานผลงานอย่างกว้างขวาง จะทาให้ครูรู้จักนักเรียนมากข้ึน และประเมินความสามารถของนักเรียนตามสภาพท่ีแท้จริงของเขาได้ แม่นยายิ่งขน้ึ (4) ผลการประเมนิ ไม่ควรบอกเป็นคะแนนหรือระดับคุณภาพ ท่ีเป็นเฉพาะตัวเลขอย่างเดียว แต่ควรบอกความหมายของผลคะแนนนนั้ ด้วย 38 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 4. การรายงานตนเอง เป็นการให้นักเรียนเขียนบรรยายหรือตอบคาถามส้ัน ๆ หรือ ตอบ แบบสอบถามที่ครูสร้างขึ้น เพ่ือสะท้อนถึงการเรียนรู้ของนักเรียนท้ังความรู้ ความเข้าใจ วิธีคิด วิธี ทางานความพอใจในผลงาน ความตอ้ งการพฒั นาตนเองให้ดยี ิ่งขนึ้ 5. การใช้บันทึกจากผู้ท่ีเกี่ยวข้อง เป็นการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นท่ีเก่ียวข้องกับตัว นักเรียนผลงานนักเรยี น โดยเฉพาะความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของนักเรยี นจากแหล่งต่าง ๆ เชน่ จาก เพื่อนครู – โดยประชุมแลกเปล่ียนข้อมูลความคิดเห็นเก่ียวกับการเรียนรู้ของนักเรียน (ประเมินเดือน ละคร้งั ) จากเพ่ือนนักเรียน – โดยจัดชั่วโมงสนทนา วิพากษ์ผลงาน (นักเรียนต้องได้รับคาแนะนามา กอ่ นเกีย่ วกับหลักการ วิธีวจิ ารณ์เพื่อการสร้างสรรค)์ จากผู้ปกครอง – โดยจดหมาย / สารสัมพันธ์ที่ครู หรือโรงเรียนกับผู้ปกครองมีถึงกันโดย ตลอดเวลา โดยการประชุมผู้ปกครองท่โี รงเรยี นจัดขน้ึ หรือโดยการตอบแบบสอบถามสัน้ ๆ ตัวอย่างคาถามสาหรบั ผู้ปกครองเพอ่ื สะท้อนข้อมลู เก่ียวกบั ตัวนกั เรียน 6. การใช้ข้อสอบแบบเน้นการปฏิบัติจริง ในกรณีท่ีครูต้องการใช้แบบทดสอบ ขอเสนอแนะ ใหใ้ ช้แบบทดสอบภาคปฏิบตั ทิ เี่ น้นการปฏิบตั ิจริง ซ่ึงมลี ักษณะดงั ตอ่ ไปนี้ 6.1 ปัญหาต้องมีความหมายต่อผู้เรียน และมีความสาคัญเพียงพอท่ีจะแสดงถึงภูมิ ความรขู้ องนักเรียนในระดับชั้นนั้น ๆ 6.2 เปน็ ปญั หาที่เลียนแบบสภาพจรงิ ในชีวิตของนักเรยี น 6.3 แบบสอบตอ้ งครอบคลมุ ทั้งความสามารถและเนอ้ื หาตามหลกั สูตร 6.4 นักเรียนต้องใช้ความรู้ความสามารถ ความคิดหลาย ๆ ด้านมาผสมผสาน และ แสดงวธิ ีคดิ ไดเ้ ป็นขั้นตอนทชี่ ดั เจน 6.5 ควรมคี าตอบถกู ได้หลายคาตอบ และมีวธิ กี ารหาคาตอบไดห้ ลายวธิ ี 6.6 มเี กณฑ์การให้คะแนนตามความสมบูรณ์ของคาตอบอย่างชดั เจน 7. การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน แฟ้มสะสมงานหมายถึง ส่ิงท่ีใช้สะสมงานของนักเรียน อย่างมีจุดประสงค์ อาจเป็นแฟ้ม กล่อง แผ่นดิสก์ อัลบั้ม ฯลฯ ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายาม ความก้าวหน้า และผลสัมฤทธใ์ิ นเร่ืองน้ันๆ หรือหลาย ๆ เรอื่ ง การสะสมน้ันนักเรียนมีส่วนร่วมในการ เลือกเน้อื หา เกณฑ์การเลือก เกณฑก์ ารตัดสิน ความสามารถ / คณุ สมบตั ิ หลกั ฐานการสะทอ้ นตนเอง 39 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ตัวอยำ่ งกำรออกแบบวธิ ีกำรวัดและประเมินกำรเรียนรตู้ ำมสภำพจรงิ หน่วยกำรเรยี นรู้ อำหำรและ โภชนำกำร กลุ่มสำระสุขศกึ ษำและพลศกึ ษำ กำรวัด กำรประเมิน การตคี า่ เกณฑก์ ารตดั สิน รำยกำรประเมิน วธิ กี ารวัด เคร่ืองมือ 1. ควำมรู้ - การทดสอบ - แบบทดสอบ - คะแนนรายขอ้ - 60% 1.1 รู้หลักการเลือกซื้ออาหารและผลติ ภณั ฑ์ - การตรวจผลงาน ข้อเขียน แบบ 0 , 1 - มีคุณภาพ สุขภาพ - แบบประเมินผล - พฤตกิ รรม 4 ระดบั 2 1.2 การวเิ คราะห์อาหารท่ีควรบรโิ ภคตามธง - การสังเกต งานวิเคราะห์ ระดับ โภชนาการในแตล่ ะวยั ปริมาณอาหารท่ี - มคี ณุ ภาพระดบั - การตรวจผลงาน นกั เรียนบรโิ ภคใน - พฤติกรรม 4 3 2. ทศั นคติ 1 วนั ระดบั 2.1 นักเรียนเห็นคณุ คา่ ของการเลือกซือ้ อาหาร - แบบสงั เกต (อา่ น - มคี ณุ ภาพระดับ หรอื ผลิตภณั ฑส์ ุขภาพทเ่ี ปน็ ประโยชน์ตอ่ สขุ ภาพ ขอ้ มูลบนฉลาก , - พฤตกิ รรม 4 2 และเหมาะสมกบั วัยนกั เรียน พดู คุยหรอื ซกั ถาม ระดบั ผ้อู ่นื เก่ียวกบั คณุ คา่ 2.2 นกั เรียนรวบรวมผลงานการคน้ ควา้ การวิจัย ของอาหารที่ชอบ) ทางด้านอาหารและโภชนาการเพอ่ื เพิม่ พูนความรู้ - แบบประเมนิ ผล งาน 3. กำรปฏิบัติ - การสงั เกต - แบบการสังเกต - พฤตกิ รรม 4 - มคี ุณภาพระดบั 3.1 นกั เรยี นเลือกซ้ืออาหารหรือผลติ ภณั ฑ์ - การสมั ภาษณ์ - แบบสมั ภาษณ์ ระดบั 2 สขุ ภาพท่เี ป็นประโยชนต์ อ่ สุขภาพและเหมาะสม - การสอบถาม - แบบสอบถาม กับวัยนกั เรียน - การทดสอบ - แบบทดสอบ - คะแนนรายข้อ -60% แบบ 0 , 1 -60% 3.2 นกั เรยี นรบั ประทานผัก ผลไม้สดอยา่ งน้อย - การใชแ้ ฟม้ - แบบประเมินผล -มีพัฒนาการ -50% สปั ดาหล์ ะ 3 วนั สะสมงาน งาน เพม่ิ ขึน้ 25% - การสังเกต -แบบ การสงั เกต - พฤตกิ รรม 4 - มคี ุณภาพระดับ - การสมั ภาษณ์ - แบบสมั ภาษณ์ ระดบั 2 - การสอบถาม - แบบสอบถาม - การทดสอบ - แบบทดสอบ - คะแนนรายขอ้ -60% แบบ 0 , 1 40 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า กำรวัด กำรประเมนิ รำยกำรประเมนิ วธิ กี ารวัด เครือ่ งมือ การตคี า่ เกณฑก์ ารตัดสนิ - การใชแ้ ฟ้ม - แบบประเมินผล -มีพฒั นาการ -50% สะสมงาน งาน เพม่ิ ขน้ึ 25% กำรประเมนิ พฤตกิ รรมดำ้ นจิตพิสยั วิชำสขุ ศกึ ษำแบบ Rubric Score ระดบั คะแนน ระดบั กำรเกดิ พฤติกรรม รำยกำรประเมนิ ไมเ่ ห็นดว้ ย ไมแ่ นใ่ จ เหน็ ดว้ ย เห็นดว้ ยอย่ำงยง่ิ พฤติกรรมดำ้ นจิตพิสยั ไมแ่ น่ใจการรกั ษา การรกั ษาความสะอาด 1. การรักษาความสะอาด การรักษาความ ความสะอาดเปน็ บางครัง้ เหน็ วา่ เปน็ สง่ิ จาเป็น สะอาดไม่ใช่ สิ่งจาเปน็ การรกั ษาความ ส่งิ จาเปน็ สะอาดเป็น ช่ืนชอบการด่ืมนมทกุ สามารถด่มื ได้ สง่ิ จาเป็น ชนิด 2. ความสาคญั ของการดม่ื นม ไม่ชอบการดมื่ นม ชอบการดื่มนม บางชนดิ 3. การเลือกรบั ประทานอาหาร ไมเ่ หน็ ประโยชนข์ อง ไมแ่ นใ่ จวา่ การ การรบั ประทาตาม การรบั ประทานตาม 4. การจดั เก็บของใชส้ ว่ นตวั การรบั ประทาน รบั ประทานอาหาร หลักธงโภชนาการ หลักธงโภชนาการทาให้ อาหารตามหลักธง ตามหลกั ธง ทาใหร้ ่างกาย รา่ งกายแข็งแรง โภชนาการ โภชนาการทาให้ แข็งแรง รา่ งกายแขง็ แรง เห็นด้วยอย่างย่ิงกบั การ การจัดของใช้สว่ นตัว ไมแ่ น่ใจวา่ การจัด เหน็ ดว้ ยกับการจดั จดั ของใช้ส่วนตวั ให้เปน็ ใหเ้ ปน็ ระเบยี บเป็น ของใช้ส่วนตวั ใหเ้ ปน็ ของใชส้ ่วนตวั ให้ ระเบียบ สงิ่ ท่ไี ม่จาเป็น ระเบยี บเปน็ ส่ิงที่ เปน็ ระเบียบ จาเป็น 41 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า กำรประเมนิ พฤตกิ รรมดำ้ นทักษะพิสัยวิชำสุขศกึ ษำแบบ Rubric Score พฤติกรรมดำ้ นทักษะพสิ ยั ไมเ่ คย (0) บำงคร้งั (1) เคย ทกุ คร้งั (3) 1. การด่ืมนม สม่ำเสมอ (2) 2. การรับประทานอาหาร ด่ืมนมชา้ และดม่ื ไม่ ดมื่ นมช้าไม่คอ่ ยหมด สว่ นใหญ่ดมื่ นม ดมื่ นมหมดทุกคร้ังใน 3. การจัดเก็บของใช้สว่ นตัว หมด ขณะด่มื นมไม่ บางครัง้ ก็น่งั ดืม่ นม หมดแตด่ ่มื ช้ามา เวลาทกี่ าหนด นงั่ ดม่ื ใหเ้ รียบร้อย เรยี บรอ้ ย บางครง้ั ก็ มักเลยเวลา นั่งดมื่ เดนิ ลกุ ไปมาขณะดืม่ อย่างเรียบร้อย นม รับประทานอาหาร รับประทานอาหารได้ รับประทาน รบั ประทานอาหารได้ ไดน้ อ้ ย ไม่ พอสมควร ไม่ อาหารได้ หลากหลายตามหลักธง รับประทานผกั และ รบั ประทานผกั และ หลากหลาย เลือก โภชนาการ ผลไม้ ผลไม้ รับประทาน อาหารอยูบ่ ้าง จัดเก็บของใชส้ ่วนตวั จัดเกบ็ ของใช้สว่ นตวั จัดเกบ็ ของใช้ จัดเกบ็ ของใชส้ ่วนตัวได้ ไมส่ ะอาดและไมเ่ ป็น ไมส่ ะอาดและไมเ่ ป็น สว่ นตวั ไมส่ ะอาด สะอาดและมรี ะเบยี บ ระเบียบมากกว่า 4 ระเบียบ3-4 ครง้ั และไมเ่ ป็น เรียบรอ้ ยทกุ ครง้ั ครัง้ ระเบียบ 1-2 ครั้ง สรุป วิธีการประเมินตามสภาพจริงเป็นเครื่องมือได้มาซึ่งผลการเรียนรู้ท่ีแท้จริงของนักเรียน ครูควรใช้วิธีการเก็บข้อมูลหลายๆ วิธีผสมผสานกัน เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีหลากหลาย ครอบคลุม พฤติกรรมทุกด้านและมีจานวนมากเพียงพอที่จะประเมินผลที่เกิดขึ้นในตัวนักเรียนอย่างม่ันใจ หลักเกณฑ์ วธิ ีการใหค้ ะแนนตามแนวทางการประเมนิ ตามสภาพจริง หลงั จำกศึกษำเนือ้ หำสำระเร่ืองท่ี 5.1 แลว้ โปรดปฏบิ ัตใิ บงำนที่ 5.1 42 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า เร่ืองที่ 5.2 การวดั และประเมินผลพลศึกษา การวดั และประเมนิ ผลทางพลศกึ ษาคอื กระบวนการทีเ่ ปน็ ระบบในการตรวจสอบพฒั นาการ ท่ีเกดิ ขึ้นในตัวนักเรยี น หลังจากไดผ้ ่านกระบวนการ การเรียนการสอนตามตัวชว้ี ัด และสาระการ เรยี นร้ขู องโรงเรียนนัน้ ๆ ไปแลว้ การวดั เพอื่ ประเมนิ ผลทางพลศึกษามจี ดุ หมายเพื่ออะไร 1. กระตนุ้ ความสนใจ 2. ทราบความก้าวหนา้ ของผเู้ รยี น 3. ปรบั ปรงุ การเรียนการสอน 4. นาผลมาจาแนกกกลมุ่ 5. สรา้ งเป็นเกณฑ์มาตรฐาน 6. ใหค้ ะแนน หลักการและปรชั ญาในการวดั และประเมนิ ผลพลศกึ ษาประกอบด้วย การวัดและประเมินผลพลศึกษาเหมือนกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ คือวดั ตามจุดประสงค์การ เรียนรู้, สาระ, มาตรฐานการเรยี นรู้ โดยนกั เรียนจะตอ้ งมีพฒั นาการเกดิ ข้ึน 5 ดา้ นคอื 1. ด้านความรู้ ความเข้าใจ 2. ด้านเจตคติ 3. ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม 4. ดา้ นทักษะ 5. ดา้ นสมรรถภาพทางกาย (ร่างกาย) ซ่ึงสอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรขู้ อง Bloom (Bloom’s Taxonomy) กล่าวคอื 1. พทุ ธิพิสัย (Cognitive Domain) คือ ขอ้ 1 ดา้ นความรู้ ความเข้าใจ 2. จติ พิสัย (Affective Domain) คือ ข้อ 2 ด้านเจตคติ และขอ้ 3 ด้านคุณธรรม จริยธรรม 3. ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือ ข้อ 4 ด้านทักษะ และ ข้อ 5 สมรรถภาพทาง กาย (ร่างกาย) สมรรถภาพทางกาย คือ ความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนไหว ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมต่างๆ ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพเป็น ระยะเวลาพอสมควร (ได้งานมาก แต่เหน่ือยน้อย) รวมทั้งมีกาลังสารองเหลือไว้ใช้ในยามฉุกเฉินเพื่อ นันทนาการของตนเองได้ สมรรถภาพทางกลไก (Motor Fitness) หรือสมรรถภาพเชิงทักษะปฏิบัติ (Skill-Related Physical Fitness) คือ ความสามารถของร่างกายจะช่วยให้บุคคลสามารถประกอบกิจกรรมทางกาย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การเลน่ กีฬาไดด้ ี มีองค์ประกอบ 6 ด้าน ดงั น้ี 1. ความคล่องตัว (Ability) หมายถึง ความสามารถในการเปล่ียนทิศทางในการเคล่ือนท่ีได้ อย่างรวดเรว็ พรอ้ มท้ังสามารถควบคมุ การเคลื่อนไหวนน้ั ได้ 43 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า 2. การทรงตัว (Balance) หมายถึง ความสามารถในการรักษาสมดุลของร่างกายเอาไว้ได้ ท้ัง ในขณะอย่กู ับท่ีและเคลื่อนไหว 3. การประสานสัมพันธ์ (Coordination) หมายถึง ความสามารถในการเคล่ือนไหวอย่าง ราบร่ืน กลมกลืน และมปี ระสิทธภิ าพ ซึง่ เป็นการทางานที่ประสานสัมพันธ์กันระหวา่ งตา มือ และเท้า 4. พลังกล้ามเน้ือ (Power) หมายถึง ความสามารถของกล้ามเน้ือสว่ นใดสว่ นหนึ่งหรือหลายๆ ส่วนของร่างกาย ในการหดตัวเพื่อทางานด้วยความเร็วสูง แรงหรืองานท่ีได้เป็นผลรวมของความ แข็งแรงและความเร็วท่ีใช้ในช่วงระยะเวลาส้ันๆเช่น การยืนอยู่กับท่ี การกระโดดไกล การทุ่มลูกน้า หนัก 5. เวลาปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction Time) หมายถึง ระยะเวลาท่ีร่างกายใช้ในการ ตอบสนองต่อสงิ่ เร้าตา่ งๆเช่น แสง เสียง 6. ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถในการเคล่ือนที่จากท่ีหน่ึงไปยังอีกที่หน่ึงได้ อย่างรวดเร็ว (ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551) 1. วิธกี ารวดั ด้านทักษะกฬี า การวดั ความสามารถในการปฏบิ ตั ิทักษะ ตัวอยา่ ง 1.1 การส่งลูกบอลสองมอื ระดับอก 1.2 การเลยี้ งลกู 1.3 ยิงประตู แบบท่ี 1 การวดั ทกั ษะโดยใช้มาตรประเมนิ ค่า 4321 ตัวอย่าง ทักษะกฬี าวอลเลย่ บ์ อล 4321 การเซต 4321 1. ลกู ถูกต้ังลอยสงู กวา่ ตาขา่ ย 2. ความแม่นยาในการวางลูก 4321 3. มคี วามสมั พันธก์ ับการตบลกู ของผเู้ ล่นทจี่ ะตบ 4321 ความสามารถในการเล่นทมี 1. การควบคุมอารมณ์และจงั หวะการเลน่ 4321 2. ต่นื ตัวสามารถเลน่ ลูกยากและปลอดภยั 3. เล่นเป็นทีม(Team Work) ได้อยา่ ง กลมกลนื และมปี ระสิทธิภาพ 2.วธิ ีการวดั ความรู้ความเขา้ ใจจะวัดไดอ้ ย่างไร แบบท่ี 1 แบบปรนยั - ถูก – ผิด - จบั คู่ - คาถามแบบมตี วั เลอื ก 4 – 5 ตวั เลอื ก 44 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า แบบที่ 2 แบบอตั นัย - การเติมคาในชอ่ งว่าง และให้ตอบสนั้ ๆ - เขียนตอบ 3. วิธกี ารวัดด้านคณุ ธรรมและเจตคตทิ างพลศกึ ษา แบบที่ 1 แบบวัดพฤตกิ รรมในการเลน่ กฬี า ตวั อย่าง 1 2 3 4 5 (1.สถานการณ์__________________________) 1 2 3 4 5 (2.สถานการณ์__________________________) แบบท่ี 2 แบบสังเกตคณุ ลักษณะ คุณลักษณะ ไมเ่ คยเห็น นาน ๆ ครง้ั คอ่ นข้างน้อย บ่อย บ่อยมาก หมายเหตุ การเปน็ ผนู้ า 1. ...... 2. ...... ความรว่ มมือ 1. …… 2. …… ................ 1. ........ ข้ันตอนการประเมนิ เพื่อใหค้ ะแนนวิชาพลศึกษา ขอบข่ายทีจ่ ะนามาประเมินใสค่ ะแนน ได้แก่ องค์ประกอบทั้ง 5 ดา้ น 1. ด้านสมรรถภายทางกาย (ร่างกาย) 2. ดา้ นทกั ษะ 3. ด้านความรู้ ความเขา้ ใจ 4. ด้านคุณธรรมจริยธรรม 5. ดา้ นเจตคติ เกณฑ์การใหน้ ้าหนกั คะแนนของปัจจัยแต่ละด้าน คะแนนแต่ละด้านควรมีน้าหนักที่เท่าเทียม กนั เพราะ “การสอนพลศึกษาท่แี ท้จริง ตามหลักการ ปรชั ญาพลศึกษา คือการเรียนการสอนทช่ี ่วยให้ นักเรียนมีพัฒนาการเป็นคนท่ีสมบูรณ์ทุกๆ ด้านท้ัง 5 ด้านไปพร้อมๆกัน” ถ้าคะแนนเต็ม 100 คะแนน แตล่ ะด้านจะมสี ดั ส่วนคะแนนเท่ากัน คือ 20 คะแนน การประเมินผลท่ีได้จากการวัดผลทั้งในระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียนจะให้คะแนน สัดสว่ นเป็นเทา่ ใด การวดั ตามหลกั Formative และ Summative อาจจะกาหนดสัดส่วนดงั นี้ 45 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ระหวา่ งภาค ปลายภาค 80 : 20 70 : 30 60 : 40 50 : 50 ที่สาคัญคือ คะแนนระหว่างภาคและปลายภาคจะต้องประกอบด้วยการวัดท้ัง 5 ด้านจะ กาหนดสดั ส่วนเท่าใด ใหค้ รผู ู้สอนเป็นผู้พจิ ารณาจากระยะเวลาการเรียนการสอน เช่น ถ้าสอนเท่ากัน ระหว่างภาคกับปลายภาค สัดสว่ นกค็ วรจะเท่ากัน คือ 50 : 50 หลักในการประเมินผลเพ่ือใหค้ ะแนน 1. มคี วามตรง / มีความเทีย่ ง / มคี วามเปน็ ปรนัย 2. เป็นไปได้และสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์ 3.นา้ หนักแต่ละดา้ นมีความหมาย อธิบายได้ 4. คะแนนจะพิจารณาอิงกลุ่ม (Norm– Referenced Grading) หรืออิงเกณฑ์ (Criterion - Referenced Grading) ให้ดูพฒั นาการของผ้เู รียนเป็นหลกั สาคัญ 5. การวดั ควรประหยดั เวลาค่าใช้จา่ ย และเปน็ ไปได้ตามสภาพการณ์จรงิ ของโรงเรยี น การกาหนดวิธีการวดั ผลและประเมินผลใหส้ ามารถใช้ได้ในสภาพการณ์จริง เชน่ ขั้นท่ี 1 วัดและให้คะแนนด้วยคุณธรรมจริยธรรมและเจตคติ โดยการให้นักเรียนเลือก พฤติกรรมหรือข้อตกลงว่าจะมีพฤติกรรมอะไรบ้าง 10 – 15 ประการ แล้วสร้างแบบวัดพฤติกรรม ดังกล่าว อาจจะเปน็ แบบมาตรฐานประมาณคา่ แลว้ รวมคะแนนท้ังหมดเป็นร้อยละ 20 ขั้นท่ี 2 ทาบัตรรายช่ือนักเรียนเพ่ือบันทึกผลการสอบวัดสมรรถภาพทางกายและวัดทักษะ/ การปฏบิ ัติ ขั้นท่ี 3 การวัดผลด้านความรู้ เพื่อจะทราบว่านักเรียนได้ลงเล่นจริง มีส่วนร่วมในการเล่น กีฬาต่างๆ และกิจกรรมพลศึกษาทั้งหลายน้ันนักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจในหลักการที่จาเป็น และสาคัญงา่ ยๆ ขั้นท่ี 4 การทดสอบความถกู ตอ้ งของคะแนน ท่ีนักเรียนเปน็ ผู้วิจยั ทดสอและชว่ ยบันทึก ดว้ ยวธิ กี ารเหล่านี้ก็จะทาให้ครผู สู้ อนสามารถทาการวัดและประเมินผลการเรยี นวชิ าพลศึกษา ใหน้ กั เรยี นอย่างเหมาะสม ยุตธิ รรมได้ 46 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า สรุป การวัดและประเมินผลพลศึกษาเป็นกระบวนการตรวจสอบพัฒนาการท่ีเกิดขึ้นในตัว ผู้เรียนซึ่งจะต้องมีพฒั นาการเกดิ ข้ึนใน 5 ดา้ นคือ ด้านความร้คู วามเขา้ ใจ ด้านเจตคติ ดา้ นทกั ษะ ดา้ นสมรรถภาพทางกาย และดา้ นคุณธรรม จริยธรรม เพอื่ เป็นการกระต้นุ ความสนใจของผู้เรยี น ครูใช้ปรับปรุงการเรียนการสอน บอกถึงพัฒนาการของนักเรียน และใช้ในการให้คะแนนและ ตดั สนิ ผลการเรียนของนกั เรียน หลังจำกศึกษำเนื้อหำสำระเรื่องท่ี 5.2 แล้ว โปรดปฏบิ ตั ใิ บงำนท่ี 5.2 47 | ห น้ า
T E P E - 5 5 1 1 7 สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ พ ล ศึ ก ษ า ใบงำนที่ 1.1 ช่อื หลักสูตร สขุ ศึกษำและพลศกึ ษำ เรอ่ื งที่ 1.1 กำรวเิ ครำะห์หลักสตู รและสำระกำรเรียนรู้สุขศกึ ษำและพลศกึ ษำ คำส่งั ใหจ้ ัดทำตำรำงวเิ ครำะห์หลกั สูตรและสำระกำรเรยี นรู้สขุ ศกึ ษำและพลศึกษำ คาแนะนา ศึกษาตัวอย่างตารางวิเคราะหฯ์ 48 | ห น้ า
Search