Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กระบวนการงานยุติธรรมและสังคม

กระบวนการงานยุติธรรมและสังคม

Published by pannathorn1970, 2021-04-14 13:09:24

Description: เอกสารประกอบการบรรยาย วิชา กระบวนการงานยุติธรรมและสังคม *นักศึกษาปริญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยา การบริหารงานยุติธรรมและสังคม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

Keywords: กระบวนการงานยุติธรรม

Search

Read the Text Version

วชิ า กระบวนการงานยตุ ธิ รรมและสงั คม กระบวนการงานยุตธิ รรมและสงั คม (Justice Process and Society) ผูร้ ว่ มบรรยาย อาจารย ์ ดร. ปัณณธร หอมบุญมา ผ.ศ.ดร.ธาตรี มหนั ตรตั น์

เนือ้ หาคาบรรยาย ชดุ ที่ 1 1.สรุป ทบทวนเนือ้ หา ทฤษฎที างอาชญาวทิ ยา อาชญาวทิ ยา (Criminology) Sutherland and Cressey อธบิ าย *เป็ นวชิ าทมี่ ลี กั ษณะเฉพาะทศี่ กึ ษาอธบิ ายปรากฏการทางสงั คมสว่ นทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั อาชญากรรม การ กระทาความผดิ ของเด็กและเยาวชน รวมถงึ พฤตกิ รรมรปู แบบตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม อาชญาวทิ ยา จะชว่ ยตอบคาถามทวี่ า่ 1.อะไรเป็ นสาเหตใุ หเ้ กดิ การกระทาผดิ 2.ลกั ษณะ รปู แบบ วธิ กี ารประกอบอาชญากรรมจาแนกไดอ้ ย่างไรบา้ ง 3.วธิ กี ารป้ องกนั บาบดั แกไ้ ข กลไกของสงั คมรปู แบบใดบา้ ง ทสี่ ามารถยบั ยงั้ ป้ องกนั ไดบ้ า้ ง 4.อธบิ ายเกยี่ วกบั อาชญากรรม อาชญากร และพฤตกิ รรมการกระทาผดิ ได ้

ลกั ษณะของวชิ าอาชญาวทิ ยา ลกั ษณะสาคญั ของวชิ า อาชญาวทิ ยา 1.มลี กั ษณะเป็ นสหวทิ ยาการ (Interdisciplinary science) ◦ เป็ นทรี่ วมศาสตรต์ า่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั เพอื่ นามาศกึ ษาวเิ คราะห ์ อธบิ ายอาชญากรรม การกระทาผดิ พฤตกิ รรมเบยี่ งเบนทเี่ กดิ ขนึ้ เชน่ สงั คมวทิ ยา จติ วทิ ยา ชวี วทิ ยา พฤตกิ รรมศาสตร ์ มานุษยวทิ ยา รฐั ศาสตร ์ เศรษฐศาสตร ์ นิตศิ าสตร ์ ปรชั ญา ประวตั ศิ าสตร ์ 2. เป็ นวชิ าทใี่ ชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการศกึ ษา (Scientific method of study) ◦ นาหลกั วทิ ยาศาสตรแ์ ละวธิ กี ารใชเ้ ชงิ ประจกั ษ ์ (empirical study) คอื การศกึ ษาในเชงิ พฤตกิ รรมศาสตร ์ (behavioral scientist) 3. ขอบเขตของอาชญาวทิ ยามขี อบเขตทกี่ วา้ ง ◦ โดยไม่มที ฤษฎขี องตวั เองตอ้ งอาศยั ทฤษฎขี องศาสตรต์ า่ ง ๆ มาอธบิ ายปัญหาอาชญากรรม ◦ เชน่ ทฤษฎที างสงั คมวทิ ยา ทฤษฎที างจติ วยิ า ทฤษฎที างพฤตกิ รรมศาสตร ์ นิตศิ าสตร ์ รฐั ศาสตร ์ เศรษฐศาสตร ์

อาชญาวทิ ยาทเี่ กยี่ วกบั ศาสตรต์ า่ ง ๆ อาชญาวทิ ยามคี วามสมั พนั ธก์ บั ศาสตรต์ า่ ง ๆ ดงั นี้ 1.อาชญาวทิ ยา กบั ชวี วทิ ยา (Criminal biology) ◦ อธบิ าย ลกั ษณะของการกระทาผดิ โดยใช ้ หลกั ชวี วทิ ยา สารเคมใี นรา่ งกาย รปู รา่ ง ลกั ษณะกะโหลกศรี ษะ พนั ธกุ รรม มาอธบิ าย ลกั ษณะอาชญากร เชน่ การเป็ นอาชญากรโดยกาเนิด (Born Criminal) ความผดิ ปกตขิ องนักโทษ 2.อาชญาวทิ ยา กบั จติ วทิ ยา (Criminal Psychology) ◦ นาหลกั การดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎจี ติ วเิ คราะห ์ อธบิ ายลกั ษณะการกระทาผดิ เกดิ จากความผดิ ปกตทิ างจติ เชน่ ฆาตกร ตอ่ เนื่อง การกอ่ อาชญากรรมทโี่ หดรา้ ย โหดเหยี้ ม 3.อาชญาวทิ ยา กบั สงั คมวทิ ยา (Criminal sociology) ◦ ม่งุ ศกึ ษา การเกดิ อาชญากรรมในแง่สงั คมวทิ ยา โครงสรา้ งของสงั คม ความขดั แยง้ ทางสงั คม เชน่ ทฤษฎคี วามขดั แยง้ ทฤษฏกี ารตราหนา้ 4. อาชญาวทิ ยา กบั กฎหมาย (Legal criminology) ◦ เป็ นการศกึ ษาแยกแยะ ระหวา่ ง “อาชญากรรม” คอื พฤตกิ รรมการกระทาผดิ “อาชญากร” “กฎหมาย” “อานาจรฐั ”

สรุปขอบเขตการศกึ ษา ขอบเขตของการศกึ ษา  เป็ นศาสตรท์ เี่ กยี่ วขอ้ งกบั ศาสตรต์ า่ งๆ หลายสาขา จงึ เป็ นการศกึ ษาแบบ สหวชิ า (Multidisciplinary) Herman Mannheim “อาชญาวทิ ยา คอื การศกึ ษาถงึ 1. ปัญหาอาชญากรรมและลกั ษณะของอาชญากรรม ซงึ่ เป็ นงานของ นักกฎหมาย นักสงั คมวทิ ยา จติ แพทย ์ นักจติ วทิ ยา ผูพ้ พิ ากษา พนักงานคมุ ประพฤติ 2. การควบคมุ และแกไ้ ขผูก้ ระทาผดิ เป็ นงานของนักทณั ฑวทิ ยา นักสงั คมสงเคราะห ์ นักสงั คมวทิ ยา จติ แพทย ์ นักจติ วทิ ยา ผูพ้ พิ ากษา พนักงานคมุ ประพฤติ 3. การสบื สวนอาชญากรรม เป็ นงานของตารวจ แพทย ์ นักเคมี นักวทิ ยาศาสตร ์

สรุปการศกึ ษาอาชญาวทิ ยา สรุป เขา้ ใจง่าย ๆ อาชญาวทิ ยา คอื การศกึ ษาอาชญากรรมทเี่ กดิ ขนึ้ ในทตี่ า่ ง ๆ ของสงั คม เพอื่ ศกึ ษา คน้ ควา้ ถงึ 1. สาเหตุแหง่ อาชญากรรม 2. ลกั ษณะและประเภทของอาชญากรรม และ 3. วธิ ปี ้ องกนั แกไ้ ข วธิ บี าบดั รวมทง้ั กระบวนการยุตธิ รรม ทใี่ ชก้ บั อาชญากรรมเพอื่ ใหท้ ุกคนใน สงั คมอยู่รว่ มกนั อย่างสงบสุข น่นั เอง

สานกั ความคดิ ทางอาชญาวทิ ยา การกอ่ ตวั ของสานกั ความคดิ ชาวอติ าลี นบั วา่ เป็ นชนชาตแิ รกทีร่ เิ รมิ่ ใหค้ วามสนใจเกยี่ วกบั แนวความคดิ ทางอาชญาวทิ ยา จงึ เกดิ เป็ น “กลุ่มแนวความคดิ ” (School of thought) ดงั นี้ 1. สานกั อาชญาวทิ ยาดงั้ เดมิ 2. สานกั อาชญาวทิ ยากงึ่ ดง้ั เดมิ 3. สานกั อาชญาวทิ ยาปฏฐิ านนิยม 4. สานกั อาชญาวทิ ยาสงั คมสมยั ใหม่

1.สานกั อาชญาวทิ ยาดง้ั เดมิ สานกั อาชญาวทิ ยาดง้ั เดมิ (Classical School ) ซซี าร ์เบ็คคาเรยี (Cesare Beccaria) และ เจอรามี เบ็นแธม (Jeremy Bentham) ไดร้ บั การขนานนามวา่ เป็ นบดิ า ของการศกึ ษาอาชญาวทิ ยา หนงั สอื “The Essay on Crime and Punishment” หรอื “เรยี งความเกยี่ วกบั อาชญากรรมและการ ลงโทษ” มนุษยก์ ระทาผดิ เพราะ Freewill เจตจานงอสิ ระ กระตนุ้ ใหค้ นกระทาผดิ /งดเวน้ กระทา ถอื เป็ นจุดเรมิ่ ตน้ เป็ นรากฐาน ทที่ าใหเ้ กดิ การศกึ ษาอาชญาวทิ ยา ทณั ฑวทิ ยา และกระบวนการ ยุตธิ รรม ตอ่ มา

เจเรมี่ เบนธนั (Jeremy Bentham) Bentham ผูส้ านตอ่ แนวความคดิ ของ แบคคาเรยี อาชญากรรม (Crime) เป็ นการกระทาทถี่ อื วา่ เป็ นความผดิ ทางอาญา 1.กฎหมายและการลงโทษ (Law and Punishment) กฎหมายมไี วเ้ พอื่ สนบั สนุนความสุขของบุคคลในสงั คม การลงโทษมวี ตั ถุประสงคเ์ พอื่ ป้ องกนั มใิ หค้ นกระทาผดิ เสนอใหม้ กี ารปรบั ปรุงเรอื นจาทจี่ าเป็ นสาหรบั นกั โทษ 2.ลทั ธปิ ระโยชนน์ ิยม (Utilitarian) พฤตกิ รรมของมนุษยถ์ กู ควบคมุ โดยหลกั ธรรมชาติ 2 ประการคอื •ความพอใจ (Pleasure) •ความทกุ ขท์ รมาน (Pain) •กอ่ นทจี่ ะมพี ฤตกิ รรมใด ๆ มนุษยจ์ ะเปรยี บเทยี บสองสงิ่ นี้

ขอ้ เสนอในการแกป้ ัญหา ขอ้ เสนอของสานกั อาชญาวทิ ยาดง้ั เดมิ 1. ควรมกี ารบญั ญตั กิ ฎหมายใหเ้ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษร ◦ เพอื่ ใหเ้ ป็ นมาตรฐานเดยี วกนั สาหรบั บคุ คลทุกคน ทง้ั นี้ ควรสอดคลอ้ งกบั หลกั ประโยชนน์ ิยมทมี่ องประโยชนส์ งู สุด สาหรบั ประชาชน 2. ควรยกเลกิ การพจิ ารณาพพิ ากษาคดที ที่ ารุณ ทรมาน บบี บงั คบั ◦ เปิ ดโอกาสใหจ้ าเลยไดต้ อ่ สคู้ ดอี ย่างแทจ้ รงิ ควรส่งเสรมิ มนุษยธรรมในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดที มี่ คี วามรวดเรว็ แน่นอนและเหมาะสม 3. ควรลงโทษทรี่ ุนแรง ◦ เพอื่ ทจี่ ะทาใหผ้ ูท้ กี่ ระทาความผดิ เกดิ ความหลาบจาไม่กลา้ ทจี่ ะกระทาผดิ อกี รวมถงึ ทาใหป้ ระชาชนทพี่ บเห็นเกดิ ความ เกรงกลวั ไม่กลา้ ละเมดิ ตอ่ กฎหมาย ทง้ั นี้ ควรพจิ ารณาความสญู เสยี ตอ่ สงั คมเป็ นหลกั เพราะพฤตกิ รรมอาชญากรรม เป็ นภยั ตอ่ สงั คมโดยส่วนรวม

สานกั อาชญาวทิ ยากงึ่ ดง้ั เดมิ สานกั อาชญาวทิ ยากงึ่ ดง้ั เดมิ (Neo-Classical School) สานกั อาชญาวทิ ยากงึ่ ดง้ั เดมิ เสนอวา่ กฎหมายควรมกี ารผ่อนปรน หรอื ปราณีในการลงโทษบคุ คล บางประเภท เชน่ เด็ก, คนชรา, คนวกิ ลจรติ , คนปัญญาออ่ น เป็ นตน้ หรอื เสนอวา่ ควรมกี ารยอมรบั คาใหก้ ารของผูเ้ ชยี่ วชาญหรอื ผูช้ านาญการทเี่ กยี่ วขอ้ งแกค่ ดี เพอื่ ประกอบการพจิ ารณา คดี เชน่ แพทย ์ , จติ แพทย ์ , จติ เวช , นิตเิ วช เป็ นตน้ เอาสาเหตปุ ัจจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง กบั การประกอบอาชญากรรมและเหตอุ นั ควรปรานี มาประกอบการพจิ ารณา พพิ ากษาคดี เพอื่ นามาลดหย่อนโทษ เชน่ สถานการณ์ , ประวตั ิ , ระดบั ความผดิ เป็ นตน้

ขอ้ เสนอ ขอ้ เสนอของสานกั กงึ่ ดงั เดมิ 1.เสนอวา่ กฎหมายควรมกี ารผ่อนปรน ปราณี ในการลงโทษบุคคล บางประเภท เชน่ เดก็ , คนชรา ,คนวกิ ลจรติ ,คนปัญญาออ่ น เป็ นตน้ 2.เสนอวา่ ควรมกี ารยอมรบั คาใหก้ ารหรอื ขอ้ เสนอแนะของผูเ้ ชยี่ วชาญ(Expert) หรอื ผูช้ านาญ การทเี่ กยี่ วขอ้ งแกค่ ดเี พอื่ ประกอบ การพจิ ารณาคดี เชน่ แพทย ์ ,จติ แพทย ์ ,จติ เวช นิตเิ วช เป็ น ตน้

3. สานกั อาชญาวทิ ยาปฏฐิ านนิยม สานกั อาชญาวทิ ยาปฏฐิ านนิยม (Positive School) ซซี าร ์ลอมโบรโซ (Cesare Lombroso) เป็ นบดิ าแหง่ อาชญาวทิ ยาสมยั ใหม่ ปลาย ค.ศ. 19- ตน้ ค.ศ. 20 ◦ โดยนาทฤษฎที างวทิ ยาศาสตรม์ าปรบั ใชก้ บั สงั คม โดยเชอื่ วา่ “ทกุ ปรากฏการณจ์ ะเกดิ จากสาเหตุ เมอื่ ทราบถงึ สาเหตุ อาชญากรรมแลว้ การแกไ้ ขย่อมสามารถดาเนินการไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ไม่ใชโ่ ดยการออกกฎหมายหรอื การลงโทษ แตโ่ ดยการหาทางป้ องกนั ทตี่ น้ เหตอุ าชญากรรม” (Lombroso) ไดแ้ บง่ อาชญากรออกเป็ น 4 ประเภท คอื 1. อาชญากรโดยกาเนิด (Born criminals) 2. อาชญากรวกิ ลจรติ (Insane criminals) 3. อาชญากรตามโอกาส (Occasional criminals) 4. อาชญากรโดยอารมณ์ (Criminals by passion)

3.1 อาชญากรโดยกาเนิด อาชญากรโดยกาเนิด (Born criminals) ถอื เป็ นจานวน 1 ใน 3 ของอาชญากรทง้ั หมด มพี นั ธุกรรมทบี่ กพรอ่ งมาตง้ั แตเ่ กดิ คอื ผูท้ ไี่ ดร้ บั พนั ธุกรรมลกั พฒั นาการของอาชญากร ประเภทนีจ้ ะตา่ กวา่ มนุษยป์ กติ ทาใหแ้ ตกตา่ งและมคี ณุ ภาพดอ้ ยกวา่ ประชากรทว่ั ไป ◦ เชน่ มพี ฤตกิ รรมโหดรา้ ยคลา้ ยสตั วป์ ่ า ชอบเบยี ดเบยี นรงั แก แย่งชงิ สงั หารชวี ติ บคุ คลอนื่ เพอื่ ความอยู่รอดของตน ◦ ไม่อาจปรบั ปรงุ ตนเองใหเ้ ขา้ กบั รปู แบบการดาเนินชวี ติ ในสงั คมทเี่ จรญิ แลว้ ได ้

อาชญากรวกิ ลจรติ (Insane criminals) อาชญากรวกิ ลจรติ (Insane criminals) หมายถงึ ผูท้ มี่ คี วามผดิ ปกตหิ รอื บกพรอ่ งทางจติ หรอื ประสาท เชน่ ปัญญาออ่ น ปัญญาทบึ วกิ ลจรติ เศรา้ ซมึ และผูท้ มี่ อี าการ สบื เนื่องมาจากอมั พาต โรคพษิ สุราเรอื้ รงั เป็ นตน้ โดยอาชญากรวกิ ลจรติ เป็ นผูท้ มี่ คี วามบกพรอ่ ง ทางจติ หรอื ประสาท ซงึ่ ทาใหไ้ ม่สามารถควบคุมตนเองไดเ้ หมอื นบุคคลปกติ

อาชญากรตามโอกาส อาชญากรตามโอกาส (Occasional criminals) หมายถงึ ผูท้ ไี่ มไ่ ดม้ คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกายและไม่ไดม้ คี วามบกพรอ่ งทางจติ ใจอย่างเดน่ ชดั บุคคลประเภทนีจ้ ะประกอบอาชญากรรมและมพี ฤตกิ รรมเลวรา้ ย เมอื่ อยู่ภายใตเ้ งื่อนไข บาง ประการทเี่ ป็ นปัจจยั สนบั สนุนเกอื้ กูลการกระทาความผดิ หรอื เป็ นชอ่ งทางในการประกอบ อาชญากรรม เชน่ ผูเ้ สยี หายลมื กระเป๋ าเงินไวเ้ ป็ นโตะ๊ อาหาร หรอื ผูเ้ สยี หายลมื กุญแจรถไวท้ รี่ ถ เป็ นตน้ ลอมโบโซ เชอื่ วา่ อาชญากรตามโอกาส มจี านวนประมาณกวา่ ครงึ่ หนึ่งของอาชญากรทงั้ หมด

อาชญากรโดยอารมณ์ อาชญากรโดยอารมณ์ (Criminals by passion) หมายถงึ อาชญากรทกี่ ระทาความผดิ เพราะความกดดนั ทางอารมณ์ เชน่ อาชญากรทปี่ ระกอบอาชญากรรม โดยมตี น้ เหตมุ าจากความรกั ความหงึ หวง สามฆี ่าชายชูห้ รอื ฆ่าภรรยาของตนเอง หรอื เกยี่ วกบั เรอื่ งทางเพศ เป็ นตน้

ขอ้ เสนอ ขอ้ เสนอ ลอมโบรโซ จงึ ไดเ้ สนอแนวความคดิ วา่ 1.การลงโทษบุคคลผูก้ ระทาความผดิ นน้ั กฎหมายไม่ควรกาหนดใหล้ งโทษบุคคลดว้ ยวธิ กี ารเดยี วกนั ทงั้ หมด แตค่ วรพจิ ารณาลงโทษ ใหเ้ หมาะสมยุตธิ รรมตามลกั ษณะแกผ่ ูก้ ระทาผดิ เป็ นรายบุคคล 2.การดาเนินการของเรอื นจาและทณั ฑสถานควรปรบั ปรุงใหเ้ หมาะสมกบั ผูต้ อ้ งขงั เป็ นรายบุคคล ปเชะปน่ นผกูต้ บั อ้ นงกั ขโงทั ทษมี่ อลี นื่ กั ๆษณะเป็ นอาชญากรโดยกาเนิด หรอื พวกวกิ ลจรติ ควรแยกขงั ตา่ งหาก ไม่ควร 3. ใชว้ ธิ กี ารคมุ ประพฤติ สาหรบั ผูก้ ระทาผดิ เล็กน้อยหรอื กระทาความผดิ ครงั้ แรกดว้ ยความประมาท (แทนทจี่ ะเอาไปจาคกุ ) 4. แยกผูก้ ระทาผดิ ครง้ั แรกออกจากผูก้ ระทาผดิ ซา้ ซาก หรอื ผูก้ ระทาความผดิ ทแี่ กไ้ ขปรบั ตวั ไม่ได้ แลว้ 5. ควรจดั ใหม้ ที ณั ฑสถานพเิ ศษทมี่ กี ารฝึ กหดั การเกษตรกรรม แกน่ กั โทษ เพอื่ เป็ นการผอ่ นคลาย ความเครยี ดของนกั โทษ และยงั ไดป้ ระโยชน์ คอื เป็ นการออกกาลงั กายกลางแจง้ ของนกั โทษอกี ดว้ ย 6. ใชโ้ ทษประหารชวี ติ หรอื จาคกุ ตลอดชวี ติ ในกรณีทไี่ ม่สามารถแกไ้ ขบุคคลทกี่ ระทาผดิ ผูน้ นั้ ได้ จรงิ ๆ

4. สานกั อาชญาวทิ ยาสงั คมสมยั ใหม่ สานกั อาชญาวทิ ยาสงั คมสมยั ใหม่ (Sociological) มแี นวความคดิ วา่ สาเหตแุ หง่ การกระทาความผดิ นน้ั อาจเกดิ จาก สาเหตใุ นทางรา่ งกาย และจติ ใจของผูก้ ระทาผดิ สงิ่ แวดลอ้ มในทางสงั คมดว้ ย ดงั น้ัน การทจี่ ะคน้ ควา้ หาสาเหตุ (causes) แหง่ การกระทาความผดิ จงึ ตอ้ งศกึ ษาถงึ บคุ ลกิ ภาพ (Personality) และ สงิ่ แวดลอ้ ม (Environment) ในทางสงั คมรอบๆ ตวั ผูก้ ระทาผดิ เสนอให้ มกี ารใชม้ าตรการอนื่ แทนการใชเ้ รอื นจา เพอื่ แกไ้ ขใหผ้ ูก้ ระทาผดิ แทนการลงโทษ รวมทง้ั การปฏบิ ตั ติ อ่ ผูก้ ระทาผดิ เป็ นรายบุคคล ไดแ้ ก่ การคมุ ประพฤติ , การพกั การลงโทษ , การรอการลงโทษ , การชะลอการฟ้ อง , การทางานสาธารณะแทนการจา คกุ , ชมุ ชนบาบดั เป็ นตน้ มาตรการนีเ้ ป็ นทยี่ อมรบั กนั ทว่ั ไป ในประเทศ องั กฤษ ,อเมรกิ า ,เยอรมนั , กลมุ่ ประเทศสแกนดเิ นเวยี ,ญปี่ ่ นุ ฮ่องกง , สงิ คโปร ์ และไทย เป็ นตน้

2.ประเภทของอาชญากรรม การแบ่งอาชญากรรมโดยทว่ั ไปของประเทศทงั้ หลาย แบ่งอาชญากรรม ใน 2 ลกั ษณะ 1.อาชญากรรมทมี่ คี วามชว่ั รา้ ยในตวั เองหรอื ศลี ธรรม (Mala In Se) •คอื การกระทาความผดิ ทเี่ ห็นไดอ้ ย่างเดน่ ชดั หรอื เป็ นความผดิ ในตวั ของมนั เอง ซงึ่ โดยสามญั สานึกหรอื โดยธรรมชาติ ของคนทว่ั ๆไปก็สามารถบอกไดว้ ่า การกระทาน้ันเป็ นความผดิ หรอื ไม่ถกู ตอ้ งและสมควรไดร้ บั โทษ เชน่ ความผดิ ฐาน ทารา้ ยรา่ งกาย หรอื ฆ่าผอู ้ นื่ ลกั ทรพั ย ์ ขม่ ขนื เป็ นตน้ 2.อาชญากรรมทไี่ ม่มคี วามชว่ั รา้ ยในตวั เอง (กฎหมายบญั ญตั )ิ (Mala Prohibita) •คอื การกระทานั้นเป็ นความผดิ ทางอาญาเพราะมกี ฎหมายหา้ มหรอื บญั ญตั ไิ วเ้ ป็ นความผดิ เชน่ การฝ่ าฝื นกฎจราจร การหลกี เลยี่ งภาษี เป็ นตน้

แนวทางของตารวจสอบสวนกลาง การแบง่ ประเภทอาชญากรรม FBI (Federal Bureau Investigation) 1. อาชญากรรมพนื้ ฐาน (Traditional street crimes) 2. อาชญากรรมตอ่ มาตรฐานทางศลี ธรรม (Crimes against the moral order) 3. อาชญากรรมคอเชติ้ ขาว (white collar crime) 4. อาชญากรรมโดยความรว่ มมอื ของบุคคลหลายฝ่ าย (corporate crime) 5. อาชญากรรมทางการเมอื ง (political crime) 6. องคก์ รอาชญากรรม (organized crime)

1.อาชญากรรมพนื้ ฐาน อาชญากรรมพนื้ ฐาน (Traditional street crimes) เป็ นอาชญากรรม ทปี่ ระสงคต์ อ่ ทรพั ย ์ ชวี ติ รา่ งกาย ทว่ั ไป เกดิ ขนึ้ ทอ้ งถนนทว่ั ไป พนื้ บา้ น ◦ เชน่ ลกั ทรพั ย ์ ปลน้ ทรพั ย ์ ย่องเบา ขม่ ขนื ทารา้ ยรา่ งกาย ฆ่า อาชญากรรมพนื้ ฐาน แบง่ เป็ น 2 ประเภท 1.กระทาตอ่ เหยอื่ ในลกั ษณะทรี่ นุ แรง (violence crime or grave crime) ไดแ้ ก่  1.1 การฆา่ กรรม  1.2 ทารา้ ยรา่ งการสาหสั  1.3 การข่มขนื กระทาชาเรา 2.อาชญากรรมทมี่ ลี กั ษณะไม่รนุ แรง (non-violence crime)  การลกั ทรพั ย ์ ปลน้ ทรพั ย ์ ลกั ทรพั ยใ์ นหา้ งสรรพสนิ คา้ การยอ่ งเบา

สาเหตุของความรุนแรง สาเหตุของความรุนแรง 4 ประการ 1.รุนแรงเพราะวฒั นธรรม (culturally violent offenders) อยู่ในวฒั นธรรมทกี่ า้ วรา้ ว หยาบคาย นาไปส่กู ารทบุ ตี ปลน้ 2.รุนแรง เพราะมสี นั ดานเป็ นโจร (criminally violent offenders) ชอบพกอาวธุ ตดิ ตวั ไปดว้ ยเป็ นประจา 3.รุนแรงเพราะความเจบ็ ป่ วยทางจติ (pathologically violent offenders) สมองพกิ าร ความผดิ เกยี่ วกบั เพศ 4.รุนแรงตามสถานการณ์ (situational violent offenders) เชน่ รนุ แรงกบั คนในครอบครวั ญาตพิ นี่ อ้ ง คสู่ มรส

1.1การฆาตกรรม (Criminal homicide) Kenefick and O’Leary จาแนกฆาตกรรมออกเป็ น 7 ประเภท 1.ฆาตกรธรรมดา (Ordinary murder)  ฆา่ ผูอ้ น่ื เพอื่ รกั ษาเกยี ตยิ ศ ความเป็ นลกู ผูช้ าย ถกู สบประมาท ถกู ดา่ ทา้ ทาย มดั จะเกดิ เวลาเมา 2. ฆาตกรอาชพี (professional murder)  มอื ปื นรบั จา้ ง นักฆ่าประจาองคก์ ารอาชญากรรม 3. ฆาตกรหลงวฒั นธรรม (cultural murder)  หลงในลทั ธใิ ดลทั ธหิ นึ่ง โดนลา้ งสมอง การสงั หารหมู่ 4.ฆาตกรไรเ้ กยี รตยิ ศ (the inadequate murder)  รสู ้ กึ วา่ ตนเป็ นคนไม่มเี กยี รตยิ ศ ต่าตอ้ ย จงึ ฆา่ ผูอ้ น่ื เพอื่ ใหต้ นมชี อื่ เสยี ง เชน่ การลอบฆา่ ปธน.โรแนล เรแกน 5.ฆาตกรหวั เสยี (the psychopathic murder)  ฆา่ ผูอ้ น่ื เพราะอารมณโ์ กรธจนยงั้ ใจไม่อยู่ หรอื อาจมาจากการยว่ั ยขุ องเหยอื่ 6. ฆาตกรจติ ผนั ผวน (the brain-damaged murder)  คอื พวกเก็บกดอารมณข์ องตนเองไวน้ านๆ จนกลายเป็ นความอาฆาต พรอ้ มทจ่ี ะทาลายผูอ้ นื่ เมอ่ื มโี อกาส 7.ฆาตกรโรคจติ (psychotic murder)  คอื พวกวกิ ลจรติ เห็นสง่ิ ตา่ ง ๆ ตรงขา้ มกบั ความจรงิ เชน่ ฆาตกรตอ่ เนื่อง (serial killer)

1.2 การทารา้ ยรา่ งกายบาดเจบ็ สาหสั การทารา้ ยรา่ งกายจนบาดเจบ็ สาหสั (assault) การทารา้ ยรา่ งกายทที่ าใหเ้ หยอื่ บาดเจบ็ สาหสั หรอื พกิ ารทง้ั กายและจติ ใจ เกดิ จาก ความไรร้ ะเบยี บของสงั คม (anomie) สงั คมทขี่ าดระเบยี บ สภาพแวดลอ้ มแออดั สกปรก หรอื ประสบการณ์ ทางสงั คมทที่ าใหบ้ ุคคลรูส้ กึ มุ่งรา้ ยตอ่ ผูอ้ นื่ ขาดมุทติ าจติ (victim identification) ตอ่ เหยอื่ อาชญากรรม เชน่ การทารา้ ยตอ่ คนในครอบครวั ญาตพิ นี่ อ้ ง คูส่ มรส การใหพ้ กิ าร ใชย้ าพษิ สาดน้ากรด ฆาตกรเมนิ เฉยตอ่ คาวงิ วอนของเหยอื่ และภาพความเจบ็ ปวดของเหยอื่ หรอื บางรายทาดว้ ยฤทธิ์ ของโทสจรติ

1.3 การข่มขนื กระทาชาเรา การข่มขนื กระทาชาเรา (forcible rape) เป็ นอาชญากรรมทางเพศ ทเี่ กดิ จากคนในครอบครวั คนใกลช้ ดิ คนรกั คนรจู ้ กั รวมทง้ั คนแปลหนา้ สาเหตหุ ลกั มาจากเกดิ จากพฤตกิ รรมเบยี่ งเบนทางเพศ (sexual offense) ◦ โดยทผี่ ถู ้ กู ขม่ ขนื่ กระทาชาเรา หรอื “เหยอื่ อาชญากรรม” (crime victim) ไม่คาดคดิ มากอ่ น หรอื อย่ใู นสภาพจาตอ้ ง ยอมใหถ้ กู กระทา ผลจากการกระทาเป็ นการทาลายเหยอื่ ทงั้ ทางรา่ งกายและจติ ใจอย่างรนุ แรง รา้ วลกึ และฝ่ังใจจา รูปแบบทพี่ บ มหี ลายรูปแบบ เชน่ ◦ แบบตวั ตอ่ ตวั (single ape) ◦ โทรมหญงิ (group rape) ◦ ฆ่าขม่ ขนื (felony rape) ◦ ขม่ ขนื ภายในครอบครบั (incest) ◦ ขม่ ขนื คสู่ มรส (rape with in marriage of domestic violence)

คดขี ่มขนื กระทาชาเราในประเทศไทย คา่ เฉลยี่ ในรอบ 5 ปี ของคดขี ่มขนื ในไทยเฉพาะทมี่ กี ารแจง้ ความ เกดิ คดขี ่มขนื ปี ละประมาณ 4,000 คดี แตส่ ามารถจบั คนรา้ ยไดเ้ พยี ง 2,400 คดเี ทา่ นน้ั ผูห้ ญงิ ถูกละเมดิ ทางเพศ ถูกกระทาความรุนแรงทางรา่ งกาย จติ ใจ วนั ละไมน่ ้อยกวา่ 7 คน และมตี วั เลขของผูห้ ญงิ ทเี่ ขา้ รบั การบาบดั รกั ษา และแจง้ ความรอ้ งทกุ ข ์ สงู ถงึ ปี ละ 30,000 คน ซงึ่ ความรนุ แรงตอ่ ผหู้ ญงิ มปี ัจจยั รว่ มจากเครอื่ งดมื่ มนึ เมา สารเสพตดิ สอื่ ลามก พนื้ ฐานจากครอบครวั และสงิ่ แวดลอ้ มในสงั คม กลมุ่ เด็กและเยาวชนอายุระหวา่ ง 5-20 ปี ถูกกระทาเยอะทสี่ ุด คดิ เป็ น 60 เปอรเ์ซน็ ละอาชพี ทถี่ กู กระทาเยอะทสี่ ดุ คอื นักเรยี นและนักศกึ ษา คดิ เป็ น 60 เปอรเ์ซน็ พดู ง่ายๆก็คอื ในนักเรยี น 100 คน จะมี 60 คนทเี่ คยโดนละเมดิ ทางเพศ ผูก้ ระทาการขม่ ขนื สว่ นใหญม่ กั จะเป็ นคนรจู ้ กั คนุ ้ เคย หรอื เป็ นบคุ คลในครอบครวั ซงึ่ มปี รมิ าณมากกวา่ คดที ี่ เกดิ ขนึ้ กบั คนแปลกหนา้ หรอื คนทรี่ จู ้ กั ผ่านโซเชยี ลเสยี อกี แอลกอฮอลค์ อื ปัจจยั หลกั ของการคกุ คามทางเพศ ทมี่ า : ขา่ วสด online 12 ก.ย. 63

สถติ ิ การเกดิ คดขี ม่ ขนื กระทาชาเรา

2. อาชญากรรมตอ่ มาตรฐานทางศลี ธรรม อาชญากรรมตอ่ มาตรฐานทางศลี ธรรม (Crimes against the moral order) เป็ นการแสดงพฤตกิ รรมทฝี่ ่ าฝื นตอ่ กฎหมาย กฎ ระเบยี บซงึ่ เป็ นบรรทดั ฐานของสงั คม ◦ เชน่ เล่นการพนัน การเสพยาเสพยต์ ดิ การทาแทง้ การคา้ ประเวณี อาชญากรรมประเภทนี้ เรยี กอกี อยา่ งหนึ่ง “อาชญากรรมไม่มผี ูเ้ สยี หาย” (victimless crime) ◦ ทาผดิ เอง เสยี หายเอง แตส่ ่งผลกระทบตอ่ สงั คม เสพยา เมายา คลง่ั ไลแ่ ทงคน จบั คนเป็ นตวั ประกนั อาชญากรรมประเภท คา้ มนุษย ์ การลกั ลอบเขา้ เมอื งโดยผดิ กฎหมาย

3.อาชญากรรมคอเชติ้ ขาว อาชญากรรมคอเชติ้ ขาว (white collar crime) เอด็ วนิ ซตั เทอรแ์ ลน์ (Edwin Sutherland) อาชญากรรมเศรษฐกจิ โดยเรยี กวา่ “White-collar crime” คอื การกระทาความผดิ ทางอาญา หรอื กฎหมายอนื่ โดยบุคคลทมี่ สี ถานภาพทางเศรษฐกจิ อาศยั ความสมั พนั ธท์ างอาชพี ของเขา เหล่านน้ั และความผดิ ดงั กล่าวกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายตอ่ วงการธุรกจิ ตลอดจนเศรษฐกจิ ของ ประเทศ เป็ นอาชญากรรมซงึ่ ผูก้ ระทาผดิ เป็ นบุคคลทอี่ ยู่ในตาแหน่งหน้าทกี่ ารงานดี ในราชการ รฐั วสิ าหกจิ หรอื เอกชน เกดิ ผลกระทบตอ่ ความเสยี หาย ตอ่ สงั คม เป็ นวงกวา้ ง

4.อาชญากรรมโดยความรว่ มมอื หลายฝ่ าย อาชญากรรมโดยความรว่ มมอื ของบุคคลหลายฝ่ าย (corporate crime) เป็ นการกอ่ อาชญากรรมโดยความรว่ มมอื ของบคุ คลหลายฝ่ าย โดยผูร้ ว่ มมอื เป็ นบคุ คลทมี่ ตี าแหน่งหนา้ ที่ การงาน ชนั้ สงู ในวงราชการ นักธรุ กจิ เอกชน รฐั วสิ าหกจิ เชน่ 1. อาชญากรรมเศรษฐกจิ (economic crime หรอื business crime ) ความผดิ เกยี่ วกบั ภาษอี ากร เป็ นการกระทาผดิ ทางอาญา เกยี่ วกบั ภาษอี ากร ฝ่ ายศลุ กากร การเงนิ ความผดิ ทางการเงนิ และธนาคาร ความผดิ เกยี่ วกบั ตลาดหลกั ทรพั ย ์ การฉอ้ โกงธนาคาร ความผดิ ทางการคา้ และการพาณิชย ์ ไดแ้ ก่ การฉอ้ โกง ซอื้ ขายสนิ คา้ เป็ นจานวนมาก ความผดิ คดคี มุ ้ ครองผบู ้ รโิ ภคและสงิ่ แวดลอ้ ม 2. อาชญากรรมคอมพวิ เตอร ์ (computer crime หรอื high technology crime) เป็ นการใชค้ อมพวิ เตอรก์ ระทาความผดิ เชน่ การฉอ้ โกงทางคอมพวิ เตอร ์ หลอกใหโ้ อนเงนิ การหลอกขายสนิ คา้ การ เลน่ พนันออนไลน์

5.อาชญากรรมทางการเมอื ง อาชญากรรมทางการเมอื ง (political crime) หมายถงึ การกระทาเพอื่ สนับสนุนหรอื นาซงึ่ ความสาเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงคท์ างการเมอื และกฎหมายบญั ญตั วิ า่ เป็ นความผดิ แต่ ผูก้ ระทาความผดิ ไม่คดิ วา่ ตนเป็ นผกู ้ ระทาความผดิ แตอ่ ยา่ งใด กองทพั สหรฐั จาแนกประเภท การกอ่ การรา้ ย ไว ้ 9 ประเภท 1.การกอ่ ความไมส่ งบ (insurgency) 2.สงครามการกอ่ ความไม่สงบ (insurgency war) 3.สงครามกลางเมอื ง (civil war) 4.การบ่อนทาลาย (subversion) 5.การกอ่ ความวนุ่ วายของประชาชน (civil disturbance) 6.การกอ่ จลาจล (riot) 7.การกอ่ วนิ าศกรรม (sabotage) 8.การกอ่ การรา้ ย (terrorism) 9.สงครามกองโจร (guerrilla warfare)

6.องคก์ ารอาชญากรรม องคก์ ารอาชญากรรม (organized crime) องคก์ ารอาชญากรรม คอื เครอื ขา่ ยธรุ กจิ ทแี่ สวงหาผลกาไรจากสนิ คา้ และบรกิ ารทผี่ ดิ กฎหมาย เชน่ คา้ ยา เสพตดิ คา้ หญงิ โสเภณี บอ่ นการพนัน ลกั ษณะองคก์ ารอาชญากรรม 1.จะจดั หาสนิ คา้ และบรกิ ารทผี่ ดิ กฎหมาย 2.เป็ นการอาศยั ความรว่ มมอื ของตารวจหรอื นักการเมอื ง 3.มกี ารใชก้ าลงั รนุ แรงในการบงั คบั ใหส้ มาชกิ ปฏบิ ตั ติ ามบรรทดั ฐานของกลมุ่ 4.จดั โครงสรา้ งองคก์ ารอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ชว่ ยกนั สรา้ งเครอื ขา่ ยในระดบั ตา่ ง ๆ มากมาย สว่ นใหญจ่ ะไม่ สามารถสาวถงึ “ผูบ้ งการ” หรอื ผูม้ อี ทิ ธพิ ล หรอื เจา้ พอ่ ได ้

3.การป้ องกนั อาชญากรรม การป้ องกนั อาชญากรรม (crime prevention) ซ.ี เรยเ์ จฟเฟอรร์ ี (C.RayJeffery) การป้ องกนั อาชญากรรม หมายถงึ การคาดการณห์ รอื ประเมนิ ลว่ งหน้าเกยี่ วกบั ชอ่ งทางหรอื โอกาสของการกระทาผดิ หรอื สภาพการณอ์ าชญากรรมทอี่ าจเกดิ ขนึ้ รวมทง้ั ความพยายามทจี่ ะกระทาการใด ๆ เพอื่ เป็ นการ สกดั กน้ั มใิ หม้ กี ารกระทาความผดิ ใด ๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ กล่าววา่ การควบคุมอาชญากรรมจะมคี วามแตกตา่ งกบั วธิ ลี ดอาชญากรรม กล่าวคอื การ ป้ องกนั เป็ นการควบคุมอาชญากรรมโดยตรง ซงึ่ การควบคุมโดยตรงประกอบดว้ ยการใชม้ าตรการ ของการลดชอ่ งทางหรอื โอกาสในการกระทาความผดิ สว่ นการลดอาชญากรรมเป็ นการควบคมุ อาชญากรรมโดยออ้ ม

องคป์ ระกอบของการเกดิ อาชญากรรม ทฤษฎสี ามเหลยี่ มอาชญากรรม (Crime Triangle Theory) 1.ผูก้ ระทาผดิ /คนรา้ ย (Offender) หมายถงึ ◦ ผูท้ มี่ คี วามตอ้ งการ (Desire) จะกอ่ เหตหุ รอื ลงมอื กระทาความผดิ 2.เหยอื่ (Victim)/เป้ าหมาย (Target) หมายถงึ ◦ บคุ คล สถานที่ หรอื วตั ถสุ งิ่ ของ ทผี่ ูก้ ระทาผดิ หรอื คนรา้ ย มุ่งหมายกระทาตอ่ หรอื เป็ นเป้ าหมายทตี่ อ้ งการ 3. โอกาส (Opportunity) หมายถงึ ◦ ชว่ งเวลา (Time) และสถานที่ (Place) ทเี่ หมาะสมทผี่ กู้ ระทาผดิ หรอื คนรา้ ย มคี วามสามารถจะลงมอื กระทาความผดิ หรอื กอ่ อาชญากรรม

แนวทางการป้ องกนั อาชญากรรม ตดั วงจร การเกดิ อาชญากรรม 1. ลดทตี่ วั ผูก้ ระทาผดิ (ป้ องกนั มใิ หผ้ ูก้ ระทาความผดิ )  เนน้ ใชท้ ฤษฎบี งั คบั ใชก้ ฎหมาย (Law Enforcement Theory) 2.ลดการตกเป็ นเหยอื่ อาชญากรรม  เนน้ การป้ องกนั มใิ หต้ กเป็ นเหยอื่ อาชญากรรม 3.การลดชอ่ งโอกาส  ทฤษฎคี วบคมุ อาชญากรรมจากสภาพแวดลอ้ ม (Crime control though environment design theory) ทฤษฎกี จิ วตั รประจาวนั (routine activates) ใชร้ ปู แบบการควบคมุ ทางสงั คม เชน่ รปู แบบของสงั คมทไี่ รร้ ะเบยี บ (Social disorganization model) การป้ องกนั อาชญากรรมโดยออกแบบสภาพแวดลอ้ ม (Crime prevention through environmental design model) การปรบั เปลยี่ นรปู แบบสถานที่ เพอื่ ป้ องกนั การตกเป็ นเหยอื่ , เป้ าหมาย ,สงิ่ ของ เชน่ การจดั แสงสวา่ ง

4.วา่ ดว้ ย “เหยอื่ ” อาชญากรรม เหยอื่ อาชญากรรม (crime victim) และ เหยอื่ ของกระบวนการ ยตุ ธิ รรม ตวั แปรทสี่ าคญั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง หรอื คานิยามทเี่ กยี่ วกบั เหยอื่ อาชญากรรม  วชิ า “เหยอื่ อาชญากรรม” เป็ นวชิ าแขนงหนึ่งในสาขาอาชญาวทิ ยา เป็ นการศกึ ษาเกยี่ ว ศาสตร ์วา่ ดว้ ยเหยอื่ (Science of the Victim หรอื Victim Logy) 1.การใหค้ วามหมาย “อาชญากรรม” ของนักสงั คมวทิ ยา นักกฎหมาย นักอาชญาวทิ ยา 2.ความหมายของ เหยอื่ อาชญากรรม หรอื ผูเ้ สยี หาย (crime victim) 3.ความหมายของ “เหยอื่ ของกระบวนการยุตธิ รรม” (victim of criminal justice system) 4.ความหายของอาชญากรหรอื ผูก้ ระทาผดิ (criminal or offender)

4.1 นิยามความหมาย “อาชญากรรม” นิยามศพั ทค์ าวา่ “อาชญากรรม” ความหมาย “อาชญากรรม” ของนัก สงั คมวทิ ยา นักกฎหมาย นักอาชญาวทิ ยา ใหน้ ิยามไวแ้ ตกตา่ งกนั 1.นิยามของนักสงั คมวทิ ยา ◦ อาชญากรรมเป็ นการกระทาทลี่ ะล่วงละเมดิ กฎเกณฑร์ ะเบยี บและบรรทดั ฐานของสงั คม (Jeffery,1990) ◦ สนใจกระบวนการควบคมุ ทางสงั คม และกาหนดใหก้ ฎหมายเป็ นสว่ นหนึ่งของการควบคมุ สงั คมดว้ ย 2.นิยามของนักกฎหมาย ◦ อาชญากรรมเป็ นการกระทาทลี่ ่วงละเมดิ กฎหมายอาญา และตอ้ งมรี ะบบงานยตุ ธิ รรม (criminal justice system) รบั ผดิ ชอบตอ่ การกระทา ดงั กล่าว “ถา้ ปราศจากกฎหมายก็ไม่มอี าชญากรรม” นัยของนักกฎหมาย สรปุ วา่  1) ไม่มอี าชญากรรม ถา้ ปราศจากซง่ึ กฎหมายและการลงโทษตามกฎหมายโดยรฐั  2) ไม่มอี าชญากรรมในทซ่ี งึ่ การกระทาน้ันไดร้ บั รองตามกฎหมาย  3) ไม่มอี าชญากรรมถา้ ปราศจากเจตนา  4) ไม่มอี าชญากรรมในทใี่ ดทผ่ี ูก้ ระทาผดิ ถกู ลงความเห็นวา่ “ไรค้ วามสามารถ” น่ันคอื ปราศจารความสามารถในการกระทาผดิ

มมุ มองของนกั กฎหมาย  1.ไม่มอี าชญากรรม ถา้ ปราศจากซงึ่ กฎหมาย (no crime without law)  นักกฎหมาย มองวา่ อาชญากรรมจะเกดิ ขนึ้ ไดต้ อ่ เมอื่ มกี ฎหมายกาหนดไวว้ า่ การกระทาเหล่าน้ันเป็ นความผดิ และ กาหนดบทลงโทษต่อการกระทาน้ัน  คาพพิ ากษาฎกี า ที่ 7560/2540 (คดซี อื้ เสยี งที่ 11 ลา้ นบาททจี่ งั หวดั บรุ รี มั ย ์ เมอื่ ปี พ.ศ.2539)  คดนี ีศ้ าลชน้ั ตน้ ตดั สนิ ยกฟ้ อง โดยระบใุ นคาพพิ ากษาวา่ “การกระทาของจาเลยทงั้ สองเป็ นเพยี งการตระเตรยี มการจะ มอบเงนิ ใหแ้ กผ่ มู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตงั้ เพอื่ จงู ใจใหเ้ ลอื กผูส้ มคั รรบั เลอื กตงั้ การตระเตรยี มการดงั กล่าว “ไม่มกี ฎหมายใดบญั ญตั ิ เป็ นความผดิ และกาหนดโทษไว”้ การกระทาของจาเลยทง้ั สองไม่เป็ นความผดิ แตใ่ หร้ บิ เงนิ ของกลาง  ตอ่ มาศาลฎกี า พพิ ากษากลบั ใหล้ งโทษจาเลยทงั้ สองจาคกุ คนละ 1 ปี เพกิ ถอนสทิ ธเิ ลอื กตง้ั โดยระบุ ทา้ ยคาพพิ ากษา วา่ “ตาม พรบ.การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35 การจดั ให ้ เสนอให ้ หรอื สญั ญาวา่ จะให ้ ทรพั ยส์ นิ หรอื ผลประโยชนอ์ นื่ ใดอาจคานวณเป็ นเงนิ ไดแ้ กผ่ ใู ้ ด เพอื่ จะจงู ใจใหผ้ ูเ้ ลอื กตงั้ ลงคะแนนเลอื กตง้ั ใหแ้ กต่ น หรอื ผูส้ มคั รอนื่ จงึ เป็ นความผดิ สาเรจ็ แมจ้ ะยงั ไม่มกี ารแจกจา่ ยธนบตั รทจี่ ดั ทาไว ้ ก็เป็ นความผดิ สาเรจ็

นกั กฎหมายกบั มุมมองอาชญากรรม 2.ไม่มอี าชญากรรมในทซี่ งึ่ การกระทานั้นไดร้ บั รองตามกฎหมาย (no crime where an act is justified by law) เป็ นหลกั ทใี่ หร้ ฐั ทกุ แห่งกาหนดใหเ้ ป็ นสทิ ธใิ นในทางกฎหมาย วา่ หากมกี ฎหมายรบั รองไว ้ วา่ การกระทาอะไรทที่ าได ้ ก็ ไม่เป็ นความผดิ รวมถงึ สทิ ธใิ นการการป้ องกนั ตนเองตามกฎหมายดว้ ย 3.ไม่มอี าชญากรรมถา้ ปราศจากเจตนา (no crime without intention) มองเรอื่ ง เจตนา (mens rea) หรอื ความตง้ั ใจในการประกอบอาชญากรรม ซงึ่ เป็ นเรอื่ งอยู่ภายในจติ ใจ ถา้ พฤตกิ รรมใด แสดงออกมาดว้ ยเจตนารา้ ย หรอื ประสงคจ์ ะกอ่ ความผดิ แลว้ ในทางกฎหมายถอื วา่ ตอ้ งลงโทษตามกฎหมาย ส่วนการกระทาทไี่ ม่เจตนา เชน่ การกระทาโดยประมาท ไม่จดั วา่ เป็ นการกระทาทมี่ เี จตนา ยงั ไม่เป็ นการกอ่ อาชญากรรม เชน่ การขบั รถโดยประมาท ใหผ้ ูอ้ นื่ ถงึ แกค่ วามตาย เทยี บกบั การฆ่าคนตายเพอื่ เอาทรพั ย ์ เป็ นตน้

นกั กฎหมายกบั มุมมองอาชญากรรม 4) ไม่มอี าชญากรรมใดทปี่ ราศจากความความสามารถทจี่ ะทา (no crime without capacity) การกระทาใดทอี่ ยนู่ อกเหนือความสามารถ ไม่ถอื วา่ เป็ นอาชญากรรม เชน่ ◦ ผูถ้ กู ขบู่ งั คบั และใหส้ ญู เสยี อสิ รภาพขณะกระทา ◦ ผกู้ ระทาทเี่ ป็ นเด็กหรอื เยาวชน กฎหมายถอื เกณฑอ์ ายุ เด็กทอี่ ายไุ ม่เกนิ 7 ปี กระทา ไม่ถอื วา่ เป็ นความผดิ ◦ การกระทาโดยจติ วปิ ลาส เชน่ เป็ นโรคจติ หรอื ไรค้ วามสามารถไม่สามารถควบคมุ จติ ใจของตนเองได ้ สรปุ ในมุมมองนักกฎหมาย “อาชญากรรม” เป็ นการกระทาทมี่ เี จตนาฝ่ าฝื นขอ้ บญั ญตั หิ รอื ขอ้ หา้ มทกี่ าหนดไวต้ ามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบญั ญตั ทิ มี่ โี ทษทางอาญาภายใตเ้ งอื่ นไขทเี่ ครง่ ครดั โดยไม่มขี อ้ ยกเวน้ และรฐั จะตอ้ งลงโทษแกผ่ ูก้ ระทาลว่ งละเมดิ ตามบทลงโทษทกี่ าหนดไวใ้ นกฎหมาย

นิยามความหมาย “อาชญากรรม” นิยามศพั ทค์ าวา่ “อาชญากรรม” 3.นิยามของนกั อาชญาวทิ ยา อาชญากรรม หมายถงึ การกราทาทลี่ ะเมดิ บรรทดั ฐานของสงั คม ซงึ่ รฐั ออกกฎหมายบญั ญตั วิ า่ การกระทา น้ันเป็ นความผดิ ตามกฎหมายและกาหนดโทษไว ้ นักอาชญาวทิ ยา ประมวลคานิยามของนักสงั คมวทิ ยากบั นักกฎหมายเขา้ ดว้ ยกนั ทาใหค้ วามหมายของ อาชญากรรมครอบคลมุ มากขนึ้

4.2 เหยอื่ อาชญากรรม เหยอื่ อาชญากรรม (crime victim) เหยอื่ อาชญากรรม เป็ นศพั ทท์ างอาชญาวทิ ยา แตศ่ พั ทท์ ปี่ รากฏในกฎหมายใชค้ าวา่ “ผูเ้ สยี หาย” หรอื “พยาน” แลว้ แตก่ รณี เหยอื่ อาชญากรรม (crime victim) หมายถงึ บคุ คลหรอื คณะบคุ คล ทไี่ ดร้ บั อนั ตรายแกก่ ายหรอื จติ ใจ หรอื ไดร้ บั ความเสยี หายตอ่ ทรพั ยส์ นิ หรอื ไดร้ บั ผลกระทบใด ๆ จากการประกอบอาชญากรรม หรอื เสอื่ มเสยี สทิ ธิ จากกากระทาหรอื ละเวน้ การกระทาอนั เป็ นความคดิ กฎหมายอาญา ◦ เชน่ การถกู ทารา้ ย ถกู ฆ่า ถกู ขม่ ขนื ถกู ลกั ทรพั ย ์ ชงิ ทรพั ย ์ ปลน้ ทรพั ย ์ ผูเ้ สยี หาย หมายถงึ บคุ คลผูไ้ ดร้ บั ความเสยี หายเนื่องจากกากระทาผดิ ฐานใดฐานหนึ่ง รวมทงั้ บคุ คลอนื่ มมี อี านาจจดั การแทนได ้ ตามมาตรา 4,5,6

ผูเ้ สยี หายหรอื เหยอื่ อาชญากรรม ผูเ้ สยี หายหรอื เหยอื่ อาชญากรรม แบ่งเป็ น 2 ประเภท คอื 1.ผูเ้ สยี หายโดยตรง หรอื เหยอื่ อาชญากรรมโดยตรง (Direct victim) หมายถงึ บคุ คลผไู้ ดร้ บั ความเสยี หายเนื่องจากการกระทาผดิ ฐานใดฐานหนึ่ง หรอื ผทู้ ถี่ กู ลว่ งละเมดิ และไดร้ บั ความ เสยี หายโดยตรงจากการกระทาผดิ กฎหมายน้ัน 2.ผูเ้ สยี หายหรอื เหยอื่ โดยออ้ ม (Indirect victim) หมายถงึ บคุ คลอนื่ ทมี่ อี านาจจดั การแทนได ้ ตาม ป.ว.ิ อาญา มาตรา 4,5,6 ซงึ่ ไดแ้ ก่ ◦ 2.1ครอบครวั ญาตพิ นี่ อ้ ง ผใู ้ กลช้ ดิ ของเหยอื่ อาชญากรรม ◦ เชน่ คดถี กู จบั เป็ นตวั ประกนั ถกู ฆ่า ◦ 2.2 พยานผเู ้ ห็นเหตกุ ารณ์ หรอื ประจกั ษพ์ ยาน ซงึ่ อยู่ในทเี่ กดิ เหตุ ◦ คดที มี่ อี ทิ ธพิ ล พยานอาจไม่ปลอดภยั ◦ 2.3 ประชาชน/สงั คม/ชมุ ชนทถี่ กู ล่วงละเมดิ ตอ่ กฎเกณฑ ์ (ถอื เป็ นเหยอื่ ทางออ้ มในฐานสมาชกิ ของสงั คม)

การจาแนกประเภทเหยอื่ อาชญากรรม 1.ความหนกั เบาของความผดิ ทเี่ หยอื่ ทาใหเ้ กดิ อาชญากรรม Mendeisohn แบ่งเหยอื่ ออกเป็ น 6 ประเภท 1) เหยอื่ บรสิ ทุ ธิ ์ (the completely innocent victim) เป็ นเหยอื่ ทแี่ ทจ้ รงิ คอื ไดร้ บั ความเสยี หาย ถกู ประทษุ รา้ ย ไดร้ บั ผลโดยตรง 2) เหยอื่ ทมี่ คี วามผดิ นอ้ ยกวา่ งอาชญากร (the victim with minor quilt) คอื เหยอื่ ทมี่ สี ว่ นรว่ มในการกระทาผดิ ดว้ ยบางส่วน 3) เหยอื่ ทมี่ คี วามผดิ เทา่ กบั อาชญากร (the victim as guilty) เหยอื่ ทสี่ มคั รใจกระทาผดิ รว่ มกบั อาชญากร เชน่ การฆ่าตวั ตายตามเพอื่ น ยนิ ยอมใหผ้ ูอ้ นื่ ฆ่าตวั ตายเพราะโรครา้ ย

การจาแนกประเภทเหยอื่ อาชญากรรม 4) เหยอื่ ทมี่ คี วามผดิ มากกวา่ อาชญากร (the victim guilty than the offender) เหยอื่ ทกี่ ระตนุ้ ใหอ้ าชญากร เชน่ ยว่ั ยุ 5) เหยอื่ ทมี่ คี วามผดิ มากทสี่ ดุ (the most guilty victim) เหยอื่ ทมี่ คี วามกวา้ วรา้ ว ชอบรงั แกผอู ้ นื่ จนตอ้ งถกู ฆ่าเนื่องจากการป้ องกนั ตนเองของฝ่ ายตรงขา้ ม 6) เหยอื่ ปลอม (the simulating victim) คอื บคุ คลทมี่ ไิ ดต้ กเป็ นเหยอื่ จรงิ เชน่ พวกเป็ นโรคจติ ชนิดต่าง ๆ และเด็ก

จาแนกประเภทเหยอื่ อาชญากรรม 2.พจิ ารณาความรบั ผดิ ชอบและความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอาชญากรรม กบั เหยอื่ อาชญากรรม Schafer (1976) แบ่งเหยอื่ อาชญากรรมออกเป็ น 7 ประเภท 1) เหยอื่ อาชญากรรมทไี่ ม่มสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั อาชญากรรม หรอื เหยอื่ บรสิ ทุ ธิ ์ (unrelated victim) หมายถงึ คนทรี่ บั เคราะห ์ จากการเกดิ อาชญากรรม โดยทไี่ ม่มสี ว่ นเกยี่ วขอ้ ง เชน่ คนในสงั คม, เจา้ ของบา้ นทถี่ กู โจรขนึ้ บา้ น , นายธนาคารทถี่ กู ปลน้ 2) เหยอื่ ทกี่ ระตนุ ้ ใหเ้ กดิ อาชญากรรม (provocative victim) หมายถงึ เหยอื่ ทกี่ ระทาบางอย่างเป็ นการขดั ใจแกอ่ าชญากร เชน่ การดแู คลนคนรกั ใหม่ 3) เหยอื่ ทจี่ งู ใจใหเ้ กดิ อาชญากรรม (precipitate victim) หมายถงึ เหยอื่ ทจี่ งู ใจใหอ้ าชญากรประกอบอาชญากรรม ซงึ่ อาจจะไม่ตง้ั ใจ เชน่ หญงิ สาวเดนิ คนเดยี วในทเี่ ปลยี่ วยาม คา่ คนื การใส่ทองเสน้ ใหญ่

การจาแนกประเภทของเหยอื่ Schafer (1976) แบง่ เหยอื่ อาชญากรรมออกเป็ น 7 ประเภท (ตอ่ ) 4) เหยอื่ ทมี่ คี วามออ่ นแอทางชวี ภาพ (biologically weak victim) หมายถงึ เหยอื่ ทมี่ คี วามออ่ นแอทงั้ ทางรางกายและจติ ใจ เชน่ เด็ก คนชรา ผหู ้ ญงิ ผไู้ รค้ วามสามารถ คนวกิ ลจรติ 5) เหยอื่ ทมี่ คี วามออ่ นแอทางสงั คม (socially weak victim)  หมายถงึ เหยอื่ ทมี่ ไิ ดร้ บั การยอมรบั วา่ เป็ นสมาชกิ ของสงั คม เชน่ พวกอพยพเขา้ ชนกล่มุ นอ้ ย ตา่ งดา้ ว หลบหนีเ้ ขา้ เมอื ง 6) เหยอื่ ทตี่ กเป็ นเหยอื่ ของตนเอง (self-victimizing victim) หมายถงึ เหยอื่ อาชญากรรมทปี่ ราศจากเหยอื่ (victimless crime or crime without victim) เชน่ การเสพยา การทา แทง้ การเลน่ การพนันในบางสงั คมทเี่ ป็ นการผดิ กฎหมาย 7) เหยอื่ การเมอื ง (political victim) หมายถงึ เหยอื่ ทเี่ ป็ นคแู่ ขง่ ในทางการเมอื ง เพอื่ เขา้ สู่ อานาจ ตาแหน่ง รวมถงึ ประชาชนทตี่ กเป็ นเหยอื่ ในเหตกุ ารณ์ เรยี กรอ้ งการจลาจน เชน่ เหตกุ ารณพ์ ฤษภาทมฬิ

4.3 เหยอื่ ของกระบวนการยุตธิ รรม เหยอื่ ของกระบวนการยตุ ธิ รรม (victim of criminal justice system)

การตกเป็ นเหยอื่ ของกระบวนการยุตธิ รรม เหยอื่ ของกระบวนการยุตธิ รรม (victim of criminal justice system) หมายถงึ ผูท้ ถี่ กู จบั กมุ ผูถ้ กู ดาเนินคดี ในฐานะเป็ นผูต้ อ้ งหา หรอื จาเลย ที่ มไิ ดก้ ระทาผดิ แตถ่ กู จบั ฟ้ องรอ้ ง ตอ้ งเขา้ มาสกู่ ระบวนการยตุ ธิ รรมในขนั้ ตอนตา่ ง ๆ จนไดร้ บั ผลกระทบในเชงิ ลบ จากระบบงานยตุ ธิ รรมอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง ไม่วา่ จะชนั้ สอบสวน ชนั้ พนักงานอยั การ หรอื การพจิ ารณาพพิ ากษาคดี ของศาล (กระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญา)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook