Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาสู่อาชีพกระดาษสร้างรายได้

คู่มือจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาสู่อาชีพกระดาษสร้างรายได้

Published by palita scisak, 2019-06-10 22:45:44

Description: คู่มือจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาสู่อาชีพกระดาษสร้างรายได้

Keywords: การประดิษฐ์ดอกกุหลาบ

Search

Read the Text Version

คู่มอื การเรียนรู้ การบรู ณาการสะเตม็ ศึกษาสอู่ าชพี กระดาษสร้างรายได้ สแกนเพอื่ อ่าน E-book นางปาลติ า โตศรีสวัสดเ์ิ กษม ศูนย์วิทยาศาสตรเ์ พอื่ การศกึ ษาสระแกว้

ฐานการเรียนรู้ท่ี 5 เรอ่ื ง กระดาษสรา้ งรายได้ แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรทู้ ่ี 5 เร่ือง กระดาษสร้างรายได้ จานวน 3 ชัว่ โมง

แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่ี 5 เร่ือง กระดาษสร้างรายได้ เวลา 3 ชว่ั โมง แนวคิด กระดาษ เป็นวัตถุแผน่ บาง ๆ โดยทามาจากใยเปลือกไม้ ฟาง เศษผา้ และอาจมีสว่ นผสมอย่างอืน่ ๆ กระดาษมปี ระโยชน์มากมาย เช่น การประดษิ ฐ์ดอกไมก้ ระดาษ กระดาษหอ่ ของขวญั กระดาษลกู ฟกู สาหรับทากลอ่ ง กระดาษชาระ เปน็ ต้น การประดิษฐ์ดอกไม้จากกระดาษสามารถนาไปประกอบอาชีพในอนาคตหรอื เปน็ อาชีพเสรมิ และ สามารถนาไปใชง้ านในโอกาสตา่ ง ๆ ได้ ซึ่งเปน็ อาชพี ท่ตี ้องอาศยั ความร้พู ้ืนฐานเกีย่ วกบั รปู ทรงและรปู รา่ งทางเรขาคณติ แกนสมมาตร รวมถงึ การประมาณการประดิษฐ์ดอกไมต้ า่ ง ๆ มีรูปทรงและรูปรา่ งและวธิ กี ารในการออกแบบท่มี ีความ ยากงา่ ยแตกต่างกัน เชน่ การประดิษฐ์ดอกกหุ ลาบ ดอกพุดซ้อน ดอกมะลิ เป็นตน้ นามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจาวนั วตั ถุประสงค์ เมอื่ สิ้นสดุ แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้นแี้ ลว้ ผู้รับบรกิ ารสามารถ 1. อธบิ ายรูปเรขาคณติ และแกนสมมาตรในการทากระดาษสรา้ งรายได้ 2. ประดษิ ฐด์ อกไมก้ ระดาษ เน้อื หา 1. รปู เรขาคณิต และแกนสมมาตรในการทากระดาษสร้างรายได้ 1.1 รูปรา่ งและรูปทรงเรขาคณิต 1.2 แกนสมมาตร 2. ประดิษฐ์ดอกไมก้ ระดาษ 2.1 การออกแบบดอกไม้ประดิษฐ์ 2.2 ลักษณะของกระดาษที่นามาประดิษฐ์ดอกไม้ แผนผังความเช่ือมโยงระหว่าง สะเต็มกับเนือ้ หาท่ีเรียนรู้ S : วทิ ยาศาสตร์ T : เทคโนโลยี E : วศิ วกรรมศาสตร์ M : คณิตศาสตร์ - การดัดกลีบดอก - ความคดิ สรา้ งสรรค์ - กระบวนการออกแบบ - การวดั - การตดิ กลีบดอก - การใช้ทรัพยากร เชงิ วิศวกรรม (การ - การตดั อยา่ งคุ้มค่า ออกแบบรูปทรง - รปู เรขาคณติ ดอกไม)้ ขนั้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ขัน้ ตอนท่ี 1 กจิ กรรมการเรยี นรปู้ ระสบการณท์ างวิทยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผ้จู ดั กิจกรรมทักทายและแนะนาตนเองกบั ผรู้ ับบริการ และชี้แจงวัตถปุ ระสงค์ของฐานการ เรยี นรู้ที่ 5 เรอื่ ง กระดาษสร้างรายได้ ได้แก่ (2) อธบิ ายรูปเรขาคณิต และแกนสมมาตรในการทากระดาษสร้างรายได้

(3) ประดิษฐ์ดอกไม้กระดาษ 2. ผูจ้ ดั กจิ กรรมซักถามประสบการณเ์ ดิมของผรู้ บั บริการเก่ียวกับเรื่องท่จี ะเรยี นรูโ้ ดยสมุ่ ผ้รู บั บรกิ ารจานวน 3-5 คน ตามความสมัครใจใหต้ อบคาถาม จานวน 3 ประเด็นดังน้ี ประเดน็ ท่ี 1 “อาชีพใดที่ต้องใช้ความรู้รูปทางเรขาคณติ ” ประเดน็ ท่ี 2 “รจู้ กั การประดิษฐ์ดอกไม้จากกระดาษหรือไม่” ประเดน็ ที่ 3 “การประดิษฐด์ อกไม้จากกระดาษควรใชล้ ักษณะกระดาษแบบใด” 3. ผจู้ ดั กิจกรรมและผู้รับบรกิ าร แลกเปลย่ี นความคิดเหน็ และสรปุ ผลการเรยี นรูร้ ่วมกัน 4. ผ้จู ัดกิจกรรมเชื่อมโยงประสบการณ์เดมิ ของผรู้ บั บริการกบั เน้อื หาการเรียนรู้ เร่อื ง การประดิษฐด์ อกไม้ กระดาษ โดยบรรยายเรอื่ ง การประดิษฐ์ดอกไม้กระดาษ ตามใบความรู้ของวิทยากร เรอ่ื ง การประดษิ ฐ์ดอกไม้กระดาษ หลังจากนั้นเชื่อมโยงการบูรณาการสะเตม็ ศกึ ษากับเน้ือหาทีเ่ รยี นรู้ ตามใบความรูข้ องผู้จัดกจิ กรรม เรอ่ื ง การเช่ือมโยง สะเตม็ ศึกษากบั การประดษิ ฐ์ดอกไม้ ดงั น้ี 4.1 Science (วิทยาศาสตร์) (1) การดดั กลีบดอก (2) การตดิ กลีบดอก 4.2 Technology (เทคโนโลยี) (1) ความคิดสร้างสรรค์ (2) การใช้ทรพั ยากรอย่างคมุ้ ค่า 4.3 Engineering (วิศวกรรมศาสตร)์ (1) กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม (การออกแบบรปู ทรงดอกไม)้ 4.4 Mathematics (คณิตศาสตร์ (1) การวัด (2) การตดั (1) รูปเรขาคณติ 5. ผู้จัดกจิ กรรมแจกใบความรู้สาหรบั ผู้รับบริการ เร่ือง การประดษิ ฐ์ไม้จากกระดาษให้ผรู้ บั บรกิ ารศึกษา หลังจากนนั้ ผูจ้ ัดกิจกรรมและผู้รับบรกิ ารแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ และสรปุ ผลการเรยี นรรู้ ่วมกัน ข้นั ตอนท่ี 2 กจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ท่ที ้าทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผู้จดั กิจกรรมเชือ่ มโยงเนอ้ื หาในขัน้ ตอนที่ 1 เร่อื ง รูปเรขาคณิต แกนสมมาตร และการนา ประยกุ ตใ์ ช้กับการออกแบบดอกไม้ โดยกาหนดสถานการณใ์ ห้ผ้รู ับบริการประดษิ ฐด์ อกไม้จากกระดาษ กลมุ่ ละ 3 ดอก ไว้ ติดฉากสาหรบั ถา่ ยรูป โดยในการแขง่ ขันคร้งั น้ี เปน็ การแข่งขันการออกแบบการประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ โดยมี ข้อกาหนดวา่ จะตอ้ งเป็นดอกไม้กระดาษขนาดใหญ่ และมีความสวยงาม เหมาะสม ถกู ใจคณะกรรมการ จึงจะชนะการ แข่งขันคร้ังนี้” หลงั จากน้ันให้ผู้รบั บริการออกแบบดอกไม้ และลักษณะของกระดาษท่ีนามาประดิษฐ์ดอกไม้ ตามใบ กิจกรรมของผู้รับบรกิ าร พรอ้ มทั้งเตรียมวัสดอุ ปุ กรณใ์ หก้ ับผ้รู ับบริการในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม (กระดาษส/ี กรรไกร/ดนิ สอ/ กาวซิลิโคน/ปืนกาวซลิ โิ คน) 2. ให้ผ้เู ข้ารบั บริการตั้งประเดน็ ข้อสงสยั ในกระบวนการหรอื หลักการที่เกีย่ วขอ้ ง รวมไปถงึ การ ประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตจริง 3. ผ้จู ดั กิจกรรมและผู้รบั บริการแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ และสรุปผลการเรยี นรรู้ ่วมกนั 4. ผูร้ ับบริการแต่ละกลุ่มนาเสนอผลงาน ซึ่งอาจนาเสนอโดยใชโ้ ปสเตอร์และชิน้ งานทป่ี ระดษิ ฐ์แลว้ ทั้งนตี้ ้องนาเสนอในประเด็นต่าง ๆ ต่อไปน้ี

ประเดน็ ท่ี 1 วิธีการออกแบบและขนาดของดอกไม้ และจานวนกระดาษท่ใี ช้ ประเดน็ ที่ 2 ขั้นตอนการออกแบบ แนวคดิ สร้างสรรค์ ประเดน็ ที่ 3 ปัญหาและอุปสรรคทีเ่ กิดขึ้นระหวา่ งการทางาน และแนวทางในการแก้ไข ขั้นตอนที่ 3 กิจกรรมการสรุปผลการนาวิทยาศาสตรไ์ ปใชใ้ นชีวิตประจาวัน (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ใหผ้ ู้รบั บริการตอบคาถามโดยสุ่มผรู้ บั บรกิ าร จานวน 3 – 5 คน ตามความสมัครใจให้ ตอบคาถาม ในประเด็น “ทา่ นจะนาความรู้ เรือ่ ง การประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ ไปประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจาวัน อยา่ งไร” 2. ผจู้ ดั กิจกรรมและผรู้ บั บรกิ ารสรปุ รว่ มกนั สื่อ วัสดอุ ุปกรณ์ และแหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความรู้สาหรบั ผู้จัดกิจกรรม เรอื่ ง รูปเรขาคณติ และแกนสมมาตร 2. ใบความรู้สาหรบั ผู้จัดกิจกรรม เร่ือง การประดิษฐ์ดอกไม้จากกระดาษ 3. ใบความรูส้ าหรบั ผรู้ ับบรกิ าร เรอื่ ง รปู เรขาคณิตและแกนสมมาตร 4. ใบความรู้สาหรับผู้รบั บรกิ าร เรื่อง การประดษิ ฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ 5. ใบกจิ กรรม เรื่อง การประดิษฐ์ดอกไม้จากกระดาษ 6. วัสดอุ ปุ กรณ์ ไดแ้ ก่ 6.1 กระดาษ เชน่ กระดาษสา กระดาษสโี ปสเตอร์สองหน้า กระดาษอ่ืน ๆ 6.2 กรรไกร 6.3 ดนิ สอ 6.4 ปืนกาวซิลิโคน 6.5 กาวซิลิโคนแท่ง 6.6 กาวลาเทก็ ซ์ 7. หนังสือรูปแบบดอกไม้ การวัดและประเมินผล 1. สังเกตการณม์ สี ่วนรว่ มของผรู้ ับบริการ 2. ชิน้ งาน/ผลงาน 3. ความคุ้มคา่ 4. การนาเสนอ 5. ทกั ษะและความคิดสร้างสรรค์

บนั ทกึ ผลหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผลการใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 1. จานวนเน้ือหากบั จานวนเวลา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล ................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................... 2. การเรียงลาดับเน้อื หากบั ความเขา้ ใจของผูร้ บั บรกิ าร เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล ................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. 3. การนาเข้าสูบ่ ทเรียนกบั เนื้อหาแต่ละหัวข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล ................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. 4. วธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ บั เน้ือหาในแตล่ ะขอ้ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล ................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. 5. การประเมินผลกับวัตถุประสงค์ในแต่ละเน้ือหา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตผุ ล ................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ผลการเรยี นรู้ของผู้รบั บรกิ าร ........................................................................................................................................................................................ ...................................................................................................................................................... ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรูข้ องผูจ้ ัดกิจกรรม ........................................................................................................................................................................................ ...................................................................................................................................................... ขอ้ เสนอแนะ ........................................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................

ใบความรู้สาหรบั ผู้จัดกิจกรรม เรือ่ ง รปู เรขาคณิตและแกนสมมาตร รปู เรขาคณติ 1. ความหมาย 1.1 รปู เรขาคณิตสองมติ ิ 1.1.1 แบ่งตามลกั ษณะของด้าน หรอื ขอบของรูปนน้ั เชน่ รูปสามเหล่ียม รูปส่ีเหลย่ี ม รูปหลายเหลยี่ ม หรอื รปู วงกลม เป็นต้น 1.2 รูปเรขาคณติ สามมิติ 1.2.1 เป็นรูปเรขาคณติ ทรงสามมิตทิ มี่ ีฐานหรือหน้าตัดเป็นรูปทรงตา่ ง ๆ เชน่ รปู ทรงกระบอก รปู ทรงกลม รูปพรี ะมิด รปู ปรซิ มึ รปู กรวย เป็นต้น 2. ชนิดรูปเรขาคณติ สองมิติ 2.1. รูปสามเหล่ยี ม มีด้าน 3 ด้าน มีมุม 3 มุม 2.2. รปู ส่ีเหล่ยี ม มดี ้าน 4 ด้าน มมี มุ 4 มมุ 2.3. รปู ห้าเหลย่ี ม มีดา้ น 5 ดา้ น มีมมุ 5 มมุ 2.4. รปู หกเหลย่ี ม มีดา้ น 6 ด้าน มมี ุม 6 มุม 2.5. รปู แปดเหลย่ี ม มดี ้าน 8 ด้าน มีมุม 8 มมุ 3. ชนดิ รปู เรขาคณิตสามมิติ 3.1. รปู ทรงกระบอก 3.1.1. ทรงกระบอก เป็นรปู เรขาคณิตสามมติ ิท่มี ีฐานสองฐานเปน็ รปู วงกลมท่ีเทา่ กนั ทุก ประการและอยบู่ นระนาบทีข่ นานกนั และเมอื่ ตดั รูปเรขาคณติ สามมติ ินั้นดว้ ยระนาบ ท่ีขนานกบั ฐานแลว้ จะได้หนา้ ตดั เปน็ วงกลมทเ่ี ท่ากันทกุ ประการกนั ฐานเสมอ ด้านข้างเปน็ ผวิ เรียบโคง้ ส่วนต่าง ๆ ของทรงกระบอก 3.2. รปู ทรงกลม 3.2.1. ทรงกลม เป็น รูปเรขาคณิตสามมิติทีม่ ีด้านข้างเป็นผวิ โคง้ เรยี บ และจุดทกุ จุดบนผวิ โค้ง อย่หู ่างจากจุดคงที่จุดหนงึ่ เป็นระยะเทา่ กัน เรียกจุดคงท่ีว่า จุดศูนย์กลางของทรงกลม เรียกระยะทเี่ ท่ากนั วา่ รศั มีของทรงกลม 3.3. รูปพรี ะมดิ 3.3.1. พรี ะมดิ เป็นรปู เรขาคณิตสามมิตทิ ี่มีฐานเป็นรปู เหลย่ี มใด ๆ มียอดแหลมที่ไม่อยู่บน ระนาบเดียวกนั กบั ฐาน และหน้าทกุ หน้าเป็นรูปสามเหลีย่ มทีม่ จี ุดยอดร่วมกนั ทย่ี อด แหลมนั้นการเรยี ก ชื่อพรี ะมิด จะเรียกตามรปู ฐานของพีระมดิ 3.4. รูปปรซิ ึม 3.4.1. ปริซึม เป็นรปู เรขาคณิตสามมติ ทิ ่มี ีหน้าตดั (ฐาน) ทั้งสองข้างเป็นรปู หลายเหลีย่ มที่ เทา่ กันทกุ ประการหน้าตัด (ฐาน) ทั้งสองอยูใ่ นระนาบท่ีขนานกัน มีหน้าข้างเปน็ รปู สี่เหลีย่ มมมุ ฉาก การเรยี กช่อื ปรซิ มึ จะเรียกตามรปู หนา้ ตัดของปริซึมสว่ นต่าง ๆ ของ ปรซิ ึม 3.5. กรวย 3.5.1. กรวย เป็นรปู เรขาคณิตสามมิตทิ ่ีมีฐานเป็นรูปวงกลม มยี อดแหลมทไ่ี ม่อยใู่ นระนาบ เดยี วกนั กบั ฐาน และเสน้ ที่ตอ่ ระหว่างจดุ ยอดกับจดุ ใด ๆ บนขอบของฐานเป็นส่วนของ เส้นตรงดดา้ นขา้ งเปน็ ผวิ โค้งเรยี บระมิ สว่ นตา่ ง ๆของกรวย ขอ้ แตกต่างของพรี ะมิด กับกรวย คือ- ฐาน พีระมดิ ฐานรปู หลายเหล่ยี มกรวยฐานรปู วงกลม

4. การเขียนรูปเรขาคณิตสามมติ ิ 4.1. รูปทรงกระบอก 4.1.1. ขั้นที่ 1 เขียนวงรแี ทนหน้าตัดทเ่ี ป็นวงกลม และเขียนสว่ นของเส้นตรงสองเสน้ แสดง ส่วนสูงของทรงกระบอก 4.1.2. ขั้นท่ี 2 เขยี นวงรีทมี่ ขี นาดเท่ากับวงรีท่ใี ชใ้ นข้นั ที่ 1 แทนทว่ี งกลมซึ่งเป็นฐานของ ทรงกระบอกและเขยี นเสน้ ประแทนเสน้ ทึบตรงส่วนทถี่ กู บงั 4.2. รปู กรวย 4.2.1. ข้ันท่ี 1 เขยี นวงรแี ทนหนา้ ตัดท่เี ป็นวงกลม 4.2.2. ขั้นท่ี 2 เขยี นส่วนของเสน้ ตรงสองเส้นแสดงสูงเอยี ง มาพบกนั ทจี่ ุดยอดแหลมของ กรวยท่ไี มอ่ ยรู่ ะนาบเดยี วกับฐาน 4.3. รปู ทรงพรี ะมดิ 4.3.1. ขน้ั ที่ 1 เขยี นวงรีแทนหนา้ ตดั ทเ่ี ปน็ วงกลม 4.3.2. ขน้ั ท่ี 2 กาหนดจุดบนวงรีเพื่อใชเ้ ปน็ จดุ ยอดของสีเ่ หลี่ยม กาหนด 4 จุด 4.3.3. ขน้ั ท่ี 3 เขียนส่วนสูงของพรี ะมิดจากจุดยอดลงมาบนจุดทง้ั สี่ ท่กี าหนดไว้ท่ี ข้นั ที่ 2 4.3.4. ขั้นท่ี 4 เขี่ยนสว่ นของเส้นตรงเช่อื มจุดทั้ง 4 จดุ บนวงรี ใหเ้ ปน็ รปู สี่เหลี่ยม จะไดร้ ูป พรี ะมดิ 4.4. รูปปรซิ มึ 4.4.1. ขั้นที่ 1 เขยี นรปู สี่เหลย่ี มมุมฉาก 1 รูป 4.4.2. ขั้นที่ 2 เขียนรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากขนาดเทา่ กันกับรูปในข้ันท่ี 1 อกี 1 รูป ให้อยู่ใน ลักษณะท่ขี นาน กันและเหลอ่ื มกันประมาณ 30 องศา 4.4.3. ขั้นท่ี 3 ลากสว่ นของเส้นตรงเช่อื มต่อจุดให้ได้ทรงส่เี หลย่ี มมุมฉาก 4.4.4. ขน้ั ท่ี 4 เขียนเส้นประแทนดา้ นท่ถี กู บัง รูปร่างและรปู ทรงเป็นส่วนประกอบของเส้นที่สาคัญ ท่ีนาไปใช้ในการออกแบบ 1. รูปร่าง ( Shape ) หมายถงึ เสน้ รอบนอก ( Out Line ) ของวัตถุท่ีเรามองเห็น ซ่งึ เป็นลกั ษณะ 2 มิติ มี ความกว้างและความยาว ไม่มีความหนาหรอื ความลึกนาไปใช้ในงานออกแบบ 2 มติ ิ รูปรา่ งแบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คือ 1.1 รูปรา่ งตามธรรมชาติ ( Natural Shape) หมายถึง รูปร่าง ที่เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติทเี่ ราได้ พบเห็นกันอยทู่ ุกวนั เช่น คน สัตว์ พชื เป็นตน้ 1.2 รปู รา่ งเรขาคณิต ( Geometrical Shape ) หมายถงึ รปู รา่ งทีม่ นษุ ย์สร้างข้ึน มโี ครงสร้าง แน่นอน เช่น วงกลม สามเหลี่ยม สเ่ี หลยี่ ม เปน็ ต้น

1.3 รูปรา่ งอิสระ ( Free Shape ) หรอื เรียกอีกอย่างหนงึ่ ว่า Abstract shape หมายถงึ รปู รา่ งที่ไมม่ ี โครงสรา้ งแน่นอนถูกเปล่ียนแปลงใหง้ ่ายข้นึ หรือตดั ตอนใหผ้ ิดเพีย้ นไปจากความจรงิ อาจจะขยายข้ึน ตัด ทอน ดัดแปลง เพ่อื ใหเ้ กิดความแปลกใหม่ เชน่ รูปร่างของใบไม้ ก้อนเมฆ ถงุ เท้า เปน็ ต้น 2. รูปทรง ( Form ) หมายถึง ลักษณะของวตั ถุท่เี รามองเหน็ เป็นรปู 3 มิติ คอื มีความกวา้ ง ความยาว และ ความหนา หรือความลึก เรามองไมเ่ ห็นเสน้ ขอบของวตั ถุ แตเ่ ราเหน็ รูปได้จากความลึกของเสน้ สี แสง และเงา ถ้า วตั ถุน้ันมีปริมาตรเราจะเห็นเป็นรูป 3 มติ ิ รูปทรงแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คอื 2.1 รูปทรงจากธรรมชาติ ( Natural Form ) หมายถึง รปู ทรงที่เกดิ จากสง่ิ มีชีวติ ในธรรมชาติ เช่น คน สตั ว์ พืช โดยการนามาถ่ายทอดเปน็ งานศลิ ปะในลกั ษณะ 3 มติ ิ รปู ทรงประเภทนี้จะให้ความรสู้ ึกมีชวี ติ 2.2 รูปทรงเรขาคณติ ( Geometrical Form ) หมายถงึ รปู ทรงท่มี นษุ ยส์ รา้ งขึน้ ดว้ ยเครอื่ งมือ ไดแ้ ก่ รปู ทรงสามเหลีย่ ม รูปทรงสีเ่ หลย่ี ม รปู ทรงกลม เป็นต้น รูปทรงเหล่าน้จี ะแสดง ความกว้าง ความยาวและ ความหนาหรอื ความลึก มคี วามเปน็ มวลหรือมีปริมาตร 2.3 รปู ทรงอสิ ระ ( Free form ) รปู ทรงอสิ ระ หมายถึง รูปทรงที่เกดิ ขึน้ เองตามธรรมชาติ หรือ มนุษย์สรา้ งขน้ึ ไมม่ ีโครงสร้างเปน็ มาตรฐานแนน่ อนเหมือนรูปทรงเรขาคณิตหรอื รูปทรงจากสงิ่ มชี ีวิต ไดแ้ ก่ รปู ทรงของ ก้อนหิน กอ้ นกรวด ดิน หยดน้า กอ้ นเมฆ เปลวไฟ คลน่ื น้า คลน่ื ทราย รปู ปน้ั ภาพเขียนเปน็ ต้น รปู ทร

แกนสมมาตร รปู สมมาตร คือรปู ท่เี มื่อเราพับครงึ่ แล้วแต่ละข้างของรปู ทบั กนั พอดี ซึง่ ตรงกลางของรปู ท่เี ป็นรอยพบั เรียกวา่ \"แกนสมมาตร\" แกนสมมาตร คอื เสน้ ทีแ่ บง่ รูปออกเป็นสองขา้ ง และสามารถพบั รูปท้งั สองมาทบั กนั พอดี รูปเรขาคณิตที่มีแกนสมมาตร - รปู ส่ีเหลย่ี ม มแี กนสมมาตร 4 แกน - รูปสามเหลี่ยมดา้ นเท่า มีแกนสมมาตร 3 แกน - รูปสามเหล่ยี มดา้ นไมเ่ ท่า มีแกนสมมาตร 1 แกน - รปู 6 เหลียม มแี กนสมมาตรมากว่า 4 แกน - รูปวงกลม มีแกนสมมาตรมากกวา่ รูปใด ๆ - รปู ดาว มีแกนสมมาตร 1 แกน - รปู หวั ใจ มแี กนสมมาตร 1 แกน ตัวอยา่ งรปู ภาพแกนสมมาตร

ใบความรู้สาหรบั ผจู้ ัดกิจกรรม เร่ือง การประดษิ ฐด์ อกไม้กระดาษ ดอกไม้ประดิษฐ์ เปน็ ส่งิ ประดษิ ฐ์ขน้ึ จากวัสดมุ ีลกั ษณะคลา้ ยรปู รา่ งดอกไม้ ท่ถี ูกผลิตข้นึ มาจากแรงงานฝีมือ มนษุ ย์ เคร่ืองจกั ร หรืออุปกรณ์การผลติ โดยมีการใช้วัตถดุ ิบการผลิตจากธรรมชาติ หรอื วัตถุดิบท่ีเกิดจากการสงั เคราะห์ มาผลิตโดยผ่านขนั้ ตอนการประดิษฐ์ ดดั แปลง อบ ย้อม เผา เคลือบสารเคมี รวมทงั้ ทาการตกแตง่ ตัดต่อเตมิ เพ่ือก่อ ให้เกิดความสวยงาม โดยดอกไมท้ ี่ประดิษฐ์ข้ึนมาอาจจะมีความเหมอื นหรอื ไมเ่ หมอื นธรรมชาติกไ็ ด้ข้นึ กับวตั ถปุ ระสงคก์ าร ใช้งาน โดยคุณสมบัติของดอกไมป้ ระดษิ ฐท์ ี่สาคญั คือ มคี วามคงทน ง่ายตอ่ การเคลอื่ นย้ายและดูแลรกั ษา มีความสวยงาม สามารถนาไปใช้ในการประดับในโอกาสต่าง ๆ การประดษิ ฐ์ ดอกไมด้ ว้ ยฝมี อื มนุษย์เป็นศลิ ปะ ทีม่ คี วามละเอยี ดอ่อน มงุ่ หวังท่ีจะดารงความงดงามตาม ธรรมชาตขิ องดอกไมใ้ ห้คงอยู่ ไม่รว่ งโรย เหยี่ วเฉา การทาดอกไมป้ ระดิษฐ์ จงึ เรม่ิ ตน้ ทก่ี ารใชค้ วามสังเกต ศกึ ษา ค้นควา้ รปู ลกั ษณะ สีสันตามธรรมชาติ ของดอกไม้แต่ละชนิด แต่ละประเภท แล้วถา่ ยทอดการทาออกมาเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ อาจถอื ไดว้ า่ เปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของบางชนชาติ ทีม่ กี ารสืบทอดการประดษิ ฐ์ดอกไมม้ ายาวนาน ดอกไม้ประดษิ ฐ์ น้นั ต้องทาโดยมอื คน 100% ซ่ึงจะทาให้เกิดความสวยงามถงึ ขดี สดุ ในปจั จุบนั นี้คนรุ่นหลงั ได้รบั การสบื ทอดการทาดอกไม้ประดิษฐม์ าจากรุ่นบรรพบุรุษ ซึ่งสืบทอดตอ่ กันมาหลายชวั่ อายคุ น หัวดอกไมต้ ่าง ๆ ท่ีประดิษฐ์ ขน้ึ มาทาให้เกดิ ธุรกจิ ขายสง่ ดอกไม้ประดิษฐห์ ลายเจา้ ซึง่ ความเกา่ แก่ยาวนาน และ เป็นศาสตร์ท่นี ่าสนใจ โดยผู้ที่ศกึ ษา นั้นจาเป็นจะตอ้ งมีความสนใจเป็นพิเศษโดยแท้จรงิ ต้องทาการ ค้นควา้ ศกึ ษา หาความรูใ้ นด้านดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ให้มาก

ทสี่ ุด ซง่ึ หาสอนไดย้ าก เพราะ เปน็ วชิ าชพี เฉพาะ และ คนร่นุ ใหม่นน้ั ให้ความสนใจกนั นอ้ ย แตห่ ากสามารถนาไปทาในข้ัน วิชาชีพแลว้ เป็นงานท่ีรายได้ดที เี ดยี ว หากฝีมือดีออกแบบได้เกง่ โอกาศรวยก็มาก ซ่งึ ขัน้ ตอนการทาดอกไม้ประดิษฐน์ ้ันก็ มีหลากหลายขั้นตอนมาก แต่ละสานักก็สอนไมเ่ หมอื นกนั ทาให้เป็นเสนห่ ์อยา่ งมากของวงการน้ี รวมไปถงึ วตั ถดุ บิ ท่แี ต่ละ โรงงานก็ต่างกัน ดีไมเ่ หมอื นกัน ขายส่งดอกไม้ประดิษฐเ์ ป็นธรุ กจิ ใหญใ่ นปจั จบุ ันไปแล้ว เพราะ หัวดอกไมป้ ระดิษฐ์นัน้ มา แรงมากในเวลาน้ี กข็ อใหค้ นรุ่นใหม่ใส่ใจวิชาชพี ดอกไม้ประดิษฐ์กนั หนอ่ ยอย่าละเลยหรอื ดูถูก ดอกไมป้ ระดษิ ฐค์ อื อะไร ทาไมต้องมี ? ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ เป็นสิ่งที่มนษุ ย์สร้างข้ึน เพอ่ื ทดแทนดอกไม้สด หรอื ดอกไม้จริง ซ่ึงจะสร้างมาให้ คลา้ ยคลึงกับดอกไมจ้ รงิ มากที่สดุ ซ่ึงวตั ถุดิบทีใ่ ช้นน้ั มที ัง้ ยอ้ ม อบ ดดั แปลงสี ท้งั จากผ้า หรือ ดอกไมจ้ ริง ซึ่งมา หลากหลายวิธมี าก ซง่ึ เอกลกั ษณ์ท่ีเด่นชดั ของมนั คือ มคี วามคงทน ถาวร ไม่เสีย หรอื เนา่ น้ันเอง ทาให้เหมาะกบั นาไปใช้ งานไดห้ ลากหลายรูปแบบ ดอกไม้ประดษิ ฐ์นน้ั สืบทอดกนั มาอยา่ งยาวนาน ซง่ึ มนุษยน์ นั้ ได้เร่ิมคน้ ควา้ ดดั แปลง พัฒนามา โดยตลอด โดยปัจจบุ ันถึงขนาดมโี รงเรียนสอนประดษิ ฐด์ อกไมป่ ระดษิ ฐ์ข้ึนมา เพอ่ื เป็นแนวทางอาชีพแก่คนรุ่นตอ่ ๆ ไป รวมท้งั ธุรกจิ ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์น้นั เรม่ิ เติบโตขึน้ ทาใหเ้ กิดการขายสง่ เปน็ โรงงานใหญโ่ ต ซึ่งไดพ้ ัฒนาประยุกต์ไปถึง การผลติ หัวดอกไม้ เพ่อื การใชง้ านในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พวงหรีดตามงานศพ จะใช้ดอกไม้ประดิษฐ์กนั มากขน้ึ เพราะ ใชง้ านงา่ ย ไม่เหย่ี วเฉา รวมถงึ ไมม่ แี มลงมาเกาะใหร้ าคาญ รวมไปถงึ หัวดอกไมต้ ่าง ๆ ที่มักจะนยิ มเอาไปประดับบนร่างกายของ คนเรา หรือ สงิ่ ของ ทาใหเ้ จ้าธรุ กิจในตลาดน้ีเติบโตข้ึนมาก จากเมือ่ กอ่ นขายกันเลก็ ๆ ขายปลกี ปัจจุบัน ทกุ วนั นเ้ี กิดการ ขายสง่ กนั อย่างล้นหลาม ทาให้ธุรกิจเกดิ โตมาก ซ่ึงหากจะมองไปถึงอนาคต ธุรกจิ ดอกไมป้ ระดิษฐน์ ั้นยังต้องเติบโตอีกมาก เพราะ ความตอ้ งการท่ีมากข้นึ ตามงานต่าง ๆ ท้งั งานแต่ง งานฉลอง งานสังสรรค์ และ อื่น ๆ อีกมาก วัตถุดิบอุปกรณห์ ลัก ๆ ทม่ี กั จะใช้ในการประดิษฐ์ดอกไม้ประดษิ ฐ์ หรอื หวั ดอกไม้ เช่น ผ้าออร์แกนซา ผ้ามสั ลนิ ผ้าแพรเยอื่ ไม้ ผา้ กามะหยี่ ผา้ ฝา้ ย ผา้ สกั หลาดหลาก ๆ หลายชนดิ และผ้าอ่นื ๆ อกี มาก รวมไปถงึ กระดาษชนิดต่าง ๆ เช่น กระดาษสา กระดาษย่น รวมไปถึง กระดาษอ่ืน ๆ อกี มาก ซึ่งปจั จบุ ันกระดาษนั้นเกดิ ให้หลากหลายชนิดสามารถนามาใช้ในงานดอกไม้ประดิษฐ์ ได้มาก ซึง่ งานฝมี ือในปจั จุบนั ทัง้ ใน และ นอกหลกั สตู รของเมอื งไทย จะตอ้ งมหี ลกั สูตรดอกไม้ประดษิ ฐ์ หรอื การ ประดษิ ฐ์หัวดอกไมค้ วบคกู่ นั ไป เพื่อพัฒนาทรพั ยากรบุคคลให้ก้าวสวู่ ชิ าชีพอย่างยั่งยืน ความรู้ทว่ั ไป การประดิษฐ์ดอกไมเ้ ปน็ ศิลปะอยา่ งหนึ่งท่ผี ูป้ ระดิษฐ์จะต้องเป็นผ้ทู ม่ี คี วามรกั ในศลิ ปะด้านนเี้ นอ่ื งจากเปน็ งาน ท่ีตอ้ งใชค้ วามพยายาม อดทน รักความสะอาด และเป็นคนชา่ งสงั เกต เน่ืองจากดอกไม้มอี ยู่ท่ัวไป การประดิษฐด์ อกไม้ สามารถประดษิ ฐ์ได้จากวสั ดุต่าง ๆ หลายอยา่ ง เช่น ประดิษฐ์จากผา้ กระดาษ เปลอื กข้าวโพด เปลือกหอย เกล็ดปลา รัง ไหม ฯลฯ ท่สี ามารถประดษิ ฐ์เป็นดอกไมช้ นิดเดยี วกนั ได้ แตใ่ นใบความรู้นผี้ ้จู ดั ทาประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ การ แบง่ กลมุ่ ของดอกไม้สามารถแบ่งกลุ่มได้หลายรปู แบบ แบง่ กลุ่มดอกไม้เป็น 4 กลมุ่ ใหญๆ่ คือ - ดอกไมก้ ลบี ลา คือ ดอกไมท้ ม่ี ลี ักษณะกลบี ชัน้ เดยี ว - ดอกไม้กลบี ซอ้ น คือ ดอกไม้ท่มี ีลักษณะกลีบซอ้ นกันต้งั แต่ 2 ช้นั ขึน้ ไป - ดอกไม้ทรงกระบอก คอื ดอกไม้ทม่ี ีรปู ทรงกระบอกขึ้นไปกอ่ นจงึ มกี ลีบดอกบานท่ีส่วนปลายดอก - ดอกกล้วยไม้ คอื ดอกไมท้ ่มี ีลักษณะแตกตา่ งไปจากดอกไมช้ นดิ อื่น ๆ

ประโยชน์ของดอกไม้ประดิษฐ์ ข้อดีของดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ หรอื ดอกไม้ปลอมสร้างมาเพ่ือใช้แทนดอกไม้ทเี่ ปน็ ธรรมชาติ ซ่งึ ไมต่ ้องคานงึ ถงึ สภาพ อากาศ ดอกไมป้ ระดษิ ฐเ์ ท่านัน้ ที่จะสามารถชว่ ยให้มดี อกไม้อยา่ งที่ต้องการ ช่วยประหยดั ค่าใชจ้ ่าย ประโยชน์ของ ดอกไม้มีประโยชน์ตอ่ ไปน้ี 1. เป็นการใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ 2. มีความภมู ิใจในผลงานของตน 3. มีรายได้จากผลงาน 4. มคี วามคดิ รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ 5. เป็นการฝึกให้รู้จกั สังเกตสง่ิ รอบ ๆ ตัว และนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ 6. เป็นอาชพี เสริมได้

ใบกิจกรรม เรือ่ ง การประดษิ ฐ์ดอกไม้จากกระดาษ วัตถปุ ระสงค์ เมอื่ สิ้นสดุ แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรนู้ ี้แลว้ ผู้รบั บรกิ ารสามารถ 1. อธบิ ายรูปเรขาคณิต และแกนสมมาตรในการทากระดาษสรา้ งรายได้ 2. ประดษิ ฐด์ อกไม้กระดาษ เนอื้ หา 1. รปู เรขาคณิต และแกนสมมาตรในการทากระดาษสรา้ งรายได้ 1.1 รปู ร่างและรูปทรงเรขาคณติ 1.2 แกนสมมาตร 2. ประดิษฐด์ อกไมก้ ระดาษ 2.1 การออกแบบดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ 2.2 ลักษณะของกระดาษที่นามาประดษิ ฐ์ดอกไม้ คาชี้แจง ให้ผรู้ ับบรกิ ารปฏิบัติกิจกรรมการประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ ซง่ึ มีเงือ่ นไขว่าต้องเป็นดอกไม้ กระดาษขนาดใหญ่ ท่ีสวยงามและเหมาะสมกับฉากสาหรบั ถ่ายรูป ดงั ต่อไปนี้ 1. ออกแบบดอกไมป้ ระดษิ ฐจ์ ากกระดาษ 2. การประดษิ ฐ์ดอกไม้จากกระดาษ 3. ปัญหาหรืออุปสรรคอืน่ ๆ ท่ีพบมีอะไรบา้ ง 4. แนวทางการปรบั ปรงุ แกไ้ ขปญั หาและอปุ สรรคทาไดอ้ ย่างไร

1. ออกแบบดอกไม้ประดิษฐจ์ ากกระดาษ โดยวาดแบบรปู ของดอกไมช้ นิดใดก็ได้ จานวน 3 ดอก และระบุ รายละเอียด เช่น ช่อื ชนดิ ดอกไม้ ความยาวและความกว้างของกลีบดอก จานวนกลบี ดอก เกสรของดอกไม้ 1. ช่อื ดอก...................................... รปู แบบกลบี ดอก 2. ช่ือดอก...................................... รปู แบบกลบี ดอก 3. ชอื่ ดอก...................................... รปู แบบกลบี ดอก

2. ผู้รับบรกิ ารประดษิ ฐด์ อกไม้จากกระดาษ ตามเงอ่ื นไขทก่ี าหนดไว้ และนาชนิ้ งานที่ประดษิ ฐ์เสร็จแล้วไป ตดิ ท่ีฉากสาหรับถ่ายรปู ที่ได้จัดเตรยี มไว้แลว้ ตวั อย่างรูปทรงฉากสาหรับถ่ายรูป 3. ปญั หาหรืออปุ สรรคอ่ืน ๆ ทีพ่ บ มอี ะไรบา้ ง ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. 4. แนวทางการปรับปรงุ แกไ้ ขปัญหาและอปุ สรรคทาได้อย่างไร ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบความรสู้ าหรบั ผู้รบั บรกิ าร เร่ือง รปู เรขาคณติ และแกนสมมาตร รปู เรขาคณติ 1. ความหมาย 1.1 รูปเรขาคณิตสองมิติ 1.1.1 แบง่ ตามลกั ษณะของด้าน หรอื ขอบของรปู นัน้ เช่น รูปสามเหล่ียม รูปส่ีเหล่ยี ม รปู หลายเหลี่ยม หรือ รูปวงกลม เปน็ ตน้ 1.2 รูปเรขาคณิตสามมิติ 1.2.1 เป็นรปู เรขาคณิตทรงสามมิตทิ ี่มฐี านหรอื หนา้ ตัดเปน็ รปู ทรงต่าง ๆ เช่น รูปทรงกระบอก รูปทรงกลม รปู พีระมดิ รปู ปริซมึ รปู กรวย เปน็ ตน้ 2. ชนิดรูปเรขาคณติ สองมติ ิ 2.1. รปู สามเหล่ียม มีด้าน 3 ดา้ น มมี ุม 3 มุม 2.2. รปู สเี่ หลี่ยม มีดา้ น 4 ด้าน มมี มุ 4 มมุ 2.3. รูปห้าเหลีย่ ม มีด้าน 5 ดา้ น มมี มุ 5 มมุ 2.4. รูปหกเหล่ียม มีดา้ น 6 ด้าน มมี มุ 6 มมุ 2.5. รูปแปดเหล่ยี ม มดี ้าน 8 ดา้ น มีมุม 8 มุม 3. ชนิดรูปเรขาคณติ สามมิติ 3.1. รปู ทรงกระบอก 3.1.1. ทรงกระบอก เปน็ รปู เรขาคณติ สามมิติทม่ี ีฐานสองฐานเป็นรูปวงกลมทีเ่ ท่ากันทุก ประการและอยู่บนระนาบทขี่ นานกนั และเมอ่ื ตัดรูปเรขาคณิตสามมติ ิน้นั ด้วยระนาบ ท่ีขนานกบั ฐานแลว้ จะได้หน้าตดั เปน็ วงกลมทเี่ ท่ากนั ทกุ ประการกนั ฐานเสมอ ด้านขา้ งเปน็ ผิวเรยี บโค้งส่วนตา่ ง ๆ ของทรงกระบอก 3.2. รปู ทรงกลม 3.2.1. ทรงกลม เปน็ รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีด้านขา้ งเป็นผวิ โค้งเรยี บ และจุดทุกจุดบนผวิ โค้ง อยหู่ ่างจากจุดคงท่ีจุดหนงึ่ เป็นระยะเทา่ กัน เรียกจุดคงท่วี ่า จุดศนู ย์กลางของทรงกลม เรยี กระยะทีเ่ ทา่ กันวา่ รัศมขี องทรงกลม 3.3. รูปพรี ะมดิ 3.3.1. พรี ะมิด เปน็ รูปเรขาคณิตสามมิติทม่ี ีฐานเป็นรูปเหลี่ยมใด ๆ มียอดแหลมที่ไม่อยู่บน ระนาบเดียวกนั กบั ฐาน และหนา้ ทกุ หน้าเป็นรปู สามเหลี่ยมทม่ี ีจดุ ยอดร่วมกนั ทย่ี อด แหลมนัน้ การเรียก ชื่อพีระมดิ จะเรียกตามรปู ฐานของพรี ะมิด 3.4. รูปปริซึม 3.4.1. ปริซึม เปน็ รปู เรขาคณิตสามมิตทิ ่มี ีหน้าตดั (ฐาน) ทง้ั สองขา้ งเปน็ รูปหลายเหล่ียมที่ เทา่ กันทกุ ประการหนา้ ตัด (ฐาน) ท้งั สองอยใู่ นระนาบทีข่ นานกนั มีหน้าข้างเปน็ รูป สเี่ หล่ยี มมมุ ฉาก การเรียกชอื่ ปรซิ ึมจะเรียกตามรปู หนา้ ตัดของปรซิ มึ สว่ นต่าง ๆ ของ ปริซึม 3.5. กรวย 3.5.1. กรวย เปน็ รปู เรขาคณิตสามมิติท่มี ฐี านเปน็ รปู วงกลม มียอดแหลมทไ่ี ม่อย่ใู นระนาบ เดยี วกนั กับฐาน และเส้นทีต่ ่อระหวา่ งจดุ ยอดกบั จุดใด ๆ บนขอบของฐานเป็นสว่ นของ เส้นตรงดดา้ นข้างเปน็ ผิวโค้งเรียบระมิ สว่ นตา่ ง ๆของกรวย ขอ้ แตกต่างของพรี ะมดิ กบั กรวย คือ- ฐาน พีระมิดฐานรูปหลายเหลี่ยมกรวยฐานรูปวงกลม

4. การเขียนรปู เรขาคณิตสามมติ ิ 4.1. รปู ทรงกระบอก 4.1.1. ขั้นที่ 1 เขียนวงรแี ทนหนา้ ตัดทเ่ี ปน็ วงกลม และเขยี นสว่ นของเสน้ ตรงสองเส้น แสดง สว่ นสงู ของทรงกระบอก 4.1.2. ข้นั ท่ี 2 เขียนวงรที ่มี ขี นาดเท่ากับวงรที ใี่ ชใ้ นข้นั ที่ 1 แทนทว่ี งกลมซ่ึงเป็นฐานของ ทรงกระบอกและเขียนเส้นประแทนเส้นทบึ ตรงส่วนทถี่ ูกบัง 4.2. รูปกรวย 4.2.1. ขนั้ ที่ 1 เขยี นวงรแี ทนหนา้ ตัดทีเ่ ปน็ วงกลม 4.2.2. ขั้นที่ 2 เขียนส่วนของเส้นตรงสองเสน้ แสดงสูงเอยี ง มาพบกันท่ีจุดยอดแหลมของ กรวยทไี่ ม่อยรู่ ะนาบเดียวกบั ฐาน 4.3. รปู ทรงพีระมิด 4.3.1. ขน้ั ที่ 1 เขยี นวงรแี ทนหน้าตดั ท่เี ป็นวงกลม 4.3.2. ขน้ั ท่ี 2 กาหนดจุดบนวงรีเพื่อใช้เปน็ จดุ ยอดของสีเ่ หลีย่ ม กาหนด 4 จุด 4.3.3. ขั้นท่ี 3 เขยี นสว่ นสูงของพีระมดิ จากจุดยอดลงมาบนจุดทงั้ ส่ี ที่กาหนดไวท้ ี่ ขน้ั ท่ี 2 4.3.4. ขั้นที่ 4 เข่ียนสว่ นของเสน้ ตรงเชอื่ มจุดท้ัง 4 จุดบนวงรี ใหเ้ ป็นรูปส่ีเหลย่ี ม จะไดร้ ปู พรี ะมิด 4.4. รปู ปรซิ ึม 4.4.1. ขั้นที่ 1 เขียนรูปส่ีเหล่ียมมุมฉาก 1 รปู 4.4.2. ขั้นที่ 2 เขียนรปู ส่ีเหลย่ี มมุมฉากขนาดเท่ากันกับรปู ในข้ันท่ี 1 อกี 1 รปู ให้อยู่ใน ลักษณะที่ขนาน กันและเหลอื่ มกนั ประมาณ 30 องศา 4.4.3. ขน้ั ท่ี 3 ลากสว่ นของเส้นตรงเชื่อมต่อจุดให้ไดท้ รงสเี่ หลย่ี มมุมฉาก 4.4.4. ขน้ั ที่ 4 เขียนเส้นประแทนด้านทีถ่ กู บงั รูปร่างและรูปทรงเป็นส่วนประกอบของเส้นทส่ี าคัญ ทนี่ าไปใชใ้ นการออกแบบ 1. รูปร่าง ( Shape ) หมายถึงเสน้ รอบนอก ( Out Line ) ของวัตถุทเ่ี รามองเหน็ ซ่งึ เป็นลักษณะ 2 มติ ิ มี ความกว้างและความยาว ไมม่ ีความหนาหรอื ความลกึ นาไปใชใ้ นงานออกแบบ 2 มติ ิ รูปรา่ งแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.1 รูปรา่ งตามธรรมชาติ ( Natural Shape) หมายถึง รูปร่าง ท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตทิ ี่เราได้ พบเห็นกันอยู่ทุกวนั เช่น คน สตั ว์ พืช เป็นต้น 1.2 รูปร่างเรขาคณิต ( Geometrical Shape ) หมายถงึ รปู รา่ งที่มนุษยส์ ร้างข้นึ มโี ครงสรา้ ง แน่นอน เชน่ วงกลม สามเหล่ยี ม สเี่ หลี่ยม เปน็ ต้น

1.3 รูปรา่ งอสิ ระ ( Free Shape ) หรือเรยี กอีกอย่างหน่งึ วา่ Abstract shape หมายถึงรปู ร่างท่ีไมม่ ี โครงสรา้ งแนน่ อนถูกเปลยี่ นแปลงให้งา่ ยขึน้ หรือตัดตอนใหผ้ ิดเพี้ยนไปจากความจริงอาจจะขยายข้ึน ตดั ทอน ดัดแปลง เพอ่ื ให้เกดิ ความแปลกใหม่ เชน่ รปู ร่างของใบไม้ ก้อนเมฆ ถงุ เท้า เป็นตน้ 2. รปู ทรง ( Form ) หมายถงึ ลักษณะของวตั ถทุ ี่เรามองเหน็ เป็นรปู 3 มิติ คือมีความกวา้ ง ความยาว และ ความหนา หรอื ความลกึ เรามองไมเ่ ห็นเส้นขอบของวตั ถุ แต่เราเห็นรูปได้จากความลกึ ของเสน้ สี แสง และเงา ถ้า วัตถนุ ัน้ มีปริมาตรเราจะเห็นเปน็ รปู 3 มิติ รปู ทรงแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คอื 2.1 รูปทรงจากธรรมชาติ ( Natural Form ) หมายถึง รปู ทรงที่เกิดจากสงิ่ มีชีวิตในธรรมชาติ เช่น คน สัตว์ พชื โดยการนามาถ่ายทอดเป็นงานศิลปะในลกั ษณะ 3 มิติ รปู ทรงประเภทน้จี ะให้ความรสู้ ึกมีชีวติ 2.2 รูปทรงเรขาคณิต ( Geometrical Form ) หมายถึง รปู ทรงทมี่ นุษยส์ ร้างขน้ึ ด้วยเครอ่ื งมอื ได้แก่ รปู ทรงสามเหลยี่ ม รปู ทรงสี่เหล่ียม รูปทรงกลม เป็นต้น รปู ทรงเหลา่ นีจ้ ะแสดง ความกว้าง ความยาวและ ความหนาหรือความลึก มีความเป็นมวลหรือมปี ริมาตร 2.3 รูปทรงอิสระ ( Free form ) รปู ทรงอสิ ระ หมายถงึ รูปทรงท่เี กิดข้นึ เองตามธรรมชาติ หรือ มนษุ ย์สร้างขน้ึ ไม่มโี ครงสร้างเปน็ มาตรฐานแน่นอนเหมือนรูปทรงเรขาคณิตหรอื รูปทรงจากส่งิ มชี ีวติ ไดแ้ ก่ รูปทรงของ ก้อนหนิ ก้อนกรวด ดนิ หยดนา้ กอ้ นเมฆ เปลวไฟ คล่นื น้า คล่ืนทราย รูปปัน้ ภาพเขียนเปน็ ตน้ รปู ทร

แกนสมมาตร รปู สมมาตร คือรปู ทเี่ มื่อเราพับครงึ่ แล้วแต่ละข้างของรปู ทบั กนั พอดี ซึง่ ตรงกลางของรปู ท่เี ปน็ รอยพบั เรยี กว่า \"แกนสมมาตร\" แกนสมมาตร คอื เสน้ ทีแ่ บง่ รูปออกเป็นสองขา้ ง และสามารถพบั รูปท้งั สองมาทบั กนั พอดี รูปเรขาคณิตที่มีแกนสมมาตร - รปู ส่ีเหลย่ี ม มแี กนสมมาตร 4 แกน - รูปสามเหลี่ยมดา้ นเท่า มีแกนสมมาตร 3 แกน - รูปสามเหล่ยี มดา้ นไม่เท่า มีแกนสมมาตร 1 แกน - รปู 6 เหลียม มแี กนสมมาตรมากว่า 4 แกน - รูปวงกลม มีแกนสมมาตรมากกวา่ รูปใด ๆ - รปู ดาว มีแกนสมมาตร 1 แกน - รปู หวั ใจ มแี กนสมมาตร 1 แกน ตัวอยา่ งรปู ภาพแกนสมมาตร

ใบความรู้สาหรับผู้รบั บรกิ าร เร่อื ง การประดิษฐ์ดอกไม้กระดาษ ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ เป็นสง่ิ ประดษิ ฐข์ น้ึ จากวสั ดมุ ลี ักษณะคล้ายรูปรา่ งดอกไม้ ท่ถี ูกผลติ ขึ้นมาจากแรงงานฝมี อื มนุษย์ เครื่องจกั ร หรืออุปกรณ์การผลติ โดยมีการใช้วัตถดุ ิบการผลิตจากธรรมชาติ หรือวัตถุดิบที่เกิดจากการสังเคราะห์ มาผลิตโดยผ่านข้ันตอนการประดิษฐ์ ดดั แปลง อบ ยอ้ ม เผา เคลือบสารเคมี รวมท้ังทาการตกแตง่ ตดั ตอ่ เติม เพอื่ กอ่ ให้เกดิ ความสวยงาม โดยดอกไม้ทป่ี ระดิษฐ์ขึน้ มาอาจจะมีความเหมอื นหรอื ไมเ่ หมือนธรรมชาติก็ได้ข้นึ กบั วัตถปุ ระสงค์การ ใชง้ าน โดยคุณสมบัตขิ องดอกไมป้ ระดิษฐ์ท่ีสาคัญคอื มคี วามคงทน งา่ ยต่อการเคลอ่ื นย้ายและดูแลรกั ษา มคี วามสวยงาม สามารถนาไปใช้ในการประดบั ในโอกาสต่าง ๆ การประดิษฐ์ดอกไมด้ ้วยฝมี ือมนุษยเ์ ปน็ ศิลปะทม่ี ีความละเอียดออ่ น ม่งุ หวงั ที่จะดารงความงดงามตามธรรมชาติ ของดอกไม้ใหค้ งอยู่ ไม่ร่วงโรย เหยี่ วเฉา การทาดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ จึงเริม่ ต้นทก่ี ารใช้ความสงั เกต ศึกษา ค้นควา้ รปู ลกั ษณะ สีสันตามธรรมชาติ ของดอกไมแ้ ตล่ ะชนิด แต่ละประเภท แลว้ ถ่ายทอดการทาออกมาเปน็ ดอกไมป้ ระดิษฐ์ ดอกไม้ ประดษิ ฐ์ อาจถือไดว้ ่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบางชนชาติ ที่มีการสืบทอดการประดษิ ฐ์ดอกไม้มายาวนาน

ดอกไมป้ ระดิษฐ์ นัน้ ตอ้ งทาโดยมือคน 100% ซึง่ จะทาใหเ้ กดิ ความสวยงามถึงขีดสุด ในปัจจุบันนีค้ นรุ่น หลงั ไดร้ ับการสืบทอดการทาดอกไม้ประดิษฐ์มาจากรุ่นบรรพบรุ ษุ ซง่ึ สบื ทอดต่อกนั มาหลายชั่วอายคุ น หวั ดอกไม้ตา่ ง ๆ ท่ี ประดิษฐ์ขึน้ มาทาให้เกิดธุรกจิ ขายส่งดอกไม้ประดิษฐ์หลายเจา้ ซ่ึงความเกา่ แกย่ าวนาน และ เป็นศาสตร์ท่นี า่ สนใจ โดยผทู้ ่ี ศกึ ษานนั้ จาเป็นจะต้องมีความสนใจเปน็ พเิ ศษโดยแทจ้ ริง ต้องทาการ ค้นควา้ ศกึ ษา หาความรใู้ นดา้ นดอกไมป้ ระดิษฐใ์ ห้ มากที่สุด ซง่ึ หาสอนไดย้ าก เพราะ เป็นวิชาชีพเฉพาะ และ คนรนุ่ ใหม่น้ันให้ความสนใจกนั น้อย แต่หากสามารถนาไปทา ในขั้นวชิ าชีพแลว้ เป็นงานทรี่ ายได้ดีทีเดยี ว หากฝีมือดีออกแบบไดเ้ ก่ง โอกาศรวยก็มาก ซ่ึงขั้นตอนการทาดอกไมป้ ระดิษฐ์ น้ันก็มีหลากหลายข้ันตอนมาก แต่ละสานกั ก็สอนไม่เหมือนกัน ทาใหเ้ ป็นเสน่ห์อย่างมากของวงการนี้ รวมไปถงึ วัตถดุ บิ ที่ แตล่ ะโรงงานกต็ ่างกนั ดไี มเ่ หมอื นกนั ขายส่งดอกไมป้ ระดิษฐเ์ ป็นธุรกจิ ใหญใ่ นปัจจบุ ันไปแลว้ เพราะ หัวดอกไมป้ ระดิษฐ์ น้ันมาแรงมากในเวลานี้ ก็ขอให้คนรนุ่ ใหมใ่ สใ่ จวิชาชพี ดอกไมป้ ระดิษฐก์ ันหน่อยอย่าละเลยหรือดถู กู ดอกไมป้ ระดิษฐค์ ืออะไร ทาไมต้องมี ? ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ เปน็ สิง่ ท่ีมนุษย์สร้างขึ้น เพื่อทดแทนดอกไมส้ ด หรือ ดอกไมจ้ ริง ซึง่ จะสรา้ งมาให้ คล้ายคลงึ กับดอกไมจ้ ริงมากทส่ี ุด ซึ่งวัตถุดบิ ท่ใี ชน้ นั้ มที ้ัง ยอ้ ม อบ ดดั แปลงสี ทง้ั จากผ้า หรือ ดอกไมจ้ ริง ซง่ึ มา หลากหลายวธิ ีมาก ซ่งึ เอกลกั ษณท์ ี่เด่นชดั ของมนั คอื มีความคงทน ถาวร ไม่เสยี หรอื เนา่ นั้นเอง ทาใหเ้ หมาะกบั นาไปใช้ งานไดห้ ลากหลายรูปแบบ ดอกไม้ประดิษฐน์ นั้ สบื ทอดกันมาอยา่ งยาวนาน ซึง่ มนุษยน์ ้ันได้เรม่ิ ค้นควา้ ดัดแปลง พัฒนามา โดยตลอด โดยปจั จุบันถงึ ขนาดมโี รงเรยี นสอนประดิษฐด์ อกไมป่ ระดิษฐข์ นึ้ มา เพ่อื เป็นแนวทางอาชีพแกค่ นร่นุ ตอ่ ๆ ไป รวมท้ังธุรกจิ ดอกไม้ประดิษฐน์ ั้นเรมิ่ เตบิ โตขน้ึ ทาให้เกิดการขายสง่ เปน็ โรงงานใหญโ่ ต ซึ่งได้พฒั นาประยกุ ต์ไปถึง การผลติ หัวดอกไม้ เพ่ือการใชง้ านในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ พวงหรีดตามงานศพ จะใช้ดอกไมป้ ระดษิ ฐก์ ันมากขึน้ เพราะ ใช้งานง่าย ไม่เหีย่ วเฉา รวมถึงไม่มีแมลงมาเกาะใหร้ าคาญ รวมไปถงึ หัวดอกไมต้ ่าง ๆ ทีม่ กั จะนยิ มเอาไปประดับบนรา่ งกายของ คนเรา หรือ ส่ิงของ ทาให้เจ้าธุรกจิ ในตลาดนเี้ ตบิ โตขนึ้ มาก จากเม่อื ก่อนขายกันเล็ก ๆ ขายปลีก ปัจจุบนั ทุกวนั นเี้ กดิ การ ขายส่งกันอย่างลน้ หลาม ทาให้ธรุ กิจเกิดโตมาก ซ่ึงหากจะมองไปถงึ อนาคต ธุรกจิ ดอกไมป้ ระดิษฐน์ ั้นยงั ตอ้ งเติบโตอกี มาก เพราะ ความต้องการทีม่ ากขึน้ ตามงานตา่ ง ๆ ทั้งงานแต่ง งานฉลอง งานสงั สรรค์ และ อื่น ๆ อีกมาก วัตถดุ ิบอปุ กรณ์หลัก ๆ ท่มี กั จะใช้ในการประดิษฐ์ดอกไม้ประดษิ ฐ์ หรือ หวั ดอกไม้ เช่น ผา้ ออร์แกนซา ผ้ามัสลนิ ผา้ แพรเยื่อไม้ ผ้ากามะหยี่ ผา้ ฝา้ ย ผา้ สกั หลาดหลาก ๆ หลายชนดิ และผ้าอืน่ ๆ อกี มาก รวมไปถึงกระดาษชนดิ ต่าง ๆ เชน่ กระดาษสา กระดาษย่น รวมไปถึง กระดาษอืน่ ๆ อกี มาก ซ่งึ ปจั จุบนั กระดาษน้ันเกิดให้หลากหลายชนดิ สามารถนามาใช้ในงานดอกไมป้ ระดิษฐ์ ได้มาก ซง่ึ งานฝมี อื ในปัจจบุ นั ทง้ั ใน และ นอกหลักสตู รของเมืองไทย จะตอ้ งมีหลักสูตรดอกไม้ประดิษฐ์ หรือ การ ประดิษฐห์ ัวดอกไม้ควบคู่กนั ไป เพอ่ื พัฒนาทรัพยากรบุคคลให้ก้าวส่วู ชิ าชีพอยา่ งยงั่ ยืน ความรทู้ ว่ั ไป การประดิษฐด์ อกไม้เปน็ ศิลปะอยา่ งหนึง่ ทผี่ ู้ประดิษฐ์จะตอ้ งเปน็ ผทู้ ี่มคี วามรกั ในศลิ ปะด้านนี้เน่อื งจากเปน็ งาน ที่ต้องใชค้ วามพยายาม อดทน รกั ความสะอาด และเป็นคนชา่ งสังเกต เนอื่ งจากดอกไม้มอี ยูท่ วั่ ไป การประดษิ ฐด์ อกไม้ สามารถประดษิ ฐไ์ ด้จากวัสดุตา่ ง ๆ หลายอย่าง เช่น ประดษิ ฐจ์ ากผา้ กระดาษ เปลือกขา้ วโพด เปลือกหอย เกล็ดปลา รงั ไหม ฯลฯ ทส่ี ามารถประดิษฐ์เป็นดอกไม้ชนดิ เดียวกันได้ แตใ่ นใบความรู้นีผ้ จู้ ัดทาประดิษฐ์ดอกไม้จากกระดาษ การ แบ่งกลมุ่ ของดอกไม้สามารถแบ่งกลมุ่ ได้หลายรูปแบบ แบ่งกลุ่มดอกไมเ้ ปน็ 4 กล่มุ ใหญ่ๆ คือ - ดอกไม้กลีบลา คอื ดอกไมท้ ีม่ ลี กั ษณะกลีบชั้นเดยี ว - ดอกไม้กลบี ซ้อน คือ ดอกไม้ทีม่ ลี กั ษณะกลีบซ้อนกนั ตัง้ แต่ 2 ช้นั ข้ึนไป - ดอกไม้ทรงกระบอก คอื ดอกไม้ทีม่ ีรูปทรงกระบอกข้นึ ไปกอ่ นจงึ มกี ลบี ดอกบานทสี่ ่วนปลายดอก - ดอกกลว้ ยไม้ คือ ดอกไม้ทมี่ ลี กั ษณะแตกต่างไปจากดอกไม้ชนดิ อน่ื ๆ

ประโยชน์ของดอกไม้ประดิษฐ์ ข้อดีของดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ หรอื ดอกไม้ปลอมสร้างมาเพ่ือใช้แทนดอกไม้ทีเ่ ป็นธรรมชาติ ซ่งึ ไมต่ ้องคานงึ ถงึ สภาพ อากาศ ดอกไม้ประดษิ ฐเ์ ท่าน้นั ที่จะสามารถชว่ ยให้มดี อกไม้อยา่ งที่ตอ้ งการ ช่วยประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ย ประโยชน์ของ ดอกไม้มีประโยชน์ตอ่ ไปน้ี 1. เป็นการใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ 2. มีความภูมิใจในผลงานของตน 3. มีรายได้จากผลงาน 4. มคี วามคดิ รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ 5. เป็นการฝึกให้รู้จกั สังเกตสง่ิ รอบ ๆ ตัว และนามาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ 6. เป็นอาชพี เสริมได้

ใบกจิ กรรม เรือ่ ง การประดษิ ฐด์ อกไมจ้ ากกระดาษ วัตถปุ ระสงค์ เมอื่ สิ้นสดุ แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรนู้ ี้แลว้ ผู้รับบรกิ ารสามารถ 1. อธบิ ายรูปเรขาคณิต และแกนสมมาตรในการทากระดาษสร้างรายได้ 2. ประดษิ ฐด์ อกไม้กระดาษ เนอื้ หา 1. รปู เรขาคณิต และแกนสมมาตรในการทากระดาษสร้างรายได้ 1.1 รปู ร่างและรูปทรงเรขาคณิต 1.2 แกนสมมาตร 2. ประดิษฐด์ อกไมก้ ระดาษ 2.1 การออกแบบดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ 2.2 ลักษณะของกระดาษที่นามาประดิษฐ์ดอกไม้ คาชี้แจง ให้ผรู้ ับบริการปฏิบัติกิจกรรมการประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ ซึง่ มเี งอื่ นไขว่าต้องเป็นดอกไม้ กระดาษขนาดใหญ่ ท่ีสวยงามและเหมาะสมกับฉากสาหรับถา่ ยรูป ดังต่อไปน้ี 1. ออกแบบดอกไมป้ ระดษิ ฐจ์ ากกระดาษ 2. การประดษิ ฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ 3. ปัญหาหรืออุปสรรคอืน่ ๆ ท่ีพบมีอะไรบา้ ง 4. แนวทางการปรบั ปรงุ แกไ้ ขปญั หาและอปุ สรรคทาไดอ้ ย่างไร

1. ออกแบบดอกไมป้ ระดษิ ฐ์จากกระดาษ โดยวาดแบบรูปของดอกไม้ชนดิ ใดก็ได้ จานวน 3 ดอก และระบุ รายละเอยี ด เชน่ ชื่อชนดิ ดอกไม้ ความยาวและความกว้างของกลีบดอก จานวนกลบี ดอก เกสรของดอกไม้ ชอ่ื ดอก...................................... รูปแบบกลีบดอก ชื่อดอก...................................... รปู แบบกลบี ดอก ชอ่ื ดอก...................................... รูปแบบกลีบดอก

2. ผู้รับบริการประดษิ ฐด์ อกไม้จากกระดาษ ตามเง่ือนไขทีก่ าหนดไว้ และนาช้ินงานทป่ี ระดษิ ฐเ์ สร็จแล้วไป ตดิ ทฉ่ี ากสาหรบั ถ่ายรูปที่ได้จัดเตรียมไวแ้ ลว้ ตวั อย่างรูปทรงฉากสาหรับถ่ายรูป 3. ปญั หาหรืออปุ สรรคอื่น ๆ ทีพ่ บ มีอะไรบ้าง ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. 4. แนวทางการปรบั ปรุงแกไ้ ขปัญหาและอุปสรรคทาได้อยา่ งไร ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………