วารสารเกษมบณั ฑติ ปที ่ี 23 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มถิ ุนายน 2565) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มผู้ให้ ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ได้แก่ ผู้นาชุมชน ผู้นา ข้อมูลคือนักท่องเที่ยวท่ีมาเที่ยววังสวนบ้านแก้ว กลุ่มทางวัฒนธรรมในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านด้าน ซึ่งไม่ทราบจานวนประชากรท่ีแน่นอน จึงคานวณ วัฒนธรรม ตัวแทนจากสถาบันการศึกษาในชุมชน ขนาดกลุ่มตัวอย่างของคอดแรน (Cochran, 1977) และตัวแทนกลุ่มการท่องเที่ยวชุมชน การคัดเลือก ได้จานวน 384 คน และใช้วธิ กี ารเลอื กตวั อย่างแบบ ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ คัดเลือกจากคุณสมบัติของ เจาะจง (Purposive sampling) บุคคลที่มีบทบ าท เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ วฒั นธรรมชมุ ชน ไมต่ า่ กว่า 3 ปี และมบี ทบาทเป็น เครื่องมือแบบสอบถามพฤติกรรมการรับ ผู้มีส่วนเก่ียวข้องหลักในการบริหารจัดการชุมชน ข้อมูลข่าวสารการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมจังหวัด วฒั นธรรมชมุ ชน และการท่องเที่ยวชุมชน จันทบุรี มีลักษณะเป็นคาถามแบบตรวจสอบ รายการ (Check list) ผลการวจิ ัย พฤติกรรมการรับข้อมูลข่าวสาร การ ระเบียบวิธีวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อท่ี 2 รูปแบบการจัดการส่ือสารการตลาดท่องเที่ยวเชิง ท่องเท่ยี วเชิงวฒั นธรรมจงั หวดั จันทบรุ ี วฒั นธรรมจงั หวดั จันทบรุ ี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ใ ช้ เค ร่ื อ ง มื อ แ บ บ สัมภาษณ์โดยวิธีการประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) ในการรวบรวบข้อมูลความคิดเห็นและ ขอ้ เสนอแนะ
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) ตารางท่ี 1 พฤตกิ รรมการรบั ข้อมูลข่าวสารการท่องเทีย่ วเชิงวัฒนธรรมจังหวดั จันทบุรี จาแนกตามการสืบคน้ ขอ้ มลู ขา่ วสารจากส่อื ความถี่ในการรับขา่ วสาร ระยะเวลาในการเปิดรับข่าวสาร และเหตผุ ลในการเปิดรบั ส่ือ รายการ จานวน (n = 384) รอ้ ยละ 1. การสืบคน้ ขอ้ มูลขา่ วสารจากสือ่ ส่ืออนิ เทอร์เนต็ เชน่ กูเก้ิล 182 47.40 ส่ือมวลชน 80 20.80 สื่อท้องถนิ่ 122 31.80 รวม 384 100.00 2. ความถใ่ี นการรับขา่ วสาร 108 28.00 น้อยกว่า 2 ครงั้ ตอ่ เดือน 145 38.00 2-3 ครง้ั ต่อเดอื น 101 26.00 4-5 คร้ังตอ่ เดอื น 30 8.00 6 คร้ังข้นึ ไปต่อเดือน 384 100.00 รวม 150 39.00 3. ระยะเวลาในการเปดิ รับข่าวสาร 111 28.90 ตา่ กวา่ 15 นาที 70 18.30 20 นาที 53 13.80 25 นาที 384 100.00 มากกว่า 25 นาที รวม 83 21.60 100 26.00 4. เหตผุ ลในการเปดิ รบั ส่ือ 136 35.40 เพือ่ ความบันเทิง 65 17.00 เพอื่ ศกึ ษาข้อมูลที่ตนสนใจ 384 100.00 เพอื่ ใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ เพ่ือหาความรู้ รวม
วารสารเกษมบณั ฑิต ปที ่ี 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มถิ ุนายน 2565) จากตารางท่ี 1 แสดงว่า ข้อมูลพฤติกรรม 39.0 และส่วนใหญ่มีเหตุผลในการเปิดรับสื่อ เพื่อ การรับข้อมูลข่าวสารการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชนค์ ดิ เป็นรอ้ ยละ 35.40 จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ติดตาม ประเภทสื่อ ส่อื อนิ เทอร์เนต็ เช่น เว็บกูเกลิ้ คิดเป็น รู ป แ บ บ ก า ร จั ด ก า ร ส่ื อ ส า ร ก า ร ต ล า ด ร้อยละ 47.40 มีความถ่ีในการเปิดรับข่าวสาร 2-3 ทอ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดจนั ทบุรี ผู้วิจัยสรุป คร้ัง ต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 38.00 มีระยะเวลา ความเน้ือหา จากการประชุมย่อย นาเสนอข้อมูล ในการเปิดรับต่ากว่า 15 นาที คิดเป็นร้อยละ ในตารางที่ 2 ตารางท่ี 2 รปู แบบการจดั การสอื่ สารการตลาดท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมจงั หวัดจันทบรุ ี Source Network Message Channel Receiver เจา้ ของแหล่ง หนว่ ยงานด้านการส่ือสาร นกั ทอ่ งเท่ียว ท่องเทย่ี ว เครอื ข่ายสอ่ื สาร ส่งิ ดึงดูดใจ ผ้สู ญั จร วงั สวนบา้ นแก้ว การทอ่ งเทย่ี ว วังสวนบ้านแก้ว 1. สานกั งาน ผู้มาเยือน 1. มหาวทิ ยาลัย 1. ปา้ ยบอกทาง ประชาสมั พันธ์จงั หวัด นักทัศนศึกษา กาหนดเนอื้ หาหลัก 2. สถานท่จี อดรถ ของการสอ่ื สาร ราชภฏั 3. มคั คเุ ทศก์ 2. สือ่ มวลชน ผู้รบั สาร รับรู้ ราไพพรรณี 5. ความสะอาด 3. ส่ือท้องถน่ิ /ส่ือชมุ ชน ขอ้ มลู ขา่ วสาร 2. เทศบาลเมอื ง 6. พิพิธภัณฑ์ เกิดความรู้ ทา่ ชา้ ง 7. กจิ กรรม กลมุ่ เอกชน บริษัท ความเขา้ ใจ 3. องคก์ ารบรหิ าร ทวั ร์Media คดิ ตดั สินใจใน ส่วนจงั หวดั 1. วทิ ยุ หนงั สือพิมพ์ การท่องเทีย่ ว จันทบรุ ี ทอ้ งถนิ่ 4. สานักงานการ 2. ส่ืออนิ เตอร์เน็ต ทอ่ งเทีย่ วและ 3. ส่อื มวลชน กีฬาจงั หวัด จนั ทบรุ ี สอื่ มวลชน สือ่ ทอ้ งถ่นิ ประสานงานไปยัง ผูป้ ระกอบการ ช่วยเป็น สื่อและองค์กรที่ ช่องทางการสอื่ สารใน เกี่ยวขอ้ งเพื่อให้ ลกั ษณะขา่ วแจกหรอื เกดิ การส่ือสาร การเปน็ จดุ วางสอ่ื อกี ช่องทางการ ประชาสมั พนั ธ์ ส่ือสารหน่ึง แนวความคดิ
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) จาตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่ารูปแบบการ วัฒนธรรม เพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยมี จัดการสื่อสารการตลาดท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม ชุมชนเป็นกลไกในการสร้างเนือ้ หา และมีเครือขา่ ย จังหวัดจันทบุรี เป็นเคร่ืองมือสาหรับส่งเสริมการ สนับสนุนในเรอ่ื งดาเนินการสือ่ สารให้แก่ชุมชน ซึ่ง ท่องเท่ียวและพัฒนาการท่องเท่ียว บนฐานการ สอดคล้องกับงานวิจัยของ จาปาทอง (2556) ได้ จัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรมและการส่งเสริม ศึ ก ษ า ก า ร ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ง า น ป ร ะ ช า สั ม พั น ธ์ เพื่ อ การปรบั ใช้ทนุ ทางวัฒนธรรม เพ่ือให้เกิดมูลค่าทาง ประสิทธิผลด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด เศรษฐกิจโดยมีชุมชนเป็นกลไกในการสร้างเน้ือหา ลาปาง ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า การสร้างภาคี และมีเครอื ข่ายสนับสนุนในเรื่องดาเนินการสือ่ สาร เครือข่ายด้านการประชาสัมพันธ์ทาให้นักท่องเท่ียว ให้แกช่ ุมชน เขา้ ถงึ แหลง่ ขอ้ มลู มากทสี่ ดุ สรุปและอภปิ รายผล ข้อเสนอแนะ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร รั บ ข้ อ มู ล ข่ า ว ส า ร ก า ร มหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณี และ ท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี ส่วนใหญ่ หนว่ ยงานท่ีเกยี่ วข้องควรดาเนนิ การดงั ต่อไปน้ี ติดตามสื่ออินเทอร์เน็ต เว็บกูเก้ิล โดยเปิดรับ 1. จัดสรรงบประมาณให้กับวังสวนบ้าน ข่าวสาร 2-3 ครั้ง ต่อเดือน ระยะเวลาในการ เปิดรับต่ากว่า 15 นาที เพื่อใช้เวลาว่างให้เป็น แก้ว เพ่ือนามาปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นแหล่ง ประโยชน์ ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะว่ายุคปัจจุบันส่ือ ท่องเท่ียวที่มีศักยภาพมากขึ้นโดยไม่เปล่ียนแปลง อินเตอร์เน็ตเป็นส่ือท่ีสามารถเข้าถึงได้ง่ายและ วัฒนธรรมไปจากเดมิ สะดวกรวดเร็ว มากที่สุดเม่ือเปรียบเทียบกับส่ือ ช นิ ด อื่ น ๆ ดั งนั้ น จึ งท าให้ พ ฤ ติ ก รรม ข อ ง 2. ส่งเสริมให้มีการจัดคณะนักท่องเที่ยว นั ก ท่ อ ง เท่ี ย ว เปิ ด รั บ ส่ื อ อิ น เ ท อ ร์ เน็ ต สู ง ท่ี สุ ด ศึ ก ษ า ดู ง า น เ พ่ื อ เ ป็ น ก า ร ฝึ ก ทั ก ษ ะ สอดคล้องกับแนวคิดของ กลางสาทร (2556) ได้ การท่ องเท่ี ยวข องชุ ม ช น แล ะเป็ น ก ารท า กล่าวว่า ส่ืออินเทอร์เน็ตสามารถติดต่อส่ือสารกับ ความเข้าใจในการท่องเท่ียวเชิงวฒั นธรรม บุคคลอื่นท่ัวโลก สามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆได้ เสมือนกับเราไปนั่งอยู่ท่ีห้องสมุดขนาดใหญ่ได้ 3. ผู้สนับสนุนและประสานงานไปยัง ข้อมูลมากมายจากทั่วทุกมุมโลก สามารถติดตาม หน่วยงานภาครัฐที่ทางานด้านส่ือประชาสัมพันธ์ เคล่ือนไหวจากข่าวสารท่ัวโลกอย่างรวดเรว็ ส่อื มวลชนและส่ือท้องถ่ินเพ่ือรบั ช่วงตอ่ จากชุมชน ในฐานะเครือข่ายการสื่อสารการท่องเท่ียวเชิง รู ป แ บ บ ก า ร จั ด ก า ร สื่ อ ส า ร ก า ร ต ล า ด วฒั นธรรม ท่ อ งเที่ ย ว เชิ งวั ฒ น ธ ร ร ม จั งห วั ด จั น ท บุ รี เป็นเครื่องมือสาหรับส่งเสริมการท่องเที่ยวและ พัฒนาการท่องเท่ียว บนฐานการจัดการทรัพยากร ทางวัฒนธรรมและการส่งเสริมการปรับใช้ทุนทาง
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีที่ 23 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) References Champathong, A. (2556). Creation of public relations for the effectiveness of tourism promotion of Lampang Province [Unpublished Master thesis]. Phranakhon Si Ayutthaya Rajabhat University. Chanthaburi Province. (2560). Attractions in Chanthaburi - Travel in Chanthaburi Province. http://www.bkkfly.com/travel/thailand/chanthaburi.html Cochran, W. G. (1977). Sampling techniques. Wiley Eastern. Klangsathorn, P. (2556). Advantages and disadvantages of using the Internet. http://phetnakhonusetointernet.blogspot.com/ Kruiam, P. (2556). Cultural tourism. http://tourism-dan1.blogspot.com Rattanasuwongchai, N. (2554). Strategy for the development of cultural tourism. Manutsayasat Wichakan Journal,18(1), 31-50.
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) ตวั แปรทมี่ ีอิทธิพลต่อการบริจาคโลหิตเป็นประจาที่ โรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลมิ พระเกยี รติ ณิชชา ไพรตั น์ งานธนาคารเลอื ด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ตาบลคลองหนง่ึ อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทุมธานี 12120 Email: [email protected] ติดต่อผ้เู ขยี นบทความท่ี ณชิ ชา ไพรัตน์ งานธนาคารเลือด โรงพยาบาลธรรมศาสตรเ์ ฉลมิ พระเกียรติ ตาบลคลองหนึง่ อาเภอคลองหลวง จังหวดั ปทมุ ธานี 12120 Email: [email protected] วันท่รี บั บทความ: 10 เมษายน 2562 วนั ที่แกไ้ ขบทความ: 25 พฤศจกิ ายน 2563 วันท่ตี อบรับบทความ: 15 ธนั วาคม 2563 บทคดั ย่อ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของการบริหารทรัพยากร การรับรู้คุณค่าการบริจาคโลหิตและความ เช่ือม่ันไว้วางใจในการบริจาคโลหิตต่อความต้ังใจในการบริจาคโลหิตเป็นประจา วิธีการวิจัย การวิจัยเชิง ปริมาณ เก็บข้อมูลจากผู้บริจาคโลหิตจานวน 400 คน โดยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเชิงช้ันภูมิแบบมีระบบที่ ศูนย์บริการรับบริจาคงานธนาคารเลือด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ผลการวิจัย การบริหาร ทรัพยากรท่ีจับต้องไม่ได้มีผลโดยตรงต่อการรับรู้คุณค่าของการบริจาคโลหิตและความเช่ือมั่นในการบริจาค โลหิต และมีอิทธิพลทางอ้อมต่อความตั้งใจในการบริจาคโลหิตเป็นประจาผ่านการรับรู้คุณค่าของการบริจาค โลหิตและความเช่ือมั่นต่อการบริจาคโลหิตอย่างมีนัยสาคัญ (p < 0.01) นยั ทางทฤษฎี/นโยบาย งานธนาคาร เลือด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติควรพัฒนาและให้ความสาคัญต่อการบริหารจัดการด้านการ บริการ โดยมีการอบรม ให้ความรู้ และเพ่ิมพูนจิตสานึกแก่เจ้าหน้าท่ีผู้ให้บริการ ให้มีความเข้าใจวัตถุประสงค์ ของผู้บริจาคโลหิต มีความพร้อมในการตอบขอ้ สงสัย นอกจากน้ียังควรเน้นย้าให้เจ้าหน้าทีไ่ ด้ฝึกฝนให้มีความ เช่ียวชาญในการเจาะเลอื ดและสามารถแกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ เมื่อเกดิ ภาวะแทรกซอ้ น คาสาคญั : การจดั การทรพั ยากร การรบั ร้คู ุณค่า ความไว้วางใจ การบรจิ าคโลหิต
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีท่ี 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) Variables Influencing Regular Blood Donation at Thammasat University Hospital Nichcha Pairatana Blood Donation Section of Blood Bank Department, Thammasat University Hospital, 95/8, Khlongnueng, Khlongluang, Pathumthani 12120 Email: [email protected] Correspondence concerning this article should be addressed to Nichcha Pairatana, Blood Donation Section of Blood Bank Department, Thammasat University Hospital, 95/8, Khlongnueng, Khlongluang, Pathumthani 12120 Email: [email protected] Received date: April 10, 2019 Revised date: November 25, 2020 Accepted date: December 15, 2020 Abstract PURPOSES: To look into the influences of resource management, perceived value of blood donation, and trust in blood donation on the intention to donate blood regularly. METHODS: It was a quantitative research, the empirical data being collected by questionnaires distributed to 400 blood donors at Blood Donation Section of Blood Bank Department in Thammasat University Hospital. RESULTS: The soft aspect of resource management directly affected both perceived value of blood donation and trust whereas it indirectly affected intention to donate blood regularly through the perceived value of blood donation and trust in blood donation significantly (p < 0.01). THEORY/POLICY IMPLICATIONS: Blood Bank Department at Thammasat University Hospital needs to develop and focus on service management by means of training to enhance knowledge and awareness of service personnel to understand the objectives of blood donors and ready to answer questions from them. The staff should also be trained to be proficient in blood collection and to be able to resolve immediate problems when complications arise. Keywords: Resource management, perceived value, trust, blood donation
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) บทนา ปริมาณโลหิตเพิ่มขึ้นเป็น 11,968 และ 10,013 ยูนิ งานด้านการบริการโลหิตเป็นงานบริการเพ่ือ ตตามลาดบั สารองโลหิตและส่วนประกอบของโลหิตให้เพียงพอ ปัญหาการบริจาคโลหิตที่ไม่สม่าเสมอนั้น ต่อการสนับสนุนในการช่วยเหลือเพ่ือนมนุษย์จึงต้อง ยังคงเป็นความเส่ียง (Risk) ในการบริหารจัดการคลัง สารองไว้ให้เพียงพอ (Mathew et al., 2007) การมี โลหิตเพ่ือบริการประชาชนในประเทศ องค์การ ประชากรจานวนมากส่งผลให้การเกิดอุบัติเหตุ อนามัยโลกมีการกาหนดประมาณการณ์การใช้โลหิต เพิ่มข้ึน นอกจากนี้การมีผู้สูงอายุจานวนมากรวมถึง แต่ละประเทศไวว้ ่า จานวนโลหิตท่ีได้จากการบริจาค เทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ส่งผลให้ โลหิตควรจะต้องมีปริมาณร้อยละ 2 ถึง 4 ของ จะต้องมีการทาหัตถการที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ ประชากร จึงจะเพียงพอต่อทุกประเทศ (World เช่น ศัลยกรรมการผ่าตัดเปล่ียนหัวใจ และการปลูก Health Organization, 2013) ดั ง นั้ น ส า ห รั บ ถ่ายอวัยวะต่าง ๆ (Zou et al., 2008) จึงเป็นตัว ประเทศไทยท่ีมีประชากรประมาณ 65 ล้านคนควร แปรท่ีทาให้ต้องมีการใช้โลหิตมากขึ้น ย่ิงส่งผลให้มี จะมีปริมาณการบริจาคโลหิตประมาณ 1.3 – 2.6 ความต้องการในการสารองโลหิตเพิ่มมากขึ้น ล้านยูนิตต่อปีหรือคิดเป็นวันละ 3,560 – 7,120 ยูนิต แต่จากการสารวจในประเทศไทยต้ังแต่ ปี พ.ศ. เม่ื อ พิ จ ารณ าป ริ ม าณ โล หิ ต รวม ข องงาน 2556-2557 พบว่าผู้บริจาคโลหิตโดยเฉลี่ยมีเพียง ธนาคารเลือด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระ ร้อยละ 1.6 ซึ่งน้อยกว่ามาตรฐานและปริมาณความ เกียรติใน พ.ศ. 2551-2562 พบว่า ต้ังแต่ใน พ.ศ. ตอ้ งการของการใช้โลหิตของคนในประเทศ 2553 ยอดปริมาณโลหิตเร่ิมเพ่ิมข้ึน เนื่องจากมีการ ดาเนินการเชิงรุกโดยออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ปัญหาดังกล่าวจึงจาเป็นต้องมีการศึกษาตัว เพิ่มขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์ ส่งผลให้ยอดผู้บริจาค แปรทจ่ี ะส่งผลให้เกดิ การบริจาคเป็นประจา ท้ังนี้จาก โลหิตสูงขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2555-2558 จึงสามารถ การทบทวนวรรณกรรมในประเด็นปัญหาน้ี พบว่า ให้บริการโลหิตได้อย่างเพียงพอและเป็นเครือข่ายใน บุคคลที่บริจาคโลหิตจะเป็นผู้บริจาคเป็นประจา โดย การกระจายโลหิตให้แก่โรงพยาบาลข้างเคียงได้ เกิดจากสองตัวแปรหลัก คือ 1) ตัวแปรภายใน อย่างไรก็ตามมีการปรับเปลี่ยนนโยบายจากการสรร (Internal Factor) อันเกิดจากความรู้ ความเชื่อ หาโลหิต จึงส่งผลให้ปริมาณโลหิตที่ได้ใน พ.ศ. 2560 ทัศนคติ และพฤติกรรมทเ่ี กดิ จากแรงจูงใจภายในตัวผู้ ลดลงเหลือเพียง 8,273 ยูนิต ขณะท่ีความต้องการ บริจาค และ 2) ตัวแปรภายนอก (External Factor) โลหิตเพ่ือใช้ในการรักษายังคงมีอย่างต่อเน่ือง งาน อันเกิดจากแรงจูงใจทางด้านต่าง ๆ เช่น สังคม การ ธนาคารเลือดจึงจาเป็นต้องขอโลหิตจากศูนย์บริการ สื่อสาร รวมถึงหน่วยงานรับบริจาคโลหิตท่ีสามารถ โลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ซง่ึ ก็ไม่ได้ตามปรมิ าณ จัดการคุณภาพการให้บริการทั้งในมิติด้านกายภาพ ท่ีต้องการ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการบริการ (Physical Aspect) และมิติด้านความน่าเช่ือถือ โลหิตให้แก่ผู้ป่วย ใน พ.ศ. 2561 และ พ.ศ. 2562 จึง (Reliability) (Lin & Lin, 2011) ที่จะสร้างแรงดึงดูด ได้มีการออกหน่วยนอกสถานท่ีในวันหยุดสุดสัปดาห์ ให้ผู้รับบริการกลับมาบริจาคโลหิตเป็นประจาและ อีกคร้ังและมีโครงการบริจาคโลหิตโดยใช้โลหิตของ ต่อเนื่อง จึงทาให้ผู้วิจัยประสงค์ศึกษาตัวแปรที่มี ญาติผู้ป่วยที่ใช้โลหิตมาบริจาคทดแทน ทาให้มี อิทธิพลต่อการเป็นผู้บริจาคโลหิตประจาศูนย์บริการ
วารสารเกษมบณั ฑิต ปที ี่ 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถนุ ายน 2565) รบั บริจาค งานธนาคารเลือด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ การให้บริการ (Tangible: TA) และ 2) ด้านความ เฉลิมพระเกียรติ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนแนวทาง ส ะ ด ว ก ใน ก า ร เข้ า ถึ ง บ ริ ก า ร (Access & ใน การบ ริหารงานของห น่ วยงานได้ อย่ างมี Convenience: AC) และตัวแปรหลักที่ 2 คือ การ ประสิทธิภาพตอ่ ไป บริหารทรัพยากรท่ีจับต้องไม่ได้ (Soft Aspect) ซึ่ง ประกอบด้วยตัวแปรลาดับท่ีสอง 3 ตัวแปรย่อยคือ วัตถุประสงคข์ องการวิจยั 1) ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ (Empathy: EM) ศึ กษ าตั วแป รท่ี มี อิ ท ธิ พ ล ของการบ ริ ห าร 2) ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของผู้ บ ริ จ าค โล หิ ต (Fulfillment: FU) แ ล ะ3) ก าร ทรัพยากร การรับรู้คุณค่าของการบริจาคโลหิต และ ตอบ สน องใน การให้ บ ริ การของเจ้ าห น้ าที่ ความเชื่อม่ันในการบริจาคโลหิตต่อความตั้งใจในการ (Responsiveness: RE) เหตุผลของการแบ่งตัวแปร เป็นผู้บริจาคโลหิตประจาศูนย์บริการรับบริจาคงาน ดังกล่าวเพ่ือให้เหมาะสมกับการแบ่งกลยุทธ์ระดับ ธนาคารเลือด โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระ ปฏิบัติการ โดยเทียบเคยี งตวั แปรหลกั ดา้ นการบริหาร เกียรติ ทรัพยากรที่จับต้องได้กับการจัดการทรัพยากรฝ่าย ผลิตส่วนตัวแปรหลัก การบริหารทรัพยากรท่ีจับต้อง แนวความคดิ และงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้อง ไม่ได้ก็เทียบเคียงกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่มี การศึกษาตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการเป็นผู้ ลักษณะพิเศษในการให้บริการประเภทนี้ที่แตกต่าง กับการให้บริการในธุรกิจทั่วไป คือ ต้องเข้าใจความ บริจาคโลหิตเป็นประจา ของงานธนาคารเลือด ต้องการเชิงอารมณ์ (Emotional need) ท้ังในเชิง โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกยี รติ พบวา่ มีตัว ส่ วน ตั วและสั งคม โดยใช้ ตั วแป รค่ั น กลาง แปรการรับรู้การบริหารทรัพยากรท่ีจับต้องได้ และ ประกอบด้วย การรับรู้คุณค่า (Perceived Value: ตัวแปรการบริหารทรัพยากรที่จับต้องไม่ได้น้ัน เป็น PV) ซ่ึงพัฒนามาจากของเดิม คือ การรับรู้การบรกิ าร ส่ิงที่ประกอบข้ึนเป็นคุณภาพการบริการสามารถวัด (Perceived Service) และความเช่ือมั่น (Trust: TR) คุณภาพการบริการท่ีดีส่งผลต่อการเกิดการรับรู้ถึง ในด้านความปลอดภัยของกระบวนการเข้าไปด้วย คุณค่าในการบริจาคโลหิต ความเช่ือม่ันนาไปสู่ความ ท้ังน้ีจากทฤษฎีการกระทาด้วยเหตุและผล (Theory ต้ังใจในการบริจาคโลหิตเป็นประจาได้ ผู้วิจัยจึงนา of Reason and Action) และทฤษฎีความผูกพันและ ทฤษฎีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อให้สอดคล้องกับ ความเชื่อม่ัน (Commitment and Trust Theory) กรอบแนวความคดิ ส่วนตัวแปรตามทีเ่ ปน็ ผลจากการบรหิ ารคือการเป็นผู้ บริจาคโลหิตเป็นประจาซ่ึงประกอบด้วยความต้ังใจ จากผลการสังเคราะห์วรรณกรรมเมื่อนามา เชิงอารมณ์ (Attitude Intention: AT) และความ บูรณาการกับหน่วยงานการบริการรับบริจาคโลหิต ตั้งใจเชิงพฤติกรรม (Behavioral Intention: BT) ซ่ึง จึงเป็นกรอบแนวความคิดในการศึกษาในครั้งนี้โดยมี ก าหนดเป็ นกรอบแนวความคิ ดในการวิจั ย การพัฒนาตัวแบบจากพ้ืนฐานของ SERVQUAL โดย ดังปรากฏในภาพท่ี 1 การแบ่งกลุ่มตัวแปรการบริหารออกเป็นสองตัวแปร หลักคือ ตัวแปรหลักที่ 1 การบริหารทรัพยากรที่จับ ตอ้ งได้ (Hard Aspect) ซึง่ ประกอบดว้ ยตัวแปรลาดับ ที่สอง 2 ตัวแปรย่อยคือ 1) ด้านความเป็นรูปธรรมใน
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 ( ความเป็นรูปธรรม ตวั แปรการบรหิ าร ตัวแ ในการให้บริการ ทรัพยากรที่จบั ต้องได้ ( (TA) (Hard Aspect) ตวั แ ความสะดวกในการ เข้าถงึ บริการ (AC) ความเข้าใจและเห็น ตัวแปรการบรหิ าร อกเห็นใจ (EM) ทรพั ยากรท่ีจบั ต้องไมไ่ ด้ ความสามารถในการ (Soft Aspect) ตอบสนองความ ตอ้ งการของผู้บริจาค โลหิต (FU) การให้บริการ ระหวา่ งบรกิ าร (RE) ภาพที่ 1 ตัวแบบการวเิ คราะห์ (Analysis Model)
(January – June 2022) แปรด้านการรับรคู้ ณุ ค่า ความตัง้ ใจในการเป็นผู้ ความต้ังใจเชิง ในการบริจาคโลหิต บรจิ าคโลหิตเปน็ ประจา อารมณ์ (Perceived Value) (AT) (Regular Blood แปรดา้ นความเชื่อมั่น Donation) ความต้งั ใจเชิง ไวว้ างใจ พฤติกรรม (Trust) (BT)
วารสารเกษมบณั ฑิต ปที ่ี 23 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) คาจากัดความเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารของตวั แปร ข่าวสารต่าง ๆ ความสามารถในการเข้าใจความ ผู้วิจัยได้กาหนดช่ือตัวแปร และความหมาย ต้องการเฉพาะของผู้ใชบ้ รกิ ารอย่างชัดเจน ของตัวแปรในการศึกษา ดังนี้ ความสามารถในการตอบสนองความ ตัวแปรการบริหารทรัพยากรที่จับต้องได้ ต้องการของผู้บริจาคโลหิต (FU) หมายถึง การ ตอบสนองในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ ท้ังการ (Hard Aspect) ประกอบด้วย ใหข้ ้อมลู ก่อนและหลังบริการ ความเป็นรูปธรรมในการให้บริการ (TA) การให้บริการระหว่างบริการ (RE) หมายถึง หมายถึง คุณลักษณะทางกายภาพของบริการท่ี ความต้ังใจท่ีจะแสดงถึงความพร้อม มีความยินดี ป ราก ฏ ให้ เห็ น เช่ น ลั ก ษ ณ ะข อ งอุ ป ก รณ์ ให้บริการเสมอ สนองตอบบริการด้วยความ เคร่ืองมือในการให้บริการ สถานท่ีพร้อมสาหรับ รวดเร็วเม่ือผู้รับบริการมาติดต่อ มีเคร่ืองมือในการ บริการ ตลอดจนพนักงานและบุคลากร ซึ่ง วัดคุณภาพให้บริการประกอบด้วยดังน้ี มีระบบ ผู้รับบริการสามารถมองเห็นและสามารถประเมิน การให้ บ ริการที่รวดเร็ว มีความพ ร้อมของ ไดท้ นั ทีที่ได้รับบรกิ ารแล้ว เจ้าหนา้ ที่ในการใหค้ าแนะนาปรึกษาแก่ผู้ใชบ้ รกิ าร ค ว า ม พ ร้ อ ม ข อ งเจ้ า ห น้ า ท่ี ใน ก าร ให้ บ ริ ก า ร แ ก่ ความสะดวกในการเข้าถึงบริการ (AC) ผู้ใชบ้ รกิ ารทนั ทีท่ตี อ้ งการ หมายถึง ส่ิงภายนอก ได้แก่ สาธารณูปโภค ภายนอกท่ีเอ้ืออานวยให้การบริจาคโลหิตทาได้ ก ารรับ รู้คุ ณ ค่ าใน ก ารบ ริจ าค โล หิ ต สะดวก อาทิ สถานที่บริจาคมีป้ายบอกทางชัดเจน Perceived Value (PREV) หมายถึง การที่บุคคล หรือ ต้ังอยู่ในสถานที่เข้าถึงได้ง่าย ระบบการรับ รับรู้ว่าการบริจาคโลหิตของตนนั้นมีคุณค่าต่อ บริการที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทั้งด้านระยะเวลา สังคม มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซ่ึงนอกจากทาให้ ระบ บ คิ ว รว ด เร็ว ก ารจั ด ช่ อ งท างใน ก าร ผู้ป่วยหายแลว้ ทาให้ท่านมคี วามสุข เปรียบเสมอื น ประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงข้อมูล เช่น แผ่นพับ ได้เปน็ ผ้ใู หท้ ยี่ ่งิ ใหญ่ เว็บไซต์ และความสะดวกในการติดต่อขอรับ บริการ เช่น การจองคิวทางโทรศพั ท์ ความเช่ือมั่นไว้วางใจ Trust (TR) หมายถึง ค ว าม เชื่ อ ถื อ ค ว าม เชื่ อ ม่ั น ใน บ ริษั ท ห รือ ตัวแปรการบริหารทรัพยากรที่จับต้องไม่ได้ ผู้ประกอบการท่ีทาธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย (Soft Aspect) ประกอบดว้ ย สินค้าหรือให้บริการต่าง ๆ โดยที่ความไว้วางใจ ท่ีมาจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริโภคและ คว าม เข้ าใจแล ะเห็ น อ ก เห็ น ใจ (EM) หน่วยงาน หรือผู้ประกอบการท่ีทาธุรกิจผ่านส่ือ หมายถึง การให้ความสนใจรวมถึงเข้าใจความ สงั คมออนไลน์ ต้องการของผู้รับบริการอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างดี และถือผลประโยชน์ของผู้รับบริการเป็นสาคัญ มี ความตั้งใจในการเป็นผู้บริจาคโลหิตเป็น เค ร่ืองมือใน การวัดคุ ณ ภ าพ การให้ บ ริการ ป ร ะ จ า (Regular Blood Donation, REGB) ประกอบด้วย การให้ความสนใจและเอาใจใส่ หมายถึง การแสดงออกของบุคคล โดยแสดงถึง ผู้ใช้บริการแต่ละคนของเจ้าหน้าที่ เวลาในการเปิด ความตั้งใจและมีการวางแผนในการบริจาคโลหิต ให้บริการขององค์กร โอกาสในการรับทราบข้อมูล ครั้งต่อไปซึ่งเป็นความต้ังใจเชิงอารมณ์ (AT) รวม
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) ไปถึงการชวนเพ่ือนให้มาร่วมในการบริจาคโลหิต คือ คาถามวัดระดับตัวแปรการบริหารทรัพยากรที่ เป็นประจา ซงึ่ เปน็ ความต้งั ใจเชิงพฤติกรรม (BT) จบั ต้องได้ (Hard Aspect) ซง่ึ ประกอบด้วยตัวแปร 2 ด้าน ได้แก่ ตัวแปรด้านความเป็นรูปธรรมในการ วธิ ีการวิจัย ให้บริการ (Tangible) และ 2) ตัวแปรด้านความ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจาก ส ะ ด ว ก ใน ก า ร เข้ า ถึ ง บ ริ ก า ร (Access & Convenience) และคาถามวัดระดับตัวแปรการ ประชากรอายุ 18-65 ปี ที่มีคุณสมบัติตรงตาม บริหารทรพั ยากรทีจ่ ับตอ้ งไมไ่ ด้ (Soft Aspect) ซ่ึง มาตรฐานอ้างอิงจากคู่มือคุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต ประกอบด้วยตัวแปรด้านความเข้าอกเข้าใจ และ ศนู ยบ์ ริการโลหิตแหง่ ชาติ สภากาชาดไทย ต้องมี เห็ น อ ก เห็ น ใ จ (Empathy) ตั ว แ ป ร ด้ า น สขุ ภาพสมบูรณแ์ ข็งแรง ผา่ นการคดั กรองทางด้าน ความสามารถในการตอบสนองความตอ้ งการของผู้ สุขภาพจากแพทยแ์ ล้ว และมคี วามประสงคใ์ นการ บริจาคโลหิต (Fulfillment) ตัวแปรด้านการ บริจาคโลหิตโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนซึ่งจะเป็นผู้ ให้บริการระห่างบริการ (Responsiveness) และ บริจาคโลหิตท่ีมาเข้ารับบริการด้านการบริจาค ตัวแปรด้านความเช่ือม่ันไว้วางใจ (Trust) ตัวแปร โลหิ ต ของงานธน าคารเลือด โรงพ ยาบ าล ตาม คือการเป็ น ผู้บ ริจาคโลหิ ต เป็ น ป ระจา ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติทั้งภายในและหน่วย ( Regular Blood Donation Intention) เ ก็ บ รับบริจาคโลหิตเคลื่อนท่ีนอกสถานที่ เลือกขนาด ขอ้ มูลดว้ ยแบบมาตรประเมนิ ค่า 5 ระดับ กลุ่มตัวอย่าง และเทคนคิ การสุ่มตัวอย่าง แผนการ สุ่ ม ตั ว อ ย่ า ง ใช้ วิ ธี แ บ บ เชิ ง ขั้ น ภู มิ แ บ บ มี ภายหลังการร่างแบบสอบถามได้นาไปให้ ระบบ (Stratified Systematic Sampling) โดย ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านเพ่ือตรวจสอบ (IOC) ความ ดาเนินการ ดังนี้ แบ่งประชากรเปน็ สองช้ันภูมิ คือ เท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) โดยทุก กลุ่มท่ีมาใช้บริการในโรงพยาบาล และกลุ่มที่ใช้ ตัวแปรต้องผ่านเกณฑ์สูงกว่า 0.5 หลังจากขั้น บริการศูนย์ภายนอกโดยจัดสรรกลุ่มละเท่า ๆ กัน ตอน น้ี จะน าแบ บ สอบ ถามท่ี ป รับ แล้วตาม คือ 200 ตัวอย่าง แล้วสุ่มลาดับเลขท่ีจากผู้เข้า มาตรฐานไปทดลองใช้กับกลุ่มประชากรจานวน บริการในแต่ละกลุ่มจนครบจานวนตัวอย่างท่ี 30 คนแล้วทดสอบหาค่าความเช่ือม่ันของมาตรวัด ต้องการ สาหรับงานวิจัยน้ีมีขนาดประชากร (Measurement reliability) โ ด ย ก า ร ใ ช้ ค่ า มากกว่า 10,000 คน ด้วยความคลาดเคล่ือนร้อย Cronbach’s alpha ที่เกณฑ์ตัดสินสูงกว่า 0.7 ละ 5 ขนาดตัวอย่างคือ 400 คน ดังนั้น การเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคทางสถิติ เช่น การ ตัวอย่างในงานวิจัยน้ีจึงใช้ขนาด 400 คน ท่ี วเิ คราะห์การถดถอยเชงิ พหุ เป็นต้น ครอบคลุมเง่อื นไขท้งั สองกรณี ผลการวจิ ัย เคร่อื งมอื ทใี่ ชใ้ นการวิจยั ผลการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ แบบสอบถาม โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1. สถติ ิของข้อมูลจากกล่มุ ตัวอย่าง จากการสารวจผู้บริจาค โลหิต พบว่า ส่วนที่ 1 ข้อมูลพื้นฐานทางประชากรศาสตร์ ส่วน ท่ี 2 คือพฤติกรรมการบริจาคโลหิต และส่วนท่ี 3 พฤติกรรมการบริจาคโลหิตของกลุ่มตัวอย่างผู้
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีท่ี 23 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มถิ ุนายน 2565) บริจาคโลหิตเคยบริจาคโลหิตมาแล้วร้อยละ 84 30 สถิติจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริจาคโลหิตพบว่าการ ซ่งึ มคี วามถีใ่ นการบริจาคโลหิตจานวน 2-3 คร้ัง/ปี ให้บริการในมิติของ Hard Aspect โดยภาพรวม มีจานวนมากท่ีสุดร้อยละ 39 สาหรับข้อคาถาม อยู่ในระดับมากโดยมีค่าเฉล่ีย 4.249 แต่ค่า ด้านเหตุผลที่บริจาคโลหิตเป็นประจาไม่ได้ คือ ไม่ สัมประสิทธิ์ความผันแปรร้อยละ 16.5 แสดงว่า มีเวลาไปบริจาค และไม่สะดวกในการเดินทาง มี รายการข้อมูลนี้กลุ่มตัวอย่างมีค่าระดับการตอบ จานวนสูงสุดและรองลงมา ร้อยละ 48 และ 30 กระจายไม่มากนัก ส่วนตัวแปรลาดับท่ี 2 คือ ด้าน ตามลาดับ สถานที่กลุ่มตัวอย่างบริจาคโลหิตบ่อย ภาพรวมด้านความเป็นรูปธรรมในการให้บริการ ทสี่ ุด คือ หน่วยรับบริจาคเคลอ่ื นท่ตี ามศูนย์การค้า (Tangible) และด้านภาพรวมของความสะดวกใน คิดเป็นร้อยละ 78 สาหรับการเดินทางไปบริจาค การเข้าถึงบริการ (Access & Convenience) โลหิตจะไปคนเดียว คิดเป็นรอ้ ยละ 39 ส่วนการไป กลุ่มตัวอย่างให้ความสาคัญกับความเป็นรูปธรรม กับเพื่อนหรือครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 44 ข้อ ในการให้บริการ (Tangible) สูงกว่าโดยมีค่าเฉล่ีย คาถามโอกาสพิเศษในการบริจาคโลหิต กลุ่ม รวมอยู่ในระดับมากและมีค่า 4.457 ท่ีสูงกว่าใน ตัวอย่างผู้บริจาคโลหติ ส่วนใหญ่รอ้ ยละ 90 ตอบว่า ขณะที่ค่าสัมประสิทธิ์แห่งความผันแปรต่ากว่าคือ ข้ึนอยู่กับ “ตามความสะดวกของตัวท่านเอง” รอ้ ยละ 12.3 รองลงมาคือ “เมื่อทราบว่ามีเลือดขาดแคลน” จานวนร้อยละ 18 ส่วนการบริจาคเน่ืองใน “วัน 2 . ผ ล ก า ร วิ เค ร า ะ ห์ ต า ม ตั ว แ บ บ เกิด” คิดเป็นร้อยละ 15 และ “เม่ือมีการจัด ค ว า ม สั ม พั น ธ์ เชิ ง เห ตุ ผ ล โด ย สั ม ป ร ะ สิ ท ธิ์ ก า ร โครงการรณรงค์” ร้อยละ 11 น่ันหมายความว่า ถ ด ถ อ ย ป รั บ ม า ต ร ฐ า น (Standardized เมื่อมีการจัดโครงการรณรงค์ว่า เลือดขาดแคลน regression coefficients) ดงั ภาพที่ 2 ตารางที่ 1 กลุ่มตัวอย่างจะมาบริจาคคิดเป็นร้อยละประมาณ และ ตารางท่ี 2 การบรหิ ารทรัพยากรท่ี -0.001 การรบั รู้คณุ ค่าในการ 0.396*** ความต้งั ใจในการเป็นผู้ จบั ตอ้ งได้ -0.124 บรจิ าคโลหติ 0.415*** บริจาคโลหิตเป็นประจา (Hard Aspect) (Perceived Value) (Regular Blood Donation) 0.665*** 0.285*** การบริหารทรพั ยากรทจี่ ับ 0.954*** ความเช่อื ม่ันไว้วางใจ ตอ้ งไมไ่ ด้ (Trust) (Soft Aspect) ภาพท่ี 2 ค่าสมั ประสิทธิ์การถดถอยมาตรฐานความสัมพันธร์ ะหว่างตวั แปร ตารางที่ 1 ผลการทดสอบสมมตฐิ าน
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) สมมติฐาน ค่า t-test สรปุ ผล สมั ประสทิ ธ์ิ ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตาม การบริหารทรัพยากรที่จับต้อง การรบั รู้คณุ ค่าในการบรจิ าคโลหิต -0.001 -0.011 ไมส่ นับสนนุ ได้ การบรหิ ารทรพั ยากรท่ีจบั ต้อง ความเช่อื ม่ันไว้วางใจ -0.124 -1.732 ไม่สนับสนุน ได้ การบริหารทรัพยากรท่ีจับต้อง การรบั รู้คณุ ค่าในการบรจิ าคโลหิต 0.665*** 7.784 สนับสนนุ ไมไ่ ด้ การบริหารทรัพยากรท่จี บั ต้อง ความเช่ือมัน่ ไวว้ างใจ 0.954*** 8.657 สนบั สนนุ ไมไ่ ด้ การรบั รู้คุณคา่ ในการบริจาค ความเชื่อม่นั ไว้วางใจ 0.285*** 5.657 สนับสนนุ โลหิต การรบั รูค้ ุณคา่ ในการบรจิ าค ความต้งั ใจในการเป็นผบู้ ริจาคโลหิต 0.396*** 5.427 สนบั สนนุ โลหิต เป็นประจา ความเชือ่ มน่ั ไวว้ างใจ ความต้งั ใจในการเป็นผู้บริจาคโลหิต 0.415*** 5.607 สนบั สนุน เป็นประจา *p=.05, ** p=0.01, ***p=0.001
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีที่ 23 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) ตารางท่ี 2 อิทธิพลทางตรง (DE) อทิ ธิพลทางอ้อม (IE) และอิทธพิ ลรวม (TE) (คดิ จากค่าสัมประสิทธิ์ มาตรฐาน) ผล การบรหิ าร เหตุ ดา้ นความ ทรพั ยากรทีจ่ ับ เชือ่ มนั่ ไว้วางใจ การรบั รูค้ ุณค่าในการ การบริหาร ดา้ นการรับรู้ บรจิ าคโลหติ ตอ้ งได้ ทรพั ยากรทีจ่ บั คณุ คา่ ในการ (Trust) (Perceived Value) (Hard Aspect) อิทธิพลทางตรง (DE) ต้องไม่ได้ บรจิ าคโลหิต NA อทิ ธิพลทางอ้อม (IE) -0.001 (Soft Aspect) (Perceived NA อทิ ธิพลรวม (TE) NA NA ความเชื่อมนั่ ไว้วางใจ -0.001 Value) (Trust) NA อิทธิพลทางตรง (DE) -0.124 0.665*** NA NA อิทธิพลทางอ้อม (IE) -0.000 NA NA NA อิทธิพลรวม (TE) -0.124 NA ความต้งั ใจในการเปน็ ผู้ 0.665*** 0.415*** บริจาคโลหติ เป็น NA NA ประจา (Regular -0.052 0.954*** 0.285*** Blood Donation) -0.052 0.189 NA 0.415*** อิทธิพลทางตรง (DE) 1.143*** อิทธิพลทางอ้อม (IE) 0.285*** อิทธพิ ลรวม (TE) NA 0.396*** 0.395*** 0.118 0.395*** 0.514*** ภาพท่ี 2 แสดงให้เห็นว่าตัวแปร การ ไว้วางใจ (Trust) (มีค่าติดลบ) ส่วนการบริหาร บริหารทรัพยากรท่ีจับต้องได้ (Hard Aspect) ไม่ ท รัพ ย าก รท่ี จั บ ต้ อ งไม่ ได้ (Soft Aspect) มี มีอิทธิพลรวมต่อการรับรู้คุณค่าในการบริจาค อิทธิพลรวมต่อการรับรู้ค่าในการบริจาคโลหิต โลหิต (Perceived Value) และความเช่ือม่ัน (Perceived Value) และความเช่ือมั่นไว้วางใจ
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) (Trust) สว่ นตัวแปรคน่ั กลางคือการรบั รู้คณุ ค่าใน โลหิต (Perceived Value) และความเชื่อมั่น การบริจาคโลหิต (Perceived Value) และความ ไว้วางใจ (Trust) มีอิทธิพลรวมท่ีมีนัยสาคัญต่อ เช่ือ ม่ั น ไว้วางใจ (Trust) มี อิ ท ธิพ ล รวม ที่ มี ความตั้งใจในการเป็นผู้บริจาคโลหิตเป็นประจา นัยสาคัญต่อความต้ังใจในการเป็นผู้บริจาคโลหิต (Regular Blood Donation) ดั ง นี้ ก า ร รั บ รู้ เปน็ ประจา (Regular Blood Donation) คุณค่าในการบริจาคโลหิต (Perceived Value) มีอิทธิพลรวมต่อความต้ังใจในการเป็นผู้บริจาค จากตารางท่ี 1 สรุปผลดังน้ี โลหิตเป็นประจา (Regular Blood Donation) 1. ตัวแปรการบริหารทรัพยากรที่จับ ขนาด 0.514 สูงกว่าความเชอื่ มั่นไว้วางใจ (Trust) ประมาณ 0.1 หนว่ ย ต้องไม่ได้ (Soft Aspect) มีอิทธิพลทางบวกต่อ สรปุ และอภปิ รายผล การรับรู้คุณค่าในการบริจาคโลหิต (Perceived ผู้บริจาคโลหิตส่วนใหญ่บริจาคโลหิต Value) มาแล้วหลายคร้ังโดยเฉล่ีย 2-3 คร้ังต่อปี โดยเข้า รับบริการ ณ หน่วยรับบริจาคโลหิตเคล่ือนท่ีตาม 2. การบริหารทรัพยากรท่ีจับต้อง ศูน ย์ก ารค้ าเป็ น ห ลัก รอ งล งม าบ ริจาค ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โดย ไม่ได้ (Soft Aspect) มีอิทธิพลทางบวกต่อความ ข้ึนอยู่กับความสะดวกและสถานการณ์ทางสังคม เช่น การขาดแคลนโลหิต หรอื วนั สาคัญตา่ ง ๆ เชือ่ มั่นไว้วางใจ (Trust) การรับรู้การบริหารทรัพยากรที่จับต้อง 3. ตัวแปรด้านการรับรู้คุณค่าในการ ได้ (Hard Aspect) ซ่ึงแบ่งเป็นด้านความเป็น รูปธรรมในการให้บริการ (Tangible) และด้าน บ ริจาคโล หิ ต (Perceived Value) มี อิท ธิพ ล ความสะดวกในการเข้าถึงบริการ (Access & Convenience) ผู้บริจาคให้ ความสาคัญ ด้าน ทางบวกต่อ ตัวแปรด้านความเช่ือมั่นไว้วางใจ สถานที่ สภาพแวดล้อม เครื่องมืออุปกรณ์ในการ บริการ อาหารว่างและเครื่องด่ืม รวมถึงความ (Trust) สะดวกในการติดตอ่ ขอรบั บริการ และมีระยะเวลา ในการรอรับบริจาค โดยมีคะแนนความสาคัญ 4. การรับรู้คุณค่าในการบริจาคโลหิต เฉล่ียอยู่ที่ -3.92 – 4.32 ตัวแปรการบริหาร ทรัพยากรที่จับต้องไม่ได้ (Soft Aspect) ส่วนมาก (Perceived Value) มีอิทธิพลทางบวกต่อความ ผู้บริจาคให้ความสาคัญด้านความเข้าใจและเห็น อกเห็นใจ (Empathy) ของเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ต้ังใจในการเป็น ผู้บริจาคโลหิ ต เป็ นป ระจา ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของผู้ บริจาคโลหิต (Fulfillment) และ การให้บริการ (Regular Blood Donation) 5. ความเช่ือม่ันไว้วางใจ (Trust) มี อิ ท ธิ พ ล ท า ง บ ว ก ต่ อ ค ว า ม ต้ั ง ใจ ใ น ก า ร เป็ น ผู้ บ ริ จ า ค โล หิ ต เป็ น ป ร ะ จ า (Regular Blood Donation) ตารางที่ 2 สรุป อิทธิพ ลทางตรงและ ทางอ้อม ดังน้ี การบริหารทรัพยากรที่จับตอ้ งไม่ได้ (Soft Aspect) มีอทิ ธิพลรวมต่อความต้ังใจในการ เป็นผู้บริจาคโลหิตเป็นประจา (Regular Blood Donation) คือ 0.395 โดยการบริหารทรัพยากร ที่จับต้องได้ (Hard Aspect) ไม่มีอิทธิพล ส่วน ตัวแปรค่ันกลางคือ การรับรู้คุณค่าในการบริจาค
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีที่ 23 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มิถนุ ายน 2565) ระหว่างบริการ (Responsiveness) โดยมีคะแนน เ ป็ น ป ร ะ จ า ( Regular Blood Donation เฉลี่ยสูงถึง 4.50 - 4.68 แต่ผลการทดสอบ Intention) เชน่ เดียวกัน สมมติฐาน พบว่า ข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุน สมมติฐานการวิจัยอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ส่วนผลการวิเคราะห์ เก่ียวกับ การ ระดับ ≤ 0.01 หมายความว่าตัวแปรด้านการ ก ลั บ ม า เป็ น ผู้ บ ริ จ า ค โ ล หิ ต ป ร ะ จ า ส ม่ า เส ม อ บริหารทรัพยากรที่จับต้องไม่ได้ (Soft Aspect) มี (Regular Blood Donation) ผู้บริจาคส่วนใหญ่มี อิ ท ธิ พ ล ต่ อ ตั ว แ ป ร ด้ า น ก า ร รั บ รู้ คุ ณ ค่ า ใน ก า ร ความคิดว่าจะบริจาคสม่าเสมอหรือ 3 เดือนคร้ัง บริจาคโลหิต (Perceived Value) และความ โดยต้ังใจและจะชวนเพ่ือนให้มาร่วมในการบริจาค เช่ือมั่นไว้วางใจ (Trust) ต่อกระบวนการบริจาค โลหิตเป็นประจา มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับ โลหติ มากท่สี ุดโดยเฉล่ีย 4.518-4.77 การวิเคราะห์ศกึ ษาตัวแปรคั่นกลางด้าน การวิเคราะห์ สรุป ได้ ว่า ตัวแปรท่ี มี การรับรู้คุณค่าในการบริจาคโลหิต (Perceived อิทธิพลมากที่สุดต่อการเป็นผู้บริจาคโลหิตเป็น Value) พบว่า ผู้บริจาคโลหิตทราบถึงคุณค่าของ ประจา คือ ตัวแปรด้านการบริหารทรัพยากรที่จับ การบริจาคโลหิตถือว่าเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ มีบุญ ต้องไมไ่ ด้ (Soft Aspect) กุศลมาก มีคุณค่าต่อร่างกาย จิตใจ และสังคม ส่วนผลการวิเคราะห์ศึกษาตัวแปรคั่นกลางด้าน ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย ความเช่ือม่ันไว้วางใจ (Trust) ผู้บริจาคมีความ 1. งาน ธน าค ารเลื อด โรงพ ยาบ าล เช่ือม่ันว่ากระบวนการในการบริจาคโลหิตมีความ ปลอดภัย มีความเช่ือมั่นต่อความสามารถของ ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติจาเป็นต้องพัฒนา บุคลากรและมีความไว้ใจในการจัดการโลหิตของ และให้ความสาคัญต่อการบริหารจัดการด้านการ หน่วยบริการว่าจะถูกนาไปใช้อย่างคุ้มค่า โดยมี บริการ โดยต้องมีการอบรม ให้ความรู้ และ คะแนนเฉลย่ี สงู มากถงึ 4.50 - 4.93 เพิ่มพูนจิตสานึกแก่เจ้าหน้าท่ีผู้ให้บริการ ให้มี ความเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคโลหิต มี ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ข้อมูล ความพร้อมในการตอบขอ้ สงสยั ใหค้ วามช่วยเหลือ เชิงประจักษ์สนับสนุนสมมติฐานการวิจัยอย่างมี อย่างเต็มใจ และสามารถตอบสนองความต้องการ นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ ≤0.01 กล่าวคือ การ ตา่ ง ๆ ของผ้บู รจิ าค รวมถึงสร้างความรสู้ กึ เชิงบวก รับ รู้คุณ ค่าในการบ ริจาคโลหิ ต (Perceived เพ่ือให้ผู้บริจาคเกิดความภาคภูมิใจ และให้ข้อมูล Value) มีอิทธิพลทางบวกต่อความเช่ือมั่นไว้วางใจ สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังต้องเน้น (Trust) และความต้ังใจในการเป็นผู้บริจาคโลหิต ย้าให้เจา้ หนา้ ที่ได้ฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญในดา้ น เ ป็ น ป ร ะ จ า ( Regular Blood Donation การเจาะเลือดและสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้า Intention) น อ ก จ าก นั้ น ค ว าม เช่ื อ มั่ น ต่ อ เมอ่ื เกดิ ภาวะแทรกซ้อนได้ กระบวนการบริจาคโลหิต (Trust) มีอิทธิพล ทางบวกต่อความต้ังใจในการเป็นผู้บริจาคโลหิต 2 . ส าห รับ ตั ว ผู้ บ ริจ าค โล หิ ต ท าง โรงพยาบาลต้องส่งเสริมให้มีการส่งข้อมูลข่าวสาร ผ่านส่ือต่าง ๆ เพ่ือกระตุ้นเตือนเป็นประจาถึงการ บริจาคโลหิตน้ันมีคุณค่าต่อการช่วยเหลือสังคม มี
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) คณุ ค่าต่อร่างกายผู้บริจาคเอง เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้บริจาคที่มีความ รวมถึงสร้างความเชื่อม่ันในการบริจาคโลหิตและ หลากหลาย พร้อมทจ่ี ะเป็นผบู้ ริจาคโลหิตประจาต่อไป 3. ควรมีการศึกษาวิเคราะห์ด้านคุณภาพ ข้อเสนอแนะเพอ่ื การวจิ ัย โลหิ ตที่ รับ บริจาคมา เนื่ องจากใน อนาคต 1. การศึกษาวิจัยครั้งน้ี ศึกษาในองค์กร สังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ โลหิตควรมี คุณภาพเหมาะสม ควรมีการมุ่งเน้นด้านการ ไม่แสวงหากาไร กล่าวคือ เป็นศูนย์รับบริจาค รณรงคเ์ รือ่ งการดแู ลสขุ ภาพเพ่อื ให้ได้โลหติ ท่ีดี โลหิ ตควรมีการศึกษ าตัวแป รใน ด้าน อื่น ๆ ทสี่ ่งผลตอ่ การตัดสินใจกลับมาเปน็ ผู้บริจาคประจา 4. ควรมีการศึกษาผู้ให้บริการซึ่งอาจส่งผล เชน่ การศกึ ษาทางดา้ นจิตวิทยามนษุ ย์ ตัวแปรการ ต่ อ ค ว า ม เค รี ย ด ใน ก า ร ท า ง า น ทั้ ง เร่ื อ ง ดาเนินชีวิต แรงจูงใจด้านวัฒนธรรม ตัวแปรด้าน Organization Commitment รวมถึง Work Life สังคม และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการ Balance อีกด้วย เพ่ือส่งผลให้เกิดการมีระบบ ช่วยเหลือสังคม เพ่ือนาข้อมูลไปปรับปรุงพัฒนา บริหารจดั การได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพในอนาคต ความตอ้ งการของผ้บู รจิ าคโลหิตตอ่ ไป 2. ควรมีการขยายขอบเขตในการศึกษาให้ กว้างขวาง และครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้ทราบ References Lin, J. S. C. & Lin, C. Y. (2011), What makes service employees and customers smile, Journal of Service Management, 22(2), 183-201 Mathew, S. M., King, M. R., Glynn, S. K., Dietz, S.K., Caswell, S. L.& Schreiber, G. B. (2007). Opinions about donating blood among those who never gave and those who stopped: A focus group assessment. Transfusion, 47(1), 729-735. World Health Organization. (2013). World health report 2013: Research for universal health coverage. https://www.who.int/publications/i/item/9789240690837. Zou, S., Musavi, F., Notari, E.P. & Fang, C.T. (2008). Changing age distribution of the blood donor population in the United States. Transfusion, 48(2), 251–257.
Kasem Bundit Journal Vol. 22 No. 2 (July-December 2021) บทวิจารณบ์ ทความ Richter, N. F., Sinkovics, R. R., Ringle, C. M., and Schlagel, C. (2014). A Critical Look at the Use of SEM in International Business Research. International Marketing Reviews, 33(3), 376 – 404. ณัฐพล ขนั ธไชย มหาวิทยาลยั เกษมบณั ฑติ ถนนพฒั นาการ เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 E-mail: [email protected] ตดิ ต่อผเู้ ขยี นบทความท่ี ณฐั พล ขนั ธไชย มหาวทิ ยาลัยเกษมบณั ฑติ ถนนพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 E-mail: [email protected] วนั ทร่ี ับบทความ: 29 พฤศจกิ ายน 2564 วันท่แี กไ้ ขบทความ: 11 มกราคม 2565 วนั ที่ตอบรบั บทความ: 8 มนี าคม 2565 บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค์ เพ่ือนาเสนอการวเิ คราะหต์ วั แบบสมการโครงสร้างโดยสรปุ และวจิ ารณ์การประยุกต์ เทคนคิ การวิเคราะห์ดงั กล่าวในการวจิ ัยธุรกจิ ระหวา่ งประเทศ วธิ ีการ การวิจัยจากเอกสารเชิงวพิ ากษ์สาระ จากบทความทางวิชาการซ่ึงตีพิมพ์เป็นบทความในวารสาร ผลการวิจัย เทคนิคการสร้างตัวแบบสมการ โครงสร้างจาแนกเป็น 2 แบบ คือ ตัวแบบสมการโครงสร้างแบบการแปรผันร่วม (Covariance Based- SEM) และการวิเคราะห์สมการโครงสร้างแบบกาลงั สองน้อยที่สุดบางส่วน (Partial Least Squares-SEM) การวิเคราะห์สมการโครงสร้างแบบกาลังสองน้อยท่ีสุดบางส่วน (PLS-SEM) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นใน ปัจจุบันเนื่องจากมีข้อจากัดในการประยุกต์น้อยกว่า เช่น ขนาดตัวอย่าง ลักษณะของการกระจายข้อมูล และความยืดหยุ่นของวัตถุประสงค์ของการประยุกต์ เป็นต้น นัยทางทฤษฎี/นโยบาย นักวิจัยควรเลือกใช้ เทคนิคการวิเคราะห์สมการโครงสร้างระหว่าง CB-SEM และ PLS-SEM ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของ การวิจยั คาสาคญั : ตวั แบบสมการโครงสรา้ งแบบการแปรผนั รว่ ม ตวั แบบสมการโครงสรา้ งแบบกาลงั สองน้อยที่สุด บางสว่ น
วารสารเกษมบณั ฑิต ท่ี 23 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มิถุนายน 2565) Article review Richter, N. F., Sinkovics, R. R., Ringle, C. M., and Schlagel, C. (2014). A Critical Look at the Use of SEM in International Business Research. International Marketing Reviews, 33(3), 376 – 404. Nathabhol Khanthachai Kasem Bundit University, Pattanakarn Road, Suan Luang, Bangkok 10250 E-mail: [email protected] Correspondence concerning this article should be addressed to Nathabhol Khanthachai, Kasem Bundit University, Pattanakarn Road, SuanLuang, Bangkok 10250 E-mail: [email protected] Received date: November 29, 2021 Revised date: January 11, 2022 Accepted date: March 8, 2022 Abstract PURPOSES: To briefly present and assess the applications of Structural Equation Modeling (SEM) between Covariance Based–SEM (CB-SEM) and Partial Least Squares-SEM (PLS-SEM) in international business research. METHODS: A documentary research and critical assessment of an article published on an academic journal. RESULTS: Structural Equation Modeling may be classified into 2 main types, i. e. Covariance Based-SEM and Partial Least Squares-SEM. PLS-SEM has received a rising popularity in research application in recent years as compared to the CB-SEM. The main reasons are due to the facts that PLS-SEM requires a smaller sample size, less restriction on multivariate normal distribution of data and a more flexible research objectives, THEORETICAL/ POLICY IMPLICATIONS: Researchers are advised to apply either CB-SEM or PLS-SEM to suit their research objectives. Keywords: Covariance Based-SEM, Partial Least Squares-SEM
Kasem Bundit Journal Vol. 22 No. 2 (July-December 2021) I ก า ร ส ร้ า ง ตั ว แ บ บ ส ม ก า ร โ ค ร ง ส ร้ า ง การประยุกต์การสร้างตัวแบบสมการ ( Structural Equation Modeling, SEM) เ ป็ น โ ค ร ง ส ร้ า ง ( CB-SEM) ใ น ก า ร วิ จั ย ท า ง เทคนิคการวิเคราะห์ทางสถิติรุ่นใหม่ ท่ีพัฒนา สังคมศาสตร์ในระยะแรก ประมาณศตวรรษ ต่อเน่ืองจากการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ 1970’s (Joreskog, 1978) เพราะเป็นเทคนิค (Multiple Regression Analysis, MRA)ปจั จุบนั การวิเคราะห์ทางสถิติที่พัฒนาขึ้นใหม่และเช่ือว่า นิยมจาแนกออกเป็น 2 ตัวแบบ ได้แก่ การสร้าง มีความสามารถสูงกว่าการวิเคราะห์การถดถอย ตัวแบบสมการโครงสร้างแบบการแปรผันร่วม เชิงพหุ (MRA) ต่อมาเม่ือมีการพัฒนา PLS-SEM (Covariance Based-SEM, CB-SEM) และการ เป็นเทคนิคการวิเคราะห์แบบสมการโครงสร้าง สรา้ งตวั แบบสมการโครงสร้างบนพน้ื ฐานของการ (Hair et al., 2011) กเ็ ป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการ แปรผันสูงสดุ (Variance Based-SEM) หรือ การ วิจัยทางสังคมศาสตร์อย่างแพร่หลายเช่นกัน สร้างสมการโครงสร้างแบบกาลังสองน้อยท่ีสุด โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ต้ังแต่ ค.ศ. 2010 เป็นตน้ มา บางส่วน (Partial Least Squares-SEM, PLS- SEM) II ผู้นาเสนอบทความเร่ือง A Critical กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนบทความเป็น Look at the Use of SEM in International นักวิชาการและนักวิจัยในสาขา Management, Business Research ได้แก่ Nicole Franziska Marketing, Business แ ล ะ Economics Richter เ ป็ น ศ า ส ต ร า จ า ร ย์ ส า ข า วิ ช า บทความท่ีเขียนจึงเป็นทัศนะท่ีมีต่อการประยุกต์ International Management and Marketing SEM ในการวิจัยในสาขาวิชาดังกล่าว โดยเฉพาะ ที่ Nordakademie, Elmshorn, Germany. อยา่ งยิ่ง International Business. Rudolf R. Sinkovics เ ป็ น ศ า ส ต ร า จ า ร ย์ สาขาวิชา International Business ที่ Alliance สาระสาคัญของบทคว ามเร่ือง A Manchester Business School (AMBS), UK. Critical Look at the Use of SEM in Christian M. Ringle เป็นศาสตราจารย์ประจา International Business Research แบ่งเป็น 6 ใ น ส า ข า วิ ช า Management ท่ี Hamhurg ส่วนหลกั ดังน้ี University of Technology และศาสตราจารย์ พิเศษที่ University of Newcastle, UK และ 1. Introduction Christopher Schlagel เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ 2. The nature of research on ที่ School of Economics and Management international business. ท่ี Otto von Guericke University, 3. SEM in international business Magdeburg, Germany. 4. Do researchers follow PLS-SEM application guidelines?
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีท่ี 22 ฉบบั ท่ี 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564) 5. Do researchers tap PLS-SEM’s 6. Discussion and recommend- full potential? dations for future research III Richter และคณะ จาแนก SEM เป็น 2 2009 และ ค.ศ. 2010-2013 สถิติการประยุกต์ รูปแบบสาคัญคือ Factor-based covariance- CB-SEM จาก 131-148 หรือเพ่ิมขึ้น 7 บทความ based SEM ห รื อ CB-SEM กั บ Composite- สาหรับ PLS-SEM จานวน 8-31 หรือ 23 based partial least squares SEM หรือ PLS- บทความ SEM ท้ังสองเทคนิคการวิเคราะห์เป็นเทคนิคการ วิเคราะห์ข้ อมู ลใ น การ วิจัย ท่ี ใช้เ ส ริ ม กั น เหตุผลสาคัญในการประยุกต์ CB-SEM (Complementary SEM methods) แตอ่ ยา่ งไร หรอื PLS-SEM มีดังนี้ ก็ดี PLS-SEM ก็เป็นเทคนิคการวิเคราะห์ซ่ึงมี ลั ก ษ ณ ะ เ ฉ พ า ะ ใ น ก า ร ป ร ะ ม า ณ ค่ า ตั ว แ บ บ สาหรับ CB-SEM ไม่ระบุเหตุผลจานวน ความสมั พันธ์เชิงเหตุ-ผลที่ซับซอ้ นเปน็ ของตนเอง ร้อยละ 64 เพื่อวิเคราะห์ Measurement และ โดยเฉพาะ (Rigdon,2012,2014) Structural Models ร้ อ ย ล ะ 6 3 แ ล ะ เ พื่ อ วิเคราะห์ Measurement Model (CFA) อย่าง Richter และคณะพิจารณาบทความใน เดยี วรอ้ ยละ 38 เปน็ ต้น ว า ร ส า ร ท า ง ด้ า น International Business จานวน 424 บทความ ตีพิมพ์ต้ังแต่ ค.ศ. 1990- ส่วนเหตุผลสาคัญในการประยุกต์ PLS- 2013 และได้พบว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าว มี SEM ในการวิจยั ไดแ้ ก่ ตวั อย่างขนาดเล็กร้อยละ บทความซ่ึงประยุกต์ CB-SEM จานวนรวม 379 56 ลักษณะการกระจายของข้อมูล ร้อยละ 47 บทความ และประยุกต์ PLS-SEM จานวน 45 การวิจัยเชิงสารวจและการพัฒนาทฤษฎี ร้อยละ บทความ โดยช่วงเวลาหลังสุดคือ ค.ศ. 2005- 40 การใช้ตัวชี้แสดงแบบรวม ( Formative indicators) ร้อยละ 35 และอานาจทางการ สารวจและการพยากรณ์ ร้อยละ 30 เปน็ ต้น IV ถึงแม้ว่าบทความเรื่อง A Critical Look ในประเด็นแรก ได้พิจารณาคาแนะนา at the Use of SEM in International เ ก่ี ย ว กั บ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ข้ อ มู ล ( Data Business จะพิจารณาการประยุกต์ทั้ง CB-SEM characteristics) ตั ว แ บ บ ก า ร วั ด และ PLS-SEM แต่ Richter และคณะให้ความ (Measurement models) และการประเมินผล สนใจแก่ PLS-SEM เปน็ พิเศษ โดยได้พจิ ารณาว่า (Evaluation of result) ในส่วนท่ีเก่ียวกับขนาด นักวิจัยทาตามคาแนะนา (Guidelines) ในการ ของตัวอย่าง คาแนะนาได้แก่ จานวนขนาด ประยุกต์และประยุกต์ PLS-SEM ได้เต็มตามขีด ตัวอย่างอย่างต่าประมาณ 10 เท่าของจานวน ความสามารถหรอื ไม่ เส้นทางความสมั พันธเ์ ชิงเหตุ-ผล ระหวา่ งตัวแปร
Kasem Bundit Journal Vol. 22 No. 2 (July-December 2021) ช้ีแสดง (ตัวแปรสังเกตได้) ไปยังตัวแปร Latent ในด้านศักยภาพของ PLS-SEM ในการ variable แบบ Formative ตัวใดตัวหนึ่ง ที่มี พยากรณ์ (Prediction) การปรับปรุงตัวแบบที่มี จานวนเส้นทางความสัมพันธ์สูงสุดในตัวแบบ อยู่ (Improve existing models) การค้นพบ สมการโครงสร้าง ปรากฏว่าบทความที่พิจารณา ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรใหม่ (Uncover มีขนาดตวั อย่างโดยเฉลยี่ 354 ตัวอยา่ ง ซง่ึ สงู กว่า new relationships) และค้นพบลักษณะความ ข้นั ตา่ ทีแ่ นะนา และ จานวน 20 ใน 43 บทความ แตกต่าง (Uncover heterogeneity) Richter ท่ีพิจารณา ซึ่งประยุกต์ PLS-SEM ระบุเหตุผล และคณะมีความเห็นว่ายังมีการประยุกต์ PLS- ข อ ง ก า ร ก ร ะ จ า ย แ บ บ ไ ม่ ป ร ก ติ ข อ ง ข้ อ มู ล SEM ได้ไม่เต็มศักยภาพ (Nonnormal data distribution) ใ น บ ท ส รุ ป Richter แ ล ะ ค ณ ะ มี ตั ว แ บ บ ก า ร วั ด ( Measurement ความเห็นว่า PLS-SEM เป็นเทคนิคการวิเคราะห์ models) ใน PLS-SEM มีทั้งแบบ Formative ซึ่งเป็นเครื่องมือท่ีมีประโยชน์ในการระบุและ และ Reflective models โดยมีการประเมินผล ท ด ส อ บ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ตั ว แ ป ร ในเชิง Validity และ Reliability ต่างกัน เช่น (Constructs) และในการพัฒนาความสามารถ Formative model มี ก า ร พิ จ า ร ณ า ปั ญ ห า เชิงอธบิ าย (Explanations) ของความสมั พันธ์ใน Multicollinearity โ ด ย ค่ า VIF <5 ส่ ว น การพัฒนาทฤษฎี (Theory development) โดย Reflective measurement model พิจารณา ช่วยลดปัญหาข้อจากัดของ CB-SEM ในด้าน ประเมินตัวแบบจาก Composite Reliability Sample size, data distribution แ ล ะ ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ Similarities ห รื อ Differences ห รื อ CR, Cronbach’s ∝ แ ล ะ Average ระหว่างกล่มุ ยอ่ ย Variance Extraction หรือ AVE V บทความเร่ือง A Critical Look at the สมการโครงสร้าง (SEM) ในการวิจัย โดย Use of SEM in International Business พิจารณาทั้งประโยชน์ ข้อจากัดและคาแนะนาใน Research เ ป็ น บ ท ค ว า ม ท่ี นั ก วิ จั ย ท า ง การประยุกต์ให้ถูกต้อง และควรศึกษาเพิ่มเติม สังคมศาสตร์ควรอ่านโดยละเอียด เพ่ือใช้เป็น จากบทความโดย Hair et al. (2011), Rigdon แนวทางพิจารณาในการเลือกใช้ระหว่าง CB- (2012) และ Rigdon (2014) และจากตารา Hair SEM และ PLS-SEM ในการวิเคราะห์ตัวแบบ et al. (2017) และ Hair et al. (2018)
วารสารเกษมบัณฑิต ปที ่ี 22 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564) References Hair, J. F., Ringle, C. M., & Sarstedt, M. (2011). PLS-SEM: Indeed, a silver bullet. Journal of Marketing Theory & Practice, 19(2), 139-152. Hair, J. F. Jr., Hult, G. T. M., Ringle, C. M., & Sarstedt, M. (2017). A primer on partial least squares structural equation modeling (PLS-SEM), 2nd ed., Sage. Hair, J. F.Jr., Sarstedt, M., Ringle, C. M., & Gudergan, S. P. (2018). Advanced issues in partial least squares structural equation modeling. Sage. Joreskog. K. G. (1978). Structural analysis of covariance and correlation matrices. Psychometric, 43(4), 443-477. Rigdon, E. E.(2012). Rethinking partial least squares path modeling: In praise of simple methods. Long Range Planning, 47(3), 341-358. Rigdon, E. E. (2014). Rethinking partial least squares path modeling: Breaking chains and forging a head. Long Range Planning, 47(3), 161-167.
แบบ JKBU-1 แบบฟอร์มนำส่งบทควำม/บทวจิ ำรณ์หนังสือเพ่อื พมิ พ์เผยแพร่ใน วำรสำรเกษมบัณฑติ (ส่งพรอ้ มกับบทความ/บทวจิ ารณห์ นังสือ) วันที่……….เดือน………..……..พ.ศ.……… เรยี น บรรณาธกิ ารวารสารเกษมบัณฑติ ข้าพเจ้า (นาย/นาง/นางสาว)................................................................................................................. (Mr./Mrs./Ms.)................................................................................................ ......................... คุณวฒุ ิสงู สดุ และสถานศกึ ษา................................................................................................................. ตาแหน่ง/ตาแหนง่ ทางวิชาการ (ถ้าม)ี .................................................................................................... ช่ือหน่วยงาน/สถาบันทที่ างาน................................................................................................................ ขอส่ง บทความจากงานวิจยั บทความวิชาการ บทความปรทิ ัศน์ (review article) บทวจิ ารณห์ นงั สอื (book review) ชื่อเรื่อง (ภาษาไทย) ............................................................................................................................. .................................................................................................................... ............................................ ชื่อเรือ่ ง (ภาษาองั กฤษ) ......................................................................................................................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… คาสาคัญ (ภาษาไทย) ............................................................................................................................. Keyword (ภาษาอังกฤษ)....................................................................................................................... ทอ่ี ยทู่ สี ามารถติดต่อได้สะดวก......................หมูท่ ี.่ ..................ซอย...................ถนน............................. ตาบล/แขวง....................อาเภอ/เขต.....................จังหวัด.............................รหัสไปรษณีย์................... โทรศพั ท์...........................................โทรศัพทม์ ือถือ........................................โทรสาร.......................... E-mail........................................................................................... ........................................................ ข้าพเจ้าขอรบั รองว่าบทความนี้ เป็นผลงานของขา้ พเจา้ เพียงผู้เดยี ว (ไม่ต้องกรอกแบบ JKBU-2 ) เปน็ ผลงานของข้าพเจ้าและผู้ที่ระบชุ อ่ื ในบทความ (กรอกแบบJKBU-2 ดว้ ย) บทความน้ีไม่เคยลงตีพิมพ์ในวารสารใดมาก่อน และจะไม่นาส่งไปเพ่ือพิจารณาลงตีพิมพ์ใน วารสารอน่ื ๆ อกี นบั จากวันทขี่ า้ พเจ้าไดส้ ่งบทความฉบบั นี้มายงั กองบรรณาธิการวารสารเกษมบัณฑติ ลงนาม............................................................ (.........................................................................)
แบบ JKBU-2 ข้อมูลผรู้ ่วมเขียนบทควำม (สง่ แนบพร้อมกับบทความ/บทวิจารณห์ นังสือ) ผรู้ ่วมเขียนบทควำมคนที่ 1 ข้าพเจ้า (นาย/นาง/นางสาว)................................................................................................................ (Mr./Mrs./Ms.)............................................................................................................................ ........... คุณวฒุ สิ ูงสดุ และสถานศึกษา................................................................................................................ ตาแหน่ง/ตาแหน่งทางวชิ าการ (ถา้ ม)ี ................................................................................................... ท่อี ยู่ทสี ามารถติดต่อได้สะดวก......................................หมทู่ ี่...................ซอย...................ถนน ตาบล/แขวง.....................อาเภอ/เขต.........................จังหวดั .............................รหัสไปรษณยี .์ ............ โทรศัพท.์ ...................โทรศัพทม์ ือถือ.................โทรสาร.......................E-mail………………………………. ข้าพเจา้ ขอรับรองวา่ บทความนี้ เป็นผลงานของข้าพเจา้ ในฐานะผู้ร่วมวิจยั และรว่ มเขยี นบทความ จากงานวจิ ัย (กรณีท่เี ป็นบทความจากงานวิจยั ) เป็นผลงานของขา้ พเจ้าในฐานะผรู้ ่วมเขียนบทความ ผูร้ ่วมเขียนบทควำมคนท่ี 2 ขา้ พเจา้ (นาย/นาง/นางสาว)................................................................................................................. (Mr./Mrs./Ms.)......................................................................................................................... คุณวฒุ ิสงู สุด และสถานศกึ ษา................................................................................................................. ตาแหน่ง/ตาแหน่งทางวชิ าการ (ถา้ ม)ี .................................................................................................... ท่อี ยู่ทีสามารถตดิ ต่อไดส้ ะดวก......................................หมทู่ .ี่ ..................ซอย...................ถนน…………. ตาบล/แขวง......................อาเภอ/เขต........................จงั หวดั .............................รหัสไปรษณยี ์............. โทรศัพท์....................................โทรศัพท์มือถือ........................................โทรสาร......................... ........ E-mail................................................................................................................................................... ขา้ พเจา้ ขอรับรองว่าบทความนี้ เปน็ ผลงานของขา้ พเจา้ ในฐานะผรู้ ว่ มวิจยั และร่วมเขยี นบทความ จากงานวิจยั (กรณีท่เี ป็นบทความจากงานวิจยั ) เป็นผลงานของข้าพเจ้าในฐานะผรู้ ่วมเขียนบทความ หมำยเหตุ : ถ้ามีผู้เขียนบทความมากกว่า 2 ท่าน กรุณากรอกรายละเอียดของผู้เขียนบทความร่วม ทา่ น อน่ื ๆ ดว้ ย
บบ JKBU-3 รูปแบบกำรพมิ พแ์ ละกำรนำเสนอบทควำม/บทวิจำรณห์ นงั สอื 1. กำรพิมพ์ พิมพ์ต้นฉบับบทความ/บทวิจารณ์หนังสือด้วย ThsarabanPSK พิมพ์บนกระดาษขนาด A4 ขนาดของตัวอักษรเท่ากับ 16 ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ และใส่เลขหน้าตั้งแต่ต้นฉบับจนจบ บทความ ยกเว้นหน้าแรกโดยจัดพิมพ์เป็น 2 คอลัมภ์ สาหรับสาระของบทความ ยกเว้นบทคัดย่อทั้ง ภาษาไทยและภาษาองั กฤษเปน็ แบบคอลมั ภ์ 2. กำรนำเสนอบทควำม 2.1 บทความทุกประเภททัง้ ท่เี ป็นบทความจากงานวจิ ยั บทความวชิ าการ และบทความปรทิ ศั น์ (Article review) มีความยาวประมาณ 12 – 15 หน้า A4 (รวมบทคดั ย่อ) 2.2 ชอื่ บทความใหร้ ะบทุ ง้ั ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2.3 ใหร้ ะบุชอ่ื ของผเู้ ขยี นบทความ ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใต้ชอ่ื บทความ และระบุ ตาแหน่งทางวิชาการ (ถา้ ม)ี ตาแหนง่ งาน สถานท่ที างานและที่อยู่เบอรโ์ ทรศัพท์ และe-mail ของ ผู้เขียนตามรปู แบบ 2.4 การนาเสนอบทความให้นาเสนอ โดยมีองค์ประกอบดังนี้ • บทคัดย่อ ต้องมีบทคดั ย่อภาษาไทยและบทคัดย่อภาษาองั กฤษ โดยแต่ละบทคัดย่อมี ความยาวไมเ่ กนิ 1/3 ของกระดาษ A4 (ประมาณ 18 บรรทัด หรือไม่เกิน 250 คา) และ ให้ระบุคาสาคญั (Keywords) ในบรรทัดสุดท้ายของบทคัดยอ่ ทั้งที่เปน็ ภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ • 1 : บทนำ ระบุปญั หา/ความเป็นมา ความสาคญั ของปัญหา/ประเดน็ ทจี่ ะนาเสนอใน บทความ และวตั ถุประสงค์ในการวิจัย/การเสนอบทความ • 2 : เนือ้ หำสำระ นาเสนอประเดน็ เนื้อหาตา่ ง ๆ ซึง่ อาจประกอบด้วยหลายย่อหน้า และ ในกรณขี องบทความจากงานวจิ ยั การนาเสนอในส่วนนี้ควรมีสว่ นประกอบ ดังน้ี วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั สมมตฐิ านการวจิ ัย (ถา้ มี) ขอบเขตของการวจิ ยั แนวคิดทฤษฎี และกรอบความคดิ ในการวิจัย การทบทวนเอกสาร วิธกี ารดาเนินการวิจยั และ ผลการวจิ ยั • 3 : สรปุ สรุปผลการวิจัย/บทความและข้อเสนอแนะ (ถ้าม)ี • 4 : เอกสำรอำ้ งองิ ใหน้ าเสนอเปน็ ภาษาอังกฤษ (เรยี งลำดับอกั ษร) โดยนาเสนอตาม ตวั อยา่ ง 3 • ภำคผนวก (ถ้ามี)
(ตัวอย่ำง 1) กำรนำเสนอบทควำมจำกงำนวิจยั (Research Article) ชอ่ื เร่ือง……………………………………………………………………… ขือ่ ผู้เขยี น ทอ่ี ยู่.......................................... Email: [email protected] ข่ือผเู้ ขียน ท่ีอยู่.......................................... Email: [email protected] ติดต่อผู้เขยี นบทความท่ี ชื่อผู้เขยี น ทอี่ ยู่......................................................................... Email: [email protected] บทคดั ย่อ .................................................................................................. ................................................... .................................................................................................................................... ............................ ............................................. ....................................................................................................... ............ .......................................................................................................................................... ...................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ คาสาคัญ : .........................................................................................
Title:……………………………………………………………………………………………………………………………… Name…………. Address……………………………….. E-mail: [email protected] Name…………. Address……………………………….. E-mail: [email protected] Correspondence concerning this article should be addressed to Name, Adress……………………………………………. E-mail: [email protected] Abstract .............................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... Keywords: .........................................................................................
บทนำ (ส่วนที่1ของบทความ) ระบุประเดน็ ปญั หาของการวิจัยให้ชัดเจนและปรากฏการณ์โดยสังเขป ในส่วนท้ายของบทนาให้ระบุวัตถุประสงค์ของการวิจัย(เฉพาะการนาเสนอเป็นบทความวิจัยมิใช่ใน วิทยานิพนธ/์ ดษุ ฎนี พิ นธ)์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… เนือ้ หำ (สว่ นท่ี 2 ของบทความ) • การทบทวนเอกสาร/งานวิจัย (โดยสงั เขป) • แนวคดิ ทฤษฎี/งานวจิ ัย กรอบความคดิ ในการวจิ ยั และสมมตฐิ าน (ถา้ ม)ี • คาจากดั ความของศัพท์/ตวั แปร • ระเบียบวธิ ีวจิ ัย (ประชากร/กลมุ่ ตัวอย่าง/วธิ ีการสรา้ งเคร่ืองมือ/วิธกี ารรวบรวมและ วิเคราะห์ข้อมูล) • ผลการวจิ ยั ➢ ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ การวเิ คราะห์ และผลการวเิ คราะห์ในรูปตารางท่นี าเสนออยา่ ง กะทัดรดั (Concise) • ผเู้ ขยี นอาจปรบั ชอื่ หัวข้อในเนื้อหาสาระของการนาเสนอได้ตามความเหมาะสม เมื่อขน้ึ ย่อ หน้าใหม่ ไม่ควรเขียนเป็นข้อ ๆ สรปุ และเสนอแนะ (ส่วนท่ี 3 ของบทความ) References (เอกสำรอ้ำงอิง) (ส่วนท่ี 4 ของบทความ) (เขียนเป็นภาษาองั กฤษทง้ั หมด).............................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ภำคผนวก (ถ้ำมี) ............................................................................................................................. ... .............................................................................................................. .................................................. ............................................................................................................................. ...................................
(ตัวอยำ่ ง 2) กำรนำเสนอบทควำมทำงวชิ ำกำร (Academic Article) /บทควำมปริทรรศน์ (Article Review) บทนำ (ระบปุ ระเดน็ สาคัญ ความเปน็ มา และวตั ถุประสงคข์ องการนาเสนอ) ............................................................................................................................. ........................ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................... ............................. ............... เนือ้ หำ (สรุปสาระสาคัญแต่ละบท/ตอน โดยนาเสนอเป็นย่อหนา้ ได้มากกวา่ 1 ยอ่ หน้า) ................................................................................................................................................... .. ........................................................................................................ ........................................................ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ................ สรุปและเสนอแนะ (ถ้ามี) ............................................................................................................................. ........................ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................... ................................. ................................................................................................................................................................ References (เอกสำรอ้ำงอิง) (กรณีเปน็ บทความปรทิ รรศน์ ควรมเี อกสารอา้ งอิงตามสมควร) (เขยี นเป็นภาษาองั กฤษท้ังหมด).............................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ภำคผนวก (ถ้ำมี) ................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ...................................
(ตวั อยำ่ ง 3) กำรอำ้ งอิง (References) ตำมระบบ American Psychological Association. 1. ตัวอยา่ งการอ้างองิ ในตัวบทความ (In-Text Citation) ภำษำไทย Mullanc (2006) รายงานวา่ ........... ประสทิ ธผิ ล หมายความว่า ความสามารถดาเนนิ การใหบ้ รรลุ (Mullane). ผลการวจิ ัยได้พบวา่ ...... (Smith, 2000, 2004) Khanthachai (2000) รายงานวา่ ..... ผลการวจิ ยั สอดคล้องกับผลการวิจยั ของ ขนั ธไชย (2000) และธรรมาวาส (2001) ซ่งึ สรุปวา่ .... ภำษำอังกฤษ Mullane (2006) conducted research into the effect of … The research conclusively proved a correlation between the results (Mullane & Goldburg, 2006). Mullance (2006) refered to this condition as statistical anomaly. Jones (as cited in Smith, 2009) agreed that… Copstead and Banasik (2005) stated that… It is stated that…(Copstead&Banasik, 2005). 2. การอ้างอิงทา้ ยบทความ (References) - รายการเอกสารอ้างอิง (Reference list) ควรแยกตพี ิมพ์ บนหน้าต่างหากท้ายบทความ - รายการอ้างอิงในตวั บทความต้องอยใู่ นรายการอา้ งองิ ทา้ ยเลม่ เสมอ รายการอ้างองิ เรยี ง ตามลาดับตวั อักษร โดยใช้ ชอื่ สกุล (Surname) นาหนา้ ช่ือรองซงึ่ ควรเป็นอักษรย่อ - จดั ทารายการเอกสารอ้างอิง (References) เปน็ ภาษาอังกฤษทงั้ หมด ตามระเบียบของ Asian Citation Index (ACI) - ใช้ References ไมใ่ ช้ บรรณานุกรม (Bibliography) เพราะระบุเฉพาะรายการเอกสาร ท่มี ีการอ้างองิ ในตวั บทความ (In-Text Citation) เท่าน้นั - รายการเอกสารอ้างองิ แต่ละรายการ ควรตพี ิมพ์ Double spaced และย่อหน้า ประมาณ 1.3 ซม. หรอื 5 spaces ถา้ ตอ้ งข้นึ บรรทัดใหม่ - ใช้อักษรตัวเอยี ง (Italics) สาหรับชื่อหนังสือ วารสาร และวีดโี อ เลขลาดบั (Volume numbers) ของวารสารใช้ตัวเอน แตไ่ ม่ใช้สาหรบั ฉบบั ของวารสาร (Issue number) 3. การใช้อักษรตัวใหญ่ (Capitalization) - อกั ษรตวั แรกของช่ือหนังสอื (Book title) และอักษรตวั แรกหลังเครอื่ งหมาย colon (:) เช่น o Ageing and aged care in Australia
o Brave new brain : Conquering mental illness in the era of the genome - อักษรตัวแรกของชือ่ บทความ (Article) บท (Chapter) หรือตอน (Section) และ อักษรตัวแรกหลงั เครื่องหมาย colun (:) - สรรพนาม (Pronouns) นามแฝง (Acronyms) และอกั ษรยอ่ (Abbreviations) ควร นาหนา้ ด้วยตัวใหญ่ (Capital letter) ตวั อยำ่ งกำรจดั ทำรำยกำรเอกสำรอำ้ งอิง References 1 book Andreasen, N. C. (2001). Brave new brain: Conquering mental illness in the era of the genome. Oxford, England: Oxford University Press. Copstead, L., & Banasik, J. (2005). Pathophysiology (3rd ed.). PA: Saunders. De vaus, D.A. (2014). Surveys in social research. Sydney, Allen & Unwin. 2 Article in Journal Potente, S., Anderson, C., & Karim, M. (2011). Environmental sun protection and supportive policies and practices: An audit of outdoor recreational settings in NSE coastal towns. Health Promotion Journal of Australia, 22, 97-101. Woolley, T., & Raasch, B. (2005). Predictors of sunburn in North Queensland recreational boat users. Health Promotion Journal of Australia, 16(1), 26-31. 3 Article in Journal from website Wheeler, D.P., & Bragin, M. (2007). Bringing it all back home: Social work and the challenge of returning veterans. Health and Social Work, 32, 297- 300. http://www.naswpressonline.org. 4 Article in e-journal doi Cheung, J.M.Y., Bartlett, D.J., Armour, C.L., Laba, T. L., & Saini, B. (2018). To drung or not to drung: A Qualitative study of patients’ decision-making processes for managing insomnia. Behavioral Sleep Medicine, 16(1), 1-26. doi: 10.1080/15402002.2016.1163702
Gilbert, D.G., McClernon,J.F., Rabinovich, N.E., Sugai, C., Plath, L.C., Asgaard, G., …Botros, N. (2004). Effects of Quitting smoking on EEG activation and attention last for more than 31 days and are more severe with stress, dependence, DRD2 A1 allele, and depressive traits. Nicotine and Tobacco Research, 6, 249-267. doi:10.1080/14622200410001676305 Jackson, D., Firtko, A., & Edenborough, M. (2007). Personal resilience as a strategy for surviving and thriving in the face of workplace adversity: A literature review. Journal of Advanced Nursing, 60(1), 1-9. doi:10.1111/j.1365-2648.2007.04412.x van Heugten, K. (2013). Resilience as an underexplored outcome of workplace bullying. Qualitative Health Research, 23(3), 291-301. doi: 10.1177/1049732312468251 5 Newspaper from internet Atkin, M. (Reporter). (2008, November 13). Bermagui forest disputed turf. The Hack Half Hour. http://www.abc.net.au/triplej/hack/notes/ 6 TV. Programme Hall, B. (Writer), & Bender, J.(director). (1991). The rules of the game [Television series episode]. In J. Sander (producer), I’ll fly away. New York Broadcasting Company. 7 Thesis Fayahd, K.H. (2015). The legal regulation of assisted produretive technology in lrag: Lenoms form the Australian approach. [Unpublished master thesis] http:// www.edu.au: 801/1957.7/uws:32383 3. กำรเขียนบทวจิ ำรณ์หนังสือ (Book Review) 3.1 ตอ้ งระบุขอ้ มูลเกยี่ วกับหนังสือทว่ี จิ ารณ์ ดังน้ี • ชื่อหนังสือ • ชอ่ื ผเู้ ขยี น/ผ้แู ตง่ • ปที ่พี ิมพ์ • สานักพิมพ/์ โรงพิมพ์ • จานวนหน้า 3.2 การนาเสนอบทวจิ ารณห์ นงั สือควรมีส่วนนา ส่วนเนือ้ หา และสว่ นสรุป ในทานอง เดยี วกับการนาเสนอบทความ (โปรดพจิ ารณาตัวอย่างท่ี 2)
3.3 การนาเสนอสาระสาคญั ในแต่ละบทโดยสรปุ และวิจารณ์แยกแตล่ ะบทหรอื แต่ละ บทความ (กรณีเปน็ หนงั สือทรี่ วบรวมบทความ) 3.4 ความเห็นโดยสรุป (Concluding remarks) 4. กำรนำเสนอตำรำงและภำพประกอบ ในกรณที ่ีมีตารางและภาพประกอบในบทความ ใหน้ าเสนอดังน้ี 1. กำรนำเสนอตำรำง (ตวั อยำ่ ง) ตำรำงท่ี....... : ………………………………(ช่ือตาราง)................................................ ที่มำ : …………. (แหล่งทม่ี า และปี)......................... 2. กำรนำเสนอภำพประกอบ ภาพกราฟ หรอื แผนภูมติ ่าง ๆ ทไ่ี มใ่ ชต่ าราง ให้เรยี กวา่ ภาพประกอบ โดยเขยี นกากับใต้ ภาพประกอบและเป็นภาษาอังกฤษ ดังน้ี (ตัวอยำ่ ง) รูปภำพ Figure........ : ………………….(Title).................................... Source : ………………………………………………..(Reference)
กำรพจิ ำรณำคดั เลอื กบทควำม/บทวิจำรณ์หนังสือเพื่อพิมพเ์ ผยแพร่ ในวำรสำรเกษมบณั ฑิต 1. บรรณาธิการจะมีหนังสือแจ้งใหท้ ราบวา่ ได้รบั บทความเพ่ือพจิ ารณาลงตีพิมพ์ 2. บรรณาธิการจะพิจารณากลั่นกรองบทความ/บทวิจารณ์หนังสือว่ามีรูปแบบการนาเสนอ เป็นไปตามรูปแบบ แบบ JKBU-3 หรือไม่ และสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความ/บท วิจารณ์หนังสือ ท่ีการนาเสนอไม่เป็นไปตามรูปแบบ JKBU-3 (โดยไม่ส่งคืนต้นฉบับให้แก่ ผู้เขยี น) 3. บรรณาธิการจะนาบทความ/บทวิจารณ์หนังสือที่ผู้เขียนส่งมาเสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อ ประเมินคุณภาพและความเหมาะสมของบทความ/บทวิจารณ์หนังสือ โดยใช้เวลาประมาณ 20-30 วัน โดยมีเงินสมนาคุณผู้ทรงคุณวุฒิ บทความละ 8,000-. บาท (สาหรับผู้เขียนท่ีมิได้ เปน็ บคุ ลากรของมหาวทิ ยาลัยเกษมบัณฑิต) 4. บทความ/บทวิจารณ์หนังสือท่ีจะได้พิมพ์เผยแพร่ในวารสารเกษมบัณฑิต จะต้องได้รับการ ประเมินให้พิมพ์เผยแพร่ได้จากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจานวนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของ กรรมการผทู้ รงคุณวฒุ ใิ นแต่ละสาขาวชิ า 5. ในกรณีที่ผลการประเมินระบุให้ต้องปรับปรุงหรือแก้ไขก่อนพิมพ์เผยแพร่ ผู้เขียนจะต้อง ดาเนินการให้แล้วเสร็จ และส่งบทความ/บทวิจารณ์หนังสือท่ีได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปยัง บรรณาธิการวารสารฯ ภายใน 15 วัน (หรือตามท่ีบรรณาธิการกาหนด) นับจากวันท่ีได้ รบั ทราบผลการประเมนิ ในกรณีท่านสง่ บทความ/บทวจิ ารณห์ นังสอื ฉบบั แก้ไขช้ากว่ากาหนด บรรณาธิการจะนาไปพิมพ์เผยแพร่ในวารสารฉบับต่อไป (โดยผู้เขียนจะต้องแจ้งให้ บรรณาธิการทราบว่าประสงค์จะสง่ ชา้ ) 6. บทความภาษาอังกฤษ จะมีค่าตรวจสอบความถูกต้องทางด้านไวยากรณ์อังกฤษ จาก ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ างดา้ นภาษาองั กฤษ เรื่องละ 3,000.- (บทความไมเ่ กนิ 10 หนา้ ).
กำรสง่ บทควำม/บทวิจำรณ์หนงั สอื เพื่อพิมพ์เผยแพรใ่ นวำรสำรเกษมบัณฑิต 1. กรอกขอ้ มูลในแบบฟอรม์ นาสง่ บทความ/บทวิจารณ์หนังสือฯ (แบบ JKBU-1 ) 2. กรณีมผี เู้ ขียนมากกวา่ 1 คน ใหร้ ะบุขอ้ มลู ของผู้ร่วมเขียนทกุ คนเพ่ิมเติมในแบบ JKBU-2 3. การสง่ บทความ/บทวจิ ารณ์หนังสอื กระทาได้ 2 วธิ ีดงั น้ี • วิธีท่ี 1 : ส่งผา่ นระบบ online : www.tci-thaijo.org/index.php/jkbu • วิธีท่ี 2 : ส่งผา่ น E-mail [email protected] • วธิ ที ี่ 3 : สง่ ทางไปรษณยี ไ์ ปยังอยูข่ ้างล่างน้ี บรรณาธิการวารสารเกษมบัณฑติ สานกั วิจยั มหาวทิ ยาลัยเกษมบัณฑติ เลขท่ี 1761 ถนนพฒั นาการ แขวง/เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 กรณีส่งทางไปรษณีย์ให้ส่งบทความ/บทวิจารณ์หนังสือ จานวน 1 ฉบับ พร้อมบันทึก ขอ้ มูลลงแผน่ CD จานวน 1 แผ่น โดยนาสง่ พร้อมแบบ JKBU-1 และแบบ JKBU-2 (ถ้าม)ี 4. เม่ือส่งบทความ/บทวิจารณ์หนังสือด้วยวิธีท่ี 3 กรุณาโทรศัพท์แจ้งให้บรรณาธิการทราบด้วย วาจา โดยโทรศัพทไ์ ปท่ี 02-3202777 ตอ่ 1129
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138