วารสารเกษมบัณฑติ ปที ี่ 23 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มิถนุ ายน 2565) รูปแบบสถาบนั การเงนิ ชุมชนท่ีตอบสนองตอ่ ความต้องการของประชาชนและความยง่ั ยืน ของชุมชน ฐิตพิ งษ์ ศริ ิเวชพันธุ์ มหาวทิ ยาลัยเกษมบณั ฑิต ถนนพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 E-mail : [email protected] วชิ ยั โถสุวรรณจินดา มหาวิทยาลยั เกษมบัณฑติ ถนนพฒั นาการ เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 บุญเอื้อ บญุ ฤทธ์ิ มหาวทิ ยาลัยเกษมบัณฑิต ถนนพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250 วรรณนภา วามานนท์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถนนพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 ตดิ ตอ่ ผู้เขยี นบทความ ฐติ พิ งษ์ ศิรเิ วชพันธ์ุ มหาวทิ ยาลยั เกษมบณั ฑิต ถนนพฒั นาการ เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 E-mail : [email protected] วันทีร่ บั บทความ: 8 ตุลาคม 2564 วนั ที่แก้ไขบทความ: 25 พฤศจิกายน 2564 วนั ทต่ี อบรับบทความ: 16 มกราคม 2565 บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค์ ศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของชุมชนในสถาบันการเงินชุมชน และ ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความย่ังยืนของสถาบันการเงินชุมชน วิธีการวิจัย แบบผสานโดยวิธีเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ โดยผู้วิจัยได้สารวจความคิดเห็นของคณะกรรมการและสมาชิกของสถาบันการเงินชุมชน รูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมีผลการดาเนินงานดีเด่น จานวน 6 แห่ง จาก 5 ภูมิภาคของประเทศไทย จานวน 180 ตัวอย่าง พร้อมกับได้รวบรวมความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก จานวน 5 ท่าน ผลการวิจัย รูปแบบของสถาบันการเงินชุมชนที่ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนอย่างยั่งยืน และ สมาชิกสามารถเข้าถึงได้ ควรมี 2 รูปแบบ คือ กลุ่มพ่ึงตนเอง และกลุ่มก่ึงในระบบ โดยหลักการจะต้อง สอดคล้องกับอุดมการณ์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถทาให้ประสบความสาเร็จอย่างย่งั ยืนได้ ถ้า สมาชิกและคณะกรรมการยึดม่ันในอุดมการณ์ด้วยการใช้ทุนทางสังคม ทุนทางปัญญา และทุนทางการเงิน อยา่ งสมดุล นยั ทางทฤษฎี/นโยบาย ผลการวิจัยสนบั สนนุ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงและมีศักยภาพนาไปใช้ เป็นมาตรการทางด้านนโยบายในการเปน็ ตวั แบบของสถาบนั การเงนิ ชุมชน คาสาคญั : กองทุนชมุ ชน กล่มุ สัจจะออมทรพั ย์ สหกรณ์เครดติ ยูเนียน สถาบนั การเงนิ ชุมชน
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) The Community Financial Institution Models to Support the Needs of the People and Sustained Community Titipong Sirivejphan Kasem Bundit University, 1761 Patanakarn Road, Suan Luang, Bangkok 10250 E-mail : [email protected] Vichai Thosuwanjinda Kasem Bundit University, 1761 Patanakarn Road, Suan Luang, Bangkok 10250 Boonuae Boonyarit Kasem Bundit University, 1761 Patanakarn Road, Suan Luang, Bangkok 10250 Wannapa wamanon Kasem Bundit University, 1761 Patanakarn Road, Suan Luang, Bangkok 10250 Correspondence concerning this article should be addressed to Titipong Sirivejphan, Kasem Bundit University, Patanakarn Road, SuanLuang, Bangkok, 10250 E-mail : [email protected] Received date: October 8, 2021 Revised date: November 25, 2021 Accepted date: January 16, 2022 Abstract PURPOSES: To study the problems of an access to community capital sources in community financial institutions and the factors affecting sustainable community financial institutions. METHODS: The research was conducted by means of quantitative and qualitative approaches. The researcher conducted a survey of 180 samples of board members and committees of 6 outstanding community financial institutions in 5 regions of Thailand as well as an in-depth interview of 5 experts. RESULTS: The models of sustainable community financial institutions were formulated in 2 types i.e., self-reliance model, and semi-system model. In principle, the community financial institutions were operated by the people in each community based on the philosophy of sufficiency economy. Sustainable community financial institutions depends greatly on their members and committees who were committed to the ideology of balanced utilization of social, intellectual and financial capitals. THEORETICAL/POLICY IMPLICATIONS: The research results support the Philosophy of Sufficiency Economy and could be used as policy measures for sustained community financial models. Keywords: Community fund, the truth savings group, The Credit Union Cooperative, community financial institutions
วารสารเกษมบัณฑติ ปที ่ี 23 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มิถนุ ายน 2565) บทนา หมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สหกรณ์เครดิต ปัญหาท่ีสาคัญระดับฐานรากของแต่ละ ยูเนียน สหกรณ์การเกษตร โรงรับจานา และ 3) กลุ่มพ่ึงตนเอง เช่น กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต ประเทศคือปัญหาความยากจน โดยเฉพาะ กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ ประชาชนส่วนใหญ่ท่ีอยู่ในชนบท มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกลุ่มท่ี 2 และ 3 เป็นรูปแบบที่ อาชีพไม่ม่ันคง ขาดเงินทุนที่จะนามาใช้ในการ ประชาชนรวมตัวกันจัดต้งั ขนึ้ ล้วนผ่านบทเรียนท่ี ประกอบอาชีพหรือมีเงินทุนก็มีต้นทุนที่สูง ใน เป็นอปุ สรรคต่าง ๆ จนอยู่รอดมาได้บา้ งไม่ได้บา้ ง ก า ร เข้ า ถึ ง แ ห ล่ ง เงิ น ทุ น ห รื อ แ ห ล่ ง เงิ น กู้ ข อ ง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางการเงนิ ที่เปิดเสรีใน ประชาชนท่ัวไป แม้ว่าจะมีอาชีพการงานที่ ปัจจุบัน (วงศ์ชอมุ่ , 2554) แน่นอน โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่ได้มีเงินเดือน ป ร ะ จ า ห รื อ มี เงิ น เดื อ น แ ต่ ต่ า ก ว่ า เก ณ ฑ์ ข อ ง ผู้ วิ จั ย ส น ใ จ ว่ า ท า ไ ม ส ถ า บั น ก า ร เงิ น ธนาคาร เช่น ไม่ถึงหน่ึงหม่ืนบาทต่อเดือน ชุมชนในกลุ่มที่ 2 และ 3 บางแห่งท่ีประชาชน ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ มีรายได้เป็นรายปี พอ่ ค้า จัดต้ังข้ึนจึงประสบความสาเร็จในการดาเนินงาน แม่ค้า ในตลาดตา่ ง ๆ แมจ้ ะคา้ ขายมาหลายสิบปี และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถเข้าไปใช้บริการสินเชื่อ ชมุ ชนไดอ้ ย่างย่งั ยืน มีรปู แบบของการดาเนินงาน ของธนาคารพาณิชย์ในระบบได้ ธนาคารจะ เป็นอย่างไร และมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อ อนุมัติสินเช่ือให้หรือไม่นั้น จะใช้หลักเกณฑ์ 2 ความสาเรจ็ น้นั อย่าง คอื พิจารณารายได้ และหลักทรัพย์ของผู้กู้ ประกอบกัน เป็นอกี สาเหตุหน่งึ สาหรับประชาชน วัตถุประสงคข์ องการวิจัย ท่ีขาดแคลนทรัพย์สินไม่สามารถเข้าถึงแหล่ง 1. เพ่ือศึกษาปัญหาการเข้าถึงแหล่ง เงนิ กใู้ นระบบได้ (นาถสุภา, 2554) เงินทุนจากสถาบนั การเงินชุมชน นโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ชุมชน 2. เพื่อศกึ ษาปจั จัยที่มีผลต่อความสาเร็จ เข้ามามีบทบาทผ่านองค์กรการเงินท่ีเข้มแข็ง แสดงวา่ รัฐบาลเริม่ เห็นแนวทางทีด่ ีขน้ึ ท่ีมองเห็น อย่างย่งั ยืนของสถาบันการเงนิ ชุมชน ศักยภาพของชุมชน โดยรูปแบบของสถาบัน 3. เพื่อนาเสนอรูปแบบสถาบันการเงิน การเงินชมุ ชนพอจะจาแนกได้ 3 กลุ่มคือ 1) กลุ่ม ในระบบ เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธ.ก.ส. ธนาคาร ชุ ม ช น ท่ี ป ร ะ ส บ ค ว า ม ส า เร็ จ เป็ น ต้ น แ บ บ แ ก่ ออมสินฯลฯ 2) กลุ่มกึ่งในระบบ เช่น กองทุน หน่วยงานที่เกยี่ วข้อง
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) กรอบแนวความคิดการวจิ ยั นโยบายรฐั เพอื่ การส่งเสริม รูปแบบของสถาบนั ให้ประชาชนในชนบทและ การเงนิ ชุมชนที่ ปัจจยั ท่มี ผี ลต่อการดาเนินงานของ สังคมเมอื งไดเ้ ขา้ ถงึ แหล่งทนุ ตอบสนองตอ่ ความ สถาบนั การเงนิ ชมุ ชนให้ประสบ ต้องการของชมุ ชน ความสาเร็จอย่างยงั่ ยืน ใน 6 ปัจจยั การดาเนินงานของสถาบนั อย่างยง่ั ยนื คือ การเงินชมุ ชนใหป้ ระสบ ความสาเร็จอยา่ งยงั่ ยนื 1. ด้านกระบวนการสรรหาบุคคล ท่เี ปน็ คณะกรรมการ และสมาชิก ความตอ้ งการใช้บริการกยู้ มื เงนิ และการร่วมรบั ผดิ ชอบ 2. ดา้ นเคร่อื งมอื ในการทางา 3. ดา้ นวธิ กี ารทางาน ของสมาชิก 4. ดา้ นระบบงาน 5. ด้านวฒั นธรรมชุมชน 6. ด้ า น ก า ร ส นั บ ส นุ น จ า ก ห น่ ว ย ง า น ภ า ย น อ ก ท้ั ง ภ า ค รั ฐ แ ล ะ เอกชน ภาพที่ 1 กรอบแนวความคิดการวจิ ัย มีประสบการณ์สูงเก่ียวกับสถาบันการเงินชุมชน นาข้อมูลท้ังสองด้านมาบูรณ าการกัน เพื่อ วิธีการวจิ ัย อภิปรายผลและสรุปผลการวจิ ยั เป็นวิจัยแบบผสมผสานวิธีเชิงปริมาณ เครือ่ งมือที่ใช้ในการวจิ ยั และเชิงคุณภาพ โดยทาการวิจัยเชิงปริมาณ 1. แบบสอบถาม เพ่ือสอบถามความ (Quantitative research) โดยเก็บข้อมูลจาก ประชากรและกลุ่มตัวอย่างจากสถาบันการเงิน คิดเห็นของคณ ะกรรมการและสมาชิกของ ชุมชน 6 แห่ง ใน 5 ภาคของประเทศไทยซึ่งได้ สถาบันการเงินชุมชน ประกอบด้วยคาถาม 3 จากกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive ส่วน คือ ส่วนท่ี 1 สอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป sampling) โดยให้มีผู้ตอบแบบสอบถามแห่งละ ข อ งผู้ ต อ บ แ บ บ ส อ บ ถ าม ส่ ว น ท่ี 2 เป็ น 30 คน แบ่งเป็นคณะกรรมการ 10 คนและ แบ บ สอบ ถามแบ บ Rating scale 5 ระดับ สมาชิก 20 คน รวมท้ังสิ้น 180 คน นาข้อมูลมา (Likert Scale) และส่วนที่ 3 สอบถามความ วิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อใช้ประกอบการ คดิ เหน็ ของผตู้ อบแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่มี อภิปรายผล ในขณะเดียวกันก็ทาการวิจัยเชิง ผลต่อการดาเนนิ งานของสถาบันการเงนิ ชุมชนให้ คุ ณ ภ า พ (Qualitative research) โด ย ก า ร ประสบความสาเรจ็ อย่างย่ังยนื ใน 6 ปัจจัย คอื สั ม ภ า ษ ณ์ เชิ ง ลึ ก (In-depth interview) ผู้เช่ียวชาญจานวน 5 ท่าน ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่
วารสารเกษมบณั ฑิต ปีท่ี 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถนุ ายน 2565) 1) ด้านกระบวนการสรรหาบุคคลที่ สมาชิกต้องมีจริยธรรม คุณธรรม และอุดมการณ์ เปน็ คณะกรรมการและสมาชกิ เชงิ สังคมนิยมมากกวา่ ทนุ นยิ ม 2) ด้านเคร่ืองมือในการทางาน 2. ด้านเครื่องมือในการทางาน มีผลต่อ 3) ดา้ นวธิ กี ารทางาน การดาเนินงานของสถาบันการเงินชุมชนให้ 4) ดา้ นระบบงาน ประสบความสาเร็จอย่างย่ังยืนในภาพรวมมาก 5) ดา้ นวฒั นธรรมชมุ ชน เป็นอันดับที่ 2 โดยเร่ืองคู่มือปฏิบัติสาหรับ 6) ด้านการสนับสนุนจากหน่วยงาน คณะกรรมการและสมาชิกถือเป็นสิ่งสาคัญท่ีสุด ภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศพร้อมกับทุนทาง 2. แนวคาถามสัมภาษณ์โดยกาหนด ปญั ญาเขา้ ช่วย นน่ั คือ ต้องให้มกี ารเรยี นรู้ร่วมกัน ประเด็นสัมภาษณ์ให้อยู่ในกรอบของการวิจัย ให้ เข้ า ใจ ใ น วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ แ ล ะ เป้ า ห ม า ย ข อ ง อย่างเป็นระบบภายใต้กฎเกณฑ์และมาตรฐาน สถาบันการเงินชุมชนให้ถ่องแท้ สมาชิกสามารถ เดียวกัน เพื่อทาการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เช่ียวชาญ ตรวจสอบไดต้ ลอดเวลา (Key Informants) ที่ได้พิจารณาคัดเลือกแล้วว่า เป็นผทู้ รงคณุ วุฒเิ กีย่ วกับสถาบนั การเงนิ ชมุ ชน 3. ด้านการสนับสนุนจากหน่วยงาน ภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชน มีผลต่อการ ผลการวจิ ัย ดาเนินงานของสถาบันการเงินชุมชนให้ประสบ ปั จ จั ย ท่ี มี ผ ล ต่ อ ก า ร ด า เนิ น ง า น ข อ ง ค ว า ม ส า เร็ จ อ ย่ า งยั่ งยื น ใน ภ า พ ร ว ม ม า ก เป็ น อั น ดั บ ท่ี 3 ก า ร ส นั บ ส นุ น จ า ก ภ า ค รั ฐ มี สถาบันการเงนิ ชมุ ชนให้ประสบความสาเร็จอยา่ ง ความสาคัญ ภาครัฐพยายามจะให้สถาบัน ย่งั ยืน 6 ดา้ น ดังนี้ การเงินทุกรูปแบบมีการจดทะเบียนให้อยู่ภายใต้ กฎหมายรองรับ พร้อมกับการอุดหนุนด้าน 1. ด้านกระบวนการสรรหาบุคคลที่เป็น เงินทุนให้ชุมชนนาไปบรหิ ารกันเอง แต่ต้องไม่ทา ค ณ ะก รรม ก ารแ ล ะส ม าชิ ก มี ผ ล ต่ อ ก าร ให้กองทุนมีขนาดใหญ่เกินความสามารถของ ดาเนินงานของสถาบันการเงินชุมชนให้ประสบ ชุมชน ในขณะที่สถาบันการเงินชุมชนในรูปแบบ ความสาเร็จอย่างยั่งยืนในภาพรวมมากท่ีสุดเป็น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ จะไม่เน้นการรับเงิน อั น ดั บ ที่ 1 โด ย เรื่ อ ง ค ว า ม ซื่ อ สั ต ย์ ข อ ง อุดหนุนจากภายนอกชุมชน และผลประโยชน์ คณะกรรมการและสมาชิกมีความสาคัญมากทีส่ ุด ทางธุรกิจ แต่จะเน้นความร่วมมือร่วมใจกันและ บุคคลที่เป็นประธานและคณะกรรมการต้องมี สวัสดิการของสมาชิกในชมุ ชนมากกวา่ ความรู้ความเข้าใจในหลักการของสถาบนั การเงิน ชุมชนและการจัดต้ังกองทุนเป็นอย่างดี ไม่ใช่มี 4 . ด้ า น ร ะ บ บ ง า น มี ผ ล ต่ อ ก า ร เพียงความต้องการจะเป็นกรรมการ ผู้เก่ียวข้อง ดาเนินงานของสถาบันการเงินชุมชนให้ประสบ ทุกคนต้องได้รับการฝึกอบรมหรือมีกระบวนการ ค ว า ม ส า เร็ จ อ ย่ า งย่ั งยื น ใน ภ า พ ร ว ม ม า ก เป็ น เรียนรู้ที่ถูกต้อง กระบวนการสรรหาและคัดเลือก อันดับท่ี 4 โดยเห็นว่าการมีโครงสร้างองค์กรที่ ป ร ะ ธ า น แ ล ะ ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ต้ อ ง ชั ด เจ น แ ล ะ ชัดเจนเป็นความสาคัญ ระบบงานและระบบ โปร่งใส และท่ีสาคัญท่ีสุดคือท้ังกรรมการและ บัญชีต้องมีมาตรฐาน และมีกฎหมายรองรับ โดยเฉพาะในส่วนของสถาบันการเงินชุมชนที่
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) จัดต้ังโดยการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น กองทุน เกษตรกรหรือคนในชุมชน ไม่ใช่เวลาราชการ หมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ในขณะท่ี 8:00-16:00 น. เหมือนหน่วยงานอื่น ๆ หรือให้ สถาบันการเงินชุมชนรูปแบบกลุ่มสัจจะออม ยืดหยุ่นได้ตามขนบธรรมเนียมและประเพณีของ ทรัพย์ไม่เน้นให้มีกฎหมายรองรับ แต่ให้เน้นการ ชมุ ชน ใชท้ ุนทางสังคม เช่น ศาสนา จรยิ ธรรม คณุ ธรรม ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี และความ เ ม่ื อ จ า แ น ก ต า ม ก ลุ่ ม ท่ี เ ป็ น เอื้อเฟ้ือเก้ือหนุนเป็นมาตรการในการกากับดูแล คณะกรรมการกับกลุ่มท่ีเป็นสมาชิก พบว่า ด้าน แทนกฎหมายได้ กลุ่มที่เป็นคณะกรรมการและสมาชิกสถาบัน การเงนิ ชมุ ชน มผี ลต่อการดาเนินงานของสถาบัน 5. ด้านวิธีการทางาน มีผลต่อการ การเงินชุมชนให้ประสบความสาเร็จอย่างยั่งยืน ดาเนินงานของสถาบันการเงินชุมชนให้ประสบ ในภาพรวมมากที่สุด แต่กลุ่มคณะกรรมการเห็น ค ว า ม ส า เร็ จ อ ย่ า งยั่ งยื น ใน ภ า พ ร ว ม ม า ก เป็ น ว่า เร่ืองการยอมรับร่วมกันในกฎกติกาที่กาหนด อนั ดับที่ 5 โดยเห็นว่า การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ขึ้น มีความสาคัญกว่าเรื่องความซ่ือสัตย์ของ แบบประนีประนอมกันอย่างโอภาปราศรัยมี คณะกรรมการและสมาชิก มีความสาคัญมาก ความสาคัญ โดยที่ส่ิงอานวยความสะดวก หนีไม่ ทสี่ ุด พ้นท่ีจะต้องมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามา รปู แบบของสถาบันการเงินชุมชน ช่วยจัดการระบบการส่ือสาร ระบบฐานข้อมูล สินค้า ข้อมูลการเงิน ข้อมูลสมาชิก และการ รู ป แ บ บ ข อ ง ส ถ า บั น ก า ร เงิ น ชุ ม ช น ที่ เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับสถาบันการเงินชุมชน ป ร ะ ส บ ค ว า ม ส า เร็ จ ใ น ก า ร ด า เนิ น ก า ร เพื่ อ อื่น ๆ ให้สามารถถ่ายโอนเงินหรือสินค้าซ่ึงกัน ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนได้อย่าง และกนั ได้ ย่ังยืนและปัจจัยที่มีผลต่อการความสาเร็จอย่าง ย่งั ยืน ดังนี้ 6. ด้านวัฒนธรรมชุมชน มีผลต่อการ ดาเนินงานของสถาบันการเงินชุมชนให้ประสบ รูปแบบท่ี 1 คือ สถาบันการเงินชุมชน ความสาเร็จอย่างย่ังยืนในภาพรวมน้อย เป็น กลุ่มพ่งึ ตนเองซ่ึงจาแนกเปน็ 2 กลุ่ม ดงั น้ี อันดับที่ 6 โดยเรื่องมีความกระตือรือร้นและ ขยันหมั่นเพียรของสมาชิกเป็นประเด็นสาคัญ 1.1 กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต โดยเฉพาะศาสนาไม่ว่าศาสนาใด สัจจะเป็นเรื่อง เพราะการส่งเสริมอาชีพการเกษตรเป็นปัจจัยใน สาคัญของศาสนานั้น ๆ จึงทาให้ความสัมพันธ์ การดารงชีพที่สาคัญของคนชนบท ให้ชาวบ้านมี นาไปสู่การต้ังกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ และดาเนิน ส่วนสมทบตามหลักการพัฒนาชุมชน แต่จะต้อง กิจการไดด้ ้วยสัจจะ ความจริงใจตอ่ กนั เอื้ออาทร เป็นเงินจานวนหนึ่งชัดเจน ไม่ใช่รัฐคร่ึงหน่ึง ต่อกนั มศี ีลธรรม จริยธรรม และคณุ ธรรมเป็นตัว ชาวบ้านคร่ึงหน่ึง อยู่บนหลักของความเมตตา กากับ เพราะท้งั หมดน้นั คอื Trust ซง่ึ เปน็ ทนุ ทาง ปรานีเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ เรียกว่า เงินทุนเพ่ือการ สังคมน่ันเอง สถาบันการเงินชุมชนทุกรูปแบบ ผลิตต้ังเป็น “กลุ่มออมทรัพย์” ออมเงินไปผลิต ต้องเป็นส่วนหน่ึงของชุมชน ไม่ทาตัวแปลกแยก เตมิ ปรัชญาของสังคมไทยวา่ เงนิ มีแล้ว เอาไปผลิต จากชุมชน เช่น มีเวลาทาการตามเวลาของ ไม่ใช่เอาไปกินไปใช้ในงานสิ้นเปลือง คนที่เป็น เกษตรกรในชนบท น้าท่วม ฝนแล้ง โรคและ แมลงรบกวน ผลผลิตขายไม่ได้ราคา มีความเสีย่ ง
วารสารเกษมบัณฑิต ปที ่ี 23 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) สูง ผลผลิตปริมาณต่อไร่ต่าคุณภาพต่าด้วย ย่ิง มาก แต่ให้รวมกันเป็นเครือข่ายได้ สถาบัน สังคมโลกาภิวัตน์ที่เน้นถึงคุณภาพ จึงทาให้ การเงินชุมชนท่ีก่อต้ังโดยประชาชนในชุมชนเอง รายได้ตกต่า บวกกับการบริหารของรัฐบาลที่ไม่มี น้ันเห็นว่าไม่ต้องมีกฎหมายกากับแต่ใหใ้ ชท้ ุนทาง ประสิทธิภาพ ยิ่งทาให้เกษตรกรมีรายจ่ายมาก สงั คมกากบั แทนกฎหมายได้ ข้ึนต้นทุนการผลิตสูงดังนั้นรูปแบบ “กลุ่มออม ทรัพย์เพื่อการผลิต” จงึ เปน็ สถาบนั การเงินชุมชน จากการสอบถามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ ท่ีตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนและการ สถาบันการเงินชุมชนข้อเสนอแนะอ่ืน ๆ สรุปได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากได้ 7 ประการ ดังนี้ อย่างแท้จรงิ 1. ปรัชญาของสถาบันการเงินชุมชน 1.2 กลุ่มสัจจะออมทรัพย์และกลุ่ม ตอ้ งแตกต่างกบั สถาบันการเงินทางธุรกิจ เน้นทุน สจั จะสะสมทรัพย์ ทเี่ ปน็ กองทุนขนาดเลก็ รวมกัน ทางสังคมมากกว่าทุนทางเศรษฐกิจ หากสมาชิก เป็นเครือข่ายท่ีใช้หลักศาสนาเข้ามาเป็นทุนทาง ทุกคนยอมรับ เข้าใจและยึดม่ันในหลักการน้ี สังคมประกอบกับการระดมทุนจากสมาชิกใน สถาบันการเงินชุมชนน้ัน ๆ ก็จะเข้มแข็งและ กลุ่มแบบจากัดขนาดเงินออม แต่ต้องทาอย่าง ม่นั คงได้ สม่าเสมอ เน้นการช่วยเหลือดูแลซ่ึงกันและกัน รวมท้ังจัดสวัสดิการเพื่อส่วนรวมไม่จาเป็นต้องมี 2. ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินชุมชน กฎหมายเป็นตัวกากับ แตกต่างจากรูปแบบท่ี รูปแบบใด จะต้องเกิดจากความต้องการของ 1.1 ซ่ึงไม่เน้นวัตถุประสงค์เพื่อการผลิตเป็น ประชาชนในชมุ ชนเปน็ หลกั หรือท่เี รียกว่าโตจาก สาคัญ แต่เปดิ กวา้ งกว่าในเชิงสวัสดิการ ภายในจึงจะมัน่ คงและย่ังยืน รูปแบบที่ 2 สถาบันการเงินชุมชนกลุ่ม 3. ต้องไม่ให้กองทุนของแต่ละกลุ่มใหญ่ กึ่งในระบบมีกฎหมายรองรับ เช่น กองทุน เกินไปจนขยายออกไปนอกชุมชน แต่ให้เป็น หมู่บ้านและชุมชนเมือง สหกรณ์เครดิตยูเนียน เครือขา่ ยกันได้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใหเ้ กิดความ สหกรณ์การเกษตร เป็นต้น ความเข้มแข็งของ เข้มแข็ง ส ถ า บั น ก า ร เงิ น ชุ ม ช น น้ั น ไม่ ได้ ข้ึ น อ ยู่ กั บ ผ ล ประกอบการเหมือนเช่นองค์การทางธุรกิจ แต่ 4. สถาบันการเงินชุมชนทุกรูปแบบควร ข้ึนอยู่กับ “ทุนทางสังคม” ของกลุ่มประชาชน จัดโครงสร้างองค์กรให้เล็กที่สุดก่อนและค่อย ๆ นั้น ๆ กรณีอย่างน้ีในสังคมเมืองจะมีอยู่บ้าง แต่ ขยายเม่ือภารกิจเพ่ิมขึ้น ต้องยึดหลักกิจกรรมท่ี ในสังคมชนบทจะมีมากที่สุด กล่าวได้ว่าสังคม เน้นการช่วยเหลือเก้ือกูลกันและสวัสดิการของ เปิดทาไม่ได้ แต่สังคมปิดทาได้ รูปแบบท่ีมั่นคง สมาชิกในชุมชนเป็นสาคัญ มิใช่ผลประโยชน์ทาง ยั่งยืนน้ันจะอยู่ท่ีทุนทางสังคม ทุนทางปัญญา ธรุ กจิ เป้าหมายสุดท้ายคือ “อยดู่ ีมีสุข” มิใช่อยู่ดี มากกวา่ ทุนทางการเงิน ในเรือ่ งวัตถุประสงค์ของ กินดี แต่การคุ้มครองเงินฝากของสมาชิกก็เป็น ส ถ า บั น ก า ร เงิ น ชุ ม ช น ว่ า ต้ อ ง เกิ ด จ า ก ค ว า ม เรื่องที่สาคัญท่ีสุด ต้องมีการจัดการบริหารความ ต้องการและความร่วมมือร่วมใจกันของคนใน เสย่ี งให้ดี ชุมชนเป็นสาคัญ และต้องมีขนาดกลุ่มไม่ใหญ่ 5. ต้องสร้างคน สร้างวิธีทางาน และ สร้างชุมชน/สังคมไปพร้อมกันให้สมดุล วิธีท่ีจะ ทาให้สถาบันการเงินชุมชนเกิดความย่ังยืนได้ก็ คือ พัฒนาคนให้มีคุณธรรม ถ้าคนมีคุณธรรม ไม่
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) ต้องมีระเบียบอะไรมาก เขาจะไม่โกง หรือเอา ลึ ก ซ้ึ ง ว่ า ภู มิ ปั ญ ญ า ชุ ม ช น แ ล ะ วิ ถี ชี วิ ต เงินไปเกินก็จะคืน ซึ่งควรมีกระบวนการให้ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมที่พวก ค ว าม รู้ กั บ ส ม าชิ ก แ ล ะ ค ณ ะ ก ร ร ม ก าร ทุ ก ฝ่ า ย เขามีอยู่นั้นก็คือทุนท่ีมีค่าไม่น้อยว่าทุนท่ีเป็นเงิน อย่างต่อเนื่อง เพ่ือให้เกิดความโปร่งใส ช่วย ห รือท รัพ ย์สิน ทั้ งน้ี สามารถแสดงให้ เห็ น ป้องกันปัญหาสอดแทรกท่ีจะทาให้เกิดความ ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อรูปแบบสถาบัน เสยี หายต่าง ๆ ได้ การเงินชุมชน ซึ่งสอดรับกับหลั กปรัชญ า เศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระ 6. สถาบันการเงินชุมชนในรูปแบบที่ เจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดาริ ประชาชนรวมตัวกันจัดต้ังขึ้นนั้นจะเข้มแข็งและ ให้ทกุ คนนาไปใช้ มั่ น ค ง ไ ด้ ค ว ร มี ก ฎ ห ม า ย เข้ า ม า ช่ ว ย เส ริ ม ไ ด้ อาจจะอยู่ในรูป Formal หรือ Semi-Formal ก็ ห ลั ก ป รั ช ญ าเศ ร ษ ฐ กิ จ พ อ เพี ย ง ก็ คื อ ได้ ความสมดุลของการใช้ทุนทางสังคม ทุนทาง ปัญญา และทุนเงินหรือทรัพย์สิน เพ่ือเป็นปัจจัย 7. หลักการอยู่รอด พอเพียง มั่นคง ยง่ั ยืน ในการดาเนินงานของสถาบันการเงินชุมชนไม่ว่า 3 S (Survived + Sufficient + Sustainable) จะ จะอยู่ในรูปแบบใด มาทาให้คนในชนบทและใน เกิดข้ึนได้อย่างแน่นอน ถ้าสถาบันการเงินชุมชน ชุมชนเมืองได้เกิดการช่วยเหลือเก้ือกูลกัน จาก ไม่ว่ารูปแบบใดมีหลักอยู่ท่ี ทุนทางสังคม และ เงินกองทุนที่ร่วมกันจัดต้ังขึ้นเองท้ังในแบบที่มี ทุนทางปญั ญา การอุดหนุนโดยรัฐและโดยแบบที่ระดมเงินออม กนั เอง ซึ่งเมื่อนับรวมกันทุกกลุ่มจะมีมูลค่าหลาย สรปุ และอภปิ รายผลการวิจยั แสนลา้ นบาท สอดคล้องกบั รายงานการวิจยั เรือ่ ง การวิจัยในครั้งนี้ได้ค้นพบว่า สถาบัน ความเป็นไปได้ในการพัฒนากองทุนเป็นสถาบัน การเงินชุมชนว่า ปัจจุบันมีการออมทรัพย์และ การเงินชุมชนทุกรูปแบบต้องเป็นส่วนหนึ่งของ ภาครัฐก็ให้การสนับสนุนผ่านกองทุนหมู่บ้าน ไม่ ชุมชน ไม่ทาตวั แปลกแยกจากชุมชน คนในชมุ ชน ต่ากว่า 200,000 แห่ง/กองทุน มีการบริหารจัด เห็ น ว่าวัฒ น ธ รร ม มี ค ว าม ส าคั ญ น้ อ ย แ ต่ การเงินรวมกันไม่น้อยกว่า 150,000 ล้านบาท ผู้เช่ียวชาญกลับเห็นว่าวัฒนธรรมมีความสาคัญ และหากนาเงินทุนมาหมุนเวียน 5 รอบ ก็จะ มาก ท้ังน้ีเพราะคณะกรรมการและสมาชิกของ เท่ากับว่าจะมีเงินมากกว่า 5 แสนล้านบาทท่ี สถาบันการเงินชุมชนน้ันส่วนใหญ่เป็นคนชนบท หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานราก ดังนั้น หรอื ชุมชนเมืองคุ้นเคยกับวิถีชวี ิตทเ่ี ปน็ อยู่ โดยไม่ ภ า ค รั ฐ ใ น ร ะ ดั บ น โ ย บ า ย จ ะ ต้ อ ง ด า เนิ น ก า ร คิดว่านั่นคือขนบธรรมเนียม ประเพณี และ ส่งเสริมและพัฒนากองทุนและสถาบันการเงิน วัฒนธรรมท่ีประเมินค่าเป็นทุนได้ ในขณะที่ ชุมชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การเพ่ิมทุนให้กับ ผู้เชย่ี วชาญแต่ละคนมีความรู้และประสบการณ์ท่ี กองทุนที่มีความสามารถในการบริหารจัดการ ลึกซ้ึงกว่า สามารถจาแนกให้เห็นได้อย่างชัดเจน เพื่อนาไปสู่การเป็นสถาบันการเงินชุมชนท่ีมี ว่า ทุนทางสังคม ทนุ ทางปญั ญา และทุนเงิน มีค่า ความมั่นคง ซึ่งจะทาให้การฟ้ืนฟูและพัฒนา ไม่แพ้กัน สามารถนามาใช้ให้เกิดคุณค่าและ มูลค่าได้ ปัญหาคือ ทาอย่างไรจึงจะทาให้คนใน ชนบทและชุมชนเมืองมีความรู้ความเข้าใจที่
วารสารเกษมบณั ฑิต ปที ี่ 23 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มิถนุ ายน 2565) เศรษฐกิจในระดับมหภาคให้ดีขึ้น (สถาบันวิจัย ท่ีมีศักยภาพ เพ่ือสนับสนุนให้กลุ่มประชาชนใน และพฒั นา มสธ, 2554) ชนบทและกลมุ่ ประชาชนในชุมชนเมอื งที่ประสบ ขอ้ เสนอแนะ ความสาเร็จในการประกอบอาชีพได้มีโอกาส เข้าถึงแหล่งทุนขนาดใหญ่เพื่อขยายกิจการหรือ 1. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพิ่มกาลังผลิตให้ได้มากขึ้น เพราะความเข้มแข็ง 1) ภ าครัฐควรมีน โยบ ายและ ที่ เกิ ด จ า ก ส ถ า บั น ก า ร เงิ น ชุ ม ช น น้ั น อ า จ ไม่ มี เครดิตเพียงพอท่ีจะให้ธนาคารพาณิชย์สนับสนุน มาตรการท่ีเป็นรูปธรรม เพ่ือการส่งเสริมและ ได้ ซึ่งในทางปฏิบัติอาจพัฒนาจากกลไกของ พัฒนาระบบสถาบันการเงินชุมชนไม่ว่าจะจัด “ส า นั ก ง า น ก อ ง ทุ น ห มู่ บ้ า น แ ล ะ ชุ ม ช น เมื อ ง ตั้งอยู่ในรูปแบบใด ซึ่งควรมีกฎหมายรองรับเพื่อ แห่งชาติ” ใหเ้ ป็นแม่งานรบั ผิดชอบกไ็ ด้ ช่วยกากับแต่มิใช่การบังคับควบคุม มีระบบการ ส่งเสริมการเรียนรู้ให้ชุ มชนรักษาทุนท าง 2. ข้อเสนอแนะเพ่อื การวจิ ยั ตอ่ ไป วฒั นธรรมใหเ้ ขม้ แข็งและพัฒนาทนุ ทางปัญญาให้ ความจริงท่ีปรากฏเป็นเชิงประจักษ์ที่ ทันสมัยอยู่บนฐานของบริบทชุมชน ท้ังน้ีเพราะ ห า ก ไม่ มี ก า ร ก ากั บ ไว้ บ้ า งอ า จ เกิ ด ปั ญ ห า ก า ร ผู้วิจัยได้พบ คือ มาตรฐานการปฏิบัติสาหรับการ ทุจริตข้ึนส่งผลทาให้ท้ังเศรษฐกิจและสังคมของ บริหารจัดการสถาบันการเงินชุมชนบนหลักธรร ชุมชนเกิดการล่มสลายได้ ซ่ึงมีผลกระทบไปถึง มาภิบาลของชุมชน มาตรฐานการให้บริการแก่ ความม่ันคงของชุมชนและประเทศชาติได้ สม าชิก และกระบ วน การพั ฒ น าคน และ ระ บ บ งาน ให้ เจ ริญ เติ บ โต ได้ อ ย่ าง ย่ั งยื น 2) ถึงแม้ว่าระบบการเงินของ จาเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง เพราะ สถาบันการเงินชุมชนจะคล้ายกับการเงินเพ่ือคน กระแสทุนนิยมและเทคโนโลยีการสื่อสารในยุค จ น ที่ รู้ จั ก ใน ชื่ อ ก า ร เงิ น ข น า ด จ๋ิ ว ห รื อ ปัจจุบัน ทาให้สังคมชนบทกับสังคมเมืองหรือ Microfinance หรอื การเงินฐานราก หรือการเงิน สังคมปิดกับสังคมเปิด สามารถเช่ือมโยงกันได้ ชุมชนท่ีมกี ารดาเนินการคล้ายกับธนาคารกรามีน อย่างไร้ข้อจากัด เช่น ระบบโทรศัพท์ 3G-4G ซ่ึง ของบังคลาเทศ เพ่ือให้ประชาชนสามารถพ่ึงพา กาลังแพร่หลายข้ึนอย่างรวดเร็ว มีการสร้าง ระบบการเงินชุมชนดังกล่าวในการสร้างอาชีพ แอปพลิเคช่ันให้ใช้ไดอ้ ย่างหลากหลายได้ทุกเร่ือง เพ่ิมรายได้ และการจัดสวัสดิการชุมชน แต่ ท้ังข้อมูลข่าวสารที่ดีและส่ิงที่ไม่ดีสามารถเข้าถึง หน่วยงานรัฐทั้งในระดับชาติและในระดับท้องถิ่น ทุกคนได้ท้ังที่ต้ังใจและมิได้ตั้งใจ ดังน้ันความ ตอ้ งชว่ ยรณรงค์ในเรื่องอุดมการณ์และปรัชญาให้ ฉลาดที่จะรับรู้อย่างมีวิจารณญาณและพร้อมที่ ทุกฝ่ายตระหนักถึงวัตถุประสงค์สถาบันการเงิน จะเผชิญกับสิ่งเหล่าน้ันจึงเป็นหนทางท่ีดีท่ีสุด ชุมชนอย่างต่อเนอ่ื ง ผู้วจิ ยั มีข้อเสนอเพอ่ื การวิจัยตอ่ เนื่อง ดังน้ี 3) ภาครัฐและภาคเอกชนควรมี 1) เชิงการบริหารสถาบัน ควรทาการ ระบบการส่งถ่าย (Transition) ระบบพ่ีเล้ียง วิจัยในเรื่อง รูปแบบของกิจกรรมและลักษณะ (Mentoring) และระบบการตรวจสอบติดตาม ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร ส ถ า บั น ก า ร เงิ น ชุ ม ช น ใ ห้ (Monitoring) ระหว่างสถาบันการเงินชุมชนกับ สถาบันการเงินทางธุรกิจ เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารของรัฐประเภทต่าง ๆ หรอื บริษัทเอกชน
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) สอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกและทิศ 4) เชิงการตลาด ควรทาการวิจัยเร่ือง ทางการพฒั นาเศรษฐกจิ ของชมุ ชน ช่ อ ง ท า ง ก า ร จ า ห น่ า ย ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ชุ ม ช น ผ่ า น เครอื ขา่ ยสถาบนั การเงนิ ชุมชนทวั่ ประเทศ 2) เชิงนวตั กรรม ควรทาการวิจัยในเร่ือง การประยุกต์ใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์และ 5) เชิงการพัฒนาคนในชุมชน ควรทา เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการบริหารจัดการ การวิจัยเร่ือง กระบวนการบ่มเพาะคุณภาพคน สถาบันการเงนิ ชมุ ชนให้มปี ระสทิ ธิภาพสูงสุด ในชุมชนให้เกิดความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยม ด้านทุนทางสังคมและทนุ ทางปัญญา 3) เชิงการผลิต ควรทาการวิจัยเร่ือง เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมสาหรับการผลิตสินค้าโดย การสนบั สนุนของสถาบนั การเงนิ ชุมชน References Institute for Research and Development, Sukhothai Thammathirat University. (2554). The possibility of developing a fund is a community financial institution. Sukhothai Thammathirat Printing Office. Nathsupha, C. (2554). Community economic concepts Theoretical proposal in a different social context. Sangsan Prints. Wongcha-Um, S. (2554). Country development planning. Pechroog Printimg Offince.
วารสารเกษมบณั ฑิต ปีท่ี 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถนุ ายน 2565) แนวทางการบริหารจดั การกองทุนจติ อาสาประชารัฐในการดูแลผเู้ ปราะบางทางสังคม จังหวดั นนทบรุ ี จันฑมาศ วงษ์เสรี สาขาวิชาผู้นาทางสงั คม ธรุ กจิ และการเมือง วทิ ยาลยั นวัตกรรมสังคม มหาวทิ ยาลัยรงั สิต จังหวดั ปทมุ ธานี 12000 E-mail: [email protected] บญุ สม เกษะประดษิ ฐ์ สาขาวชิ าผูน้ าทางสังคม ธุรกจิ และการเมอื ง วิทยาลยั นวัตกรรมสงั คม มหาวทิ ยาลัยรังสิต จังหวัดปทมุ ธานี 12000 ตดิ ต่อผเู้ ขียนบทความที่ จันฑมาศ วงษเ์ สรี สาขาวชิ าผู้นาทางสังคม ธรุ กิจ และการเมอื ง วทิ ยาลยั นวตั กรรมสงั คม มหาวทิ ยาลัยรังสติ จังหวดั ปทมุ ธานี 12000 E-mail: [email protected] วันทีร่ ับบทความ: 29 พฤศจิกายน 2564 วนั ทแี่ ก้ไขบทความ: 11 มกราคม 2565 วันที่ตอบรับบทความ: 8 มีนาคม 2565 บทคัดย่อ วัตถุประสงค์ ศึกษากระบวนการบริหารจัดการและกิจกรรมของกองทุนจิตอาสาประชารัฐเพ่ือผู้ เปราะบางทางสงั คม วธิ ีการวจิ ยั ใชว้ ิธกี ารวิจัยเชิงคณุ ภาพ ซึ่งประกอบด้วยวธิ ีการวิจัยเชิงเอกสารและการ สัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ท่ีเก่ียวข้องโดยตรงจานวน 15 คน ผลการวิจัย ผู้เปราะบางทางสังคมในจังหวัดนนทบุรี มีสาเหตุหลักคือความยากจน และแนวทางการจัดการให้ความช่วยเหลือในแต่ละกรณีแตกต่างกัน กองทุน จิตอาสาประชารัฐเพ่ือผู้เปราะบาง มีลักษณะการช่วยเหลืออยู่ในรูปแบบของ EHCoM Model (เอ็คคอม โมเดล) ซ่ึงเป็นการช่วยเหลือท่ีมีวิธีการและลาดับข้ัน โดยแบ่งเป็น 4 ลักษณะ ได้แก่ การช่วยเหลือแบบ ปัจจุบันทันด่วนอย่างทันท่วงที การช่วยเหลือทางด้านจิตใจ การช่วยเหลือการประสานหน่วยงานในพ้ืนที่ท่ี เกีย่ วข้องกบั ปัญหาโดยตรง และการให้ความช่วยเหลือในแต่ละกรณี การจดั การความรู้ของผเู้ ปราะบางทาง สังคมเป็นความรู้ท่ีมาจากสองแหล่งคือความรู้ท่ีเกิดข้ึนในตัวจิตอาสาผ้ดู าเนินการช่วยเหลอื ผู้เปราะบางทาง สังคม และกระบวนการจัดการความรู้ได้ถูกนามาใช้ และสร้างความรู้ให้กับผู้เปราะบางทางสังคมให้เกิดวิธี คิดใหม่ ๆ แนวทางใหม่ ๆ นัยทางทฤษฎี/นโยบาย รัฐบาลอาจนาตัวแบบการบริหารจัดการกองทุนใน จังหวัดนนทบุรีไปประยุกต์เป็นตัวแบบในการบริหารจัดการกองทุนจิตอาสาในการสงเคราะห์ผู้เปราะบาง ทางสังคมในเขตพืน้ ทอี่ ่นื ๆ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน คาสาคญั : กองทนุ จติ อาสาประชารฐั จงั หวดั นนทบรุ ี ผ้เู ปราะบางทางสงั คม
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) Management Approaches of the Public Volunteer Fund in the Socially Vulnerable Care, Nonthaburi Province Janthamas Wongsaree Business and Politics Program, College of Social Innovation, Rangsit University, Patumthani 12000 E:[email protected] Bunsom Kesapradist Business and Politics Program, College of Social Innovation, Rangsit University, Patumthani 12000 Correspondence concerning this article should be addressed to Janthamas Wongsaree, Business and Politics Program, College of Social Innovation, Rangsit University, Patumthani 12000 E:[email protected] Received date: November 29, 2021 Revised date: January 11, 2022 Accepted date: March 8, 2022 Abstract PURPOSES: To study processes of management and activities in the Pracharat Volunteer Fund for the socially vulnerable in Nonthaburi Province. METHODS: It was a qualitative research consisting of documentary research and in-depth interviews of 15 stakeholders. RESULTS: The socially vulnerable people in Nonthaburi lived in poverty. Public Volunteer Fund for them in Nonthaburi adopted the help model of EHCoM Model consisting of 4 features i.e. sudden help as E-Emergency assistance, psychological assistance or H-Heart assistance, help to coordinate with other help units in the area directly related to the problem, and assistance in each case or M-Management. Knowledge management for the socially vulnerable came from two sources i.e. the volunteers who work to help the social vulnerable and the knowledge management process implemented to educate the social vulnerable on new ways of thinking and new approaches. THEORETICAL/POLICY IMPLICATIONS: The government could adopt the Nonthaburi Public Volunteer Fund Management model, with special emplanes on people participation for application in other areas. Keywords: Public Volunteer Fund, Nonthaburi, the socially vulnerable
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีท่ี 23 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) บทนา เหนือกว่าไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือหรือมีส่วนน้อย ในอดีตเม่ือคร้ังที่ประเทศไทยยังไม่ก้าว มากในการพฒั นาสังคมท่ดี อ้ ยกวา่ เข้าสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่ สภาพ การตระหนักต่อปัญหานี้สอดคล้องกับ ความเป็นอยู่ของสังคมและวิถีชีวิตการตั้งถิ่นฐาน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี เป็นกลุ่มสังคมหรือชุมชนขนาดเล็กท่ีอยู่รวมกัน 12 (พ.ศ. 2560-2564) ซ่ึงให้ความสาคัญกับการ ในกลุ่มสังคมหรือชุมชนขนาดเล็กน้ีจะมีพ้ืนฐาน ใช้กลไกประชารัฐท่ีเป็นการรวมพลังขับเคลื่อน ทางด้านศีลธรรม คุณธรรม การเก้ือกูลเอื้ออาทร จากทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน และการ ต่อกัน เป็นกลไกท่ีช่วยควบคุมดูแลซ่ึงกันและกัน กาหนดประเด็นบูรณาการของการพัฒนาท่ีมี อย่างใกล้ชิดและกลายเป็นจิตสานึกชุมชนเปน็ ส่งิ ลาดับความสาคัญสูง และได้กาหนดในระดับ ซ่ึงยึดโยงผู้คนในชุมชนไว้ด้วยกัน ต่อมาเม่ือมี แ ผ น ง า น / โ ค ร ง ก า ร ส า คั ญ ท่ี จ ะ ต อ บ ส น อ ง ต่ อ การพัฒนาเศรษฐกจิ แผนใหม่ท่ีมุ่งเน้นการแข่งขัน เป้าหมายการพัฒนาได้อย่างแท้จริง รวมท้ังการ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ สภาพสังคมเน้น กาหนดเป้าหมายและตัวช้ีวัดท่ีมีความครอบคลุม การอยู่แบบตัวใครตัวมัน ผู้คนสนใจทุกข์สุขของ หลากหลายมิติมากกว่าในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ กันน้อยลง การพัฒนาท่ีสร้างความเปล่ียนแปลง ผ่าน ๆ มา ต่อวิถีความเป็นอยู่ของชาวชุมชนและส่งผล กระทบต่อชุมชนขนาดเล็กเหล่านี้ ได้ก่อเกิดวิถี จังหวัดนนทบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งในภาค ชีวิตของคนในชุมชนเมือง ซ่ึงมีลักษณะต่างคน กลางของประเทศไทย ซ่ึงมีเครือข่ายจิตอาสา ต่างอยู่ต่างแข่งขันกันทามาหากิน วิถีของชุมชน ประชารัฐระดับจังหวัด ลักษณะเป็นพ้ืนที่ เมืองใหญ่ทาให้จิตสานึกชุมชนนับวันจะหายไป ป ริ ม ณ ฑ ล ที่ ร อ ง รั บ ก า ร เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต ของ ผคู้ นในเมืองใหญท่ ี่มภี าวะเร่งเชิงเศรษฐกิจในการ กรุงเทพมหานคร มีการขยายตัวของชุมชน ประกอบอาชีพ ทาให้มีเวลาที่จะสนใจทุกข์สุข เพิ่มข้ึนอย่างต่อเน่ือง พ้ืนที่การเกษตรและชุมชน ของคนรว่ มสังคมน้อยลง การเก้อื กูลเอ้ืออาทรต่อ เดิมลดลง ความเป็นเมืองรุกรานความเป็นชุมชน กันซ่งึ เป็นคณุ ลกั ษณะท่สี าคัญของจิตสานึกชุมชน ดั้งเดิมและพ้ืนที่เกษตรกรรม ข้อมูลจากการ ค่อย ๆ หายไป ส า ร ว จ ส ถ า น ก า ร ณ์ ท า ง สั ง ค ม ป ร ะ จ า ปี งบประมาณ 2560 ของประชากรจังหวัดนนทบรุ ี การหายไปของจิตสานึกชุมชน เป็น จานวน 914,957 คน ซ่ึงได้แก่ เด็ก เยาวชน ปัจจัยประการหนึ่งที่ท าให้สั งค มมี ค ว า ม แรงงาน และผู้สงู อายุ โดยสานักงานพฒั นาสังคม เปราะบาง ผนวกรวมกับปัจจัยหลัก ก็คือการ และความม่ันคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี พบว่า พัฒนาทางเศรษฐกิจท่ีแบ่งแยกสังคมออกเป็น รอ้ ยละ 0.93 ของประชากรที่สารวจมีปัญหาด้าน สังคมทวิลักษณ์ (dualism) ทาให้เกิดความ สถานะความเป็นอยู่ พบว่า ร้อยละ 70.39 อยู่ แตกต่างระหว่างคนรวย คนจน เกิดสังคมที่ กับครอบครัวยากจน/ยากลาบาก ร้อยละ 13.68 เหนอื กว่า ด้อยกว่า เช่น สังคมในเมอื ง และสงั คม ต้องอยู่โดยดูแลบุคคลในครอบครัว เช่น เด็ก ในชนบท ซ่ึงความแตกต่างน้ีมีมาอย่างยาวนาน ผู้สูงอายุ คนพิการ ร้อยละ 12.44 มีท่ีอยู่อาศัย นั บ ตั้ ง แ ต่ มี แ ผ น พั ฒ น า เ ศ ร ษ ฐ กิ จ แ ล ะ สั ง ค ม ไม่มั่นคง/สภาพท่ีอยู่อาศัยไม่เหมาะสม ร้อยละ แห่งชาติ และความแตกต่างน้ีมีแนวโน้มว่า 0.78 ต้องเลี้ยงดูหลานตามลาพัง และร้อยละ ชอ่ งวา่ งของสงั คม 2 กลมุ่ นมี้ ีมากขึ้นโดยทส่ี ังคมที่ 2.71 อยู่คนเดียวตามลาพัง/ไม่มีผู้ดูแล/ถูก ทอดท้ิง ร้อยละ 0.85 ของประชากรท่ีสารวจมี
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม จาแนกเป็น ในภาวะยากลาบาก และแผนงานการสื่อสาร ปัญหาติดสุรา/เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ ร้อยละ สังคมและการจัดการความรู้ 42.87 ปัญหาติดการพนันต่าง ๆ ร้อยละ 36.80 และปัญหาติดเกม (ความถี่ในการเล่นเกมทุกวัน) ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาการ ร้อยละ 7.42 และร้อยละ 2.37 ของประชากรที่ ดาเนินงานของกองทุนจิตอาสาประชารัฐเพื่อผู้ สารวจมีสภาพความพิการและจดทะเบียนคน เปราะบางทางสังคม และศึกษาการจัดการ พิการ โดยจาแนกเป็นวัยแรงงานร้อยละ 42.23 ความรู้ของกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนให้การ ผู้สูงอายุร้อยละ 40.60 เด็กร้อยละ 11.32 และ ช่วยเหลือผู้เปราะบางมีความย่ังยืน ซ่ึงจะเป็น เยาวชน ร้อยละ 5.86 มีจานวนผู้ป่วยติดเชื้อ แนวทางให้บรรลุถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ HIV 951 คน และจานวนผู้ป่วยเอดส์ 6,662 สังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ในด้านการให้คนเป็น คน อัตราการพึ่งพิงรวมของจังหวัดนนทบุรีมีค่า ศูนย์กลางการพัฒนา โดยมุ่งสร้างคุณภาพชีวิต เท่ากับ 47.37 ซ่ึงหมายความว่าประชากรวัย และสุขภาวะที่ดีสาหรับคนไทย พัฒนาคนให้มี แรงงาน 100 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุและเด็ก ความเป็นคนท่ีสมบูรณ์มีวินัย ใฝ่รู้ มีความรู้ มี 47.37 คน การเป็นสังคมสูงวัยของนนทบุรี มีค่า ทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ มีทัศนคติท่ีดี ดัชนีสูงวัยที่ 104.10 ซ่ึงอยู่ในลาดับที่ 18 ของ รบั ผิดชอบต่อสังคม มจี รยิ ธรรมและคณุ ธรรม ประเทศ จังหวัดนนทบุรีมีทุนทางสังคมทั้งใน รปู แบบบุคคล อาสาสมคั รและกลุ่มองค์กรซ่ึงจาก วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย ระบบฐ านข้อมูลวุฒิอาสาธ นาคาร ส ม อ ง 1. เพื่อศึกษากิจกรรมกองทุนจิตอาสา สานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติพบว่ามีวุฒิอาสาธนาคารสมองท่ีมี ประชารัฐจังหวัดนนทบุรีในการดูแลผู้เปราะบาง ความเชี่ยวชาญสาขาอาชีพต่าง ๆ จานวน 372 ทางสงั คม คน และจากข้อมูลของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องใน จังหวัดพบว่า มีอาสาสมัครของหน่วยงานต่าง ๆ 2. ศึกษาการจัดการความรใู้ นการให้ความ จานวน 30,515 คน กลุ่มองค์กรภาคประชา ช่วยเหลือผูเ้ ปราะบางทางสังคมในจงั หวัดนนทบุรี สังคม/องค์กรท่ีไม่แสวงกาไร จานวน 124 แห่ง และศูนย์เรียนรู้ของรัฐจานวน 31 แห่ง พ้ืนที่ของ 3. เสนอแนะแนวทางการบริหารกองทุน จงั หวดั นนทบุรจี งึ เป็นพืน้ ท่ีของความเปราะบางที่ จิ ต อา ส า ป ร ะ ช า รั ฐ ใ น จั ง ห วั ด น น ท บุ รี อ ย่ า ง มี โครงการพัฒนากลไก สนับสนุนเครือข่ายจิต ประสิทธิผล อาสาประชารัฐระดับจังหวัด ได้ดาเนินการใน รูปแบบของกองทุนโดยตั้งชื่อว่า “กองทุนจิต คาถามในการวิจัย อาสาประชารฐั เพื่อผู้เปราะบางทางสังคม” มีการ การดาเนินกิจกรรมของกองทุนจิตอาสา ดาเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้เปราะบางในพื้นที่ จังหวัดนนทบุรี ในขณะเดียวกันคณะกรรมการ ประชารัฐจังหวัดนนทบุรีในการดูแลผู้เปราะบาง กองทุนฯ เห็นว่าเพื่อให้บรรลุแผนงานหลักของ ทางสังคมเป็นอย่างไร มีแนวทางการบริหาร โครงการฯ ซงึ่ ได้แก่ แผนงานชว่ ยเหลอื ประชาชน จัดการอย่างไร การช่วยเหลือผู้เปราะบางทาง สังคมมีการจัดการความรู้เพ่ือคล่ีคลายกับความ เสยี่ งทีเ่ กิดขน้ึ ในชีวติ หรือไม่
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีท่ี 23 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มิถุนายน 2565) วธิ กี ารวจิ ัย พัฒนากลไกสนับสนุนเครือข่ายจิตอาสาประชา ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุ ณภาพ รัฐเสริมสร้างสังคมสุขภาวะ พ.ศ. 2560 จังหวัด นนทบุรี ซึ่งดาเนินการโดยสมาคมพลเมืองนนท์ (Qualitative research) ด้วยวิธีการวิจั ยเชิ ง ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสานักงาน เอกสาร (Documentary research) และการ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) มีกลไก สัมภาษณ์เชิงลึก (In – depth interview) โดยแนว คณะกรรมการดาเนินงาน ในการขับเคลื่อนงาน คาถามสัมภาษณ์แบบปลายเปิด ผู้วิจัยได้กาหนด ระดับจงั หวัดจานวน 22 คน และระดบั อาเภอ (6 ผใู้ ห้ข้อมลู หลกั (Key – Informants) ประกอบด้วย อาเภอ) จานวน 18 คน จากการดาเนินกิจกรรม บคุ คลกลมุ่ ต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ สารวจข้อมูลผู้เปราะบางทางสังคมในจังหวัด นนทบุรี โดยจิตอาสาแต่ละอาเภอลงพ้ืนท่ีสารวจ 1. คณะทางานศูนย์ประสานงานจิตอาสา ข้อมูลกลุ่มประชาชนที่ประสบภาวะยากลาบาก ประชารัฐจงั หวดั นนทบุรี และกลุ่มเปราะบางทางสังคม รวม 7 ประเภท คือ 1) คนไร้บ้าน 2) คนไร้สัญชาติ 3) ผู้สูงอายุท่ี 2. แกนนาผูป้ ระสานงานฯ ระดับอาเภอ ถูกทอดทิ้ง 4) ผู้ติดเชื้อ 5) ผู้ป่วยติดบ้าน ติด 3. กลุ่มผูเ้ ปราะบาง เตียง 6) อดีตผู้ต้องขัง และ 7) คนพิการ โดยเน้น 4. ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในกองทุนจิต คนพิการท่ีมีภาวะพิการซ้าซ้อน และมีความ อาสาประชารฐั เพ่ือผเู้ ปราะบางในจังหวัดนนทบุรี ยากลาบากชว่ ยตวั เองได้น้อย มีความเส่ยี งตอ่ การ ท้งั หมดเปน็ จานวนรวม 15 คน ถูกทอดท้งิ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ 1. นาข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์ มา สาเหตุหลักประการหนึ่งของความเป็นผู้ เปรียบเทียบความเหมือนและความต่างของแต่ เปราะบางในจังหวัดนนทบุรี คือความยากจนซ่ึง ละบุคคล และจัดลาดับความสาคัญ และ เป็นเร่ืองที่ซับซ้อนเพราะมีหลายมิติ ตัวชี้วัดทาง คณุ ลกั ษณะของขอ้ มลู รายได้เป็นองค์ประกอบหน่ึง ความขาดแคลน 2. น า ข้ อ มู ล จ า ก ก า ร สั ม ภ า ษ ณ์ ที่ ทรัพยากรทางอาหาร ที่อยู่อาศัย และการมีงาน จัดลาดับความสาคัญแล้ว นามาเปรียบเทียบกับ ทา ก็สามารถเป็นตัวชี้วัดความยากจน สาเหตุ ข้อมูลทางเอกสารต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เช่น ของความเป็นผู้เปราะบาง จึงมีความเก่ียวเน่ือง แนวความคิดทฤษฎี ผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง กับสาเหตุของ ในกลุ่มของผู้เปราะบางในจังหวัด เพ่ือที่จะทราบถึงลักษณะที่คล้ายคลึงกันและ นนทบุรี สามารถแบ่งสาเหตุของได้เป็น 2 แตกต่างกนั ของข้อมูล แนวทางดังน้ี 3. นาข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์และ จากการศึกษาต่าง ๆ มาทาการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สาเหตุจากปัจจัยภายใน ได้แก่ การมี ร่วมกันอย่างเป็นระบบ และนาไปสู่การเชื่อมโยง ความรู้ความสามารถต่าในการประกอบอาชีพ ข้อมูลเข้าด้วยกัน แสดงความสาคัญของข้อมูลได้ เนื่องจากการขาดโอกาสในการศึกษาและพัฒนา ชัดเจนยิ่งข้ึน สะดวกในการวิเคราะห์และเขียน ทักษะต่าง ๆ การขาดโอกาสในการรับรู้ข้อมูล รายงาน ขา่ วสารท่เี ปน็ ประโยชน์ การมีปัญหาสุขภาพ การ ผลการวจิ ัย มีภาระในการเลี้ยงดูครอบครวั ท่มี ีขนาดใหญ่ การ ก อ ง ทุ น จิ ต อ า ส า ป ร ะ ช า รั ฐ จั ง ห วั ด มีทรัพย์สินและท่ีดินในการทากินน้อย คนใน นนทบุรี เกิดข้ึนจากการดาเนินงานโครงการ ครอบครัวติดเหล้า การพนันและยาเสพติด การ
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) ตกงานซ้าซ้อนอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะสมาชิก หน่วยงานที่เก่ียวข้องรับไปช่วยเหลือในระยะยาว ของครอบครัวที่เพ่ิงพ้นโทษจากคุกและการขาด ต่อไป และในการก่อกาเนิดกองทุนฯได้มีการจัด เงินทุนในการลงทุนเพอ่ื ประกอบอาชีพ ประชุมในกลุ่มของผู้จัดตั้ง ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ผู้มีจิตอาสา คนในชุมชน และเจ้าหน้าที่ใน 2. สาเหตุจากปัจจัยภายนอก เป็นผลมา หน่วยงานภาครัฐ โดยในการประชมุ ไดม้ กี ารระบุ จากนโยบายการพัฒนาที่ไม่สมดุลของภาครัฐ วัตถุประสงค์ของกองทุนจิตอาสาประชารัฐ ได้แก่ การเน้นพัฒนาเมืองมากกว่าการพัฒนา จงั หวัดนนทบรุ ีไวด้ งั น้ี ชนบท การเน้นแต่ทุนทางกายภาพโดยขาดการ ส่งเสริมทุนทางสังคม การเน้นการส่งเสริม 1. เพื่อการปลูกฝังจิตสานึกจิตอาสา อุตสาหกรรมมากกว่าการเกษตร การเน้นการ และจิตใจทีเ่ อ้อื อาทรตอ่ สงั คม และชุมชน จัดสรรทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อการ พาณิชย์โดยไม่ได้คานึงถึงความย่ังยืน การเน้น 2. เพ่ือช่วยเหลือผู้ยากลาบาก กลุ่มคน เป้าหมายการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ เปราะบางและพลเมอื งจติ อาสาจังหวดั นนทบรุ ี มากกว่าการกระจายรายได้ให้ประชากร ระบบ ราชการไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหาความยากจนท้ัง 3. เพอื่ จดั สวสั ดกิ ารให้แกส่ มาชกิ ในแง่ขั้นตอนในการปฏิบัติงานท่ีซับซ้อนและ 4. เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานและสร้าง ล่าช้า เป็นต้น ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของ ลีระ ความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และ พนั ธ์ (2017) ภาคีเครือขา่ ยจิตอาสาอื่น 5. เพอ่ื เปน็ การระดมทุนในการช่วยเหลือ การบริหารจัดการกองทุนประชารัฐเพ่ือ ผู้ยากลาบาก กลุ่มคนเปราะบางและพลเมืองจิต ผู้เปราะบางของจังหวัดนนทบุรี จึงก่อตัวขึ้นจาก อาสา แนวความคิดและหลักการของกองทุนจิตอาสา 6. เพ่ือส่งเสริมการปกครองในระบอบ โดยมีผู้ท่ีเรียกตนเองว่าผู้ก่อการดี เป็นผู้มีจิต ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาสาท่ีเห็นความทุกข์ยากของกลุ่มประชาชนท่ี และไม่ฝกั ใฝพ่ รรคการเมอื งหรอื กลุ่มการเมืองใด เป็นผู้เปราะบาง จากการรวมตวั กันทาให้เกดิ ดาริ ลักษณะการช่วยเหลือของกองทุนจิต ท่ีจะมีการสนับสนุนเงินทุนเป็นทุนต้ังต้นของ อาสาประชารัฐเพ่ือผู้เปราะบางในจงั หวัดนนทบุรี ประธานและรองประธานกองทุนฯ กับการ มี ลั ก ษ ณ ะ ก า ร ช่ ว ย เ ห ลื อ อ ยู่ ใ น รู ป แ บ บ ข อ ง บริจาคของคณะกรรมการกองทุนซ่ึงเป็นผู้มีจิต EHCoM Model ซ่งึ เป็นการช่วยเหลือท่ีมีวธิ ีการ อาสา รวมทั้งได้พยายามจัดงานกิจกรรมการ และลาดบั ขัน้ โดยแบง่ เป็น 4 ลกั ษณะ คอื ระดมทุนในรูปแบบต่าง ๆ โดยคณะกรรมการ 1. การช่วยเหลือแบบปัจจุบันทันด่วน กองทุนได้ร่วมกันวางหลักเกณฑ์และสร้างกลไก อยา่ งทันทว่ งที (E-Emergency assistance) เป็น การบริหารจัดการกองทุนจิตอาสาฯขึ้น จุดเด่น การขจัดปัญหาและบรรเทาทุกข์ให้เป็นการ ของกองทุนฯ น้ีอยู่ท่ีคณะกรรมการและ เฉพาะหน้า โดยมอบเงินหรือสิ่งของเครื่องใช้ท่ี คณะทางานท่ีมีความเป็นจิตอาสา ต่างช่วยกัน จาเปน็ ให้ในเบอื้ งตน้ ดาเนินกจิ กรรมกองทุนฯ ด้วยความเอาจรงิ เอาจัง 2 . ก า ร ช่ ว ย เ ห ลื อ ท า ง ด้ า น จิ ต ใ จ สามัคคี มกี ารทางานเปน็ ทีม โดยในการช่วยเหลอื ( H-Heart assistance) เ ป็ น ก า ร ช่ ว ย เ ห ลื อ ผู้เปราะบางไดม้ ีการถอดบทเรียนเหตุการณ์และมี ทางด้านการปลอบโยน ให้คาปรึกษา แสดงถึง การขยายผลโดยส่งต่อกรณีของผู้เปราะบางให้ การร่วมทุกข์ร่วมสุข รวมถึงรับฟังความทุกข์และ ข้อจากัดอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในชีวิต
วารสารเกษมบณั ฑิต ปที ่ี 23 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) ของผู้เปราะบาง การท่ีมผี ้รู บั ฟงั ปัญหาและความ เปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในยุคไอทีได้ดี ทุกข์ ทาให้จิตใจของผู้เปราะบางได้รับการ ขึ้นนาไปสู่การเป็นองค์กรและท้องถิ่นแห่งการ เยยี วยา และมีพลังทจี่ ะสู้ชีวติ อีกครั้งหนง่ึ เรียนรู้ สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของอิกจู โิ ร โนนากะ (Nonaka, 1994) 3. การช่วยเหลือการประสานหน่วยงาน ในพื้นที่ท่ีเกี่ยวข้องกับปัญหาโดยตรง (Co- สรปุ และอภิปรายผล operation assistance) เพื่อการส่งต่อปัญหา 1. การก่อตัง้ และเงินลงทนุ ของผู้เปราะบางและการช่วยเหลือในระยะยาว กองทุนฯ น้ีไม่ได้มีกฎเกณฑ์รูปแบบท่ี ตอ่ ไป ก า ห น ด จ า ก ท า ง ร า ช ก า ร ส า ห รั บ ก า ร บ ริ ห า ร 4. การให้ความช่วยเหลือในแต่ละกรณี จัดการกองทุน กองทุนจิตอาสาประชารัฐจังหวัด (M-Management) สอดคล้องกับ น้อยปรีชา นนทบุรี เกิดข้ึนจากการดาเนินงานโครงการ (2546) ท่ีกล่าวถึง ลักษณะการจัดต้ังกองทุนท่ี พัฒนากลไกสนับสนุนเครือข่ายจิตอาสาประชา จดั ต้งั ข้ึนโดยชาวบ้านเอง รัฐ เสริมสรา้ งสงั คมสุขภาวะ พ.ศ. 2560 จังหวัด นนทบุรี ในระยะเริ่มแรกของการก่อต้ังกองทุนฯ การชว่ ยเหลือผู้เปราะบางทางสังคม เปน็ น้ีอยู่ภายใต้สมาคมพลเมืองนนทบุรี และให้ กระบวนการท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้ โดยใช้การ สมาคมพลเมืองนนทบุรีเป็นผู้จัดตั้งกองทุน โดย เรียนรู้ร่วมกันตั้งแต่ก่อนเร่ิมงาน (learning ให้กรรมการสมาคมฯ มีสัดส่วนเป็นกรรมการ before) การเรียนรู้ร่วมกันระหว่างทางาน กองทุนได้ไม่เกิน 1 ใน 3 จานวนกรรมการ (learning during) และการเรียนรู้หลังงานนั้น กองทุนที่จัดตั้งข้ึน เม่ือกองทุนเข้มแข็งขึ้น ให้ สาเร็จ (learning after) เป็นวงล้อแห่งการ กองทุนฯแยกตัวเป็นอิสระจากสมาคมฯ ได้ โดย เรียนรขู้ ับเคลอ่ื นให้งานสาเร็จตามเปา้ หมาย เนน้ การแยกตัวจากสมาคมฯ ให้ใช้มติเสียงข้างมาก การทางานร่ว มกันข อง กลุ่มผู้ปฏิบั ติ ง า น ของที่ประชุมใหญ่สามัญของกองทุนจิตอาสา (คณะกรรมการกองทุนฯ) หรือคนในชุมชน ประชารฐั จงั หวดั นนทบรุ ี นอกจากนยี้ งั มีข้อบังคับ ด้ ว ย กั น เ ป็ น ก า ร ดึ ง ค ว า ม รู้ ใ น ค น ( Tacit กองทุนจิตอาสาประชารัฐจังหวัดนนทบุรี ซึ่ง knowledge) อ อ ก ม า ใ ช้ ง า น โ ด ย ผ่ า น ก า ร ประกาศใช้เม่ือเดือนตุลาคม พ.ศ.2560 เป็นอีก ปฏิสัมพันธ์ของคนในท้องถ่ินท่ีหวังผลสุดท้ายคือ กลไกหนึ่งสาหรับการดาเนินการกองทุนจิตอาสา ผลสัมฤทธิ์ของงาน โดยที่ผู้จัดการความรู้คือคน ประชารัฐจังหวัดนนทบุรี เพื่อให้เป็นไปอย่างมี ในท้องถ่ินน่ันเอง เป็นการจัดการความรู้ใน ประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ ซึ่งคณะบุคคลผู้ ลักษณะทั้งสร้างและใช้ความรู้ไปด้ว ยกัน มีจิตอาสากลุ่มหน่ึงของจังหวัดนนทบุรี ได้ ก่อให้เกิดความร่วมมือและการมีปฏิสัมพันธ์อันดี ตระหนักถึงความช่วยเหลือและความร่วมมือกัน ต่อกนั สง่ ใหเ้ กิดผลดี 4 ประการคอื ท่ีจะเอ้ืออาทร ห่วงใย จึงร่วมกันจัดต้ังและระดม ทุนเป็น “กองทุนจิตอาสาประชารัฐจังหวัด 1. ผลสมั ฤทธิ์ของงานดีขนึ้ นนทบรุ ี” ขน้ึ สาหรบั เงินทนุ ในการก่อตั้งเรม่ิ แรก 2. ผู้ปฏิบัติซ่ึงเป็นคนในท้องถ่ินมีความรู้ ซึ่งเรียกว่า “เงินลงขัน” ได้มาจากทีมบริหาร (มีปัญญา) สงู ขึ้นและมีความเป็นบุคคลเรยี นรู้ 3. ความรู้ถกู ยกระดับข้ึนและสั่งสมอยู่ใน องคก์ รในท้องถนิ่ 4. องค์กรและท้องถ่ินมีความสามารถใน การแข่งขันและสามารถปรับตัวเผชิญกับการ
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) โครงการพัฒนากลไกสนับสนุนเครือข่ายจิตอาสา 3. แผนและขนั้ ตอนการดาเนินงาน ประชารัฐ เสริมสร้างสังคมสุขภาวะ พ.ศ.2560 คณะกรรมการได้ประชุมเพ่ือกาหนด จังหวัดนนทบุรี ได้บริจาคเงินรายได้จาก แผนงานเบ้ืองต้น เป็นกรอบในการดาเนินงาน ค่าตอบแทนรายเดือน สมทบเข้ากองทุนฯ และ กล่าวได้ว่าการตั้งกองทุนฯ เป็นการรวมตัวกัน มีเงินสมทบจากคณะกรรมการคนอ่ืน ๆ อีก รวม เพื่อทางานในลักษณะลองผิดลองถูก อันมี เ ป็ น เ งิ น ตั้ ง ต้ น ใ น ก า ร ท า ง า น ก อ ง ทุ น จ า น ว น แนวโน้มคล้ายกองทุนของภาครัฐ ซึ่งมักจะ 93,774 บาท ดาเนินงานโดยมีกฎระเบียบและกฎหมายเป็น ตัวนา พร้อมกับงบสนับสนุนจากงบประมาณท่ี 2. โครงสร้างและการกาหนดทิศทาง ตายตัว สามารถท่ีจะจัดสรรในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ ของกองทุน วางไว้ แต่กองทุนจิตอาสาประชารัฐมีลักษณะท่ี แตกตา่ งเพราะไม่มีเงินทุนสนบั สนุนอย่างตอ่ เนื่อง คณะกรรมการได้รวมตัวกันแบบจิต การทางานจึงอยู่ในลักษณะท่ีวางแผนไว้พอเป็น อาสา มีโครงสร้างการทางานแบบหลวม ๆ และ แนวทาง ลงพื้นท่ีสารวจปรากฏการณ์จริง และ อยู่ในแนวราบ (Flat chart organization) โดย ใช้มติของท่ีประชุมคณะกรรมการในการตดั สนิ ใจ ได้มีการจัดประชุมตามวาระสาคัญ เช่น การ การใหค้ วามชว่ ยเหลือ กาหนดวัตถุประสงคข์ องกองทุน รูปแบบของการ ใ น ข้ั น ต อ น ข อ ง ก า ร ด า เ นิ น ง า น ช่วยเหลือ การกาหนดขอบข่ายของความเป็นผู้ คณะกรรมการได้กาหนดแผนไว้ดงั นี้ เปราะบางตลอดจนกิจกรรมที่จะระดมทุนเพ่ือ ขยายฐานของเงินสนับสนุนและการช่วยเหลือผู้ 1) จิตอาสาแต่ละอาเภอลงพื้นที่ เปราะบางในจังหวัดนนทบุรี ส า ร ว จ ข้ อ มู ล ก ลุ่ ม ป ร ะ ช า ช น ที่ ป ร ะ ส บ ภ า ว ะ ยากลาบากและกลุ่มเปราะบางทางสังคมรวม 7 ในการดาเนินงานคณะกรรมการได้ ประเภท ประกอบด้วย กลุ่มคนไร้บ้าน กลุ่มคน ร่วมกันกาหนดลกั ษณะรูปแบบของการช่วยเหลือ ไร้สัญชาติ กลุ่มผู้สูงอายุที่ถูกทอดท้ิง กลุ่มผู้ติด การดาเนนิ กองทนุ ฯ ไว้ 3 ลกั ษณะ คอื เช้ือเอดส์ กลุ่มผู้ป่วยติดบ้าน/ติดเตียง กลุ่มอดีต ผูต้ อ้ งขงั และกลุ่มผู้พิการ 1) การให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า และให้ความช่วยเหลอื แบบยืมไปประกอบอาชีพ 2) คณะกรรมการนาข้อมูล มา รวบรวมและสังเคราะห์ เพ่ือพิจารณาว่าจะเข้า 2 ) ก า ร ส ร้ า ง ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้ ข่ายการช่วยเหลือแบบใดท่ีกองทุนฯ ได้วางเป็น ฝึกอบรม และการศึกษาทางเลือก หลกั การไว้ 3) การให้ความช่วยเหลือเป็นส่ิงของ 3) คณะกรรมการตัดสินใจเป็นมติท่ี เชน่ ขา้ วสาร อาหารแห้ง เส้ือผ้า ฯลฯ ประชุม และดาเนินการชว่ ยเหลอื กิจกรรมของกองทุนจิตอาสาประชารัฐ 4) คณะกรรมการร่วมกับจิตอาสา จังหวัดนนทบุรี มุ่งเน้นที่กิจกรรมในการดูแล ในชุมชน เจ้าของพื้นที่ลงพ้ืนที่เย่ียมบ้านและให้ ช่วยเหลือกลุ่มคนยากลาบาก/กลุ่มเปราะบางใน การชว่ ยเหลือ ชุมชน และจิตอาสาของจงั หวัดนนทบรุ ี และการ พัฒนาศักยภาพเครือข่ายจิตอาสาให้มีความ เข้มแขง็ และยง่ั ยนื
วารสารเกษมบณั ฑิต ปที ี่ 23 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มถิ ุนายน 2565) 5) คณะกรรมการประชุมเพื่อรับ ในการทางานที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ รายงาน และร่วมถอดบทเรียนเพ่อื การขยายผล จังหวัดนนทบุรี โครงสร้างท่ีได้รับการวางไว้ว่า เป็นการบูรณาการของ 5 ภาคส่วนสาคัญ ได้ ในการทางาน ประเด็นสาคัญท่ีพบก็คือ หายไปหลายภาคส่วน สุดท้ายแล้วการ แนวคิดทฤษฎีประชารัฐ ซ่ึงรัฐบาลใช้เป็น ดาเนินงานขับเคลื่อนไปด้วยคณะกรรมการชุด ยุทธศาสตร์สาคัญ โดยมุ่งหวังจะให้เกิดการ ก่อต้ังและจิตอาสาที่เป็นคนในชุมชนในระดับ บริหารจัดการสาธารณะแนวใหม่ ท่ีลดบทบาท อาเภอ และพบเห็นความทุกข์ยากของผู้ ภาครัฐและเน้นการมีส่วนร่วมของภาคส่วนอื่น ๆ เปราะบางและยินดีเข้าช่วยเหลือ โดยจิตอาสา 5 ภาคส่วน ประกอบดว้ ย เหล่านีไ้ ม่หวังผลตอบแทนใด ๆ 1) ภาคราชการ จุดเด่น คือ มีบุคลากร 4. การดาเนนิ งาน จานวนมากกระจายอยู่เต็มพื้นที่ มีองค์ความรู้ มี ในการดาเนินงานของกองทุนฯ ผู้วิจัย งบประมาณและบทบาทหน้าท่ีตามลักษณะงานที่ พบว่าคณะกรรมการได้มีกระบวนการบริหาร รับผิดชอบ จัดการอย่างเป็นธรรมชาติ ซ่ึงสอดคล้องกับ ทฤษฎีการบริหารงานท่ีได้ทบทวนวรรณกรรมไว้ 2) ภาคเอกชน จุดเด่น คือ ทันสมัย มี โดยคณะกรรมการไม่ได้มุ่งเน้นว่าจะใช้ทฤษฎีใด ความสามารถในการบริหารจัดการ มีทุนที่ ห า ก แ ต่ ก า ร ด า เ นิ น ก า ร ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ท ฤ ษ ฎี คล่องตัว POSDCoRB ดังนี้ 1) การวางแผน สาหรับการวางแผน 3) ภาคประชาชน จุดเด่น คือ มีฝีมือ มี เป็นหลักการสาคัญท่ีคณะกรรมการได้ร่วมกัน ความสามารถผลติ สินค้า รักบ้านเกิด กาหนดไว้ต้ังแต่เบ้ืองต้น เพ่ือเป็นหลักและกรอบ โครงให้สามารถทางานได้อย่างมีทิศทาง สาหรับ 4) ภาควชิ าการ จุดเดน่ คอื มีองค์ความรู้ แผนการดาเนินงานน้ัน ได้มาจากการพูดคุยกับ เทคโนโลยีและการค้นคว้าวิจยั เพอ่ื ตอ่ ยอด จติ อาสาซง่ึ ลงพนื้ ที่ และเป็นความเห็นร่วมกัน 2) ก า ร จั ด รู ป แ บ บ อ ง ค์ ก ร 5) ภาคประชาสังคม จุดเด่น คือ ทางาน คณะกรรมการของกองทุนฯ มีจานวนไม่มากนัก เชงิ ลึก เกาะติดและมเี ครือขา่ ยมาก และในการตัดสินใจในเรื่องใด ๆ จะไม่ใช้การออก เสียงลงคะแนนเพ่ือนับเสียงข้างมาก แต่ใช้การ สาหรับคณะทางานประชารัฐเพื่อสังคม พูดคุยด้วยเหตุผล และการตัดสินใจโดยพิจารณา หรือ คณะ E 6 เป็นคณะทางานสานพลังประชา จากความจาเปน็ รัฐคณะที่ 13 ท่ีต้ังข้ึน เพื่อมุ่งเน้นบทบาทความ 3) การจัดบุคคลเข้าทางาน การจัด ร่วมมือประเด็นการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต บุคคลเข้าทางานขององค์กรเป็นไปในลักษณะ โ ด ย เ ฉ พ า ะ อ ย่ า ง ย่ิ ง ก า ร ดู แ ล ก ลุ่ ม ป ร ะ ช า ก ร เปิดกว้างให้กับผู้มีจิตอาสา ซ่ึงสามารถเข้ามามี เป้าหมายที่เปราะบางซ่ึงรัฐเข้าถึงยาก ซ่ึง ส่วนร่วมในกองทุนฯ ได้ในทุกกิจกรรมและทุก คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 อนุมัติงบประมาณให้คณะกรรมการสุขภาพ แห่งชาติ หรือ สช. ดาเนินโครงการพัฒนากลไก สนับสนุนเครือข่ายจิตอาสาประชารัฐระดับ จงั หวดั พ.ศ. 2560 เพอื่ ใหเ้ กิดสังคมสุขภาวะ คอื สังคมที่ไม่ทอดท้ิงกัน เป็นสังคมที่เข้มแข็ง และ เป็นสังคมคุณธรรม
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) เนื้องานไม่ว่าจะเข้ามาในฐานะจิตอาสา หรือ แท็กซี่ พนักงานบริษัท ฯลฯ ซ่ึงล้วนแล้วแต่เป็น กรรมการกองทุนฯ คนท่ีอยู่ในชุมชน ผู้วิจัยพบวา่ คนเหลา่ นี้มีจติ ใจที่ พร้อมจะมีทุกข์สุขร่วมกับผู้เปราะบาง จิตร่วม 4) การส่ังการหรืออานวยการ การ กายร่วม พร้อมช่วยเหลือผู้เปราะบางในสังคม อานวยการของกองทุนฯ อยู่ในรูปแบบของ คนเหล่านี้มีจิตใจท่ีเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ บางคน คณะกรรมการกองทุน ซ่ึงใช้มติท่ีประชุมเป็น เสยี สละเวลา สงิ่ ของ เงนิ ทอง แรงกาย สติปญั ญา การตดั สิน เพ่ือช่วยเหลือผู้อ่ืนและสังคมด้วยความสมัครใจ อ่มิ ใจ เพ่ือใหผ้ ู้อื่นมคี วามสุข หลายคนช่วยเหลอื ผู้ 5) การประสานงาน การประสานงาน เปราะบางโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ผู้วิจัยได้ ของกิจกรรมในกองทุนมี 2 ส่วน ส่วนแรก คือ สอบถามสาเหตุของผู้ที่มีจิตอาสาเหล่านั้นที่ การประสานงานในกลุ่มผู้เปราะบางซึ่งมีจิตอาสา ชว่ ยเหลอื ผูเ้ ปราะบาง บางคนยดึ ม่ันในอุดมการณ์ เป็นกลไกที่สาคัญ และการประสานงานอีกระดบั ที่ ไ ด้ รั บ ก า ร สั่ ง ส อ น ม า จ า ก ค น รุ่ น พ่ อ รุ่ น แ ม่ ใ ห้ คือการประสานงานของคณะกรรมการ กับ ช่วยเหลือเพ่ือนมนุษย์ บางคนก็ไม่มีเหตุผล หน่วยงานภาครัฐท่ีเก่ียวข้องกับกรณีของผู้ นอกจากต้องการเห็นคนอ่ืนพ้นทุกข์ มีบางคน เปราะบาง อย่างเช่นคนขับแท็กซ่ีที่เต็มใจพาคนพิการใน ชุมชนไปโรงพยาบาลโดยไม่คิดค่าโดยสารก็มี 6) การรายงานผลการปฏิบัติงาน การ เหตุผลวา่ เขานึกถึงแม่ของเขาท่ีอยู่บ้านนอก และ รายงานผลการปฏิบัติงานของกิจกรรมกองทุนฯ เขาไม่เคยมีโอกาสได้ดูแลแม่ การท่ีได้ช่วยเหลือผู้ มคี วามหมายว่า หลงั จากจิตอาสาลงพ้ืนทแ่ี ล้ว จะ เปราะบางทาให้เขารู้สึกเสมือนว่าทดแทนบุญคุณ กลับมารายงานและร่วมหารือถึงความช่วยเหลือ แม่ เขารู้สึกถึงความสาเร็จและความอิ่มใจ ซ่ึง ทผี่ เู้ ปราะบางควรได้รับ และร่วมถอดบทเรยี น ทฤษฎีของมาสโลว์ก็พูดถึงความต้องการในชีวิต ว่าการได้ช่วยเหลือผู้อ่ืนก็เป็นความสาเร็จในชีวิต 7) การจัดทางบประมาณกองทุนฯมี เช่นกัน เงนิ ทนุ สนับสนุนไม่มากนัก ดงั นน้ั คณะกรรมการ จึงตกลงท่ีจะทาบัญชีรับ-จ่ายอย่างง่ายๆ แต่ ผู้วิจัยพบว่าผู้เป็นจิตอาสาในกองทุนฯ มี ชัดเจนเพ่ือให้รู้สถานะของการตัดสินใจในกรณีท่ี ความเข้มแข็ง ความสามัคคี ความเอาจรงิ เอาจัง มผี ูเ้ ปราะบางทตี่ อ้ งการให้การชว่ ยเหลือ การทุ่มเทเสียสละ การทางานร่วมกันเป็นทีมของ คณะก่อการท่ีล้วนเป็นจิตอาสา และทีส่ าคัญการ สอดคล้องกับทฤษฎี Z ของ Ouchi มองเห็นเป้าหมายร่วมกันในการทางาน ล้วนเป็น (1981) นกั ทฤษฎีชาวญ่ีปนุ่ ส่ิงที่เกื้อหนุนความสาเร็จของการก่อเกิดกองทุน จิตอาสาประชารัฐจังหวัดนนทบุรี ซ่ึงเมื่อ 5. การชว่ ยเหลอื ผเู้ ปราะบางทางสังคม วิเคราะห์แล้วพบว่าสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ ในจงั หวัดนนทบรุ ี องคสงิ ห์ (2550) 1) จติ อาสา จิตอาสา เป็นพลังขับเคล่ือนสาคัญที่ ท า ใ ห้ เ กิ ด ก อ ง ทุ น จิ ต อ า ส า ป ร ะ ช า รั ฐ เ พ่ื อ ผู้ เปราะบางในจังหวดั นนทบรุ ี เพราะจติ อาสาท่ีพบ ในพ้ืนท่ีจังหวัดนนทบุรี อยู่ในหลายรูปแบบ ท้ัง อสม. ซึ่งเป็นจิตอาสาโดยหน้าท่ีและหัวใจ นอกจากนี้ยังมีแม่ค้าส้มตา คนกวาดขยะ คนขับ
วารสารเกษมบณั ฑติ ปที ี่ 23 ฉบับท่ี 1 (มกราคม - มถิ ุนายน 2565) 2) กจิ กรรมระดมทุน บทเรียน และเห็นว่าลักษณะการช่วยเหลือ อยู่ เนื่องจากกองทุนฯ ก่อตั้งด้วยเงินทุน ในรูปแบบของ EHCoM Model ซ่ึงเป็นการ สนับสนุนเพียงไม่ถึง 100,000 บาท และเป็นการ ช่วยเหลือที่มีลาดับข้ัน และแบ่งเป็น 4 ลักษณะ บริจาคจากคณะกรรมการผู้ก่อต้ัง ดังน้ันจึงได้มี ไดแ้ ก่ การจัดกิจกรรมระดมทุนต่าง ๆ ประกอบด้วย การจัดงานทอดผ้าป่าสามัคคี การจัดงานราวง (1) E-Emergency assistance เป็น ย้อนยุคขายบัตรโต๊ะจีน การจัดแข่งขันกีฬาใน การช่วยเหลอื แบบปัจจุบันทันด่วนอยา่ งทันท่วงที จังหวัด การจาหน่ายสินค้า ทั้งของใหม่ และ เป็นการขจัดปัญหาและบรรเทาทุกข์ให้เป็นการ สินค้ามือสอง การจาหน่ายเสื้อพลเมืองจิตอาสา เฉพาะหน้า โดยมอบเงินหรือสิ่งของท่ีจาเป็นต้อง การขอรับ กา รสนั บส นุน และรับบ ริ จ า ค ใช้ให้ในเบอื้ งตน้ นอกจากน้ีคณะก่อการดีท่ีร่วมกันจัดตั้งกองทุน จิตอาสาประชารัฐจังหวัดนนทบุรียังมีแนวคิดใน (2) H-Heart assistance เป็นการ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อขยายกองทุนฯ ให้ ช่วยเหลือทางด้านจิตใจ ในการปลอบโยน ให้ เติบโตข้ึนในอนาคต เช่น การออมเงินวันละ 1 คาปรึกษา แสดงถึงการร่วมทุกข์ร่วมสุข รวมถึง บ า ท จ า ก ส ม า ชิ ก ก า ร ท า ส า ย รั ด ข้ อ มื อ รับฟังความทุกข์และข้อจากัดอุปสรรครวมถึง (wristband) จิตอาสาประชารัฐ การแสดงการ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในชีวิตของผู้เปราะบาง กุศล การเล่นดนตรีเปดิ หมวก ฯลฯ การท่ีมีผู้รับฟังปัญหาและความทุกข์ ทาให้จิตใจ ลกั ษณะของกจิ กรรมระดมทนุ สะทอ้ น ของผูเ้ ปราะบางได้รับการเยียวยา และมีพลงั ที่จะ ว่ากองทุนฯ นี้เป็นกองทุนของชุมชน ที่แตกต่าง สู้ชีวิตอีกคร้ังหนึ่ง โดยข้อนี้เป็นจุดเด่นของการ จากกองทุนรัฐที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ดาเนินงานช่วยเหลือของกองทุนฯ เน่ืองจากมี เป็นรูปแบบของกองทุนที่จัดตั้งข้ึนโดยชาวบ้าน คณะกรรมการซ่ึงเป็นจิตอาสา และยินดีท่ีจะ เอง สอดคล้องกับ ผลงานวิจัยของน้อยปรีชา ช่วยเหลือผู้อ่ืน แม้จะไม่มีกาลังทรัพย์มาช่วยก็ (2546) และการที่คณะก่อการได้ร่วมกันดาเนิน ตาม กิจกรรมท่ีหลากหลายในการระดมทุนเป็น กองทุนจิตอาสาประชารัฐนั้น เม่ือพิจารณาแล้ว (3) Co-operation assistanceเป็น สอดคล้องกับหลักทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ ช่ ว ย เ ห ลื อ ก า ร ป ร ะ ส า น ห น่ ว ย ง า น ใ น พื้ น ท่ี ท่ี (Maslow, 1970) เกี่ยวข้องกับปัญหาโดยตรง เช่น กระทรวงการ 6. แนวทางการบริหารกองทุนจิตอาสา พัฒนาสังคมแล ะ คว า มม่ั น คง ข อง ม นุ ษ ย์ ป ร ะ ช า รั ฐ ใ น จั ง ห วั ด น น ท บุ รี อ ย่ า ง มี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย อบต. ประสิทธิภาพ เป็นต้น เพ่ือการส่งต่อปัญหาของผู้เปราะบาง 1) EHCoM Model: กาลงั ของกองทนุ และการชว่ ยเหลอื ในระยะยาวต่อไป จิตอาสา ในการช่วยเหลือน้ัน คณะกรรมการ (4) Management หมายถึงกระบวน กองทุนจิตอาสาประชารัฐจังหวัดนนทบุรีได้ถอด การบริหารจัดการของคณะกรรมการกองทุนฯ ต้ังแต่การสารวจ การรับรู้ การประชุม การ ประสานงานจัดการการช่วยเหลือ การจัดการ ความรู้และการถอดบทเรียน
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) 2) การจัดการความรู้ ช่วยกัน และสอดคล้องกับทฤษฎีแห่งการเรียนรู้ ในการดาเนินกิจกรรมกองทุนจิตอาสา ของ Senge (1990) ประชารัฐ ผู้วิจัยใช้ทฤษฎีผู้เปราะบางซ่ึงเป็น เป้าหมายของการให้ความช่วยเหลือเพ่ือช่วยลด ข้อเสนอแนะ ความเส่ียง ซึ่งผู้วิจัยมีความเห็นว่าการให้ความ ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ ช่วยเหลือต่อผู้เปราะบางด้วยกาลังทางเศรษฐกิจ 1. ควรมีกระบวนการพัฒนาจิตอาสาใน เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่วิธีการท่ีย่ังยืน จึง ควรมกี ารจัดการความรู้ เพอ่ื ให้บรรลุเป้าหมายใน ดา้ นต่าง ๆ 4 ประการได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุ 2. ควรกาหนดคุณสมบัติของจิตอาสา เป้าหมายของการพัฒนาคน บรรลุเป้าหมายของ การพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และกระบวนการกล่ันกรองบุคคลท่ีเข้ามาเป็นจิต และบรรลุสู่ความเป็นชุมชน โดยเป็นหมู่คณะ อาสา ความเอื้ออาทรระหว่างกันในท่ีทางาน โดยมี โมเดลที่น่าสนใจคือ SECI Model ซึ่งหมายถึง 3. ควรขยายผลกองทุนประชารัฐเพื่อ การถ่ายทอดความรู้ฝังลึกจากบุคคลหน่ึงไปสู่อีก สังคมในระดับอาเภอและระดับตาบล บุคคลหนึ่ง การนาความรู้กลับมาใช้ การ ผสมผสานความรู้นาความรู้ทม่ี ีอยู่อย่างชดั แจง้ มา 4. ขยายช่องทางและรูปแบบในการ เช่ือมเป็นระบบอย่างมีบูรณาการ และการนา ประชาสัมพันธ์เพื่อให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายใน ความรู้ที่ชัดแจ้งมาใช้งานให้เป็นความรู้ที่ฝังลึก พ้ืนที่ ท้ังน้ี จิตอาสาและผู้เปราะบางควรจะมีจิต วิญญาณของการสร้างความรู้ในลักษณะร่วมด้วย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 1. รัฐควรให้ความสาคัญกับการทางานใน รูปแบบประชารฐั โดยประชาชนเป็นกลไกสาคญั 2. ยึดพื้นที่เป็นหลักในการกาหนด นโยบาย การพัฒนา และการแก้ไขปัญหา 3. สนับสนุนงบประมาณให้สอดคล้องกับ ปัญหาและความต้องการท่ีแทจ้ ริงของประชาชน References Leerapan, B. (2 0 1 7 , January 30). The last mile of UHC in Thailand: Do we reach the vulnerable [Paper presentation]. Mahidol Award International Academic Conference, Bangkok, Thailand. Noipreecha, K. (2546). Readiness and ability to manage village funds in SuphanBuri Province [Unpublished research report]. Faculty of Social Sciences, Thammasat University. Maslow, A. (1970). Motivation and personality (2nd ed.). Harpers and Row. Nonaka, I. (1994). A dynamic theory of organizational knowledge creation. Organization Science, 5(1), 14-37.
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2565) Ongkasing, C. (2550). Community welfare: People don't leave each other [Unpublised research report]. Community Organization Development Institute. Ouchi, W. G. (1981). Theory Z. Avon Books. Senge, P. M. (1990). The fifth discipline: The art and practice of the learning organization. Century Press.
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) มาตรการนโยบายการใช้กา๊ ซชีวภาพเป็นพลงั งานทดแทน : กรณีศึกษา จังหวดั นครปฐม ปารณยี ์ ศรีแกว้ มหาวิทยาลยั เกษมบัณฑิต ถนนพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 E-mail : [email protected] บุญเอ้อื บุญฤทธ์ิ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถนนพฒั นาการ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250 วรรณนภา วามานนท์ มหาวิทยาลยั เกษมบณั ฑิต ถนนพฒั นาการ เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 ตดิ ตอ่ ผเู้ ขยี นบทความ ปารณยี ์ ศรแี กว้ มหาวิทยาลยั เกษมบัณฑติ ถนนพฒั นาการ เขตสวนหลวง กรงุ เทพมหานคร 10250 E-mail : [email protected] วนั ทร่ี ับบทความ: 8 ตุลาคม 2564 วันทแ่ี กไ้ ขบทความ: 25 พฤศจิกายน 2564 วันทตี่ อบรับบทความ: 16 มกราคม 2565 บทคัดย่อ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาการนาก๊าซชีวภาพมาใช้เป็นพลังงานทดแทน และเสนอแนะแนว ทางแก้ไขปัญหาการนาก๊าซชีวภาพมาเป็นพลังงานทดแทน วิธีการวจิ ัย การวิจัยเชิงคุณภาพ การเกบ็ ข้อมูล ดว้ ยการสมั ภาษณ์เชงิ ลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 20 คน ผลการวิจยั การผลิตกา๊ ซชีวภาพจากมลู สกุ รเป็น การลดนา้ เสีย ลดภาวะโลกร้อน ลดผลกระทบจากมลภาวะตอ่ ชุมชน และส่วนกากตะกอนหลังการบาบดั ใช้ เป็นปุ๋ย การใช้เทคโนโลยีการบาบัดน้าเสีย และการผลิตก๊าซที่มีความเหมาะสม มีค่าใช้จ่ายต่า และการ บารุงรักษาดูแลน้อย แนวทางในการนาก๊าซชีวภาพมาเป็นพลังงานทดแทนนั้น ประกอบไปด้วย การ สนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้ฟาร์มสุกรสามารถผลิตพลังงานทดแทนที่มีต้นทุนต่าและสามารถพัฒนาให้เป็น พลังงานหลักในอนาคตได้โดยการกาหนดนโยบายพลังงานทดแทน นัยทางทฤษฎี/นโยบาย ควรใช้ก๊าซ ชีวภาพเปน็ มาตรการทางดา้ นนโยบายในการสง่ เสริมการใชพ้ ลงั งานทดแทน คาสาคัญ: มาตรการนโยบาย ก๊าซชวี ภาพ พลงั งานทดแทน
วารสารเกษมบัณฑติ ปีท่ี 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) Biogas As an Alternative Energy Policy Measure : A Case Study of Nakhon Pathom Province Paranee Srikaew Kasem Bundit University, 1761 Patanakarn Road, Suan Luang, Bangkok 10250 Email: [email protected] Boonaue Boonrith Kasem Bundit University, 1761 Patanakarn Road, Suan Luang, Bangkok 10250 Wannapa wamanon Kasem Bundit University, 1761 Patanakarn Road, Suan Luang, Bangkok 10250 Correspondence concerning this article should be addressed to Paranee Srikaew, Kasem Bundit University, Patanakarn Road, SuanLuang, Bangkok, 10250 Email: [email protected] Received date: October 8, 2021 Revised date: November 25, 2021 Accepted date: January 16, 2022 Abstract PURPOSES: To study the problems and to provide guidelines for using biogas as an alternative energy policy measure. METHODS: It was a qualitative research employing documentary research and in-depth interviews of 20 experts for data collection. RESULTS: The research showed that biogas production could be a solution to the mitigation of wastewater, global warming, and the impact of pollution on the community. The sludge after treatment also has the proper nutritional value for the plant. In terms of production technology, and could be used as fertilizer. The use of appropriate wastewater treatment and gas production technologies could increase the efficiency of the treatment at a low cost and need little maintenance. Guidelines for the use of biogas as an alternative energy include support from the government to enable pig farms to produce alternative energy at a low cost. It could be developed to be the main energy in the future as alternative energy policy. THEORY/POLICY IMPLICATIONS: Biogas from pig farms could be a policy measure for an alternative source of energy. Key words: Policy measure, biogas, alternative energy
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) บทนา ไฟฟ้าแล้ว ยังนาไปใช้เป็นวตั ถุดบิ ปอ้ นในการผลิต ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตการณ์ อตุ สาหกรรมปิโตรเคมีที่มีมลู ค่าสูงกว่าด้วย พลงั งานทีม่ ีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากข้ึน (กรม ในการกาหนดแผนพัฒ นาพลังงาน พั ฒ น าพ ลั งงาน ท ด แท น แ ล ะอ นุ รัก ษ์ พ ลั งงาน , ทดแทน พ.ศ. 2551 - 2565 มีวัตถุประสงค์ 2557) พลังงานจะหมดไปจากโลกภายในปี ค.ศ. เพ่ือให้ประเทศไทยใช้เป็นพลังงานหลักแทนการ 2050 โลกจะเข้าสู่ยุคขาดแคลนน้ามัน เม่ือถึง นาเข้าน้ามันจากต่างประเทศ ส่งเสริมการใช้ เวลาน้ันราคาพลังงานจะปรับตัวสูงมากโดยจะ พลังงานในรูปแบบชุมชนครบวงจร สนับสนุน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของ อตุ สาหกรรมการผลิตเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ประชากรทั่วโลก ดังนั้นหลายประเทศทั่วโลกจึง ในประเทศและการวิจัยพัฒนาส่งเสริมเทคโนโลยี ได้หันมาสนใจพลังงานทดแทนที่ได้จาก “ก๊าซ พลังงานทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดย ชีวภาพ” ซ่ึงเป็นทางเลือกท่ีให้ผลตอบแทนท่ีดี รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2565 ใน ที่สุดในเชิงเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะในประเทศ ก า ร เพ่ิ ม สั ด ส่ ว น ก า ร ใ ช้ พ ลั ง ง า น ท ด แ ท น ทุ ก ไทยที่มีการนาเข้าน้ามันจากต่างประเทศจึงมี รูปแบบเป็นอัตราร้อยละ 20 ของการใช้พลังงาน ความจาเป็นต้องเร่งวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรม ขั้นสุดท้ายของประเทศ (ศูนย์พยากรณ์และ พลังงานทดแทนเพ่ือลดการนาเข้าพลังงานจาก สารสนเทศพลังงาน, 2556) โดยปัจจุบนั มีการใช้ ตา่ งประเทศเพ่ือสร้างความม่ันคงด้านพลังงานให้ เพียงร้อยละ 5-8 ประหยัดเงินได้ 94,000 ล้าน มีเพียงพอและสามารถรองรับความต้องการท่ี บาทต่อปี หากสามารถผลักดันได้สาเร็จเชื่อว่าจะ เพ่ิมข้ึนในอนาคตได้ (สานักงานนโยบายและแผน ชว่ ยลดการใชพ้ ลงั งานลง 22.5 ลา้ นตัน เทียบเท่า พลังงานกระทรวงพลงั งาน, 2557) น้ามันดิบหรือประหยัดการนาเข้าพลังงานได้ 320,000 ล้าน บาทต่อปี และพัฒนาไปสู่สังคม ดว้ ยเหตุผลนี้ทาให้ทุกฝ่ายจึงได้พยายาม การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่า (Low เร่งที่จะใช้พลังงานทดแทนมาใช้เช่นจากก๊าซ Carbon Society) ซึ่งจะทาให้ประเทศไทยเป็น ชี ว ภ า พ แ ล ะ ยั ง ส า ม า ร ถ ช่ ว ย ล ด ป ริ ม า ณ ก๊ า ซ ผู้นาท่ีมีศักยภาพสูงด้านพลังงานทดแทนระดับ คาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดปัญหาภาวะโลก แนวหน้าของเอเชีย และสนับสนุนให้เป็นศูนย์ ร้อนและไม่กระทบต่อพ้ืนที่หลักทางการเกษตร ส่งออกเชื้อเพลิงชีวภาพและเทคโนโลยีพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการผลิตอาหารของมนุษย์ ทดแทนในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย (กรมพัฒนา เพื่ อ ส ร้างค ว าม มั่ น ค งท างอ าห าร (Food พลังงานทดแทนและอนุรักษพ์ ลงั งาน, 2557) Security) (ก ระท รว งพ ลั งงาน , 2 5 5 8) ซึ่ ง นโยบายในการส่งเสริมพลังงานทดแทนท่ีชัดเจน จากการที่ประเทศไทยกาลังประสบกับ น้ันเริ่มต้ังแต่ปี พ.ศ. 2546 ท่ีก่อนหน้าน้ันมีการ ปัญหามลพิษทางน้าจากกิจกรรมการเกษตร ใช้พลังงานทดแทนอยู่เพียงร้อยละ 0.5 เท่าน้ัน โดยเฉพาะการเลี้ยงสุกรซ่ึงมีปริมาณของเสียสูง เน่ืองจากมีแหล่งก๊าซธรรมชาติ จึงนามาใช้ให้ มาก เม่ือมีการระบายลงสู่แหลง่ น้าตามธรรมชาติ ได้มากท่ีสุดเพราะราคาถูกกว่าน้ามัน เพราะ โดยไม่ได้ผ่านการบาบัดก่อให้เกิดปัญหามลพิษ นอกจากนามาใช้เป็นน้ามันเช้ือเพลิงในการผลิต ข้ันรุนแรง โดยเฉพาะหากเป็นแหล่งน้าขนาดเล็ก จงึ ได้มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการขอความ
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีท่ี 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) ร่วมมือจากรัฐบาลและเอกชน ให้มีทั้งการพัฒนา ลักษณะการนาก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ โดย ระบบการจัดการฟารม์ สุกร ใหม้ ีการใช้เทคโนโลยี เน้นไปท่ีการนาไปผลิตไฟฟ้าเน่ืองจากปริมาณ ที่เหมาะสมในการบาบัดน้าเสยี สอดคลอ้ งกบั การ ก๊าซชีวภาพท่ีผลิตได้มีปริมาณมากพอ โดย เล้ียงสุกรที่มีเป็นจานวนมากแบบอุตสาหกรรม สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าต้ังแต่ 20,000 - จานวนสุกรหลายแสนตัว ท่ีมีการจัดการน้าเสีย 120,000 บาท/เดือน นอกจากนี้ยังมีบางฟาร์มท่ี หรือของเสยี ก่อนระบายหรือทิ้งออกสู่สงิ่ แวดลอ้ ม ใช้ก๊าซเป็นแหล่งความร้อนโดยตรงโดยใช้กับ โดยฟาร์มสุกรบางแห่งก็ไม่มีการจัดการใดเลย เคร่ืองกกลูกสุกร ทาให้ไม่ต้องซื้อก๊าซ LPG (อายุวัฒน์ และคณะ, 2548) ประกอบกับรัฐบาล ประหยัดเงินได้ถึง 60,000 บาท/เดือน แต่ ก็ยังไม่มีนโยบายและกฎหมายท่ีดีพอที่จะบังคับ อย่างไรก็ตามการนาก๊าซไปใช้ยังมีปัญหาในเร่ือง หรือควบคุมผู้ประกอบการซ่ึงการลดปริมาณของ การสึกกร่อนของเคร่ืองยนต์ อุปกรณ์ เสียง เสียที่จะระบ ายลงสู่แห ล่งน้า จะคานึงถึง เคร่ืองยนต์รบกวนชาวบ้านข้างเคียง เป็นต้น ผลกระทบท่จี ะเกิดข้นึ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม (สวนจนั ทร์ และเอกฉัตร์, 2552) ให้ เป็ น ไป อ ย่ างเห ม าะส ม แ ล ะมี ป ระสิ ท ธิ ภ า พ รวมถึงยังช่วยให้ฟาร์มสุกรมีการจัดการที่ดีมาก จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงสรุปได้ว่า ขึ้น ซ่ึงจะเป็นผลดีต่อการเล้ียงสุกรให้มีการ ปัญหาด้านพลังงาน และปัญหาด้านมลภาวะ พัฒนาแบบย่ังยืนได้หากขาดการจัดการท่ีถูกต้อง ส่ิงแวดล้อมที่เกิดจากการปศุสัตว์เป็นปัญหาที่ จะก่อให้เกิดปัญหากลิ่นเหม็นและการเกิดโรค ควรหาแนวทางในการแก้ไข ซึ่งการนาของเสีย สาหรับการแก้ไขเพื่อทาให้เกิดผลประโยชน์มาก จากการปศุสัตว์มาใช้ในการผลิตพลังงานทดแทน ท่ีสุดคือการนาของเสียท้ังหมดมาผลิตเป็ น ถือเป็นทางเลือกท่ีดี ทดแทน ซ่ึงนอกจากจะเป็น พลังงานทดแทนประเภทก๊าซชีวภาพ (กรม การลดต้นทุนในการผลิตแล้ว ยังเป็นการลดการ พั ฒ น าพ ลั งงาน ท ด แท น แ ล ะอนุ รัก ษ์ พ ลั งงาน , นาเข้าพลังงานจากฟอสซิลของประเทศไทยอีก 2557) ด้วย นอกจากนั้นแล้วยังช่วยในการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม ไม่ใหเ้ กิดสภาวะโลกร้อน อันเกิดจาก การผลิตก๊าซชีวภ าพ เป็ นพ ลังงาน การใช้พลังงานที่ส้ินเปลืองเกินกว่าความจาเป็น ทดแทนในฟาร์มสุกรในประเทศไทย สามารถ รวมท้ังการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่เหลือเกินความ ผลิตก๊าซชีวภาพได้ 25,000 ลบ.ม./วัน หรือ ตอ้ งการนั้นยังอาจนาไปจาหน่ายให้กับประชาชน 9,125,000 ลบ.ม./ปี และเมื่อมีอายุโครงการ 15 ในละแวกใกล้เคียง ซ่ึงจะนามาซ่ึงประโยชน์กับผู้ ปีจะได้ก๊าซชีวภาพ 136,875,000 ลบ.ม. โดย ท่ีเกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมท้ังเพ่ิมองค์ความรู้ให้กับ ส า ม า ร ถ ท ด แ ท น ก า ร ใ ช้ ก๊ า ซ LPG ไ ด้ สาขาวิชา สร้างความมั่นคงให้กับสังคมและ 62,962,500 กก./15 ปี หรือสามารถทดแทน ประเทศชาติ ตอ่ ไป พลังงานไฟฟ้า 164,250,000 กิโลวัตต์-ช่ัวโมง/ 15 ปี จากผลการประเมินโครงการส่งเสริมก๊าซ วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั ชีวภาพจากมูลสัตว์เพ่ือเป็นพลังงานทดแทนและ 1. เพื่อศึกษาปัญหาการนาก๊าซชีวภาพ ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม การใช้ประโยชน์จากก๊าซ ชีวภาพในฟาร์มสุกรในประเทศไทย พบว่า มาใช้เป็นพลังงานทดแทน
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) 2. เพ่ือนาเสนอแนวทางการแก้ปัญหา มากน้ อยเพี ยงใดและสรุป ป ระเด็น สาคัญ การนากา๊ ซชีวภาพมาเป็นพลังงานทดแทน ตามลาดับ ขอบเขตของการวจิ ยั ผลการวจิ ยั การศึกษาเรื่อง “มาตรการนโยบายการ ปัญ หาการนาก๊าซชีวภาพมาเป็น ใช้ก๊าซชีวภาพเป็นพลังงานทดแทน: กรณีศึกษา พลงั งานทดแทน จังหวัดนครปฐม” ประกอบด้วยรายละเอียดดงั นี้ 1. ปัญหาและอุปสรรค ในด้านการ 1. ปัญหาการนาก๊าซชีวภาพมาเป็น ส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงาน พลังงานทดแทน ทางเลือกน้ัน รัฐบาลต้องขอความร่วมมือกับทุก ฝ่าย โดยต้องมีการประชาสัมพันธ์และสร้าง 2. แนวทางการนาก๊าซธรรมชาติมาใช้ ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน เพราะถอื วา่ เป็น เป็นพลังงานทดแทน ผู้ทมี่ สี ว่ นไดเ้ สยี มากท่สี ุด วธิ ีการวิจยั 2. กฎหมายและกฎระเบียบท่ียังไม่เอื้อ ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพประเภทการ ต่อการพัฒนาพลังงานทดแทน เช่น เงินอุดหนุน เพื่อการจูงใจให้ผู้ประกอบการหรือประชาชนหัน วิจัยเชิงเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก (In- มาใช้กันมากขึ้น depth interview) 3. คุณภาพและปริมาณ ในช่วงแรกจะ 1. ผู้ให้ข้อมูลสาคัญประกอบไปด้วย ยังไม่สามารถทาได้เหมือนระบบการผลิตท่ัวไป ผู้ประกอบการ ผู้บริหารระดับสูงขององค์การ และการลงทุนจะขาดทุนในช่วงแรกซึ่งจะต้องมี รัฐบาลจากกระทรวงพลังงาน กรมพั ฒ นา มาตรการจูงใจ ให้ผู้บริหารฟาร์มสุกรตัดสินใจ พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สานักงาน ลงทุน นโยบายและแผนพลังงาน นักวิชาการ สมาคม สถาบัน องค์การท่ีไม่แสวงหากาไรและเอกชนที่ 4. ขาดมาตรการจูงใจสาหรับการลงทุน เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพลังงานทดแทน จานวน จากภาคเอกชนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่ว่า 20 คน โดยมีการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงที่ จะเป็นการส่งเสริมการลงทุน มาตรการลดหย่อน เป็นไปตามคุณสมบัตทิ ี่เปน็ เปา้ หมายของการวิจัย ภาษี การพัฒนาความรว่ มมอื กันระหวา่ งประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน หรือการแลกเปล่ียน 2 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวม เทคโนโลยี เพ่ือความสาเรจ็ ในโครงการท่ีรวดเร็ว ข้อมูล ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) 5. ก๊าซชีวภาพมีสถานะอยู่ในรูปของ ก๊าซจึงทาให้เสียพื้นท่ีมากในการกักเก็บ แต่ถ้ามี 3.การเก็บรวบรวม การสัมภาษณ์ท่ี ก า ร แ ย ก ให้ ได้ ก๊ า ซ มี เท น บ ริ สุ ท ธ์ิ ห รื อ เป ล่ี ย น ศึกษาโดยใช้เครื่องบันทึกเสียงร่วมกับการจด สถานะจากก๊าซให้เป็นของเหลวหรือของแข็งได้ บนั ทกึ พ้ืนที่ในการกักเก็บจะน้อยลงและจะทาให้การใช้ ประโยชน์จากก๊าซชีวภาพในรูปของพลังงาน 4. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ กวา้ งขวางมากข้ึน ข้อมูลเพื่อการสร้างข้อสรุป น้าหนักของประเด็น ตา่ ง ๆ พรอ้ มทงั้ พิจารณาว่ามนี ้าหนักความสาคัญ
วารสารเกษมบัณฑติ ปีที่ 23 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) 6. ยังไม่มีกฎหมายที่จะบังคับหรือ ทาให้มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน และหมดสติ ควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้เกิดการ และเมื่อมีการสดู ดมเป็นประจาอาจเปน็ มะเร็งได้ พัฒนาพลังงานทดแทนอย่างยั่งยืน ผลประโยชน์ ทางดา้ นเศรษฐกิจ แนวทางการนาก๊าซชีวภาพมาใช้เป็น พลังงานทดแทน มีรายละเอียด ดังตอ่ ไปนี้ 7. ไม่กล้าลงทุนในระบบก๊าซชีวภาพ เพราะเงินลงทุนที่ใช้สร้างค่อนข้างมาก พื้นท่ีที่ ดา้ นรฐั บาล ต้องใช้สร้างระบบก๊าชชีวภาพมาก และความ 1. น โย บ าย พ ลั งงาน ท ด แ ท น กังวลต่อความสามารถในการดูแลระบบหากใช้ แล้วเกิดปัญหา ผู้บริหารมีความกังวลว่าจะไม่ จัดเป็นนโยบายสาธารณะที่รัฐบาลกาหนดขึ้น สามารถดแู ลรักษาไดเ้ อง เพ่อื ท่ีจะแกว้ กิ ฤตการณ์การขาดแคลนพลังงานซึ่ง มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ แม้ว่าจะเกิด 8. แรงงานในฟาร์มจาเป็นต้องแบ่งเวลา ความเปล่ียนแปลงทางการเมือง แต่การจัดหา ดูแลเอาใจใส่และปฏิบัติอย่างถูกต้องตามขั้นตอน พลังงานทดแทนก็ยังคงเป็นประเด็นปัญหาที่ ของระบบที่ระบุไว้เพ่ือให้การทางานของระบบมี สาคัญของทกุ รัฐบาล ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ต า ม ที่ ไ ด้ ร ะ บุ ไว้ ใน ท า ง เท ค นิ ค ดังน้ันจึงเป็นการเพิ่มภาระการทางาน ของ 2. น โย บ าย แ ล ะ แ ผ น พั ฒ น า แรงงานในฟาร์มใหม้ ากขึ้น พลังงานจะเป็นการเสริมสร้างให้มีพลังงานใช้ อย่างพอเพียงทั่วถึงเป็นธรรม และสร้างจิตสานึก 9. การปรับปรงุ สภาพแวดลอ้ ม ในระบบ ด้านการประหยัดพลังงาน ให้ประชาชนใช้ ก๊าซชีวภาพ จะต้องให้การส่งเสริมด้านความรู้ พลงั งานอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ความเข้าใจและให้ความม่ันใจต่อประโยชน์ท่ีจะ เกิดข้ึนแก่ฟาร์มเล้ียงสุกรเพื่อให้การลงทุนเป็น 3. นโยบายและแผนการบริหาร รปู ธรรมและมีความย่ังยนื และพัฒนาพลังงานของประเทศเป็นไปเพื่อความ ม่ันคงด้านพลังงาน ให้สามารถพึ่งตนเองได้ มี 10. ระบบก๊าชชวี ภาพที่สร้างขนึ้ ต้องใช้ เสถยี รภาพ ลดความเส่ียงในดา้ นการจัดหา ความ ผเู้ ชย่ี วชาญเปน็ ผจู้ ัดการ เช่น เครอื่ งจักร อุปกรณ์ ผันผวนทางด้านราคาและลดต้นทุนของพลังงาน ทาให้เงินที่ลงทุนไปแล้วจะสร้างประโยชน์แก่ผู้ ใหม้ ีความเหมาะสม ลงทุนไมค่ ุ้มค่า 4. ต้องเร่งวิจัยและพัฒนาให้ผลิต 11. ด้านความปลอดภัย เพราะถ้าเกิด ก๊าซชีวภาพได้ในเชิงพาณิชย์ มีปริมาณเพียงพอ อุบัติเหตุร้ายแรงก็อาจนามาซึ่งความเสียหาย และสามารถรองรับความต้องการท่ีเพิ่มข้ึนใน เพราะก๊าซชีวภาพเป็นเชื้อเพลิงไวไฟมากที่สุด อนาคตได้ ประเภทหนึ่ง ถ้ามีการผลิตและเก็บกักไว้เป็น จานวนมากและขาดการควบคุมดูแลที่ดีแล้วอาจ 5. การจัดทามาตรฐานกา๊ ซชีวภาพ เกิดอนั ตรายขึ้นได้ สาหรับรถยนต์ ลดภาษีให้รถยนต์ขนส่งเชิง พาณิชย์ท่ีใช้ก๊าซชีวภาพ สนับสนุนเงินลงทุน 12. ก๊ า ซ มี เ ท น ( CH4 ) ก๊ า ซ สาหรับเจ้าของรถยนต์ที่ต้องการดัดแปลงลดภาษี ค า ร์ บ อ น ได อ อ ก ไ ซ ด์ (CO2 ) แ ล ะ ก๊ า ซ 40 % ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ถ้าหายใจเข้าไปมากจะ 6. การวิจัยและพัฒนาทางด้าน เทคโนโลยีเพ่ือให้เกิดประโยชน์จากการนาก๊าซ
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) ชีวภาพมาใช้ให้มากที่สุดซ่ึงตาม สานักงาน สถานีบริการในจังหวัดต่าง ๆ ได้คราวละ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) มาก ๆ มีเป้าหมายในการก่อสร้างระบบก๊าซ เพ่ือ นามาใช้เป็นพลงั งานทดแทนอย่างเป็นระบบและ 12. รัฐบ าลควรสนับสนุนเงิน กู้ ก่อให้เกดิ ประโยชน์สูงสุด ดอกเบ้ียตา่ เพราะจะทาให้มีการลงทุนในโรงงาน ต่าง ๆ เกิดขึ้นท่ัวประเทศหลังได้มีการวิเคราะห์ 7. การรณรงค์สร้างจิตสานึกสร้าง การลงทุนแล้วและเห็นถึงความเป็นไปได้ท่ีน่า วินัยให้ร่วมมือกันใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและ ลงทุนอย่างชัดเจน ว่าผลตอบแทนคุ้มค่ากับเงิน ประหยัด เพราะพลังงานของประเทศมีมูลค่ากว่า ลงทุน รวมท้ังผลประโยชน์ท่ีรับสูงกว่าการลงทุน 8.5 ลา้ นลา้ นบาท ด้านอ่นื ๆ 8. นโยบายการพัฒนาพลังงาน ด้านเศรษฐกจิ ทดแทนที่มาจากฟาร์มสุกรไม่เพียงแต่หน่วยงาน 1. ก๊าซชีวภาพมีศักยภาพเพราะมี ภาครัฐเท่าน้ัน แม้แต่ภาคเอกชนหลายแห่งจาก ท่วั โลก ก็กาลังดาเนนิ การในสว่ นน้ดี ้วย ค่าความร้อนที่สูง สามารถผลิตพลังงานทดแทน ได้ อ ย่ างจ ริงจัง มี มู ล ค่ าแ ล ะคุ้ ม ค่ าใน เชิ ง 9. นโยบายด้านพลังงานทดแทน เศรษฐศาสตร์ สาหรับการขยายผลเพ่ือการผลิต เป็นวาระแห่งชาติ โดยสนับสนุนการผลิ ต ในเชิงพาณิชย์และการขยายไปยังพ้ืนท่ีต่าง ๆ ทา เช้ือเพลิงชีวภาพจากมูลสัตว์ เพ่ือลดภาวะมลพิษ ได้ไม่ยากจะทาใหเ้ กษตรกรสรา้ งรายได้ในอนาคต และเป็นประโยชน์ของเกษตรกรโดยสนับสนุนให้ ใช้เป็นพลังงานในระดับชุมชนหมู่บ้าน มีการ 2. ค วาม คุ้ ม ค่ าจาก ก ารล งทุ น กากับดูแลราคาให้อยู่ในระดับท่ีเหมาะสม มี นอกจากการขายพลังงานไฟฟ้า และยังไม่ต้องใช้ เสถียรภาพ และเป็นธรรมต่อประชาชน โดย เงินลงทุนสร้างระบบบาบัดน้าเสียเหมือนในอดีต กาหนดโครงสร้างราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง อีกด้วย ที่มีค่าใช้จ่ายในการบาบัดสูงมาก มากท่ีสุด และบริหารจัดการผ่านกลไกตลาด ระยะเวลาคืนทุนเร็ว โอกาสเสี่ยงตอ่ การขาดทนุ มี เพอ่ื ใหม้ ีการใชพ้ ลังงานอย่างประหยัด นอ้ ย 10. ภาครัฐควรมีแผนการพัฒนา 3. ฟ า ร์ ม สุ ก ร มั ก เป็ น โร ง งา น พลังงานชีวภาพและเพ่ิมสัดส่วนให้สูงข้ึนอย่าง อุตสาหกรรมแบบครบวงจรและมีการเล้ียงสุกร ต่อเน่ืองของภาครัฐ และให้ภาคเอกชนเข้ามามี เป็ น จ า น ว น ม า ก ส่ ง ผ ล ต่ อ ก า ร ท า ล า ย ส่วนร่วม เพ่ือสร้างความสาเร็จและสามารถให้ สภาพแวดล้อมอย่างรุนแรงทาให้ส่งผลกระทบทั้ง ผลผลิตมาทดแทนพลังงานแบบเดิมได้จริงใน ทางเศรษฐกจิ และสังคมในภาพรวม อนาคต 4. พฤติกรรมโดยท่ัวไปของการผลิต 11. สร้างสถานีบริการก๊าซชีวภาพ ก๊าซชีวภาพและนามาผลิตเป็นพลังงานทดแทน สาหรับรถยนต์ที่มีระยะทางไม่ไกลจากโรงผลิต ในฟาร์มสุกรต้นทนุ และผลตอบแทนที่เกดิ ขึน้ จาก ก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกร เพื่อช่วยลดต้นทุนค่า กระแสไฟฟ้าท่ีเสนอขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าท่ีรับ ขนส่งก๊าซให้เพียงพอเพื่อใช้สาหรับรถยนต์ โดย ซ้ือไฟฟา้ อาจแปลงสภาพเป็นก๊าซเหลว เพ่ือให้ขนส่งไปยัง 5. การใช้เป็นเชื้อเพลิงยังสามารถ ลดการใช้น้ามันเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ซึ่งเป็นการ
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มถิ ุนายน 2565) ควบคุมปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ถูก สามารถช่วยลดมลพิษทางอากาศและลดการใช้ ปล่อยสู่บรรยากาศซ่ึงจะช่วยให้เกิดการประหยัด พลงั งานที่มีประสทิ ธภิ าพ คา่ ใช้จา่ ยลงได้ 4. นักการเมืองที่บริหารจัดการ 6. ก๊าซชีวภาพสามารถนาไปใช้เป็น ข น ส่ งม ว ล ช น ได้ พ ย าย าม พั ฒ น า ต้ น แ บ บ ท า ง เชื้อเพลิงสาหรับหุงต้มอาหารได้อย่างดีและใช้ ความคิดในการสร้างแหล่งพลังปัญญาเพื่อให้ เป็ น เช้ื อ เพ ลิ ง ใ น เค รื่ อ ง ย น ต์ ห รื อ แ ท ร ก เต อ ร์ แนวทางในการบริหารพลังงานของประเทศได้ สาหรับการเกษตร ใช้ทดแทนเป็นพลังงานความ อย่างย่ังยืน เชน่ นโยบายของกระทรวงพลังงานท่ี รอ้ น พลงั งานไฟฟา้ หรือใช้แทนน้ามัน กาหนดสัดส่วนการใช้การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ คิดเป็นร้อยละ 25 โดยมีแนวทางการดาเนินงาน 7. การผลิตก๊าซชีวภาพจากฟาร์ม สาคัญ เช่น การส่งเสริมการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ สุกรในเชิงพาณิชย์จะส่งผลดีทางเศรษฐศาสตร์ เพ่ือลดต้นทุน ซึ่งในส่วนน้ีมีเป้าหมายสนับสนุน จากราคาน้ามันดิบในตลาดโลก อัตราดอกเบ้ีย การใช้ก๊าซ CBG ในยานพาหนะหรือโรงงาน และภาวะเงนิ เฟอ้ อุ ต ส า ห ก ร ร ม ท่ี มี ก ลุ่ ม ร ถ บ ร ร ทุ ก ท่ี ใ ช้ ง า น ใ น ปริมาณ 4,800 ตันต่อวัน ให้ได้ภายในปี พ.ศ. ดา้ นการเมอื ง 2579 1. พลังงานมักก่อให้เกิดปัญหา 5. นโยบายทางการเมืองที่มีการ การเมือง การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนโดย พยายามลดความต้องการการใช้พลังงานจาก การกาหนดโครงสร้างราคาพลังงานทดแทนแต่ เช้ือเพลิงฟอสซิล โดยหันไปใช้พลังงานสะอาด ละประเภทที่เหมาะสม มีการแข่งขันที่เป็นธรรม ทดแทน จะทาให้มีการพัฒนาไปสู่การเป็นสังคม กากับดูแลและสร้างกลไกการคุ้มครองผู้บริโภค คาร์บอนต่า ใช้พลังงานทดแทน พลังงานสีเขียว เพอ่ื ใหก้ ารบรหิ ารจัดการมปี ระสทิ ธิภาพสูงสดุ ที่สะอาด เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม การสนับสนุน การสร้างงาน ช่วยเหลือคนยากคนจนในชนบท 2. กระทรวงพลังงาน สนับสนุน ท้ังยังบรรเทาการอพยพมาอยู่ในเมือง ลดความ อย่างเป็นทางการกับรถบัส CBG จากมูลสัตว์ ซ่ึง แออัด เพราะประชาชนหวนคืนกลับไปทา เป็ น ยาน ยน ต์ พ ลังงาน ท างเลือ ก ท่ี มุ่ งเน้ น การเกษตร ประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัย เพ่ือพัฒ นาระบบขนส่งมวลชนด้วยการใช้ 6. กระทรวงพลังงาน โดยกรม พ ลังงาน สะอาด แล ะได้ จัด ท าแผน บู รณ า พัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้ การพลังงานระยะยาว 21 ปี จัดทาโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานทดแทน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกนั เปน็ วิสาหกิจ 3. การบริหารจัดการภาคพลังงาน ชุมชนหรือสหกรณ์การเกษตร โดยก๊าซชีวภาพท่ี ของป ระเท ศให้ มีค วามย่ังยืน คื อ พั ฒ น า ได้นาไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น คือ ผลิตไฟฟ้า แผนพัฒ นาพ ลังงานทดแทนและพลังงาน หรือนาไปผลิตเปน็ กา๊ ซชีวภาพท่นี าไปใชแ้ ทนก๊าซ ทางเลือก โดยมีการศึกษาวิจยั โดยนามูลสัตว์และ แอลพีจี ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง น้าเสียของฟาร์มสุกร มาแปรรูปเป็นพลังงาน ผู้ประกอบการมีรายได้จากการนาก๊าซชีวภาพไป ทดแทนในรูปแบบก๊าซ หรือก๊าซไบโอมีเทนอัด เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสาหรับสาธารณะเป็นหลัก
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) ใช้ประโยชน์ และประเทศเกิดความมั่นคง การเกษตร ได้พลังงานทดแทน และยังช่วยลด ทางดา้ นพลงั งาน ภาวะโลกร้อนไดอ้ ีกดว้ ย 7. น โย บ ายก ารเมื อ งที่ ให้ การ 3. เกษตรกรที่เล้ียงสุกรในฟาร์ม สนับสนุนก๊าซชีวภาพเพื่อการพาณิชย์ เช่น ก๊าซ และประสบปัญหามลพิษจากของเสียท่ีเกิดจาก มีเทนจากฟาร์มสุกรเป็นต้น ใช้เป็นเชื้อเพลิง มูลสัตว์ โดยกระทรวงพลังงานส่งเสริมให้ โดยตรง ทดแทนน้ามันเบนซินและน้ามันดีเซล เกษตรกรสร้างบ่อก๊าซชีวภาพเพื่อสร้างพลังงาน และจะช่วยพัฒนาสภาพแวดล้อม เน่ืองจากเป็น และแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดล้อมหรอื มลพษิ ตา่ ง ๆ เช้ือเพ ลิงท่ี ไร้สารมลพิ ษ เม่ือนามาใช้เป็ น เช้ือเพลิงในรถยนต์จึงเกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ 4. การใช้ประโยชน์จากก๊าซชีวภาพ กว่าเช้ือเพลิงท่ัวไป ระบบเคร่ืองยนต์จึงสะอาด ทเ่ี กิดขึ้นอย่างคุ้มค่าตอ่ การลงทุนและการผลิตปุ๋ย กว่าเครื่องยนต์ท่ีใช้น้ามันเบนซินหรือน้ามันดีเซล อินทรีย์ให้มีปริมาณตามกาหนดได้อยา่ งสมา่ เสมอ ซึ่งจะทาให้เกิดผลงานในเชิงประจักษ์ในวงกว้าง โดยตลอด ทม่ี ีผลต่อคะแนนเสยี งในการเลือกตัง้ คร้งั ต่อไป 5. ทาให้สามารถบริหารจัดการของ 8. นักการเมืองได้กาหนดนโยบาย เสียจากการเลี้ยงสุกรได้อย่างเป็นระบบ ช่วยลด พลังงานที่จะทาการส่งเสริมการผลิต การใช้ ผลกระทบด้านส่ิงแวดล้อมจากปัญหามลภาวะ ตลอดจนการวิจัยพัฒนาพลังงานทดแทนและ ทางอากาศ ลดกลิ่นเหม็น และแมลงวนั สว่ นกาก พลังงานทางเลือก โดยต้ังเป้าหมายให้สามารถ ตะกอนหลังการบาบัด ยังมีคุณค่าทางอาหารท่ี ทดแทนเช้ือเพลิงฟอสซิลได้อย่างน้อยร้อยละ 25 เหมาะสมสาหรับพืชเปน็ อย่างมาก ภายใน 10 ปี 6. ปัจจุบันงานด้านการวิจัยในการ ดา้ นสังคม ผลิตและการใช้ก๊าซชีวภาพ ระบบพลังงานไฟฟ้า 1. ลดผลกระทบทางสังคมจาก ท่ีได้ การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ตลอดจนการจัดการ ด้านการใช้น้าของฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพและ มลภาวะจากฟาร์มสุกรต่อชุมชนใกล้เคียง และ ประสิทธิผลสูงสุด หลังจากเริ่มต้นเดินระบบ การมีส่วนร่วมของชุมชนที่มีต่อการสร้างบ่อหมัก เพื่ อ ให้ เกิ ด ป ระ โย ช น์ ต่ อ สั งค ม โด ย รว ม ก๊าซชีวภาพในฟาร์มสุกรเพ่ือลดผลกระทบต่อ โดยเฉพ าะป ระเท ศไท ย ป ระชาชน ท่ี เป็ น ชมุ ชน เกษตรกร 2. ประเทศไทยมีของเสียจากมูล 7. ป ร ะ เท ศ ไท ย เป็ น ป ร ะ เท ศ สัตว์ต่าง ๆ เช่น สุกร โค ไก่ ในปริมาณมาก มี เกษตรกรรม ทาให้มีวัตถุดิบท่ีสามารถนามาผลิต การปล่อยท้ิงของเสียลงสู่แม่น้า ลาคลอง ก๊าซชีวภาพได้เป็นจานวนมาก เช่น ภาคชุมชน สาธารณะ ทาให้เกิดปัญหาส่ิงแวดล้อม การ และฟาร์มเล้ียงสัตว์และพัฒนาพลังงานทดแทน บาบัดโดยใช้วิธีการเติมอากาศต้องใช้พลังงาน และนาก๊าซชวี ภาพที่ได้ไปใช้เป็นพลงั งานทดแทน ไฟฟ้าทาให้ต้องส้ินเปลือง ดังนั้นระบบการผลิต ในการผลิตพลังงานความร้อนและไฟฟ้า ปัจจุบัน ก๊าซชีวภาพ จึงมีประโยชน์ในการช่วยลดปัญหา ฟาร์มสุกรในชุมชนตา่ ง ๆ ติดตั้งระบบผลติ และใช้ ส่ิงแวดล้อม ลดการปล่อยน้าเสียลงสู่แม่น้า ก๊าซชีวภาพเป็นพลังงานทดแทนเป็นจานวนมาก สาธารณะ ลดกลิ่นเหม็น ได้ปุ๋ยชีวภาพไปใช้ใน
วารสารเกษมบณั ฑติ ปที ี่ 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มถิ นุ ายน 2565) กระจายอยู่ท่ัวประเทศและใช้งานระบบก๊าซ เหมาะสมอันเป็นเทคโนโลยีและกลไกการพัฒนา ชวี ภาพทุกแหง่ สะอาด จะส่งผลให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ท่ีก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ลดภาระการนาเข้า 8. การพัฒนาระบบก๊าซชีวภาพจาก น้ามันเชื้อเพลงิ ของภาครฐั ฟาร์มสุกร เป็นการตอบสนองต่อกระแสการ อนุรักษ์พลังงานที่แผ่กระจายไปทั่วโลกเป็นการ 5. ในการคัดเลือกระบบบาบัดน้า เตรียมรองรับการแข่งขันจากการเปดิ เสรีทางการ เสยี ที่เหมาะสมสาหรับฟาร์มสุกรจะต้องพิจารณา ค้าในอนาคต ถึงความเหมาะสมของระบบในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ขนาดของฟาร์ม ตาแหน่งท่ีต้ังของฟาร์มสุกร 9. ฟาร์มสุกรสามารถอยู่ร่วมกับ คุณภาพของส่ิงแวดล้อมในบริเวณใกล้เคียง เป็น ชุมชนได้ ถือเป็นการจัดการทรัพยากรไปสู่การ ตน้ พัฒนาพลังงานชุมชน โดยเฉพาะการนามูลสัตว์ จากฟาร์มสุกร มาใช้ประโยชน์และพัฒนาจนได้ 6. การลงทนุ ในการผลิตก๊าซชีวภาพ เช้ือเพลิงมาใช้กันภายในชุมชน ลดมลภาวะ ลด ของแต่ละฟาร์มจะต้องพิจารณ าจากความ รายจ่ายของคนในชุมชน และสร้างความสามัคคี เหมาะสมทางดา้ นเทคนคิ ถึงคุณสมบตั ิของระบบ ให้กบั ชุมชนต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งดี ในด้านต่าง ๆ เช่น ประสิทธิภาพของระบบและ ปริมาณก๊าซที่ได้ ความยากง่ายในการดาเนินการ ดา้ นเทคโนโลยี บารุงรักษา และจานวนบุคลากรทีต่ ้องการ 1. การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตมี 7. เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพจะเปล่ียน ความสาคัญมากเพราะมีความแตกต่างกันไป ของเสียให้เป็นพลังงานและช่วยแก้ปัญหาการ แ ล ะ ฟ า ร์ ม สุ ก ร ทุ ก แ ห่ ง ไม่ เค ย มี ใ ค ร เผ ย แ พ ร่ ปลอ่ ยของเสียสูส่ ภาพแวดลอ้ มและช่วยลดมลพษิ ขา่ วสารทีอ่ อกมาเพือ่ ผลทางดา้ นการตลาด 8. รัฐบาลควรให้การสนับสนุนการ 2. เทคโนโลยีของฟาร์มสุกรจะ ผลิตก๊าซชีวภาพในระดับครัวเรือน ซ่ึงจะลดค่า บูรณาการร่วมกัน ตั้งแต่การใช้เทคโนโลยีการ ครองชีพ ลดภาระพลังงานของชาติด้วยมีผลผลิต บาบัดน้าเสีย การก่อสร้าง การผลิตก๊าซให้เป็น พลอยได้ เช่น ปุ๋ยอินทรยี ์ เป็นต้นพร้อมทัง้ ปรับปรุง ระบบที่มีความเหมาะสมเพราะใช้ที่ดินน้อยและ แล ะพั ฒ น าเท ค โน โล ยี ก๊ าซ ชี วภ าพ ให้ มี ค วาม การนาก๊าซชีวภาพกลับมาใช้ประโยชน์ให้มาก เหมาะสมในการประยุกต์ใช้กับฟาร์มเลี้ยงสุกรใน ท่สี ุด ชมุ ชนมากขึน้ 3. ก ารน าก๊ าซ ชี ว ภ าพ ม าเป็ น 10. เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพมีการ เชื้อเพลิงรถยนต์ โดยทาใหไ้ ด้มอี งค์ประกอบหลัก พัฒนาข้ึนเพ่ือประโยชน์ในการจัดการของเสีย เป็นก๊าซมีเทนหรือไบโอมีเทนและต้องนามาผ่าน จากฟาร์มสุกรโดยได้เริ่มต้นจากระบบขนาดเล็ก ก ร ะ บ ว น ก า ร ป รั บ ป รุ งคุ ณ ภ า พ เพื่ อ ก า จั ด ส า ร ในภาคเกษตรกรรม จนมีความเหมาะสมสามารถ ปนเป้ือน แล้วเพ่ิมความดันก๊าซกลายเป็น ก๊าซ นามาประยุกต์ใช้และยังสามารถท่ีจะพัฒนาไปใช้ ชีวภาพอัด นามาผลิตไฟฟ้า เพ่ือช่วยส่งเสริมการ ใน ก า ร จั ด ก า ร ข อ งเสี ย แ ล ะ น้ า เสี ย ท่ี ป น เป้ื อ น ผลติ พลงั งานหมุนเวียนในประเทศ สารอินทรีย์จากแหล่งผลิตน้าจากแหล่งชุมชน เปน็ ต้น 4. ก๊าซชีวภาพในการผลิตไฟฟ้าโดย ผ่านเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าท่ีมีเทคโนโลยีทันสมัยท่ี
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) ดา้ นประชาชน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน การได้ปุ๋ยชวี ภาพ 1. ก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกรเพื่อ มูลสุกร ซ่ึงมีราคาถูกสามารถนาไปใช้ในการปลูก พืช ผลกระทบของชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้ฟาร์มสุกรใน ระยะ 2 กิโลเมตร ทาให้ชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณ 9. ชุมชนได้ใช้ก๊าซชีวภาพท่ีผลิต ใกลเ้ คยี งไดร้ ับผลกระทบ จากระบบก๊าซชีวภาพในฟารม์ สกุ ร 2. ประโยชน์ด้านส่ิงแวดล้อม จาก ขอ้ เสนอแนะ การกาจัดของเสียที่เกิดข้ึนลดกล่ินเน่าเหม็น ลด 1. รัฐบ าล ค ว รมี น โย บ าย ส่ งเส ริม แหล่งเพาะเชื้อโรค และลดปัญหาสังคมทเ่ี กิดจาก ชุมชนลดปัจจัยสาคัญที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ สนับสนุน ให้ทุกฟาร์มสกุ ร มีการผลิตก๊าซชวี ภาพ เรือนกระจก โดยการสนับสนุนแหล่งเงินทุน และสนับสนุนให้ มีการวิจัยเกี่ยวกับก๊าซชีวภาพ ทั้งในด้านการ 3. กากมูลสัตว์ท่ีย่อยสลายแล้วจะ ทางาน การผลิต ให้กับฟาร์มสุกรและอาจขยาย สามารถนาไปเป็นปุ๋ยใช้กบั พชื ได้ทันทีหรืออาจจะ ไปถึงฟาร์มปศุสตั ว์ประเภทอนื่ ๆ ด้วย ตากให้แห้งแล้วบรรจใุ สถ่ ุงเพอ่ื การจาหน่ายกไ็ ด้ 2. สนับสนุน ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วน 4 . ก ล่ิ น จ า ก ฟ า ร์ ม สุ ก ร ท า ให้ ร่วมกับฟาร์มสุกร ซ่ึงผู้ประกอบการอ่ืนสามารถ ประชาชนมีอาการของโรค เช่น ไมเกรนหรือเม่ือ นาไปประยกุ ตใ์ ชก้ ับฟารม์ ชนิดอื่นได้ ได้รับผลกระทบทางกลิ่นทาให้รู้สึกปวดศีรษะ รุนแรงถึงข้ันอาเจียน เป็นต้น และมีปัญห า 3. การผลิตก๊าซชวี ภาพเพ่ือเป็นพลังงาน ทางด้านสุขอนามัย เน่ืองจากผลกระทบจาก ทดแทนมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนทั้งทางด้าน แมลงวันรบกวน ที่เกิดจากฟาร์มสุกร เกิดความ เศรษฐกิจและสังคม สามารถเพิ่มสวัสดิการให้กับ ขัดแย้งในชุมชน แต่การจัดทาระบบก๊าซชีวภาพ สงั คมได้ ทาให้ลดผลกระทบต่อชาวบา้ น 4. รัฐบาลควรมีกฎหมายออกมาบังคับ 5. การแก้ปัญหามลพิษจากฟาร์ม ให้ฟาร์มสุกร ต้องมีการจัดทาระบบก๊าซชีวภาพ สุกรหลงั มกี ารจดั ทาระบบกา๊ ซชีวภาพ ผลกระทบ จากฟาร์มสุกรซึ่งจะแก้ปัญหาในชุมชนได้เป็น ทไี่ ดร้ ับลดลงอย่างเหน็ ไดช้ ัด อย่างดี เนื่องจากชุมชนจะได้รับผลกระทบทาง สั ง ค ม ด้ า น ม ล ภ า ว ะ จ า ก ฟ า ร์ ม สุ ก ร ต่ อ ชุ ม ช น 6. การจัดทาระบบก๊าซชีวภาพน้ีให้ ใกล้เคียงอันเนื่องมาจากกล่ินเหม็น โดยเฉพาะ ประสบผลสาเร็จ ต้องได้รับความร่วมมือจาก ในช่วงหลังการชะล้างลงสู่แหล่งน้าสาธารณะ ทา ชุมชน ใหช้ าวบ้านไดร้ บั ผลกระทบตามไปด้วย 7. ผลพลอยได้จากการก่อสร้าง 5. รัฐบาลควรสนับสนุนการใช้ก๊าซ ระบบก๊าซชีวภาพจะสามารถก่อให้เกิดการจ้าง ชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนก๊าซหุงต้มและ งานในท้องถ่นิ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เป็นพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้า เพ่ือใช้ใน ฟาร์มและแจกจา่ ยแกช่ ุมชนข้างเคยี ง 8. ควรมีการสัมภาษณ์และสนทนา กลุ่มกบั ประชาชนชุมชนในใกล้โรงงาน สนับสนุน 6. รัฐควรมีนโยบายให้เงินอุดหนุนอัตรา การเข้ามามีส่วน ร่วมใน การวางแ ผน จาก รับซื้อไฟฟ้าท่ีผลิตจากพลังงานก๊าซชีวภาพใน ผลกระทบทางด้านกล่ินและแมลงรบกวนท่ีทาให้
วารสารเกษมบณั ฑิต ปที ่ี 23 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มิถนุ ายน 2565) อัตราที่สูงกว่าค่าไฟปกติ เพ่ือจูงใจให้เจ้าของ จูงใจให้ส่งกระแสไฟฟ้าไปจาหน่ายให้ภาครัฐอีก ฟาร์มหันมาผลติ กา๊ ซชีวภาพใชเ้ องภายใน และยัง ด้วย References Aryuwat, K. (2548). Biogas project for electricity generation [Unpublished research report]. Kasetsart University Research and Development Institute. Department of Alternative Energy Development and Energy Conservation. (2557). Project for energy use guidelines in the residential areas of the country. generation [Unpublished research report]. Ministry of Energy Energy Forecast and Information Center. (2556). Energy situation 2012 and trends in 2013. http://www.eppo.go.th/info/2010/energyforecast 2014 12.html Energy Policy and Planning Office, Ministry of Energy. (2557). Oil prices today. http://www.eppo.go.th/retail_prices.html Ministry of Energy. (2558). Strategy of energy. http://www.energy.go.th/energy-strategic.html Suanchan, K., & Ekchart, R. (2552). Biogas [Unpublished research report]. Ministry of Energy.
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) นวัตกรรมการส่ือสารชมุ ชนเพ่ือเสริมสร้างศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ : กรณีศึกษา ชุมชนอาเภอขลุง จงั หวัดจนั ทบรุ ี นสิ ากร ยินดจี นั ทร์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี อาเภอเมอื ง จังหวดั จันทบรุ ี 22000 E-mail : [email protected] ตดิ ต่อผูเ้ ขียนบทความ นิสากร ยนิ ดีจันทร์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏราไพพรรณี อาเภอเมอื ง จังหวัดจนั ทบรุ ี 22000 E-mail : [email protected] วนั ที่รบั บทความ: 13 กรกฎาคม 2563 วันทแี่ กไ้ ขบทความ: 25 พฤศจกิ ายน 2563 วันทตี่ อบรบั บทความ: 16 มกราคม 2565 บทคัดยอ่ วตั ถุประสงค์ เพื่อประเมินสภาวะพ้ืนฐานชุมชนและแนวทางการนานวัตกรรมการสื่อสารชมุ ชนเพ่ือ เสริมสร้างศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศในชุมชน วิธีการวิจัย ใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ ซ่ึงเก็บ รวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ในกลุ่มตัวอย่างจากผู้ให้ข้อมูลจากภาครัฐ/องค์กรส่วน ท้องถ่ิน ผู้นาชุมชน ผู้ประกอบการชุมชน ชาวบ้านและนักท่องเท่ียวและการสังเกตการณ์ของผู้วิจัย ผลการวิจัย ปัจจุบันการสื่อสารในส่วนของชุมชนมีการสื่อสารแบบผสมผสานระหว่างสื่อด้ังเดิมกับส่ือใหม่ รูปแบบของสื่อใหม่ คือสื่อสารมวลชน สื่อออนไลน์และส่ือเฉพาะกิจ ส่วนนักท่องเท่ียวเปลี่ยนบริบทจาก ผรู้ บั สารเป็นผู้ส่งสาร มีการส่ือสารเรื่องราว แบง่ ปันประสบการณก์ ารทอ่ งเท่ียวผ่านส่ือสังคมออนไลน์ ทาให้ ชมุ ชนทั้งสองกลายเป็นแหล่งท่องเท่ียวที่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเท่ียวเชิงนิเวศท่ีนักท่องเทยี่ วนิยมเดินทาง ทอ่ งเท่ียวเป็นจานวนมาก นัยทางทฤษฎี/นโยบาย การใช้ส่ือใหม่ สามารถนามาใช้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ แหลง่ ทอ่ งเที่ยวเชงิ นเิ วศของชมุ ชนโดยการผสมผสานกบั การสื่อสารรปู แบบดัง้ เดมิ คาสาคญั : นวตั กรรมการสอ่ื สาร การเสรมิ สร้างศักยภาพ แหล่งท่องเท่ียวเชิงนิเวศ
วารสารเกษมบัณฑิต ปที ่ี 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2565) Community Communication Innovation for Enhancing Eco-Tourism Potential : A Case Study of Communities in Khlung District, Chantaburi Provice Nisakorn Yindeechan Faculty of Mass Communication, Ramphibarni Rajaphat University, Ampher Muang, Chantaburi, 22000 E-mail : [email protected] Correspondence concerning this article should be addressed to Nisakorn Yindeechan, Faculty of Mass Communication, Ramphibarni Rajaphat University, Ampher Muang, Chantaburi, 22000 E-mail : [email protected] Received date: July 13, 2020 Revised date: November 25, 2020 Accepted date: January 16, 2022 Abstract PURPOSES: To evaluate basic conditions and to enhance the capacity of community eco-tourism. METHODS: The research adopted qualitative research methodology which collected data by in-depth interview of key informants from public sector/local organization, community operators, community leaders, villagers and tourists as well as observation by the researcher. RESULTS: At present, communication in the communities took place through the press and new media in various channels. Visitors changed from recipients to messengers, communicated the stories, and shared experiences through social media. The communities became a popular tourist attraction in the field of eco-tourism. THEORY/POLICY IMPLICATION: New media can be used to enhance the community’s eco-tourism potential by integrating with traditional forms of communication. Keywords: Innovative communication, potential enhancement, eco-tourism.
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) บทนา ปัจจัยสาคัญประการหน่ึงท่ีสนับสนุน การท่องเท่ียวนับเป็นอุตสาหกรรมที่มี ค ว า ม ส า เ ร็ จ ข อ ง ก า ร ท่ อ ง เ ท่ี ย ว อ ย่ า ง มี ค ว า ม รับผิดชอบ คือการส่ือสารชุมชน ซ่ึงเป็นการ บ ท บ า ท ส า คั ญ ต่ อ ก า ร พั ฒ น า เศ ร ษ ฐ กิ จ ข อ ง สื่อสารท่ีต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ประเทศ เป็นแหล่งรายได้ที่สาคัญของประเทศ ของคนในชุมชนในการสร้างความตระหนักให้กับ ไทย โดยในปี พ.ศ. 2559 รายได้จากการ คนในชุมชนโดยรวมและเป็นศูนย์กลางประสาน ท่องเท่ียวของประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 9 ของ ส่วนต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนการ ผลิตภัณ ฑ์มวลรวมภายในประเทศท้ังหมด พฒั นาศักยภาพแหล่งทอ่ งเที่ยวชุมชน ให้ประสบ นอกจากน้ีอุตสาหกรรมการท่องเท่ียวทาให้เกิด ความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ งานพัฒ นา การสร้างอาชีพ การจ้างงาน การพัฒนาระบบ ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเป็นงานส่วนรวม การคมนาคมขนส่ง และการพัฒนาโครงสร้าง ทตี่ ้องอาศยั ความร่วมมือจากทั้งชมุ ชน หน่วยงาน พื้นฐานต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามการเจริญเติบโต ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสื่อสาร ข อ งอุ ต ส า ห ก ร ร ม ท่ อ ง เท่ี ย ว ยั ง อ า จ ก่ อ ให้ เกิ ด ในระดับต่าง ๆ รวมท้ังการสื่อสารเพื่อสร้างการมี ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เช่น ปัญหาการ ส่วนร่วมในการเสริมสร้างชุมชน การสร้าง ทาลายทัศนียภาพ ปัญหามลภาวะสภาพทาง เอกลักษณ์และจุดเด่นของแหล่งท่องเท่ียวให้กับ สงั คม เช่น ปัญหาค่าครองชีพ รวมท้ังวถิ ีชีวติ ของ ชุมชน การสื่อสารประสานงาน และขอความ ชุมชนในแหล่งท่องเที่ยวให้เสื่อมโทรมลง ทาให้ ช่ ว ย เห ลื อ จ า ก ห น่ ว ย ง า น ท่ี เก่ี ย ว ข้ อ ง ใ น ก า ร การจัดการแหล่งท่องเท่ียวมักประสบปัญหาท่ี สนับสนุนปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ ตลอดจนถึงการ สวน ท างกัน อยู่เสมอระห ว่างการอนุ รักษ์ ส่ือสารผ่านส่ือสมัยใหม่ต่าง ๆ เช่น สื่อมวลชน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสังคม ส่ืออินเทอร์เน็ต ส่ือออนไลน์ประเภทต่าง ๆ ท่ีถือ กับการพัฒนา วา่ เป็นนวัตกรรมการส่ือสาร เพื่อส่อื สารข้อมูลให้ บุคคลในชุมชน ตลอดจนคนภายนอกชุมชนให้ ความไม่สมดุลระหว่างการอนุรักษ์และ รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับชุมชน ความเป็นอยู่ การพัฒนาดังกล่าว จึงได้ก่อให้เกิดรูปแบบของ วิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี และสภาพแวดล้อม การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) ข้ึน เป็น ทางธรรมชาติของชุมชน ซ่ึงถือว่าเป็นทรัพยากร รูปแบบการท่องเท่ียวอย่างมีความรับผิดชอบต่อ การท่องเท่ียวที่สาคัญของชุมชน (ฐิติยาภรณ์, แหล่งธรรมชาติท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะถ่ิน และ 2553) แหล่งวัฒ นธรรมท่ีเก่ียวข้องกับระบบนิเวศ ส่ิงแวดล้อมในพื้นที่ โดยมีกระบวนการเรียนรู้ นวัตกรรมการสื่อสารถูกนามาใช้เป็น ร่วมกันของผู้ท่ีเกี่ยวข้องภายใต้การจัดการการ เค รื่ อ ง มื อ เพ่ื อ ย ก ร ะ ดั บ ศั ก ย ภ า พ ข อ ง บุ ค ค ล ท่ อ ง เที่ ย ว อ ย่ า ง มี ส่ ว น ร่ ว ม ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ใ น องค์กร ส่ิงแวดล้อม รวมถึงทรัพยากรการ ท้องถิ่นเพื่อให้ตระหนักถึงคุณค่าต่อการรักษา ท่องเท่ียวและแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ โดย ค ว า ม ส ม ดุ ล ข อ ง ร ะ บ บ นิ เว ศ แ ล ะ ก่ อ ใ ห้ เกิ ด นวัตกรรมการสื่อสารถูกใช้เป็นเคร่ืองมือในการ ป ระโย ช น์ สู งสุ ด ต่ อ ป ระช าช น ใน ท้ อ งถิ่ น พัฒ นาทาให้ เกิดส่ิงให ม่ที่มีมูลค่าเพ่ิ มท าง (Chuchart, 2011) เศ ร ษ ฐ กิ จ ทั้ ง ใน เร่ื อ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร ผ ลิ ต แ ล ะ
วารสารเกษมบัณฑิต ปีที่ 23 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2565) รูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ นวัตกรรมท่ี สอนอยู่บริเวณฝั่งขวาของแม่น้าเวฬุและชุมชน เกี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ส่ื อ ส า ร ส า ม า ร ถ ต อ บ ส น อ ง บ้านบางชันตั้งอยู่บริเวณฝ่ังซ้าย พ้ืนที่ต้ังของ นักท่องเท่ียวในการนามาใช้ในการค้นหาส่ิง ชุมชนเป็นป่าชายเลนขนาดใหญ่มีความอุดม ต่าง ๆ ท่ีเป็นความรู้เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวและ สมบูรณ์ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสาคัญของสัตว์น้า บริการต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจหา และสัตว์ป่าอื่น ๆ ความอุดมสมบูรณ์ ของ สถานท่ีท่องเที่ยว ที่พัก อาหาร ในการตัดสินใจ ทรัพยากรธรรมชาติดังกล่าว ก่อให้เกิดความ เดินทางท่องเท่ียว (แป้นสขุ , 2555) หลากหลายทางชีวภาพ มีทัศนียภาพที่สวยงาม จึงน่าจะมีศักยภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ชุมชนบ้านท่าสอนกับชุมชนบ้านบางชัน ท่ีนักท่องเท่ียวสนใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว อาเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เป็นชุมชนท่ีมีความ (องค์การบรหิ ารส่วนตาบลบางชนั , 2561) นา่ สนใจเป็นแหล่งท่องเท่ียวเชิงนิเวศสูงเพราะอยู่ ในพื้นที่ป่าชายเลนริมแม่น้าเวฬุ ชุมชนบ้านท่า ชุมชนบ้านบางชนั อาเภอขลุง ชมุ ชนบ้านท่าสอน อาเภอขลุง จังหวัดจนั ทบุรี จงั หวัดจนั ทบุรี ภาพท่ี 1 พน้ื ที่ทีท่ าการศึกษา (องค์การบรหิ ารสว่ นตาบลบางชัน, 2561) วตั ถุประสงค์ 2. เพ่ือศึกษาแนวทางการนานวัตกรรม 1. เพื่อประเมินสภาวะพื้นฐานชุมชน การสื่อสารชุมชนเพื่อเสริมสร้างศักยภาพแหล่ง ท่องเท่ียวเชิงนิเวศชุมชนบ้านท่าสอนกับชุมชน บ้านท่าสอนกับชุมชนบ้านบางชัน อาเภอขลุง บา้ นบางชัน อาเภอขลุง จงั หวดั จันทบุรี จังหวัดจันทบุรี
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) วิธีการวิจยั นิเวศซ่ึงเป็นแนวคิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพและ ใช้ ร ะ เบี ย บ วิ ธี วิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภ า พ ประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดประโยชน์ต่อชุมชน มากขึ้น (Qualitative research) วิธีการเก็บรวบรวม ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ด้วยวิธี การสื่อสารชุมชนเป็นการสื่อสารแบบ เจาะจง (Purposive sampling) โดยผู้ให้ข้อมูล ส อ ง ท า ง ท่ี ผู้ ส่ ง ส า ร แ ล ะ ผู้ รั บ ส า ร ส า ม า ร ถ มี หลัก ประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐ/องค์กรส่วน ปฏิกิริยาโต้ตอบกันอยู่ตลอดเวลาทั้งในลักษณะ ท้องถ่นิ ผู้นาชมุ ชน ผปู้ ระกอบการชุมชนชาวบ้าน เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ทาให้สถานะ แ ล ะ นั ก ท่ อ ง เที่ ย ว ร่ ว ม กั บ ก า ร ล ง พื้ น ที่ ของผู้ส่งสารและผู้รับสารไม่ตายตัวแต่จะมีการ สังเกตการณ์ ผ้วู ิจัยไดเ้ ข้าไปมีส่วนรว่ มในกิจกรรม ผลดั เปลี่ยนบทบาทอย่ตู ลอดเวลาทศิ ทางการไหล ของชุมชนเพ่ือสร้างสายสัมพันธ์ พูดคุยสอบถาม ของข่าวสารจะเป็นไปอย่างจากัด คือมีการไหล พร้อมบันทึกเทป ทาให้ได้ข้อมูลท่ีต้องการศึกษา จากเจ้าหน้าท่ีรัฐไปสู่ประชาชนเท่านั้น แต่การ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นข้อสรุปในแต่ละ สื่อสารชุมชนนั้นการหล่ังไหลของข่าวสารจะมี ประเด็นเพ่ือตอบคาถามตามวัตถุประสงค์และ ทิศทางท่ีหลากหลาย มาจากทุกทิศทุกทางทั้ง ปัญ หานาวิจัย และนาเสนอข้อมูลในแบบ จากบนลงล่าง (top-down) และจากล่างสู่บน พรรณนาวเิ คราะห์ (Descriptive analysis) (bottom-up) รวมท้ังแบบแนวนอน ดังน้ัน ข่าวสารจึงอาจจะไหลจากแหล่งต่าง ๆ ไปสู่ แนวความคดิ ทางทฤษฎี ประชาชน เช่น จากสื่อมวลชนไปสู่ผู้รับสารใน นวัตกรรมการสื่อสาร เป็นแนวความคิด ชุ ม ช น ใ น เว ล า เดี ย ว กั น ป ร ะ ช า ช น อ า จ จ ะ ส่ ง ข่าวสารขึ้นไปยังเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือมีการ ให ม่ ท่ี เกิ ด ข้ึ น อ ย่ า ง เป็ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ภ า ย ใ ต้ แ ล ก เป ลี่ ย น ติ ด ต่ อ ส่ ง ข่ า ว ส า ร ร ะ ห ว่ า ง ก ลุ่ ม ความรู้ ประสบการณ์และความเช่ียวชาญ ท่ี ประชาชนด้วยกันเรียกว่า การสร้างเครือข่าย นามาสู่การปฏิบัตเิ พอื่ กอ่ ให้เกดิ ผลงานใหม่ ๆ ที่มี ชุมชนเป็นการศึกษาดูงานจากกลุ่มประชาชน คุณภาพ สามารถนาไปใช้ได้จริง มีประสิทธิภาพ ด้ ว ย กั น เอ ง ซึ่ ง ทิ ศ ท า ง ก า ร ไห ล ข อ ง ข่ า ว ส า ร และประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ช่วยในการลดต้นทุน นอกจากจะใช้มิติเร่ืองทิศทางเป็นเกณฑ์พิจารณา เพิ่มผลกาไร และเกิดประโยชน์ต่อชีวิต สังคม แล้ว ยังมีเกณฑ์เรื่องขอบเขตของชุมชนเป็นตัว และเศรษฐกิจมากข้ึนเช่นในกระบวนการสื่อสาร แบ่งเป็นขอบเขตในชุมชนและขอบเขตภายนอก แบบใหม่ท่ีต้องมีลักษณะของความผันแปรอย่าง ชมุ ชน จากเกณฑ์น้ีทาให้มองเห็นทิศทางการไหล ไม่หยุดน่ิง นวัตกรรมมีความสาคัญเป็นอย่างมาก ของข่าวสารใน 3 ทิศทาง ได้แก่ การไหลของ ในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เพื่อ ข่าวสารจากสื่อภายนอกเข้ามาสู่ชุมชน การใช้ เอาชนะคู่แข่งขัน เป็นการสร้างความแตกต่างที่ ส่ื อ เพื่ อ ส่ ง ส า ร เร่ื อ ง ร า ว ข อ ง ชุ ม ช น อ อ ก ไ ป ยั ง ดีกว่าซึง่ ในตลาดการค้าเสรี นักท่องเท่ียวสามารถ บุคคลภายนอก และการใช้การส่ือสารเพื่อ เลือกใช้บริการจากใครก็ได้ ดังน้ันปัจจัยที่ทาให้ กระตุ้นให้เกิดการสื่อสารภายในชุมชนกันเองเพื่อ นักท่องเที่ยวมองเห็นถึงคุณค่าและประโยชน์ที่ ช่ ว ย ย ก ร ะ ดั บ ค ว า ม ต ร ะ ห นั ก เกี่ ย ว กั บ ค ว า ม เหนือกว่าคู่แข่งขัน เช่น นวัตกรรมการส่ือสาร ชุมชนเพื่อเสริมสร้างศักยภาพแหล่งท่องเท่ียวเชิง
วารสารเกษมบัณฑิต ปีท่ี 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มถิ ุนายน 2565) ต้องการและการแสดงออกซึ่งความเป็นตัวของ ต ร ะ ห นั ก ป ลู ก จิ ต ส า นึ ก ท่ี ถู ก ต้ อ งให้ กั บ ตัวเองของชมุ ชน นักทอ่ งเท่ยี วและมีส่วนร่วมในกจิ กรรมท่องเทย่ี ว ศั ก ย ภ า พ แ ห ล่ ง ท่ อ ง เท่ี ย ว เชิ ง นิ เว ศ 4. ดา้ นการมีส่วนร่วม ในการปฏิบัติตาม องค์ประกอบของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจะต้องมี กฎหมาย ข้อบังคับ และนโยบายในการจัดการ การกระจายรายได้ไปสู่คนในท้องถ่ินให้ได้รับ ท่องเที่ยวของชุมชน ได้รับผลตอบแทนเพื่อ ผลประโยชน์ท้ังทางตรงและทางอ้อมจากการ กลับมาอนุรักษ์ สภาพแวดล้อมของแหล่ง ท่องเท่ียวโดยเปิดโอกาสให้เข้ามาช่วยในการ ท่องเท่ียว และการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมี ให้บรกิ ารทางการท่องเทยี่ ว เช่น ทพ่ี กั อาหาร ส่ิง คณุ ภาพ อานวยความสะดวกต่าง ๆ รวมท้ังการเป็น มัคคุเทศก์ท้องถิ่นด้วย องค์ประกอบของการ การสื่อสารจึงเป็นเคร่ืองมือที่ทาหน้าที่ ท่ อ ง เท่ี ย ว เชิ ง นิ เว ศ จ ะ ต้ อ ง มี พ้ื น ฐ า น อ ยู่ บ น ประสานส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เมื่อจานวน ธรรมชาติวัฒนธรรมและชุมชน มีการจัดการท่ี ประชากรที่เพ่ิมสูงข้ึน รูปแบบของการส่ือสารจึง ยั่งยืน คานึงถึงสังคมวัฒนธรรม ให้ความรู้แก่ มคี วามซบั ซ้อนมากขึ้น และการเรียนรู้ของมนุษย์ นักท่องเท่ียวและคนในท้องถ่ิน ต้องได้รับ ท่ีได้สร้างเทคโนโลยีอันทันสมัย ก่อให้เกิดการ ผลประโยชน์จากการมีส่วนร่วม ที่สาคัญที่สุดคือ ส่ือสารในรูปแบบใหม่ มีความเข้ากันได้กับคนใน นักท่องเที่ยวต้องมีความพงึ พอใจ สังคม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในส่วนของ การท่องเที่ยวชุมชนบ้านท่าสอนกับบ้านบางชัน Chandra (2 0 0 3 ) ก ล่ า ว ว่ า ก า ร ปจั จุบันนักท่องเที่ยวเปล่ียนจากผรู้ ับสารกลายมา ทอ่ งเทีย่ วเชิงนิเวศจะมีองคป์ ระกอบดงั ตอ่ ไปน้ี เป็นผู้ส่งสาร โดยใช้ชอ่ งทางการส่ือสารคอื ส่ือใหม่ เช่น ไลน์ เฟสบุ๊ค หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ในการ 1. ด้านพ้ืนที่ทรัพยากรท่ีเกี่ยวเนื่องกับ แบ่งปันและบอกเล่าเร่ืองราว ประสบการณ์การ ระบบนิเวศของแหล่งท่องเท่ียวสภาพแวดล้อม ท่องเที่ยวเกี่ยวกับกิจกรรม วิถีชีวิตชุมชนและ ธรรมชาติท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะถ่ินรวมถึงแหล่ง ความประทับใจด้านพ้ืนที่ ทรัพยากรธรรมชาติท่ี วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เก่ียวเน่ืองกับ สวยงามของแหล่งท่องเที่ยว อาหารทะเลสด ระบบนิเวศของชมุ ชน รสชาติดี บริการอาหารและเคร่ืองด่ืมแบบไม่ จากัดปริมาณ การบริหารจัดการ การท่องเท่ียว 2. ดา้ นการจัดการการอนุรกั ษท์ รัพยากร การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยว ส่ิงแวดล้อม การป้องกันและกาจัดมลพิษและ การให้การต้อนรับ การบริการท่ีเป็นมิตร ผ่านส่ือ ควบคุมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมีขอบเขต ออนไลน์จนทาให้การท่องเท่ียวชุมชนมีชื่อเสียง ไม่ทาลายทรัพยากรธรรมชาติเพ่ือสร้างเป็นการ เป็ น ที่ รู้ จั ก ข อ ง นั ก ท่ อ ง เท่ี ย ว ที่ นิ ย ม เดิ น ท า ง ท่องเท่ียวอย่างย่ังยืน เกิดการท่องเที่ยวท่ีมีความ ท่องเทีย่ วเป็นจานวนมากขน้ึ รับผดิ ชอบ ผลการวิจัย 3. ด้านกิจกรรมเป็นการท่องเท่ียวที่มี ชุมชนบ้านท่าสอนกับชุมชนบ้านบางชัน กระบวนการเรียนรู้ศึกษาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และระบบนิเวศของแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเพิ่ม ห รือ เดิ ม เรีย ก ว่า \"บ้ าน โรงไม้ \" ภ าย ห ลั ง ความรู้ประสบการณ์ความประทับใจสร้างความ
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) เปล่ียนเป็น “หมู่บ้านไร้แผ่นดิน” เป็นชุมชนที่มี ชุมชนบ้านท่าสอนกับชุมชนบ้านบางชันเริ่มจาก ความเป็นมายาวนานประมาณ 135 ปีมาแล้ว โดย การทาแพท่องเที่ยว โดยไปกู้เงิน ธกส.นักท่องเที่ยว เริ่มมาต้ังแต่ก่อนปี พ.ศ. 2410 มีชาวจีนท่ีเดินทาง คือเพ่ือนสนิทที่ทางานในเครือข่ายองค์กรส่วน อพยพเข้ามาในไทย ทาการค้าขายติดต่อไปถึง ท้องถ่ิน คนรู้จักและญาติสนิท มาใช้บริการ กรุงเทพฯ เมื่อผ่านมาท่ีจันทบุรีได้นาเรือมาหลบลม ท่ องเท่ี ย วแล้ วเกิ ด ความ ป ระทั บ ใจเล ยบ อกต่ อ ในบริเวณลุ่มน้าเวฬุ และเห็นว่าเป็นบริเวณท่ีมี “ปากต่อปาก” เม่ือนักท่องเท่ียวมากขึ้นจึงชักชวน ความอุดมสมบูรณ์ทางทะเล มีสัตว์น้ามากมาย จึง ชาวบา้ นมาทาเรื่องการท่องเท่ียวจนถึงทุกวนั น้ี ไดท้ าการประมง จนกลายเปน็ อาชีพ ก า ร ส่ื อ ส า ร ชุ ม ช น ใน ก า ร เส ริ ม ส ร้ า ง ในส่วนของชุมชนบ้านท่าสอนเป็นศูนย์ ศักยภาพแหล่งท่องเท่ียว ผู้นาชุมชนถือได้ว่าเป็น การเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงนิเวศป่าชายเลนลุ่มน้า สื่อบุคคลที่มีความสาคัญและเป็นผู้นาทางความคิด เวฬุ โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็น (Opinion Leader) ที่มีบทบาทอย่างมากในการ พ้ืนท่ีป่าชายเลนขนาดใหญ่ขยายผลจากโครงการ เป็นผู้คิดริเร่ิมแนวทางเพ่ือพัฒนาและอนุรักษ์ อันเน่ืองมาจากพระราชดาริ มีความอุดมสมบูรณ์ ชุมชนจากการศึกษาผู้วิจัยพบว่าการสื่อสารของ ของป่า สัตว์น้า และสัตว์ป่าอื่น ๆ นอกจากน้ียัง ชุมชนท่ีมีส่วนสนับสนุนการเสริมสร้างศักยภาพ เป็นป่าที่ช่วยชะลอความแรงของลม และกระแสน้า ชุมชนท่องเท่ียวยั่งยืนให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ ช่วยอนุบาลพันธุ์สัตว์น้านานาชนิด และเป็นที่อยู่ ชุ ม ช น นั้ น อาจ แบ่ งได้ เป็ น ส าม ส่ วน ห ลั ก ได้ แ ก่ อาศัยของสัตว์อีกหลายชนิด เช่น นก และแมลง รูปแบบการสื่อสารภายในเครือข่าย รูปแบบการ ต่าง ๆ ภายในลุ่มน้าแห่งน้ียังมีวิถีชีวิตด้ังเดิม ของ ส่ือสารระหว่างเครือข่ายกับนักท่องเท่ียวและการ ชาวป ระม งพื้ น บ้ าน ที่ สื บ ท อด กั น ม านั บ ร้ อย ปี ส่ือสารเพื่อเสริมสร้างศักยภาพแหล่งท่องเทียว บริ เวณ นี้ จึ งเป็ นพื้ นท่ี ที่ มี ความสมดุ ลใน การอยู่ รว่ มกันของระบบนิเวศ ทงั้ คน สัตว์ และป่า 1. รปู แบบการสื่อสารภายในเครือขา่ ย รู ป แ บ บ ก ารส่ื อ ส ารภ าย ใน เค รื อ ข่ าย ลักษณะที่ตั้งบ้านเรือนทั้งสองชุมชนอยู่ใน เขตลุ่มน้า แม่น้าเวฬุไหลผ่าน สองฝั่งแม่น้าเป็น สามารถแบง่ ออกเป็น 4 รูปแบบ คอื พ้ืนที่ป่าชายเลนขนาดใหญ่ มีความอุดมสมบูรณ์ 1) รูปแบบการสื่อสารทางเดียวภายใน ของทรัพยากรธรรมชาติ บรรยากาศดี จุดเด่นของ กิจกรรมท่องเท่ียวคือมีทะเลแหวก เป็นหน่ึงใน เครือข่ายพบว่า ปรากฏอยู่น้อยมาก มีเพียงการ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีมีความสวยงามแปลก ส่ือสารด้านกฎหมาย กฎข้อบังคับ นโยบายต่าง ๆ ตา พาล่องแพชมเหย่ียวแดง ห่ิงห้อย เส้นทางเดิน จากภาครัฐ รวมถึงป้ายประชาสัมพันธ์แพท่องเที่ยว ศึกษาธรรมชาติ อาหารทะเลสด รสชาติอร่อย และ และโฮมสเตยท์ ผ่ี ปู้ ระกอบการชุมชนจดั ทาขนึ้ เอง ราคาไมแ่ พง 2) รูปแบบการส่ือสารสองทางอย่างเป็น ข้ อมู ล ด้ าน ก ารส่ื อส ารเพื่ อเส ริ ม ส ร้ าง ทางการภายในเครือข่ายพบว่า หน่วยงานภาครฐั คือ ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวชุมชน พบว่าผู้นาชุมชน เทศบาลตาบลบางชันมีการประชุมนัดหมายอย่าง คือนายสนั่น แก้วขาว นายกองค์การบริหารส่วน เป็นทางการ เพ่ือปรึกษาหารือเกี่ยวกับนโยบายการ ตาบลบางชัน เป็นผู้ริเร่ิมการจัดการท่องเที่ยวของ บริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชน บ้านท่าสอนกับชุมชนบ้านบางชัน ซึ่งรูปแบบของ
วารสารเกษมบัณฑติ ปที ี่ 23 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2565) การส่ื อ ส ารจ ะใช้ จ ด ห ม าย เชิ ญ ป ระชุ ม ท่ี มี ล าย ท่องเที่ยว ได้แก่ แหล่งท่องเที่ยว สถานท่ีท่องเท่ียว ลักษณ์อักษรเชิญประชุม และผู้มีอานาจลงนาม กิจกรรมท่องเท่ียว ขององค์การบริหารส่วนตาบล อย่างชัดเจน บางชัน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและในส่วน ของนักท่องเท่ียวที่เปล่ียนจากผู้รับเป็นผู้ส่งสาร 3) รูปแบบการส่ือสารสองทางอย่างไม่เป็น ผ่านสื่อเว็บไซต์ ส่ วนขุมชนจะเป็นแผ่นพั บ ทางการภายในเครือข่าย ได้แก่ การติดต่อส่ือสาร โปสเตอร์ และป้าย เป็นต้น ในส่วนของสื่อมวลชน กันระหว่างเทศบาลตาบลบางชันเป็นการพูดคุย คือการนาเสนอข้อมูลผ่านรายการโทรทัศน์ไปยัง นอกรอบเพื่อชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ การติดต่อนัด กลมุ่ นกั ทอ่ งเที่ยวและบุคคลทว่ั ไป หมายด้วยโทรศัพท์ซ่ึงอาศัยความสนิทสนมส่วนตัว ด้ าน ก ารค อ ย เป็ น หู เป็ น ต าใน ก ารรั ก ษ า 2) รูปแบบการส่ือสารสองทางระหว่าง ทรัพยากรธรรมชาติ และการกาหนดกฎเกณฑ์ การ เครือข่ายกับนักท่องเที่ยว ปรากฏในรูปแบบการ พู ดคุยตักเตือนคนท่ี กระท าผิด ซ่ึงจากการ พูดคุยกับนักท่องเที่ยวทั้งในเรื่องการอนุรักษ์และ สังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมของผู้วิจัยพบว่า การ การประชาสัมพันธ์ เช่น นักท่องเที่ยวมีการ พูดคุยแลกเปล่ียนแนวความคิดและการแก้ปัญหา สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเท่ียวและบริการ ระหว่างองค์การบรหิ ารส่วนทอ้ งถิ่น ผูน้ าชุมชนและ โดยผ่านทางโทรศัพท์ และทางส่ือออนไลน์ และยัง ชาวบ้านมีความเป็นกันเอง การช่วยเหลือกัน การ มี เรื่ องข องก ารพู ดคุ ยถึ งป ระเด็ น ก ารขอค วาม คิดและวางแผนร่วมกัน ทาให้เห็นถึงการมีส่วนร่วม ร่วมมือ และมีการแนะนาให้นักท่องเท่ียวในเรื่อง ของทุกคนในการจัดการการท่องเท่ียวของชมุ ชน การจัดการขยะ เรื่องการรักษาทรัพยากร รวมทั้ง ก ารให้ ข้ อ มู ล ท่ี ถู ก ต้ อ งแ ล ะ ชั ด เจ น อ ย่ างเช่ น 4) รูปแบบการสื่อสารแบบมีส่วนร่วม ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชนบ้านท่าสอน ภายในเครือข่าย ในการจัดการท่องเที่ยว กิจกรรม กับชุมชนบ้านบางชัน อาเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ท่องเที่ยว หรือประชุมแลกเปล่ียนพูดคุยกัน การ และสถานท่ที ่องเทย่ี วอื่น ๆ ประสานเครือข่ายความร่วมมือในชุมชนเพ่ือให้ ความสะดวกสบายแก่นักท่องเท่ียว ได้แก่ นายก 3) รูปแบบการส่ือสารแบบมีส่วนร่วม เทศบาลตาบลบางชันและทุกภาคส่วนในชุมชนเข้า ระหว่างเครือข่ายกับนักท่องเที่ยว จากการสังเกต มามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ การคิด การ แบบมีส่วนร่วมของผู้วิจัย ผลการวิจัยพบว่า การ วางแผนการจัดการท่ องเที่ ยวอย่ างมี ความ สื่อสารแบบมีส่วนร่วมระหว่างนักท่องเที่ยวกับ รับผดิ ชอบ ได้รบั ผลประโยชน์อย่างทว่ั ถงึ เครือข่ายส่วนใหญ่จะปรากฏในรูปแบบกิจกรรม การท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว 2. รูปแบบการสื่อสารระหว่างเครือข่ายกับ รวม ถึ งก ารมี ส่ วน ร่ วม ใน ก ารดู แ ล รั ก ษ า นักทอ่ งเทยี่ ว ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ กิจกรรมด้าน วถิ ชี ีวิตของชุมชนบ้านทา่ สอนกับชุมชนบ้านบางชัน รูปแบบการส่ือสารระหว่างเครือข่ายกับ อาเภอขลงุ จงั หวัดจนั ทบรุ ี นักท่องเที่ยวท่ีปรากฏสามารถแบ่งออกเป็น 3 รปู แบบ คอื 1) รูปแบบการสื่อสารทางเดียว ส่วนใหญ่ จะเป็นลักษณะการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลการ
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) 3. การส่ือสารเพ่ือเสริมสร้างศักยภาพแหล่ง ส่ื อ /ช่ อ งท างก ารส่ื อ ส ารที่ ใช้ เพ่ื อ ท่องเที่ยว เสริมสร้างศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวมีทั้งสื่อบุคคล ส่อื มวลชน สอื่ เฉพาะกิจและส่ืออินเทอร์เนต็ ก า ร ส่ื อ ส า ร ส า ม า ร ถ แ บ่ ง ต า ม ส า ร ะ ออกเป็น 4 ดา้ น คอื อภิปรายผล รูป แบบ การส่ือสารชุมชนเพื่ อการ 1) ด้านพื้นท่ี/ลักษณะทางกายภาพ ได้มี การรณรงค์ให้ชาวบ้านในพ้ืนท่ีร่วมกันอนุรักษ์ เสริมสร้างศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศของ ดูแลรักษาทรัพยากรส่ิงแวดล้อมและระบบนิเวศ ชุมชน มีรูปแบบการสื่อสาร 2 รูปแบบคือ ของแหล่งท่องเท่ียวชุมชนบ้านท่าสอนกับชุมชน รูปแบบการส่ือสารภายในเครือข่ายและรูปแบบ บ้านบางชัน ให้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยไม่ การส่ือสารระหว่างเครอื ข่ายกับนักท่องเท่ียวโดย ทาลายทรัพยากรธรรมชาติให้เส่อื มโทรม อภิปรายผลไดด้ ังนี้ 2) ด้านการจัดการ ได้แก่ การจัดการ รูปแบบการส่ือสารภายในเครือข่ายมี สิ่งแวดล้อม การป้องกันและกาจัดมลพิษ เช่น ก า ร ติ ด ต่ อ สื่ อ ส า ร ร ะ ห ว่ า ง ภ า ค รั ฐ ผู้ น า ชุ ม ช น การจัดการขยะของเน่าเสีย และควบคุมการ ผู้ประกอบการชุมชนและชาวบ้านสามารถแบ่ง พัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมีขอบเขต เพ่ือสร้าง ออกเป็น 4 รูปแบบคือรูปแบบการส่ือสารทาง เป็นการท่องเท่ียวอย่างย่ังยืน เป็นการจัดการ เดียว รูปแบบการสื่อสารสองทางอย่างเป็ น ท่องเท่ยี วท่ีมีความรับผดิ ชอบ ทางการ รูปแบบการสื่อสารสองทางอย่างไม่เป็น ทางการ และรูปแบบการส่ือสารแบบมีส่วนร่วม 3) ด้านกิจกรรม ได้แก่ การแนะนา ใน ก า ร ส่ื อ ส า ร เพื่ อ เส ริ ม ส ร้ า ง ศั ก ย ภ า พ แ ห ล่ ง เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ป่าชายเลน และ ท่องเท่ียวเชิงนิเวศของชุมชนด้านรูปแบบการ ปลูกป่า พาเที่ยวหมู่บ้านไร้แผ่นดิน ไหว้พระ ชม สื่อสารภายในเครือข่าย พบว่ามีรูปแบบการ วิถีชีวิตชุมชนและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากอาหาร สื่ อ ส า ร ส อ ง ท า ง ทั้ ง เป็ น ท า ง ก า ร แ ล ะ ไ ม่ เป็ น ทะเล กิจกรรมล่องแพชมธรรมชาติ ดูเหยี่ยวแดง ทางการที่นาไปใช้ในการเสริมสร้างศักยภาพ ทะเลแหวก รับประทานอาหารทะเลสดแบบ แหล่งท่องเที่ยวค่อนข้างมีประสิทธิภาพเนื่องจาก บุฟเฟต์โดยไมจ่ ากดั ปริมาณ พรอ้ มคาราโอเกะ มี ก า ร แ ล ก เป ลี่ ย น ค ว า ม คิ ด แ ล ะ มี ก า ร บ ริ ห า ร จัดการในป ระเด็นต่าง ๆ ของการจัดการ 4) ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน การ ท่องเที่ยวชุมชนซึ่งสอดคล้องกับ แป้นสุข (2555) บอกเล่าประวัติความเป็นมาของชุมชน เพ่ือให้ ชุม ชน มี บ ท บ าท สาคัญ ใน การจัดการการ ความรู้แก่นักท่องเท่ียวมีส่วนร่วมในการจัดการ ท่องเที่ยวนับแต่การก่อตั้ง การดาเนินการ การ ท่องเที่ยว การให้การต้อนรับ การบริการที่เป็น ประสานงานเพื่อจัดการการท่องเท่ียวรวมไปถึง มิตร เช่น ชาวบ้านท่ีมีเรือหางยาวจะคอยบริการ การกาหนดแผนการจัดการและกฎระเบียบการ รับส่งนักท่องเท่ียว หรือการเช่าเรือเพื่อพาชม เผ ย แ พ ร่ ข้ อ มู ล ข่ า ว ส า ร ก า ร ดู แ ล แ ล ะ บ ริ ก า ร ความสวยงามของสองฝ่ังแม่น้าเวฬุ มีการ นักท่องเท่ียวรวมทั้งการแก้ปัญหาแสดงให้เห็นว่า ดัดแปลงบ้านมาเป็นโฮมสเตย์สาหรับรองรับ ก า ร พั ฒ น า ห รื อ บ ริ ห า ร จั ด ก า ร ต้ อ ง อ า ศั ย ก า ร นักท่องเที่ยว และมีส่วนร่วมในการดูแลอนุรักษ์ สง่ิ แวดล้อม ระบบนิเวศของแหล่งทอ่ งเทีย่ ว
วารสารเกษมบัณฑติ ปที ี่ 23 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม - มิถุนายน 2565) สื่อสารเป็นสาคัญ โดยเฉพาะผู้นาชุมชนถือเป็น ก า ร แ บ่ ง ปั น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ท่ อ ง เท่ี ย ว ผ่ า น ส่ื อ สื่อบุคคลท่ีสาคัญมาก เนื่องจากเป็นสื่อที่มี อินเทอร์เน็ต ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Face ศักยภาพในการโน้มน้าวใจให้ชุมชนเกิดการมี book, Weblog, Page โดยสลับจากผู้รับสาร ส่วนร่วมในกระบวนการส่ือสารได้อย่างดี ส่ือที่ใช้ เป็นผู้ส่งสารสอดคล้องกับ เย็นจะบก (2552) ที่ มีหลากหลาย ซึ่งเป็นส่ือผสมระหว่างส่ือดั้งเดิม พบว่าสื่อที่เหมาะสมเพ่ือใช้ในการประชาสัมพันธ์ กับส่ือใหม่ สอดคล้องกับ ฐิติยาภรณ์ (2553) ได้แก่เว็บไซต์ และป้ายโฆษณา โดยมีต้นทุนของ พบว่า การสื่อสารของชุมชนมีบทบาทสาคัญใน พ้ืนท่ี ได้แก่ วิถีชีวิตของชาวบ้านบริเวณป่าชาย การสร้างจิตสานึกอนุรักษ์ธรรมชาติและตอกย้า เลน รวมถงึ ทรพั ยากรธรรมชาตปิ ่าชายเลนท่ีอุดม การส่ือสารแบบมีส่วนร่วม เป็นผลมาจากการใช้ สมบูรณ์ และยังสอดคล้องกับ สุทธิวรเศรษฐ์ สื่อบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพในการสื่อสารระดับ (2557) ที่ระบุว่าการบริหารงานที่เป็นความ ตา่ ง ๆ และการใช้รูปแบบการสื่อสารท่ีสอดคล้อง ร่วมมือกันระหว่างเจ้าของตลาด ผู้ค้าในตลาด กับบริบทของชุมชน ผู้นาชุมชนและพระ นามาสู่เอกลักษณ์ของตลาด น้าขวัญเรียมที่สร้างเพื่อดึงดูดนักท่องเท่ียว และ รูปแบบการสื่อสารระหว่างเครือข่ายกับ สร้างกระแสความสนใจในการมาท่องเท่ียวด้วย นักท่องเท่ียวสามารถอภิปรายได้ว่าส่ือที่ใช้ในการ การทาการส่ือสารการตลาดผ่านสื่อต่าง ๆ ส่ือสารระหว่างเครือข่ายกับนักท่องเที่ยวมีทั้งสื่อ โดยเฉพาะอย่างย่ิงจากการบอกต่อในส่ือสังคม บุคคล ส่ือมวลชน ส่ืออนิ เทอร์เน็ต และส่ือเฉพาะ ออนไลน์ช่วยขยายเนื้อหาออกไปในพื้ นที่ กิจ โดยรูปแบบการสื่อสารที่ปรากฏสามารถแบ่ง ส่ือมวลชนอื่น ๆ ที่นามาสู่การมาท่องเที่ยว และ ออกเป็น 3 รูปแบบคือรูปแบบการส่ือสารทาง ท่องเท่ียวซ้า เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่าง เดียว รูปแบบการส่ือสารสองทาง และรูปแบบ ยัง่ ยืนตอ่ ไป การส่ือสารแบบมีส่วนร่วมซึ่งการรับรู้ข้อมูล ข่าวสารของนักท่องเที่ยวด้านศักยภาพแหล่ง ขอ้ เสนอแนะ ท่องเท่ียว กิจกรรมท่องเท่ียวมีการสื่อสาร 1. ข้อเสนอแนะในเชงิ นโยบาย ลักษณะผสมผสานระหว่างสื่อดั้งเดิมกับส่ือใหม่ หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องกับการส่งเสริม รว ม ถึ งก ารมี ส่ ว น ร่ ว ม ใน ก าร ดู แ ล รัก ษ า ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศของชุมชน และพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรีท่ีมีการ บ้านท่าสอนกับชุมชนบ้านบางชันสอดคล้องกับ จั ด ก า ร ท่ อ ง เท่ี ย ว เ ชิ ง นิ เว ศ ใ น ชุ ม ช น ท้ อ ง ถ่ิ น บัวบางพลู (2559) ที่กล่าวว่า การสงวนรักษา สามารถนาผลการวิจัยในส่วนที่เก่ียวข้องไปใช้ ฟ้ืนฟู ควบคุมดูแลทรัพยากรในระบบนิเวศให้คง เป็ น แ น ว ท างใน ก ารส่ งเส ริม พั ฒ น าก าร สภาพไว้โดยทรัพยากรการท่องเที่ยว มีความ ดาเนินงานด้านการท่องเที่ยว เพื่อยกระดับ จาเป็นต้องได้รับการจัดการด้านส่ิงแวดล้อม คุณภาพในการบริหารจัดการการทอ่ งเท่ียวให้เกิด ค ว บ คู่ ไป ด้ ว ย เพ่ื อ ส า ม าร ถ เป็ น ท รั พ ย า ก ร ก า ร ศักยภาพ และสร้างความพร้อมต่อการรองรับ ท่องเท่ียวได้นานท่ีสุด ส่วนนวัตกรรมการส่ือสาร นโยบายในการกระจายอานาจสู่ท้องถ่ินในเรื่อง ที่ชักนาให้มาท่องเที่ยว คือส่ือบุคคลด้านเพื่อน การจัดการการท่องเที่ยวของชุมชน การสร้าง ร่วมงานและเพื่อนสนิท เป็นลักษณะปากต่อปาก ภ า คี เค รื อ ข่ า ย ร ะ ดั บ ชุ ม ช น โ ด ย ห น่ ว ย ง า น ที่
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) เก่ียวข้องท้ังภาครัฐ ภาคเอกชนและชุมชนเข้ามา เด่นและสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถ่ิน มีส่วนรว่ มในการนาเสนอข้อมูลข่าวสาร และช่วย เปิ ด โอ ก าส ให้ ชุ ม ช น เข้ าม ามี ส่ ว น ร่ว ม ใน ในการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ กระบวนการส่ือสารมากขึ้น โดยมีการศึกษา และให้โอกาสชุมชนท่องเท่ียว รวมถึงชาวบ้านได้ ปฏิบัติด้วยตนเองเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการ มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการส่ือสารเพ่ือ ส่ือสารของชุมชน ให้ตื่นตัวต่อการแสวงหา เสริม ส ร้างศั กย ภ าพ แห ล่ งท่ องเท่ี ย วด้ว ย ความรู้จากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อสามารถ นวัตกรรมส่ือต่าง ๆ เพื่อพัฒ นาทักษะการ ถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับชุมชนท้องถ่ิน และ นาเสนอศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวในท้องถ่ินของ สั ง ค ม ภ า ย น อ ก ร ว ม ถึ ง นั ก ท่ อ ง เที่ ย ว อ ย่ า ง มี ตน ยังใหเ้ กิดประโยชนอ์ ย่างแทจ้ รงิ ประสิทธิภาพ มีการพัฒนาความรู้ ความสามารถ ศักยภาพในการผลิตสื่อของชุมชนเอง เป็นการ 2. ข้อเสนอแนะในการทาวิจยั สื่อสารเชิงรุก เพ่ือให้ชุมชนกาหนดรูปแบบและ ควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการส่ือสาร เนื้ อ ห าใน ก ารสื่ อ ส ารไป ยั งผู้ รับ ส ารห รือ ของชุม ชน เพ่ื อเสริมสร้างศักยภ าพ แห ล่ง นักท่องเที่ยวได้เอง และการประเมินศักยภาพ ท่องเท่ียวในพ้ืนที่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศอื่น ๆ ท่ี ตนเองอย่างสม่าเสมอ อันจะส่งผลต่อการพัฒนา มีรูปแบบและกิจกรรมการท่องเท่ียวท่ีแตกต่าง อยา่ งยัง่ ยืน เพ่ือนามาเปรียบเทียบหาแนวทางการเสริมสร้าง ศักยภาพพ้นื ท่ีแหล่งท่องเท่ียวน้นั ให้เกิดความโดด References Bang Chan Subdistrict Administration Organization. (2561). Bang Chan Subdistrict. http://www.bangchan.go.th/ Search Buabangplu, P. (25 5 9 ). Development of teaching and learning management system through higher education network system [Unpublished master’s thesis]. Srinakharinwirot University. Chandra, S. (2003). Ecotourism and sustainable development. Rajat Publications. Chuchart, C. (2011). Tourism industry. Lanna Printing. Pangsuk, A. (2555). Comparative study of tourism industry development in Surat Thani and Nakhon Si Thammarat Provinces [Unpublished master’s thesis]. Krirk University. Suthiworaset, J. (2557). Communication for promoting tourism in the floating market in the sustainable central basin [Unpublished research report]. National Institute of Development Administration. Thitiyaporn, P. (2553). Sustainable tourism community communication: A case study of Khlong Lat Mayom floating market [Unpublished research report]. Thammasat University.
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีที่ 23 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2565) รูปแบบการจดั การสอ่ื สารการตลาดทอ่ งเที่ยวเชงิ วฒั นธรรมจังหวดั จนั ทบุรี อภิวรรณ ศิรนิ นั ทนา คณะนเิ ทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณี อาเภอเมอื ง จงั หวัดจันทบุรี 22000 Email: [email protected] สนั ดสุ ทิ ธิ์ บริวงษ์ตระกลู คณะนเิ ทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏราไพพรรณี อาเภอเมอื ง จังหวัดจันทบรุ ี 22000 อังศุมารนิ สุชัยรตั นโชค คณะนิเทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏราไพพรรณี อาเภอเมือง จังหวดั จนั ทบุรี 22000 จเร เถือ่ นพวงแกว้ คณะนเิ ทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏราไพพรรณี อาเภอเมอื ง จังหวดั จนั ทบรุ ี 22000 ตดิ ต่อผ้เู ขียนบทความที่ อภวิ รรณ ศิรนิ ันทนา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี อาเภอเมอื ง จังหวดั จนั ทบุรี 22000 Email: [email protected] วนั ท่ีรบั บทความ: 4 สิงหาคม 2564 วันท่แี ก้ไขบทความ: 4 เมษายน 2565 วันที่ตอบรบั บทความ: 1 พฤษภาคม 2565 บทคัดย่อ วัตถุประสงค์ ศึกษาพฤติกรรมการรบั ข้อมูลข่าวสาร และรูปแบบการจัดการสื่อการตลาดการท่องเท่ียว เชิงวัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี วิธีการวิจัย เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ระหว่างวิธีวิจัยเชิงปรมิ าณ และวิธีวิจัย เชิงคุณภาพ กลุม่ ตวั อยา่ งได้แกน่ ักทอ่ งเท่ียว จานวน 384 คน ผู้ใหข้ อ้ มลู สาคัญ ไดแ้ ก่ ผู้นาชมุ ชน ผู้นากล่มุ ทาง วัฒนธรรมในชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านด้านวัฒนธรรม ตัวแทนจากสถาบันการศึกษาในชุมชนและตัวแทนกลุ่ม การท่องเท่ียวชุมชน ผลการวิจัย นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมการรับข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จังหวัดจันทบุรี โดยส่วนใหญ่ติดตามส่ืออินเทอร์เน็ต ได้แก่ เว็บกูเกิ้ล โดยเปิดรับข่าวสาร 2-3 ครั้ง ต่อเดือน และระยะเวลาในการเปิดรับต่ากว่า 15 นาที เพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ รูปแบบการจัดการสื่อสาร การตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรีเป็นการท่องเที่ยวและพัฒนาการท่องเท่ียว บนฐานการจัดการ ทรัพยากรทางวัฒนธรรมและการใช้ทุนทางวัฒนธรรม เพ่ือให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยมีชุมชนเป็นกลไกในการ สร้างเน้ือหา และมีเครือข่ายสนับสนุนในเรื่องดาเนินการสื่อสารให้แก่ชุมชน นัยทางด้านทฤษฎี/นโยบาย มหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมการใช้ตัวแบบการจัดการสื่อสารการ ท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรีเป็นรูปแบบการจัดการสื่อสารการตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ใน จงั หวดั อ่นื ๆ คาสาคญั : การจดั การส่อื สาร การตลาด การท่องเที่ยวเชงิ วัฒนธรรม
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) Cultural Tourism Marketing Communication Management Model, Chanthaburi Province Apiwan Sirinantana Faculty of Communication Arts, Rambhaibarni Rajabhat University, Muang District, Chanthaburi 22000 Email: [email protected] Sandusit Brorewongtrakhul Faculty of Communication Arts, Rambhaibarni Rajabhat University Muang District, Chanthaburi 22000 Aungsumarin Suchairatanachoke Faculty of Communication Arts, Rambhaibarni Rajabhat University , Muang District, Chanthaburi 22000 Jaray Thuenphuangkaew Faculty of Communication Arts, Rambhaibarni Rajabhat University, Muang District, Chanthaburi 22000 Correspondence concerning this article should be addressed to Apiwan Sirinantana , Faculty of Communication Arts, Rambhaibarni Rajabhat University, Muang District, Chanthaburi 22000 Email: [email protected] Received date: August 4, 2021 Revised date: April 4, 2022 Accepted date: May 1, 2022 Abstract PURPOSES: To study the behavior of receiving information and marketing communication management model for cultural tourism in Chanthaburi Province. METHODS: It was a mixed method approach of quantitative and qualitative research methods. The sample group consisted of 384 tourists. Key informants were community leaders, community cultural experts, representatives from educational institutions in the community, and representatives of community tourism group. The tools used were questionnaires and interviews. RESULTS: The majority of tourists received cultural tourism information in Chanthaburi Province from the Internet, such as the Google web site, 2-3 times a month for news, with less than 15 minutes each in their free time. The marketing communication management model for cultural tourism in Chanthaburi Province was based on managing cultural resources and promoting the deployment of cultural capital to achieve economic value with the community as a mechanism for creating content with a support network for communicating with the community. THEORY/POLICY IMPLICATIONS: The Rambhaibarni Rajabhat University and other organizations could promote the Model as a model for cultural tourism marketing management in other provinces. Keywords: Communication management, marketing, cultural tourism
วารสารเกษมบณั ฑติ ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2565) บทนา สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งในดินและใน นา้ มสี ภาพภมู ิประเทศและภูมิอากาศท่ีเอื้ออานวย ก า ร ท่ อ ง เท่ี ย ว แ ล ะ อุ ต ส า ห ก ร ร ม มี ต่อการทาการเกษตร โดยเฉพาะการเพาะปลูก ความสาคัญต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งในด้าน ผลไม้ท่ีขึ้นชื่อของจังหวัด ได้แก่ ทุเรียน เงาะ เศรษฐกิจและสังคม โดยในแง่เศรษฐกิจน้ัน การ มังคุด ลางสาด และพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ท่ อ งเที่ ย ว ก่ อ ให้ เกิ ด ราย ได้ ใน รูป เงิน ต รา จังหวัดจันทบุรี มีแหล่งท่องเที่ยวท่ีน่าสนใจ ตา่ งประเทศ ซ่ึงจะช่วยในการปรับดุลการชาระเงิน มากมาย ได้แก่ ของประเทศ สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ น อ ก จ า ก น้ี ก า ร ส่ ง เส ริ ม ก ารท่ อ งเท่ี ย ว ใน ระดั บ 1. แหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติ เช่น ทอ้ งถ่ินก่อให้เกิดการกระจายตัวของนักท่องเท่ียวไป แหลมเสด็จ หาดเจ้าหลาว อา่ วคุ้งกระเบน อุทยาน ยังพ้ืนท่ีต่าง ๆ ซึ่งนามาสู่การจ้างงานและการสร้าง แห่งชาติน้าตกพลิ้วและอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌ อาชพี ทัง้ ในภาคการทอ่ งเทยี่ วโดยตรง และการจ้าง กฏู (นา้ ตกกระทงิ ) งานในภาคอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เกิดการกระจาย รายได้ไปสู่ชุมชนและท้องถ่ิน ซ่ึงในภาพรวมแล้ว 2. แหลง่ ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เช่น จะนาไปสกู่ ารสรา้ งความเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ บ้านพระยาวิสูตรโกษา (ฟัก สาณะเสน) อาคารพัก และความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ อาศัยและร้านค้าย่านท่าหลวง พระบรมราชานุ ในส่วนของภาคตะวันออก เมื่อปี พ.ศ. 2559 สาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ศาลากลาง มีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลักแสนล้าน โดย จังหวัดจันทบุรี (หลังเก่า) และอู่ต่อเรือสมเด็จพระ เป็นรายได้จากชาวต่างชาติร้อยละ 59 ส่วนใหญ่ท่ี เจ้าตากสนิ มหาราชค่ายเนนิ วง นิยมมาเที่ยวในภาคตะวันออกคือชาวจีน รัสเซีย อินเดีย และยุโรป จากการที่รัฐบาลมีแผนจะ 3. แหล่งท่องเท่ี ยวทางศาสนา เช่น พัฒนาการท่องเที่ยวภาคตะวันออกเพ่ือให้สอดรับ วัดพระแม่ปฏิสนธินิรมล ( โบสถ์วัดคาทอลิก) กบั ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern วดั ไผล่ ้อม (พระอารามหลวง) วัดจันทนาราม วัดใหม่ Economic Corridor (EEC) การท่องเท่ียวแห่ง เมอื งจนั ทบรุ ีและวดั โบสถ์เมอื ง ประเทศไทยสานักงานภาคตะวันออก มีแผนการ ทางานด้วยการรักษารายได้ในแต่ละเดือนให้อยู่ใน 4. แหล่งท่องเท่ียวทางเศรษฐกิจและ ระดับสม่าเสมอ ด้วยการเจาะกลุ่มคนทางาน สังคม เช่นตลาดพลอยถนนอัญมณี บ้านบางสระ ต่างชาติ กลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูง การขยาย และเมืองจนั ท์ในฤดูผลไม้ สินค้าและบริการเพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยว ซ้า ทั้งเร่ืองอาหารอร่อย อาหารพื้นถ่ินและอาหาร 5. แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น เพ่อื สุขภาพ ไปพร้อม ๆ กัน โบราณสถานค่ายเนินวง ศาลากลางจงั หวัดจนั ทบุรี หลังเก่า ถนนอัญมณี (ถ.ศรีจันทร์และตรอก จงั หวัดจันทบุรี ตั้งอยู่ในพ้ืนท่ีชายฝ่ังทะเล กระจ่าง) ศาลหลักเมืองจันทบุรี (ศาลเจ้าพ่อหลัก ภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นเมืองที่อุดม เมือง) ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (จันทบุรี) แหล่งโบราณคดีบ้านคลองบอน แหล่ง โบราณคดีบ้านคลองบอน พระพุทธบาทพลวง วัด
Kasem Bundit Journal Vol. 23 No. 1 (January – June 2022) พลับ และบ่อน้าศักดิ์สิทธ์ิวัดเขาสุกิม พุทธอุทยานวัด รา ไพ พ ร รณี จั งห วั ด จั น ท บุ รี แ ล ะ ไม่ เสี ย ชากใหญ่ วัดเขาพลอยแหวน วัดตะกาดเง้า วังสวน ค่าธรรมเนียมในการเข้าเย่ียมชม แต่วังสวนบ้าน บ้านแก้ว ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี และ แก้ว ยงั ไม่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมากนักอาจ อาสนวหิ ารแมพ่ ระปฏิสนธนิ ิรมล (วดั คาทอลิก) เน่ืองมาจากขาดการส่ือสารการตลาดท่องเที่ยวท่ี ชัดเจน หรือรูปแบบการจัดการส่ือสารการตลาด จากแหล่งท่องเที่ยวท้ังหมดนี้แสดงให้เห็น ท่องเทย่ี วยังไม่เหมาะสม จึงทาใหน้ กั ทอ่ งเท่ยี วรู้จัก ว่าจันทบุรีเป็นจังหวัดท่องเท่ียวท่ีสาคัญอีกแห่ง วงั สวนบา้ นแกว้ ไม่มากเทา่ ที่ควร หนึ่งของประเทศในปัจจุบัน (จังหวัดจันทบุรี, 2560) ค ณ ะ ผู้ วิ จั ย มี ค ว า ม ส น ใจ ศึ ก ษ า วิ จั ย เรื่ อ ง รูปแบบการจัดการสื่อสารการตลาดท่องเท่ียวเชิง สถานท่ีท่องเที่ยวท่ีน่าสนใจของจังหวัด วฒั นธรรมจังหวัดจันทบุรี เพ่ือท่ีจะได้ทราบข้อมูล จันทบุรีมีมากมาย โดยเฉพาะแหล่งท่องเท่ียวเชิง เก่ียวกับพฤติกรรมนักท่องเท่ียว และทราบรูปแบบ วฒั นธรรม ซ่ึงคาวา่ “การทอ่ งเทย่ี วเชิงวัฒนธรรม” สื่อสารการตลาดทางการท่องเท่ียวที่เหมาะสมกับ ถูกกาหนดขึ้นมาอย่างชัดเจนในการประชุมสภา สถานการณ์ของแหล่งท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม การโบราณสถานระหว่างประเทศ (International จังหวดั จันทบรุ ี ต่อไป Council on Monuments and Sites: ICOMOS) ท่ีเมอื งออกซ์ฟอร์ด ใน พ.ศ. 2512 หรือ วตั ถุประสงค์ของการวิจัย ค.ศ. 1969 (รัตนสุวงศ์ชัย, 2554) นับจากน้ันมี 1. ศึกษาพฤตกิ รรมการรับขอ้ มลู ขา่ วสารการ นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของการ ท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมไว้อย่างหลากหลายโดยมี ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจงั หวดั จันทบรุ ี รูปแบบเดียวกันคือ เป็นการท่องเที่ยวท่ีเกิดจาก 2. เพ่อื ศึกษารปู แบบการจดั การสื่อสาร ความต้องการและแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวที่จะ เรียนรู้วิถีชีวิตของคน ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี การตลาดท่องเทีย่ วเชงิ วัฒนธรรมจังหวดั จันทบรุ ี แหล่งท่องเท่ียวทางประวัติศาสตร์ อาหาร และ สินค้าท้องถิ่น จึงถือได้ว่าการท่องเท่ี ยวเชิง วิธีการวิจยั วัฒนธรรมนั้นเป็นเครื่องมือสาคัญในการสืบสาน ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed วัฒนธรรมของมนษุ ยใ์ ห้คงอยู่ (ครเู อยี่ ม, 2556) methods) ร ะ ห ว่ า ง วิ ธี วิ จั ย เ ชิ ง ป ริ ม า ณ สาหรบั วังสวนบ้านแก้ว เป็นอีกหนึ่งสถานท่ี (Quantitative research) และวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ท่องเท่ียวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถ่ิน (Qualitative research) และซ่งึ มขี ัน้ ตอนดงั นี้ ที่สาคัญของจังหวัดจันทบุรี ตั้งอยู่เลขท่ี 41 หมู่ 5 ตาบลท่าช้าง อาเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ในสมัยก่อน ระเบียบวิธีวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อท่ี 1 เป็นท่ีประทับของสมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พฤติกรรมการรับข้อมูลข่าวสารการท่องเท่ียวเชิง พระบรมราชินีในรัชกาลท่ี 7 ซึ่งประกอบไปด้วย วฒั นธรรมจังหวดั จันทบรุ ี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ตาหนักและอาคารหลายหลัง ปัจจุบันวังสวนบ้าน รวบรวมข้อมูล โดยใช้เคร่ืองมือแบบสอบถาม แก้วอยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยราชภัฏ (Questionnaires)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138