10. การวดั และประเมินผล เป้าหมาย หลักฐาน เครื่องมือวดั เกณฑก์ ารประเมิน - การถาม/ตอบ สาระสำคัญ -สามารถตอบคำถามได้ - การถาม/ตอบ อยา่ งถูกต้อง - องคป์ ระกอบทางเคมี - สมุด -สามารถตอบคำถามได้ ของ DNA อยา่ งถูกต้อง ผลการเรยี นรู้ - อธบิ ายและสรปุ การ - สมุด ถ่ายทอดยีนและ โครโมโซม การคน้ พบ สารพนั ธุกรรม โครโมโซมองค์ประกอบ ทางเคมีของดีเอน็ เอ และโครงสรา้ งของดเี อ็น เอ สมบัตขิ องสาร พนั ธุกรรม รวมทง้ั มิวเทชนั ได้ (ว 1.2 ม. 6/2) - ต้ังคำถามทอ่ี ยบู่ น พน้ื ฐานของความรแู้ ละ ความเข้าใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรอื จากประเด็น ท่เี กดิ ขึ้นในขณะนนั้ ท่ี สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรือศกึ ษา คน้ ควา้ ได้อย่าง ครอบคลุมและเช่ือถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลกั ษณะ - ใฝ่เรยี นรู้ - การเขา้ ช้นั เรยี น - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเข้าชน้ั เรียนสาย จำนวนคร้ังทีเ่ ขา้ เรียน ไมเ่ กิน 15 นาที และ จำนวนคร้ังทเี่ ข้าเรียน มากกว่า 80% - มุ่งม่นั ในการทำงาน - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรียน ได้อย่างถกู ตอ้ ง
แผนการจดั การเรียนรู้ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 รหัสวิชา ว31247 ชื่อรายวิชา ชวี วิทยา 2 ภาคเรยี นท่ี 2 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ ยนี และโครโมโซม เวลา 2 ชัว่ โมง แผนการเรียนร้ทู ่ี 12 เรอ่ื ง โครงสรา้ งของ DNA ผู้สอน นางสาวศรีอดุ ร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม ววิ ัฒนาการของส่งิ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยชี วี ภาพทีม่ ีผลกระทบต่อมนษุ ย์ และสง่ิ แวดล้อม มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจติ วทิ ยาศาสตร์ สอื่ สารส่ิงทีเ่ รยี นรู้และนำความรู้ไป ใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร์ในการสบื เสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา ร้วู ่าปรากฏการณท์ างธรรมชาตทิ เ่ี กิดขึ้นสว่ นใหญ่มรี ูปแบบท่ีแนน่ อน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได้ภายใต้ข้อมูลและเคร่ืองมอื ท่ีมีอยู่ในช่วงเวลานัน้ ๆ เขา้ ใจว่าวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่งิ แวดล้อมมคี วามเกย่ี วข้องสมั พนั ธ์กัน 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธบิ ายและสรุปการถ่ายทอดยนี และโครโมโซม การค้นพบสารพนั ธกุ รรม โครโมโซม องค์ประกอบทางเคมีของดเี อ็นเอ และโครงสรา้ งของดเี อน็ เอ สมบตั ขิ องสารพันธุกรรม รวมท้ังมิวเทชนั ได้ (ว 1.2 ม. 6/2) 2) ต้งั คำถามที่อยู่บนพนื้ ฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรือ จากประเดน็ ทีเ่ กดิ ข้นึ ในขณะน้นั ทสี่ ามารถทำการสำรวจหรอื ศกึ ษาคน้ ควา้ ได้อยา่ งครอบคลุมและเช่ือถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด DNA มีโครงสรา้ งเป็นเกลยี วคู่ประกอบด้วยสายพอลนิ วิ คลีโอไทด์ 2 สายวางขนานกลับทิศทางกนั มีลกั ษระบดิ เป็นเกลียวเวยี นขวา ตามเขม็ นาฬกิ าคล้ายบนั ไดเวียน แต่ละสายจับกันด้วยพันธะไฮโดรเจน ท่ี เกิดขน้ึ ระหว่างคเู่ บสทเ่ี ปน็ เบสคสู่ ม คอื A กับ T ด้วยพันธะไฮโดรเจน 2 พนั ธะ และ G กับ C ดว้ ยพนั ธะ ไฮโดรเจน 3 พนั ธะ 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ โครงสร้างของ DNA ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคดิ 3) ทักษะการเรยี นรู้ 4) ทักษะการแก้ปัญหา 5) ทกั ษะกระบวนการทำงานกลุ่ม
5. จุดประสงค์การเรยี นรู้ สืบคน้ ขอ้ มูล วเิ คราะห์อภปิ ราย อธิบายและสรปุ ผลการศึกษาของนกั วิทยาศ่าสตรท์ เ่ี กีย่ วกบั สว่ นประกอบทางเคมแี ละโครงสร้างของ DNA 6. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 1) ใฝ่เรียนรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพียง 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 4) มวี ินยั 7. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น 1) ความสามารถในการสอื่ สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น ครูทบทวนความรู้เดิมของนกั เรียนเกีย่ วกับการทดลองของชารก์ าฟฟ์ ทีส่ รปุ วาอัตราส่วนระหว่าง เบส A:T และ C:G คงที่เสมอเพ่อื เช่ือมโยงไปสู่การเรียนรเู้ ร่ือง โครงสร้างของ DNA ขนั้ จดั การเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขน้ั ตอนดังนี้ 1) ครูนำเสนอ PowerPoint ให้นักเรยี นดผู ลการศึกษาโครงสร้าง DNA ของวลิ คินสแ์ ละแฟ รงคลิน ที่ใชเ้ ทคนิคเอกซเ์ รยด์ ิฟแฟรกชันดว้ ยการฉายรงั สีเอกซ์ผา่ นผลึก DNA ทำใหเ้ กดิ การหกั เหของรังสี เอกซ์ เกดิ ภาพบนแผ่นฟลิ ม์ และให้นักเรยี นดูผลการศึกษาโครงสร้าง DNA ของวัตสนั และครกิ ทไี่ ด้เสนอ แบบจำลองโมเลกุลของ DNA โดยอธิบายใหน้ ักเรียนเข้าใจวา่ พันธะเคมีที่เช่อื มพอลนิ วิ คลโี อไทด์ 2 สายให้ ติดกนั เปน็ พนั ธะไฮโดรเจน ทีเ่ กิดระหว่างคู่เบส ซ่งึ พนั ธะเคมีน้ี สามารถยึดสายพอลินวิ คลีโอไทด์ 2 สายให้ เข้าคกู่ ันได้ 2) ครนู ำเสนอ power point รูปพนั ธะไฮโดรเจนระหวา่ งเบสท่เี ขา้ คู่กนั แลว้ ถามคำถามนกั เรยี น วา่ - แรงยดึ ระหว่างคเู่ บส A กบั T และ G กับ C ค่ใู ดมีความแข็งแรงมากกว่ากัน เพราะอะไร (แรง ยึดเหน่ียวระหวา่ งเบส C กบั G แขง็ แรงมากกวา่ เบส A กบั T เพราะระหว่างเบส C กบั G ยึดกันด้วย พันธะไฮโดรเจน 3 พนั ธะ แตเ่ บส A กบั T ยึดกันดว้ ยพนั ธะไฮโดรเจน 2 พันธะ) 3) ครูนำเสนอ power point รูปโครงสรา้ งของ DNA แล้วอธบิ ายใหน้ ักเรียนเขา้ ใจว่า วอตสนั และ คริกได้เสนอแบบจำลองโมเลกลุ ของ DNA วา่ ประกอบดว้ ยพอลินิวคลโี อไทด์ 2 สาย เบสในแตล่ ะสายของ DNA ท่เี ป็นเบสคูส่ มยึดกนั ด้วยพนั ธะไฮโดรเจน ซ่งึ จากการสังเกตผลการศึกษาของวตั สันและคริก นักเรียน ควรไดข้ ้อสรุปรว่ มกันวา่ - DNA ประกอบดว้ ยพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สาย โดยแตล่ ะสายมีทิศทางจากปลาย 5’ ไปยัง 3’ เรยี ง สลบั ทศิ ทางกนั
- มีการจับคกู่ ันอยา่ งจำเพาะ คือ เบส A จบั กบั เบส T ด้วยพันธะไฮโดรเจน 2 พนั ธะ และเบส C จบั กบั เบส G ด้วยพนั ธะไฮโดรเจน 3 พนั ธะ คล้ายขน้ั บนั ได - พอลินวิ คลีโอไทด์ 2 สาย พันกันบิดเป็นเกลียวค่เู วยี นขวา คลา้ ยบนั ไดเวียน โดยมนี ำ้ ตาลดอี อกซี ไรโบสจับกับหมฟู่ อสเฟตคล้ายราวบันได - เกลียวแต่ละรอบห่างกนั 34 oA และคู่เบสแต่ละคู่หา่ งกนั 3.4 oA ความหา่ งของแต่ละคู่เบส เปรยี บคลา้ ยกบั ความหา่ งของขั้นบันได และพอลนิ ิวคลโี อไทด์ 2 สายห่างกนั 20 oA 4) ครอู ธิบายให้นักเรยี นเข้าใจวา่ DNA มีนิวคลีโอไทด์ 4 ชนิด แต่จากการศกึ ษาพบว่าโครงสร้าง ของ DNA ประกอบดว้ ยนวิ คลีโอไทด์จำนวนมาก แสดงว่าโมเลกุลของ DNA มีความแตกตา่ งกนั ได้ เช่น ถา้ DNA ประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์ 2 โมเลกุลเรยี งต่อกัน จะสามารถเรียงลำดับเบสแตกต่างกนั ได้ 42 = 16 แบบ ดังนัน้ ถ้าโมเลกุลของ DNA ประกอบด้วยนิวคลโี อไทด์จำนวนมากจะทำให้มีการเรียงลำดบั เบส แตกตา่ งกนั มากดว้ ยเช่นกนั ทำใหเ้ กดิ รูปร่างของ DNA ได้อยา่ งหลากหลาย กจิ กรรมรวบยอด 1) ให้นกั เรยี นทำแบบทดสอบ Check Point 9 เพอื่ ทบทวนความรทู้ ่ีนกั เรยี นไดร้ บั จากการเรียน โดยใหน้ กั เรยี นตอบคำถามต่อไปนี้ - แรงยดึ ระหว่างคู่เบส A กบั T และ G กบั C คู่ใดมีความแข็งแรงมากกว่ากัน เพราะอะไร - โมเลกุลของ DNA ประกอบด้วยพอลินิวคลโี อไทด์ 2 สาย ถ้าสายพอลินิวคลีโอไทด์สายหนึง่ มี ลำดับเบส 5’ A C G T C A G 3’ พอลินวิ คลีโอไทดข์ องสายทีเ่ ปน็ คูเ่ บสกันจะมีลำดับเบสอย่างไร - DNA ท่ีประกอบดว้ ยนวิ คลีโอไทด์ 3 โมเลกลุ จะเรยี งลำดับนวิ คลโี อ-ไทด์ไดแ้ ตกต่างกันกแี่ บบ 2) ครูใหน้ กั เรยี นสง่ สมุด เพื่อตรวจสอบการบันทึกความร้ทู ่ีได้จากการเรยี นและการตอบคำถาม Check Point 9 หลังเลิกเรยี น 9. สือ่ และแหลง่ การเรยี นรู้ ส่ือ 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เร่ือง โครงสรา้ งของ DNA 2) หนังสือเรียน รายวชิ าเพ่ิมเตมิ ชวี วิทยา 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรียนรู้ 1) หนงั สือหรอื วารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ 3) อนิ เทอร์เนต็ google classroom
10. การวัดและประเมินผล เปา้ หมาย หลกั ฐาน เครอ่ื งมอื วดั เกณฑ์การประเมนิ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ สาระสำคัญ - แบบทดสอบ (check อยา่ งถกู ตอ้ ง point) - ทำแบบทดสอบ - โครงสรา้ งของ DNA - สมุด - การถาม/ตอบ (check point) ไดอ้ ยา่ ง - แบบทดสอบ (check ถูกตอ้ ง ผลการเรียนรู้ point) -สามารถตอบคำถามได้ อย่างถกู ตอ้ ง - อธบิ ายและสรุปการ - สมดุ - ความตรงต่อเวลาและ - ทำแบบทดสอบ จำนวนคร้ังทเี่ ขา้ เรยี น (check point) ไดอ้ ยา่ ง ถา่ ยทอดยีนและ ถกู ต้อง โครโมโซม การคน้ พบ - การเข้าชัน้ เรียนสาย ไมเ่ กนิ 15 นาที และ สารพันธุกรรม โครโมโซม จำนวนครง้ั ทเ่ี ข้าเรียน มากกวา่ 80% องค์ประกอบทางเคมีของ - สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถูกต้อง ดเี อ็นเอ และโครงสรา้ ง ของดีเอ็นเอ สมบตั ขิ อง สารพันธุกรรม รวมทัง้ มวิ เทชนั ได้ (ว 1.2 ม. 6/2) - ตัง้ คำถามทีอ่ ยู่บน พ้ืนฐานของความรแู้ ละ ความเขา้ ใจทาง วิทยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรือจากประเด็นที่ เกดิ ข้ึนในขณะน้นั ท่ี สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศกึ ษา ค้นควา้ ได้อยา่ ง ครอบคลุมและเชอ่ื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - ใฝเ่ รียนรู้ - การเข้าชนั้ เรียน - มุ่งมั่นในการทำงาน - ความสนใจในการเรยี น - การถาม/ตอบ
แผนการจดั การเรยี นรู้ รหสั วิชา ว31247 ชือ่ รายวชิ า ชีววทิ ยา 2 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ภาคเรยี นที่ 2 ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ ยนี และโครโมโซม แผนการเรยี นรู้ท่ี 13 เรอ่ื ง สมบัติของสารพนั ธกุ รรม (1) เวลา 2 ช่วั โมง ผู้สอน นางสาวศรอี ดุ ร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม วิวัฒนาการของส่งิ มชี วี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพท่ีมผี ลกระทบต่อมนษุ ย์ และส่ิงแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรแู้ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ สื่อสารส่งิ ท่เี รียนรู้และนำความรู้ไป ใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทีเ่ กิดข้นึ สว่ นใหญม่ รี ูปแบบที่แนน่ อน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบได้ภายใต้ข้อมลู และเคร่อื งมือที่มีอยู่ในชว่ งเวลานั้น ๆ เข้าใจวา่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิง่ แวดลอ้ มมีความเก่ยี วข้องสัมพนั ธ์กัน 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธิบายและสรุปการถา่ ยทอดยนี และโครโมโซม การคน้ พบสารพนั ธกุ รรม โครโมโซม องคป์ ระกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ และโครงสร้างของดีเอน็ เอ สมบัติของสารพันธุกรรม รวมท้งั มวิ เทชันได้ 2) ตัง้ คำถามที่อยบู่ นพน้ื ฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรือ จากประเด็นท่เี กดิ ข้นึ ในขณะนน้ั ท่สี ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรอื ศึกษาคน้ ควา้ ได้อยา่ งครอบคลมุ และเช่อื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด 1) การจำลอง DNA (DNA replication) พอลินิวคลีโอไทด์ 2 สายแยกออกจากกัน โดยการสลาย พันธะระหวา่ ง A กบั T และ G กับ C ทีละคู่ แลว้ พอลนิ ิวคลโี อไทด์แต่ละสายจะทำหนา้ ทีเ่ ป็นแมแ่ บบ (DNA template) สำหรบั การสร้าง DNA สายใหม่ ได้ DNA สายใหม่ที่เหมือนกับ DNA เดมิ ทุกประการ 2) การสงั เคราะห์ DNA สายใหม่ 2 สาย สายหนง่ึ จะสรา้ งต่อเน่อื งกนั เป็นเส้นยาว เรยี กว่า ลีดดิง สแตรนด์ (leading strand) สว่ นอกี สายหนง่ึ เป็นพอลิเพปไทดส์ ายสัน้ ๆ เรยี กว่า แลกกิงสแตรนด์ (lagging strand) โดยมเี อนไซมไ์ ลเกส (ligase) ทำหน้าทเ่ี ชื่อมต่อใหเ้ ปน็ สายยาว 4. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ 1) การสงั เคราะห์ DNA 2) การควบคุมลกั ษณะทางพันธกุ รรมของ DNA ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ทักษะการคิด 3) ทักษะการเรียนรู้ 4) ทกั ษะการแก้ปญั หา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกล่มุ
5. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) สบื ค้นข้อมูล อภิปราย และอธบิ ายกระบวนการจำลอง DNA 2) สืบค้นข้อมูล อภิปราย การควบคุมลกั ษณะทางพันธุกรรมของ DNA 6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1) ใฝ่เรยี นรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพียง 3) มุง่ มั่นในการทำงาน 4) มีวนิ ยั 7. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน 1) ความสามารถในการส่อื สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 8. กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันนำเข้าส่บู ทเรยี น 1) ครทู บทวนความรู้เดิมของนกั เรยี นเกย่ี วกบั โครงสร้างของ DNA และชนิดของนิวคลีโอไทด์ เพือ่ นำไปส่กู ารเรียนรู้ เรื่อง สมบัติของสารพนั ธุกรรม ขั้นจดั การเรยี นรู้ จดั กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มขี นั้ ตอนดงั น้ี 1) ครตู ง้ั คำถามถามนักเรยี น ดังน้ี - DNA ของสิง่ มชี ีวิตถา่ ยทอดจากรุ่นหนงึ่ ไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้อยา่ งไร (เม่ือมีการแบง่ เซลล์ ทำใหม้ ี การจำลอง DNA เพิ่มปริมาณเป็น 2 ชดุ โดยถา่ ยทอด DNA ชุดหนึง่ ใหล้ ูกรนุ่ ตอ่ ไป) - DNA ในรุ่นพ่อแม่และ DNA ในรุ่นลูกจำเป็นต้องเหมอื นกันหรอื ไม่ เพราะอะไร (DNA รุ่นพอ่ แม่ จำเป็นตอ้ งเหมือน DNA ลกู จึงจะสามารถถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมต่อไปได้) - การท่ี DNA ของรนุ่ ลูกจะเหมอื นกบั DNA ในรุน่ พอ่ แม่น้ันเกดิ ข้นึ ไดอ้ ยา่ งไร (การจำลอง DNA) 2) ครูนำเสนอ PowerPoint ให้นักเรยี นดูการจำลอง DNA จากการศึกษาของวอตสนั และคริก โดยต้ังคำถามถามนักเรยี น ดังน้ี - การสงั เคราะห์ DNA มีสง่ิ จำเป็นอะไรบา้ ง - การสังเคราะห์ DNA มขี ้ันตอนอย่างไร - ลำดบั เบสของ DNA ในแตล่ ะโมเลกลุ เปน็ อย่างไร 3) ให้นกั เรยี นศึกษาการจำลอง DNA จากการศึกษาของวอตสันและครกิ ในหนังสอื เรยี น รายวิชา เพมิ่ เติม ชวี วทิ ยา เลม่ 4 หนา้ 61-62 โดยนกั เรยี นควรได้ข้อสรุปรว่ มกันวา่ - การสงั เคราะห์ DNA จำเปน็ ต้องมีเอนไซม์ DNA พอลิเมอรเ์ รส ซง่ึ ทำหน้าที่เชือ่ มนวิ คลีโอไทดใ์ ห้ เป็นพอลนิ ิวคลีโอไทด์สายยาว โดยนิวคลโี อไทด์มี 4 ชนิด คือ นิวคลโี อไทด์ท่ีมเี บส A T C G และมี DNA เป็นสายแม่แบบ - ขั้นตอนการสังเคราะห์ DNA ประกอบด้วย * พอลินิวคลีโอไทด์ 2 สายของ DNA คลายเกลียว พนั ธะไฮโดรเจนทย่ี ึดระหว่างคู่เบสของทง้ั 2 สายจะสลายไป ทำให้พอลนิ ิวคลีโอไทด์ท้ัง 2 สายแยกออกจากกัน
* พอลินิวคลีโอไทดแ์ ต่ละสายทำหนา้ ทเี่ ปน็ สายแมแ่ บบ เพ่ือสงั เคราะห์พอลนิ ิวคลีโอไทด์สายใหม่ โดยเอนไซม์ DNA พอลเิ มอรเ์ รสนำนวิ คลโี อไทด์อิสระเข้าจับกับนวิ คลีโอไทด์ของสายแม่แบบที่มีเบสคู่สม กนั คือ เบส A จับคู่กับ T และเบส C จับคกู่ บั G * นวิ คลโี อไทด์ของพอลินวิ คลีโอไทดส์ ายใหม่จะเข้าคู่กบั นวิ คลโี อไทด์ของสายแมแ่ บบด้วยพันธะ ไฮโดรเจน - การสงั เคราะห์ DNA ทำให้มีการเพ่ิมโมเลกุลของ DNA จาก 1 เป็น 2 โมเลกลุ โดย DNA แต่ละ โมเลกลุ มพี อลินวิ คลีโอไทดส์ ายเดิม 1 สายและสายใหม่ 1 สาย การจำลอง DNA จึงเปน็ แบบกึง่ อนรุ ักษ์ 4) ครนู ำเสนอ power point ให้นักเรยี นดกู ารศกึ ษาของอารเ์ ธอร์ คอนเบริ ์ก ทีส่ งั เคราะห์โมเลกลุ ของ DNA ในหลอดทดลอง โดยเน้นให้นักเรียนเข้าใจหนา้ ท่ขี องเอนไซม์ DNA พอลิเมอร์เรสท่ีเปน็ ตวั เช่อื ม นวิ คลีโอไทด์แตล่ ะนวิ คลโี อไทดใ์ ห้เขา้ กันจนเป็นสายยาว แล้วใหน้ กั เรียนศกึ ษาผลการทดลองของคอน เบริ ก์ ในตารางที่ 16.4 ในหนงั สือเรยี นรายวิชาเพมิ่ เติม ชวี วทิ ยา เล่ม 4 หน้า 63 เพื่อให้นักเรยี น เปรยี บเทียบอัตราสว่ นของเบสใน DNA ท่ีสังเคราะห์ได้กบั DNA แมแ่ บบ ซ่ึงนักเรยี นควรไดข้ ้อสรุปรว่ มกนั ว่า อัตราส่วนของ A+T / C+G ใน DNA ท่ีสงั เคราะหไ์ ด้กับอัตราส่วนของ A+T / C+G ใน DNA แมเ่ บบ มี อตั ราส่วนใกลเ้ คียงกนั จึงเป็นไปไดว้ า่ DNA ทีส่ งั เคราะหไ์ ด้น่าจะประกอบด้วยจำนวนนวิ คลโี อไทด์ ใกลเ้ คยี งกับ DNA แมแ่ บบ และมีโครงสรา้ งคล้ายกับ DNA แมแ่ บบ 5) ครนู ำเสนอ power point การสงั เคราะห์ DNA โดยตง้ั คำถามถามนักเรียนวา่ การสังเคราะห์ DNA สายใหม่ทง้ั 2 สายเหมอื นหรอื แตกต่างกันอย่างไร แล้วใหน้ ักเรยี นศกึ ษาการสงั เคราะห์ DNA ใน หนังสือเรยี นรายวิชาเพ่ิมเติม ชวี วิทยา เล่ม 4 หน้า 63-64 ซ่งึ นักเรียนควรไดข้ ้อสรุปร่วมกันวา่ - DNA เกลยี วคูจ่ ะคลายเกลียวออกจากกนั DNA แมแ่ บบ 2 สายท่แี ยกออกจากกนั มที ิศทางจาก ปลาย 5’ ไปยงั ปลาย 3’ สวนทางกัน - DNA สายท่ีมีปลาย 3’ ไปยังปลาย 5’ จะเป็นแม่แบบในการสร้าง DNA สายใหม่จากทิศทาง 5’ ไปยงั 3’ อย่างตอ่ เน่ืองเปน็ สายยาว DNA สายใหม่น้ีเรยี กวา่ ลีดดิงสแตรนดใ์ หเ้ ปน็ สายยาว - DNA อกี สายหนึง่ ทีม่ ีปลาย 5’ ไปยังปลาย 3’ ไม่สามารถเป็นแมแ่ บบเพอ่ื สรา้ งสาย DNA จาก ทิศทางจากปลาย 3’ ไปยังปลาย 5’ ไดอ้ ยา่ งต่อเน่ือง การสร้าง DNA สายใหมจ่ งึ เป็นการสร้างสายสัน้ ๆ ทศิ ทางจากปลาย 5’ ไปยังปลาย 3’ และจะมีเอนไซม์ไลเกสเช่ือม DNA สายใหม่ท่เี ป็นสายส้ัน ๆ เข้า ดว้ ยกนั เป็นสายยาว เรียกว่า แลกกงิ สแตรนด์ 6) ครูอธบิ ายใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า โครงสรา้ งของ DNA ประกอบดว้ ยพอลนิ วิ คลีโอไทด์ 2 สาย ทม่ี ี ความยาวหลายลา้ นคูเ่ บส การเรยี งลำดับเบสมีความแตกต่างกนั หลายแบบ ทำให้ DNA แต่ละโมเลกุลมี ความแตกต่างกันทลี่ ำดบั และจำนวนของคเู่ บส ท้ังทม่ี ีเบสเพียง 4 ชนิด คอื A T C และ G แลว้ ถามคำถาม นกั เรียนวา่ ลำดบั เบสใน DNA เก่ียวขอ้ งกบั การแสดงออกทางพนั ธุกรรมหรือไม่ อยา่ งไร นกั เรียนร่วมกัน อภิปรายคำตอบของคำถาม โดยครยู ังไม่เฉลยคำตอบที่ถกู ต้อง 7) ครนู ำเสนอ power point การศึกษาของอนิ แกรมเกย่ี วกับโรคโลหิตจางชนิดซกิ เคิลเซลล์ โดย อธิบายให้นักเรียนเข้าใจวา่ การเปลี่ยนแปลงของ DNA ทำให้การสงั เคราะห์โปรตนี ฮีโมโกลบนิ ผิดปกติ คือ ลำดบั ของกรดอะมิโนส่วนหน่งึ ในสายบีตาของโมเลกุลฮโี มโกลบินต่างไปจากปกติ ทำใหเ้ ซลล์เม็ดเลือดแดง มีลักษณะเป็นรปู เคียว นำออกซเิ จนได้น้อยลง เกิดเป็นโรคโลหิตจางชนิดซกิ เคิลเซลลไ์ ด้ แสดงว่าลำดบั เบส บน DNA ทำหนา้ ที่ควบคุมลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสิง่ มีชีวติ โดยเม่อื ลำดับเบสของ DNA เปลี่ยนแปลง จะมีผลต่อการสงั เคราะหโ์ ปรตนี ทำให้ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมเปลยี่ นแปลงไปด้วย
กิจกรรมรวบยอด นกั เรยี นและครูรว่ มกนั อภิปราย โดยใช้แนวคำถามต่อไปน้ี - เอนไซม์ทที่ ำหนา้ ที่เช่อื มต่อ DNA สายสั้น ๆ ให้เป็นสายเดียวกนั คือ (เอนไซม์ไลเกส) - เพราะเหตุใดการสร้าง DNA สายใหม่จงึ ต้องมที ศิ ทางจากปลาย 5‘ไปยงั ปลาย 3’ เสมอ (เพราะ DNA พอลเิ มอเรสจะทำงานโดยทำหน้าทเ่ี ชอื่ มนวิ คลโี อไทด์ใหต้ อ่ กนั เป็นสายยาวจากปลาย 5’ ไปยงั ปลาย 3’) - การจำลอง DNA แบบกึง่ อนุรกั ษ์คืออะไร (การทำให้มีการเพม่ิ โมเลกลุ ของ DNA จาก 1 โมเลกุล เปน็ 2 โมเลกลุ โดย DNA แต่ละโมเลกุลมพี อลินิวคลีโอไทด์สายเดมิ 1 สาย และสายใหม่ 1 สาย) 9. สอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้ สือ่ 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เรือ่ ง สมบตั ิของสารพนั ธกุ รรม (1) 2) หนงั สือเรียน รายวิชาเพม่ิ เตมิ ชวี วิทยา 2 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรยี นรู้ 1) หนงั สือหรอื วารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ 3) อินเทอร์เน็ต google classroom 10. การวดั และประเมินผล เปา้ หมาย หลักฐาน เคร่อื งมือวัด เกณฑ์การประเมนิ สาระสำคัญ - การสังเคราะห์ DNA - สมุด - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ -การควบคมุ ลกั ษณะ อย่างถูกต้อง ทางพนั ธุกรรมของ DNA ผลการเรยี นรู้ - อธบิ ายและสรปุ การ - สมุด - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ ถา่ ยทอดยีนและ อย่างถูกต้อง โครโมโซม การคน้ พบ สารพันธุกรรม โครโมโซมองค์ประกอบ ทางเคมีของดเี อ็นเอ และโครงสรา้ งของดีเอ็น เอ สมบัติของสาร พันธุกรรม รวมทง้ั มวิ เทชนั ได้ (ว 1.2 ม. 6/2) - ตงั้ คำถามที่อยู่บน พน้ื ฐานของความรู้และ
เป้าหมาย หลักฐาน เครอ่ื งมือวัด เกณฑก์ ารประเมนิ ความเขา้ ใจทาง วิทยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรอื จากประเดน็ ทเี่ กิดขน้ึ ในขณะนนั้ ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศึกษา คน้ ควา้ ได้อยา่ ง ครอบคลุมและเชื่อถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - ใฝ่เรียนรู้ - การเข้าชั้นเรียน - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเขา้ ช้นั เรยี นสาย จำนวนครงั้ ทีเ่ ขา้ เรยี น ไม่เกิน 15 นาที และ จำนวนคร้ังทเ่ี ข้าเรียน มากกว่า 80% - มุ่งมัน่ ในการทำงาน - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรียน ได้อย่างถูกต้อง
แผนการจัดการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4 รหสั วิชา ว31247 ชือ่ รายวชิ า ชวี วทิ ยา 2 ภาคเรียนท่ี 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ ยนี และโครโมโซม เวลา 2 ช่วั โมง แผนการเรยี นรทู้ ี่ 14 เร่อื ง สมบัติของสารพันธกุ รรม (2) ผู้สอน นางสาวศรีอดุ ร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวฒั นาการของสง่ิ มีชวี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพท่ีมีผลกระทบต่อมนุษย์ และสง่ิ แวดลอ้ ม มีกระบวนการสบื เสาะหาความรแู้ ละจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารส่งิ ทเ่ี รยี นรแู้ ละนำความรู้ไป ใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รวู้ ่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ่เี กดิ ข้ึนส่วนใหญม่ รี ูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใต้ข้อมลู และเครอื่ งมอื ที่มีอยู่ในช่วงเวลานัน้ ๆ เข้าใจวา่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสง่ิ แวดลอ้ มมคี วามเกยี่ วข้องสมั พนั ธก์ นั 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธิบายและสรุปการถ่ายทอดยนี และโครโมโซม การค้นพบสารพันธกุ รรม โครโมโซม องค์ประกอบทางเคมีของดเี อ็นเอ และโครงสร้างของดีเอ็นเอ สมบตั ิของสารพนั ธุกรรม รวมท้งั มวิ เทชันได้ (ว 1.2 ม. 6/2) 2) ต้งั คำถามท่ีอยูบ่ นพนื้ ฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรอื จากประเดน็ ท่ีเกดิ ขึน้ ในขณะน้ัน ที่สามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรอื ศึกษาค้นคว้าได้อยา่ งครอบคลมุ และเชื่อถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด 1) การสงั เคราะห์โปรตนี จาก DNA มี m-RNA ทำหน้าทน่ี ำรหัสขอ้ มูลทางพันธกุ รรมจาก DNA ใน นวิ เคลยี สมายังไรโบโซมในไซโทพลาซมึ เพื่อใหส้ งั เคราะหโ์ ปรตีน เรียกกระบวนการถอดรหัส DNA ใหเ้ ปน็ สาย m-RNA วา่ การถอดรหัสหรือทรานสครปิ ชนั (transcription) 2) การเรยี งลำดบั ของนิวคลโี อไทดช์ นิดต่าง ๆ ของ mRNA ทม่ี ี DNA เปน็ แม่แบบ จะเป็นตัว กำหนดการเรียงลำดบั ของกรดอะมโิ นทใ่ี ชใ้ นการสังเคราะห์โปรตนี ท่ีเรียกว่า รหัสพันธุกรรม (genetic code) 3) กระบวนการแปลรหสั (translation) เกดิ ข้ึนโดย tRNA ท่ที ำหน้าที่นำกรดอะมโิ นมาเรียงต่อ กนั ตามรหสั พันธุกรรมของ mRNA ได้เป็นสายพอลิเพปไทด์ท่ีสมบูรณ์ กลายเป็นโปรตนี ท่ีมคี วามเหมาะสม และพร้อมทำงานได้ตอ่ ไป 4. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ 1) การสงั เคราะห์ mRNA จาก DNA แม่แบบ 2) รหัสพันธุกรรม 3) การสังเคราะหโ์ ปรตนี ท่ีไรโบโซม
ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทักษะการคิด 3) ทักษะการเรยี นรู้ 4) ทักษะการแก้ปัญหา 5) ทกั ษะกระบวนการทำงานกลุ่ม 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) สืบคน้ ข้อมลู อภปิ ราย และอธบิ ายกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน 2) สบื คน้ ข้อมูล วเิ คราะห์ อภิปราย เปรยี บเทยี บ และสรุปการสงั เคราะห์ DNA กบั การสังเคราะห์ mRNA 3) วิเคราะห์ อภิปราย และเปรียบเทยี บการสงั เคราะห์โปรตีนของโพรคาริโอตและยคู าริโอต 6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1) ใฝ่เรียนรู้ 2) มุง่ มัน่ ในการทำงาน 7. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 1) ความสามารถในการสอื่ สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ นำเข้าส่บู ทเรยี น 1) ครูทบทวนความรู้เดมิ ของนกั เรยี นเก่ยี วกบั โครงสรา้ งของ DNA ท่นี กั เรียนได้เรยี นรู้มาแล้ว แล้ว อธบิ ายว่ากรดนวิ คลอี ิกท่ีอยู่ในเซลลม์ ีทั้ง DNA และ RNA ซึง่ มีลกั ษณะแตกต่างกัน 2) ครนู ำเสนอ PowerPoint แสดงโครงสรา้ งของ DNA และ RNA แล้วตง้ั คำถามถามนักเรยี น ดังนี้ - RNA มโี ครงสร้างแตกต่างจาก DNA อยา่ งไร 3) นักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายคำตอบของคำถาม ในรูปแบบของตารางเปรยี บเทยี บ โดยควรได้ ข้อสรุปรว่ มกนั ดังน้ี เพอ่ื เชอื่ มโยงไปสูก่ ารเรยี นรู้ เรอื่ ง สมบัตขิ องสารพนั ธุกรรม (2) ข้อเปรยี บเทียบ DNA RNA จำนวนพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สาย 1 สาย โครงสรา้ ง บิดเป็นเกลียว ไม่บิดเปน็ เกลียว ชนดิ ของเบส อะดีนนี กวานนี ไทมนี อะดนี ีน กวานนี ยรู าซิล และไซโทซนี และไซโทซีน ชนดิ ของนำ้ ตาล ดีออกซีไรโบส ไรโบส
ขัน้ จัดการเรยี นรู้ จดั กิจกรรมการเรียนร้โู ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซง่ึ มขี น้ั ตอนดังนี้ 1) ครูนำเสนอ PowerPoint แสดงตำแหน่งท่ีอยขู่ อง DNA ในนิวเคลียส แล้วอธบิ ายใหน้ กั เรยี น เข้าใจว่า DNA อยู่ในนิวเคลียส แต่เอนโดพลาสมิกเรตคิ ลู ัมแบบผิวขรุขระ ซ่ึงมไี รโบโซมทท่ี ำหนา้ ที่ สงั เคราะหโ์ ปรตีนอยู่ในไซโทพลาซมึ แล้วตัง้ คำถามถามนกั เรียนดงั นี้ - DNA สามารถควบคุมการสังเคราะห์โปรตนี ในไซโทพลาซึมได้อย่างไร - เปน็ ไปไดห้ รือไมว่ า่ DNA สง่ สารบางอยา่ งออกมาเพ่ือควบคุมการสงั เคราะหโ์ ปรตีนในไซโทพลา ซมึ - สารที่ DNA ส่งออกมานัน้ คืออะไร รบั คำสง่ั จาก DNA ได้อยา่ งไร และมีกระบวนการสังเคราะห์ โปรตนี ได้อย่างไร 2) นกั เรียนรว่ มกันอภิปรายคำตอบของคำถาม โดยใหส้ ืบค้นขอ้ มลู สมมติฐานของจาค็อปและ โมนอด จากการสบื คน้ ข้อมลู นักเรียนควรได้ขอ้ สรุปรว่ มกันว่า mRNA เปน็ สารตวั กลางที่นำขอ้ มูลทาง พนั ธุกรรมจาก DNA เกี่ยวกบั การสังเคราะหโ์ ปรตนี มายงั ไรโบโซมทอ่ี ยู่ในไซโทพลาซึม ซึ่งเปน็ บรเิ วณทมี่ ี การสังเคราะหโ์ ปรตนี แล้วครสู รุปใหน้ ักเรียนเข้าใจร่วมกันวา่ กระบวนการสังเคราะหโ์ ปรตนี ประกอบดว้ ย ขัน้ ตอน 2 ขัน้ ตอน คือ การสังเคราะห์ RNA จาก DNA และการสงั เคราะหโ์ ปรตีนในไรโบโซม 3) ครอู ธิบายใหน้ ักเรยี นเข้าใจว่า การสงั เคราะห์ mRNA จาก DNA แม่แบบจะคลา้ ยกับการ จำลอง DNA แต่การสังเคราะห์ mRNA จะใช้ DNA เพียงสายเดยี วเปน็ แม่แบบ แลว้ ตั้งคำถามถามนักเรยี น ดังนี้ - การสงั เคราะห์ mRNA มขี ั้นตอนอย่างไรบา้ ง - RNA พอลเิ มอร์เรสมีบทบาทอย่างไรในการสังเคราะห์ mRNA - กระบวนการสงั เคราะห์ mRNA จาก DNA แม่แบบ เรียกวา่ กระบวนการอะไร นักเรียนร่วมกันอภิปรายคำตอบของคำถาม โดยครูยังไมเ่ ฉลยคำตอบที่ถูกตอ้ ง 4) ครูนำเสนอ PowerPoint การสังเคราะห์ mRNA ข้ันเริ่มตน้ ขัน้ การต่อสายยาว และข้ันสน้ิ สุด โดยนกั เรียนควรไดข้ ้อสรปุ ร่วมกนั ดังนี้ - เอนไซม์ RNA พอลเิ มอร์เรสจะไปจับกับ DNA บริเวณทจี่ ะสังเคราะห์ mRNA - DNA 2 สายคลายเกลียวออกจากกัน โดยมี DNA สายหนง่ึ เปน็ แม่แบบ - นวิ คลโี อไทดท์ ม่ี เี บสค่สู มจะเข้าไปจับกบั เบสของสายแม่แบบ โดยนิวคลโี อไทด์ท่ีมีเบสคู่สมจะ เชือ่ มต่อกันเป็นสายยาวมที ิศทางจากปลาย 5’ ไปยงั ปลาย 3’ ซง่ึ สลบั ทศิ ทางกบั สาย DNA แม่แบบ จนได้ mRNA - mRNA แยกออกจาก DNA ไปยงั ไรโบโซม เพอ่ื สงั เคราะห์โปรตีนตอ่ ไป 5) ครสู รุปให้นกั เรยี นเขา้ ใจร่วมกนั ว่า RNA พอลเิ มอเรสมีบทบาทในการสังเคราะห์ mRNA คอื ทำใหพ้ อลนิ วิ คลีโอไทด์ทัง้ 2 สายแยกออกจากกนั และเช่ือมนิวคลีโอไทด์ต่อกันเปน็ สาย mRNA โดย ทศิ ทางการสังเคราะห์ mRNA จะสงั เคราะหจ์ ากปลาย 5’ ไปยังปลาย 3’ เรียกกระบวนการสังเคราะห์ mRNA น้ีว่า การถอดรหัส (transcription)
6) ครใู หน้ ักเรยี นเปรียบเทยี บกระบวนการสงั เคราะห์ DNA และกระบวนการสังเคราะห์ mRNA ในรปู แบบของตาราง ซ่ึงนักเรียนควรไดข้ ้อสรปุ รว่ มกนั ดังน้ี กระบวนการสังเคราะห์ DNA กระบวนการสังเคราะห์ mRNA 1.ใช้พอลนิ วิ คลโี อไทดเ์ ป็นแม่แบบท้งั 2 สาย 1.ใช้พอลนิ ิวคลีโอไทด์ทเี่ ป็นแม่แบบสายเดยี ว 2.ใชเ้ อนไซมพ์ อลิเมอรเ์ รสในการสังเคราะห์ 2.ใช้เอนไซม์ RNA พอลเิ มอเรสในการสงั เคราะห์ 3.ใชด้ อี อกซีไรโบนวิ คลโี อไทด์ทป่ี ระกอบด้วยเบส 3.ใชไ้ รโบนวิ คลโี อไทด์ทป่ี ระกอบด้วยเบส 4 ชนิด 4 ชนิด คือ A T C G คอื A U C G 4.ผลผลิตได้ DNA สายใหม่ 2 สาย 4.ผลผลติ ได้ mRNA สายเดียว 7) ครูนำเสนอ PowerPoint ภาพจำลอง RNA ชนิดตา่ งๆ แลว้ อธิบายให้นกั เรียนเข้าใจวา่ นอกจาก mRNA ที่ทำหนา้ ท่ีนำรหัสการสร้างโปรตีนจาก DNA ไปยังไรโบโซมแลว้ ยงั มี RNA อีก 2 ชนดิ ซงึ่ เกิดอยู่ในนิวเคลียสเหมือนกนั คือ tRNA ทท่ี ำหน้าท่นี ำกรดอะมิโนท่สี อดคล้องกับรหสั การสร้างโปรตนี บน สาย mRNA มาต่อกันเป็นสายพอลเิ พปไทด์ และ rRNA ทเี่ ป็นองค์ประกอบของไรโบโซม ซงึ่ ทำหนา้ ทใ่ี น กระบวนการสังเคราะหโ์ ปรตีนอีกด้วย 8) ครูเน้นให้นักเรยี นเขา้ ใจว่าลำดับนิวคลีโอไทด์ในสาย DNA และ RNA เรยี กวา่ ลำดับเบส โดย ลำดับเบสของ DNA จะกำหนดลำดบั เบสของ mRNA และลำดับเบสของ mRNA จะกำหนดชนิดและการ เรยี งตวั ของกรดอะมโิ น เพื่อสังเคราะหโ์ ปรตนี ซ่งึ เรยี กว่า รหสั พนั ธุกรรม (genetic code 9) ครูให้นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม เพื่อหาว่าถา้ รหสั พนั ธกุ รรม 1 รหสั ประกอบดว้ ย 2 นิวคลีโอไทด์ จะได้ รหัสพันธุกรรมกร่ี หัส นกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายและออกแบบรหสั พนั ธกุ รรม โดยครูทำหนา้ ทีส่ รุปผลการ อภิปราย โดยได้ข้อสรปุ ร่วมกัน ดังนี้ AA AT AC AG CC CA CT CG GG GA GT GC TT TA TC TG ถา้ 1 รหสั พันธกุ รรมประกอบดว้ ยเบส 2 โมเลกลุ เรียงกัน เปน็ รหสั ของกรดอะมโิ น 1 ชนิด จะ จัดเรยี งได้ 42 = 16 รหสั ซ่ึงไม่เพยี งพอต่อกรดอะมโิ นทัง้ 20 ชนิด แล้วครอู ธิบายใหน้ ักเรียนฟังวา่ ถ้ารหสั พันธุกรรม 1 รหสั ประกอบดว้ ย 3 นวิ คลโี อไทด์ จะได้ รหสั 43 = 64 รหสั ซงึ่ เพียงพอต่อ จำนวนกรดอะมิโน โดยเรยี กรหสั พันธกุ รรม 1 รหัสทป่ี ระกอบดว้ ย 3 นวิ คลโี อไทดน์ วี้ า่ โคดอน (codon) 10) ครูนำเสนอ PowerPoint แสดงรหัสพนั ธุกรรมทัง้ 64 รหัสในรปู แบบของตาราง แล้วถาม คำถามนักเรียน ดงั นี้ - รหัสพนั ธกุ รรมกี่รหสั ทก่ี ำหนดกรดอะมิโน 20 ชนดิ - รหสั ใดบา้ งที่ไม่กำหนดกรดอะมโิ น นักเรียนรว่ มกันอภิปรายคำตอบ โดยไดข้ ้อสรปุ ร่วมกันว่า รหัสพันธกุ รรมทกี่ ำหนดกรดอะมโิ น 20 ชนิด มเี พียง 61 รหัสเท่านน้ั ท่ีกำหนดกรดอะมิโนในกระบวนการสังเคราะห์โปรตนี ส่วนรหัสพันธกุ รรมอีก 3 รหสั ไดแ้ ก่ UAA UAG และ UGA จะไม่กำหนดกรดอะมิโน แตเ่ ปน็ รหัสหยุดการสังเคราะหโ์ ปรตีน 11) ครูนำเสนอ PowerPoint แสดงกระบวนการสังเคราะห์โปรตนี ทีไ่ รโบโซม ใหน้ ักเรียนร่วมกนั อภิปรายและสรุปขัน้ ตอนการสงั เคราะห์โปรตนี อีกครงั้ หน่ึง แล้วต้งั คำถามถามนักเรยี นดังน้ี
- สาย mRNA 1 สาย สามารถสงั เคราะห์พอลเิ พปไทด์พรอ้ มกนั ไดห้ ลายสายหรือไม่ (การ สงั เคราะห์พอลิเพปไทดส์ ามารถเกิดขน้ึ พร้อมกันไดห้ ลายสายพร้อมกนั โดยไรโบโซมจะมาเกาะกบั mRNA ไดห้ ลาย ๆ ไรโบโซม เรียก mRNA ท่ีเกดิ นวี้ า่ พอลิไรโบโซมหรอื พอลิโซม) - สิง่ ทใี่ ช้ในกระบวนการสังเคราะหโ์ ปรตีนมอี ะไรบ้าง (DNA mRNA tRNA ไรโบโซม กรดอะมิโน และเอ็นไซม์) - tRNA มบี ทบาทอย่างไรในการสังเคราะหโ์ ปรตีน (tRNA จะนำกรดอะมิโนท่ตี รงกบั โคดอนของ mRNA) - การสงั เคราะหโ์ ปรตีนของโพรคารโิ อตแตกต่างจากยูคาริโอตหรือไม่ อยา่ งไร (การสงั เคราะห์ โปรตีนของโพรคารโิ อตท้งั กระบวนการถอดรหสั และการแปลรหัสเกดิ ในไซโทพลาซึมเพราะไม่มีเย่ือหุ้ม นิวเคลยี ส สว่ นยูคาริโอตการถอดรหสั เกดิ ในนิวเคลียส แต่การแปลรหสั เกิดในไซโทพลาซึม) 12) ครูให้นักเรียนเชอ่ื มโยงความร้ทู ไี่ ดเ้ รยี นรู้มาแล้วกบั ความรู้เดมิ วา่ DNA ทำหนา้ ทส่ี ังเคราะห์ โปรตนี แลว้ โปรตนี ท่สี รา้ งขนึ้ นไี้ ปทำหนา้ ท่ีอะไรบา้ ง นกั เรียนร่วมกันตอบคำถามซงึ่ สามารถตอบได้ หลากหลาย เช่น โปรตนี เฮโมโกลบนิ ชว่ ยขนสง่ ออกซเิ จน โปรตนี ทีเ่ ป็นเอนไซมห์ รือฮอร์โมนต่าง ๆ และ คลอลาเจนและเคอราทนิ ท่เี ป็นโปรตีนในผิวหนงั และขน เป็นต้น กจิ กรรมรวบยอด 1) นกั เรียนและครรู ว่ มกันอภิปราย โดยใช้แนวคำถามต่อไปนี้ - ถ้าโคดอนของ mRNA โมเลกลุ หน่งึ มลี ำดบั เบสดงั น้ี 5’ A U G C A C G G G U A U A U C U A A 3’ จงบอกลำดับเบสของแอนติโคดอนของ tRNA โดยเรยี งลำดบั แอนติโคดอนของ tRNA ทจี่ ะเข้าจบั สาย mRNA และลำดับของกรดอะมโิ นในสายพอลเิ พปไทด์ (ลำดบั เบสของแอนตโิ คดอน tRNA คอื UAC GUG CCC AUA UAG ส่วน UAA เปน็ โคดอนของรหสั หยุด จึงไม่มีลำดับเบสทเี่ ป็นแอนติโคดอน และ ลำดับของกรดอะมโิ นในสายพอลนิ วิ คลโี อไทด์ คอื Met His Gly Try Ile ส่วนรหสั UAA เปน็ รหสั หยุดการ สังเคราะห์โปรตนี ) - พอลิเพปไทดส์ ายหนึ่งมีลำดับกรดอะมโิ น ดงั นี้ Met-Pro-Lys-Val จงบอกลำดับเบสทอี่ าจ เป็นไปได้ของ mRNA ทีส่ รา้ งพอลเิ พปไทด์สายนี้ (เชน่ 5’ AUG CCA AAA GUG 3’) 2) ใหน้ ักเรยี นทำแบบทดสอบ Check Point 10 เพ่ือทบทวนความรทู้ ีน่ ักเรียนได้รบั จากการเรียน โดยให้นักเรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี - ในการสงั เคราะห์ mRNA มีทศิ ทางจากปลาย 5’ ไปยังปลาย 3’ หรือจาก 3’ ไปยังปลาย 5’ - RNA polymerase มบี ทบาทอย่างไรในการสงั เคราะห์ mRNA - ถ้าลำดบั DNA แมแ่ บบมีลำดับเบส 3’ T A C G G C A T A T C G A 5’ ลำดับเบสของ mRNA ทส่ี ังเคราะห์ไดจ้ ะเป็นอย่างไร - mRNA tRNA และ rRNA แต่ละชนิดมหี นา้ ท่เี กย่ี วข้องกบั กระบวนการสังเคราะห์โปรตีนอย่างไร 3) ครใู ห้นกั เรียนส่งสมุด เพื่อตรวจสอบการบนั ทึกความรทู้ ่ีได้จากการเรียนและการตอบคำถาม Check Point 10 หลังเลิกเรียน 9. สือ่ และแหลง่ การเรียนรู้ ส่ือ 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เรอ่ื ง สมบตั ิของสารพันธุกรรม (2) 1) หนงั สือหรอื วารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ 3) อินเทอร์เน็ต google classroom
10. การวัดและประเมินผล เป้าหมาย หลกั ฐาน เครอื่ งมือวดั เกณฑก์ ารประเมนิ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ สาระสำคญั - แบบทดสอบ (check อย่างถูกต้อง point) - ทำแบบทดสอบ - การสงั เคราะห์ mRNA - สมุด - การถาม/ตอบ (check point) ไดอ้ ยา่ ง - แบบทดสอบ (check ถูกตอ้ ง จาก DNA แมแ่ บบ point) -สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถูกตอ้ ง - รหสั พันธุกรรม - ความตรงตอ่ เวลาและ - ทำแบบทดสอบ จำนวนครงั้ ท่ีเข้าเรยี น (check point) ได้อยา่ ง - การสงั เคราะห์โปรตนี ที่ ถูกตอ้ ง ไรโบโซม - การเขา้ ชนั้ เรยี นสาย ไม่เกนิ 15 นาที และ ผลการเรยี นรู้ จำนวนคร้งั ท่ีเข้าเรยี น มากกวา่ 80% - อธิบายและสรปุ การ - สมุด - สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถกู ตอ้ ง ถ่ายทอดยีนและ โครโมโซม การค้นพบ สารพนั ธุกรรม โครโมโซม องคป์ ระกอบทางเคมขี อง ดเี อ็นเอ และโครงสรา้ ง ของดีเอ็นเอ สมบตั ขิ อง สารพันธกุ รรม รวมทั้ง มิวเทชันได้ (ว 1.2 ม. 6/2) - ต้ังคำถามทอ่ี ยบู่ น พื้นฐานของความรแู้ ละ ความเข้าใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรือจากประเดน็ ท่ี เกดิ ขน้ึ ในขณะนั้น ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศึกษา ค้นควา้ ไดอ้ ยา่ ง ครอบคลุมและเชอ่ื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - ใฝ่เรยี นรู้ - การเข้าชน้ั เรยี น - มุง่ ม่ันในการทำงาน - ความสนใจในการเรียน - การถาม/ตอบ
แผนการจดั การเรยี นรู้ รหัสวชิ า ว31247 ชอื่ รายวิชา ชวี วิทยา 2 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ ยนี และโครโมโซม แผนการเรยี นรทู้ ี่ 15 เรอ่ื ง มิวเทชัน เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นางสาวศรอี ดุ ร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม วิวฒั นาการของสง่ิ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยชี วี ภาพที่มีผลกระทบต่อมนษุ ย์ และส่ิงแวดล้อม มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวทิ ยาศาสตร์ สอ่ื สารสง่ิ ท่ีเรียนร้แู ละนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา รวู้ า่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ีเ่ กิดข้นึ สว่ นใหญม่ รี ปู แบบท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมูลและเครือ่ งมือที่มอี ยู่ในชว่ งเวลาน้นั ๆ เขา้ ใจว่าวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่ิงแวดล้อมมคี วามเกย่ี วข้องสัมพันธก์ ัน 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธิบายและสรุปการถา่ ยทอดยีนและโครโมโซม การค้นพบสารพันธกุ รรม โครโมโซม องคป์ ระกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ และโครงสรา้ งของดีเอ็นเอ สมบตั ิของสารพันธุกรรม รวมทง้ั มิวเทชันได้ (ว 1.2 ม. 6/2) 2) ต้งั คำถามที่อยู่บนพ้ืนฐานของความรู้และความเขา้ ใจทางวิทยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรอื จากประเด็นทเี่ กิดขึ้นในขณะนน้ั ทีส่ ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรือศกึ ษาคน้ คว้าได้อยา่ งครอบคลุม และเชอ่ื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด 1) มวิ เทชนั (mutation) เปน็ การเปลยี่ นแปลงลำดบั และจำนวนของเบสใน DNA โดยเปน็ การ เปลีย่ นแปลงทเ่ี กิดกบั โครโมโซมซ่งึ มีผลทำให้ลักษณะหรือฟโี นไทป์ของสง่ิ มชี วี ิตเปลีย่ นไปและสามารถ ถา่ ยทอดลกั ษณะไปยังรุ่นต่อ ๆ ไปได้ 2) การเกิดมวิ เทชนั อาจเป็นการเกดิ มิวเทชันเฉพาะจดุ ซ่ึงประกอบดว้ ย การแทนทคี่ เู่ บส และการ เพิ่มขน้ึ หรือขาดหายของนวิ คลโี อไทด์ 3) ความผดิ ปกติท่ีเกิดจากมวิ เทชัน เช่น กลุ่มอาการครดิ ูชาต์ กล่มุ อาการดาวน์ กลุ่มอาการพาทัว ซินโดรม และกลมุ่ อาการเทอร์เนอร์ซนิ โดรม 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ 1) การเกิดมวิ เทชนั แบบการแทนท่ีคู่เบส 2) การเกิดมวิ เทชนั แบบการเพิ่มข้นึ หรือการขาดหายของนิวคลีโอไทด์ 3) อาการที่เกิดจากความผิดปกตขิ องโครโมโซม
ทักษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคดิ 3) ทกั ษะการเรยี นรู้ 4) ทกั ษะการแก้ปญั หา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกล่มุ 5. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1) อธิบายความหมายของมิวเทชนั และยกตัวอย่าง 2) สืบคน้ ข้อมูล อภิปราย และอธบิ ายสาเหตแุ ละผลของการเกิดมวิ เทชนั เฉพาะจดุ และมิวเทชนั ระดบั โครโมโซม 6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) ใฝ่เรียนรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพยี ง 3) มงุ่ มั่นในการทำงาน 4) มีวินยั 7. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 8. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นำเข้าส่บู ทเรยี น ครูสนทนากบั นักเรียนและนำเสนอ power point เกย่ี วกับลักษณะคนท่ผี ิดปกติทเี่ กดิ จาก พันธุกรรม เช่น ลักษณะผิวเผอื ก และกลุ่มอาการดาวน์ซนิ โดรม โดยใหน้ กั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายถึงลักษณะ ทีผ่ ิดปกตดิ ังกล่าว โดยนกั เรยี นควรไดข้ ้อสรุปร่วมกนั ว่า ลกั ษณะทเ่ี ปล่ียนแปลงไปเกิดจากการเปลี่ยนแปลง ของ DNA และโครโมโซม ซึ่งเป็นลกั ษณะทถ่ี ่ายทอดทางพันธกุ รรมได้ ขั้นจดั การเรียนรู้ จดั กจิ กรรมการเรยี นร้โู ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขน้ั ตอนดังนี้ 1) ครทู บทวนความรเู้ ดมิ ของนกั เรียนทไ่ี ด้เรยี นรมู้ าแลว้ โดยนำเสนอ power point แสดง โครงสร้างลำดบั กรดอะมิโนของเซลล์เมล็ดเลอื ดแดงทผี่ ดิ ปกติกบั เซลล์เม็ดเลอื ดแดงชนดิ ซกิ เคลิ เซลล์ ทีไ่ ด้ จากการศึกษาของอินแกรม แล้วถามคำถามนักเรยี นว่า - โครงสรา้ งกรดอะมิโนของเซลล์เมด็ เลือดแดงชนดิ ซิกเคลิ เซลลแ์ ตกตา่ งจากเซลลเ์ ม็ดเลือดแดง ของคนปกติอย่างไร (ลำดบั กรดอะมิโนสว่ นหนึ่งในสายบีตาของโมเลกลุ ฮีโมโกลบนิ ของคนปกตเิ ปน็ กรดก ลตู ามกิ สว่ นคนทีเ่ ป็นโรคโลหิตจางชนดิ ซิกเคลิ เซลลเ์ ปน็ วาลนี ) 2) ครูนำเสนอ power point แสดงการเกิดมิวเทชันเฉพาะจุดแบบการแทนที่คู่เบสทีเ่ ป็นสาเหตุ ทำใหเ้ กิดโรคโลหติ จางชนิดซิกเคิลเซลล์ แลว้ อธิบายให้นักเรียนเขา้ ใจวา่ การที่กรดกลตู ามกิ เปล่ียนแปลงไป อาจเกดิ จากความผดิ พลาดขณะที่ DNA จำลองตวั เอง ดังนนั้ เมอื่ DNA ทสี่ ังเคราะหม์ าไดถ้ า่ ยทอดรหัสให้ mRNA การแปลรหสั จาก mRNA จงึ ได้กรดอะมิโนทแ่ี ตกตา่ งไปจากเดิม การเกิดมิวเทชนั เฉพาะจุดแบบ การแทนท่ีค่เู บสในคนท่เี ป็นโรคโลหติ จางชนดิ ซกิ เคิลเซลล์จะมรี หสั พันธกุ รรมทเ่ี ปลย่ี นจาก CTC เปน็ CAC ทำให้กรดอะมโิ นเปลีย่ นจากกรดกลูตามิกเปน็ วาลีน แลว้ ถามคำถามดังน้ี
- กรดกลตู ามกิ ในสายบตี าของโมเลกุลฮีโมโกลบินเปลยี่ นเป็นวาลีนได้อยา่ งไร (ในการเกิดโรค โลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลลน์ นนั้ เป็นการเกดิ มิวเทชันเฉพาะจุด) - การเปลี่ยนแปลงของเบสในดเี อน็ เอเปน็ อย่างไร (ในการจำลอง DNA ครั้งแรก มทีการจับคูเ่ บส ผิดคู่ เบส G ควรจะจับคู่กับเบส C แต่ไปจับคู่กับเบส T แทน และเม่ือสายพอลิเพปไทด์ที่มีเบส T น้ีไป สร้างพอลินวิ คลีโอไทดส์ ายใหม่ เบส T จะไปจบั คู่กบั เบส A ทำให้ลำดบั ของเบสในสาย DNA เปล่ียนไป) - การเปล่ยี นแปลงที่เกิดข้ึนกับ DNA อาจมีผลต่อการเปลีย่ นแปลงรหสั พันธุกรรมและการ สังเคราะหโ์ ปรตีนอย่างไร (ถา้ DNA สายท่ีเกิดมวิ เทชนั ไปเป็นแม่แบบในการสร้าง mRNA กจ็ ะมีรหัสบน สาย mRNA ในตำแหนง่ ทเี่ กดิ มวิ เทชนั เปล่ยี นแปลง การแปลรหสั ในการสังเคราะห์โปรตีนจะไม่ได้ชนดิ ของ กรดอะมิโนเหมือนสายปกติ) 3) ครูอธบิ ายเพ่ิมเติมถงึ สาเหตขุ องการเกิดมวิ เทชนั เฉพาะจุดว่า เกดิ ข้ึนได้หลายสาเหตุ เชน่ เชน่ จากรงั สีอลั ตราไวโอเลต สารเคมีบางอย่าง เชน่ สารอะฟลาทอกซิน ซ่งึ มผี ลทำให้ DNA หรือยีน เปลยี่ นแปลงได้หลายลกั ษณะ การเปล่ยี นแปลงจะก่อให้เกดิ ผลต่อลกู หลาน ถา้ บริเวณที่เกิดมิวเทชนั นั้น ถ่ายทอดไปยังรุน่ ต่อไปได้ แล้วถามคำถามนักเรียนดงั นี้ - ถา้ DNA ทีเ่ ปน็ แม่แบบในการสรา้ ง mRNA ทมี่ ีลำดบั เบสเปน็ CUU UCU ACA AAA เกดิ มิวเท ชันเฉพาะจุดท่ีทำใหส้ าย mRNA มลี ำดับเบสเปน็ UUU UCU ACA AAA จะมีผลอย่างไรในระดบั พอลิเพป ไทด์และลักษณะของสิ่งมชี วี ติ (ทำให้กรดอะมโิ นในบริเวณมิวเทชัน คอื CUU ทเ่ี ปน็ รหสั พันธุกรรมของ กรดอะมโิ นลวิ ซีนเปล่ียนเป็น UU ซ่ึงเป็นรหสั พันธุกรรมอะมิโนฟนี ิลอะลานนี ทำใหล้ ำดับกรดอะมโิ น เปลยี่ นแปลงไปอาจมผี ลต่อลักษณะของส่ิงมีชีวติ ) - การเกิดมวิ เทชนั แบบการแทนทีค่ ู่เบสทำให้เกิดผลเสียเสมอไปหรือไม่ เพราะเหตใุ ด (ไม่เสมอไป เพราะถา้ การแทนท่ีคเู่ บสน้นั เปน็ รหัสทกี่ ำหนดกรดอะมโิ นชนิดเดยี วกัน) 5) ครูนำเสนอ power point เกย่ี วกบั การเกดิ เฟรมชิฟท์มิวเทชัน แล้วอธิบายใหน้ ักเรยี นเข้าใจ ว่า การเกิดมิวเทชันลักษณะนี้เป็นการเพ่ิมขึน้ หรือขาดหายไปของคูน่ ิวคลีโอไทด์ในบางตำแหนง่ ของยนี ซงึ่ จะแตกตา่ งจากการเกิดมิวเทชันแบบการแทนทค่ี ู่เบส ดังน้ี การแทนท่คี ่เู บส เฟรมชิฟท์มิวเทชัน มกี ารเปล่ยี นแปลงแทนท่ีค่เู บสในสายพอลนิ วิ คลโี อ มีการเพิ่มขึ้นหรือขาดหายของ 1 นิวคลโี อไทด์ ไทด์ของ DNA เชน่ A-T ถูกแทนที่ดว้ ย G-C หรอื มากกว่าในสายพอลินิวคลโี อไทด์ของ DNA มีผลทำใหเ้ ปลยี่ นแปลงเฉพาะบรเิ วณรหสั มผี ลทำให้รหัสพันธกุ รรมเปล่ียนแปลงไปจากเดมิ พนั ธุกรรมแต่ไม่ทำให้รหัสพันธุกรรมอ่ืน ๆ ลำดบั และชนิดของกรดอะมโิ นหลงั จากน้ีจะ เปลยี่ นแปลง เปลี่ยนแปลงไปดว้ ย อาจมผี ลหรือไมม่ ีผลต่อลกั ษณะของสง่ิ มชี วี ติ ก็ได้ สมบัติของพอลินิวคลีโอไทด์หรอื โปรตีนท่ไี ดจาก คอื การสังเคราะห์โปรตีนจะแตกต่างไปจากปกติ และ - ถา้ เกดิ การแทนที่คู่เบสในรหัสพันธกุ รรม มีผลต่อลักษณะของสิง่ มชี ีวิต รหัสเดียวกันอาจจะไม่มผี ลต่อการเปลย่ี นแปลง ชนิดกรดอะมิโน จงึ ไม่มผี ลตอ่ ลักษณะทาง พนั ธุกรรม - ถา้ ทำใหช้ นดิ ของกรดอะมโิ นเปล่ียนไป โปรตีนจะเปลี่ยนไปด้วย จะมีผลตอ่ การแสงด ลักษณะของสงิ่ มีชีวิต
6) ครเู นน้ ใหน้ ักเรียนเข้าใจวา่ มิวเทชนั เกิดได้ทั้งในเซลล์ร่างกายและเซลลส์ บื พันธุ์ โดยถา้ มวิ เทชัน เกิดขึน้ ในเซลล์สบื พันธจ์ุ ะสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ซึ่งในปัจจุบันการเกดิ มวิ เทชนั จากมนษุ ย์มี อัตราสูงกวา่ ทเี่ กดิ โดยธรรมชาติ โดยสิ่งท่กี อ่ ให้เกิดการกลายหรือมิวเทชนั ได้แก่ รงั สี ความร้อน และ สารเคมเี แลว้ ถามคำถามนกั เรียน ดังน้ี - ถ้าเกิดการเพ่ิมขนึ้ หรือขาดหายของ 3 นวิ คลโี อไทด์ทเี่ ป็นโคดอน จะเกิดความผดิ ปกติอย่างไร (ชนดิ ของกรดอะมโิ นในบรเิ วณดงั กลา่ วเปลยี่ นแปลงไป ถา้ เกดิ ลักษณะเชน่ นี้ 1-2 นิวคลโี อไทด์ มักจะมผี ล ต่อการเปลย่ี นแปลงในการทำงานของพอลเิ พปไทด์) - การเกิดมวิ เทชันเฉพาะจดุ ท่ีเกิดภายในเซลล์ สามารถสงั เกตด้วยกลอ้ งจุลทรรศนไ์ ดห้ รอื ไม่ (ไม่ได้ เพราะการเกิดมวิ เทชนั เฉพาะจดุ เป็นการเกิดในระดับยีน ซ่ึงตอ้ งตรวจสอบดว้ ยวธิ ีการหาลำดบั เบส) 7) ครอู ธบิ ายเกีย่ วกับการเกิดมวิ เทชันระดับโครงสรา้ งของโครโมโซม โดยนักเรยี นควรได้ขอ้ สรปุ รว่ มกันว่า การเกิดมิวเทชันระดับโครโมโซมมี 2 แบบ ดังน้ี - การเปลย่ี นแปลงด้านโครงสร้างของโครโมโซม ครูนำเสนอ power point เกี่ยวกับการ เปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งของโครโมโซม แลว้ อธิบายใหน้ กั เรียนฟงั ว่า เกดิ จากความผิดปกติในการแบ่งเซลล์ แบบไมโอซิส รังสตี ่าง ๆ หรอื สารเคมี ทำใหบ้ างสว่ นของโครโมโซมขาดหายไป แลว้ กลบั มาตอ่ ใหม่แต่กลบั หวั กลับหาง ทำใหย้ นี สลบั กนั หรือทำใหโ้ ครโมโซมเกินมาจากปกติ หรอื ทำใหเ้ กดิ การแลกเปลี่ยนชน้ิ สว่ น ของโครโมโซมต่างคู่กัน จากการเปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งของโครโมโซม ทำใหจ้ ำนวนของเบสและลำดบั ของ เบสเปล่ยี นแปลงไป ทำใหร้ หัสพันธุกรรมและการสังเคราะหโ์ ปรตนี เปลย่ี นแปลงไป เกิดการเปลย่ี นแปลง ของฟีโนไทป์ ทำใหเ้ กิดโรคต่าง ๆ เช่น กลุ่มอาการคริดูชาต์แลว้ ครูนำเสนอ power point เก่ยี วกบั ลกั ษณะอาการและคารโี อไทป์ของกล่มุ อาการคริดชู าต์ - การเปลีย่ นแปลงด้านจำนวนโครโมโซม มสี าเหตุมาจากการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสผดิ ปกติ คือ เกดิ ปรากฎการณ์นอนดิสจงั ชนั ครนู ำเสนอ power point แสดงการเกิดนอนดสิ จงั ชันของออโตโซมเม่อื แบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ แลว้ อธบิ ายใหน้ กั เรียนฟงั ว่า ปรากฎการณ์นอนดิสจังชัน เกดิ จากฮอรม์ อโลกัส โครโมโซมไมแ่ ยกออกจากกันในระยะแอนนาเฟส I หรอื โครมาทดิ ไมแ่ ยกออกจากกันในระยะแอนนาเฟส II ทำใหโ้ ครโมโซมหรือโครมาทิดเคลอ่ื นย้ายไปยังข้ัวของเซลล์ เซลล์สบื พันธท์ุ ไี่ ดจ้ ึงมีจำนวนโครโมโซมขาด หรอื เกนิ กว่าปกติ พบได้ทั้งในออโตโซมและโครโมโซมเพศ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เชน่ กลุ่มอาการดาวน์ กลุ่ม อาการเทอรเ์ นอร์ซนิ โดรม แล้วครนู ำเสนอ power point เกย่ี วกบั ลกั ษณะอาการและคาริโอไทปข์ องกลุ่ม อาการดาวน์ 8) ครตู งั้ คำถามถามนักเรียนดังน้ี - ลักษณะของกลุ่มอาการครดิ ูชาต์แตกตา่ งจากกลุ่มอาการดาวนอ์ ย่างไรบา้ ง (กลมุ่ อาการคดิ ชู าต์ มลี กั ษณะผิดปกติ คือ ศีรษะเลก็ ใบหนา้ กลม ตาเล็กอยู่ห่างกนั และเฉียง ดงั้ จมูกแบน ใบหอู ยตู่ ำ่ กวา่ ปกติ เส้นสายเสยี งผดิ ปกติ ทำใหเ้ สียงเล็กแหลมคล้ายเสียงร้องของแมว ปัญญาอ่อน และอาจมชี ีวิตอยไู่ ดจ้ นเป็น ผใู้ หญ่ ส่วนกล่มุ อาการดาวน์มีลักษณะผิดปกติ คือ รปู ร่างเตยี้ ตาห่าง หางตาช้ีข้ึน ลิ้นโตคบั ปาก คอส้นั กว้าง น้ิวมือและนว้ิ เท้าสนั้ ลายนวิ้ มือผิดปกติ และปญั ญาอ่อน) - คารโิ อไทป์ของกลุม่ อาการครดิ ูชาต์ เกดิ จากความผิดปกติของโครโมโซมคูใ่ ด และจำนวน โครโมโซมเปล่ียนแปลงไปหรือไม่ (แขนขา้ งสั้นของโครโมโซมคู่ท่ี 5 ขาดหายไป จำนวนโครโมโซมไม่ เปล่ยี นแปลง)
- ถา้ พอ่ สรา้ งโครโมโซม XY ผสมกับไข่ทีม่ ีโครโมโซม X ลูกจะมีโครโมโซมเพศเปน็ อย่างไรและเกิด เปน็ เพศใด (โครโมโซมเพศของลกู เป็น XXY เป็นเพศชาย) 9) ครใู หน้ ักเรยี นศกึ ษาตารางแสดงกลมุ่ อาการที่เกิดจากการเปลย่ี นแปลงจำนวนโครโมโซมในคน ในหนังสอื เรยี น รายวิชาเพิม่ เติมชีววิทยา เลม่ 4 หนา้ 89 แล้วอธบิ ายเพมิ่ เติมใหน้ ักเรียนฟังวา่ การที่ จำนวนโครโมโซมขาดหรอื เกินเปน็ ชดุ เรยี กวา่ พอลพิ ลอยด์ มักพบในพืชและมปี ระโยชนม์ าก เช่น ขา้ วโพด พันธ์ุ 4n มีวิตามินสูงกวา่ พันธุ์ 2n แต่ถ้าพบในสัตว์ โดยเฉพาะสตั วท์ ี่เลยี้ งลูกดว้ ยน้ำนมมกั จะเกิดผลเสีย มากกว่าผลดี แล้วถามคำถามนกั เรยี น ดังน้ี - เพราะเหตใุ ดพืชที่เปน็ พอลิพลอยด์เลขคจ่ี ึงเป็นหมัน (ในกระบวนการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ เพ่ือ สร้างเซลล์สบื พันธุ์ ในระยะโพรเฟส I จะมโี ครโมโซมบางโครโมโซมท่ไี ม่เป็นฮอมอโลกสั และเข้าคกู่ นั ไมไ่ ด้ จึงมีปัญหาในการสร้างเซลลส์ บื พันธุ์) - การเปลีย่ นแปลงที่เกิดขึน้ กับยีนและโครโมโซมเก่ียวข้องกับการเกดิ วิวัฒนาการของสง่ิ มีชวี ติ อยา่ งไร (บางลักษณะท่ีเกดิ การเปลี่ยนแปลงจำนวนของยนี ลำดบั ของยีน หรือเปลย่ี นแปลงโครงสร้างของ โครโมโซม อาจทำให้ส่ิงมีชีวติ อยู่รอดไดม้ ากขึน้ รวมท้ังลักษณะทเ่ี กิดมวิ เทชัน ถ้ามีการถา่ ยทอดและถูก คัดเลือกไว้ในธรรมชาตจิ ะทำให้สิ่งมชี ีวิตเกิดวิวฒั นาการได)้ กิจกรรมรวบยอด 1) ครูให้นักเรยี นตอบคำถามท้ายบทที่ 16 ในหนังสือเรียน รายวชิ าเพ่ิมเติม ชีววิทยา เลม่ 4 ลงใน สมดุ ส่งครู 2) ครใู ห้นกั เรยี นส่งสมุด เพื่อตรวจสอบการบนั ทึกความรูท้ ี่ได้จากการเรียนและการตอบคำถาม คำถามท้ายบทท่ี 16 หลังเลิกเรยี น 9. ส่อื และแหลง่ การเรียนรู้ สือ่ 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เรอ่ื ง มิวเทชัน 2) หนังสอื เรยี น รายวชิ าเพมิ่ เตมิ ชีววิทยา 2 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรียนรู้ 1) หนงั สอื หรอื วารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานุกรมวิทยาศาสตร์ 3) อินเทอร์เน็ต google classroom
10. การวดั และประเมินผล เปา้ หมาย หลักฐาน เครอื่ งมอื วดั เกณฑ์การประเมิน - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ สาระสำคัญ อย่างถกู ต้อง - การถาม/ตอบ - การเกดิ มิวเทชนั แบบ - สมดุ - การปฏิบัตกิ จิ กรรมท้าย -สามารถตอบคำถามได้ บทที่ 16 อยา่ งถูกตอ้ ง การแทนที่คู่เบส - สามารถปฏบิ ตั กิ ิจกรรม - ความตรงต่อเวลาและ ทา้ ยบทที่ 16 ได้อย่าง - การเกดิ มวิ เทชันแบบ จำนวนครั้งที่เขา้ เรยี น ถูกต้อง - การถาม/ตอบ การเพ่มิ ข้นึ หรือการขาด - การเขา้ ชน้ั เรยี นสาย ไม่เกนิ 15 นาที และ หายของนวิ คลโี อไทด์ จำนวนครง้ั ที่เขา้ เรยี น มากกวา่ 80% - อาการที่เกิดจากความ - สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถูกต้อง ผดิ ปกตขิ องโครโมโซม ผลการเรียนรู้ - อธิบายและสรุปการ - สมดุ ถา่ ยทอดยีนและ โครโมโซม การค้นพบสาร พนั ธุกรรม โครโมโซม องคป์ ระกอบทางเคมขี อง ดเี อ็นเอ และโครงสร้าง ของดีเอ็นเอ สมบัติของ สารพนั ธกุ รรม รวมท้งั มวิ เทชนั ได้ (ว 1.2 ม. 6/2) - ต้งั คำถามทอ่ี ย่บู น พ้ืนฐานของความรู้และ ความเขา้ ใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรอื ความ สนใจ หรอื จากประเดน็ ท่ี เกดิ ข้ึนในขณะนนั้ ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรือศกึ ษา ค้นคว้าได้อยา่ งครอบคลุม และเชื่อถอื ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - ใฝ่เรยี นรู้ - การเขา้ ชนั้ เรยี น - มุง่ ม่ันในการทำงาน - ความสนใจในการเรียน
แผนการจดั การเรียนรู้ รหสั วชิ า ว31247 ชือ่ รายวิชา ชีววิทยา 2 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ช่อื หน่วยการเรียนรู้ พันธุศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีทาง DNA แผนการเรยี นรูท้ ี่ 16 เรอื่ ง พันธวุ ิศวกรรม (1) เวลา 2 ชว่ั โมง ผ้สู อน นางสาวศรอี ดุ ร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐานว1.2เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมววิ ัฒนาการของ สงิ่ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเ้ ทคโนโลยีชีวภาพท่ีมผี ลกระทบต่อมนุษยแ์ ละส่ิงแวดลอ้ ม มี กระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สอ่ื สารสงิ่ ทีเ่ รียนรแู้ ละนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รูว้ า่ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติท่ีเกิดข้นึ สว่ นใหญม่ รี ูปแบบที่แน่นอน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใต้ข้อมลู และเคร่ืองมือท่ีมีอยู่ในชว่ งเวลานั้น ๆ เข้าใจวา่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสงิ่ แวดลอ้ มมีความเกยี่ วข้องสมั พันธ์กัน 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธบิ ายและสรปุ เก่ียวกับพันธวุ ิศวกรรม การโคลนยีน การวเิ คราะห์ดเี อน็ เอ และการศึกษาจี โนม และการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยขี องดีเอ็นเอ รวมทงั้ ความปลอดภยั ของเทคโนโลยีทางดเี อน็ เอ และ มุมมองทางสังคมและจรยิ ธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) 2) ต้งั คำถามที่อยบู่ นพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรอื จากประเด็นท่ีเกดิ ขึน้ ในขณะน้ัน ทสี่ ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรือศกึ ษาคน้ ควา้ ได้อยา่ งครอบคลุม และเช่ือถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด เทคโนโลยที าง DNA เป็นเทคโนโลยที างชีวภาพแขนงหนึ่ง ซงึ่ นำมาใช้เพอ่ื ทำให้ส่ิงมีชวี ติ หรือ ประกอบของสงิ่ มชี วี ติ มีสมบัติตามต้องการ ทำให้มนษุ ย์สามารถปรับแตง่ ยีนและเคล่ือนย้ายยีนข้ามชนดิ ของสงิ่ มีชวี ติ อยา่ งทวี่ ิธีการทางธรรมชาตไิ มส่ ามารถทำได้ 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ ความหมายและความสำคัญของเทคโนโลยีชีวภาพ ทักษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคดิ 3) ทกั ษะการเรยี นรู้ 4) ทักษะการแก้ปัญหา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกลมุ่ 5. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ อภิปรายและอธบิ ายความหมายของเทคโนโลยีทางชวี ภาพ
6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1) ใฝเ่ รียนรู้ 2) อยู่อย่างพอเพยี ง 3) มงุ่ มัน่ ในการทำงาน 4) มีวนิ ยั 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั นำเขา้ สูบ่ ทเรยี น 1) ให้นักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น (pre-test) ดว้ ยแบบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการ เรยี นและแบบวดั ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล เพื่อวดั ความรเู้ ดมิ ของนักเรียน 2) ครูนำเสนอ PowerPoint ใหน้ ักเรยี นดูรปู การเรืองแสงของทางเดินอาหารลกู นำ้ ยงุ ท่ีเกิดจาก แบคทเี รยี เรืองแสง แล้วตง้ั คำถามถามนกั เรียนวา่ - แบคทเี รยี เรอื งแสงได้อยา่ งไร (เกดิ จากการนำยีนที่สร้างโปรตนี เรืองแสงสีเขียวจากแมงกพรุนตัด ตอ่ เขา้ ไปในแบคทีเรยี ทำให้แบคทเี รยี เรืองแสงได)้ 3) ครูอธบิ ายเพิ่มเติมวา่ จดุ ประสงค์งานวจิ ัยนเ้ี พื่อปรับปรงุ สายพันธข์ุ องแบคทีเรยี ให้สามารถ สรา้ งสารพิษฆา่ ลูกนำ้ ยุงได้พร้อมทั้งเรืองแสง โดยในระยะแรกเปน็ การนำยนี ที่สร้างสารพิษมาใส่ใน แบคทีเรยี ท่ีเปน็ อาหารของลูกนำ้ ยงุ เมือ่ ใหล้ ูกนำ้ ยุงกินแบคทเี รียชนิดนเี้ ข้าไป ลูกน้ำยงุ จะตาย ทำให้ สามารถป้องกันโรคทเ่ี กิดจากยงุ ได้ แตว่ ิธีน้ไี มส่ ามารถตดิ ตามแบคทเี รียทเี่ ขา้ สรู่ า่ งกายของลกู นำ้ ยงุ จึงมี การนำยนี ที่สร้างโปรตนี เรืองแสงจากแมงกระพรุนมาใส่ไว้ในแบคทเี รีย ทำให้ตดิ ตามแบคทีเรยี ไดจ้ ากการ เรอื งแสงทั้งในทางเดินอาหารของลูกน้ำยงุ และสิง่ แวดล้อม เพอื่ เชื่อมโยงไปสู่การเรยี นรู้เร่ือง พันธวุ ิศวกรรม ขัน้ จดั การเรยี นรู้ จัดกจิ กรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซ่ึงมขี ั้นตอนดังน้ี 1) ครูนำเสนอ PowerPoint ให้นกั เรยี นดูความหมายของเทคโนโลยชี ีวภาพ โดยอธิบายให้ นกั เรยี นเข้าใจวา่ เทคโนโลยีชวี ภาพ (biotechnology) คือ การใช้ประโยชนจ์ ากสง่ิ มชี วี ติ หรอื ระบบของ สง่ิ มีชีวติ เพอ่ื ผลิตผลติ ภัณฑท์ เี่ ป็นประโยชน์ตอ่ มนุษย์ ซ่งึ เปน็ วธิ ีการท่ีมีการนำมาใชป้ ระโยชนต์ ้งั แต่อดีตโดย เทคโนโลยีชวี ภาพมีหลายแขนง เทคโนยีชีวภาพทมี่ ีการตดั แตง่ ยีนและเคลื่อนย้ายยีนขา้ มสิง่ มีชีวติ เพอื่ สร้าง DNA ลูกผสมจะ เรียกวา่ เทคโนโลยที าง DNA 2) ครูนำเสนอ PowerPoint ใหน้ กั เรยี นดูเทคโนโลยีชวี ภาพแบบดั้งเดิม โดยอธบิ ายใหน้ ักเรยี น เข้าใจวา่ มนุษย์เร่ิมมีการใชเ้ ทคโนโลยีชีวภาพมาตง้ั แต่ในสมัยอดีต เช่น การทำน้ำปลา การทำปลารา้ การ หมกั จลุ ทิ รียเ์ พื่อทำขนมปัง และการผสมเทยี ม ซ่ึงในบทเรียนนี้จะกล่าวถงึ เทคโนโลยีทาง DNA ซ่งึ เปน็ เทคโนโลยชี ีวภาพท่ที ำให้มนุษยส์ ามารถปรับแต่งยนี และเคลื่อนยา้ ยยีนข้ามสิง่ มชี วี ติ ได้ อยา่ งทว่ี ิธีการทาง ธรรมชาติไม่สามารถทำได้
3) ครูนำเสนอ PowerPoint ให้นักเรยี นดเู ทคโนโลยีชวี ภาพในปัจจบุ ัน แลว้ ตัง้ คำถามถาม นกั เรียนดังนี้ - จากรูปนกั เรยี นคิดว่าการนำเทคโนโลยีทาง DNA มาผลิตมะเขอื เทศ ฝา้ ย ขา้ ว มะละกอ และ ถว่ั เหลือง จะทำใหพ้ ชื เหลา่ น้ีมสี มบัติอยา่ งไรบา้ ง (มะเขือเทศ: มคี วามทนทานต่อโรคมากขน้ึ ช่วยลดความ เสียหายหรอื การบอบชำ้ ขณะทำการขนสง่ มะละกอ: ตา้ นทานโรคไวรสั ใบด่างวงแหวนได้ และมจี ำนวน เมลด็ ทนี่ อ้ ยลง ถว่ั เหลือง: สามารถทนทานตอ่ สารเคมที ี่ปราบวชั พชื ได้ ทำให้ได้ผลผลติ ถวั่ เหลอื งท่มี ีจำนวน มากขึน้ ฝา้ ย: สามารถทจ่ี ะสร้างโปรตนี ที่สามารถฆ่าหนอนที่เปน็ ศัตรขู องฝ้ายได้ ขา้ ว: มีลักษณะทีด่ ีข้ึน สามารถทนแล้ง ทนเค็มได้หรือมสี ารอาหารอย่างบีตา้ แคโรทนี ท่ีเปน็ สารเร่มิ ตน้ ของวติ ามิน A ได)้ 4) ครูอธบิ ายให้นักเรยี นเข้าใจวา่ ในปัจจุบนั มกี ารนำเทคโนโลนที าง DNA ไปประยุกตใ์ ชใ้ นดา้ น อ่นื ๆ มากมาย เชน่ ทางดา้ นการเกษตร การแพทย์ หรอื ใชป้ ระโยชนท์ างสังคม เชน่ ใชใ้ นการตรวจสอบ หาหลกั ฐานของอาชญากรตา่ งๆ ซ่ึงนักเรยี นจะได้เรียนรู้ในบทเรยี นนี้ กิจกรรมรวบยอด 1) นกั เรยี นและครูรว่ มกนั อภิปราย โดยใช้แนวคำถามต่อไปน้ี - เทคโนโลยีทาง DNA คืออะไร (เทคโนโลยชี ีวภาพแขนงหนึง่ ท่ที ำให้มนษุ ย์สามารถปรบั แตง่ ยีน และเคล่ือนย้ายยีนขา้ มสง่ิ มีชีวติ ไดเ้ พื่อสรา้ ง DNA ลูกผสม) - “เทคโนโลยีทาง DNA ชว่ ยพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของมนษุ ย์ใหด้ ขี นึ้ ” นักเรยี นเหน็ ดว้ ยกบั คำกล่าว น้ี หรือไม่ (เห็นดว้ ย เชน่ การนำเทคโนโลยีทางชีวภาพมาใช้ในด้านการเกษตร ทำให้ไดผ้ ลติ ผลทางการเกษตร ท่ีดีขึน้ มนษุ ยจ์ ึงมีอาหารเพียงพอต่อการบริโภค) - ตวั อยา่ งส่งิ มชี ีวิตทเี่ กดิ จากเทคโนโลยที าง DNA (มะเขือเทศ ฝ้าย มะละกอ และข้าว) 2) ครูใหน้ กั เรยี นรว่ มกันกำหนดหัวข้อด้านพันธุศาสตร์และเทคโนโลยดี เี อนเอจำนวน 10- 15 หวั ขอ้ เพ่ือนำไปคน้ หาข้อมลู และแสดงความคิดเหน็ ผา่ นทางโซเชยี ลเนต็ เวริ ์ก เพือ่ ส่งเสริมทักษะการลง ความเหน็ จากข้อมูล 3) แบง่ นักเรยี นเป็นกล่มุ กลุ่มละ 4-5 คน แล้วใหต้ ัวแทนกลุ่มจับสลากเลอื กหวั ขอ้ ดา้ นพนั ธศุ าสตร์ และเทคโนโลยดี เี อนเอกลุ่มละ 3 หัวขอ้ โดยวิธกี ารส่มุ อยา่ งง่าย 9. ส่อื และแหล่งการเรียนรู้ สอื่ 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เรือ่ ง พันธุวศิ วกรรม (1) 2) หนงั สอื เรียน รายวชิ าเพ่มิ เติม ชวี วิทยา 2 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4-6 ของ สสวท แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หนังสือหรือวารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ 3) อินเทอรเ์ นต็ google classroom
10. การวดั และประเมินผล เปา้ หมาย หลักฐาน เครอ่ื งมือวดั เกณฑก์ ารประเมนิ - การถาม/ตอบ สาระสำคัญ -สามารถตอบคำถามได้ - การถาม/ตอบ อยา่ งถูกตอ้ ง -ความหมายและ - สมดุ -แบบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี น -สามารถตอบคำถามได้ ความสำคัญของ อยา่ งถกู ตอ้ ง -แบบวดั ทักษะการลง -สามารถทำแบบวัด เทคโนโลยชี วี ภาพ ความเหน็ จากข้อมูล ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ในแบบทดสอบหลงั เรยี น ผลการเรียนรู้ ได้คะแนนดีกวา่ แบบทดสอบกอ่ นเรียน -อธบิ ายและสรุปเก่ยี วกับ - สมุด -สามารถทำแบบวดั ทักษะการลงความเหน็ พันธุวศิ วกรรม การโคลน จากขอ้ มูลใน แบบทดสอบหลงั เรยี นได้ ยนี การวิเคราะห์ดีเอน็ เอ - แบบทดสอบก่อนเรยี น คะแนนดีกวา่ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น และการศกึ ษาจโี นม และ (pre-test) เรียน - สามารถตอบคำถามได้ การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยี อยา่ งถกู ต้อง ของดีเอน็ เอ รวมทัง้ ความ - การเข้าชั้นเรียนสาย ไม่เกิน 15 นาที และ ปลอดภยั ของเทคโนโลยี จำนวนครงั้ ที่เขา้ เรยี น มากกว่า 80% ทาง - สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถกู ตอ้ ง ดีเอ็นเอ และมุมมองทาง สงั คมและจริยธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) -ตงั้ คำถามทอ่ี ยู่บน - สมุด - การถาม/ตอบ พื้นฐานของความรูแ้ ละ - ความตรงต่อเวลาและ จำนวนครงั้ ทเ่ี ขา้ เรียน ความเขา้ ใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรือจากประเดน็ ท่ี เกิดขนึ้ ในขณะนนั้ ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศกึ ษา ค้นควา้ ได้อยา่ งครอบคลุม และเชอ่ื ถอื ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คุณลกั ษณะ - ใฝ่เรียนรู้ - การเข้าช้นั เรยี น - ม่งุ มนั่ ในการทำงาน - ความสนใจในการเรยี น - การถาม/ตอบ
แผนการจัดการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ว31247 ชอื่ รายวิชา ชวี วิทยา 2 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 4 กล่มุ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ช่ือหน่วยการเรียนรู้ พันธุศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที าง DNA แผนการเรยี นร้ทู ี่ 17 เรอ่ื ง พนั ธุวศิ วกรรม (2) เวลา 2 ชั่วโมง ผ้สู อน นางสาวศรีอดุ ร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม ววิ ัฒนาการของสิง่ มีชวี ติ ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยชี ีวภาพที่มผี ลกระทบต่อมนุษย์ และส่ิงแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรแู้ ละจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารส่งิ ทเ่ี รียนร้แู ละนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละจิตวทิ ยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รู้ว่าปรากฏการณท์ างธรรมชาติท่เี กิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบทแ่ี นน่ อน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใต้ข้อมูลและเครื่องมือท่ีมีอยู่ในช่วงเวลาน้นั ๆ เข้าใจว่าวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสิง่ แวดลอ้ มมคี วามเกย่ี วข้องสัมพันธก์ นั 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธิบายและสรุปเกยี่ วกับพันธวุ ศิ วกรรม การโคลนยนี การวิเคราะห์ดีเอน็ เอ และการศึกษาจโี นม และการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยีของดเี อน็ เอ รวมท้ังความปลอดภยั ของเทคโนโลยที างดีเอน็ เอ และมุมมอง ทางสังคมและจรยิ ธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) 2) ตงั้ คำถามท่ีอยู่บนพื้นฐานของความร้แู ละความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรือ จากประเดน็ ทเ่ี กิดขนึ้ ในขณะน้ัน ทส่ี ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นควา้ ได้อยา่ งครอบคลุม และเชือ่ ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด พนั ธุวศิ วกรรมเป็นเทคนคิ การสร้าง DNA รคี อมบิแนนท์ โดยใชเ้ อนไซมต์ ดั จำเพาะตดั DNA ทัง้ สอง สายที่จดุ จำเพาะ ถ้าตำแหน่งของ DNA ทัง้ สองสายอยู่ตรงกันจะทำให้เกิดปลาย Blunt ends แต่ถ้า ตำแหน่งท่เี ป็นจุดตัดอยเู่ ย้ืองกัน จะทำให้เกิดปลาย Sticky end เมอื่ ตดั DNA ตา่ งโมเลกุลกนั ด้วยเอนไซม์ ตัดจำเพาะชนดิ เดยี วกนั ปลายสายของ DNA จะมลี ำดับเบสทีเ่ ขา้ คู่กนั ได้ และเช่อื มต่อกันดว้ ยเอนไซม์ DNA ไลเกส ทำให้เกดิ DNA รีคอมบิแนนท์ จากน้ันจึงเพ่ิมจำนวนของ DNA รีคอมบแิ นนท์ทเี่ หมอื นๆกนั จำนวน มากในเซลลเ์ จา้ บา้ น (host) เชน่ แบคทีเรีย เรียกกระบวนการทีเ่ กิดขน้ึ นีว้ ่า การโคลน DNA และถา้ DNA มยี ีนที่ตอ้ งการเกบ็ จะเรยี กว่าการโคลนยนี ซึ่งต้องอาศัยพลาสมดิ ของแบคทีเรีย หรอื ทำในหลอดทดลองโดย เทคนิคพอลเิ มอเรสเชนรีแอกชนั หรือพซี ีอาร์ (PCR) ทำให้สามารถเพ่ิมจำนวนโมเลกลุ ของ DNA ทตี่ ้องการ จาก DNA แม่แบบทม่ี ีปรมิ าณน้อยใหม้ ีปรมิ าณมากไดอ้ ย่างรวดเร็ว 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ วธิ กี ารทางพนั ธุวศิ วกรรม
ทักษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ทักษะการคิด 3) ทกั ษะการเรียนรู้ 4) ทักษะการแก้ปญั หา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกลุม่ 5. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1) อภิปรายและอธบิ ายความหมายของพันธวุ ศิ วกรรมและขนั้ ตอนของเทคนิคพันธุวศิ วกรรมได้ 2) อธิบายขัน้ ตอนการโคลนยีนโดยอาศยั พลาสมดิ ของแบคทเี รยี ได้ 6. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1) ใฝเ่ รียนรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพยี ง 3) มุ่งม่ันในการทำงาน 4) มีวินยั 7. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน 1) ความสามารถในการสอ่ื สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้นั นำเขา้ สูบ่ ทเรียน 1) ครถู ามคำถามนักเรยี นเพ่ือทบทวนความร้เู ดมิ เกย่ี วกบั การนำเทคโนโลยีทาง DNA มาใช้ผลติ พืช ชนิดต่าง ๆ ดงั น้ี - การนำเทคโนโลยที าง DNA มาผลิตมะละกอ จะทำใหม้ ะละกอมีลักษณะดีอย่างไร - มะละกอทเี่ กิดจากเทคโนโลยที าง DNA เกดิ จากการเปลย่ี นแปลงของยนี หรือไม่ และมีการใช้ เทคนิคใด 2) นักเรียนรว่ กนั อภปิ รายคำตอบของคำถาม โดยควรได้ข้อสรปุ รว่ มกนั ว่า การนำเทคโนโลยีทาง DNA มาผลิตมะละกอ จะมีการปรับแตง่ ยีนได้สายพนั ธใ์ุ หมท่ ่มี ียีนต้านทานต่อโรคใบจดุ วงแหวน โดยใช้ เทคนิคพันธวุ ศิ วกรรม ขน้ั จัดการเรยี นรู้ จดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขน้ั ตอนดงั น้ี 1) ครูนำเสนอ PowerPoint ใหน้ กั เรียนดขู ัน้ ตอนพันธวุ ิศวกรรม โดยอธบิ ายใหน้ ักเรยี นเข้าใจวา่ เทคโนโลยที าง DNA เพื่อสรา้ ง DNA รคี อมบิแนนท์ และเพ่ิมปรมิ าณ DNA เรียกว่า พนั ธวุ ิศวกรรม (genetic engineering) ซ่งึ สามารถนำไปใชด้ ดั แปลงสิ่งมชี วี ติ ให้มลี ักษณะตามต้องการได้ 2) ครูอธบิ ายขัน้ ตอนพนั ธวุ ิศวกรรมให้นักเรียนโดยใชแ้ ผนผังดงั นี้
ตดั สาย DNA ของสงิ่ มชี ีวติ ชนิดหนึ่งทีม่ ียีนทตี่ ้องการ ดว้ ยเอนไซม์ตดั จำเพาะ (restriction enzyme) เช่ือมต่อกบั DNA ของส่งิ มชี วี ติ อกี ชนิดที่ถกู ตัดลำดับเบสออก ดว้ ยเอนไซม์ DNA ไลเกส (DNA ligase) สิง่ มชี ีวติ ใหมท่ เี่ ป็น DNA ลกู ผสม (DNA recombination) ที่มีสมบัติตามต้องการ 3) ครูนำเสนอ PowerPoint เก่ยี วกบั เอนไซมต์ ัดจำเพาะ โดยอธบิ ายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจว่าเปน็ เอนไซม์ทีถ่ ูกค้นพบโดยเฮลมินตนั สมธิ (Hamilton smith) และคณะ ซ่งึ จะทำหนา้ ทจ่ี ดจำลำดบั เบสในสาย DNA อยา่ งเฉพาะเจาะจง เชน่ เอนไซม์ EcoRI จะจดจำลำดับเบสจำเพาะจำนวน 6 คู่เบส ซ่งึ เรยี กบริเวณ ดงั กล่าวน้วี ่า ตำแหน่งตดั จำเพาะ (restriction site) ซง่ึ EcoRI จะมีจุดตดั อย่รู ะหว่าง G-A เม่อื เอนไซม์ตัด จำเพาะตัดสาย DNA ท้งั สองสายจะทำให้เกดิ ปลายสายที่แตกต่างกนั แล้วแต่ชนดิ ของเอนไซม์ โดยถา้ ตัด DNA แลว้ ทำใหเ้ กิดปลายสายเดีย่ วท่ีมีนิวคลีโอไทด์ยนื่ ออกมา เรียกว่า sticky end แต่ถา้ เอนไซม์ตัด จำเพาะมีจุดตัดอยู่ตรงกนั ทัง้ สองสายของ DNA จะทำใหเ้ กิดปลาย blunt end 4) ครูอธิบายใหน้ ักเรียนเขา้ ใจว่าในปัจจบุ ันมีการค้นพบเอนไซมต์ ัดจำเพาะหลายชนิด โดยเอนไซม์ ตัดจำเพาะแตล่ ะชนิดจะมีลำดบั เบสจำเพาะ และจุดตัดจำเพาะของสาย DNA ทแี่ ตกต่างกนั เช่น EcoRI มี ลำดับเบสจำเพาะ 6 คู่ และมีจดุ ตัดระหวา่ ง G-A ส่วน HaeIII มลี ำดับเบสจำนวน 4 คเู่ บส และมจี ุดตัดอยู่ ระหวา่ ง G-C นอกจากนี้เอนไซม์ตดั จำเพาะชนดิ เดียวกนั จะตัดสาย DNA ที่จดุ ตัดจำเพาะในตำแหน่ง เดียวกันไม่ว่า DNA น้นั จะมาจากแหลง่ ใด 5) ครูนำเสนอ PowerPoint เกย่ี วกับเอนไซม์ DNA ไลเกส โดยอธบิ ายใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า DNA ไลเกสจะทำหนา้ ที่เชอื่ มสาย DNA โดยสามารถเร่งปฏิกิรยิ าการสรา้ งพนั ธะโควาเลนซร์ ะหว่างสองโมเลกุล ของ DNA ให้เชอ่ื มตอ่ กัน ทำใหเ้ กดิ DNA ลูกผสมได้ แล้วให้นกั เรียนร่วมกนั วิเคราะห์ลำดบั การสร้าง DNA ลกู ผสมหรอื DNA รีคอมบิแนทนท์ ซง่ึ จากการวิเคราะห์ นกั เรยี นควรได้ข้อสรปุ รว่ มกันดังนี้ - ตัดสาย DNA ด้วยเอนไซม์ตดั จำเพาะ - ตัดสาย DNA โมเลกลุ อนื่ ด้วยเอนไซม์ตัดจำเพาะชนิดเดยี วกัน - เชอ่ื มตอ่ สาย DNA จาก DNA ต่างโมเลกุลดว้ ยเอนไซม์ DNA ไลเกส ได้ DNA ลูกผสม หรือ DNA รคี อมบิแนนท์ ครสู รปุ ความคดิ ของนักเรียน โดยเนน้ ใหน้ กั เรยี นเชือ่ มโยงไดว้ ่า การสร้าง DNA ลกู ผสมหรอื DNA รคี อมบิแนนท์ เปน็ เทคนคิ การตัดต่อและเช่อื ม DNA ตา่ งโมเลกลุ เข้าดว้ ยกัน ซ่ึงเรยี กวา่ เทคนิคพันธุ วิศวกรรม 6) ครนู ำเสนอ PowerPoint เกี่ยวกับการโคลนยีน โดยอธิบายให้นกั เรยี นเขา้ ใจว่า การตัดและ เชือ่ มต่อสาย DNA เป็น DNA รคี อมบิแนนท์น้ันไม่เพยี งพอทจ่ี ะนำ DNA ทไี่ ด้ไปใชป้ ระโยชน์ต่อได้ แต่ จะตอ้ งทำให้ DNA รีคอมบแิ นนท์มีจำนวนมากและเหมือนๆกนั ซง่ึ สามารถเพม่ิ จำนวน DNA ไดเ้ ม่อื นำเขา้ สู่ เซลล์ โดยเซลล์ท่ีนยิ มใช้ คือ เซลลแ์ บคทเี รีย E.coli เน่ืองจากเป็นสงิ่ มชี ีวติ เซลล์เดียวท่เี พาะเลยี้ งง่าย และ เพิม่ จำนวนได้อยา่ งรวดเร็วภายในเวลาไมก่ ีช่ ั่วโมง เมอ่ื แบคทเี รียเพ่มิ จำนวน จะทำให้ DNA ท่ีเหมอื นกนั เพม่ิ จำนวนตาม เรียกวธิ ีการนีว้ ่า การโคลน DNA และถ้า DNA มยี นี ตามต้องการ เรยี กวา่ การโคลนยีน
7) ครอู ธิบายขั้นตอนการโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมดิ ของแบคทีเรีย โดยอธิบายความหมายของ พลาสมิดวา่ เป็น DNA วงแหวนทอี่ ยูน่ อกโครโมโซมของแบคทีเรยี ทำหน้าทเ่ี ป็นพาหะนำ DNA หรอื ยนี ท่ี ตอ้ งการเข้าสู่เซลล์แบคทเี รยี โดยพลาสมิดส่วนใหญ่ที่อยู่ในเซลล์แบคทเี รียมักมยี ีนต้านทานยาปฏิชีวนะเพ่ือ ใชเ้ ป็นเครื่องหมายในการคดั เลือกเซลล์ แลว้ ครสู รุปข้ันตอนการโคลนยนี โดยอาศัยพลาสมิดของแบคทเี รีย ดงั น้ี แยกพลาสมิดที่ใช้เป็นพาหะ และเลือกยีนจากโครโมโซมของสิ่งมชี วี ิต โดยใช้เอนไซม์ตดั จำเพาะ - เชอ่ื มชน้ิ ส่วน DNA กบั พลาสมิด ได้เป็น DNA รคี อมบิแนนท์ - นำ DNA รคี อมบิแนนท์ใสใ่ นเซลล์แบคทเี รยี ผูร้ ับ - โคลนยนี โดยอาศยั พลาสมิดของแบคทีเรยี กจิ กรรมรวบยอด 1) ให้นักเรียนทำแบบทดสอบ Check Point 6 เพื่อทบทวนความรทู้ ่นี ักเรยี นไดร้ ับจากการเรียน โดยให้นกั เรียนตอบคำถามต่อไปน้ี - เทคโนโลยชี วี ภาพคอื อะไร - restriction enzyme แยกออกมาจากสิ่งมีชีวิตชนดิ ใด และมหี น้าท่ีอยา่ งไร - restriction enzyme ท่ีตัดสาย DNA ทมี่ ียีนทตี่ ้องการจากสง่ิ มชี ีวิตและท่ีใชต้ ัด plasmid ควร เป็นชนดิ เดียวกันหรอื ไม่ เพราะอะไร - ปลาย sticky end กับ ปลาย blunt end ของ DNA ทีถ่ กู ตัดด้วย restriction enzyme แตกต่าง กนั อย่างไร - การเชื่อมสาย DNA ปลาย blunt end จะเหมือนหรอื แตกต่างจากการเชื่อมสาย DNA ปลาย sticky end อยา่ งไร 2) ครใู หน้ กั เรยี นสง่ สมุด เพือ่ ตรวจสอบการบันทึกความรู้ที่ไดจ้ ากการเรียนและการตอบคำถาม Check Point 1 หลงั เลกิ เรียน 3) ใหน้ ักเรียนใช้นอกเวลาเรียนแบบปกติค้นหาข้อมลู และแสดงความคดิ เห็นผา่ นทาง โซเชยี ลเน็ตเวิรก์ เพ่อื ส่งเสริมทักษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู ดงั น้ี
- นักเรียนทีเ่ ป็นหัวหน้าแต่ละกลมุ่ โพจน์หวั ข้อหวั ข้อด้านพนั ธุศาสตร์และเทคโนโลยีดเี อนเอที่จบั สลากได้ลงในเฟรชบุ๊กจำนวน 1 หวั ขอ้ แลว้ ใหส้ มาชกิ กลุ่มลงความคดิ เหน็ จากข้อมูลดังกล่าว โดย กำหนดเวลาให้ 1 หวั ขอ้ ต่อ 1 สปั ดาห์ 9. สือ่ และแหลง่ การเรยี นรู้ ส่ือ 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เรอ่ื ง พนั ธุวศิ วกรรม (2) 2) หนงั สอื เรยี น รายวิชาเพิ่มเติม ชวี วทิ ยา 2 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4-6 ของ สสวท แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หนังสอื หรอื วารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ 3) อนิ เทอรเ์ น็ต 10. การวดั และประเมินผล เปา้ หมาย หลักฐาน เครือ่ งมือวัด เกณฑ์การประเมิน สาระสำคัญ -วิธีการทางพนั ธุ - สมดุ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ วิศวกรรม อย่างถูกต้อง - แบบทดสอบ (check -ทำแบบทดสอบ point) (check point) ได้อยา่ ง ถูกต้อง ผลการเรยี นรู้ -อธบิ ายและสรปุ - สมุด - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ เกีย่ วกบั พันธุวิศวกรรม อยา่ งถูกต้อง การโคลนยนี การ - แบบทดสอบ (check -ทำแบบทดสอบ วิเคราะหด์ เี อน็ เอ และ point) (check point) ได้อยา่ ง การศกึ ษาจีโนม และ ถูกต้อง การประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีของดเี อน็ เอ รวมทั้งความปลอดภยั ของเทคโนโลยีทางดี เอ็นเอ และมุมมองทาง สงั คมและจริยธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) -สมุด - การถาม/ตอบ -ต้ังคำถามทอี่ ยู่บน - สามารถตอบคำถาม พน้ื ฐานของความร้แู ละ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ความเขา้ ใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรอื ความ สนใจ หรอื จากประเด็น ทเี่ กดิ ขึ้นในขณะน้นั ที่
เป้าหมาย หลักฐาน เคร่อื งมอื วดั เกณฑก์ ารประเมิน สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรือศกึ ษา - การเข้าชน้ั เรียน - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเขา้ ชนั้ เรียนสาย คน้ ควา้ ได้อย่าง ครอบคลุมและเช่ือถือ จำนวนคร้ังที่เขา้ เรียน ไมเ่ กิน 15 นาที และ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คุณลักษณะ จำนวนคร้งั ทเ่ี ขา้ เรยี น - ใฝ่เรยี นรู้ มากกวา่ 80% - มงุ่ ม่ันในการทำงาน - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรยี น ไดอ้ ย่างถูกต้อง
แผนการจดั การเรียนรู้ รหัสวชิ า ว31247 ช่อื รายวิชา ชวี วทิ ยา 2 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ภาคเรียนท่ี 2 ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ พันธุศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีทาง DNA แผนการเรยี นรทู้ ่ี 18 เรือ่ ง เทคนิคพอลเิ มอเรสเซนรีแอกชัน เวลา 2 ชั่วโมง ผสู้ อน นางสาวศรอี ุดร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม วิวัฒนาการของสิ่งมชี ีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยีชวี ภาพที่มผี ลกระทบต่อมนุษย์ และสง่ิ แวดลอ้ ม มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ สือ่ สารสิ่งทเ่ี รียนร้แู ละนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รูว้ า่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ่เี กิดขึ้นส่วนใหญม่ ีรปู แบบท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมูลและเครือ่ งมือท่ีมีอยู่ในช่วงเวลานนั้ ๆ เขา้ ใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่งิ แวดลอ้ มมีความเกย่ี วข้องสัมพันธก์ นั 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธบิ ายและสรปุ เกี่ยวกบั พันธุวศิ วกรรม การโคลนยีน การวเิ คราะห์ดเี อน็ เอ และการศึกษาจี โนม และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีของดีเอ็นเอ รวมท้งั ความปลอดภยั ของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ และ มมุ มองทางสังคมและจรยิ ธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) 2) ตงั้ คำถามท่ีอยบู่ นพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรอื จากประเด็นท่ีเกดิ ข้ึนในขณะนัน้ ท่สี ามารถทำการสำรวจหรือศึกษาค้นควา้ ได้อยา่ งครอบคลมุ และเช่ือถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด การโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเซนรีแอกชันหรอื พซี ีอาร์ (PCR) สามารถเพมิ่ จำนวนโมเลกุลของ DNA ทตี่ ้องการจาก DNA แม่แบบที่มีปรมิ าณนอ้ ยมากใหม้ ีปริมาณเพ่มิ ข้นึ ได้อย่าง รวดเรว็ 4. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ การโคลนยนี ในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลเิ มอเรสเซนรีแอกชันหรือพซี ีอาร์ (PCR) ทักษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคดิ 3) ทักษะการเรียนรู้ 4) ทักษะการแก้ปัญหา 5) ทกั ษะกระบวนการทำงานกลุ่ม
5. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1)อธิบายข้ันตอนการโคลนยนี ในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลเิ มอเรสเซนรีแอกชันหรอื พีซีอาร์ (PCR) ได้ 2) วิเคราะหเ์ ปรียบเทียบการโคลนยีนโดยอาศยั พลาสมิดกบั เทคนดิ PCR ได้ 6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1) ใฝ่เรียนรู้ 2) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน 1) ความสามารถในการส่อื สาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 8. กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้นั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น 1) ครูทบทวนความรูเ้ ดิมของนกั เรียนเกีย่ วกับการโคลนยีนโดยอาศยั พลาสมดิ ของแบคทีเรยี โดย ถามคำถามนักเรียนวา่ - การโคลนยีนโดยอาศยั พลาสมดิ ของแบคทเี รยี มขี นั้ ตอนอยา่ งไรบา้ ง - นอกจากวธิ ีการเพ่ิมจำนวน DNA ท่ีตอ้ งการโดยอาศัยพลาสมดิ ของแบคทีเรยี แล้ว นกั เรียนคดิ วา่ ยังมวี ิธกี ารอื่นอกี หรือไม่ 2) ให้นกั เรียนรว่ มกันอภิปรายคำตอบของคำถามร่วมกัน โดยครยู งั ไม่เฉลยคำตอบที่ถกู ต้อง เพื่อ เช่ือมโยงไปสู่การเรียนรเู้ ร่ือง เทคนิคพอลิเมอเรสเซนรแี อกชัน ขั้นจัดการเรียนรู้ จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซง่ึ มขี ัน้ ตอนดังนี้ 1) ครูนำเสนอ PowerPoint เก่ยี วกบั การโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนคิ พอลิเมอเรสเซนรี แอกชันหรอื พีซีอาร์ (PCR) โดยอธบิ ายให้นกั เรียนเขา้ ใจวา่ นอกจากการเพ่ิมสว่ นของ DNA โดยอาศยั วธิ กี ารแทรกสว่ นของ DNA ที่ตอ้ งการไว้ในพลาสมดิ ของแบคทีเรยี แล้ว ปัจจุบันยังสามารถเพ่ิมส่วนของ DNA ในหลอดทดลองไดโ้ ดยไมต่ ้องอาศัยเซลลใ์ ดๆ ซึ่งสามารถทำได้ในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอ เรสเซนรแี อกชันหรือพซี ีอาร์ (PCR) โดยซ่งึ อาศัยเคร่ืองมือท่ีเรยี กวา่ เทอร์มอไซเคลอร์ (thermal cycler) หรือ PCR machine ซึง่ เปน็ เครอื่ งมือที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภมู ิให้ปรบั เปล่ียนได้ตามที่กำหนด สามารถ กำหนดจำนวนรอบและเวลาไดอ้ ตั โนมัติ 2) ครูนำเสนอ PowerPoint เกี่ยวกับกระบวนการโคลนยีนโดยอาศยั เทคนคิ PCR โดยอธิบายให้ นักเรีบยเข้าใจวา่ การโคลนยีนโดยอาศยั เทคนิค PCR ต้องอาศยั เอนไซม์ DNA polymerase ชนิดพเิ ศษ ซ่ึงสามารถทนอุณภูมิสงู ได้ ซึง่ แยกไดจ้ ากแบคทเี รีย DNA แมแ่ บบจากแบคทีเรียทนรอ้ นท่ีอาศยั อยู่ในนำ้ พุ ร้อน และอาศยั นิวคลโี อไทด์ 4 ชนิดท่ีมเี บส A T G และ C ใสใ่ นหลอดทดลองที่มีสารละลายบัฟเฟอร์ที่ เหมาะสมต่อการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาภายในหลอดทดลองขนาดเล็ก 3) ครูอธิบายข้ันตอนการเกิดปฏกิ ิริยาใน 1 รอบ ใหน้ ักเรยี นฟัง ซง่ึ มลี ำดบั ขน้ั ตอน 3 ขั้นตอน ดังน้ี
- denaturation เป็นการทำให้ DNA เสอ่ื มสภาพ เพอื่ ทจี่ ะแยกสาย DNA จากสภาพทีเ่ ป็นเกลียว คู่ (double helix) ใหเ้ ปน็ สายเดี่ยว โดยใช้อณุ หภมู สิ ูงประมาณ 95 องศาเซลเซียส เวลา 30 วนิ าที (ตอ้ ง เลอื กใช้เอนไซม์ DNA polymerase ทสี่ ามารถทนความร้อนไดส้ งู เพื่อไมใ่ หเ้ อนไซม์เสอื่ มสภาพไปก่อน) - annealing เป็นขน้ั ตอนทีล่ ดอุณหภมู ลิ งประมาณ 55 องศาเซลเซียส เวลา 20 วินาที เพ่อื ให้ ไพรเมอรส์ ามารถจับกับบรเิ วณท่ีมลี ำดับคูเ่ บสที่เป็นคูส่ มกันกับ DNA แม่แบบดว้ ยพนั ธะไฮโดรเจนได้ - extension เป็นขัน้ ตอนการสังเคราะห์ DNA สายใหมต่ ่อจากไพร์เมอร์ ทำไดโ้ ดยการปรบั อุณหภูมิใหเ้ หมาะสมต่อการทำงานของ DNA polymerase (72 oC เวลา 20 วินาที ) ทำใหเ้ กดิ การจำลอง สาย DNA จากสาย DNA แม่แบบ โดยจะสงั เคราะหจ์ ากดา้ น 5' ของไพรเมอร์ ไปยังด้าน 3' ไปเรอื่ ยๆ ตามลำดับนวิ คลีโอไทดบ์ น DNA แม่แบบแตล่ ะสาย และเพ่ิมอณุ หภูมิใหส้ ูงขน้ึ อีกคร้ัง (90-95) ทำให้ DNA สายคทู่ ่ีเกดิ จากปฏิกริ ิยาเคมใี นรอบที่ 1 แยกออกจากกนั เพ่อื เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีในรอบถัดไป 4) ครูอธิบายใหน้ ักเรียนเข้าใจวา่ ปฏิกิริยา PCR จะเกิดขึน้ ซ้ำๆ ประมาณ 20-40 รอบ โดยสาย DNA ท่เี กดิ ขนึ้ แตล่ ะรอบจะถูกใชเ้ ปน็ แมแ่ บบในการสงั เคราะห์ DNA สายใหม่ในรอบต่อๆไปจนส้นิ สดุ ปฏิกิรยิ า การโคลนยนี โดยเทคนคิ PCR มีข้อดี คือ สามารถเพ่มิ ปริมาณส่วนของ DNA ทีต่ อ้ งการได้ ปรมิ าณมากในเวลาอันรวดเร็ว แต่มีขอ้ เสีย คือ การเพม่ิ จำนวนชดุ ของ DNA อาจเกดิ ความผิดพลาดได้ เนือ่ งจากเอนไซม์ทใ่ี ชใ้ นปฏกิ ิรยิ าไม่ทำงาน หรอื เอนไซม์บางชนิดไม่มสี มบัตติ รวจสอบความถูกต้องเกยี่ วกบั ลำดบั นวิ คลีโอไทดข์ อง DNA ที่สรา้ งขึ้นเหมือนกบั ในระบบของสง่ิ มชี วี ติ 5) ครนู ำเสนอ PowerPoint เก่ยี วกบั การนำเทคนิค PCR ไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น การ เพ่ิมจำนวน DNA ในหยดเลือดโดยอาศยั เทคนิค PCR แลว้ ใหน้ ักเรยี นดู clip VDO การสกัด DNA จากขน ของชา้ งแมมมอธท่ีสูญพนั ธุ์ไปแลว้ โดยอธิบายใหน้ ักเรยี นเข้าใจว่า เทคนิค PCR สามารถนำมาเพิ่มจำนวน DNA ท่มี ีอยู่เพียงเล็กน้อยใหม้ ีจำนวนมากขนึ้ ได้ แลว้ ใหน้ ักเรยี นร่วมกันสรปุ การนำเทคนิค PCR มาใช้ ประโยชนใ์ นปัจจุบัน โดยนกั เรยี นควรไดข้ ้อสรุปรว่ มกนั ดังน้ี - ใชเ้ พ่มิ ปรมิ าณ DNA จากซาก woolly mammoth ซ่ึงสูญพันธ์ุไปแลว้ - ใชต้ รวจสอบ DNA จากคราบเลือด ช้ินสว่ นเซลล์ หรืออสจุ ขิ องอาชญากรในคดี อาชญากรรม ตา่ ง ๆ เพื่อประโยชนด์ ้านนิตวิ ิทยาศาสตร์ - ใช้ตรวจสอบ DNA ของเซลล์ embryo ในครรภ์เพอ่ื หาความผิดปกตทิ างพันธุกรรม กจิ กรรมรวบยอด 1) นกั เรยี นและครรู ว่ มกันอภิปราย โดยใช้แนวคำถามต่อไปน้ี - การโคลนยนี โดยเทคนิค PCR มกี ่ีขน้ั ตอนอะไรบ้าง (3 ข้ันตอน คือ 1) denaturation เปน็ การ ทำให้ DNA เสื่อมสภาพ 2) annealing เปน็ ขน้ั ตอนท่ีลดอุณหภมู ลิ ง เพ่ือใหไ้ พรเมอรส์ ามารถเขา้ มาจับได้ และ 3) extension เปน็ ขนั้ ตอนการสังเคราะห์ DNA สายใหม่) - การโคลนยีนโดยเทคนิด PCR มีข้อดแี ละข้อเสียอยา่ งไรบา้ ง (ข้อดี คือ สามารถเพ่มิ ปริมาณสว่ น ของ DNA ทีต่ ้องการได้ปรมิ าณมากในเวลาอันรวดเร็ว ขอ้ เสยี คือ การเพิม่ จำนวนชดุ ของ DNA อาจเกิด ความผิดพลาดได้ เนือ่ งจากเอนไซมท์ ี่ใชใ้ นปฏิกริ ิยาไมท่ ำงาน หรือเอนไซม์บางชนดิ ไมม่ สี มบตั ิตรวจสอบ ความถกู ตอ้ งเกีย่ วกับลำดบั นิวคลีโอไทด์ของ DNA ทสี่ รา้ งข้ึนเหมอื นกบั ในระบบของสงิ่ มีชวี ิต) 2) ให้นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มใช้นอกเวลาเรียนแบบปกติค้นหาข้อมูลและแสดงความคิดเห็นผ่านทาง โซเชียลเนต็ เวริ ก์ เพื่อสง่ เสริมทกั ษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู ตามหัวข้อด้านพันธศุ าสตรแ์ ละเทคโนโลยี ดเี อนเอท่หี ัวหนา้ กลุ่มโพจน์ไว้ โดยกำหนดเวลาให้ 1 หัวขอ้ ต่อ 1 สัปดาห์
3) เมื่อครบกำหนด 1 สัปดาห์ให้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ รวบรวมขอ้ มูลดว้ ยการล็อกไฟลห์ รอื ปร้นิ สกรีนต์หน้าจอคอมพิวเตอร์ พรอ้ มท้งั สรปุ ความรู้ทไี่ ด้จากการลงความคิดเหน็ จากขอ้ มูลเปน็ ความรู้ของ กลุม่ จัดทำเป็นรายงานสง่ 9. สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้ สื่อ 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เรือ่ ง เทคนิคพอลเิ มอเรสเซนรแี อกชัน 2) หนงั สือเรียน รายวชิ าเพมิ่ เติม ชวี วทิ ยา 2 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรยี นรู้ 1) หนังสือหรือวารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานุกรมวิทยาศาสตร์ 3) อินเทอร์เนต็ 10. การวัดและประเมนิ ผล เปา้ หมาย หลักฐาน เคร่ืองมือวดั เกณฑก์ ารประเมิน สาระสำคัญ -การโคลนยีนในหลอด - สมดุ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ ทดลองโดยเทคนคิ พอลิ อยา่ งถูกต้อง เมอเรสเซนรแี อกชนั -รายงานการลง - การลงความคิดเหน็ - สามารถลงความ หรือพซี ีอาร์ (PCR) ความเหน็ จากข้อมลู จากข้อมูลตามหัวข้อท่ี คิดเหน็ จากข้อมูลและ ได้ สรปุ เปน็ ความรู้ได้ ผลการเรียนรู้ -อธบิ ายและสรปุ - สมดุ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เกีย่ วกับพนั ธวุ ศิ วกรรม ได้อยา่ งถูกต้อง การโคลนยนี การ -รายงานการลง - การลงความคดิ เห็น - สามารถลงความ วิเคราะห์ดเี อน็ เอ และ ความเหน็ จากข้อมูล จากข้อมลู ตามหัวข้อที่ คิดเห็นจากข้อมูลและ การศกึ ษาจีโนม และ ได้ สรุปเปน็ ความรูไ้ ด้ การประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีของดีเอ็นเอ รวมทัง้ ความปลอดภยั ของเทคโนโลยีทางดี เอ็นเอ และมุมมองทาง สงั คมและจรยิ ธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) - สมุด - สามารถตอบคำถาม -ตั้งคำถามท่อี ยู่บน - การถาม/ตอบ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง พน้ื ฐานของความรูแ้ ละ ความเข้าใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรอื จากประเดน็ ที่เกิดขน้ึ ในขณะน้ัน ท่ี
เป้าหมาย หลักฐาน เครอื่ งมอื วดั เกณฑ์การประเมิน สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศึกษา คน้ คว้าได้อย่าง ครอบคลุมและเช่ือถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คุณลกั ษณะ - การเข้าชน้ั เรียน - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเขา้ ช้นั เรียนสาย - ใฝ่เรยี นรู้ จำนวนคร้ังที่เขา้ เรียน ไมเ่ กนิ 15 นาที และ - มุ่งม่นั ในการทำงาน จำนวนคร้งั ท่ีเข้าเรียน มากกว่า 80% - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรยี น ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
แผนการจดั การเรียนรู้ รหัสวชิ า ว31247 ชือ่ รายวิชา ชวี วิทยา 2 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 กลุม่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ภาคเรยี นท่ี 2 ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ พนั ธศุ าสตรแ์ ละเทคโนโลยที าง DNA แผนการเรียนรู้ท่ี 19 เร่ือง การวเิ คราะห์ DNA และการศกึ ษาจีโนม เวลา 2 ชั่วโมง ผสู้ อน นางสาวศรอี ุดร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ววิ ัฒนาการของสง่ิ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพทม่ี ผี ลกระทบต่อมนุษย์ และส่งิ แวดล้อม มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารส่งิ ทีเ่ รยี นรู้และนำความรู้ไป ใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รวู้ า่ ปรากฏการณท์ างธรรมชาตทิ เ่ี กิดขึน้ ส่วนใหญ่มีรูปแบบทแ่ี นน่ อน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมลู และเคร่ืองมอื ท่ีมีอยู่ในชว่ งเวลาน้นั ๆ เขา้ ใจวา่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อมมคี วามเกีย่ วข้องสมั พันธ์กัน 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธบิ ายและสรุปเกี่ยวกับพันธวุ ิศวกรรม การโคลนยีน การวเิ คราะห์ดเี อน็ เอ และการศึกษาจีโนม และการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยขี องดีเอ็นเอ รวมทง้ั ความปลอดภยั ของเทคโนโลยที างดเี อน็ เอ และมุมมอง ทางสังคมและจริยธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) 2) ต้งั คำถามทอี่ ยบู่ นพน้ื ฐานของความรูแ้ ละความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรือ จากประเดน็ ทเี่ กิดข้ึนในขณะนนั้ ท่สี ามารถทำการสำรวจหรือศกึ ษาคน้ คว้าได้อย่างครอบคลุมและเช่ือถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด DNA ท่ไี ด้จากการโคลนจะถูกนำไปวเิ คราะห์หาขนาดของโมเลกุล DNA โดยใช้เทคนิคการแยก โมเลกลุ DNA ที่มีขนาดและรูปร่างแตกตา่ งกนั ออกจากกนั ในสนามไฟฟา้ โดยผา่ นตัวกลางทเ่ี ปน็ แผ่นวนุ้ แล้ว เปรียบเทียบกับการเคล่ือนท่ีของโมเลกุล DNA ท่ีทราบขนาด เรยี กวิธกี ารนีว้ ่า เจลอิเล็กโทรโฟริซสิ สิ่งมชี ีวิตชนิดเดียวกนั จะมีลำดบั เบสบางส่วนในจีโนมแตกต่างกัน สามารถตรวจสอบไดโ้ ดยการ เพ่มิ ปริมาณ DNA ในบรเิ วณทมี่ ีความแตกตา่ งกันดว้ ยวธิ ีการ PCR จากนนั้ นำ DNA มาตัดดว้ ยเอนไซม์ตัด จำเพาะ แลว้ จงึ นำไปทำเจลอิเลก็ โทรโฟริซิส ได้เปน็ รปู แบบของแถบ DNA ทแี่ ตกต่างกัน สามารถถ่ายทอด ไปยังลกู หลานได้ โดยใชเ้ ปน็ เครือ่ งหมายทางพันธุกรรม 4. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ 1) การวเิ คราะห์ DNA 2) การศึกษาจโี นม ทกั ษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคิด 3) ทักษะการเรียนรู้ 4) ทกั ษะการแก้ปัญหา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกลุ่ม
5. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1) อธิบายการแยกขนาดช้นิ DNA โดยวิธีเจลอิเลก็ โทรโฟริซิสได้ 2) อธบิ ายวธิ กี ารวิเคราะห์ DNA ทไี่ ด้จากการโคลนได้ 3) อธิบายวธิ กี ารศึกษาจโี นมของสิง่ มีชีวติ และจีโนมของมนุษยไ์ ด้ 6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) ใฝเ่ รยี นรู้ 2) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1) ความสามารถในการสือ่ สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปญั หา 8. กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นนำเขา้ ส่บู ทเรียน 1) ครตู ง้ั คำถามถามนักเรยี นดังนี้ - นักวิทยาศาสตร์จะมีวิธกี ารแยกยีนทโี่ คลนไดจ้ ำนวนมากน้ีด้วยวธิ ีการใด - DNA ที่โคลนไดป้ ระกอบด้วยลำดบั นิวคลโี อไทด์อะไรบ้าง 2) ใหน้ กั เรียนรว่ มกนั อภิปรายคำตอบของคำถามรว่ มกนั โดยครูยังไมเ่ ฉลยคำตอบที่ถกู ต้อง เพื่อ เช่ือมโยงไปสู่การเรยี นรเู้ ร่ือง การวิเคราะห์ DNA และการศึกษาจีโนม ข้นั จดั การเรียนรู้ จดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึง่ มีขั้นตอนดงั นี้ 1) ครูนำเสนอ PowerPoint เกี่ยวกบั การวิเคราะห์ DNA โดยอธิบายความหมายของการวิเคราะห์ DNA ให้นักเรยี นเขา้ ใจว่า การวเิ คราะห์ DNA (DNA analysis) เปน็ กระบวนการที่ใชห้ าลำดบั นิวคลโี อไทด์ โดยการแยกโมเลกุลของ DNA ที่มีขนาดประจุและรปู รา่ งแตกต่างกนั ออกจากสนามไฟฟ้า โดยอาศัยเทคนิค อเิ ล็กโทรโฟริซสิ (electrophoresis) ผ่านตวั กลางทมี่ ีลักษณะคลา้ ยแผน่ วนุ้ ท่ีเรยี กว่าเจล (gel) เรยี ก กระบวนการน้ีวา่ กระบวนการเจลอเิ ล็กโทรโฟรซิ สิ (gel electrophoresis) 2) ครูนำเสนอ PowerPoint แสดงอุปกรณแ์ ละขน้ั ตอนการแยกโมเลกุลของ DNA โดยใช้เทคนิค อเิ ลก็ โทรโฟริซิส ดังนี้ โมเลกลุ DNA ทมี่ ขี นาดแตกต่างกนั นำมาแยกขนาดภายใต้สนามไฟฟ้า โดยให้ DNA ผา่ น agarose gel DNA ซ่ึงมปี ระจลุ บจะเคลอ่ื นท่เี ขา้ หาขัว้ บวก โมเลกุล DNA ท่มี ขี นาดใหญ่จะเคลอื่ นท่ีชา้ กว่าโมเลกุลที่มขี นาดเล็ก จึงอยู่ใกลข้ วั้ ลบ ส่วนโมเลกลุ DNA ขนาดเลก็ จะเคลื่อนทีเ่ ร็วกวา่ กจ็ ะอยใู่ กล้กับขั้วบวก ยอ้ มแผน่ วุ้นด้วยสอี ธี ิเดยี มโบรไมด์ เพื่อให้สามารถมองเห็น DNA ได้เม่ือไดร้ บั แสงอลั ตราไวโอเลต นำ DNA ขนาดตา่ ง ๆ ไปเปรียบเทียบ กบั DNA ท่รี ขู้ นาดแล้ว ทำให้ทราบขนาดของ DNA ที่ต้องการศึกษา
3) ครใู หน้ ักเรยี นดู clip VDO การแยกขนาด DNA โดยใชเ้ ทคนคิ เจลอเิ ลก็ โทรโฟรซิ สิ โดยเนน้ ให้ นกั เรียนเห็นความสำคัญของการนำโมเลกลุ DNA ทร่ี ู้ขนาดแล้วไปใช้ประโยชน์ โดยการนำโมเลกุล DNA ขนาดต่างๆ ไปหาลำดับนวิ คลีโอไทด์ดว้ ยเคร่ือง Automated sequencer ซง่ึ เปน็ เครอ่ื งมือท่ีใช้หาลำดับ นิวคลโี อไทด์ โดยใชห้ ลักพนื้ ฐานของการแยกโมเลกุล DNA โดยวธิ ี gel electrophoresis แตม่ กี ารพฒั นา เทคนคิ และซอฟแวร์ จึงทำให้สามารถอา่ นข้อมลู ไดเ้ รว็ ขึน้ 4) ครนู ำเสนอ PowerPoint เก่ยี วกับความหมายและข้นั ตอนของจโี นม โดยครูอธบิ ายความหมาย ของจโี นมวา่ เป็นปรมิ าณ DNA ทงั้ หมดที่อยูใ่ นเซลลข์ องสิง่ มีชีวิต ซ่งึ สิ่งมีชวี ิตแตล่ ะชนิดจะมจี ีโนมแตกต่าง กนั จากนนั้ ครูตั้งคำถามถามนักเรียนว่า - จโี นมของส่งิ มชี ีวติ ชนดิ เดียวกนั จะแตกตา่ งกนั หรือไม่ ตรวจสอบได้โดยใช้วิธีการใด นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายคำตอบของคำถาม โดยครูควรช้แี นะใหน้ กั เรียนไดข้ ้อสรุปร่วมกันว่า จีโนมของส่ิงมชี ีวติ ชนดิ เดียวกันจะแตกต่างกัน การตรวจสอบความแตกต่างของจีโนมสงิ่ มีชีวิตชนิดเดยี วกัน มขี ัน้ ตอนดังนี้ เพมิ่ ปริมาณ DNA ในบริเวณท่ีมีความแตกต่างกนั ดว้ ยวธิ ี PCR นำผลผลติ PCR มาตัดดว้ ยเอนไซมต์ ัดจำเพาะ แยกขนาดโมเลกุล DNA ท่ีได้จากการตดั ดว้ ยเทคนคิ gel electrophoresis ได้รปู แบบ DNA ท่แี ตกต่างกนั ความแตกต่างของรูปแบบแถบ DNA เรียกวา่ PCR-RFLP ซง่ึ ใช้เปน็ เคร่อื งหมายพนั ธกุ รรม (genetic marker) เพ่ือตรวจสอบความแตกต่างของDNA ของ genome ในสง่ิ มีชีวติ 5) ครอู ธิบายใหน้ ักเรียนเข้าใจวา่ การศกึ ษาจีโนมของส่ิงมชี ีวิตจะสามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ ประโยชน์ อย่างมากในปัจจุบนั เช่น การหาความสัมพันธข์ องสงิ่ มชี วี ติ เพื่อใหร้ ูเ้ ก่ียวกับความใกล้ชดิ ทางวิวัฒนาการ และการศกึ ษาจีโนมของมนุษย์ ซ่งึ เปน็ โครงการนานาชาติที่ร่วมกันศกึ ษาลำดบั นวิ คลีโอไทดข์ องมนุษย์ทง้ั จี โนม มีเปา้ หมายเพ่ือทำแผนที่ยีน (mapping) และหาลำดบั ของนิวคลีโอไทด์ท่มี ที ้ังหมดประมาณ 3 พันล้านคเู่ บส (base pair) ในจโี นมของมนุษย์ โดยประโยชนท์ เี่ กิดจากการศึกษาจีโนมของมนษุ ย์ เช่น ด้านการแพทย์ และเชิงเศรษฐกจิ แตย่ งั คงมีปัญหาดา้ นปญั หาด้านจริยธรรมในการใช้ข้อมลู ของจีโนม โดยเฉพาะจโี นมของมนษุ ยว์ ่า เมอ่ื ค้นคว้าจีโนมมนุษย์สำเร็จ ใครจะสามารถใช้ข้อมูลเหล่านัน้ ได้ และใช้ เพอื่ การใดบ้าง 6) ครูอธบิ ายให้นักเรียนเข้าใจว่าการศึกษาจโี นมไมไ่ ด้ทำแต่เฉพาะในมนุษย์เท่านนั้ แตย่ ังศึกษา จโี นมของสิง่ มีชวี ิตชนดิ ตา่ งๆ ดว้ ย เชน่ E. coli ยสี ต์ หนู และข้าว แล้วครูนำเสนอ Power Point เก่ียวกบั การศึกษาจโี นมข้าว (Oryza sativa L.) ของไทย โดยอธบิ ายให้นกั เรียนเข้าใจว่า “โครงการวจิ ัยจโี นมขา้ ว นานาชาติ (International Rice Genome Sequencing Program--IRGSP) ได้ถูกจัดตั้งขึน้ ในปี พ.ศ. 2541 โดยประเทศไทยไดเ้ ขา้ ร่วมและไดร้ ับมอบหมายให้ให้ศกึ ษาโครโมโซมของข้าวแท่งท่ี 9 ซง่ึ พบว่า มี ยีนทเี่ กีย่ วข้องกบั ความทนทานต่อน้ำทว่ ม ความต้านทานต่อโรคและแมลง จากความร้ทู ี่ไดจ้ งึ นำมาชว่ ยใน การพัฒนาสายพันธข์ุ ้าวจนประสบความสำเรจ็ ไดส้ ายพนั ธข์ุ ้าวขาวดอกมะลิ 105 ท่ีทนน้ำทว่ ม ตา้ นทาน โรคขอบใบแหง้ และต้านทานเพลยี้ กระโดดสนี ้ำตาล
กิจกรรมรวบยอด 1) นกั เรียนและครูรว่ มกนั อภิปราย โดยใช้แนวคำถามต่อไปนี้ - โครงการจโี นมมนุษย์มีวตั ถุประสงค์อยา่ งไร (ทำแผนที่ยนี (mapping) และหาลำดบั ของนิวคลีโอ ไทดท์ ี่มีทัง้ หมดประมาณ 3 พันลา้ นคู่เบส (base pair) ในจีโนมของมนุษย)์ - การศึกษาจีโนมมนษุ ยเ์ ปน็ การหาลำดับนิวคลโี อไทด์จากโครโมโซมใดบา้ ง (เปน็ การหาลำดบั นิวคลีโอไทด์ของ DNA บนออโตโซม 22 โครโมโซม โครโมโซม X และโครโมโซม Y) 2) นกั เรียนทเี่ ป็นหวั หนา้ แต่ละกล่มุ โพจน์หัวข้อดา้ นพนั ธศุ าสตร์และเทคโนโลยดี ีเอนเอท่ีจบั สลาก ไดล้ งในเฟรชบ๊กุ จำนวน 1 หัวขอ้ โดยไมซ่ ำ้ กบั หัวข้อเดิม แล้วใหส้ มาชิกกลมุ่ ลงความคดิ เหน็ จากข้อมลู ดังกลา่ ว โดยกำหนดเวลาให้ 1 หัวขอ้ ต่อ 1 สปั ดาห์ 9. สื่อและแหลง่ การเรยี นรู้ สื่อ 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เร่อื ง การวเิ คราะห์ DNA และการศึกษาจีโนม 2) หนังสือเรียน รายวชิ าเพม่ิ เตมิ ชวี วิทยา 2 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4-6 ของ สสวท แหลง่ การเรียนรู้ 1) หนงั สอื หรือวารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ 3) อนิ เทอรเ์ น็ต 10. การวัดและประเมนิ ผล เปา้ หมาย หลกั ฐาน เครื่องมอื วัด เกณฑก์ ารประเมนิ สาระสำคญั - การวเิ คราะห์ DNA - สมุด - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ อย่างถูกต้อง - การศึกษาจีโนม - สมดุ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม ได้อย่างถกู ต้อง ผลการเรียนรู้ -อธิบายและสรปุ - สมุด - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เกย่ี วกับพันธุวศิ วกรรม ได้อยา่ งถูกต้อง การโคลนยีน การ วิเคราะหด์ ีเอ็นเอ และ การศึกษาจโี นม และ การประยุกตใ์ ช้ เทคโนโลยขี องดีเอ็นเอ รวมท้ังความปลอดภัย ของเทคโนโลยที างดีเอน็ เอ และมมุ มองทาง สงั คมและจริยธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) - สมุด - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
เป้าหมาย หลกั ฐาน เคร่ืองมอื วัด เกณฑก์ ารประเมนิ -ตงั้ คำถามท่ีอยู่บน พนื้ ฐานของความรแู้ ละ ความเข้าใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรอื ความ สนใจ หรือจากประเด็น ทีเ่ กดิ ข้ึนในขณะนัน้ ท่ี สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรือศกึ ษา ค้นควา้ ได้อยา่ ง ครอบคลุมและเช่ือถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - การเขา้ ชน้ั เรยี น - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเข้าชั้นเรียนสาย - ใฝเ่ รยี นรู้ จำนวนคร้ังทีเ่ ขา้ เรียน ไมเ่ กนิ 15 นาที และ - ม่งุ มนั่ ในการทำงาน จำนวนคร้งั ทเ่ี ข้าเรยี น มากกว่า 80% - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรียน ได้อย่างถูกตอ้ ง
แผนการจัดการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ว31247 ชอ่ื รายวิชา ชวี วทิ ยา 2 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ภาคเรียนท่ี 2 ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ พนั ธศุ าสตร์และเทคโนโลยีทาง DNA แผนการเรยี นร้ทู ี่ 20 เรอ่ื ง การประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีทาง DNA (1) เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นางสาวศรอี ุดร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ววิ ฒั นาการของส่ิงมีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยชี ีวภาพทีม่ ีผลกระทบต่อมนุษย์ และสิ่งแวดลอ้ ม มกี ระบวนการสบื เสาะหาความร้แู ละจิตวิทยาศาสตร์ สอื่ สารส่ิงทเ่ี รยี นรู้และนำความรู้ไป ใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร์ในการสบื เสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทเี่ กดิ ข้นึ ส่วนใหญม่ รี ูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมูลและเครอื่ งมือที่มีอยู่ในชว่ งเวลานัน้ ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสงิ่ แวดล้อมมคี วามเกยี่ วข้องสัมพันธ์กัน 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธิบายและสรปุ เกีย่ วกบั พันธุวศิ วกรรม การโคลนยนี การวเิ คราะหด์ เี อน็ เอ และการศึกษาจโี นม และการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยขี องดเี อ็นเอ รวมท้งั ความปลอดภยั ของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ และมุมมอง ทางสังคมและจริยธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) 2) ตั้งคำถามที่อยูบ่ นพืน้ ฐานของความรู้และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรอื จากประเดน็ ทีเ่ กิดขึ้นในขณะน้นั ทส่ี ามารถทำการสำรวจหรอื ศึกษาค้นควา้ ได้อยา่ งครอบคลุมและเช่ือถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เทคโนโลยที าง DNA ถูกนำมาประยุกต์ใชป้ ระโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆ มากมาย ตวั อย่างเช่น ทางดา้ น การแพทย์และทางเภสชั กรรม โดยนำมาใชใ้ นการวินิฉัยโรค การบำบัดดว้ ยยนี การผลิตฮอร์โมนอินซูลนิ และการผลติ ยายบั ยงั้ เช้ือ HIV นอกจากน้ยี ังถูกนำมาใช้ประโยชนท์ างในเชงิ นิตวิ ิทยาศาสตร์เพ่ือพิสูจนห์ า ความสมั พันธ์ทางสายเลอื ด หรอื หาอาชญากรในคดีตา่ ง ๆ 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีทาง DNA ในด้านการแพทย์ ดา้ นเภสัชกรรม และดา้ นนิตวิ ิทยาศาสตร์ ทกั ษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทักษะการคดิ 3) ทกั ษะการเรียนรู้ 4) ทักษะการแก้ปญั หา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกล่มุ
5. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1) อธิบายการนำเทคโนโลยที าง DNA ไปใช้ประโยชนใ์ นด้านการแพทย์ และด้านเภสัชกรรมได้ 2) อธบิ ายประโยชน์ของการนำลายพิมพ์ DNA ไปใช้ในเชิงนิติวทิ ยาศาสตร์ และวเิ คราะห์ลายพมิ พ์ DNA ในการตรวจพิสูจนห์ าบคุ คลในคดีต่าง ๆ ได้ 6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1) ใฝเ่ รียนรู้ 2) ม่งุ มัน่ ในการทำงาน 7. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน 1) ความสามารถในการสอื่ สาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 8. กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันนำเขา้ ส่บู ทเรยี น 1) ครตู ั้งคำถามถามนักเรียนดังนี้ - ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทาง DNA ในการสรา้ ง DNA รีคอมบิแนนท์ เทคนิค PCR การค้นพบ เครอ่ื งหมายพนั ธกุ รรม และการหาลำดับนวิ คลีโอไทด์ในจีโนมของสงิ่ มีชวี ติ ตา่ งๆ ท่ีนกั เรียนไดศ้ ึกษามาแลว้ น้ันสามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นทางการแพทย์และเภสชั กรรมได้อยา่ งไร 2) ให้นักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายคำตอบของคำถามร่วมกัน โดยครยู ังไมเ่ ฉลยคำตอบที่ถูกต้อง เพ่ือ เช่อื มโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทาง DNA (1) ขนั้ จัดการเรียนรู้ จดั กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซึง่ มขี นั้ ตอนดังนี้ 1) ครูนำเสนอ PowerPoint เกีย่ วกับการประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีทาง DNA ในด้านการแพทย์และ เภสชั กรรม โดยอธบิ ายให้นกั เรียนเข้าใจว่า เทคโนโลยีทาง DNA สามารถนำมาใชว้ ินิจฉยั โรคต่างๆ ได้ เช่น ใช้วนิ ิจฉยั โรคทีเ่ กดิ จากการติดเชอ้ื ไวรสั โดยการใชเ้ ทคนิค PCR เพื่อตรวจสอบวา่ มีจีโนมของไวรสั อยใู่ น ส่ิงมีชีวติ นัน้ หรือไม่ ซงึ่ เป็นเทคนคิ ที่มีความไวสูงและสามารถตรวจพบได้โดยมตี วั อยา่ งเพียงเลก็ นอ้ ย หรือ นำไปใช้ในการตรวจวนิ จิ ฉยั โรคทางพันธุกรรมก่อนจะมีอาการของโรคหรือเป็นเพียงพาหะ ทำใหส้ ามารถ ปอ้ งกันการถ่ายทอดลักษณะดังกล่าวได้ 2) ครอู ธบิ ายเพ่มิ เติมใหน้ กั เรยี นเข้าใจวา่ ในด้านการแพทย์ เทคโนโลยที าง DNA ยังสามารถนำมา รกั ษาโรคไดโ้ ดยการบำบดั ดว้ ยยีน ซ่งึ เปน็ วธิ ีการทีใ่ ช้รกั ษาโรคทเ่ี กดิ จากความบกพร่องของยนี โดยการใช้ ไวรัสชนิดหนึง่ เป็นตัวนำยีนปกตทิ ต่ี ้องการถา่ ยเข้าสู่เซลลค์ นท่ีเกิดความบกพรอ่ งของยนี เพอ่ื ชว่ ยบำบัด อาการบกพร่องท่ีเกิดขน้ึ ตัวอยา่ งการรักษาด้วยยีนบำบดั เชน่ การรกั ษาโรค Severe Combined Immunodefiency Disorder (SCID) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรม โดยผู้ที่เปน็ โรคน้ีไมส่ ามารถสร้างภมู คิ ้มุ กัน ได้ และมักเสียชวี ติ จากการติดเชือ้ เพียงเล็กนอ้ ย แต่การบำบัดดว้ ยยีนมสี ง่ิ ทตี่ อ้ งระมดั ระวงั ดงั นี้ - ปญั หาด้านเทคนิค โดยการควบคุมการแสดงออกของยีนท่ีใสเ่ ข้าไปในเซลลใ์ ห้ผลิตโปรตีน จะตอ้ งมกี ารควบคมุ ปริมาณอยา่ งเหมาะสม - การแทรกของยีนเขา้ สู่จีโนมคน จะต้องไมท่ ำให้ยนี ปรกติเกิดมวิ เทชัน - ไวรสั ทเ่ี ป็นเวกเตอร์อาจกอ่ ให้เกิดโรคในคนได้
- เซลลส์ ืบพนั ธทุ์ ถี่ กู บำบดั ด้วยยนี จะถ่ายทอดไปสลู่ ูกได้ ทำให้ลกู ไม่เปน็ โรค ส่งผลกระทบต่อ ววิ ฒั นาการของมนุษยใ์ นอนาคต 3) ครูนำเสนอ Power point เก่ยี วกับการนำเทคโนโลยที าง DNA มาใช้ในการสรา้ งผลติ ภัณฑ์ทาง เภสชั กรรม โดยอธบิ ายใหน้ กั เรียนเขา้ ใจว่า ตวั อยา่ งการนำเทคโนโลยีทาง DNA มาใช้ในการสร้างผลติ ภัณฑ์ ทางเภสชั กรรม เชน่ การผลิตฮอร์โมนอนิ ซลู นิ ซง่ึ มีขั้นตอนดังน้ี - การตดั ชิ้นสว่ น DNA ของคนทม่ี ียีนควบคุมการสังเคราะห์ฮอรโ์ มนอนิ ซลู นิ ตอ่ เขา้ กับ DNA ของแบคทีเรยี จะได้ DNA โมเลกลุ ใหม่ เรยี กวา่ DNA ลูกผสม หรือ DNA รคี อมบแิ นนท์ - นำ DNA ลูกผสมใส่เข้าไปในเซลล์ของแบคทเี รียท่ีไมส่ ามารถสงั เคราะห์ฮอรโ์ มนอนิ ซลู นิ ให้ กลายเป็นแบคทีเรียชนิดใหม่ท่ีสามารถสังเคราะห์ฮอร์โมนอินซลู ินได้ - คดั เลอื กแบคทีเรยี ชนดิ ใหมท่ ี่สามารถสงั เคราะห์ฮอร์โมนอินซลู ินไดแ้ ละนำไปเพาะเลีย้ งใหม้ ี เซลลจ์ ำนวนมากเพียงพอแล้วจงึ สกดั ฮอรโ์ มนอนิ ซลู ินไปใชป้ ระโยชน์ต่อไป 4) ครยู กตวั อยา่ งการนำเทคโนโลยีทาง DNA มาใชใ้ นการสร้างผลิตภัณฑท์ างเภสชั กรรมเพม่ิ เตมิ เชน่ การผลิตยาทยี่ ับยงั้ เชอ้ื HIV โดยอธิบายให้นักเรยี นเข้าใจว่า การผลติ ยาทยี่ บั ยงั้ เช้ือ HIV จะใชเ้ ทคนิค ทางพันธุวิศวกรรมในการสรา้ งโมเลกลุ ของโปรตีนท่ีจะป้องกันหรือเลยี นแบบตวั รบั ท่ี HIV ใชใ้ นการเขา้ สู่ เซลล์ ซึง่ ตวั รับเหล่านจ้ี ะอยู่บนเย่ือห้มุ เซลลข์ องคน ถ้ามีโมเลกุลทีเ่ ลียนแบบตวั รบั เหลา่ น้อี ยูใ่ นกระแส เลือด HIV จะเขา้ เกาะกับโมเลกลุ เหล่านีแ้ ทนที่จะเกาะที่ตัวรบั ทเี่ ซลล์เม็ดเลือดขาว แลว้ เข้าทำลายเซลล์ เมด็ เลอื ดขาว จึงสามารถยบั ย้ังการทำงานของ HIV ได้ 5) ครนู ำเสนอ Power point เกีย่ วกบั การนำเทคโนโลยที าง DNA มาใช้ในเชงิ นิติวทิ ยาศาสตร์ โดย อธิบายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจวา่ ลายพิมพ์ DNA มีลักษณะเฉพาะบุคคล โดยสรา้ งมาจาก DNA ท่ีได้รับการ ถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่อย่างละคร่งึ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทำให้สามารถบอกความแตกต่างของ บคุ คลได้ จงึ นำมาใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน เชน่ การพิสูจน์ตัวบคุ คล การพสิ จู นค์ วามสัมพนั ธท์ าง สายเลือด และการตรวจทางนิติเวชศาสตร์เพื่อหาผู้กระทำความผดิ กิจกรรมรวบยอด 1) ให้นักเรยี นทำแบบทดสอบ Check Point 2 เพือ่ ทบทวนความรทู้ ี่นักเรยี นไดร้ บั จากการเรยี น โดยใหน้ กั เรยี นตอบคำถามตอ่ ไปน้ี - โครงการจโี นมมนษุ ยม์ ีวตั ถุประสงค์อยา่ งไร - การบำบัดด้วยยีนมเี ป้าหมายอยา่ งไร - ปัญหาและข้อโต้แยง้ อะไรบ้างที่ทำให้การบำบดั ดว้ ยยีนไม่ไดผ้ ล - การบำบัดด้วยยนี ทท่ี ำกบั เซลลร์ า่ งกาย และเซลล์ต้งั ตน้ ท่ีจะสรา้ งเซลลส์ ืบพันธุ์ สามารถถ่ายทอด ยนี ทีบ่ ำบดั ไปยังรุ่นลกู ได้หรือไม่ - การผลิตฮอรโ์ มนอนิ ซูลินมีขนั้ ตอนอยา่ งไร - เพราะเหตุใดจงึ สามารถนำลายพมิ พ์ DNA ไปเป็นหลักฐานทางศาลเพ่อื ตัดสนิ คดีความได้ 2) นกั เรียนปฏิบัตกิ จิ กรรมที่ 17.2 วเิ คราะห์ลายพิมพ์ DNA 3) ครใู ห้นกั เรยี นส่งสมุด เพื่อตรวจสอบการบนั ทึกความรู้ที่ไดจ้ ากการเรยี นและการตอบคำถาม Check Point 2 และการปฎบิ ตั กิ จิ กรรมที่ 17.2 หลงั เลกิ เรียน 4) ใหน้ ักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ใช้นอกเวลาเรยี นแบบปกติค้นหาขอ้ มลู และแสดงความคดิ เห็นผ่านทาง โซเชียลเน็ตเวิรก์ เพือ่ ส่งเสริมทักษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล ตามหวั ข้อดา้ นพันธศุ าสตร์และเทคโนโลยี
ดเี อนเอทหี่ วั หนา้ กลมุ่ โพจน์ไว้ โดยกำหนดเวลาให้ 1 หวั ข้อต่อ 1 สปั ดาห์ 5) เมื่อครบกำหนด 1 สัปดาหใ์ ห้นักเรยี นแต่ละกล่มุ รวบรวมข้อมลู ด้วยการล็อกไฟล์หรือปรนิ้ สกรนี ตห์ นา้ จอคอมพวิ เตอร์ พร้อมทงั้ สรปุ ความรู้ทไี่ ด้จากการลงความคิดเหน็ จากขอ้ มลู เปน็ ความรขู้ อง กลุ่มจัดทำเปน็ รายงานสง่ 9. สอื่ และแหลง่ การเรียนรู้ สอื่ 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เรือ่ ง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทาง DNA (1) 2) หนังสือเรยี น รายวิชาเพมิ่ เติม ชวี วิทยา 2 ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรียนรู้ 1) หนังสือหรือวารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ 3) อินเทอรเ์ นต็ 10. การวดั และประเมินผล เป้าหมาย หลกั ฐาน เคร่ืองมอื วดั เกณฑ์การประเมิน สาระสำคัญ -การประยกุ ต์ใช้ - สมุด - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ เทคโนโลยีทาง DNA ใน อย่างถูกต้อง ด้านการแพทย์ ดา้ น -แบบทดสอบ (check - ทำแบบทดสอบ เภสัชกรรม และดา้ น point) (check point) ได้อยา่ ง นติ วิ ทิ ยาศาสตร์ ถกู ต้อง -การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมที่ - สามารถปฏบิ ตั ิ 17.2 วเิ คราะห์ลาย กิจกรรมที่ 17.2 ได้ พิมพ์ DNA อย่างถูกต้อง -รายงานการลง - การลงความคิดเหน็ ความเห็นจากข้อมลู จากข้อมูลตามหวั ข้อท่ี - สามารถลงความ ได้ คิดเห็นจากข้อมลู และ สรุปเปน็ ความรไู้ ด้ ผลการเรยี นรู้ -อธบิ ายและสรปุ - สมดุ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เกย่ี วกับพนั ธวุ ิศวกรรม ได้อย่างถูกตอ้ ง การโคลนยนี การ -แบบทดสอบ (check -ทำแบบทดสอบ วเิ คราะห์ดีเอ็นเอ และ point) (check point) ได้อย่าง การศกึ ษาจโี นม และ -การปฏิบัติกจิ กรรมที่ ถูกต้อง การประยุกตใ์ ช้ 17.2 วเิ คราะหล์ าย - สามารถปฏบิ ัติ เทคโนโลยีของดีเอ็นเอ พมิ พ์ DNA กิจกรรมที่ 17.2 ได้ รวมทั้งความปลอดภยั -รายงานการลง - การลงความคิดเห็น อย่างถูกต้อง ของเทคโนโลยที างดี ความเห็นจากข้อมูล จากข้อมูลตามหวั ข้อท่ี เอน็ เอ และมมุ มองทาง ได้
เปา้ หมาย หลักฐาน เครอ่ื งมือวัด เกณฑ์การประเมนิ - การถาม/ตอบ - สามารถลงความ สังคมและจรยิ ธรรมได้ คดิ เห็นจากข้อมูลและ สรุปเป็นความรไู้ ด้ (ว 1.2 ม. 6/3) - สมดุ - สามารถตอบคำถาม -ต้ังคำถามทีอ่ ยู่บน ได้อย่างถูกต้อง พื้นฐานของความรแู้ ละ ความเขา้ ใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรือจากประเดน็ ทีเ่ กดิ ขึ้นในขณะน้ัน ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศึกษา ค้นควา้ ได้อย่าง ครอบคลุมและเชื่อถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - การเขา้ ชั้นเรยี น - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเข้าช้นั เรียนสาย - ใฝเ่ รยี นรู้ จำนวนคร้งั ที่เขา้ เรยี น ไม่เกนิ 15 นาที และ - มุ่งมัน่ ในการทำงาน จำนวนคร้งั ที่เขา้ เรยี น มากกว่า 80% - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรียน ได้อย่างถูกตอ้ ง
แผนการจดั การเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 รหัสวิชา ว31247 ชอื่ รายวชิ า ชวี วทิ ยา 2 ภาคเรียนที่ 2 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ พันธุศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที าง DNA เวลา 2 ช่ัวโมง แผนการเรยี นรู้ท่ี 21 เรือ่ ง การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีทาง DNA (2) ผสู้ อน นางสาวศรอี ุดร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ววิ ัฒนาการของสิ่งมชี วี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใชเ้ ทคโนโลยชี ีวภาพทมี่ ผี ลกระทบต่อมนุษย์ และสง่ิ แวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ สอื่ สารส่ิงท่เี รียนรู้และนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกดิ ข้ึนส่วนใหญ่มรี ปู แบบท่ีแนน่ อน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมลู และเครื่องมอื ท่ีมีอยู่ในชว่ งเวลานนั้ ๆ เข้าใจวา่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสงิ่ แวดล้อมมคี วามเกยี่ วข้องสัมพนั ธ์กัน 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธบิ ายและสรปุ เก่ยี วกบั พันธุวิศวกรรม การโคลนยนี การวเิ คราะห์ดีเอน็ เอ และการศึกษาจโี นม และการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยขี องดเี อ็นเอ รวมทง้ั ความปลอดภยั ของเทคโนโลยที างดีเอน็ เอ และมุมมอง ทางสงั คมและจริยธรรมได้ (ว 1.2 ม. 6/3) 2) ตง้ั คำถามท่ีอยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรอื จากประเดน็ ทเ่ี กิดขน้ึ ในขณะนนั้ ท่ีสามารถทำการสำรวจหรือศึกษาคน้ คว้าได้อย่างครอบคลุมและเชื่อถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด เทคโนโลยีทาง DNA ถกู นำมาประยกุ ต์ใชป้ ระโยชน์ในเชงิ การเกษตร เชน่ การทำฟารม์ เพื่อสขุ ภาพ มนุษย์ การสรา้ งพชื ดดั แปลงพันธุกรรม และนำมาศึกษาค้นควา้ หายีนและหนา้ ที่ของยีนในด้านตา่ ง ๆ ได้ 4. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยที าง DNA ในดา้ นการเกษตร และศึกษาค้นควา้ หายนี และหนา้ ที่ของยนี ทกั ษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทักษะการคิด 3) ทกั ษะการเรียนรู้ 4) ทักษะการแก้ปัญหา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกลุ่ม
5. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) อธบิ ายการนำเทคโนโลยีทาง DNA ไปใชป้ ระโยชน์ในดา้ นการเกษตร เช่น การทำฟารม์ เพ่อื สุขภาพของมนุษย์ และการสร้างพืชดัดแปรพนั ธุกรรมได้ และการศกึ ษาคน้ คว้าหายนี และหน้าท่ขี องยนี ได้ 2) อธิบายการนำเทคโนโลยีทาง DNA ไปใชศ้ ึกษาคน้ คว้าหายีนและหน้าที่ของยีนได้ 6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1) ใฝเ่ รียนรู้ 2) อยู่อย่างพอเพียง 3) มงุ่ มั่นในการทำงาน 4) มีวินยั 7. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น 1) ความสามารถในการสอื่ สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ นำเข้าสูบ่ ทเรียน 1) ครตู ง้ั คำถามถามนักเรียนดังน้ี - การผสมพนั ธุ์ การคัดเลือกพนั ธุ์ และการปรบั ปรงุ พันธสุ์ ิ่งมีชีวิตแบบเดมิ มขี ้อเสียเปรียบอยา่ งไร บ้าง 2) ให้นักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายคำตอบของคำถามร่วมกนั เพ่อื เช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้ เรอ่ื งการ ประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีทาง DNA (2) ซ่ึงนักเรียนควรได้ข้อสรุปร่วมกนั วา่ - การผสมพันธ์แุ บบเดมิ จะตอ้ งผสมพันธ์ุในส่งิ มีชีวิตชนิดเดยี วกนั หรือใกลเ้ คียงกนั เท่านั้น - ลักษณะของลูกทเ่ี กิดจากการผสมพนั ธมุ์ ที งั้ ลักษณะทดี่ ีและลักณะที่ไมด่ ี - การคดั เลือกพนั ธ์แุ ละการปรบั ปรุงพันธุ์ใชเ้ วลานานกวา่ จะได้ลูกที่มลี ักษณะตามที่มนุษย์ต้องการ เน่อื งจากต้องมกี ารผสมหลายร่นุ จนกว่าจะคัดเลือกยนี ที่ดไี ว้ไดแ้ ละกำจัดยีนไมด่ ีออกไป ข้ันจดั การเรียนรู้ จดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซ่ึงมขี ้นั ตอนดังนี้ 1) ครูนำเสนอ PowerPoint เกี่ยวกับการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยที าง DNA ในเชงิ การเกษตร โดย การทำฟารม์ สตั วเ์ พ่ือสุขภาพมนุษย์ แลว้ อธบิ ายใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า เปน็ วธิ กี ารปรบั ปรุงพนั ธุ์พืชและสัตว์ให้ มลี กั ษณะดีขน้ึ เพ่ือตอบสนองความต้องการของมนษุ ย์ เชน่ การหายนี ที่ทำใหห้ มูมีไขมันตำ่ ลง การทำใหว้ วั สามารถผลติ น้ำนมได้เร็วและมากขึ้น หรือการใชส้ ตั ว์ผลติ สารทีม่ ีประโยชน์ในทางการแพทย์ โดยเรยี ก ส่งิ มีชีวิตท่ีเกิดจากการใช้เทคโนโลยีทาง DNA นวี้ ่า สตั วด์ ดั แปรพันธุกรรม (transgenic animal) 2) ครนู ำเสนอ PowerPoint เกย่ี วกับสตั ว์ดัดแปรพันธุกรรม และพชื ดัดแปรพนั ธุกรรม โดยอธบิ าย ขนั้ ตอนการสร้างสตั ว์ดดั แปรพนั ธุกรรมใหน้ ักเรยี นเข้าใจว่า เรมิ่ จากการแยกเซลล์ไข่ออกจากเพศเมยี และ ฉีดยีนทตี่ ้องการเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ไข่ จากนน้ั ทำการผสมพนั ธ์ใุ นหลอดทดลอง (in vitro fertilization)และถ่ายฝากเข้าในตัวแม่ผรู้ บั เพ่ือใหเ้ จรญิ เปน็ ตวั ใหม่ ซ่ึงจะมยี ีนท่ตี อ้ งการอยู่โดย ไมจ่ ำเป็นต้องมาจากสปชี สี เ์ ดียวกนั สว่ นการสร้างพชื ดัดแปรพนั ธกุ รรม เปน็ การทำให้พืชมียีนตามลกั ษณะ
ทตี่ อ้ งการ เชน่ มีความตา้ นทานต่อโรค และสารปราบวชั พชื มากขึน้ มคี ุณคา่ ทางอาหารเพิ่มข้ึน และยืดอายุ การเกบ็ ผลผลิตได้นานขึน้ 3) ครูนำเสนอ PowerPoint เกีย่ วกบั การใช้พันธุศาสตร์เพื่อศกึ ษาค้นคว้ายนี และหนา้ ทข่ี องยนี โดย ครูยกตัวอย่างการคน้ พบยนี ดอ้ ยที่ควบคุมความหอมในขา้ ว (Os2AP) บนโครโมโซมแทง่ ที่ 8 แล้ว อธบิ ายใหน้ ักเรียนเข้าใจวา่ ในขา้ วหอมยนี น้ถี ูกกดหรอื ถูกยับย้ัง ทำใหม้ ีการสร้างสารหอมขึ้น จึงมีการนำ ความรทู้ ่ไี ด้ไปใช้สร้างข้าวหอมสายพนั ธต์ุ ่าง ๆ เชน่ เม่ือทดลองยบั ยง้ั การแสดงออกของยนี Os2AP ในข้าว ญีป่ นุ่ สายพนั ธ์ุนิพพอนบาเร พบวา่ เมื่อมีการกดหรือยับยั้งการทำงานของยนี Os2AP ข้าวนพิ พอนบาเร สามารถสร้างสารหอมได้ 4) ครูอธบิ ายใหน้ ักเรียนเข้าใจวา่ ส่ิงมีชีวิตทง้ั พืชและสตั ว์ทด่ี ัดแปรพันธกุ รรมได้นเ้ี รยี กวา่ สง่ิ มีชีวติ ดดั แปรพนั ธุกรรม (genetically modified organisms : GMOs) ซึง่ นอกจากตวั อย่างส่ิงมีชวี ิตท่ียกมา นกั วทิ ยาศาสตร์ยังสร้างสงิ่ มชี วี ติ ทดี่ ดั แปรพันธุกรรมอีกหลายชนิด เพ่อื นำไปใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ อกี มาก กิจกรรมรวบยอด 1) ให้นักเรียนทำแบบทดสอบ Check Point 3 เพือ่ ทบทวนความร้ทู ี่นกั เรยี นได้รบั จากการเรียน โดยใหน้ กั เรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี - การผสมพนั ธุ์ การคัดเลือกพันธ์ุ และการปรบั ปรุงพนั ธุส์ ่งิ มีชีวิตแบบเดิมมีข้อเสยี อยา่ งไรบา้ ง - เทคโนโลยีทาง DNA นำมาใชใ้ นการปรบั ปรุงพนั ธ์สุ ่งิ มชี ีวิตให้ดขี นึ้ กว่าเดิมได้อย่างไร - GMOs คอื อะไร - ความหอมของข้าวเกดิ ขนึ้ ได้อย่างไร 2) ครใู ห้นักเรียนสง่ สมุด เพือ่ ตรวจสอบการบันทึกความรูท้ ไี่ ด้จากการเรียนและการตอบคำถาม Check Point 2 หลงั เลิกเรยี น 3) นกั เรยี นท่ีเปน็ หวั หนา้ แต่ละกลุม่ โพจนห์ วั ข้อหัวขอ้ ดา้ นพนั ธุศาสตร์และเทคโนโลยดี ีเอนเอทจ่ี บั สลากไดล้ งในเฟรชบุ๊กจำนวน 1 หัวข้อ โดยไม่ซ้ำกับหวั ข้อเดิม แล้วให้สมาชิกกลุ่มลงความคิดเห็นจากข้อมลู ดังกลา่ ว โดยกำหนดเวลาให้ 1 หวั ขอ้ ต่อ 1 สัปดาห์ 9. ส่อื และแหลง่ การเรยี นรู้ สือ่ 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เร่อื ง การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีทาง DNA (2) 2) หนงั สือเรียน รายวชิ าเพิม่ เตมิ ชวี วทิ ยา 2 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรยี นรู้ 1) หนงั สอื หรอื วารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ 3) อินเทอร์เนต็
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128