มนุษยท์ กุ คนตอ้ งการมชี วี ติ ทด่ี ที ส่ี ดุ จงึ ต่างแสวงหาและมคี วามตอ้ งการในสนิ คา้ และบรกิ ารอยา่ ง ไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ ในขณะทป่ี รมิ าณของทรพั ยากรมอี ยู่อย่างจากดั บางครงั้ จงึ เกดิ การขาดแคลนข้นึ ดว้ ยเหตุน้ีวชิ าเศรษฐศาสตร์ จงึ เกดิ ข้นึ เพ่อื ศกึ ษาหาวธิ ที จ่ี ะจดั สรรทรพั ยากรทม่ี อี ยู่จากดั ใหส้ ามารถสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์ และเกดิ ประสทิ ธภิ าพมากทส่ี ดุ
ความหมายของเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เป็นสาขาวชิ าหน่ึงของวชิ าสงั คมศาสตร์ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การดาเนินชวี ิตของประชาชน ทุกคน เพราะเป็นวชิ าท่ศี กึ ษาถึงพฤตกิ รรมของมนุษย์ในการแสวงหาวธิ นี าทรพั ยากรท่มี ีอยู่อย่างจากัด มาผลิตเป็นสนิ ค้าและบริการ เพ่อื สนองตอบความต้องการท่มี อี ย่างไม่จากัดของตนเองให้ได้มากท่สี ุด โดยต้องให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มท่ที งั้ ต่อตนเอง ครอบครวั ประเทศชาติ รวมทงั้ ระดบั โลก ทา ให้วิชา เศรษฐศาสตรม์ ขี อบเขตกวา้ งขวาง และมผี ลตอ่ ความอยรู่ อดของสงั คมดว้ ย คาวา่ “เศรษฐศาสตร”์ ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า Economics ซ่งึ มรี ากศพั ท์มาจากภาษากรกี วา่ oikonomikos ทแ่ี ปลวา่ “การจดั การบา้ น” (Household Management) ซง่ึ เป็นเร่อื งทย่ี งุ่ ยากซบั ซอ้ น ทาใหม้ คี าจากดั ความ เกดิ ขน้ึ มากมาย และแตกต่างกนั ตามแนวคดิ ของนักเศรษฐศาสตรแ์ ตล่ ะคน หรอื แตล่ ะกลุ่ม เชน่
จากคาจากัดความดงั กล่าวสามารถสรุปความหมายของเศรษฐศาสตร์ได้ว่า “เป็นวชิ าท่ศี ึกษาถึง กระบวนการใชท้ รพั ยากรทม่ี อี ยอู่ ยา่ งจากดั เพ่อื นาไปผลติ สนิ คา้ และบรกิ าร เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของ มนุษยท์ ม่ี อี ยอู่ ยา่ งไมจ่ ากดั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและเกดิ ประโยชน์สงู สดุ ทงั้ ในปั จจุบนั และอนาคต อนั จะ ก่อใหเ้ กดิ ความอยดู่ กี นิ ด”ี ส่วนคาว่า “เศรษฐกิจ” (Economy) มาจากคาว่า Oikos หมายถึง “บ้าน” กับ Nemein หมายถึง “การจัดการ” ดังนั้น ความหมายแบบตรงตัวของคาว่า เศรษฐศาสตร์และเศรษฐกิจ จึงเหมือนกัน คอื เป็นการจดั การครอบครวั
ความเป็ นมาของวิชาเศรษฐศาสตร์ วชิ าเศรษฐศาสตรเ์ กดิ ข้นึ มาพรอ้ มกบั การมสี งั คมมนุษยต์ งั้ แต่โบราณกาล ซ่งึ แนวคดิ เก่ียวกบั วชิ าน้ี นกั ปราชญไ์ ดพ้ ยายามสอดแทรกลงไปในหนงั สอื หรอื บทความตา่ งๆ แตแ่ นวคดิ เหล่านนั้ ยงั ไมถ่ อื เป็นทฤษฎี หรอื หลักเกณฑ์ท่จี ะใช้วเิ คราะห์สภาพเศรษฐกิจได้ จนถึงศตวรรษท่ี 13-16 ซ่ึงเป็นช่วงท่ีธุรกิจการค้า ของทวปี ยุโรปเจรญิ ก้าวหน้ามาก เพราะประชาชนตระหนักว่าการค้านาความมงั่ คงั่ มาสู่ประเทศของตน จึงหาวิธีการท่จี ะส่งสนิ ค้าออกไปขายให้ได้มากกว่าการซ้ือสนิ ค้าจากประเทศอ่นื เข้ามา หรือท่ีเรียกว่า การไดเ้ ปรยี บทางการคา้ แนวคดิ ดงั กลา่ วน้ีไดก้ ลายมาเป็นลทั ธทิ างเศรษฐกจิ ทเ่ี รยี กว่า “ลทั ธพิ าณิชยน์ ิยม” ในขณะเดียวกัน อดัม สมิธ (Adam Smith) ชาวอังกฤษ ได้เขียนหนังสือช่ือ “ความมัง่ คัง่ ของชาติ” (The Wealth of Nations) ซ่งึ ถือเป็นหนังสอื ทางเศรษฐศาสตรเ์ ล่มแรก และทาให้ อดมั สมธิ ได้รบั การ ยกย่องให้เป็น “บิดาทางเศรษฐศาสตร์” จากนัน้ เป็นต้นมา วิชาเศรษฐศาสตร์ซ่งึ เคยเป็นส่วนประกอบ ในวชิ าอ่นื ๆ จงึ ไดเ้ รมิ่ มลี กั ษณะเป็นวชิ าการทก่ี วา้ งขวางขน้ึ มเี น้ือหาทเ่ี น้นหนักไปทางวเิ คราะหห์ าเหตุผล ในเร่อื งท่เี ก่ยี วกบั เศรษฐกจิ โดยเฉพาะ ทาให้แนวคดิ ดา้ นเศรษฐศาสตร์เปล่ยี นมาเป็นวชิ าเศรษฐศาสตร์ (Economics) อยา่ งแทจ้ รงิ
ลัทธิพาณิชย์นิยมเส่ือมความนิยมในศตวรรษท่ี 18 และ อดัม สมิธ ได้เสนอแนวคิดเก่ียวกับ การแบง่ งานกนั ทาตามถนดั และใหเ้ อกชนมเี สรภี าพในการผลติ ทเ่ี รยี กวา่ “เศรษฐกจิ แบบเสร”ี ซง่ึ จะชว่ ยให้ เศรษฐกิจของประเทศเจริญรุ่งเรือง ในช่วงศตวรรษท่ี 19 ทวีปยุโรปมีการขยายตัวด้านอุตสาหกรรม อยา่ งรวดเรว็ มกี ารอพยพแรงงานจากภาคเกษตรกรรมเขา้ สู่ภาคอุตสาหกรรมมากขน้ึ จนปลายศตวรรษ ท่ี 19 อัลเฟรด มาร์แชล (Alfred Marshall) ได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยการผลิต อันเป็ นท่ีมาของทฤษฎี เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics Theory) แต่ต่อมาเกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่าไปทวั่ โลก ประชาชนว่างงานมากข้ึน จอห์น เมนาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) จึงเสนอทฤษฎีว่าด้วยการจ้างงาน (Theory of Employment) โดยแนะนาใหร้ ฐั บาลใชน้ โยบายการคลงั และการเงนิ เขา้ ชว่ ยแกไ้ ข เม่อื ประเทศ เกดิ ภาวะเศรษฐกจิ ตกต่า จงึ กลายเป็นทม่ี าของเศรษฐศาสตรม์ หภาค (Macroeconomics)
สว่ นประเทศไทยใชห้ ลกั การทางดา้ นเศรษฐศาสตรใ์ นกจิ การดา้ นการค้า การเกบ็ ภาษีอากรมาตงั้ แต่ สมยั สโุ ขทยั แตย่ งั ไมไ่ ดร้ วบรวมตามหลกั วชิ าการอย่างเป็นแบบแผน จนถงึ พ.ศ. 2454 พระยาสรุ ยิ านุวตั ร์ ได้เรียบเรียงหนังสอื ช่อื ว่า “ทรพั ยศาสตร์” ข้นึ ถือเป็นหนังสอื เศรษฐศาสตร์เล่มแรกของประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2459 กรมหม่นื พทิ ยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ได้เขียนหนังสอื ช่อื “ตลาดเงินตรา” ข้ึน ในปี พ.ศ. 2477 มกี ารจดั ตงั้ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ จงึ ได้มกี ารสอนวชิ าเศรษฐศาสตรอ์ ยา่ งจรงิ จงั โดยใช้หนังสอื ตารา ของประเทศฝรงั่ เศส ทาใหม้ กี ารแปลตาราตา่ งๆ เป็นภาษาไทยเพมิ่ ขน้ึ เร่อื ยๆ รวมทงั้ หนังสอื เศรษฐศาสตร์ วา่ ดว้ ยเศรษฐกจิ การคา้ และเศรษฐศาสตรว์ า่ ดว้ ยการเงนิ ของพระสารสาสน์พลขนั ธ์ เป็นหนังสอื ท่ีกระตุน้ ให้ คนไทยต่นื ตวั ในการทาการค้ามากข้นึ วชิ าเศรษฐศาสตรจ์ ึงได้บรรจุเป็นหลกั สตู รของการศึกษาทุกระดบั ของไทยและเป็นทน่ี ิยมของประชาชนทวั่ ไปในปัจจบุ นั
ความสาคญั ของเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ คอื การศึกษาวธิ ีทจ่ี ะนาเอาทรพั ยากรต่างๆ อนั มอี ยู่อย่างจากดั ไปผลิตเป็นสนิ ค้า และบรกิ าร เพ่อื สนองความต้องการของมวลมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสนิ ค้าและบริการท่เี ป็นปัจจัยพ้นื ฐาน อนั ได้แก่ อาหาร เคร่อื งนุ่งห่ม ท่อี ยู่อาศัย และยารกั ษาโรค รวมทงั้ สนิ ค้าและบริการอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้อง กบั การดาเนินชวี ติ ประจาวนั ในฐานะทม่ี นุษย์มบี ทบาทเป็นทงั้ ผูบ้ รโิ ภคและผู้ผลติ ตามหลกั การของเศรษฐศาสตร์ ซ่ึงในบทบาท ของผบู้ รโิ ภคกม็ คี วามต้องการสนิ คา้ และบรกิ ารทส่ี ามารถสนองความพอใจไดส้ งู สดุ และในฐานะของผผู้ ลติ กจ็ ะตอ้ งใชค้ วามรคู้ วามสามารถของตนเองจดั การกบั ปัจจยั การผลติ ทม่ี อี ยใู่ ห้เกดิ ผลตอบแทนแกต่ นเองมาก ทส่ี ุดเช่นกนั นอกจากน้ีมนุษย์ทุกคนยงั มบี ทบาทท่สี าคญั คอื เป็นพลเมอื งของประเทศท่มี สี ่วนสาคญั ย่ิง ต่อการพฒั นาความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ ซ่ึงประชาชนทุกคนสามารถนาความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ไปช่วยในการตดั สนิ ใจเลือกใช้ทรพั ยากรทม่ี อี ยู่ใหเ้ กดิ ประโยชน์อย่างเตม็ ท่ี ตดั สนิ ใจเก่ยี วกบั กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ อย่างมีหลักเกณฑ์ ช่วยให้เข้าใจปัญหาเศรษฐกิจท่ีเกิดข้ึนในบ้านเมือง เข้าใจบทบาทและการดาเนินนโยบาย เศรษฐกจิ ของรฐั บาล หากประชาชนมคี วามรทู้ างดา้ นเศรษฐศาสตรก์ จ็ ะมสี ว่ นชว่ ยใหก้ จิ กรรมต่างๆ เหล่าน้ี บรรลผุ ล เพอ่ื ใหป้ ระชาชนอยดู่ กี นิ ดี มคี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ขี น้ึ ทงั้ ในปัจจบุ นั และอนาคต
วชิ าเศรษฐศาสตรแ์ บง่ ออกเป็น 2 สาขาวชิ า คอื 1. เศรษฐศาสตรจ์ ุลภาค สาขาวชิ าเศรษฐศาสตรจ์ ุลภาค เป็นคาทม่ี าจากภาษาองั กฤษวา่ Microeconomics โดยมรี ากศพั ทม์ าจากภาษากรกี วา่ Mikros ทแ่ี ปลว่า เลก็ ดงั นัน้ เศรษฐศาสตรจ์ ุลภาค จงึ เป็นวชิ าทศ่ี กึ ษา เศรษฐกิจในหน่วยย่อยๆ เฉพาะบุคคลหรอื หน่วยธุรกิจหน่วยใดหน่วยหน่ึง ซ่ึงไม่ได้เกิดปัญหากระทบรุนแรง ต่อสงั คมโดยรวม หรอื ทงั้ ประเทศ เช่น ศึกษาวธิ กี ารผลติ สนิ ค้าของบรษิ ทั ในเครอื สหพฒั นพิบูลย์ จากัด ศกึ ษาปัญหาของกลุ่มแมค่ า้ ในตลาดสด หรอื ลกั ษณะ การบรโิ ภคของนักศกึ ษาในวทิ ยาลยั แห่งหน่ึง เป็นตน้ นอกจากน้ี เศรษฐศาสตร์จุลภาคยงั ศึกษาด้านพฤติกรรมของตลาดและกลไกด้านราคา จึงทาใหเ้ รยี กช่อื เศรษฐศาสตรจ์ ุลภาคอกี อยา่ งหน่ึงวา่ “ทฤษฎดี า้ นราคา” (Price Theory)
2. เศรษฐศาสตร์มหภาค โดยรากศพั ทแ์ ล้ว คาว่า Macroeconomics หรอื เศรษฐศาสตร์มหภาคน้ี มาจากภาษากรกี ว่า Makros แปลวา่ ใหญ่ ดงั นัน้ เน้ือหาของหลกั วชิ าเศรษฐศาสตร์มหภาคจงึ มุ่งศกึ ษาปัญหา และพฤติกรรมทางเศรษฐกิจระดบั รวมหรือระดบั ประเทศ เช่น ภาวะการจ้างงานของประเทศ ภาวะค่าครองชีพ ภาวะการผลิตสนิ ค้าและบริการ รวมทงั้ นโยบายหรือมาตรการท่นี ามาใช้แก้ปัญหาโดยรวมของประเทศ เป็นต้น นอกจากน้ีเศรษฐศาสตร์มหภาคยงั มุ่งเน้นในเร่อื งรายได้รวมของประชาชนทวั่ ประเทศ บางครงั้ เรียก สาขาวชิ าน้ีวา่ “ทฤษฎรี ายไดป้ ระชาชาต”ิ (National Income Theory) เศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาคมีความสมั พนั ธ์กนั อย่างใกล้ชดิ การศึกษาจึงควรทาควบคู่กนั ไป เพราะเศรษฐกจิ สว่ นรวมของประเทศเกดิ จากเศรษฐกจิ หน่วยยอ่ ยรวมกนั ดงั นัน้ การศกึ ษาปัญหาเศรษฐกจิ ในสงั คมหน่ึงๆ จาเป็นต้องพจิ ารณาระบบเศรษฐกจิ ท่เี ป็นสว่ นรวมและพฤติกรรมของแต่ละบุคคลหรอื แต่ละหน่วยผลติ ซง่ึ เป็นเศรษฐกจิ หน่วยยอ่ ย เพราะเศรษฐกจิ หน่วยยอ่ ยย่อมมอี ทิ ธพิ ลสาคญั ต่อพฤตกิ รรม และความเป็นไปของเศรษฐกจิ ระดบั ประเทศหรอื สว่ นรวมของสงั คม
หน่วยเศรษฐกิจ สาระสาคญั ของการศกึ ษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ เป็นการศกึ ษาเกย่ี วกบั เรอ่ื งการผลติ การจาแนกแจกจ่าย การบรโิ ภค การแลกเปล่ียน ฯลฯ ซ่งึ การกระทาต่างๆ เหล่าน้ีถือเป็นกิจกรรมสาคญั ในระบบเศรษฐกจิ ท่ีจะทาให้ เศรษฐกจิ ดาเนินต่อไปไดอ้ ยา่ งต่อเน่ือง กจิ กรรมเหล่าน้ีจงึ ถูกเรยี กวา่ “หน่วยเศรษฐกจิ ” (Economic Unit) ในระบบเศรษฐกจิ โดยรวมทวั่ ไปจะต้องมหี น่วยเศรษฐกจิ ดาเนินการอย่างเป็นระบบและมคี วามสมั พนั ธ์กนั หน่วยเศรษฐกจิ ทส่ี าคญั ๆ ไดแ้ ก่ 1. ผบู้ ริโภค (Consumers) คอื ผทู้ ซ่ี อ้ื สนิ คา้ และบรกิ ารต่างๆ เพ่อื นามาสนองความตอ้ งการของตนเอง ใหเ้ กดิ ความพอใจและมปี ระโยชน์สงู สดุ ซง่ึ การแสวงหาสนิ คา้ และบรกิ ารเพ่อื สนองความต้องการดงั กล่าวน้ี เรยี กอกี อยา่ งหน่ึงวา่ “การบรโิ ภค” 2. หน่วยธรุ กิจ (Business Firms) คอื สถาบนั หรอื องคก์ รทด่ี าเนินกจิ กรรมในการนาทรพั ยากรต่างๆ มาผลติ เป็นสนิ คา้ และบรกิ ารเพ่อื นาไปสนองความตอ้ งการของผบู้ รโิ ภค ดงั นัน้ หน่วยธุรกจิ จงึ เรยี กอกี อยา่ ง หน่ึงว่า “ผู้ผลิต” (Producers) หน่วยธุรกิจต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจน้ีทาการผลิตสินค้าและบริการ เพอ่ื มงุ่ หวงั กาไรเป็นผลตอบแทนใหม้ ากทส่ี ดุ
3. เจ้าของปัจจยั การผลิต (Factor Owners) ปัจจยั การผลติ มี 4 อยา่ ง ไดแ้ ก่ ทด่ี นิ ทนุ แรงงาน และ ผปู้ ระกอบการ เจ้าของปัจจยั การผลิตต่างมจี ุดประสงคใ์ นการดาเนินกจิ กรรมเศรษฐกจิ เหล่าน้ีเหมอื นกนั คือ ต้องการความพอใจสูงสุดท่ีจะได้รบั ผลตอบแทนจากปัจจัยการผลิตท่ีตนมีอยู่ ซ่ึงผลตอบแทนจะต่างกันไป ตามประเภทของปัจจยั ไดแ้ ก่ - ผลตอบแทนของทด่ี นิ จะอยใู่ นรปู ของ คา่ เชา่ (Rent) - ผลตอบแทนของแรงงานจะอยใู่ นรปู ของ คา่ จา้ ง (Wage) - ผลตอบแทนของทนุ จะอยใู่ นรปู ของ ดอกเบย้ี (Interest) - ผลตอบแทนของผปู้ ระกอบการจะอยใู่ นรปู ของ กาไร (Profit)
ผู้ทเ่ี ป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตต่างๆ เหล่าน้ี ต่างก็ต้องการสนิ ค้าและบรกิ ารเพ่อื นามา สนองความ ต้องการของตนเช่นกนั ดงั นัน้ ผู้เป็นเจ้าของปัจจยั การผลิตจึงทาหน้าท่ีเป็นผู้บริโภ คด้วย การท่ไี ด้รับ ผลตอบแทนจากปัจจยั การผลติ ดงั กลา่ วทาใหเ้ กดิ รายได้ เพ่อื นาไปซอ้ื สนิ คา้ และบรกิ ารตามทต่ี นตอ้ งการได้ จากทก่ี ลา่ วถงึ หน่วยธุรกจิ ขา้ งตน้ จงึ เหน็ ไดว้ า่ มคี วามสมั พนั ธก์ นั ดงั สรปุ ใหเ้ ห็นชดั ในแผนภมู ติ อ่ ไปน้ี
4. รฐั บาล (Government) การศกึ ษาวชิ าเศรษฐศาสตรต์ อ้ งเก่ยี วขอ้ งกบั การจดั หารายได้ การใชจ้ ่าย การเก็บภาษีอากร ตลอดจนข้อกาหนดต่างๆ ท่เี ก่ียวข้องกับการดาเนินกิจกรรมของหน่วยธุร กิจและ ผบู้ รโิ ภค จงึ ถอื วา่ รฐั บาลเป็นหน่วยเศรษฐกจิ ทส่ี าคญั หน่วยหน่ึง การดาเนินการของรัฐบาลน้ีจะชว่ ยกระตุ้น ใหเ้ กดิ การขยายตวั ของเศรษฐกจิ ในระดบั ต่างๆ ทงั้ น้ีเพราะรฐั บาลมรี ายจา่ ยจานวนมากในการซ้อื สนิ คา้ และ บรกิ าร รฐั บาลจงึ มหี น้าทเ่ี ป็นผบู้ รโิ ภคดว้ ย ในขณะเดยี วกนั กจ็ ะทาหน้าทใ่ี หบ้ รกิ ารดา้ นต่างๆ แก่ประชาชน ในสงั คม เชน่ บรกิ ารดา้ นการศกึ ษา การสาธารณสขุ เป็นต้น ซ่งึ กเ็ ปรยี บเทยี บไดก้ บั ผผู้ ลิตและจดั จาหน่าย เช่นเดยี วกบั หน่วยธุรกิจทวั่ ไปเช่นกัน แต่หน่วยธุรกิจของรฐั บาลจะไม่ต้องการผลตอบแทนท่เี ป็นกาไร นอกจากผลดา้ นความสงบเรยี บรอ้ ยและความอยดู่ กี นิ ดขี องประชาชนในประเทศ
ปัญหาพืน้ ฐานทางเศรษฐกิจ ในทุกสงั คมทุกประเทศต่างประสบปัญหาเก่ยี วกบั ปรมิ าณทรพั ยากรมจี ากดั แต่ความต้องการสนิ ค้า และบริการของประชาชนมีเพ่ิมข้ึนอย่างไม่ส้ินสุด ซ่ึงเป็นปัญหาพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจของ ทุกสงั คม ท่ีต้องประสบร่วมกัน และต่างก็หาวิธีท่ีจะทาให้ทรัพยากรท่ีมีอยู่จากัดนัน้ สามาร ถนาไปผลิตสินค้า และบรกิ ารสนองความตอ้ งการของประชาชนใหเ้ พยี งพอ จงึ เกดิ เป็นปัญหาในทางเศรษฐกจิ ทส่ี าคญั คอื 1. ผลิตอะไร จานวนเท่าใด (What) จากการท่มี ีทรพั ยากรจากัดน้ี การจะตัดสนิ ใจดาเนินการผลิต จะตอ้ งพจิ ารณาวา่ จะผลติ สนิ คา้ ชนิดใด เป็นจานวนเท่าใด จงึ จะสนองตอบต่อความต้องการของประชาชน ใหไ้ ดม้ ากทส่ี ดุ และไมเ่ ป็นการสญู เปลา่ รวมทงั้ ไมเ่ ป็นการใชท้ รพั ยากรฟุ่มเฟือย 2. ผลิตอย่างไร (How) โดยจะต้องพิจารณาว่าในสังคมนั้นๆ ใครจะเป็ นผู้ผลิตสินค้าชนิดใ ด ใช้ทรพั ยากรประเภทใด ใชเ้ ทคนิคในการผลติ อย่างไร เพ่อื ใหไ้ ด้สนิ ค้าและบรกิ ารทม่ี คี ุณภาพในปรมิ าณ ทพ่ี อเหมาะ และรวดเรว็ ทนั ต่อความตอ้ งการของประชาชน
3. ผลิตเพื่อใคร (For Whom) คอื เม่อื ผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารมาแล้ว ใครคอื ผทู้ จ่ี ะใช้ประโยชน์จากสนิ คา้ นัน้ จะนาผลผลติ นัน้ ๆ ไปถงึ มอื ของผบู้ รโิ ภคอยา่ งไร ปัญหาต่างๆ ทก่ี ล่าวมาน้ี เป็นปัญหาเศรษฐกิจมูลฐานร่วมกนั ของทุกระบบเศรษฐกจิ ซง่ึ แต่ละระบบเศรษฐกจิ จะตอ้ งแกไ้ ขปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามวธิ กี ารหรอื แนวทาง ตามความเหมาะสมกบั สภาพพน้ื ฐาน หรอื สภาพแวดลอ้ มของตน นอกจากการพจิ ารณาปัญหาพ้นื ฐานทางเศรษฐกิจว่าจะผลิตอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพ่อื ใคร รฐั บาลของประเทศต่างๆ ยงั ได้ให้ความสนใจกบั ปัญหาพ้นื ฐาน ซ่ึงเป็นเป้าหมายในการพฒั นา เศรษฐกิ ของระบบเศรษฐกจิ แบบตา่ งๆ ดงั น้ี 1. การเพิ่มขนึ้ ของรายได้หรือผลิตภณั ฑป์ ระชาชาติ รฐั บาลในทกุ ระบบเศรษฐกจิ จะใหค้ วามสาคญั กบั การเพม่ิ และการขยายตวั ของรายได้ประชาชาติของประเทศ เน่ืองจากหากระบบเศรษฐกิจมรี ายได้ หรือสามารถสร้างผลผลิตโดยรวมได้เพิ่มข้ึน ก็จะทาให้มีผลผลิตมาจัดสรรให้กลุ่มคนต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจ ไดม้ ากยง่ิ ขน้ึ ทาใหร้ ายไดต้ ่อหวั ของประชากรเพม่ิ สงู ข้นึ ซง่ึ จะเป็นตวั ชเ้ี บอ้ื งตน้ วา่ กาลงั ซ้อื (Purchasing Power) ของระบบเศรษฐกจิ นนั้ ๆ มมี ากน้อยเพยี งใด
2. ความไม่เท่าเทียมกนั ของรายได้หรือการกระจายรายได้ (Income Distribution) ในระบบเศรษฐกจิ แบบเสรี ซง่ึ ยอมรบั กรรมสทิ ธขิ ์ องบคุ คลในทรพั ยส์ นิ จะเกดิ การไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ของรายไดไ้ ดม้ าก เน่ืองจาก คนทเ่ี กดิ ในตระกูลทร่ี ่ารวยมกี ารสะสมทุนทรพั ยไ์ ว้เป็นจานวนมากหรอื คนท่มี ีโอกาสทางเศรษฐกจิ ดกี ว่า ย่อมมโี อกาสได้รบั การศึกษาท่ดี กี ว่า อนั นาไปสู่การประกอบอาชพี ท่ที ารายได้ดีกว่า รายได้ท่เี หล่ือมล้ากันมาก จะเป็นอปุ สรรคต่อการพฒั นาประเทศ เพราะถา้ คนสว่ นมากดารงชวี ติ อยู่อยา่ งยากจน ในขณะทค่ี นสว่ นน้อย มคี วามเป็นอยู่ฟุ่มเฟือย การผลิตของประเทศก็ไม่อาจเพมิ่ ข้นึ ได้อย่างเต็มท่ี และยงั เป็นปัญหาทางด้านการเมอื ง สงั คม และจริยธรรมตามมา รฐั บาลจึงจาเป็นต้องใช้นโยบายและมาตรการต่างๆ เพ่อื ลดปัญหาน้ี เช่น การเกบ็ ภาษมี รดก การจดั ใหม้ รี ะบบประกนั สงั คม เป็นตน้ 3. การว่างงาน (Unemployment) เป็นปัญหาพ้นื ฐานอกี ประการหน่ึงทร่ี ฐั บาลทุกประเทศพยายาม ไมใ่ หเ้ กดิ ขน้ึ หรอื เกดิ ขน้ึ น้อยทส่ี ดุ ดว้ ยการสง่ เสรมิ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทท่ี าใหเ้ กดิ การจ้างงานอย่างถาวร เพ่อื ใหค้ นในสงั คมมงี านทา มรี ายได้ ทาใหม้ กี าลงั ซ้อื และอุปสงค์ในสนิ ค้าและบรกิ าร ก่อใหเ้ กดิ กจิ กรรม ทางเศรษฐกจิ ต่อเน่ืองไปเร่อื ยๆ โดยเฉพาะการลงทุนด้านอุตสาหกรรม ซง่ึ มกั มกี ารจา้ งงานครงั้ ละมากๆ และเป็นการลดปัญหาทางสงั คม และการเมอื งลงไปอกี ดว้ ย
4. การแก้ปัญหาเงินเฟ้อและเงินฝื ด (Inflation and Deflation) การเปล่ยี นแปลงและความผนั ผวน ของราคา ทาใหท้ งั้ ผบู้ รโิ ภคและผผู้ ลติ เดอื ดรอ้ น กล่าวคอื ในภาวะทม่ี เี งนิ เฟ้อ ระดบั ราคาสนิ คา้ และบรกิ าร ทวั่ ไปเพมิ่ สูงข้นึ และมแี นวโน้มสงู ขน้ึ เร่อื ยๆ จะทาให้ผู้บรโิ ภคเดอื ดร้อนเพราะตอ้ งซ้อื สนิ คา้ ราคาแพงขน้ึ ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตก็ต้องซ้ือวตั ถุดิบท่ีมีราคาสูงข้ึนไปใช้ในการผลิตทาให้ต้น ทุนการผลิตสูงข้ึน ในทางตรงกนั ข้าม แม้ในช่วงภาวะเงนิ ฝืดท่รี าคาสนิ ค้าและบรกิ ารมแี นวโน้มลดต่าลงเร่อื ยๆ แต่สนิ ค้าขายไม่ออก เพราะกาลงั ซอ้ื ของประชาชนลดลง ทาใหผ้ ผู้ ลติ ตอ้ งลดการผลติ การลงทนุ และการจา้ งงานลง ซง่ึ สง่ ผลใหม้ กี ารวา่ งงาน และกาลงั ซอ้ื ของประชาชนลดต่าลงไปอกี ดว้ ย ทงั้ ภาวะเงนิ เฟ้อและเงนิ ฝืดจงึ ไมส่ ง่ ผลดกี ับระบบเศรษฐกจิ รฐั บาลจงึ ตอ้ งพยายามดาเนินการมใิ หร้ ะดบั ราคาสนิ คา้ เพมิ่ สงู ขน้ึ หรอื ลดลงมาก
5. การขาดดุลการค้า (Trade Deficit) ประเทศกาลงั พฒั นาอยา่ งประเทศไทยมกั มีปัญหาการนาเข้า สนิ คา้ สงู กวา่ การสง่ ออก ทาใหข้ าดดลุ การคา้ ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ อย่างต่อเน่ืองยาวนาน เน่ืองจากประเทศ กาลงั พฒั นามคี วามตอ้ งการนาเขา้ สนิ คา้ ทนุ ประเภทเคร่อื งจกั ร เคร่อื งมอื อปุ กรณ์ และสนิ คา้ ทใ่ี ชเ้ ทคโนโลยี สงู ในการผลติ สนิ คา้ เหล่าน้ีมกั มรี าคาสงู ขณะทส่ี นิ คา้ สง่ ออกของประเทศกาลงั พฒั นามกั เป็นสนิ คา้ ทางดา้ น การเกษตร หรอื สนิ คา้ อุตสาหกรรมแปรรูปแบบง่ายๆ จงึ มรี าคาต่ากว่าทาให้มลู ค่าการส่งออกมกั ต่ากว่า มูลค่าการนาเข้าจนประเทศต้องเกิดปัญหาการขาดดุลการค้า และขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ หรอื เงนิ สารอง ในรูปเงินตราต่างประเทศลดลง เพราะการค้าขายกับต่างประเทศต้องใช้เงินตราต่างประเทศดาเนินการทงั้ ส้นิ ภาวะเชน่ น้ีจะสง่ ผลตอ่ เสถยี รภาพทางการเงนิ และคา่ เงนิ ของประเทศทข่ี าดดลุ เป็นอยา่ งยง่ิ
การศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์กบั บรหิ ารธุรกิจมกั จะมคี วามเช่อื มโยงเก่ียวพนั กนั เพราะเป็ นเร่อื งท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และการบรหิ ารจดั การใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ อยา่ งไรกต็ าม เศรษฐศาสตร์ และบรหิ ารธุรกจิ ยงั มคี วามแตกต่างกนั ทงั้ ในแงแ่ นวคดิ หลกั การ และการนาไปใชป้ ระโยชน์ พอสรปุ ไดด้ งั น้ี 1. ลกั ษณะสาคญั และเป้าหมาย เศรษฐศาสตร์เป็นองค์ความรู้ท่ีว่าด้วยเร่อื งการจดั สรร ทรัพยากร ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สงู สุดแก่สงั คมโดยรวม ส่วนบรหิ ารธุรกิจเป็นองค์ความรูท้ ่วี ่าด้วยเร่ืองการจดั องค์กร และการบรหิ ารงาน เพอ่ื ใหห้ น่วยธุรกจิ มผี ลกาไรสงู สดุ 2. การตมี ูลคา่ การคดิ รายรบั และรายจ่ายของกจิ กรรมทางเศรษฐกิจหน่ึงๆ ของบรหิ ารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ จะตา่ งกนั ดงั น้ี 2.1ผลประโยชน์หรอื รายรบั ในทางเศรษฐศาสตรจ์ ะคดิ ทงั้ รายรบั หรอื ผลประโยชน์ทเ่ี กดิ ขน้ึ โดยตรง และโดยออ้ มจากกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทท่ี าทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั สงั คม เชน่ การสรา้ งเขอ่ื นผลติ ไฟฟ้าของการไฟฟ้า ฝ่ายผลติ แหง่ ประเทศไทย (กฟผ.) นอกจากรายรบั หรอื ผลประโยชน์จากค่าไฟฟ้าแล้ว ยงั จะมผี ลประโยชน์ ในดา้ นการชลประทานเพ่อื การเกษตร และการเป็นสถานทพ่ี กั ผ่อนหย่อนใจ ซง่ึ เป็นผลประโยชน์ท่ี กฟผ. ไมไ่ ดร้ บั โดยตรง แตเ่ กดิ กบั ชมุ ชนหรอื สงั คม สว่ นบรหิ ารธุรกจิ จะคดิ ถงึ ผลประโยชน์หรอื รายไดท้ เ่ี กดิ ขน้ึ กบั องคก์ รธุรกจิ เทา่ นนั้
2.2คา่ ใชจ้ า่ ยของกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ในทางเศรษฐศาสตรจ์ ะคดิ ทงั้ คา่ ใชจ้ ่ายทางตรงและทางออ้ ม ซ่งึ รวมทงั้ ค่าใชจ้ ่ายทจ่ี บั ต้องไดก้ บั ค่าใชจ้ ่ายท่มี องไม่เหน็ จบั ต้องไม่ได้ (Intangible Cost) เช่น ค่าใช้จ่าย ในการสรา้ งเข่อื น นอกจากจะมคี ่าใช้จ่ายทางตรงทจ่ี บั ต้องได้ อย่างเช่น ค่าก่อสรา้ งเข่อื น และค่าชดเชย การย้ายชาวบ้านและหมู่บา้ นออกนอกพ้นื ท่เี ข่อื นแล้วยงั มคี ่าใช้จ่ายทางอ้อมท่จี บั ต้องไม่ได้ เช่น การเส่อื มโทรม ของทรพั ยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม การเปล่ยี นแปลงวถิ ชี วี ติ ชมุ ชน เป็นต้น ขณะทบ่ี รหิ ารธุรกจิ จะคดิ เฉพาะคา่ ใชจ้ ่ายทอ่ี งคก์ รธุรกจิ จ่ายออกไปจรงิ ๆ เทา่ นนั้ 2.3ทางเศรษฐศาสตร์คิดถึงผลกระทบภายนอก (Externality) ของโครงการทางเศรษฐกิจ เช่น การสร้างสนามบิน นอกจากมตี ้นทุนการก่อสร้างสนามบินแล้ว ยงั จะต้องคิดผลกระทบภายนอ ก เช่น เสยี งดงั และมลพษิ จากการก่อสรา้ งท่เี กดิ กบั ชุมชนรอบสนามบนิ ซ่งึ ถือเป็นต้นทุนทางสงั คม (Social Cost) ทจ่ี ะตอ้ งนามาพจิ ารณาในการดาเนินโครงการ หรอื การสรา้ งโรงงานอตุ สาหกรรมแลว้ ทาใหเ้ กดิ ชุมชนและ ความเจรญิ รอบๆ โรงงานกถ็ อื เป็นผลประโยชน์ทางสงั คม (Social Benefit) ทเ่ี กดิ ตามมาจากการมโี รงงาน ในขณะทบ่ี รหิ ารธุรกจิ จะไมค่ ดิ ถงึ รายรบั และรายจา่ ยภายนอกองคก์ รธรุ กจิ
2.4 กา ร ตีค่าผ ล ต อบแทน หรือค่า ใ ช้จ่ าย จ ะ คิดจ า ก ค่า เสีย โ อกา สหรือผลิต ภา พข อง กา รใช้ปั จ จัย การผลติ นัน้ ๆ และอุปสงคอ์ ุปทานในตลาด เช่น การจ่ายค่าจ้างเงนิ เดอื นทางเศรษฐศาสตรจ์ ะคดิ จากมูลค่าส่วนเพม่ิ หรอื ผลติ ภาพสว่ นเพมิ่ (Marginal Productivity) ทแ่ี รงงานสรา้ งขน้ึ ขณะทธ่ี ุรกจิ อาจจะจ่ายต่าหรอื สงู กว่าน้ี โดยอาจพจิ ารณาจากภาวะธุรกิจ การซ้ือตวั ภาวะการจ้างงาน อย่างเช่น ในช่วงปี 2530-2539 ค่าจ้าง เงนิ เดอื นของบุคลากรในสถาบนั การเงินต่างๆ สูงมากจนหลายฝ่ ายกล่าวว่าสูงกว่าผลิตภาพทบ่ี ุคลากร เหล่านัน้ สร้างข้นึ มาได้ จนทาใหใ้ นทส่ี ดุ เม่อื เศรษฐกิจชะงกั งนั จึงต้องมกี ารปรบั ลดและใหอ้ อกจากงาน (Lay-off) จานวนมาก 2.5ผลประโยชน์หรือรายรบั และค่าใช้จ่ายทางธุรกิจบางประเภททางเศรษฐศาสตร์ไม่ถือว่าเป็นรายรับ หรอื ค่าใชจ้ ่าย เช่น รายรบั จากการถูกรางวลั ลอตเตอร่ี กาไรจากการซ้ือขายหุ้นหรือรายจ่ายด้านภาษี คา่ เสอ่ื มราคา เป็นตน้ ทางเศรษฐศาสตรไ์ มถ่ อื เป็นรายรบั รายจ่ายจรงิ เพราะเป็นการเปล่ยี นมอื เจา้ ของเงนิ หรอื เจา้ ของทรพั ยากร แต่กจิ กรรมเหล่านัน้ ไม่ได้ก่อใหเ้ กดิ ผลผลติ ขน้ึ มาในระบบเศรษฐกจิ สว่ นในทางบรหิ ารธุรกิจ จะถอื วา่ เป็นรายรบั -รายจ่ายขององคก์ รธรุ กจิ ทงั้ สน้ิ
3. เศรษฐศาสตร์เป็นวชิ าท่ศี ึกษาถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ท่มี ีผลกระทบหรือ เก่ียวข้อง กบั คนจานวนมาก โดยเฉพาะการศึกษาทางด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค เช่น รายได้ประชาชาติการค้า การลงทุนระหวา่ งประเทศ การงบประมาณของภาครฐั การบรโิ ภคและการลงทุนของภาคเอกชน เป็นต้น ขณะท่ีบริหารธุรกิจจะศึกษาด้านกิจกรรมทางธุรกิจขององค์กรธุรกิจ เช่น การจัดการธุรกิจ การจัดการองค์กร การบรหิ ารเงนิ การตลาด เป็นตน้ 4. เศรษฐศาสตร์มหภาคมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจหรือเป้ าหมายเชิงนโยบายแห่งรฐั ท่ีการสร้าง เสถยี รภาพทางเศรษฐกจิ ทต่ี ้องการสรา้ งงานสรา้ งรายได้ กระจายความเจรญิ และรายได้ ลดปัญหาการขาดดุลการค้า และดุลการชาระเงิน และลดปัญหาทางสงั คม ในขณะท่ีบริหารธุรกิจจะมีเป้ าหมายอยู่ท่ีกาไรสูงสุด แม้ในระยะหลงั องค์กรธุรกิจจะเน้นเร่อื งคุณภาพสนิ คา้ และการบรกิ ารทางสงั คมและภาพลกั ษณ์ของธุรกิจมากข้นึ แต่กเ็ ป็นไปเพ่อื สรา้ งความสามารถในการทากาไรในระยะยาว 5. เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาค เน้นการศกึ ษาในระดบั สาขาเศรษฐกจิ และกจิ การ เชน่ การศกึ ษาดา้ นการผลติ พฤตกิ รรมผบู้ รโิ ภค อุปสงคอ์ ุปทานในตลาด การกาหนดราคา และระบบตลาดมคี วามใกล้ชดิ และเก่ยี วพนั กบั ความรทู้ างบรหิ ารธรุ กจิ มากกวา่ เศรษฐศาสตร์มหภาค
วชิ าเศรษฐศาสตรเ์ ป็นวชิ าทม่ี คี วามสาคญั และเป็นประโยชน์ในชวี ติ ประจาวนั ของทกุ คนในสงั คม ดงั นัน้ วชิ าน้ีจงึ มกั เป็นวิชาพ้นื ฐานของการศึกษาในแขนงวชิ าต่างๆ ประโยชน์ของวชิ าเศรษฐศาสตร์สามารถ สรปุ ไดด้ งั น้ี คอื 1. ชว่ ยใหก้ ารดารงชวี ติ ประจาวนั เป็นไปอยา่ งมหี ลกั เกณฑแ์ ละมเี หตมุ ผี ล เพราะมนุษย์จะตอ้ งตดั สนิ ใจ ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจตลอดเวลา เช่น ซ้อื สนิ ค้าอะไรมาบรโิ ภค จานวนเท่าใด ซ้อื อะไรก่อนอะไรหลงั การตดั สนิ ใจอยา่ งมหี ลกั เกณฑจ์ ะชว่ ยใหก้ ารดารงชวี ติ ประจาวนั เป็นปกตสิ ขุ 2. เป็นความรขู้ นั้ พน้ื ฐานทจ่ี าเป็นแก่ผปู้ ระกอบอาชพี ธรุ กจิ หรอื อาชพี อสิ ระ เช่น นายธนาคาร นักบญั ชี นักปกครอง ผจู้ ดั การบรษิ ทั ทนายความ นกั หนังสอื พมิ พ์ ฯลฯ 3. หน่วยธุรกิจสามารถนาความรู้ไปใช้ในการตดั สนิ ใจทางธุรกิจได้ดขี ้นึ สามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ ในอนาคตไดถ้ ูกต้อง ทาใหก้ ารวางแผนเก่ยี วกบั การลงทุน การผลติ และการกาหนดราคาเป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ธรุ กจิ จะมคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งมากขน้ึ
4. ในแง่ของส่วนรวม ถ้าประชาชนมีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ก็จะสามารถประกอบ อาชีพ ในอนั ท่จี ะก่อให้เกิดความเจรญิ ก้าวหน้าแก่ตนเองและส่วนรวม หรือในกรณีท่ีประเทศประสบปัญหาเศรษฐกิจ รฐั บาลก็ได้รบั ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างดี ทาให้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนผ่อน คลายไปในทางท่ีดี ไดร้ วดเรว็ ขน้ึ 5. เขา้ ใจพฤตกิ รรมของมนุษย์ การเขา้ ใจกฎเกณฑแ์ ละสถาบนั ทางเศรษฐกจิ ทม่ี นุษยต์ งั้ ข้ึน ทาใหเ้ กดิ แนวทางเปลย่ี นแปลงและพฒั นาสงั คมเศรษฐกจิ ทต่ี นอาศยั อยใู่ หม้ คี วามสขุ และความเจรญิ ยง่ิ ขน้ึ 6. ในแง่ผูบ้ รหิ ารหรอื รฐั บาล หากมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจดา้ นเศรษฐศาสตรเ์ ป็นอยา่ งดจี ะทาใหส้ ามารถ จดั การปัญหาและวางแนวทางแก้ไข รวมทงั้ กาหนดทิศทางการพฒั นาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเหมาะสม และมปี ระสทิ ธภิ าพ
มนุษย์ทุกคนในสงั คมมคี วามต้องการท่จี ะบรโิ ภคสนิ คา้ และบรกิ ารต่างๆ ด้วยกนั ทงั้ สน้ิ ด้วยเหตุน้ี ผู้ผลติ จงึ ต้องผลติ สนิ คา้ ขน้ึ มาเพ่อื สนองตอบต่อความตอ้ งการนัน้ ในทางเศรษฐศาสตรค์ วามตอ้ งการซ้อื ข องผูบ้ รโิ ภค เรยี กว่า อุปสงค์ ส่วนความต้องการท่ีจะนาสินค้าออกมาจาหน่ายของผู้ผลิตเรียกว่า อุปทาน ซ่ึงทงั้ อุปสงค์ และอปุ ทานน้ีจะเปลย่ี นแปลงไปตามปัจจยั ตา่ งๆ อยเู่ สมอ เช่น รายไดข้ องผบู้ รโิ ภค ราคา ปัจจยั การผลติ เป็นต้น และตลาดสามารถปรบั ตวั เขา้ สสู่ มดลุ ได้ แมจ้ ะมกี ารเปลย่ี นแปลงของอปุ สงคแ์ ละอปุ ทาน
ความหมายของอปุ สงค์ อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ความตอ้ งการของประชาชนทจ่ี ะซ้อื สนิ คา้ และบรกิ ารในราคาทก่ี าหนด และมคี วามสามารถทจ่ี ะซอ้ื สนิ คา้ และบรกิ ารนนั้ ๆ ได้ โดยทวั่ ไปแลว้ อปุ สงคห์ รอื ความตอ้ งการของบคุ คลนนั้ อาจจะไดร้ บั การตอบสนองหรอื ไมไ่ ดร้ บั กไ็ ดท้ งั้ น้ี ขน้ึ อยกู่ บั ความสามารถและกาลงั ซอ้ื ของแตล่ ะบคุ คล เชน่ นายสมชายตอ้ งการจะซ้อื รถยนต์ แต่ไม่มเี งนิ ซ้อื กจ็ ะเป็นเพยี งความต้องการทไ่ี ม่สามารถเกดิ ขน้ึ ได้ แต่ถ้านายสมชายมเี งนิ กจ็ ะซ้อื รถได้ตามความต้องการ ลกั ษณะเช่นน้ีถือเป็นความต้องการทแ่ี ท้จรงิ ในทางเศรษฐศาสตร์และเรยี กว่า “อุปสงค์ท่ีมีประสทิ ธิผล” (Effective Demand) หรอื ท่เี รยี กกันสนั้ ๆ ว่า “อุปสงค์” (Demand) นัน่ คือ จะต้องเป็นความต้องการท่มี ี ความสามารถในการซอ้ื ดว้ ย
ประเภทของอปุ สงค์ อปุ สงคใ์ นสนิ คา้ และบรกิ ารโดยทวั่ ไปแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. อุปสงค์แต่ละบุคคล คือ ความต้องการของแต่ละบุคคลท่จี ะซ้ือสนิ ค้าและบริการจากผู้ขายหรือผู้ผลิต ณ เวลาใดเวลาหน่ึง ทงั้ น้ีสมมติว่าปัจจยั ต่างๆ ท่เี ก่ียวข้องกบั อุปสงค์และอุปทานไม่เปล่ยี นแปลง เช่น รายได้ การเพม่ิ ขน้ึ ของประชากร ดงั ตวั อยา่ งความตอ้ งการของนางสมศรี ซง่ึ จะซอ้ื มะมว่ งตามตารางตอ่ ไปน้ี
จากตารางแสดงให้เห็นว่า หากราคามะม่วงกิโลกรมั ละ 50 บาท นางสมศรีจะไม่ซ้ือมะม่วงมารบั ประทาน เพราะราคาแพงเกินไป ถ้ามะมว่ งราคาลดลงเหลอื กโิ ลกรมั ละ 40 บาท กจ็ ะซ้อื มะมว่ งจานวน 1 กโิ ลกรมั และถ้ามะม่วงราคาลดลงมาเร่อื ยๆ ก็จะซ้อื ในปรมิ าณทเ่ี พม่ิ ข้นึ เร่อื ยๆ เช่นกนั ซ่งึ จากตวั เลขในตารางน้ี สามารถแสดงเสน้ อปุ สงคไ์ ดด้ งั น้ี จากรูปภาพ กาหนดใหเ้ สน้ OQ แสดงปรมิ าณความต้องการในการซ้อื มะม่วง และ OP แสดงราคา ซง่ึ กจ็ ะแสดงใหเ้ หน็ เชน่ เดยี วกบั ตารางท่ี 2.1
2. อุปสงค์รวม คือ ความต้องการในสินค้าและบริการอย่างใดอย่างหน่ึงของบุคคลหลายๆ คน ในตลาด แห่งใดแห่งหน่ึง ดงั นัน้ ลกั ษณะอุปสงค์รวมน้ีจึงถูกเรยี กอีกอย่างหน่ึงว่า “อุปสงค์ของตลาด” (Market Demand) ดงั ตวั อยา่ งเชน่ ณ ตลาดแหง่ หน่ึง นาย ก นาย ข และนาย ค ต่างซอ้ื มะมว่ งเพ่อื บรโิ ภคเหมอื นกนั การซ้อื ของแต่ละคน นัน้ ถอื เป็นอปุ สงคแ์ ต่ละบคุ คล เม่อื รวมเขา้ ดว้ ยกนั จะเป็นอปุ สงคร์ วมหรอื อปุ สงคข์ องตลาด ดงั น้ี
จากตารางแสดงให้เห็นว่า ความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคนจะทาให้อุปสงค์รวมเพิ่มมากข้ึน แมว้ า่ ความตอ้ งการของแต่ละคนจะแตกต่างกนั ทงั้ น้ีขน้ึ อยู่กบั ความพอใจ ราคาสนิ คา้ ฐานะทางเศรษฐกจิ ของผู้บรโิ ภคตลอดจนความจาเป็นยิง่ ราคามะม่วงลดลงทุกคนต้องการซ้ือในปรมิ าณท่เี พ่ิมข้ึนดงั กล่าว เป็นเสน้ อปุ สงคท์ เ่ี พม่ิ ขน้ึ เร่อื ยๆ จากปรมิ าณอปุ สงคร์ วมดงั กลา่ วนัน้ เราสามารถแสดงเสน้ อปุ สงคร์ วมไดด้ งั น้ี
จากภาพ เสน้ PQ คอื เสน้ อุปสงคร์ วมท่เี กดิ จากปรมิ าณความต้องการมะม่วงของผูบ้ รโิ ภคโดยรวม ในระบบตลาด ดว้ ยเหตุน้ีจงึ พบว่า ราคาของสนิ คา้ และบรกิ ารจะเปล่ยี นแปลงไปอย่างไรนัน้ ย่อมขน้ึ อยู่กบั ปรมิ าณของ ความตอ้ งการสนิ คา้ และบรกิ ารหรอื อปุ สงค์ ไม่วา่ จะเป็นอุปสงคแ์ ต่ละบุคคล หรอื อุปสงค์รวม เพราะถ้าราคาแพงมาก ประชาชนจะไม่ซ้อื หรอื ซ้อื น้อย ถ้าราคาถูกลงจะซ้อื เพม่ิ ขน้ึ ลกั ษณะดงั กล่าวจงึ ถูกตงั้ เป็นกฎเกณฑ์เรยี กว่า “กฎของอุปสงค์” (Law of Demand) ได้วา่ ถ้าราคาสนิ คา้ และบรกิ ารต่างๆ เพมิ่ สงู ข้นึ ความตอ้ งการทจ่ี ะซ้ือสนิ ค้า และบรกิ ารนัน้ จะลดลง แต่ถ้าราคาสินค้าและบรกิ ารต่างๆ นัน้ ลดลง ความต้องการซ้ือจะมากข้นึ หรือสรุปสนั้ ๆ ไดว้ า่ ปรมิ าณการซอ้ื สนิ คา้ และบรกิ ารจะเปลย่ี นแปลงไปในทศิ ทางตรงกนั ขา้ มกบั ราคาของสนิ คา้
ลกั ษณะของเส้นอปุ สงค์ การท่รี าคาสนิ ค้าและบรกิ ารต่างๆ ลดลงจะมีผูซ้ ้ือมากข้นึ จึงเป็นเหตุให้เส้นอุปสงค์เกิดในลกั ษณะ ลาดต่าลงมาจากซา้ ยไปขวา ซง่ึ ไมเ่ ป็นเสน้ ตรงเสมอไป เพราะโดยสว่ นใหญ่เสน้ อุปสงคจ์ ะเป็นเสน้ ทเ่ี วา้ เขา้ หาจดุ เรม่ิ ตน้ และโคง้ ต่าลงจากซา้ ยไปขวา การทม่ี ลี กั ษณะดงั น้ีเน่ืองมาจากสาเหตุทส่ี าคญั คอื 1. การเปล่ียนแปลงของราคาท่ีเกิดจากการทดแทน การทร่ี าคาสนิ คา้ และบรกิ ารอย่างใดอย่างหน่ึงเพม่ิ ขน้ึ ผู้ซ้อื จะซ้ือ สนิ คา้ นัน้ ลดลง และหนั ไปซอ้ื สนิ คา้ อน่ื ๆ ทส่ี ามารถใชท้ ดแทนกนั ได้ เพม่ิ ขน้ึ แตถ่ า้ ราคาสนิ คา้ นนั้ ๆ ลดลง ผซู้ อ้ื จะหนั ไปซอ้ื เพมิ่ ขน้ึ โดยลดการซอ้ื สนิ คา้ ท่ใี ชท้ ดแทนกนั ได้นัน้ ลง เชน่ การทเ่ี น้ือ หมูมรี าคาแพง ประชาชนก็จะหนั ไปซ้อื เน้ือไก่เพราะถูกกว่า แ ต่ ถ้า ร า คา เ น้ื อห มูล ด ล ง ปร ะ ชา ช น สา ม า ร ถ ซ้ือเ น้ื อห มู ม า บรโิ ภคไดก้ ไ็ มจ่ าเป็นทจ่ี ะตอ้ งซอ้ื เน้ือไกม่ าบรโิ ภคอกี ต่อไป
2. การทผ่ี บู้ รโิ ภคสว่ นใหญ่มรี ายไดน้ ้อย จงึ ตอ้ งการใหก้ ารใชจ้ า่ ยเงนิ ของตนเกดิ ประโยชน์ทางเศรษฐกจิ มากท่ีสุด ดงั นัน้ ประชาชนจึงซ้ือสนิ ค้าและบริการเพ่ิมข้นึ เม่อื ราคาต่าลง แต่ถ้าราคาสูงข้นึ ประชาชน จะซอ้ื น้อยลง 3. ความพอใจของผบู้ รโิ ภคจะเปลย่ี นแปลงไปตามราคาสนิ คา้ และบรกิ าร เช่น เม่อื ราคาปลาสดถูกมาก ประชาชนจะซอ้ื เพมิ่ ขน้ึ และนาไปใชใ้ นจุดประสงคอ์ ่นื ๆ เชน่ ใชท้ าปลาเคม็ ปลารา้ หรอื ขายต่อ เป็นตน้
การเปลี่ยนแปลงของอปุ สงค์ เสน้ อปุ สงคอ์ าจจะมกี ารเปลย่ี นแปลงอนั เน่ืองมาจากราคาเพมิ่ ขน้ึ หรอื ลดลง แต่ในบางกรณีเสน้ อปุ สงค์ อาจเปลย่ี นแปลงในลกั ษณะทค่ี วามต้องการในสนิ ค้านัน้ ๆ เพม่ิ ขน้ึ ขณะทร่ี าคายงั คงเดมิ จึงมเี สน้ อุปสงค์ เคล่อื นสงู ขน้ึ เชน่ ถา้ มะมว่ งราคากโิ ลกรมั ละ 20 บาท แตค่ วามตอ้ งการซอ้ื มะมว่ งมมี ากขน้ึ เร่อื ยๆ ในขณะทร่ี าคามะมว่ ง ไม่เปล่ียนแปลง ในกรณีน้ีก็ทาให้เส้นอุปสงค์เปล่ียนแปลงโดยการเคล่ือนท่ีสูงข้ึน อย่างไรก็ตาม การเปล่ยี นแปลงของเสน้ อุปสงคอ์ าจจะเปล่ยี นแปลงโดยการเคล่อื นสงู ขน้ึ หรอื ต่าลงกไ็ ด้ ซ่งึ เป็นผลมาจาก ปัจจยั หลายประการ คอื 1. ประชากรมากขึ้น สงั คมใดก็ตามเม่อื ประชากรมมี ากข้นึ ปรมิ าณความต้องการในสนิ ค้าและบรกิ ารต่างๆ กจ็ ะเพม่ิ มากขน้ึ ดว้ ย เพราะประชาชนยอ่ มตอ้ งการสนิ คา้ และบรกิ ารทเ่ี ป็นพน้ื ฐานของการดาเนินชวี ติ มากขน้ึ ไมว่ ่าจะ เป็ น เส้ือผ้า อาหาร ยารักษาโรค ท่ีอยู่อาศัย ในทางตรงกันข้าม ถ้าจานวน ของประชากรในสังคม ใดมนี ้อยลง ความตอ้ งการกจ็ ะน้อยลงตามไปดว้ ย
2. รายได้ เมอ่ื ประชาชนมรี ายไดเ้ พม่ิ ขน้ึ ความต้องการทจ่ี ะบรโิ ภคสนิ คา้ และบรกิ ารต่างๆ กม็ มี ากขน้ึ เพราะมกี าลงั ซอ้ื ทงั้ ยงั มกี ารเปลย่ี นแปลงถงึ ชนิดของสนิ คา้ ดว้ ย โดยผซู้ อ้ื จะซอ้ื สนิ คา้ ทม่ี คี ณุ ภาพดี มคี วามคงทนถาวร กวา่ ทเ่ี คยบรโิ ภค เน่ืองจากปรมิ าณรายไดท้ เ่ี พม่ิ นนั้ จะชว่ ยใหผ้ บู้ รโิ ภคสามารถตดั สนิ ใจเลอื กไดม้ ากกวา่ 3. การโฆษณา ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือแบบผสม จะมีการแข่งขันโดยใช้ระบบการโฆษณาสูง ธุรกิจต่างๆ จะจูงใจลูกค้าด้วยวธิ กี ารโฆษณาหลากหลายรูปแบบ ซ่งึ จะเป็นข้อมูลให้ประชาชนมีความรู้ และเขา้ ใจในสนิ คา้ นัน้ ดว้ ย ทาใหอ้ ปุ สงคข์ องสนิ คา้ ทม่ี กี ารโฆษณาเพม่ิ สงู ขน้ึ ประกอบกบั ประชาชนสว่ นใหญ่นิยมทจ่ี ะ เลยี นแบบและเอาอยา่ งกนั ในสงั คม การโฆษณาจงึ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การเปลย่ี นแปลงอปุ สงคข์ องสนิ คา้ นนั้ มาก 4. อายุและเพศ สนิ ค้าและบริการบางอย่างใชไ้ ด้กบั ประชาชนทุกเพศทุกวยั และบางอย่างใช้ได้เฉพาะกลุ่ม ธุรกจิ ปัจจุบนั ผลติ สนิ คา้ สนองตอบต่อความตอ้ งการของประชาชนเฉพาะกลุ่มมากข้นึ เชน่ เคร่อื งสาอางสาหรบั สตรี เส้ือผ้าสาหรับวัยรุ่น น้าหอมสาหรับผู้ชาย ฯลฯ ถ้าสังคมใดมีกลุ่มของประชาชนในลักษณะนั้นๆ มากกจ็ ะขายสนิ คา้ ไดม้ ากขน้ึ
5. รสนิ ยม รสนิยมถอื เป็นความพอใจเฉพาะบุคคลเฉพาะสงั คมในช่วงระยะเวลานัน้ ๆ เช่น ปัจจุบนั วยั รุ่นกาลังนิยมโทรศัพท์มือถือ อุปสงค์ท่ีมีต่อสนิ ค้าชนิดน้ีจะสูงข้ึน ทาให้ราคาเพ่ิมข้ึนตามไปด้วย สว่ นสนิ คา้ ชนิดใดทล่ี ดความนิยมลงกจ็ ะทาใหอ้ ปุ สงคข์ องสนิ คา้ ชนิดนนั้ ลดลงไปดว้ ย 6. การเปล่ียนไปตามฤดูกาล สภาพของดนิ ฟ้าอากาศในแต่ละฤดูกาล มีผลต่อการเปล่ียนแปลง ของอุปสงค์ เช่น ในฤดูหนาวอุปสงค์ท่มี ีต่อเสอ้ื ผ้ากนั หนาวจะมีมากกว่าฤดูร้อน แต่ในฤดูร้อนอุปสงค์ ทม่ี ตี อ่ สนิ คา้ ประเภทพดั ลม เคร่อื งปรบั อากาศ และน้าแขง็ จะมเี พมิ่ ขน้ึ เป็นตน้ 7. ราคาสินค้าชนิ ดอื่นๆ เปล่ียนแปลง การบรโิ ภคสนิ ค้าบางอย่างนัน้ จะต้องมสี นิ ค้าชนิดอ่นื มา เก่ียวข้องด้วย เช่น รถยนต์จะต้องใชน้ ้ามนั เคร่อื งใช้ไฟฟ้าจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้า หากสนิ ค้าชนิดใด ชนิดหน่ึงเปลย่ี นแปลงกจ็ ะมผี ลต่ออปุ สงคข์ องสนิ คา้ อกี ชนิด เชน่ รถยนตร์ าคาแพงขน้ึ ประชาชนซอ้ื น้อยลง ทาให้ปรมิ าณของการใชน้ ้ามนั ก็จะลดลง ในบางกรณีสนิ ค้าบางประเภทอาจใชท้ ดแทนกนั ได้ หากสนิ ค้า ชนิดใดมีราคาแพงข้นึ หรือหายากประชาชนก็จะหนั ไปซ้ือสนิ ค้าชนิดอ่นื ท่ใี ช้แทนกนั ได้ เช่น เน้ือหมูมีราคาแพง ก็จะหนั ไปซ้ือเน้ือไก่ จากลักษณะดงั กล่าว จะถือว่าราคา สนิ ค้าอ่ืนๆ ท่ีมีการเปล่ียนแปลงย่อมส่งผล ต่ออปุ สงคข์ องสนิ คา้ บางอยา่ งไปดว้ ย
8. การคาดคะเนราคาสินค้าในอนาคต ในกรณีทป่ี ระชาชนทวั่ ไปคาดว่าราคาสนิ คา้ และบรกิ ารบาง ชนิดจะสงู ขน้ึ จะเป็นปัจจยั ดงึ ดูดใหป้ ระชาชนซ้อื สนิ คา้ ชนิดนัน้ มากกั ตุนไว้ จงึ เป็นผลต่อการเปล่ยี นแปลง ของราคาสนิ คา้ 9. การออม การบรโิ ภคในปรมิ าณมากข้นึ หรือน้อยลง คือสาเหตุของการเปล่ียนแปลงราคาสนิ ค้า และบรกิ ารในระบบเศรษฐกจิ หากสงั คมใดประชาชนมอี ตั ราการออมสงู ยอ่ มมอี ปุ สงคต์ ่อสนิ คา้ และบรกิ ารต่างๆ ลดลง เพราะตอ้ งการเกบ็ เงนิ ไวม้ ากกวา่ จะนาออกมาใชจ้ ่าย ทาใหร้ าคาสนิ คา้ ตกต่า การผลติ ชะลอตวั เป็นตน้ 10.การกระจายรายได้ ในทกุ สงั คมยอ่ มเกดิ ปัญหาความไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ดา้ นรายได้ ประชาชนบางกลุ่ม มรี ายไดส้ งู ในขณะทบ่ี างกลุ่มมรี ายไดต้ ่า การกระจายรายไดท้ ม่ี คี วามเหล่อื มล้าน้ีมผี ลต่ออุปสงคข์ องสนิ คา้ และบรกิ ารในระบบเศรษฐกจิ เพราะผทู้ ม่ี รี ายไดน้ ้อยยอ่ มขาดกาลงั ซ้อื ความต้องการในสนิ ค้าและบรกิ าร มจี ากดั แตใ่ นสนิ คา้ บางชนิดทม่ี รี าคาแพงจะเกดิ การเปลย่ี นแปลงดา้ นอปุ สงคเ์ ฉพาะผบู้ รโิ ภคบางกลุ่มเทา่ นัน้
ความหมายของอปุ ทาน อุปทาน (Supply) หมายถึง ปรมิ าณของสนิ คา้ และบรกิ ารทผ่ี ู้ผลติ หรอื ผู้ขายนาออกมาขายในตลาด ตามราคาทก่ี าหนด อุปทานของสินค้าและบริการชนิดใดก็ตามจะมีมากหรือน้อย ข้ึนอยู่กับปั จจัยหลาย ประการ ไมว่ า่ จะเป็นราคาของสนิ คา้ ทท่ี าใหผ้ ผู้ ลติ พอใจทจ่ี ะนาออกมาขาย ปัจจยั การผลติ ทุกประเภท สภาพอากาศ หรอื การเปลย่ี นแปลงของราคาสนิ คา้ อน่ื ๆ โดยผผู้ ลติ จะพจิ ารณาปัจจยั เหล่าน้ีวา่ จะมผี ลกระทบต่อการผลติ หรอื การนาออกมาจาหน่ายหรอื ไมเ่ พยี งใด
ประเภทของอปุ ทาน อปุ ทานกเ็ ชน่ เดยี วกบั อปุ สงคท์ ส่ี ามารถแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. อุปทานแต่ละบุคคล คือ ปริมาณของสินค้าและบริการต่างๆ ท่ีผู้ผลิตหรือผู้ขายแต่ ละคน หรือแต่ละบรษิ ัทนาออกมาขายในระดบั ราคาต่างๆ ในช่วงระยะเวลาหน่ึง เช่น นายแดงเป็นผู้ผลิตและ จาหน่ายผา้ เชด็ ตวั ออกสทู่ อ้ งตลาดแหง่ หน่ึง ดงั น้ี
เม่อื ราคาผา้ เชด็ ตวั ผนื ละ 20 บาท นายแดงจะไม่ผลติ หรอื จาหน่ายเน่ืองจากจะขาดทุน แต่ถา้ ราคาเพมิ่ ขน้ึ เป็น ผนื ละ 40 บาท กจ็ ะผลิตออกมาขาย จานวน 10 ผนื และถ้าราคาสงู ขน้ึ เร่อื ยๆ ก็จะผลติ สนิ คา้ ออกมาขาย เพม่ิ เช่นกนั ย่ิงถ้าราคาผ้าเชด็ ตัวราคาผนื ละ 200 บาท นายแดงก็จะผลติ หรอื จาหน่ายผ้าเช็ดตัวได้ถึง 90 ผนื ขอ้ มลู ทเ่ี สนอในตารางน้ีสามารถแสดงในรปู ของเสน้ อปุ ทานไดเ้ ชน่ กนั คอื เสน้ อุปทานทน่ี ามาแสดงใหเ้ หน็ ในรูปน้ีกเ็ ชน่ เดยี วกนั จากการกาหนดให้ OQ คอื ปรมิ าณผา้ เชด็ ตวั ทน่ี าออกมาขาย สว่ น OP คอื ราคาตอ่ ผนื เมอ่ื ราคาผา้ เชด็ ตวั ต่ากจ็ ะนามาขายน้อย
2. อปุ ทานรวม คอื ปรมิ าณสนิ คา้ และบรกิ ารทผ่ี ูผ้ ลติ หรอื ผู้ขายหลายคนนาออกมาจาหน่ายในตลาด แห่งใดแห่งหน่ึง ในระดบั ราคาต่างๆ ของช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง เช่น ณ ตลาดดอนเมือง พ่อค้าคนท่ี 1, 2 และ 3 นาผา้ เชด็ ตวั ออกมาจาหน่ายเหมอื นกนั แต่ปรมิ าณทจ่ี าหน่ายไดน้ ัน้ จะแตกต่างกนั ไป ข้นึ อยู่กบั ปัจจยั หลายอย่าง เชน่ ทาเลทต่ี งั้ รา้ น ปรมิ าณผมู้ าซ้อื ของในตลาด ซ่งึ การขายสนิ คา้ ของผขู้ ายแต่ละคนนัน้ ถอื เป็นอุปทานแต่ละบคุ คล เม่อื นาปรมิ าณการขายของแต่ละบุคคลมารวมกัน เรียกว่า “อุปทานรวมหรืออุปทานตลาด” (Market Supply) ดงั ตวั อยา่ งทจ่ี ะนาเสนอในตารางต่อไปน้ี
จากตารางแสดงให้เห็นว่าอุปทานของแต่ละบุคคล รวมกนั เป็นอุปทานของตลาดแห่งใดแห่งหน่ึง ตามระดบั ราคา ทก่ี าหนด ซ่งึ ถ้าสนิ คา้ และบรกิ ารมรี าคาต่า การผลิตหรอื นามาจาหน่ายจะน้อยลง การแสดงรายละเอยี ดน้ีสามารถ นามากาหนดเป็นเสน้ อปุ ทานรวมไดด้ งั น้ี เมอ่ื นาปรมิ าณของผา้ เชด็ ตวั ทจ่ี าหน่ายในตลาดน้ีมารวมกนั จะเป็นอปุ ทานรวมในขณะนัน้ และแสดงให้ เหน็ วา่ เมอ่ื ราคาสนิ คา้ เพม่ิ ขน้ึ การนาเสนอสนิ คา้ เขา้ มาจาหน่ายจะมเี พม่ิ ขน้ึ ดงั ท่กี ล่าวแลว้ จากตวั อยา่ งทก่ี ล่าวมาสรปุ ไดว้ า่ อปุ ทานของสนิ คา้ และบรกิ ารจะเปลย่ี นแปลงไปตามราคา ถ้าราคาสนิ คา้ เพมิ่ ขน้ึ ความต้องการขายก็จะมีเพ่ิมข้ึนด้วย ดงั นัน้ จึงได้กาหนดข้นึ เป็น “กฎอุปทาน” (Law of Supply) ท่ีว่า ถา้ ราคาสนิ ค้าและบรกิ ารชนิดใดเพมิ่ ขน้ึ ผผู้ ลติ หรอื ผูข้ ายจะนาสนิ คา้ ชนิดนัน้ ออกมาขายเพม่ิ ข้นึ แต่ถ้าราคาสนิ ค้า นัน้ ลดลง ผู้ผลิตหรือผู้ขายจะนาสนิ ค้านัน้ ออกมาขายน้อยลง หรอื สรุปได้ว่าปรมิ าณของสนิ ค้าชนิดใดชนิดหน่ึง จะเปลย่ี นแปลงไปในทศิ ทางเดยี วกบั ราคา
ลกั ษณะของเส้นอปุ ทาน ลกั ษณะของเสน้ อุปทานโดยทวั่ ไปจะลากข้นึ จากซ้ายไปขวาและไม่จาเป็นท่จี ะเป็นเสน้ ตรงเสมอไป การทเ่ี สน้ อปุ ทานมลี กั ษณะดงั กล่าว เพราะสาเหตดุ งั น้ี 1. แรงจูงใจจากราคา เม่อื ผผู้ ลติ หรอื ผขู้ ายเหน็ วา่ ราคาสนิ คา้ และบรกิ ารของตนสงู ขน้ึ กจ็ ะผลติ ให้มี ปรมิ าณเพมิ่ ขน้ึ พร้อมทงั้ นาออกมาวางขายมากข้นึ เช่นกัน แต่ถ้าราคาสนิ ค้าและบรกิ ารนัน้ ลดลง กจ็ ะมกี ารผลิต และนาออกมาจาหน่ายลดลง
2. เปล่ียนแปลงปัจจยั การผลิตเพื่อสินค้าชนิ ดอ่ืนๆ ได้ ปัจจัยการผลิตทุกประเภทสามารถปรบั เปล่ียน ไปใช้ในการผลิตสนิ ค้าชนิดอ่นื ได้ ถ้าสนิ ค้าท่เี คยผลิตนัน้ ราคาตกต่า แต่สนิ ค้าชนิดใหม่มีราคาสูงกว่า เพ่อื จะไดผ้ ลคมุ้ คา่ 3. ตลาดเป็ นผ้กู าหนดราคาสินค้า ราคาสนิ ค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือแบบผสม จะถกู กาหนดขน้ึ ดว้ ยระบบตลาด หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “กลไกของราคา”
การเปล่ียนแปลงของเส้นอปุ ทาน การเปลย่ี นแปลงของเสน้ อปุ ทานจะมอี ยู่ 2 ลกั ษณะ เชน่ เดยี วกบั อปุ สงค์ คอื ปัจจยั สาคญั ที่ทาให้เส้นอปุ ทานมีการเปลี่ยนแปลงนัน้ เกิดขึน้ เนื่องจากส่ิงต่อไปนี้ 1. ราคาของสินค้าและบริการที่เป็นปัจจยั การผลิต หากปัจจยั การผลติ ต่างๆ เปล่ยี นแปลงจะทาให้ อุปทานของสนิ ค้าเปล่ียนแปลงตามไปด้วย เช่น ราคาท่ดี ินสูงข้นึ แต่ผลผลิตท่ผี ลิตข้ึนมาเพ่อื จาหน่าย ไม่สามารถเพมิ่ ขน้ึ ไดต้ ามปรมิ าณของตน้ ทุนการผลติ จะทาใหร้ ายได้ไม่คุ้มกบั ต้นทุน จึงมกี ารลดปรมิ าณ การผลติ ลง อปุ ทานของสนิ คา้ ชนิดนัน้ ๆ กล็ ดตามลงดว้ ย แตถ่ า้ ตน้ ทนุ การผลติ มรี าคาลดลง การผลติ สนิ คา้ กจ็ ะเพมิ่ ปรมิ าณมากขน้ึ
2. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การพฒั นาเทคโนโลยีในสงั คมปัจจุบนั เป็นผลให้ระบบการผลิต มคี วามกา้ วหน้ามากขน้ึ สามารถผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพในปรมิ าณมากขน้ึ ทาใหอ้ ุปทาน ของสนิ คา้ ในระบบเศรษฐกจิ เพม่ิ มากขน้ึ 3. การแข่งขนั ระหว่างผ้ผู ลิตหรือผ้ขู าย ในระบบเศรษฐกจิ ทม่ี กี ารแข่งขนั กนั สูง จะมีผู้ผลิตสนิ ค้า และบรกิ ารในตลาดหลายราย จงึ มปี รมิ าณของสนิ คา้ และบรกิ ารในระบบเศรษฐกจิ มาก ยงิ่ มผี ผู้ ลติ หรอื ผขู้ าย มากขน้ึ อปุ ทานกจ็ ะมากขน้ึ ทงั้ น้ีอาจจะเกดิ จากราคาของสนิ คา้ และบรกิ ารสงู ขน้ึ จงึ เป็นสงิ่ ดงึ ดดู ใจใหผ้ ผู้ ลติ หรือผู้ขายเข้ามาดาเนินกิจการแข่งขนั กันมากข้นึ ในทางตรงกันข้าม หากผู้ขายมจี านวนลดลง หรือการแข่งขนั มนี ้อยเน่ืองจากราคาของสนิ ค้าลดลง ก็จะทาให้ผู้ผลิตหรอื ผู้ขายไม่นาสนิ คา้ ออก สรู่ ะบบตลาด อุปทาน ของสนิ คา้ นนั้ ๆ กจ็ ะลดลง 4. การคาดการณ์ล่วงหน้าของผู้ผลิต ผู้ประกอบกิจการต้องเรยี นรู้ท่จี ะวิเคราะห์ตลาดให้เป็น เม่อื ผู้ผลิต หรอื ผขู้ ายคาดการณ์ว่าราคาสนิ คา้ และบรกิ ารของตนจะสงู ขน้ึ กจ็ ะกกั ตุนสนิ คา้ และบรกิ ารนั้นไวเ้ พ่อื รอให้ ราคาสงู ขน้ึ จงึ เป็นสาเหตใุ หอ้ ปุ ทานสนิ คา้ นนั้ ลดจานวนลง
5. การเปล่ียนแปลงตามฤดูกาล ประเทศไทยเป็นประเทศหน่ึงทป่ี ระชาชนสว่ นใหญ่ประกอบอาชพี ด้านการเกษตร และผลผลิตท่ที ารายได้ให้แก่ประเทศมากท่สี ุดคอื สนิ ค้าด้านการเกษตรซ่ึงเ ป็นสนิ ค้า ทต่ี อ้ งพง่ึ พาธรรมชาติ หากปีใดสภาพอากาศดี ฝนตกตามฤดกู าล กจ็ ะไดป้ รมิ าณผลผลติ สงู ขน้ึ ไม่ว่าจะเป็น ขา้ ว ข้าวโพด อ้อย ถวั่ มนั สาปะหลงั ฯลฯ อุปทานของสนิ ค้าก็จะเพม่ิ มากข้นึ ในทางตรงกนั ข้าม หากอากาศรอ้ น แหง้ แลง้ หรอื เกดิ น้าทว่ ม ผลผลติ ทไ่ี ดก้ จ็ ะน้อยลง อปุ ทานของสนิ คา้ นัน้ ๆ กจ็ ะมนี ้อยในระบบเศรษฐกจิ เป็นตน้ อุปสงค์และอุปทานท่ีกล่าวมาทัง้ หมดในหน่วยน้ีเพ่ือต้องการแยกเน้ือหาให้ศึกษาโดยเข้าใจ เฉพาะเร่อื งอปุ สงคแ์ ละอปุ ทานโดยตรง ในความเป็นจรงิ แลว้ อปุ สงคแ์ ละอปุ ทานเป็นเรอ่ื งทต่ี อ้ งเกย่ี วขอ้ งกนั อย่างหลกี เล่ยี งไมไ่ ด้ เพราะอปุ สงคแ์ ละอปุ ทานมผี ลต่อการกาหนดราคาสนิ คา้ ในตลาด สนิ คา้ จะขายไดม้ ากหรอื น้อย ผลิตมาจาหน่ายในปริมาณเท่าใด ราคาจะสูงหรือต่า หรือเป็นราคาท่ีเหมาะสม ซ่ึงจะพอใจทัง้ ผู้ผลิต และผบู้ รโิ ภคหรอื ไมก่ ข็ น้ึ อยกู่ บั อปุ สงคแ์ ละอปุ ทานทงั้ สน้ิ
ทงั้ อุปสงค์และอุปทานต่างก็มคี วามสมั พนั ธ์กนั คือ ข้นึ อยู่กบั ราคาของสนิ ค้า ดังนัน้ ปรมิ าณสนิ ค้า ท่ีผู้บริโภคต้องการซ้ือและผู้ขายต้องการขาย จะปรับตัวไปตามระดับราคาสินค้าท่ีเปล่ี ยนแปลงไป แต่เน่ืองจากการปรบั ตวั ของปรมิ าณซอ้ื และปรมิ าณขายตอ่ ราคามลี กั ษณะตา่ งกนั ตามกฎของอปุ สงคอ์ ปุ ทาน การปรับตัวน้ีจะเป็นเหตุให้ปริมาณซ้ือและขายเท่ากันพอดี ณ ระดับราคาใดราคาหน่ึง โดย ณ ระดบั ราคานัน้ ปรมิ าณสนิ ค้าท่ผี ูบ้ รโิ ภคตอ้ งการซ้อื จะเท่ากบั ปรมิ าณสนิ ค้าท่ผี ผู้ ลติ ประสงค์จะผลิตออกขายในขณะเดยี วกนั พอดี มีผลทาให้เกิดราคาดุลยภาพและปรมิ าณดุลยภาพ เราเรยี กสภาวะดงั กล่าวน้ีว่าดุลยภาพของตลาด (Market Equilibrium) ราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพน้ี เม่อื เกิดข้นึ แล้วจะคงอยู่เช่นนัน้ ตราบใด ทอ่ี ุปสงค์และอุปทานไม่เปล่ยี นแปลง เหตุผลคอื ถ้าราคาเปล่ยี นแปลงไปจากดุลยภาพดว้ ยเหตุใดก็ตาม จะทาให้อุปสงค์และอุปทานขาดความสมดุล ราคาท่ีเปล่ียนไปจากดุลยภาพจึงดารงอยู่ไม่ได้ต้องเปล่ียนแปลง อยเู่ ร่อื ยๆ จนเกดิ ราคาดลุ ยภาพอกี ครงั้ หน่ึงจงึ จะหยดุ นิ่ง ดงั ภาพ
Search