Basic English

๕๑ President Ronald Reagan ประธานาธบิ ดโี รนลั เรแกน Prime Minister Abhisit นายกรฐั มนตรี อภสิ ทิ ธิ์ 22) ใช้ the นาหน้านามทเ่ี ป็นช่อื ประเทศ ถา้ ชอ่ื ประเทศนนั้ มลี กั ษณะดงั ต่อไปน้ี ก. ช่อื ประเทศนนั้ ประกอบดว้ ยคาวา่ Kingdom, Union, United หรอื Republic เช่น The Soviet Union สหภาพโซเวยี ต The United Kingdom สหราชอาณาจกั ร The Irish Republic สาธารณรฐั ไอรชิ ข. ช่อื รฐั เมอื ง จงั หวดั ทม่ี ี of เช่น The United State of America สหรฐั อเมรกิ า The Republic of China สาธารณรฐั ประชาชนจนี The Union of South Africa สหภาพแอฟรกิ าใต้ 3.5 นามที่ห้ามใช้ a, an, the นาหน้า 1) นามท่นี ับไม่ได้ (Uncountable Noun) ท่กี ล่าวข้นึ มาลอย ๆ โดยไม่มวี ลี (Phrase) หรอื อนุประโยค (Clause) อน่ื ใดมาขยายเพอ่ื ชเ้ี ฉพาะอย่ขู า้ งหลงั ไมต่ อ้ งใช้ Article นาหน้า เชน่ 10 I want to drink tea and coffee. ผมตอ้ งการด่มื น้าชาและกาแฟ Light travels faster than sound. แสงเดนิ ทางไดเ้ รว็ กวา่ เสยี ง Water is composed of hydrogen and oxygen. น้าประกอบดว้ ยไฮโดรเจน และออกซเิ จน แตถ่ า้ มี Phrase หรอื Clause มาขยายอย่ขู า้ งหลงั ตอ้ งใช้ the นาหน้า เชน่ I like the coffee which comes from Peru. ผมชอบกาแฟทม่ี าจากประเทศเปรู The water in my glass is very clean to drink. น้าในแกว้ ของฉนั สะอาดดมี ากทจ่ี ะดม่ื 2) อาการนาม (Abstract Noun) ท่ีแปลว่า “การหรอื ความ” ซ่ึงกล่าวข้นึ มาลอย ๆ ไม่มี Phrase หรอื Clause มาขยายชเ้ี ฉพาะอยขู่ า้ งหลงั ไม่ตอ้ งใช้ Article นาหน้า เชน่ Honesty is the best policy. ความซอ่ื สตั ยเ์ ป็นนโยบายทด่ี ที ส่ี ดุ Drinking too much whisky makes him very bad health. การด่มื สรุ ามากเกนิ ไปทาใหเ้ ขาสุขภาพไม่ดเี อาทเี ดยี ว 10 ศริ ลิ กั ษณ์ ลม้ิ ภกั ด,ี Handbook of English Grammar Usage, (ค่มู ือการใช้ไวยากรณ์องั กฤษ), พมิ พ์ ครงั้ ท่ี 2, หน้า 8-9.

๕๒ Negligence is the path of death. ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย แตถ่ า้ มี Phrase หรอื Clause มาขยายชเ้ี ฉพาะอย่ขู า้ งหลงั ตอ้ งใช้ the นาหน้า เช่น The honest of this boy deserved to be praised. ความซ่อื สตั ยข์ องเดก็ คนน้สี มควรไดร้ บั การยกย่อง The singing of the birds awakes me every morning. เสยี งรอ้ งของนกทาใหผ้ มต่นื ทกุ ๆ เชา้ 3) นามพหูพจน์ (Plural Noun) ทก่ี ล่าวขน้ึ มาลอย ๆ ไม่มี Phrase หรอื Clause มาขยาย เพ่อื ช้เี ฉพาะ อย่ขู า้ งหลงั ไมต่ อ้ งใช้ article นาหน้า เชน่ Students should come to school in early morning. นกั เรยี นควรมาโรงเรยี นแตเ่ ชา้ Women like beautiful clothes. ผหู้ ญงิ ชอบเสอ้ื ผา้ สวยๆ แต่ถา้ มี Phrase หรอื Clause มาขยายชเ้ี ฉพาะอยขู่ า้ งหลงั ตอ้ งใช้ the นาหน้า เชน่ The students in this school are interested in English. นกั เรยี นในโรงเรยี นแหง่ น้สี นใจภาษาองั กฤษ The books which I bought yesterday are interesting. หนงั สอื ทผ่ี มไดซ้ อ้ื มาเมอ่ื วานน้นี ่าสนใจ 4) นามทเ่ี ป็นช่อื วชิ า ภาษา ไม่ตอ้ งใช้ article นาหน้า ไดแ้ ก่ English ภาษาองั กฤษ French ภาษาฝรงั่ เศส Engineering วศิ วกรรม Geography ภูมศิ าสตร์ Mathematics คณิตศาสตร์ History ประวตั ศิ าสตร์ Biology ชวี วทิ ยา Economics เศรษฐศาสตร์ We study English twice a week. เราเรยี นภาษาองั กฤษสปั ดาหล์ ะ 2 ครงั้ Manu wants to continue engineering in U.S.A. มนูตอ้ งการเรยี นต่อวศิ วกรรมทส่ี หรฐั แต่ถ้านามทเ่ี ป็นช่อื วชิ า ภาษา เหล่าน้ี นาไปใชอ้ ย่างคุณศพั ท์ (Adjective) ประกอบนาม ตวั อ่นื ตอ้ งใช้ the นาหน้าทนั ที เช่น Wantani is going to learn the English language next week.

๕๓ วนั ทนยี จ์ ะเรยี นภาษาองั กฤษสปั ดาหห์ น้า The economics subject is more difficult than history. วชิ าเศรษฐศาสตรย์ ากกว่าประวตั ศิ าสตร์ 5) นามทเ่ี ป็นช่อื กฬี า หรอื การละเลน่ ไมต่ อ้ งใช้ article นาหน้า เช่น Football ฟุตบอล Basketball บาสเกตบอล Table Tennis ปิงปอง Tennis เทนนิส They play football with their friends every day. พวกเขาเล่นฟุตบอลกบั เพอ่ื นๆ ทกุ วนั The girls of this school pay attention to tennis. เดก็ หญงิ ของโรงเรยี นน้สี นใจกฬี าเทนนสิ แต่ถ้าซ้ือกฬี าการละเล่น หรอื ความบนั เทงิ ไปทาหน้าทค่ี ล้ายคุณศพั ท์ (Adjective) ประกอบนามตวั อ่นื ตอ้ งใช้ the นาหน้า เชน่ We are going to watch the football match. พวกเราจะไปดกู ารแขง่ ขนั กฬี าฟุตบอล Do you enjoy the basketball game? คุณสนุกไหมกบั กฬี าบาสเกตบอล 6) ยานพาหนะทกุ ชนิดทใ่ี ชใ้ นการเดนิ ทาง และวางไวห้ ลงั บุรพบท “by” ไม่ตอ้ งใช้ 2 นาหน้า เชน่ By car โดยรถยนต์ By train โดยรถไฟ By boat โดยเรอื By taxi โดยรถแทก็ ซ่ี By plane โดยเคร่อื งบนิ By bicycle โดยจกั รยาน อน่งึ กบั สานวนตอ่ ไปน้กี ไ็ ม่ตอ้ งใช้ article นาหน้า ไดแ้ ก่ On foot ดว้ ยเทา้ At sea ทางทะเล By land โดยทางบก On horseback ขม่ี า้ Most of the students go to university by bus. นกั ศกึ ษาสว่ นมากไปเรยี นหนงั สอื ทม่ี หาวทิ ยาลยั โดยรถประจาทาง Some labors go to work on foot. คนงานบางคนกเ็ ดนิ ไปทางาน

๕๔ I go to Nonthaburi by water. ฉนั ไปนนทบุรโี ดยทางน้า 7) หน้าคานามต่อไปน้ีไม่ต้องใช้ article นาหน้า ถ้านามาใชใ้ นความหมายเพอ่ื กจิ กรรมเฉพาะตวั ของมนั เอง ไดแ้ ก่ school, temple, market, prison, bed, sea, hospital, college, court, work (ทท่ี างาน) เช่น We go to school. พวกเราไปโรงเรยี น (เพอ่ื เรยี นหนงั สอื ) We go to temple. พวกเราไปโบสถ์ (เพอ่ื สวดมนตห์ รอื ทากจิ กรรมทางศาสนา) We go to market. พวกเราไปตลาด (เพอ่ื ซอ้ื ขา้ วของ) We go to prison. พวกเราไปเรอื นจา (เพอ่ื ตดิ คุกเป็นนกั โทษ) We go to bed. พวกเราไปนอน (เพราะงว่ งนอน) We go to sea. พวกเราไปทะเล (เพอ่ื เป็นกะลาส)ี We go to hospital. พวกเราไปโรงพยาบาล (เพอ่ื ตรวจโรค) We go to college. พวกเราไปวทิ ยาลยั (เพอ่ื ศกึ ษาเลา่ เรยี น) We go to court. พวกเราไปศาล (ในฐานเป็นโจทย)์ We go to work. พวกเราไปทางาน (ในฐานเป็นคนงาน) คานามตามทก่ี ล่าวมาน้ี ถา้ จะใช้ the นาหน้ากไ็ ด้ แต่ความหมายเพ่อื กจิ กรรมเฉพาะตวั ของมนั ย่อมผดิ ไปจากเดมิ ตวั อยา่ งเชน่ They go to the school. พวกเขาไปโรงเรยี น (เพอ่ื เยย่ี มอาจารยใ์ หญห่ รอื เพอ่ื ชมกจิ กรรมของโรงเรยี น) They go to the church. พวกเขาไปโบสถ์ (เพอ่ื ชมภาพจติ รกรรม) They go to the market. พวกเขาไปตลาด (เพอ่ื ดผู คู้ น) They go to the prison. พวกเขาไปเรอื นจา (เพอ่ื เยย่ี มญาตทิ เ่ี ป็นนกั โทษ)

๕๕ They go to the bed. พวกเขาไปทเ่ี ตยี ง (เพอ่ื ดเู ตยี งนอนหรอื จดั ทน่ี อน) They go to the sea. พวกเขาไปเทย่ี วทะเล (เพอ่ื ชมววิ ) They go to the hospital. พวกเขาไปโรงพยาบาล (เพอ่ื เยย่ี มคนป่วย) They go to the college. พวกเขาไปวทิ ยาลยั (เพราะนดั พบกบั ใครไว)้ They go to the court. พวกเขาไปศาล (เพอ่ื ดกู ารตดั สนิ คด)ี They go to the work. พวกเขาไปทท่ี างาน (เพอ่ื เยย่ี มคนรจู้ กั ) She had to go to hospital since she was seriously ill. เธอตอ้ งเขา้ โรงพยาบาลเน่อื งจากเธอป่วยหนกั Why isn't your son at school today? ทาไมลูกชายของคุณถงึ ไม่ไปโรงเรยี นวนั น้ี? Yesterday I went to the hospital to visit Jimmy. เมอ่ื วานน้ฉี นั ไปโรงพยาบาลเพอ่ื เยย่ี มจมิ ม่ี She went to the school to meet her son's teacher. เธอไปทโ่ี รงเรยี นเพอ่ื พบอาจารยข์ องลูกชายของเธอ

๕๖ สรปุ ท้ายบท คานาหน้านาม (Article) คือ คาท่ีใช้สาหรับนาหน้าคานามเพ่ือบอกให้รู้ว่าคานามนั้น ๆ มคี วามหมายทวั่ ไปหรอื บง่ ถงึ ความหมายเฉพาะ แบง่ ออกเป็น 2 คอื (1) คานาหน้านามทบ่ี ่งความหมายทวั่ ไป (Indefinite) ไดแ้ ก่ A ใชน้ าหน้าคานามนับไดท้ วั่ ไปรูป เอกพจน์ทอ่ี อกเสยี งต้นคาดว้ ยเสยี งพยญั ชนะ ส่วน An ใชน้ าหน้าคานามทวั่ ไปนับไดร้ ูปเอกพจน์ทอ่ี อก เสยี งตน้ คาดว้ ยเสยี งสระ (2) คานาหน้าคานามทบ่ี ่งถงึ ความเฉพาะเจาะจง ไดแ้ ก่ The ใชน้ าหน้าคานามไดท้ งั้ รูปเอกพจน์ และพหพู จน์ทาใหค้ านามนนั้ มคี วามหมายเฉพาะเจาะจงทนั ที

๕๗ กิจกรรมท้ายบท 1. Insert the correct article in the blank space where necessary. Put a cross (x) where article is not needed. 1. He prefers_____girls with_____black hair to those hair is brow 2. You have to take off your shoes before entering any Thai house. But this one is_____exception. 3. Tiger,_____animal equal to lion size, is_____native of Asia. 4._____bridegroom, who is talking to your father, is_____Christina. 5. Do you believe that_____ sun is great ball of fire? 6. He is planning to get_____B.A. in four years and in_____years. 7. Elizabeth is the only girl to be awarded. She is_____Florence Nightigale of our community. 8. My wife is_____Chinese by blood,_____Japanese by law. 9. Malaysia is to_____south of Thailand. 10. Have you visited_____Government house? It's_____house with no windows. 11. _____shoemaker uses_____rubber and_____leather in his work. 12. There is_____stranger outside who wishes to see you. 13. That is_____boy who came here yesterday. 14. Would you like_____cup of_____tea and_____cake? 15. _____more she gets,_____more she wants. 2. Supply the article wherever it indicates the concrete product or the result of an act. 1. He is_____authority on ancient Greece. 2. Meeting you has been_____great pleasure. 3. We will ship out the merchandise on_____receipt of your order. 4. His landlord does not give him______receipt for the rent. 5. He is living_____life of ease. 6. Everyone would like to be free from_____pain. 7. She told the doctor she had_____pain in the back. 8. The salesman showed her_____variety of shoes. 9._____variety is the spice of_____life. 10. She checked with the doctor about_____tiny growth on her chin.

๕๘ 3. Use a or the with the abstract nouns. 1. He has_____simplicity which is seldom met with these days. 2. They live in_____atmosphere of never-ceasing anxiety. 3. He never told anyone about_____loneliness he had experienced in the big city. 4. In the big city, he experienced_____loneliness which he had never known before. 5._____knowledge of history gives us_____sesne of perspective. 4. Supply the proper article in each black. Use a cross (x) if no article is needed. 1. He makes_____living by writing books. 2. She has taken______part in many amateur theatrical productions, 3. When he took_____trip to India, he took_____picture of_____Taj Mahal. 4. He takes______pride in his country and has_____faith in it. 5. I must clear______table and wash_____dishes before we can go out. 6. Let's call_____halt to this bitter argument and shake_____hands. 7. Would you do me_____favor and make_____beds for me? 8. The company takes_____care of all the traveling expenses of its salesman. 9. He made_____mistake in his addition. 10. Space travel has now become_____reality. 11. He makes_____friends with people very easily. 12. He often makes_____of people or takes_____advantage of them. 13. We should always try to tell_____truth, but sometimes it is better to tell_____little lie. 14. The ship had set______sail before they arrived. 15. He always shows great bravery in______face of danger. 16. If I do it. I'll do it for_____love, not for money. 17. I have______cough it is less painful than______toothache. 18. Will you please arrange me the book in_____order of size. 19. Baware of those leaves they will easily catch_____fire. 20. she said she was not in_____position to do anything just then.

๕๙ เอกสารอ้างอิงประจาบท กมล ชทู รพั ย.์ Progressive English Grammar, กรุงเทพฯ: สมเจตน์การพมิ พ,์ 2533. โครงการสง่ เสรมิ การสร้างการตารา มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, Practical English Structure กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2536. เชาวน์ เชวงเดช. Opinion Basic English Grammar: สานักพิมพ์ สยามสปอร์ต ซินดิเคท จากัด, กรงุ เทพฯ 2537. __________ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษพ้ืนฐาน (Basic English Grammar), กรุงเทพ ฯ: บรษิ ทั เอดสิ นั เพรส โพรดกั ส์ จากดั .2538. มงคล กุลประเสรฐิ . An Applied English Grammar. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์ไทยวฒั นาพานิช จากดั มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช สาขาวชิ าศลิ ปศาสตร,์ 2535. ลนิ ดา เจน. Prepositions. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ โอเอสพรน้ิ ตง้ิ เฮาส,์ 2533. วทิ ยา ศรเี ครอื วลั ย์, The Standard English Grammar. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 16. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์แพร่ วทิ ยา, 2532. ศริ ลิ กั ษณ์ ลม้ิ ภกั ด,ี Handbook of English Grammar Usage. (ค่มู ือการใช้ไวยากรณ์องั กฤษ), พมิ พ์ ครงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั สานกั พมิ พห์ น้าต่างสโู่ ลกกวา้ ง จากดั , 2542 Preechar Svivalai, English Essentials. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร,์ 2537.

๖๐ ผศ.เฉลยี ว รอดเขยี ว ผศ.โกวทิ พานแกว้ บทท่ี 4 ผศ.ทนงค์ ลาประไพ กาล (Tense) วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจาบท เมอ่ื ไดศ้ กึ ษาเน้อื หาในบทน้ีแลว้ นิสติ สามารถ 1. บอกความหมายและโครงสรา้ งของกาลได้ 2. บอกหลกั การใชก้ าลแตล่ ะชนดิ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 3. นาความรเู้ ร่อื งกาลไปใชไ้ ดถ้ กู ตอ้ ง ขอบขา่ ยเนื้อหา • ความหมายของกาล • ประเภทของกาล • โครงสรา้ งและหลกั การใชก้ าล

๖๑ 4.1 ความหมายของกาล คาว่า Tense ในภาษาองั กฤษ หรอื กาล ในภาษาไทย หมายถงึ “เวลา” ดงั นัน้ Tense คอื รูป กริยา (verb form) ท่ีบอกเวลาของเหตุการณ์และการกระทา The Advanced Dictionary of Current English ของ A.S. Hornby, E.V. Gatenby A: H. Wakefield ฉบบั พมิ พค์ รงั้ ทส่ี อง ไดใ้ หค้ านยิ ามไวอ้ ย่าง สัน้ ๆ ว่า “Tense (n.) verb form that shows time: the present the past, etc.” (Tense คือรูปกริยาท่ี บอกเวลา เชน่ ปัจจุบนั กาล, อดตี กาล เป็นตน้ ) 4.2 ประเภทของกาล ประเภทของกาล (Tense) ในภาษาองั กฤษ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คอื 1. Present Tense คอื รปู กรยิ าทบ่ี อกเวลาของเหตุการณ์หรอื การกระทาทเ่ี ป็นปัจจุบนั 2. Past Tense คอื รปู กรยิ าทบ่ี อกเวลาของเหตุการณ์หรอื การกระทาทเ่ี ป็นอดตี 3. Future Tense คอื รปู กรยิ าทบ่ี อกเหตุการณ์หรอื การกระทาทเ่ี ป็นอนาคต กาล 3 ประเภทน้ี ยงั แบง่ แยกยอ่ ยออกไปไดอ้ กี ประเภทละ 4 กาลย่อย คอื 4.2.1 Present Tense แบ่งยอ่ ยออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) Present Simple Tense คอื รูปกรยิ าทบ่ี อกเวลาของเหตุการณ์และการกระทาทเ่ี ป็นปัจจุบนั ทวั่ ๆ ไป 2) Present Continuous Tense คือ รูปกริยาท่ีบอกเวลาของเหตุการณ์หรือการกระทาท่ีเป็น ปัจจุบนั ซง่ึ กาลงั เกดิ ขน้ึ หรอื ดาเนนิ อยเู่ ฉพาะหน้าของผพู้ ดู 3) Present Perfect Tense คือ รูปกริยาท่ีบอกเวลาของเหตุการณ์การกระทาท่ีเป็นปัจจุบัน สมบรู ณ์ 4) Present Perfect continuous Tense คอื รปู กรยิ าทบ่ี อกเวลาของเหตุการณ์หรอื การกระทาท่ี เป็นปัจจุบนั กาลงั สมบูรณ์ 4.2.2 Past Tense แบ่งย่อยออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) Past Simple Tense คอื รูปกรยิ าทบ่ี อกเวลาของเหตุการณ์และการกระทาท่เี ป็นอดตี ทวั่ ๆ ไป 2) Past Continuous Tense คอื รปู กรยิ าทบ่ี อกเวลาของเหตุการณ์และการกระทาทก่ี าลงั เกดิ ขน้ึ หรอื ดาเนินอย่ใู นอดตี 3) Past Perfect Tense คอื รปู กรยิ าทบ่ี อกเวลาของเหตุการณ์ทก่ี ระทาสมบูรณ์แลว้ ในอดตี 4) Past Perfect continuous Tense คอื รูปกริยาท่ีบอกเวลาของเหตุการณ์และการกระทาท่ี กาลงั เกดิ ขน้ึ หรอื ดาเนนิ อย่ใู นอดตี

๖๒ 4.2.3. Future Tense แบ่งย่อยออกเป็น 4 ประเภทเช่นกนั คือ 1) Future Simple Tense คอื รูปกรยิ าท่บี อกเวลาของเหตุการณ์และการกระทาท่จี ะเกดิ ข้นึ ใน อนาคต 2) Future Continuous Tense คอื รูปกรยิ าทบ่ี อกเวลาของเหตุการณ์และการกระทาท่กี าลงั จะ เกดิ ขน้ึ ในเวลาใดเวลาหน่งึ ในอนาคต 3) Future Perfect Tense คอื รูปกรยิ าท่บี อกเวลาของเหตุการณ์หรอื การกระทาท่จี ะเสร็จส้ิน สมบูรณ์ในอนาคต 4) Future Perfect continuous Tense คอื รูปกรยิ าท่บี อกเวลาของเหตุการณ์และการกระทาท่ี กาลงั จะเสรจ็ สมบรู ณ์ในอนาคต 4.3 โครงสรา้ งและหลกั การใช้กาล 4.3.1 โครงสร้างและหลกั การใช้ Present Tense The Present Simple Tense S + V1 +... ลกั ษณะของกรยิ ารปู ปัจจุบนั (Present form) 1. ตอ้ งเตมิ ปัจจยั - s หรอื -es ขา้ งหลงั กรยิ ารปู น้เี ม่อื ประธานเป็นนามหรอื สรรพนามเอกพจน์ ท่ี เป็นบุรษุ ทส่ี าม He, She, It, Petu, Monk เรยี กกรยิ าลกั ษณะน้วี ่า กรยิ าปัจจุบนั รปู เอกพจน์ กฎการเตมิ ปัจจยั -s และ es ขา้ งหลงั กรยิ าทาไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี คอื 1) กรยิ าลงทา้ ยดว้ ย s, sh, ch, x และ ๐ ใหเ้ ตมิ ปัจจยั -es เช่น pass passes brush brushes box boxes go goes 2) กรยิ าลงทา้ ยดว้ ย y และหน้า y เป็นพยญั ชนะ ใหเ้ ปลย่ี น y เป็น I แลว้ เตมิ s เช่น cry cries fly flies 3) กรยิ าลงทา้ ยดว้ ย y หน้า y เป็นสระ ใหเ้ ตมิ ปัจจยั -s เช่น stay stays play plays 4) กรยิ าทอ่ี ยนู่ อกกฎขา้ งตน้ ทงั้ หมดใหเ้ ตมิ ปัจจยั – s อย่างเดยี ว เชน่ eat eats speak speaks live lives

๖๓ 2. กรณีประธานเป็นนามหรอื สรรพนามเอกพจน์บุรุษท่ี 1 และ 2 หรอื นามหรอื สรรพนามพหูพจน์ ทวั่ ไป ไม่ตอ้ งเตมิ ปัจจยั ใด ๆลงขา้ งหลงั กรยิ ารปู น้ี และ เรยี กกรยิ ารปู น้วี ่า กรยิ าพหพู จน์ ตวั อยา่ ง He likes Coffee (เขาชอบกาแฟ) Supot cries. (สพุ จน์รอ้ งไห)้ We like ice-cream. (พวกเราชอบไอครมี ) จากสามตวั อย่างนนั้ ประโยคทห่ี น่งึ และสอง เป็นกรยิ ารปู ปัจจุบนั เอกพจน์ (Singular verb form) เตมิ ปัจจยั -s และ -es ตามลาดบั เพราะมปี ระธานเป็นเอกพจน์ คอื He และ Supot ส่วนประโยคท่สี าม รูปกรยิ าไม่ต้องเตมิ ปัจจยั ใด ๆ เพราะมปี ระธานเป็นพหูพจน์คือ We เรยี กว่ากรยิ า ปัจจุบนั พหูพจน์ (plural verb form) หมายเหตุ: ยกเว้นกริยาช่วย verb to be, verb to have ท่ีใช้เป็นกริยาหลัก (main verb) เพราะรูป ปัจจุบนั ของกรยิ าน้มี รี ปู เฉพาะทเ่ี ป็นเอกพจน์และพหพู จน์ คอื is am are และ has have ตามลาดบั ประโยคตวั อยา่ ง He, She, It is (has). We, You, They are (have). I am (have). ดงั นัน้ สรุปว่า กริยารูปปัจจุบันมีสองรูปเสมอไป คือ รูปเอกพจน์ท่ีต้องเติมปัจจยั -s, -es (V-s form) กบั รปู ทไ่ี ม่ตอ้ งเตมิ ปัจจยั ใด ๆ เรยี กวา่ รปู พหพู จน์ (V nor-s form) ทงั้ น้เี พอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ประธานทม่ี ที งั้ เอกพจน์และพหพู จน์ กริยา Present form นี้ ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาที่มีลกั ษณะ ดงั ต่อไปนี้ 1) เหตุการณ์หรอื การกระทาเกดิ ขน้ึ หรอื กระทาเป็นประจาเนืองนิตย์ในชวี ติ ประจาวนั หรอื ตดิ เป็นนสิ ยั การใชก้ บั เหตุการณ์และการกระทาแบบน้ี โดยมากจะมคี าหรอื กลุ่มคาและอนุประโยค (Adverb clause) ทใ่ี ช้เป็นกรยิ าวเิ ศษณ์บอกเวลาท่เี ป็นความถ่ี บอกความเป็นปรกตมิ าประกอบดว้ ย เพ่อื ความ ชดั เจน เชน่ Mr. John drinks coffee every day. (นายจอหน์ ด่มื กาแฟทุกวนั ) Surapong always drinks milk. (สรุ พงศด์ ม่ื นมเป็นปกต)ิ They are often late for school. (พวกเขามาโรงเรยี นสายบอ่ ย ๆ) Whenever she writes, she has bad news. (เมอ่ื ไรกต็ ามทเ่ี ธอเขยี น เธอกม็ ขี า่ วทไ่ี ม่ด)ี 2) เหตุการณ์หรือการกระทาท่ีเป็นจริงอย่างนัน้ เสมอไปไม่มีการเปล่ียนแปลง คือจริงโดย ธรรมชาติ เชน่

๖๔ The earth goes around the sun. (โลกหมุนรอบดวงอาทติ ย)์ Light moves faster than sound. (แสงเดนิ ทางเรว็ กวา่ เสยี ง) Sugar is sweet. (น้าตาลหวาน) 3) ขอ้ ความทเ่ี ป็นสภุ าษติ คาพงั เพย ใหใ้ ชก้ รยิ ารปู น้เี ท่านนั้ เช่น Speech is silver, silence is golden. (พดู ไปสองไพเบย้ี นงิ่ เสยี ตาลงึ ทอง) Beauty is only skin deep. (สวยแต่รปู จบู ไมห่ อม) The Present Continuous Tense S + is, am, are + V1 (-ing) +... ลกั ษณะของรปู กรยิ า Present Continuous รปู กรยิ าน้ีเป็นกรยิ าผสมระหว่างกรยิ าช่วย verb to be รปู ปัจจุบนั คอื is, am, are กบั กรยิ าไม่จรงิ รปู Present participle (V1+ing ) ทาหน้าทเ่ี ป็นกรยิ าหลกั (Principal verb) เน่อื งจากกรยิ าช่วย Verb to be รปู ปัจจุบนั มี 3 รปู คอื is, am, are ดงั นนั้ จงึ มคี วามสมั พนั ธ์กบั ประธาน ดงั น้ี is ใชก้ บั ประธาน He, She, It และนามเอกพจน์ เช่น He, (She, It) is speaking. are ใชก้ บั ประธาน We, You, They และนามพหพู จน์ เชน่ We (You, They) are speaking. am ใชก้ บั ประธานทเ่ี ป็นบรุ ุษสรรพนามทห่ี น่งึ เอกพจน์ 1 (เทา่ นัน้ ) เชน่ I am speaking กรยิ ารปู present participle forms คอื กรยิ าทวั่ ไปทเ่ี ตมิ ปัจจยั -ing ขา้ งหลงั เชน่ going walking, sleeping เป็นตน้ กฎของการเตมิ ปัจจยั –ing มดี งั น้ี 1. กรยิ าทล่ี งทา้ ยดว้ ย -e ใหต้ ดั -e ทง้ิ แลว้ เตมิ -ing เช่น make making use using write writing 2. กรยิ าทม่ี พี ยางคเ์ ดยี วประกอบดว้ ยสระและพยญั ชนะตวั เดยี ว ออกเสยี งสนั้ ใหเ้ พม่ิ พยญั ชนะ ตวั สะกดอกี ตวั แลว้ เตมิ –ing เชน่ run running

๖๕ sit sitting cut cutting 3. กรยิ าทล่ี งทา้ ยดว้ ย - ie ใหเ้ ปลย่ี น ie เป็น y แลว้ เตมิ -ing เช่น die dying tie tying lie lying 4. กรยิ าทน่ี อกเหนอื จาก 3 ขอ้ ขา้ งตน้ ทงั้ หมด ใหเ้ ตมิ ing ไดเ้ ลยโดยไม่ตอ้ งไปเปลย่ี นแปลงใด ๆ เช่น learn learning look looking teach teaching watch watching กริยา Present continuous form นี้ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาที่มีลกั ษณะดงั ต่อไปนี้ 1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทาท่ีกาลังเกิดข้ึนหรือดาเนินอยู่ (going on) ในขณะท่ีพูด ประโยคนนั้ เป็นเหตกุ ารณ์เฉพาะหน้า เหน็ อะไร ทาอะไรในขณะทพ่ี ดู กบ็ อกวา่ สง่ิ นนั้ หรอื การกระทานนั้ กาลงั .....เป็นตน้ ตวั อย่างเชน่ It is raining. (ฝนกาลงั ตก) They are running. (พวกเขากาลงั วงิ่ ) I am reading a cartoon. (ผมกาลงั อ่านหนงั สอื การต์ ูน) Linda is watching television. (ลนิ ดากาลงั ดูโทรทศั น์) 2. ใช้กบั เหตุการณ์หรอื การกระทาทก่ี าลงั เกดิ ขน้ึ ในช่วงเวลาท่พี ูด เป็นลกั ษณะของเหตุการณ์ หรอื การกระทาต่อเน่อื ง แมว้ า่ ในขณะทพ่ี ดู อย่นู นั้ จะไมไ่ ดก้ ระทาสง่ิ นนั้ อยกู่ ต็ าม กใ็ ชร้ ปู กรยิ าน้ไี ด้ ข้อสงั เกต: การใช้ในลักษณะน้ี มกั ใช้กริยาวิเศษณ์บอกเวลาประกอบ เพ่อื เป็นการเน้นว่า เหตุการณ์หรอื การกระทานัน้ ๆ กาลงั ดาเนินอยู่ เช่น now, these days, at present, at this moment, เป็นตน้ ตวั อยา่ งเช่น Daeng is studying hard these days. (ระยะน้แี ดงกาลงั เรยี นหนกั ) They are working hard these days. (ระยะน้พี วกเขากาลงั ทางานหนกั )

๖๖ 3. ใชก้ บั สถานการณ์ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป ตวั อยา่ งเช่น The population of the world is rising very fast. (ประชากรของโลกกาลงั เพม่ิ ขน้ึ เรว็ มาก) Is your English getting better? (ภาษาองั กฤษของคณุ กาลงั ดขี น้ึ บา้ งไหม) หมายเหตุ : กรยิ าต่อไปน้ี ไม่นิยมใชก้ บั รปู กรยิ า Present Continuous เพราะเป็นกรยิ าทม่ี คี วามหมาย ทางดา้ นความรสู้ กึ ทางอารมณ์ ความคดิ การรบั รู้ เป็นตน้ สง่ิ เหลา่ น้เี กดิ แลว้ เกดิ เลย ไมใ่ ช่กาลงั เกดิ เช่น การเห็น (see) พอรูปกระทบกบั ตาการเหน็ ก็เกิดข้นึ ทนั ที เราจะบอกว่า I am seeing. (ผมกาลงั เหน็ ) ไมไ่ ด้ แต่มกี รยิ าบางตวั ในกลุ่มน้อี าจใชไ้ ด้ แต่ความหมายเปลย่ี นไปจากเดมิ บา้ ง ดงั นนั้ กรยิ ากลมุ่ น้ีจงึ ใช้ เป็นกรยิ า Simple Present form มากกว่า กรยิ ากลมุ่ น้ี ไดแ้ ก่ see hear smell taste need desire wish want forget suppose love like prefer hate dislike think refuse contain consist (of) own feel look notice realize remember understand believe ตวั อย่างเช่น Do you like Bangkok? (ถูก) Are you liking Bangkok? (ผดิ ) The Present Perfect Tense: S + has, have + V3 +... ลกั ษณะของรปู กริยา Present perfect เป็นกริยาผสม (Compound verb) ระหว่างกรยิ าช่วย verb to have กับกรยิ าไม่จริงรูป past participle form ร่วมกนั ทาหน้าท่เี ป็นกรยิ าหลกั แสดงเวลาของเหตุการณ์และการกระทาท่เี ป็น prese perfect คอื เหตกุ ารณ์และการกระทาทต่ี อ่ เน่อื งระหว่างอดตี กบั ปัจจุบนั เน่อื งจากกรยิ าช่วย verb to have มี 2 รปู คอื รปู เอกพจน์ has กบั รปู พหพู จน์ have จงึ สมั พนั ธ์ กบั ประธาน ดงั น้ี has ใชก้ บั ประธานบุรษุ สรรพนามทส่ี ามเอกพจน์ He, She, It และนามเอกพจน์ เช่น He (she, It) has walked. have ใชก้ บั ประธานบุรษุ สรรพนามพหพู จน์ We, You , They (I) และนามพหพู จน์ เช่น I (We, You, They) have walked. ลกั ษณะของกรยิ ารปู Past participle มี 2 แบบ คอื

๖๗ 1. Regular form แบบท่ีเติมปัจจยั -ed หรือ -ed form กฎของการเติมปัจจยั -ed มดี งั นี้ 1) ถา้ กรยิ าทล่ี งทา้ ยดว้ ย y และหน้า y เป็นพยญั ชนะใหเ้ ปลย่ี น y เป็น I เสยี ก่อนแลว้ จงึ เตมิ -ed แต่ถา้ หน้า y เป็นสระใหเ้ ตมิ -ed ไดเ้ ลย base form simple past form fly flied study studied (ยกเวน้ ) stay stayed 2) ถา้ กรยิ านนั้ ลงทา้ ยดว้ ย -e อย่แู ลว้ ใหเ้ ตมิ เพยี ง -d อย่างเดยี ว เช่น Like liked Love loved 3) ถา้ กรยิ านนั้ เป็นกรยิ าพยางคเ์ ดียว (คอื ออกเสยี งเพยี งครงั้ เดียว) สระตวั เดยี วและตวั สะกดตวั เดยี ว ออกเสยี งสนั้ ๆ ใหเ้ ตมิ พยญั ชนะตวั สะกดอกี ตวั หน่งึ แลว้ เตมิ -ed เชน่ stop stopped beg begged 4) กรยิ าอ่นื ๆทน่ี อกเหนือจากกฎดงั กล่าวขา้ งต้น ใหเ้ ตมิ -ed ได้เลยโดยไม่ต้องเปล่ยี นแปลง อะไร เชน่ finish finished walk walked เป็นตน้ การออกเสยี งพยางคท์ เ่ี ตมิ ปัจจยั -ed 1) กรยิ าทล่ี งทา้ ย (สะกด) ดว้ ยพยญั ชนะ k, p, f, s, sh ออกเสยี งเป็น t 2) กรยิ าทล่ี งทา้ ยดว้ ยพยญั ชนะ d หรอื t ออกเสยี งเป็น id 3) นอกจากน้ที งั้ หมดใหอ้ อกเสยี งเป็นเสยี ง d 2. Irregular form คือรปู ท่ีไมเ่ ติมปัจจยั -ed เรยี กอกี อย่างว่า Non-ed form จดั เป็นกรยิ านอกแบบหรอื นอกกฎของกรยิ า Simple past form แตม่ กี ารเปลย่ี นรปู และไมเ่ ปลย่ี นรูปเลย ดงั น้ี 1) เปลย่ี นรปู ทงั้ หมด (Complete change) เชน่ go went 2) ไมเ่ ปลย่ี นรปู เลย (No change) เช่น cut cut 3) เปลย่ี นเฉพาะสระ (vowel change only) เชน่ sit sat 4) เปลย่ี นเฉพาะพยญั ชนะตวั ทา้ ยสดุ (consonant change only) เช่น build built

๖๘ 5) เปลย่ี นทงั้ สระและพยญั ชนะ (both vowel and consonant) เช่น sleep slept กริยารปู Present perfect form นี้ ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาที่มลี กั ษณะดงั นี้ 1. เหตุการณ์และการกระทาท่ีเกิดข้นึ ในอดีตและได้เสร็จส้ินสมบูรณ์ไปแล้ว แต่ยงั มผี ลของ เหตุการณ์และการกระทานัน้ ปรากฏอยู่ในขณะท่เี ราพดู เร่อื งนัน้ การใชใ้ นกรณีน้ีจะมกี รยิ าวเิ ศษณ์บอก เวลา เช่น since (ตงั้ แต่เวลา..) และ for (เป็นเวลา...) รว่ มดว้ ย ตวั อยา่ งเชน่ I have lost my key. (ผมทากญุ แจหาย) หมายเหตุ : กญุ แจหายกอ่ นหน้าน้แี ลว้ ในขณะทพ่ี ดู เขายงั หาไมเ่ จอ He has gone to Songkla since last week. (เขาไปจงั หวดั สงขลาตงั้ แต่สปั ดาหท์ แ่ี ลว้ ) หมายเหตุ: ขณะทพ่ี ดู เขาคนนนั้ ยงั อย่ทู จ่ี งั หวดั สงขลา Ladda has lived here for 3 years (ลดั ดาพกั อาศยั อย่ทู น่ี ่ีเป็นเวลา 3 ปีแลว้ ) หมายเหตุ : ขณะทพ่ี ดู ลดั ดายงั คงอาศยั อย่ทู เ่ี ดมิ 2. ใชก้ บั เหตุการณ์หรอื การกระทาทเ่ี กดิ ข้นึ ในอดตี แต่ไม่แน่ชดั ว่าเกดิ ขน้ึ เม่อื ใด และเหตุการณ์ นัน้ ก็ดาเนินเร่อื ยมาจนถงึ ปัจจุบนั ในลกั ษณะอย่างน้ีมักมกี รยิ าวเิ ศษเหล่าน้ี คอื from that time (then) on, up to now ร่วมดว้ ย ตวั อย่างเช่น Up to now, he has been very sick. (จนกระทงั่ เดยี๋ วน้ี เขายงั ป่วยหนกั อยเู่ ลย) From then on, I have never heard from him. ตงั้ แตบ่ ดั นนั้ เป็นตน้ มา ฉนั ไม่ทราบขา่ วจากเขาเลย) 3. เหตุการณ์หรอื การกระทาทเ่ี พง่ิ เกดิ ข้นึ หรอื จบไปหมาด ในกรณีน้ีจะใชร้ ่วมกบั กรยิ าวเิ ศษณ์ “ just “ (เพงิ่ จะ) เพอ่ื แสดงเหตุการณ์นนั้ เชน่ The train has just arrived. (รถไฟเพงิ่ เขา้ จอดทส่ี ถาน)ี I have just had lunch. (ฉนั เพงิ่ รบั ประทานอาหารเสรจ็ ) Hello! have you just arrived? (สวสั ดคี รบั คณุ เพงิ่ มาหรอื ) 4. เหตุการณ์หรือการกระทาท่ีเกิดเร็วกว่าท่ีคาดคิด ในกรณีอย่างน้ีจะใช้ร่วมกบั กรยิ าวิเศษ “already” (เรยี บรอ้ ยแลว้ ) เพอ่ื แสดงเหตกุ ารณ์นนั้ เช่น Don't forget to mail the letter

๖๙ (อย่าลมื สง่ จดหมายใหด้ ว้ ย) I have already mailed. (ฉนั ไดส้ ง่ มนั เรยี บรอ้ ยแลว้ ) When is Ladda going to start her new job? (ลดั ดาจะเรม่ิ ทางานใหม่ของเธอเมอ่ื ไหร่) She has already started. (เธอไดท้ างานเรยี บรอ้ ยแลว้ ) 5. เหตุการณ์หรือการกระทาท่ีผู้พูดหวงั จะให้เกิดข้ึนหรือส้นิ สุดลงเสียทีในเร็ววนั กรณีน้ีใช้ ร่วมกบั กรยิ าวเิ ศษณ์ yet (ยงั ไม่...) และตอ้ งเป็นขอ้ ความทเ่ี ป็นคาถามหรอื ปฏเิ สธเท่านนั้ เช่น Has it stopped raining yet? (ฝนยงั ไม่หยุดตกอกี หรอื ) I have not told them about that yet. (ฉนั ยงั ไม่ไดบ้ อกเร่อื งนนั้ แก่พวกเขาเลย) Have you finished your homework yet? (การบา้ นของคณุ ยงั ไม่เสรจ็ อกี หรอื ) 6. เหตุการณ์หรือการกระทาท่ีเคยหรือไม่เคย โดยใช้ร่วมกบั กริยาวิเศษณ์ ever และ never (เคย, ไมเ่ คย) เช่น Have you ever eaten Japanese food? (คณุ เคยรบั ประทานอาหารญป่ี ่นุ ไหม) I have never eaten Japanese food. (ผมไมเ่ คยรบั ประทานอาหารญป่ี ่นุ มาก่อนเลย) Have you ever smoked? (คุณเคยสบู บหุ รไ่ี หม) I have never smoked. (ผมไม่เคยสูบบหุ รม่ี ากอ่ น) The Present Perfect Continuous Tense: S + has, have been + V1 (-ing) + ... ลกั ษณะของรปู กรยิ า Present perfect continuous : เป็ นกริยาผสม 3 รูปคือ กริยาช่วย verb to have : has, have กับ verb to be : been (past participle form) ร่วมกบั V1+ing ทาหน้าทเ่ี ป็นกรยิ าหลกั เพ่อื แสดงเวลาของเหตุการณ์และการกระทาท่ี เป็น Present perfect continuous ข้อสงั เกต ในกรณีท่มี กี รยิ าหลายตวั หรอื กลุ่มกรยิ า ประธานจะสมั พนั ธ์กบั กรยิ าตวั แรกเพ่อื แสดงพจน์และ tense เทา่ นนั้ สว่ นกรยิ าตวั อ่นื ๆ จะไม่เปลย่ี นแปลง กริยารปู present perfect continuous นี้ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาท่ีมีลกั ษณะดงั นี้

๗๐ 1. เหตุการณ์หรอื การกระทาทเ่ี กดิ ข้นึ ในอดตี และกาลงั ดาเนินอย่อู ย่างต่อเน่ืองมาจนถงึ ปัจจุบนั (ขณะทพ่ี ดู เรอ่ื งนนั้ อย่)ู เหตุการณ์นนั้ อาจสน้ิ สดุ ไปแลว้ หรอื ยงั ไมส่ น้ิ สุดกไ็ ด้ ตวั อยา่ งเชน่ She has been sleeping since this morning. (เธอกาลงั หลบั อยตู่ งั้ แตเ่ ชา้ ) ในขณะทพ่ี ดู ขอ้ ความน้ี เธอคนนนั้ ไดน้ อนหลบั มากอ่ นแลว้ และกย็ งั ไม่ตน่ื อาจจะหลบั ต่อไปกไ็ ด้ They have been studying here for two years. (พวกเขากาลงั ศกึ ษาอย่ทู น่ี ่เี ป็นเวลาสองปีมาแลว้ ) ในขณะทพ่ี ูดขอ้ ความน้ี เขาไดเ้ รยี นทน่ี ่ีมาสองปีแลว้ ขณะน้กี ก็ าลงั เรยี นอยแู่ ละอาจเรยี นต่อไป 2. ใช้เพ่อื เน้นเหตุการณ์และกระทาท่ีต่อเน่ืองระหว่างอดีต ปัจจุบนั และอาจดาเนินต่อไปใน อนาคตด้วย ดังนัน้ รูปกริยาท่ีใช้ต้องเป็ นกริยาท่ีแสดงระยะเวลาท่ียาวนาน ( long action verbs) เป็น live, work, learn, rest, read, stand, sit, play, do, sleep, walk เป็นตน้ ตวั อยา่ งเช่น He has been living here since last year. (เขากาลงั อาศยั อยทู่ น่ี ่ตี งั้ แต่ปีทแ่ี ลว้ ) She has been sitting here for three hours. (เธอกาลงั นงั่ อยทู่ น่ี ่เี ป็นเวลาสามชวั่ โมงมาแลว้ ) ข้อสงั เกต : อย่างทเ่ี ราทราบในตอนต้นว่ารูปกรยิ า present perfect ใช้กบั เหตุการณ์หรอื การ กระทาในอดีต และมผี ลสบื เน่ืองมาจนถงึ ปัจจุบนั โดยไม่ได้สนใจว่าในขณะท่พี ูดนัน้ เหตุการณ์กาลงั ดาเนินอยู่หรอื ไม่ แต่รปู กรยิ า present perfect Continuous น้ีจะเน้นถงึ ความต่อเน่ืองของเหตุการณ์ว่า เกดิ ในอดตี และกาลงั ดาเนินต่อเน่ืองมาถงึ ปัจจุบนั และอาจดาเนินต่อไปในอนาคตกไ็ ด้ แต่อย่างไรกต็ าม นนั่ เป็นเพยี งขอ้ แตกต่างเพยี งเลก็ น้อยเท่านนั้ โดยทวั่ ไปแลว้ เราสามารถใชร้ ปู กรยิ า perfect tense แทน present perfect continuous ไดท้ ุกกรณกี บั เหตกุ ารณ์อย่างน้ี สรปุ ข้อแตกต่างกริยาวิเศษณ์บอกเวลาของ Present 1. Present simple: ใช้กริยาวิเศษณ์บอกเวลาท่ีแสดงความถ่ี เช่น: always, often generally, every .... (every day, week, month...) 2. Present continuous: ใชก้ รยิ าวเิ ศษณ์บอกเวลาเชน่ : now, right now (ขณะน้ี เน้น กว่า now เฉย ๆ) right away = right now, look!, at this moment (เม่อื สกั ครนู่ ้ี, เม่อื ตะกน้ี ้ี) 3. Present perfect: ใชก้ รยิ าวเิ ศษณ์บอกเวลาตอ่ ไปน้ี 1) ใชก้ รยิ าวเิ ศษณ์บอกเวลาทร่ี ะบุถงึ จุดเรม่ิ ต้นของเวลาทเ่ี กดิ เหตุการณ์หรอื การกระทาในอดตี ซง่ึ มผี ลโยงใยมาถงึ ปัจจุบนั เช่น up to now (ตงั้ แต่บดั นนั้ จนมาถงึ บดั น้ี) so far = up to now (ตราบเท่า จนกระทงั่ บดั น้)ี since (ตงั้ แต่....) 2) คากรยิ าวเิ ศษณ์ทบ่ี อกอดตี อนั ใกล้ (immediate past) เช่น: just, already, yet 3) คากริยาวิเศษณ์ท่ีแสดงผลของการกระทาในอดีตเช่น: never, ever, once, twice many times.

๗๑ 4.3.2 โครงสร้างและหลกั การใช้ Past Tense The Past Simple Tense: S + V2 +... ลกั ษณะรปู กรยิ า Past simple : รปู กรยิ าน้ีมี 2 แบบ คอื Regular forms: แบบทเ่ี ตมิ ปัจจยั -ed Irregular forms: แบบทไ่ี มเ่ ตมิ ปัจจยั -ed ทงั้ สองแบบใชก้ บั ประธานทุกตวั ไมว่ ่าจะเป็นเอกพจน์หรอื พหพู จน์ รปู กริยา Past Simple นี้ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาท่ีมีลกั ษณะเป็นดงั นี้ 1. เหตุการณ์หรอื การกระทาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในอดตี และไดจ้ บไปแลว้ อย่างสมบูรณ์ก่อนทเ่ี ราจะพูดถงึ เร่อื งนัน้ ในกรณีเช่นน้ีจะมคี ากรยิ าวเิ ศษณ์บอกเวลาอดตี ร่วมอยู่ดว้ ย เพ่อื แสดงความหมายให้ชดั เจน เช่น yesterday เม่อื วานน้ี last.. (ตามดว้ ยนาม) ทแ่ี ลว้ มา once ครงั้ หน่งึ ago ทผ่ี ่านมา in ตามดว้ ยปีพ.ศ. ในปีทผ่ี ่านมา หรอื อาจเป็นอนุประโยคทบ่ี อกความเป็นอดตี กไ็ ด้ เช่น When he was a young. (เม่อื ตอนเขาเป็นเดก็ ) When he was a student. (เม่อื ตอนเขาเป็นนกั ศกึ ษา) ตวั อย่างเชน่ He studied here when he was a student. (เขาเรยี นทน่ี ่ตี อนเขาเป็นนกั ศกึ ษา) He got up late when he was a child. (เขาตน่ื สายตอนเขาเป็นเดก็ ) I saw him about ten minutes ago. (ฉนั เหน็ เขาเมอ่ื เมอ่ื ประมาณ 10 นาทที แ่ี ลว้ ) 2. เหตกุ ารณ์หรอื การกระทาทเ่ี กดิ ขน้ึ เป็นประจาในอดตี ในกรณเี ช่นน้ีจะมกี รยิ าวเิ ศษณ์บอกเวลาทแ่ี สดง ความถ่ี ประกอบด้วย กริยาวเิ ศษพวกน้ี คอื กริยาวเิ ศษบอกความถ่ที ่ีใช้กบั เหตุการณ์ปัจจุบัน เช่น always, often, frequently เป็นตน้ รวมกบั กรยิ าวเิ ศษบอกอดตี อกี ที ตวั อย่างเช่น He always got up late when he was young. (เขาต่นื สายเสมอตอนเขาเป็นวยั รุ่น) She often went to temple last year.

๗๒ (ปีทแ่ี ลว้ เธอไปวดั บอ่ ย ๆ) 3. ใช้กบั การกระทาท่เี คยทาเป็นนิสยั ในอดตี โดยนิยมใช้รูปกรยิ าช่วย used to นาหน้ากรยิ า bare infinitive ตวั อยา่ งเช่น I used to learn English. (ฉนั เคยเรยี นภาษาองั กฤษมากอ่ น) He used to be a police man. (เขาเคยเป็นตารวจมาก่อน) เปรยี บเทียบขอ้ แตกต่างระหวา่ ง Present perfect tense VS Past simple tense Present perfect tense Past simple tense เหตุการณ์หรอื การกระทาทเ่ี กดิ ในอดตี และจบสน้ิ เหตกุ ารณ์หรอื การกระทาทเ่ี กดิ ในอดตี แต่ สมบรู ณ์ในอดตี เหตกุ ารณ์และการกระทานนั้ ยงั มผี ล ต่อเน่อื งมาถงึ ปัจจุบนั คาบอกเวลาต่อไปน้ีสามารถใช้เฉพาะกับ past คาบอกเวลาต่อไปน้ใี ชเ้ ฉพาะกบั present perfect simple tense เท่านัน้ : Formerly (สมยั ก่อน, แต่ tense: so far (จ น ก ร ะ ทัง่ บัด น้ี ) up to now ก่ อ น ) ago, yesterday, last...., in 2001, (จนกระทงั่ บดั น้ี) since then (ตงั้ แต่นนั้ เป็นต้นมา from...to...., before the last... จนถงึ ปัจจุบนั ) ever since (ตงั้ แต่นัน้ เป็นต้นมา) since + point of time, for the last ten days, never, ever, twice, three times, just, yet. หมายเหตุ : คาบอกเวลา for สามารถใชไ้ ดท้ งั้ past simple และ present perfect tense ตวั อย่างเชน่ He has lived there for three years. (present perfect = now he still lives there). He lived there for three years. (past simple tense = now he no longer lives there). The Past Continuous Tense S + was, were + V (-ing) +... เป็นกรยิ าผสมระหว่างกรยิ าช่วยรูปอดตี ของ Verb to be : was และ were กบั กรยิ าไม่จรงิ รูป participle form (V.+ ing) ทาหน้าทเ่ี ป็นกรยิ าหลกั เน่อื งกรยิ าชว่ ยรปู อดตี ของ verb to be 2 รปู คอื was เป็นรปู เอกพจน์ใชส้ มั พนั ธก์ บั ประธานเอกพจน์ และ were เป็นรปู พหพู จน์ สมั พนั ธก์ บั ประธานพหพู จน์ สว่ น Present participle form รายละเอยี ดใหดใู น present continuous tense กริยารปู Past continuous นี้ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาที่มลี กั ษณะดงั ต่อไปนี้ 1. เหตกุ ารณ์หรอื การกระทาทก่ี าลงั เกดิ ขน้ึ มาแลว้ ณ เวลาใดเวลาหน่งึ ทร่ี ะบอุ ย่างชดั เจนในอดตี เชน่

๗๓ At nine o'clock last night Ladda was watching T.V. (ในเวลาสามทุ่มคนื ทแ่ี ลว้ ลดั ดากาลงั นงั่ ดทู วี )ี What were you doing at 10 last night? (เม่อื คนื ทแ่ี ลว้ ตอนสท่ี ุ่มคุณกาลงั ทาอะไรอย)ู่ 2. เหตุการณ์หรอื การกระทาสองอย่างในอดตี ในขณะท่เี หตุการณ์หน่ึงกาลงั ดาเนินอยู่ก็มอี กี เหตกุ ารณ์หน่งึ แทรกเกดิ ขน้ึ มา ในกรณอี ย่างน้ใี หใ้ ชร้ ปู กรยิ ากบั สองเหตกุ ารณ์ดงั น้ี 1) เหตุการณ์ทก่ี าลงั ดาเนนิ อย่กู ่อนใหใ้ ชร้ ปู กรยิ า Past continuous (was, were + V+ing) 2) เหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ แทรกตามมา ใหใ้ ชร้ ปู กรยิ า Past Simple (V+ed) ใชค้ วบคกู่ นั อย่างน้เี สมอไป จะเอารปู กรยิ าตวั ไหนไวก้ ่อนหรอื หลงั กไ็ ด้ ตวั อยา่ งเช่น It was raining when I got up last night. (เม่อื คนื ทแ่ี ลว้ ตอนทฉ่ี นั ตน่ื ขน้ึ มาฝนกาลงั ตกอย่)ู The accident occurred while the driver was looking at a beautiful girl yesterday. (เม่อื วานน้อี ุบตั เิ หตกุ เ็ กดิ ขน้ึ ในขณะทค่ี นขบั รถกาลงั จอ้ งมองไปทส่ี าวสวย) While I was working in the garden, I hurt my back. (ผมปวดหลงั ในขณะทท่ี างานในสวน) 3. ถา้ สองเหตกุ ารณ์ในอดตี นนั้ กาลงั เกดิ ขน้ึ และดาเนินไปพรอ้ ม ๆ กนั ใหใ้ ชร้ ปู were + V.+ing ไดท้ งั้ สองเหตกุ ารณ์ ตวั อยา่ งเช่น I was working in Songkla while Laddda was working in Bangkok. (ผมกาลงั ทางานทจ่ี งั หวดั สงขลา ในขณะทล่ี ดั ดากาลงั ทางานอย่ทู ก่ี รงุ เทพ) The Past Perfect Tense S + had + V3 + ... ลกั ษณะรปู กรยิ า Past Perfect : เป็นกรยิ าผสมระหวา่ งกรยิ าช่วย verb to have : รปู อดตี had กบั กรยิ าไม่จรงิ รูป Pas participle ทงั้ สองตวั ร่วมกนั ทาหน้าทเ่ี ป็นกรยิ าหลกั แสดงเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ เหมอื นกบั กรยิ าผสมหลายๆ ตวั ทก่ี ลา่ ว มาข้างต้น เน่ืองจากกรยิ าช่วย had เป็นรูปอดีต ดงั นัน้ จึงใช้ได้กบั ประธานทุก ๆ ตวั ไม่ว่าจะเป็น เอกพจน์หรอื พหพู จน์ จะเป็นบรุ ุษสรรพนามหรอื คานามกไ็ ด้ รปู กริยา Past Perfect ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาท่ีมีลกั ษณะดงั นี้ 1. ถา้ มเี หตกุ ารณ์สองเหตุการณ์เกดิ ขน้ึ ไม่พรอ้ มกนั ในอดตี นนั้ หมายความว่าจะตอ้ งมเี หตุการณ์ หน่ึงเกดิ ก่อนอกี เหตุการณ์หน่ึง และเราต้องการบอกให้ทราบว่าเหตุการณ์ไหนเกดิ ก่อน และเหตุการณ์ ไหนเกดิ ทหี ลงั ใหย้ ดึ ถอื กฎดงั น้ี “เหตุการณ์ทเ่ี กดิ กอ่ นใหใ้ ชร้ ูปกรยิ า past perfect (had + V.+ed) สว่ นเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ทหี ลงั ใหใ้ ชร้ ปู กรยิ า Past Simple : (V.+ed)”

๗๔ และใหใ้ ชค้ าแสดงก่อนหลงั คอื after (หลงั ) before (ก่อน) หรอื when, while ร่วมใน เหตุการณ์ ทงั้ สองกไ็ ด้ ตวั อย่างเชน่ After she had written that letter she mailed it to her friend. (หลงั จากเธอไดเ้ ขยี นจดหมายฉบบั นนั้ เสรจ็ แลว้ กไ็ ดส้ ง่ ไปใหเ้ พอ่ื น) การเขียนจดหมายเป็นเหตุการณ์เกิดก่อน จึงใช้รูปกรยิ า past perfect : had written การส่ง จดหมายเป็นเหตกุ ารณ์เกดิ ทห่ี ลงั จงึ ใช้ รปู กรยิ า Past simple : mailed. When I arrived the party, Ladda had already gone home. (เม่อื ผมมาถงึ งานเลย้ี งลดั ดากลบั บา้ นไปเรยี บรอ้ ยแลว้ ) 2. แต่ถ้าเหตุการณ์ในอดตี สองเหตุการณ์นัน้ เกดิ ขน้ึ ในเวลาไล่เลย่ี จนเกอื บพร้อมหรอื พร้อมกนั ใหใ้ ชร้ ปู กรยิ า Past Simple กบั เหตุการณ์ทงั้ สองนนั้ เช่น He jumped out of the bed as soon as he heard the doorbell. (เขากระโดดลงจากเตยี งทนั ทที ไ่ี ดย้ นิ เสยี งออดทป่ี ระตู) สองเหตกุ ารณ์ทย่ี กตวั อยา่ งเป็นเหตุการณ์ท่เี กดิ เกอื บจะพรอ้ ม ๆ กนั จงึ ใชร้ ปู กรยิ า Past simple ทงั้ สองเหตกุ ารณ์ The Past Perfect Continuous Tense S+had+ been +V1 (-ing) +... ลกั ษณะรปู กรยิ า Past perfect continuous เป็นกรยิ าผสม 3 รปู คอื กรยิ าชว่ ยรปู อดตี had และกรยิ า verb to be : รปู อดตี รว่ ม been รว่ มกบั กรยิ าเตมิ –ing ทงั้ 3 ตวั เป็นกรยิ าหลกั และใชก้ บั ประธานไดท้ ุกชนิดเช่นเดยี วกนั รปู กริยา had + been + V.+ing นี้ใช้กบั เหตุการณ์ท่ีมีลกั ษณะดงั นี้ 1. ใช้กับเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในอดีตเช่นเดียวกัน คือในขณะท่ีเหตุการณ์หน่ึงเกิดข้ึน และกาลงั ดาเนินอยอู่ ย่างต่อเน่อื งก่อนทเ่ี หตกุ ารณ์อกี เหตุการณ์หน่งึ ไดเ้ กดิ ขน้ึ ตวั อย่างเชน่ The football game had to be stopped, they had been playing for thirty minutes when there was a terrible storm. (เกมฟุตบอลต้องหยุดลง ทงั้ ๆ ท่ีพวกเขากาลงั เล่นกนั มาเป็น เวลาคร่งึ ชวั่ โมงเม่ือเกดิ พายุ รุนแรง) การเล่นฟุตบอลของพวกเขาไดด้ าเนินมาอย่างต่อเน่ืองเป็นเวลาครง่ึ ชวั่ โมง น้ีคอื เหตุการณ์แรก เหตุการณ์ทเ่ี กดิ ตามมาคอื เกดิ พายุรนุ แรงจนเกมตอ้ งหยุดไป หมายเหตุ: โดยทวั่ ไปรปู กรยิ าน้สี ามารถใชร้ ปู กรยิ า Past perfect : had + V+ed แทนได้ อยแู่ ลว้ เพราะแสดงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในอดีตเหมือนกัน เพียงแต่รูปกริยาน้ีเน้นความต่อเน่ืองของ เหตุการณ์หน่งึ ว่าเกดิ ขน้ึ มาแลว้ และกาลงั ดาเนินมาอยา่ งตอ่ เน่อื งจนถงึ ในขณะทเ่ี ราพดู อยู่

๗๕ 4.3.3 โครงสร้างและหลกั การใช้ Future Tense The Future Simple Tense S + will, shall + V1 +... ลกั ษณะรปู กรยิ า : Future simple รปู กรยิ า Future simple เป็นกรยิ าผสมระหว่างกรยิ าช่วย will หรอื shall (ตวั ใดตวั หน่ึง) ซ่งึ เป็น กริยาช่วยอยู่ในกลุ่ม Modal เป็นกริยากลุ่มท่ีช่วยเพ่อื เสริมความหมายของกริยาอ่ืน ๆ ในการแสดง เหตุการณ์ต่าง ๆ กบั กรยิ าไม่จรงิ รูป bare infinitive คอื กรยิ ารูปเดมิ ทไ่ี ม่ตอ้ งใช้ to นาหน้า (กรยิ ารูปน้ีมี การใชเ้ ป็น 2 แบบ คอื แบบมี to นาหน้ากบั ไม่มี to นาหน้า) การใชก้ รยิ าช่วย will หรอื shall กบั ประธาน มเี กณฑก์ ารใชค้ อื will ใชก้ บั ประธานทกุ ตวั ไม่ว่าจะ เป็นบุรุษสรรพนามหรอื นามท่เี ป็นเอกพจน์และพหูพจน์ shall นิยมใช้กบั ประธานบุรุษสรรพนามท่หี น่ึง คอื 1 และ we เทา่ นนั้ สาหรบั ภาษาองั กฤษสมยั ใหม่ will ใชไ้ ดก้ บั ประธานทุกตวั ไม่เวน้ แมแ้ ต่ I กบั we กริยารปู Future simple นี้ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาที่มลี กั ษณะดงั นี้ 1. เหตุการณ์หรอื การกระทาทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต (ในขณะทพ่ี ดู เหตุการณ์ยงั ไม่เกดิ ) การใชใ้ น กรณอี ย่างน้จี ะมกี รยิ าวเิ ศษณ์บอกเวลาอนาคตรว่ มดว้ ยเสมอ คาเหลา่ น้ี เช่น tomorrow พรุง่ น้ี tonight คนื น้ี next (noun) วนั เดอื น ปี ขา้ งหน้า soon, shortly ในไม่ชา้ ตวั อยา่ งเช่น He will go to Japan next week. (สปั ดาหห์ น้าเขาจะไปประเทศญป่ี ่นุ ) I shall bring back your book soon. (ฉนั จะเอาหนงั สอื ของคณุ มาคนื เรว็ ๆน้)ี She will help you to do something. (เธอจะช่วยทาบางสงิ่ บางอย่างใหค้ ุณ) 2. ใชร้ ปู กรยิ า is, am, are + going ตามดว้ ยกรยิ า to infinitive ในกรณที เ่ี ราตอ้ งการ ถงึ สง่ิ ทเ่ี รา ไดเ้ ตรยี มการไวเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ หรอื ตงั้ ใจไวอ้ ยา่ งแน่นอนแลว้ ว่าจะทาในอนาคต เช่น I am going to sell my house. (ฉนั จะขายบา้ น) มคี วามหมาย | intend to sell my house. (ฉนั ตงั้ ใจขายบา้ น) They are going to play football tomorrow. (พวกเขาจะเล่นฟุตบอลกนั พรุง่ น้)ี มคี วามหมาย = They intend to play football tomorrow. (พวกเขาตงั้ ใจจะเล่นฟุตบอลกนั พรงุ่ น้)ี

๗๖ ขอ้ ทค่ี วรระมดั ระวงั : การใชร้ ปู กรยิ า is, am, are + going to.. (going form) แทน will หรอื shall เพอ่ื แสดงอนาคตทเ่ี ราตงั้ ใจหรอื เตรยี มการท่จี ะทานัน้ ขอใหร้ ะมดั ระวงั ถงึ ความสมั พนั ธ์ของประธานกบั กรยิ า เพราะกรยิ าช่วยมี 3 ตวั คอื is รปู เอกพจน์ are รปู พหพู จน์ และ am ใชก้ บั ประธาน I อยา่ งเดยี ว สรุปว่า : รูปกริยา Future simple : will หรอื shall + V (bare infinitive) ใช้กับเหตุการณ์และ การกระทาทัว่ ๆ ไป ในอนาคต ส่วนรูปกริยา “ is, am, are + going to + V (bare infinitive) ใช้กับ เหตุการณ์หรอื การกระทาทผ่ี พู้ ดู ไดเ้ ตรยี มการหรอื ตงั้ ใจไวก้ ่อนแลว้ วา่ จะทาอะไร หมายเหตุ: มีอีกเหตุการณ์หน่ึงสาหรบั เร่อื งอนาคต คอื อนาคตท่ีเป็นจริง (pure future) เช่น ถา้ วนั น้ีเป็นวนั เสาร์ พรุ่งน้ีจะตอ้ งเป็นวนั อาทติ ย์ (แน่นอน) อย่างน้ีเรยี กว่า อนาคตทเ่ี ป็นจรงิ ในกรณีน้ี ห้ามใช้รูปกรยิ า is, am, are + going to... ให้ใชก้ รยิ ารูปอนาคต will, shall + V. bare infinitive เท่านัน้ ตวั อย่างเชน่ Today is Saturday. วนั น้เี ป็นวนั เสาร์ ใหใ้ ช้ Tomorrow will be Sunday. (พรุ่งน้จี ะเป็นวนั อาทติ ย)์ หา้ มใช้ Tomorrow is going to be Sunday. (พรงุ่ น้จี ะเป็นวนั อาทติ ย)์ The Future Continuous Tense S + will, shall + be+V1 (-ing) + ... ลกั ษณะของรปู กรยิ า : Future Continuous Tense เป็นกรยิ าผสม 3 รูป คอื will, shall กบั กรยิ า verb to be รูป bare infinitive : be ร่วมกบั กรยิ า V+ ing กริยารปู Future Continuous นี้ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาท่ีมีลกั ษณะดงั นี้ 1. เหตุการณ์หรอื การกระทาทก่ี าลงั จะเกดิ ขน้ึ ในเวลาเวลาหน่ึงทก่ี าหนดในอนาคต นนั่ เป็นการ คาดการณ์วา่ เมอ่ื ถงึ เวลาหน่งึ ในอนาคต จะมเี หตกุ ารณ์อย่างหน่งึ กาลงั ดาเนิน การใชใ้ นลกั ษณะน้จี ะมคี า บอกเวลากากบั อยดู่ ว้ ยเสมอ เช่น I shall be eating dinner at 7 p.m. tomorrow. (ในเวลาหน่งึ ทุ่มพร่งุ น้ฉี นั จะกาลงั กนิ อาหารเยน็ อย)ู่ He will be sleeping at six o'clock tomorrow morning. (ในเวลาหกโมงเชา้ พรุง่ น้ี เขาจะกาลงั นอนหลบั อย)ู่ My son will be swimming in the pool at five p.m. on Sunday. (ในเวลาหา้ โมงเยน็ วนั อาทติ ย์ ลกู ชายของผมจะกาลงั ว่ายน้าอยใู่ นสระ) The Future Perfect Tense S+ will, shall + have + V3 +... ลกั ษณะรปู กรยิ าของ Future Perfect Tense

๗๗ เป็นกรยิ าผสม 3 รูปเช่นเดยี วกนั รูปกรยิ าแต่ละรูปทร่ี วมกนั เขา้ เพ่อื เป็นกรยิ าหลกั ก็รู้จกั กนั มา เป็นอยา่ งดแี ลว้ ไม่จาเป็นตอ้ งอธบิ ายอกี กริยารปู Future Perfect นี้ใช้กบั เหตกุ ารณ์และการกระทาที่มลี กั ษณะดงั นี้ 1. เหตุการณ์หรอื การกระทาอย่างใดอย่างหน่ึงทไ่ี ดเ้ กดิ ข้นึ มาแลว้ และจะสน้ิ สุดลงเม่อื ถงึ เวลาท่ี กาหนด ในกรณอี ยา่ งน้จี ะมคี าบอกเวลาของการสน้ิ สุดเหตกุ ารณ์หรอื การกระทานนั้ ประกอบดว้ ย เชน่ by tomorrow เม่อื ถงึ พรุ่งน้ี by next week เม่อื ถงึ สปั ดาห์หน้า by…o’clock เม่อื ถึงเวลา …by the end of June....เมอ่ื ถงึ สน้ิ เดอื นมถิ นุ ายน ตวั อยา่ งเช่น He will have finished his work by next week. (เม่อื ถงึ สปั ดาหห์ น้าเขา (คง) จะทางานของเขาเสรจ็ สมบรู ณ์) She will have left school by the end of March. (เธอ (คง) จะจบการศกึ ษาเมอ่ื ถงึ สน้ิ เดอื นมนี าคม) Somsak will have worked for this company for 3 years by the end of this year. (สน้ิ ปีน่สี มศกั ดจิ ์ ะทางานใหบ้ รษิ ทั น้คี รบสามปี) The Future Perfect Continuous Tense S + will, shall + have + been + V1 (-ing) + ... ลกั ษณะรปู กรยิ า : Future perfect continuous เป็นกรยิ าผสม 4 รูป ถือว่ามากท่สี ุดในบรรดารูปกรยิ าท่ีได้กล่าวมาแล้ว แต่รูปกรยิ าท่ีนามา รวมกนั กค็ ุน้ เคยกนั พอสมควรแลว้ จะไมอ่ ธบิ ายซา้ อกี กริยารปู Future Perfect Continuous นี้ ใช้กบั เหตุการณ์และการกระทาท่ีมีลกั ษณะดงั นี้ 1. ใชก้ รยิ ารปู Future perfect ขา้ งตน้ แทนไดอ้ ย่แู ลว้ กบั เหตุการณ์ทจ่ี ะจบสน้ิ ลงในเวลาทก่ี าหนด ในอนาคต เพยี งแต่ว่ากรยิ าตวั น้ีจะเน้นความต่อเน่ืองของเหตุการณ์มากกว่า เช่นเม่อื ถงึ เวลาหน่ึงใน อนาคต เหตุการณ์ท่ไี ด้เกิดข้นึ มาแล้วกาลงั จะส้นิ สุดลง เน้นคาว่ากาลงั จะจบ/ส้นิ ก่อนเวลาท่ีกาหนด โดยใช้คาบอกเวลาอนาคตนาหน้าด้วย preposition by ท่ีมีความหมายว่า ก่อนถึง มาประกอบ ตวั อย่างเชน่ He will have been studying English for five weeks by next week. (สปั ดาห์หน้า เขากาลงั จะเรยี นภาษาองั กฤษครบ 5 สปั ดาห์ พอด)ี นัน่ คอื กาลงั จะจบหลกั สูตร การเรยี นภาษาองั กฤษทก่ี าหนดไว้ 5 สปั ดาห์ By the end of next year, we will have been graduating. (สน้ิ ปีหน้า พวกเราคงกาลงั จะจบการศกึ ษา) สรปุ การใช้กริยารปู อนาคต (Future form) กบั เหตกุ ารณ์และการกระทาต่าง ๆ ดงั นี้ 1) เม่อื ถึงเวลาหน่ึงในอนาคต เหตุการณ์และการกระทาอย่างหน่ึงจะเกิดข้นึ ให้ใช้รูปกรยิ า Future simple: will, shall + V (bare infinitive)

๗๘ 2) เม่อื ถงึ เวลาหน่งึ ในอนาคต เหตุการณ์และการกระทาอย่างหน่งึ กาลงั ดาเนนิ อย่ใู หใ้ ชก้ รยิ ารูป future continuous: will, shall + be + V+ing 3) เม่อื ถงึ เวลาหน่ึงในอนาคต เหตุการณ์หรอื การกระทาอย่างหน่ึงจะส้นิ สุดลง ให้ใช้รูปกรยิ า Future perfect: will shall + have + V+ed 4) เม่อื ถงึ เวลาหน่ึงในอนาคต เหตุการณ์หรอื การกระทาอย่างหน่ึงกาลงั จะสน้ิ กรยิ ารูป Future perfect Continuous: will, shall + have + been + V+ing

๗๙ สรปุ ท้ายบท TENSE Sentence structure with verb to 'walk\" Singular Plural Tenses He, She, It We, You, They walks Walk 1. Present simple. I Walk He, She, It We, You, They (Action happening now) I am walking is walking Walking 2.Present continuous: I have walked He, she, it We, You, They (Action ongoing in the Present) I have been has walked. have walked. 3.Present perfect. walking He, she, it We, You, They (Past action completed thus far) I walked has been walking have been walking 4. Present prefect continuous I was walking (action begun in the past He, She, It We, You, They And continuing in the present) I had walked. walked. walked. 5. past simple He, She, It We, You, They (Completed action) was walking were walking 6. Past continuous. (Action that was ongoing in the He, She, It had walked. We, You, They had previous time) walked 7. Past perfect. (Action completed before another past time) 8. Past perfect continuous. (Ongoing I had been He, she, It We, You, They had been walking. had been walking. action completed before another walking. past time.) 9. Future simple. I shall walk. He, she, It We, You, They (Action to occur later) I shall be walking. will walk shall walk. 10. Future continuous. I shall have Walked. He, She, It We, You, They (Ongoing action to occur later) will be walking will be walking 11. Future perfect. I Shall have been He, she, It We, You, They (Action regarded as completed at a walking will have walked. shall have Walked. later time) 12. Future perfect continuous. He, She, It will We, You, They will have (Ongoing action regarded as having have been walking been walking begun before a later time)

๘๐ กิจกรรมท้ายบท 1.จงเปลี่ยนประโยคให้ถกู ต้องตามกาลที่กาหนดให้ ตวั อย่าง She reads a cartoon. (Present Continuous Tense) - She is reading a cartoon, 1) He goes to school. (Present Continuous Tense) …………………………………………………………………….. 2) We play a football. (Present Perfect Continuous Tense)…………………………………………………………….. 3) You drive a red car. (Past Simple Tense) ............................................................................................................ 4) They get the first prize. (Past Perfect Tense)............................................................................................................. 5)I forget her name. (Past Simple Tense).............................................................................................................. 6) Our books are there. (Present Perfect Tense)........................................................................................................ 7) It is running away. (Past Continuous Tense)...................................................................................................... 8) She has already mailed. (Past Perfect Continuous Tense)………………………………………………………………… 9) We find a job. (Present Perfect Tense)........................................................................................................ 10) He is writing a letter. (Past Continuous Tense)…………………………………………………………………………..

๘๑ เอกสารอ้างอิงประจาบท เอกสทิ ธิ์ เน้ือไมห้ อม, Mobile English. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2544. ทนงค์ ลาประไพ, ภาษาองั กฤษเบอื้ งต้น. กรุงเทพฯ : สตู รไพศาล. เขตบางแค, 2550. Raymond Murphy with Roann Altman. Grammar in Use. Cambridge University Press. London, 1989. David Green; B.A. (London). Contemporary English Grammar Structures and Composition. The Macmilan Company of India Limited. India, 1971. Hall Eugene J. Grammar for Use. Lincolnwood:National Textbook Company, 1986. Rebecca E. Hayden. Dorothy W. Pilgrim. Aurora Q. Haggard. A Handbook-workbook of Essentials. Prentice-Hall, New York, 1956. Betty Schrampfer Azar. Fundamentals of English Grammar. (Volume A; Second Edition). Regents/prentice-Hall New Jersey, 1992. Burton, S. H. Mastering English Grammar. Macmillan Education.Ltd, London, 1984. L.G. Alexander. Practice and Progress. (New Concept English). Longman Group Limited. London, 1972. Vinich - Somtawil. Grammar and word study (New-revised Edition). Chuan Pim Publication. Bangkok, 2534. Lert, Pinyo, Chaveng. Standard expression. Vatana Panich. Bangkok, 2512.

๘๒ บทท่ี 5 ประโยค (Sentence) อาจารยพ์ บิ ลู ศกั ดิ ์เมอื งโคตร ผศ.มนั ่ เสอื สงู เนิน วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจาบท เม่อื ไดศ้ กึ ษาเน้อื หาในบทน้ีแลว้ นสิ ติ สามารถ 1. แปลความหมายของประโยคทใ่ี หม้ าไดถ้ กู ตอ้ ง 2. บอกชนดิ ของประโยคไดถ้ กู ตอ้ ง 3. สรา้ งประโยคจากประโยคหรอื วลที ใ่ี หม้ าไดถ้ กู ตอ้ งตามเงอ่ื นไขทก่ี าหนด 4. จาแนกสว่ นประกอบของประโยคไดถ้ กู ตอ้ ง ขอบขา่ ยเนื้อหา • ความหมายของประโยค • สว่ นประกอบของประโยค • ชนดิ ของประโยค

๘๓ 5.1 ความหมายของประโยค ประโยค (Sentence) หมายถึงหน่วยหน่ึงของภาษา ท่ีมีความสมบูรณ์โดยเป็ นการแทน ความหมายของสภาพ จะประกอบด้วยสองส่วนเป็นอย่างน้อย คอื ภาคประธานและภาคแสดงการ ประกอบประโยค จะประกอบคาสองคาหลักซ่ึงทาหน้าท่ีเป็นคานามในภาคประธาน (Subject) และ คากรยิ าในภาคแสดง หรือภาคขยายประธาน (predicate) โดยมากจะยดึ หลกั ว่าประโยคท่ีสมบรณ์ จะต้องประกอบดว้ ยกรยิ าแทอ้ ย่างน้อยหน่ึงตวั หรอื เพอ่ื งา่ ยต่อการทาความเขา้ ใจ ประโยค คาหลาย ๆ คารวมกนั โดยมกี รยิ าสาคญั อา่ นแลว้ ไดใ้ จความสมบรู ณ์ เช่น 1. I see a dog. 2. Siri has a pen. 3. Where is the book? 4. What do you do? 5. Open your book? 6. Come here. 7.I am a monk. 8. You are a novice. 9. The boy cried. 10. Ann is a clerk. 11. The student is working hard. 12. Mahachulalongkornrajavidyalaya University is the Buddhist university. แต่ถ้าหากคาหลาย ๆ คารวมกนั แลว้ อ่านไม่ไดค้ วามโดยขาดกรยิ าสาคญั กลุ่มคาเหล่านนั้ เรยี กว่า วลี (Phrase) เชน่ 1. In the morning. 2. Across the river. 3. Along the road. 4. At our school. 5. A beautiful rose. 6. Two years ago.

๘๔ 5.2 ส่วนประกอบของประโยค (Parts of Sentence) ประโยค (Sentence) แบ่งเป็นส่วนสาคญั ได้ 2 ส่วน คอื ภาคประธาน (Subject) และภาคแสดง (Predicate) ศกึ ษาประโยคต่อไปน้ี No. Subject Predicate 1 The man opens the door. 2 The cat catches a mouse. 3 Those children play football. 4I see a tiger. 5 We learn English 6 You love your parents. 7 He shuts the window. 8 She speaks Chinese. 9 it bites the little boy. 10 They sell books. ประธาน (Subject) คอื ส่วนท่ีเป็นผู้แสดงกริยาในประโยค ประธานของประโยคอาจจะเป็น คานามหรอื สรรพนามกไ็ ด้ ถา้ ประธานของประโยคนนั้ เป็นเอกพจน์ บุรุษท่ี 3 กรยิ าต้องเตมิ -s หรอื -es ดงั เชน่ ในประโยคท่ี 1, 2, 7, 8 และ 9 ภาคแสดง (Predicate) คอื สว่ นทแ่ี สดงใหท้ ราบว่า ประธานทาอะไร โดยมคี ากรยิ า (Verb) เป็น สาคญั และบางครงั้ อาจจะมกี รรม (Object) หรอื สว่ นขยายอ่นื ๆ กไ็ ด้ 5.3 ชนิดของประโยค (Kinds of Sentence) ประโยคในภาษาองั กฤษจะแบ่งออกเป็นประโยคทส่ี าคญั ได้ 3 ชนดิ คอื 1) Simple Sentence (เอกตั ถประโยค) 2) Compound Sentence (อเนกตั ถประโยค) 3) Complex Sentence (สงั กรประโยค) 5.3.1 Simple Sentence (เอกตั ถประโยค) เป็นประโยคความเดียว หมายถึง ประโยคท่ีพูด ออกไปแลว้ มคี วามหมายอนั บรบิ ูรณ์เพยี งความเดยี ว มใี จความเดียว โดยมภี าคประธานเพยี งตวั เดยี ว และมภี าคกรยิ าเพยี งตวั เดยี ว ใหศ้ กึ ษาประโยคต่อไปน้ี 1. He walks.

๘๕ 2. The man eats mangoes. 3. They are playing in the field. 4. I am dancing 5. He is speaking. 6. Buddhism is one of the great world religions. 7. I am a student of Mahachulalongkornrajavidyalaya University. 8. I am trying to contact my father. 9. I always eat in the canteen. 10. The sun rises in the East. ประโยคทงั้ 10 น้ี แมจ้ ะบรรจุคามากหรอื น้อยกว่ากนั กต็ าม แต่ประโยคหน่ึง ๆ มี Subject เดยี ว และ Verb เดยี ว ประโยคชนิดน้เี รยี กวา่ Simple Sentence (เอกตั ถประโยค) ประโยคความเดยี ว หรอื เอกตั ถประโยค ยงั สามารถแบ่งเป็นประโยคย่อย ๆ ไดอ้ กี 6 รูปแบบ ดงั น้คี อื (1) ประโยคบอกเลา่ (Affirmative Sentence) (2) ประโยคปฏเิ สธ (Negative Sentence) (3) ประโยคคาถาม (Interrogative Sentence) (4) ประโยคคาถามเชงิ ปฏเิ สธ (Negative Question Sentence) (5) ประโยคขอรอ้ งหรอื บงั คบั (Imperative Sentence) (6) ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence) ดงั มรี ายละเอยี ดต่อไปน้ี 1) ประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence) เป็นประโยคท่ีใช้บรรยายให้ผู้อ่ืนเข้าใจในสาร โดยไม่มี จดุ ประสงคอ์ ่นื ประโยคน้มี เี น้อื ความบอกเล่าตามธรรมดา เช่น 1. The hen has twelve chickens. 2. The boys are playing in the field. 3. The pupils are learning in the class-room, 4. My books are in the bag. 6 I have four fingers and one thumb on each hand, 6. There are pictures on the walls of this room. 7. The birds are singing on the trees 8. There is an orange on the plate. 9. The sparrow is a small bird. 10. The elephant is a very big animal. 11. They are naughty. 12. He is my best friend.

๘๖ 2) ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence) สามารถนบั เป็นประโยคบอกเล่าชนิดหน่ึง โดยผพู้ ูด มกั จะเน้นในการปฏเิ สธมากกว่า โดยจะมคี าว่าไม่อยู่ดว้ ย ประโยคน้ีเป็นประโยคทม่ี เี น้ือความ ปฏเิ สธ เช่น 1. He is not in the room. 2. I am not in the field. 3. You are not a gentleman. 4. He does not come to school late. 5. She does not go to see you. 6. It does not bark at the thief. 7. The boy does not know him. 8. The cat does not kill a rat. 9. We do not see him. 10. You do not see him. 11. They do not play badminton. 12. The boy do not learn Chinese. 13. The dogs do not bark at the thief. 14. The Pali language is not difficult for monks. 15. They have not much money. เราอาจจะใช้ \"no\" เตมิ หลงั has หรอื have กไ็ ดแ้ ตค่ านามทต่ี ามมานนั้ ตอ้ งไม่มคี านาหน้า a, an หรอื the เช่น Siri has a pen. Siri has no pen. You have a hat. You have no hat. 3) ประโยคคาถาม (Interrogative Sentence) ได้แก่ ประโยคท่มี เี น้ือความเป็นคาถาม เพ่อื ต้องการ ทราบคาตอบ ตวั อย่างเชน่ 1. Is he a student? 2. Am I a teacher? 3. Are you a farmer? 4. Have you a book? 5. Is there a hat on the wall? 6. Does he buy a pen? 7. Does the cat catch a rat? 8. Do you go to school? 9. Do they play football? 10. Do the boys learn grammar?

๘๗ 11. Is she happy? 12. Have they pens? การสร้างประโยค Interrogative Form (ประโยคคาถาม) หากประโยคบอกเล่าท่ีมี is, am. are, has, have สามารถเปล่ียนเป็นประโยคคาถามได้โดยการเอาคากรยิ าเหล่าน้ีข้ึนไปวางไว้ ข้างหน้า ประธานแลว้ ท้ายประโยคใส่เคร่อื งหมาย? (Question Mark) แต่ถ้าประโยคบอกเล่าไม่มี กรยิ าดงั กล่าว นนั้ จะเปลย่ี นเป็นประโยคคาถามไดโ้ ดยใช้ Verb to do, do หรอื does) ช่วย ดงั น้ี 1. Does วางหน้าประธาน เอกพจน์บุรุษท่ี 3 (he, she, it, Sanan, The cat) กรยิ าตดั -s หรอื - es ทา้ ยประโยคใสเ่ คร่อื งหมาย? 2. Do วางหน้าประธานนอกจากทก่ี ล่าวไวใ้ นขอ้ 1 ทงั้ หมด ทา้ ยประโยคใสเ่ ครอ่ื งหมาย? คาทป่ี ระกอบในการสรา้ งประโยคคาถาม (Interrogative or Question words) มดี งั น้ี A. Interrogative Adjectives คือ คุณศัพท์ท่ีใช้ขยายนามเป็ นคาถาม ได้แก่คาWhat Which Whose ดงั ประโยคต่อไปน้ี 1. What book is that? 2. What time is it? 3. Which book do you like best? 4. Which way shall we go? 5. Whose ruler is that? 6. Whose house is this? B. Interrogative Pronouns คือ สรรพนามท่ีใช้แทนนามท่ีเป็ นได้ทัง้ เอกพจน์และพหู พจน์ ซง่ึ เป็นคาถามไดแ้ ก่ Who, Whom, Whose, What และ Which Who, Whom และ Whose ใชแ้ ทนนามทเ่ี ป็นคน Who และ Whose ใชเ้ ป็นประธาน สว่ น Whom ใคร ของใคร เป็นกรรม เชน่ 1. Who is she? 2. Who are they? 3. Whose is the pen? 4. Whose are those horses? 5. Whom do you love? 6. Whom do you like? What อะไร ใชแ้ ทนนามทเ่ี ป็นสง่ิ ของ ใชเ้ ป็นประธานหรอื กรรมกไ็ ดโ้ ดยไมต่ อ้ งแปลงรปู เชน่ 1. What is in your hand? (ประธาน) 2. What are on the table? (ประธาน) 3. What do you want? (กรรม) 4. What do you see? (กรรม)

๘๘ Which อนั ไหน คนไหน สงิ่ ไหน ใชแ้ ทนนามทเ่ี ป็นได้ทงั้ คน สตั ว์ และสงิ่ ของและทาหน้าทเ่ี ป็น ประธานหรอื กรรมโดยไมต่ อ้ งแปลงรปู เช่น 1. Which is your pen? (ประธาน) 2. Which of these gentlemen is your teacher? (ประธาน) 3. Which of these horses will you buy? (กรรม) 4. Which of these do you want? (กรรม) C. Interrogative Adverbs คอื กรยิ าวเิ ศษทเ่ี ป็นคาถาม ไดแ้ ก่ How, When, Where และ Why ใชว้ าง หน้าประโยคทเ่ี ป็นคาถาม How อยา่ งไร ถามถงึ ลกั ษณะและอาการ เชน่ 1. How does the horse run? It runs very fast. 2. How is the sum? It is easy. 3. How is the boy? He is clever. 4. How do you go to school? I go to school on foot. 5. How do you love her? I love her very much. How many มากเทา่ ไร ถามถงึ จานวนทน่ี บั ได้ เช่น 1. How many pupils are there in your class? There are forty pupils in my class. 2. How many hours are there in a day? There are twenty-four hours in a day. 3. How many hands have you? I have two hands. How much มากเทา่ ไร ถามถงึ ปรมิ าณ เชน่ 1. How much money has he? He has a lot of money. 2. How much water does he drink? He drinks a glass of water. When เมอ่ื ไร ถามถงึ เวลา เช่น 1. When do you get up? I get up at six o'clock.

๘๙ 2. When do you have breakfast? I have breakfast at eight o'clock. 3. When do you eat? I eat in the morning, at noon and in the evening. 4. When did he come here? He came here when you were out. Where ทไ่ี หน ถามถงึ สถานท่ี เช่น 1. Where are you going? I am going to school. 2. Where is the book? It is on the table. 3. Where do you live? I live at Sam Sen Road. 4. Where does she sleep? She sleeps in her bed room. Why ทาไม ถามถงึ เหตุผล 1. Why do you go to school? I go to school because I want to study. 2. Why did he not come to school yesterday? He did not come to school because he was ill. 3. Why do you wash your clothes? I wash them, so that they will be clean. 4. Why do you put sugar in your coffee? I put sugar in my coffee so that it will be sweet. 4) ประโยคคาถามเชงิ ปฏเิ สธ (Negative Question Sentence) ไดแ้ ก่ ประโยคท่มี เี น้ือความเชงิ ปฏเิ สธ ตวั อยา่ งเช่น 1. Is she not a nurse? 2. Does he not do his homework? 3. Does not she believe in you? 4. Why do not you do that again? 5. Hasn't she any book? 6. Don't they have any pencils? 7. Hasn't he much money. 8. Haven't they any pens?

๙๐ 5) ประโยคขอรอ้ งหรอื บงั คบั (Imperative or Command Sentence) ไดแ้ ก่ ประโยคทใ่ี ห้ ผฟู้ ัง เตม็ ใจทา ตามหรอื ตอ้ งทาตามทผ่ี พู้ ดู ตอ้ งการ มเี น้อื ความขอรอ้ งหรอื บงั คบั ใหก้ ระทา ตวั อยา่ งเช่น A. ประโยคทม่ี เี น้อื ความขอรอ้ ง เช่น Please open the window. Please make this first. I beg your pardon. You should follow my words. B. ประโยคทม่ี เี น้อื ความบงั คบั เช่น Leave your coat in the hall. Give me your phone number. Do as my suggestion. Open the door now. Don't shut the door. Stop! 6) ประโยคอทุ าน (Exclamation Sentence) เป็นประโยคทม่ี จี ุดประสงคพ์ เิ ศษเหนอื กวา่ ประโยคบอกเล่า โดยใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจถงึ การแสดงอารมณ์ความรสู้ กึ โดยตรง มเี น้อื ความเปล่งอทุ านขน้ึ มที งั้ ตกใจ ประหลาด ใจ เสยี ใจ ดใี จ เป็นตน้ ตวั อย่างเช่น How nice she is! How beautiful she is! How hot it is! Oh! What a beautiful rose! Alas! She is dying. 5.3.2 Compound Sentence (อเนกตั ถประโยค) ประโยคความรวม หมายถงึ ประโยค รามเดยี วตงั้ แต่ ๒ ประโยคนามารวมกนั อย่างมรี ะบบระเบยี บและไดใ้ จความสมบูรณ์ โดยมสี นั ธาน เป็นตัวเช่อื มประสาน (co-ordinate conjunction) อยใู่ นระหว่างประโยคความเดยี วนนั้ ดปู ระโยคตอ่ ไปน้ี 1. Sompong Laughed, but Udom cried. 2. You must do this or I shall punish you. 3. He went to the town and bought some books. เราจะเห็นได้ว่าประโยคทงั้ 3 น้ี เป็นประโยคใหญ่เพราะประโยคหน่ึง ๆ มีกริยา 2 คา ซ่ึง หมายความว่ามีประโยคเล็ก (Simple Sentences) รวมอยู่ 2 ประโยค โดยเช่ือมด้วย Conjunction (สนั ธาน) but, and, และ or เม่อื แยกประโยคเลก็ ออกจากประโยคใหญ่แลว้ ประโยคเลก็ ประโยคหน่ึง ๆ ต่างมใี จความของตวั เองเป็นอสิ ระไมข่ น้ึ แก่กนั เช่น 1. a. Sompong laughed. b. Udom cried.

๙๑ 2. a. You must do this. b. I shall punish you. 3. a. He went to the town. b. (He) bought some books. ประโยคใหญ่ท่รี วมประโยคเล็ก Simple Sentence 2 ประโยคเขา้ ด้วยกนั เรยี กว่า Compound Sentence (อเนกตั ถประโยค) หรอื เรยี ก Double Sentence ก็ได้ Conjunctions ทใ่ี ชเ้ ช่อื มประโยค เล็ก ใหเ้ ป็น Compound Sentence โดยมากมี and, but, or, therefore, for, และทเ่ี ป็นคู่ ๆ เชน่ both.....and, either.............or, neither......nor, as well as, not only.......but also, เป็ นต้น จะสังเกต Compound Sentence จากสนั ธานเหล่าน้กี ไ็ ด้ 5.3.3 Complex Sentences (สงั กรประโยค) สงั กรประโยค หรอื ประโยคความซ้อน หมายถงึ ประโยคท่ี มเี น้อื ความซบั ซอ้ น โดยประโยคความเดยี วประโยคหน่ึงจะมใี จความสาคญั และอกี ประหน่ึงจะมใี จความ ขยายประโยคหลกั นัน้ ถ้าขาดเน้ือความใดเน้ือความหน่ึงแล้ว ทาให้เน้ือความไม่สมบูรณ์ ดูประโยค ตอ่ ไปน้ี 1. This is the man who killed the tiger. 2. He died where he was born. 3. Sakol came when I was asleep. ประโยคทงั้ 3 น้ี กเ็ ป็นประโยคใหญ่อกี ชนิดหน่ึง แต่เม่อื แยกประโยคเลก็ ออกจากประโยคใหญ่ แลว้ ประโยคเลก็ จะไดค้ วามสมบูรณ์ในตวั เองประโยคเดยี วเท่านนั้ เชน่ 1. a. This is the man. b. Who killed the tiger. 2. a. He died. b. Where he was born. 3. a. Sakol came. b. When I was asleep. จะเหน็ ไดว้ า่ ประโยคเลก็ ขอ้ a ทุกขอ้ อา่ นไดค้ วามบรบิ รู ณ์ในตวั เอง สว่ นขอ้ b ทกุ ขอ้ ใจความยงั ไม่สมบูรณ์ ตอ้ งอาศยั เกย่ี วขอ้ งกบั ขอ้ a จงึ จะไดค้ วามสมบูรณ์ ประโยคเล็กท่ีแยกออกแล้ว อ่านได้ความบริบูรณ์เช่น ข้อ a นัน้ เรียกว่า Principal Clause (ประโยคหลกั หรอื มุขประโยค) ประโยคเลก็ ทต่ี ้องอาศยั เก่ยี วขอ้ งกบั Principal Clause จงึ จะไดค้ วามนนั้ เรยี กว่า Subordinate Clause (อนุประโยค) หรอื Dependent Clause (ประโยคอาศยั ) ประโยคใหญ่ท่ีประกอบข้ึนด้วย Principal Clause กับ Subordinate Clause เช่นน้ี เรียกว่า Complex Sentence (สงั กรประโยค) Subordinate Clause (อนุประโยค) ใน Complex Sentence ยังแบ่งเป็ นช่ือย่อยตามหน้า ดงั ต่อไปน้ี

๙๒ 1. Noun Clause (นามานุประโยค) คอื อนุประโยคทท่ี าหน้าทเ่ี ช่นเดยี วกบั หาง เช่น 1.1 I know who he is. (object ของ know) 1.2 That he will come is true. (Subject ของ is) 2. Adjective Clause (คุณานุประโยค) คอื อนุประโยคท่ีทาหน้าท่ขี ยายนาม หรอื สรรพนาม เช่นเดยี วกบั คณุ ศพั ท์ เชน่ The boy who is playing there is my son. (ขยาย boy) a. I like the rose that she gave me. (ขยาย rose) 3. Adverb Clause (วเิ ศษณานุประโยค) คอื อนุประโยคท่ที าหน้าท่ีขยายกริยา เช่นเดียวกับ กรยิ าวเิ ศษณ์ เช่น Thakol came when I was asleep. (ขยายกรยิ า came) 4. He died where he was born. (ขยายกรยิ า died) Conjunction (สันธาน) หรือคาเช่ือม ท่ีใช้เช่ือมประโยคเล็กให้เป็ น Complex, Sentences โ ด ย ม า ก มี if, because, though, when, where, why, since, so, than, as, after all, until before, as soon as, etc, ปละยงั มี Relative Pronoun เช่น who, whom, that, which, whose เป็นต้น จะพจิ ารณา Complex Sentence จาก conjunction หรอื คาเหลา่ น้กี ไ็ ด้ สรปุ ท้ายบท การทม่ี นุษยจ์ ะสามารถสอ่ื สารกนั ไดอ้ ย่างสมบูรณ์และถูกตอ้ งตามประสงค์ จะตอ้ งอาศยั ความรู้ ความเขา้ ใจในด้านการใชป้ ระโยค (Sentence) ซ่งึ เป็นหน่วยหน่ึงของภาษาทม่ี คี วามสมบูรณ์ โดยเป็น การแทนความหมายของสภาพ อย่างน้อย 2 สว่ น คอื ประธาน (Subject) อนั เป็นสว่ นของ แสดงกรยิ าใน ประโยค โดยอาจจะเป็นคานามหรอื สรรพนามก็ได้ และกรยิ า (Verb) อนั เป็นส่วน ท่แี สดงให้ทราบว่า ประธานมลี กั ษณะอย่างไร หรอื ทาอะไร ทงั้ น้ี ทงั้ 2 สว่ นจะตอ้ งมพี จน์ตรงกนั ซง่ึ ทงั้ 2 ส่วนนนั้ อาจจะมี ส่วนขยายไดอ้ กี โดยส่วนขยายของประธานได้แก่ คาวเิ ศษ หรอื ประเภทคาทแ่ี สดงความเป็นเจ้าของ ในขณะท่สี ่วนขยายของกรยิ าได้แก่ คาท่เี ป็นกรรมหรอื กรยิ าวเิ ศษณ์ก็ได้ ภาษาองั กฤษแบ่งประโยค ออกเป็น 2 ประโยคใหญ่ ไดแ้ ก่ เอกตั ถประโยค (Simple Sentence) อเนกตั ถประโยค (Compound Sentence) สงั กรประโยค (Complex Sentence) นอกจากนนั้ ยงั แยกย่อยออกเป็น 6 ประโยค ไดแ้ ก่ ประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence) ประโยคปฏเิ สธ (Negative Sentence) ประโยคคาถาม (Interrogative Sentence) ประโยคคาถามเชงิ ปฏเิ สธ (Negative Question Sentence) ประโยคขอรอ้ งหรอื บงั คบั (Imperative Sentence)

๙๓ และ ประโยคอุทาน (Exclamative Sentence)

๙๔ กิจกรรมท้ายบท 1. Say whether each of the following sentences is Simple, Compound, or Complex Sentence. 1. sent him a present yesterday. 2. He is a clever and diligent boy. 3. Vanida ran before she reached school. 4. He cannot see because he is blind. 5. I shall be ten years old next month. 6. Either you or I must do that. 7. Do this or you will be punished. 8. He is very kind, therefore I love him. 9. As soon as he saw the lion, he ran away. 10. This is the cat that killed the rat. 11. He is happy, though he is poor. 12. I know what he wants. 13. Neither the boy nor the girl is here. 14. If you go out, you will get wet. 15. How he did this is not known to me. 16. Prasert can write as well as his sister does. 17. I shall be glad when the new year comes. 18. I have two cows, three oxen, and four sheep. 19. Her hat was lost, so she had to buy a new one. 20. If you have no money you cannot buy anything. 21. The book that you gave me yesterday is on the table. 22. I read this book twice, because it is very interesting. 23. Before you go to bed, you must finish your homework. 24. Wandee works in the room. but Malee plays in the garden. 25. one day a man crossed the field to get to the road on the other side. 2. Divide the Complex Sentences in exercise above (1) into Principal and Subordinate Clauses. 3. Say whether each of the following sentences is a simple or a Compound Senton 1. At last all were quiet again. 2. You must be a good student.

๙๕ 3. I have had no food for two days. 4. He tried to write hurry, but could not. 5. Either a tiger or a lion will be killed. 6. Neither the boy nor the girl is wrong. 7. You can choose the apples or the mangoes. 8. Both the king and his chief officer were foolish. 9. The bee had riches, but it has no wisdom. 10. Some men were shooting at the wild ducks. 11. The hen did not trouble herself about the grey eggs. 12. Tomorrow her little babies will come out of these eggs. 13. Don't talk about hunger, for I am hungry too. 14. The king gave the two men a lot of money and a lot of gold. 15. The prince and the princess were walking in the forest. 4. Divide the compound Sentences in exercise above into Simple Sentences. 5. Combine each pair of Simple Sentences into a Compound Sentence. a. by using \"and\" 1. Tom is tired. Tom is hungry. 2. He sells tea, He sells coffee. 3. Jack went up the hill, Jill went up the hill. 4. We get milk from the cow, We get butter from the cow. b. by using \"but\" 1. Nara is lazy. Vannee is diligent. 2. I called on him. He was not at home. 3. He is very rich. He is not happy. 4. John is strong. He cannot carry the box. c. by using \"or\" 1. Speak clearly. Be quiet. 2. Is that man fat ? Is that man thin? 3. Suna will come here. Somkid will come here. 4 I must find the book. I must buy another. d. by using \"as well as\" or \"and\" 1. He was fast asleep. She was fast in this school.

๙๖ 2. Ubol was preparing her lesson. Ural was preparing her lesson. 6. Build 10 Simple Sentences, each containing of the following words or groups of words. Shine A story Tomorrow very kindly beautiful The weather fly away on the roof at last on the way 7. Build 10 Compound Sentence, each containing one of the following words. The doctor The gardener The cook The carpenter The teacher The painter The farmer The Japanese The baker The servant 8. แปลประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาองั กฤษ 1. ฉนั เหน็ เขา 2. เรารกั พอ่ แมข่ องเรา 3. เขาทงั้ หลายเรยี นภาษาองั กฤษอย่ใู นหอ้ งนนั้ 4. น้องชายของฉนั ซ้อื หนงั สอื เลม่ หน่งึ มาจากรา้ นนนั้ 5. ชายแกค่ นนัน้ ฆ่างตู วั หน่งึ 6. มนั กดั เขา 7. เพอ่ื นของเราชอบเขามาก 8. เขาพบเราทกุ ๆ วนั 9. ฉนั จะทาโทษเธอถา้ เธอซน 10. เรารจู้ กั เขาดี 9. จงแปลประโยคตอ่ ไปน้เี ป็นภาษาไทย 1. Bring me my pen. 2. I shall buy him a book. 3. Siri sends her a letter. 4. Show us your new dolls. 5. Please lend me five bahts. 6. You must give him some money. 7. The young man sells me a horse.

๙๗ 8. My father gives them ten bahts. 9. The teacher will teach us grammar. 10. Please tell me the way home. 10. จงแยกส่วนของประโยคแต่ละประโยคลงในช่องวา่ งให้ถกู ต้อง Sentences Phrase 1. The snake bites the gardener. 2. The pupils learn grammar. 3. They go into that old house. 4. The dog barks at the thief. 5. Sanan opens the door. 6. We come to school every day. 7. The young man works hard. 8. Lazy boy talks in class. 9. Diligent boys always do their homework. 10. An old man lives in the little hut. 11.I get up early in the morning. 12. Those birds fly in the air. 13. The earth goes round the sun. 14. We come here by bus. 15. He puts on his hat. 16. He takes off his hat. 17. I listen to the radio. 18. The elephant has four feet. 19. My father buys me a new book. 20. We love Thailand. 11. ใช้กริยาในวงเลบ็ ให้ถกู ต้อง 1. Sawat (walk, walks) into the room.

๙๘ 2. The little girl (look, looks) out the window. 3. The children (play, plays) on the lawn. 4.I (open, opens) the door. 5. You (write, writes) your name. 6. The student (sit, sits) on his bench. 7. Anong (pick, picks) up her pen. 8. They (work, works) hard in the field. 9. We love, loves) our parents. 10. She (speak, speaks) English well. 11. He (like, likes) to study English. 12. I (comb, combs) my hair. 13. My parents (live, lives) in Bangkok. 14. The diligent boys (do, does) their homework. 15. You (pay, pays) a fare on the bus. 16. We (get off, gets off) the bus. 17. She (go, goes) to bed. 18. They come, comes) to work by train. 19. The dog (bite, bites) the old woman. 20. The poor man (has, have) two sons. 12. ใส่กลุ่มคาที่ให้มาลงในช่องวา่ งท่ีถกู ต้อง Sentences Phrase 1. We learn English, 2. In the evening. 3. On the black - board. 4. Sawat has a new book. 5. Into the field. 6. He buys a book. 7. After my dinner.

๙๙ 8. They play football. 9. She does her homework. 10. On Sunday 11. Where is the pen? 12. Siri runs along the road. 13. At six o'clock in the morning. 14. The cat catches a mouse. 15. Near the railway station. 16. On page sixteen. 17. I write a letter to my friend. 18. Under the tree. 19. A very little boy. 20. Yes, it is my book. 13. จงทากรยิ าในวงเลบ็ ใหอ้ ยใู่ นรปู ทถ่ี ูกตอ้ ง 1. Would you mind if I (open) the door? 2. Do you mind if I (open) the door? 3. Would you mind if I (smoke) here? 4. Do you mind if I (smoke) here? 5. Would you mind if I (take) her with me? 6. Would you mind if I (not come)? 7. Would you mind if I (drink) this cup of tea. 8. Do you mind if I (drive) your car? 9. Would you mind if I (borrow) your book? 10. Do you mind if I (not return) it tomorrow? 14. Combine each pair of sentences into a Complex Sentence a. by using “if” 1. I shall go. You allow me. 2. You are good. I shall love you. 3. You eat too much. You will be ill. 4. She sees me. She will know me. 5. I have much money. I shall buy many things. 6. Somsri will believe you. You speak the truth.

๑๐๐ b. by using \"because\" or \"so\" 1. He works hard. He is diligent. 2. She cannot work. She is ill. 3. Sompong is ill. He eats too much. 4. He is kind. They love him. 5. Bunchong ran away. He saw a mad dog. c. by using \"than\" 1. Somsri is tall. Prasert is taller. 2. Thakol walks fast. Tiam walks faster. 3. He writes carefully. She writes more carefully. d. by using \"though\" 1. He is happy. He is poor. 2. The boy worked hard. He failed. 3. She cannot speak English. She lives in England. e. by using \"when\" or \"while\" 1. We went out. It began to rain. 2. I met Swai. He was walking home. 3. She came here. I was writing a letter. 15. Build 10 Simple Sentence, each containing one of the following words or groups of words. Dhamrong The princess Money The house The light of the sun The nose My mother Flowers Tom's sister The child 16. Build 10 Compound Sentences, each containing one of the following words or groups or words. Chamras Bangkok The newspaper A bridge The hill The rose The king The bird the rain The pencil