-จรยิ ศาสตร์ เป็นวชิ าท่ีกล่าวถึง แนวทางอนั พึงประพฤติ (กรี ติ บุญเจอื ) -จรยิ ศาสตร์ คอื ศาสตร์ทกี่ ลา่ วถงึ ความ ดี และความช่ัวแห่งการกระทาของ มนุษย์ (ชยั วฒั น์ อฒั พัฒน์)
เช่น กรณี โปรเกอม่อน
-นกั ขา่ ว กบั ท่าน นายก. -จรยิ ธรรมของส่ือ -วดั ธรรมกาย -จรยิ ศาสตรก์ ับรฐั ศาสตร์
จรยิ ธรรมของบคุ คลต่างสาขาอาชพี -จริยธรรมของข้าราชการ 1.จงแสดงความสามารถให้ปรากฏ 2. อยา่ ขาดจนเสยี ราชการ 3. อย่าประมาท ใหร้ ะมดั ระวงั อยเู่ ป็นนติ ย์ 4. ตอ้ งมีคุณสมบตั ิทงั ความประพฤติ ความรู้ ความ สะอาด ในการปฏิบตั งิ านใหเ้ ป็นทีว่ างใจได้ ฯลฯ
-จรยิ ธรรมของครู-อาจารย์ 1.พึงเคารพผบู้ ังคับบญั ชาด้วยใจจริง 2.พงึ ปฏิบัติหน้าทีท่ ่ไี ดร้ บั มอบหมายดว้ ยศรทั ธา 3.พึงเคารพตอ่ สทิ ธิเสรภี าพของตน และของผู้อ่ืน 4.พงึ เคารพตอ่ ระเบียบ กฎหมาย และปฏบิ ตั ิหน้าที่ อ่ืนๆ เหมอื นบุคคลอนื่ 5.พึงมจี ิตใจกวา้ งขวางมที ศั นคตทิ ี่ดตี อ่ ศษิ ยแ์ ละ เพื่อนครู-อาจารย์ดว้ ยกัน 6.พงึ มศี รัทธาและใหเ้ กยี รติต่ออาชีพครู-อาจารย์ 7.พงึ งดเวน้ อบายมุขทกุ ประเภท
-จริยธรรมของแพทย์ พยาบาล -จริยธรรมของผูน้ าศาสนา -จริยธรรมของผู้บรหิ าร
-จริยธรรมของผ้ปู ระกอบการอตุ สาหกรรม -จริยธรรมของนักธุรกิจ -จริยธรรมของพอ่ คา้
จุดมุ่งหมายของชีวติ มนุษย์ ลทั ธิสขุ นยิ ม มีทรรศนะวา่ 2 กลุม่ คือ สุขนยิ ม สว่ นตน และสุขนยิ มทว่ั ไป ◦ 1. สุขนิยมส่วนตน (Individualistic Hedonism) กลมุ่ น้ี ถือวา่ ความสุขของตัวเองมีคา่ มากที่สดุ ซง่ึ บุคคลควร แสวงหา ◦ 2สขุ นิยมท่วั ไป (Universal Hedonism) กลุม่ นี้ถอื ว่า ความสุขของคนสว่ นใหญ่มคี า่ มากท่ีสดุ มนุษยจ์ งึ ควร บาเพ็ญประโยชน์ตอ่ ส่วนรวมให้มากทีส่ ดุ “ประโยชนน์ ิยม” -กำรแตง่ กำย
สุนทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) -ความสวยงาม เปน็ ความรู้สึกของจติ ใจจะ มมี ากหรือน้อย ขึน้ อยูก่ บั ธรรมชาตินิสยั สวนบคุ คล และการฝึกอบรม -ความปลาบปลืมยนิ ดี สี เสียง ถ้อยคา และความคดิ
ทา่ นพุทธทาส กล่าววา่ “ความ งามอยู่ทซ่ี ากผี”
เฉลิมชัย โฆษติ พพิ ฒั น์ เป็นจิตรกร ไทย มีผลงานจติ รกรรมไทย หลายผลงาน เชน่ ภำพจิตรกรรม ไทยในอโุ บสถวดั พทุ ธประทีป กรุง ลอนดอน ประเทศองั กฤษ, เขียน ภำพประกอบบทพระรำชนพิ นธ์ พระ มหำชนก และผลงำนศิลปะท่ี วดั ร่อง ข่นุ ซง่ึ มีทงั้ งำนสถำปัตถยกรรม, ประตมิ ำกรรมปนู ปัน้
เกณฑต์ ดั สนิ ทาง สนุ ทรียศาสตร์ แบง่ ออกเป็น ๓ กลุ่มแนวคดิ ๑) กลุม่ ใชต้ นเองเปน็ ตัวตัดสินเรียกวา่ “อตั นยั นยิ ม” (subjectivism) นักสุนทรยี ศาสตรใ์ นกลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ กลุ่มโซฟิสต์ (Sophist) ฮอบส์ (Hobbes) ออรเ์ ตกา (Ortega)
๒) กลมุ่ ทเี่ ชือว่ามหี ลกั เกณฑท์ ต่ี ายตวั ท่ีใช้ตัดสิน เรียก เกณฑต์ ัดสนิ นีวา่ “ปรนัยนิยม” (Objectivism) นกั สนุ ทรียศาสตร์ในกลุม่ นี ได้แก่ เพลโต้ (Plato) อริสโตเตลิ (Aristotle) เฮเกล (Hegel) เชื่อว่า สนุ ทรียธาตุมีอยจู่ รงิ แม้วา่ เราจะเข้าถึงมัน ไมไ่ ด้ก็ตาม แต่มันก็มอี ย่จู ริง การที่เราตดั สนิ ศลิ ปะ ออกมาไมเ่ หมอื นกนั เพราะ แตล่ ะคนไม่สามารถเขา้ ถงึ สุนทรียธาตทุ แี่ ท้จรงิ ได้
๓) กลุม่ ท่ีเชอ่ื วา่ หลักเกณฑ์ในการตดั สนิ สุนทรียศาสตร์ เปลยี่ นแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม เกณฑต์ ดั สนิ “สัมพทั ธนยิ ม” (Relativism) กฎเกณฑต์ ดั สนิ สนุ ทรยี ยศาสตรน์ นั้ ขนึ อยกู่ ับ สภาวะแวดลอ้ ม วฒั นธรรมของแต่ละท้องถ่ิน ขนึ อยู่กบั สภาพของภมู ิอากาศ ประเทศนันๆ ไม่ ขึนอย่กู ับตัวผวู้ จิ ารณ์ ผู้วิจารณ์ตอ้ งวางตัวเปน็ กลาง นักสนุ ทรยี ศาสตรก์ ลุม่ นี้ ได้แก่ ซาตายานา (Santayana) และ แซมมวล อาเลก็ ซันเดอร์ (Samuel Alexander)
ความงาม ตามแนวพทุ ธศาสนา ความงามทางศลี ธรรม พุทธิปญั ญาและรปู สมบตั ิ
ตรรกศาสตร์ “ตรรกวิทยา” (Logic) หมายถึง วชิ า ว่าด้วยกฎเกณฑก์ ารใช้ เหตผุ ล “ปรชั ญาสาขาหนึ่งวา่ ดว้ ยการคดิ หา เหตผุ ลว่าจะสมเหตุสมผลหรอื ไม่”
ขอบขา่ ยของตรรกศาสตร์ ตรรกวิทยาอยู่ทก่ี ารกาหนดหรอื ค้นควา้ กฎเกณฑก์ ารใชเ้ หตุผล เหตุผล คอื หลักฐานทสี่ นบั สนุนหรอื ยืนยนั ใหเ้ ราเชื้อวา่ ขอ้ สรุปของเราเป็นจรงิ เชอ่ื ถือได้ เหตุผลอยู่ในความคิดหรือในสมองที่คิด แสดงออก โดยใช้ภาษา เช่น
กรณี เช่น
การอ้างเหตผุ ล คอื การอ้างหลกั ฐานเพอื่ ยืนยนั ใหเ้ รามัน่ ใจว่า ขอ้ สรปุ เป็นจรงิ การอา้ งเหตุผลมี ๒ แบบ คือ ๑) การอา้ งเหตุผลแบบนริ นยั ๒) การอ้างเหตผุ ลแบบอุปนยั
๑) การอ้างเหตุผลแบบนิรนยั ตัวอยา่ งที่ 1 เหตุ 1.สัตว์เลย้ี งทุกตวั เป็นสัตวไ์ มด่ ุรา้ ย 2. แมวทกุ ตัวเป็นสตั ว์เลย้ี ง ผล แมวทกุ ตัวเปน็ สตั ว์ไม่ดุรา้ ย ตัวอย่างที่ 2 เหตุ 1. นกั เรยี น ม.4ทกุ คนแตง่ กายถูกระเบยี บ 2. สมชายเป็นนกั เรียนชนั้ ม.4 ผล สมชายแต่งกายถกู ระเบยี บ
ตวั อย่างท่ี 3 เหตุ 1.วันทีม่ ฝี นตกท้งั วันจะมที ้องฟ้ามดื คร้มึ ทุกวัน 2.วันนี้ท้องฟ้ามืดครม้ึ ผล วันนี้ฝนตกทัง้ วัน จากตวั อย่างจะเหน็ วา่ การยอมรบั ความรพู้ ้นื ฐาน หรอื ความจริงบางอย่างกอ่ นแล้วจงึ หาข้อสรปุ จากสง่ิ ที่ ยอมรับแลว้ นนั้ จะเรยี กว่าผล การสรปุ ผลจะถูกต้องกต็ ่อเมอื่ เปน็ การสรุปได้ อย่างสมเหตสุ มผล
ตัวอย่างที่ 4 เหตุ 1. เรือทกุ ลาลอยน้าได้ 2. ถังนา้ ลอยนา้ ได้ ผล ถังน้าเปน็ เรือ การสรุปผลขา้ งต้นไม่สมเหตุสมผล แม้ว่าขอ้ อา้ งหรอื เหตุ ทงั้ สองจะเปน็ จรงิ แต่การที่เราทราบวา่ เรอื ทกุ ลาลอยนา้ ได้ ก็ ไม่ได้หมายความวา่ สิ่งอนื่ ๆ ทล่ี อยน้าได้จะเป็นเรอื เสมอไป ขอ้ สรุปขา้ งต้น เปน็ การสรปุ ทไ่ี มส่ มเหตุสมผล
การตรวจสอบความสมเหตุสมผล ในการให้เหตุผลแบบนิรนยั รวมถึงจากตวั อยา่ ง จะเห็นว่า การยอมรับความรูพ้ ้ืนฐาน หรือความจริงบางอยา่ งก่อน แล้วหาข้อสรปุ จากสิ่งทยี่ อมรับ ซึง่ จะเรยี กว่า ผล การสรปุ ผลจะ สรุปไดถ้ ูกตอ้ งก็ตอ่ เม่ือเปน็ การสรุปไดอ้ ยา่ ง สมเหตุสมผล (Valid) เชน่ เหตุ 1. สตั ว์มปี ีกทุกตวั บินได้ 2. เปด็ บินได้ ผล สตั ว์มีปกี ทกุ ตัวบินได้ การสรปุ ในข้อนไี้ ม่สมเหตุสมผล (Invalid) แม้ว่าข้ออ้างทั้งสองจะเป็นจริง แตก่ ารท่ีเรา ทราบว่า สวตั วม์ ปี ีกบนิ ได้ กไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ สิ่งอน่ื ท่ีบินไดต้ อ้ งเปน็ เปด็ เสมอไป ข้อสรปุ ดังกล่าวจงึ ไมส่ มเหตุสมผล
แนวคดิ !!! การให้เหตผุ ลแบบนริ นยั 1. อาศยั หลกั ฐานจากความรู้เดมิ 2. เรม่ิ ตน้ จากขอ้ อา้ งซ่งึ มีลกั ษณะทว่ั ไป (Universal) ไปสขู่ ้อสรปุ ซง่ึ มีลกั ษณะเฉพาะ (particular) 3. ความนา่ เชอ่ื ถือของขอ้ สรุปอยใู่ นขนั้ ความ แน่นอน (Certainty) 4. ไมใ่ หค้ วามรใู้ หม่
การให้เหตุผลแบบอุปนยั (Inductive Reasoning) หลักการ การใหเ้ หตุผลแบบอปุ นัย หมายถึง การใหเ้ หตุผลโดยอาศัย ความจรงิ จากสว่ นยอ่ ย ๆ ท่เี กิดจากการสังเกตุ หรอื การทดลองหลายๆ ครั้งแลว้ นามาสรุปเป็นความจรงิ หรอื ความรสู้ ว่ นรวม ส่งิ ท่ีควรทราบ การให้เหตุผลประกอบไปด้วย 2 ส่วน 1. เหตุ (Premises) คอื สิ่งท่ถี กู กาหนดให้ ซึ่งคือ ความจริงจากส่วนยอ่ ย ทเ่ี กิดจากการสงั เกตหรือการทดลองหลาย ๆ ครั้ง 2. ผล (Conclusion) ซึง่ เปน็ ผลสรุปจากเหตุให้ เหตุผลแบบอุปนยั (Inductive Reasoning)
เชน่ 1. จากการทดลองพบวา่ เมอื่ นาลายนวิ มอื ของคน หนงึ่ ลา้ นคน มาเปรียบเทียบกนั พบวา่ ไม่มีลายนว้ิ มอื ของใครทซ่ี า้ กนั เลย สรปุ วา่ ลายนิ้วมือของแตล่ ะคนไม่ เหมือนกนั
2. พจิ ารณาลักษณะของขอ้ มลู หลกั ฐานหรือข้อเท็จจริงวา่ เปน็ ข้อสรุปหรือไม่ ถ้าเราอยากรวู้ า่ คนไทยชอบกนิ ขา้ วเจ้าหรือขา้ วเหนียวมากกว่ากัน เช่น - คนทีอ่ ย่ใู นเขตภาคอีสาน หรือภาคเหนือ ชอบกนิ ข้าว เหนียวอาจมีมากกว่าชอบกนิ ข้าวเจา้ - คนที่อยใู่ นเขตภาคกลางหรือภาคใต้ ชอบกนิ ข้าวเจา้ อาจมี มากกวา่ ชอบกนิ ข้าวเหนยี ว จะเหน็ ว่า คาตอบทไ่ี ดอ้ าจมีลกั ษณะตรงข้ามกนั
ลองพิจารณา ตัวอย่าง การให้เหตุผล แบบอุปนยั ตอ่ ไปนี เพื่อเสรมิ ความเข้าใจดงั นี 1. จากการสังเกตุพบว่า ทุกเช้าพระอาทิตย์ขึ้นทาง ทศิ ตะวนั ออก และพระอาทติ ย์จะตกทางทศิ ตะวันตกในตอนเย็น สรปุ วา่ พระอาทศิ ข้นึ ทางทศิ ตะวนั ออกและตก ทางทิศตะวนั ตก
ความถูกตอ้ งในการอ้างเหตผุ ล ตวั อยา่ งเช่น 1.เทา่ ท่ผี า่ นมา หมอดูคนน้ที านายอนาคตถกู เกนิ กวา่ 90% ดังนน้ั ทีเ่ ขาเพ่ิงทานายไปนี้น่าจะถูก เราสามารถกลา่ วไดว้ ่า การทานายคร้งั นี้ อาจจะไม่ ถกู เพราะข้ออา้ งไม่ได้บอกวา่ หมอดคู นนที้ ายถกู 100% แต่ เรามคี วามมนั่ ใจสูงกวา่ ถา้ ขอ้ อ้างเปน็ เชน่ น้ี ข้อสรุปก็นา่ จะ เปน็ อย่างน้ัน
มลิ นิ ทปัญหา เมนันเดอร์ หรือทเ่ี รยี กในคัมภีรบ์ าลวี า่ พระเจา้ มิลินท์ ได้ยกกองทพั ตีเมืองต่าง ๆ แผพ่ ระราชอานาจลงมาถงึ ตอนเหนือ ของลุ่มแม่นาคงคา เดมิ ทีกษัตริยอ์ งค์น้ไี ม่ไดเ้ ลื่อมใสใน พระพุทธศาสนา แตท่ รงแตกฉานในการโตว้ าที มคี วามรู้ ปรัชญาและศาสนา ปรากกฎว่าไมม่ ีใครสู้ พระองค์ได้
ถามทดสอบไหวพริบปฏิภาณ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถาม พระนาคเสน วา่ “ พระคณุ เจ้าจกั สนทนากับโยมไดห้ รอื ไม”่ พระนาคเสนทลู ตอบว่า “ถ้าพระองค์ ตรสั อยา่ งบณั ฑิต อาตมาก็จกั สนทนาดว้ ย ถ้าตรัสอยา่ งพระเจา้ แผ่นดนิ กไ็ ม่ สนทนาด้วย”
ปัญหาในการถาม กรณีเช่น พระเจ้ามิลิน ถำมวำ่ “โสตะ” เหมือนจกั ษุหรือไม่ พระนาคเสน ตอบวำ่ “ไมเ่ หมือน” ถ้ำถำมในแงเ่ ป็นอนิจจงั จงึ ควรตอบวำ่ “เหมือน”
ปญั หาที่จะต้องแยกความตอบ วิภชั ชวาท เช่น ถามวา่ สงิ่ ที่เป็นอนจิ จงั ได้แกจ่ กั ษใุ ชไ่ หม ? พงึ แยกความตอบว่า “ไม่เฉพาะจักษุ เท่าน้นั ล้ิน ตา หู จมูก รา่ งกาย ฯลฯ ก็เป็น อนจิ จัง”
ตวั อยา่ ง : วิธกี ารคดิ แบบวิภชั ชวาท หรอื การคดิ แบบแยกแยะประเดน็ ระบบ กว๋ ยเต๋ียวหมู 1 ชาม องค์ประกอบ ภาชนะทใ่ี ส่ (ชาม) เส้นกว๋ ยเตย๋ี ว เนื้อหมู ผกั ต่าง ๆ(ถว่ั งอก ผกั ชี ตน้ หอม...) นา้ สีสนั รสชาติของกว๋ ยเตยี๋ วนา้ อุณหภูมิของน้าซบุ เคร่ืองปรงุ รส (น้าปลา น้าสม้ พรกิ ปน่ น้าตาล) เหตุปจั จยั อยากรับประทานเพอื่ บาบัดความหวิ การทาก๋วยเตย๋ี วหมู การรับประทานเพ่อื สงั สรรค์ เง่ือนไข สมศรตี ้องการรับประทานก๋วยเต๋ียวหมู ตอ้ งมีอุปกรณ์ใชป้ ระกอบการรับประทานก๋วยเตี๋ยว หม(ู ชาม,ชอ้ น,ตะกียบ ฯลฯ) เวลา ขณะทาการ (เช้า สาย เทย่ี ง บา่ ย เยน็ ค่า ดึก) ในทน่ี ีเ้ ปน็ เวลาเท่ยี งวัน ใช้เวลาในแต่ ละข้นั ตอน (เงอ่ื นไข) นานเท่าใด เร่ิมต้นเมื่อใด สิ้นสดุ เม่ือใด รวมเวลาตัง้ แต่เริม่ จนจบ กระบวนการนานเท่าใด อุณหภมู ิของกว๋ ยเตี๋ยวหมูชามนเ้ี ปลี่ยนแปลงจากรอ้ น ค่อย ๆ หาย ร้อน ใชเ้ วลานานเทา่ ใด รสชาดอรอ่ ยแซบจนหมดชาม ใช้เวลานานเท่าใด
Search