วชิ า ปรัชญาเบื้องต้น Introduction to Philosophy อ.สมชัย พงษ์ก่ิง พธ.บ.ปรัชญา,พธ.ม.ปรัชญา. อาจารย์บรรยาย
ความหมายของปรัชญา ปรัชญามคี วามหมายว่าอะไร คำวำ่ “ปรัชญา” เป็นศพั ทบ์ ญั ญตั ิของพระเจำ้ วรวงศเ์ ธอ กรมหม่ืนนรำธิปพงศป์ ระพนั ธ์ (พระองคว์ รรณ) ซ่ึงเพือ่ แปลคำวำ่ philosophy
คำวำ่ “philosophy” มำจำกรำกศพั ท์ภำษำ กรีก โบรำณวำ่ philos แปลวำ่ ผ้รู ัก และ Sophia แปลวำ่ ควำมปรำดเปร่ือง เพรำะฉะนนั้ philosophia หรือ philosophy จงึ มี ควำมหมำยตำมรำกศพั ท์วำ่ ควำมรักหรือควำม ปรำรถนำจะเป็นปรำชญ์ นนั่ คือ รู้ตวั เองวำ่ ยงั ไมฉ่ ลำด แตอ่ ยำกจะฉลำด
“ปรัชญา” มำจำกรำกศพั ท์สนั สกฤตวำ่ ชฺญำ แปลวำ่ รู้ เข้ำใจ เตมิ อปุ สรรค ปรฺ เป็น ปรฺ ชญำ แปลวำ่ ควำม ปรำดเปรื่องหรือควำมรอบรู้ เพรำะฉะนนั้ ปรัชญำจงึ แปลวำ่ ควำมรอบรู้ปรำดเปร่ือง คำวำ่ “Philosophy” มำจำกภำษำกรีก ๒ คำคือ Philo (love) กบั Sophia (wisdom) แปลวำ่ รักหรือ สนใจในควำมรู้หรือควำมฉลำด (Love of wisdom) ตำมควำมในนีเ้รำจะเห็นได้วำ่ จดุ หมำยของ Philosophy จงึ มงุ่ ไปที่ให้คน คอื เป็นคนรักใน ควำมฉลำด
“Philosophy” คือ กำรค้นหำ คำตอบไมม่ ีสิน้ สดุ แม้คำตอบนนั้ จะ นำ่ เชือ้ ถือเพียงใดก็ตำม.
ขอบเขตของปรัชญา “ขอบเตขของปรัชญา” หมายถึง ขอบเขตท่ีวิชา ปรัชญาพยายามศกึ ษา และอธิบายเนื้อหากับสัจธรรม (Altimate truth or Altimate Reality) โดยอาศัย หลกั ของเหตุผล ซง่ึ เราไมอ่ าจสัมผสั ไดด้ ้วยอายตนะ ทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย สจั ธรรมนั้นเปน็ หลกั ความจรงิ ทีอ่ ย่เู หนอื การเปลยี่ นแปลงทงั้ ปวง
ปรัชญามขี อบเขตกว้างขวางกว่าศาสตร์ท้งั หลาย “ปรัชญา” ว่าดว้ ยสากลจกั วาลแหง่ รูปธรรมและ จกั รวาลแห่งนามธรรม จึงมปี ญั หากวา้ งขวาง โสเครตสี (Socrates) ไดก้ ลา่ วถึงความร้ทู าง ปรัชญาของทา่ นว่า “สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้ คือรูว้ ่าขา้ พเจา้ ไมร่ ้อู ะไรเลย”
เรียนปรัชญาไปทาไม นิสิตนกั ศกึ ษา อาจตอบวา่ เรียนเพอ่ื สอบเอาหน่วยกติ ผู้ จะเป็นอาจารยอ์ าจจะตอบว่าเรียนเอาไวส้ อน ผ้อู า่ นทั่วไปอาจ ตอบว่าเรียนไวป้ ระดบั ปัญญา แตท่ ง้ั สามคาตอบเปน็ จดุ หมายสว่ น บคุ คล ไมใ่ ช่จุดหมายแท้ของวิชานี้ เราเรยี นปรัชญาเพื่อร้สู ามอย่าง คือ ๑) เพ่ือรจู้ กั ปญั หาที่ยังเป็นปญั หา ๒) เพ่ือรูค้ าตอบทกุ คาตอบทีเ่ ป็นไปได้ ๓) เพือ่ รู้จกั เกบ็ ส่วนดีจากทกุ คาตอบมาเปน็ หลกั ยึดเหนี่ยว ของตน
การสอนปรัชญาต่างกบั การสอนศาสนาอย่างไร ปรัชญาตา่ งกบั ศาสนาอยา่ งไร ๑) การสอนศาสนานนั้ แตล่ ะศาสนาต่างกม็ ุง่ สอนให้เชื่อตามคาสอนของศาสนานน้ั ๆ ๒) วางตวั เปน็ กลาง จะตอ้ งเสนอปัญหา ตามทีม่ ีอยูจ่ รงิ ตามมติของคนท่วั ไป
ความสัมพนั ธ์ระหว่าง ปรัชญาศาสนา และวทิ ยาศาสตร์ ปรชั ญา ศาสนา ๑.เป็นเร่ืองความรู้ ยึดเอาเหตุผลเหนือ ๑ .เ ป็น เรื่อ งข องศ รัท ธา กา ร ส่งิ อน่ื ใด ยอมรับนบั ถือและความจงรกั ภกั ดี ปรัชญากับศาสนา ๒.เป็นเรื่องของทฤษฎี มุ่งให้รู้และมี เหตุผล หากจะเชื่อก็ให้เชื่ออย่างมี ๒.เป็นเร่ืองของการปฏิบัติในการ เหตุผล ด า เ นิ น ชี วิ ต คื อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ต า ม ๓.เป็นเรื่องทัศนคติ ซึ่งชี้ให้เห็นท้ังชีว แนวทางทีต่ นรู้และเชื่อถือน้นั ทัศน์และโลกทัศน์ มุ่งให้คนมีความคิด ๓.เป็นเร่อื งของแนวทางแหง่ ชีวิต ความเห็นกวา้ งไกล ไมเ่ ป็นคนใจแคบ ๔.เป็นเรื่องของการจตุ ิและเกิด ๔.เป็นเร่ืองของมโนภาพ ซ่ึงต้องใช้ ความคดิ อย่างมีหลักเกณฑ์เป็นระบบ
ปรัชญากบั วทิ ยาศาสตร์ ปรัชญำกบั วทิ ยำศำสตร์มีควำมสมั พนั ธ์กนั อยำ่ งใกล้ชิด อำจกลำ่ วได้วำ่ ปรัชญำเป็นพืน้ ฐำน หรือเป็นบอ่ เกิดของวิทยำศำสตร์ จุดมุ่งหมาย ของปรัชญากบั วทิ ยาศาสตร์ เหมือนกัน คือต้องการความรู้ท่แี น่นอน มี เหตุผล และมีหลักการท่เี ป็ นระบบ
วทิ ยาศาสตร์จะค้นหาความจริง ที่แคบกว่า ปรัชญา คือ วิทยำศำสตร์จะหำควำมจริงเฉพำะเร่ืองท่ี เกี่ยวกบั สสาร โดยใช้วิธีกำรดงั นี ้ ๑.ตัง้ สมมุตฐิ าน ๒.การรวบรวมข้อมูล ๓.การวเิ คราะห์ จดั ประเภท ให้คานิยาม ๔.การทดลองปฏบิ ตั ิ ๕.การสรุปผลตัง้ เป็ นกฎเกณฑ์หรือทฤษฎี
ในส่วนของปรัชญาจะมีวธิ ีการ ดงั นี้ ๑.สงสัย ๒.ตัง้ คาถาม ๓.เสนอแนวคดิ ๔.สนับสนุนแนวคิด ๕.การโต้แย้ง การวพิ ากษ์ หรือการอ้างเหตผุ ล
ปรัชญาบริสุทธ์ิ (pure philosophy) คือวชิ ำวำ่ ดว้ ยควำมเป็นจริง แบ่งออกเป็น ๕ สำขำ คือ ๑) อภปิ รัชญา (Metaphysics) ๒) ญาณวทิ ยา หรือ ทฤษฎีควำมรู้ (Epistemology or Theory of Knowledge) ๓) จริยศาสตร์ หรือ จริยปรัชญำ (Ethics or Ethical Philosophy) ๔) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) ๕) ตรรกวทิ ยา หรือ ตรรกศาสตร์ (Logic)
ปรัชญาประยกุ ต์ (applied philosophy) คือ การนาเอา ปรัชญาบริสทุ ธ์ิ ไปตีความ ผลสรปุ ของวชิ าตา่ งๆ ทแ่ี ยกสาขาออกมา มากมายตามสาขาวิชาเฉพาะแตล่ ะวิชา ไดแ้ ก่
ปรัชญาศาสนา (philosophy of religion) ปรัชญาจริยะ (ethical philosophy) ปรัชญาคณิตศาสตร์ (philosophy of mathematics) ปรัชญาวทิ ยาศาสตร์ (philosophy of sciences) ปรัชญาสังคม (social philosophy) ปรัชญาจติ (philosophy of mind) ปรัชญาศิลปะ (philosophy of art) ปรัชญาประวัตศิ าสตร์ (philosophy of history) ปรัชญาการเมอื ง (political philosophy ) ปรัชญากฎหมาย (philosophy of law) ปรัชญาภาษา (philosophy of language) ปรัชญาการศกึ ษา (philosophy of study) ฯลฯ
วชิ าปรัชญาเกดิ ขนึ้ ต้งั แต่เมื่อไร *วิชำปรัชญำเกิดขนึ ้ มำ ตงั้ แตม่ ีตำรำพระเวทของ อนิ เดีย ซง่ึ เรียบเรียงขนึ ้ ไว้เม่ือประมำณ ๓,๐๐๐ ปี มำแล้วน่ีเอง *ส่วนทางตะวันตกนัน้ หลกั ฐำนท่ีจะก่อให้เกิด วิชำปรัชญำขนึ ้ ได้แก่คำสอนของทำเลส็ (Thales) ผ้มู ีชีวิตอยเู่ มื่อประมำณ ๒,๖๐๐ ปีมำแล้ว
ปัญหาอะไรเป็ นปัญหาแรกของปรัชญา *ปัญหาแรกของปรชั ญา คอื “เอะ๊ น่ีอะไร”…?
*ทำไมตอ้ งเรียนปรัชญำควบคู่กำรศึกโลก..? มปี รชั ญาทาใหค้ นพฒั นาวิธคี ดิ ...? มปี รชั ญาทาใหค้ นกลา้ คิด...? มปี รัชญาการคา้ มั่นคง...? มปี รชั ญาประเทศชาติก้าวไกล...? มปี รชั ญาชว่ ยพัฒนาการปกครอง...? มีปรัชญาการศกึ ษากา้ วหนา้ ...?
นักปรัชญา ตอ้ งต้งั คำถำมกบั ตนเองไวเ้ สมอเม่ือ เห็นส่ิงทป่ี รากฏการขนึ้ มา...? อะไร ..? ทาไม่..? เพอ่ื อะไร..? โดยวิธีใด..?
ศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ ศาสนาคืออะไร ศำสนำจงึ เกิดจำกสำเหตสุ ำคญั ๆ คอื ๑) ความกลัว ๒)ความไม่รู้ ๓)การชดเชย ๔)ความเช่ือ หรือ ความศรัทธา ๕)ความต้องการแสวงหาเป้าหมายของชวี ติ
ศาสนา หมำยถงึ คำสอน คำสงั่ สอน หรือลทั ธิ ควำมเช่ือถืออย่ำงหนง่ึ ๆ พร้อมด้วยหลกั คำสอน ลทั ธิ พิธี องค์กำรและกิจกำรทว่ั ไปของหมชู่ นผู้ นบั ถือลทั ธิควำมเชื่อ ศาสนา หมำยถึง ลทั ธิควำมเชื่อถือของมนษุ ย์ อนั มหี ลกั คอื แสดงกำเนิดและควำมสนิ ้ สดุ ของ โลก
วทิ ยาศาสตร์คืออะไร กฎในทางวทิ ยาศาสตร์คอื (๑) อยใู่ นรูปข้อควำมสำกล (๒) ข้อควำมตำ่ งๆ ท่ีประกอบกนั ขนึ ้ เป็นกฎ กลำ่ วถึงสง่ิ ที่ สำมำรถสงั เกตได้ด้วยประสำทสมั ผสั โดยกำรใช้ อุปนัย ๑.กำรใช้ประสำทสมั ผสั สงั เกตธรรมชำตเิ พื่อ ค้นหำกฎเกณฑ์ทำงธรรมชำติ ๒.กำรใช้เหตผุ ลและกำรคำดคะเนเพือ่ อธิบำย ปรำกฏกำรณ์ธรรมชำตทิ ี่ไม่สำมำรถสงั เกตได้ด้วยประสำท สมั ผสั
สาขาของปรัชญา ๑.อภิปรัชญำ ( )Metaphysics ๒.ญำณวิทนยำ (Epistemology ) ๓.จริยศำสตร์ (Ethics ) ๔.สนุ ทรียศำสตร์ ( )Aesthetics ๕.ตรรกศำสตร์ ( )Logic
บ่อเกดิ ขอบเขตของอภิปรัชญา อภปิ รัชญา ต้องการความเป็นจริง ของสรรพสง่ิ ท้งั มวล อาทิ โลก ชีวติ มนุษย์ พระเจา้ จติ สสาร ธรรมชาติ
บ่อเกดิ ญาณวทิ ยา ญาณวิทยา อะไรเปน็ บอ่ เกดิ ของความรู้ และขอบเขตแหง่ ความรมู้ กี าหนดแคไ่ หน
ความรู้
การเสนอประเดน็ การสร้างความรู้ ทเี่ ป็ น “วภิ าษวธิ ี” เชน่ ๑) ไม้แห้งเปน็ วัตถุลอยนา้ ๒) ไมเ้ ป็นวตั ถจุ มน้ากไ็ ด้ จากขอ้ ๑ และขอ้ ๒ เมื่อผสมผสานกนั สงั เคราะหอ์ นั เป็นผล สรุปไดว้ ่า “ ไมแ้ ห้งเปน็ วตั ถุลอยนา และไมไ้ มแ่ หง้ เปน็ วัตถุจมนา”
ความสมเหตุสมผลของความรู้ เกณฑ์ท่ีได้รับกำรยอมรับในวงกำรปรัชญำมี ๓ ทฤษฏี ได้แก่ ๑.ทฤษฎีเช่ือมนัย (Coherence )theory เช่น เรำมีควำมรู้เดิมวำ่ “ไม้ย่อมลอย นา้ ” เมือ้ มีคนมำบอกวำ่ “แผ่นกระดาน ลอยนา้ ” เรำย่อมเชื่อวำ่ ประพจน์นีเ้ป็นจริง
๒.ทฤษฏีสมนยั (Correspondence Theory) เชน่ นำยแดงพดู วำ่ “เชียงใหม่อยู่ทาง ทศิ เหนือของกรุงเทพฯ” ประพจน์นีเ้ป็นจริง เพรำะตรงกบั ข้อเท็จจริงทำงภมู ิศำสตร์
๓.ทฤษฎีปฏบิ ัตนิ ิยม (Pragmatism) เช่น ควำมรู้เดมิ ที่เรำมีอยู่ รู้ว่ำผิดพลำดไป ควำมรู้ที่ได้มำใหมท่ ่ีมนั สอดคล้องเข้ำกนั ได้กบั ควำมรู้เดมิ ๆ มนั ก็จะผดิ พลำดไปด้วย เพรำะฉะนนั้ ทฤษฎีปฏิบตั ินิยม คือ “ส่งิ ท่เี ป็ นจริงคือส่งิ ท่มี ีประโยชน์”
ความจริงที่อาจเป็ นไปได้...? คอื ข้ออ้างหลกั (๑) เหลก็ แท่งน้ตี กลงสู่พ้ืน เพราะแรงดึงดดู ของโลก ข้ออา้ งรอง (๒) เหลก็ ทกุ แท่งตกลงสู่พน้ื เพราะแรงดงึ ดดู ของโลก ผลของสรปุ ของขอ้ อ้าง(๓) วตั ถุทกุ สงิ่ ทมี่ ี ความหนาแน่นกว่าอากาศตกลงสู่พนื เพราะแรง ดึงดดู ของโลก
ขอบเขตของอภิปรัชญา อภปิ รัชญาหรอื ภววทิ ยานี้ มีปญั หาทีน่ กั ปรัชญาถกเถยี งกันอยู่ ๓ ประเดน็ ไดแ้ ก่เรอ่ื งความคงทก่ี บั ความเปลีย่ นแปลง เร่ืองกายกับจติ หรอื วญิ ญาณ เร่ืองเจตจานงเสรกี ับเหตุวิสยั ดังน้ี ๑)เร่ืองความคงทก่ี ับความเปล่ยี นแปลง โดยพจิ ารณาว่าเนอื้ แท้ที่ คงทถ่ี าวร หรือความเปลย่ี นแปลงของโลกเปน็ ไปอย่างไร ถ้าโลก เปลยี่ นแปลง อะไรเปน็ เหตปุ จั จัย ๒)เรอ่ื งกายกบั จิต หรอื วญิ ญาณ โดยพิจารณาว่าอะไรคือธาตแุ ท้ของ มนษุ ย์ จิตมนุษย์มหี รไื ม่ นอกจากรา่ งกายแลว้ อะไรทถี่ อื ว่าเป็นส่วน สาคญั ของชีวติ บา้ ง ๓)เรือ่ งเจตจานงเสรเี หตุวิสยั โดยพิจารณาวา่ มนุษยม์ อี สิ รภาพในการ กระทาทกุ อยา่ งไดห้ รือไม่ หรอื จะกระทาอนั ใดตอ้ งอาศัยกระแสของ เหตปุ จั จยั ภายนอกเพราะทุกส่ิงต้องอาศัยเหตุปจั จยั
ปรัชญาเกดิ ขนึ้ .. เพรำะ? รู้จกั คดิ
วิธีการแสวงหาความรู้ ของโสคราตีส “ความโงเ่ ขลาไม่ใชจ่ ดุ จบ ของการแสวงหาความรู้ แตเ่ ปน็ การเร่ิมต้นของการ แสวงหาความรู้”
ความดคี ืออะไร ความดสี ูงสุดคืออะไร คาตอบของทา่ นคือ ความรู้ คือ ความดสี งู สุด
ธรรมชาตขิ องความรู้ มี ๓ กล่มุ ดว้ ยกัน คอื ๑) กลมุ่ จิตนิยม เชื่อวา่ ธรรมชาติความรู้ เรื่องตา่ งๆ อยู่ท่ีตวั บุคคลหรอื อยู่ทจ่ี ติ ๒) กลุ่มสจั นิยม เชอื่ ว่าวตั ถแุ ละคณุ สมบัติ ของวตั ถุมีความจริงอย่ใู นตวั ของมันเอง ๓) กล่มุ สมั พัทธนิยม เชอ่ื วา่ ธรรมชาติของ ความรเู้ กดิ ข้ึนได้เพราะอาศัยความสัมพันธข์ องสิง่ ๒ ส่ิง คอื จติ กับ กาย
เงื่อนไขเหตุปัจจยั แห่งความรู้ ๑)ทรพั ย์ (Substance) คอื วตั ถุสิง่ ของอย่างใดอย่างหน่งึ
๒) กาละ (Time) คือ เวลาไม่มเี บอื งตน้ ไม่มีที่สนิ สุด
๓) อวกาศ (Space) คอื จักวาลทงั หลายอยู่ใน อวากาศท่ีว่าง ทีว่างไม่มขี อบเขตสนิ สดุ
๔) ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล ทฤษฎีหรอื ความรู้นนั จงึ จะ สมบรู ณ์
มาตรฐานการตดั สินความรู้ ความรู้อย่างไรเป็นความรู้ที่ใช้ได้ถูกต้อง และความรู้อย่างไร ไมจ่ รงิ มี ๒ ลทั ธอิ ธิบายไว้คอื ๑) ลัทธิประจักษวาท เชื่อว่า “ความรู้สามารถเปิดเผย ตัวเองได้ ทั้งผุดข้ึนในจิตของบุคคล (อัชฌัตติกญาณ) และ ความรจู้ รงิ จะต้องอาศัยประสบการณ์ ๒)ลัทธิวิวรตวาท เชื่อว่า “ความรู้ไม่สามารถเปิดเผย ด้วยตัวเองได้ จะผุดข้ึนในใจก็ไม่ได้” แต่ความรู้จะเกิดขึ้นได้ ตอ่ เมื่อมีส่ือกลางท่ีทาให้เกิดความรู้ เช่น ครู อาจารย์ หนังสือ ส่อื การเรียนการสอน ทวี ี เวป๊ ไชด์ ฯลฯ
เช่น กรณี
นพ.เปรมศักด์ิ ส่ังจับนักข่าวแก้ผ้า กร่ำงคบั ขอนแก่นเดือดข่ำวแตง่ เดก็ ลอ็ ก ห้อง-ถ่ำยรูป ‘เปรมศกั ด์ิ เพยี ยรุ ะ’อดีต ส.ส.ขอนแก่น ลแุ ก่โทสะต้อนนกั ขำ่ ว5 สำนกั เข้ำไปในห้องนำยกเทศมนตรี ลอ็ ก ประตสู ง่ั ลกู น้องจบั นกั ขำ่ วแก้ผ้ำถำ่ ยรูป ประจำน โกรธท่ีลงขำ่ วแตง่ กบั เด็กมธั ยม
ทฤษฎญี าณวทิ ยา ๑) ทฤษฎเี หตุผล (Rationalism) มนษุ ยส์ ามารถหาความรบู้ างอย่างท่ี เกี่ยวกับโลกได้ โดยไม่จาเป็นตอ้ งผ่านประสาทสมั ผสั แต่อาศยั การใช้เหตผุ ล นักปรชั ญาทสี่ าคญั ไดแ้ ก่ เดสก์ ารต์ สปิโนซา่ ไลบ์นิช เปน็ ต้น เดสก์ าร์ต อธบิ ายทฤษฎีเหตผุ ลนยิ มไวว้ ่า เหตผุ ลเกิดจากสญั ชาตญาณ หรือ ญาณพิเศษ มใิ ชเ่ หตผุ ลทเ่ี กิดจากการรบั รู้ ทางประสาทสัมผัส และมใิ ชเ่ หตผุ ลทีเ่ กิดจากการวนิ ิจฉัย (Judgment) หรือการ อนุมาน (Inference) หรอื จินตนาการ (Imagination) แต่เป็นเหตผุ ลท่เี กดิ ขน้ึ โดยแจม่ แจง้ ในตวั ที่พระผู้เปน็ เจ้าไดป้ ระทานมาแตแ่ รก เกิด ความคิดติดตัวมาแตเ่ กิด (Innate Ideas)
๒) ทฤษฎปี ระจกั ษ์นิยม (Empiricism) เช่ือวา่ ความรทู้ ี่ เชอื่ ว่าแหลง่ ความรู้ที่เชอ่ื ถือไดม้ ีอยา่ งเดยี วเทา่ น้นั คอื ประสบการณ์ (Experience) ประจกั ษน์ ิยม ไม่เชอ่ื วา่ มี ความรกู้ อ่ นประสบการณ์ (a piori Knowledge) จอห์น ลอ็ ค เป็นผ้คู ดิ ทฤษฎีน้ีข้นึ เพื่อโตแ้ ย้ง ทฤษฎีเหตุผลนยิ มของเดส์การ์ต วา่ ความรทู้ ่แี ท้จริงเกดิ จากประสบการณท์ างประสาทสัมผสั
23 ก.ค.59 อุบลรำชธำนี - ตะลึง! โลกโซเชียลแชร์สนนั่ ผอ.โรงพยำบำลสุดสวย ท่ี อ. กดุ ขำ้ วปุ้น จ.อุบลรำชธำนี ท่ี แทเ้ ป็นชำย แปลงเพศแลว้ สวย เชง้ กวำ่ หญิงแท้
๓) ทฤษฎีอนุมำนนิยมหรือควำมรู้เชิงวิจำรณ์ อิมมานเู อล คานท์ ชาวเยอรมนั ไดร้ วมทฤษฎี เหตุผลนิยมกบั ประสบการณ์นิยมหรือประจักษน์ ยิ ม เขา้ ดว้ ยกัน “จติ คือสิ่งรับรู้สง่ิ ท่ัวๆ ไป อันเป็น สว่ นหนึ่งของประสบการณ”์ ที่รับรู้ได้ จาก ตา หู จมูกลิน้ เป็นต้น เชน่ จติ เปรียบเหมือนฟลิ ม์ ท่ีใช้ถ่ายภาพ เมื่อถ่ายภาพจงึ มภี าพปรากฏในฟิล์ม
๔) ทฤษฎอี ัชฌัตตกิ ญาณ หรือสญั ชาตญาญาณ นยิ ม (Intuitionism) คอื การรเู้ อง การที่จิตเกิดความรู้แจม่ แจ้งชัดเจน โดยตรง ไมต่ อ้ งอาศัยการอ้างเหตผุ ลหรือการอนุมาน การรเู้ องเปน็ บ่อเกดิ ท่ีสาคญั ทส่ี ุดของความรู้ เชน่ -ไมม่ ีใครชนี า -พระทีท่ า่ นได้ญาณจะรูล้ ว่ งหน้าในความ เป็นไปของโลกและชวี ิต
จริยศาสตร์ (ETHICS) จรยิ ศาสตร์ คอื “แนวทางความประพฤตทิ ี่ เหมาะสม กิริยาที่ควรประพฤติ” -จรยิ ศาสตร์ เปน็ ศาสตรว์ ่าด้วยความดอี นั สงู สดุ ความสัมพันธอ์ ยกู่ ับของชวี ิตของมนษุ ย์ อนั แทจ้ รงิ (แมคเคนซี) - จรยิ ศาสตร์ คอื ศาสตร์หลกั แหง่ ความ ประพฤติ อะไรควรทา ไม่ควรทา (เจมส์ เซซ)
Search