สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน เขยี นโดย ชัยคฺ อะหมฺ ดั ฟะรีด แปลโดย อารฟี นี มลี ่าม ตรวจทาน ชากิร ตนั บารงุ อิมรอน บ่อหนา พิสจู นอ์ ักษร อุษมาน สมบรู ณ์ อบั ดุลกอดริ พลสะอาด อบูซยั ดฺ ฏอวสู ญะมาลดุ ดนี อับดลุ กอดิร พลสะอาด ซาฟีนะฮฺ ดาโอะ หนงั สอื ต้นฉบับ السلفية قواعد وأصول สานกั พิมพ์ ดาร อิบนลิ เญาซี, ไคโร, อยี ปิ ต์ ปีพมิ พ์ 2012 ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1
หนงั สอื อนญุ าตการแปลเปน็ ฉบับภาษาไทย
بسم الله الرحمن الرحيم الحمد لله رب العالدين والصلاة والسلام على أطيب الدرسلين ฉนั อะหฺมัด ฟะรีด ผ้เู รยี บเรยี งหนังสอื อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลกั และ รากฐาน อนุญาตให้พนี่ ้อง อาริฟีน อาบิดีน อิสมาอีล มีล่าม ทาการแปล หนังสือดงั กลา่ วเปน็ ภาษาไทย และขออัลลอฮตฺ ะอาลาทรงให้พี่น้องคนนี,้ หนังสอื เลม่ น้ี และการแปลคร้ังนี้ สรา้ งประโยชน์แกส่ งั คมมุสลิม และ ขออัลลอฮฺทรงใหง้ านน้ีสาเรจ็ ลุลว่ งดว้ ยดเี ถิด والحمد لله رب العالدين นพ. อะหฺมัด ฟะรดี ดะอฺวะฮฺ อสั สะละฟยี ะฮฺ, อเล็กซานเดรีย 3 ชะอฺบาน ฮ.ศ.1433
คานาผู้แปล การสรรเสรญิ ทงั้ หลายเปน็ เอกสทิ ธ์ขิ องอลั ลอฮฺ ขอความสุขและ ความสนั ติจากอัลลอฮจฺ งประสบแดน่ ะบีผู้ประเสริฐ มหุ ัมมัด รวมถึงวงศ์ วานของท่านและมิตรสหายของท่าน ตลอดจนผเู้ จรญิ รอยตามพวกเขาใน สงิ่ ดีกระทั่งวนั กิยามะฮฺ นับตัง้ แตด่ ะอวฺ ะฮฺสะละฟียะฮฺแพรก่ ระจายไปยงั ท่ัวทุกมุมโลก นามาซงึ่ กระแสตอบอย่างท้วมทน้ ในด้านการยอมรับและการสนับสนนุ แนวทางอันนี้ ซง่ึ ดว้ ยการแพร่กระจายท่รี วดเรว็ ทาให้มีเยาวชนจานวนไม่ นอ้ ยที่ต้องการทางานศาสนาตามแนวทางสะลัฟ แตย่ งั ไมร่ ู้วา่ จะเรมิ่ นบั หนง่ึ จากจดุ ไหน จะเข้าใจความเป็นสะละฟีอยา่ งไร จงึ นาไปสกู่ ารศึกษาและ ทางานอย่างไม่เป็นขั้นเป็นตอนนัก “อสั สะละฟียะฮฺ” จงึ เป็นทางเลอื กท่ีผมอยากแนะนาให้พีน่ ้องทุก ทา่ นที่เรียกตัวเองว่าสะละฟี ผู้ที่เริม่ ศึกษาและนกั ดาอีตามแนวทางสะลฟั ได้ นาไปศึกษากนั เนื่องจากเปน็ หนงั สอื เลม่ เล็กกระชับในเน้ือหาท่ีจาเปน็ สาหรับแนวทางของเรา อันจะเปน็ บนั ไดขน้ั แรกในมองภาพรวมของความ เปน็ สะละฟี และเพื่อจะนาพนื้ ฐานจากหนังสอื เลม่ น้ี ไปศึกษาต่อยอดใน หนงั สือแนวทางสะลัฟเล่มอนื่ ๆในระดับชัน้ ท่ีสงู กว่า หนงั สือดงั กลา่ ว เปน็ หนงั สอื ที่ถอดความจากบทการบรรยายของ ทา่ นชยั คฺ อะหฺมดั ฟะรดี หะฟิซอฮลุ ลอฮฺ จึงอาจจะมีบางสานวนที่ไม่ตรง ตามตัวบทหลกั ฐานทุกคาทกุ อกั ษร และหากมสี านวนเช่นนั้นผมจะทาการ กล่าวเสริมไวใ้ นเชงิ อรรถเท่าที่ผมมคี วามสามารถสบื หาข้อมูลได้ เพ่ือให้พี่ น้องได้ทราบท่ีมาที่ไปของเน้ือหาท่ีปรากฏในหนงั สือ อนิ ชาอลั ลอฮฺ เหนือส่ิงอื่นใดคือพระเมตตาของอัลลอฮฺ ที่ทรงประสงคใ์ ห้ข้าของ พระองคผ์ ้นู ้อยทาการแปลหนังสอื เล่มน้ี ทรงอานวยความสะดวกทง้ั ความ พรอ้ มของเวลา, ร่างกายและเคร่ืองมือในการแปล และข้าพระองคข์ อชโุ ก
รต่อความโปรดปรานน้ีของพระองค์ โปรดทรงใหห้ วั ใจของข้าพระองคย์ นื หยดั อยบู่ นส่ิงท่ีพระองค์ทรงโปรด และขอพระองคท์ รงให้หนงั สอื เลม่ นยี้ งั ประโยชน์แก่สงั คมมุสลมิ ไทยตราบนานเทา่ นาน ขออลั ลอฮฺทรงตอบแทนความดี แก่บงั ชากิร ตนั บารุง, บงั อิมรอน บ่อหนา, บังอุสมาน สมบูรณ์, บังอับดลุ กอดริ พลสะอาด, บงั ฏอวสู ยะมา ลดุ ดนี และครอบครัวของพวกเขา ท่ีทงั้ หา้ ท่านไดส้ ละเวลาอนั มคี ่า ตรวจทานหนังสือเล่มน้ี โดยเฉพาะสามทา่ นแรกท่ีคอยใหก้ ารชว่ ยเหลอื ท้งั ด้านสานวนศพั ท์ และกาลงั ใจตงั้ แต่เรม่ิ ตน้ แปลหนงั สอื กระทง่ั ถงึ กระบวนการตรวจทาน สุดท้ายนสี้ ่ิงใดกต็ ามท่ีเปน็ สงิ่ ดี และยงั ประโยชน์ต่อสังคมมสุ ลิมส่ิง นน้ั ยอ่ มเปน็ ไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ และข้อผดิ พลาดใดกต็ ามท่ี ปรากฏบนหนังสือเลม่ นี้ย่อมเป็นความผิดพลาด และข้อบกพร่องของตวั ผม เอง ซ่ึงผมยินดีเปิดรับความเห็นของผู้อ่านทุกทา่ นมาพิจารณาในการ ปรบั ปรงุ หนงั สอื เล่มนแ้ี ละการแปลคร้งั ต่อๆไป อารีฟนี อาบดี ีน มลี า่ ม มะดนี ะฮฺ อนั นัสรฺ, ไคโร 4 ชะอฺบาน ฮ.ศ.1433
ประวัติของผปู้ ระพนั ธ์โดยสงั เขป ชอ่ื : อะหฺมดั ฟะรีด เกดิ เมื่อ 25 มิถุนายน 1952 ทจ่ี ังหวดั อดั ดักฮะลยี ะฮฺ ประเทศอียิปต์ การศกึ ษาสามัญของท่าน มธั ยมปลาย โรงเรียนอะหม์ ัดลฏุ ฟี เขตอสั สันบะลาวยั น์ จงั หวัดอดั ดกั ฮะลียะฮฺ ประเทศอยี ปิ ต์ ปริญญาตรี คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั อเล็กซานเดรยี จงั หวดั อเลก็ ซานเดรีย ประเทศอียิปต์ การศึกษาศาสนาของท่าน ทา่ นชยั คฺได้ศกึ ษาหาความรู้ทางด้านศาสนานอกมหาวทิ ยาลยั จาก บรรดาผูร้ ้ตู ามแนวทางอะฮฺลซิ สนุ นะฮฺวัลญะมาอะฮใฺ นยุคนั้นหลายทา่ น ทัง้ ในและนอกประเทศอยี ปิ ต์ โดยบางส่วนจากอาจารย์ของท่านไดแ้ ก่ ชัยคฺ มหุ มั หมดั อบิ นิ อสิ มาอีล อัลมุกอดดมั หะฟซิ อฮุลลอฮฺ, ชัยคฺมุหมั หมดั อบิ นิศอลิห์ อัลอุษยั มีน และชยั คอฺ บั ดลุ อะซีซ อบิ นบิ าซ เราะหิมะฮุมัลลอฮฺ เป็นต้น ปัจจุบนั ทา่ นพานกั อยใู่ นเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอยี ปิ ต์ ทา่ น เป็นหน่ึงในผ้ทู รงคุณวฒุ แิ ละวัยวฒุ ขิ องปวงปราชญ์สะละฟีในอยี ิปต์ ซ่งึ ทา่ น ไดฝ้ ากผลงานไว้อย่างมากมายแกช่ นร่นุ หลงั ขออัลลอฮฺทรงรักษาทา่ นไว้ และทรงอภัยโทษให้แกส่ ่ิงที่ท่าน, บุพการีของทา่ น และครอบครวั ของท่าน พลาดพลง้ั ดว้ ยเถิด อามีน
สารบัญ เรอ่ื ง หนา้ อสั สะละฟียะฮฺ 1 กฎหลกั ของแนวทางสะละฟี 14 1. ให้ความสาคัญกับตัวบทก่อนปัญญา 21 2. ปฏิเสธการตะอวฺ ีลของนกั วิพากษว์ ทิ ยา 23 3. มากในการยกหลักฐานจากอัลกุรอานและอลั หะดีษ รากฐานความร้ขู องการดะอวฺ ะฮสฺ ู่แนวทางสะลัฟ 29 เตาหีด (การใหเ้ อกภาพแด่อลั ลอฮฺ) 35 อิตบาอฺ (การเจรญิ รอยตาม) 44 ตัซกียะฮฺ (การขัดเกลาจิตใจ)
อสั สะละฟียะฮฺ ใครคือ “สะลัฟ”? ใครคือ “สะละฟียนู ”? อะไรหรอื กฎของ แนวทางสะละฟี? และส่งิ ใดที่จะเป็นพื้นฐานความรสู้ าหรบั การดะอวฺ ะฮฺสู่ แนวทางสะลฟั ? เปน็ ท่ีรกู้ นั วา่ คาถามเหล่าน้วี นเวียนอย่ใู นสมองของใครหลายคน บางคนก็มีคาตอบ และบางคนก็กาลงั ต้องการคาตอบดังกล่าวนี้ โดยเราขอ อาสาจะอธบิ ายถงึ แนวทางน้ี เพ่ือผ้คู นทง้ั หลายจะรู้แจ้งในวิถีชวี ิตของพวก เขา และเพอ่ื มสุ ลิมท้ังหลายจะมนั่ ใจวา่ พวกเขานั้นอยบู่ นแนวทางอนั เท่ียงตรงแล้ว อัสสะลฟั “พวกเขาคือ เศาะหาบะฮฺ, ตาบิอนี และบรรดาผูท้ ี่เจริญ รอยตามชนผู้อยู่ใน 3 ศตวรรษแรก ท่ีท่านเราะสลู ุลลอฮฺ ไดบ้ อกถึง ความประเสรฐิ ของยุคนี้ ว่า ثُمْ اْل ِذي َنْ يَلُونَ ُه ْمْ ثُمْ ال ِذي َْن يَلُونَ ُه ْْم، َخْي ُرُك ْْم قَ ْرنِي กลุม่ ชนดที ี่สุดในหมู่พวกท่านคอื ยุคของฉนั จากนนั้ กผ็ ู้ที่ถัดจากพวกเขา จากนน้ั ก็ผูท้ ่ีถัดจากพวกเขา1 ท่านนะบี ชี้แจงวา่ ยคุ ที่ดีทีส่ ดุ ของประชาชาติน้ีคือยุคท่ีทา่ น เราะสลู ถูกส่งลงมา และเศาะหาบะฮฺ คือ ผู้ท่ีเหน็ ท่านเราะสลู ลุ ลอฮฺ, ศรทั ธาต่อทา่ น และเสียชวี ติ ในลักษณะน้นั (สภาพท่ีมีอีมาน) ถึงแม้ว่ากอ่ น 1 อลั บคุ อรี บทมะนากิบ (3650), มุสลมิ บทฟะฎออลิ ศุ เศาะหาบะฮฺ (2533), อัตติรมิซี บทมะนากิบ (3859), อิบนมิ าญะฮฺ บทอลั อะห์กาม (2362) และมสุ นัดอิมามอะหม์ ดั 1/434 อัสสะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 1
หนา้ นัน้ เขาจะเคยตกศาสนามากอ่ น2 นีค่ อื ทรรศนะที่มนี ้าหนักจากคาพดู ของบรรดานักวิชาการ เศาะหาบะฮฺ : ผ้ทู เ่ี หน็ ท่านเราะสลู ลุ ลอฮฺ และได้เหน็ รศั มีของ ท่าน ท่ีทาให้ดวงตาของพวกเขาอ่ิมเอบิ ไปดว้ ยความสุขศรัทธา ตาบอิ ีน : บรรดาผทู้ ่ีได้พบเศาะหาบะฮฺ ถึงแม้จะพบแคค่ นเดียวก็ ตาม สะลฟั : เศาะหาบะฮฺ, ตาบิอีน และบรรดาผูท้ ี่เจริญรอยตามชนผู้ อยู่ใน 3 ศตวรรษแรก ยกเวน้ ชาวบดิ อะฮฺ เช่น เคาะวาริจญฺ, มุอฺตะซิละฮฺ, ก็ อดรียะฮฺ, ญะฮฺมียะฮฺ และกลุ่มหลงผดิ อน่ื ๆ ทง้ั หลายท้ังหลาย สะละฟี : ผูท้ ย่ี ึดมนั่ ในหลักศรัทธาของสะละฟุศศอลหิ ์ และปฏบิ ตั ิ ตามแนวทางของชาวสะลัฟ นั่นคืออลั กรุ อานและสุนนะฮฺ หากมคี นกล่าววา่ “ทาไมเราต้องเรียกว่า สะละฟยี ีน? และทาไมจะต้องไปอุตรชิ ื่อใหม่ดว้ ย? อัลลอฮฺ ทรงตรสั ว่า พระองค์ทรงขนานนามพวกเจา้ วา่ “มสุ ลิมนี ”3 ยงั ไมพ่ อหรือ?” คาตอบ น่ีคอื คาถามที่อมิ าม อะหฺมดั อบิ นิหัมบลั เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้ตอบไวเ้ ม่ือคร้งั ท่มี คี นถามท่านว่า “เพยี งพอไหมครบั ที่เราจะพดู วา่ อลั กุรอานคอื พระดารัสของอลั ลอฮฺ แล้วน่ิงเงยี บ?” ทา่ นไดต้ อบว่า “การพดู แคน่ ้นั เปน็ ของคนสมัยกอ่ น ส่วนพวก เราไมเ่ พยี งพอแค่นน้ั แต่เราจะตอ้ งพดู วา่ “อลั กุรอานนนั้ คือพระดารัส ของอัลลอฮฺ ไม่ใชส่ ่ิงถูกสรา้ ง” 2 คอื ตกศาสนา จากน้ันกก็ ลับเนอื้ กลบั ตวั มาเปน็ มสุ ลมิ และสดุ ท้ายก็เสยี ชีวติ ในสภาพ มุสลมิ 3 ญามิอ อลั อลุ ูม วลั หิกมั หะดีษท่ี 28 สว่ นอรรถาธบิ ายหะดษี อัสสะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 2
ในสมัยก่อนหน้าท่ีพวกบิดอะฮอฺ ย่างมุอฺตะซลิ ะฮฺจะเกดิ ขนึ้ มสุ ลิม แค่พูดวา่ อัลกรุ อานคือพระดารัสของอลั ลอฮฺแลว้ หยดุ ก็ถือว่าใช้ไดแ้ ลว้ แต่ หลังจากมีคาอตุ ริวา่ “อัลกรุ อานคอื สง่ิ ถูกสร้าง” ขน้ึ มา จงึ จาเปน็ ท่ผี กู้ ุมสัจ ธรรมตอ้ งกล่าวใหช้ ัดวา่ “อัลกรุ อานน้ันเปน็ พระดารสั ของอลั ลอฮฺ ไม่ใช่ สง่ิ ถูกสร้าง” ดงั นั้นช่อื “อิสลาม” จงึ เพียงพอเมื่อมสุ ลมิ ทั้งหลายอยู่บน แนวทางเดียวกัน, หลักศรัทธาเดียวกัน และมีควาเข้าใจต่ออัลกุรอานและ อัสสนุ นะฮเฺ หมอื น ๆ กนั ดังท่ีท่าน อบั ดลุ ลอฮฺ อิบนิ มสั อูด ได้กลา่ ววา่ َْْويُ َحد ُثْلَ ُك ْم،َْْوإِن ُك ْمْ َستَ َح ِّدثُو َن،ِْإِن ُك ْمْقَ ْدْأَ ْصبَ ْحتُ ُمْالْيَ ْوَمْ َعلَىْالِْفطَْرة ْْفَِإذَاَْرأَيْتُ ْمُْم ْح َدثَةًْفَ َعلَْي ُك ْمْبِالَْع ْه ِدْاْلَْوِل، แท้จริงแลว้ วนั นีพ้ วกท่านไดป้ รากฏบน (แนวทางอนั ) บริสุทธิ์แลว้ จาก น้ไี ปพวกทา่ นจะประดิษฐ์สิ่งใหม่ และจะมคี นอ่นื ประดษิ ฐใ์ ห้พวกทา่ น ดังนนั้ เม่อื ใดท่ีพวกทา่ นพบสิ่งดงั กล่าว ก็ขอใหพ้ วกท่านนากลมุ่ ชนยคุ แรกมาไว้เปน็ เยีย่ งอยา่ ง4 และทา่ นอิมามมาลกิ เราะหมิ ะฮุลละฮฺได้กลา่ วว่า “สงิ่ เหล่านไี้ ม่ เคยเกิดขนึ้ ในสมัยของท่านเราะสูลุลลอฮฺ , ทา่ นอบูบกั รฺ, ท่านอมุ รั และทา่ นอุษมาน” เนื่องจากสิ่งอตุ รทิ ้งั หลายน้ันต่างปรากฏขึ้นในปลาย สมัยของเศาะหาบะฮฺ เชน่ เดียวกนั ท่านเราะสลู ไดบ้ อกไว้ว่า 4 มุสนัดอิมามอะหม์ ดั (4/126-127) สุนันอบูดาวูด (12/ 359-360), อัตตริ มซิ ี (10/144), อบิ นิมาญะฮฺ อัลมุกอดดมิ ะฮฺ (43) และอดั ดาริมี (1/44-45) โดยทา่ นอิมา มติรมซิ ีบอกว่าหะสนั เศาะหหี ์ และอัลบานกี ลา่ วว่าเศาะหหี ์ อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 3
ْ فَ َعلَْي ُك ْْم بِ ُسنتِي َو ُسنِةْ الْ ُخلََفاِء، ًْإِنوُْ َم ْْن يَِعش ِمْن ُك ْمْفَ َْسيَ َرى ا ْختَِلفاًْ َكثِيرا ْ َع ُّضوا َعلَْي َها بِالن َوا ِج ِذ، الرا ِش ِدي َْن الْ َم ْه ِدِيّي َْن ِم ْْن بَ ْع ِدي แทจ้ รงิ ผใู้ ดในหมพู่ วกท่านมีชีวติ อยู่ ( หลังจากฉนั ) เขาก็จะพบกับการ ขัดแย้งกันอย่างมากมาย ดงั นัน้ ของใหพ้ วกทา่ นจงยดึ มั่นในแบบอยา่ ง ของฉัน และแบบอย่างของบรรดาเคาะลีฟะฮผู้ทรงคณุ ธรรม ผู้ได้รบั ทาง นาหลังจากฉัน พวกท่านจงกัดมันไว้ด้วยฟนั กราม5 ดังนัน้ เศาะหาบะฮทฺ มี่ ีอายยุ นื ยาว เขาก็ได้ประสบกบั ข้อเท็จจริง ท่ีท่านเราะสูล ไดบ้ อกแก่เขาเกี่ยวกับการบังเกิดของอุตริกรรม, ความ ขดั แย้ง และ กลุม่ แนวคิดตา่ ง ๆ ทา่ นนะบี ไดบ้ อกว่า แทจ้ รงิ กลมุ่ ชนของทา่ นนั้นจะแตก ออกเปน็ 73 กลุ่มด้วยกัน โดยมีกลุ่มเดยี วเท่านัน้ จะเป็นกล่มุ ทร่ี อดพ้นและ ไดพ้ านักบนสวรรค์อันสถาพร ส่วนท่เี หลอื จากนนั้ ก็จาต้องพานักในนรก โดยทา่ นเราะสลู ไดก้ ล่าววา่ 5อะบดู าวูด (2/503-504), อัดดาริมี (2/241), อะหม์ ดั (4/102) และอัลหากมิ (4/102) โดยทา่ นหากมิ กล่าววา่ “สายรายงานเหลา่ น้ีมหี ลกั ฐานมาสนบั สนนุ ความ ถกู ตอ้ งของหะดษี ” และอมิ ามอัซซะฮะบีก็เห็นดว้ ย, ทา่ นอัลหาฟซิ อบิ นหุ ะญัรกล่าวว่า “สารายงานหะดีษน้ีถึงข้นั หะสนั ”, อบิ นุ ตัยมิยะฮกฺ ลา่ วว่า “นเ่ี ปน็ หะดษี เศาะหีห์ท่ี โดง่ ดงั ”, และอิมามชาฏบิ ไี ด้ใหค้ วามเศาะหหี ์กับหะดษี นใี้ นหนังสอื อลั ออิ ตฺ ซิ อม และอลั บานใี นซลิ ซลิ ะฮอฺ ัศเศาะหหี ะฮเฺ ลขท่ี 204 อัสสะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 4
َوافْتَ َرقَ ِْت الن َصاَرى َعلَى، ًافْتَ َرقَ ِتْ الْيَ ُهوُْد َعلَى إِ ْح َدى َو َسْبِعي َنْ ِفْرقَْة ُكُلُّه ْْم فِي، ًْاثْنَتَ ْْي َو َسْبِعي َْن ِفْرقَْةً َو َستَ ْفتَ ِر ُقْ أُمتِي َعلَى ثََل ِْث َو َسْبِعْي َْن ِفْرقَة ُْ ُى ُْم الْ َج َما َعة: قَا َْل، َم ْنْ ُى ْْم يَا َر ُسوَْل اللِه؟: قَالُوا، ًْالنا ِرْ إِّْل َوا ِح َدة ยิวไดแ้ ตกแยกออกเปน็ 71 กลมุ่ , นะศอรอได้แตกแยกออกเปน็ 72 กลุ่ม และประชาชาตขิ องฉันจะแตกแยกออกเป็น 73 กลุ่ม พวกเขาทั้งหมดอยู่ ในนรก เว้นแต่เพยี งกลมุ่ เดียว (เศาะหาบะฮฺ)กลา่ วว่า “พวกเขาคอื ใคร กัน โอท้ า่ นเราะสลู ?” ท่านเราะสูลกล่าวว่า “พวกเขาคือญะมาอะฮฺ” ความหมายของ “ญะมาอะฮฺ–กลมุ่ ” ไม่ได้หมายรวมกลุ่มใด ที่ ไหนก็ได้ เนือ่ งจากแตล่ ะกล่มุ ยอ่ มมีขอ้ แตกตา่ ง ด้วยกับความต่างของ สถานท่ี และกาลเวลา ดงั เชน่ ในบางแห่งกม็ ชี อี ะฮฺแพรห่ ลาย, บางแห่งก็มีศู ฟแี พร่หลาย และบางแห่งกม็ ีอะชาอเิ ราะฮฺแพร่หลาย แลว้ ท่านนะบี ตอ้ งการบอกวา่ มนุษย์ทุกคนจะร่วมกบั กลุ่มไหน, ประเทศอะไร และเวลา ใดก็ได้งั้นหรือ? ความเข้าใจเชน่ นี้ไม่ใชเ่ ปา้ ประสงค์อย่างแนน่ อน และสง่ิ แรกทจ่ี ะ ยกมาขยายความหะดษี นี้คอื หะดษี เดียวกันในอีกสายรายงานหนงึ่ ซ่งึ รายงานโดยทา่ นหากิมด้วยสายรายงานขั้น หะสันลฆิ อยรฮิ ิ6 ทวี่ า่ ُى ْمَْم ْنَْكانُواْ َعلَىَْمثَِلَْماْأَنَاْ َعلَْيِوَْوأَ ْص َحابِي 6 หะสนั ลฆิ อยรฮิ ิ ()حسن لغيرهคอื หะดษี เฎาะอฟี ที่ยกระดับขน้ึ เป็นหะดีษหะสนั เนอ่ื ง ด้วยมสี ายรายงานอื่นในระดบั เดียวกันหรือสงู กว่ามาสนับสนนุ รายงานดังกลา่ ว และไม่ ปรากฏว่าการเฎาะอฟี นน้ั มสี าเหตมุ าจากผรู้ ายงานชอบทาชั่ว (ฟาสิก) ชอบโกหก (กา ซิบ) หรือตวั หะดีษแปลกไปจากสายรายงานที่สูงกว่า (ชาซ) อัสสะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 5
พวกเขาคือผู้ท่อี ยูบ่ นส่ิงเดียวกับท่ีฉันและเศาะหาบะฮขฺ องฉนั ดังนนั้ ความหมายของ “ญะมาอะฮฺ” ท่ีทา่ นนะบีต้องการส่ือน้นั คือ “กลุ่ม” ท่ีเหมือนกับกลุ่มชนแรกสุดของอสิ ลาม (ญะมาอะฮฺของทา่ นเราะ สลู ) กลุ่มท่อี ยู่บนอุดมการณ์เดียวกนั , หลกั ศรัทธาเดยี วกนั และความ เข้าใจที่ถูกต้องต่ออัลกรุ อาน และ อสั สุนนะฮฺเหมือนๆกนั เมอื่ ญะมาอะฮฺ (กล่มุ ) ดังกล่าว คอื ผู้สังกดั อุดมการณ์ และหลกั ศรทั ธาเดยี วกบั ญะมาอะฮแฺ รกสดุ ตอนท่ีทา่ นอบั ดุลลอฮฺ อิบนุลมุบารอก เราะหิมะฮุลลอฮฺ ถูกถามเกย่ี วกบั “ญะมาอะฮฺ” ทา่ นจงึ กล่าวว่า “อบบู กั รฺ และอมุ รั ”7(หมายถึง กลุ่มของท่านอะบูบักร และท่านอุมรั ) มีคนกล่าวว่า “แตท่ า่ นอบบู ักรฺ และท่านอุมรั ตายไปแล้วนคี่ รับ?” ท่านจึงกลา่ วว่า “คน นน้ั คนนี้ (คนยคุ ถดั จากน้ันมาเร่อื ย ๆ)” กม็ ีคนกล่าววา่ “แตบ่ คุ คล ดงั กล่าวกไ็ ดต้ ายไปแล้วนะครบั ” ท่านจงึ กล่าววา่ “งั้นอบูหัมซะฮฺ อัสสะ กะรี8 คือ อลั ญะมาอะฮฺ(และตอนนั้นทา่ นอบูหัมซะฮฺยังมีชวี ิตอย)ู่ ” 7 ชัรห์อูศลู อิอตฺ กิ อด อะฮลฺ ิ อสั สุนนะฮฺ วลั ญะมาอะฮฺ อบุลกอสมิ อฏั เฎาะบะรี รายงานลาดับที่ 2326 จาก อับดุรเราะหม์ าน อิบนิอมุ รั จาก อะห์มัด อบิ นยิ ะอกฺ บู จาก ยะอฺกูบ อบิ นิชัยบะฮฺ จากซะกะรยี า อบิ นซิ ะฮลฺ อลั มะรซู ี จาก อะลี อบิ นิลหะสนั อบิ นิชะกีก ถามท่านอิบนลุ มบุ ารอก เราะหมิ ะฮมุ ุลลอฮฺ 8 อบหู ัมซะฮฺ อสั สะกะรี คือนกั หะดษี ผู้ร่วมสมัยกบั ท่านซุฟยาน อษั เษารแี ละชุอฺบะฮฺ อัลหัญญาจ เป็นนกั หะดษี ท่ีมีชอ่ื เสยี งอกี ทา่ นในสมยั นั้น ท่านอิมามอซั ซะฮะบกี ลา่ วถงึ ท่านว่า “ทา่ นอบหู มั ซะฮไฺ มเ่ คยขายของเมานะ จนกระทัง่ ทา่ นได้ฉายาว่า “อสั สะกะรี (คนขายเหล้า)” ดตู ่อหน้า 7 >>> ที่คนเขาเรยี กทา่ นอย่างนกี้ ็เพราะความเพยี บพร้อมของทา่ น (ทีใ่ ครเหน็ ก็ตอ้ งหลง) และด้วยกับปญั ญาทเ่ี ฉยี บแหลม และคาพดู ท่คี มคาย (ทาให้คนทไี่ ดย้ นิ ได้ฟงั ท่าน เคลิบเคลิม้ ไปกับคาพดู )” อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 6
กลา่ วคือ ความหมายของอัลญะมาอะฮฺคือ ผู้ยนื หยดั อยู่ในสภาวะ เดียวกันกบั กลุ่มชนแรกสุด เหล่านน้ั คอื ญะมาอะฮขฺ องเศาะหาบะฮฺ เพราะ อัลลอฮ ได้ทาใหห้ ลกั ยดึ มนั่ ของเศาะหาบะฮฺเป็นบรรทัดฐานแหง่ หลัก ศรทั ธาทีถ่ ูกตอ้ ง ดงั ท่ีพระองค์ทรงกลา่ วว่า فَِإ ْنْآَمنُواْْبِِمثْ ِلَْماْآَمنتُمْبِِوْفََق ِدْا ْىتَ َدوا ดังนัน้ หากพวกเขาศรทั ธาดงั เช่นที่พวกเจา้ (เศาะหาบะฮฺ) ไดศ้ รทั ธาตอ่ มนั แลว้ ดังน้ัน พวกเขาย่อมไดร้ ับทางนาอยา่ งแนน่ อน (อลั บะเกาะเราะฮฺ 137) จงึ จาเปน็ สาหรับมสุ ลิมในทุกสถานทแ่ี ละทกุ เวลา ท่ีอากดี ะฮฺของ เขาตอ้ งตรงกบั หลักศรทั ธาของเศาะหาบะฮฺ และความเขา้ ใจของเขาต่อ อลั กุรอาน และอสั สุนนะฮฺ ต้องอยบู่ นความเข้าใจของบรรดาเศาะหาบะฮดฺ ้วย ฉะนั้นตน้ เหตุของการปรากฏของชื่อ “อัสสะละฟยี ะฮฺ”, “อะฮลฺ ซิ สุนนะฮฺ วลั ญะมาอะฮฺ”, “อันศอรุซสนุ นะฮฺ”, “อะฮลฺ ุลหะดีษ” หรือ “อะฮ ลุลอะษรั ” คอื ปรากฏการณต์ ่าง ๆ ทเ่ี กิดขึน้ จากความแตกแยกของ ประชาชาติ และเปน็ ผลจากการสรา้ งอตุ ริกรรมท่ีท่านเราะสูล ไดบ้ อกไว้ เหมอื นดงั เชน่ พวกเคาะวารจิ ญฺ, มุอฺตะซิละฮ,ฺ ญะฮฺมยี ะฮฺ, กอ็ ดรียะฮฺ, ศูฟี ยะฮฺ, ชอี ะฮฺ และพวกอน่ื ๆ จากกลุม่ หลงผดิ ทั้งหลาย เนอ่ื งจากเม่ือใดก็ ตามที่ประชาชาติไดแ้ ตกออก เมอื่ ใดท่ีแนวทาง, ความคิด, มุมมอง และ หลักการศรทั ธาต่าง ๆ ขดั แย้งตอ่ กัน จึงจาเป็นท่ีผู้กุมสัจธรรมตอ้ งแยกให้ ชัดด้วยนาม และมลี กั ษณะเด่นในแนวทาง เชน่ นนั้ ผทู้ ีป่ ฏบิ ตั ิตนเด่นชัดด้วย แนวทางของ “อะฮลฺ ซุ สนุ นะฮฺ”, “สะละฟียนู ”, “อะฮลฺ ุลอะษรั ” หรอื “อะฮฺลุลหะดีษ” พวกเขาคือผู้ท่ีรักษาหลกั ยึดม่นั ของเศาะหาบะฮฺ รักษา อัสสะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 7
แนวทางของชาวสะลัฟ และรักษาความเขา้ ใจของชาวสะลฟั ที่มตี ่ออลั กุ รอาน และอสั สุนนะฮฺ ดงั นั้น “การเชิญชวนสแู่ นวทางสะลฟั ” ไม่ใชก่ ารเข้าใจอสิ ลาม ด้วยความเขา้ ใจของใครคนใดคนหน่ึง ไมใ่ ช่ความเขา้ ใจของชัยคลุ อิสลาม อบิ นติ ยั มิยะฮฺ, ความเข้าใจของอัลลามะฮฺ อิบนิบาซ, ท่านชัยคมฺ หุ มั มัด นาศิ รดุ ดนี อัลอลั บาน,ี ท่านชัยคฺ อับดุรเราะห์มาน อับดลุ คอลิก หรอื ทา่ นชยั คฺ มุหัมมัด อิบนิอิสมาอลี แตเ่ ปา้ หมายของสะละฟีน้ัน คือการพทิ ักษร์ ักษา หลกั ศรทั ธาของสะลัฟ, ความเข้าใจของสะลัฟต่ออัลกรุ อานและอสั สนุ นะฮฺ และแนวทางการดาเนนิ ชวี ติ ของสะลัฟ ซึง่ การเชิญชวนสู่แนวทางสะลัฟคือการรักษาซง่ึ สิ่งทกี่ ลับไปหาชน ยุคก่อนของประชาชาติอสิ ลาม และไม่เปน็ ทส่ี งสัยเลยว่าการเรียกรอ้ งน้ี คือการเรียกร้องไปสู่การยึดม่ันใน “อัสสุนนะฮฺ” ท่ีท่านเราะสูล ไดส้ ัง่ ให้ เรายึดมนั่ ในส่ิงน้ีดงั ทวี่ ่า َعلَْي ُك ْمْ بِ ُسنتِي َو ُسنِةْ الْ ُخلََفاِْء الرا ِش ِدي َنْ الْ َم ْه ِدِيّي َْن ِم ْْن بَ ْع ِدي ขอใหพ้ วกท่านยึดมัน่ ในแบบฉบบั (อัสสุนนะฮฺ) ของฉนั และแบบฉบับ ของเคาะลีฟะฮฺทรงธรรมผู้ได้รับทางนาหลังจากฉัน9 สนุ นะฮฺไมใ่ ช้แค่การไว้เคราหรือใส่เสอื้ ผา้ ส้ันเหนือตาตุ่ม และสุน นะฮฺกไ็ มใ่ ช่บางคาพดู หรอื บางการกระทาของทา่ นเราะสลู แต่สนุ นะฮฺ คือสิ่งท่ีครอบคลมุ ทุกแง่มุมของท่านนะบี และบรรดาเศาะหาบะฮฺของ ท่าน เชน่ น้ันแล้ว “อัสสนุ นะฮฺ” จึงเปน็ ทั้งคาพูด, การกระทา และหลกั ศรัทธา 9 อา้ งแลว้ ในเชิงอรรถท่ี 5 อัสสะละฟียะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 8
“อัสสนุ นะฮฺ” คือการท่ีทา่ นยืนหยดั ในหลกั ศรัทธาของสะลัฟ และ การปฏิบัติตามท่านนะบี ในแนวทางของทา่ นและอตั ลกั ษณ์ของทา่ น ทง้ั ในคาพูดและการกระทาของทา่ น และ“สะละฟยี ะฮฺ”คือการที่เราต้องยึด มั่นต่ออสั สุนนะฮฺ และสิ่งท่ีท่านเราะสูล ส่ังใช้ให้เรายึดมัน่ ไว้ ทา่ นนะบี ไดแ้ จ้งข่าวดีว่าจะมีกลุ่มชนหน่ึงท่ยี ืนหยัดอยู่ในสจั ธรรม ชูธงแหง่ สนุ นะฮฺ และเรียกรอ้ งไปสคู่ วามเขา้ ใจที่ถูกต้องต่ออลั กุรอาน และอัสสนุ นะฮฺ โดยที่กลุ่มดังกลา่ วนจ้ี ะคงอยู่ในทุกยุคทกุ สถาน นาเสนอ ความจริงแกผ่ ู้คนในแต่ละยุค แต่ละเมืองของพวกเขา จนกระทั่งคาสั่ง ของอัลลอฮฺได้มาถงึ พวกเขาก็ยังยืนหยดั เชน่ น้ัน คาส่ังของอัลลอฮคฺ ือลมที่ จะมาจากทิศเหนือจากน้ันจะพัดผูศ้ รัทธาจากใต้รักแรข้ องพวกเขา แลว้ ดงึ เอาวญิ ญาณของชนผเู้ ปี่ยมศรัทธาไป หลงั จากนั้นวนั สิน้ โลกจะเกิดขนึ้ กบั ผู้ ท่ีชว่ั ช้าในทสี่ ุด โดยทา่ นเราะสูล ได้กล่าววา่ َّْلْتََزا ُلْطَائَِفةٌِْم ْنْأُمتِيْظَا ِى ِري َنْ َعلَىْالْ َح ِّقَّْلْيَ ُضُّرُى ْمَْم ْنْ َخ َذلَُه ْمْ َحتى يَأْتِيْأَْمُرْاللِهَْوُى ْمَْك َذلِ َْك จะยังคงมีกลุ่มหนึง่ จากประชาชาติของฉนั ที่แสดงตนบนสัจธรรม โดยผู้ คิดรา้ ยจะไมส่ ามารถทาอันตรายพวกเขาได้ จนกระท่ังพระบัญชา ของอลั ลอฮฺได้มาถึง พวกเขาก็จะเป็นเชน่ น้ัน10 ไม่ต้องสงสยั เลยว่ากลุ่มผแู้ สดงตนน้ี คอื กลมุ่ ที่ประสบความสาเร็จ ทีท่ ่านเราะสลู ได้บอกเราเอาไว้ และกลมุ่ ดงั กล่าวคอื อะฮฺลลุ หะดษี และอะฮลฺ ุลอะษัร และไมใ่ ช่การสอื่ วา่ ชัยชนะดังกล่าว คอื ชัยชนะของการ 10 รายงานโดย อลั บุคอรี (13/293) บท อลั ออิ ตฺ ศิ อม บลิ กติ าบิวซั สนุ นะฮ,ฺ มสุ ลมิ (13/65) บท อลั อมิ าเราะฮฺ เลม่ 13 หนา้ 65 เลขที่ 3551 อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 9
ปกครองและยุทโธปกรณไ์ ม่ว่าจะที่ไหนสมัยใดก็ตาม ทว่าชัยชนะดังกล่าว น้ันคือการเสนอหลักฐานอันชัดแจง้ ดังเชน่ ทีช่ ายคนหนึ่ง ได้กล่าวแก่อิ มามอะห์มัดถึงการเป็นส่ิงถูกสรา้ งของอลั กุรอาน ในช่วงเรืองอานาจของมอุ ฺ ตะซลิ ะฮฺ อัลมะอฺมนู อิบนิ ฮารูน อรั รอชดี ไดบ้ งั คับบรรดาผู้พิพากษา, ผู้ ออกคาวินิจฉัยทางศาสนา, นักวชิ าการ รวมไปถึงประชาชนคนธรรมดา ใน คาพดู ของพวกมุอฺตะซิละฮฺผู้ชั่วช้าวา่ อัลกรุ อานนน้ั เปน็ สง่ิ ถูกสรา้ ง จงึ มีผู้ถามอิมามอะหฺมดั ว่า “ท่านไมเ่ ห็นหรือครับวา่ ความเท็จ เอาชนะเหนอื สัจธรรมไดอ้ ยา่ งไร?” ทา่ นอิมามกลา่ วว่า “เปลา่ เลย ชัย ชนะของความเทจ็ เหนือสจั ธรรมคือการทเ่ี ราตอ้ งผินหัวใจของเราออก จากสจั ธรรมไปหาความหลง แตห่ วั ใจของพวกเรายังคงต้ังมั่นอย่กู บั สัจ ธรรม11” โดยในยุคน้นั มีทา่ นอิมามอะหม์ ัดและนักวิชาการไม่กี่คนในยุคนน้ั ที่ยืนหยดั และปกปอ้ งอะกีดะฮฺอะฮฺลิซสนุ นะฮฺ จนกระทัง่ อัลลอฮฺทรงรักษา สนุ นะฮฺของท่านนะบี ไวก้ ับพวกเขา ปรากฏว่าท่านอิมามอะหม์ ดั และผู้ รว่ มอุดมการณ์ของทา่ นในยุคน้ัน ไม่ได้มีทั้งอานาจหรือดนิ แดน ซ่ึงชยั ชนะ ขั้นต่าสดุ นั้นคือชยั ชนะดา้ นการเสนอหลกั ฐาน ชยั ชนะของอะฮฺลซิ สุนนะฮฺ มีทัง้ ชัยชนะทสี่ มบรู ณ์แบบ เช่น ทางดา้ นการปกครอง, อานาจ และการต่อสู้ เป็นตน้ ส่วนชัยชนะข้ันต่า ทส่ี ดุ นัน้ คอื ชยั ชนะด้านการเสนอหลกั ฐานและการชแ้ี จงดงั ทก่ี ล่าวแล้ว จงึ จาเป็นท่จี ะต้องหลงเหลือมนุษย์ผูช้ ูธงแหง่ สนุ นะฮฺ พิทักษ์รักษาแบบฉบบั ของท่านเราะสลู ุลลอฮฺ และปกป้องหลักศรัทธากับแนวทางของอะฮฺลิซ สุนนะฮวฺ ลั ญะมาอะฮฺ 11 นน่ั คอื ความเทจ็ จะชนะสัจธรรมกเ็ มื่อหวั ใจเรายอมรบั ความเทจ็ นัน้ แต่ตราบใดท่ี หัวใจของเรายังคงต้ังม่ันอยู่บนสัจธรรม พวกเราก็ไมไ่ ด้ถูกความเทจ็ ครอบงา อัสสะละฟียะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 10
ทา่ นอิมามอิบนลุ กอยยิม เราะหมิ ะฮลุ ลอฮฺ ได้กล่าวว่า “บางคนมกั คิดวา่ “อลั ญะมาอะฮฺ” คอื กลุม่ คนสว่ นใหญ่ และใครกต็ ามทีแ่ ปลก (ใน เร่อื งศาสนาโดยไมส่ นคนหมู่มาก) เขาจะอยู่ในนรก แตป่ รากฏวา่ ผ้คู น ทง้ั หลายตา่ งแหวกแนวเร่อื งศาสนาในสมัยของอิมามอะหฺมัด เราะ หิมะฮลุ ลอฮฺ นอกจากไมก่ ีค่ นเทา่ นนั้ จงึ มบี างคนกล่าวแก่เคาะลีฟะฮวฺ ่า “หรือวา่ ตัวทา่ น, บรรดาผ้ปู กครองของท่าน, บรรดาผพู้ พิ ากษาของท่าน, และชาวบา้ นชาวชอ่ งตา่ งอยบู่ นความหลงผิด? มแี ค่อะหมฺ ัดคนเดียวทีอ่ ยบู่ น สจั ธรรม” แตแ่ ล้วใจของเคาะลีฟะฮกฺ ็ไม่อาจทนต่อคากลา่ วนน้ั เขาจึงได้ นาอิมามอะหฺมดั มาโบยและลงโทษอย่างสาหัสหลงั จากการจองจาเปน็ เวลานาน แต่ในท่สี ดุ สจั ธรรมก็ปรากฏและสิ่งทพ่ี วกเขาเรยี กร้องก็มลายสนิ้ เช่นนนั้ แล้ว “อัลญะมาอะฮฺ” คือ สิง่ ทส่ี อดคล้องกบั สัจธรรมแม้ ทา่ นจะอยู่อย่างเดยี วดาย และ “อะฮฺลิซสุนนะฮฺ” คือผู้รทู้ ี่ยึดมน่ั ในสัจธรรม , รอ่ งรอย และส่งิ ต่าง ๆ ทม่ี าจากท่านเราะสูลลลุ ลอฮฺ และเศาะฮาบะฮฺ ของท่านอันทรงเกียรติ ดงั น้ัน อลั ญะมาอะฮยฺ ่อมไม่ใช่กลุ่มใดท่ีไหนกย็ ่อมได้ แตห่ มายถึง การทท่ี า่ นดารงอยู่เหมือนกบั ญะมาอะฮฺแรกสุด ที่ท่านนะบี ช้ีชดั ไป ยังญะมาอะฮนฺ น้ั โดยกลา่ ววา่ ُ ال َج َما َعْة:ْ َم ْنْ ُى ْمْيَآَْر ُسوَلْاللِْه؟ قَا َل:ْقَالُوا،ًُْكُلُّه ْمِْفيْالنا ِرْإّلَْوا ِح َدة พวกเขาทั้งหมดน้นั อยูใ่ นนรกเว้นแต่เพียงกลุ่มเดียว (บรรดาเศาะ หาบะฮฺ) ถามวา่ พวกเขาคือใครกันโอ้ท่านเราะสูลลุ ลอฮฺ ทา่ นกล่าววา่ “อลั ญะมาอะฮฺ” จงึ ไม่เพยี งพอท่ีจะใช้ชอื่ ว่าอสิ ลาม จนกวา่ ท่านจะเปน็ หน่ึงในผู้ ไดร้ บั ความสาเร็จในวนั กิยามะฮฺ อยา่ งทเี่ ราได้กล่าวไปแล้วว่าประชาชาติ อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 11
อสิ ลามจะแตกออกเป็น 73 กลมุ่ จึงจาเปน็ ทีท่ ่านจะต้องเป็นมุสลมิ ดว้ ย หลักศรัทธาของ อะฮลฺ สิ สุนนะฮฺวลั ญะมาอะฮ,ฺ มีความเข้าใจแบบอะฮฺลซุ สุนนะฮฺ ในอัลกรุ อานและอัสสุนนะฮฺ และดารงตนตามแนวทางของอะฮลฺ ุซสุนนะฮฺ ไม่นานมาน้ีชีอะฮฺไดต้ ง้ั ประเทศขึน้ มาแลว้ พวกเขากก็ ลา่ วกันวา่ “น่ีแหละ ประเทศอิสลาม” พวกเขาพากนั ชปู ้ายอิสลาม แต่แล้วน่นั คือประเทศของ ชอี ะฮฺ โดยมีข้อแตกต่างอยา่ งใหญห่ ลวง ระหว่างอิสลามอนั ถูกต้องงกับลทั ธิ อันเส่อื มโทรม พวกเขาแอบอ้างชอ่ื ของอสิ ลาม พร้อมกนั นั้นก็ตกั ฟรี 12เศาะ หะบะฮนฺ อกจากสามทา่ น พวกเขายงั มอี ากดี ะฮฺมดเทจ็ เกยี่ วกบั การใสร่ า้ ย คมั ภีรข์ องอลั ลอฮฺ, ใสร่ า้ ยทา่ นอบบู ักร,ฺ อุมรั , อุษมาน และส่วนมากของเศะ หาบะฮฺ ท้ังยงั กลา่ วหาท่านหญงิ อาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอนั ฮา ผู้ท่ีได้รบั การ ยืนยนั ถงึ ความบรสิ ทุ ธข์ิ องนางจากเบ้ืองบนของช้นั ฟ้าท้งั เจ็ด เช่นนั้นแลว้ เพียงแค่ชอื่ “อิสลาม” คงจะไมเ่ พียงพอจนกว่าทา่ นจะเปน็ หนง่ึ ในผไู้ ด้รบั ความสาเร็จในวนั กยิ ามะฮฺ และจนกวา่ ท่านจะอยู่บนสจั ธรรม จนกวา่ ท่านจะเข้าใจหลกั ศรทั ธาอะฮฺลิซสนุ นะฮฺวัลญะมาอะฮฺ และมีความ เข้าใจแบบอะฮลฺ ิซสุนนะฮตฺ ่ออัลกรุ อานและอสั สนุ นะฮฺ 12 ตกั ฟรี – تكفيرคือ การตดั สินคนๆหนง่ึ ว่าเขาไดอ้ อกจากความเป็นมุสลมิ อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 12
กฎหลักของแนวทางสะละฟี ข้อท่ี 1 ให้ความสาคัญกบั ตัวบทกอ่ นปัญญา นค่ี อื “กฎ” ซ่งึ จาแนกผ้สู ังกดั แนวทางท่ถี ูกต้องออกจากผู้สังกัด แนวทางอตุ ริอ่ืน โดยอะฮลฺ ซิ สุนนะฮฺจะให้ความสาคัญกับตวั บทหลกั ฐานมา กอ่ นสติปญั ญาเสมอ หลักใหญใ่ จความคือ เมื่ออัลลอฮฺและเราะสูลกล่าว แล้วจะไมม่ ีคากล่าวของใครมาก่อนคากล่าวของอลั ลอฮฺและเราะสูลอีก พวกเขาให้เกยี รตติ ่อตัวบททั้งที่รายงานจากอัลกุรอานและอัลหะดีษที่ ถกู ต้อง ยดึ หลักปฏบิ ัตนิ ตี้ ามพระดารัสของอลั ลอฮฺ ที่วา่ ْيَاْأَُيَّهاْال ِذي َنْآَمنُواَّْلْتَُق ِّدُمواْبَْي َنْيََد ِيْاللِوَْوَر ُسولِِو َْوات ُقواْاللوَْإِنْالل َوْ َس ِمي ٌعْ َعِلي ٌْم โอ้บรรดาผ้ศู รทั ธาท้ังหลาย พวกทา่ นอยา่ ไดล้ า้ หน้า เม่ืออยตู่ ่อหน้าอัลลอ ฮฺและเราะสูล และจงยาเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จรงิ อลั ลอฮฺนั้นทรงได้ยนิ ทรงรู้ (อัลฮุญรอต:1) นน่ั คืออย่าไดเ้ อาคาพูดหรอื ทรรศนะของผูห้ นึ่งผใู้ ด มาลา้ หน้าพระ ดารัสของอัลลอฮฺ หรอื คาพดู ของทา่ นเราะสลู ลุ ลอฮฺ ความเขา้ ใจ ดงั กลา่ วน้กี ระจา่ งชดั ในหมู่เศาะหาบะฮฺ กระทงั่ ท่านอิบนอุ ับบาสไดก้ ล่าว คตพิ จน์อนั ทรงค่าวา่ อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 13
ْيُوِش ُكْأَ ْنْتَنَزَلْ َعلَْي ُك ْمْ ِح َجاَرةٌِْم َنْالس َماِءْأَقُوُلْلَ ُك ْمْقَا َلَْر ُسوُلْاللِهْ وتَُقولُو َنْقَا َلْأَبُوْبَ َك ٍرْوعُ َمُْر ใกลแ้ ลว้ ที่หนิ จากฟากฟ้าจะตกลงมาใส่พวกทา่ นเม่อื ฉันบอกพวกท่านวา่ เราะสลู กลา่ ว ท่านเราะสูลุลลอฮฺ กล่าว (เชน่ นนั้ เชน่ นน้ั ) แตพ่ วก ทา่ นท้งั หลายกลับกล่าวว่า ท่านอบบู กั รฺ และ ทา่ นอุมรั กล่าว13 แนวทางน้ชี ัดเจนในหมูเ่ ศาะหาบะฮฺ เม่ือใดกต็ ามทที่ า่ นเราะสูล ไดก้ ล่าวออกไปแล้ว ก็จะไม่มีคาพูดใดค้านกบั คาพดู ของท่าน แมจ้ ะเปน็ คาของทา่ นอบบู ักรฺหรือทา่ นอุมัรกต็ าม ซึ่งร้กู ันวา่ ทง้ั สองนั้นเปน็ ทง้ั ปรมาจารย์แหง่ อุมมะฮฺ และตัวแทนผ้ชู ที้ างหลังจากท่านเราะสูลลุ ลอฮฺ ครง้ั หน่งึ ท่านอมุ ัร อิบนลิ คอฏฏอบ ไดก้ ล่าววา่ “พวกทา่ นพงึ ระวงั การใช้ความคิดในเร่ืองศาสนาเถิด เพราะท่านจะพบว่าฉันต้องคดิ ใหมใ่ นเหตุการณ์สนธิสัญญาฮุดยั บิยะฮฺ” โดยท่านอุมัร ไดก้ ล่าวกับทา่ น นะบี ว่า “พวกเราไม่ได้อยู่ในสจั ธรรมแลว้ พวกเขาอยู่บนความหลง ผิดเหรอครับ? แล้วเราจะเอาความตกตา่ มาใส่ศาสนาของเราเหรอ ครับ?” ท่านเราะสลู เลยตอบทา่ นวา่ “เยน็ ไว้อุมัร แท้จริงฉนั คือศาสน ทตู ของอลั ลอฮฺ และอัลลอฮฺจะไมท่ รงละท้ิงฉนั แนน่ อน” 13 คาพูดนเี้ ป็นคาพูดทโ่ี ดง่ ดงั โดยมาจากหนงั สือซาดลุ มะอาด (2/195) ของทา่ นอิบนุ ลกอยยมิ ซึง่ มอี ีกรายงานอยู่ใน มสุ นัดอมิ ามอะห์มดั (1/133) ความวา่ أََرا ُكم الخ.... َستَهلَ ُكو َن أَقُوُل قَا َل อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 14
ทา่ นอมุ รั จึงไปหาท่านอบูบักรตฺ อ่ แลว้ กล่าวกบั ทา่ น เช่นเดยี วกับทก่ี ล่าวกับท่านเราะสลู และปรากฏวา่ ท่านอบบู กั รฺ ก็เหน็ พอ้ งกับทา่ นนะบี ในเร่ืองสนธสิ ญั ญาฮดุ ัยบิยะฮฺ ซ่งึ ดเู ผิน ๆ แลว้ เหมอื นว่าจะมีข้อเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงตอ่ มุสลิม ทว่าหลังจากน้ัน ความจาเริญของท่านนะบี ก็เป็นท่ีประจักษ์ ทา่ นอะลี จึงกลา่ ววา่ لَْوْ َكا َْن ال ِّدي ُنْ بِالرأْ ِيْ لَ َكا َنْ بَا ِط ُنْ ال ُخ ِّْف أَْولَى بِالْ َم ْس ِحْ ِم ْْن ظَا ِى ِرِْه หากวา่ ศาสนาขึ้นอยู่กับความคิดแล้ว พ้นื รองเทา้ คฟุ 14สมควรทีจ่ ะเช็ด มากกวา่ ขา้ งบนเสียอีก15 เชน่ นนั้ ศาสนาจึงอยูท่ ี่การสบื ทอดไม่ใช่อยู่ท่คี วามคิด โดยใน หลักการศาสนาระบุว่า ให้เชด็ สว่ นบนของคุฟที่แทบจะไมส่ ัมผสั กบั พ้นื หรือ ดนิ เลย แต่ถา้ ศาสนาขนึ้ อยู่กับสตปิ ัญญาแล้วก็ต้องเชด็ พน้ื คุฟ (เพราะ ดา้ นลา่ งมันสกปรก) ไม่ใชเ่ ช็ดด้านบนของมัน 14 ถงุ เทา้ หนัง 15 ฟตั หุลบารี ในอรรถาธบิ ายหะดษี ท่ี 6878 บทอัลอิอฺตซิ อม บิลกิตาบ วัซสนุ นะฮฺ โดยท่าน อิบนหุ ะญรั ไดก้ ล่าวถึงคาพดู นว้ี า่ “เชน่ คาพดู ของทา่ นอะลีตามการรายงาน ของทา่ นอะบดู าวดู ด้วยสายรายงานหะสัน” ซง่ึ ในบางสานวนใช้คาวา่ “ لكان أسفل ”الخف أولى من أعلاهโดยทา่ นอบิ นหุ ะญัรได้กล่าวว่าทา่ นอะบดู าวดู รายงานสานวนนี้ อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 15
กฎนจ้ี ึงเปน็ ขอ้ แรกทจี่ าแนกอะฮลฺ ซิ สุนนะฮฺออกจากกลุม่ อนื่ และ อสั สนุ นะฮฺ แบบฉบบั ของทา่ นเราะสูล จะหลอมรวมผ้สู ังกัดสนุ นะฮฺไว้ ดว้ ยกนั ดังเช่นทีท่ า่ นนะบีได้กลา่ วว่า فَ َعلَْي ُك ْمْ بِ ُسنتِي:ْفَِإنْوُ َم ْْن يَِع ْْش ِمْن ُك ْمْ فَ َسيَ َرى ا ْختَِلفاًْ َكثِيراًْ ثُمْ قَا َل “ดงั น้นั ผใู้ ดในหมู่พวกท่านมีชวี ิตอยู(่ หลังจากฉัน) เขาจะไดพ้ บกบั ความ ขัดแย้งอยา่ งมากมาย” จากนั้นท่านกก็ ลา่ ววา่ “ฉะน้นั ขอให้พวกทา่ นยดึ ม่ันในแบบฉบบั ของฉันไว้”16 ฉะน้ันยารักษาความแตกแยกน้นั อยูใ่ นการตามสนุ นะฮฺ เนื่องจาก สุนนะฮฺนน้ั เปน็ หน่ึงเดยี วไม่ขัดแย้งกนั แต่หากฉันตามความคิดของฉนั และ ความคิดอาจารย์ของฉัน ในขณะที่ท่านตามความคิดของตัวทา่ นเอง, ความคดิ ของคนท่ที ่านยอมรบั หรือคนอ่นื จากนี้ ซง่ึ แตล่ ะความเห็นและ มมุ มองยอ่ มแตกตา่ งกนั สงิ่ ที่จะตามมาอย่างแนน่ อนคอื ความแตกแยกของ อุมมะฮฺ แต่หากฉนั ให้ความสาคญั ตอ่ คาพูดท่านเราะสลู ก่อนคาพูดผู้อืน่ และท่านเองก็ปฏบิ ัตเิ ช่นนัน้ ด้วย เรากจ็ ะอยู่รว่ มกนั ได้อย่างเปน็ หนึ่งเดยี ว เพราะสนุ นะฮฺมีแค่หนึ่งเดยี วไมข่ ดั แย้งกนั จงึ มี 2 คากลา่ วทว่ี า่ อะฮลฺ ซุ สุนนะฮวฺ ลั ญะมาอะฮฺ (ชนผูส้ ังกัดใน อสั สุนนะฮฺและการรวมกล่มุ ) และคาว่าอะฮฺลุลบดิ อะฮฺวลั อิคติลาฟ (ชนผู้ สงั กดั ในบิดอะฮฺและความขดั แยง้ ) เพราะสนุ นะฮฺจะหลอ่ หลอมให้อยู่ ร่วมกัน และบิดอะฮฺจะสร้างความแตกแยกใหห้ นั เหจากกนั มนี ักวิชาการยุคใหม่คนหน่ึงไดต้ ง้ั กฎข้อหนง่ึ แลว้ เรยี กมนั วา่ “กฎ อันทรงค่า” แต่ท่จี ริงมนั ไม่มีค่าอันใดเลย ในคาที่วา่ “แสวงจุดรว่ ม สงวน 16 อ้างแลว้ ในเชงิ อรรถท่ี 5 อัสสะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 16
จดุ ต่าง” ซ่งึ เป็นทรี่ ู้กันวา่ คากล่าวน้ไี ม่ถูกต้อง แม้ว่าผู้ทพ่ี ดู จะเป็นผรู้ คู้ น หน่ึงจากบรรดานกั วชิ าการมสุ ลมิ กต็ าม เพราะในบางคร้ังพวกเราขดั แย้งกับ พวกอืน่ ในประเด็นพน้ื ฐาน ท่ีไมส่ ามารถจะขดั แย้งหรอื มีความเห็นตา่ งกนั ได้ อาทิเช่น เร่ืองพระนามและพระคุณลักษณะของอลั ลอฮฺ, การกาหนดกฎ สภาวะ, การปฏิเสธและการศรัทธา ครั้งหนงึ่ มีคนกล่าวแก่ทา่ นอบิ นุอุมรั ว่า “ในหมบู่ า้ นของเรามี หลายคนทีพ่ ูดวา่ ชวี ติ พวกเขาไมไ่ ดถ้ ูกกาหนด และสงิ่ ทเ่ี กิดขน้ึ มาน้นั เปน็ ไปโดยไม่มกี ารกาหนดมาก่อน” พวกนี้คือพวกก็อดรียะฮฺพวกเขา ปฏเิ สธพระประสงค์ของอลั ลอฮฺ โดยมนุษย์จะทาอะไรกท็ าเองไม่ เกี่ยวกับอลั ลอฮฺ ฉะน้นั พวกเขาจงึ ปฏิเสธทุกการศรัทธาท่เี กี่ยวพนั กับการ กาหนดกฎสภาวะ ซง่ึ อะฮลฺ ิซสนุ นะฮวฺ ลั ญะมาอะฮฺยืนยนั ในเรอ่ื งดังกล่าว เม่อื เร่ืองนี้มาถงึ ทา่ นอิบนุอุมรั ท่านไมไ่ ด้พดู วา่ “เราจะรว่ มกันใน เรื่องท่ีเหน็ พ้อง และเราจะรอมชอมในเรื่องท่ีเหน็ ตา่ ง” แต่ทา่ นพดู ว่า “พวกท่านจงไปบอกพวกเขาเลยว่า พวกเขาไมใ่ ชพ่ วกเดยี วกับฉนั แล้ว ฉนั ก็ไมใ่ ชพ่ วกเขา”17 และนี่คือจดุ ยืนของสะลัฟต่อพวกอตุ รนิ ยิ ม โดยในเรื่องของศาสน บัญญตั (ิ ฟกิ ฮฺ)ยังพอยอมรบั บรรดาคาพูด, ทรรศนะ และการวนิ จิ ฉยั จากผู้รู้ ตา่ ง ๆ กันได้ แตใ่ นประเด็นหลักศรทั ธาจะมีการขดั แย้งกนั ไม่ได้ การถือกาเนดิ ของแนวทางต่าง ๆ เกดิ ขนึ้ เม่ือผ้สู งั กัดแนวทาง เหลา่ น้ันขัดแยง้ กับอะฮฺลซิ สนุ นะฮฺวลั ญะมาอะฮใฺ นประเดน็ พนื้ ฐาน เช่น เรื่องพระนาม และพระคุณลักษณะ, การกาหนดกฎสภาวะ, การปฏิเสธ และการศรัทธา, เศาะหาบะฮฺและอะฮฺลิลบยั ตฺ หรือคา้ นกับอะฮลฺ ซิ สุนนะฮฺ ในส่วนปลีกยอ่ ยหลายๆเรอ่ื งด้วยกัน โดยส่งิ เหลา่ นัน้ จะทาใหส้ ว่ นสาคญั 17 ชรั ห์หะดีษ ตหุ ์ฟาตลุ อะหซู ี ของชัยคฺมหุ ัมหมัด อบิ นิอบั ดรุ เราะหม์ าน อลั มบุ ารอกฟุ รี หะดีษที่ 2610 อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 17
ของศาสนบญั ญตั ิพงั ทลายลง และแล้วกจ็ ะทาให้เกิดเปน็ กลุ่ม เปน็ พวกตา่ ง ๆ ขน้ึ มา เมื่อปรากฏว่าบิดอะฮฺนนั้ สรา้ งความแตกแยก จงึ เหน็ ไดว้ ่ามุอฺตะซิ ละฮ,ฺ ศูฟี, อะชาอเิ ราะฮฺ และเคาะวาริจญฺต่างก็แตกออกเป็นกลมุ่ เล็กกลุ่ม น้อย แตล่ ะกล่มุ ก็วา่ อกี ฝา่ ยกันเอง ไมต่ า่ งอะไรกบั ท่ชี าวยิวพดู วา่ พวกคริสต์ หลงผิด แล้วชาวครสิ ตก์ บ็ อกว่าพวกยวิ หลงผดิ จงึ สรปุ ได้วา่ การยดึ มนั่ ในอสั สุนนะฮฺคอื ยาสมานความแตกแยก เพราะประชาชาติอสิ ลามไม่สามารถที่จะเหน็ พ้องต้องกนั ได้ตามกฎสภาวะ ทพี่ ระองค์ทรงกาหนด และไม่เปน็ ท่อี นุมัตติ ามบทบัญญตั ใิ นเร่อื งท่ีไม่ ถูกต้อง เพราะประชาชาตอิ ิสลามจะไม่เห็นพ้องต้องกันอยู่บนความหลงผดิ ฉะนั้น เมื่อหนงึ่ เม่ือใดก็ตามท่ีประชาชาติอิสลามเหน็ พอ้ งกันอย่บู นสิง่ หน่ึง แลว้ แน่นอนเหลอื เกนิ วา่ สิ่งนั้นต้องเปน็ สัจธรรม เพราะอัลลอฮฺทรงปกป้อง การเหน็ พ้องของประชาชาติท่านนะบีมหุ ัมหมัด จากความหลงผดิ ฉะนนั้ การรวมตวั เปน็ อันหน่ึงอันเดียวกนั จะเกดิ ขึ้นไม่ไดน้ อกจาก การตามสุนนะฮฺ เพราะนน่ั คอื วธิ เี ยยี วยาความขัดแยง้ และไมใ่ ช่การโอน ออ่ นผ่อนตามในเร่ืองทีข่ ดั แย้งทัง้ เลก็ ท้งั ใหญห่ รอื ไมว่ า่ จะเป็นการแยง้ ด้าน ใดก็ตาม ด้วยเหตนุ ี้พวกอ่อนข้อจึงร่วมมือกับชอี ะฮฺพวกท่ีตักฟรี เศาะ หาบะฮฺและโจมตีอัลกุรอาน ท้ัง ๆ ที่พวกเขามหี ลายความเชอ่ื ที่ทาให้พวก เขาตกศาสนา อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 18
ข้อท่ี 2 ปฏเิ สธการตะอฺวลี ของพวกวิพากษ์วทิ ยา18 ตะอวฺ ีล หมายถึง อรรถาธิบาย (ตัฟซีร) การตะอฺวลี อัลกรุ อานจึง หมายถงึ การอรรถาธิบายอลั กุรอาน ดงั นนั้ คาตะอฺวลี ที่ดเี ย่ียมคือคาอธิบาย ทด่ี เี ลศิ เช่นกนั ตะอฺวีล ก็ยงั หมายถงึ สิ่งท่ีจะเปน็ ไป ดังเช่นพระดารัสของ อัลลอฮฺ ท่วี า่ َى ْْل يَنظُُرو َنْ إِّلْ تَأْ ِويلَْوُ يَْوَْم يَأْتِي تَأْ ِويلُوُْ يَُقوُْل الْ ِذي َنْ نَ ُسوهُْ ِمن قَْب ُلْ قَ ْد َْجاء ْْت ُر ُس ُْل َرِبّنَا بِالْ َح ِّق เขาเหลา่ น้นั มไิ ด้คอยอะไร นอกจากผลสดุ ท้ายแห่งคัมภรี น์ ้ันเทา่ น้นั วันท่ผี ลสดุ ทา้ ยแหง่ คัมภรี ์จะมาน้ัน บรรดาผทู้ ่ีได้ลมื คัมภีร์มาก่อน จะ กล่าววา่ แทจ้ ริงบรรดาเราะสูลแห่งพระเจ้าของเราไดน้ าความจริง มาแลว้ (อลั อะอฺรอฟ 53) อลั ลอฮฺไดบ้ อกเราเก่ียวกบั วนั กิยามาะฮฺ และทรงบอกเราเก่ียวกบั สวรรคแ์ ละนรก ฉะน้นั การตะอวฺ ลี ดังกล่าวคือการเกิดขน้ึ ของสิง่ ต่าง ๆ ทีอ่ ลั ลอฮไฺ ด้บอกแกเ่ รา และนั่นคือความหมายที่ 2 ของการตะอวฺ ลี คือ ส่ิง ทจี่ ะเป็นไป 18 วพิ ากษว์ ิทยา( )علم الكلامทา่ นอบิ นุคอลดูน เราะหมิ ะฮลุ ลอฮฺ ได้ใหค้ านิยามไวว้ ่า “ศาสตร์ท่ถี ก (วพิ ากษ)์ กนั ในเรอ่ื งของหลกั การศรัทธา ด้วยหลกั ฐานทางสติปัญญา”( ตารีค อิบนิคอลดูน หนา้ 350 ) นักวิพากษ์วทิ ยา()متكلمونจึงหมายถงึ ผู้คร่าหวอดใน ศาสตรด์ งั กลา่ ว อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 19
สว่ นความหมายดา้ นวชิ าการ และความหมายที่พวกเคาะลัฟใชก้ ัน น้ัน คือ “การผนั คาจากความหมายเดิม ไปยังอีกความหมายที่ไมค่ ่อยมี นา้ หนกั ” ทวา่ ความหมายเช่นนไ้ี ม่เปน็ ที่ยอมรบั ในหมสู่ ะลัฟ เน่อื งจากสิ่งท่ี ปรากฏในอัลกรุ อานและอัสสุนนะฮนฺ ั้นจาเปน็ ที่จะต้องวา่ ตามนน้ั และ ยดึ ถอื ตามความหมายดงั กล่าว เพราะหากเรายอมรับการตะอฺวีลเช่นน้ันแล้ว ศาสนายอ่ มพังลงมา อย่างแน่นอน และย่อมจะมีคนท่บี อกว่า “ความหมายตรง ๆ ของอายะฮฺนี้ ไมใ่ ช่เปา้ หมาย(ที่ถูกต้อง) และความหมายตรง ๆ ของหะดีษนไี้ ม่ใช่ เป้าหมาย แต่อัลลอฮฺ ต้องการบอกวา่ อย่างนน้ั และทา่ นเราะสลู ตอ้ งการบอกวา่ อย่างน้ี” เหมือนอยา่ งท่ีพวกเคาะวาริจญฺและพวกอตุ รินยิ ม กระทากัน ดว้ ยเหตนุ ป้ี ระตบู านหน่ึง จากประตูแหง่ ความเลวร้ายท้งั หลายจงึ ถูกเปดิ ขึ้น และไม่มสี ่ิงใดที่ทาให้เลอื ดของมสุ ลมิ ต้องเจิ่งนองในสมรภมู ิ ญะมัลและศิฟฟิน นอกเสียจากการตะอวฺ ีลดังกลา่ ว ฉะนั้น การตะอฺวลี ในความหมายนน้ั เปน็ ประตูแหง่ ความช่ัวร้ายท่ี ย่งิ ใหญส่ าหรบั ประชาชาติอสิ ลาม จึงจาเปน็ ทีเ่ ราต้องกล่าวดว้ ยกบั ความหมายตรง ๆของอัลกุรอานและอสั สนุ นะฮฺ และยอ้ นกลบั ไปหามัน จนกว่าจะมหี ลักฐานมาบ่งชัดว่าความหมายตรง ๆ นั้นไมใ่ ช่เปา้ ประสงค์ (ของอลั ลอฮแฺ ละเราะสูล แต่ความหมายของคาน้นั เป็นอยา่ งนนั้ อยา่ งน้ี) และนี่คือกฎข้อทส่ี องของอะฮฺลซิ สุนนะฮฺ วลั ญะมาอะฮฺ “ปฏิเสธการตะอฺ วลี ของนกั วิพากษ์วิทยา” อัสสะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 20
ข้อท่ี 3 มากในการยกหลกั ฐานจากกุรอานและอัลหะดีษ โดยชาวสนุ นะฮคฺ ือชนผู้เป็นสุขท่ีสุดด้วยอลั กุรอานและอสั สุนนะฮฺ อลั ลอฮฺ ทรงตรสั ว่า َوَّلْ يَأْتُونَ َكْ بَِمثٍَْل إِّلْ ِجْئنَا َكْ بِالْ َح ِّْق َوأَ ْح َس َنْ تَ ْف ِسيًرا และพวกเขาจะไม่นาข้อเปรียบเทยี บ (ข้อสงสัย) ใด ๆ มายงั เจา้ เว้นแต่ เราจะไดน้ าความจริงมาให้เจ้า และการอธบิ ายอย่างดียงิ่ (อัลฟุรกอน 33) อะฮลฺ ซิ สนุ นะฮฺจะไม่ใชพ่ วกตงั้ กฎดว้ ยตัวพวกเขาเอง แล้วค่อยไป หาหลักฐานจากอลั กรุ อานและอัสสนุ นะฮมฺ าเสริมหลังจากนั้น เม่ือสงิ่ ใด สอดคล้องกับกฎทีต่ วั เองวางก็รับหลกั ฐานเอาไว้ แต่ถ้าอนั ไหนไมต่ รงก็เฉไฉ ในความหมายไม่ก็ท้งิ ไปเลย เหมือนท่ีพวกอุตรนิ ยิ มกระทากนั อะฮฺลซิ สนุ นะฮฺ จะรวบรวมตัวบทหลกั ฐานจากอลั กุรอานและ อัสสนุ นะฮฺในประเด็นปัญหาหนงึ่ ๆ จากนน้ั จึงนามาเป็นหลักการท่ีพวกเขา จะกล่าวเช่นนัน้ โดยพวกเขาไม่เคยวางรากฐานใดที่อัลลอฮฺ หรือศาสนทตู ไม่ไดว้ างไวก้ ่อนแลว้ มีดาอีจอมตกั ฟรี ไมน่ ้อยท่ีกลา่ ววา่ “คนทท่ี าบาป ใหญต่ อ้ งอย่นู รกตลอดกาล” แตอ่ ายะฮฺอัลกรุ อานและหะดีษไดแ้ ฉความ มดเทจ็ ของพวกเขา ซ่ึงตวั บทหลักฐานเหลา่ นั้นไดบ้ อกถึงการอภัย ของอลั ลอฮฺ ต่อความผิดทง้ั หลายทีไ่ มใ่ ช่การตงั้ ภาคตี ่อพระองค์ อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 21
إِنْ اللّوَْ ّلَْ يَغِْفُرْ أَن يُ ْشَرَْك بِِوْ َويَغِْفُْر َما ُدو َنْ ذَلِ َْك لَِمن يَ َشاء แท้จริงอลั ลอฮฺ จะไมท่ รงอภัยโทษให้แกก่ ารท่สี ่ิงหนึ่งจะถูกให้มภี าคี ข้ึน แกพ่ ระองค์ และพระองค์ทรงอภัยใหแ้ กส่ ่ิงอ่นื จากนั้น สาหรับผู้ที่ พระองค์ทรงประสงค์ (อนั นิซาอฺ 48) และหะดีษการให้ความชว่ ยเหลือของทา่ นนะบี ทีท่ า่ นนะบี จะนาผทู้ มี่ ีความศรัทธาแม้นเทา่ ผงธุลพี รอ้ มกบั คาวา่ “ลาอิลาฮะอลิ ลลั ลอ ฮ”ฺ ออกจากนรก ทว่าพวกเขากลบั ปฏเิ สธหะดีษดงั กลา่ ว บา้ งก็ตคี วามเป็นอ่ืน และ ตีความอายะฮทฺ ่ีอลั ลอฮบฺ อกวา่ จะทรงอภยั โทษแกค่ วามผิดท้งั หมด จะดว้ ย กบั การเตาบะฮฺ(กลบั เน้ือกลบั ตัว) หรอื ไม่กต็ ามแต่ หากแต่ความจริงคือ ผใู้ ดกต็ ามทเ่ี สยี ชีวติ โดยไมเ่ คยตงั้ ภาคีแมว้ า่ เขาจะมีความผดิ ตดิ ตัวอืน่ ๆ ก็ตาม ด้วยพระประสงค์ของผู้ทรงเกยี รติผทู้ รง อภัยโทษแลว้ พระองคก์ ็อาจจะทรงยกโทษใหเ้ ขาด้วยกับความเมตตา การณุ ยข์ องพระองค์ หรอื พระองคก์ ็อาจจะลงโทษเขาด้วยกับความยุติธรรม และเหตผุ ลของพระองค์ เราจึงหวังสวรรคใ์ หก้ ับบรรดาคนดีในหมูม่ ุสลมิ ดว้ ยกัน แตเ่ ราจะ ไมเ่ จาะจงว่าใครในหมูม่ สุ ลิมผู้ประเสริฐจะได้เขา้ สวรรค์ เวน้ เสยี แต่ผ้ทู ่ี บทบญั ญตั ิได้ระบุว่าเขาจะได้เขา้ สวรรค์ เช่น สบิ คนทีไดร้ บั ข่าวดี19, หญงิ ผวิ 19 1.ทา่ นอบูบักรฺ อศั ศิดดีก, 2.ทา่ นอมุ ัร อบิ นิลคอฏฏอบ, 3.ทา่ นอุษมาน อบิ นอิ ัฟฟาน , 4.ทา่ นอะลี อิบนิอะบีฏอลบิ , 5.ทา่ นซุบัยรฺ อิบนลิ เอาวาม, 6.ท่านฏอลหะฮฺ อบิ นิ อุบยั ดิลละฮฺ, อัสสะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 22
ดา20 และอืน่ จากนัน้ ดังท่ีทา่ นนะบี ได้ยืนยนั ไว้ และเราหว่ันเกรงนรก แทนผูท้ ี่กระทาความผิดแล้วเสยี ชวี ติ ในสภาพมสุ ลิม แต่เราจะไมเ่ จาะจงวา่ เขา (คนท่ีกระทาความผดิ คนน้ัน) คอื ชาวนรก สรุปคือ พวกอตุรนิ ยิ มจะวางหลักการโดยยดึ ตนเองเปน็ ที่ต้งั แลว้ คอ่ ยหาหลักฐานจากอลั กุรอานและอัสสนุ นะฮเฺ ขา้ มา โดยสิ่งใดท่สี อดคลอ้ ง กบั หลักการของพวกเขากจ็ ะรับไว้ และสง่ิ ใดทคี่ ้านบางทีพวกเขากท็ ง้ิ ตัว บทและบางทีพวกเขาก็จะตีความในความหมายตวั บทน้ัน ๆ โดยพวกเขา ไม่ไดม้ องไปยงั บทบญั ญัตขิ องทา่ นนะบี เหมือนคนจนจ้องมองทรัพย์ และพวกเขาจะไมร่ ายงานบทบัญญัติของท่านนะบี อยา่ งคนกระหายที่ ตอ้ งการดับกระหาย21 เหมือนกับทอ่ี ะฮลฺ ุซสนุ นะฮฺวัลญะมาอะฮฺได้กระทา เช่นนน้ั วนั กยิ ามะฮฺพวกเขาจะไดร้ ับผลทกี่ ่อไว้ ทา่ นนะบี ไดก้ ล่าวว่า 7.ท่านอบั ดุรเราะหม์ าน อิบนิเอาวฟ,ฺ 8.ทา่ นซะอดฺ ฺ อบิ นิอะบวี กั กอศ, 9.ทา่ นอบูอบุ ัย ดะฮฺ อิบนิ อัลญัรรอห์ และ 10.ท่านซะอีด อิบนิซยั ดฺ เราะฎิยลั ลอฮุอันฮมุ 20 ท่านคอื ผหู้ ญงิ ทป่ี ่วยเปน็ โรคหน่งึ เมือ่ โรคนี้กาเริบเอาเราะฮขฺ องนางจะถกู เปิด ซ่ึง นางไดม้ าขอให้ทา่ นนะบี ชว่ ยขอดอุ าอตฺ ่ออัลลอฮฺให้นางหายจากโรคนี้ ท่านนะบี เลยบอกว่าถา้ นางอดทนนางจะไดร้ บั สวรรคเ์ ปน็ สิ่งตอบแทน สรปุ เนอื้ หาจาก เศาะ หีห์บุคอรี เลขที่5328 บทอลั มะรอฎ หวั ขอ้ ฟฎั ลมุ ันยศั เราะอมุ ินัรรหี ์ 21 คอื จุดยืนของคนพวกนต้ี อ่ หะดษี ก็เหมือนของธรรมดา มหี รือไมม่ กี เ็ ท่ากนั เหน็ หะ ดีษก็รสู้ ึกเฉย ๆ ไมม่ คี วามกระตือรอื ร้นอยากรู้ อยากเขา้ ใจ อยากปฏบิ ตั ติ ามสิ่งที่มีใน หะดษี อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 23
يَا َر ِّبْ أُمتِي:أَنَا فَ ْرطُ ُك ْْم َعلَى ال َحو ِضَْولَيَ ْختَِل َج ْن ِر َجا َلْ ُدونِي فَأَقُوُْل إِن َْك َّْل تَ ْد ِري َما:ْ فَيُ َقا ُل، \" أَ ْص َحابِي أَ ْص َحابِي:ْأُمتِي – َوفِي ِرَوايٍَة ًْ فَ ُس ْحقاًْ فَ ُس ْحقاًْ فَ ُس ْحقا:ْ فَأَقُوُل، أَ ْح َدثُوا بَ ْْع َد َْك ฉันคือผูล้ ่วงหนา้ กอ่ นพวกท่านไปยงั อลั เหาฎฺ (คอื บ่อน้าของทา่ นนะบีใน วันอาคีเราะฮ)ฺ และจะมคี นบางสว่ นถูกกันออกไปจากฉนั อยา่ งแนน่ อน แลว้ ฉนั จะกล่าววา่ “ประชาชาตขิ องฉัน ประชาชาติของฉนั ” (ในอกี รายงานกล่าววา่ “พวกพอ้ งของฉนั พวกพ้องของฉนั ”) จากน้นั จะมผี ู้ กลา่ วขนึ้ ว่า “แทจ้ ริงท่านไม่รู้ดอกวา่ พวกเขาไดก้ อ่ อะไรไวห้ ลังจากทา่ น (ตายไปแล้ว) ฉนั ก็จะกลา่ วว่า “ถ้าเปน็ เช่นน้ันกจ็ งเอาออกไปไกลๆเถดิ ถ้าเปน็ เชน่ นนั้ กจ็ งเอาออกไปไกลๆเถิด ถ้าเป็นเชน่ นน้ั กจ็ งเอาออกไป ไกลๆเถิด”22 พวกเขา (คนท่ีถกู กันจากบ่อน้าทา่ นนะบี) คอื พวกที่ไม่มคี วาม กระหายในการถา่ ยทอดหะดีษของทา่ นนะบี พวกนจ้ี ะไม่มีสิทธิใ์ นบอ่ นา้ ของทา่ นนะบี และมะลาอีกะฮฺก็จะมากันพวกเขาออกไปจากบอ่ น้าของ ทา่ นนะบี ดว้ ย ทั้ง ๆ ท่พี วกเขามาพร้อมกับลกั ษณะเฉพาะของ ประชาชาตอิ นั ทรงเกียรตนิ ้ี คือ การทีห่ น้าผากและข้อเท้าอันขาวผ่อง เพยี งพอแลว้ หรือ? ที่บ่าวคนหนึ่งของอลั ลอฮฺจะเป็นแค่ “มสุ ลิม” แลว้ สามารถเข้าสวรรคข์ องอัลลอฮฺ หรือรอดพ้นจากการลงทัณฑ์ของ พระองค์? หรอื วา่ เขาจะต้องยืนหยัดบนหลกั ยดึ มัน่ ที่ถกู ต้อง, บนความ เข้าใจท่ีถูกต้องต่ออลั กรุ อานและอสั สุนนะฮฺ โดยเหล่านนั้ คือหลกั ศรัทธา และความเขา้ ใจของเศาะหาบะฮฺ 22 รายงานโดยมาลกิ ในอลั มวุ ฏั เฏาะอฺ บท เฏาะฮาเราะฮ(ฺ 1/28,29), มสุ ลมิ บทเฏาะ ฮาเราะฮฺ (3/139) และอัลบะฆอวใี นชัรห์ อสั สนุ นะฮฺ บทเฏาะฮาเราะฮฺ (1/322,323) อัสสะละฟียะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 24
กฎขอ้ ทส่ี ามจากกฎเกณฑข์ องสะละฟี น่ันคือมากในการยก หลักฐานจากอลั กรุ อานและหะดษี ดว้ ยเหตนุ เ้ี องทา่ นจะพบเจอใน ตาหรบั ตาราทพ่ี าดพิงไปยงั บรรดาอมิ ามสนุ นะฮฺ และบรรดาบคุ คลผูถ้ ือ ปฏบิ ตั ิตามแนวทางสจั ธรรมอันชดั แจง้ น้ี พวกเขาได้ทาการยกหลักฐาน ด้วยอัลกุรอานและอัลหะดีษอย่เู ป็นนิจ โดยตัวบทหลกั ฐานเหลา่ น้ันคอื เรือกสวนทีพ่ วกเขาจะเก็บเกี่ยวความรู้ และเป็นท่ีกลบั ซง่ึ ต่างจากหนงั สือ ปรชั ญา, หนังสอื อุตรินิยม และหนังสอื ท่ีกล่าวถงึ ส่ิงทคี่ ้านกับตวั บท หลักฐาน โดยบรรดาผู้ประพันธห์ นงั สือดังกลา่ วตา่ งองิ เนื้อหาหนงั สอื กบั ปัญญาของพวกเขา หรือไม่กแ็ นวคดิ หน่งึ แนวคิดใดทพี่ วกเขาสามารถใชม้ ัน ชักจูงผู้คนไปสู่ความหลงผดิ ของพวกเขาได้ ดงั ท่ีกลา่ วมา อะฮลฺ ซิ สนุ นะฮฺ พวกเขาคือกลมุ่ ชนผู้เปน็ สขุ ด้วยแบบ ฉบับผู้นาของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่มีวันเอาใครมาเป็นผนู้ า นอกจากทา่ นนะบี สาหรับปวงปราชญ์มสุ ลมิ อาทเิ ช่น ท่านอลั ลามะฮฺ อลั อลั บาน,ี อัลลามะฮฺ อบิ นิ บาซ, อัลลามะฮฺ อบิ นุอุษยั มนี หรือทา่ นอ่นื ๆ เราะหิมะฮุมุลลอฮลฺ ้วนแต่เป็นปวงปราชญย์ ุคปจั จบุ ันทัง้ สนิ้ เราจะไม่ยดึ มัน่ ในพวกเขาคนหน่ึงคนใด แต่เราจะยึดถือในคาพูด ของพวกเขาทีส่ อดคล้องกับท่านเราะสูล และเราจะละทิง้ สิ่งใดก็ตามที่ คา้ นกับท่านเราะสูล เพราะตาแหน่งอันทรงเกยี รตนิ ้ีไมม่ ีทีว่ า่ งให้ผใู้ ด หลังจากทา่ นเราะสลู ุลลอฮฺ ดังท่ีอัลลอฮฺ ทรงตรสั ว่า َوَما آتَا ُك ُْم الر ُسوُْل فَ ُخ ُذوْهُ َوَما نَ َها ُك ْْم َعْنوُْ فَانتَ ُهوا และสงิ่ ใดก็ตามที่เราะสูลไดน้ ามาแก่พวกเจ้ากจ็ ะยดึ ถอื มันไว้ และสง่ิ ใดก็ ตามทเี่ ราะสูลไดห้ ้ามมันจากพวกเจ้ากจ็ งละท้ิง อัสสะละฟยี ะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 25
(อลั หัชรฺ 7) َواتبِعُوهُْلََعل ُك ْمْتَ ْهتَ ُدو َْن และจงปฏบิ ัตติ ามเขา(ท่านเราะสลู )เพื่อพวกเจา้ จะไดร้ บั ทางนา (อัลอะอรฺ อฟ 158) อัลลอฮฺทรงให้เราเคารพกราบไหวต้ อ่ พระองค์ โดยการปฏิบัตติ าม ท่านเราะสูลลุ ลอฮฺ และไม่มผี ้ใู ดในปวงปราชญแ์ หง่ ประชาชาติอสิ ลาม จะถกู ยกฐานะไวบ้ นตาแหน่งอนั ทรงเกียรตินน้ั แม้ว่าจะเป็นท่านอบบู ักรฺ หรอื ท่านอุมรั เราะฎยิ ัลลอฮอุ ันฮมุ า หรอื ผูห้ นึ่งจากปราชญ์ผเู้ รอื งนามท้ังสี่ หรอื ท่านอื่นๆจากพวกเขากต็ าม อยา่ งนแี้ หละ แนวทางสะละฟีไดเ้ ป็นท่ีชดั แจง้ แก่เราแลว้ นน่ั คือ การที่เราต้องวา่ ตามอลั กุรอานและอสั สุนนะฮฺ ไม่วา่ ทงั้ สองจะมงุ่ ไปทางใด เราก็จะวา่ ตามนั้น โดยไม่ยึดเอาปราชญ์สุนนะฮคฺ นใดคนหน่งึ เปน็ ท่ตี งั้ ทว่า เราสกั การะอัลลอฮฺดว้ ยการปฏิบตั ิตามทา่ นเราะสูลลุ ลอฮฺ เช่นนแ้ี นวทางสะละฟียะฮฺ คือการที่ทา่ นจะต้องเข้าใจอัลกรุ อาน และอลั หะดีษอย่างท่ีเศาะหาบะฮเฺ ขา้ ใจกัน, ทา่ นจะต้องว่าตามอัลกรุ อาน และอัสสุนนะฮใฺ นทุกเรื่อง และทา่ นจะตอ้ งไม่เขา้ ใจอสิ ลามตามความเข้าใจ ของใครกต็ ามที่ไม่ได้รับการปกป้องจากอลั ลอฮฺดังเช่นท่านนะบี โดย คาพูดของทกุ คนนั้นเราสามารถจะยึดถือและละทิ้งได้ ยกเวน้ คาพูดของ ทา่ นเราะสูลุลลอฮฺ เทา่ น้นั อัสสะละฟยี ะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 26
รากฐานความร้ขู องการดะอฺวะฮสฺ ู่แนวทางสะลฟั รากท่ี 1 “เตาหีด” ความหมายของรากฐานความรู้ คอื ประเด็นพนื้ ฐานศาสนาท่ี จาเป็นสาหรับการดะอฺวะฮฺน้ี และเปน็ เรือ่ งท่ตี ้องมาเปน็ อันดบั แรกของการ ดะอฺวะฮฺ โดยท่านจะพบว่าบางกลมุ่ ดะอฺวะฮฺจะชูธงเรือ่ งการญฮิ าด และพุง่ เปา้ ไปวา่ การญิฮาดนั้นคอื อิสลามท้งั หมด กลมุ่ นี้จะทุม่ เททกุ สงิ่ เพ่ือการญิ ฮาด บางทีพวกเขาอาจไม่ไดเ้ ขา้ ใจการญิฮาดเหมือนในคัมภีร์ของอัลลอ ฮฺ หรือแบบฉบับของศาสนทูตของพระองค์ โดยพวกเขาจะเรยี กการ ต่อส้กู บั ผู้ปกครองวา่ เป็นการญิฮาด ซง่ึ ท่จี รงิ แล้ว การตอ่ สู้กบั ผู้ปกครอง นั้นเร่อื งหน่ึง ส่วนการญิฮาดน้ันกเ็ ป็นอีกเร่อื ง บางกลุม่ กจ็ ะออกมาเรียกรอ้ งเรือ่ งการส่ังใช้ในความดี และห้าม ปรามจากความชว่ั จนเรือ่ งนีก้ ลายเป็นเร่ืองหลักของพวกเขา ทั้ง ๆ ท่ีพวก เขายังไม่ได้เข้าใจเรื่องเตาหดี (การใหเ้ อกภาพต่ออัลลอฮฺ) อยา่ งถ่องแท้ พวกเขาจะกลา่ ววา่ “การรักกันเพื่ออัลลอฮนฺ ั้นคือหัวใจของรากฐาน ศาสนา” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคาพูดนีใ้ ช้ไม่ได้ เพราะหวั ใจของรากฐาน ศาสนาคอื การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ ซึ่งอลั ลอฮฺมิทรงส่งเราะสูลคนหนึ่งมา เพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อให้เอกภาพต่อพระองค์ ดังท่ีทรงตรสั วา่ َوا ْسأَ ْْل َم ْنْ أَْر َسْلنَا ِمن قَْبلِ َكْ ِمن ُّر ُسِلنَا أَ َجَعْلنَا ِمن ُدوِْن الر ْح َم ِْن آلَِهًْة يُْعبَ ُدو َْن และเจา้ จงถามผทู้ เี่ ราไดส้ ่งมาก่อนเจ้าจากบรรดาเราะสูลของเราวา่ เรา อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 27
ไดต้ ั้งพระเจ้าหลายองค์อืน่ จากพระผู้ทรงกรณุ าปราณี เพื่อเคารพบชู า กระนน้ั หรือ? (อัซซุครุฟ 45) َْوَما أَْر َسْلنَا ِمن قَْبِل َْك ِمن ر ُسوٍلْ إِّلْ نُوِحي إِلَْيِوْ أَنوُْ َّْل إِلَوَْ إِّْل أَنَا فَا ْعبُ ُدوِن และเรามิได้ส่งเราะสลู คนใดก่อนหน้าเจ้านอกจากเราไดว้ ะฮีแกเ่ ขาว่า “แทจ้ รงิ ไมม่ ีพระเจา้ อืน่ ใดนอกจากขา้ ดังน้ันพวกเจ้าจงเคารพภักดีตอ่ ข้า (อัลอันบยิ าอฺ 25) คากลา่ วนถ้ี กู กล่าวซา้ แล้ว ซา้ เลา่ จากเราะสูลทกุ ทา่ น อะลัยฮมิ สุ ส ลาม ทา่ นจะพบว่า นะบีฮูด , นะบศี อลหิ ์ , นะบีอิบรอฮมี , นะบีมูซา , นะบี อซี า และนะบที ุกทา่ นต่างพูดวา่ ُْا ْعبُ ُدواْْ اللّوَْ َما لَ ُكم ِّم ْْن إِلٍَْو غَْي ُره พวกทา่ นจงสักการะอัลลอฮฺ ไม่มีพระเจา้ อื่นใดสาหรับพวกทา่ นนอกจาก พระองค์ (ฮูด 50) ดังนัน้ หนา้ ทห่ี ลักของบรรดานะบีนน้ั มีแค่อย่างเดียว น่ันคือเรือ่ ง ของการเรยี กร้องไปสู่การใหเ้ อกภาพต่ออัลลอฮฺเรื่องเดียวเท่านน้ั อนั ทีจ่ รงิ นี่ เปน็ ประเด็นท่ีทุกกลมุ่ ดะอวฺ ะฮฺท่ีบอกว่าตวั เองอยูบ่ นสัจธรรมหรอื อยู่บนสนุ นะฮฺ และบอกว่าเปน็ กลมุ่ ท่ีจะสาเร็จในวนั กิยามะฮฺ สมควรย่ิงท่จี ะให้ อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 28
ความสาคัญกับเรอ่ื งเตาหีด คือ การทาใหม้ นุษยส์ ักการะต่ออัลลอฮเฺ พยี ง องค์เดียว ดว้ ยเหตนุ ้ี ทา่ นรบิ อี อบิ นิ อามริ ผทู้ ี่ไดร้ ับการอบรมจากท่าน เราะสลู เมื่อคร้งั ทที่ ่านได้เข้าพบรุสตุม (แมท่ ัพเปอรเ์ ซยี ) เขาได้ถามท่านถงึ ส่ิงที่เขานามา ทา่ นรบิ อี ได้กลา่ วว่า “แท้จรงิ อลั ลอฮฺได้สง่ พวกเรามา เพ่อื เราจะนาผูท้ ่ีพระองค์ทรงประสงค์ออกจากการสักการะมนษุ ย์ดว้ ยกัน ไปสู่การสกั การะตอ่ อัลลอฮ,ฺ ออกจากความคับแคบของดุนยาไปสคู่ วาม กวา้ งขวางของมนั และออกจากการกดข่ีของศาสนาต่าง ๆ สูค่ วามเป็น ธรรมในอิสลาม” ทา่ นริบอี เข้าใจเร่ืองอิสลามที่ถกู ต้องอย่างไร? และการดะอฺวะฮฺที่ ถูกต้องไปสู่อัลลอฮฺนน้ั เป็อย่างไร? ทา่ นริบอีไมไ่ ด้พดู วา่ “แท้จรงิ อัลลอฮสฺ ่ง เรามาเพ่ือความรกั เพ่ือพระองค์” หรือ “เพอ่ื สง่ั ใชใ้ นความดแี ละหา้ ม ปรามความช่วั ” หรือ “เพอื่ การญฮิ าด” แต่ท่านกลับกลา่ วว่า “แท้ จรงิ อัลลอฮฺไดส้ ง่ พวกเรามา เพือ่ เราจะนาผ้ทู ่พี ระองค์ทรงประสงค์ออก จากการสักการะมนษุ ย์และเจว็ด” เน่ืองจากมนุษย์ท้งั หลายต่างบูชาต้นไม้ , ก้อนหนิ , ดวงอาทติ ย์, ดวงจนั ทร,์ ววั , ฏอฆูต23, ทรัพย์สนิ , อารมณ์ และ มารรา้ ย มนษุ ย์สกั การะพระเจ้าตา่ ง ๆ เกลือ่ นไปหมด หนา้ ท่ขี องบรรดาศาสนทูตและบรรดาผดู้ าเนนิ ตามพวกเขาคอื การทพี่ วกเขาจะต้องนามนุษยท์ ั้งหลายออกจากการสกั การะจอมปลอมน,้ี ออกจากการสกั การะอื่นจากอัลลอฮฺ และใหม้ นุษย์สักการะต่ออลั ลอฮฺ องคเ์ ดยี ว ให้มนุษย์เปน็ บา่ วที่แท้จรงิ ต่ออลั ลอฮใฺ ห้มนุษย์ร้จู ักกับเตาหดี ให้ 23 ฏอฆูต คือสงิ่ ทีถ่ ูกเคารพภกั ดีอืน่ จากอลั ลอฮฺ อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 29
มนุษยร์ ู้จกั กับอลั ลอฮฺ และน่ีคือเหตทุ ี่อลั ลอฮฺทรงสรา้ งสรรพสิง่ ท้ังหลาย ดังเช่นทีท่ รงตรสั วา่ َْوَما َخلَْق ُْت الْ ِجنْ َْواِْلن َْس إِّْل لِيَ ْعبُ ُدوِن และข้ามไิ ดส้ รา้ งญนิ และมนษุ ย์มาเพ่ืออ่ืนใด เวน้ แต่เพ่ือพวกเขาจัก สักการะต่อข้า (อัซซาริยาต 56) อลั ลอฮฺทรงสรา้ งท้ังญนิ และมนษุ ย์เพื่อการเคารพภักดตี อ่ พระองค์ ดงั นัน้ บรรดาศาสนทูตจะเผชญิ หน้ากับผู้คน กด็ ้วยกบั ภาระอันน้ที ี่อลั ลอฮฺ ทรงสรา้ งพวกเขามาเปน็ การเฉพาะ พวกท่านเหน็ ความสาคัญของเตาหดี หรอื ไม?่ ทา่ นคิดหรอื วา่ มนุษย์สามารถท่จี ะปรบั สภาพของพวกเขาใหด้ ีข้นึ ได้ หรอื ยืนหยดั บนความเที่ยงตรงได้ หรอื มคี วามสขุ ในดนุ ยาและอาคเี ราะฮฺ หากปราศจากซึ่งเตาหีด? ฉะนั้น “เตาหีด” จงึ เป็นเรื่องสาคญั สาหรบั การดะอฺวะฮสฺ แู่ นวทาง สะลัฟ เนอื่ งจากมันเป็นภาระของบรรดาศานทตู เปน็ เร่ืองของการเคารพ ภักดขี องมนุษย์ต่ออัลลอฮฺ และเตาหดี ดงั กลา่ ว ไมใ่ ชเ่ ตาหีดของมอุ ตฺ ะซี ละฮฺ (การใหเ้ อกภาพว่าอลั ลอฮฺเป็นผสู้ รา้ งอยา่ งเดยี ว) และไมใ่ ช่เตาหีด ของศูฟียะฮฺ (การเชือ่ ใน อลั หุลลู ยี ะฮฺ24, อลั อิตติหาด25 และ วะหด์ ะตุล 24 อลั หุลลู ( )الحلولการเชอ่ื ว่าอลั ลอฮฺแบง่ ภาคมาอยใู่ นมคั ลูกทั้งหมด หรือมคั ลกู บางสว่ น อัสสะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 30
วญุ ูด26) แต่เตาหีดท่ีแทจ้ รงิ คือการที่ทา่ นต้องเชื่อวา่ แทจ้ รงิ อัลลอฮฺทรงมี หนง่ึ เดียว และทา่ นต้องรู้ถึงจาเป็นที่ท่านต้องใชม้ นั ในการรู้จักอลั ลอฮฺ และ ท่านตอ้ งรู้ถงึ สิง่ ที่ทา่ นต้องใช้มันเพ่ือยืนยนั ต่ออัลลอฮฺในเรื่องพระนาม, พระ คณุ ลกั ษณะ และความเป็นพระเจ้าของพระองค์ และการให้เอกภาพ ต่ออลั ลอฮฺในอบิ าดะฮฺทุกรูปแบบ เนอ้ื หาของเตาหดี นน้ั ยังรวมไปถึงการศรทั ธาตอ่ มะลาอกี ะฮฺ, บรรดาศาสนทตู , บรรดาคมั ภีร์, วนั กยิ ามะฮฺ และการกาหนดกฎสภาวะทง้ั ดีและไมด่ ี ทง้ั หมดน้ันรวมอยู่ในเน้ือหาของเตาหดี ท้งั ส้นิ ซง่ึ เปน็ เร่ืองหลกั ของบรรดาศาสนทูต โดยการดะอวฺ ะฮฺใดกต็ ามแตท่ ่ีไม่ไดใ้ ห้ความสาคญั กับ เร่ืองเตาหีด และไมไ่ ด้ทาให้เตาหดี เปน็ หัวใจหลักของการขบั เคล่อื น การ ดะอวฺ ะฮนฺ ้ันกไ็ ม่ได้อยูใ่ นแนวทางของบรรดาศาสนทูต แมพ้ วกเขาจะกล่าวว่า “ดะอฺวะฮฺของเราเปน็ ถึงขั้นสากล”, “ดะอฺวะฮฺของเราน้ันมอี ายุมากว่า 80 ปีแลว้ ” และ ”ดะอฺวะฮขฺ องเรานัน้ แพรก่ ระจายในทกุ มุมโลก” เมอ่ื ปรากฏวา่ การดะอวฺ ะฮฺดังกล่าวน้ันไม่ไดใ้ ห้ ความสาคัญกบั เรือ่ งเตาหดี แล้ว การดะอวฺ ะฮดฺ ังกลา่ วก็ไม่ได้อยู่บนแนวทาง ของบรรดาศาสนทตู เพราะดะอฺวะฮฺของบรรดาศาสนทูตเป็นไปเพื่อการให้ เอกภาพตอ่ อลั ลอฮฺ โดยอัลลอฮทฺ รงส่งศาสนทูตทุกทา่ นดว้ ยคาสอนเดยี วกัน คือ “เตาหีด” 25 อัลอิตติหาด ( )الإتحادมีนักวิชาการใหค้ วามหมายไว้ 2 กลุม่ 1. การเชื่อว่าอัลลอฮฺ ทรงเป็นหน่งึ เดยี วกับมคั ลกู บางมคั ลูก 2. มีความหมายเดยี วกบั คาว่า “วะห์ดะตลุ วุญูด” 26 วะห์ดะตลุ วญุ ดู ( )وحدة الوجودการเชื่อว่าทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ งทม่ี จี รงิ ยอ่ มเป็นหนงึ่ เดียวกับอลั ลอฮฺแยกจากกนั ไม่ได้ อัสสะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 31
َشَر َعْ لَ ُكم ِّم َنْ ال ِّدي ِنْ َما َوصى بِِوْ نُو ًحا َْوال ِذي أَْو َحْينَا إِلَْي َكْ َوَما َوصْينَا بِِْو إِبَْرا ِىي َمْ َوُمو َسى َوِعي َسى أَ ْن أَقِي ُموا ال ِّدي َنْ َوَّلْ تَتَ َفرقُوا فِيِْو พระองคไ์ ด้ทรงกาหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเชน่ เดียวกับทพี่ ระองค์ไดท้ รง บญั ชาแก่นหู ์ และทเ่ี ราได้วะฮีแก่เจ้ากเ็ ชน่ เดียวกบั ทเ่ี ราไดบ้ ญั ชา แก่อิบรอฮีม และมซู า และอีซา พวกเจ้าจงดารงศาสนาไว้ให้ม่นั คง และ อย่าแตกแยกกนั ในเร่ืองศาสนา (อชั ชูรอ 13) พ้นื ฐานการศรัทธาเหมือนกันทั้งหมดไม่เคยต่างกัน จากเราะสลู ท่านหนึง่ ไปยังอีกทา่ น โดยเตาหีดท่ที า่ นนะบมี ุหมั มัด นามาน้ัน คือส่งิ เดยี วกับที่นะบีมูซานามา สง่ิ เดียวกบั ที่นะบีอซี านามา, สงิ่ เดยี วกับทีน่ ะบีอิบ รอฮีมนามา ส่ิงน้นั คืออัลอิสลาม การยอมจานนต่ออัลลอฮฺ และการศรทั ธา ในเน้อื หาของหลกั ศรัทธาทั้งหกประการ ส่วนหลกั ศาสนบัญญัติน้ันย่อมมีข้อแตกต่างกัน จากยคุ สยู่ ุค จาก นะบีท่านหนงึ่ สนู่ ะบีอีกท่าน เชน่ อัลลอฮฺทรงอนุมตั ิเรื่องหน่ึงใหก้ ลุ่มหน่งึ แลว้ ห้ามเรื่องนั้นจากอีกกลุ่ม และทรงหา้ มบางกลุ่มจากสิง่ ทีอ่ นมุ ตั ิใหบ้ าง กลมุ่ ดงั พระดารสั ของพระองค์ที่ว่า لِ ُك ْل َجَعْلنَا ِمن ُك ْْم ِشْرَعْةً َوِمْن َها ًجا แก่ทกุ ๆ กลุ่มชนเราไดว้ างบทบญั ญัติและแนวทางไว้ (อัลมาอดิ ะฮฺ 48) อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 32
ฉะนั้นทุกประชาชาติย่อมมบี ทบญั ญัติและข้อบังคับทีแ่ ตกตา่ งกนั แต่เรอื่ งเตาหีดจึงเหมือนกันทั้งหมด โดยศาสนทูตทุกทา่ นเรียกรอ้ งไปสูเ่ ตา หีดไม่มีแตกแถว ด้วยเหตุนี้จะเป็นการดะอวฺ ะฮใฺ ดกต็ ามแต่สมควรทจ่ี ะต้อง ใส่ใจกบั เร่อื งของเตาหีด และตอ้ งไดร้ ับการอบรมเรื่องเตาหีดท่ที ่านนะบี ได้ท้งิ ไว้แก่เรา อลั ลอฮทฺ รงตรัสว่า ْفَِإنْ آَمنُوْاْ بِِمثْ ِلْ َما آَمنتُم بِِوْ فََق ِدْ ا ْىتَ َدوا ดงั นั้นหากพวกเขาศรัทธาดงั เช่นท่ีพวกเจ้า (เศาะหาบะฮฺ) ได้ศรัทธาต่อ มันแลว้ ดงั นน้ั พวกเขาย่อมไดร้ บั ทางนาอย่างแน่นอน (อลั บะเกาะเราะฮฺ 137) ดังนน้ั อะกดี ะฮฺของเศาะหาบะฮฺ จึงเปน็ มาตรฐานที่ถูกต้องสาหรบั หลกั ศรัทธา ฉะน้นั หลักศรัทธาใดกต็ ามท่คี ้านกับหลักศรทั ธาของสะลฟั หลกั ศรัทธานน้ั ก็ถอื ว่าไม่ถูกต้อง เนอ่ื งจากสัจธรรมคือสง่ิ ท่ีท่านเราะสลู ทง้ิ ไว้ให้เราดาเนนิ ตามเท่าน้นั อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 33
รากท่ี 2 “อติ บาอฺ” หนึ่งในสองความหมายของ “อติ บาอฺ” คอื “การเจรญิ รอยตาม ส่ิงท่ีมีความหมายตรงข้ามกับบดิ อะฮฺ (คือการเจริญรอยตามสนุ นะฮฺ)” ทา่ นอบั ดุลลอฮฺ อิบนิ มัสอูด ไดก้ ล่าวว่า اتبِعُواَْوَّلْتَْبتَ ِدعُواْفََق ْدُْكِفيتُ ْْم พวกท่านจงเจรญิ รอยตามเถดิ และอย่าไดอ้ ตุ ริเลย เพราะนั่น (การเจริญ รอยตาม) เพยี งพอแก่พวกท่านแล้ว (สมบรู ณแ์ ลว้ ไมต่ ้องตดั ออกหรือ เพม่ิ ใหม่)27 ฉะนัน้ การเจรญิ รอยตามดังกล่าว คือการเจรญิ รอยตามแนวทาง ของทา่ นนะบี และเจรญิ รอยตามแบบฉบบั ของท่านนะบี ดังที่อัลลอ ฮฺทรงตรัสวา่ َوَما آتَا ُك ُْم الر ُسوُْل فَ ُخ ُذوهُْ َوَما نَ َها ُك ْمْ َعنْْوُ فَانتَ ُهوا และสิ่งใดทีเ่ ราะสูลนามากจ็ งยึดมั่นไว้ และส่ิงใดทเ่ี ขาห้ามพวกเจา้ จาก มนั ก็นจงหลีกห่าง (อัลหะชัร 7) َْم ْنْ يُ ِط ِعْ الر ُسوَلْ فََق ْد أَطَا َْع اللّو 27 อัลอิลมุ โดยซฮุ ยั รฺ อบิ นิหัรบฺ เลขท่ี 55, อัสสนุ นะฮฺ โดย อลั มะรูซี เลขท่ี 65 อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 34
ผูใ้ ดเชือ่ ฟังเราะสูล เขาไดเ้ ช่ือฟังอัลลอฮฺโดยแท้ (อันนิซาอฺ 80) َوَما َكا َنْ لُِمْؤِم ٍْن َوَّلْ ُْمْؤِمنٍَْة إِذَا قَ َضى اللْوُ َوَر ُسولُْوُ أَْمًرا أَن يَ ُكو َنْ لَُه ُْم الْ ِخيَ َرْةُ ِم ْنْ أَْم ِرِى ْْم และมิบังควรแกผ่ ูศ้ รัทธาชายและหญิง เม่ืออัลลอฮฺและศาสนทตู ของ พระองคไ์ ดก้ าหนดกจิ การหนึ่ง กจิ การใดแลว้ ท่ีจะมตี ัวเลือกหน่งึ สาหรับ พวกเขาในกิจการของพวกเขา (อัลอะหซ์ าบ 36) และมหี ะดีษจานวนมาก ตัวอย่างเช่นคากล่าวของทา่ นนะบี ท่ีว่า فَِإنْوُ َم ْْن يَِع ْْش ِمْن ُك ْْم فَ َسيَ َرى ا ْختَِلفاًْ َكثِيرْاً فَ َعلَْي ُك ْْم بَ ُسنتِي ผใู้ ดจากพวกทา่ นมชี ีวติ อยู่หลงั จากฉัน เขาจะไดพ้ บกับความขัดแย้ง อยา่ งมากมาย ฉะน้นั ขอให้พวกทา่ นยึดม่นั ในแบบฉบับของฉนั เอาไว้ فََم ْنْ َكانَ ْْت فَْت َرتُوُْ إَلَى ُسنتِي فََق ِْد، ٌْ َولِ ُك ِّْل ِشِّرٍةْ فَْت َرة، ٌْلِ ُك ِّلْ َع َم ٍْل ِشّرة َوَم ْْن َكانَ ْْت فَْت َرتُوُْ لِغَْي ِْر َذلِ َكْ فََق ْد َض ْل، ا ْىتَ َدى อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 35
ทุกการกระทามคี วามกระตอื รือรน้ และทกุ ความกระตอื รือร้นมชี ่วงเวลา เชน่ น้ันในช่วงเวลานัน้ ผู้ใดอยู่บนแบบอยา่ งของฉันเขาย่อมไดร้ ับทางนา และในชว่ งเวลาน้นั ผใู้ ดอยูบ่ นสิ่งอื่นจากแบบอยา่ งของฉันแล้วเขาย่อม หลง28 สรุป อัลลอฮทฺ รงใหเ้ ราสกั การะพระองคด์ ้วยกับการเจริญรอยตาม ท่านเราะสลู وخيرْالمورْالدينْماْكانْسنةْْْْْْْوشرْالمورْالمحدثاتْالبدائع ดที ีส่ ดุ ของศาสน์คอื แบบอย่าง สงิ่ พรอ้ ยด่างสุดร้ายคือแหวกแบบ29 ดว้ ยเหตุนอี้ ลั ลอฮ จงึ ทรงสาทับพวกเราจากการสวนทางกับ แนวทางของท่านนะบี โดยทพ่ี ระองค์ทรงตรัสว่า ٌْفَ ْليَ ْح َذ ِرْ ال ِذي َْن يُ َخالُِفو َنْ َع ْْن أَْم ِرِْه أَن تُ ِصيبَ ُه ْْم ِفْتنَة أَْوْ يُ ِصيبَْ ُه ْمْ َع َذا ٌْب أَلِي ٌْم ดังน้นั จงสาทบั บรรดาผู้สวนทางกับคาส่งั ของเขาว่าฟิตนะฮจฺ ะได้พบ พวกเขา หรือการลงโทษอนั เจ็บแสบจะประสบกบั พวกเขา 28 มชุ กลิ อัลอาษารของทา่ นอัฏเฏาหาวี เลขท่ี 1057 บทบะยานิ มุชกิลิ มา รวุ ิยะ... , บะฆียะฮฺ อัลบาหษิ อันซะวาอดิ มสุ นัด อัลหาริษ เลขที่ 241 บทอัศเศาะลาฮฺ เรือ่ งอัล นะฮยฺ ิ อนั อัยยะตะกัฟฟะละ มนิ ลั อิบาดะฮฺ... 29 นฟั หุ อฏั ฏีบ มนิ ฆสุ นิ อลั อนั ดาลสุ อัรเราะฏบี เล่ม 5 หนา้ 307 และท่านอิมามมา ลิกมกั จะกลา่ วบทกลอนนี้ ดหู นังสอื มะญัลละฮฺ อัลบะยาน เลม่ 199 หนา้ 6 อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลกั และรากฐาน 36
(อนั นรู 63) َْم ْْن َع ِم َلْ َع َمَلًْ لَْي َسْ َعلَْيِوْ أَْمُرنَا فَ ُهَوْ َرد ผ้ใู ดปฏิบัตกิ ารงานหนงึ่ ซึ่งส่งิ น้ันไม่ไดอ้ ยู่บนส่ิงที่ฉันส่ัง เช่นนั้นการงาน นน้ั ยอ่ มถกู ผลกั (ไมถ่ กู ตอบรับ)30 َو َخْي َرْ الَه ْد ِيْ َى ْد ُْي ُم َحم ٍْد، فَِإ ْن أَ ْح َس َْن الْ َح ِدي ِثْ كِتَا ُبْ اللِْه، أَما بَ ْع ُْد ٌ َوُك ُّلْ بِ ْد َعٍْة َضَللَْة، ٌْ َوُك ُّلْ ُم ْح َدثٍَْة بِ ْد َعة، َو َشرْ الُُموُْر ُم ْح َدثَاتُ َها، อนึง่ ดีที่สุดแห่งวลคี อื คมั ภีร์ของอัลลอฮฺ ดีทสี่ ดุ แหง่ แนวทางคอื แบบอย่างของมุหมั หมัด เลวทีส่ ุดของการงานคือส่ิงใหม่ (ที่ไม่มี แบบอย่างจากฉนั ) และทกุ สิ่งใหม่นั้นเป็นอตุ ริกรรม และทกุ อุตรกิ รรม น้นั คือการหลงผดิ 31 นี่เป็นแนวทางท่ีชดั เจนยง่ิ ในหม่เู ศาะหาบะฮฺ กระทง่ั เมื่อท่านอบู บกั รไฺ ดย้ ืน่ คาขอตอ่ ซัยดฺ อิบนิ ษาบติ ให้เขาทาการรวมอัลกุรอาน ซยั ดฺ กล่าวว่า “ท่านจะทาสิ่งที่ท่านเราะสลู ไมเ่ คยทาได้อย่างไร?” และเมื่อ ทา่ นอมุ รั อบิ นิ อัลคอฏฏอบ เห็นพอ้ งกับท่านอบบู ักรฺ ท้ังสองจงึ ไปหาซัยดฺ อบิ นิ ษาบิต เพอื่ ขอใหท้ ่านทาการรวบรวมอลั กุรอาน ท่านซัยดฺ กย็ ังคง กล่าวว่า “ท่านทง้ั สองจะทาสิ่งท่ีทา่ นเราะสลู ไมเ่ คยทาไดอ้ ย่างไร?” 30 มสุ ลมิ บทนกั ฎ อัลอะหฺกาม อัลบาฏิละฮฺ เลขที่ 3249, มสุ นดั อมิ ามอะหฺมดั เลขที่ 24903 31 อัลบคุ อรี บท อัลอิอตฺ ศิ อม(7277) อดั ดาริมี อลั กกุ อดดิมะฮ(ฺ 207) อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 37
และเม่ือคร้ังที่ท่านเราะสลู ต้องการจะสงั่ สอนผ้สู ังหารแมท่ ัพ ของท่านในสมรภูมิมุอตฺ ะฮฺ (ปัจจุบันอยใู่ นจอร์แดน) หัวเมืองโรมตั้งอยู่ทาง ตอนเหนอื ของเกาะอาหรบั โดยทา่ นเราะสลู ไดเ้ ตรียมทหารโดยการนา ทพั ของท่านอุซามะฮฺ อบิ นิซยั ดฺ หลงั จากนนั้ พวกเขาก็เปน็ ห่วงกับการป่วย ของทา่ นนะบี ทหารเลยพากันมาตั้งค่ายใกลก้ ับเมืองมะดนี ะฮฺ และเมื่อ ทา่ นเราะสลู ได้จากไป บรรดาชนเผา่ อาหรับก็พากนั ออกจากศาสนา และมคี นมาบอกกับทา่ นอบูบักรฺ อศั ศดิ ดีกวา่ “ทหารจะออกจากท่นี ่แี ล้ว ทิ้งมาดีนะฮฺไปได้อย่างไร ในขณะทพ่ี วกอาหรบั พากันออกจากศาสนา อยา่ งนี?้ บางทีพวกนี้อาจจะจ่โู จมมาดนี ะฮกฺ ไ็ ด้” ท่านอบบู ักรฺ ไม่พอใจกบั คานั้นและกล่าววา่ “ฉันจะสกู้ บั พวกเขา เองตอ่ ใหฉ้ นั ตัวคนเดียว” และทา่ นกล่าวอีกว่า “ฉันจะละเลยในส่ิงที่ท่าน เราะสลู ตั้งใจไวแ้ ตแ่ รกได้เช่นใดเล่า?” จากนัน้ ทหารของท่านอซุ า มะฮฺ อบิ นิ ซัยดฺ จงึ ออกเดินทางไป เป็นเหตใุ ห้พวกอาหรับพากันหว่ันเกรง พร้อมกบั พดู วา่ “ทหารพวกน้จี ะไม่สามารถออกไปทาสงครามได้ นอกจากพวกเขาจะมคี วามเข้มแขง็ และเกราะคมุ้ กันท่แี น่นหนา” เปน็ เพราะความจาเริญในการยอมจานนต่อสนุ นะฮฺ ผ่านไป 40 วัน นกั รบอสิ ลามกก็ ลับมาพร้อมกับความปลอดภัยและทรัพยส์ งคราม จากน้นั ท่านอบูบักรฺ จึงเตรียมทัพเพ่ือสู่ศึกกบั พวกมรุ ตัด อัลลอฮฺจึงทรงรักษา ศาสนาไวด้ ้วยกับพวกเขา และพวกเขากลบั เขา้ สู่ศาสนาอสิ ลามอกี ครัง้ อกี นยั หน่ึงของ “การเจริญรอยตาม–อติ บาอ”ฺ คอื ฐานะชั้นกลาง ระหวา่ ง “การวินจิ ฉัย–อจิ ตฮิ าด” และ “การตามอยา่ งไม่รู้–ตกั ลีด” โดย “เจริญรอยตาม” คือการทีท่ า่ นตามผู้รู้ท่านหนงึ่ ด้วยกบั หลกั ฐานของเขาจากอัลกุรอาน และอสั สนุ นะฮฺ มนั จงึ เปน็ มาตรฐานทว่ี าง อยูก่ ึ่งกลางระหวา่ ง “วนิ จิ ฉัย” และ “การตามอย่างไม่รู้” อสั สะละฟียะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 38
ส่วนการ “วินิจฉยั ” คือ การที่ท่านมีคณุ วฒุ หิ รอื คุณสมบตั ิของ การวนิ ิจฉยั อยา่ งครบถว้ น ทา่ นตอ้ งศึกษาอลั กุรอาน ศึกษาและเข้าใจถงึ อา ยะฮนฺ าสิคและมนั สูค32, มฏุ ลักและมกุ อยยดั 33, คอสและอาม34 และ เช่นเดยี วกนั ทา่ นตอ้ งเรยี นร้ใู นเรอ่ื งหะดีษของท่านนะบี หรอื อย่างน้อย ทา่ นกต็ ้องรูจ้ ักเนื้อหาของหนังสอื หะดษี เล่มต่าง ๆ รูว้ ่าจะสามารถพบเจอ หลักฐาน หรือจะอิงหะดีษไดจ้ ากทใี่ ดในตาราเล่มไหน ทา่ นต้องเรียนภาษา อาหรบั ท่านต้องศึกษาหลักพื้นฐาน 2 อยา่ ง คือ อศุ ูลลุ หะดีษ และอุศลู ลุ ฟกิ ฮฺ จากน้ันเมื่อท่านมเี ครื่องมือทจ่ี ะใช้แล้ว ท่านก็ต้องรวบรวมตัวบท หลกั ฐานเพอ่ื จะทาการวินจิ ฉัย อยา่ งนีถ้ งึ จะเรยี กว่า “การวินิจฉยั ” โดยมัน เป็นงานของปราชญอ์ าวโุ สแห่งประชาชาติอิสลาม ผู้แตกฉานในเร่อื ง ดังกล่าว และตรงขา้ มกบั ฐานะ “ผ้วู ินัจฉยั ” คือ ฐานะ“ผตู้ ามอย่างไมร่ ู้” “การตามอย่างไมร่ ู้” คือสิ่งที่อนุญาตใหส้ าหรบั คนไม่รู้อะไรเลย และอลั ลอฮฺนน้ั ไม่ทรงบงั คบั ชีวติ หนึง่ ชีวิตใด เวน้ แตเ่ ทา่ ทีช่ ีวิตน้นั จะ สามารถทาได้ โดยคนไม่รู้ท่วี ่า คือคนท่อี า่ นไม่ออกเขียนไม่ได้ ในตอนท่ีท่าน บอกหลักฐานใหเ้ ขาฟงั หรือคนทีเ่ วลาท่านบอกอายะฮฺสักอายะฮฺหนึ่ง หรือ หะดีษสักบทกบั เขา เขากไ็ ม่เข้าใจความหมาย เมอ่ื เขาจะหย่ากับภรรยาเขา กม็ าขอให้คุณสอนวธิ หี ย่า เม่ือเขาจะไปทาฮจั ญเขาก็มาขอให้ทา่ นสอนเขา ทาฮจั ญ และเม่ือเขาเข้าใจแค่นัน้ กเ็ พยี งพอสาหรับเขาแล้วเพราะเขาเองก็ ไม่สามารถรับข้อมูลมากกวา่ นั้นได้ และอลั ลอฮฺน้นั ไม่ทรงบังคับชวี ิตใดเว้น แตเ่ ทา่ ทช่ี ีวิตน้ันจะสามารถทาได้ ดังน้ัน “การตามอยา่ งไม่รู้” จึงอนญุ าตให้ 32 นาสิคตวั บทท่ียกเลิกตัวบทอนื่ มนั สูคตัวบทท่ีถูกตวั บทอน่ื ๆยกเลิก 33 มุฏลกั ตวั บททสี่ ่อื ความหมายกว้าง ๆ มุกอยยดั ตวั บททจ่ี ากดั ความหมายในมุฏลัก 34 อามตวั บทท่ีกลา่ วถึงสงิ่ ทงั้ หลายโดยรวม ๆ คอสตวั บทที่กลา่ วเจาะจงถึงส่งิ หน่งึ จากอาม อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 39
ในหลายกรณดี ้วยกนั หนงึ่ ในนน้ั คืออนญุ าตกับคนที่ไมร่ ู้จริง ๆ คนทไ่ี ม่ เข้าใจความหมายของอายะฮฺและหะดีษ เชน่ เดียวกนั ประเด็นปญั หาท่ีไม่ไดม้ ตี วั บทจากอัลกรุ อาน หรือหะ ดีษเศาะหีห์มาชีช้ ัด แต่บางทอี าจจะมีตัวบทที่กลา่ วถงึ ปัญหาหนึ่งแตช่ ีไ้ มช่ ดั ทาให้มุมมองและความเข้าใจของปวงปราชญ์อิสลามจึงมีความเหน็ แตกต่าง กันในตวั บทดงั กลา่ ว จึงมีปราชญ์ทา่ นหนึง่ ยกหลกั ฐานน้ใี นเรอื่ งหนึง่ แต่ ปราชญอ์ ีกท่านยกหลกั ฐานเดียวกันในส่งิ ตรงข้าม ประเดน็ ปัญหาเช่นน้ถี ือ ว่าเป็นหน่ึงในปัญหาทต่ี ้องใช้การวินจิ ฉยั ซง่ึ กค็ ือปัญหาที่ไม่ไดม้ ตี วั บท จากอัลกรุ อาน หรือหะดีษเศาะหหี ์มาช้ีชดั “ปญั หาทีต่ ้องวินจิ ฉยั ” คอื ปญั หาที่ไม่มีหลกั ฐานเลย จงึ ต้องให้ บรรดาอลุ ามาอฮฺของอสิ ลามทาการเทียบเคียง (กยิ าส) ปัญหาน้ีกบั ปัญหาที่ ถกู ระบุหลักฐานชดั เจน เพ่อื ใหท้ ้ังสองอย่ใู นสถานะเดยี วกัน สรุปคอื “กยิ าส” นน้ั สามารถนามาใช้เปน็ หลักฐานได้ในกรณีท่ไี ม่ มีตวั บทหลกั ฐานเลย หรืออาจมีแตห่ ลักฐานไม่ชีช้ ัดว่าอยใู่ นประเด็น ดงั กลา่ ว ปญั หาเช่นน้ีจึงจัดอยู่ในหมวดของประเดน็ ปัญหาที่ตอ้ งวนิ จิ ฉยั โดยปัญหาดงั กลา่ วท่านจะเลือกตามคาตอบของผ้รู ู้ท่านใดก็ยอ่ มได้ และ ตอ้ งไม่โจมตกี ันระหวา่ งผู้วินจิ ฉัยและผวู้ นิ จิ ฉัยทา่ นอืน่ เชน่ กัน ผทู้ ีต่ ามมุจ ตะฮิดคนหน่ึงอย่าไดโ้ จมตีผู้ท่ีตามมุจติฮิดทา่ นอืน่ อันเนื่องมาจากประเดน็ ปัญหาดงั กล่าวนั้นไมไ่ ด้มตี วั บทเจาะจงจากอัลกุรอานและอัสสนุ นะฮฺ เชน่ เดียวกนั ในบางกรณกี ็อนุญาตให้ทาการตามอย่างไม่รู้ได้ กรณี ท่ีเกดิ ปัญหาสมัยใหม่กบั มุสลิม และพวกเขากไ็ มม่ ีเวลาจะไปคน้ ควา้ คาพูด บรรดานักวชิ าการมาทาการวิเคราะห์วา่ อนั ไหนใกลเ้ คียงกบั สนุ นะฮกฺ ว่ากัน อสั สะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 40
กอ็ นุญาตให้เราตามอย่างตักลีดตอ่ ผู้รู้ท่านหนงึ่ จากปวงปราชญ์แหง่ อมุ มะฮฺ อิสลาม ท่ีเขาได้ออกคาวินิจฉัยในเร่ืองนนั้ มาแล้ว ฉะน้ัน “การเจรญิ รอยตาม” จงึ เปน็ ฐานะชน้ั กลางระหวา่ ง “การ วนิ ิจฉัย” และ “การตามอยา่ งไม่รู้” เรามิได้เป็นหน่งึ ในปวงปราชญผ์ ู้ ปราดเปร่อื งเร่ืองการวนิ จิ ฉยั แต่พวกเรากแ็ ค่นักศึกษาหาความรู้ และ เช่นกันเรามิไดเ้ ป็นบคุ คลผู้ไม่รู้เร่ืองรู้ราวของศาสนาเอาเสยี เลย แตพ่ วกเรา เป็นนักศึกษาผูใ้ ฝร่ ู้ ดังน้นั “การเจริญรอยตาม” คือส่งิ จาเป็นสาหรบั เรา และในประเด็นปัญหาตา่ ง ๆ กส็ มควรทีเ่ ราจะต้องรคู้ าพดู คากล่าวของ บรรดานกั วิชาการในเรื่องน้ัน และรู้ว่าคาพูดของใครใกล้เคยี งกบั อลั กรุ อาน และอสั สุนนะฮมฺ ากกวา่ กนั เพราะอัลลอฮทฺ รงสงั่ ใชใ้ หเ้ ราสกั การะพระองค์ ด้วยกับการเจรญิ รอยตามศาสนทตู ของพระองค์ พระองคต์ รัสวา่ َْواتبِعُوهُْ لََعل ُك ْْم تَ ْهتَ ُدو َن และพวกเจา้ จงปฏิบัติตามเขา (ทา่ นเราะสลู ) เพอ่ื พวกเจ้าจะไดร้ บั ทางนา (อัลอะอรฺ อฟ 158) قُ ْلْ َى ِذهِْ َسبِيلِي أَ ْدعُو إِلَى اللِّْو َعلَى بَ ِصيَرٍْة أَنَْاْ َوَم ِْن اتبَ َعنِي จงกลา่ วเถิดว่าน่คี อื หนทางของฉนั ฉนั จะเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺอยา่ ง ประจักษ์แจ้งทัง้ ตัวฉนั และผู้ปฎิบัติตามฉนั (ยซู ฟุ 108) อัสสะละฟยี ะฮฺ กฎหลักและรากฐาน 41
Search