91 บทท่ี 5 สรุปผลกำรวจิ ัยและข้อเสนอแนะ การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เป็นการวิจัยเอกสารทางประวัติศาสตร์ เอกสารท่ีเป็นหลักฐานช้ันต้น (ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง (ทุติยภูมิ) และการเก็บข้อมูลภาคสนามด้วยการสัมภาษณ์นักวิชาการ มุสลมิ จากกลุม่ ซนุ นะฮฺและชีอะห์ ทง้ั ในและต่างประเทศ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ความเหมือน และความ แตกตา่ งระหว่างกลุ่มซุนนะฮฺและชีอะห์ในโลกปัจจุบนั กรอบแนวคดิ ในการวเิ คราะหเ์ น้ือหาเป็นการตคี วามหลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ พิจารณาข้อมูล จากเอกสารหลักฐานช้ันต้น (ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง (ทุติยภูมิ) ท้ังหลักฐานจากกลุ่มซุนนะฮฺและ ชีอะห์ แล้วนาเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นการตอบหรืออธิบายข้อสงสัยตลอดจนความรู้ใหม่ท่ีได้จาก การศึกษา แล้วนาข้อมูลที่ผ่านการตีความมาวิเคราะห์ แยกแยะประเภทตามวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ จากน้ันก็นาข้อมูลมาอธิบายและเล่าเรื่องเหตุการณ์ในอดีตให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความแตกต่าง ระหว่างกัน แล้วลงภาคสนามเพื่อหาข้อมูลและความคิดเห็นเพิ่มเติมจากนักวิชาการทั้งในและ ตา่ งประเทศ โดยการสมั ภาษณ์แบบเจาะลกึ และจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แล้วนาข้อมูลที่ได้มาทา การวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบเหตุการณ์ และการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย แล้วทาการ รวบรวมขอ้ มลู ท่ไี ด้ตอบวัตถปุ ระสงค์ทีว่ างไวใ้ นรปู แบบรายงานการวิจยั แบบพรรณนา ส่วนพืน้ ทีศ่ กึ ษาในการเก็บข้อมูลภาคสนามในครั้งนี้ ผู้วิจัยเลือกสัมภาษณ์นักวิชาการท้ังสายซุน นะนะฮแฺ ละชอี ะห์ในประเทศไทยและต่างประเทศ ไดแ้ ก่ ประเทศอินโดนิเซีย คูเวต และ กาตาร์ โดยใช้ เคร่ืองมือในการวิจัยเก็บข้อมูลภาคสนามด้วยแบบสัมภาษณ์เจาะลึก( In depth Interview ) การ สนทนากลุ่ม (Group discussion) และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม(non-participant observation) ซึง่ ผลการวจิ ยั สรุปได้ดังต่อไปน้ี 5.1 สรปุ ผลและอภปิ รำยผลกำรวจิ ยั หลังจากได้ดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารหลักฐานชั้นต้น(ปฐมภูมิ) และหลักฐานช้ัน รอง(ทุติยภูมิ) ทั้งหลักฐานจากกลุ่มซุนนะฮฺและชีอะห์ และเก็บข้อมูลภาคสนามจากกลุ่มตัวอย่างท่ี กาหนดไว้ จากนั้นนาามาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) และเชิงพรรณนา (Descriptive Analysis) โดยวิเคราะหก์ ารนาขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการสังเคราะห์เอกสารหลักฐานและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องซึ่ง ส่วนใหญเ่ ป็นหนงั สือตา่ งประเทศ คอื ภาษอาหรับ และจากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มชีอะห์และซุน นะฮฺทั้งในและต่างประเทศ แล้วนาข้อมูลท่ีมีความสอดคล้องกันหรือขัดแย้งกันมาอภิปรายเหตุผลตาม วัตถปุ ระสงค์ทว่ี างไวใ้ นรปู แบบรายงานการวิจยั แบบพรรณนาความ ดงั นี้ ประวัติควำมเปน็ มำของกลุม่ ซุนนะฮฺ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกลุ่มซุนนะฮฺ พบว่า กลุ่มซุนนะฮฺและกลุ่มอ่ืนๆท่ีแตกแยกเป็น กล่มุ ๆท้ังหมดเกิดขนึ้ เปน็ รูปธรรมหลังจากที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เสียชีวิตลง หมายถึง
92 ก่อนการเสียชีวิตของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) อาจมีความเห็นต่างบ้างภายในหมู่มุสลิม แต่ไม่มีใครแตกแยกออกเป็นกลุ่มเฉพาะแม้กระท่ังพวกมุนาฟิก (ผู้กลับกลอก) ที่อาศัยอยู่นครมาดีนะฮฺ พวกเขาคิดต่างจากมุสลิมอย่างสิ้นเชิง และยังคิดท่ีจะสังหารท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และมุ่งร้ายต่ออิสลามทุกรูปแบบ แต่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมุสลิม และปฏิบัติศาสนกิจทุกอย่างตามท่าน นบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) กระทั่งเมื่อหัวหน้ามุนาฟิก คือ อับดุลลอฮ์ บิน อุบัยตฺ บิน สะลู้ล เสียชีวิต ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ยังไปละหมาดญานาซะฮ์(คือละหมาดคนตาย)ให้เขา และท่านนบียังห้ามบรรดาอัครสาวกของท่านไม่ให้ทาร้ายหรือฆ่าอับดุลลอฮ์ หัวหน้ามุนาฟิกฮฺดังกล่าว (อบิ นุ ฮีชาม, 1990) ดงั น้นั มุสลิมในสมยั ท่านนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั )พวกเขาเป็นหน่ึงเดียวใน นาม “มสุ ลมี ีน” ซ่ึงเปน็ ชื่อทีพ่ ระองค์อัลลอฮ(ฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา)ไดท้ รงเรยี กพวกเขา ดัง่ โองการ }{هو سماكم المسلمين من قبل وفي هذا وليكون الرسول شهيدا عليكم ความวา่ “พระองค์ ผทู้ รงเรียกพวกเจำ้ วำ่ มุสลีมนี ในคัมภรี ์กอ่ นๆและใน อลั - กุรอำน เพ่ือบรรดำรอซู้ล(ศำสนทูต)จะไดเ้ ปน็ พยำนตอ่ พวกเจำ้ ”(อัล-ฮัจญ์,22:78) บรรดามุสลิมในยุคของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ไม่มีกลุ่มใดๆนอกจาก มุสลีมีน เทา่ นน้ั เช่นเดียวกนั ในยคุ สมยั ของ อะบู บักร อัล-ศิดด้กี และยุคสมัยของอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ (รอฏียัลลอ ฮุ อันฮุมา) แม้จะมีความเห็นที่ต่างกันโดยเฉพาะมุสลิมบางท่านที่ช่ืนชอบท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) แต่พวกเขาก็ยอมจานนกับผู้นา (คอลีฟะฮฺ) ท้ังสองท่านอย่างดี และไม่มีปรากฏใน ประวัติศาสตร์ว่ามุสลิมในสมัยน้ันจะแข็งกร้าวต่ออะบู บักร อัล-ศิดด้ีก และอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮมุ า) หากแต่ความแตกแยกในหมู่มุสลิมที่เกิดข้ึนเร่ิมต้นจากความวุ่นวายในยุคสมัยของ อษุ มาน บนิ อัฟฟาน (รอฏียัลลอฮุ อันฮ)ุ จากข้อมูลข้างต้นมีนักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า “แท้จริงความเป็นปึกแผ่นของมุสลิม ข้ึนอยู่กับความศรัทธาหรืออีหม่ามของผู้นาที่เข้มแข็ง เพราะความเป็นพี่น้องในอิสลาม(อุคูวะฮฺ อิสลามี ยะฮ)ฺ เกิดจากแรงศรทั ธาของมุสลิม หากศรัทธาไม่แข็งแรงฐานของความเป็นพี่น้องกันและความปึกแผ่น ระหว่างมุสลมิ กจ็ ะออ่ นแอลงตามระดบั ของแรงศรทั ธาในยุคนนั้ ๆ (อิสมาอลี ฎุลฟี จะปะกยี า,2560) หากสังเกตมุสลิมในยุคของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) แม้จะมีผู้ที่เห็นต่างกับท่าน อย่างส้ินเชิง คือ อับดุลเลาะ บิน อุบัย บิน ซะลู้ล ซึ่งเป็นมูนาฟิกก็ยังอยู่กับนบีได้ เพราะความเข้มแข็ง ของอหี ม่านหรือแรงศรทั ธาในใจของทา่ นนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) เช่นเดียวกันนั้นในสมัยของ ท่าน อะบู บักร อัล-ศ้ิดดีก แม้จะมีผู้ท่ีไม่จ่ายซะกาต หากแต่สุดท้ายแล้วก็ยอมจานนต่อความเข้มแข็ง ของแรงศรัทธาของอะบู บักร อัล-ศ้ิดดีก ซึ่งมุสลิมทุกคนก็ทราบว่า ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้ยืนยันชัดเจนว่า “หำกแม้นนำพลังศรัทธำของอะบู บักร อัล-ศิ้ดดีก วำงข้ำงหนึ่ง และ พลังศรัทธำของคนทั้งอีกข้ำงหน่ึง แน่นอน พลังศรัทธำของ อะบู บักร ย่อมมีน้ำหนักกว่ำอย่ำง แนน่ อน”( นาซริ ุดด้ีน อลั บานยี ์ ,13 : 770) เช่นเดยี วกันในสมยั ของท่านอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ที่ถือว่าเป็นยุคสมัยท่ีมุสลิม เข้มแข็งและเป็นเอกภาพมากที่สุดยุคหนึ่ง จนสามารถพิชิตแผ่นดินปาเลสไตน์จากจักรวรรดิโรมันอย่าง ง่ายดายโดยไม่ตอ้ งเสียเลอื ดเนอื้ แมห้ ยดเดียว แสดงถึงความเข้มแข็งและความเป็นเอกภาพของมุสลิมใน
93 ยุคน้ัน หากจะกล่าวถึงแรงหรือพลังศรัทธาของท่านอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้กล่าวว่า “อุมัร จะไม่เดินอยู่บนเส้นทำงหนึ่งนอกจำกมำรร้ำยชัยฏอนจะต้องหลีกไปอีก เส้นทำงหนึ่ง(เพรำะเกรงขำมต่อพลังศรทั ธำของอุมรั )” (อิหมา่ ม นาวาวยี ์, เลขทหี่ ะดษี , 2397) ดังน้ันในสมัยสามยุคแรกแห่งผู้นาสูงสุดของมุสลิมคือ ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) อะบูบักร อัล-ศ้ิดดีก และอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุมา) ช่วงน้ีไม่ต้องสงสัยว่าเพราะความ เข้มแข็งและพลังศรัทธาอันแรงกล้าของพวกเขาทาให้มุสลิมเป็นหน่ึงเดียว ไม่ทาให้พวกเขาแตกแยกกัน แม้จะมีความเห็นที่ต่างกันบ้างก็ตาม เม่ือระยะเวลาผ่านไป ผู้คนหันมารับอิสลามกันมากขึ้น ความโลภ และผลประโยชน์เร่ิมคืบคลานเข้ามา โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางการเมืองที่เร่ิมมีคนบางกลุ่มสนใจและ อยากครอบครอง จนกระทั่งในยุคของอุษมาน บิน อัฟฟาน (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) มีบางคนมาขอตาแหน่ง ผปู้ กครองรัฐหรือหัวเมอื งบางหวั เมอื ง เมื่อถูกปฏิเสธก็เกิดความไม่พอใจและประสงค์ร้ายต่ออุษมาน บิน อัฟฟาน มาตลอด กระทั่งปล่อยข่าวว่าอุษมาน บิน อัฟฟาน เป็นผู้นาที่เอ้ือผลประโยชน์ให้แก่เครือญาติ ของตัวเอง (อิฮซาน อิลาฮีย์ ศอฮ้ีร ,1995) และประเด็นนี้ก็กลายเป็นประเด็นปัญหาใหญ่ที่นาไปสู่การ ลอบสังหารอุษมาน บิน อัฟฟาน ในท่ีสุด และจากปมสังหารอุษมาน บิน อัฟฟาน ก็นามาซึ่งสงครามอูฐ (ญะม้ลั )และสงครามศฟิ ฟนี ตามมา ในช่วงนี้เองท่ีเห็นได้ชัดว่ามุสลิมได้แตกแยกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสนับสนุนท่านอะลี หรือท่ีเรียกว่า “ชีอะห์อะลี” และอีกกลุ่มคือกลุ่มท่ีสนับสนุนมุอาวียะฮฺ หรือที่เรียกว่า “ชีอะห์มุอาวี ยะฮ”ฺ แต่เนื่องท้ังสองท่านคอื สาวก(ศอหาบะฮฺ)ของท่านนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม)แม้ความเห็น ตา่ งกนั จนนาไปสสู่ งครามก็ตาม แตส่ ุดท้ายก็ขอเจราจาเพื่อหยุดและยุติสงคราม จากการพยายามเจรจา เพอื่ ยุติสงครามเรอื่ งกลับบานปลายออกไป เพราะมกี ลมุ่ สนบั สนุนทัง้ สองฝ่ายไม่พอใจจึงแตกแยกออกมา เป็นอีกลมุ่ ที่ช่อื วา่ “กลมุ่ อลั -ฆอวาริญ”(รอฆิบ อลั -ซุรญานยี ์ ,2009 และอิฮซาน อลิ าฮีย์ ศอฮ้ีร ,1995) จากการแตกแยกกันระหว่างชีอะห์อะลีและชีอะห์มุอาวียะฮฺ ในยุคแรกๆพวกเขาท้ังสองฝ่าย เพียงแค่แยกฝ่ายกัน มีฝ่ายที่เห็นด้วยและสนับสนุนอะลี บิน อาบี ฏอลิบ และอีกฝ่ายเห็นด้วยและ สนับสนุนมุอาวียะฮฺ อิบนุ อะบีศุฟยาน ซ่ึงในขณะน้ันยังไม่มีการเชื่อหรือศรัทธาในสิทธิของอะลี (รอฏยี ัลลอฮุ อันฮ)ุ ทต่ี ้องเป็นผนู้ าสงู สุด(คอลีฟะฮฺ)แตอ่ ยา่ งใด เพียงแค่ผู้ท่ีเห็นด้วยกับท่านอะลี บิน อาบี ฏอลิบ ก็เห็นว่าควรจะต้องมีผู้นาเพื่อเป็นผู้บริหารจัดการและสะสางผู้ท่ีฆ่าท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน (รอฏยี ลั ลอฮุ อันฮุ) ในขณะท่ีฝั่งท่านมุอาวียะฮฺ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ก็คิดเพียงว่า พวกเราพร้อมท่ีจะร่วม ให้สตั ยาบันและเชือ่ ฟังท่านอะลี บนิ อาบี ฏอลบิ หากแตเ่ ราจะเชื่อฟังผู้ทช่ี ่วยเหลือหรือปกป้องคนที่ฆ่าอุ ษมาน บิน อัฟฟาน ได้อย่างไร นอกเสียจากว่า อะลี บิน อาบี ฏอลิบ จะต้องมอบตัวบุคคลที่ฆ่าอุษมาน บนิ อฟั ฟาน ให้เราก่อน แล้วพวกเราก็จะยินดีปฏิบัติตามและร่วมมือในการให้สัตยาบันแก่ท่านอะลี บิน อาบี ฏอลบิ โดยไมข่ ัดขอ้ ง (อะบู ญะฟรั อบิ นุ ญะรรี้ อัล-ฏอบารยี ์ ,มปป.) ดงั น้นั ในทศั นะของกล่มุ ซนุ นะฮฺ เช่อื ว่าทั้งสองฝ่ายทั้งอะลี บิน อาบี ฏอลิบ และมุอาวียะฮฺ อิบนุ ศุฟยาน เพียงแค่วินิจฉัยตามที่ความเห็นของตนเอง ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิดอันยิ่งใหญ่ในศาสนาอิสลาม หากแต่ปมความขดั แย้งดงั กลา่ วทาใหผ้ ทู้ ส่ี นับสนุนทัง้ สองฝ่ายพยายามหาเหตุผลเพ่ือมาสนับสนุนนในส่ิง ท่ีตนเองเชื่อ โดยเฉพาะฝ่ายที่สนับสนุนอะลี บิน อาบี ฏอลิบ ซ่ึงอาจมีผู้ที่ไม่หวังดีท่ีคอยปลุกป่ันและ สร้างกระแสให้ตอ่ ตา้ นอุษมาน บิน อัฟฟาน และหันมาสนับสนุนอะลี บิน อาบี ฏอลิบ โดยการพยายาม สร้างหลักฐานท้ังจริงและเท็จว่าอะลี บิน อาบี ฏอลิบ และลูกหลานของท่านเท่านั้น เป็นผู้ท่ีถูกบัญญัติ
94 และถูกส่ังเสียโดยท่ีนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ให้เป็นผู้นาสูงสุด หรือ(อิหม่าม) ส่วนผู้อ่ืนท่ีมา ครองอานาจเปน็ ผู้นากอ่ นทา่ นอะลีถือเป็นผู้อธรรมต่ออะลีและอะฮล์ ุล้ บัยต ดงั กลา่ วนน้ั เป็นที่มาของแนวคิดและความเช่ือท่ีอุตริขึ้นมาอย่างมากมาย มีการอ้างถึงตัวบทหะ ดษี ของทา่ นนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ผิดๆถูกๆ บ้างก็มีการตัดคาพูดบางคาและบ้างก็เพ่ิมเติม จากตัวบทเดิม กระท่ังบางคนบางกลุ่มกุคาพูดของตนเองขึ้นมาแล้วอ้างว่าเป็นคาพูดของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลมั ) เป็นตน้ (มนั นาอฺ อัล-กอ้ ฏฏอน,1989,) และทั้งหมดนั้นเป็นกระบวนการ จัดฉากเพื่อหาความชอบธรรมแก่แนวคดิ และความเชื่อของตนเอง จากเหตกุ ารณท์ ี่ยุ่งเหยิงทาให้มสุ ลมิ ส่วนหนง่ึ ทไี่ มป่ ลมื้ กบั ปญั หาทางการเมือง กล่าวคือ การแย่ง ชิงตาแหน่งผู้นาสูงสุดในสมัยน้ันของสองฝ่าย คือฝ่ายท่ีสนับสนุนอะลี บิน อาบี ฏอลิบ และฝ่ายท่ี สนับสนุนมุอาวียะฮฺ อิบนุ อะบีศุฟยาน ซ่ึงผู้วิจัยเชื่อว่าปัญหาบานปลายท่ีเกิดไม่ใช่จากตัวผู้นาของทั้ง สองฝ่าย ทั้งท่าน อะลี และมุอาวียะฮฺ หากแต่ปัญหาเกิดจากผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่ายที่เพิ่งเข้ามารับ อิสลามทมี่ ากขึ้น ทาให้ความเขม้ ขน้ ในหลกั การอิสลามลดลงจงึ เกดิ ปญั หาดังกลา่ ว จากการวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆตามที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือและตาราประติศาสตร์และจาก การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ เช่น ช้ีค ดร.ยูซุฟ อัล-กอรอฏอวีย์ ดร.อะลี กอเราะห์ (สัมภาษณ์เม่ือ 11-01-61 ,ประเทศกาตาร์ ) ดร.ฮามิด ฟะฮ์มีย์ ซัรกะชีย์ และ ดร.มุฮัมหมัด คอลิด มุสลิฮ (สัมภาษณ์เมื่อ, 21-12-2560 ,ประเทศอินโดนีเซีย) ที่ได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ว่า “ความจรงิ ปญั หาเรมิ่ แรกของการแตกแยกในหมู่มุสลิมในอดีตเกิดจากปัญหาทางการเมือง เน่ืองจากคน บางกลุ่มท่ีขัดผลประโยชน์ทางการเมืองจึงสร้างสถานการณ์ขึ้น และปัญหาความเห็นต่างในตัวบุคคลที่ จะขึ้นเป็นผู้นาสูงสุด(คอลีฟะฮฺ)แทนท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ซึ่งก็เป็นประเด็นการเมือง เชน่ กนั แตท่ ี่สาคญั คือผู้ตามหรือผู้สนับสนุนท่ีเลยเถิดท่ีเห็นว่าอะลี บิน อะบีฏอลิบ ควรเป็นผู้นาซ่ึงไม่ใช่ คนอ่ืน พวกเขาก็พยามหาหลักฐานมาสนับสนุน จนทาให้ประเด็นทางการเมืองเริ่มพัฒนามาเป็นความ เชื่อทางศาสนา และเมื่อกลายเป็นความเชื่อทางศาสนาก็ยากที่จะลงเอยกัน และน้ันคือปัญหาหลักของ ความแตกแยก จึงขอเตือนมุสลิมทุกคนในปัจจุบันให้ระวังปัญหาทางการเมืองท่ีอาจนาไปสู่ความ แตกแยกอยา่ งเหตุการณใ์ นอดตี จากประวัติศาสตร์อสิ ลามทผี่ า่ นมา” เนื่องจากต้องการให้เห็นว่าคาพูดของตนมีนาหนักจึงต้องมีการอ้างอิงว่าเป็นคาพูดหรือหะดิษ ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) จึงเป็นที่มาของการกุคาพูดต่างๆมาที่ไม่ใช่คาพูดของท่าน นบแี ล้วอา้ งวา่ เปน็ คาพูดของนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลัม) จึงทาให้มุสลิมยุคนั้นเห็นควรที่ต้องริเร่ิม รวบรวมหะดีษท่ถี ูกตอ้ ง เพ่ือต้องการแยกแยะว่าคาพดู ไหนเป็นหะดีษแท้และคาพูดไหนเป็นหะดีษปลอม และดังกล่าวนั้นเป็นท่ีมาของวิชาคัดกรองหะดีษ(มุสฏอละฮ์ หะดีษ) และต่อมาก็มีมุสลิมกลุ่มหนึ่งท่ีเบ่ือ หน่ายกับปัญหาการเมืองแยกตัวออกไปเป็นกลุ่มท่ีรักสงบไม่สนใจทางโลก มุ่งทางธรรมเป็นหลัก นั้นคือ กลุ่มของ หะซัน อลั -บัสรี(รอฮีมาฮุ้ลลอฮ) และจากนั้นกเ็ ร่มิ มกี ลุม่ ตา่ งๆ ตามมา จากการศึกษาเอกสารช้ันต้น (ปฐมภูมิ) จากหนังสือประวัติศาสตร์ พบว่า กลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ เริ่มเกิดขึ้นในยุคสมัยการปกครองของราชวงศ์อุมาวียะฮฺ แต่ส่วนใหญ่เกิดข้ึนในสมัยการปกครองของ ราชวงศ์อับบาซียะฮฺ ในยุคสมัยการปกครองของราชวงศ์อุมาวียะฮฺ ระหว่างปีท่ี 41-132 แห่งฮิญเราะห์ ศักราช หรอื ปที ่ี 662-750 คริสตศกั ราช ยคุ น้มี กี ลุม่ ซนุ นะฮฺเกิดขน้ึ 4 กลุ่ม คือ อัล-บัสรียะฮฺ อัล-หะนะฟี
95 ยะฮฺ อลั -เอาซาอียะฮฺ และอลั -มาลีกยี ะฮฺ และต่อมากเ็ กิดขนึ้ ในสมยั การปกครองของราชวงศ์อับบาซียะฮฺ ท้ัง กล่มุ อลั -ชาฟีอียะฮฺ อลั -ฮานาบีละฮ์ อัล-ชาอีเราะห์ อัศ-ศูฟียะฮ์ และกลุ่มอ่ืนๆท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งกลุ่มต่างๆของอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ แยกออกเป็นสามประเภทใหญ่ๆ คือ กลุ่มท่ีโดดเด่นด้านหลักการ ศรัทธา(อะกดี ะฮฺ) กลุ่มทโ่ี ดดเด่นด้านหลกั การปฏบิ ัติ(ฟิกฮฺ) และกลุ่มท่ีโดดเด่นด้านการรายงานหะดีษ (รู วา้ ต) เปน็ ตน้ (ศอลหิ อัล-วร้ิ ดานีย์ ,มปป.) อย่างไรก็ตามเก่ียวกับความเป็นมาของกลุ่มซุนนะฮฺที่กล่าวมานั้น มีนักวิชาการซุนนะฮฺให้ ความเห็นว่า “ความจริงกลุ่มอะลิส-ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ คือกลุ่มเดียวกับคากล่าวหรือหะดีษของนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้กล่าวใว้ คือ ( )عليكم بالجماعةซึ่งหมายถึง “พวกเจ้ำอยู่ดำรงอยู่ บนควำมเป็นญะมำอะฮฺ” จากคาว่า “ญะมาอะฮฺ” เรียกว่า “อะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ”ตาม ความคิดเห็นของนักวิชาการซุนนะฮฺ ดังนั้นนักวิชาการซุนนะฮฺส่วนหน่ึงจึงเข้าใจว่าความจริงแล้ว กลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺคือกลุ่มมุสลิมเดิมๆต้ังแต่สมัยของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) หากแต่ กลุ่มใหม่คือกลุ่มชีอะห์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้เสียชีวิตลง (ดร.ฮามิด ฟะฮ์มีย์ ซัรกะชีย์ และ ดร.มุฮัมหมัด คอลิด มุสลิฮ, สัมภาษณ์เม่ือ, 21-12-2560 ,ประเทศ อนิ โดนีเซีย) นอกจากกลุ่มซุนนะฮฺที่เกิดข้ึนในยุคต้นของประวัติศาสตร์อิสลาม กลุ่มซุนนะฮฺก็ยังเกิดข้ึนใหม่ อีกในยคุ กลางและยุคหลังอีกหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มแนวคิดของอิบนุ ตัยมิยะฮฺ ในศตวรรษท่ี 8 กลุ่มวะฮา บีย์ ของ มุหัมมัด บินอับดุลวะฮฺฮ้าบ ในศตวรรษที่ 12 กลุ่มอิควาน อัล-มุสลิมูน ของ หะซัน อัล-บันนา กลุ่มญะมาอะฮ์ ดะวะฮฺตับลีฆ ของ เมาลานา อิลยาส กลุ่มสะละฟียะฮฺ กลุ่มซูฟีย์ยะฮฺ เป็นต้น กลุ่ม เหล่าน้ีเป็นกลุ่มที่เกิดมาในศตวรรษหลัง และกลุ่มเหล่าน้ีก็มีจุดเด่นในแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน หากแต่ หลักการพ้ืนฐานของกลุ่มต่างๆเหล่าน้ีคือเรียกร้องไปสู่อัลกุร-อานและซุนนะฮฺของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลมั )เพียงแต่บางกลมุ่ เช่น ซูฟยี ์อาจจะเรียกรอ้ งไปสู่ความสมั ถะ ละทางโลก ให้ความสาคัญ ทางธรรม กลมุ่ วะฮาบียะฮฺ33 เน้นเรื่องหลกั การศรทั ธาที่ถกู ตอ้ งตามแนวทางของชนรุ่นแรก เรียกร้องไปสู่ อัล-กุรอานและซุนนะฮฺอย่างแท้จริง ต่อต้านอุตริกรรมและส่ิงแปลกปลอมในศาสนาในทุกด้าน ส่วน กลุ่มอิควาน อัล มสุ ลีมนู ทน่ี าโดย หะซนั อัล-บนั นา ประเทศอียิปต์ มีความโดนเด่นในด้านการเชิญชวน ใหม้ ุสลิมกลับสู่หลักการอิสลามในทุกด้าน เรียกร้องมุสลิมให้ปรองดองกัน ยอมรับความแตกต่างกัน จน บางครัง้ ก็ถูกตาหนโิ ดยกลุ่มสะละฟยี ์ทตี่ ้องการชข้ี าดใหช้ ัดเจนวา่ ใครผดิ ใครถกู ตามความเห็นของพวกเขา และกลุ่มญะมาอะฮ์ ดะวะฮฺตับลีฆก็เน้นการเชิญชวนผู้คนให้ขัดเกลาตนเองด้วยการเน้นเข้ามัสญิด เคร่งครัดในการปฏิบัตธรรม ห่างไกลจากปัญหาความขัดแย้ง เป็นต้น ซึ่งดังกล่าวน้ันมีรายละเอียด เกีย่ วกับกลมุ่ ซุนนะฮฺท่ไี ด้กลา่ วไปแล้วในบทที่ 2 ทผี่ ่านมา เก่ียวกับความเช่ือของกลุ่มซุนนะฮฺ จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารและการสัมภาษณ์ พบว่า กลุ่มซุนะฮฺทุกกลุ่มมีกรอบสาคัญที่ต้องเชื่อและศรัทธา ผู้ใดไม่เชื่อและศรัทธาในหลักการพื้นฐานท่ีได้ กาหนดไว้ถือว่าผิดเพ้ียนจากอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ซึ่งหลักการสาคัญพ้ืนฐานที่ต้องเชื่อและ ศรัทธาร่วมกันสาหรับอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ประกอบด้วย 20 ประการ (ศอลิห บิน อับดุร 33 เก่ยี วกับกลมุ่ วะฮบีตามที่เสนอไปแล้วว่ากล่มุ ทีช่ อ่ื วะฮาบยี จ์ ริงๆแลว้ กล่มุ น้ีไม่มีตวั ตน เพราะมุหัมมัด บิน อับดุลวาฮาบ ไม่ได้ ตั้งชื่อกลุ่มของเขาว่าเป็นกลุ่มวะฮาบีย์ หากแต่คาว่าวะฮาบีย์ถูกประดิฐขึ้นมาโดยผู้ที่ไม่หวังดีอีกกลุ่มที่มีความประสงค์ให้มุสลิมออกห่าง จากอัล-กรุ อานและซนุ นะฮฺ จึงตอ้ งประดษิ ฐค์ ่านี้ขึน้ มาเพือ่ ให้มสุ ลมิ รู้กลวั ทจ่ี ะเรียนจากอัล-กุรอานและซุนนะฮฺ เพราะกลัวเป็นวะฮาบีย์
96 เราะห์มาน อัล-ดะค้ีล ,มปป. ศอลิห อัล-วิ้รดานีย์ ,มปป.และ อะบี มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์,1970) ดงั ต่อไปนี้ คอื 1. ตอ้ งยดึ ถือหลกั ฐานจากอลั -กรุ อาน และอลั -หะดีษ หรือทเี่ รียกว่า (รีวายะฮฺ) 2. ตอ้ งศรัทธาว่าชาวสวรรคจ์ ะได้มองเห็นพระองค์อลั ลอฮฺ(สบุ หานะฮู วะตะอาลา)ในวันกียามะฮฺ 3. ต้องศรัทธาเก่ยี วคณุ ลักษณะของพระองค์อยา่ งที่ถูกบัญญตั ิมาโดยไม่เปรยี บเทยี บกับส่ิงที่ถูก สร้าง 3 ต้องศรัทธาถึงความดีและมีคุณธรรมของบรรดาอัครสาวก (ศอหาบะฮฺ) ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ทุกคน และไม่ควรจะเจาะลึกหรือพยายามหาข้อตาหนิของพวกเขาจาก เหตุการณ์ท่เี กดิ ขน้ึ ระหว่างพวกเขา 4 ตอ้ งศรัทธาต่อการทุกข์ทรมานหรือการลงโทษในหลุมฝังศพ 5 ตอ้ งเชื่อฟงั และปฏิบัติตามผ้นู า และไม่อนุญาตให้ปลกี ตัวออกจากความเปน็ ผู้นาของมสุ ลิม 6 ต้องเชื่อว่าอนญุ าตให้ละหมาดหลงั อีหม่ามแม้อหิ มา่ มจะมีความบกพร่องและมีความผิดบา้ งก็ ตาม 7 ตอ้ งเช่ือวา่ การทาการญีฮาด (สงครามในศาสนา) ตามผู้นาท่ีมีความบกพร่องและมคี วามผิดบ้าง อนญุ าตให้ทาได้ 8 ต้องเชอื่ ว่าการละหมาดวนั ศุกร์และการทาฮจั ญ์ตลอดจนละหมาดรายอท้ังสองเปน็ ส่งิ ทต่ี ้องทา 9 ตอ้ งออกห่างและหลีกเล่ยี งจากชาวอตุ ริกรรมทั้งหลายและตกั เตือนมสุ ลิมใหห้ ่างไกลจากพวก เขา 10 ต้องยดึ มัน่ กบั แนวทางของชนชาวสะลัฟ(ชนร่นุ แรก)จากอะฮลฺ สิ -ซุนนะฮฺ วลั -ญะมาอะฮฺ 11 ตอ้ งเชือ่ ว่าผทู้ ่ีทาบาปใหญ่และผู้ท่ีละเมิด ผทู้ ี่ทาความผดิ พวกเขาเป็นมุสลมิ ไม่ไดต้ กศาสนา 12 ตอ้ งเชื่อว่าผู้นาสูงสดุ (คอลีฟะฮฺ)เป็นสิทธิ์ของชาวกุร็อยช์(ต้นตระกูลของท่านนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะซลั ลัม) 13 ต้องเชอ่ื ว่าจาเป็นจะต้องจ่ายซะกาตทรัพยส์ นิ ให้แก่ผู้มีสิทธไ์ิ ดร้ บั 14 ตอ้ งศรัทธาวา่ อัลลอฮ(ฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา)สถติ อยูเ่ บ้ืองบนอันสงู ส่ง(ที่ไม่เหมอื นทุกอยา่ ง) 15 ต้องศรัทธาถงึ การชว่ ยเหลือของทา่ นนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม)ในโลกหน้า 16 ต้องเชื่อวา่ อหี มา่ นหรือพลงั ศรัทธาของทกุ คนมเี พิ่มและมลี ด 17 ตอ้ งเชอ่ื วา่ การหลงผิดและการได้รบั ทางนาย่อมสอดคล้องกับความประสงค์ของพระองค์อลั ลอฮฺ 18 ตอ้ งศรัทธาว่าทุกการงานของบ่าวอยูภ่ ายใต้การกาหนดและความประสงค์ของอลั ลอฮฺ(สุบหา นะฮู วะตะอาลา) 19 ตอ้ งศรัทธาวา่ อัล-กุรอานเปน็ ดารสั ของอลั ลอฮ(ฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา) ไม่ใชค่ าพดู ที่ถูกสรา้ งมา 20 ต้องศรทั ธาวา่ มนษุ ย์ท่ีดีท่ีสุดหลังจากท่านนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)คือ อะบู บักร อัล- ศิดดี้ก จากน้ัน อุมัร บิน ค้อฏฏ้อบ จากนั้นอุษมาน บิน อัฟฟาน และหลังจากน้ันคืออะลี บิน อะบฏี อลิบ ตามลาดับ
97 ดงั กล่าวน้ันเปน็ หลกั การพื้นฐานของอะฮลฺ ิส-ซนุ นะฮฺ วลั -ญะมาอะฮฺ ซึ่งส่วนใหญ่ รวมอยู่ในรูกุ่น อีหม่าน(หลักการศรัทธา 6 ประการ) และรูก่นอิสลาม (หลักปฏิบัต 5 ประการ) ส่วนข้อปลีกย่อยอื่นๆ ถอื เป็นความเห็นของแตล่ ะกลุ่มที่พยายามอธิบายจุดเน้นของกลุ่มตนเองที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะ กลุ่มซุนนะฮฺบางกลุ่มเน้นเร่ืองหลักการศรัทธา บางกลุ่มเน้นเรื่องหลักการปฏิบัติ บางกลุ่มเน้นการ ต่อต้านอตุ รกิ รรมหรอื สง่ิ แปลกปลอมในศาสนา บางกลุ่มเน้นเร่ืองคุณธรรม มารยาทและความสัมถะ ละ ทางโลก บางกลุ่มเน้นการปกป้องศาสนาจากศัตรูอิสลามและพร้อมต่อสู้กับศัตรูอิสลาม และ บางกลุ่ม เน้นการเชิญชวนสู่ความปรองดองกันระหว่างมุสลิม และบางกลุ่มเน้นความสมบรูณ์แบบและความ ครอบคลุมของศาสนาอิสลามในทุกด้าน ท้ังสังคม การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และการพัฒนาทั้ง ปัจเจกบุคคล ครอบครวั สังคม ประเทศชาติ และประชาชาติ เป็นตน้ ประวัติควำมเป็นมำของชอี ะห์ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชีอะห์จากการทบทวนเอกสารและจากการสัมภาษณ์โดยตรง นักวิชาการชีอะห์ทั้งในและต่างประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่ให้ความเห็นตรงกันว่ากลุ่มชีอะห์เกิดขึ้นมา พร้อมๆกับการเผยแพร่อิสลามของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) เพราะคาว่า “ชีอะห์” ใน ทัศนะของนักวิชาการชีอะห์คือผู้สนับสนุนและปฏิบัติตาม ดังน้ันผู้ท่ีสนับสนุนท่านและอะลี บิน อะ บฏี อลิบ มมี าตงั้ แต่ยุคของทา่ นนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) นอกจากน้ันนักวิชาการชีอะห์เห็นว่า คาว่า “ชีอะห์”มีมาต้ังแต่สมัยของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) โดยเฉพาะขณะท่ีท่านได้ อธิบายโองการอัล-กุรอาน สูเราะห์ อัล-บัยยีนะฮฺ (98 :7) ที่ถูกประทานมา ท่ีมีความหมายว่า “แท้จริง บรรดำผศู้ รัทธำและผูท้ ปี่ ฏบิ ัติกำรงำนที่ดพี วกเขำคอื มนุษย์ท่ีดีท่ีสุด” จากนั้นท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะซัลลัม) ได้กล่าวแก่ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ว่า ( )أنت وشيعتكหมายถึง “พวกเขำเหล่ำนั้น คือเจ้ำและชอี ะหข์ องเจ้ำโอ้อะล”ี หมายถึงบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ทปี่ ฏิบัติการงานที่ดีในโองการดังกล่าวก็ คือ ทา่ นอะลี บนิ อะบฏี อลบิ และผสู้ นับสนุนอะลี ตามความเห็นของชีอะห์ ชี้คซัยนุดดีน ซัยน้อล (สัมภาษณ์เม่ือ, 26-12-2560,ประเทศไทย) และอุสต้าซมุฮัมหมัด อาแว ซือแต ,สัมภาษณ์เมื่อ(06-02-2561,ประเทศไทย) กล่าวว่า “คาว่า “ชีอะห์”มีปรากฏหลายคร้ังในอัล-กุ รอาน และหะดีษของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ท้ังหะดีษที่รายงานจากนักวิชาการซุนนะฮฺ และชีอะห์ เพียงแต่ชาวซุนนะฮฺไม่ประสงค์ท่ีจะอ่านและศึกษาอย่างเป็นธรรม ดังน้ันในความเชื่อของ ชีอะห์จึงเช่ือว่าผู้ที่สนับสนุนศาสนาอิสลามในสมัยของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) เรียกว่า ชีอะห์ และอะลีคือผทู้ คี่ อยสนับสนุนท่านนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) มาตลอด และต่อมาคือกลุ่ม สนับสนุนท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ โดยเฉพาะเหตุการณ์ท่ีท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) จับ มอื ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ แล้วพดู วา่ “ใครตอ้ งกำรผ้นู ำกจ็ งปฏิบตั ิตำมทำ่ นอะล”ี ดังกลา่ วนนั้ เปน็ ท่มี าของชีอะห์ในประวัติศาสตร์ของชีอะห์ แม้จะมีกลุ่มซุนนะฮฺท่ีคัดค้านและไม่ เห็นด้วยว่าชีอะห์จะเกิดขึ้นในยุคขอท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เพราะยุคน้ันมุสลิมมีกลุ่ม เดียวคือ มุสลีมีน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกลุ่มชีอะห์อยู่แล้วในสมัยท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) โดยเฉพาะท่านนบี ได้กาชับให้มุสลิมทุกคนรักกันและไม่แตกแยกกัน จึงไม่สมควรอย่างย่ิงที่ท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) จะปล่อยให้มีกลุ่มอื่นหรือกลุ่มชีอะห์มาเกิดขึ้นท่ามกลางหมู่มุสลิมใน สมัยนั้น(สะอีด้ อสิ มาอลี ,1989)
98 จากการศึกษาตาราและสัมภาษณ์นักวิชาการซุนนะฮฺ ส่วนใหญ่เห็นว่าชีอะห์ที่เป็นรูปธรรม เกิดข้ึนหลังจากท่ีหุเซน บิน อะลี ถูกสังหารท่ีกัรบาลาอฺ สถานที่หนึ่งในประเทศอีรักปัจจุบัน และ เหตุการณด์ ังกล่าวนัน้ เป็นจดุ กาเนดิ ที่แท้จริงของชีอะห์ เน่ืองจากหลังหุเซน บิน อะลี(รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ลูกชายคนน้องของอะลี บิน อาบี ฏอลิบ ได้ถูกสังหารลง เหตุการณ์ในวันน้ัน คือขณะที่หุเซน บิน อะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ปลีกตัวออกจากราชวงค์อุมาวียะฮฺ สมัยการปกครองของญาซี้ด บิน มุอาวียะฮฺ ในขณะที่หุเซน บิน อะลี มุ่งหน้าไปยังอีรักเน่ืองจากท่ีอีรักมีคนกลุ่มหน่ึงท่ีอ้างว่าเป็นผู้ที่เคยสนับสนุน ท่านอะลี ผู้เป็นพ่อ และหะซัน พี่ชายของเขาก่อนหน้า ได้มีการส่งหนังสือให้หุเซน บิน อะลี หลายฉบับ และในหนังสือน้ันได้สัญญาว่าจะช่วยเหลือหุเซน โดยให้หุเซน ออกจากการปกครองราชวงค์มุอาวียะฮฺ และให้เดินทางมายังอีรัก แต่หลังจากฮุเซน บิน อะลี ออกเดินทางไปยังอีรักเมื่อถึงระหว่างทาง คือ หมู่ บ้านกัรบาลาอฺ ก็ถูกล้อมโดยกองทหารของ ญาซี้ด บิน มุอาวียะฮฺ และชาวอีรักท่ีสัญญาจะช่วยเหลือ หเุ ซน บนิ อะลี กลับหลบซ่อนไม่กล้าเผชิญหน้าเพราะกลัวทหารของญาซ้ีด และเหตุการณ์ในคร้ังนั้นทา ให้หุเซน บิน อะลี ถูกสังหารที่แผ่นดินกัรบาลาอฺ ดังนั้นกลุ่มท่ีได้เชิญและสัญญากับหุเซน บิน อะลี ไว้ ก่อนหนา้ รูส้ ึกเสียใจและรสู้ กึ ผิดท่ไี ม่ได้ช่วยเหลอื หเุ ซน บนิ อะลี ตามทีส่ ญั ญา พวกเขาจึงขอสารภาพผิด และลบล้างความผดิ ทหี่ ลบซอ่ นตัวดว้ ยการประกาศตนออกจากการปกครองของราชวงศ์มุอาวียะฮฺ และ พวกเขาเหล่านั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม“ชีอะห์”และด้วยเหตุผลข้างต้นเห็นได้ชัดว่า ชีอะห์จะมี ความสัมพนั ธ์อยา่ งแนบแนน่ กบั หุเซน บิน อะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) มากกว่าผู้ท่ีเป็นพ่อคือ อะลี บิน อา บี ฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ชีอะห์บางกลุ่มในปัจจุบันก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่าน้ันแสดงความรักจัด กจิ กรรมยิ่งใหญ่ราลึกถึงวันตายของหุเซน บิน อะลี แต่ไม่ได้จัดกิจกรรมราลึกถึงวันตายของอะลี บิน อา บี ฏอลบิ แต่อย่างใด(รอฆิบ อัล -ซรุ ญานีย์ ,2009) อย่างไรก็ตาม เก่ียวกับจุดกาเนิดและความเป็นมาของชีอะห์ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจากที่มา หลายเหตุการณ์ หากแตส่ ง่ิ ทีไ่ ด้จากการวิเคราะหข์ ้อมูลทั้งเอกสารและสัมภาษณ์ พบว่า ชีอะห์ที่หมายถึง ช่ืนชอบและสนับสนุนท่านอะลี บิน อะบี ฏอ ลิบ(รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) มีมาตั้งแต่สมัยสาวก(ศอหาบะฮฺ) ของท่านนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ด้วยซ้าไป ดังกล่าวนน้ั เปน็ ความจริง เพียงแต่บุคคลเหล่านั้น ไม่ได้แสดงออกให้เห็นว่าตัวเองชื่นชอบท่านอะลี มากกว่า อะบูบักร หรืออุมัร อย่างเปิดเผย และความ ชื่นชอบต่ออะลีของคนเหล่านั้นก็ยังมีอยู่เร่ือยมาจนได้มาประทุขึ้นหลังจากอุษมาน บิน อัฟฟาน ขึ้น ครองราชยเ์ ปน็ ผู้นาสงู สดุ (คอลีฟะฮฺ)ประมาณ 6 ปี ความว่นุ วายในหมูม่ ุสลิมเกดิ ขนึ้ เมื่อมีความคิดสุดโต่ง ของชีอะห์ถูกแพร่กระจายโดย อับดุลเลาะฮ บิน สะบะอฺ แม้มีชาวชีอะห์บางส่วนไม่ยอมรับถึงการมีอยู่ จรงิ ของอับดุลเลาะ บนิ สะบะอฺ กต็ าม แตใ่ นขณะเดียวกันก็มีนักวิชาการชีอะห์บางท่านยอมรับการมีอยู่ จรงิ ของอบั ดลุ เลาะ บิน สะบะอฺ เช่น ช้ีคซัยนุดดีน ซัยน้อล ( สัมภาษณ์เมื่อ, 26-12-2560,ประเทศไทย) และ ซัยยิด มุฮัมหมัด บาบีก้ีร (สัมภาษณ์เม่ือ, 22-12-2560 ,ประเทศอินโดนีเซีย) ทั้งสองท่านมี ความเห็นตรงกันกล่าวว่า “เราไม่ปฏิเสธว่าอับดุลเลาะ บิน สะบะอฺ มีจริง แต่ชีอะห์ไม่ได้เกิดข้ึนจากอับ ดลุ เลาะ บิน สะบะอฺ แต่อย่างใด และความจริงแล้วชีอะห์มีมาก่อนหน้าอับดุลเลาะ บิน สะบะอฺ ด้วยซ้า ไป สว่ นอบั ดลุ เลาะ บิน สะบะอฺ เป็นแคค่ นหนึ่งท่ีหลงใหลและรักทา่ นอะลี ก็อาจเป็นไปได้ท่ีเขาจะช่ืนชม และเชิญชวนผู้คนในยุคนั้นให้สนับสนุนท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ หากแต่การกล่าวถึงตัวท่านอะลีต่างๆ นาๆ เป็นความคิดของท่านส่วนตัว สาหรับชีอะห์อิมามียะฮฺ ไม่ได้เอาความคิดของอับดุลเลาะ บิน สะบะอฺ มาเป็นหลักฐานสาคญั ในการศรทั ธาหรือปฏิบัตติ ามแตอ่ ย่างใด”
99 ส่วนประเภทของชีอะห์อย่างท่ีได้กล่าวมาแล้วในบทท่ีเก่ียวข้องก่อนหน้าน้ี ท้ังจากการศึกษา เอกสารและสัมภาษณ์ พบว่า ประเภทต่างๆหรือกลุ่มต่างๆของชีอะห์มีมากกว่า 70 กลุ่ม ในบางทัศนะ เห็นว่า ชีอะห์แตกออกเป็น 73 กลุ่ม ทุกกลุ่มหลงผิดทั้งหมดนอกจาก ชีอะห์อิมามียะฮฺกลุ่มเดียวเท่าน้ัน (ซัยยิด มุฮัมหมัด บาบีก้ีร และ มุฮัมหมัด บาบุ้ล อุลูม , สัมภาษณ์เมื่อ, 22-12-2560 ,ประเทศ อินโดนเี ซีย ) จากข้อมูลทางเอกสารเก่ียวกับประเภทต่างๆของชีอะห์ที่มีมากกว่า 70 กลุ่ม สอดคล้องกับ ข้อมูลจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์ท่ีพบว่า นักวิชาการชีอะห์เองก็ยอมรับว่าชีอะห์แตกออกเป็นหลายกลุ่ม นักวิชาการชีอะห์บางท่านบอกว่าความแตกแยกของกลุ่มชีอะห์ด้วยกัน มากกว่ากลุ่มซุนนะฮฺด้วยซ้าไป ดงั น้นั จึงไม่แปลกท่ีจะเห็นชื่อกลุ่มต่างๆของชีอะห์มากมาย เร่ิมต้ังแต่ชีอะห์ กัยซานิยะฮฺ ชีอะห์ซัยดียะฮฺ ชีอะห์อิสมาอีลียะฮฺ และชีอะห์อัล-ฆูลาฮ เป็นต้น หากแต่กลุ่มชีอะห์ที่มีบทบาทท่ีสุดในยุคปัจจุบันคือ กลมุ่ ชีอะห์อิมามียะฮฺ อิสนาอาซารียะฮฺ หรือท่ีรู้จักกันว่า “ชีอะห์ 12 อีหม่าม” นอกจากน้ัน ชีอะห์บาง กลุ่มในทัศนะของชีอะห์อิมามียะฮฺ ไม่ถือว่า เป็นชีอะห์ เช่น นูซ็อยรียะห์ ของ ซีเรีย หรือ อิสมาอีลียะฮฺ และ พวกฆูลาฮ์ เป็นต้น (ช้ีคซัยนุดดีน ซัยน้อล ,สัมภาษณ์เม่ือ, 26-12-2560,ประเทศไทย ช้ีค ดร .อะฮ์ หมดั หุเซน , สมั ภาษณเ์ มอื่ , 7-01-2561 และ ดร.อับดุลฮาดี อับดุลฮามี้ด ศอลิห, สัมภาษณ์เมื่อ, 7-01- 2561 , ประเทศคเู วต) เก่ียวกบั ความเช่ือของชีอะห์ จาการศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์ พบว่า ส่วนใหญ่แล้วทุกกลุ่ม ของชีอะห์มีความเช่ือเหมือนกัน คือประเด็นที่เกี่ยวกับ “อัลอีมามะฮ” คือศรัทธาว่าผู้ที่จะมาเป็นผู้นา สูงสุดแทนที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้ถูกกาหนดตัวบุคคลเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่บาง กลุ่ม เช่น ชีอะห์ซัยดียะฮฺ เช่ือว่า แม้สิทธ์ิความเป็นผู้นาเป็นของท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ แต่อนุญาต และยอมรับไดท้ จี่ ะให้อะบู บกั ร อศั -ศดิ ด้กี และ อมุ ัร อัล-ค้อฏฏอ้ บ ดารงตาแหน่งผู้นาสูงสุดก่อนท่านอะ ลี ในขณะที่กลุม่ อ่นื ๆเห็นว่าเปน็ การอธรรมตอ่ ทา่ นอะลี บนิ อะบฏี อลิบ นอกจากชีอะห์ทุกกลุ่มเช่ือเหมือนกนั วา่ ตวั ผนู้ าสงู สุดต้องมาจากบทบัญญัติท่ีกาหนดมาแล้วจาก ทา่ นนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั ) เทา่ นั้น หากแต่ชอี ะห์บางกลุ่มไม่เช่ืออีหม่ามทั้ง 12 แต่เชื่อแค่ 7 อีหมา่ มเท่าน้นั เชน่ ชอี ะห์อิสมาอลี ียะฮทฺ ศ่ี รัทธาแค่ อหี ม่าม 7 คนแรก แตไ่ ม่เชอ่ื อหิ มา่ มทีเ่ หลอื เปน็ ต้น ส่วนประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ เช่น การเชื่อว่าต้องด่าทอต่อบรรดาศอหาบะฮฺบางคน การเพ่ิม ถ้อยคาในการกลา่ วปฏญิ าณตน การทาร้ายตัวเองโดยการเฆี่ยนตีจนเลือดกระฉูดเพื่อราลึกถึงหุเซน การ เช่ือว่าอะลี บิน อะบีฏอลิบ และอิหม่ามอ่ืนๆ ไม่ตาย หรือจะกลับมาฟ้ืนคืนชีพเพื่อปกป้องศาสนาชีอะห์ และความเชอ่ื แปลกประหลาดอ่นื ๆอกี มากมาย จากการสมั ภาษณน์ ักวิชาการชีอะห์ ให้คาตอบใกล้เคียง กันวา่ “สาหรบั ชีอะหอ์ ิสนาอาซารียะฮไฺ มย่ อมรับว่าการดา่ วา่ ศอหาบะฮฺเปน็ หลักคาสอนท่ีต้องกระทา แต่ เปน็ เพียงพฤตกิ รรมของบางคนมากกวา่ การด่าศอหาบะฮฺเป็นพฤติกรรมต่อต้านหรือต้องการตอบโต้ชาว ซนุ นะฮฺทใี่ ช้ความรุนแรงกับพวกเขามากกว่า เชน่ เดียวกันกับความเชื่อแปลกๆที่สุดโต่ง เป็นแค่ความเช่ือ เฉพาะบุคคลท่ีใช้อารมณ์ใฝ่ต่ามาตัดสิน ซึ่งหมู่คนแบบน้ีมีทุกกลุ่มแม้กระทั่งซุนนะฮฺ”( อุสต้าซมุฮัมหมัด อาแวซือแต ,สัมภาษณ์เม่ือ, 06-02-2561,ประเทศไทย และ ผศ.มนัส เกียรติธารัย ,สัมภาษณ์เม่ือ, 26- 12-2560,ประเทศไทย)
100 ควำมเหมือนและควำมตำ่ งระหวำ่ งซุนนะฮฺและชอี ะห์ เกยี่ วกบั ความเหมอื นและความแตกต่างระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์ จากการศึกษา พบว่า ทั้งซุน นะฮแฺ ละชีอะหต์ ่างก็มหี ลักศรัทธา หลักปฏบิ ัติ และการกล่าวปฏญิ าณตน เหมอื นกัน แต่รายละเอียดอาจ แตกตา่ งกัน เช่น หลกั ศรทั ธาของซุนนะฮฺ เรียกว่า รุก่นอิหม่าน มี 6 ประการ ดั่งที่รู้กัน ส่วนหลักศรัทธา ของชีอะห์ เรียกว่า อุศูลุ้ดดีน แปลกว่า หลักพ้ืนฐานในศาสนา มี 3 ประการสาหรับชีอะห์ทุกกลุ่ม และ เพิ่มอีก 2 ประการสาหรับชีอะห์อิมามียะฮฺ อิสนาอาชารียะฮฺ ดั่งคาสัมภาษณ์ของ ช้ีคซัยนุดดีน ซัยน้อล (สัมภาษณเ์ มื่อ, 26-12-2560,ประเทศไทย) ที่บอกว่า “สาหรับชีอะห์ เช่ือว่า หลักการศรัทธาท่ีสาคัญใน ศาสนาอิสลามมี 3 ประการ คือ เตาฮีด นูบูวะห์ และมะอาด ส่วน อาดิ้ล และอิมามะห์ เป็นหลักสาคัญ ของชีอะห์อิมามียะฮฺ อิสนาอาชารียะฮฺ ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธ 3 ข้อแรกถือว่าตกศาสนา ส่วนผู้ที่ปฏิเสธ 2 ขอ้ ตอ่ มาไม่ถอื วา่ ตกศาสนาแต่เขาไม่ใช่ชอี ะหอ์ ิมามยี ะฮฺ อิสนาอาชารียะฮฺ” เก่ียวกับประเด็นความเหมือนความต่างด้านหลักการศรัทธา ทั้งสองกลุ่มต่างก็ศรัทธาต่อ พระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) ศรัทธาต่อบรรดานบี ศรัทธาต่อวันอาคีเราะห์ (โลกหน้า) และ ศรัทธาตอ่ คัมภีร์อลั -กรุ อานเหมอื นกัน แม้จะมีบางกลมุ่ ที่สดุ โตง่ พยามอธิบายรายละเอียดของการศรัทธา ท่ีต่างกัน เช่น อัลลอฮฺและนบีท่ีพวเราศรัทธาไม่ใช่อัลลอฮฺและนบีที่ยอมรับในตัวอะบู บักร อัศ-ศิกดี้ก และ อุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ เป็นต้น แต่ความเช่ือดังกล่าวไม่ใช่ชีอะห์ส่วนใหญ่หรือญุมฮู้รของชีอะห์ (ผศ. มนสั เกยี รติธารยั และชีค้ ซยั นุดดนี ซยั น้อล ,สมั ภาษณ์เมอ่ื , 26-12-2560,ประเทศไทย) ชาวซุนนะฮฺทุก คนจงึ ควรให้ความยุตธิ รรม ไม่ควรเหมารวมว่าชีอะห์ท้ังหมดเหมือนกัน ด่ังความเห็นของ ดร.มุฏลัก อัล- กอรอวีย์ (สัมภาษณ์เม่ือ, 7-01-2561 , ประเทศคูเวต) ได้แสดงความคิดเห็นน่าชื่นชมว่า “กฏเกณฑ์ สาคัญของความเป็นมุสลิม คือ ศรัทธาในหลักศรัทธาพ้ืนฐานหกประการ ส่วนรายละเอียดต่างๆเป็นข้อ วินิจฉัยของแต่บุคคล แต่ละกลุ่ม แต่ละพื้นท่ี ดังนั้นการวินิจฉัยและการตีความของคนกลุ่มหนึ่งจะเหมา รวมว่าพวกเขาทุกกลุม่ เปน็ เหมอื นกนั ทง้ั หมดย่อมไมถ่ กู ตอ้ ง กล่าวคือแม้ช่ือว่าชีอะห์เหมือนกัน แต่ชีอะห์ กลุ่มนอ้ี าจแตกต่างจากชีอะห์กลุ่มน้ัน ชีอะห์ในพื้นท่ีนี้หรือประเทศนี้ย่อมแตกต่างกับชีอะห์อีกพื้นที่หรือ อีกประเทศหนึ่ง จึงไม่เป็นการสมควรที่จะนาเอาคาพูดของคนๆเดียวท่ีเป็นชีอะห์แล้วเหมารวมว่าชีอะห์ ทง้ั หมดเป็นอยา่ งเขา” ตัวอย่าง เช่น การศรัทธาในคุณลักษณะของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)และการมองเห็น อัลลอฮฺในวันอาคีเราะห์ (โลกหน้า) เป็นรายละเอียดที่มีความเห็นแตกต่างกันอย่างมากมาย แม้กระท่ัง กลุ่มซุนนะฮฺด้วยกันก็มีความเห็นที่แตกต่างกัน และต่างกลุ่มก็ต่างไม่ยอมรับว่าอีกกลุ่มเป็นอะฮฺลิส-ซุน นะฮฺ ดังน้ันในประเด็นนี้ถือเป็นข้อปลีกย่อยในหลักการศรัทธาท่ีทุกกลุ่มต่างก็มีความประสงค์ดีในการ ศรทั ธาต่อพระจ้าของเขาใหถ้ ูกต้องและสมเหตุสมผลดังท่ีตนเองคิด แม้บางคร้ังหลักการศรัทธาต่ออัลลอ ฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)อาจใช้ความคิดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะหลักการศรัทธาบางอย่างเหตุผลหรือ สติปัญญาไม่สามารถเขา้ ใจไดน้ อกจากศรัทธาตามบทบญั ญตั เิ ท่าน้นั สว่ นการศรัทธาต่อบรรดามะลาอีกะฮ์ท่ีกลุ่มซุนนะฮฺถือเป็นหลักศรัทธา(รุก่นอิหม่าน)ข้อท่ี 2 ใน ท้ังหมด 6 ข้อ แต่ชอี ะห์ไม่นับเป็นรุก่นอิหม่านหรืออุศูลุ้ดดีนของพวกเขา โดยให้เหตุผลว่าการศรัทธาต่อ มาลาอีกะฮเป็นส่วนหนึ่งของหลักศรัทธาข้อ 2 คือ อาดิ้ล หมายถึงศรัทธาต่อความยุติธรรมของอัลลอฮฺ โดยนักวชิ าการชีอะห์อธิบายว่าบรรดามาลาอีกะฮ์เสมือนผู้ปฏิบัติการเพ่ือให้ครอบคลุมถึงความยุติธรรม (อาดิ้ล) ของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ในทุกกาหนดการของพระองค์ในโลกน้ีและโลกหน้า และ
101 อาจรวมอยู่ในการศรัทธาต่อนบี(นุบูวะฮฺ)ในฐานะผู้ส่งสารให้แก่บรรดานบี (ช้ีค ซัยนุดดีน ซัยน้อล , สัมภาษณเ์ ม่ือ, 26-12-2560,ประเทศไทย และ ดร.อบั ดลุ ฮาดี อับดุลฮาม้ดี ศอลิห, สัมภาษณ์เม่ือ, 7-01- 2561 , ประเทศคเู วต) ส่วนการศรัทธาตอ่ บรรดานบี ชีอะห์ใช้คาว่า นุบูวะฮฺ คือ การเป็นนบี(ศาสนทูตของอัลลอฮฺ) ใน ประเด็นนี้ไม่แตกต่างกันด้านการศรัทธาในตัวตนของนบี แต่แตกต่างกันในประเด็นหะดีษของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) สาหรับกลุ่มซุนนะฮฺรับหะดีษนบีจากบรรดาอัครสาวก(ศอหาบะฮฺ)ทุก คนท่ีมีสายรายงานถกู ตอ้ ง โดยเฉพาะ อะบูฮุรยั เราะฮฺ อะนัส บนิ มาลิก อิบนุ อบั บา้ ส และท่านหญิงอาอี ชะฮฺ(รอฏิยัลลอฮุ อันฮุม) และตาราหะดีษของกลุ่มซุนนะฮฺเน้นหนังสือท้ัง หก เล่ม คือ บุคอรีย์ มุสลิม อะบดี าวู้ด ตีรมิซยี ์ นิสาอีย์ และอิบนุมาญะฮ์ หรืออาจเพ่ิมอีก สาม เล่ม คือ มุวัฏเฏาะอฺ อิมาม มาลิก มุ สนดั อมิ าม อะหม์ ัด และ สุนนั อัล-ดาริมยี ์ ดังทกี่ ล่าวมาแลว้ ข้างต้น ส่วนกลุ่มชีอะห์ยอมรับหะดีษเฉพาะคนเท่าน้ันจากศอหาบะฮฺของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม) เนน้ หะดษี ท่มี าจากทา่ น อะลี หรือคาพูดของอะลีโดยตรง ทถี่ กู รวบรวมเป็นแหล่งอ้างอิงสาคัญ ของชีอะห์ที่ช่ือว่า “นะฮฺญุ้ล บาลาเฆาะห์” นอกจากน้ันกลุ่มชีอะห์จะให้ความสาคัญและยึดหะดีษของ อิหม่ามญะฟัรเป็นหลักที่พวกเขาเช่ือในนาม “อุศู้ล อัรบะอุ มิอะฮ์”หมายถึง หลักการพื้นฐานส่ีแสนหะ ดษี และเกี่ยวกับศรัทธาต่อท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ในทัศนะของชีอะห์ครอบคลุมไปถึง “อิมามะฮฺ” หมายถึงคาส่ังเสียของท่านนบีต่อผู้นาสูงสุดท่ีจะมาแทนท่าน ถือเป็นประเด็นสาคัญที่กลุ่ม ชีอะห์นบั เปน็ หลักการศรทั ธาขอ้ ท่ี 4 สว่ นทศั นะของกลมุ่ ซุนนะฮฺถอื ว่าการเป็นผู้นา(อิหม่าม)เป็นประเด็น ปลีกย่อยท่ีสามารถปฏิบัติดาเนินการผ่านการประชุมปรึกษาหารือกันระหว่างผู้ที่มีคุณสมบัติท่ีจะเป็น องค์ประชุมเป็นอนั เสรจสนิ้ ไม่ถือเปน็ รกู ่นอหิ มา่ นหรอื แมแ้ ตร่ ูก่นอสิ ลามแต่อยา่ งใด ส่วนของการศรัทธาต่อคัมภีร์อัล-กุรอาน ถือว่าโดยรวมแล้วท้ังซุนนะฮฺและชีอะห์ศรัทธาอัล- กุรอานเล่มเดียวกัน นอกจากชีอะห์รวมสูเราะห์อัมนัชเราะห์กับอัลฎูฮาเข้าด้วยกัน และสูเราะห์อัล-ฟี้ล กบั อลั -กรุ ็อยช์ เขา้ ดว้ ยกัน34 ในขณะท่ีกลุม่ ซนุ นะฮฺแยกกันระหว่างสูเราะห์ดังกล่าว ส่วนประเด็นท่ีมีการ เข้าใจกันว่าชีอะห์มีอัล-กุรอานเฉพาะท่ีเป็นของเขา คือ “มัศฮัฟ อัล-ฟาติมะฮฺ” และมีปรากฏในตารา บางเล่มของชอะห์ที่ปฏิเสธคัมภีร์อัล-กุรอานท่ีมีอยู่ปัจจุบัน ซ่ึงความจริงจากการสัมภาษณ์นักวิชาการ ชอี ะห์ไดอ้ ธบิ ายว่า เป็นการเขา้ ใจผดิ อยา่ งมหันต์ เพราะ“มัศฮัฟ อัล-ฟาติมะฮฺ”เป็นเสมือนคาอธิบายอัล- กรุ อาน ไม่ใชค่ ัมภรี อ์ ลั -กุรอานตามที่กล่าวกนั สว่ นคากลา่ วท่ีปรากฏในตาราชีอะห์บางส่วนเป็นความเช่ือ เฉพาะบุคคลไมใ่ ชช่ ีอะห์ทั้งหมดหรือญุมฮ้รู (คนส่วนใหญ่)ของชีอะห์ แตอ่ ย่างใด เก่ียวกับการศรัทธาต่อการกาหนดสภาวการณ์ของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) ไม่ปราฏก เช่นกันในรูก่นอิหม่านของชีอะห์แต่เป็นหลักการศรัทธาข้อสุดท้ายของ ซุนนะฮฺตามตัวบทหะดีษของ ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ซ่ึงในประเด็นนี้ตามความเช่ือของซุนนะฮฺทุกอย่างท่ีเกิดขึ้นใน โลกนี้ท้ังท่ีเกิดข้ึนแล้วและที่ยังไม่ได้เกิดทั้งหมดถูกกาหนดไว้เรียบร้อยแล้วโดยพระองค์ อัลลอฮฺ(สุบหา นะฮู วะตะอาลา) ในขณะที่กลุ่มชอี ะห์เชอ่ื วา่ ไมไ่ ด้เป็นเร่ืองสาคัญที่อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)จะไป กาหนดในสิ่งที่ยังไม่เกิด เพราะทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้ ชีอะห์เช่ือว่าเม่ือใครก็ตามที่ เปล่ียนแปลงตัวเองอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ก็จะเปลี่ยนแปลงสภาพของเขาตาม ซ่ึงดังกล่าวน้ัน 34 หมายถึงรวมกันระหวา่ งบทที่ 93 กบั บทที่ 94 และรวมกนั ระหวา่ งบทท่ี 105 กับบทท่ี 106 จากอัล-กรุ อานทัง้ หมด 114 บท
102 เรียกว่า “อัล-บะดาอฺ” ที่ได้อธิบายมาแล้วข้างต้น เป็นหนึ่งในความเช่ือของชีอะห์ ซ่ึงเกี่ยวข้องกับการ ศรทั ธาต่อการกาหนดสภาวการณข์ องอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) ส่วนความเหมือนและความแตกต่างระหว่างซุนนะฮฺกับชีอะห์หลักปฏิบัติหรือรูก่นอิสลาม 5 ประการ พบว่า หลักการปฏิบัติ สาหรับซุนนะฮฺ เรียกว่า รุก่นอิสลาม มีทั้งหมด 5 ประการ แต่ชีอะห์ เรียกวา่ ฟุรูอุดีน แปลวา่ ข้อปลีกย่อยของศาสนา มี 5 ประการ แต่บางทัศนะเพิ่มอีก 5 ประการรวมเป็น 10 ประการ ซ่งึ รายละเอียดในเรอื่ งนี้ดัง่ ท่ีไดก้ ล่าวมาแล้วขา้ งตน้ ประเด็นท่ีแตกต่างคือการกล่าวปฏิญาณตนไม่ปรากฏในหลักปฏิบัติของชีอะห์ และเมื่อได้ฟัง จากเสียงอาซานของกลุ่มชีอะห์เสมือนว่าชิอะห์กล่าวปฏิญาณตนไม่เหมือนกับซุนนะฮฺ เพราะมีการ เพ่ิมเติมถ้อยคาสรรเสริญท่าน อะลี ว่า ( )أشهد أن عليا ولي اللهหมายถึงปฏิญาณตนว่าท่านอะลีเป็นท่ี รักย่ิงของอัลลอฮฺ หากแต่เมื่อได้ลงพื้นที่ทาการสัมภาษณ์นักวิชาการชีอะห์ ได้คาตอบว่า ถ้อยคา สรรเสริญท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ไม่ใช่ส่วนหน่ึงของการอาซาน และไม่ได้เป็นส่วนหน่ึงของคากล่าว ปฏิญาณตนของชอี ะห์แต่อยา่ งใด แตเ่ ปน็ เพียงคาสรรเสริญแก่ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ดั่งท่ีกล่าวกันใน ละหมาดทุกเวลาแมใ้ นละหมาดของซุนนะฮฺ คาว่า ( )وعلى آل محمدซ่ึงคาน้ีหมายถึงท่านอะลีและลูกหลาน ของทา่ นอะลี บนิ อะบีฏอลิบ (ผศ.มนัส เกียรตธิ ารยั ,สัมภาษณเ์ ม่อื , 26-12-2560,ประเทศไทย) นอกจากน้ีนักวิชาการชีอะห์บางท่านให้ความเห็นว่า หากใครคิดว่าการสรรเสริญท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ท่ีกล่าวในอาซานเป็นส่วนหนึ่งของบทอาซานถือว่าการอาซานน้ันเป็นโมฆะ เพราะเป็นการ เพิ่มเติมถอ้ ยคาอื่นทไี่ มไ่ ด้ปรากฏในบทบัญญตั วิ ่าด้วยการอาซาน หากแต่ถา้ คดิ ว่าเป็นเพียงคาสรรเสริญท่ี ควรทาก็อนุญาตให้ทาได้แม้กล่าวด้วยเสียงดังก็ตาม กล่าวคือ เดิมทีการกล่าวสรรเสริญอะลี บิน อะ บีฏอลิบ ต้องกล่าวเบาๆเท่าน้ัน แต่ถูกกล่าวดังขึ้นในสมัยหนึ่งเพ่ือเป็นการตอบโต้ผู้ที่คัดค้านและ ประณามพวกเขาก่อน(ดร.อบั ดุลฮาดี อับดลุ ฮามี้ด ศอลหิ , สัมภาษณเ์ ม่ือ, 7-01-2561 , ประเทศคูเวต) ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการละหมาด ทั้งซุนนะฮฺและชีอะห์ถือว่าการละหมาดเป็นหนึ่งในหลัก ปฏิบัติของมุสลิมทุกคนเหมือนกัน และชีอะห์ก็เช่ือว่าเวลาละหมาดที่วาญิบ(ต้องทา)มีห้าเวลาต่อวัน เพียงแต่ชีอะห์เห็นว่าอนุญาตให้ควบรวมกันได้ระหว่างมัฆริบกับอีชา และระหว่างซุฮรกับอัสร แม้ไม่มี เหตุจาเป็นใดๆก็ตาม เน่ืองจากการควบรวมเวลาละหมาดจากห้าเวลาเป็นสามเวลาเป็นการผ่อนปรนท่ี อนุญาตให้ทาได้ตามตัวบทบัญญัติและหะดีษของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)แม้ในตัวบท หะดิษจากซุนนะฮฺเอง ในขณะท่ีกลุ่มซุนนะฮฺเห็นว่าการควบรวมเวลาละหมาดทาได้ในกรณีที่มีเหตุ จาเปน็ เท่านน้ั เช่น การเดินทางหรอื เจบ็ ปว่ ย เปน็ ต้น นอกเหนือจากเวลาละหมาดก็ยังมีประเด็นที่แตกต่างกันเล็กน้อย เช่น เก่ียวกับการสุญูด(ก้ม กราบ)บนดินศักด์ิสิทธ์ิก้ารบาลาอฺ การเช็ดเท้าขณะอาบน้าละหมาด การปล่อยมือไม่กอดอกขณะยืน ละหมาด เป็นตน้ ซึ่งรายละเอียดในเรอ่ื งน้ีผู้วจิ ยั ไดน้ าเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนประเด็นการจ่ายซะกาตท้ังซุนนะฮฺและชีอะห์มีการกาหนดซะกาตเป็นหน่ึงในรูก่นอิสลาม เหมือนกัน จากการศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์ไม่มีความแตกต่างนอกจากเพิ่ม การจ่ายคุมซ คือ
103 ทรัพย์สินที่เหลือใช้ในรอบปีแก่ผู้ที่มีสิทธ์ิ ซ่ึงที่จ่ายกันอยู่ในปัจจุบันก็จะจ่ายให้ตัวแทนอิหม่ามมะฮฺดี ท่ี เรียกว่า “วีลายะตุ้ลฟากี้ฮ” หากแต่การจ่าย คุมซ ในปัจจุบันเป็นเพียงบางกลุ่มไม่ใช่ชีอะห์ทุกกลุ่ม เพราะชอี ะหบ์ างกลุม่ ไม่ไดเ้ ช่ือในตัวตนของ “วีลายะตลุ้ ฟากฮ้ี ” ด่งั ทกี่ ล่าวมาแลว้ ขา้ งต้น ส่วนประเด็น อ่ืนๆ เช่น ฮัจญ โดยรวมไม่แตกต่างกันนอกจากประเด็นปลีกย่อย เช่นเดียวกัน หลักปฏบิ ตั ิชีอะห์(ฟุรูอุ้ดีน)ที่เก่ียวกับญิฮ้าด ซ่ึงเป็นหลักปฏิบัติข้อที่ 5 ของชีอะห์ และที่เพิ่มมาอีก 5 ข้อ เดิม คอื -คุมซ์ (บรจิ าคทรพั ย์ 1 ใน 5 ให้ตัวแทนอิหม่าม) -อัลอัมรุ บิลมะอ์รูฟ (เชิญชวนทาความดี) -อัล นะญุ อะนลิ มุงกัร (หา้ มทาความชวั่ ) -อัล-ตะวัลลาอฺ (การยอมรับและรักผู้นา) และ -อัตตะบัรรออฺ (การ ไม่ยอมรับและออกห่างจากผู้ปฏิเสธผู้นา) ทั้งหมดไม่ได้แตกต่างกันมากนอกจากข้อปลีกย่อย เว้นแต่ คุมซ ไม่ปรากฏในหลักการของอะฮฺลิส ซุนนะฮฺ เพราะปัจจุบันไม่มีทรัพย์เชลย ประเด็นสุดท้ายคือ อัล- ตะวัลลาอฺ (การยอมรับและรักผู้นา) และ -อัตตะบัรรออฺ (การไม่ยอมรับและออกห่างจากผู้ปฏิเสธผู้นา) ประเด็นนี้อาจแตกต่างกัน เพราะชีอะห์เชื่อว่าผู้นาท่ีต้องรักและยอมรับคือ อิหม่าม 12 เท่านั้น นอกจากนั้นเป็นผู้นาที่ลิดรอนสิทธิและอธรรมต่ออิหม่ามท้ังส้ิน ในขณะที่อะห์ลิส ซุนนะฮฺต้องเชื่อว่า มนุษย์ที่ประเสริฐท่ีสุดหลังจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) คือ อะบู บักร และอุมัร และอุ ษมาน และอะลี ตามลาดบั ไม่ใช่อิหมา่ มทัง้ 12 อยา่ งทชี่ อี ะห์เชอ่ื และศรทั ธา 5.2 ขอ้ เสนอแนะจำกกำรวจิ ัย เน่ืองจากการเก็บข้อมูลวิจัยในคร้ังน้ีผู้วิจัยพยายามเลือกกลุ่มตัวอย่างเพ่ือทาการสัมภาษณ์ เจาะลึกโดยส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการระดับชาติทั้งฝ่ายซุนนะฮฺและฝ่ายชีอะห์ และบางท่านเป็น นักปราชญ์ระดับโลก เช่น ศ.ดร.ยูซุฟ อัล-กอรอฏอววีย์ และ ศ.ดร.อะลี อัล-กุรเราะห์ ซ่ึงเป็นประธาน และเลขาธกิ ารสมาพันธ์ปราชญม์ สุ ลิมโลก ซงึ่ ถือเป็นผอู้ าวุโสท่านหน่ึงในด้านการสร้างความสัมพันธ์และ สร้างความใกล้ชิดระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์ จากการลงพื้นท่ีเก็บข้อมูลหลายท่านได้กรุณาให้ ข้อเสนอแนะและข้อคิดต่างๆมากมายเก่ียวกับการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์ ซ่ึง ผู้วิจัยขอนาเสนอประเด็นที่น่าสนใจม ท้ังนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยและผู้อ่านต่อไป หากแต่ เนื่องจากบางท่านหรือความคิดเห็นบางอย่างอาจสุ่มเสียงต่อชื่อเสียงของผู้ให้ข้อมูล ผู้วิจัยจึงขอใช้นาม สมมุตใิ นการนาเสนอดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ ขอ้ เสนอแนะจำกผู้ใหส้ ัมภำษณ์ เกี่ยวกบั ความคดิ เห็นและข้อเสนอแนะอ่ืนๆของนักวิชาการในโลกมุสลิม เกี่ยวกับความสัมพันธ์ และความแตกต่างระหว่างซุนนะฮฺกับชีอะห์ในโลกปัจจุบัน จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์ ผู้วิจัยขอสรุป ขอ้ เสนอแนะต่างๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี นักวิชาการชีอะห์ทั้งหมด 8 ท่าน จากต่างปะเทศ 5 ท่าน และในประเทศ 3 ท่าน ซึ่งโดยส่วน ใหญ่เลอื กผใู้ ห้ข้อมูลที่เป็นกลางไม่สุดโต่ง และสามารถอยู่ร่วมกับสังคมชาวซุนนะฮฺได้อย่างกลมกลืน ซ่ึง นักวิชาการชีอะห์ทุกท่านท่ีให้ข้อมูลต่างพูดตรงกันว่าตรงกันว่า งานวิจัยช้ินน้ีถือเป็นงานวิจัยที่ดีหาก เจตนารมณเ์ พื่อสรา้ งความเข้าใจกันอย่างเป็นธรรม นักวิชาการชีอะห์ทุกท่านให้ความเห็นเก่ียวกับความ
104 แตกต่างระหว่างซุนนะฮฺกบั ชอี ะห์วา่ เป็นเร่ืองปกติของความเห็นต่างก็เหมือนกับแนวคิดหรือมัซฮับอ่ืนๆ ทว่ั ไป ชีอะหก์ ็เหมือนกับแนวคิด(มัซฮับ)หน่ึงในอิสลาม ดังเช่น หะนะฟีย์ มะลีกีย์ ชาฟีอีย์ และฮัมบะลีย์ ทม่ี ีความเห็นต่างกนั ในหลายประเด็น เพยี งแต่สาหรับชีอะห์ถูกมองว่าเป็นนิกายหนึ่งท่ีตรงกันข้ามกับซุน นะฮฺ และชาวซุนนะฮฺส่วนใหญ่ก็จะเหมารวมว่าชีอะห์เป็นพวกนอกรีด ตกศาสนา(ตักฟี้ร) มีความเช่ือ แตกตา่ งจากซนุ นะฮฺ ซึ่งความจรงิ ความเชื่อบางอย่างมาจากชีอะห์สุดโต่งบางคนบางกลุ่มเท่าน้ัน แต่ชาว ซุนนะฮฺก็ตัดสินแบบเหมารวมว่าหลงผิด หรือตกศาสนา ทั้งๆที่อีกฝ่ายยังไม่รู้จริงถึงแก่นแท้ของอีกฝ่าย และสว่ นใหญ่เอาคาพูดของคนๆเดียว หรือหนงั สอื เล่มเดียว แล้วเหมารวมว่าชีอะห์ทั้งหมดเป็นกาฟ้ีร(ตก ศาสนา)ไม่ใช่ศาสนอิสลาม เป็นต้น จึงยากให้ชาวซุนนะฮฺทุกคนรู้ว่าความจริงชีอะห์ด้วยกันเองก็ไม่ได้ ยอมรบั ชีอะห์บางคนบางกลมุ่ เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการด่าว่าบรรดาอัครสาวกของท่านนบี(ศอลลัลลอ ฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) การไม่ยอมรับอัล-กุรอานท่ีมีอยู่ทุกวันนี้ และมากไปกว่านั้นคือการตีความไปเอง แบบผิดๆต่อชีอะห์ว่า แต่งงานมุตอะห์ของชีอะห์ปฏิบัติอยู่ คือการผิดประเวณี (ซีนา) อัตตะกียะฮฺ คือ การกลบั กลอก (มุนาฟกิ ) คนหนา้ ใหว้หลังหลอก และ อัลบะดาอ์ คือการไม่เช่ือในกาหนดการของอัลลอ ฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) เป็นต้น ซึ่งทังหมดน้ันเป็นการเข้าใจผิด เป็นการตีความไปเองแบบไม่รู้จริง หรือไม่ก็รู้จักชีอะห์จากชีอะห์ท่ีไม่รู้จริงหรือพวกสุดโต่งบางคน มากไปกว่าน้ันการรู้จักชีอะห์จากคนท่ี เกลียดชังชีอะห์ก็เหมือนกันกับคนที่รู้จักวะฮาบีย์จากคนท่ีเกลียดชังวะฮาบีย์ ไม่มีทางท่ีจะได้รู้ความจริง ว่าใครเป็นใคร และนี้คือจุดอ่อนของสังคมมุสลิม ที่คอยใส่ร้ายและเกลียดชังกันทั้งๆที่มีศัตรูคนเดียวกัน แต่มุสลมิ จบั มอื และชว่ ยกนั ไม่ได้”(ซยั ยดิ มฮุ ัมหมดั บาบีกีร้ และ มุฮมั หมัด บาบ้ลุ อุลูม , สมั ภาษณ์เม่ือ, 22-12-2560 ,ประเทศอนิ โดนเี ซยี , ช้คี ซัยนุดดีน ซัยน้อล,และ ผศ.มนัศ เกยี รติธารัย, สัมภาษณ์เมื่อ, 26- 12-2560,ประเทศไทย ,ช้ีค ดร .อะฮ์หมัด ฮูเซน และ ดร.อับดุลฮาดี อับดุลฮาม้ีด ศอลิห ,สัมภาษณ์เมื่อ 7-01-2561 ,ประเทศคูเวต) ส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของนักวิชาการซุนนะฮฺที่ได้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่มีความเห็น เก่ยี วกับความสัมพนั ธแ์ ละความแตกต่างระหวา่ งซนุ นะฮฺกับชีอะห์ในโลกปัจจุบันในมุมมองที่ต่างกัน บาง ท่านมองคล้ายๆกับความเห็นชีอะห์ข้างต้น บางท่านมองว่าเป็นความแตกต่างเก่ียวกับหลักศรัทธาใน ศาสนาอิสลามที่ยากจะอภัย และบางท่านมองว่าเป็นความรู้สึกนึกคิดของคนกลุ่นน้ีคือชีอะห์ต่อกลุ่มซุน นะฮฺโดยเฉพาะ ซ่ึงความรู้สึกไม่ปลื้มต่อซุนนะฮฺถูกปลูกฝังมาตั้งแต่อดีตยากท่ีจะเยียวยาและแก้ไข ซ่ึง รายละเอยี ดต่างๆสรปุ ได้ดงั นี้ ศาสตราจารย์ ดร.ร.(นามสมมตุ )ิ และ ดร.ย.(นามสมมตุ ิ) (สัมภาษณ์เม่ือ 21-11-2560, ประเทศ ไทย) ให้ความเห็นเกี่ยวกับความแตกตา่ งระหว่างซุนนะฮฺและชอี ะห์ในเชงิ เสนอแนะว่า “เราไม่ควรจะเอา ความแตกแยกหรอื เหตกุ ารณใ์ นประวัตศิ าสตร์จากอดตี ซึ่งตา่ งสถานที่ ต่างวาระและโอกาส กลับมาเป็น ประเด็นปัญหาระหว่างมุสลิมในสังคมเราปัจจุบัน เพราะความแตกต่างหรือความเห็นต่างของคนเป็น เรื่องปกติท่ีบังคับกันไม่ได้ และความเชื่อท่ีต่างกันก็เป็นแค่ประเด็นปลีกย่อย ไม่ใช่หลักการพื้นฐานของ ศาสนา ซึ่งในระหว่างกลุ่มซุนนะฮฺเองก็มีความแตกต่างด้วยเช่นกัน จึงไม่ควรมองประเด็นแตกต่าง ระหว่างซุนนะและชีอะห์ว่าเป็นประเด็นใหญ่โต แล้วมาประหัตประหารกันเองระหว่างสองฝ่ายท่ีมีพระ เจ้าองคเ์ ดียวกนั มากไปกว่าน้นั ทั้งชอี ะห์และซุนนะฮฺท่มี ปี ัญหากันในปัจจบุ ันส่วนใหญ่คือชีอะห์สุดโต่งกับ ซุนนะฮฺสุดโต่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเหยื่อของปัญทางการเมืองของสองประเทศในตะวันออกกลางท่ี พยายามแย่งชิงอานาจเพ่ือจะเป็นมหาอานาจของประเทศมุสลิม กล่าวคือ ระหว่างประเทศอิหร่านซึ่ง
105 เป็นเสมือนพี่เลี้ยงของฝั่งชีอะห์และประเทศซาอุดีอารเบียท่ีเป็นพี่เล้ียงฝ่ังซุนนะฮฺ(กลุ่มวะฮาบีย์และสะ ละฟีย์) ซ่งึ ปฏิเสธไมไ่ ดว้ า่ ทงั้ คนของอิหร่านคือชีอะห์ และคนของซาอุดีอารเบียคือวะฮาบีย์หรือสะละฟีย์ ทุกคนก็ได้รับเงินเดือนหรือกินเงินเดือนจากต้นสังกัดกันทั้งนั้น แต่ประชาชนท่ัวไปที่ไม่เคยได้ผล ประโยชน์อะไรเลยกลับกลายเป็นเหยื่อของความขัดแย้งจากที่ใหนพวกเขาก็ไม่ทราบได้ จึงเป็น ภาระหน้าที่ของนักวิชาการท่ีต้องพยายามสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเหมาะสมแก่ประชาชนมุสลิม ทวั่ ไปที่พวกเขาคอยฟงั คาชี้แนะจากบรรดานักวิชาการท่ีพวกเขาเคารพนับถือ” ดร.อาลี สาเมาะ และ ดร.อัสมัน แตอาลี(สัมภาษณ์เม่ือ 14-11-2560, ประเทศไทย) และเชคริฏอ อะหมัด สมะดี (สัมภาษณ์เม่ือ 21-11-2560, ประเทศไทย) ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับความสัมพันธ์และความแตกต่างระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์ใกล้เคียงกันว่า “ต้องยอมรับความ จริงว่าระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์มีความแตกต่างจริง ทั้งท่ีสุ่มเสี่ยงกับความเช่ือ(อะกีดะฮฺ)และประเด็น อ่ืนๆที่เป็นข้อปลีกย่อย หากแต่ความแตกต่างกับความแตกแยกไม่เท่ากันและไม่เหมือนกัน ความ แตกตา่ งเป็นเร่ืองธรรมชาติทีห่ ้ามกันไม่ได้(ซนุ นะตุ้ลลอฮ)์ แตค่ วามแตกแยกเป็นเร่ืองที่อิสลามห้ามเพราะ ความแตกแยกเป็นสาเหตุของความอ่อนแอและล่มสลายของอาณาจักรอิสลามในอดีต หากแต่การที่จะ ตดั สินว่าระหวา่ งสองกลมุ่ วา่ แตกต่างหรือแตกแยกมีหลักเกณฑ์สามประการ ดังนี้ คือ(ดร.อาลี สาเมาะ , สัมภาษณ์เม่ือ 14-11-2560, ประเทศไทย) 1) ความแตกแยกจะเกิดจากความขัดแย้งกันในเรื่องของ ความเช่ือหรือหลักศรัทธา(อะกีดะฮฺ) 2) ขัดแย้งกันในเรื่องหลักการปฏิบัติสาคัญทางศาสนา เช่น การ ละหมาด การถือศีลอด และฮัจญ์ และ 3) ขัดแย้งในเรื่องการยอมรับความเป็นผู้นาในอิสลาม ซ่ึงหาก พิจารณาหลักเกณฑข์ า้ งตน้ ชอี ะห์อาจเข้าข่ายกลุม่ ทแี่ ตกแยกกเ็ ป็นได้” ส่วนความสัมพันธ์ต่อกันและการอยู่ร่วมกันระหว่างชีอะห์กับซุนนะฮฺ รวมไปถึงกับเพื่อนมนุษย์ ทุกคน สาหรับศาสนาอิสลามได้กาหนดหลักเกณฑ์การใช้ชีวิตร่วมกันกับเพ่ือมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ไว้ 4 ระดับดว้ ยกนั (ดร.อาลี สาเมาะ,สัมภาษณเ์ มื่อ 14-11-2560 ) คือ (1) ระดบั มาวดั ดะฮฺ หมายถงึ คนทเี่ ราควรรักกันฉันต์พ่ีน้อง กลุ่มนี้สาหรับผู้ที่มีศรัทธา(อิหม่าน) ดว้ ยกนั แมพ้ วกเขาจะเปน็ เครอื ญาติหรือไมก่ ต็ าม (2) ระดับมุศอหาบะฮฺ หมายถึง คนท่ีเราควรอยู่ด้วยกันอย่างคนใกล้ชิดและญาติสนิท กลุ่มนี้ สาหรับคนที่เป็นญาติพี่น้องทางสายเลือดทุกคนแม้จะต่างแนวคิดและศาสนาก็ตาม หากแต่ต้องไม่ทาใน สง่ิ ทต่ี อ้ งฝ่าฝืนอัลลอฮ(ฺ สบุ หานะฮู วะตะอาลา) (3) ระดับมุอายาชะฮ์ หมายถึง คนที่เราควรใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเพื่อน กลุ่มน้ีสาหรับเพื่อน รว่ มงานและเพ่ือนร่วมใชช้ วี ติ อย่ใู นสงั คมดว้ ยกันไมว่ ่าเขาจะเป็นใครกต็ ามและศาสนาใดก็ตาม และ (4) ระดับอาดาวะฮฺ คนที่เป็นศัตรูกับเรา กลุ่มน้ีสาหรับผ้ฏิเสธศรัทธาท่ีประกาศสงครามกับ มสุ ลมิ หรอื อิสลาม ดังน้ันสาหรบั ชอี ะหก์ ็สามารถใช้หลกั เกณฑ์ดงั กลา่ วในการอยรู่ ่วมกัน
106 นอกจากนสี้ ว่ นหนึ่งจากการสมั ภาษณ์นกั วชิ าการกลุ่มซนุ นะฮฺจากตา่ งประเทศ พวกเขาให้ข้อมูล ในเชิงแนะนาและให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวความสัมพันธ์และความแตกต่างระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์ว่า “ความจริงพวกเราในฐานะองค์กรมุสลิมระดับโลก พวกเราเป็นองค์กรหน่ึงท่ีพยายามสร้างความใกล้ชิด (อัล-ตักรี้บ)และความเข้าใจกันระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์อย่างบริสุทธ์ิใจ เราได้เชิญนักวิชาการชีอะห์ มารว่ มเป็นคณะกรรมการองคก์ ร 3-4 ท่าน และใหต้ าแหน่งแก่พวกเขาแต่งตั้งให้เป็นรองประธานองค์กร เราร่วมประชมุ หลายครัง้ ทงั้ ในประเทศอิหร่านเองและประเทศอ่ืนๆ แต่ส่ิงที่ได้จาการพยายามคือเท่ากับ ศูนย์ เพราะพวกเขาไม่เคยบริสุทธิ์ใจท่ีจะใกล้ชิดกับพวกเราชาวซุนนะฮฺ นอกจากเราต้องตามพวกเขา หรืออยู่ภายใต้ความต้องการและเงื่อนไขท่ีพวกเขารับได้ มากไปกว่าน้ันความพยายามในการสร้างความ ใกล้ชิดแลพความสัมพันธ์กับชีอะห์ เสมือนเป็นการเปิดทางให้ชีอะห์ได้โอกาสขยายและเผยแพร่แนวคิด ของพวกเขาเพม่ิ เตมิ และทแ่ี ปลกทสี่ ุด คอื ชอี ะห์ไมต่ ้องการเผยแพร่แนวคิดของพวกเขานอกจากแก่ชาว ซุนนะฮฺเทา่ นน้ั ชีอะห์ไม่เคยเผยแพร่แนวคิดของเขาแก่ชนต่างศาสนิกไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม ดังน้ัน กล่าว โดยสรุปจากความพยายามในการสร้างความใกล้ชิดกับชีอะห์ เราชาวซุนนะฮฺไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จากการพยายามทผ่ี า่ นมานอกจากได้ร้วู า่ หาความจริงใจและความบริสุทธ์ิใจจากชีอะห์ไม่ได้ สุดท้ายขอ ฝากให้ทุกคนได้ครุ่นคิดและระมัดระวัง จากท่ีพวกเราในฐานะองค์กรระดับโลกได้ลงพื้นท่ีจริงและคลุก คลีกับชีอะห์มาพอสมควร เราขอให้ทุกท่านสังเกตดูทุกพ้ืนที่ท่ีชีอะห์มีอานาจ ลองพิจารณาดูว่าพวกเขา ทาอะไรบ้างต่อชาวซุนนะฮฺ ทั้งในทวีปแอฟรีกาหลายประเทศ และประเทศอาหรับอีกหลายประเทศ อิรัก เยเมน ซีเรีย เลบานอน และประเทศอ่ืนๆ เราจึงขอสรุปว่า สาหรับชีอะห์ ยามอ่อนแอพวกเขาอา พรางตัวดูน่าสงสาร แต่ยามแข็งแกร่งพวกเขาห้าวหาญและไม่เคยปรานีที่จะยึดอานาจจากทุกคนเม่ือใด ทม่ี โี อกาส อย่างทไ่ี ดเ้ กิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จึงขอฝากให้ชาวซุนนะฮฺทุกคนเป็นการเฉพาะ จง ขยันขันแข็งในการปกป้องซุนนะฮฺให้ดี ก่อนท่ีลูกหลานของซุนนะฮฺเราจะถูกชีอะห์ครอบงา โดยเฉพาะ เยาวชนหนุ่มสาวท่ีอาจรู้ไม่เท่าทัน (ศ.ดร.ซ.(นามสมมุติ) และ ศ.ดร.ล. (นามสมมุติ),สัมภาษณ์เมื่อ 11- 01-2561, ประเทศกาตาร์, และ ดร. ม.(นามสมมุติ) (สัมภาษณ์เมื่อ 08-01-2561 ,ประเทศคูเวต) และ ความเหน็ ขา้ งต้นน้ีตอ้ งยอมรับวา่ มีนักวิชาการซุนนะฮฺหลายท่านที่เห็นด้วยทั้งนักวิชาการในประเทศไทย และประเทศอินโดนีเซีย ที่ทมี วจิ ัยไดส้ มั ภาษณ์มาซึง่ ผู้วิจัยขออนญุ าตไม่เอ่ยนาม อยา่ งไรก็ตาม แมค้ วามแตกตา่ งระหวา่ งซุนนะฮแฺ ละชีอะห์มีมาช้านาน และยากท่ีจะประสานกัน ให้เปน็ หน่งึ เดียว หากแต่การอยรู่ ่วมกนั บนความแตกต่างและเคารพซ่ึงกันและกันเป็นหนทางเดียวที่ช่วย บรรเทาบาดแผลที่เป็นอยู่ ดังน้ันเกี่ยวกับหลักการเพ่ืออยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันต์และเป็นเอกภาพใน ฐานะมุสลมิ และการประสานระหวา่ งแนวคิดท่ีตา่ งกนั ผวู้ ิจยั เหน็ ดว้ ยกบั ขอ้ เสนอของ ดร.มุหัมมัด อัล-ตัส คีรีย์ (2003) ที่ได้กล่าวถึงหลักการสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจกันระหว่างแนวคิดต้องวางอยู่บน พ้ืนฐานมารยาทท่ีดีงามและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นบวกต่อผู้เห็นต่าง ซึ่งหลักการสาคัญในการสร้าง สัมพนั ธอ์ นั ดรี ะหวา่ งแนวคดิ มหี ลายประการ กลา่ วโดยสรปุ ดงั นี้ คือ (1) ประสานจุดร่วม กล่าวคือ การช่วยเหลือและสนับสนุนกันในสิ่งท่ีเหมือนกัน เพราะความ เป็นจริงสิ่งท่ีมีเหมือนกันระหว่างแนวคิดมีมากมายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความเช่ือและการปฏิบัติ และบางคร้ังส่ิงท่ีเหมือนกันเกือบ 52 เปอร์เซ็นหรือมากกว่า 52 เปอร์เซ็นด้วยซ้าไป แต่กลับมองข้ามส่ิง ท่ีเหมอื นกัน แลว้ จับประเดน็ ที่ต่างกนั มาขยายความกันจนเกิดปัญหาบานปลาย ทาให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ซึ่ง
107 ไม่ใชว่ สิ ยั ของคนรกั สนั ติในแบบของอสิ ลามอนั เป็นศาสนาท่ีต้องการสร้างความสันติในทุกรูปแบบ ดังน้ัน ควรหันมามองในส่ิงที่เหมือนกัน แล้วมาร่วมกันทาให้ความเป็นเอกภาพแห่งอิสลามประจักษ์ชัดด้วยมือ ของพวกเราในฐานะพระเจา้ เดยี วกนั นบเี ดวี ยกนั และศาสนาเดยี วกัน (0) สงวนจดุ ตา่ ง คือ การให้อภัยกันเม่อื เห็นตา่ งหรอื ขัดแยง้ กัน ดังกล่าวนั้นเพราะเราเชื่อว่าการ วนิ ิจฉัยเปดิ กวา้ งให้ทกุ คนและทกุ แนวคิด ดังนั้นเป็นเร่ืองธรรชาติที่แนวคิดย่อมมีความเห็นท่ีแตกต่างกัน บ้าง ทั้งนี้เนื่องจากมีประเด็นที่เห็นต่างจึงต้องมีการวินิจฉัยกัน แน่นอนในศาสนาอิสลามไม่ได้ห้ามใน ความเห็นที่แตกต่างกัน แต่อิสลามห้ามขัดแย้งหรือแตกแยกกัน ความเห็นท่ีแตกต่างกันมุสลิมทุกคน จาเป็นจะตอ้ งอย่บู นความเหน็ ตา่ งระหว่างพีน่ ้องดว้ ยกนั ซง่ึ ความเหน็ ตา่ งจะไม่นามาซ่ึงความหายนะและ ความเสยี หายตราบใดไมแ่ ตกแยกกนั (3) ต้องระมัดระวังและห่างไกลจากการตัดสินหรือชี้ขาดว่าอีกฝ่ายหลงผิดหรือตกศาสนา(ตัก ฟีร้ ) หรือกลา่ วหาอกี ฝา่ ยว่าสร้างความหายนะและสร้างอตุ ริกรรมในศาสนา การตัดสินผู้คนว่าตกศาสนา เป็นความหายนะท่ีย่ิงใหญ่เป็นบททดสอบท่ีน่ากลัวมากในประวัติศาสตร์อิสลาม จากหลักการอิสลาม ระบชุ ัดเจนวา่ การตัดสินคนอ่ืนไม่เป็นท่อี นุญาต ดงั น้ันหากเปน็ ไปได้ขอเรียกร้องผู้ท่ีชอบตัดสินหรือช้ีขาด ผอู้ นื่ วา่ ตกหรอื ไมต่ กศาสนากลับมาพูดคาว่าถูกตอ้ งหรือไม่ค่อยถูกต้อง หากเป็นไปได้ควรเรียกร้องทุกคน ทุกฝ่ายกลับไปสู่อัล-กุรอานและซุนนะฮฺท่านนบีเท่านั้น ไม่ควรจะอธิบายเปรียบเทียบจนกลายเป็นการ ตัดสนิ วา่ มสุ ลมิ หรอื กาฟี้ร เปน็ ต้น (6) ไม่ควรอคติหรือถือทิฐิแนวคิดฝ่ายตรงข้าม และไม่ยึดติดคิดว่าแนวคิดของตนเองถูกต้อง ท้ังนเี้ นื่องจากการยึดติดคดิ วา่ แนวคิดของตนเองใช่และคนอน่ื ผิด จะนามาซึ่งความขัดแย้งและการตัดสิน คนอ่ืนตามอาเภอใจ ดังนั้นสิ่งที่เราควรทาคือนั่งแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างบริสุทธ์ิใจ เพราะองค์ ความรู้ทแ่ี ท้จรงิ ในศาสนาอสิ ลามไมอ่ นญุ าตให้ปกปิดหรือปิดกั้นไม่ให้ใครรู้ นอกจากน้ันองค์ความรู้ใหม่ๆ ทีเ่ ก่ียวข้องกับศาสนาที่ตอ้ งผา่ นการวิเคราะห์และวินิจฉัยควรมีการแลกเปล่ียนแสดงความเห็นอย่างเป็น ระบบเพ่ือไมเ่ ป็นการปกปิดองค์ความรู้ใหม่แก่สังคม (6) ควรจะให้เกียรติกันในขณะท่ีพูดคุยเสวนากัน ซ่ึงการพูดคุยจับเข่าคุยกันเป็นสิ่งที่เราควร กระทา การให้เกียรติและมีมารยาทในการสนทนาร่วมกัน เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสามารถนาเสนอ แนวความคิดอย่างเหมาะสม และใหอ้ ีกฝา่ ยสามารถตอบขอ้ ขอ้ งใจไดด้ ้วยมารยาทท่ีดีงาม (5) ควรหลกี เหลยี่ งและห่างไกลจากการดูหม่ินสิ่งศักด์สิทธิ์ของอีกฝ่าย เม่ืออีกฝ่ายยึดถือสิ่งหน่ึง เป็นสิ่งสาคัญหรือบูชา อีกฝ่ายก็ไม่ควรนาเอาสิ่งนั้นมาหลบหลู่หรือพูดล้อเลียนกับส่ิงที่เขายึดถือและยึด มัน่ เพราะการกระทาอยา่ งน้นั จะเป็นชนวนของความขัดแยง้ และแตกแยกกันอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้
108 ขอ้ เสนอแนะจำกผ้วู จิ ยั นอกจากหลักการสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจกันระหว่างแนวคิด ท่ีนาเสนอข้างต้นของ ดร.มุหัมมัด อัล-ตัสคีรีย์ (2003) ที่ได้กล่าวมา ซึ่งผู้วิจัยได้พยายามอธิบายเพ่ิมเติมแล้วในแต่ละข้อ หากแต่เพ่ือประโยชน์ของงานวิจัยช้ินนี้ที่ต้องการนาผลที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงในการ ลดความ ขัดแย้งระหว่างแนวคิด และยอมรับความแตกต่างอย่างบริสุทธิ์ใจ ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะเพิ่มเติมว่า แม้ เราจะคิดต่างหรือมีความเช่ือท่ีต่างกัน แต่ก็ไม่ควรจะเอาความเช่ือที่ต่างกันมาเป็นปัญหาในการใช้ชีวิต รว่ มกัน การมีความเชอื่ ท่ีต่างกันไช่วา่ จะตอ้ งประหตั ประหารกนั หรือต้องมองผู้คิดต่างเป็นคนแปลกหน้า ไม่ให้เกียรติ หรือตาหนิติเตียนกัน โยเฉพาะผู้ศรัทธาที่ต้องน้อมรับฟังคาบัญชาของพระองค์อัลลอฮ(สุบ หานะฮู วะตะอาลา)แกผ่ ูศ้ รทั ธาทง้ั หลายในอลั -กรุ อาน ดัง่ โองการ ความว่า “โอ้บรรดำผู้ศรัทธำท้ังหลำย ชนกลุ่มหน่ึงจงอย่ำตำหนิติเตียนหรือเยำะเย้ยกับชน อีกกลุ่มหน่งึ (ท่ีต่ำงกัน)เพรำะอำจเปน็ ไปได้ที่พวกเขำ(คือผู้ท่ีถูกตำหนิ)อำจจะดีกว่ำผู้ที่กำลัง ตำหนิผ้อู ่นื กไ็ ด้”(อัล-หุญรุ ้อต ,49 :11) ดังน้นั การตาหนิติเตียน หรือกล่าวร้ายผู้คิดต่างไม่ใช่วิถีของผู้ศรัทธา หากแต่ส่ิงท่ีควรทาคือการ ให้อภยั การปรองดอง การสมานฉันต์ และการทาความรู้จักกัน เพื่อให้รู้จริงว่าเขาคือใคร ใช่อย่างท่ีเรา คิดหรือไม่ ไม่ใช่แค่การสงสัยแล้วสรุปไปว่าเขาผิด ในบท(สูเราะห์)เดียวกันพระองค์อัลลอฮ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ไดท้ รงกล่าวเพือ่ สอนมารยาทแกผ่ ู้ศรทั ธาอีกวา่ ความว่า “โอ้บรรดำผู้ศรัทธำทั้งหลำย พวกเจ้ำจงห่ำงไกลจำกกำรคิดร้ำยหรือสงสัยซึ่งกัน และกนั เพรำะกำรสงสัยหรือคิดร้ำยนนั้ เปน็ บำป”(อัล-หญุ รุ ้อต ,49 :12) ดงั กล่าวนี้เป็นมารยาทของผู้ศรัทธาในการอยู่ร่วมกันในสังคมท่ีหลายหลาย เพราะชีวิตจริงของ มนษุ ยท์ กุ คนคือ เราตอ้ งอยู่กบั สังคมท่หี ลากหลาย เปน็ ไปไมไ่ ด้ทีจ่ ะใหท้ กุ คนคิดและเชื่อเหมือนตัวเองทุก อย่าง ทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม)จึงไดก้ าชับและบอกบรรดาผ้ศู รทั ธาว่า ความว่า “ผู้ศรัทธำท่ีใช้ชีวิตร่วมกันกับเพ่ือนมนุษย์ และอดทนอดกลั้นกับ(ควำม หลำกหลำย)ของคน(ที่อยู่ด้วยกัน) ย่อมดีกว่ำผู้ศรัทธำที่ไม่ใช้ชีวิตร่วมกันกับคนอื่น และไม่ สำมำรถอดทน(กับควำมหลำหลำยของคนได้)”(อัล-ติรมืซีย์, เลขท่ีหะดิษ : 2507 ,และ อิบนุ มาญะฮฺ ,เลขทหี่ ะดิษ : 4032 ) ทงั้ หมดนนั้ เป็นมารยาทของผ้ศู รทั ธาในการอยรู่ ว่ มกันกบั คนในสงั คมท่ีหลากหลาย หากสามารถ ปฏิบัติตามด่ังคาสอนข้างต้นสังคมมุสลิมและสังคมไทยคงจะน่าอยู่และเป็นสุขมากข้ึน เพราะวิสัยของผู้ ศรทั ธาท่แี ทจ้ รงิ คือการใหอ้ ภยั อดทน และไมค่ ดิ รา้ ยหรือสงสัยต่อเพอ่ื นร่วมโลก
109 ผลจากการศึกษาวิจัยในคร้ังน้ียังพบอีกว่า การไม่รู้จริงหรือฟังข้างเดียวโดยไม่คิดจะถามให้แน่ ชัดว่าคนท่ีเราสงสัยว่าผิดใช่อย่างที่คนเขาพูดหรือไม่ ส่ิงนี้เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยเรา เพราะคน ส่วนใหญร่ ้จู กั คนอ่นื จากปากหรือขอ้ มลู จากคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าตัว เช่นคนไทยรู้จักมุสลิมจากสื่อของยิวเป็น ต้น หรือซุนนะฮฺรู้จักชีอะห์จากปากของกลุ่มวะฮาบีย์หรือกลับกัน ดังกล่าวนั้นเป็นบ่อเกิดของปัญหา เพราะเจ้าตัวไม่มีสิทธิ์อธิบายท่ีตนเองถูกกล่าวหาต่างๆนาๆแต่ก็ถูกสังคมประณามไปเรียบร้อยแล้ว จึง เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน และอาจเกิดปัญหาบานปลายรุนแรงถึงขั้นชีวิตได้ ดังนั้นผู้วิจัยเห็นว่าการไม่ด่วน สรุป และหาวิธีการสร้างความเข้าใจกันและเรียนรู้กันให้รู้จักตัวตนของผู้คิดต่างเป็นเร่ืองท่ีสาคัญ ทั้งน้ี เพ่ืออยู่ดว้ ยกนั บนฐานความเข้าใจผู้คิดต่างอย่างถูกต้องและเป็นธรรมแก่เขา โดยเฉพาะมุสลิมในฐานะผู้ รว่ มศาสนาเดยี วกัน ตราบใดที่เขาไม่ปฏิเสธต่อหลักการพ้ืนฐานแห่งอิสลาม ทั้งหลักศรัทธา(อัล-อีหม่าน) หลกั ปฏบิ ตั (ิ อลั -อิสลาม) และหลกั คณุ ธรรมจรยิ ธรรม(อัล-อฮิ ซาน) กถ็ ือวา่ เป็นพนี่ อ้ งกนั ส่วนข้อปลีกย่อยอ่ืนๆท่ีไม่ใช่หลักการสาคัญของอิสลามก็อนุญาตให้มีการวินิฉัยได้หากผู้นั้นมี ความสามารถตามเงื่อนไขของนักการวินิจฉัยท่ีได้กาหนดไว้ และหากเขาวินิจฉัยได้ถูกต้องสาหรับเขาจะ ไดร้ บั สองผลบุญหรอื สองความดี และหากเขาวินิจฉัยผิดพลาดสาหรับเขาก็จะหน่ึงผลบุญหรือหนึ่งความ ดี แต่เขาต้องรับผิดชอบต่อพระองค์อัลลอฮฺในส่ิงท่ีเขาเชื่อ ดังนั้นไม่มีประโยชน์อะไรท่ีจะโกรธเคืองกัน หากทุกฝ่ายบริสุทธิ์ใจ(อิคล้าส)ต่ออัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) ใครผิดใครถูกรู้กันวันหน้าอย่าง แนน่ อน ดงั น้ันทีส่ าคญั ท่ีสดุ ในโลกนก้ี อ่ นโลกหนา้ คอื อยดู่ ้วยกนั อย่างสมานฉนั ท์และเป็นเอกภาพในฐานะ มุสลิมดว้ ยกนั จากผลการวิจัยเช่นกัน ผู้วิจัยเห็นว่า ปัญหาความแตกแยกตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน ส่วน ใหญ่หรือเกือบทัง้ หมดเร่ิมต้นจากขัดกันเร่ืองผลประโยชน์ทางโลก โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางการเมือง แล้วนาเอาความขัดแย้งทางการเมืองเข้าไปในศาสนา หมายถึง เม่ือตนเองต้องการอย่างไรก็พยายามหา เหตุผลเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นหรือความต้องการของตนเอง และเหตุผลที่มีน้าหนักมากที่สุดคือ เหตุผลจากหลักการศาสนาหรือบทบัญญัติทางศาสนา เมื่อนาเอาการเมืองเข้าโบสถ์ เข้าวัด และเข้า มัสยิด ผลประโยชน์ทางการเมืองก็กลายเป็นผลบุญและผลบาปตามนักการศาสนาท่ีเป็นเหย่ือของ นกั การเมอื งอีกทอดหนง่ึ ซง่ึ สิ่งนีเ้ กิดขึ้นจรงิ หากผลประโยชน์มาบังตานักการศาสนา และเกิดขึ้นแน่นอน หากแรงศรัทธาหรืออิหม่านไม่สามารถเอาชนะผลประโยชน์ทางโลกได้ จึงขอเสนอให้ผู้ที่ต้องการสร้าง ความปรองดองและสรา้ งความสมานฉนั ต์ให้คนในสงั คมหรือในประเทศท่ีมีความเห็นต่าง ต้องเป็นบุคคล ที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงเท่านั้น มิเช่นนั้นก็จะเป็นแค่การจัดฉากเพ่ือผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างไม่มี สิ้นสดุ ข้อเสนอแนะสุดท้าย จากการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยพบว่า ความแตกแยกที่บานปลายของคนใน อดีต ส่วนหนึ่งมาจากผู้ตามท่ีไร้ขอบเขต กองเชียร์ท่ีสร้างความเสียหาย ผู้สนับสนุนที่บ้าคลั่งไม่ฟังผู้นา เป็นเหตุให้สถานการณ์บานปลายจนยากท่ีจะแก้ไข ดังนั้นการควบคุมกองเชียร์ไม่ได้ และไม่สามารถสั่ง ใหผ้ สู้ นบั สนนุ หยดุ ได้ เปน็ ปญั หาท่ีต้องแก้ไข ทั้งระดับสังคมและระดับประเทศ เพราะหลายเหตุการณ์ที่
110 แกนนาไม่ได้ส่ังแต่ผู้สนับสนุนทาเอง จึงควรจะต้องจัดระเบียบผู้สนับสนุนให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของ ผนู้ าอยา่ งแทจ้ ริง ไมค่ วรปล่อยให้ผ้ตู ามคดิ ก่อนผู้นา ตดั สนิ แทนผู้นาอย่างทเ่ี กิดขึ้นในสงครามศิฟฟีน จาก ผู้ตามหรือผ้สู นับสนนุ ทีไ่ รม้ ารยาทกลายเป็นพวก อัล-ฆอวาริญ ไม่ยอมเชื่อฟังผู้นาในวันน้ัน และแน่นอน ผตู้ ามแบบน้ียอ่ มเปน็ อนั ตรายต่อผนู้ าเอง และต่อสังคมโดยรวม อย่างท่ีพวก อัล-ฆอวาริญ ในวันน้ันท่ีฆ่า ผู้นาตัวเอง คือ ท่าน อะลี บิน อะบีฏอลิบ และยังสร้างความเดือดร้อนจวบจนปัจจุบัน และผู้ตามหรือ ผูส้ นบั สนุนแบบ พวกอัล-ฆอวารญิ ก็มีไมน่ ้อยในสงั คมมสุ ลิมตลอดจนในสังคมไทยเอง ข้อเสนอแนะในกำรทำวจิ ยั ครงั้ ต่อไป หลงั จากได้ทาการการศกึ ษาวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยเห็นว่าหากสามารถต่อยอดงานวิจัยในประเด็นท่ี ใกล้เคียงหรือเกี่ยวข้องกันกับงานวิจัยน้ีอาจจะมีประโยชน์ต่อวงวิชาการและนักการศาสนาพอสมควร ดงั นั้นจงึ ขอเสนอเพือ่ การศึกษาวิจัยในครั้งต่อไป ดังน้ี 1 – บทบาทและประวัติศาสตร์การเผยแพรแ่ นวคดิ ชอี ะห์ ในประเทศไทย 2 - บทบาทและประวตั ศิ าสตรก์ ารเผยแพร่แนวคดิ อะฮฺลสิ -ซุนนะฮฺ ในประเทศไทย 3 - เปรยี บเทยี บแนวคิดการสร้างสันติภาพและภาราดรภาพมสุ ลมิ ระหวา่ งซนุ นะฮฺ และชีอะห์
111 บรรณำนกุ รม กามัล มสุ ตอฟา อลั -ชัยบยี ์ ,2011, อัล-สลิ ะฮ์ บยั นำ อัล-ตะเซำวุฟ วำ อัล-ตะชัยยุอฺ ,ดารรุ้ล มะอาริฟ อยี ปิ ต์ ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญยี ์,1997 ,ฟริ อ็ ก มุอำศอเรำะห์ ตันตะซบิ อิลัล อิสลำม วะ บำยำน เมำกิฟ อสิ ลำม มินฮำ , มหาวทิ ยาลัยอสิ ลามแหง่ มะดีนะฮฺ ,ซาอดุ ีอารเบยี ชมรมตับลฆี แหง่ ประเทศไทย ,0606, .คู่มอื กำรตับลีฆ .มปพ. ชัยคลุ อิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ , 2008 ,มนั ฮำญุ อสั ซนุ นะฮฺ อลั -นะบะวียะฮฺ ฟี นกั ฏี กะลำม อลั - ชีอะห,์ มหาวิทยาลัยอิหม่าม อัล-สอุ ดู ซาอุดีอารเบีย ซฟุ อนั อุษมาน และอุษมาน อิดริส .พ.ศ.2547 .ขบวนกำรวะฮะบีย์นิยำมและควำมหมำย. สานักพิมพ์ อิสลามิค อะเคเดมี: กรงุ เทพฯ ซยั ยดิ ซาบกิ ,1997 .ฟิกฮฺ อลั -ซุนนะฮฺ.ชารอกะฮ์ มะน้าร อัล-เดาลียะฮฺ . กรุงไคโร อยี ิปต์ ซยั ยดิ อบั ดลุ เราะซลู้ อัล-มซู ะวีย์,2000 ,อลั -ชอี ะห์ ฟี อลั -ตำรคี้ ,มักตบั อลั -มดั บูลยี ์ ศนู ยก์ ษัตรยิ ์ฟาฮดั เพื่อการพิมพ์อัลกรุ อาน ,1419, พระมหำคมั ภรี อ์ ัลกุรอำน พร้อมคำแปลเปน็ ภำษำไทย, มะดนี ะฮฺ ,ซาอดุ ีอารเบีย ศอลหิ อัล-วิ้รดานีย์ ,มปป.,ฟิร็อก อะฮลฺ สิ -ซนุ นะฮฺ ญะมำอำ้ ต อัล-มำฏี วะ ญะมำอำ้ ต อัล-ฮำฏิ้ร , มัรกัส อัล-อบั ฮ้าซ อัล-อากีดียะฮฺ กรุงไคโร ศอลิห บิน อับดรุ เราะห์มาน อลั -ดะค้ีล ,มปป.,คอศออสิ้ อะฮลฺ สิ -ซนุ นะฮฺ วลั -ญะมำอะฮ์ ดรี อซะฮ์ วะ บะยำน , ดษุ ฎนี ิพนธส์ าขาวชิ าดะอฺวะฮฺและอุศุลุดดีน มหาวทิ ยาลยั อุมมลุ้ กรุ อ ประเทศซาอดุ ี อารเบยี ญะฟรั อัล- ซบุ ฮานี ,1421,อัล-ชอี ะห์ ฟี เมำกิบี อลั -ตำรคี้ ,มุอัสสะสะฮ์ อหิ ม่าม อลั -ศอดกิ นาซิรดุ ดี้น อัลบานีย์ ,1995, ซิลซลี ะฮ์ อลั -ศอฮีฮะฮ์ , มักตะบะฮฺ อัล-มาอาริฟ,ซาอุดีอารเบยี มะสาการี อาแด .0663 . แนวคิดเชิงซูฟีของกลุ่มดะวะห์ตับลฆี ในจังหวัดชำยแดนใต้.วิทยาลยั อิสลามศึกษา มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปัตตานี. มานอิ ฺ บนิ ฮามดิ อลั ญุฮานีย์ ,0667, อัล-เมำซูอะฮ์ อัล-มุยัสสะเรำะห์ ฟี อัล-อดั ยำน วัลมำซำฮิบ อลั - มุอำศอเรำะห์ ,แปลโดย เชคริฎอ อะหมัด สมะดี สถาบันวามยี ์ มุหัมมดั อะบู ซะฮ์เราะห์, มปป.อัล-มะซำฮบิ อลั -อิสลำมียะฮฺ,อลั -มัฏบะอฺ อัล-นะมูซาญียะฮฺ ,กรงุ ไคโร มันนาอฺ อลั -ก้อฏฏอน,1989,ตำรค้ี อัล-ตชั เรียะอฺ อัล-อสิ ลำมยี ์,มกั ตะบะฮฺ วฮั บะฮฺ กรุงไคโร
112 มหุ มั มดั หุเซน อลั -ซีน, 1938, อลั -ชีอะห์ ฟิ อัล-ตำรคี้ , มฏั บะอะฮ์ อัล-อริ ฟาน มหุ ัมมัด หเุ ซน อลั -มซั ฟรั ,1985, ตำร้ีค อลั -ชีอะห์ , ดา้ ร อัล-ซะฮ์ร้ออฺ ลิ อลั -ฏิบาอะฮ์ รอฆบิ อลั -ซุรญานีย์ ,2009, อศุ ้ลู อัล-ชอี ะห์ วะ มุอตฺ ะกอด้ำตฮิ ิม อับรอ อลั -ตำรี้ค,ท่ีมา www.islamstoyry.com รอญบั อัล-บนั นา,2005, อัล-ชอี ะห์ วะ อัสซุนนะฮฺ วะ อคิ ติลำ้ ฟ อัล-ฟิกฮฺ วลั ฟกิ ฮรฺ วะ อลั -ตำรี้ค , ด้าร อลั -มะอาริฟ สภายวุ มุสลิมโลก wamy ,2012,กลุ่มลัทธิ อัล-ซัยดียะฮ,ฺ แปลโดย อันวา สะอุ สภายุวมสุ ลิมโลก wamy ,1999,อลั -เมำซูอะฮ์ อัล-มุยัสสะเรำะห์ ฟี อัล-อัดยำน วัลมำซำฮิบ อัล-มุอำ ศอเรำะห์ ,มกั ตะบะฮฺ อลั -อิรชา้ ด ศอนอาอฺ สะอ้ดี อิสมาอลี ,1989, ฮำกีกอตุล คลี ำ้ ฟ บยั นำ อุละมำอฺ อัล-ชีอะห์ วำ ญุมฮู้ร อุละมำอฺ อัล-มุสลิมีน ,สภายุวมสุ ลมิ โลก wamy สะอฺดยี ์ อลั -ฮาชมี ีย์,2010, อิบนุ สะบะอฺ ฮำกเี กำะห์ ลำ คอย้ำล ,มักตะบะฮฺ อัล-ด้าร อัล มะดีนะฮฺ หะซัน บนิ มูซา อัล-นูบฆั ตีย์ และสะอดั บนิ อบั ดุลเลาะห์ อัล-กมุ มยี ์,1992 , ฟิรอ็ ก อลั -ชอี ะห,์ ด้าร อัล-รอชา้ ด ลิล ฏอบะอฺ อะบิล ฟิดาอฺ อัล-ฮาฟิส อบิ นุ กะซีร้ , 1998,ตฟั ซรี้ อัล-กุรอำนุ อลั -อะซีม ,ดารุ้ลฟกิ ฮฺรี เบรุต อะบิล อลั -ฟะร้อญ อับดุรเราะห์มาน บนิ อัล-เญาซีย,์ 1403. ตลั บสี ลุ อิบล้สี ด้าร อัล-กอลมั เบรตุ อะบี มนั ซูร้ อลั -บฆั ดาดยี ์,1970 , อลั -ฟัรกู บัยนำ อัล-ฟริ ็อก , มกั ตะบะฮฺ อบิ นุ ซนี า กรุงไคโร อยี ปิ ต์ อะบุล หะซนั อัล อชั อะรยี ์, 2000,มะกอล้ำต อลั -อิสลำมียีน วำ อลั -อิคตลิ ำ้ ฟ อัล-มซุ ้อลลนี , อัลมัก ตะบะฮฺ อัล-อสั รียะฮฺ อะบลุ ฟฏั ล อัล-บรั กีอยี ์ , 2013, ซะวำนฮิ อัล-อยั ยำม อัยยำม มิน ฮำยำตยี ,์ อัล-อะบีกำน ลินนชั รีย์ , อหี รา่ น อะบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อัล-ซะฮร์ ้อสตานยี ์,1553 ,อัล-มลิ ัล วลั นฮิ ัล , ดา้ ร อลั -มะอารฟิ ลุบนาน อะบู อะวาอ้ิล อัล-เกาซะรยี ์ ,มปป ,ชีอะห์กับควำมเชือ่ ต่อ อัล-กรุ อำน จดั พิมพโ์ ดย อศั -ศอดิกูน อะบู อบั ดิลลอฮ ชัมชดุ ดนี มุฮมหมดั บนิ อะฏออ,ฺ 2017 ,ฟัฏลลุ้ มุนอิม ฟี ชั้รฮู ศอเฮ้ียะ มุสลิม , อัล- มักตะบะฮฺ อัล-วักฟียะฮฺ
113 อะมีน บนิ อัลดลุ เลาะฮ์ อัล-ชากอวยี ์,2013, ควำมเชื่อชอี ะห์ รอฟเี ฏำะฮ์,แปลโดย อัสรัน นิยมเดชา ,ทม่ี า islamhouse.com อะฮห์ มัด กามา้ ล อะบุล-มะญัด ,1988, ฮวี ำ้ ร ลำ มวุ ำญะฮะฮ์ ดรี อซำ้ ต เฮำลัล อิสลำม วัลอัสร, กตี ้าบ อลั -อะรอบีย์ อิบนุ ฮะญ้ัร อัล-อัสกอลานยี ์ อะลี บิน อะฮห์ มดั , 2015, ฟตั ฮุ้ล บำรยี ์ อัลบคุ อรีย์ , อลั -มักตะบะฮฺ อลั - วกั ฟียะฮฺ อิสมาอลี ฎลุ ฟี จะปะกียา,2560,ควำมเปน็ พ่นี ้องในอิสลำม รำกฐำนแห่งประชำติเดียวกัน,(เอกสาร ประกอบการสมั มนาวิชาการ)มหาวิทยาลยั ฟาฏอนี อิสมะอลี อบิ นุ กะซ้ีร , 1997 ,ตฟั ซ้ีร อัล-กรุ อำนุ อัล-อำซีม, ด้าร อัล-ฟิกฮฺรี เบรตุ ลบุ นาน อสิ มะอลี อบิ นุ กะซร้ี , 1990 ,อัล-บีดำยะฮฺ วัล นฮี ำยะฮฺ มักตบั อลั -มะอารฟิ เบรุต อิฮซาน อลี าฮีย์ ศอฮี้ร ,1995, อลั -ชอี ะห์ วะ อัล-ตะชยั ยอุ ฺ ฟิรอ็ ก วะ ตำรค้ี ,ด้าร อลั -สลาม ลลิ เตา เซยี ะอฺ กรงุ ลาโฮร์ ปากสี ถาน อฮิ ซาน อลี าฮยี ์ ศอฮ้รี ,1972,อัล-ชีอะห์ วะ อลั -ซนุ นะฮฺ, อิดาเราะห์ ตัรญมุ าน อัสซนุ นะฮฺ กรุงลาโฮร์ ปากีสถาน อบั ดลุ เลาะห์ ฟียา้ ฏ,1970,ตำรี้ค อลั -อมิ ำมียะฮฺ วะ อสั ลำฟิฮิม มิน อัล-ชอี ะห,์ มัฏบะอฺ อัสอดั แบกแดด อบั ดุลเลาะ หนม่ สุข ,มปป.วะฮำบียะฮฺ เป็นลทั ธิใหม่ในอสิ ลำมจรงิ หรือ,ทีม่ า islammore.com อับดุลลอฮ บนิ มหุ มั มัด อสั สะละฟยี ์ ,2009, ควำมเช่อื บำงประกำรของชีอะฮฺ ,แปลโดย อบู หะซัน เวบ็ ไซต์ปกป้องซุนนะฮฺ dd-sunnah.com อับดุลฮาดี อับดุลฮามด้ี ศอลิห ,2016, อะคอวีย์ ตะอ้ำล นะตะฟำฮมั หิว้ำร บยั นำ ดะอ้ญี วะ ญะอฺฟัร ,มักตะบะฮฺ คูเวต อลั –กลู ยั นีย์ ,2005, อศุ ู้ล อัล-กำฟยี ์ ด้าร อลั -มุ้รตะฏอ ลิ อัล-ฏิบาอะฮ์ เบรตุ อลั -ชค้ี มหุ ัมมดั หุเซน อ้าล กาชฟิ อัล-ฆิฏ้ออฺ ,1952,อศั ลุ ชอี ะห์ วะ อศุ ูลุฮำ , ฏ้อบอะ อะลาอุดดีน อา้ ล ญะอฺฟัร . เมืองกุม อหิ รา่ น อัล-ชี้ค มะญีด้ อลั -ศออิ้ฆ , 1435, อัล-ชอี ะห์ รวุ ำ้ ด อลั -อัดลุ วะ อลั -สลำม , มุอัสสะสะฮ์ อัล-บะล้าฆ กรงุ เบรุต ลุบนาน อัล-ชค้ี มุหมั มดั อะลี อลั -ตสั ครี ยี ์, 2003,มุอตฺ ะมรั อลั -ตกั รีบ บัยนำ อัล-มะซำฮิบ อัลอิสลำมียะฮฺ,อัล-ฮี ดายะฮฺ ,บาฮ์เรน
114 อัล-ช้ีค อลั ศอดู้ก ,1993, อัล-เอยี ะตีกอดำต ฟี ดนี นี อลั -อมิ ำมยี ะฮฺ , ด้ารุล มุฟดี ลิตฏบิ าอะฮ์ วนั นชั รี วัตเตาซีอฺ เบรตุ ลุบนาน อลั -ซยั ยิด อะบุล ฟฏั ลฺ บิน อัล-ริฏอ อลั บรุ กอีย์ อลั กมุ มยี ์ ,2013,สะวำนฮิ ฺ อัล-อัยยำม อัยยำ มนิ ฮำยำ ตีย,์ ด้าร อลั -อะกีดะฮ์ ลิลนชั รี วตั เตาซอี ฺ หะซนั นมิ าตลุ เลาะ,2005, หะรอกะฮฺ อลั -อิสลำฮ.ฺ มปพ.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124