41 ทัศนะของชาวชีอะห์เห็นวา่ ที่มาของชีอะห์คือวันประชุมใหญ่ อัล-ซะกีฟะฮ์ กล่าวคือ หลังจากท่ีท่านนบี (ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลมั )เสียชีวิตลงประมาณปีที่ 11 แห่งฮิจเราะห์ศักราช ท่านได้ให้ความเห็นว่า “แท้จริงชีอะห์ได้ก่อตัวข้ึนหลังจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เสียชีวิต ซ่ึงครอบครัวของ ท่านหรือ(อะฮ์ลุลบัยต)พวกเขามีความเห็นว่าผู้ที่เหมาะสมที่จะได้เป็นผู้นาสูงสุดคือผู้ที่มาจากครอบครัว ของท่านนบีไม่ใช่แค่เพียงเป็นชาวกุร็อยช์เท่านั้น และนักวิชาการท่ีสนับสนุนความเห็นดังกล่าวคือ อิบนุ คอลดูน ดังกล่าวนั้นทาให้บรรดาสาวก(ศอหาบะฮฺ) ของท่านนบีส่วนหนึ่งเห็นชอบและสนับสนุนให้ ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ขึ้นเป็นผู้นาสูงสุด และพวกเขาเห็นว่าท่านอะลี บิน อะ บีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) มีสิทธ์ิเหนือกว่าคนอื่นๆ หากแต่เม่ือมีการแต่งต้ังบุคคลอื่นข้ึนมาเป็นผู้นา พวกเขาจึงเกิดความไม่พอใจจากการกระทาดังกล่าว(อะบิล มันซู้ร มุหัมมัด อัล-บัฆดาดีย์,มปป.) นอกจากน้ยี งั มนี ักบรู ภาคดีบางทา่ นทสี่ นับสนุนแนวคิดน้ี เชน่ (Gold Tzheir)เช่นเดียวกันน้ันนักวิจัยบาง ท่าน เช่น หะซนั อิบรอฮีม และอะหมัด อามนี อลั -มีสรยี ์ โดยเฉพาะ ซยั ยดิ มุฮซนิ อัล-อามีน ได้กล่าวว่า แท้จริงชีอะห์ได้ก่อตัวข้ึนในวันท่ีเกิดความขัดแย้งกันขณะที่จะมีการแต่งต้ังผู้นาสูงสุด(คอลีฟะฮฺ) ในวันที่ ทา่ นนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม)ได้เสยี ชีวติ (ซยั ยดิ อบั ดุลเราะซ้ลู อัล-มูซะวยี ์ ,2000 ) อับดุลเลาะห์ ฟีย้าฏ (1970) ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แท้จริงบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับการให้ สัตยาบันแก่ท่านอะบูบักรอัล-ศิดด้ีก ในวันประชุม อัล-ซะกีฟะฮ์ พวกเขาเหล่านั้นได้ก่อร่างสร้างตัวใน นามอันเป็นท่ีรู้จักว่า “กลุ่มชีอะห์” และการท่ีพวกเขาเหล่านั้นมีความเห็นว่า อะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ)สมควรเป็นผู้นาสูงสุดหลังจากที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) เสียชีวิต ไม่ใช่เป็นความเห็นที่บังเอิญในวันประชุม อัล-ซะกีฟะฮ์เพียงเท่าน้ัน โดยไม่ได้มีมูลความคิดน้ีมาก่อน ล่วงหน้า กลา่ วคอื ในความเห็นของ อับดลุ เลาะ ฟีญาส เห็นว่า ความคิดเห็นดังกล่าวย่อมมีมาแล้วก่อนที่ ท่านนบจี ะเสียชีวิตดว้ ยซา้ ไป ใช่ว่าจะเกดิ ความคดิ นห้ี ลงั จากที่ท่านนบีเสยี ชวี ติ แลว้ เทา่ นัน้ ชอี ะห์เกิดขน้ึ ในวนั ท่ี อษุ มำน บิน อัฟฟำน ถกู สงั หำร อะบี อัล-ฟัตฮฺ อัล-ชะฮ์รุสตานีย์ (1993 ) ได้ระบุในหนังสือประวัติศาสตร์อัล-มิลัล วัล-นิฮัล ว่า “ชีอะหไ์ ดเ้ กิดขึ้นในวันที่ อุษมาน บิน อัฟฟาน ถูกสงั หาร และแทจ้ ริงพวกเขาคือพวกอัล-รอฟีเฏาะห์หรือ พวกชีอะห์ ซึ่งพวกเขาไม่ใช่มุสลิม แท้จริงพวกเขาคือกลุ่มหนึ่งท่ีเกิดข้ึนหลังจากท่ีท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลัม) เสยี ชวี ติ ประมาณ 06 ป”ี ทัศนะดังกล่าวมีนักประวัติศาสตร์อีกท่าน คือ อิบนุ อัล-นะดีม อัล-บัฆดาดีย์ (มปป.)ท่ีกล่าวว่า “วนั ท่ีทา่ นอุษมาน บิน อฟั ฟาน(รอฏยี ลั ลอฮุ อันฮุ) ถูกสังหารนั้น มุสลิมได้แตกออกเป็น 0 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่สนับสนุนท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) และกลุ่มท่ีสนับสนุนท่านมุอาวียะฮฺ บิน อะบี ซุฟยาน(รอฏียลั ลอฮุ อันฮุ) และมีนักวิชาการบางส่วนที่เห็นว่า แท้จริงชีอะห์ได้เกิดขึ้นในช่วงปลาย การปกครองของคอลีฟะฮฺ อุษมาน บิน อฟั ฟาน (รอฏยี ลั ลอฮุ อันฮุ ) และแข็งแกรง่ และชัดเจนขึ้นในช่วง สมยั ของทา่ นอะลี บิน อะบีฏอลบิ (รอฏียัลลอฮุ อนั ฮ)ุ มุหัมมัด ยูซุฟ มะฮมูด ศอยาม (2010) ได้กล่าวถึงท่ีมาของชีอะห์ว่า ความวุ่นวายท่ีเกิดขึ้นของ กลุ่มชีอะห์ไดเ้ ริม่ ตน้ ตั้งแต่สมยั อะลี บิน อะบฏี อลิบ(รอฏยี ลั ลอฮุ อนั ฮ)ุ จะถกู สถาปนาเป็นผู้นาสูงสุด (คอ ลีฟะฮฺ) หลังจากที่อุษมาน บิน อัฟฟาน (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ถูกสังหาร ช่วงน้ันเป็นช่วงที่บรรดาศอ
42 หาบะฮกฺ าลังจะสถาปนาอะลี บิน อะบีฏอลิบ และให้สัตยาบันแก่อะลี เพ่ือเป็นคอลีฟะฮฺ แต่มีกลุ่มมุอาวี ยะฮฺ อิบน อะบี ซุฟยาน(รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ที่ต้องการสะสางผู้ท่ีฆ่าอุษมาน บิน อัฟฟาน และในช่วงน้ัน จึงมาการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ซึ่งในยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นบรรดาสาวก (ศอหาบะฮฺ) ส่วนใหญ่ หรือ บรรดามุสลิมหลังจากศอหาบะฮฺ (ตาบีอีน) มุสลิมในยุคน้ันส่วนมากเห็นว่าอะลี บิน อะบีฏอลิบ เป็นผู้ท่ี เหมาะสมกว่ามุอาวียะฮฺ อิบน อะบี ศุฟยาน เพราะมุสลิมทุกคนและส่วนใหญ่ในยุคน้ันพร้อมใจท่ีจะให้ สัตยาบนั แกท่ า่ นอะลี บิน อะบฏี อลิบ เปน็ ผนู้ าสงู สุด (คอลฟี ะฮฺ) คนตอ่ ไป ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญยี ์ (1997) ได้แสดงความเห็นในข้อนี้ว่า ไม่มีเหตุผลเพียงพอท่ีจะบอกว่า ยุคนี้เป็นยุคแรกของชีอะห์ เนื่องจากในยุคน้ีมุสลิมส่วนใหญ่เห็นว่าอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) เหมาะสมกว่ามุอาวียะฮฺ ที่จะเป็นผู้นาสูงสุด แต่พวกเขาไม่ได้สร้างความเสี่ยมเสียและต่อต้านกับ ฝ่ายท่ีเห็นต่างแต่อย่างใด และไม่มีการสาปแช่งหรือตัดสินอีกฝ่ายว่าหลงผิดหรือตกศาสนา และไม่ได้ ปฏบิ ัติต่อมสุ ลิมทีเ่ หน็ ต่างเหมือนผู้ทตี่ กศาสนา (กาฟี้ร) พวกเขาเหล่านั้นยังเชื่อว่าผู้เห็นต่างยังเป็นพ่ีน้อง มุสลิม และการขัดแย้งในยุคนั้นเป็นเพียงการขัดแย้งเฉพาะในด้านการเมืองการปกครองเท่านั้นไม่ได้ เก่ยี วขอ้ งกับความเชื่อหรอื ศาสนาแต่อย่างใด ชอี ะหเ์ กดิ ขึ้นหลังสงครำมอฐู (ญะม้ลั ) หะซนั บนิ มูซา อลั -นบู ัฆตีย์ และสะอดั บิน อับดุลเลาะห์ อัล-กุมมีย์ (1992) ได้ให้ความเห็นว่า หลังจากบรรดามสุ ลมิ ใหส้ ตั ยาบนั ต่อทา่ นอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏยี ัลลอฮุ อันฮุ) มุสลิมก็แตกออกเป็น กล่มุ ตา่ งๆ คือ 1) กลุ่มที่ให้สัตยาบันต่อท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุม) ซึ่งเป็นกลุ่มมุสลิมส่วน ใหญ่ 2 ) กลุ่มท่ีแตกออกไปกับท่านสะอัด บิน มาลิก บิน อะบีวักก้อส(รอฏียัลลอฮุ อันฮุม) กลุ่มนี้ได้ ถอยออกห่างจากทา่ นอะลี บิน อะบฏี อลบิ (รอฏยี ลั ลอฮุ อันฮุ) แต่ไม่ขัดขวางหรือทาสงครามกับท่านอะลี แต่อยา่ งใด และ 3) กลุ่มท่ีขัดแย้งกับท่านอะลี พวกเขาเหล่าน้ันประกอบไปด้วยฏ้อลฮะ บิน อับดุลเลาะห์ อัล-ซู เบ้ร บิน อัล-เอาวาม และท่านหญิง อาอีชะฮ์ บินตี อะบี บักร (รอฏียัลลอฮุ อันฮุม) พวกเขาเดินทางไป ยังกรุงบัสราแห่งอีรักและสุดท้ายกลุ่มนี้ได้ทาสงครามกับอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ที่รู้จัก กันในนามว่า สงครามอูฐ หรือ(ญะม้ัล) ทั้งนี้เนื่องจากท่านหญิง อาอีชะฮ์ บินตี อะบี บักร (รอฏียัลลอฮุ อันฮา) ไดข้ ีอ่ ฐู มาในคร้ังนนั้ หลังจากที่ท่านซุเบร และ ฏ้อลฮะห์ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุมา) เกิดความขัดแย้งกับอะลี บิน อะ บีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) และปฏิเสธที่จะให้สัตยาบันต่อท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ พวกเขายืนยันว่า ทา่ นอะลี จะตอ้ งสะสางผู้ที่ฆา่ ท่านอุษมาน บิน อฟั ฟาน ใหเ้ รยี บรอ้ ยก่อน ทาให้ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ จาต้องทาสงครามกับพวกเขา และสงครามครั้งนั้นก็ได้เกิดขึ้นในเมืองบัสราประเทศอีรัก และคนที่อยู่ เคียงขา้ งอะลี (รอฏียลั ลอฮุ อันฮ)ุ ในวันน้ันคือผู้ที่ชีอะห์ตอ่ อะลี (ซัยยดิ อับดลุ เราะซู้ล อัล-มูซะวีย์ ,2000 และอัล-ชี้ค มุหัมมดั หุเซน อ้าล กาชฟิ ,1952)
43 ชอี ะหเ์ กิดขึน้ หลงั จำกสงครำมศิฟฟนี หะซัน บิน มซู า อลั -นูบัฆตยี ์ และสะอดั บนิ อบั ดลุ เลาะห์ อลั -กมุ มยี ์ (1992 ) และซัยยิด อับดุล เราะซู้ล อัล-มูซะวีย์ (2000) ได้กล่าวว่า นักวิชาการชีอะห์บางกลุ่มมีความเห็นว่า ชีอะห์เกิดข้ึนวันท่ี พวกฆอวาริญ11ได้เดินทางออกจากหมู่บ้านศิฟฟีน12 กล่าวคือ ขณะท่ีกาลังประหัตประหารกันระหว่าง ฝ่ายอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) กับมุอาวียะฮฺ อิบนุ อะบี ศุฟยาน (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ณ สถานท่ีแห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านศิฟฟีน แล้วเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเพราะทั้งสองฝ่ายต้องการเจราจา สงบศกึ จงึ ทาใหส้ ่วนหนงึ่ ทีไ่ มพ่ อใจกบั การตดั สินใจของอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) จึงถอน ตัวออกจากสมรภูมิและกลายเป็นพวกฆอวาริญ และบางส่วนก็ยังอยู่เคียงข้างอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อนั ฮ)ุ ซ่งึ พวกเขาคอื ชอี ะห์ นักวชิ าการท่ีสนับสนุนความเห็นดังกล่าว คือ นักบูรภาคดีท่ีนามว่า (Montgomery Watt)13 มี ความเห็นว่า“แท้จริงกลุ่มชีอะห์ได้เกิดข้ึนในปี 568 คศ.หรือปี 37 ฮศ. ขณะที่มีคนกลุ่มหนึ่งท่ีคอย ตดิ ตามท่านอะลี บิน อะบฏี อลบิ (รอฏยี ลั ลอฮุ อันฮ)ุ และพวกเขากล่าววา่ “พวกเราจะรักใคร่และเช่ือฟังผู้ที่เชื่อฟังท่านและพวกเราจะเป็นศัตรูกับผู้ที่เป็นศัตรูกับ ท่าน” ความเห็นดังกล่าวนี้คล้ายกับคาพูดของนักประวัติศาสตร์ท่านหน่ึง คือ อิหม่าม อัล-ฏอบะรีย์ (มปป.) ท่ีกล่าวว่า “ในขณะที่ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ได้เดินทางไปยังนครกูฟะฮ์ และพวกฆอวาริญก็ได้แยกตัวออกจากท่าน ส่วนผู้ที่ยังอยู่กับท่านคือชีอะห์ของท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏยี ลั ลอฮุ อันฮ)ุ ณ ตอนน้ันพวกเขากล่าวว่า “พวกเราทุกคนยังต้องการให้สัตยาบันกับท่านอีกเป็นคร้ังที่ 2 และพวกเราจะเป็นท่ีรัก สาหรับผ้ทู ที่ ่านรัก และจะเปน็ ศัตรสู าหรบั ผูท้ ที่ า่ นถอื เป็นศตั รู” ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์(1997) มีความเห็นว่า ทรรศนะดังกล่าวนี้ถือเป็นทัศนะท่ีมีน้าหนัก มากท่ีสุด กล่าวคือ หลังจากท่ีเกิดสงครามศิฟฟีน กลุ่มฆอวาริญได้เเตกออกเเละเเบ่งเป็นพรรคเป็นพวก แลว้ รวมตัวกันที่เมืองนะฮฺรอวาน เเละตอ่ มาก็มีฝ่ายตรงข้ามทคี่ อยปฏบิ ตั ิตามเเละช่วยเหลือท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) หลังจากนั้นความคิดของชีอะห์ก็เร่ิมรุนเเรงขึ้น ผู้ท่ีหลงรักและคอย ช่วยเหลือท่านอะลีเเละอะฮ์ลุลบัยต (ครอบครัวของท่าน) ย่อมมีอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากแต่ในเวลา ต่อมาจากความรักกลายเป็นการเมืองและจากการเมืองยังกลายเป็นความเชื่อและกลายประเด็นศาสนา และประเด็นต่างๆ มากมาย ชีอะหเ์ กดิ ขึน้ หลงั จำกอหิ มำ่ มหุเซนถกู สังหำร หะซนั บนิ มูซา อลั -นูบัฆตยี ์ และสะอดั บิน อบั ดลุ เลาะห์ อัล-กมุ มีย์ (1992 ) และซัยยิด อับดุล เราะซู้ล อัล-มูซะวีย์ (2000 ) ได้ระบุว่า ในบางรายงานเห็นว่า ชีอะห์เกิดข้ึนหลังจากอิหม่ามหุเซน บิน 11 คอวาริญ คอื พวกทปี่ ฏิเสธทกุ กลมุ่ ท้งั ซนุ นะฮฺ และชอี ะห์ 12 ศิฟฟนี คือ หมู่บา้ นหนึง่ ตัง้ อยูใ่ นเมอื ง อลั ริกเกาะฮ์ ปจั จุบัน อยใู่ นประเทศซีเรีย 13 เปน็ นกั บรู ภาคดีท่ีนามว่า Montgomery Watt ชาวอังกฤษ เกิดในปี 1909
44 อะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ถูกสังหาร ผู้สนับสนุนความเห็นดังกล่าว เชื่อว่าเลือดของหุเซน บิน อะลี ที่ถูก สงหารโดยกองทัพราชวงค์อุมาวียะฮถฺ อื เปน็ จุดเรมิ่ ต้นของชอี ะห์ในด้านความเช่อื กามัล มุสตอฟา อัล-ชัยบีย์ (มปป.) ได้กล่าวว่า“แท้จริงชีอะห์ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดคือ ชอี ะหท์ ีเ่ กดิ ข้ึนหลงั จากท่อี ิหมา่ มหุเซนถูกสังหารในปี 51 ฮิจเราะห์ศักราช หลังจากน้ันชีอะห์ก็กลายเป็น องคก์ รกลุม่ แนวคดิ ที่โดดเด่นมตี ัวตนและมแี นวปฏบิ ตั ิเฉพาะของพวกเขา จากความเห็นดังกล่าว นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์หลายท่าน เช่น รอฆิบ อัล-ซุรญานีย์ (2009) ชี้ว่า ความเห็นน้ีอาจจะเป็นความเห็นท่ีถูกต้อง ท่ีบอกว่าจุดกาเนิดของชีอะห์เกิดข้ึนหลังจากที่ ทา่ นหเุ ซน บิน อะลี ลูกชายคนนอ้ งของอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏิยัลลอฮุ อันฮุม) ได้ถูกสังหาร ซึ่งในวัน น้ันหุเซน บิน อะลี ได้ปลีกตัวออกจากการปกครองของ ญาซ้ีด บิน มุอาวียะฮฺ และมุ่งหน้าไปยังอีรัก เน่ืองจากที่อีรักมีคนกลุ่มหนึ่งท่ีอ้างว่าเป็นคนในครอบครัวอะฮ์ลุลบัยตได้สัญญาว่าจะช่วยเหลือท่าน จึง ขอให้ท่านหุเซนออกจากการปกครองของราชวงค์มุอาวียะฮฺ หากแต่หลังจากที่หุเซน บิน อะลี ได้ เดนิ ทางไปยงั อรี กั ผทู้ ส่ี ญั ญาจะช่วยเหลือท่านกลับหลบซอ่ นไมก่ ลา้ เผชิญหน้าและเปิดเผยตัว เพราะกลัว กองทัพทหารของญาซ้ีด บิน มุอาวียะฮฺ จนกระท่ังเกิดสงครามขึ้น และในที่สุดหุเซน บิน อะลี ก็ถูก สังหารที่นน่ั คือ แผน่ ดนิ “กัรบะลาอ”ฺ จากนั้นกลุ่มที่ได้สัญญาว่าจะช่วยเหลือหุเซน บิน อะลี รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น พวก เขาจึงประสงค์จะสารภาพผิดที่หลบซ่อนตัวไม่ออกมาช่วยเหลือท่านหุเซน พวกเขาต้องการลบล้าง ความผิดด้วยการขอประกาศตนออกจากการปกครองของราชวงค์มุอาวียะฮฺ ดังกล่าวน้ันจึงเกิดการเข่น ฆ่ากันและพวกเขาเหล่าน้ันเป็นที่รู้จักกันในนาม “ชีอะห์” (รอฆิบ อัล-ซุรญานีย์ ,2009 และ อิฮซาน อิ ลาฮีย์ ศอฮ้ีร,1995) กลา่ วคือคนท่เี หน็ หุเซนถูกฆา่ พวกเขาก็ยนิ ดีท่ีจะสารภาพผดิ และล้างบาปด้วยการขอ ประกาศตนออกจากการปกครองของมุอาวียะฮฺและพวกเขาเหลา่ นน้ั คือชีอะหท์ ี่แทจ้ ริง จากข้อมูลดังกล่าว รอฆิบ อัล-ซุรญานีย์ (2009) ได้ให้ข้อสังเกตว่า ถ้าเราสังเกตก็จะเห็นได้ชัด ว่าชาวชีอะห์จะมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับหุเซน บิน อะลี มากกว่าผู้อ่ืนทุกคนในบรรดาอิหม่าม แมก้ ระท้ังอะลี บิน อะบฏี อลบิ เองก็ตาม ชาวชอี ะห์ในปัจจบุ ันพวกเขาแสดงความรักความห่วงใยและจัด กิจกรรมย่งิ ใหญ่เป็นการเฉลิมฉลองราลกึ ถงึ วันตายของอิหมา่ มหเุ ซน บิน อะลี แต่ชีอะห์ไม่ได้จัดกิจกรรม ราลกึ ถึงวนั ตายของอะลี บิน อะบฏี อลบิ แต่อย่างใด ดังกล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นจุดกาเนิดหรือจุดเริ่มต้นของกลุ่มชีอะห์ในหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น หากแต่เหตกุ ารณส์ าคัญๆทางประวัติศาสตร์ชีอะห์ยังมีเหตุการณ์ท่ีสนใจอีกมากมายซึ่งผู้วิจัยจะนาเสนอ เป็นลาดับตอ่ ไป 3.3 เหตกุ ำรณ์สำคัญทำงประวตั ิศำสตร์ชีอะห์ จากการศึกษาเหตุการณ์สาคัญทางประวัติศาสตร์ชีอะห์ที่ถูกบันทึกในแหล่งอ้างอิงของ นักวิชาการชีอะห์ เช่น หะซัน บิน มูซา อัล-นูบัฆตีย์ และสะอัด บินอับดุลเลาะห์ อัล-กุมมีย์(1992 ) ซยั ยิด อบั ดลุ เราะซลู้ อัล-มซู ะวยี ์ (2000) อลั -ชค้ี มุหัมมัด หุเซน อ้าล กาชิฟ (1952) และ ญะฟัรอัล-ซุบ ฮานี (2000) ผู้วิจัยเห็นว่ายังมีเหตุการณ์สาคัญๆในประวัติศาสตร์ชีอะห์อีกมากมายที่ควรนาเสนอเพื่อ เป็นประโยชนใ์ นการศึกษาดงั ตารางตอ่ ไปนี้
45 ตำรำงที่ 2 แสดงชว่ งเวลำเหตุกำรณส์ ำคัญทำงประวตั ิศำสตร์ของชีอะห์ ช่วงเวลำ เหตุกำรณ์สำคัญทำงประวตั ศิ ำสตร์ชีอะห์ หมำยเหตุ ฮจิ เราะห์ศักราชที่ 12 อะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ถูกทาบทามให้เป็น “ฆอดิ้ร กุม”(เป็นสถานที่ ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี 11 ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี ผู้นาหรืออิหม่ามในวันท่ีท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ หนึ่งคล้ายหุบเขาอยู่ระหว่าง 11-35 ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี วะซัลลัม)ได้เดินทางมาถึงสถานท่ีแห่งหนึ่งท่ีเรียกว่า “ฆอดิ้ร มักกะฮและมาดีนะฮฺแต่อยู่ 36 – 62 กุม” ขณะเดินทางกลับจากฮัจญ์ครั้งสุดท้าย โดยท่านนบี ใกล้กบั มักกะฮมากกวา่ ) ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี 36 ฮจิ เราะห์ศักราชที่ 35 (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้ส่ังเสียแก่บรรดามุสลิม ฮจิ เราะห์ศักราชที่ 37 ทั้งหลายให้อยู่ภายใต้การปกครองของอะลี บิน อะบีฏอลิบ ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี 38 (รอฏียัลลอฮุ อันฮ)ุ ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี 62 ท่านนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม)เสียชีวติ ฮจิ เราะห์ศักราชที่ 61 ช่วงเวลาการเป็นผู้นาสูงสุดของอะบู บักร อัล-ซิดด้ีก อุมั้ร อัล-คอ้ ฏฏอ้ บ และ อษุ มาน บิน อัฟวา (รอฏียลั ลอฮุ อันฮมุ ) อะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ถูกแต่งต้ังและให้ สัตยาบันขึ้นเป็นคอลีฟะฮฺคนท่ี 6 หลังจากคาสั่งเสียท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ผ่านไป 06 ปี และในช่วง นั้นอะลี(รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ได้ออกจากมะดีนะฮฺไปยังกูฟะฮ์ แห่งอรี กั และ ณ ท่ีน้ันอะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ก็ได้ต้ังเมือง หลวงใหม่ของรัฐอิสลาม เกดิ สงครามอฐู ทก่ี รงุ บัสราประเทศอีรัก และสงครามครั้งน้ัน ฝ่ายอะลี บนิ อะบีฏอลบิ ได้รับชัยชนะ เกิดสงครามศิฟฟีนระหว่างฝ่ายสนับสนุนอะลี บิน อะ บีฏอลบิ และฝา่ ยสนับสนุนมุอาวียะฮฺ บิน อะบีศุฟยาน และ สงครามในครั้งน้ันกองทัพอะลีเกือบจะได้รับชัยชนะแต่เกิด การหลอกลวงขึ้น ด้วยแผนการชั่วร้ายของมุอาวียะฮฺท่ีได้ ยกอลั -กุรอานขน้ึ แทนดาบทาใหต้ อ้ งยุติสงคราม เกิดการตัดสินระหว่างกองทัพของอะลี บิน อะบีฏอลิบ และ มอุ าวียะฮฺ โดยมีอาบูมซู าอัล-อัชอารีย์ และอัมร บิน อ้าศ มา เจรจาเพอ่ื ยุติสงคราม จนทาให้เกิดพวก อัล-ฆอวาริญ ข้ึนใน ขณะนนั้ เกิดสงครามขึ้นท่ี อัล-นะฮฺรอวาน จึงเรียกว่า สงครามอัล- อัล-นะฮฺรอวาน เป็นสถานที่ นะฮฺรอวาน ระหว่างพวกฆอวาริญกับผู้สนับสนุนอะลี และ หนึ่งท่ีต้ังอยู่กรุงแบกแดด ฝ่ายอะลีสามารถสยบพวกฆอวาริญดงั กลา่ วได้ ประเทศอีรัก ในปจั จบุ ัน อะลี บิน อะบีฏอลิบ ถูกลอบสังหารโดยอับดุลเราะห์มาน ในปีเดียวกัน อิหม่ามหะสัน บิน อัล-มุลญัม ซึ่งเป็นพวกฆอวาริญ ในมัสญิดกูฟะฮ์ตรง ลูกชายคนโตของอะลีได้ สถานที่อิหม่ามละหมาด หลังจากนั้นทาให้มุอาวียะฮฺ บิน ปฏิเสธการให้สัตยาบันแก่มุ อาบู ศฟุ ยาน ข้นึ เปน็ คอลีฟะฮฺของมสุ ลมิ โดยปริยาย อาวียะฮฺ มีการทาสนธิสัญญาเพื่อการปรองดองระหว่างมุอาวียะฮฺ
46 และอิหม่ามหะสัน บิน อะลี เพ่ือรักษาภาพลักษณ์ของ อิสลามและยุติการหลังเลือดของมุสลิมด้วยกันเอง จึงทาให้ อิหม่ามหะสัน บิน อะลี ยอมสวามิภัคและยอมลงจาก ตาแหน่ง ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี 62 มีการลอบสังหาร อิหม่าม หะสัน ด้วยการวางยาพิษจาก ภรรยาของท่านเองที่ช่ือว่า ญุอฺดะฮฺ บินตี อัล-อัซอัซ ซ่ึงเป็น คาสัง่ หรือมผี บู้ งการทีอ่ ยู่เบือ้ งหลงั คอื ตระกลู อมุ ัยยะฮฺ สมัย การปกครองของมอุ าวียะฮฺ ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี 52 หลังจาก มุอาวียะฮฺ เสียชีวิตผู้นาสูงสุดก็ตกเป็นของลูกชาย ปลายปี 52 อิหม่ามหุเซน คือ ญะซี้ด บิน มุอาวียะฮฺ และหลังที่ญะซ้ีด ขึ้นดารง บิน อะลี ได้มีการเคลื่อนไหว ตาแหน่ง ได้มีการก่อกวนและสร้างความเดือดร้อนต่ออะฮ์ ลับๆหนีออกจากเมือง มะดี ลุลบัยตและครอบครัวของท่านอะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ผล นะฮฺ ไปอีรัก เพ่ือก่อต้ังกลุ่ม จากการกระทาดังกล่าวทาให้อิหม่าม หุเซน บิน อะลี ใหม่ เหตุการณ์คร้ังนั้นทาให้ ปฏเิ สธการใหส้ ตั ยาบนั ต่อ ญะซีด้ อกี คร้ัง ญะซี้ด ยกทัพไปขวางการ เดนิ ทางของอิหมา่ ม หุเซน ฮจิ เราะห์ศักราชที่ 51 เดือนมุฮัรรอม เกิดสงครามขึ้นท่ีกัรบาลาอฺ สงครามคร้ังนั้น กัรบาลาอฺ. ถือเป็นสถานที่ อิหม่ามหุเซน และอะฮ์ลุลบัยต ทั้งหมดถูกสังหารด้วยฝีมือ ศัก ดิ สิท ธ์ิ ขอ ง ช า ว ชีอ ะ ห์ ของอบั ดุลเลาะ บิน ซยี าด ซ่งึ เป็นแมท่ พั ของญะซ้ีด บิน มุอา ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุง วยี ะฮฺ พวกเขาทาการสังหารอะฮ์ลุลบัยตท้ังหมด ยกเว้น อะ แ บ ก แ ด ด ป ร ะ ม า ณ 105 ลี บิน หุเซน ซัยนลุ อาบีดนี เพราะทา่ นนอนปว่ ยอยู่ กิโลเมตร ในปีเดยี วกนั หลังจาก หเุ ซน บิน อะลี เสียชีวิตประมาณ 62 วัน ชาวชีอะห์ทากิจกรรมอันยิ่งใหญ่เพ่ือราลึกถึงการตาย ของ อิหม่าม หุเซน บิน อะลี และในบางรายงานบอกว่า ชีอะห์ท่ีมาจากชามหรือซีเรียก็ได้มุ่งหน้าสู่กัรบาลาอฺ และ เสรจ็ สน้ิ พิธีพวกเขาก็มุ่งไปยังนครมะดีนะฮฺตอ่ ไป ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี 61- มีการเคล่ือนไหวของกลุ่ม“อัล-เตาวาบีน”ในนครกูฟะฮ์เพื่อ พวกเขาทาการเคล่ือนไหวอยู่ 56 ต่อต้านการปกครองของราชวงค์อุมาวียะฮฺและการสังหาร ที่นครกูฟะฮ์ ต่อต้านการ อิหม่ามหุเซน (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ซึ่งแกนนาการเคล่ือนไหว ปกครองของราชวงค์อุมาวี ในครงั้ นัน้ คือ สุลยั มาน บิน ศอรดี อัล-ฆอซาอีย์,มุซัยยิบ บิน ยะฮปฺ ระมาณ 3 ปี นะญยี ะฮฺ อลั -ฟซี ารยี ์,อับดุลเลาะ บิน ซะอัด อัล-อัสดีย์ ,อับ ดุลเลาะ บิน วาอิล อัล-ตะมีมีย์ และรีฟาอะฮ์ บิน ชัตด้าต อลั -บะญาลีย์ ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี 55 ท่ีนครกูฟะฮ์เช่นกัน มีการเคลื่อนไหวจาก อัล-มุกต้าร บิน จากปีท่ี 52 -019 ฮ.ศ.เป็น อะบี อุบัยด อัล-ซะกอฟีย์ เพื่อขอสิทธ์ิของอะฮ์ลุลบัยตใน ช่วงระยะเวลาที่ชาวชีอะห์มี การปกครองมุสลิมและต่อต้านราชวงค์อุมาวียะฮฺที่ฆ่า การเคล่ือนไหวแบบเงียบๆ อิหม่าม หุเซน บิน อะลี ซ่ึงในขณะน้ันอับดุลเลาะ บิน เร่ือยมากระท่ังเปล่ียนการ ซีญาด ปกครองรัฐอิสลามอยู่ และในที่สุดก็สามารถเอาผิด ปกครองไปยังราชวงค์อับบา กับผู้ที่ฆ่าอิหมา่ ม หุเซน ได้รับสาเรจ็ ซยี ะฮฺ
47 ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี 94 อิหม่าม อะลี บิน หุเซน อิหม่ามลาดับที่ 4 ท่ีได้รับคาส่ังเสีย ท่านเกิดในปี 38 ฮ.ศ. และ ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี116 จากพ่อ(คืออิหม่ามหุเซน บิน อะลี ในวันอาชูรอ ก่อน แ ม่ ข อ ง ท่ า น เ ป็ น ส ต รี ใ น เสียชีวิต) ถูกสังหารด้วยการวางยาพิษโดยฝีมือของ อัล-วา ตระกูลกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ฮจิ เราะห์ศักราชที่130 ลีด บิน อับดลุ มาลกิ อลั -อมุ ะวีย์ หรอื อหี ร่านปจั จุบัน ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี168 มุหัมมัด บิน อะลี อัล-บากี้ร อิหม่ามคนท่ี 6 ถูกฆ่าด้วยการ อัล-บากี้ร เกิดปีที่ 65 ฮ.ศ. ฮจิ เราะห์ศักราชที่182 วางยาพิษจากฝีมือของ ฮีชาม บิน อับดุลมาลิก อัล-อุมาวีย์ ส่วนแม่ของท่านช่ือฟาตีมะ ฮจิ เราะห์ศักราชที่183 บินตี อิหมา่ ม หุเซน บิน อะลี ราชวงค์อุมาวียะฮฺจบลง และราชวงค์อับบาซียะฮฺขึ้นมา ซึ่งเธอได้เดินทางไปยังกัรบา ฮจิ เราะห์ศักราชที่ ปกครองแทนที่ ทั้งนี้จากการก่อรัฐประหารของอาบู มุสลิม ลาอฺกับบิดา ขณะน้ันเธออายุ 155-020 อัล-คอรอซานยี ์ เพียง 6 ขวบ ฮจิ เราะห์ศักราชที่023 อิหม่าม ญะฟัร บิน มุหัมมัด อัล-ศอดิก อิหม่ามคนที่ 5 ถูก และการล้มล้างระบบการ ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี015 วางยาพษิ จากราชวงค์อบั บาซยี ์ ปกครองของอุมัยยะฮฺในคร้ัง นั้นมชี าวชอี ะหเ์ ข้าร่วมดว้ ย มีการสถาปนารัฐชีอะห์ข้ึนท่ีชื่อ อัล-อะดารอซะฮ์ เป็น ท่านเกิดเม่ือปีที่ 83 แห่ง อาณาจักรของชีอะห์ท่ีประเทศโมร็อกโคและถือเป็นรัฐแรก ฮิจเราะห์ศักราช ซ่ึงแม่ของ ของชาวชีอะห์ ท่านคืออุมมู ฟุรู้ต บินตี อัล- อิหม่าม มูซา บิน ญะฟัร อัล-กาซิมอิหม่ามคนท่ี 7 ถูกฆ่า กอซมิ ดว้ ยการวางยาพิษ จากราชวงคอ์ ัล-อับบาสีย์ ท่า น เกิ ด ใน ปี 1 0 8 แ ห่ ง มีการปฏิวัติของอะฮ์ลุลบัยต “อัล-อะลาวียีน” ที่เมืองกัรบา ฮจิ เราะห์ศักราช แม่ของท่าน ลาอปฺ ระเทศอรี ัก ชื่ออัล-ซัยยีดะฮฺ อัล-การีมะฮฺ อิหม่ามอะลี บิน มูซา อลั -รฏี อ อิหม่ามที่ 8 ก็เสียชีวิตเพราะ ฮามีดะฮฺ อัล-มัฆรีบียะฮฺ จาก ถูกวางยาพิษโดยผู้ปกครองสมัยราชวงค์อับบาซียะฮฺในสมัย โมร็อคโค เธอมีต้นตระกูล อัล-มะอมฺ นู ในเมืองคอรอซาน บรั บะรีย์ อิหม่ามมุหัมมัด บิน อะลี อัล-เญาว้าด อิหม่ามคนท่ี 5 ถูก ท่า น เกิ ด ใน ปี 1 6 8 แ ห่ ง วางยาพษิ เช่นกนั โดยภรรยาของท่านเองอุมมุ อัล-ฟัฏล ด้วย ฮิจเราะห์ศักราชแม่ของท่าน คาส่ังผู้ปกครองราชวงค์อับบาซียะฮฺ ซ่ึงอิหม่ามมุหัมมัด บิน ชื่ อ ซั ย ยี ด ะ ฮฺ อั ล -ญ ะ ลี ล ะ ฮ์ อะลี อลั -เญาว้าด ถอื เปน็ อิหม่ามท่อี ายนุ ้อยทีส่ ดุ นญุ มะฮฺ อลั -นบู ียะฮฺ ท่านเกิดในปี 156 แห่ง ฮจิ เราะห์ศักราช แม่ของท่าน คือซัยยีดะฮฺ อัล-ญะลีละฮ์ ซาบีกะฮ์อัล-นูบียะฮฺ อัล-มุร ซียะฮฺ เธอมาจากต้นตระกูล ของอะฮ์ลุลบัยตเช่นกัน จาก
48 ฮจิ เราะห์ศักราชที่056 อิหม่าม อะลี บิน มุหัมมัด อัล-ฮาดี อิหม่ามคนท่ี 12 ถูก อมุ มุล มุอฺมีนีน มารียะฮฺ อัล- วางยาพิษเช่นกันโดยเจ้าเมือง อัล-มุอฺต้ัซ ราชวงค์อัสบาซี กุบฏียะฮฺ ซึ่งเป็นมารดา ฮจิ เราะห์ศักราชที่052 ยะฮฺ ท่ีเมืองซามรี ออฺ ของอิบรอฮีมบุตรของท่าน ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี052 นบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ อิหม่าม หะสัน บิน อะลี อัล-อัสกะรีย์อิหม่ามคนที่ 11 ถูก วะซลั ลัม) ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี055 วางยาพิษด้วยน้ามือของ อัล-มุอฺตะมัด จากราชวงค์อับบาซี ฮจิ เราะห์ศักราชที่526 ยะฮฺเช่นกัน ซ่ึงอิหม่าม หะสันบิน อะลี อัล-อัสกะรีย์ ขณะที่ ท่า น เกิ ด ใน ปี 0 10 แ ห่ ง ฮจิ เราะห์ศักราชท่ี515 ทา่ นถูกวางยาพิษอายุเพยี ง 08 ปี ฮิจเราะห์ศักราช ใกล้นครมา ฮจิ เราะห์ศักราชที่ ดีนะฮฺ แม่ของท่านช่ืออัล-ซัย 1210 มีพิธีการแต่งตั้ง มะฮฺดี อัล-มุนตะซ้อร (ผู้ที่ถูกรอคอย) ให้ ยี ด ะ ฮฺ อั ล -ญ ะ ลี ล ะ ฮ์ ซู เป็นอิหม่ามคนท่ี 12 ซ่ึงเป็นอิหม่ามคนสุดท้ายของอะฮ์ มานะฮฺ อัล-มัฆรีบียะฮฺ จาก ลุลบัยต อิหม่ามมะฮฺดี เสียชีวิตอายุเพียง 6 ขวบท่านหาย โมร็อกโคเธอมีขนานนามว่า ตวั ไปในหบุ เขา อมุ มุ-ฟฏั ล (แมผ่ ู้ประเสรฐิ ) มีการสถาปนารัฐอลั -ฟาฏีมียะฮฺ ซ่ึงเป็นรัฐชีอะห์แห่งเมืองโม ท่า น เกิ ด ใน ปี 0 3 0 แ ห่ ง ร็อกโคอยู่ทางตอนเหนือทวีปแอฟริกาจากฝีมือของอุบัยดุล ฮิจเราะห์ศักราช ท่ีนครมะดี เลาะ บิน มุหัมมัดอัล-มะฮฺดี เป็นผู้บุกเบิกและปกครองเมือง นะฮฺ แม่ของท่านชื่ออัล-ซัยยี น้ปี ระมาณ 070 ปีและมาส้ินสุดในสมัยศอลาฮุดดีนอัล-อัยยู ดะฮฺ อัล-ญะลีละฮ์ ซูซิน มี บยี ์ ขนานนามว่า ฮาดซี ะฮ์ ได้สถาปนารัฐ อัล-ศอฟาวียะฮฺ ที่ประเทศอีรักและอิหร่าน ด้วยฝีมือของ ชาฮ อิสมาอีล บิน ฮัยดัร ซึ่งเป็นหลานของ ท่านเกิดในปี 066 แห่ง ศอฟยี ดุ ดนี อลั -มซู าวี ฮิจเราะห์ศักราชท่ีบ้านของ เกิดสงครามระหว่างกองทัพอัล-ศอฟาวีย์ชีอะห์กับกองทัพ พ่อ เมืองซามุรออฺ ประเทศอี อาณาจักรออตโตมานและสงครามครั้งนั้นเป็นชัยชนะของ รัก แม่ของท่านมีนามว่า อัล- ออตโตมานสดุ ทา้ ยอัล-ศอฟาวีย์ต้องถอยทพั กลบั ไป ซัยยีดะฮฺ อัล-ญะลีละฮ์ อัล- ซาฮ อับบ้าส อัล-ศอฟาวีย์ ได้เข้าร่วมทาสงครามกับออตโต อาซีมะฮฺ นัรญัส จากต้น มาน จนกระท่ังในปี 1230 ฮ.ศ. ก็สามารถพิชิตเมือง ตระกูลกษัตริย์แห่งโรมันที่มี ตน้ ตระกลู จากท่านนบอี ีซา
49 ฮจิ เราะห์ศักราชที่ แบกแดดด้วยฝีมือของกองทัพอัล-ศอฟาวีย์ ท่ีนาโดยแม่ทัพ 1135 ซาฮ อับบ้าส หลงั จากทีพ่ วกเขาได้ถอยออกจากการปกครอง ของออตโตมาน ฮจิ เราะห์ศักราชที่ เกิดสงครามขึ้นระหว่างสองอาณาจักร คือ อัล-ศอฟาวียะฮฺ 1022 และออตโตมาน สงครามยืดเย้ือไปประมาณ 12 ปี ท้ังน้ี เนื่องจากขดั แย้งทางความเชอ่ื และเผา่ พันธ์ุ ฮจิ เราะห์ศักราชที่ 1016 มีการสถาปนารัฐชีอะห์อีกครั้งที่ประเทศอีหร่านด้วยฝีมือ ของ อาฆออฺ มุหัมมัดค่าน ที่มีขนานนามว่า(กอญาร) และ ฮจิ เราะห์ศักราชที่ สามรถปกครองทีน่ ่นั เป็นระยะเวลา นานถงึ 035 ปี 1017 เกดิ การสงครามระหว่างกลุ่มแนวคิดวะฮาบียะฮฺท่ีบุกมาจาก ฮญิ าส (ซาอุดอี ารเบีย) ไปสู่แผน่ ดนิ กรั บาลาอฺ และในคร้ังนั้น ท้ังกลุ่มวะฮาบียะฮฺและชีอะห์เสียชีวิตไปกว่า 32,222 คน ท้งั เดก็ สตรีและพลเรอื น เ กิ ด ก า ร ส ง ค ร า ม อี ก ค รั้ ง ร ะ ห ว่ า ง ก ลุ่ ม ว ะ ฮ า บี กั บ ชี อ ะ ห์ หลงั จากทีก่ ลับมาจากกรั บาลาอฺ ทาให้หัวหน้าใหญ่ของวะฮา บีย์ คือ อับดุลเลาะ บิน สะอูด ถูกฆ่าโดย ชีอะห์ อัล- อัฟฆอนีย์ จากตารางดังกล่าวเป็นเหตุการณ์สาคัญทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชีอะห์ที่ปรากฏในตาราของ นักวชิ าการชีอะหใ์ นชว่ งป่ที ่ี 10-1017 แหง่ ฮิจเราะห์ศกั ราช รวมกว่า 12 ศตวรรษ ในละศตวรรษก็มีกลุ่ม ชอี ะห์มากมายหลายประเภทซงึ่ ผู้วจิ ยั จะนาเสนอในตอนต่อไป 3.4 ประเภทของชอี ะห์และควำมเชือ่ จากการศึกษาประวัติศาสตร์ชีอะห์ทั้งจากแหล่งข้อมูลของนักวิชาการสาย ซุนนะฮฺและชีอะห์ พบว่าประเภทของชีอะห์หรือกลมุ่ ต่างๆของชอี ะห์มมี ากกว่า 30 ถึง 73 กลุม่ หากแต่นักประวัติศาสตร์ได้ มคี วามเหน็ แตกต่างกนั เช่น หะซนั อัล-อชั อะรยี ์ (อ้างในฆอลิบ อะลี อาวาญีย์,1997 ) เห็นว่า ชีอะห์มี 3 กลุ่มใหญ่ นอกจากน้ันเป็นกลุ่มย่อยท่ีแตกแยกออกจากกลุ่มใหญ่ข้างต้น ส่วนอัล-บัฆดาดีย์ (1970) เห็น วา่ ชีอะห์มี 4 กลมุ่ ใหญ่และทเ่ี หลอื เป็นกลุ่มยอ่ ยท่ตี ามมา นอกจากนั้นอัล-ชัฮร้อสตานีย์( 1993 ) เห็นว่า ชีอะห์มี 5 กลุ่มใหญ่และท่ีเหลือคือกลุ่มย่อยจากกลุ่มใหญ่ข้างต้น หากแต่กลุ่มชีอะห์ที่มีบทบาทในโลก มสุ ลิมมสี ่ีกลมุ่ ใหญ่ คือ อัล-สะบะอียะฮฺ อัล-กัยซานียะฮฺ อัล-รอฟิเฏาะห์ และ อัล-ซัยดียะฮฺ (ฆอลิบ อะลี อาวาญีย,์ 1997) ในทน่ี ีผ้ วู้ จิ ยั ขอนาเสนอกลมุ่ ใหญ่ และกลุ่มย่อยต่างๆท่ีได้ระบุไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ท้ังจาก นกั ประวตั ิศาสตรก์ ลมุ่ ซนุ นะฮฺและชีอะห์ 6 กลุ่มใหญ่ (อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อัล-ซะฮ์ร้อสตานีย์,1553 และอะบี มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์ ,1970 ) คือ 1) กลมุ่ อลั -กยั ซานียะฮฺ 2) กลุ่มอัล-ซยั ดียะฮฺ
50 3) กลุ่มอัล-อมิ ามียะฮฺ 4) กลมุ่ อลั -ฆอลียะฮฺ และ 5) กล่มุ อลั -อสิ มาอีลียะฮหฺ รือกลุ่มอลั -บาฏนี ียะฮฺ 1) กลุ่มอัล-กัยซำนียะฮฺ กลุ่มอัล-กัยซานียะฮฺ คือ พวกพ้องของกัยซาน ที่กล่าวกันว่าเป็นผู้รับ ใช้ของท่านอะลี และมีรายงานเห็นว่า กัยซาน เป็นลูกศิษย์ของ มุหัมมัด อิบนุ อัล-ฮานีฟะฮฺ กลุ่มนี้แตก ออกเปน็ ทง้ั หมด 6 กลุม่ คือ 1) กลุ่มอัล-มุกตารียะฮฺ 2) กลุ่มอัล-ฮาชีมียะฮฺ 3) กลุ่มอัล-บายานียะฮฺ และ 4) อัล-รีซานียะฮฺ ซ่ึงกลุ่มดังกล่าวมีรายละเอียดพอสังเขปดังน้ี (อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อัล-ซะฮ์ รอ้ สตานีย์,1553 และอะบี มนั ซรู้ อลั -บฆั ดาดยี ์ ,1970) 1.1) อัล-มุกตำรียะฮฺ คือ พวกพ้องของ มุกต้าร บิน อาบี อุบัยด อัล-ซากอฟีย์ ซ่ึงจะ เสนอรายละเอยี ดในตอนตอ่ ไป 1.2) อัล-ฮำชีมียะฮฺ กลุ่มน้ีเป็นพวกพ้องของ อะบี ฮาชิม บิน มุหัมมัด บิน อัล-ฮานี ฟะฮฺ ซง่ึ อาบี ฮาชิม กลุ่มนี้เชื่อว่าหลังจากอาบีฮาชิมชอี ะห์กลุ่มนี้แตกเป็นอีก 6 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ เชื่อว่าอาบี ฮาชิมเสียชีวิตท่ีเมืองชาม ซีเรีย กลุ่มท่ีเชื่อว่าอิหม่ามหลังจากอะบี ฮาชิม คือ น้องชาย ชื่อหะสัน บินอะหมัด บินอะลี กลุ่มที่เชื่อว่าอะบี ฮาชิม ได้สั่งเสียให้แก่น้องของเขาท่ี ชอื่ ว่า อะลี ไม่ใช่ หะสนั และสุดท้ายกลมุ่ ทีเ่ ชื่อว่าอะบี ฮาชมิ ได้สั่งเสียใหก้ บั อับดลุ เลาะห์ 1.3) อัล-บำยำนียะฮฺ กลุ่มผู้ตามหรือพวกพ้องของ บะยาน บิน ซัมอาน อัตตามีมีย์ พวกเขาเช่ือว่า อิหม่ามนั้นย้ายจากอะบีฮาชิม ไปยังบะยาน และพวกเขาเป็นกลุ่มหน่ึงที่เชื่อว่า อะลี เป็นพระเจา้ เชน่ เดียวกัน 1.4) อัล-รีซำมียะฮฺ ที่เป็นพวกพ้องหรือผู้ติดตาม รีซาม บิน รอซัม พวกเขาเชื่อว่า อิหม่าม หลังจากอะลีคือลูกชายที่ช่ือว่ามุหัมมัด และหลังจากนั้นน้ันคือลูกของมุหัมมัดท่ีช่ือว่า ฮาชมิ และหลังจากนั้นเป็นของอะลี บิน อับดุลเลาะ บิน อบั บาส 2) กลมุ่ อัล-ซยั ดียะฮฺ แตกออกเปน็ 3 กลมุ่ คอื 1) กลุ่มอลั -ญารดู ียะฮฺ 2) กลุ่มอัล-สูลัยมานียะฮฺ และ 3) กลุ่มอัล-ศอลฮี ยี ะฮฺหรืออลั -บตุ รียะฮฺ (เป็นกลุ่มเดยี วกัน) ซึ่งกลุ่มดังกล่าวมีรายละเอียดพอสังเขป ดงั นี้ (สภายุวมุสลิมโลก wamy,2012) 2.1) อัล-ญำรูดียะฮฺ เป็นพวกพ้องของ อะบี ญารูด ซีญาด บิน อาบี ซีญาด เขาเป็น ชายตาบอด จากเมืองกูฟะฮฺ เป็นจอมโกหกหลอกหลวง ไม่มีความน่าเชื่อถือเพราะเขาเป็นรอฟี เฏาะห์ กลุ่มนี้เชื่อว่าท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้มีบัญญัติชัดให้อะลี บิน อะ บฏี อลบิ เป็นอหิ มา่ มในเชิงของลกั ษณะไม่ไดก้ ล่าวชื่อตรงๆ 2.2) อัล-สูลัยมำนียะฮฺ เป็นพวกพ้องของ สูลัยมาน บิน ญารีด พวกเขากล่าวว่า แทจ้ รงิ อิหม่ามนั้นตอ้ งมีการปรึกษาหารอื กนั ระหวา่ งมสุ ลิม และอนุญาตให้แต่งตั้งอิหม่ามได้เมื่อ มีผู้รู้หรือผู้ท่ีน่าเช่ือถือในอิสลามแค่ 0 ท่านก็เพียงพอ และอนุญาตให้เป็นอิหม่ามได้โดยไม่ต้อง จดั ลาดบั ความสาคญั กอ่ นหลงั ก็ได้ 2.3) อลั -ศอลีฮยี ะฮฺ และอลั -บุตรียะฮฺ พวกเขาเปน็ พวกพ้อง หะสนั บิน ศอลิห บิน ฮัย สว่ น อลั -บัตรียะฮฺ เป็นพวกพ้องของ กะซีร อัล-นะวา อัล-บัตตัร ทั้งสองคนน้ีมีแนวคิดเดียวกัน
51 พวกเขาเช่ืออย่างท่ีพวกอัล-สุลัยมานนียะฮฺ เพียงแต่พวกเขาไม่ออกความเห็นเกี่ยวกับอุษมาน บิน อัฟฟาน ว่าเป็นมุอมฺ นิ หรอื กาฟร้ี 3) กลุ่มอัล-อิมำมียะฮฺ กลุ่มอัลอิมามียะฮฺ กลุ่มน้ีถือว่ามีผู้เลื่อมใสมากท่ีสุดในปัจจุบัน พวกเขา เชื่อถึงการเป็นอิหม่ามของอะลี บิน อะบีฏอลิบ พวกเขาเชื่อว่ามีบทบัญญัติชัดเจนเกี่ยวกับอิหม่าม ของอะลี และจากชีอะห์อัล-อิมามียะฮฺ มีหลายกลุ่มที่แตกออกเป็น 7 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มอัล-บากีรียะฮฺ อัล-ญะฟารียะฮฺ อัล-วากีฟะฮฺ 2) กลุ่มอัล-นาวูซียะฮฺ 3) กลุ่มอัล-อัฟศอฮียะฮฺ 4) กลุ่มอัล-ชูมีฏียะฮฺ 5) กลุ่มอัล-อิสมาอีลียะฮฺ อัล-วากีฟะฮฺ 6) กลุ่มอัล-มูซาวียะฮฺ อัล-มูฟัฏฏอลียะฮฺ และ 7) กลุ่มอัล-อิสนาอา ซารียะฮฺ ซึ่งมีละเอียดรายพอสังเขปดังต่อไปนี้ (อิฮซาน อีลาฮีย์ ศอฮี้ร ,1995 และ อาบุล ฟะติฮ อะห์ หมดั อลั -ซะฮ์ร้อสตานีย์,1553) คือ 3.1) อัล-บำกีรียะฮฺ อัล-ญะฟำรียะฮฺ พวกเขาคือเป็นผู้ติดตาม มุหัมมัด อัล บากีร บิน อะลี บิน ซัยนุลอาบีดีน และลูกของท่าน คือ ญะฟัร อัล-ศอดิก พวกเขากล่าวเชื่อการเป็น อหิ ม่ามของ ซัยนุล อาบดี นี 3.2) อัล-นำวูซียะฮฺ กลุ่มท่ีพวกพ้องของนาวู้ส บ้างก็บอกว่า นาวู้สเป็นชื่อของสถานท่ี หนึ่ง ท่ีเช่ือว่าเป็นสถานที่ที่ญะฟัรจะมีชีวิตอยู่ที่น้ันและจะไม่เสียชีวิตท่ีนั้นตามความเชื่อของ กล่มุ นี้ และนาวู้สเปน็ สถานทท่ี ใี่ กล้เมืองบสั เราะห์ของอีรัก 3.3) อัล-อัฟศอฮียะฮฺ กลุ่มท่ีกล่าวว่า อิหม่ามหลังจาก อัล-ศอดิก ต้องเป็นลูกชายของ เขาที่ช่ือว่า อับดุลเลาะห์ อัล-อัฟเฏาะห์ เขาเป็นพี่น้องกับ อิสมาอีล ที่พ่อแม่เดียวกันเดียวกัน ซง่ึ แม่ของเขาคอื ฟาฏิมะฮฺ บินตี ฮเู ซน็ บิน ฮาซัน บนิ อะลี เขาเปน็ พช่ี ายคนโตของอัล-ศอดกิ 3.4) อัล-ซูมีฏียะฮฺ กลุ่มน้ีเป็นพวกพ้องของ ญะยา อาบี ซูมัย บางรายงานบอกว่า ญะ ยา อาบี ซูมดี กล่มุ นเ้ี ช่อื ว่า แทจ้ รงิ อหิ ม่ามหลังจากญะฟรั คือลูกชายของเขาทช่ี ื่อว่า มหุ ัมมัด 3.5) อัล-อิสมำอีลียะฮฺ อัล-วำกีฟะฮฺ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่กล้าวว่าอิหม่ามหลังจากญะฟัร คอื อิสมาอลี เนือ่ งจากมีบัญญตั ิชดั และเป็นความเหน็ พอ้ งต้องกนั ของบรรดาลูกๆ ของญะฟัร 3.6) อัล-มูซำวียะฮฺ อัล-มูฟัฏฏอลียะฮฺ เป็นกลุ่มเดียวท่ีเช่ือว่า มูชา ญะฟัร ต้องเป็น อหิ ม่ามหลังจากพอ่ เนื่องจากมีบญั ญัติพ่อไดส้ ่ังไว้ 3.7) อัล-อิสนำอำซำรียะฮฺ คือกลุ่มท่ีเชื่ออิหม่าม 10 ท่ีมีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผู้จัยจะขอ กลา่ วราละเอยี ดในตอนต่อไป 4) กลุ่มอัล-ฆอลียะฮฺ ชีอะห์อัล-ฆอรียะฮฺ หรืออัล-ฆูลาห์ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่คลั่งไคล้ในสิทธิของ การเป็นอิหม่ามจนเขาเข้าใจว่า ผู้เป็นอิหม่ามไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่อิหม่ามเป็นถึงเทพ หรือพระเจ้า พวกเขามีหลายกลุ่ม รวมทั้งหมด 11 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มอัล-ซาบาอียะฮฺ 2) กลุ่มอัล-กามีลียะฮฺ 3) กลุ่ม อัล-อุลบาอียะฮฺ 4) กล่มุ อัล-มูฆรี ียะฮฺ 5) กลุ่มอัล-มังซูรียะฮฺ 6) กลุ่มอัล-ค้อฏฏอบียะฮฺ 7) กลุ่มอัล-กียา ลียะฮฺ 8) กลุ่มอัล-ฮีชามียะฮฺ 9) กลุ่มอัล-นุอฺมานียะฮฺ หรือกลุ่มอัซซัยฏอนียะฮฺ 10) กลุ่มอัล-ยูนูซียะฮฺ และ 11) กลุ่มอัล-นูซัยรียะฮฺ หรืออัล-อิสฮากียะฮฺ ซึ่งแต่ละละกลุ่มมีรายละเอียดพอสังเขปดังน้ี (อะบี มันซ้รู อลั -บฆั ดาดีย์,1970 และมหุ ัมมดั อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อลั -ซะฮ์รอ้ สตานยี ์, 1553) คอื
52 4.1) อัล-ซำบำอยี ะฮฺ คือ พวกพอ้ งของอบั ดุลเลาะห์ บิน สะบะอฺ ท่ีเช่ือว่าอะลีเป็นพระ เจ้า ซึง่ รายละเอียดจะกลา่ วในตอนต่อไป 4.2) อัล-กำมีลียะฮฺ เป็นพวกพ้องของ อะบี ตามิน ผู้ท่ีปฏิเสธและตัดสินว่าบรรดาศอ หาบะฮทฺ ัง้ หมดเป็นกาฟรี้ เนือ่ งจากไมใ่ ห้สตั ยาบนั แก่ท่านอะลี 4.3) อัล-อุลบำอียะฮฺ เป็นพวกพ้องของ อุลบา บิน ซาเราะห์ อัล-เดาซีย์ กลุ่มนี้เป็น กลุ่มท่ีคล่ังไคล้และเช่ือว่า อะลี บิน อะบีฏอลิบ เหนือกว่าท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และเชื่อว่าอะลี บิน อะบีฏอลิบ เป็นพระเจ้า และนบีมุหัมมัดเป็นบ่าว และยังเช่ือว่า มุหมั มดั ได้เรียกรอ้ งผู้คนสู่การภคั ดีตอ่ อะลี บิน อะบฏี อลบิ 4.4) อัล-มูฆีรียะฮฺ คือ พวกพ้องของ อัล-มูฆีเราะ บิน สะอ้ิด อัล-อาญารีย์ กลุ่มน้ีอ้าง ว่าอิหม่ามหลังจากมุหัมมัด บิน อะลี บิน ฮูเซ็น คือ มุหัมมัด อัล-ซากีเราะ บิน อับดุลเลาะ บิน หะสัน ท่ีอยู่นอกนครมะดีนะฮฺพวกเขาเช่ือว่าเขายังจะชีวิตตลอดไปและไม่ตาย อัล-มูฆีรียะฮฺ เปน็ ผู้รบั ใชข้ อง คอลดิ บิน อับดุลเลาะ อัล-กอซารีย์ 4.5) อัล-มังซูรียะฮฺ พวกเขาเป็นพวกพ้องของ อะบีมังซุ้ร อัล-อาญารีย์ เป็นกลุ่มที่อ้าง ตนเป็นอิหม่ามเองหลังจากอะบี ญะฟัร อัล-บากีร เสียชีวิต พวกเขาอ้างว่า การเป็นอิหม่ามน้ัน ไดส้ ืบทอดมากลับมายงั เขา พวกเขา และเขากลา่ ววา่ แทจ้ รงิ อะลีมาจากฟากฟ้า 4.6) อัล-ค้อฏฏอบียะฮฺ พวกเขาเป็นพวกพ้องของค้อฏฏอบ อาบี มุหัมมัด บิน อาบี ซยั นัฟ อลั -อัซซาดีย์ ซงึ่ เปน็ ผรู้ ับใชข้ องบะนี อะซัด 4.7) อัล-กียำลียะฮฺ เป็นพวกพ้องของอะหมัด อัล-กัยยาน เขาเป็นผู้หนึ่งที่เรียกร้องให้ ภัคดีต่ออะฮ์ลุลบัยต หลังจากญะฟัร ศอดิก และเขาเช่ือว่าการเป็นอิหม่ามนั้นไม่จาเป็นต้อง เปิดเผยตัว 4.8) อัล-ฮีชำมียะฮฺ คือพวกพ้องของอัล-ฮาชีมีน อัล-ฮีชาม บิน ฮากัม ซ่ึงเป็นผู้รู้ใน ด้านตรรกวิทยา เขาคือผู้ท่ีกล่าวว่าอัลลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา) เหมือนกับมัคลู้ก (สิ่งถูก สรา้ งทั่วไป) 4.9) อัล-นุอฺมำนียะฮฺหรืออัล-ซัยฏอนียะฮฺ พวกเขาเป็นพวกพ้องของมุหัมมัด บิน นุอฺ มาน อะบี ญะฟัร ซ่ึงมีฉายานามว่า ซัยฏอนอัล-ฏ้อก ซ่ึงชีอะห์เชื่อว่าพวกเขาว่ามุอฺมินอัล-ฏอก พวกเขาเปน็ ศษิ ยข์ องอลั บากีร มหุ มั มัด บิน อะลี บินฮเู ซน็ 4.10) อัล-ยูนูซียะฮฺ พวกเขาเป็นพวกพ้องของยูนุส บิน อับดุรเราะห์มาน อัล-กุมมีย์ เป็นผู้รับใช้ของตระกูลยักตีน พวกเขาเป็นกลุ่มท่ีเชื่อว่า มาลาอีกะฮเป็นผู้บัลลังก์ และบัลลังก์ แบกอัลลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา) และบางครั้ง มาลักเหล่านั้นก็เหน่ือยล้าจากการแบก บลั ลงั ก์ 4.11) อัล-นูซัยรียะฮฺ และอัล-อิสฮำกียะฮฺ เป็นชีอะห์ที่คลั้งไคล้เช่นเดียวกัน พวกเขา เป็นกลุ่มหน่ึงท่ีคลั้งไคล้และเลยเถิด พวกเขามีผู้เลื่อมใสท่ีค่อนข้างมาก และคอยจับผิดและ ตัดสินฝา่ ยตรงข้ามแบบผดิ ๆและบางคร้ังถึงกบั อนญุ าตให้ฆ่าได้
53 5) กลุ่มอัล-อิสมำอีลียะฮฺ หรือกลุ่มอัล-บาฏีนียะฮฺ เป็นกลุ่มชีอะห์ท่ีซึมซับกับกลุ่ม อัล-มูซาวี ยะฮฺ จากชีอะห์อัล-อิสนาอาชารียะฮฺ พวกเขาศรัทธาในการเป็นอิหม่ามของ อิสมาอีล บิน ญะฟัร พวก เขาเชื่อว่าอสิ มาอีล คอื ลกู ชายคนโตและมกี ารบัญญัตใิ ห้เปน็ อหิ มา่ มตง้ั แต่ตน้ ส่วนอลั -บาฎีนียะฮฺ เปน็ ฉายานามของพวกเขาทม่ี ีความสอดคล้องกับชีอะห์เก่ียวกับการอาพราง ตัว ท้ังนี้เพราะโดยส่วนมากพวกเขาเชื่อว่า ส่ิงที่เห็นและเปิดเผยออกมาย่อมมีนัยยะหรือมีความหมายท่ี ซ่อนอยู่ เช่นเดียวกันกับบทบัญญัติทั้งหมดที่ถูกประทานมาจากฟ้า จาเป็นต้องผ่านการวิเคราะห์หานัย ยะของบัญญัติน้ันๆ ก่อนนามาปฏิบัติและศรัทธา (อัล-ชัยค มะญ้ีด อัล-ศออ้ิฆ ,1435 และอิฮซาน อิ ลาฮีย์ ศอฮ้รี ,1995 ) 3.4.1) กลุ่มชีอะห์ที่สำคัญและมบี ทบำทในโลกมสุ ลิม จากกลุ่มชีอะห์ท้ังหมดท่ีกล่าวมา นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ทั้งนักวิชาการซุนนะฮฺและ ชีอะห์ มีความเห็นใกล้เคียงกันว่า กลุ่มชีอะห์ที่สาคัญๆท่ียังมีบทบาทในโลกมุสลิมปัจจุบัน ได้แก่ ชีอะห์ อัล-สะบะอียะฮฺ ชีอะห์อัล-กัยซานียะฮฺ ชีอะห์อัล-รอฟิเฏาะห์หรืออัลอิซนา อะชารียะฮฺ และ ชีอะห์อัล- ซัยดียะฮฺ (ฆอลิบ อะลี อาวาญีย์,1997 อัล-ซัยยิด อับดุล อัล-เราะซุ้ล อัล-มูซาวีย์,0222 อิฮซาน อิลาฮีย์ ศอฮ้ีร,1995 และอัล-ชยั ค มะญี้ด อลั -ศออิ้ฆ , 1435) ซึง่ ในแต่ละกลมุ่ มีรายละเอยี ดดังต่อไปน้ี 1) ชอี ะหอ์ ลั -สะบะอียะฮฺ เป็นท่ีน่าสังเกตว่า นักวิชาการชีอะห์จะไม่กล่าวถึงกลุ่มชีอะห์ อัล-สะบะอียะฮฺมากนัก เช่น ข้อสังเกตของ ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์ (1997) และ สะอ้ีด อิสมาอีล(1989) ท่ีได้ให้ข้อสังเกตว่า นกั วชิ าการชีอะหบ์ างราย รวมถงึ นักบรู ภาคดบี างคน พวกเขาพยายามทีจ่ ะปฏเิ สธการมีอยู่จริงของ อิบนุ สะบะอฺ โดยอ้างว่าตัวตนของ อิบนุ สะบะอฺ เป็นเพียงเร่ืองเล่าไม่ใช่ความจริง ซึ่งการปฏิเสธดังกล่าว เสมือนการปฏิเสธแสงอาทิตย์ในเวลากลางวัน กล่าวคือ ปฏิเสธแบบไร้เหตุผลนอกจากต้ังใจปฏิเสธเพื่อ กลบเกล่ือนความจริงบางประการต่อสามัญชนที่พวกเขาต้องการหลอกลวง และนักวิชาการชีอะห์บาง รายเกิดความสับสนปนเป ไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่าง อับดุลเลาะห์ บิน สะบะอฺ กับ อับดุลเลาะห์ บิน วาฮับ อัล-รอซีบีย์ บางคนเห็นว่าทั้งสองคือคนเดียวกัน ซ่ึงเป็นความผิดพลาดอันชัดเจน เพราะ แท้จริงอัล-รอซีบีย์ คือผู้นาหรือหัวหน้าศาลตุลาการในสมัยน้ัน ส่วน อิบนุสะบะอฺ คือ ผู้นาหรือหัวหน้า ของกลุ่มอลั -สะบะอียะฮฺ และมีคากลา่ วจากนักวิชาการบางส่วนท่ีบอกว่า อิบนุเสาดาอฺ กับ อิบนุสะบะอฺ เป็นคนละคนกัน ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือ อิบนุสะบะอฺ ก็คือ อิบนุเสาดาอฺ เพียงแต่ในหนังสือประวัติศาสตร์ บางเล่มใชเ้ รยี กช่ือต่างกนั แต่ท้ังสองช่ือคือคนเดยี วกนั คือ อับดลุ เลาะห์ อบิ นุ สะบะอฺ อลั ยาฮูดยี ์ ในขณะท่ีนกั วิชาการซุนนะฮฺไดพ้ ดู ถงึ กล่มุ นี้เปน็ สาคญั และยงั เชอื่ ว่าจากชีอะห์ อัล-สะบะอียะฮฺ ทาให้เกิดกลุ่มชีอะห์ที่เลยเถิดและสุดโต่ง พวกเขาเป็นผู้ด่าว่าและสาปแช่งบรรดาศอหาบะฮฺโดยเฉพาะ ท่านอะบู บักร อัล-ซิดดี้กและท่านอุมัร บิน ค้อฏฏ้อบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุมา) เช่น ข้อเขียนของ อิฮซาน อิลาฮีย์ ศอฮี้ร (1995) ที่กล่าวว่าชีอะห์ในยุคแรกๆ แค่ช่ืนชอบและสนับสนุนท่านอะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) เท่านั้น ชีอะห์ในยุคแรกเร่ิมไม่เคยคิดร้ายต่อบรรดาศอหาบะฮฺ และไม่มีความขัดแย้งรุนแรง แค่เป็นความเห็นต่างที่ไม่เก่ียวกับความเชื่อหรือศาสนาแต่อย่างใด จนกระทั่ง อับดุลเลาะห์ บินสะบะอฺ เข้ามาแทรกแซงและสร้างความวนุ่ วายให้เกิดขึน้ กระทัง่ ปัจจบุ นั
54 ข้อมูลจากนักปราชญ์ชาวชีอะห์อัล–กูลัยนีย์ (2005) ได้กล่าวในหนังอุศู้ล อัล-กาฟีย์ว่า ชีอะห์ เริม่ เปลีย่ นแปลง เมื่ออับดุลเลาะฮ บิน สะบะอฺ หรืออิบนุเสาดาอฺและพวกพ้องของเขา ที่รู้จักกันในนาน ชีอะห์อัล-สะบะอียะฮฺ ซ่ึงเดิมมาจากพวกยิวและพวกบูชาไฟ เข้ามาแทรกซึมในกองทัพของอะลี บิน อะ บีฏอลิบ และบางส่วนเข้าไปอยู่ในกองทัพของมุอาวียะฮฺ บิน อะบี ศุฟยาน ซึ่งพวกเขาเข้าไปแทรกซึม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อกวนและสร้างความวุ่นวายระหว่างฝ่ายอะลีและมุอาวียะฮฺ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ มา) และทุกคร้ังที่ทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายอะลีและมุอาวียะฮฺจะเจรจาปรองดองกัน พวกสะบะอียะฮฺก็สร้าง ฟติ นะความว่นุ วายทกุ คร้ัง จนทาใหเ้ หตุการณต์ า่ งๆบานปลายและรุนแรงข้ึนในที่สดุ และจากพวกสะบะอี ยะฮฺก็ได้เกิดกลุ่ม อัล-ฆอวาริญอีกกลุ่มหนึ่งที่พวกเขาปฏิเสธทั้งอะลี อุษมาน และมุอาวียะฮฺในเวลา เดยี วกนั ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ ของนักวิชาการชีอะห์ มุหัมมัด ฮูเซ็น อัล-ซีน (1938 ) ซึ่งเป็น นักปราชญ์ชอี ะห์ ไดก้ ล่าวถึงกลุ่มน้ีว่า หลังจากท่ีอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ได้เสียชีวิตลง มีชีอะห์บางกลุ่มและผู้คล้อยตามมากมายที่เรียกกันว่า ชีอะห์อัล-สะบะอียะฮฺ พวกเขามีความเช่ือว่า ท่านอะลีไม่เสียชีวิต อะลีจะกลับมาสร้างความยุติธรรมบนแผ่นดินนี้ พวกเขาคือคนที่ประกาศและ สาปแช่ง ท่าน อะบูบักรอัล-ศิดด้ีก อุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบและ อุษมาน บิน อัฟฟาน อีกทั้งยังประกาศไม่ ยอมรับการเป็นอิหม่ามของพวกเขาเหล่านั้น โดยอ้างว่าท่านอะลีได้ส่ังไม่ให้นับถืออะบู บักร อัล-ศิดดี้ก อุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบและอุษมาน บิน อัฟฟาน และหลังจากน้ันอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ไดส้ อบสวนพวกเขา ในทีส่ ดุ พวกเขาก็ยอมรับ จากน้ันท่านอะลี บิน อะบฏี อลิบ (รอฏียลั ลอฮุ อันฮุ) ได้สั่ง ให้ประหารพวกเขา หากแต่มีมุสลิมในยุคนั้นได้ห้ามไว้ว่า “ท่านไม่ควรจะฆ่าคนที่ประกาศตัวว่ารักท่าน และรกั อะฮล์ ุลบยั ต” ชีอะห์อัล-สะบะอียะฮฺ คือ พวกพ้องที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามอับดุลเลาะ บิน สาบะอฺ อัล-ยาฮูดี (เชื้อสายชาวยิว)บางรายงานกล่าวว่าเขามาจากเมือง อัล-ฮีเราะห์ ประเทศอีรัก (อะบี มันซู้ร อัล-บัฆดา ดีย์,1970) และบางรายงานกล่าวว่าเขามาจากเมืองศอนอาอฺ ประเทศเยเมน (อัล-ฏอบารีย์ ,มปป) ซึ่ง เป็นสายรายงานที่ถูกต้องกว่า นอกจากนี้มีบางรายงานอีกว่าเขาเป็นคนดั้งเดิมมาจากกรุงโรม (อิบนุ กะซร้ี ,มปป. ) อบิ นุ สะบะอฺได้ปรากฏตัวในฐานะมสุ ลิมในยุคสมัยอุษมาน บินอัฟฟาน(รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) เพ่ือผลประโยชน์บางอยา่ ง เขาเป็นผูท้ ่ียุยง ปลกุ ป่ัน จนเกดิ ความวุ่นวายในสมยั ท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) นอกจากนี้เขาเป็นคนแรกท่ีเป็นต้นคิดของชีอะห์ที่คล่ังไคล้ต่ออะฮ์ลุลบัยต (ครอบครวั ของทา่ นนบ)ี และแนวคดิ ดังกลา่ วได้มีการแผ่ขยายไปยังเมืองต่างๆ เช่น เมืองฮีญาซ เมืองบัส เราะ เมืองกฟู ะฮฺ เมอื งซามและอียิปต์(ฆอลิบ อะลี อาวาญีย,์ 1997) การเผยแพร่แนวคิดของพวกเขาได้มีการยืนยันว่ามีชาวยิวคอยอุดหนุน และให้การสนับสนุน ทง้ั นีเ้ พือ่ ขยายความคดิ ของพวกเขาไปยงั สงั คมมุสลิมใหค้ ล้อยตาม และพวกเขาพยายามทาให้มุสลิมหลง ทางจากแนวทางที่ถูกต้องและแน่นอนพวกเขาได้เร่ิมเผยแพร่แนวคิดอย่างเปิดเผยมากขึ้นด้วยความ เกลียดชังและอิจฉาต่ออสิ ลาม ซง่ึ พวกเขาปรารถนาให้ยกเลกิ ระบบคอลีฟะฮกฺ อ่ นหน้าแล้วเรียกร้องสู่การ ภัคดีต่ออะฮฺลุลบัยต ท่ีพวกเขาเห็นว่าเป็นคาสั่งเสียจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ต่อ ท่านอะลีตามท่ีพวกเขาแอบอ้างและเข้าใจ (อิฮซาน อีลาฮีย์ ศอฮ้ีร ,1995 และ ฆอลิบ บิน อะลี อา วาญีย์, 1997)
55 ชีอะห์อัล-สะบะอียะฮฺ ให้เหตุผลว่า “ไม่มีนบีคนใดนอกจากจะต้องมีคาสั่งเสีย ซ่ึงท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ(รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) เป็นผู้ที่ถูกสั่งเสีย เป็นผู้ท่ีประเสริฐท่ีสุดในบรรดาผู้นาหรืออิห่มาม จากผู้ สั่งเสียท่ีประเสริฐสุดคือท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)”(หะซัน บิน มูซา อัล-นูบัฆตีย์ และสะ อัด บินอับดลุ เลาะห์ อลั -กมุ มีย,์ 1992) นอกจากนี้พวกสะบะอียะฮฺ มีความเช่ือว่า นบีมุหัมมัด (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ยังมี ความคลุมเครือในคาพูด และพวกเขากล่าวว่า ท่านอะลีมีสิทธ์ิที่จะได้รับวะฮฺยู 5 ใน 12 ส่วนของวะฮฺยู และยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพของอะลี บิน อะบีฏอลิบ และพัฒนาไปสู่คาพูดที่ว่า การเป็น พระเจ้าของอะลี (อูลูฮียะฮฺ อะลี) และเลยเถิดไปถึงการเชื่อว่าอะลี บิน อะบีฏอลิบ ไม่ได้ถูกฆ่าตายโดย อับดรุ เราะห์มาน บิน มุลญมั หากแต่อะลีถูกยกขึ้นไปยังฟากฟ้า และผู้ท่ีถูกอับดุรเราะห์มาน บิน มุลญัม ฆ่าคือซัยฏอนที่แปลงร่างเป็นอะลี และเสียงฟ้าร้องเป็นเสียงของอะลีส่วนฟ้าแลบ คือ แซ่หรือรอยย้ิม ของอะลี หากแต่น่าแปลกใจที่ชีอะห์สะบะอียะฮฺสาปแช่งอิบนุ มุลญัม ท้ังๆท่ีช่วยฆ่าซัยฎอน ส่วนความ เช่ือที่บอกว่าเสียงฟ้าแลบและฟ้าร้องเป็นเสียงของอะลีส่วนเสียงฟ้าผ่าคือเสียงแส้ของอะลี ซึ่งเป็นความ เช่ือท่ีไร้เหตุผลเนื่องจากเสียงฟ้าผ่า ฟ้าร้อง และฟ้าแลบมีมาตั้งแต่ดั้งเดิมและพวกเขายังกล่าวอ้างอีกว่า ท่านอะลีพานักอยู่บนก้อนเมฆ ซ่ึงทั้งหมดเป็นความเช่ือท่ีประหลาดที่กุข้ึนมาโดย อิบนุ สะบะอฺ(อิฮซาน อลิ าฮีย์ ศอฮรี้ ,1995) นอกจากน้ีชีอะห์อัล-สะบะอียะฮฺยังกล่าวว่า มีพระเจ้าอ่ืนนอกจากอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอา ลา) ดั่งเหตุการณ์ท่ีคร้ังหนึ่งพวกเขาไปหาอะลี บินอะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) และเช่ือว่าอะลีเป็น พระเจ้าแล้วอะลีจึงได้ขู่จะทาโทษพวกเขาด้วยการเผาไฟ พวกเขาจึงย่ิงเช่ือสนิทใจว่าอะลีเป็นพระเจ้า เพราะไม่มีใครทาโทษด้วยไฟนอกจากพระเจ้าเท่านั้น และความเช่ือดังกล่าวยังมีอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะชีอะห์อัล-อูยานียะฮฺท่ีมาจากอิสฮาก บินมุหัมมัด อัล-นักอี อัล-อะหมัด อัล-กูฟีย์ พวกเขา เหล่านั้นยังเชื่อในแนวคิดน้ี พวกเขากล่าวว่า แท้จริงนบีมุหัมมัดเป็นผู้รับใช้อะลี หมายถึง อะลีเป็นพระ เจ้า และมหุ ัมมดั เปน็ ศาสนทูตของอะลี (ขออัลลอฮฺจงคุ้มครอง) พวกสะบะอียะฮฺบางกลุ่มเช่ือว่านบีมุหัม มัดเป็นพระเจ้า อีกบางกลุ่มเชื่อว่านบีทั้งหมดคือพระเจ้าและหลังจากน้ันถ่ายทอดความเป็นพระเจ้ามา ให้ท่านอะลี หะสัน หุเซน มุหัมมัด บินอะลี ญะฟัร ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นคือชีอะห์อัล-คอตอบียะฮฺ อาศัย อยู่ท่ีกูฟะฮ์ ประเทศอีรัก และกลุ่มต่างๆ ดังกล่าวนั้นเป็นชีอะห์ท่ีเกิดข้ึนจากความคิดที่เลยเถิดของอิบนุ สะบะอฺ (อฮิ ซาน อิลาฮีย์ ศอฮีร้ ,1995) อีกรายงานหนึ่งระบุว่า ชีอะห์อัล-สะบะอียะฮฺท่ีคล่ังไคล้เลยเถิด ได้เกิดขึ้นในสมัยอะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ในขณะน้ันเป็นเดือนรอมฏอนพวกเขาตั้งใจท่ีจะไม่ถือศีลอด จากน้ันอะลีก็ถามพวก เขาวา่ เหตุใดพวกท่านถึงไม่ถือศีลอด เพราะพวกท่านเดินทางหรือเจ็บป่วยกันแน่ พวกสะบะอียะฮฺตอบ ว่า พวกเราไม่ได้เจ็บป่วยและไม่ได้เดินทาง แล้วอะลีก็ถามต่อไปว่า แล้วใครจะอภัยโทษให้แก่พวกเจ้าที่ กระทาเช่นน้ี พวกเขาตอบวา่ กท็ ่านไงทา่ นอะลี เพราะท่านคือพระเจ้า ดังกล่าวน้ันคือคาพูดพวกสะบะอี ยะฮฺ และนี้คือเหตุการณ์ที่อะลีได้ส่ังให้พวกเขากลับเน้ือกลับตัว และหากยังมีผู้ที่ไม่สานึกอะลีได้ขู่จะฝัง ท้ังเปน็ (สะอดฺ ีย์ อลั -ฮาชมี ีย,์ 2010 และอฮิ ซาน อีลาฮยี ์ ศอฮร้ี ,1995 ) หากแตจ่ ุดยืนหรือท่าทีของท่านอะลี บิน อาบี ฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ต่อ อับดุลเลาะห์ บิน สะบะอฺ หรือ อิบนุ เสาดาอฺ จากการกลา่ วอา้ งว่าอะลีเป็นพระเจา้ อฮิ ซาน อีลาฮีย์ ศอฮ้ีร(1995) กล่าวว่า
56 อะลีให้เวลาสามวันแก่อิบนุ สะบะอแฺ ละพวก เพ่อื สานกึ ผิดและกลบั เนื้อกลับตัว แต่พวกเขาไม่ยอมสานึก ผิด อะลีจงึ ไดล้ งโทษพวกเขาด้วยการเผาไฟพวกพ้องของอิบนุ สะบะอฺ จานวน 72 คน อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อัล-ซะฮ์ร้อสตานีย์ (1553) ได้กล่าวว่า อิบนุ สะบะอฺ ไม่ได้เปิดเผยคา กลา่ วอ้างของเขาทว่ี ่าอะลีคอื พระเจา้ นอกจากหลังจากอะลี ได้เสียชีวิตไปแล้ว ส่วน อะบี มันซู้ร อัล-บัฆ ดาดีย์ (1970) บอกว่า อะลี บิน อะบีฏอลิบ รับรู้ว่าอิบนุ สะบะอฺ ได้เชื่อและศรัทธาว่าท่านเป็นพระเจ้า หากแตท่ ่านอะลีเกรงว่าจะเกิดฟิตนะห์และความวุ่นวายและการเข้าใจผิดในหมู่ศอหาบะฮฺ จึงทาให้อะลี ต้องเงยี บ หลังจากไดป้ รกึ ษากบั อิบนุ อับบ้าส (รอฏยี ลั ลอฮุ อนั ฮ)ุ อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์ได้ระบุว่า พวกอัล-สะบะอียะฮฺ มีความแตกต่างกันออกไป บาง พวกก็เลยเถิดที่เรียกกันว่า (อัล-มุฆอลีน) และบางพวกก็กลางๆ (อัล-มุตะวัสสิฏีน) และบางพวกก็ก่าก่ึง กล้าๆกลัวๆ เรยี กวา่ (อลั -มุตะดลี ัย) หรอื (อัล-มุศอฟฟัร) แต่ท้ังหมดมาจากอับดุลเลาะ บิน สะบะอฺ อัล- ยะฮูดีย์ หากแต่มีชีอะห์บางกลุ่มก็ออกห่างและไม่เอาด้วยกับอับดุลเลาะ บินสะบะอฺ เช่น ผู้ท่ีสนับสนุน ซด้ี บิน อะลี บิน หุเซน แต่แนวคิดของอบิ นุสะบะอจฺ ะขยายตัวเร็วในกลุ่มคนท่ีคล่ังไคล้หลงใหลท่านอะลี บิน อะบฏี อลบิ เป็นส่วนใหญ่ (ฆอลิบ อะลี อาวาญยี ,์ 1997) มากไปกว่านั้นกลุ่มอัล-สะบะอียะฮฺจะครอบคลุมไปถึงกลุ่มชีอะห์อัล-อีมามียะฮฺทุกกลุ่ม ซ่ึงถือ เป็นกลุม่ ชีอะห์ส่วนใหญใ่ นโลกปจั จุบัน และกลมุ่ นี้จะกลา่ วหาว่าบรรดาศอหาบะฮฺท้ังหมดเป็นกาฟี้ร (ตก ศาสนา)และเชื่อว่าคัมภีร์อัล-กุรอานถูกบิดเบือนโดยบรรดาศอหาบะฮฺซึ่งพวกเขาเชื่อว่าในอัล-กุรอานมี บัญญัติว่าด้วยการเป็นคอลีฟะฮฺหรืออิหม่ามแต่ผู้รวบรวมอัล-กุรอานก่อนหน้าได้ตัดออก นอกจากนั้น พวกเขาจะไม่ยอมรับหลักการจากบรรดานักวิชาการมุสลิมสายซุนนะฮฺ พวกสะบะอียะฮฺเชื่อว่าอิหม่าม มะฮดีจะออกมาสอนศาสนาแก่พวกเขากระทั่งลุกลามไปถึงอนุมัติสิ่งเป็นฮะรอมเป็นต้น และสุดท้ายก็ กลายเป็นว่าไม่ยอมรับบทบัญญัติศาสนาจากคาสอนนักวิชาการมุสลิมใดๆนอกจากต้องเป็นชีอะห์อย่าง พวกเขาเทา่ นัน้ (สะอ้ีด อสิ มาอีล,1989) 2) ชีอะห์อัล-กยั ซำนียะฮฺ ชอี ะห์อัล-กยั ซานียะฮไฺ ด้เกดิ ขนึ้ หลงั จากหุเซน บิน อะลี ถูกสังหารท่ีกรั บาลาอฺ และจากกลุ่มน้ีได้ เกิดชีอะห์กลุ่มกลุ่มอัล-มุกตารียะฮฺ กลุ่มอัล-ฮาชีมียะฮฺ กลุ่มอัล-บายานียะฮฺ และกลุ่มอัล-บายานียะฮฺ หรืออลั -รซี านียะฮดฺ ง่ั ทีก่ ลา่ วมาแล้วขา้ งต้น ชีอะห์อัล-กัยซานียะฮฺ เช่ือว่า อิหม่ามหรือผู้นาของพวกเขา คือ อะลี บิน อาบี ฏอลิบ ,หะสัน บิน อะลี , หเุ ซน บิน อะลี (รอฏิยัลลอฮู อนั ฮมุ ) และหลงั จากนัน้ มุหมั มัด บิน อะลี อัล-หะนีฟะฮ์14 และ นอกจากน้ันก็ยังมีกล่าวเพ่ิมว่า อิหม่ามของพวกเขาคือ อะลี บิน ฮุเซน (ที่รู้จักในนามซัยนุ้ล อาบีดีน) และบางคนปฏเิ สธผู้นาของมุหัมมดั อิบนุ อัล-หะนีฟะฮ์ เน่ืองจากอิบนุอัล-หะนีฟะฮ์ ไม่ใช่สายตระกูลมา จากท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ลูกสาวของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ด้วยเหตุผลดังกล่าวเป็น ต้นเหตุของการแตกแยกชีอะห์กลุ่มต่างๆ ที่เกิดข้ึน และชีอะห์อัล-กัยซานียะฮฺ มีความเช่ือว่า อิบนุ อัล- หะนฟี ะฮ์ ไดห้ ายตัวไปยังภเู ขารฏิ วา และวนั หนง่ึ เขาจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งยังโลกใบน้ี (หะซัน บิน มู ซา อัล-นูบัฆตยี ์ และสะอดั บิน อับดลุ เลาะห์ อัล-กมุ มีย์,1992 ) 14 เปน็ บุตรของอะลีกบั นาง เคาละห์ บนิ ตี ญะอฺฟรั แหง่ เผ่าฮะนีฟะฮ์ เกิดในสมยั คอลีฟะฮ์ อมุ รั อลั -ค้อฏฏอบ้ ปีที่ 21 แหง่ อญิ เราหศ์ กั ราชมขี นานนามว่า อะบี อลั -กอซมิ
57 ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์ (1997) ได้กล่าวถึงชีอะห์อัล-กัยซานียะฮฺว่า กลุ่มน้ีเกิดขึ้นหลังจากที่ ท่าน หะสัน บิน อะลี ยอมลงจากตาแหน่งอิหม่ามและมอบอานาจให้แก่มุอาวียะฮฺ บิน อะบีศุฟยาน (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) และหลังจากนั้นจึงเกิดกลุ่มอัล-กัยซานียะฮฺข้ึน หลังจากมีการปรองดองกันระหว่าง หะสัน บิน อะลี กับมุอาวียะฮฺ บิน อะบีศุฟยาน พวกอัล-กัยซานียะฮฺก็ตีตัวออกห่างจากหะสัน บิน อะลี และฮเุ ซน บิน อะลี แล้วหนั ไปสนบั สนนุ และ มหุ ัมมัด อบิ นุ อลั -หะนีฟะฮ์ พวกเขากล่าวว่า แท้จริง อิบนุ อลั -หะนฟี ะฮ์ เหมาะสมและคู่ควรท่ีจะเป็นอหิ ม่ามหลังจากท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) และพวกเขาเชื่อว่าการเป็นอิหม่ามของ อิบนุ อัล-หะนีฟะฮ์ เป็นคาสั่งเสียจากบิดา คือ อะลี บิน อะ บีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) นอกจากน้ีพวกเขากล่าวว่ามุสลิมทุกคนโดยเฉพาะอะฮ์ลุลบัยตไม่สามารถ จะปฏิเสธหรอื ขัดแย้งต่อ อิบนุ อัล-หะนีฟะฮ์ หากท่านไม่อนุญาต และพวกเขายังกล่าวอีกว่า แท้จริงหะ สนั บิน อะลี ไดอ้ อกไปทาสงครามกับมุอาวียะฮฺ ด้วยคาสั่งอิบนุ อัล-หะนีฟะฮ์ เช่นเดียวกันกับฮุเซน บิน อะลี ทอ่ี อกไปทาสงครามกบั ญะซ้ีด บิน มุอาวียะฮฺ ก็เพราะเป็นการอนุญาตจาก มุหัมมัด อิบนุ อัล-หะนี ฟะฮ์ นอกจากนนั้ พวกเขากลา่ ววา่ ใครท่ีขัดแยง้ กบั อิบนุอลั -หะนีฟะฮ์ ถอื ว่าเป็นกาฟีร้ (ตกศาสนา) อีกกลุ่มหน่ึงของชีอะห์อัล-กัยซานียะฮฺ ได้กล่าวว่า แท้จริงการเป็นผู้นาหรืออิหม่ามนั้นเร่ิม จากอะลี หะสัน ฮุเซน และอิบนุอัล-หะนีฟะฮ์ตามลาดับ พวกเขาได้กล่าวว่า อิบนุ อัล-หะนีฟะฮ์เป็นผู้ท่ี ประเสริฐที่สุดและควรจะเป็นอิหม่ามหรือผู้นาหลังจากท่าน หุเซน บิน อะลี เช่นเดียวกับหุเซนเป็นผู้ท่ี เหมาะสมทีส่ ดุ หลงั จากหะสัน บิน อะลี(อฮิ ซาน อะลี อลี าฮีย์ ศอฮร้ี ,1995) อยา่ งไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์มีความเห็นท่ีแตกต่างกันออกไปว่า ใครคือผู้นาสูงสุดของชีอะห์ อัล-กัยซานียะฮฺ บางรายงานบอกว่า แท้จริงกัยซาน เป็นชายผู้หน่ึงซ่ึงเป็นผู้ช่วยของท่านอะลี บิน อะ บีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ในขณะท่ีอีกรายงานหนึ่งเห็นว่า กัยซาน คือศิษย์ของมุหัมมัด อิบนุ อัล- หะนีฟะฮ์ (อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อัล-ซะฮ์ร้อสตานีย์ ,1993) และอีกรายงานหนึ่งบอกว่า กัยซาน คือ อัล-มุกต้าร บิน อาบี อุบัยดฺ อัล-ซะกอฟีย์ ซ่ึงมีฉายานามว่า “กัยซาน”(อัล-กุมมีย์ และ อัล-นุบัคตีย์, 1992) หากแต่ความเห็นที่สามอาจไม่ถูกต้องท้ังนี้เพราะกลุ่มอัล-กัยซานียะฮฺ เกิดข้ึนก่อนท่ีอัล-มุกต้าร จะเขา้ มามบี ทบาทในกลุม่ ชอี ะห์ซึง่ มรี ายเอยี ดพอสังเขปดงั ทจี่ ะเสนอตอ่ ไปนี้ ชอี ะหอ์ ลั -มุกตำรียะฮฺ ในหนงั สือประวัติศาสตร์บางเล่ม ถือว่าอัล-มุกตารียะฮฺเป็นกลุ่ม หนงึ่ ท่ีเอกเทศจากกลุ่ม อัล-กยั ซานยี ะฮฺ และอีกบางทัศนะเห็นว่า เป็นกลุ่มเดียวกัน จึงมีคาถาม ว่า อัล-กัยซานียะฮฺเป็นกลุ่มเดียวกันกับอัล-มุกตารียะฮฺหรือไม่ หลังจากที่ค้นคว้าข้อมูลจากนัก ประวัติศาสตร์ก็จะพบว่า นักประวัติศาสตร์บางท่านได้รวมกัน ระหว่างอัล-กัยซานียะฮฺกับอัล- มุกตารียะฮฺ ท้ังน้ีเพราะคิดว่า มูกต้าร เป็นคนเดียวกันกับ กัยซาน ซึ่งทัศนะน้ีเป็นความเห็น ของอัล-กมุ มยี ์ ด่ังทก่ี ล่าวมาข้างตน้ ในขณะที่นักประวัติศาสตร์บางท่านเชื่อว่า อัล-กัยซานียะฮฺ เป็นกลุ่มเอกเทศออกไป และอ้างว่ามีชายคนหนึ่งที่ช่ือว่ากัยซาน ซึ่งเป็นศิษย์ของมุหัมมัด อิบนุ อัล-หะนีฟะฮ์ และบาง รายงานกล่าวว่า เป็นเด็กรับใช้ของอะลี บิน อะบีฏอลิบ และต่อมาเม่ืออัล-มุกต้าร บิน อาบี อุบยั ดฺ อลั -ซะกอฟีย์ มาถึงก็ได้เข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขาด้วย และด้วยความเฉลียวฉลาดของอัล- มกุ ตา้ ร หลงั จากน้นั กลุ่มนี้ก็เปล่ียนจากอัล-กัยซานนียะฮฺ กลายเป็นอัล-มุกตารียะฮฺ (หะซัน บิน มซู า อลั -นบู ฆั ตีย์ และสะอดั บินอบั ดลุ เลาะห์ อลั -กุมมีย,์ 1992)
58 ชอี ะหอ์ ัล-มุกตารียะฮฺ เป็นพวกพ้องของ อลั -มุคต้าร บนิ อะบี อุบัยด อัล-ซากอฟีย์ เขา คือผู้ท่ีขอชาระแค้นแก่ อิหม่ามหุเซน บิน อะลี และเขาพยายามสร้างกองทัพเพ่ือต่อสู้กับ อุบัยดิลลอฮ บิน ซียาด ในสมัยอับดุลมาลิก บิน มัรวานแห่งราชวงศ์อุมาวียะฮฺ และในท่ีสุดเขา ถูกฆา่ ตายในปี 67 แหง่ ฮิจเราะห์ศักราช (อาบุล ฟะตฮิ อะหห์ มัด อลั -ซะฮร์ อ้ สตานีย์, 1553) สาหรับชีอะห์อัล-มุกตารียะฮฺ มีเหตุการณ์สาคัญที่ได้กล่าวถึงในประวัติศาสตร์ว่า กลุ่ม นี้เป็นกลุ่มที่นาโดยอัล-มุกต้าร บิน อาบี อุบัยดฺ อัล-ซะกอฟีย์เขาเกิดท่ีเมือง ตออี้ฟ ในปีที่ 1 แห่งฮิจเราะห์ศักราช และพ่อของเขาเป็นศอหาบะฮฺท่านหน่ึง เป็นผู้นากองทัพมุสลิมในการไป บุกเบิกเมืองอีรัก และได้เสียชีวิตในสงครามอัล-ญัสร และหลังจากน้ันลุงของท่านซัยยิด มัสอูด อัล-ซะกอฟีย์ก็ได้เล้ียงดูท่าน และมัสอูด อัล-ซะกอฟีย์ถือเป็นเจ้าเมืองกูฟะฮ์ในสมัยท่านอะลี บิน อาบี ฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮ)ุ มุกตา้ ส ได้เติบโตข้ึนอย่างชาญฉลาด แต่ปกปิดความ เป็นชีอะห์ของตัวเอง สิ่งท่ีมุกต้ารต้องการคือตาแหน่งทางการเมือง และเขามีบทบาทใน ประวตั ศิ าสตร์ของชีอะห์พอสมควร(ฆอลบิ บนิ อะลี อาวาญีย์ ,1997) สาหรับชีอะห์อัล-มุกตารียะฮฺ พวกเขาเช่ือว่ามุหัมมัด บิน อัล-หะนีฟะฮ์ คือ อิหม่าม หลังจากท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ และบางรายงานบอกว่า มุหัมมัด บิน อัล-หะนีฟะฮ์ คือ อิหม่ามหลังจาก หะสัน และ หุเซน ไม่ใช่หลังอะลี ทันที นอกจากนี้พวกเขายังเช่ือว่าการพูด โกหกตอ่ อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)เป็นส่ิงที่อนุญาต กล่าวคืออนุญาตให้พูดอีกอย่างแต่คิด ในใจอีกอย่าง ซ่ึงอาจเหมือนความเชื่อการอาพรางตัวของชีอะห์ (อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อัล- ซะฮร์ อ้ สตานยี ์, 1553) 3) ชีอะหอ์ ัล-ซัยดียะฮฺ นักวิชาการได้พูดถึงท่ีมาของกลุ่มนี้ว่า หลังจาก หุเซน บิน อะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ถูกสังหาร ท่ีกัรบาลาอฺ ได้เกดิ กลุ่มชีอะหม์ ากมายขน้ึ มา และเริ่มทวคี วามรุนแรงข้นึ เป็นระยะๆ ในขณะนั้น อะลี บิน หุเซน ที่ถูกเรียกขานว่า ซัยนุลอาบีดีน ได้เกิดขึ้น และชีอะห์ก็ได้สถาปนาและให้สัตยาบันเขาให้เป็น อิหม่ามคนต่อไป ซ่งึ ขณะนั้นอยู่ภายใตก้ ารปกครองของราชวงศ์บะนีอมุ ยั ยะฮฺ ในช่วงของญะซี้ด บิน มุอา วียะฮฺ และขณะนั้นญะซ้ีดก็ให้เกียรติต่อ อะลี บิน ฮุเซน ซัยนุลอาบีดีน และทายาทของเขา คือ ซ้ีด บิน อะลี บิน ฮุเซน , มุหัมมัด บิน อะลี บินฮุเซน และอุมัร บิน อะลี บิน ฮุเซน ( ฆอลิบ อะลี อาวาญีย์ ,1997 ) เมื่ออะลี ซัยนุลอาบีดีน เสียชีวิต ชีอะห์มีความเห็นท่ีขัดแย้งกันเกี่ยวกับผู้ใดควรเป็นอิหม่าม หลงั จากพอ่ ของพวกเขาระหวา่ ง ซ้ดี บิน อะลี และมุหัมมัด บิน อะลี กลุ่มหน่ึงเห็นว่า ซี้ด บิน อะลี ควร จะเป็นผู้นา พวกเขาได้ลาดับผู้ท่ีเป็นอิหม่ามหลังจากอะลี บิน อาบี ฏอลิบ คือ หะสัน บิน อะลี ต่อมา คือ หุเซน บิน อะลี และหลังจาก ฮะซั และฮุเซน ต้องมีการประชุมกันระหว่างอะฮ์ลุลบัยตว่าใครควร เป็นอิหม่าม เช่นเดียวกันในกรณี ซ้ีด บิน อะลี และ มุหัมมัด บิน อะลี ดังกล่าวน้ันทาให้เกิดกลุ่มชีอะห์ อกี กลมุ่ คืออลั -ญารูดียะฮฺ ทพ่ี วกเขาเห็นวา่ ตอ้ งมกี ารประชุมเกี่ยวกับ ซ้ีด และมุหัมมัด บิน หุเซน ว่าใคร ควรจะเป็นอิหม่าม แต่พวกเขาเชื่อว่าซี้ด บิน อะลี ควรจะเป็นอิหม่าม15 และหลังจากซี้ด ควรจะ 15 ในขณะที่อีกกลุ่มหน่ึง เห็นว่า มูฮัมหมัด บิน อะลี บิน หุเซน ที่มีขนานนามว่า “อาบี ญะฟัร อัล-บาก้ีร” เขาควรจะเป็น อิหม่ามหลงั จากพอ่ ของเขาและอัล-บาก้ิรเป็นหนึ่งในอิหมา่ ม 12 หรือชอี ะห์อสิ นาอาชารยี ะฮฺ
59 เปน็ ญะฮย์ า บิน ซ้ีดและหลังน้ันควรจะเปน็ อซี า บิน ซ้ดี (หะซนั บิน มูซา อัล-นูบัฆตีย์ และสะอัด บินอับ ดลุ เลาะห์ อัล-กมุ มีย,์ 1992 ) ชีอะห์อัล-ซัยดียะฮฺ หรือพวกพ้องของซ้ีด บิน อะลี ซัยนุลอาบิดีน เป็นกลุ่มที่ปฏิเสธและไม่ ยอมรับระบบการปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮฺ พวกเขาได้เดินทางออกไปยังนครกูฟะฮ์ นากองทัพเข้า ประเทศอิรกั เผชิญหนา้ กับอานาจของอาณาจักรอุมะวียะฮฺ สมัยการปกครองของ ฮิชาม บิน อับดุลมะลิก ชาวเมืองกูฟะฮฺเป็นผู้ท่ียุยงให้ซัยดฺออกมาก่อการในคร้ังนี้ แต่ในเวลาต่อมาชาวเมืองกูฟะฮฺได้โดดเดี่ยว การต่อสู้ของซัยดฺและได้หักหลังท่านเม่ือรู้ว่าซ้ีด บิน อะลี ไม่ประณามหรือสาปแช่งต่อท่านอบูบักรฺ และ อมุ รั ฺ นอกจากนน้ั แล้วท่านซี้ดยังกล่าวคาอัต-ตะร็อฎฎีย์ (กล่าวว่า เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ-ขออัลลอฮฺ(สุบหา นะฮู วะตะอาลา)ทรงโปรดปราน) ต่อท่านท้ังสองคนด้วย ดังนั้น ท่านซัยดฺจาเป็นต้องเผชิญหน้ากับกอง กาลังของอาณาจักรอัล-อุมะวียะฮฺ โดยมีกองกาลังท่ีร่วมรบกับท่านเพียง 500 นาย จากการต่อสู้ท่านซ้ี ดถูกยิงด้วยลูกธนูท่ีหน้าผากและเสียชีวิตลงในปี ฮ.ศ. 122 ท่ี อัล-กะนาซะฮ์ และถูกฝังท่ีซากียะฮฺ และ หลังจากนนั้ ถูกขุดศพขน้ึ มาหลังจากฝังไป 6 ปี และหลังจากน้ันถูกนาไปเผาแล้วท้ิงกระดูกในแม่น้ายูเฟร ตสิ (สภายุวมุสลิมโลก WAMY, 2012 และอัล-ซยั ยดิ อบั ดลุ อลั -เราะซลุ้ อัล-มซู าวยี ์,0222 ) กล่มุ อลั -ซยั ดียะฮไฺ ด้แพร่กระจายเขา้ สเู่ มอื งอลั -ดยั ลัม หรือญัยลาน (ปจั จบุ ันเปน็ จังหวัดหนึ่งของ ประเทศอหิ รา่ น ตัง้ อยทู่ างทศิ ตะวนั ตกเฉียงใตข้ องทะเลแคสเปียน) ด้วยการนาของอิหม่าม หุซัยนีย์ ซ่ึงมี นามเต็มว่า อบูมุหัมหัด อัล-หะสัน บิน อะลีย์ บิน อัล-หะสัน บิน ซัยดฺ บิน อุมัรฺ บิน อัล-หุสัยนฺ บิน อะ ลยี ์ เราะฎิยัลลอฮอุ ันฮุมา เขามฉี ายานามวา่ อัน-นาศิร อัล-กะบีรฺ (มีชีวิตระหว่าง ฮ.ศ. 230 - 304) ผู้คน รู้จักเขาในนาม “อัล-อุฏรูช” เขาผู้นี้ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐาน ณ ประเทศเหล่าน้ันเพ่ือเผยแพร่อิสลามตาม แนวคดิ ของอัล-ซัยดียะฮฺ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้คนเข้ารับอิสลามและกลายเป็นพวกอัล-ซัย ดียะฮเฺ ป็นจานวนมากในช่วงแรก(สภายุวมสุ ลมิ โลก WAMY, 2012) ส่วนอัล-ซัยดียะฮฺ ในประเทศเยเมนพวกเขาสามารถกู้อานาจกลับคืนมาจากพวกเติร์ก (อาณาจกั รอษุ มานียะฮ)ฺ ได้ เน่ืองจากอหิ ม่ามยะหยฺ า บนิ มันศรู ฺ บิน หะมีดุดดีน ได้ทาการรัฐประหารยึด อานาจจากชาวเติร์กได้ในปี ฮ.ศ. 1322 และได้สถาปนารัฐอัล-ซัยดียะฮฺ ซึ่งปกครองประเทศเยเมน เร่ือยมาจนถึงปี ค.ศ.1962 ราชวงศ์อัล-ซัยดียะฮฺถูกโค่นอานาจจากการปฏิวัติของประชาชนเยเมนเอง ทาใหอ้ านาจของราชวงศ์อัล-ซยั ดยี ะฮฺเสื่อมสลายไป หากแต่ประเทศเยเมนยังเป็นฐานท่ีมั่นหลักของกลุ่ม อลั -ซยั ดยี ะฮฺจวบจนปจั จบุ ัน(สภายุวมุสลิมโลก WAMY, 2012) และจากชีอะห์อัล-ซัยดียะฮฺได้มีกลุ่มท่ีแตกออกจานวน 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม อัล-ญารูดียะฮฺ กลุ่ม อัล-สุลัยมานียะฮฺ กลุ่มอัล-บัตรียะฮฺ ซ่ึงจะกล่าวพอสังเขปดังนี้ (อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อัล-ซะฮ์ รอ้ สตานยี ์, 1553 และ อลั -ซยั ยิด อบั ดลุ อลั -เราะซลุ้ อลั -มูซาวีย์,0222) คอื อัล-ญำรูดียะฮฺ พวกเขาคอื สหายและพวกพ้อง อาบี อัล-ญารูด พวกเขามีความเช่ือว่า บัญญัติการเป็นผู้นาของอะลี เป็นการบัญญัติถึงลักษณะของผู้ที่จะเป็นผู้นา ซึ่งไม่ได้กล่าวชื่อ ทา่ นอะลีโดยตรง นอกจากน้ีพวกเขาเช่ือว่าผู้นาหรือคอลีฟะฮฺ 3 คนแรก ถือเป็นโมฆะ และพวก เขาศรัทธาว่าอิหม่ามหลังจากท่าน อะลีคือฮาซัน บิน อะลี และหลังจากน้ันคือหุเซน บิน อะลี และหลังจากน้ันก็ต้องมีการประชุมกันระหว่างมุสลิม หากแต่ต้องเป็นลูกหลานของท่านหญิง ฟาฏมิ ะฮฺ บนิ ตี มุหัมมัด บุตรสาวของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เท่าน้ันท่ีจะข้ึนมา เป็นผู้นา
60 อัล-สุลัยมำนียะฮฺ พวกเขาเป็นสหายและพวกพ้องของสุลัยมาน บิน ญารีด พวกเขาผู้ ปฏิเสธบญั ญตั ิที่เกี่ยวข้องกับลกั ษณะและชื่อตา่ งๆ ของอหิ ม่าม พวกเขากล่าวว่า แท้จริงผู้นานั้น ต้องผ่านการชูรอ การปรึกษาหารือกันระหว่างมุสลิมกันเท่านั้น นอกจากน้ีพวกเขาเช่ือว่า แทจ้ รงิ การเปน็ คอลฟี ะฮฺ ของ อะบูบักรอัล-ศิดด้ีก และท่านอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ เป็นส่ิงที่ถูกต้อง สว่ นการเป็นผู้นาของอษุ มาน บิน อฟั ฟานเป็นสิ่งที่ไม่ถูกตอ้ ง อัล-บัตรียะฮฺ พวกเขาเป็นสหายและพวกพ้องของ บะฏ้ีร อัซเสามีย์ พวกเขาเชื่อ เหมือนกบั คากลา่ วกลมุ่ อลั -สุลัยมานียะฮฺ เพียงแต่ว่าพวกเขายอมรับการเป็นคอลีฟะฮฺของอาบู บักร อลั -ศิดดก้ี และอุมัร อัล-คอ้ ฏฏอ้ บ หากแต่ พวกเขาไม่ขอลงความเห็นการเป็นคอลีฟะฮฺของ อษุ มาน บิน อฟั ฟาน โดย ไมไ่ ด้บอกวา่ ถกู ต้องหรือเปน็ โมฆะ อย่างไรก็ตามนกั วิชาการส่วนใหญ่ เห็นว่ากลุ่มชีอะห์ท่ีใกล้เคียงกับญามีอะฮ์ อิสลามมีญะฮ์หรือ อัล-ซุนนะฮฺในประเด็นท่ีเกี่ยวกับอัล-อิมามะฮฺหรืออิหม่ามมากท่ีสุด คือ กลุ่มอัล-ซัยดียะฮฺ16 ซึ่งพวกเขา ไม่ได้คลั่งไคล้อิหม่ามมากจนเกินไป เพียงแค่คิดว่ามนุษย์ที่ดีที่สุดหลังจากนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)คือ อะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ดังท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนี้พวกเขาก็ ไม่ได้ปฏิเสธบรรดาศอหาบะฮฺ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุม) ท่านอ่ืนๆ ด้วยเช่นกัน ซ่ึงแนวคิดต่างๆ ของชีอะห์ อัล-ซยั ดียะฮจฺ ะกล่าวในตอนต่อไป แนวคดิ และควำมเชือ่ ของอัล-ซยั ดยี ะฮฺ เก่ียวกับแนวคิดและความเช่ือของชีอะห์อัล-ซัยดียะฮฺ พวกเขามีทัศนะว่า บุตรหลานของท่าน หญิงฟาฏมิ ะฮฺ (รอฎิยลั ลอฮุอนั ฮา) ทกุ คนมสี ทิ ธ์เิ ป็นอิหม่ามหรือผู้นาสูงสุดได้ ไม่ว่าเขาจะมาจากเป็นทาง เช้ือสายของอิหม่ามอัล-ฮะสัน หรืออิหม่ามอัล-หุเซน (รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา) และการแต่งตั้งอิหม่ามใน ทัศนะของพวกเขาคือการให้สัตยาบัน โดยไม่ใช่ด้วยการสืบสายวงศ์ตระกูล ซึ่งผู้ใดท่ีมีศักดิ์เป็นลูกหลาน ของทา่ นหญิงฟาฏมิ ะฮฺ และมคี ณุ สมบตั ิทค่ี รบสมบูรณเ์ ขาผนู้ น้ั กม็ ีสิทธิ์เป็นอิหม่ามหรือผู้นาสูงสุดได้ และ พวกเขาอนุญาตให้มีผู้นามากกว่าหน่ึงคนได้ในช่วงเวลาเดียวกัน และพวกเขามีทัศนะว่า ผู้ท่ีมีความ ประเสริฐน้อยกว่าสามารถดารงตาแหน่งเป็นอิหม่ามได้ ดังกล่าวนั้นอัล-ซัยดียะฮฺจึงยอมรับการเป็นคอ ลีฟะฮฺของท่าน อบูบักรฺ และท่านอุมัรฺ (รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา) พวกเขาไม่สาปแช่งคอลีฟะฮฺท้ังสองดังท่ี พวกชีอะฮฺกลุ่มอื่นกระทากัน นอกจากนี้พวกเขายังกล่าวดุอาร์ด้วยคาว่า (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) เม่ือ กล่าวถึงท้ังสอง (สภายุวมุสลิมโลก WAMY, 2012)ซึ่งเป็นคากล่าวเหมือนกับแนวทางของอะฮ์ลุส ซุน นะฮฺ เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของบรรดาอิหม่ามในทัศนะชีอะห์อัล-ซัยดียะฮฺ พวกเขามีความเห็นว่า บรรดาอิหม่ามไม่ได้ปราศจากความผิด และพวกเขาไม่ได้มาจากคาส่ังเสียของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะซัลลัม) (ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั )แต่อย่างใดอย่างท่ีชีอะห์กลุ่มอืนๆได้กล่าวอ้าง และผู้ใดท่ี เชื่อว่าอิหม่ามเป็นผู้บริสุทธิ์หรือเช่ือว่าอิหม่ามเป็นคาสั่งเสียของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ถือเป็นความเชื่อที่ผิด(ฆอลิบ อะลี อาวาญีย์,1997 และ อิฮซาน อิลาฮีย์ ศอฮร้ี , 1995) 16 หมายถงึ กล่มุ อัล-ซยั ดยี ะฮฺดง่ั เดิมกอ่ นทจ่ี ะแตกออกเป็นกลุม่ อน่ื ๆท่คี ัง่ ไคล้อกี สามกลุ่มทกี่ ล่าวข้างต้น
61 นอกจากนค้ี วามเชือ่ ของอัล-ซัยดียะฮฺ เก่ียวกับอิหม่ามมะฮฺดีท่ีหายตัว พวกเขาเชื่อว่าไม่ได้มีจริง นอกจากน้ันอัล-ซัยดียะฮฺ ยังมีความเช่ือว่าหุกุมสาหรับคนที่ทาผิดบาปใหญ่จะอยู่ระหว่างนรกและ สวรรค์17 ชีอะห์อัล-ซัยดียะฮฺ ไม่เห็นด้วยกับชีอะห์กลุ่มอ่ืนๆ ที่เช่ือว่าผู้ทาผิดบาปใหญ่จะต้องอยู่ในนรก อย่างถาวรเพราะผู้ที่อยู่ในนรกอย่างถาวร คือ กาฟี้รเท่าน้ันในทัศนะอัล-ซัยดียะฮฺ (มุหัมมัด อะบู ซะฮ์ เราะห์ ,มปป.) อัล-ซัยดียะฮฺยังมีความเช่ือเกี่ยวกับการศรัทธาต่อกาหนดสภาวะของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะ อาลา)ว่า บ่าวเป็นเจ้าของการกระทาของตัวเองและบ่าวมีสิทธิ์เลือกความประสงค์ของตัวเองด้วยความ ช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) และการกระทาท้ังหมดของบ่าวจะถูกพิพากษาในวัน ปรโลกทงั้ ผลบญุ และผลบาป ดังกลา่ วนน้ั เป็นความเช่ือเหมือนกลุ่ม อัล-มุตะซีละฮ์ เช่นเดียวกันกับความ เช่อื ของอลั -ซัยดียะฮเฺ กีย่ วกบั ความรู้ของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) พวกเขาเชอ่ื ว่าความรู้ของอัลลอ ฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)นั้นดั่งเดิมไม่มีการบกพร่องในความรอบรู้และวิทยปัญญาแห่งอัลลอฮฺ(สุบหา นะฮู วะตะอาลา) ทุกอย่างที่เกิดข้ึนล้วนเป็นกาหนดการท่ีกาหนดโดยความรอบรู้และวิทยปัญญาของ พระองค1์ 8 นอกจากน้ีอัล-ซัยดียะฮฺไม่เชื่อเกี่ยวกับการฟ้ืนคืนชีพตามความเช่ือของชีอะห์อัล-สะบะอียะฮฺ ที่เช่ือว่า บรรดาอิหม่ามจะกลับมาปกครองพวกเขาอีกคร้ังก่อนวันอวสาน และบรรดาอิหม่ามจะฟ้ืนคืน ชีพกลับมาสรา้ งความยตุ ธิ รรมพร้อมปกป้องชาวชีอะห์จากความอธรรมท้ังปวง (อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อัล-ซะฮ์ร้อสตานยี ์ ,1553) ท่ีกล่าวมาข้างต้นแสดงว่าชีอะห์อัล-ซัยดียะฮฺมีความเชื่อที่คล้ายกับซุนนะฮฺในหลายประเด็น และอาจกล่าวได้ว่าอัล-ซัยดียะฮฺด่ังเดิมของ ซ้ีด บิน อะลี ซัยนุ้ลอาบีดีน เป็นกลุ่มท่ีใกล้เคียงกับซุนนะฮฺ นอกจากประเด็นการให้ความสาคัญต่ออะลี บิน อะบีฏอลิบ มากกว่าท่านอื่นๆ หากแต่ในเวลาต่อมา ชอี ะหอ์ ัล-ซัยดียะฮกฺ ็แตกแยกออกไปอีกหลายกลมุ่ ด่ังทก่ี ล่าวมา 4) ชีอะห์อลั -รอฟีเฏำะห์ ความหมายคาว่า อัล-รอฟีเฏาะห์ ในด้านภาษา คือ การละทิ้ง การปฏิเสธ และไม่ยอมรับ นักภาษาศาสตรไ์ ดก้ ลา่ วว่า อลั -รอฟีเฏาะห์ คือ ทุกกลุ่มท่ีปฏิเสธและไม่ยอมรับ และหันออกจากหัวหน้า กลมุ่ คนนน้ั คอื ผทู้ ่เี ปน็ อัล-รอฟีเฏาะห์ (ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์,1997) ส่วนความหมายอัล-รอฟีเฏาะห์ ทางวิชาการ หมายถึง คนกลุ่มหนึ่งท่ีปฏิเสธและไม่ยอมรับการ เป็นผู้นาสูงสุด (คอลีฟะฮฺ) ของท้ังสองท่าน คือ อะบู บักร อัล-ซิดด้ีก และ อุมัร บิน อัล-ค้อฏฏ้อบ และ บรรดาศอหาบะฮฺส่วนใหญ่(สหายท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ) และผู้ท่ีอ้างว่าการเป็นผู้นา หรืออิหม่ามน้ันเป็นสิทธิของอะลี บิน อะบีฏอลิบ และลูกหลานของอะลีหลังจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)โดยมีตัวบทหลักฐานอันชัดเจนจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ดังนั้น อิหม่ามหรอื ผนู้ าอน่ื จากอะลีและลกู หลานของเขาถอื เป็นโมฆะ (ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์,1997 และอับ ดลุ ลอฮ บิน มุหมั มัด อัส สะละฟยี ์, 2009 ) 17 ความเชื่อดังกลา่ วเปน็ ความเชอื่ เหมอื นกลุม่ อัล-มอุ ตฺ ะซีละฮ์ คอื ผู้ปฏิบัติตาม วาศีล้ บิน อาฏ้ออฺ เนอื่ งจากอัล-ซัยดียะฮฺได้รบั อิทธิพลจากอลั -มอุ ตฺ ะซีละฮ์ 18 ในขณะท่ีชอี ะหอ์ นื่ ๆ เชน่ อลั -กยั ซานยี ะฮฺ และอัล-รอฟีเฏาะห์ เชื่อวา่ อัลลอฮ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)จะไมร่ มู้ ากอ่ นว่าอะไร จะเกดิ ขึ้น
62 สว่ นสาเหตทุ พ่ี วกเขาถกู เรยี กวา่ อลั -รอฟีเฏาะห์ วา่ มสี าเหตุหลายประการ เช่น เพราะพวกเขา ปฏิเสธและแยกตัวออกจาก ซ้ีด บิน อะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) พวกเขาจึงถูกเรียกว่าพวกอัล-รอฟีเฏาะห์ (อิสมาอีล อิบนุ กะซ้ีร ,มปป) ในบางรายงานเห็นว่า เน่ืองจากพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับต่อบรรดาศอ หาบะฮสฺ ว่ นใหญ่ โดยเฉพาะการปฏิเสธต่อคอลีฟะฮฺ ของ อะบู บักร และ อุมัร และบางรายงานกล่าวว่า เพราะพวกเขาปฏเิ สธศาสนา คอื ไมย่ อมรับหลักการศาสนาอิสลามของบรดามุสลิมท่ัวไป (อิสมะอีล บิน อุม้ัร อิบนุ กะซี้ร , 1990 และ อับดุลลอฮ บิน มุหัมมัด อัส สะละฟีย์, 2009 ฆอลิบ) จากเหตุผลท่ีกล่าว มาทั้งสาม ฆอลบิ บนิ อะลี อาวาญีย์ (1997) ใหค้ วามเห็นวา่ เหตุผลที่สอง อาจถูกต้องและใกล้เคียงมาก ที่สุด แตก่ ็ไมป่ ฏเิ สธเหตผุ ลแรก เนอื่ งจาก ซ้ีด บิน อะลี ยังมีการยอมรับอิหม่ามทั้งสอง (อะบู บักร อัล-ซิ ดดก้ี และ อุมัร บิน อลั -คอ้ ฏฏ้อบ) และพวกอัล-รอฟีเฏาะหก์ ็ไม่ยอมรับและปฏิเสธ ความเชื่อของซ้ีด บิน อะลี หากขดั แยง้ กับพวกเขา ชอี ะห์ อลั -รอฟีเฏาะห์ไดเ้ กิดขนึ้ ก่อนท่ี ซ้ีด บิน อะลี จะมาถึงซึ่งความเช่ือของเขาคือการปฏิเสธ ด้วยเหตุดังกล่าวพวกเขาได้ขอให้ ซ้ีด บิน อะลี เช่ือและศรัทธาอย่างท่ีพวกเขาศรัทธา กล่าวคือการ ประกาศตัวออกจากคอลีฟะฮฺ อะบู บักร อัล-ซิดด้ีก และ อุมัร บิน อัล-ค้อฏฏ้อบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุมา) และเมื่อซ้ีดไม่เห็นด้วย พวกเขาก็กลับไปยังความคิดเดิมของอิบนุ ซะบะอฺ อัล-ยาฮูดีย์ และหลังจากนั้น กลายเปน็ เรือ่ งหลงใหล คล่ังไคล้ มากกว่าการรักท่านอะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุมา) เนื่องจากเป็นความคิด ของ อบิ นุ สะบะอฺ อัล-ยะฮูดี (อับดลุ ลอฮ บนิ มุหมั มดั อสั สะละฟีย์, 2009 ) ส่วนชื่อเรียกของชีอะห์อัล-รอฟีเฏาะห์ก่อนที่จะมาถึงในสมัย ซีด บิน อะลี บางช่ือเรียกว่า อัล- คอ้ สบียะฮแฺ ละอลั -อิมามียะฮฺ และสาเหตทุ ีพ่ วกเขาชอ่ื ว่า อัล-ค้อสบียะฮฺ เพราะพวกเขาใช้อาวุธที่ทาจาก ไม้ในการสู้รบหรือสงคราม เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าไม่อนุญาตให้ทาสงครามด้วยดาบ นอกจากต้องอยู่ ภายใต้อิหม่ามท่ีบริสุทธ์ิ (อัล-มะซุม) จากครอบครัวอะห์ลุลบัยต์ เท่านั้น และอีกชื่อหน่ึงของอัล-รอฟี เฏาะห์ คือ อัล-อีมามียะฮฺ และสาเหตุที่พวกเขาถูกเรียกว่า อัล-อิมามียะฮฺ เพราะพวกเขาเช่ือว่าท่านนบี (ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลมั ) (ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม) ได้สั่งเสียและมีตัวบทชัดเจนให้อะลี บิน อาบี ฏอลิบเปน็ อิหม่ามหรอื ผ้นู า เขาเชอ่ื วา่ ทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ไม่ได้พูดเป็นนัยแต่ได้ กลา่ วช่อื ของท่านอะลีอยา่ งเปน็ รปู ธรรมรวมทัง้ ชอ่ื ๆของลูกหลานอิหม่ามอะลีเช่นกัน (อะบิล อัล-ฟะร้อญ อบั ดุรเราะหม์ าน บนิ อัล-เญาซยี ,์ 1403) ส่วนกลุ่มต่างๆ ของชีอะห์อัล-รอฟีเฏาะห์ นักวิชาการ ให้ความเห็นว่า กลุ่มอัล-รอฟีเฏาะห์ได้ แตกแยกเป็นกลุ่มต่างๆ มากมายหลายกลุ่ม หากแต่บรรดานักประวัติศาสตร์ไม่สามารบอกจานวนที่ แนน่ อนได้ และไม่รู้ว่ากลุ่มใดเป็นกลุ่มหลักและกลุ่มใดเป็นกลุ่มรอง แต่คงไม่ใช่ประเด็นสาคัญว่ากลุ่มใด หลักหรอื รอง แต่ทุกกลมุ่ ของชีอะห์อลั -รอฟีเฏาะห์ต่างกศ็ รัทธาในสิทธ์ิการเป็นอิหม่ามของท่าน อะลี บิน อบี ฏอลิ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ)และลูกหลานของท่าน รวมทั้งปฏิเสธทุกคนท่ีไม่ใช่ อะฮ์ลุลบัยตบาง (อับ ดลุ ลอฮ บนิ มหุ ัมมัด อัส สะละฟยี ์ ,2009) และจากชีอะห์อลั -รอฟีเฏาะห์มีสองกลุ่มท่ีโดดเด่น คือ ชีอะห์ อัล-มฮู ัมมะดยี ะฮฺ และชีอะห์อัล-อิสนาอาซารียะฮฺ คือชีอะห์อิหม่าม 10 และท้ังสองกลุ่มดังกล่าวน้ียังคง มีอยู่จนปัจจุบันโดยเฉพาะชีอะห์อัล-อิสนาอาซารียะฮฺ และรายละเอียดของชีอะห์ทั้งสองกลุ่มมี รายละเอยี ดพอสังเขปดงั ต่อไปน้ี ชีอะห์ อัล-รอฟีเฏำะห์ อัล-มูฮัมมะดียะฮฺ กล่าวโดยสรุป คือ กลุ่มชีอะห์ที่เช่ือและ ศรัทธาวา่ แทจ้ รงิ อิหม่าม และ อลั -มะฮฺดีที่รอคอยน้นั คอื มหุ มั มัด บิน อบั ดุลเลาะห์ บิน หะสัน
63 บิน อะลี ท่ีรจู้ ักกันในนาม อลั -นัฟซู อัซซากียะฮฺ (หมายถึง ชีวิตท่ีบริสุทธิ์) ซ่ึงมุหัมมัด ได้เกิดใน ปี 53 แห่งฮิจเราะห์ศักราช ในประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่า มุหัมมัด บิน อับดุลเลาะห์ เป็นชายที่ ประเสริฐ เป็นชายที่เคร่งครัดในศาสนา และสมถะ ด้วยเหตุดังกล่าวเขาถูกขนานนามว่าอัล- นัฟซู อัซซากียะฮฺ (ชีวิตที่บริสุทธ์ิ) ท่านได้หนีออกจากนครอัล-มะดีนะฮฺในปี 166 แห่ง ฮิจเราะห์ศักราช จากการปกครองของ อะบี ญะฟัร อัล-มันซู้ร สมัยราชวงศ์อัล-อับบาซียะฮฺ หลงั จากนน้ั อลั -มนั ซู้รไดส้ ง่ อีซา บินมูซา อัล-ฮาซิมีย์ ไปจัดการกับมุหัมมัด และสุดท้ายมุหัมมัด ก็ถูกสังหาร และตัดหัวเพื่อเป็นการลงโทษ ตามทาเนียมของราชวงค์อุมาวียะฮฺในอดีตสาหรับ คนท่หี นีออกจากการปกครองหรือก่อการกบฏตอ่ แผน่ ดิน (อะบี มนั ซูร้ อัล-บัฆดาดีย์,1970 และ อะบิล อัล-ฟะรอ้ ญ อับดรุ เราะห์มาน บนิ อัล-เญาซีย,์ 1403) เกี่ยวกับมุหัมมัด บิน อับดุลเลาะห์ มีรายงานว่า มีชายคนหน่ึงมีนามว่า อัล-มูฆีเราะห์ บิน สะอีด อัล-อาญาลีย์ เขามีความคิดที่ผิดเพี้ยนและพยายามครอบงาไปยังหมู่คนในยุคน้ัน เขาเรียกร้องผู้คนให้ทาการสัตยาบันต่อ มุหัมมัด บิน อะลี บิน หะสัน เพ่ือทาการมูบัยอะแก่ มหุ มั มัด และให้ความสาคญั กับเรื่องดงั กล่าวอยา่ งมาก และยงั เชื่อและบอกแก่ผู้คนในสมัยนั้นว่า แท้จริงอิหม่ามมะดีย์ อัลมูนตะซ้อร(ผู้รอคอย) ได้ออกมาแล้วน้ันคือ มุหัมมัด บิน อับดุลเลาะห์ บิน อัล-หะสัน นั้นเอง และยังบอกกับผู้คนอีกด้วยว่ามุหัมมัด จะปกครองพวกเราอย่างถาวร เขาจะให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนบนหน้าแผ่นดินน้ี ดังนั้นทุกคนต้องปฏิบัติตามใต้ธงชัยของ อิหม่ามมะดีย์ ดังกล่าวน้ันคือข้ออ้างของ อัล-มูฆีเราะห์ บิน สะอีด อัล-อาญาลีย์ (มุหัมมัด อาบู ซะฮ์เราะห์,มปป.) หลงั จากที่มุหัมมัด มุหัมมัด บิน อับดุลเลาะห์ บิน อัล-หะสัน ถูกฆ่าโดย อีซา บิน มูซา ข้างตน้ ผู้ทเี่ คยตามอลั -มูฆเี ราะ บิน สะอดี อัล-อาญาลีย์ ก็แตกออกเป็น 0 กลุ่ม คือ กลุ่มหน่ึงท่ี ออกห่างจากความคิดหรือความเชื่อของอัล-มูฆีเราะห์ และพวกเขากล่าวว่าเราไม่จาเป็นต้อง ปฏบิ ัตติ ามคนโกหกอย่างอัลมูฆีเราะห์ เพราะแท้จริง มุหัมมัด บิน อับดุลเลาะห์ บิน อัล-หะสัน บิน อะลี ได้เสียชีวิตไปแล้ว และเขาไม่ได้มาปกครองแผ่นดินอย่างท่ีกล่าวอ้าง ถ้าหากเขาคือ อหิ ม่ามมะดีย์ท่ีแท้จริง แน่นอนอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)จะต้องปกป้องเขา(อะบี มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์,1970 และ อะบิล อัล-ฟะรอ้ ญ อบั ดรุ เราะหม์ าน บิน อลั -เญาซีย์,1403) ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็ยังเช่ือต่อคากล่าวอ้างของอัล-มูฆีเราะห์ ท่ีว่า มุหัมมัด บิน อับดุลเลาะห์ บิน อัล-หะสัน บิน อะลี จะปกครองแผ่นดินและเป็นอิหม่ามมะดีย์ที่แท้จริง พวก เขาได้หันไปยึดคากล่าวของกลุ่มชีอะห์อัล-ซาบาอียะฮฺ ที่กล่าวว่า แท้จริง มุหัมมัด บิน อับดุล เลาะห์ บิน อัล-หะสัน จะไมต่ าย และแท้จริงผู้ท่ีถูกฆ่าในวันน้ันเป็นซัยฏอนที่แปลงร่างเป็นมุหัม มัด บิน อับดุลเลาะห์ บิน อัล-หะสัน บินอะลี เลยถูกฆ่า แท้จริงมุหัมมัดนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขา พานักอยู่ท่ีภูเขาฮาญิส ที่เมืองนัดดีย์ และวันหน่ึงเขาจะออกมาปกครองแผ่นดินอย่างยุติธรรม และพวกเขาเชื่อว่าการให้สัตยาบันต่อมุหัมมัด บิน อับดุลเลาะห์ จะสมบรูณ์ได้ก็ต่อเมื่อต้องไป ทาการให้สัตยาบันต่อหน้าบัยตุลเลาะ อัลฮารอม ณ เมืองมักกะฮ (อะบี มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์ ,1970) อย่างไรก็ตามจากความเป็นจริงในปัจจุบัน พบว่ามีชีอะห์กลุ่มหน่ึงทุกคร้ังที่พวกเขาไปยัง นครอัล-มะดีนะฮฺ ข้างหลังมัสญิดซานียะตุล วาดาอฺ พวกเขาจะเข้าไปเย่ียมเยียนสุสานของมุหัมมัด บิน
64 อับดุลเลาะห์ บิน อัล-หะสัน บิน อะลี จากเหตุผลดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งของชีอะห์ได้ เชื่อว่ามหุ มั มัด บิน อบั ดลุ เลาะหไ์ ด้เสยี ชวี ติ จริง มิเช่นนัน้ พวกเขาคงไมไ่ ปเยีย่ มสสุ านดังกล่าว ที่กล่าวมาเป็นปรากฏการณ์ท่ีช้ีให้เห็นว่า มีกลุ่มชีอะห์อัล-มุฮัมมะดียะฮฺ ท่ีเห็นต่างกับอัล-มูฆี เราะ ที่เขาเชื่อว่ามุหัมมัด บิน อับดุลเลาะห์ บิน อัล หะสัน บิน อะลี ไม่เสียชีวิต ส่วนอัล-มูฆีเราะจอม โกหกก็ยังอยู่ในสภาพการหลงผิด และในท่ีสุดก็ถูกฆ่าโดย คอลิด บิน อับดุลเลาะห์ อัล-กอซาลีย์( ฆอลิบ บิน อะลี อาญลี ยี ,์ 1997 ) ชอี ะห์ อัล-รอฟิเฏำะห์ อลั -อิสนำอำซำรียะฮฺ หรือที่เรียกกันว่าชีอะห์อีหม่าม 10 พวก เขาเช่ือและศรัทธาว่า อิหม่ามหรือผู้นามีทั้งหมด 10 ท่าน เร่ิมต้ังแต่ท่าน อะลี บิน อาบี ฏอลิบ และสิ้นสุดที่อีหม่ามมะฮฺดี อัล-มุนตะซ้อร พวกเขาเชื่อว่า พวกเขาเป็นเสมือนตัวแทนของกลุ่ม ชอี ะหท์ ั้งหมดทุกกลุ่มที่มี และชีอะห์อัล-อิสนาอาซารียะฮฺ เป็นชีอะห์ท่ีกระจัดกระจายไปทั่วทุก มุมโลก พวกเขามบี ทบาทมากในประเทศ อีหรา่ น อีรัก ซีเรยี เลบานอน และชีอะห์อัล-อิสนาอา ซารียะฮฺ ถือเป็นประชากรครึ่งหนึ่งของมุสลิมท้ังหมดในปัจจุบัน ดังกล่าวน้ันเป็นข้อมูลของ นกั วิชาการชีอะห์(อัล-ซยั ยิด อับดุล อัล-เราะซุ้ล อัล-มูซาวีย์,0222 และอัล-ซัยยิด มุหัมมัด อัล- อูมูดีย์ 2006 ) กลุ่มอัล-อิสนาอาซารียะฮฺ (ฆอลิบ อะลี อาวาญีย์,1997)ให้ข้อมูลเพ่ิมเติมว่า กลุ่มน้ี ยอมรับว่าโดดเด่นมากท่ีสุดในยุคปัจจุบัน เพราะพวกเขาได้เผยแพร่แนวคิดรอฟิเฏาะห์ ด้วย แนวทางและวิธกี ารหลากหลายและได้รับความสาเร็จในโลกอิสลามทั้งหลาย พวกเขาได้รับการ สนบั สนนุ ทัง้ ในด้านวัตถแุ ละอ่ืนๆ จึงทาใหก้ ล่มุ ชีอะหอ์ ลั -อสิ นาอาซารียะฮฺ เป็นกลุ่มชีอะห์ท่ีโดด เด่นท่สี ดุ ในโลกและกระจัดกระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ อิหร่าน อีรัก ปากีสถาน ซีเรีย เยเมน และประเทศอน่ื ๆ ท่ีพวกเขาสามารถเผยแพรแ่ นวคดิ น้ีได้ พวกเขาเป็นกลุ่มชีอะห์ที่มีความคิดเห็น มีความเช่ือ และศรัทธาท่ีแตกต่างกันออกไป มากมาย บางกลมุ่ ก็เปิดเผยและบางกลุ่มก็ปกปิดซ่อนเร้น แต่เป้าหมายของพวกเขาอันเดียวกัน คอื ใหค้ วามสาคัญต่ออิหม่าม 10 บางก็เรียกว่าชีอะห์อัล-ญะฟะรีย์ ดั่งคากล่าวของอัล-โคมัยนีย์ ที่ได้ประกาศว่า พวกเขาเป็นชีอะห์ อัล-ญะฟารียะฮฺ และมีผู้เล่ือมใสมากถึง 200 ล้านคน และ พวกเขาเชื่อว่าชีอะห์ของพวกเขาเริ่มตั้งแต่ยุคสมัยของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ และท่านหญิงคอดีญะฮ์ (รอฏียัลลอฮุ อันฮา) ในความเช่ือของพวก เขาคิดวา่ ชีอะห์ไดเ้ ริม่ ตน้ ตงั้ แตย่ คุ สมัยทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) (ศอลลัลลอฮุ อะ ลยั ฮิ วะซลั ลมั )(อลั -โคมัยนีย์ อา้ งถงึ ใน อิฮซาน อิลาฮีย์ ศอฮ้ีร,1995) สาหรับกลุ่มชีอะห์อัล-อิสนาอาซารียะฮฺ กลุ่มน้ีมีช่ือเรียกต่างๆ มากมาย ซ่ึงบางชื่อก็มีมาก่อน หน้าแล้ว และบางชื่อก็อาจเป็นชื่อท่ีเกิดขึ้นมาใหม่ หากแต่ทุกท่านเห็นว่าแม้จะต่างช่ือแต่ความคิดและ ความเช่ือเดียวกัน (ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์,1997 และ อัล-นัดวะฮฺ อัล-อาละมียะฮฺ ลิช บาบ้าบ อัล- อสิ ลามมีย์,1999) ดังรายเอยี ดต่อไปนี้ 1.อลั -อสิ นำอำซำรียะฮฺ นักวชิ าการไดก้ ล่าวถึงสาเหตุท่ีพวกเขาถูกเรียกว่าอัล-อิสนาอาซารียะฮฺ เน่ืองจากความเชื่อและ ศรัทธาของพวกเขาตอ่ อิหม่าม 10 ที่มาจากอะฮ์ลุลบัยตหรือครอบครัวของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ
65 วะซลั ลมั )และพวกเขาเชื่อวา่ อิหม่ามท้งั หมดถกู บญั ญัตโิ ดยคาพูดของทา่ นนบี และทุกคนหลังจากนั้นก็ถูก สั่งเสียมาจากคนสู่คน เร่ิมตั้งแต่ท่านอิหม่ามอะลีและสุดท้ายท่ีมุฮาหมัด บิน อะซัน อัล-อัสกะรีย์ ท่ีพวก เขาเชอื่ ว่าหายตวั ไปต้งั แตป่ ี 052 แห่งอิจเราะหศ์ ักราช และพวกเขาเช่อื ว่าอิหมา่ มคนสุดท้ายของพวกเขา ทจี่ ะกลบั มาสรา้ งความยตุ ิธรรมให้แกโ่ ลกน้อี ีกคร้งั หลงั จากทโ่ี ลกนมี้ ากไปดว้ ยอธรรม และพวกเขาเช่ือว่า อิหม่ามมะดี อัลมุนตาซ้อร จะมาปกครองโลกนี้อีกคร้ัง (อัล-นัดวะฮฺ อัล-อาละมียะฮฺ ลิช บาบ้าบ อัล- อสิ ลามมยี ์,1999 ) และเหตุผลท่ีพวกเขาถูกเรียกว่า อัล-อิสนาอาซารียะฮฺ เน่ืองจากพวกเขาศรัทธาต่ออิหม่ามท้ัง 10 ท่าน (ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์,1997 อลั -นัดวะฮฺ อลั -อาละมียะฮฺ ลิช บาบ้าบ อัล-อิสลามมีย์,1999 และอลั -ซัยยิด อบั ดลุ อัล-เราะซลุ้ อลั -มซู าวยี ์,0222) คอื 1) อะลี บิน อะบฏี อลิบ19 เสยี ชวี ิตในปที ี่ 40 แหง่ ฮิจเราะหศ์ ักราช พวกชอี ะห์ได้ให้สมญานาม ท่านว่า “อลั -มุรตะฏอ” 2) หะสัน บิน อะลี บิน อะบีฏอลิบ เสียชีวติ ในปที ี่ 50 แห่งฮิจเราะหศ์ กั ราช พวกชอี ะห์ได้ให้ สมญานามท่านว่า “อัล-มจุ ตะบา” 3) ฮเุ ซน บิน อะลี (น้องชายของหะสนั ) เสียชวี ติ ในปที ี่ 61 แห่งฮจิ เราะห์ศักราช พวกชอี ะห์ ไดใ้ ห้สมญานามทา่ นวา่ “อลั -ชาฮด้ี ” 4) อะลี ซัยนลุ อาบิดีน บิน หเุ ซน (บุตรอหิ ม่ามที่ 3) เสียชีวิตในปที ่ี 94 แห่งฮิจเราะห์ศักราช พวกชีอะหไ์ ดใ้ หส้ มญานามทา่ นว่า “อลั -ซญั ญา้ ด” 5) มหุ ัมมดั อลั -บากิร บิน อะลี ซยั นุลอาบดิ ีน (บุตรอิหมา่ มที่ 6) เสยี ชวี ติ ในปีท่ี 114 แห่ง ฮจิ เราะห์ศักราช พวกชีอะห์ไดใ้ หส้ มญานามท่านวา่ “อลั -บากิร” 6) ญะอฺฟรั อัล-ศอด้ิก บิน มหุ มั มัด อลั -บากริ (บุตรอิหม่ามท่ี 6) เสียชวี ิตในปีที่ 148 แหง่ ฮิจเราะห์ศกั ราช พวกชีอะห์ได้ใหส้ มญานามท่านว่า “อลั -ศอดก้ิ ” 7) มซู า อัล-กาซิม บิน ญะอฺฟรั อัล-ศอด้ิก (บุตรอิหมา่ มที่ 5) เสียชวี ิตในปีที่ 183 แห่ง ฮิจเราะห์ศกั ราช พวกชีอะห์ไดใ้ หส้ มญานามทา่ นวา่ “อลั -กาซมิ ” 8) อะลี อลั -ริฎอ บิน มซู า อลั -กาซมิ (บุตรอิหมา่ มท่ี 7) เสยี ชีวิตในปที ี่ 203 แหง่ ฮิจเราะห์ศกั ราช พวกชีอะห์ไดใ้ ห้สมญานามทา่ นวา่ “อลั -รฏิ อ” 9) มุฮาหมัด อัล-เญาว้าด บนิ อะลี อลั -ริฏอ (บตุ รอหิ ม่ามที่ 8) เสียชวี ติ ในปที ่ี 226 แหง่ ฮจิ เราะห์ศกั ราช พวกชีอะห์ไดใ้ ห้สมญานามท่านว่า “อัล-ตะก่ยี า” 10) อะลี อลั -ฮาดี บิน มุฮาหมดั อัล-เญาว้าด (บุตรอหิ มา่ มท่ี 5) เสยี ชีวิตในปที ่ี 254 แหง่ ฮิจเราะห์ศกั ราช พวกชีอะห์ได้ให้สมญานามท่านว่า “อัล-นะกี่ยา” 11) หะสนั อลั -อัสกะรยี ์ บิน อะลี อลั -ฮาดี (บตุ รอิหมา่ มที่ 12) เสยี ชีวติ ในปที ่ี 260 แหง่ ฮจิ เราะห์ศักราช พวกชีอะห์ไดใ้ หส้ มญานามท่านว่า “อัล-ซะก่ยี า” 12) มุหัมมัด อัล-มะฮฺดี บิน หะสัน อัล-อัสกะรีย์ (บุตรอิหม่ามที่ 11) หายตัวไปหลังจาก 1 เดือน ที่บิดาเสียชีวิต คือในปีท่ี 260 แห่งฮิจเราะห์ศักราช พวกชีอะห์ได้ให้สมญานามท่าน วา่ “อัล-ฮุจญะฮ์ อลั -กออมิ อลั -มุนตะซอ้ ร” 19 บุตรของอะบู ฏอลิบ ผู้เป็นลูกพ่ีลูกน้องกับท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) (ซล.) ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ไดช้ บุ เล้ยี งมาตงั้ แต่ยงั เยาว์ อะลีถอื เป็นคอลีฟะฮ์คนทส่ี ีใ่ นทศั นะนกั วชิ าการส่วนใหญน่ อกจากชีอะห์ และเปน็ เด็กคนแรกท่ศี รทั ธา ตอ่ ศาสนาอสิ ลาม และภายหลังได้สมรสกับทา่ นหญงิ ฟาฏิมะฮฺ บตุ รสาว ท่านนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม) (ซล.)
66 อิซซาน อลิ าฮีย์ ศอฮ้ีร (1995) ไดก้ ลา่ วถึง ชีอะห์อลั -อสิ นาอาซารียะฮฺว่า พวกเขาจะเน้นและให้ ความสาคัญต่อลูกหลานของหุเซน บิน อะลี มากกว่าลูกหลานของ หะสัน บิน อะลี (รอฏิยัลลอฮุ อันฮุ) ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะว่าหุเซนมีภรรยาที่เป็นลูกสาวกษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน) และได้มีลูกชายที่ชื่อ อะลี บิน หุเซน จึงเป็นเหตุผลท่ีชีอะห์กลุ่มน้ีให้ความสาคัญลูกหลานหุเซนมากกว่าหะสัน (รอฏิยัลลอฮุ อันฮุ มา) 2. อัล-ญะฟำรียะฮฺ ชีอะห์อัล-ญะฟารียะฮฺ คือ ชีอะห์อ้างว่าพวกเขาเป็นผู้คล้อยตามท่านญะฟัร บิน มุฮาหมัด อัล- ศอด้ิก ท้ังน้ีเพราะเขาเป็นนักปราชญ์ผู้ที่มีบทบาทต่อแนวคิดชีอะห์อย่างมากโดยเฉพาะในเรื่อง ข้อปลกี ย่อยต่างๆเก่ียวกับศาสนา ท้ังน้ีตามคากล่าวอ้างของพวกเขา ในขณะท่ีอัล-ศอด้ิก ไม่ได้รับรู้อะไร กบั ทุกอย่างท่พี วกชอี ะหไ์ ดอ้ ้างถงึ ตวั เขา (อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อลั -ซะฮร์ ้อสตานยี ์,1553) ชื่ออลั -ญะฟารียะฮฺ เป็นช่ือเรียกที่ชีอะห์ช่ืนชอบมากท่ีสุด ผิดกับช่ืออัล-รอฟีเฏาะห์ท่ีพวกเขาไม่ ยากฟงั เพราะทาให้พวกเขารู้สึกไม่ดี แต่ความจริงการเรียกพวกเขาว่าพวกอัล-รอฟีเฏาะห์ย่อมเหมาะสม กวา่ เรยี กพวกเขาว่า อัล-ญะฟารียะฮฺ ทงั้ นเี้ นื่องจากพวกเขาไม่ได้รู้จักแนวคิดญะฟัร บิน มุหัมมัด อัล-ศอ ดิก ที่แท้จริง เพียงแต่พวกเขาแอบอ้างเพ่ือให้ดูดีว่าพวกเขามีนักปราชญ์ที่ถูกยอมรับ ทั้งๆ ท่ีเป็นแค่คา แอบอ้างที่ไม่ยุติธรรมต่ออัล-ศอด้ิก เช่น คากล่าวของอัล-โคมัยนีย์ (อ้างถึงใน ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์ ,1997 ) ด้วยความรู้สึกว่าตนเองมีเกียรติยิ่งเม่ือได้กล่าวถึง ญะฟัร อัล-ศอด้ิก ในครั้งหนึ่งเขากล่าวว่า “พวกเรารู้สึกภาคภูมิใจและยินดียิ่งในแนวทางของเรา อัล-ญะฟารียะฮฺ และเรามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดเสมอ เหมือนกับอิหม่ามญะฟัร อัล-ศอด้ิกของเราได้ เขาคือคลังแห่งความรู้ที่เสมือนทะเลที่ไม่มีชายหาด และ พวกเราคอื ผลผลิตของญะฟรั อัล-ศอด้ิก” อีกเหตุผลที่ชีอะห์ใช้ช่ือว่าอัล-ญะฟารียะฮฺ เนือ่ งจากญะฟัร บิน มุหมั มัด อัล-ศอด้ิก เป็นบุคคลท่ี สามารถเผยแพร่อิสลามและขยายตัวอย่างมากท้ังในเรื่องอะกีดะฮฺ (หลักการศรัทธา) ความเช่ือ ข้อปลีกย่อยต่างๆ ในอิสลาม มารยาทหรือคุณธรรมแห่งอิสลามในขณะท่ีอิหม่ามท่านอ่ืนๆ ของชีอะห์ พวกเขาไมส่ ามารถขยายหลักการอิสลามเท่ากับอิหม่ามญะฟัร อัล-ศอด้ิกได้ นอกจากสมัย ท่านอะลี หะ สัน และหุเซน ก่อนหน้า ซึ่งอาจจะถูกกีดกันจากระบบการปกครองของราวงศ์อุมาวียะฮฺและอับบาสี ยะฮฺ หากแต่ในยุคสมัย ญะฟัร อัล-ศอดิ้ก เป็นช่วงท่ีราชวงศ์บานีอุมัยยะฮฺและอับบาซียะฮฺมีปัญหาแย่ง ชิงอานาจกัน ความปั่นป่วนขณะน้ันทาให้ญะฟัร อัล-ศอดิ้ก สามารถเผยแพร่แนวคิดของเขาได้อย่าง มากมาย และทาให้พวกชอี ะห์กร็ บั องค์ความรู้ต่างๆจากเขามากมายจนในท่ีสุดก็ต้ังช่ือกลุ่มว่าอัล-ญะฟารี ยะฮฺ (ฆอลบิ บิน อะลี อาวาญยี ,์ 1997และ อับดุลลอฮ บิน มหุ ัมมัด อัส สะละฟยี ์ 2009) 3. อัล-รอฟเี ฏำะห์ ชีอะห์อัลรอฟีเฏาะห์หรืออัล-รอวาฟิฏ เป็นชื่อหน่ึงที่พวกชีอะห์ไม่ชื่นชอบ ส่วนสาเหตุท่ีถูก เรียกว่า อัล-รอฟิเฏาะห์เน่ืองจากพวกเขาปฏิเสธท่ีจะช่วยเหลือ ซ้ีด บิน อะลี อย่างท่ีได้กล่าวมาข้างต้น พวกเขาปฏิเสธต่อผู้นาของพวกเขาบางคน พวกเขาปฏิเสธต่อบรรดาศอหาบะฮฺโดยเฉพาะ อาบู บักร และอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ นอกจากน้ียังปฏิเสธต่อศาสนาอิสลาม (อับดุลลอฮ บิน มุหัมมัด อัส สะละฟีย์ 2009) อย่างที่ไดก้ ลา่ วมา
67 4. อลั -อมิ ำมยี ะฮฺ สาเหตุท่ีพวกเขาช่ือว่า อัล-อิมามียะฮฺ เน่ืองจากพวกเขาให้ความสาคัญต่อการเป็นอิหม่ามหรือ ผู้นาอย่างมาก และพวกเขาเชื่อว่าท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้บัญญัติเก่ียวกับอิหม่าม ให้แก่ท่านอะลีและลูกหลานเรียบร้อยแล้ว อาบุล ฟะติฮ อะห์หมัด อัล-ซะฮ์ร้อสตานีย์ (1553) กล่าวว่า กลมุ่ ชอี ะห์ทน่ี ามวา่ อลั -อมี ามียะฮฺ เนอื่ งจากพวกเขาเช่ือเกี่ยวกับผู้นาของอะลี และลูกหลานของอะลีอีก 11 ท่าน ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งเพราะพวกเขารอคอยอิหม่ามหรือผู้นาคนสุดท้ายของพวกเขาท่ีชื่อว่า อิหมา่ มมะฮฺดี อลั -ฮจุ ญะฮ์ อัล-กออิม อลั -มลุ ตะซ้อร (ผรู้ อคอย) ดง่ั รายชง่ื ท่กี ล่าวมาแลว้ ขา้ งต้น 5. อลั -ค้อสเสำะห์ อัล-ค้อสเสาะห์เป็นชื่อที่พวกเขาต้ังขึ้นมาเองและอ้างว่าพวกเขามีลักษณะเฉพาะคล้ายๆ กับ พวกยิวที่ได้เคยต้ังช่ือตัวเองว่า (พวกเราคือผู้ท่ีพระเจ้าทรงเลือก) เช่นเดียวกันท่ีชีอะห์ได้สร้างชื่อแก่ ตัวเอง ซง่ึ เปน็ สิง่ ท่ชี ีอะห์ภาคภมู ิใจ เพราะอัล-ค้อสเสาะหม์ ีความหมายวา่ ผู้ท่มี ีลักษณะเฉพาะ
68 บทที่ 4 ควำมแตกต่ำงระหว่ำงซุนนะฮฺและชีอะห์ ในบทนี้ผู้วิจัยจะนาเสนอความแตกต่างระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์เก่ียวกับหลักความเช่ือและ หลกั ปฏิบัติท่ีสาคญั ในชีวิตประจาวัน และอธิบายเหตุผลของแต่ละฝ่ายในประเด็นท่ีมีความเห็นต่างกันท่ี ได้จากการวิเคราะห์เน้ือหาหลักฐานชั้นปฐมภูมิและทุติยภูมิ และความเห็นของนักวิชาการที่ได้ลงพื้นท่ี สัมภาษณ์ท้ังนักวิชาการซุนนะฮฺและนักวิชาการชีอะห์ ซึ่งผู้วิจัยจะนาเสนอในประเด็นหลัก 3 ประเด็น คือ หลักการศรัทธา (รูก่นอิหม่าน) หลักการปฏิบัติ (รูก่นอิสลาม) และประเด็นสาคัญอ่ืนๆที่เป็นคาถาม และข้อสงสัยในสงั คมมุสลมิ ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ 4.1 ควำมแตกต่ำงระหว่ำงซุนนะฮฺและชีอะหเ์ กีย่ วกบั หลักกำรศรัทธำ เกี่ยวกับหลักการศรัทธา (รูก่นอิหม่าน) มีประเด็นท่ีเกี่ยวข้องหลายประเด็น เช่น ตัวบทของ หลักการศรัทธา (รูก่นอิหม่าน) ระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์ ประเด็นอิมามะฮฺหรือผู้นาสูงสุดและเร่ืองท่ี เก่ียวข้องกับผู้นา ประเด็นความเชื่อต่อคัมภีร์อัล-กุรอาน ประเด็นเก่ียวกับความเช่ือต่อหะดีษนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และประเด็นเก่ียวกับ อัล-บาดาอฺ ที่เกี่ยวกับการศรัทธาต่อการกาหนด สภาวการณ์ของอลั ลอฮ(ฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา) ซึง่ ทัง้ หมดมรี ายละเอียดดังนี้ ตำรำงที่ 3 แสดงควำมแตกต่ำงระหวำ่ งซนุ นะฮฺและชีอะห์เก่ียวกบั หลักกำรศรัทธำ ซนุ นะฮฺ(รกู น่ อิหม่ำน) ชีอะห(์ อุศลู ุ้ดดีน) 20 หมำยเหตุ 1 –ศรทั ธาตอ่ อลั ลอฮฺ 1 – เตาฮดี (เอกภาพของอลั ลอฮฺ) ช้คี ซัยนดุ ดีน ซยั น้อล (สัมภาษณ์เม่ือ, 26- 2 - ศรัทธาต่อบรรดามลาอีกะฮฺ 2 – อาดิ้ล (ความยุตธิ รรม 12-2560,) อธบิ ายว่า 3 - ศรทั ธาต่อบรรดาคัมภีร์ ของอลั ลอฮฺ) -ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ รวมเข้าไว้ในเตาฮีด 4 - ศรัทธาต่อบรรดารอซู้ล 3 – นบุ ูวะห์ (ความเป็นนบ)ี และอาดล้ิ 5 - ศรัทธาต่อการกาหนด 4 – อิมามะห์ (ผ้แู ทนนบี) -ศรัทธาต่อมะลาอิกะฮฺ คัมภีร์ และ สภาวการณ์ 5 – มะอาด (วันฟน้ื คืนชีพ) เราะซู้ลรวมเข้ามาในนุบูวะฮ์ และอิมาม 6 - ศรทั ธาต่อวันอาคเิ ราะห์ มะฮ์ ในฐานะท่ีเป็น “สาร” “ส่ือสาร” และ “ผรู้ บั สาร” -ส่วนศรัทธาต่อการกาหนดสภาวการณ์ อาจรวมเขา้ มาในอาดลิ้ และ -ศรัทธาต่อวันอาคิเราะฮ์ คือ ศรัทธาว่ามี วันและสถานที่แห่งการตอบแทนตรงกับ มะอาด” จากตารางแสดงให้เห็นว่าหลักศรัทธาของซุนนะฮฺมี 6 ประการ เรียกว่า “รูก่นอีหม่าน” ส่วน หลักศรัทธาของชีอะห์มี 5 ประการ เรียกว่า “อุศูลุ้ดดีน”แปลว่า หลักการศาสนา ในประเด็นน้ีจากการ 20 สาหรับชอี ะหอ์ ีมามียะฮฺ เชื่อวา่ หลักการศรทั ธาท่สี าคญั ในศาสนาอสิ ลามมี 3 ประการ คอื เตาฮีด นูบูวะห์ และมะอาด ส่วน อาดล้ิ และอิมามะห์ เป็นหลักสาคัญของชีอะห์อิมามียะฮฺ ดังนั้นผู้ใดท่ีปฏิเสธ 3 ข้อแรกถือว่าตกศาสนา ส่วนผู้ที่ปฏิเสธ 2 ข้อต่อมาไม่ตก ศาสนาแต่เขาไม่ใชช่ ีอะห์อมิ ามยี ะฮฺ(ชี้คซยั นุดดีน ซยั น้อล ,สมั ภาษณเ์ มื่อ, 26-12-2560,ประเทศไทย)
69 สัมภาษณ์นักวิชาการชีอะห์ทั้งในและต่างประเทศได้ข้อมูลตรงกันว่า “หลักการศรัทธาและหลักการ ปฏบิ ตั ิไม่ได้สาคัญว่าก่ขี ้อหรอื เนือ้ หาต้องเหมือนกันทสี่ าคญั คอื เชอ่ื ต่ออัลลอฮฺ เชอื่ ต่อนบี และเชื่อต่อวัน อาคีเราะห์ ดงั นน้ั เตาฮีดในทัศนะชีอะห์ คือศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ส่วนอาด้ิล คือ ความยุติธรรมของอัลลอฮฺ เป็นหลักใหญ่ท่ีต้องรวมอยู่ในรูก่นอีหม่าน และเพ่ือความยุติธรรมของอัลลอฮฺได้ดาเนินอย่างสมบูรณ์ก็ ต้องมีบรรดามะลาอีกะฮฺที่คอยดาเนินการตามคาสั่งของอัลลอฮฺ ส่วนการเชื่อต่อบรรดารอซู้ลก็อยู่ในนุบู วะฮฺ คือ เชอื่ ตอ่ บรรดานบี แต่ชีอะหเ์ ห็นวา่ การเชือ่ ตอ่ นบรี วมไปถึงการเช่ือในคาสั่งเสียของนบีท่ีเกี่ยวกับ อิหมา่ มเน่ืองจากชอี ะหเ์ ชือ่ ว่าเมอื่ นบีเสยี ชวี ิตก็ต้องมผี ู้ทาหนา้ ที่แทนนบีคอื อิหม่าม ส่วนการศรัทธาต่อวัน อาคีเราะห์อยู่ในมะอาด คือ เช่ือในคาสัญญาของอัลลอฮฺในโลกน้ีและโลกหน้า (ช้ีคซัยนุดดีน ซัยน้อล , สัมภาษณ์เมื่อ, 26-12-2560,ประเทศไทย และอุสต้าซมุฮัมหมัด อาแวซือแต ,สัมภาษณ์เมื่อ, 06-02- 2561,ประเทศไทย) ส่วนการศรัทธาต่อการกาหนดสภาวการณ์ (กอฏอกอฏั้ร) ในทัศนะของชีอะห์ถือว่าไม่ใช่หลัก ใหญ่เนื่องจากชีอะห์เช่ือว่า มนุษย์ไม่ได้เป็นคนดีตลอดและไม่เป็นคนเลวตลอด ในระหว่างทางสามารถ ปรับเปล่ียนได้ ดุอาอฺก็ปรับเปลี่ยนได้ ดังนั้นการศรัทธาต่อการกาหนดสภาวการณ์ (กอฏอกอฏ้ัร) ใน ทัศนะของชีอะห์จะเก่ียวข้องกับ“อัล-บะดาอฺ”21 หมายถึง กาหนดการของพระองค์อัลลอฮฺต่อบ่าวคน หน่งึ ยงั สามารถเปลี่ยนแปลงไดเ้ น่ืองจากผลของการกระทาของคนนัน้ ๆ จากการสัมภาษณ์นักวิชาการชีอะห์ พบว่า “อัล-บะดาอฺ” เป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่มไม่ได้เป็น ความเชื่อของชีอะห์ทั้งหมด(ญุมฮู้รชีอะห์) นอกจากชีอะห์อิมามียะฮฺให้ความหมายเกี่ยวกับ อัล-บะดาอฺ วา่ แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺได้ทรงกาหนดทุกอย่างให้แก่มนุษย์เรียบร้อยแล้ว หากแต่เมื่อผู้ใดได้กระทาดี หรือไม่ดี พระองค์ก็ทรงเปล่ียนแปลงกาหนดการให้ใหม่ตามผลการกระทาของคนน้ันๆ เช่น พระองค์ อาจกาหนดให้คนหนึ่งมีอายุขัย 60 ปี แต่เม่ือเขาได้ทาดี เช่น บริจาคทาน หรือเย่ียมเยือนพี่น้องด้วยกัน พระองค์ก็จะเพ่ิมอายุขัยและเปลี่ยนแปลงกาหนดเดิมให้เขาผู้น้ันมีอายุเพิ่มข้ึน เป็นต้น” (ซัยยิด มุฮัม หมดั บาบกี ร้ี และ มุฮัมหมัด บาบุ้ล อุลูม , สัมภาษณ์เมื่อ, 22-12-2560 ,ประเทศอินโดนีเซีย, ชี้คซัยนุด ดนี ซยั น้อล ,สัมภาษณเ์ ม่ือ, 26-12-2560,ประเทศไทย ,ชคี้ ดร .อะฮห์ มัด ฮูเซน และ ดร.อับดุลฮาดี อับ ดุลฮาม้ดี ศอลหิ ,สัมภาษณเ์ มอ่ื 7-01-2561 ,ประเทศคูเวต) เม่ือหลักการศรัทธาของซุนนะฮฺมี 6 ประการ ส่วนหลักการศรัทธาของชีอะห์มี 5 ประการ ทา ให้นักวิชาการซุนนะฮฺจานวนหน่ึงให้ความเห็นว่าชีอะห์เป็นศาสนาหนึ่งของพวกเขาโดยเฉพาะ ไม่ใช่ ศาสนาอิสลามแบบพวกเรา เนือ่ งจากพระเจ้าของพวกเขา คมั ภรี ์ของพวกเขา และหลักการศรัทธา (หรือ รูก่นอหิ ม่าน) ของพวกเขา และหลักการปฏิบัติ (รกู น่ อสิ ลาม) ของพวกเขา ตลอดจนการปฏิญาณตน (ชา ฮาดะฮฺ) ของพวกเขาไม่เหมือนกับมุสลิมท่ัวไป (ดร.ฮามิด ฟะฮ์มีย์ ซัรกะชีย์ และ ดร.มุฮัมหมัด คอลิด มุสลิฮ, สัมภาษณ์เม่ือ, 21-12-2560 ,ประเทศอินโดนีเซีย, และ ดร.ฮามิด อะฮฺมัด อัล-คอลีฟะฮ์ , สัมภาษณเ์ ม่อื , 10-01-2561,ประเทศกาตาร์ ) 21 อัล-บาดาอฺ ตามความเขา้ ใจของสุนะฮสฺ ว่ นใหญ่ หมายถึง พระองคอ์ ัลลอฮยฺ งั ไม่รใู้ นสง่ิ ท่ยี งั ไม่เกิดขึน้ จนกวา่ ส่ิงน้นั จะเกดิ ขึ้นมากอ่ น ซ่งึ หากเปน็ ความเชอื่ ดังกลา่ วจริง ในแนวทางซนุ นะฮถฺ อื วา่ ผดิ หลกั ศรัทธาและตกศาสนาทันที
70 หากแตน่ ักวิชาการซนุ นะฮฺสว่ นใหญ่ท่ีทาการสัมภาษณ์ยังเห็นว่าชีอะห์ในภาพรวมคือมุสลิมกลุ่ม หนึ่ง ที่อาจมีความผิดบ้างจะมากหรือน้อยอยู่ที่รายบุคคล นอกจากผู้ที่ทาการปฏิเสธอัล-กุรอานยังชัด แจ้ง หรือผู้ที่กล่าวหาว่าบรรดาสาวกของท่านนบี เป็นกาฟิ้ร (ตกศาสนา) อย่างเปิดเผย ในกรณีนี้ต้อง พิจารณาหรือวินิจฉัยเป็นรายบุคคลไม่ใช่เหมารวมว่าชีอะห์ท้ังหมดตกศาสนา (ผศ.ดร.อับดุลเลาะ หนุ่ม สุข ,ดร.อาลี สาเมาะ ,ผศ.ดร.เจ๊ะมะอูมา จะปะเกีย ,เชคริฏอ อะหมัด สมะดี, สัมภาษณ์เม่ือ, เดือน ธนั วาคม พ.ศ.2560 ,ประเทศไทย) นอกจากนี้ประเด็นอนื่ ๆทเ่ี กย่ี วข้องกับหลกั การศรัทธาเพม่ิ เติม เช่น ความเช่ือเกี่ยวกับ อิมามะห์ ซึ่งเป็นหลักศรัทธาข้อสี่ของชีอะห์ ความเช่ือเกี่ยวกับคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งอยู่ในหลักการศรัทธาของซุน นะฮฺ ข้อทส่ี าม คือ ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ และความเชื่อเกี่ยวกับซุนนะฮฺหรือหะดีษท่านนบีท่ีเก่ียวข้อง กับหลักศรัทธาต่อรอซู้ลหรือนุบูวะห์ ซึ่งผู้วิจัยขอนาเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์เอกสารและการ สมั ภาษณ์พอสังเขปดังนี้ ควำมเชอ่ื เกยี่ วกับอัล-อิมำมะห์(ผูน้ ำสูงสดุ ) เก่ียวกับการศรัทธาต่ออิหม่ามมะฮฺ เป็นหน่ึงในหลักการพ้ืนฐานในศาสนา(อุศู้ลลุดดีน)ในทัศนะ ของชีอะห์ ด่ังตารางข้างต้น ชีอะห์เชื่อว่าอิมามะห์ คือ ตัวแทนของนบี และนบีทุกคนก็มีตัวแทน เช่น นบีฮารูนเป็นตัวแทนของนบีมูซา และชาวฮะวารียีน 12 คน ก็เป็นตัวแทนของนบีอีซา เช่นเดียวกันน้ัน อิหม่ามทั้ง 12 ท่าน ในทัศนะชีอะห์ก็เป็นตัวแทนของนบีมุหัมมัด(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)(อับดุล ฮาดี อบั ดุลฮาม้ดี ศอลิห,2003) นอกจากนี้ชีอะห์ยังใหเ้ หตผุ ลวา่ เกยี่ วกบั ผ้นู าสูงสุดหรืออิมามะหท์ ีจ่ ะมาเปน็ ตวั แทนของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ถูกกาหนดโดยพระเจ้าและนบีไว้เรียบร้อยแล้ว จึงถือว่าการเป็นผู้นา สูงสุดหรืออิมามะห์ต้องปฏิบัติตามตัวบทบัญญัติเท่านั้น ไม่อนุญาติให้ใช้ระบบการปรึกษาหารือหรือ ประชุมกันท่ีเรียกว่าระบบ (ชูรอ) อย่างที่เกิดขึ้นในยุคแรกๆหลังท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) เสียชีวิต (ซัยยิด มุฮัมหมัด บาบีก้ีร และ มุฮัมหมัด บาบุ้ล อุลูม , สัมภาษณ์เม่ือ, 22-12-2560 ,ประเทศ อินโดนีเซีย) ส่วนตัวบทหลักฐานเก่ียวกับตัวบุคคลที่จะเป็นอิหม่ามมีหะดีษมากมาย เช่น ท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลมั )ได้กล่าวถึงจานวนอิหมา่ มทงั้ หลาย ความว่า “ศำสนำน้ีจะยังคงดำรงอยู่จนวันอวสำน และจะมีผู้นำพวกเจ้ำจำนวนสิบ สองผ้นู ำ และพวกเขำท้ังหมดเป็นชำวกุร็อยช์”(อ้างถึงในอับดุลฮาดี อับดุลมะญีด ศอ ลหิ ,2003) เก่ียวกับผู้นาสูงสุดหรืออิมามะห์ชีอะห์เชื่อว่าผู้นาทั้งหมดเป็นผู้บริสุทธิ์ อิหม่ามหรือผู้นาของ พวกเขาบริสุทธิจากข้อตาหนิทุกประการ ดังน้ันการเช่ือและศรัทธาต่อผู้นาเป็นสิ่งท่ีจาเป็น นอกจากนั้น พวกชีอะห์ยังเชื่อว่าการทาอิบาดะฮหรือการปฏิบัติศาสนกิจบางประการไม่มีความจาเป็นหากไร้ผู้นาท่ี บริสุทธิ์ เชน่ การละหมาดวันศกุ ร์ หรอื ละหมาดรวม (ญะมาอะฮฺ) เป็นตน้ ทั้งน้ีเน่ืองจากไม่แน่ใจถึงความ บริสุทธ์ิของผู้นาในวันนี้ (ซัยยิด มุฮัมหมัด บาบีก้ีร และ มุฮัมหมัด บาบุ้ล อุลูม , สัมภาษณ์เม่ือ, 22-12- 2560 ,ประเทศอนิ โดนเี ซยี )
71 เกี่ยวกับความบริสุทธ์ของผู้นา อิหม่าม โคมัยนีย์ (2011) ได้กล่าวว่า “สาหรับอิหม่ามหรือผู้นา นั้นเราต้องไม่คิดว่าพวกเขาเป็นคนท่ีหลงลืมและสาหรับอิหม่ามไม่มีคาว่าบกพร่อง พวกเราชีอะห์ต้อง เชื่อวา่ อหิ ม่ามเปน็ ผทู้ ีค่ อยอานวยผลประโยชน์ต่างๆต่อบรรดามสุ ลิมอยา่ งคลอบคลุมและสมบูรณ์” ซัยยิด อับดุลเราะซู้ล อัล-มูซะวีย์(2000) ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า ความเชื่อของชีอะห์ จะให้ ความสาคัญกับการเป็นผู้นาไม่ว่าผู้นาในด้านศาสนาหรือผู้นาทางโลก ชีอะห์เห็นว่าผู้นาน้ันต้องมีตัวบท หรือบัญญัติจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และคาส่ังเสียของท่านนบีเท่านั้น ต้องมีตัวบท หลักฐานทีช่ ัดเจน ไมใ่ ชก่ ารสมัครหรือคัดเลือกอย่างที่ชาวซุนนะฮฺเข้าใจและถือปฏิบัติกัน และชีอะห์เช่ือ ว่าอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ได้สั่งให้นบีมุหัมมัด(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)บอกแก่มุสลิมทุก คนว่า แทจ้ ริงแล้วเราได้คัดเลอื กตวั บคุ คลท่ีจะเป็นผู้นาหลังจากเราเรียบร้อยแล้ว ดังน้ันหน้าที่ของมุสลิม ทุกคนต้องเชื่อและปฏิบัติตามเท่านั้น และบทบัญญัตินี้ก็มีชัดเจนที่ระบุมาจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะซัลลัม)ที่ได้กาหนดให้อะลี บิน อะบีฏอลิบ เป็นอิหม่าม หรือคอลีฟะฮฺแก่บรรดามุสลิมหลังจาก ทา่ นนบเี สลยี ชวี ติ และตาแหนง่ ผนู้ าก็จะสืบทอดไปยงั ลูกหลานของอะลีบิน อะบฏี อลบิ สบื ไป ส่วนความเชื่อของกลุ่มซุนนะฮฺในประเด็นน้ีถือว่า ความเชื่อท่ีกล่าวมาท้ังหมดของชีอะห์ขัดแย้ง กบั นักวิชาการส่วนใหญ่ (ญุมฮ้รู ) อยา่ งมาก เพระในทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่(ญุมฮ้รู ) เห็นว่า ความ จริงระบบกษัตริยท์ ่ีกาหนดให้รัชทายาทสืบวงศก์ ระกูลหรือให้เปน็ ผู้นาทางสูงสุดเป็นประเด็นท่ีขัดแย้งกัน ระหว่างนักวิชาการ ดังน้ันการกาหนดให้เป็นอิหม่ามหรือผู้นาสูงสุดท้ังผู้นาทางจิตวิญญาณ ผู้นาทาง ศาสนา ผู้นาทางการเมือง เจาะจงเฉพาะทายาทของตระกูลหนึ่งเท่านั้นและยังสืบทอดไปยังเด็กทารก เป็นสิ่งท่ีควรพิจารณา ดังน้ันสาหรับอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺปฏิเสธความเชื่อของชีอะห์อย่างส้ินเชิงเพราะไม่มี หลักฐานจาก อลั -กุรอานและอลั -หะดษี (สะอ้ีด อิสมาอลี ,1989) นอกจากนั้น ประเด็นเกี่ยวกับความบริสุทธ์ิของอิหม่ามหรือผู้นาสูงสุดตามทัศนะของชีอะห์ สาหรับความเห็นของนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่าความบริสุทธ์ิท่ีสมบรูณ์แบบจากัดอยู่สาหรับพระองค์ อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)เท่านั้น ไม่มีใครและผู้ใดจะเสมอเหมือนพระองค์ ความบริสุทธิ์ของ บรรดานบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ก็ยังมีความไม่สมบรูณ์อยู่บ้าง หากแต่ความบริสุทธ์ิของ บรรดานบีเป็นความบริสุทธ์ิจากความผิดบาปทั้งหลาย แต่ความบกพร่องอ่ืนๆ บรรดารอซูลอาจจะยังมี อยู่บ้าง เช่น กรณีที่ท่านนบีมุหัมมัด (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ถูกเตือนโดยพระองค์อัลลอฮฺในสู เราะห์ (อะบะซา)ขณะท่ีท่านนบีหันไปทักทายผู้มีบารมีและลืมหันหน้าไปทักทายคนตาบอดที่รอท่านอยู่ เปน็ ต้น(อะบลิ ฟิดาอฺ อัล-ฮาฟิส อบิ นุ กะซีร้ ,1998,และ สะอดี้ อิสมาอีล,1989) ส่วนประเด็นของอีหม่าม มะฮ์ดีย์ นักวิชาการซุนนะฮฺอธิบายว่า ตัวบทหะดีษท่ีกล่าวโดย อหิ มา่ มติรมซี ยี ์ และ อะบู ดาวุ้ด ความว่า “อีหม่ำม มะฮ์ดีย์ที่จะเกิดข้ึนในยุคสุดท้ำยของโลกนั้นมีชื่อเหมือนท่ำนนบี และพอ่ ของเขำก็มชี ื่อเหมือนกบั ชอื่ พ่อของนบี (คืออบั ดลุ เลำะห)์ ”(อะบู ดาวุ้ด,เลขท่ี หะดีษ ,4282 ) ดังนั้นจึงไม่ใช่อิหม่าม มะฮ์ดีย์ตามทัศนะของชีอะห์ ท่ีเช่ือว่า มุหัมมัด มะดีย์ บิน ฮาซัน คือ อิหม่ามผู้รอคอย เนื่องจากพ่อของท่านไม่ใช่ บิน อับดุลเลาะห์ อย่างที่กล่าวในตัวบทหะดีษ (สะอ้ีด อิส
72 มาอีล,1989) เช่นเดียวกันนั้นในตัวบทหะดีษยังได้บอกว่าอิหม่าม มะฮ์ดีย์มาจากตระกูลของฮาซัน บิน อาบี ฏอลิบ ไม่ใช่ตระกูลของ ฮูเซ็น บิน อาบี ฏอลิบ นอกจากนี้ไม่มีหลักฐานใดๆที่บ่งชี้ว่าอิหม่ามมะดีย์ จะมชี ีวิตถึง 10 ศตวรรษ ดง่ั ความเชือ่ ของชีอะห์ (สะอด้ี อสิ มาอีล,1989) ควำมเช่ือเกยี่ วกับคัมภรี ์อัล-กรุ อำน เก่ียวกับความเช่ือต่ออัล-กุรอาน ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของหลักการศรัทธา (รูก่นอิหม่าน) ของ อะฮฺ ลิส-ซนุ นะฮฺ แต่ไม่ปรากฏในหลกั การศรทั ธาของชีอะห์ จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์นักวิชาการชีอะห์ทั้งใน และต่างประเทศ ให้ข้อมูลตรงกันว่า “ชีอะห์มีความเช่ือเหมือนกันกับซุนนะฮฺถึงคัมภีร์อัลกุรอ่านท่ีมีใน มือมุสลิมปัจจุบัน ในประเทศอิหร่านมีโรงพิมพ์อัล-กุรอานฉบับเดียวกันกับท่ีซุนะนะฮฺมี นอกจากชีอะห์ เช่อื ว่าบท (สเู ราะห์) อัล-ฏูฮา กับ อัล-นัชร เป็นบทเดียวกัน เช่นเดียวกับบท อัล-ฟี้ล กับบท อัล-กุร็อยช์ เป็นบทเดียวกัน( ช้ีค อัล-ศอดู้ก, 2005, และ ผศ.มนัส เกียรติธารัย และช้ีค ซัยนุดดีน ซัยน้อล , สมั ภาษณ์เมอ่ื , 26-12-2560,ประเทศไทย) ดงั นั้นการทม่ี ผี ู้กล่าวว่าชีอะห์มอี ลั -กุรอานของเขาเฉพาะ จานวนโองการอัล-กุรอานของชีอะห์มี ทั้งหมดมี 17,222 (หน่ึงหม่ืนเจ็ดพัน) โองการ และสาหรับชีอะห์มีกุรอานฉบับฟาฏิมะฮฺ (มัสฮัฟฟาฏิ มะฮฺ) และกล่าวหาว่าชีอะห์ได้เช่ือว่ากุรอานที่มีอยู่ในมือของมุสลิมปัจจุบันไม่สมบูรณ์ หรือที่บอกว่าญิบ ร้ลี ประทานกุรอานผดิ คน ทงั้ หมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดและใสร้ายชีอะห์อย่างท่ีสุด เพราะนักวิชาการชีอะห์ ได้มกี ารอธิบาย (ตัฟซ้ีร) อลั -กุรอานฉบับทม่ี ีอยู่เปน็ เวลาช้านาน หากชีอะห์เช่ือวา่ ไมส่ มบูรณ์คงไม่มาแปล หรืออธิบายและเผยแพร่จนทุกวันนี้ ส่วนมัสฮัฟฟาฏิมะฮฺ ที่กล่าวกันน้ัน ความจริงเป็นคาอธิบายกุรอาน ไม่ใช่กุรอานอีกเล่มหน่ึงตามท่ีพูดและเข้าใจกัน ส่วนคากล่าวอ้างเก่ียวกับอัล-กุรอานหากมีอยู่จริงก็เป็น เพยี งความเช่ือของกลุ่มคนบางคนที่สุดโต่งในหมู่ชีอะห์ ไม่ใช่ชาวชีอะห์ทุกคนเชื่ออย่างนั้น”(ซัยยิด มุฮัม หมัด บาบีกร้ี และ มุฮมั หมดั บาบุ้ล อุลูม , สัมภาษณ์เมื่อ, 22-12-2560 ,ประเทศอินโดนีเซีย, ช้ีคซัยนุด ดนี ซัยนอ้ ล ,สมั ภาษณเ์ ม่ือ, 26-12-2560,ประเทศไทย ,ช้คี ดร .อะฮ์หมดั หุเซน และ ดร.อับดุลฮาดี อับ ดุลฮามด้ี ศอลหิ ,สัมภาษณเ์ มอ่ื 7-01-2561 ,ประเทศคูเวต) หากแต่ข้อมูลจากการสัมภาษณ์อาจขัดแย้งจากข้อมูลที่ได้กล่าวในหนังสือ เช่น อัลอูศูล มินัล กะฟีย์ เล่ม 0 หน้า 536 พิมพ์ 1551 กล่าวว่า “ใครก็ตามที่อ้างว่ามีผู้ใดที่ได้รวบรวมอัล-กุรอานท้ังหมด ถือว่าเป็นการอ้างที่โกหก และไม่มีใครท่ีสามารถรวบรวมและจดจาอัล-กุรอานดังท่ีถูกประทานมา จากอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ได้ท้ังหมดนอกจากท่านอะลี บินอาบี ฏอลิบ และบรรดาอิหม่าม หลงั จากทา่ นอะลีเทา่ น้ัน” นอกจากน้ี ในหนังสือ “อุศูล มิน อัล-กาฟีย์” เป็นหนังสือที่บันทึกและรวบรวมหะดีษที่สาคัญ อันดับต้นๆ ของชีอะห์ ซึ่งรวบรวมโดย นักปราชญ์หรืออุลามาอฺท่ีเป็นที่รู้จักกันในนาม อัล-กุลัยนีย์ หนังสือเล่มดังกล่าวนี้ ได้รายงานหะดีษ จากมุฮาหมัด บิน ยะห์ยา จาก อะหมัด บิน มุฮาหมัด จาก อิบ นุมัฮบูบ จาก อัมรุ บิน อะบี อัลมิกดาม จากท่านญาบิร กล่าวว่า “ฉันได้ยิน อะบา ญะฟัร ได้กล่าวว่า “ไม่มีผใู้ ดทีอ่ ้ำงว่ำเขำได้รวบรวมอัล-กุรอำนไว้ทั้งหมดดังเช่นท่ีถูกประทำนลงมำ เว้นเสียแต่ว่ำเขำผู้ นัน้ เป็นผูม้ ดเท็จ และไม่มีผู้ใดไดร้ วบรวมและจดจำมันไว้ดังเช่นที่อัลลอฮฺได้ประทำนลงมำเว้นแต่ อะ ลี บนิ อะบฏี อลบิ และบรรดำอีหมำ่ มหลังจำกทำ่ นอะลเี ทำ่ นนั้ ” (อลั -กุลัยนีย์ ,2005 )
73 ในขณะท่ีความเชื่อของกลุ่มซุนนะฮฺหรือนักวิชาการมุสลิมส่วนใหญ่ (ญุมฮู้ร) ศรัทธาว่าท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลัม) ไดร้ วบรวมอลั -กุรอาน โดยการเรียบเรียงมาเป็นบทๆในรูปแบบของการ อ่านและการทอ่ งจา หลงั จากนนั้ ซดี้ บิน ซาบิต ไดท้ าการรวบรวมเป็นเล่มในสมัยของคอลีฟะฮฺ อาบูบักร อัล ซิดดิ๊ก และต่อมาในสมัยคอลีฟะฮฺอุษมาน บิน อัฟฟาน ก็ได้เขียนอัล-กุรอานท้ังเล่มด้วยภาษา อาหรับ ซ่ึงเป็นภาษาชาวกุร็อยช์ เป็นภาษาท่ีถูกประทานมาจากฟ้า และหลังจากนั้นก็ได้แจกจ่ายและ มอบให้บรรดามุสลิมท่ัวทุกพ้ืนที่ท่ีมีมุสลิมและมีศาสนาอิสลามถูกเผยแพร่ ส่วนจานวนโองการอัล-กุ รอาน เล่มที่มอี ยู่ในมือของมุสลิมปัจจุบัน ในทัศนะของอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ หากไม่รวมพระนามของอัลลอฮฺ (บสั มะละฮ) มที งั้ หมด 5,035 (หกพันสองร้อยสามสิบหก) โองการเท่าน้ัน (อิฮซาน อีลาฮีย์ ศอฮี้ร ,1995 และ สะอดี อสิ มาอลี ,1989) นอกจากน้ันกลุ่มซุนนะฮฺยังศรัทธาว่าบัญญัติอัล-กุรอานทั้งหมดที่มีอยู่จะไม่มีการผิดเพี้ยนและ บิดเบือนแม้สักโองการเดียว และหากมีการบิดเบือนหรือผิดเพี้ยนก็จะได้รับการแก้ไขอย่างทันทีทันใด ทั้งนี้เน่ืองจากอัล-กุรอ่านมาจากพระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)และพระองค์สัญญาว่าปกป้อง อลั -กรุ อานจากการผดิ เพ้ยี นและถูกบดิ เบอื นตลอดไป ดงั โองการ ความวา่ “แท้จริงเรำ (อลั ลอฮฺ) ไดป้ ระทำนขอ้ ตกั เตือน (อัล-กุรอำน) ลงมำ และแทจ้ ริงเรำจะเปน็ ผ้ปู กปักษร์ ักษำมัน(จนวันอวสำน)”(อลั -หจิ ร์ 15:9) จากโองการนใ้ี นความเชื่อของกลุม่ ซนุ นะฮฺพวกเขามัน่ ใจว่าเนอื้ หาตา่ งๆจากคัมภีรอ์ ลั -กุรอานจะ ไมถ่ ูกบดิ เบยี นอยา่ งแน่นอน เน่ืองจากพระองค์อลั ลอฮฺได้สัญญาว่าจะปกป้องอลั -กรุ อานด้วยพระองค์เอง ควำมเชื่อเกยี่ วกบั หะดีษนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม) เก่ยี วกับซุนนะฮฺหรอื หะดษี ของทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ในทัศนะของชีอะห์ เช่ือ ว่าท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ได้ท่องจาและรวบรวมหะดีษของท่านนบีด้วยตนเอง หลังจากนั้นท่านอะลี ได้มอบหมายให้ลูกชายท้ังสอง คือ หะซันและหุเซน บิน อะลีเป็นผู้รวบรวมหะดีษต่อจากท่าน และ หลงั จากหะซนั และหเุ ซนกส็ ง่ ต่อไปยังอิหม่ามทั้งหมดหลังจากท่าน โดยเฉพาะอิหม่ามมุหัมมัด อัล-บากี้ร และอิหมา่ มญะอฺฟัร อัล-ศอดกิ้ ท้งั สองอิหม่ามได้รวบรวมตัวบทหะดีษมากถึง 400,000 หะดีษ จนเป็นที่ รู้จักกันในหมู่นักวิชาการชีอะห์ว่า “อัล-อุศู้ล อัล-อัรบะอุ มิอะฮ์”หมายถึง หลักการพื้นฐานส่ีแสนบท (อบั ดุลฮาดี อบั ดลุ ฮามีด้ ศอลิห ,2003) นอกจากน้ี ช้คี ดร .อะฮ์หมดั หุเซน และ ดร.อับดุลฮาดี อับดุลฮามี้ด ศอลิห (สัมภาษณ์เม่ือ, 7- 01-2561 , ประเทศคูเวต) ได้กล่าวเพ่ิมเติมว่า “ในทัศนะของชีอะห์ เชื่อว่าไม่มีหนังสือเล่มใดที่ถูกต้อง นอกจากอัล-กุรอาน แม้หนังสือหะดีษของชีอะห์ อัล-กาฟีย์ ก็ไม่ได้ถูกต้องท้ังหมด ไม่เหมือนหนังสือหะ ดษี ของซุนนะฮฺทมี่ ศี อเฮย้ี ะบคุ อรยี แ์ ละมุสลิมท่ีชาวซุนนะฮฺถือว่าเป็นหนังสือท่ีถูกต้องรองจากอัล-กุรอาน และอกี อยา่ งคอื หะดีษท่ีรายงานจากอะบี ฮุรัยเราะห์ เป็นแสนหะดีษ ในทัศนะชีอะห์เป็นไปไม่ได้ที่ อะบี ฮรุ ยั เราะห์ จะจดจาหะดษี ไดเ้ ปน็ แสน เพราะอะบี ฮุรัยเราะห์ ใช้ชีวิตอยู่กับท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลมั ) แค่สองปีเทา่ นน้ั ” ในขณะทซ่ี ุนนะฮฺหรอื ญมุ ฮรู้ (นักวชิ าการส่วนใหญ่) เชื่อว่าการรวบรวมซุนนะฮฺเร่ิมข้ึนในยุคของ อุมัร บิน อับดุลอาซีส ท่ีรู้จักกันในนามคอลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมคนท่ีห้า เพราะในยุคแรกๆ ในสมัยของท่าน
74 นบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และคอลีฟะฮฺท้ังสี่ ไม่อนุญาตให้รวบรวมคาพูดใดๆนอกจากอัล- กุรอาน ทั้งนี้เกรงว่าจะนาเอาคาพูดของท่านนบีมาปะปนกับตัวบทอัล-กุรอานจึงไม่มีการรวบรวมหะดีษ ในชว่ งแรกแตอ่ ยา่ งใด หากแต่มาเร่ิมในยุคท้ายเน่ืองจากเร่ิมมีการอ้างคาพูดของท่านนบีอย่างกว้างขวาง และบางกลุ่มก็กุคาพูดมาเองแล้วอ้างว่าเป็นหะดีษของท่านนบีจึงตัดสินใจให้มีการรวบรวมหะดีษท่ี ถกู ตอ้ งในเวลาต่อมา (มันนาอฺ ก้อฏฏอน ,1689) นอกจากนนั้ ทางนักวชิ าการซนุ นะฮฺหรือญุมฮู้ร(นกั วชิ าการส่วนใหญ่) ได้วางเง่ือนไขในการรับหะ ดีษ ดังน้ี (อะบิล อัล-ฟะร้อญ อับดุรเราะห์มาน บิน อัล-เญาซีย์,1403) คือ (1) จาเป็นจาต้องวิเคราะห์ ท่ีมาของหะดีษเพื่อท่ีจะได้รู้ว่าผู้ที่รายงานมาเช่ือถือได้หรือไม่ได้ และ (0) วิเคราะห์ตัวบทของหะดีษ กระท่ังเห็นว่าเน้ือหาต้องไม่ขัดแย้งกับอัล-กุรอานและหะดีษบทอ่ืนๆท่ีมีสายรายงานท่ีแข็งแรงกว่า และ ด้วย 2 เง่ือนไขดังกล่าวนักวิชาการส่วนใหญ่ (ญุมฮู้ร) เห็นพ้องกันว่าตาราหรือหนังสือหะดีษที่โดดเด่น และถูกต้องที่สุดคือศอเฮ้ียะ อัล-บุคคอรีย์ และศอเฮี้ยะ มุสลิม ส่วนผู้รายงานหะดีษตามทัศนะอะฮฺลิส- สสุ นะฮฺในบรรดาอคั รสาวก(ศอหาบะฮฺ) ของทา่ นนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ท่ีรายงานหะดิษมาก ท่สี ดุ คือ อะบี ฮูรัยเราะห์ , อิบนุ อุมัร , อะนัส บิน มาลิก ,และ ท่านหญิงอาอชี ะฮ์ 4.2 ควำมแตกตำ่ งระหว่ำงซนุ นะฮฺและชอี ะหเ์ กย่ี วกบั หลกั กำรปฏิบัติ เก่ียวกบั หลักการปฏบิ ัติ (รกู ่นอสิ ลาม) มีประเด็นท่ีเกี่ยวข้องหลายประการ หากแต่เป็นประเด็น ปลีกย่อยมากกว่าประเด็นสาคัญท่ีเกี่ยวกับหลักการ นอกจากประเด็นเก่ียวกับการปฏิญาณตนระหว่าง ซุนนะฮฺและชีอะห์ และประเดน็ เกีย่ วกบั เวลาละหมาดระหว่าง 3 กับ 5 เวลา รวมถึงการละหมาดวันศุกร์ ซึง่ มีรายละเอยี ดดังต่อไปนี้ ตำรำงที่ 4 แสดงควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งซนุ นะฮฺและชีอะห์เกยี่ วกับหลักปฏิบตั ิ ซุนนะฮฺ(รกุ ่นอิสลำม) ชอี ะห(์ ฟรุ อู ดุ้ ดนี ) หมำยเหตุ 1 – การปฏิญาณตน 1 - ละหมาด ในบางรายงานพบว่าหลักปฏิบตั ิชอี ะฮ์มี 10 ประการ 2 – ละหมาด 5 เวลา 3 - ถือศีลอด 2 - ถอื ศีลอด เพิม่ เติมจากเดิมคือ 4 - ซะกาต 5 – ฮจั ญ์ 3 - ซะกาต - คมุ ซ์ (บรจิ าคทรัพย์ 1 ใน 5 ใหต้ ัวแทนอหิ ม่าม) 4 - ฮจั ญ์ - อัลอมั รุ บิลมะอ์รูฟ (เชญิ ชวนทาความด)ี 5 – ญิฮ้าด(ต่อสใู้ น - อัลนะญุ อะน้ิลมงุ กรั (หา้ มทาความช่ัว) หนทางของอัลลอฮฺ) - อัล-ตะวัลลา (การยอมรับและรกั ผู้นา) - อลั -ตะบัรรอ (การไมย่ อมรับและออกห่างจากผู้ปฏเิ สธ ผนู้ า) จากตารางที่ 4 เห็นว่าหลักปฏิบัติ(รุก่นอิสลาม)ระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์มีความเหมือนและ แตกต่างหลายประการ เช่น หลักปฏิบัติของกลุ่มซุนนะฮฺมีช่ือเรียกว่า(รุก่นอิสลาม) ส่วนหลักปฏิบัติของ ชอี ะหเ์ รียกว่า “ฟุรูอุ้ดดีน”แปลว่าข้อปลีกย่อยของศาสนา ส่วนจานวนข้อเหมือนกัน คือ 5 ข้อ แตกต่าง กันสองข้อ คือ การปฏิญาณตน และญิฮ้าด(การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ) ส่วน 10 ข้อดังปรากฏใน หมายเหตุเป็นรายละเอียดท่ีเพ่ิมเติมมาเฉพาะกลุ่ม ไม่ถือเป็นหลักปฏิบัติของชีอะห์ส่วนใหญ่ (ญุมฮู้ร ชีอะห์) ซึ่งบางข้อก็สัมพันธ์กับ 5 ข้อเดิมอยู่แล้ว เช่น คุมซ์ คือการจ่ายซะกาต 1 ใน 5 ของทรัพย์สินที่
75 เหลือใช้ในแต่ละปีให้แก่ตัวแทนของผู้นาสูงสุด(อิหม่าม)หรือเรียกว่า “วิลายะตุ้ลฟากี้ฮ”22 ซ่ึงเก่ียวข้อง กบั ซะกาตในขอ้ 3 เดิม หากแตก่ ารจา่ ย คุมซ์ ในปจั จุบนั จากการสัมภาษณ์ ช้ีคซัยนดุ ดนี ซยั น้อล(สัมภาษณเ์ มอื่ , 26-12-2560,ประเทศไทย) และอุสต้าซ มุฮัมหมัด อาแวซือแต (สัมภาษณ์เมื่อ, 06-02-2561,ประเทศไทย) ทั้งสองให้มูลตรงกันว่า “การจ่ายใน ปัจจุบันเป็นแค่ความเชื่อของชีอะห์บางกลุ่ม แต่หลักการ คุมซ์ ที่ถูกต้องคือจ่ายให้แก่อิหม่ามเท่านั้น กล่าวคอื ตอ้ งรออหิ ม่ามมะฮฺดี ออกมาก่อนแล้วจะคอ่ ยจา่ ยคมุ ซ์ ส่วนท่ีจ่ายกันในปัจจุบันให้แก่วิลายะตุ้ล ฟากฮ้ี หรือตัวแทนอหิ ม่ามเปน็ ความเชอื่ เฉพาะกลมุ่ เท่านัน้ ไม่ใช่ชอี ะห์ท้ังหมดตามทีเ่ ข้าใจกนั ” ส่วนหลักว่าด้วย ตะวัลลา และ ตะบัรรอ การรักและปฏิบัติตามผู้นาท้ังคาสั่งใช้และคาส่ังห้าม เพราะคาสั่งอิหม่ามถือว่าบริสุทธิ์และเสมือนเป็นบทบัญญัติเช่นกัน ดังน้ันจึงต้อง ตะวัลลา คือ รักและ เชื่อฟังอิหม่ามอย่างที่สุด และ ตะบัรรอ คือ หลีกห่างและไม่ใยดีต่อผู้ท่ีไม่เช่ือในความเป็นอิหม่ามของ พวกเขา (ชี้ค ดร .อะฮห์ มดั หเุ ซน , และ ดร.อับดุลฮาดี อับดุลฮามดี้ ศอลิห, สัมภาษณ์เม่ือ, 7-01-2561 ,ประเทศคเู วต) สุดท้าย คือ อัลอัมรุ บิลมะอ์รูฟ และอัลนะญุ อะนิ้ลมุงกัร หมายถึง หลักปฏิบัติของชีอะห์ที่ เก่ียวกับการบอกกล่าวและเชิญชวนผู้คนในสังคมให้ทาความดี พร้อมกับการห้ามปรามผู้คนในสังคม ไม่ให้ทาความช่ัว และหน่ึงในความดีหรือความชั่วในทัศนะชีอะห์ คือ ตะวัลลา และ ตะบัรรอ กล่าวคือ ต้องบอกกล่าวให้มุสลิมรักและเชื่อฟังอิหม่ามท่ีถูกบัญญัติไว้อย่างที่สุด และห้ามปรามมุสลิมทุกคนให้ หลกี หา่ งและไมใ่ ยดตี อ่ ผู้ทีไ่ ม่เช่ือในความเป็นอิหม่ามทถ่ี ูกบญั ญตั ิไว้ตามหลกั ความเช่ือของพวกเขา เก่ียวกับอัลอัมรุ บิลมะอ์รูฟ และอัลนะญุ อะนิ้ลมุงกัร ในประเด็นน้ีทัศนะของกลุ่มอะฮฺลิส-ซุน นะฮฺ ไม่นับเป็นหลักปฏิบัติห้าข้อดังกล่าว หากแต่กลุ่มซุนนะฮฺถือว่า การบอกกล่าวและเชิญชวนผู้คนใน สงั คมใหท้ าความดี พร้อมกบั การห้ามปรามผคู้ นในสังคมไม่ให้ทาความช่ัว เป็นภารกิจของมุสลิมในฐานะ ประชาชาติท่ีดีเลิศ นอกจากนั้นกลุ่มซุนนะฮฺถือว่า อัลอัมรุ บิลมะอ์รูฟ และอัลนะญุ อะน้ิลมุงกัร เป็น เง่ือนไขหลักท่จี ะทาให้ประชาชาติอิสลามสูงส่งและเป็นประชาชาติท่ีดีเลิศดั่งท่ีพระองค์ทรงประสงค์ อีก ท้ังเพ่อื ใหเ้ หมาะสมกบั ประชาชาตติ ัวอยา่ งที่ถูกสง่ มาเพื่อมนษุ ยชาติทง้ั มวล ด่ังโองการ อัล-กรุ อาน ความว่า “พวกเจ้ำ(บรรดำผู้ศรัทธำ)คือประชำชำติที่ดีเลิศที่ถูกอุบัติมำเพื่อ มนุษยชำติท้ังมวล ดังน้ันจงบอกกล่ำวและเชิญชวนผู้คนในสังคมให้ทำควำมดี (อัล อัมรุ บิลมะอ์รูฟ และจงห้ำมปรำมผู้คนในสังคมไม่ให้ทำควำมชั่ว (อัลนะญุ อะ นล้ิ มงุ กรั )และจงศรัทธำต่ออลั ลอฮ”ฺ ( อัล-อิมรอน ,3 : 112) โองการข้างต้นได้กล่าวถึงภารกิจของผู้ศรัทธาในฐานะประชาชาติที่ดีเลิศ ท่ีต้องปฏิบัติอย่าง เคร่งครัดตามความสามรถและวิทยปัญญา เพื่อให้ความดีและคนดีเพ่ิมข้ึน และความช่ัวหรือคนชั่วต้อง ลดลง หากแต่การปฏิบัติภารกิจดังกลา่ วตอ้ งอย่บู นพน้ื ฐานการศรทั ธาต่ออลั ลอฮ(ฺ สบุ หานะฮู วะตะอาลา) ท่ีกลา่ วมานั้นเป็นหลักปฏิบตั ิระหว่างซุนนะฮฺและชีอะห์ ซึง่ บางขอ้ เหมอื นกันและบางข้อสัมพันธ์ กัน ส่วนข้อแตกต่างที่จาเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติมมีประเด็นสาคัญสองประการที่ถือเป็นประเด็นปัญหา สาหรับชาวซุนนะฮฺซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในสังคมโลกและสังคมไทย และความแตกต่างสองอย่างนี้เป็นหลัก 22 วลิ ายะตุล้ ฟากีฮ้ เปน็ ตาแหนง่ สูงสดุ ในหมู่ชีอะห์ในยคุ ปจั จุบันเปน็ แนวคดิ ใหม่เกิดขึ้นในสมัยอิหมา่ มโคมัยนยี ์และตาแหน่งนี้ เปน็ เสมือนตวั แทนอหิ ม่ามมะฮดีท่ีรอคอย
76 ปฏิบตั ิที่สาคัญสาหรับมสุ ลมิ ดังกล่าวนั้น คือ ประเด็นเก่ียวการกล่าวปฏิญาณตน(ชะฮาดะฮฺ)ของผู้ท่ีเป็น มุสลิม และประเด็นการละหมาดห้าเวลาในหน่ึงวันกับหน่ึงคืนสาหรับมุสลิมทุกคน ผู้ใดที่ปฏิเสธหรือฝ่า ฝืนไม่ยอมรับ หรือผิดเพ้ียนไปจากรูก่นอิสลามหรือหลักปฏิบัติที่ถือปฏิบัติกันก็ถือว่าตกศาสนา(มุรตัด) อย่างเอกฉันต์ ดังนั้นประเด็นที่ต่างกันระหว่างชีอะห์และซุนนะฮฺเก่ียวกับละหมาด และการปฏิญาณตน จงึ เป็นประเดน็ ท่ีผวู้ จิ ยั จะนาเสนอประเดน็ น้ีเพม่ิ เติมดังรายละเอยี ดต่อไปนี้ กำรปฏิญำณตน(ชะฮำดะฮ)ฺ เกี่ยวกับการปฏิญาณตน ซ่ึงเป็นหลักการปฏิบัติข้อแรกของอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ แต่ไม่ปรากฏใน หลักปฏิบัติของชีอะห์ และจากการสังเกตอย่างไม่เป็นทางการ รวมทั้งจากข้อมูลเบื้องต้นที่คนส่วนใหญ่ พูดกนั พบวา่ การกลา่ วปฏญิ าณตนของชีอะหไ์ ม่เหมอื นกบั คากล่าวปฏิญาณตนของซนุ นะฮฺ ดัง่ ตาราง ตำรำงท่ี 5 แสดงควำมแตกตำ่ งคำกล่ำวปฏิญำณตน(ชำฮำดะฮ)ฺ ระหว่ำงซนุ นะฮฺและชีอะห์ คำปฏิญำณตน(ชะฮำดะฮฺ)ของซนุ นะฮฺ คำปฏิญำณตน(ชะฮำดะฮฺ)รของชอี ะห์ หมำยเหตุ أشهد أن لا إله إلا الله وحده لاشريك له أشهد أن لا إله إلا اللهชีอะห์บางคนหรือบางกลุ่ม23 وأشهد أن محمدا رسول الله وأشهد أن محمدا رسول اللهยงั กล่าวเพมิ่ อกี วา่ وأشهد أن أبا بكر وعمروعثمان وأشهد أن عليا ولي الله وعائشة وحفصة في النار ความว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่า ไม่มี ความว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่า ไม่มี พระเจ้าอน่ื ใดนอกจากอัลลอฮฺ พระเจา้ อื่นใดนอกจากอลั ลอฮฺ ความว่า และข้าพเจ้าขอ ปฏิญาณตนว่า แท้จริงอะ แ ล ะ ข้ า พ เ จ้ า ข อ ป ฏิ ญ า ณ ต น ว่ า และข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่า นบี บบู ักร อุมัร อุษมาน อาอีชะฮ์ แ ท้ จ ริ ง น บี มุ หั ม มั ด นั้ น คื อ ศ า ส น ฑู ต มุหัมมัดนัน้ คือศาสนทูตของอลั ลอฮฺ และอัฟเศาะห์ ตกนรก ของอลั ลอฮฺ และขา้ พเจ้าขอปฏิญาณตนว่าท่านอะลี คอื ท่ีรกั ย่ิงอัลลอฮฺ จากตารางท่ี 5 เป็นข้อคากล่าวปฏิญาณตนสาหรับมุสลิมทุกคนท่ีกล่าวกัน ซ่ึงเป็นเง่ือนไขแรก สาหรับมุสลิมที่ต้องกล่าวและศรัทธาในคากล่าวดังกล่าว และเป็นที่รู้กันว่าเป็น ชะฮาดะตัยน หมายถึง สองคาปฏิญาณตน คือ ปฏิญาณตนยอมรับความเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวของอัลลอฮฺ และปฏิญาณตน ยอมรับความเป็นศาสนทูตของนบีมุหัมมัด และต้องไม่มีมากกว่าน้ัน กล่าวคือ มากกว่าสองคาปฏิญาณ ข้างตน หรือเพ่ิมเป็นสามหรือคาปฏิญาณดั่งตารางของชีอะห์ หากมีความแตกต่างกันถือเป็นเรื่องใหญ่ สาหรับชาวซุนนะฮฺ เพราะคาปฏิญาณตนท่ีไม่เหมือนกันแสดงถึงการศรัทธาที่ต่างกัน นอกจากนี้ชีอะห์ บางคนก็เช่ือว่าพระองค์อัลลอฮฺก็ต่างกัน นบีมุหัมมัดก็ต่างกัน หมายถึง มีชีอะห์บางคนเชื่อว่าอัลลอฮฺ และนบีมุหัมมัดที่ยอมรับอะบูบักร อุมัร อุษมาน อาอีชะฮ์ และอัฟเซาะห์ ไม่ใช่อัลลอฮฺเดียวกันและ ไม่ใช่นบีเดียวกันกับที่ชีอะห์ศรัทธาด่ังคาปฏิญาณ ดังน้ันคนกลุ่มนี้จึงถือว่าศาสนาอ่ืนต่างกันกับศาสนา อิสลาม (ดร.ฮามิด ฟะฮ์มีย์ ซัรกะชีย์ และ ดร.มุฮัมหมัด คอลิด มุสลิฮ, สัมภาษณ์เมื่อ, 21-12-2560 , ประเทศอินโดนีเซีย ) 23 จากการสงั เกตแบบไม่มีส่วนรว่ ม เม่ือ เดอื น มถิ นุ ายน 2560 เป็นชอี ะหจ์ ากต่างประเทศไดส้ อนให้ชายหนุ่มคนหนง่ึ ชาวโม รอกโคทตี่ ้องการเป็นชอี ะหจ์ ึงตอ้ งกล่าวตามด้วยคาปฏิญาณดังกล่าวข้างต้น ซ่งึ ดังกล่าวนัน้ ในทศั นะของซุนนะฮถฺ ือวา่ ตกศาสนา(มุรตดั )
77 ในประเดน็ น้ผี ูว้ ิจัยได้ลงพน้ื ทสี่ ัมภาษณน์ กั วิชาการชีอะห์ทัง้ ในและต่างประเทศ ทุกคนให้คาตอบ เหมือนกันว่า สาหรับชีอะห์กล่าวคาปฏิญาณตนเหมือนกันกับซุนนะฮฺ คือ สองชะฮาดะฮฺหรือชะฮา ดะตัยน “( )أشهد أن لا إله إلا الله وأشهد أن محمدا رسول اللهหมายถึง ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่า ไม่มี พระเจา้ อน่ื ใดนอกจากอัลลอฮฺ และนบมี ุหัมมัดน้ันคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ” ส่วนการเพ่ิมท่านอะลีเป็นท่ี รักย่ิงของอัลลอฮฺ() وأشهد أن عليا ولي اللهเป็นแค่การให้เกียรติแก่ท่านอะลีไม่ได้เป็นคาปฏิญาณตนแต่ อยา่ งใด สว่ นการเพิ่มคาด่าทอต่ออะบูบักร อุมัร อุษมาน อาอีชะฮ์ และอัฟเซาะห์ เป็นกลุ่มชีอะห์สุดโต่ง ท่ีชอี ะห์สบิ สองอิหมา่ มก็ยอมรับไม่ได้ เพราะพวกเราชีอะห์ให้เกียรติต่อมุสลิมด้วยกันเสมอ”(ซัยยิด มุฮัม หมดั บาบีก้ีร และ มุฮมั หมัด บาบุ้ล อุลมู , สัมภาษณเ์ ม่ือ, 22-12-2560 ,ประเทศอนิ โดนีเซีย, ชี้คซัยนุด ดีน ซัยน้อล ,สัมภาษณ์เมื่อ, 26-12-2560,ประเทศไทย, ชี้ค ดร .อะฮ์หมัด หุเซน , และ ดร.อับดุลฮาดี อบั ดุลฮามดี้ ศอลิห, สมั ภาษณ์เมื่อ, 7-01-2561 , ประเทศคเู วต) กำรละหมำด 5 เวลำ เกี่ยวกับประเด็นเวลาละหมาดท่ีต่างกันระหว่าง 5 เวลา กับ 3 เวลา รวมไปถึงการที่ชีอะห์เชื่อ ว่า ไม่จาเป็นต้องละหมาดวันศุกร์ เป็นประเด็นที่กลุ่มซุนนะฮฺส่วนใหญ่รับไม่ได้เช่นกัน เพราะเวลา ละหมาดในแตล่ ะวนั คอื 5 เวลา ผใู้ ดปฏิเสธการละหมาด 5 เวลา ถือว่าตกศาสนา เช่นเดียวกันกับผู้ท่ีไม่ ละหมาดวันศุกร์ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ก็ถือว่าได้ทาบาปใหญ่ในหลักการอิสลาม มากไปกว่าน้ันคือผู้ที่ เปล่ียนบัญญัติของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)จากจาเป็นต้องทา(วาญิบ)แล้วเขากลับเชื่อว่าไม่ จาเป็นต้องทาผนู้ ก้ี ็ถือว่าตกศาสนาเช่นกนั (ดร.ฮามดิ ฟะฮม์ ีย์ ซรั กะชยี ์ และ ดร.มุฮัมหมัด คอลิด มุสลิฮ, สัมภาษณ์เมอ่ื , 21-12-2560 ,ประเทศอินโดนีเซยี ) เก่ียวกับประเด็นเวลาละหมาด 3 เวลา และการละหมาดวันศุกร์ ผู้วิจัยได้ลงพ้ืนที่สัมภาษณ์ นักวชิ าการชอี ะหท์ งั้ ในและต่างประเทศ ได้ข้อมูลใกล้เคียงกันว่า “สาหรับชีอะห์ไม่ได้ปฏิเสธว่าละหมาด มี 5 คร้ังต่อวัน เพียงแต่การรวมละหมาดจาก 5 คร้ัง เป็น 3 คร้ัง สามารถทาได้แม้ในทัศนะของซุนนะฮฺ เองกต็ าม เช่นในทัศนะของซนุ นะฮฺทอ่ี นุญาตให้ละหมาดรวมระหว่างซุฮรกับอัสร และรวมระหว่างมัฆริบ กับอชี าไดเ้ ม่ือมีเหตุจาเป็น เช่น ในกรณีเดินทางหรือเจ็บป่วยเป็นต้น เพียงแต่ในทัศนะของชีอะห์เห็นว่า การรวมละหมาดดังกล่าวเป็นการผ่อนปรนจากบัญญัติอิสลามท่ีสามารถทาได้แม้มีเหตุจาเป็นหรือไม่มี เหตุจาเป็นคือภาวะปกตกิ ็ละหมาดรวมไดไ้ ม่แตกตา่ งกัน ทงั้ น้ดี งั่ โองการอลั -กรุ อานที่พระองคต์ รสั วา่ ความว่า “จงดำรงกำรละหมำดต้ังแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ และกำรอ่ำนยำมรุ่ง อรณุ ”(อลั -อิสรออฺ 17:78) จากโองการข้างตน้ นักวิชาการชีอะห์เห็นว่าเวลาละหมาดทพี่ ระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอา ลา)ไดบ้ ญั ญตั ิไว้มแี คส่ ามเวลา คอื เวลาบ่ายคล้อย เวลาพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น และเวลารุ่งอรุณยาม เชา้ ตรู่ อีกทง้ั ยังมหี ะดีษทร่ี ายงานโดยอิบนุ อบั บ้าสว่า ความว่า“ท่ำนนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้รวมเวลำละหมำดระหว่ำงซุฮร กับอัสร และรวมระหว่ำงมัฆริบกับอีชำ ทั้งๆท่ีไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ เมื่อบรรดำอัคร สำวกถำมท่ำนว่ำเหตุใดท่ำนถึงละหมำดรวมทั้งที่ไม่มีเหตุจำเป็น ท่ำน นบี
78 (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ตอบว่ำ “เพื่อไม่เป็นกำรลำบำกแก่ประชำติของ ฉัน”(อา้ งถึงใน ซยั ยิด ซาบิก,1997) ในประเด็นน้ีนักวิชาการซุนนะฮฺเห็นว่า เป็นการผ่อนปรนของบัญญัติอิสลามแก่ประชาชาติทุก คนจริงแตส่ ามารถทาได้ในบางครั้งบางคราวไม่ใช่ทุกวันตามที่ชีอะห์เข้าใจ (ดร.อาลี สาเมาะ , ดร.อัสมัน แตอาลี สัมภาษณเ์ ม่อื 12-10-2560 และ ดร.อะหมดั อมุ ัร จะปะเกยี สมั ภาษณ์เมื่อ 21-1-2561) ส่วนประเด็นอ่ืนๆ เก่ียวกับหลักปฏิบัติ (รูก่นอิสลาม) ท่ีเป็นประเด็นปลีกย่อย เช่น การอาซาน การอาบน้าละหมาด การก้มกราบ (สุญูด) บนดินศักดิสิทธ์ิ การถือศีลอด และอื่นๆ ผู้วิจัยขอเสนอในรูป ของตารางเปรียบเทียบดงั ตอ่ ไปนี้ ตำรำงท่ี 6 เปรยี บเทียบควำมแตกต่ำงปลกี ย่อยของหลักปฏบิ ตั ิระหวำ่ งซนุ นะฮฺและชีอะห์ ประเด็นแตกตำ่ ง ซนุ นะฮฺ ชีอะห์ หมำยเหตุ การอาซาน บางทัศนะมีการเพ่ิมคา เพ่ิมคาว่า ( )وأشهد أن عليا ولي اللهนักวิชาการชีอะห์อธิบายว่าคาว่า ว่า ( )الصلاة خير من النومหลังคาวา่ ( )وأشهد أن عليا ولي الله( وأشهد أن محمدا رسولเป็นเพียงคา หลัง ()الله )حي على الفلاح เพ่มิ เพ่ือให้เกยี รติแก่ท่านอะลีโดยให้ และ( )حي على خير العملกล่าวเบาๆหลังกล่าว( وأشهد أن محمدا ขณะอาซานซบุ ฮ หลัง ()حي على الفلاحขณะอา )رسول اللهซึ่งไม่ใช่ส่วนหน่ึงของคา ซานทุกเวลา กลา่ วในบทอาซานแต่อย่างใด หากแต่ในยุคสมัยหนึ่งชีอะห์ถูก กดดันจึงต้องตะโกนออกมาเสียงดัง จนทกุ วันน้ี และหากไม่กล่าวก็ไม่ทา ให้เสยี การอาซานแตอ่ ย่างใด ส่วน( )حي على خير العملคาน้ี ไ ด้ ป ร า ก ฏ ชั ด ใ น ยุ ค ท่ า น น บี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และอะบู บักร และช่วงเวลาหนึ่ง ของยุคอุมัร ซ่ึงได้ระบุในหะดีษของ อะบูอซุ ามะฮฺ24 ก า ร อ า บ น้ า ล้างเท้าท้ังสองข้างจนถึง ไม่ล้างเท้าแต่เช็ดเท้าขวาด้วยมือ นักวิชาการชีอะห์ให้เหตุผลว่า ละหมาด ตาตมุ่ ซา้ ย และเชด็ เท้าซ้ายดว้ ยมอื ขวา ดังกล่าวน้ันเป็นการอาบนา้ ละหมาด ต า ม แ บ บ อ ย่ า ง ข อ ง ท่ า น น บี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และโองการอัล-กุรอานที่บัญญัติให้ เช็ดเทา้ พร้อมๆกับเชด็ ศรี ษะ25 24 ดร.อับดลุ ฮาดี อับดุลฮามี้ด ศอและห์ ( สมั ภาษณ์เม่อื , 7-01-2561,คูเวต) และชค้ี ซยั นดุ ดีน ซยั น้อล ( สมั ภาษณ์เมื่อ, 26- 12-2560 ,ประเทศไทย) 25 ดร.อับดุลฮาดี อบั ดุลฮามด้ี ศอและห์ ( สมั ภาษณเ์ มือ่ , 7-01-2561,คูเวต) ช้ีค ซัยนุดดีน ซัยนอ้ ล ( สมั ภาษณ์เมือ่ , 26-12- 2560 ,ประเทศไทย) และซัยยดิ มูฮมั หมัด บาบกี ้รี และ มูฮัมหมดั บาบลุ้ อุลูม ,( สัมภาษณ์เม่ือ, 22-12-2560, ประเทศอนิ โดนีเซยี )
79 การสุญูดบนดิน ไม่จาเป็นต้องสุญูดบน ต้ อ ง สุ ญู ด บ น ดิ น เ ท่ า นั้ น ไ ม่ นักวิชาการชีอะห์ให้ข้อมูลว่าการ ศักดิสิทธิ์(ก้ัรบา ดนิ เสมอไป อนุญาตให้สุญูดบนวัสดุท่ีไม่ใช่ สุญูดบนดินเป็นหะดีษของท่านนบี ลาอ)ฺ ดนิ (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) หากแต่ดินท่ีดีท่ีสุดคือแผ่นดินแห่ง กัร้ บาลาอฺ แต่หากไม่มีดินก้ัรบาลาอฺ ก็สามารถสุญูดบนดินใดก็ได้หรือ วสั ดทุ ่ีทาจากดนิ เท่านั้น26 ก า ร ล ะ ห ม า ด สุ ภ า พ บุ รุ ษ ค ว ร ต้ อ ง ไม่ปฏิเสธถึงคุณค่าของการ เงอ่ื นไขผนู้ าละหมาดในทัศนะชีอะห์ ร่ ว ม กั น ( ญ ะ ละหมาดร่วมกันกับผู้นา ละ ห ม า ด ร่ ว มว่ า ย่ อ ม ดี ก ว่ า ต้องเป็นผู้ที่บริสุทธ์ิจากความผิด มาอะฮ์) ละหมาด(อิหม่าม)ไม่ว่า ละหมาดคนเดียว หากแต่ผู้นา และความบกพร่องท้ังหมด เช่น ผู้นาละหมาดนั้นอาจมี ละหมาดต้องครบเง่ือนไขตามท่ี ผู้ใหญ่ที่บรรลุศาสนภาวะ ผู้ท่ีมี ความบกพร่องบ้างก็ตาม กาหนดไว้ สติปัญญาครบถ้วนสมบูรณ์ ผู้ที่ ดารง อยู่บ นคว ามศ รัทธ าแล ะ ยุติธรรม ผู้ที่สามารถอ่านกุรอานได้ ถกู ต้อง และอื่นๆ27 การกอดอกขณะ ส่วนใหญก่ อดอกขณะยืน ไม่กอดอกขณะยืนละหมาดแต่ นักวิชาการชีอะห์ให้ข้อมูลว่าการ ละหมาด ละหมาด นอกจากทัศนะ ปล่อยมือตามปกติ กอดอกขณะยืนละหมาดไม่ปรากฏ ข อ ง อิ ห ม่ า ม ม า ลี กี ย์ ไ ม่ ในหะดีษของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ ตอ้ งกอดอก อะลัยฮิ วะซัลลัม) หากแต่เพิ่งมีใน สมยั ทา่ นอมุ ัร อลั -คอฏฏอ้ บ28 การดูดวงจันทร์ เม่ือมีการยืนยันเห็นดวง การเข้าและออกของรอมฏอน นักวิชาการชีอะห์ให้เหตุผลว่า เพื่อกาหนดวัน จันทร์เสี้ยวโดยมีพยาน ส า ห รั บ ชี อ ะ ห์ โ ด ย ป ก ติ จ ะ สาหรับชีอะห์ยึดถือหะดีษเดียวกัน เข้าและออกของ 2 คนถือว่าเข้าและออก ตามหลังชาวซนุ นะฮฺ 1-2 วัน กับซุนนะฮฺที่กาหนดออกและเข้า ก า ร ถื อ ศี ล อ ด ของรอมฏอนได้ ร อ ม ฏ อ น ด้ ว ย ก า ร ดู ด ว ง จั น ท ร์ เดอื นรอมฏอน หากแต่การเห็นดวงจันทร์ในทัศนะ ชีอะห์ต้องเห็นด้วยตนเอง ต้องเห็น อย่างชัดเจน ต้องครบ 30 วันของ เดือนชะบานเพื่อกาหนดรอมฏอน และครบ 30 วันของรอมฏอน เพ่ือ กาหนดวนั ที่ 1 เชาวาล (วันอีด)29 การละศีลอด ละศีลอดทันทีเม่ือตะวัน รอละศีลอดหลังตะวันลับขอบ นักวิชาการชีอะห์ให้เหตุผลว่า ใน ลับขอบฟ้า ฟ้าประมาณครึง่ ช่ัวโมง ทัศนะชีอะห์เห็นว่าต้องรอให้ม่ันใจ ก่อนว่าตะวันได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว 26 ชี้ค ซัยนุดดีน ซัยน้อล ( สัมภาษณ์เมื่อ, 26-12-2560 ,ประเทศไทย) และซัยยิด มูฮัมหมัด บาบีก้ีร และ มูฮัมหมัด บาบุ้ล อลุ ูม ,( สมั ภาษณ์เมอื่ , 22-12-2560, ประเทศอินโดนีเซีย) 27 ดร.อับดุลฮาดี อบั ดุลฮามี้ด ศอและห์ ( สมั ภาษณเ์ ม่ือ, 7-01-2561,คูเวต) ชค้ี ซยั นุดดนี ซยั นอ้ ล ( สมั ภาษณ์เม่อื , 26-12- 2560 ,ประเทศไทย) และซยั ยิด มฮู มั หมัด บาบกี ี้ร และ มูฮมั หมัด บาบุ้ล อุลมู ,( สมั ภาษณเ์ มอ่ื , 22-12-2560, ประเทศอนิ โดนเี ซีย) 28 ดร.อับดุลฮาดี อับดุลฮามด้ี ศอและห์ , ชคี้ ดร. อะฮห์ มัด หเุ ซน และ ดร.มฮู ัมหมัด ลารยี ์ ( สัมภาษณเ์ มอ่ื , 7-01-2561,คูเวต) 29 ดร.อบั ดุลฮาดี อับดลุ ฮามีด้ ศอและห์ , ชี้ค ดร. อะฮ์หมดั หุเซน และ ดร.มฮู ัมหมดั ลารยี ์ ( สัมภาษณเ์ มื่อ, 7-01-2561,คูเวต)
80 การจา่ ยซะกาต อย่ า ง แน่ น อ น จึ ง ค ว รร อ ก่ อ น การจา่ ยคุมซ ประมาณครง่ึ ชว่ั โมง30 การทาฮจั ญ์ จ่ายซะกาตฟิฏเราะห์ ครอบคลุมถึงซะกาตฟิฏเราะห์ และซะกาตทรัพย์สินเม่ือ ทรัพยส์ นิ และคมุ ซ ครบเงอื่ นไข จ่ายในกรณีที่ได้ทรัพย์ ครอบคลุมถึงทรัพย์ท่ีได้จากศึก นกวิชาการชีอะห์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ เชลยจากศึกสงคราม สงครามและทรัพย์สินอื่นๆท่ี คุมซ ว่า สาหรับชีอะห์เช่ือว่าต้อง เทา่ นน้ั ครอบครองและยังเหลือใช้เมื่อ จ่ายคุมซเมื่อครบปี จากทรัพย์สินท่ี ครบปี เหลือใชแ้ ม้ไมใ่ ช่ทรพั ย์เชลยที่ได้จาก สงครามก็ตาม กาหนดจ่ายคุมซ ร้อยละ 20 ของทรัพย์สินที่เหลือใช้ แก่ผู้มีสิทธ์ิ 6 ประเภทคือ อัลลอฮฺ รอซลู้ ครอบครัวนบี เด็กกาพร้า คน ยากจน และผู้เดินทาง หากแต่เมื่อ ไมม่ ีรอซ้ลู กต็ ้องจ่ายให้ตัวแทนรอซู้ล คือ วลี ายะตลุ้ ฟากฮ้ี 31 อนุญาตให้เดินเวียนรอบ ไม่อนุญาตให้เดินเวียนรอบ ในทัศนะของชีอะห์การฏอว้าฟและ กะบะฮฺ(ฏอวา้ ฟ)และเดิน กะบะฮฺ(ฏอว้าฟ) และ(สะอฺยู) สะอฺยูต้องอยู่ระดับเดียวกันกับ 7 รอบระหว่างภูเข า เดิน 7 รอบระหว่างภูเขาศอฟา กะบะฮฺ และภูเขาศอฟาและมัรวะฮฺ ศอฟาและมรั วะฮฺ(สะอฺยู) และมัรวะฮฺ นอกจากชั้นท่ี 1 (ช้คี ญะฟรั อัล-ซวุ ัยลฮิ ,2015) ได้ทุกช้ันของมัสญิดอัล- ของมสั ญดิ อัล-ฮะรอมเทา่ นนั้ ฮะรอม 4.3 ประเดน็ สำคญั อื่นๆทแ่ี ตกตำ่ งระหวำ่ งซุนนะฮฺและชอี ะห์ เกี่ยวกับประเด็นสาคัญอื่นๆท่ีเจอคาถามบ่อยครั้งสาหรับความเช่ือบางประการของชีอะห์ที่ แตกต่างจากกลุ่มซุนนะฮฺนอกเหนือจากหลักการศรัทธาและหลักปฏิบัติท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยขอ นาเสนอคาอธิบายของนักวิชาการชีอะห์ที่ได้สัมภาษณ์มา ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมและเป็นประโยชน์ ในทางวชิ าการดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี กำรแต่งงำนมุตอะฮ์ ประเด็นท่ีเกี่ยวกับนิกะฮ มุตอะฮฺ หรือการแต่งงานเพื่อความสุขชั่วขณะ นักวิชาการชีอะห์ได้มี ความเห็นว่า นิกาฮฺมุตอะฮ์เป็นที่อนุญาต เน่ืองจากดังกล่าวน้ันเป็นส่ิงที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ 30 ช้ีคซัยนดุ ดีน ซยั น้อล ( สัมภาษณเ์ มื่อ, 26-12-2560 ,ประเทศไทย) และซยั ยิด มูฮัมหมัด บาบกี ีร้ และ มฮู ัมหมัด บาบุล้ อุลูม ,( สมั ภาษณ์เมื่อ, 22-12-2560, ประเทศอนิ โดนีเซยี ) 31 ดร.อับดลุ ฮาดี อบั ดุลฮามี้ด ศอและห์ และ ชคี้ ดร. อะฮห์ มัด หเุ ซน ( สัมภาษณเ์ มือ่ , 7-01-2561,คูเวต) ชี้คซยั นดุ ดนี ซยั น้อล ( สัมภาษณ์เม่ือ, 26-12-2560 ,ประเทศไทย) และซัยยิด มูฮัมหมัด บาบีกี้ร และ มูฮัมหมัด บาบุ้ล อุลูม ,( สัมภาษณ์เมื่อ, 22-12-2560, ประเทศอินโดนีเซีย)
81 วะซัลลัม)ได้อนุญาตให้ปฏิบัติได้ในสมัยของท่าน และไม่มีผู้ใดที่ห้ามแต่งงาน(นิกาฮฺ)มุตอะฮ์นอกจากใน สมัยของอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ และเป้าหมายของการแต่งงานมุตอะฮฺ คือ การแก้ปัญหาท่ีอาจเกิดขึ้นของ ความต้องการทางอารมณ์ และการนิกาฮฺมุตอะฮฺไม่มีการหย่าร้างกัน ไม่มีการรับมรดกจากกันและกันท้ัง สองฝ่าย และไม่จาเปน็ ต้องคา้ งคนื ให้สิทธ์ิแก่สตรีดังกล่าว อีกท้ังไม่จาเป็นต้องเลี้ยงดูแต่อย่างใด (ซัยยิด อับดลุ เราะซู้ล อลั -มซู ะวยี ์,2000) นอกจากน้ีจากการสัมภาษณ์ นักวิชาการชีอะห์ ได้ข้อมูลว่า การแต่งงานมุตอะฮ์ทุกคนทราบดี ว่าเป็นที่อนุญาตในสมัยท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และสมัยอะบู บักร กระท่ังในสมัยอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ ได้ยกเลิกการแต่งงานมุตอะฮ์ ซ่ึงความจริงไม่มีใครมีสิทธ์ิจะยกเลิกหรืออนุญาตในบัญญัติ ศาสนาอิสลาม นอกจากอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)และท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) เทา่ น้นั ในทัศนะของชีอะห์เช่ือว่าบัญญัติการมุตอะฮ์ไม่ได้ถูกยกเลิกแต่อย่างใด สามารถกระทาได้จนวัน ส้ินโลก(กิยามะฮฺ) และการที่ชาวซุนนะฮฺบางคนเปรียบเทียบการมุตอะฮ์เหมือนการผิดประเวณี (ซีนา) ถือเป็นการละเมิดท่ีกล้ากล่าวร้ายส่ิงท่ีอนุญาต(หะล้าล)กลายเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม)เพราะความจริง การแต่งงานแบบมุตอะฮ์ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการแต่งงานปกตินอกจากจากัดเร่ืองเวลา เพราะการ แต่งงานมุตอะฮ์ต้องมีผู้ปกครอง สักขีพยาน สินสอด และถ้อยคาเหมือนกัน จึงห่างไกลมากจากการผิด ประเวณี(ซีนา)ตามที่ชาวซุนนะฮฺเข้าใจกัน อีกท้ังการมุตอะฮ์เป็นแค่ทางออกเพื่อป้องกันการผิดประเวณี (ซีนา)ไม่ได้บังคับหรือส่งเสริมให้ทุกคนต้องทาแต่อย่างใด”(ซัยยิด มุฮัมหมัด บาบีก้ีร และ มุฮัมหมัด บาบุ้ล อุลูม , สัมภาษณ์เม่ือ, 22-12-2560, ประเทศอินโดนีเซีย, ชี้คซัยนุดดีน ซัยน้อล, สัมภาษณ์เมื่อ, 26-12-2560,ประเทศไทย ชคี้ ดร. อะฮห์ มดั หุเซน , สัมภาษณ์เมือ่ , 7-01-2561 และ ดร.อับดุลฮาดี อับ ดลุ ฮาม้ีด ศอลหิ ,สัมภาษณเ์ ม่ือ, 7-01-2561 , ประเทศคเู วต) ในสว่ นของซุนนะฮฺหรือนกั วิชาการมุสลิมสว่ นใหญ่(ญุมฮู้ร)เหน็ วา่ การแต่งงานเพื่อสนองอารมณ์ ตามบัญญัติ ในคัมภีร์อัล-กุรอานได้วางกติกาและกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงไว้แค่สอง รปู แบบเท่านนั้ คอื 1) การแต่งงาน (นกิ าฮปฺ กต)ิ ทีค่ รอบคลุมไปถึงเร่อื งการหยา่ ร้าง การรับมรดกจากกัน และกัน การเลี้ยงดูอย่างครอบคลุม และการให้สิทธิ์ในยามค่าคืนแก่ภรรยา และ 2) การมีความสัมพันธ์ ระหวา่ งชายทเ่ี ป็นนายกบั หญิงท่ีเปน็ ทาสรับใช้ (ในสมัยน้ัน) ด่ังท่ีอลั ลอฮฺทรงกล่าว ความว่า “แท้จริงผู้ท่ีได้รับควำมสำเร็จน้ัน คือ...บรรดำผู้ท่ีรักษำ(ไว้ซ่ึงควำม บรสิ ทุ ธ์ิ)ทวำรของพวกเขำ เว้นแต่แก่บรรดำภรรยำของพวกเขำ หรือ(ทำส)ท่ีพวก เขำครอบครอง ในกรณีเช่นน้ันพวกเขำจะไม่ถูกตำหนิ ดังน้ันผู้ใดแสวงหำอื่น จำกนัน้ พวกเขำถอื เป็นผลู้ ะเมิด”(อัล-มมุ ีนูน ,23: 6 -7) จากโองการดังกล่าวนักวิชาการซุนนะฮฺเข้าใจว่าหญิงที่ถูกอนุญาตมีแค่สองประเภทเท่าน้ัน คือ ภรรยาที่ถูกต้องตามบทบัญญัติอิสลาม และหญิงท่ีเป็นทาสรับใช้ (ในสมัยนั้น) โดยไม่ปรากฏว่ามีหญิง แบบมุตอะฮ์แต่อยา่ งใด อย่างไรก็ตามในทัศนะของซุนนะฮฺ ได้มีความเห็นเก่ียวกับตัวบทหะดีษ มุตอะห์ ว่า “การ แต่งงานแบบมุตอะฮ์เคยเป็นสิ่งที่อนุญาตจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ในภาวะที่วิกฤต และคบั ขนั เช่น ในภาวการณส์ งคราม หากแตห่ ลงั จากน้ันท่านนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ก็ได้สั่ง ห้ามเมื่อไม่มเี หตุผลหรือความจาเป็นอย่างสิ้นเชงิ ดง่ั หะดีษทวี่ ่า
82 ความว่า “ โอ้มนุษย์ทั้งหลำย แท้จริงฉันได้เคยอนุญำตพวกท่ำนเก่ียวกับนิกำฮฺหรือ แต่งงำนมุตอะฮฺกับหญิงสำวได้ และแท้จริงอัลลอฮฺ(สุบหำนะฮู วะตะอำลำ)ได้ห้ำม และหะรอมมุตอะฮ์จนถึงวันสิ้นโลก(กียำมะฮ) ดังน้ันใครก็ตำมท่ียังมีพวกเธออยู่ใน ปกครองจงปล่อยเธอไปเสีย และจงอย่ำยึดเอำทุกส่ิงทุกอย่ำงทรัพย์สินท่ีพวกเจ้ำให้ เธอไปแล้ว”(อหิ ม่ามมสุ ลมิ ,เลขหะดษี ,1406 ) ดังน้ันการอนุญาตท่ีแท้จริงในสมัยท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)คือ การอนุญาต เฉพาะในภาวะคับขันช่ัวคราวเท่านั้น ซึ่งส่ิงนั้นเป็นการอนุโลมของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลมั )เพราะท่านคนเดียวเท่านั้นท่ีมีสิทธิในการอนุโลม เน่ืองจากความเป็นนบีของท่านจึงอนุญาตให้ ท่านอนุโลมได้ ส่วนคนอื่นๆที่นอกเหนือจากท่านนบีไม่มีสิทธิท่ีจะอนุญาตให้ผู้ใดทาอย่างนั้นได้ โดยเฉพาะหลังจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลมั )ไดห้ ้ามไปเรียบร้อยแล้วอย่างหะดิษที่กล่าวมา ข้างตน้ (สะอดี้ อิสมาอลี ,1989) กำรอำพรำงตวั (อัตตะกียะฮ)ฺ อตั ตะกยี ะฮฺ หมายถึง การซ้อนเรน้ การอาพรางตัวตนของตวั เอง ในประเด็นน้ีนักวิชาการชีอะห์ ไดก้ ลา่ ววา่ การอาพรางตัวนั้นเพ่ือการปกปอ้ งและรักษาความเชื่อของชีอะห์ นกั ปราชญ์ชีอะห์ ฏ้อบฏอบา อีย์ได้กล่าวว่า “แท้จริงแนวคิดอัตตะกียะฮฺ หรือการอาพรางตัวของชีอะห์ เดิมทีมาจากโองการ อัล-กุรอานทอ่ี ลั ลอฮ(ฺ สบุ หานะฮู วะตะอาลา)ไดต้ รัสวา่ ความว่า “ ผู้ศรัทธำท้ังหลำยนั้น จงอย่ำได้ยึดเอำบรรดำผู้ปฏิเสธศรัทธำเป็นมิตรอื่น จำกบรรดำมุมิน และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขำย่อมไม่อยู่ในส่ิงใดที่มำจำกอัลลอฮฺ(สุบ หำนะฮู วะตะอำลำ) นอกจำกพวกเจ้ำจะป้องกัน (ให้พ้นอันตรำย) จำกพวกเขำจริง ๆ เท่ำนั้น และอัลลอฮฺทรงเตือนพวกเจ้ำให้ยำเกรงพระองค์ และยังอัลลอฮฺน้ันคือ กำรกลับไป”( อาล-อมิ รอน,3:08) จากโองการดังกล่าวชีอะห์เช่ือว่าการป้องกัน (ให้พ้นอันตราย) คือ ที่มาของหลักการอัล-ตะกี ยะฮหฺ รอื อาพรางตวั ตามที่ชีอะหเ์ ช่อื และศรัทธา จากการสมั ภาษณเ์ พมิ่ เติมเกี่ยวกับประเดน็ ดังกล่าว นักวิชาการชีอะห์ให้ข้อมูลว่า “อัตตะกียะฮฺ คือ การซ่อนความศรทั ธา(อหิ ม่าน)และอิสลามไว้ในหวั ใจอย่างม่ันคง และแสดงท่าทางภายนอกที่ขัดแย้ง กันต่อหน้าผูไ้ ม่หวังดี ท้งั นี้เพือ่ ปกป้องอิหม่านและอิสลาม ซึ่งแตกตา่ งอยา่ งสิ้นเชิงกับการกลับกลอก(มุนา ฟิกฮ)ฺ หรือพวกหน้าไว้หลังหลอก เพราะมุนาฟิกฮฺ คือ ผู้ที่ซ่อนความเป็นผู้ปฏิเสธ(กาฟ้ิร)ไว้ในใจแต่แสดง ออกเป็นผู้ศรัทธา จึงไม่สมควรอย่างยิ่งท่ีชาวซุนนะฮฺบางกลุ่มจะกล่าวหาว่าชีอะห์มีลักษณะของผู้กลับ กลอก(มุนาฟิกฮฺ) และจากความเช่ือเร่ืองตะกียะฮฺ แท้จริงแล้วการอาพรางตัวเป็นเร่ืองปกติธรรมดาของ มนษุ ยท์ กุ คนท่ตี ้องการเอาตวั รอดจึงต้องอาพรางตวั ตนท่แี ทจ้ ริงบ้างโดยเฉพาะต่อหน้าผู้อธรรมท่ีไม่หวังดี หากพิจารณาประวัตศาสตร์ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ในช่วงแรกของการเผยแพร่ อิสลามท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เองก็อาพรางตัวเองในบ้านของอิบนุ อัรกอม อิบนุ อะ บีอรั กอม เพอื่ ความอย่รู อดของอิสลามในสมัยนั้น”(ดร.อับดุลฮาดี อับดุลฮาม้ีด ศอลิห, สัมภาษณ์เมื่อ 7- 01-2561,ประเทศคูเวต)
83 นอกจากน้ีอัตตะกียะฮฺยังมีตัวบทหลักฐานในโองการอัล-กุรอานที่ยอมรับการตะกียะฮฺหรืออา พรางตัวของ ท่าน อัมม้าร บิน ยาซิร ขณะท่ีอัมม้าร ต้องอาพรางตัวเน่ืองจากถูกกดดันและขู่ฆ่าโดยผู้ ปฏิเสธในขณะนั้น จนอัมม้ารต้องยอมปฏิบัติตามพวกเขาเพ่ือเอาชีวิตรอดทั้งๆที่ในใจของอัมม้ารเต็มไป ด้วยอิหม่าน (ความศรัทธา) กระทั่งบรรดาสาวกเข้าใจว่าอัมม้ารได้เปลี่ยนศาสนาไปแล้ว ทาให้อัมม้าร เสยี ใจและร้องใหพ้ รอ้ มกับเขา้ หาท่านนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม) ทันใดน้ันท่านนบีก็เช็ดน้าตาให้ อัมม้ารพลางกล่าวว่า “แท้จริงอิหม่ำน (ควำมศรัทธำ) ของอัมม้ำรน้ันท่วมตัวต้ังแต่หัวจรดเท้ำ” จากน้นั พระองค์ก็ได้ประทานโองการทว่ี า่ ความวา่ “ผู้ปฏิเสธศรัทธำ คือ ผู้ท่ีปฏิเสธต่ออัลลอฮฺหลังจำกท่ีเขำได้ศรัทธำแล้ว นอกจำกผู้ ทถี่ กู บงั คับขเู่ ขน็ แต่หวั ใจของเขำเปยี่ มล้นไปดว้ ยอิหมำ่ นหรือศรัทธำ”(อัล-นัฮล, 16 :106) จากโองการดังกล่าว นักวิชาการชีอะห์เห็นว่าการอาพรางตัวของอัมม้าร บิน ยาซิ้ร เป็นส่ิงที่ อนญุ าตใหก้ ระทาได้ในขณะน้ัน ทัง้ นี้เพอื่ ปกป้องชีวติ และความเช่ือของตนเพื่อผลประโยชน์ของศาสนาที่ ถูกต้องจะได้ดารงอยู่ต่อไป ดังนั้นการอนุโลมในโองการนี้ถือเป็นกรณีอนุโลมท่ีใช้ได้เฉพาะกับกาฟี้ร (ผู้ ปฏิเสธ) ในสถานการณ์ท่ีคับขันเท่าน้ัน เช่นเดียวกันกับโองการน้ีเป็นการอนุโลมในสถานการณ์ของอัม ม้ารเท่าน้ัน เนื่องจากเขาไม่มีสิทธ์ิเลือกนอกจากความตายกับการปฏิเสธศาสนาของนบีมุหัมมัด ดังน้ัน เขาจึงจาเป็นจะต้องปกป้องตัวเอง แต่ในใจของเขาเต็มเปร่ียมไปด้วยการศรัทธา ดังกล่าวน้ีเป็นลักษณะ เฉพาะท่ีถูกอนุโลมให้เป็นรายกรณีไม่สามารถที่จะเหมารวมได้ โดยเฉพาะการอาพรางตัวกับมุสลิม ด้วยกนั (อะบิล ฟิดาอฺ อลั -ฮาฟิส อิบนุ กะซ้รี ,1998 และช้ีคอุสมาน(นามสมมุติ) สัมภาษณ์เมื่อ, 11-01- 2561, ประเทศกาตาร์ และรุสดี หเุ ซน, สัมภาษณ์เมอื่ , 5-12-2560, ประเทศไทย) หากแตเ่ มื่อสมั ภาษณน์ ักวิชาการซุนนะฮฺกลบั ใหข้ ้อมลู อีกมุมหนึง่ ว่า อตั ตะกียะฮฺ คือ การกระทา หรอื การพูดท่ตี รงขา้ มกบั ความต้งั ใจ เชน่ การแสดงออกดว้ ยวธิ ีการนมุ่ นวลตอ่ หน้าผู้อ่ืนในขณะเดียวกันก็ สาปแชง่ อย่ใู นใจดังกล่าวนั้นคือการอาพรางตวั และแนวคิดการอาพรางตัวน้ันจะคงดาเนินอยู่จนกระทั่ง ความกดข่ีข่มเหงจะหมดไป ด่ังคากล่าว อิหม่าม โคมัยนี (2011) ได้กล่าวในหนังสือของเขาว่า “การอา พรางตวั น้นั เป็นการรักษาไวซ้ ึง่ ศาสนาอสิ ลามและแนวคิดของชีอะห์ และแท้จริงแนวคิดชีอะห์ท่ีมีอยู่ ทุกวนั นหี้ ากไม่มีการอาพรางตวั และปกปิดไวแ้ น่นอนแนวคดิ ชอี ะห์คงต้องหมดไป ดังน้ันการอาพราง ตัวจงึ ตอ้ งดาเนินอยตู่ อ่ ไป” นอกจากน้ี อัล–กูลัยนีย์ (2005) ได้กล่าวในหนังสืออุศู้ล อัล-กาฟีย์ของเขาว่า “แท้จริงเก้าใน สิบส่วนของศาสนานี้ทั้งหมดน้ันคือการอาพรางตัวหรืออัตตะกียะฮฺ และไม่มีศาสนาสาหรับผู้ท่ีไม่มี อัตตะกียะฮฺ และการอาพรางตัวน้ันต้องทาในทุกเรื่องนอกจากเร่ืองวายและการเช็ดบนรองเท้า ในขณะอาบน้าละหมาดเทา่ นนั้ ” จากคากล่าวข้างต้นทาให้นักวิชาการซุนนะฮฺหรือนักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นว่า หากพินิจ พจิ ารณาอายะฮฺอัล-กุรอาน เราจะเห็นได้ว่า การแสดงออกภายนอกที่ขัดแย้งกับภายในหรือเรียกว่าการ เสแสร้ง ดังกล่าวนั้นคือลักษณะของมูนาฟิกฮฺ (คือผู้กลับกลอก) และเป็นลักษณะที่พระองค์อัลลอฮฺ(สุบ หานะฮู วะตะอาลา)ทรงโกรธกร้วิ ดังท่ีโองการ ความวา่ “เมอ่ื พวกเขำไดพ้ บปะหรือพบเจอบรรดำผู้ศรัทธำพวกเขำก็กล่ำวว่ำ เรำก็ เป็นผู้ศรัทธำและอิหม่ำนเหมือนพวกท่ำน เมื่อพวกเขำลับหลังกลับไปยังพวกเขำ
84 เอง พวกเขำกล่ำวว่ำเรำอยู่กับพวกท่ำน เรำแค่หลอกลวงพวกเขำหรือล้อเลียน พวกเขำแค่นัน้ เอง”(อลั -บากอเราะ,2:16) อีกหลายโองการในคัมภีร์อัล-กุรอาน รวมท้ังหะดีษของท่านนบีมากมายท่ีตาหนิบรรดาผู้กลับ กลอกท่ีคุ้นเคยกันซ่ึงไม่จาเป็นต้องนาเสนอเน่ืองจากความหมายอัตตะกียะฮฺระหว่างซุนนะฮฺกับชีอะห์ แตกต่างและขัดแย้งกันตั้งแต่ต้น กล่าวคือ ชีอะห์พยายามบอกว่าอัตตะกียะฮฺ คือ การซ่อนอิหม่านหรือ ศรทั ธาในใจแตแ่ สดงออกมาขดั แย้งกนั ในขณะทช่ี าวซุนนะฮฺนิยามอัตตะกียะฮฺว่า ซ่อนความเกลียดชังไว้ ในใจแต่แสดงออกว่าเปน็ มิตรกนั อย่างไรก็ตามการกระทาทกุ อยา่ งอยูท่ ่เี จตนาของแตล่ ะบคุ คล หากเจตนาเพ่ือป้องกันตนเองการ อาพรางตวั ดงั กลา่ วก็ไมไ่ ด้ผดิ แต่ประการใด หากเจตนาหลอกลวงแต่ในใจเกลียดชังหรือโกรธแค้นการอา พรางตัวดังกล่าวก็ตามที่ตนคิด โดยเฉพาะการกล่าวเท็จและโกหกต่อมุสลิมด้วยกันเป็นส่ิงที่ไม่ควร กระทาและเป็นส่ิงต้องห้ามในหลักการอิสลามอย่างชัดเจน เพราะการกล่าวเท็จและพูดโกหก คือ ลักษณะของผูก้ ลบั กลอก(มุนาฟกิ ) และมุนาฟกิ ก็ คอื ผู้ทีอ่ ัลลอฮฺทรงโกรธกรว้ิ ท่ีมสุ ลิมทกุ คนควรระวงั อะหล์ ลุ้ บยั ตฺ(ครอบครวั ท่ำนนบ)ี เกี่ยวกับอะห์ลุ้ลบัยตฺหรือครอบครัวของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) สาหรับชีอะห์ ให้ความสาคัญกับอะห์ลุ้ลบัยตฺเป็นพิเศษ หากแต่จากการวิเคราะห์สายตระกูลอะฮ์ลุ้ลบัยตของชีอะห์ พบว่า เป็นลูกหลานของลูกสาวคนเล็กของท่านบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เท่านั้น คือ ท่านหญิง ฟาฏิมะฮฺ (รอฏียัลลอฮุ อันฮา) และสามีของเธอ คือท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) และ ลกู ทั้ง 0 คน คอื หะซันและหุเซน บนิ อะลี บิน อะบฏี อลบิ และลูกหลานอีก 5 คนจากสายตระกูลของหุ เซน บิน อะลี ที่มีภรรยาเป็นชาวเปอร์เซีย และบุคคลเหล่าน้ันคืออิหม่ามของพวกเขาทั้ง 12 ท่าน ด่ังท่ี กลา่ วมาแล้วข้างตน้ ซึ่งพวกเขามคี ุณลักษณะพิเศษในทศั นะของชีอะห์ และพวกเขาท้ังหมดถูกบัญญัตใน หะดษี ของท่านนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลมั ) เชน่ ความว่า “ฉันคือหัวหน้ำของบรรดำนบีทั้งหมด และอะลี บิน อะบีฏอลิบ หัวหน้ำ บรรดำผู้ท่ีถูกส่ังเสียไว้ทุกคน แท้จริงคำสั่งเสียของฉันหลังจำกฉันท้ังหมดสิบสองคน คนแรกคืออะลี บิน อะบีฏอลิบ และคนสุดท้ำยคือ อัล-มะฮ์ดีย์”(อ้างถึงใน อับดุลฮาดี อบั ดลุ ฮาม้ีด ศอลิห, 2003) นอกจากนอ้ี ีกหะดีษท่ที า่ นนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลมั )กล่าววา่ ความวา่ “ตัวฉันเอง อะลี หะซัน และหุเซน และอีกเก้ำคนจำกลูกหลำนหุเซน คือผู้ที่ ใสสะอำด และบริสุทธิ์จำกบำปท้ังมวล”(อ้างถึงใน อับดุลฮาดี อับดุลฮาม้ีด ศอลิห ,2003 ) อกี มากมายหลายหะดษี ทป่ี รากฏในหนังสือตาราของชีอะห์ หากแต่หะดีษเหล่านี้นักวิชาการซุน นะฮฺเห็นว่าเป็นหะดีษท่ีไม่ถูกต้อง เพราะสายรายงานส่วนใหญ่มาจากชีอะห์ ในขณะที่ชาวซุนนะฮฺหรือ
85 นักวิชาการส่วนใหญ่ยอมรับตัวบทหะดีษจากบุคอรีย์และมุสลิม หรือหนังสือท้ังเก้า32 หากไม่ปรากฏใน หนังสือทั้งเก้าดังกล่าวถือว่าหะดีษดังกล่าวมีปัญหา อาจเป็นหะดีษที่กุข้ึนมาแล้วบอกว่าเป็นคาพูดของ ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ท่ีเรียกว่าหะดีษเมาฏู้อฺ (คือหะดีษโกหก) หรือไม่ก็หะดีษอ่อน เช่ือถือไม่ได้ (หะดีษฏออี้ฟ) เป็นต้น จึงไม่สงสัยว่าเหตุใดความเช่ือขอลชีอะห์และซุนนะฮฺจึงเห็นต่างกัน อย่างสิ้นเชิง คาตอบคือ เพราะตาราคนละเล่ม ซุนนะฮฺอ้างอิงเฉพาะหนังสือและตาราของซุนนะฮฺ ส่วน ชีอะห์กอ็ ้างอิงหลักฐานจากตาราของชอี ะห์เท่าน้ันจึงยากทีจ่ ะยอมรบั กันได้ อย่างไรก็ตามในทัศนะของซุนนะฮฺได้นิยามคาว่าอะห์ลุ้ลบัยตฺที่ต่างจากชีอะห์ กล่าวคือ อะห์ ลุ้ลบัยตฺในทัศนะของซุนนะฮฺ คือ ทุกคนท่ีเป็นเครือญาติของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ซึ่ง หมายถึง ผู้ท่ีไม่สามารถรับบริจาค(ศอดาเกาะห์)ได้ ครอบคลุมไปถึงท่านนบีเอง ครอบครัวของท่านนบี ครอบครัวของญะฟัร ครอบครัวของอาก้ีล ครอบครัวของอับบ้าส เป็นต้น เช่นเด่ียวกันนั้นชาวซุนนะฮฺ เห็นว่าบรรดาภรรยาของท่านนบี(อุมมุ้ลมุมินีน)ทุกคนก็คืออะห์ลุ้ลบัยต ท้ังน้ีด้วยตัวบทหลักฐานจาก คัมภีร์อัล-กุรอานท่ีพระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ได้กล่าวถึงบรรดาภรรยาของท่านนบี (ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ดงั โองการ ِإ َّن َما ي ِريد اََّلل ِليذ ِه َب َعنكم ال ِرج َس َأه َل ال َبي ِت َوي َط ِه َركم َتط ِهيرا ความว่า “แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺเพียงแต่ต้องกำรท่ีจะขจัดควำมสกปรกกออกไป จำกพวกเจำ้ โอ้สมำชิกครอบครัว(ของนบี)ทั้งหลำย และพระองค์ทรง(ประสงค์)ที่จะ ขัดเกลำพวกเจำ้ ใหส้ ะอำดบรสิ ุทธ์ิ”(อลั -อะฮซ์ าบ ,33 :33) จากโองการข้างต้นคาว่า()أهل البيتคือสมาชิกในครอบครัวของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม)ทง้ั หลาย ในโองการนี้หมายถึงบรรดาภริยาของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ทุกคน ในฐานะที่ทง้ั หมดคอื มารดาของผูศ้ รัทธา(อุมมุล้ มุมินีน) นอกจากน้ีในทัศนะของกลุ่มซุนนะฮฺหรือนักวิชาการส่วนใหญ่ต่างก็เห็นว่า แท้จริงอะห์ลุ้ลบัยตฺ คอื ผู้ท่ีมสี ถานะอันสงู ส่งที่มสุ ลิมต้องให้เกียรติ เช่น หะดีษทีร่ ายงานโดยอิหม่ามมุสลิม จาก อะบี อัรก็อม บนิ อะบี อรั กอ็ ม กลา่ ววา่ “ในขณะทที่ า่ นนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม)ไดส้ ั่งเสียให้บรรดาผู้ศรัทธา ยึดม่นั ในคมั ภรี ์ อัล-กรุ อาน และซุนนะฮฺของท่าน หลังจากนั้นท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้ กล่าวแก่บรรดาศอหาบะฮว่า “ และอะห์ลุ้ลบัยตฺ ครอบครัวของฉัน ฉันขอย้ำเตือนพวกเจ้ำต่ออะห์ ลลุ้ บัยตฺ ครอบครัวของฉนั (ท่านนบไี ดย้ า้ ถึงสามครง้ั )” ในทัศนะของอะฮลฺ ิส-ซนุ นะฮฺ เห็นว่า ดังกล่าวน้ีคือการเน้นย้าของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่ออะห์ลุ้ลบัยตฺ และถือเป็นมารยาทที่ควรทาอย่างยิ่งท่ีมุสลิมทุกคนต้องรัก และให้เกยี รตติ ่อครอบครัวของท่านนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม) ตลอดจนบรรดามุสลิมท่ัวไป การ เน้นย้าดั่งคากล่าวข้างต้นในทัศนะของนักวิชาการซุนนะฮฺ คือการเน้นย้าแก่บรรดามุสลิมทุกคนจงให้ เกียรตแิ ก่อะห์ลุ้ลบัยตฺ(สะอ้ีด อสิ มาอีล,1989) 32 หนังสือทัง้ เก้า หมายถงึ หนังสือหะดีษของนักปราชญห์ ะดีษ 9 ทา่ นคอื ศอเฮีย้ ะ อัล-บคุ อรีย์ ศอเฮ้ียะ มุสลิม ซุนันอะบี ดาวู้ด ซนุ ันอัล-นาซาอยี ์ ซนุ ันอัล-ติรมีซีย์ ซนุ นั อิบนุ มาญะฮ์ มวุ ัฏฏอ้ อฺ อิหม่ามมาลกิ มสุ นดั อิหมา่ ม อะฮ์หมัด และ มุสนัด อัล-ดารีมีย์
86 นอกจากน้ันในทัศนะของกลุ่มซุนนะฮฺ เห็นว่า มุสลิมทุกคนต้องไม่ลืมหรือทาเป็นไม่รู้จักกับ บรรดาลูกหลานคนอ่ืนๆของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)และเครือญาติของท่านคนอ่ืนๆ เพราะอะห์ลุ้ลบัยตฺท่ีท่านนบีหมายถึงไม่ได้เจาะจงเฉพาะท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ และท่านอะลี บิน อะ บีฏอลิบ เพียงเท่านั้น หากแต่ท่านอุษมาน บินอัฟฟาน ก็แต่งงานกับบุตรสาวของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ตั้งสองคน และสิ่งที่น่าแปลกย่ิง คือลูกหลานและทายาทของหะซัน บิน อะบีฏอลิบ ไม่ได้พูดถึงเลย แตก่ ลับให้ความสาคญั เฉพาะทายาทของหุเซน บิน อะบีฏอลิบ เท่าน้ัน (อิฮซาน อีลาฮีย์ ศอฮ้ีร ,1995 และ ช้คี หะซัน (นามสมมตุ )ิ จากประเทศอินโดนเี ซยี สมั ภาษณ์เมื่อ, 21-12-2560 และ ช้ีค อสุ มาน(นามสมมุต)ิ จากประเทศกาตาร์ สมั ภาษณเ์ ม่อื , 11-01-2561) เหตกุ ำรณ์ฆอดร้ิ คุม( )غدير خم เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันท่ีท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้กล่าวคุฎบะฮฺ ณ สถานที่ แห่งหนึ่ง ชื่อว่า “ฆอดิ้ร คุม” นกั วชิ าการชีอะห์ ไดก้ ลา่ วว่า แท้จริงหลกั ฐานท่ีชัดเจนเก่ียวกับสิทธิของอะ ลี บิน บิน อะบีฏอลิบ เกี่ยวกับการเป็นอิหม่ามหรือผู้นาสูงสุด คือหลักฐานจากนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม)ในเหตุการณ์ ฆอดิ้ร คุม พวกเขาได้ระบุไว้ว่า แท้จริงบรรดาอัครสาวก(ศอหาบะฮฺ)ของท่านนบี ท่ีร่วมฟังคุฏบะฮในเหตุการณ์ ฆอด้ิร คุม มากกว่า 122,222 คน (หน่ึงแสนคน) ขณะที่ท่านนบีเดินทาง กลบั จากการทาฮัจญ์คร้ังสุดท้ายในวันที่ 10 เดือนซุลฮิจญะฮฺ ( ซัยยิด อับดุลเราะซู้ล อัล-มูซะวีย์,2000) และสาเหตุของการคุฏบะฮในวันน้ันเน่ืองจากอัล-กุรอานถูกประทานมาในสถานท่ีแห่งนี้คือโองการที่ พระองคท์ รงกลา่ วว่า ความว่า “โอ้ร่อซูลเอ๋ย เจ้ำจงประกำศสิ่งที่ถูกประทำนลงมำแก่เจ้ำ และถ้ำเจ้ำมิได้ ปฏิบตั ิเจำ้ ก็มิได้ประกำศสำรของพระองค์ และอัลลอฮฺนั้นจะทรงคุ้มกันเจ้ำให้พ้นจำก มนษุ ย์ แทจ้ รงิ อลั ลอฮฺจะไม่ทรงแนะนำพวกทปี่ ฏเิ สธศรทั ธำ ”(อลั -มาอีดะฮ,5:57) เมอ่ื โองการดังกล่าวถูกประทานมา ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้ประกาศว่า ท่าน ได้ฝากไว้แก่มุสลิม 2 ประการที่สาคัญ คือ 1 อัล-กุรอาน คัมภีร์ของอัลลอฮฺ และ 2 คือครอบครัวของ ทา่ นนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั ) และพระเจา้ ไดย้ า้ อีกว่า 2 ประการนี้จะไม่แยกจากกันจนกระทั่ง วันสุดท้ายของโลก หลังจากน้ันท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ก็ได้จับมือของท่านอะลี บิน อะ บีฏอลิบ (รอฏิยัลลอฮู อันฮุ) พร้อมกับยืนข้ึนแล้วท่านก็ได้กล่าวว่า“ ใครก็ตำมที่ต้องกำรผู้นำ อะลีคือ ผนู้ ำของเขำ”(ญะฟัรอัล-ซุบฮานี,2000) ต่อมาทา่ นนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้กล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์จงรักใคร่ผู้ท่ี รักอะลี และขอพระองค์จงเป็นศัตรูกับผู้ท่ีเป็นศัตรูกับอะลี” ต่อมาท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ก็ไดก้ ลา่ วอีกว่า “โอ้อัลลอฮจฺ งให้เขำ(คืออะลี บิน อะบีฏอลิบ) อยู่บนควำมถูกต้องไม่ว่ำเขำ จะทำอะไรก็ตำม” (ญะฟัรอัล-ซุบฮานี,2000) และทั้งหมดน้ีเป็นความเห็นของนักวิชาการชีอะห์ต่อ เหตกุ ารณ์ ฆอดิร้ คมุ ในขณะท่ีนักวิชาการซุนนะฮฺและนักวิชาการมุสลิมส่วนใหญ่ (ญุมฮู้ร) ให้ความเห็นและอธิบาย ประเด็นฆอด้ิร คุม ว่า “ความเข้าใจของชีอะห์ข้างต้นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง และข้างต้นนั้นเป็น หลักฐานที่ไม่ถูกต้องและไม่น่าเชื่อถือ และหากเป็นจริงอย่างที่ชีอะห์เข้าใจ บรรดาอัครสาวก (ศอ
87 หาบะฮฺ) แสนกว่าคนท่ีร่วมฟังคุฏบะฮฺในวันนั้น เหตุใดพวกเขาต้องขัดแย้งและไม่เช่ือฟังต่อคาส่ังของ ท่านนบี ซึ่งความจริงแล้วคุฏบะฮฺที่ฆอด้ิร คุม เกิดข้ึนในวันท่ี 18 เดือน ซุลฮิจญะฮ เป็นปีที่ท่านนบี (ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลมั ) ทาฮจั ญค์ รัง้ สุดท้าย และในเวลาเดยี วกันก็ถูกประทานโองการที่พระองค์ ทรงยอมรับความสมบรู ณ์ของศาสนาอสิ ลาม ด่งั โองการ ความว่า “วันนี้ข้ำได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้ำแล้ว ซึ่งศำสนำของพวกเจ้ำและข้ำ ได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้ำแล้ว ซึ่งควำมกรุณำเมตตำของข้ำ และข้ำได้เลือก อสิ ลำมใหเ้ ปน็ ศำสนำแกพ่ วกเจ้ำแล้ว” ( อลั -มาอีดะฮ ,5: 3) โองการดงั กลา่ วน้ีถูกประทานในวันท่ี 5 ซุลฮจิ ยะฮฺ ซง่ึ เปน็ วนั อะรอฟะฮฺ และหากพิจารณาอย่าง รถอูกบปครอะบทแาลนะมเาปกน็ ่อธนรโรอมงโกอางรกทาี่สรั่งนใ้ีพหร้ทะ่าอนงคนอ์บลั ีเผลยอฮแฺไพดร้ท่ศรางสรนบั าร(อكงَ คرِبวَ าنมمสِ ม َكบيรู َلณ์ل ِإขَ ِزอنงأศماาَ สغนبِلาَ อิلสوลسาرมَّ الแاต่يَهกُّ َأลัاบ) َي อย่างที่ชีอะห์ได้กล่าวมา จึงเป็นไปไม่ได้ท่ีจะรับรองความสมบูรณ์ของศาสนาก่อนแล้วบัญชาให้ท่านนบี เผยแพร่ศาสนา(สะอ้ีด อิสมาอีล,1989)เพราะความสมบูรณ์ของศาสนาอิสลามย่อมเกิดข้ึนหลังจากท่ีได้ ผ่านการเผยแพรศ่ าสนามาแลว้ และเป็นที่ยอมรับจากผู้คนเปน็ จานวนมากแลว้ ดังนั้นในทัศนะของกลุ่มซุนนะฮฺและนักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า “โองการท่ีบัญชาให้ท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เผยแพร่ศาสนานั้น ถูกประทานมาก่อนวันท่ีทาฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และ กอ่ นเหตุการณ์พิชิตเมืองมักกะฮและก่อนสงครามฆ็อยบัรด้วยซ้าไป นอกจากนี้ ชัยคุล อิสลาม อิบนุ ตัย มยี ะฮฺ (2008)กลา่ ววา่ “แทจ้ รงิ บทคฏุ บะฮท่รี ำยงำนมำจำกชีอะหเ์ ปน็ คุฏบะฮที่โกหกและกขุ ึ้นมำ” ส่วนหะดีษที่เก่ียวกับคาส่ังเสียของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) 2 ประการสาคัญที่ รายงานโดย ช้ีด บิน อัรก็อม ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้คุฏบะฮยังสถานที่หนึ่งที่เรียกว่า คอมมาส อยู่ระหว่างมักกะฮและมะดีนะฮฺ ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้สรรเสริญ ตอ่ อลั อฮและได้ตักเตอื นพวกเขาว่า “โอ้พ่ีน้องทั้งหลำย แท้จริงฉันเป็นมนุษย์ธรรมดำคนหนึ่ง เพียงแต่ฉันได้รับวะฮฺยูให้ เปน็ รอซูลหรือศำสนทูตของพระองค์และฉันก็ตอบรับ ดังนั้นฉันขอฝำกไว้แก่พวกท่ำน สองประกำรท่ีสำคัญ คืออัล-กุรอำน คัมภีร์ของอัลลอฮฺที่เป็นทำงนำและรัศมี ดังน้ัน พวกเจ้ำจงยดึ ถอื และปฏิบัติตำมคัมภีร์ของพระองค์” และท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม) กไ็ ด้เนน้ ย้าใหพ้ วกเขายึดมั่นตอ่ คัมภีร์ และหลังจากนั้นท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะซัลลัม) ก็กล่าวว่า “ และครอบครัวของฉัน ฉันขอเตือนพวกเจ้ำถึงครอบครัว ของฉัน ฉันขอเตือนพวกเจ้ำถึงครอบครัวของฉัน ฉันขอเตือนพวกเจ้ำถึงครอบครัว ของฉัน “ (อหิ ม่ามมสุ ลิม เลขหะดษี , 2408) เก่ียวกบั ครอบครวั ของท่านนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลมั )ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วว่า ครอบครัว ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ไม่ได้เจาะจงหรือกาหนดไว้เฉพาะท่านอะลีและลูกหลาน ของอะลีเพียงเท่านั้น หากแต่รวมไปถึงครอบครัวอะกี้ล ครอบครัวญะฟัร และครอบครัวอับบ้าส ตลอดจนบรรดาภรรยาของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ทุกคน ที่ถือว่าเป็นมารดาของผู้ ศรทั ธาทกุ คน(สะอ้ีด อสิ มาอีล,1989)
88 นอกจากน้ันเม่ือดูตัวบทหะดีษข้างต้น ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ไม่ได้สั่งให้ยึดถือ และปฏบิ ตั ิตามครอบครวั ของทา่ นแต่อยา่ งใด และทา่ นนบีไมไ่ ด้บอกวา่ ครอบครัวของท่านคือทางนาหรือ แสงสวา่ งแกม่ ุสลิมเช่นกนั แค่เป็นคาตักเตอื นให้พวกเขารู้ถึงเกยี รติของครอบครบั ท่านนบีเพียงแค่น้ัน อีกท้ัง ชัยคุล อิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ (2008) ได้อธิบายคากล่าวของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะซัลลัม)ที่ว่า “ใครที่ต้องกำรมีผู้นำ อะลีนั้นสมควรที่จะเป็นผู้นำ” นักรายงานหะดีษหลายท่าน ใหข้ อ้ สังเกตวา่ ตวั บทหะดษี นไ้ี ม่มีในสายรายงานจากอิหม่ามบุคคอรีย์และมุสลิม จึงไม่สามารถเช่ือได้ว่า เป็นหะดีษท่ถี กู ต้อง หากแตม่ หี ะดีษทรี่ ายงานโดยบุคอรีย์และมุสลิมหลายครั้งที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะซัลลัม) เคยเสนอการเป็นผู้นา(คอลีฟะฮฺ)ให้อะบูบักร อัศ-ศิกด้ีก หรือ อุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ ไม่ว่า จะทางตรงหรอื ทางออ้ ม เช่นเดียวกันหะดีษที่กล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺจงรักคนท่ีรักอะลีและจงเป็นศัตรูกับคนที่เป็นศัตรู กบั อะลี” หะดีษน้ีนักวิชาการหะดีษได้กล่าวว่าเป็นหะดีษที่ถูกกุข้ึนมาหรือหะดีษโกหก เช่นเดียวกันน้ัน กับคากล่าวของท่านนบีที่กล่าวว่า “ขอพระองค์อัลลอฮฺจงให้อะลีอยู่บนควำมถูกต้องไม่ว่ำอะลีจะทำ อะไรก็ตำม”ชยั คุล อสิ ลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ (2008) ไดย้ ืนยันว่าท้ังหมดเป็นหะดีษปลอมท่กี ุขึน้ มา บรรดำอคั รสำวก(ศอหำบะฮฺ)ของทำ่ นนบี นักวิชาการชีอะห์ได้กล่าวถึงหลักศรัทธาของชีอะห์ต่อบรรดาสาวก(ศอหาบะฮฺ)ของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลมั ) วา่ บรรดาศอหาบะฮฺก็เหมอื นกับคนท่ัวไป มีท้ังคนดีและคนช่ัว มีทั้งคน ที่ยาเกรงต่ออัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)และคนท่ีทาบาป(ฟาซิก)หรือคนชั่ว มีท้ังคนท่ียุติธรรมและ คนท่ีอยุติธรรม และในบรรดาศอหาบะฮฺก็ยังมีคนที่กลับกลอก (มุนาฟิก) ดังน้ันคาพูดหรือข้อตัดสินใดๆ ของบรรดาศอหาบะฮฺไม่ใช่หลักฐานทางศาสนาแต่อย่างใด(ซัยยิด อับดุลเราะซู้ล อัล-มูซะวีย์,2000 , ซยั ยิด มฮู ัมหมดั บาบีก้ีร และ มูฮัมหมัด บาบ้ลุ อุลูม, สัมภาษณ์เมือ่ , 22-12-2560, ประเทศอินโดนีเซยี ) ดังกล่าวน้ันสอดคล้องกับข้อมูลจากการสัมภาษณ์ อับดุลฮาดี ศอลิห (สัมภาษณ์เมื่อ, 7-01- 2561,ประเทศคูเวต) ท่านบอกวา่ “พวกเราชาวชอี ะห์ใหเ้ กียรตแิ ละนบั ถือบรรดาผู้ศรัทธาท่ีทรงคุณธรรม ทกุ คนท่ีเปน็ สาวก(ศอหาบะฮฺ)ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) หากแต่บรรดาสาวกของท่าน มีหลายระดบั บางท่านเป็นผู้ศรัทธามั่น ผู้ทรงคุณธรรม และบางท่านก็ไร้คุณธรรม กระทั่งในอัล-กุรอ่าน ที่ประทานมาในยุคของบรรดาศอหาบะฮฺ กไ็ ด้กล่างถงึ ความต่างกันระหว่างพวกเขาอย่างชัดเจน ในอัล-กุ รอานไดย้ กย่องผู้ศรทั ธามน่ั ในยุคนั้น และในบางโองการก็กล่าวถึงผู้มีหัวใจท่ีกลับกลอก(มุนาฟิก) ในบาง โองการก็ตาหนิพวกเขาท่ีไร้มารยาท เป็นต้น ดังน้ันมุสลิมจึงต้องศึกษาก่อนว่าใครในหมู่พวกเขาที่ม่ันคง และธารงอยู่ในศาสนาและใครที่ไม่ได้ธารงอยู่ในศาสนา โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลยั ฮิ วะซัลลัม) เสยี ชวี ติ มบี รรดาศอหาบะฮฺบางกลมุ่ ทีเ่ ปล่ยี นศาสนา(มุ้รตัด)ไม่ย่อมจ่ายซะกาต จนทาให้ ทา่ นอะบู บักร อลั -ศีดดีก้ ต้องทาสงครามกบั พวกเขา ดังกล่าวนั้นเป็นตัวอยา่ งของความแตกต่างระหว่าง บรรดาศอหาบะฮฺ ที่มุสลิมจะเช่อื วา่ พวกเขาทุกคนเปน็ ผทู้ รงธรรมทั้งหมดคงไมถ่ ูกต้อง” หากแต่เมื่อศึกษาเอกสารของชีอะห์พบว่า ในตาราชีอะห์บางส่วนได้กล่าวถึงบรรดาศอหาบะฮฺ ด้วยการการด่าทอ สาปแช่งและใส่ร้าย ว่าพวกเขาเป็นพวกนอกรีตหรือตกศาสนา เช่น ในหนังสืออัล–กู ลัยนีย์ (2005)ได้บันทึกใน “อัล-กาฟีย์” ว่า มีรายงานจาก ญะอฺฟัร อะลัยฮิสสลาม กล่าวว่า“ผู้คนหลัง กำรเสียชีวิตของท่ำนนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลลัม)ล้วนตกศำสนำ(มุรตัด)ยกเว้นสำมคน
89 เท่ำน้นั ฉันถำมเขำวำ่ สำมคนนัน้ คอื ใคร? ญะอฺฟัรตอบว่ำ เขำคือ อัล-มิกดำด บิน อัล-อัสวัด,อบู ซัร อัล-ฆิฟำรีย์ และสลั มำน อัล-ฟำรซิ ยี ์” อัล-มัจญ์ลิซีย์ (อ้างถึงใน อับดุลลอฮ บิน มุหัมมัด อัส สะละฟีย์ ,2009) ได้บันทึกในหนังสือ บิหารฺ อลั -อนั วารฺว่า “บ่ำวของท่ำนอะลี บิน หุเซน ได้กล่ำวแก่ท่ำนว่ำ กำรรับใช้ท่ำนคือภำระหน้ำท่ี ของฉัน ดงั น้ันทำ่ นจะบอกฉันเกี่ยวกบั ผู้ชำยสองคน คือ อบู บักรและอุมัร ได้ไหม? ท่ำนอะลี ตอบว่ำ ทัง้ สองเป็นกำฟิร ผใู้ ดทีร่ ักคนท้ังสองกย็ ่อมต้องเปน็ กำฟริ ด้วย”และเขำยังกล่ำวอีกว่ำ “อบูบักร,อุมัร, อุษมำนและมุอำวิยะฮฺ ลว้ นเป็นชำวนรก” อลั -มรั อาซี (อา้ งถงึ ใน อับดุลลอฮ บิน มุหัมมัด อัส สะละฟีย์ , 2009) ปราชญ์ชีอะห์ได้กล่าวใน หนังสือของเขา อิห์กอก อัล-หัก ว่า “พรอันประเสริฐและควำมสันติสุขจำกอัลลอฮฺจงมีแด่ท่ำนนบี มุหัมมดั และวงศ์วำนของทำ่ น และกำรสำปแช่งจงมีแดส่ องเจว็ดแห่งเผ่ำกุร็อยช์ผู้เป็นพ่อมดและมำร รำ้ ยและบตุ รสำวของเขำทงั้ สอง” สองเจว็ดท่ีพวกชีอะห์หมายถึงคือ อบู บักรและอุมัร บุตรสาวทั้งสอง คอื อาอิชะฮฺ และหฟั เศาะฮ (รอฏยิ ัลลอฮอุ ันฮุม)” คาด่าทอท่ีกล่าวมาถือเป็นปัญหาใหญ่ และในทัศนะของกลุ่มซุนนะฮฺ ถือว่าผู้ที่ด่าทอศอหาบะฮฺ ว่าตกศาสนา(มุรตัด)พวกเขาควรตกศาสนาก่อนด้วยซ้าไป หากแต่ในประเด็นน้ีผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ นักวิชาการชีอะห์ว่าการด่าทอศอหาบะฮฺมาจากใครที่ใหน ชี้คซัยนุดดีน และ มนัส เกียรติธารัย (สัมภาษณ์เม่ือ, 26-12-2560 ,ประเทศไทย) ได้ให้คาตอบคล้ายกันว่า “การด่าทอศอหาบะฮฺเป็นความ ก้าวร้าวของชีอะห์บางกลมุ่ หรอื เป็นพฤติกรรมส่วนตัวของบุคคลนั้นๆ ซ่ึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเช่ือของ ชีอะห์แต่อย่างใด ท่านอะลี ยังส่ังไม่ให้ชีอะห์ท่ีสนับสนุนท่านด่าทอกลุ่มของมุอาวียะฮฺ ทั้งๆท่ีมุอาวียะฮฺ ส่ังให้ด่าทออะลี แม้กระท่ังในคุฏบะฮฺวันศุกร์ และอาจเป็นไปได้ท่ีเม่ือใครมาด่าผู้ท่ีตนเองรักและเคารพ นบั ถือ พวกเขากด็ ่าตอบบ้าง เพราะการด่าทอกนั สาปแช่งกันไม่ได้มาจากฝ่ายเดียว และความจริงชาวซุน นะฮกฺ ็ด่าชอี ะห์แบบเสียๆหายๆเช่นกนั ” อย่างไรก็ตาม หากศึกษาความเชื่อของกลุ่มซุนะฮฺหรือนักวิชาการส่วนใหญ่เก่ียวกับอัครสาวก หรือศอหาบะฮขฺ องทา่ นนบี พบวา่ อะฮลฺ ิส-ซุนนะฮฺเชอ่ื ว่าบรรดาศอหาบะฮฺท้ังหมดเป็นผู้ท่ีทรงธรรม ไม่มี ศอหาบะฮฺคนไหนที่ตั้งใจกล่าวเท็จและทรยศต่อท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) นอกจากมุนา ฟิกที่ชัดเจน ซึ่งท่านนบีก็ทราบว่าพวกเขาเป็นมุนาฟิก(ผู้กลับกลอก)และผู้คนเหล่าน้ีแม้จะใช้ชีวิตอยู่ พร้อมกับท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) แต่พวกเขาไม่ถือว่าเป็นศอหาบะฮฺ เพราะนิยามคาว่า ศอหาบะฮฺของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) คือ ผู้ท่ีใช้ชีวิตพร้อมกับท่านนบี และศรัทธามั่น ตอ่ ทา่ นนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) จนเสียชีวิต ดังนั้นผู้ที่กลับกลอกหรือเปล่ียนศาสนาก่อนตาย ไมถ่ อื ว่าเป็นศอหาบะฮฺของทา่ นนบตี ้งั แต่ตน้ ดงั นน้ั เม่ือพดู ถึงบรรดาศอหาบะฮฺของท่านนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลัม) คือ ผู้ที่ธารงอยู่ใน ศาสนาอิสลามจนวาระสุดท้าย และบุคคลเหล่าน้ันคือผู้ที่พระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ได้ยก ย่องและชมเชยพวกเขาในอลั -กรุ อานหลายครั้งด้วยกนั เช่น ในสเู ราะห์อลั -อิมรอน ความว่า “พวกเจ้ำนั้น(คือท่ำนนบีและบรรดำศอหำบะฮฺทุกคน)เป็นประชำชำติท่ีดี เลศิ ยง่ิ ทถี่ กู ใหอ้ ุบตั ิขนึ้ มำสำหรบั มนษุ ย์ชำติทั้งมวล” ( อัล-อมิ รอน ,3 : 112)
90 ในสูเราะห์อัต-เตาบะฮ พระองค์ทรงกลา่ วว่า ความว่า “บรรดำบรรพชนร่นุ แรกในหมู่ผู้อพยพ(ชำวมุฮำญิรีนจำกมักกะฮ์) และในหมู่ ผู้ให้ควำมช่วยเหลือ(ชำวอันศัอรจำกมะดีนะฮฺ) และบรรดำผู้ดำเนินตำมพวกเขำด้วย กำรทำดีน้นั อลั ลอฮ(ฺ สุบหำนะฮู วะตะอำลำ)ทรงพอพระทัยในพวกเขำ และพวกเขำก็ พอใจในพระองค์ และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขำแล้ว ซ่ึงสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำ หลำยสำยไหลผ่ำนอยู่เบื้องล่ำงพวกเขำจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกำลนั่นคือชัยชนะอัน ใหญ่หลวง (อัต-เตาบะฮ,9: 122) นอกจากน้ีในสูเราะห์อลั -ฟัตฮ พระองคท์ รงกล่าวว่า ความว่า “โดยแน่นอนอัลลอฮฺ(สุบหำนะฮู วะตะอำลำ)ทรงโปรดปรำนต่อบรรดำผู้ ศรัทธำขณะท่ีพวกเขำ(คือบรรดำศอหำบะฮฺ)ให้สัตยำบันแก่เจ้ำใต้ต้นไม้(ที่ฮุดัยบิ ยะฮฺ) พระองค์ทรงรอบรู้ดีถึงสิ่งท่ีมีอยู่ในจิตใจของพวกเขำ พระองค์จึงได้ทรง ประทำนควำมสงบใจลงมำยังพวกเขำ และได้ทรงตอบแทนให้แก่พวกเขำซ่ึงชัยชนะ อนั ใกล้”(อัล-ฟัต,48:18) อกี ทัง้ ทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ก็ได้กล่าวถึงความประเสริฐของบรรดาศอหาบะฮฺ ของท่านอยา่ งชัดเจนวา่ ความว่า “ไม่มีผู้ใดที่รักพวกเขำ(คือบรรดำศอหำบะฮฺ)นอกจำกผู้ศรัทธำ และไม่มี ผู้ใดที่โกรธเคืองพวกเขำนอกจำกมุนำฟิก(คือผู้กลับกลอก) ดังน้ันผู้ใดท่ีรักพวกเขำ อัลลอฮ(ฺ สบุ หำนะฮู วะตะอำลำ)จะทรงรักเขำ และผู้ใดที่โกรธเคืองพวกเขำอัลลอฮฺก็ จะทรงโกรธเคอื งเขำเชน่ กัน”(อิหม่ามบุคอรีย์ เลขหะดีษ,3572) สาหรับนักวิชาการซุนนะฮฺ ยืนยันชัดเจนว่า หน่ึงในบรรดาศอหาบะฮฺท่ีมุสลิมต้องรักและให้ เกียรติ คือ ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏิยัลลอฮุ อันฮุ) และในทัศนะของญุมฮู้รหรือนักวิชาการส่วน ใหญ่เห็นว่า หากมีการขัดแย้งกันในระหว่างบรรดาศอหาบะฮฺให้มุสลิมทุกคนคิดในแง่ดีแก่ทั้งสองฝ่าย เพราะการขัดแย้งที่เกิดข้ึนท้ังหมดเป็นแค่ความเห็นที่แตกต่างเท่านั้น บางท่านมีความเห็นท่ีถูกต้องและ บางท่านอาจมีความเห็นที่ผิดบ้าง แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมุสลิมต้องมอบหมายให้พระองค์อัลลอฮฺ(สุบหา นะฮู วะตะอาลา)เป็นผู้ตัดสิน มนุษย์ไม่สามารถไปตัดสินหรือช้ีขาดว่าใครถูกใครผิด เพราะบรรดาศอ หาบะฮฺทุกท่านมีเกียรติท่ีสูงส่งเกินกว่าท่ีคนทั่วอย่างพวกเราจะไปวิพากษ์วิจารณ์ได้(ดร.อาลี สาเมาะ ,และ ดร.อัสมนั แตอาลี สัมภาษณ์เมอ่ื 14-11-60 )
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124