การพฒั นาสปั บุรษุ ดว้ ยกระบวนการหลั เกาะฮ์ เพอื่ สง่ เสรมิ คุณธรรม จริยธรรม ในชุมชนมัสยิดดารุลมุฮาญริ ีน ตลาดเมอื งใหม่ อาเภอเมือง จงั หวดั ยะลา The Development of Laymen by Halqah Process to Promote Morals and Ethics in Masjid Darulmuhajireen Community, Talad Muangmai, Muang District, Yala Province อสิ มาอีล ราโอ Ismail Rao สารนพิ นธน์ ี้เปน็ ส่วนหนึง่ ของการศกึ ษาตามหลกั สตู รปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการพัฒนาสงั คม มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ A Minor Thesis Submitted in Partial Fulfilment of the Requirements for the Degree of Master of Arts in Social Development Administration Prince of Songkla University 2560
(2) ชือ่ สารนพิ นธ์ การพฒั นาสปั บรุ ษุ ดว้ ยกระบวนการหลั เกาะฮ์ เพ่ือสง่ เสริมคุณธรรม จริยธรรม ในชมุ ชนมัสยดิ ดารลุ มุฮาญิรนี ตลาดเมอื งใหม่ อาเภอเมือง จงั หวัดยะลา ผู้เขียน นายอิสมาอลี ราโอ สาขาวชิ า การบริหารการพฒั นาสงั คม อาจารยท์ ป่ี รึกษาสารนิพนธ์หลัก คณะกรรมการสอบ ...................................................... ..............................................ประธานกรรมการ (ดร.ประจวบ ทองศรี) (ดร.วนั พิชิต ศรสี ุข) ...................................................กรรมการ (ดร.อิสมาอลี ราโอบ) ....................................................กรรมการ (ดร.ประจวบ ทองศรี) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อนุมัติให้นับ สารนพิ นธ์ฉบับน้ีเปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา การบริหารการพัฒนาสังคม (แผน ข) .......................................................................... (รองศาสตราจารย์ ดร.ปริศวร์ ยิน้ เสน) รกั ษาการในตาแหนง่ คณบดีคณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
(3) ชือ่ สารนิพนธ์ การพัฒนาสปั บรุ ุษดว้ ยกระบวนการหัลเกาะฮ์ เพอื่ สง่ เสรมิ คุณธรรม จริยธรรม ในชุมชนมัสยดิ ดารุลมฮุ าญิรีน ตลาดเมอื งใหม่ อาเภอเมอื ง จงั หวดั ยะลา ผเู้ ขียน นายอิสมาอีล ราโอ สาขาวิชา การบริหารการพฒั นาสงั คม ปกี ารศกึ ษา 2560 บทคดั ยอ่ การศึกษาครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาคุณธรรมจริยธรรม ครอบครัว สัปบุรุษในชุมชนมัสยิดดารุลมุฮาญิรีน ตลาดเมืองใหม่ อาเภอเมือง จังหวัดยะลา 2. เพื่อ ศึกษาลักษณะของกระบวนการหัลเกาะฮ์ ในชุมชนมัสยิดดารุลมุฮาญิรีนตลาดเมืองใหม่ อาเภอเมือง จังหวัดยะลา การวิจัยครั้งน้ี เป็นการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในรูปแบบ กรณีศึกษา (Case Studies)โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) รวม 15 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มจัดกระบวนการ ประกอบด้วยอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น 3 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน มุร็อบบีย์ (พี่เลี้ยงดาเนินการนากลุ่มศึกษา) จานวน 2 คน 2. กลุ่มครอบครัว คือ มตู ะรอ็ บบีย์ (สมาชิกกลุม่ ศกึ ษาอิสลาม) จานวน 7 คน สัปบุรุษสามารถแก้ปัญหาการวางแผนชีวิต และการเล้ียงดูบุตร ด้วยกระบวนการ หัลเกาะฮฺ ทม่ี ีรูปแบบและมกี ารเตรียมเนื้อหามาก่อน การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์อย่างเป็น กิจจะลักษณะท่ีมีความสาคัญ การแก้ปัญหามีอยู่ในทุกชนชาติ ศาสนา และอารยธรรม มันเป็น ธรรมชาติของมนุษย์ ในอนาคต มนุษย์เราท้ังที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมจะมีการค้นคว้าและวิจัย ท่มี ากขึ้นเก่ียวกับการจัดหัลเกาะฮฺให้ประสบความเร็จตามวัตถุประสงค์ท่ีแตกต่างกันไป อาจเป็นการ สร้างนวัตกรรมหัลเกาะฮฺขึ้นมาใหม่ ซ่ึงมีความซับซ้อนและมีข้ันตอนในการเตรียมการมากขึ้น ท้ังน้ีก็ ข้ึนอยู่กบั วตั ถปุ ระสงค์ของการคน้ ควา้ วิจยั ว่าตอ้ งการนากระบวนการหัลเกาะฮฺ
(4) Minor Thesis Title The Development of Laymen by Halqah Process to Promote Morals and Ethics in Masjid Darulmuhajireen Community, Talad Muangmai, Muang District, Yala Province. Author Mr. Ismail Rao Major Program Social Development Administration Academic Year 2017 ABSTRACT The purpose of this study is 1. to develop the moral and ethics laymen’s families In Masjid Darul Muhajireen Community, Muang District, Yala Province. 2. to study Halqah Process characteristics In Masjid Darul Muhajireen Community, Muang District, Yala Province. This Research conducted Qualitative Studies using Case Studies with purposive Sampling 15 persons, divided into 2 groups. Processing group, there are; imam, Khoteb, and Bilal 3 persons, experts 5 persons, and Murabbi pedagogies consulting 2 persons, and family group there are 7 persons of Mutarabbi (halqah members). This group of laymen can solve life planning problems and parenting by the process of halqah. The format and content are prepared before, transfer of knowledge and experience formally is important. The solution is in all races religions and civilizations. It is huma n nature. In the future, human beings, both Muslims and non-Muslims, are increasingly researching about halqah in different purposes, It may be a new halqah revival which complicated and has more preparation stages. It depends on the purpose of the research that it expected to lead the halqah process.
(5) กิตติกรรมประกาศ มวลการสรรเสริญ เป็นกรรมสิทธิ์แด่อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา เพียงพระองค์ เดียว ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลจักรวาล การประสาทพรและความสันติจงประสบแดท่านเราะสูล ผู้ท่ี ทรงเปี่ยมด้วยจริยธรรมอนั สงู ส่ง และทรงเป็นแบบอย่างแก่มวลมนุษย์ สารนิพนธ์ฉบับนี้ สาเร็จลุล่วง ได้ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจากหลายท่านอาทิ เช่น ดร. ประจวบ ทองศรี อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.วันพิชิต ศรีสุข ประธานกรรมการสอบ ดร.อิสมาอีล ราโอบ กรรมการ ดร.ณัฎฐ์ หลักชัยกุล รศ.ดร.นิเวศน์ อรุณเบิกฟ้า ผศ.ดร.กาเดร์ สะอะ ดร.อัสมัน แตอาลี และคณะอนุกรรมการของคณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ทุกท่านที่ได้กรุณาสละเวลา แรงกาย แรงใจ ให้คาแนะนาและ ขอ้ เสนอแนะในทกุ ประเด็น อันเป็นประโยชน์อย่างย่งิ ตอ่ สารนิพนธฉ์ บบั นี้ ผู้ศึกษาขอขอบพระคุณคณะอาจารย์หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่ได้ประสิทธิ ประสาทความรู้ อันเป็นประโยชน์ต่อการทาสารนิพนธ์ในครั้งนี้ และเชคริฎอ อะหมัด สมะดี อาจารย์อาคีรัฐ มะยูโซ๊ะ อาจารย์อุสมาน เจะอุมา อาจารย์โองการ หวันเต๊ะ ดร. ฆอซาลี เบ็ญหมัด ทีส่ นับสนนุ และให้ความรว่ มมอื ในการจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งดร.วันพิชิต ศรีสุข เจ้าของโครงการพัฒนา ผนู้ าศาสนาเพ่ือการพัฒนาสงั คมชายแดนใต้ ที่กรุณามอบทุนการศึกษาสาหรับโครงการผู้นาศาสนาใน คร้งั นี้ ทาใหก้ ารศกึ ษาคน้ คว้าดาเนินการไดอ้ ยา่ งราบร่ืนและเสรจ็ สมบูรณด์ ว้ ยดี สุดท้ายนี้ ขอพระผู้เป็นเจ้า ทรงประทานความสาเร็จและความบะรอกะฮแด่ทุกท่าน ท่ีมีส่วน ทาให้สารนิพนธ์เล่มนี้สาเร็จได้ ขอขอบคุณ ทุกคนในครอบครัวที่คอยเป็นกาลังใจอย่างดี ตลอดจนญาติพี่น้อง มิตรสหายท่ีทาให้ผู้เขียนมีความมานะในการเผชิญปัญหาต่างๆ ในการทา สารนิพนธ์จนสาเร็จลลุ ่วงได้ดว้ ยดี อิสมาอลี ราโอ
สารบัญ (6) เรื่อง หนา้ บทคัดยอ่ (4) Abstract (5) กติ ติกรรมประกาศ (6) สารบัญ (7) บทท่ี 1 บทนา 1 ทมี่ าและความสาคัญของปญั หา 1 คาถามการวิจัย 4 วตั ถปุ ระสงค์ 4 ขอบเขตของการวิจยั 5 กรอบแนวคดิ การศึกษา 6 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 6 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รับ 6 บทที่ 2 เอกสารและวรรณกรรมทีเ่ กย่ี วข้อง 7 แนวคดิ กล่มุ ศกึ ษา 7 รูปแบบกระบวนการหัลเกาะฮ์ 12 วัตถุประสงคห์ ัลเกาะฮ์ 15 ความสาคัญของจริยธรรม 22 บทที่ 3 วธิ ีดาเนนิ การวิจัย 59 ผใู้ ห้ข้อมูลหลัก 59 ขอบเขตของการศึกษา 59 การพัฒนาเคร่ืองมอื วจิ ัย 59 การเก็บรวบรวมข้อมลู 60 การวเิ คราะห์ข้อมูล 60 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 61 สภาพปญั หาสปั บรุ ุษเกย่ี วกับการวางแผนชีวิตครอบครวั 61 สภาพปัญหาสัปบุรุษเก่ียวกับการอบรมเลีย้ งดูบตุ ร 67 ลกั ษณะกระบวนการหลั เกาะฮ์ ในชมุ ชนมสั ยิดดารุลมุฮาญริ ีน 70
เร่อื ง (7) บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ หน้า สรุปผลการวิจัย อภปิ รายผล 79 ข้อเสนอแนะ 79 บรรณานกุ รม 82 ภาคผนวก 85 87 90
บทท่ี 1 บทนำ ท่ีมำและควำมสำคญั ของปัญหำ อิสลามคือสัจธรรมท่ีเป็นวิถีชีวิตอันครอบคลุมและมีความบริบูรณ์รอบด้านของมนุษย์ ดังน้ันจึงเป็นภารกิจสาคัญของมนุษย์ทุกหมู่เหล่าที่จะต้องศึกษาเรียนรู้หลักคาสอนอิสลามอย่างเข้าถึง และถูกต้องทั้งน้ีเพราะอิสลามเป็นศาสนาแห่งคาวิวรณ์ที่มาจากอัลลอฮ์ที่สามารถเข้าใจโดยสติปัญญา ทุกบทบัญญัติในอิสลามล้วนสอดคล้องกับสามัญสานึกของมนุษย์และไม่ขัดแย้งกับสติปัญญาที่สมบูรณ์ ในขณะทสี่ ามญั สานกึ ของมนษุ ยแ์ ละสตปิ ัญญาน้นั ต้องการการชน้ี าจากอัลลอฮผ์ ูท้ รงสร้างสากลจักรวาล การนอบน้อมยอมตนต่ออัลลอฮ(ซ.บ.)พระองค์เดียว เพ่ือความเป็นสันติ สุขท้ังโลกนี้และโลกหน้า (อิส มาอีลลุตฟี จะปะกียา 2557: 2) ชีวิตของมุสลิมย่อมผูกพันอยู่กับมัสยิด เพราะมัสยิดมีความสาคัญต่อ ชีวิตมุสลิมเป็นอเนกนับตั้งแต่เกิดมาจนถึงขั้นบ้ันปลายของชีวิต ดังนั้นจึงเป็นสัญลักษณ์ของมัสยิดใน อสิ ลาม มมี สั ยดิ อยู่ ณ ที่ใดก็ต้องเขา้ ใจวา่ มมี ุสลิมอย่ทู น่ี นั้ (เสาวนยี ์ จติ ต์หมวด, 2555 : น.3-4) การเรียนในรปู แบบการจัดกลมุ่ ซึ่งผูท้ เี่ ข้าร่วมหัลเกาะฮ์จะเป็นผู้ที่กาหนดวิชา เนื้อหาท่ี จะมาศึกษาพูดคุย เช่นศึกษาเก่ียวกับอัลกุรอาน อรรถาธิบายอัลกุรอานเป็นต้น การจัดกลุ่มหรือศึกษา ระบบฮาลาเกาะน้ีเป็นการศึกษาท่ี ได้นามาใช้โดยบรรดาศอฮาบะห์ (สาวก) และคนสมัยก่อนๆมาแล้ว สาหรบั วธิ ีการเรียนระบบหัลเกาะฮ์นน้ั อาจจะเรยี นท่ีเรากาหนดตามวันเวลาที่แน่นอน โดยแบ่งออกเป็น วิชาต่างๆ หรืออาทิตย์ละครั้ง เราจะเห็นได้ว่าการเรียนระบบหัลเกาะฮ์ไม่ได้เป็นกฎระเบียบที่ตายตัว หรือไม่อาจจะเปลี่ยนแปลง การเรียนระบบน้ีจะก่อให้เกิดความรักซ่ึงกันและกัน เกิดตักเตือนหรือตัรบี ยะหใ์ นตวั และยังเป็นการสร้างอุคุวะห์ ( ภราดรภาพ ) ด้วยกันด้วย การเรียนระบบหัลเกาะมีมาแต่สมัย โบราณ เป็นรูปแบบของการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับศาสนามากกว่า เป็นการชุมนุมเพ่ือราลึกพระผู้เป็น เจ้า เป็นการสอนเก่ียวกับหะลาลและหะรอม การเรียนระบบน้ีเป็นวงกลมเปรียบเสมือนห้องเรียนเล็กๆ มที งั้ ครแู ละลกู ศิษย์ ไมจ่ ากดั อายุ วัยและฐานะ ไม่จาเป็นต้องมีใบสมัคร สอนด้วยความอิคลาส (บริสุทธ์ ใจ) (บุษบง ชยั เจรญิ วฒั นะ 2551 : น.2) ประเด็นกลยุทธ์และวิธีการพัฒนาสตรีมุสลิมในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไป ประยุกต์ใช้ในการกาหนดนโยบายในการแก้ไขปัญหาในพ้ืนท่ีชายแดนภาคใต้ต่อไปน้ัน สามารถกาหนด ออกมาเป็นกลยุทธ์และวิธีการพัฒนาสตรีมุสลิมในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยแบ่งออกเป็น 4 กล ยุทธ์ตามกรอบแนวคิดบทบาทการพัฒนาระดับปัจเจกบุคคล ระดับครอบครัว ระดับท้องถิ่นหรือชุมชน และระดับสังคมสว่ นรวมหรอื
2 เครือข่าย หน่ึงในกลยุทธ์น้ัน คือ ตามกรอบแนวคิดบทบาทการพัฒนาระดับปัจเจกบุคคลสามารถ กาหนดออกมาเป็นกลยุทธ์ในการพฒั นาศักยภาพสตรมี สุ ลมิ มงุ่ เน้นการเสริมสร้างความรู้ เพ่ือการดูแล ตนเอง เสริมสร้างทักษะชีวิตเพื่อการดูแลตนเอง ส่งเสริมการใช้กลุ่มศึกษา(หัลเกาะห์) เพื่อการพัฒนา ตนเองและสังคม (นพรัตน์ กอวัฒนากลุ และคณะ 2559: น.112) มัสยิดเป็นสถานท่ปี ระกอบศาสนกจิ ทางศาสนาอิสลามที่มีบทบาทสาคัญต่อการพัฒนา ชมชนมสุ ลิมเป็นแหลง่ อบรมทางจติ วิญญาณ แหล่งการศึกษา หาความรู้เป็นแหล่งให้การอบรมลูกหลาน มาเปน็ เวลาช้านาน มัสยิดจงึ เป็นสถานที่สาคัญในการพัฒนา ชมชนโดยผ่านบทบาทการบริหารงานของ คณะกรรมการมัสยิดท่ีเป็นกาลังหลักในการพัฒนาชุมชน มุสลิมในการดาเนินการกิจการของมัสยิดให้ สามารถปฏบิ ัตงิ านตามเปา้ หมายและวัตถุประสงค์ของมัสยิดซึ่งส่งผลให้ประชาชนมีความสะดวกในการ ดารงชีวิตร่วมกับกฎหมายไทยผลสืบเนื่องจากบทบาทคณะกรรมการมัสยิดดังกล่าวก่อให้เกิดผลดี โดย ภาพรวมต่อสถาบันหลักทั้ง สถาบันครอบครัว สถาบันการปกครอง และสถาบันศาสนา บทบาท เหล่านเี้ ปน็ บทบาททผี่ สมผสานระหวา่ งหลกั ธรรมคาสอนของศาสนา อิสลามและระเบียบการดาเนินการ ต่างๆ ของกรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการโดยประสานความ ร่วมมือกับกรมปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 เพื่อพัฒนา คุณภาพและความสงบสุขของประชาชนชาวไทยที่นับถือศาสนาท่ีแตกต่างกันออกไป และสอดคล้องกับ ดลมนรรจนบ์ ากา (2550) ศกึ ษาวจิ ัยเรอ่ื ง “มัสยดิ : ฐานเศรษฐกจิ และทุน วัฒนธรรม” ผลการวิจัยพบว่า บทบาทของมัสยิดตามทัศนะอิสลามส่วนหนึ่ง คือ เป็นศาลากลางของเมือง ศาลาประชาคม เพ่ือ ปรกึ ษาหารือกจิ การอสิ ลาม สถานที่เก็บรกั ษาของทีไ่ ด้รบั การบริจาคและสถานเผยแพรศ่ าสนาอสิ ลาม ในชุมชนมัสยิดดารุลมุฮาญิรีนตลาดเมืองใหม่ เป็นบริเวณที่เป็นศูนย์รวมของหลายส่ิง อยู่ใจกลางตลาดเทศบาล สะดวกสาหรับผู้สัญจรไปมา และห้องน้าสะอาด มีเคร่ืองมืออุปกรณ์ เทคโนโลยีที่มีคุณภาพและทันสมัย มีความพร้อมทางด้านการเงิน ได้รับเงินบริจาคอย่างสม่าเสมอ เป็น ศูนยร์ วมความรู้ และทากิจกรรม ต่างๆ เช่น การอบรมพื้นฐานอิสลาม มุสลิมใหม่ อิสลามศึกษาสาหรับ ผ้ใู หญ่ และการสอนศาสนา หา้ เวลาละหมาดการนอบน้อมยอมตนต่ออัลลอฮ(ซ.บ.)พระองค์เดียวอย่าง สิ้นเชิงเพอ่ื ความเป็นสันตสิ ุขทง้ั โลกนี้และโลกหน้า ศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อความเช่ือและการดาเนินชีวิต ของพวกเขาจะเห็นได้ว่าสังคมมุสลิม หากมองในภาพรวมของประเทศไทย จะเป็นชนกลุ่มน้อย แต่หาก มองเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้จะพบว่าเป็นชนกลุ่มใหญ่ ท่ีมีวิถีชีวิตซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมอัน ทรงคุณค่าในสังคมไทยและสามารถเชื่อมร้อยกับสังคมมลายูมุสลิมในภูมิภาคอาเซียนอีกกว่าสองร้อย ล้านคน การพฒั นาชมุ ชนนน้ั ผู้นาต้องมบี ทบาทไมว่ าจะเปน็ ผู้นาชุมชน ผู้นาท้องถิ่น ผู้นาศาสนา รวมท้ัง ผู้นาโดยธรรมชาติด้วย และสาหรับพ้ืนท่ีสามจังหวดชายแดนภาคใต้ มัสยิดถือวาเป็นหน่วยงานหรือ องค์กรที่มีบทบาทในการพฒั นาชมชนมากท่สี ดุ
3 ปัจจุบันพบว่า ชุมชนมุสลิม ส่วนใหญ่ยังอ่านอัลกุรอ่านไม่ถูกต้อง ถึงแม้จะมีการสอน ระบบ กรี ออาตี แตก่ ารสอนดงั กล่าวจะเน้นเฉพาะเด็ก และเยาวชน ส่วนปัญหาอีกประการหนึ่ง สัปบุรุษ ไม่มีผู้ท่ีจะให้คาปรึกษาในชีวิตครอบครัว การแก้ไขปัญหาคุณธรรม จริยธรรม จึงไม่สามารถดาเนินการ ได้ (เสาวนียจ์ ิตต์หมวด, 2535: น.8) การเรียนในรูปแบบการจดั กลมุ่ ซ่งึ ผทู้ ีเ่ ข้าร่วมหัลเกาะฮ์จะเป็นผู้ที่กาหนดวิชา เน้ือหาที่ จะมาศึกษาพูดคุย เช่นศึกษาเก่ียวกับอัลกุรอาน อรรถาธิบายอัลกุรอานเป็นต้น การจัดกลุ่มหรือศึกษา ระบบ หัลเกาะฮ์นี้เป็นการศึกษาท่ี ได้นามาใช้โดยบรรดาศอฮาบะห์ (สาวก) และคนสมัยก่อนๆ มาแลว้ สาหรับวธิ ีการเรยี นระบบหัลเกาะฮ์น้ัน อาจจะเรียนท่ีเรากาหนดตามวันเวลาที่แน่นอน โดยแบ่ง ออกเป็นวิชาต่างๆ หรืออาทิตย์ละคร้ัง เราจะเห็นได้ว่าการเรียนระบบหัลเกาะฮ์ไม่ได้เป็นกฎระเบียบที่ ตายตัวหรือไมอ่ าจจะเปลย่ี นแปลง การเรยี นระบบนี้จะก่อให้เกิดความรักซึ่งกันและกัน เกิดการตักเตือน หรือตัรบียะห์ในตัวและยังเป็นการสร้างอุคุวะห์ ( ภราดรภาพ ) ด้วยกันด้วยการเรียนระบบหัลเกาะฮ์มี มาแตส่ มยั โบราณ เป็นรปู แบบของการแสวงหาความรู้เก่ียวกับศาสนามากกว่า เป็นการชุมนุมเพ่ือราลึก พระผู้เป็นเจ้า เป็นการสอนเกี่ยวกับหะลาลและหะรอม การเรียนระบบน้ีเป็นวงกลมเปรียบเสมือน ห้องเรยี นเล็กๆ มีท้งั ครแู ละลูกศิษย์ ไม่จากดั อายุ วยั และฐานะ ไม่จาเป็นต้องมีใบสมัคร สอนด้วยความอิ คลาส (บรสิ ทุ ธ์ใจ) (ยะฮกูบ๊ สืบสขุ 2555: น.46) ชุมชนมัสยดิ ดารุลมฮุ าญิรีนตลาดเมืองใหม่ มีกิจกรรมมสั ยิดที่ภาคภูมิใจคือ เป็นมัสยิด ที่เปิดพื้นท่ีให้ทุกคนและทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และมาใช้บริการ ท้ังเป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีสาคัญ ให้กับปัญญาชนและประชาชนท่ัวไปเพื่อการค้นคว้า เรียนรู้ทางวิชาการ และเป็นสถานท่ีเพ่ือการ ปรึกษาหารือในทุกกิจกรรมท่ีเป็นประโยชน์ทั้งมิติทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม เป็นจุดเด่น โดยเฉพาะการให้ความสาคัญกับการเรียนอัลกุรอาน ระบบกีรออาตีของเด็กๆ การให้การบรรยายธรรม (ศาสนา) ให้กับผู้ใหญ่ มีการทาหัลเกาะฮ์ กุรอาน มีการนาเสนอเน้ือหาในคุฏเบาะฮ์วันศุกร์ที่ทันต่อ เหตกุ ารณ์ ไดร้ บั ความรว่ มมอื จากทุกภาคส่วน และจดุ เด่นอีกในด้านหนึ่ง คือการพัฒนาชุมชนของมัสยิด ดารุลมุฮาญีรีนท่ีมีการจัดเวทีประชาคมหมู่บ้าน เพ่ือรับฟังความคิดเห็น และกาหนดแผนแม่บทชุมชน ภายใต้แนวทางการสรา้ งสนั ตสิ ุข ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะศึกษาถึงการพัฒนาสัปบุรุษด้วยกระบวนการหัลเกาะฮ์ ด้าน จริยธรรม ในชุมชนมัสยิดดารุลมุฮาญิรีนตลาดเมืองใหม่อาเภอเมืองจังหวัดยะลา เพื่อจะทาให้สัปบุรุษ เป็นคนดรี ้หู ลกั ธรรมคาสอนของศาสนาอิสลาม เนื่องด้วยหลักสาคัญในการพัฒนาชุมชน คือ การพัฒนา คน ทง้ั น้ี จริยธรรมเป็นส่งิ ทีม่ ีความสาคญั ในการพัฒนาคนให้เป็นคนดี มคี ณุ ธรรม ผลจากการวิจัยจะเป็น ข้อมูลที่มปี ระโยชนใ์ นการพัฒนาคนและจริยธรรมของสังคมในโอกาสต่อไป
4 คำถำมกำรวิจยั 1. สภาพปัญหาคุณธรรมจริยธรรมของครอบครัว สัปบุรุษในชุมชนมัสยิดดารุลมุฮาญิรีน ตลาด เมืองใหม่ อาเภอเมอื ง จังหวัดยะลาเปน็ อย่างไร 2. กระบวนการหัลเกาะฮ์ ในชุมชนมัสยิดดารุลมุฮาญิรีนตลาดเมืองใหม่ อาเภอเมือง จงั หวัดยะลา มีลักษณะอยา่ งไร วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาคุณธรรมจริยธรรมครอบครัว สัปบุรุษในชุมชนมัสยิดดารุล มฮุ าญริ นี ตลาดเมืองใหม่ อาเภอเมอื ง จงั หวดั ยะลา 2. เพื่อศึกษาลักษณะของกระบวนการหัลเกาะฮ์ ในชุมชนมัสยิดดารุลมุฮาญิรีนตลาด เมืองใหม่ อาเภอเมอื ง จงั หวัดยะลา ขอบเขตของกำรวิจัย 1.1 ขอบเขตกลุ่มศึกษำ การวิจัยคร้ังนี้ เป็นการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้ในการวิจัยการสนทนากลุ่ม (Focus group) กลุ่มตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 15 คน ประกอบด้วยอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น 3 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน มุร็อบบีย์ (พี่เล้ียงดาเนินการ) จานวน 2 คน มูตะร็อบบีย์ (สมาชิกกลุ่มศึกษา อสิ ลาม) จานวน 7 คน 1.2 ขอบเขตด้ำนเนื้อหำ ผู้วิจัยจะศึกษาเก่ียวกับกระบวนการหัลเกาะฮ์ เพ่ือพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ครอบครวั สปั บรุ ุษ ในชมุ ชนมสั ยดิ ดารุลมฮุ าญริ นี ตลาดเมืองใหม่ อาเภอเมือง จังหวัดยะลา 1.3 ขอบเขตด้ำนพื้นที่ ชุมชนมัสยิดดารุลมุฮาญิรีนตลาดเมืองใหม่ อาเภอเมือง จังหวดั ยะลา 1.4 ขอบเขตด้ำนเวลำ ในการวิจัยครั้งนี้ทาการวิจัย และเก็บข้อมูลในช่วง ระหว่าง เดือน มนี าคม พ.ศ. 2560 ถงึ เดอื น กันยายน พ.ศ. 2560
5 นยิ ำมศพั ท์เฉพำะ กำรพัฒนำสัปบุรุษ หมายถึง การทากิจกรรมเพ่ือใช้ดาเนินการเปลี่ยนแปลงผู้ที่ไป ปฏบิ ัตลิ ะหมาดเปน็ ปกติ ให้ครอบครวั เกิดความมีประสิทธิผล ในดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม สัปบุรุษ หมายถึง ผู้นาครอบครัวท่ีไปปฏิบัตินมัสการหรือทาละหมาดเป็นปกติ ณ มสั ยิดตลาดเมอื งใหม่ จังหวัดยะลาและมชี ่ือปรากฏอยใู่ นทะเบียนของมัสยิด หัลเกำะฮ์ หมายถึง กิจกรรมท่ีร่วมกันน่ังล้อมวงกันเป็นรูปทรงกลม (หัลเกาะฮ์) ของสปั บรุ ุษ โดยมเี นอื้ หา ทางด้านหลักศรทั ธา ศาสนบัญญัติ ศาสนประวัติ อัลกุรอานและตัฟสีรและอัล หะดีษการรวมกลุ่มเพ่ือศึกษาร่วมกันของคน แสวงหาความดีงาม ประกอบด้วย หลักสูตร มุร็อบบีย์(พ่ี เลี้ยง) มุตาร็อบบีย์ (สมาชิกกลุ่ม) ขั้นตอนการดาเนินการ นาเสนอแลกเปล่ียนเรียนรู้ ให้ความรู้ ความ เขา้ ใจในเนื้อหา การบรู ณาการระหว่างกจิ กรรม เพ่ือพัฒนาจิตวิญญาณ ใหส้ มาชกิ ไดซ้ ึมซบั เข้าสหู่ วั ใจ มุร็อบบีย์ หมายถึง พี่เล้ียงดาเนินการนากลุ่มศึกษา เพื่อดาเนินการตามข้ันตอนของ กิจกรรมและใหค้ าแนะนาแกส่ มาชิกกลุม่ ศึกษา มูตะร็อบบีย์ หมายถึง สมาชิกกลุ่มศึกษาอิสลามท่ีมีจานวน 3 – 12 คน ต่อหนึ่งกลุ่ม ศกึ ษา ซึง่ อยภู่ ายใตก้ ารกากับดแู ลของมรุ ็อบบีย์ คุณธรรม จริยธรรมอิสลำม หมายถึง แนวทางของการประพฤติ เป็นสิ่งที่ควร ประพฤติ มีท่ีมาจากบทบัญญัติหรือคาส่ังสอนของศาสนา มารยาทและกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันใน สังคม ชมุ ชน หมายถึง ชมุ ชนมัสยดิ ดารุลมฮุ าญริ ีน ตลาดเมืองใหม่ อาเภอเมือง จังหวัดยะลา ประโยชน์ท่คี ำดวำ่ จะได้รับ 1. ทาให้ครอบครัวเปน็ ตน้ แบบในการพัฒนาดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม 2. ทาให้สมาชิกในครอบครัว ได้รบั การพฒั นาดขี น้ึ
6 บทที่ 2 เอกสำรและวรรณกรรมท่เี กี่ยวข้อง ผู้วจิ ยั นาเสนอผลการศึกษารายงานเอกสารและวิจัยท่ีเกยี่ วข้องแยกเสนอเปน็ 3 ตอน คือ ตอนท่ี 1 แนวคิดกลุม่ ศึกษา ตอนท่ี 2 ความสาคญั ของคุณธรรม จริยธรรม ตอนที่ 3 วรรณกรรมท่ีเก่ยี วข้อง มีสาระโดยรายละเอยี ดต่อไปน้ี ตอนท่ี 1 แนวคดิ กลุ่มศึกษำ ผ้วู จิ ัยนาเสนอทฤษฎีท่ีสามารถพฒั นาสปั บรุ ษุ ในรปู หัลเกาะฮ์ (กิจกรรมกลุ่ม) แยกเป็น 5 ส่วนคือ ทฤษฎีหัลเกาะฮ์ ทฤษฎีสนทนา ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน ทฤษฎีกลุ่มสัมพันธ์และทฤษฎีการ เรยี นรู้ทางสงั คม 1.แนวคดิ หลั เกำะฮ์ เกิดขึ้นเพื่อขับเคล่ือนสู่วิถีชีวิตอิสลาม เริ่มต้นด้วยการศึกษาทาความเข้าใจหลักการ อิสลามว่าด้วยพระเจ้า ชีวิต มนุษย์ และจักรวาล เนื่องจากศาสนาอิสลามต้องการให้มุสลิมทุกคน มี ความรู้ ความเข้าใจ คาสอนของศาสนาอย่างลึกซ้ึง ตลอดจนมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบการสร้างของ พระเจ้าท้ังหมด ไม่ว่าสวรรค์ นรก และโลกแห่งนี้ นอกจากนี้ กลุ่มศึกษาหัลเกาะฮ์ยังต้องการให้ สัปบุรุษทุกคนเก่ียวพันกับประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งและการดารงอยู่ของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ และยัง เก่ียวข้องกับพลังแห่งสัจจะกับพลังแห่งความหลงผิดที่ต่อต้านระหว่างกันและกัน รวมไปถึงการสร้าง ความสมดุลให้แก่วิถีทางของอีกด้วย ซึ่งผู้วิจัยมีความตระหนักอยากจะเสนอแนวทางแบบหัลเกาะฮ์ เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาสังคมมุสลิมในพื้นท่ีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อยากจะให้สัปบุรุษ เข้าใจถึงชวี ิตทีแ่ ท้จรงิ ของอิสลาม ผ่านกระบวนการขบั เคลอ่ื นแบบกลุ่มศกึ ษาหัลเกาะฮ์ (อิมรอน มะลูลีม , 2550: 5-6) 1.1 ควำมหมำยและควำมเข้ำใจทฤษฎหี ลั เกำะฮ์ 1.1.1 หัลเกำะฮ์ทำงด้ำนภำษำ หัลเกาะฮ์เป็นทับศัพท์ในภาษาอาหรับ ซ่ึงมาจากรากฐานคาว่า “ ”حلقةอ่านว่า “ฮาละกอตุน” หมายความว่า วงกลม เป็นวง มีรัศมีเป็นวงกลม ที่ประชุมเป็นวงกลม ท่าน (Rohi Baalabaki,1993 : A Modern Arabic English Dictionary , p :486)
7 1.1.2 หลั เกำะฮ์ทำงด้ำนทฤษฎีนำมำใช้ หมายความว่า การจัดกลุ่มศึกษาขึ้นมาเพ่ือการศึกษาอิสลามร่วมกัน ซ่ึงผู้ที่เข้าร่วม หลั เกาะฮจ์ ะเป็นผู้กาหนดเนื้อหาท่ีจะนามาพูดคุยกันเอง เช่น การศึกษาอัลกุรอานพร้อมกับความหมาย การศึกษาหะดีษการศึกษาประวัติท่านนบีและซอฮาบะฮ(สาวก) การศึกษามารยาทต่างๆ ในอิสลาม การศึกษาวิชาฟิกฮ์(กฎหมายหรือบทบัญญัติอิสลาม)ร่วมกัน สาหรับในเรื่องฟิกฮ์น้ัน ควรผ่อนปรนใน เร่ืองท่ีแตกตางในด้านทัศนะของนักปราชญ์และควรร่วมมือกันในเร่ืองที่เหมือนกัน อีกท้ังต้องให้ความ เป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่มีความเห็นที่ต่างกัน เพื่อป้องกันการแตกแยกท่ีอาจจะเกิดในเรื่องประเด็น ปลีกย่อย (อา้ งใน http://www.iqraforum.com/oldforum1) นอกจากน้ีแล้วอาจจะกาหนดหัวข้ออื่นๆเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ เก่ยี วกับสถานการณ์ต่างๆทเี่ กดิ ขนึ้ ในโลกมุสลิม เรอ่ื งการพัฒนาศักยภาพในเฉพาะด้าน เช่น ฝึกฝน คุ ตบะฮ์(เทศนาก่อนละหมาดวนั ศกุ ร)์ การท่องจาอลั กรุ อานและหาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เปน็ ตน้ ตัวอย่างการจัดกลุ่มศึกษาแบบหัลเกาะฮ์ในประวัติศาสตร์อิสลาม จากท่านอบูดาร ดาอ์ รอฏิยันลอฮูอันฮุ(ความโปรดปรานจากพระองค์ย่อมมีแด่ท่าน) ท่านเคยสอนอัลกุรอานในมัสยิด ดามัสกัสในทุกๆวัน ตั้งแต่ดวงอาทติ ยข์ นึ้ ถงึ ซฮุ ร์ (บา่ ย) โดยแบง่ ผู้รว่ มออกเป็นกลมุ่ กลมุ่ ละสิบคน แต่ ละกลมุ่ ใหม้ คี รูสอนอัลกุรอาน 1 คน โดยท่ีตัวของท่านเองทาหน้าท่ีควบคุม ท่านอบูมูซอ อัลอัชอารีย์ ก็เคยเดินไปตามมัสยิดต่างๆ ในเมืองบัศเราะห์ และได้ต้ังกลุ่มหัลเกาะฮ์ศึกษาอัลกุรอานในทานอง เดยี วกนั ขน้ึ (อา้ งในซยิ ัร อะอล์ าม อัลนุบะลาอ์ 344/2 )سير أعلام النبلاء สาหรบั วธิ ีการที่ผู้ให้การฝึกอบรมตามหลั เกาะฮ์หรือตามสถานทต่ี ่างๆนนั้ มีหลายวธิ ี ด้วยกัน อาจจะสอนประจา ตามกาหนดการ เวลาทแี่ น่นอนในแตล่ ะวันหรอื สปั ดาห์ โดยแบง่ ออกเป็น วิชาต่างๆ และสลับสบั เปล่ยี นกันไป 1.2 ควำมเข้ำใจแนวคิดหลั เกำะฮ์ กลุ่มเยาวชนท่ีได้ประกาศช่ือตัวเองว่า กลุ่มฆุรอบาอ์ (กลุ่มรักศาสนา) ให้คาอธิบาย เกี่ยวกบั ทฤษฎีหัลเกาะฮ์ว่า การศึกษาเร่ือง “วิถีแห่งฆุรอบาอ์” น้ีจึงเร่ิมต้นด้วยการจัดทาทฤษฎี เพื่อ นาความรูจ้ ากกุรอาน มาสร้างความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งองค์ความรู้ต่างๆ และศึกษาพลังต่างๆ เพื่อให้บุรุษ ที่ปรารถนาวิถีทางแหง่ เกียตยิ ศนี้สามารถทอ่ งไปสรู่ ะดับของการเปน็ ฆุรอบาฮท์ ีแ่ ทจ้ ริงได้ กลุ่มเยาวชนฆุรอบาอ์ ได้อธิบายทฤษฎีว่า เราจะเริ่มต้นวิชาทางน้ีด้วยการกรอบ ความคิดและแบบของการเปลี่ยนแปลงผ่านแผนผังที่ถ่ายมาจากทฤษฎีที่เรียกว่า “ทฤษฎีวงกลม” โดย เร่มิ จากการอา้ งถึงโองการอลั กุรอาน ว่า ُثم أَْوَرثْنَا الْ ِكتَا َب الم ِذي َن ا ْصطََفْينَا ِمِبِْنْذ ِنِعبَااِّدلمِلَنۖۖ ََٰذفلَِِمْنَكُه ُْمهَوظَاالِْلَفم لِنَْضْفُلِسالِْه َكَبوِِميْنرُ ُهم ُّمْقتَ ِص مد َوِمْن ُه ْم َسابِ مق ِبْْلَْيَرا ِت
8 “และเราได้ให้คัมภีร์สืบทอดมาแก่บรรดาผู้ที่เราเลือกแล้วจากปวงบ่าวของเรา บางคนในหมู่พวกเขา เปน็ ผ้อู ธรรมแก่ตวั เอง บางคนในหมพู่ วกเปน็ ผู้อยูร่ ะดับกลาง และบางพวกเขาเป็นผู้ที่ล่วงหน้าด้วยความ ดีทง้ั หลายด้วยอนมุ ตั ิของอลั ลอฮุ น่ันคือความโปรดปรานอันใหญห่ ลวง“ (อลั กรุ อา่ น, บทอัลฟาฏิร : 32) นักวิชาการมุสลิมให้คาอธิบาย คาว่า “ผู้ที่อธรรมแก่ตัวเอง” เป็นระดับผู้ศรัทธาที่ ตา่ กวา่ มาตรฐาน ไดแ้ กบ่ รรดาผู้ที่ละเมดิ ขอบเขตของอัลลอฮดุ ้วยการกระทาบาปฝ่าฝืนต่างๆและรวมไป ถึงผทู้ ก่ี ระทาอตุ ริกรรมตา่ งๆวา่ “ผู้ท่ีอยู่ระดับกลาง” เป็นระดับผู้ศรัทธาที่ได้มาตรฐาน คือผู้ท่ียึดม่ันกับ วถิ ที างทีอ่ ยูค่ นละด้านกับอุตริกรรมและบาปตา่ งๆ แต่ยงั ไม่มคี วามดีอ่ืนๆ ที่เพมิ่ มากไปกว่ามากนัก เช่น การทางานเพ่อื อิสลาม หรอื การการฟื้นฟอู ิสลาม เป็นต้น คาว่า “ผู้ที่ล่วงหน้าด้วยความดีทั้งหลาย” เป็นระดับผู้ศรัทธาช้ันแนวหน้า คือ ผู้ที่ ง่วนอยกู่ ับความดี การทางานเสียสละเพ่ืออิสลาม การเข้าร่วมฟ้ืนฟูอิสลาม และการมุ่งแสวงหาความ โปรดปรานจากอลั ลอฮในสาขาต่างๆ อยา่ งมากมาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาท้ังหมดถูกจัดว่าเป็นมุสลิม (อ้างจากหนังสืออัดดูร อัลมันษูร ของอิหม่านสยุ ฎู ีย)์ 1.3 แนวคดิ ทฤษฎีหลั เกำะฮ์ (ทฤษฎวี งกลม) ตำมทัศนะนกั วชิ ำกำรมุสลิม จากคาอธิบายดังกล่าวข้างต้น เราสามารถจัดความสัมพันธ์ของพวกเขาออกเป็น “วงกลม” ที่ซ้อนกัน “3 วง” ซ่ึงจะกาหนดให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน ผู้ท่ีผ่านเส้น วงกลมรอบนอกสุดเข้าไปทั้งหมด ถือว่าเป็น “วงกลมอิสลาม” หรือ “วงกลมเตาฮีด” (การให้ความ เปน็ หนึ่งต่อฮลั ลอฮุ)” ไม่ว่าจะเป็นผู้ศรัทธาในระดับใด ผู้ที่ผ่านเส้นวงกลมถัดไป เป็นระดับผู้ศรัทธาที่ ไดม้ าตรฐาน เรียกว่าวงกลมของ “กลุ่มรอดพ้น” ทบั ศัพท์ในภาษาอาหรับเรียกว่า (ฟิรเกาะฮุนาญียะฮุ) ผู้ท่ีผ่านเส้นวงกลมในสุด เป็นระดับผู้ศรัทธาช้ันแนวหน้า เรียกว่าวงกลมของ “กลุ่มแห่งชัยชนะ” (ฏออิ ฟะฮมุ ันศเู ราะฮ) ดังนั้น จากคาอธิบายของกลุ่มฆุรอบาอุในเร่ืองทฤษฎีวงกลม หรือหัลเกาะฮ์นั้น ได้ แบ่งระดับผูศ้ รทั ธาต่อพระผูเ้ ป็นเจ้านน้ั มี 3 ระดบั ได้แก่ ระดับที่ 1 ผู้คนท่ผี ่านขอบวงกลมนอก แต่ไม่ผา่ นขอบวงท่ีสอง วงกลมนอกสุด เรียกว่า “วงกลมแห่งอิสลาม” วงนี้รวมเอาผู้ใดก็ได้ที่ได้กล่าว “ชะ ฮาดะฮุ” ทั้งสอง (คาปฏิญาน) (คาปฏิญาณทั้งสอง ซึ่งมุสลิมใช้นั้น กล่าวคือ 1. ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอลั ลอส 2. ศาสดามหุ มั มดั เป็นศาสนทูตของพระองค์) และยืนหยัดการละหมาด โดยที่เขาไม่ กระทาสิ่งใดๆ ที่เป็นเหตุให้สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม แม้ว่าเขาจะกระทาบาปฝ่าฝืนต่างๆ และ แม้ว่าเขาจะกระทาสิ่งท่ีเป็นอุตริกรรมก็ตาม ผู้คนที่อยู่ใน “วงกลม” วงนี้ คือชาวสวรรค์ แม้ว่าพวกเขา อาจอยู่ใน“ระดับผู้ศรัทธาท่ีต่ากว่ามาตรฐาน” ซ่ึงสมควรท่ีจะได้รับโทษ อันเน่ืองจากบาปที่พวกเขาได้
9 กระทาหรือเนื่องจากอุตริกรรมที่พวกเขาได้กระทาลงไปก็ตาม แต่ในท้ายท่ีสุดเขาก็ได้รับสวรรค์ อัน เนื่องจากเขายังคงมี “เตาฮีด” หรือการยึดม่ันศรัทธาในความเป็นหน่ึงของอัลลอฮ ดังน้ัน คนที่มิได้ผ่าน เสน้ นอกสุด คือผทู้ ีต่ ัง้ ภาคกี ับอัลลอฮ เขาจะไม่มที ่ียืนอยู่ในวงกลม ไม่ว่าตรงจุดไหนและเขาจะไม่ได้เข้าสู่ สวนสวรรค์ ดังพระดารัสของอัลลอฮ ว่า َإِنمهُ َمن يُ ْشِرْك ِبّلمِل فََق ْد َحمرَم اّلملُ َعلَْيِه اْْلَنمة “ แท้จริงผู้ใดตง้ั ภาคแี ก่อัลลอฮ แนน่ อนอัลลอฮจะทรงให้สวรรคเ์ ปน็ ที่ตอ้ งห้ามแกเ่ ขา” (อัลกรุ อา่ น, บทอัลมาอิดะฮ์ :72) และทา่ นนบไี ดก้ ลา่ ววา่ \"\"أَنمهُ لَ يَْد ُخ ُل اْْلَنمةَ إِل نَْف مس َم ْسلَ َمةم “ ...จะเข้าสวรรคม์ ิได้ เวน้ แต่ชวี ิตทีย่ อมจานนต่ออลั ลอฮ (นฟั ซุน มุสลิมะตนุ ) เท่านัน้ ” (รายงานโดย มุสลิม) อยา่ งไรกต็ าม ผู้ที่ผา่ นเสน้ วงกลมรอบนอก แต่ไม่ผ่านเส้นวงกลมทสี่ อง ย่อมเปน็ ผู้ ศรัทธาท่ีตา่ กวา่ มาตรฐาน ระดบั ท่ี 2 ผคู้ นทผ่ี ่านเสน้ วงกลมทีส่ อง วงกลมเส้นท่ีสองเป็นวงกลมที่เรียกว่าวงกลม “ฟิรเกาะฮ นาญียะฮ” (กลุ่มชนท่ีรอด พ้น) ซ่ึงอยู่ภายใน “วงกลมอิสลาม” อีกทีหนึ่ง สาหรับวงกลมที่สองน้ีเป็นวงกลมของผู้ท่ีพ้นจากสภาพ การปฏบิ ัตติ ามส่ิงท่ีเป็นอุตริกรรม ปลอดจากสภาพท่ีตกลงไปสู่อารมณ์ใคร่ต่างๆ พวกเขากระทาความดี ท่ีศาสนาสั่งใช้และออกห่างจากสิ่งที่ศาสนาสั่งห้าม ตามระดับมาตรฐานท่ีศาสนาได้กาหนดไว้ หลักฐาน วงกลมนี้อยูใ่ นส่วนของโองการในกรุ อาน วา่ ،إِلَمَعللم َُوكأَنْمتُمتَ ُْهّمتَ ُدْسلِوَُمنوَن َتُوتُ من َوَل تَُقاتِِه ااتمّلمُقِلواََاِجّيلملًعَا ََحوَملق آَِِمبَنْبُ ِوال أَُيَّوَاهاْعتَالمِصِذيُمَنوا َي ..... ۖ تَ َفمرقُوا “โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงยาเกรงอัลลอฮอย่างแท้จริงเถิด และพวกเจ้าจงอย่าตายเป็นอันขาด นอกจาก ในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้ยอมจานนโดยสิ้นเชิงเท่านั้น พวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮโดยพร้อมกัน ทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน ... เพอื่ วา่ พวกเจ้าจะได้รับแนวทางอนั ถกู ต้อง (อาลอิ ิมรอน : 102-103) หลกั ฐานจากหะดีษที่กลา่ วถงึ “กลุ่มที่รอดพ้น” (จากไฟนรก) นีม้ ีหลายบทตวั อยา่ งเช่น َوَوا ِح َدةم ِف، َوتَْفَِت ُق أُمِت َعلَى ثَلَاث َو َسْبعِ َي ِملمًة ُكُلُّه ْم ِف النما ِر إِمل ِملمةً َوا ِح َدًة ثِْنتَا ِن َو َسْبعُوَن ِف النما ِر (4597) َوِه َي اْْلََما َعةُ) رواه أبو داود، اْْلَنمِة
10 “... แนน่ อนประชาชาติของฉนั จะแตกออกเปน็ 73 กล่มุ และกล่มุ เดียวท่ีอยู่ในสวรรค์ อีก 72 กลุ่มอยู่ใน นรก มีผูถ้ ามวา่ “โอ้ เราะสลู (ศาสนทตู )ของอัลลอฮ พวกเขา(ที่ได้เข้าสวรรค์นั้น)เป็นใคร?” ท่านตอบว่า “อัลญะมาอะฮ” (รายงานโดยอบูดาวูด) ญามาอะฮ หมายถึง ผู้คนท่ียึดม่ันร่วมกันบนสัจธรรม ไม่แตกแยก หรือบางรายงาน ระบุว่า “แนวทางท่ีฉันและสหายของฉนั เปน็ อยู่” คาว่าฉนั ในท่ีนห้ี มายถงึ ศาสนทูตของอลั ลอฮ ระดับท่ี 3 ผู้คนท่ีผา่ นเส้นวงกลมในสดุ วงกลมท่ี 3 เปน็ วงกลมท่ีแคบท่ีสุด คือวงกลมที่เรียกว่า “ฎออิฟะฮ มันศูเราะฮ” (กลุ่ม แห่งชัยชนะ) ซ่ึงอยู่ในวงกลม “ฟิรเกาะฮ นาญียะฮ” (กลุ่มชนท่ีรอดพ้น) อีกทีหน่ึง พวกเขาคือ กลุ่มชน ต้องแบกภาระการปกป้องความศรัทธาอันหนักหน่วงไว้บนบ่า ต้องปกปักรักษาแก่นแท้ของคาสอน อิสลาม ต้องชธู งแห่งสัจธรรมขน้ึ ... พวกเขาเหล่านคี้ ือ กลมุ่ ชนท่ดี ีเลิศที่สุด ประเสริฐที่สุด เป็นกลุ่มชนที่ ตอ้ งแบกภาระหนักที่สุด และมีสถานะสูงส่งที่สุด หลักฐานวงกลมนี้อยู่ในส่วนของโองการท่ีต่อเน่ืองจาก โองการขา้ งต้น วา่ َولْتَ ُكن ِمن ُك ْم أُمةم يَْدعُوَن إَِل اْْلَْيِر َوََيُْمُروَن ِبلْ َم ْعُرو ِف َويَْن َهْوَن َع ِن الْ ُمن َكِر َۖوأُوَٰلَئِ َك ُه ُم الْ ُمْفلِ ُحوَن “จงใหม้ ีขึ้นจากพวกเจา้ ซงึ่ กลุม่ นี้ทีจ่ ะเชญิ ชวนไปสู่ความดีและใช้ใหก้ ระทาสงิ่ ทชี่ อบและห้ามมิให้กระทา สง่ิ ที่มชิ อบและชนเหลา่ นแ้ี หละพวกเขาคือผไู้ ดร้ ับความสาเรจ็ (อัลกรุ อา่ น, บทอาลอิ ิมรอน: 104)” หลักฐานสาหรับกลมุ่ น้ปี รากฏในฮะดีษหลายบทที่เรียกวา่ ฮะดษี ฎออีฟะฮ มนั ศเู ราะฮ ดงั ตวั อยา่ ง َحّمت يَُقاتِ َل آ ِخُر ُه ُم الْ َم ِسي َح ال مد مجا َل، ظَا ِهِري َن َعلَى َمن َنَوأَُه ْم،لَ تََزا ُل طَائَِفةم ِم ْن أُمِت يَُقاتِلُوَن َعلَى اْْلَِق “จะยังคงมีกลุ่มหน่ึงจากประชาชาติของฉัน ซึ่งได้ต่อสู้บนสัจธรรม มีชัยชนะอย่างกระจ่างชัดต่อผู้ที่ ต่อต้านพวกเขา จนกระท่ังรุ่นหลังสุดของพวกเขาจะได้ต่อสู้กับอัลดัจญาล(อธรรม)” (รายงานโดย อบูดาวูด) ฎออฟี ะฮ มันศูเราะฮ หรือกลมุ่ ในวงกลมทีส่ าม มคี วามโดดเด่นที่สุด ดังท่ีชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ ได้อธิบายหะดีษนี้ เช่ือมโยงเข้ากับหะดีษอีกชุดหน่ึงเรียกว่า หะดีษฆุรอบาอ์(เหล่าคน แปลกหนา้ ทง้ั หลาย) ทีแ่ สดงถึงความโดดเด่นเอาไว้ ดังตอ่ ไปนี้ ،فَطُوَب لِْلغَُرَِبِء، َ َو َسيَعُوُد َغِريبًا َك َما بََدأ،بََدأَ اِْل ْسلَامُ َغِريبًا
11 “อสิ ลามเรมิ่ อยา่ งแปลกหน้า และมนั จะกลับมา ด่ังที่มันเคยเร่ิมมาอยา่ งแปลกหนา้ ดังนน้ั ความดที ี่ไม่ส้นิ สดุ (หรอื สวรรค์)เป็นของเหล่าคนแปลกหนา้ ท้ังหลาย(ฆุรอบาอ์)” (รายงานโดยมุสลมิ ) 1.4 คณุ สมบัติของหัลเกาะฮ สาหรบั คุณสมบตั ิของหลั เกาะฮนน้ั ไม่ได้เปน็ กฏระเบยี นท่ตี ายตัวเสมอไปว่าจะต้อง เปน็ ไปในลกั ษณะหนึง่ ลกั ษณะใด ที่มิอาจเปลย่ี นแปลงได้ ทั้งนี้โดยทว่ั ไปแลว้ หัลเกาะฮทจ่ี ัดข้นึ ในปจั จบุ ัน น้ีจะประกอบดว้ ยลักษณะดงั น้ี ส่วนในเร่ืองความเข้าใจหวั ข้อตา่ งๆนั้นคงต้องผา่ นการศึกษาและการ พูดคุย การทาความเข้าใจเพิ่มขึน้ เชน่ (อา้ งใน www.iqraonline.org/forum/indexe364.html) ก. การตรั บยี ะฮ คือ การอบรม ขัดเกลาจิตใจ เพ่ือให้เปน็ คนดี ข. มฮุ ิบบะฮ คือ การมีความรัก มีความผูกพันไมตรกี นั ในกลุ่ม ค. อิลมยี ะฮ คือ มีวิชาการ พยายามใหส้ มาชกิ ในกล่มุ เปน็ ผู้ทม่ี คี วามรู้ ง. อุควะฮ คอื สรา้ งบรรยากาศเปน็ พนี่ ้อง จ. ตซั กียะฮ คือ บอกถึงความดี 1.5 ส่งิ ทคี่ วรเกิดขึ้นจากการจัดหลั เกาะฮฺร่วมกนั มัจญด์ ี อัลฮีลาลีย์ (อ้างถึงใน อนัส แสงอารีย์) ท่านได้กล่าวว่า “เส้นทางท่ีเราคิดว่าจะ นาพาไปสู่ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺนั้น ถูกรวบยอดอยู่ในประโยคเดียวแต่ต้องอาศัยการแจง รายละเอียด ประโยคน้ันคือ จงมุ่งมั่นสู่การปฏิรูปตนเองและเรียกร้องเชิญชวนผู้อ่ืนสู่การยอมจานน ต่ออัลลอฮฺ” มีความจาเป็นอย่างย่ิงท่ีมุสลมิ ทกุ คนต้องปฏิรูปตนเองไปพร้อมๆกับการดะวะฮฺ(การเผยแผ่) เพือ่ เรียกร้องคนอน่ื สกู่ ารจานนต่ออัลลอฮฺ สิ่งเหล่านี้เป็นบุคลิกภาพที่ควรได้รับการสนับสนุน ดังน้ันหาก ขาดข้อหน่ึงข้อใดไป อาจจะทาให้เกิดความบกพร่องในการทางานเพ่ือศาสนาได้ สาหรับการดะวะฮฺใน ปจั จบุ นั นี้นน้ั ก็ไม่มีรูปแบบแน่นอนว่าต้องเป็นไปแบบหน่ึงแบบใด เพราะการดะวะฮฺที่แท้จริงคือการเชิญ ชวนไปสู่อัลลอฮฺ มากกว่าการเชิญชวนไปสู่แนวคิดหนึ่งแนวคิดใด หรือญามาอะห์(กลุ่ม)หนึ่งญามาอะห์ ใด เพราะสนามของการดะวะฮฺนั้นเป็นญามาอะห์เดียวกันทั่วโลก แต่ท้ังนี้ การรวมตัวกันสาหรับคนที่มี แนวคดิ เดียวกันนนั้ กเ็ ป็นส่วนหน่ึงที่จะทาให้การดะวะฮฺเกดิ ผลสาเรจ็ ข้ึน สาหรับแนวทางการดะวะฮฺ(การเผยแผศ่ าสนา) ในปัจจุบันน้ีมีหลากหลายมากก็ขึ้นอยู่ กบั ความสามารถและความถนดั ของแต่ละคนท่ีจะมาประยกุ ต์ใช้เพ่ือเผยแพร่อิสลามให้ออกไปได้ เช่น ก. ผลิตตาราเกีย่ วกบั อสิ ลาม ข. วารสาร หนังสือพิมพ์ หรือสิง่ พิมพ์เก่ยี วกับอสิ ลาม ตลอดจนการนาไอทีมา ประยุกต์ใช้เพ่อื การเผยแพร่ ค. คุตบะฮฺ การบรรยาย การสอนตามมัสยิดและตามบ้าน ง. การดะวะฮฺรายบคุ คล การออกเย่ียมเยยี นหรือการทัศนาจรและการกลุ่มศึกษา ร่วมกัน
12 จ. เปิดอบรมหลักสูตรระยะสัน้ (เดาเราะห)์ เพ่อื การศึกษาอิสลาม โดยในแต่ละหลักสูตร นั้นก็ให้พิจารณาตามสภาพของผู้เข้าร่วม สาหรับในการจัดอบรมน้ัน ควรมีการจัดเตรียมโปรแกรม อาจารย์ผู้ฝึกอบรม กาหนดการต่างๆให้เรียบร้อย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมสามารถเก็บเก่ียวความรู้ได้ มากท่สี ุด ฉ. การทบทวนบทเรยี นร่วมกัน(มูซาการอฮฺ) เพราะการทบทวนในลักษณะนีม้ ีส่วน อยา่ งมากต่อการสร้างความเข้าใจตอ่ ตัวทบมากขน้ึ อีกทง้ั เป็นการช่วยเหลอื กนั ในการแก้เรอ่ื งทยี่ ากๆได้ อกี ดว้ ย ช. เปิดโรงเรียนสอนศาสนา เพ่ือผลติ มุสลมิ เป็นนักเผยแผ่หรอื นักดะวะฮทฺ ่มี ีศักยภาพ 1.6 ส่งิ ทีค่ าดได้จากการทาหลั เกาะฮฺ การปรับปรงุ ตนเอง ดงั ต่อไปนี้ ก. เป็นมสุ ลิมในดา้ นอากีดะฮฺ คอื ศรัทธา มีความเชอ่ื ม่นั ตอ่ พระผเู้ ปน็ เจา้ องค์เดยี ว ข. เปน็ มสุ ลมิ ในด้านอิบาดะฮฺ คอื การปฏบิ ัติศาสนกิจอยา่ งครบถว้ น ค. เป็นมุสลิมในดา้ นจรรยามรรยาทท่สี ูงส่ง ง. เป็นมุสลิมในด้านวิชาความรูท้ ี่กวา้ งขวาง จ. เปน็ มุสลมิ ในด้านการเสียสละเพื่ออลั ลอฮฺ ฉ. เป็นมุสลิมในดา้ นการเอาชนะอารมณ์ตนเอง ช. เป็นมสุ ลมิ ในด้านการเป็นนักเผยแผ่ศาสนาที่คณุ ธรรมสงู สง่ รูปแบบกระบวนกำรหลั เกำะฮ์ 1. หลกั กำรหัลเกำะฮ์ หลักการการหัลเกาะฮ์ในการดาเนินกลุ่มศึกษามี 3 ประการผู้ที่เป็นสมาชิกที่จะต้อง ปฏิบตั ิและทาความเข้าใจดงั น้ี (Ya’qob Muhammad Husin: 2008, ยะฮกู๊บ สืบสุข 2555, หะซัน อัล บันนา: 1985) 1.1. อัตตะอำรุฟ (การทาความรู้จัก) สมาชิกกลุ่มศึกษาหัลเกาะฮ์ จะต้องมีความรู้จัก อยา่ งลึกซ้งึ ระหวา่ งกัน ซ่ึงมุร็อบบีย์จาเป็นต้องจัดการให้สมาชิกทุกคนให้เป็นพี่น้องเสมือนพี่น้องของตน และพยายามห่างไกลจากสิ่งที่จะทาให้ความผกู พนั ในกลุ่มนนั้ เกิดการแตกแยกกัน เช่น การทะเลาะเบาะ แว้งกนั การไมพ่ ูดคยุ กัน การทาใหเ้ กิดไม่พอใจกัน เป็นตน้ 1.2. อตั ตะฟำฮุม (การทาความเข้าใจ) หลักการนี้เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มหัลเกาะฮ์ ให้มี ความเข้าใจตรงกัน ยอมรับการตักเตือนซึ่งกันและกันด้วยการเปิดใจให้กว้างโดยไม่มีความรู้สึกไม่พอใจ ต่อผู้ตักเตือน เปิดอกให้กว้างเพื่อยอมรับในความคิดท่ีแตกต่างและยอมรับในความเข้มแข็งและความ
13 อ่อนแอของสมาชิกกลุ่ม ซึ่งเป็นลักษณะปกติของกลุ่มสมาชิกที่มีความเข้มแข็งและความอ่อนแอ จาเปน็ ต้องเคารพและใหเ้ กียรติซงึ่ กนั และกัน 1.3. อตั ตะกำฟุล (การช่วยเหลือซึง่ กนั และกัน) สมาชิกทุกคนจาเป็นท่ีจะต้องปฏิบัติใน เร่ืองการชว่ ยเหลอื ระหวา่ งกล่มุ สมาชิกด้วยกัน พวกเขาไม่อาจท่ีจะปล่อยสมาชิกคนใดคนหน่ึงตกภายใต้ ความยากลาบากเพยี งคนเดียวพวกเขาในกลุม่ จาเปน็ ต้องแบกภาระรว่ มกันในการช่วยเหลือ สมาชิกกลุ่ม ของพวกเขาเอง 2. องคป์ ระกอบของหลั เกำะฮ์ การจัดหัลเกาะฮ์ จะมีประสิทธิภาพต้องมีองค์ประกอบสาคัญดังนี้ ( Ya’kub Muhammad Husin 2008 : 25) 2.1. มุร็อบบีย์ บุคคลทท่ี าหน้าที่เป็นแกนนากลุ่มศึกษาหัลเกาะฮ์ โดยได้รับการแต่งตั้ง โดยกลุ่มหรือองค์กร มีคุณสมบัติ 4 ประการ คือ 1) มีความเข้าใจดีในหลักการศาสนาอิสลาม 2) มี ประสบการณแ์ ละเคยสมั ผสั กับกลมุ่ แกนนาเปน็ ระยะเวลาที่เหมาะสม 3) เป็นคนมีอายุที่อาวุโสและสุขุม 4)และมคี วามสามารถในการนากลุ่มศกึ ษาหากไดภ้ าษาหลายๆภาษาจะเป็นส่ิงท่ีดีสาหรับผู้เป็นมุร็อบบีย์ 2.2. หลกั สูตร เป็นเน้ือหารายวชิ าทีป่ ระกอบการจดั กจิ กรรมหัลเกาะฮ์ ซึ่งจะมีบทบาท มากในการที่จะใหก้ ลุม่ สมาชิกจะไดร้ ับและเข้าใจ หลักสูตรน้ีมิใช่แค่จะให้ความรู้ทางวิชาการอย่าง เดียว แต่เป็นการสร้างแนวคิดให้เข้าใจถึงการดาเนินชีวิตตามครรลองอิสลาม เพราะแหล่งท่ีมาของหลักสูตร น้ันมาจากอัลกุอาน หะดีษของท่านนบีมูฮัมมัด ความเข้าใจของอุลามาอฺท่ีได้รับการยอมรับและเช่ือถือ ตลอดระยะเวลาการมีชีวิตของประชาชาติ ซึ่งประกอบด้วยเน้ือหาหลักศรัทธา อัลกุรอานและตัฟสีร ศาสนบัญญัติ ประวตั ศิ าสตร์ หะดีษ แนวคดิ อิสลามและประเด็นร่วมสมัย 2.3. กำรดำเนินกำรหัลเกำะฮ์ ข้ันตอนหรือวิธีการปฏิบัติกิจกรรม หัลเกาะฮ์โดย หลักการทั่วไปสมาชิกท่ีมาเข้าร่วมกิจกรรมหัลเกาะฮ์จะได้ความรู้ความเข้าใจท่ีได้รับการ นาเสนอ แลกเปลย่ี นเรยี นรู้ในกลมุ่ ศึกษา หลักการดาเนนิ การหลั เกาะฮ์ท่ีแท้จริงน้ัน มิใช่แค่ให้ความรู้ ความเข้าใจ ในเนื้อหาอยา่ งเดียว แตเ่ ป็นการบูรณาการระหว่างกิจกรรม ความรู้และพัฒนาจิตวิญญาณ ให้สมาชิกได้ ซมึ ซับเข้าสู่หัวใจ ฉะนั้น หลักการดาเนินการหลั เกาะฮ์ จาเปน็ ต้องมคี วามแตกต่างกับการให้ความรู้ทั่วไป ดังน้ี 2.3.1. มิใช่การให้ความรู้ด้านเดียว นอกจากสมาชิกได้รับความรู้จากมุร็อบบีย์ หรือผนู้ าเสนอเนอ้ื หาแลว้ ในกล่มุ นน้ั จะต้องมีการโตต้ อบหรอื ถกบางประเดน็ เพ่ือให้สมาชิกได้รับ ความรู้ จากการวิเคราะหส์ ังเคราะหแ์ ลว้ มาสรุปเปน็ บทเรยี นเพ่ือให้สมาชกิ ในกลุ่มไดเ้ ขา้ ใจในเน้อื หาอย่างลึกซึ้ง 2.3.2. เน้ือหาการจัดหัลเกาะฮ์ ได้รับการยกระดับของสมาชิกนอกจากเน้ือหา ท่ี สมาชกิ ไดน้ าเสนอแลว้ มุรอ็ บบีย์จะต้องให้แนวคิดการพัฒนาและเป็นเพ่ิมศักยภาพของสมาชิกด้านต่างๆ
14 เช่น ด้านจริยธรรม ด้านสังคม ด้านวิชาการ และอื่นๆ เป็นต้น เพ่ือเป็นการปลูกฝังให้สมาชิก ได้รับรู้ ภาระหน้าที่ตา่ งๆทีม่ ตี ่อตนเองและสงั คม 2.3.3. สร้างบรรยากาศของความเป็นพ่ีน้อง จาเป็นสาหรับมุร็อบบีย์ต้องสร้าง บรรยากาศของความเป็นพี่น้องในกลุ่มสมาชิกด้วยกัน เพราะมันเป็นหลักการของกิจกรรมหัลเกาะฮ์ ที่ สร้างความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นเพื่อให้สมาชิกสานึกในศาสนาอิสลาม มีความเข้าใจในความหมายของ ความเปน็ พนี่ ้อง พร้อมทีจ่ ะรบั ผดิ ชอบร่วมกันในกลุ่มสมาชิกด้วยกนั 2.3.4. กิจกรรมหัลเกาะฮ์ไม่สามารถที่จะดาเนินการเพียงคนเดียวได้ มุร็อบบีย์ เพียงแค่รับผิดชอบในการดาเนินการหัลเกาะฮ์ ในฐานะเป็นแกนนากลุ่มศึกษาเท่าน้ัน ไม่ใช่เป็นคน ให้ แนวคดิ หรอื ความรอู้ ยคู่ นเดียว หรือคนใดคนหน่งึ ในกลุ่มสมาชิกมีการพูดอยู่คนเดียวไม่มีการแลกเปล่ียน ปรากฏการณ์ เช่นน้ีจะทาให้สมาชิกอ่ืนๆไม่มีแรงจูงใจในการดาเนินการหัลเกาะฮ์และรู้สึกไม่พอใจต่อ กิจกรรมดงั กล่าวได้ 2.3.5. ไม่พูดตักเตือนแบบเจาะจงในการดาเนินการกิจกรรมหัลเกาะฮ์ บรรดา มุร็อบบีย์ควรจะระมัดระวังในการตักเตือน เพื่อให้สมาชิกไม่รู้สึกถูกตักเตือนเขาคนเดียวในบรรดา สมาชกิ ทั้งหมด ถงึ แม้มรุ ็อบบียร์ วู้ า่ สมาชิกคนนีม้ คี วามผิดหรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม สมควรที่ จะต้อง แนะนาแบบองค์รวมและใชว้ ทิ ยปญั ญาในการตกั เตือนเน่ืองจากโอกาสทจ่ี ะออกจากการเป็น สมาชิกได้ 2.3.6. รกั ษาเวลาเพอ่ื ไม่ให้ดาเนนิ การกิจกรรมนานเกนิ ไป ผลจากการทาหัลเกาะฮ์ ขึ้นอยู่กับเวลา ฉะนั้น การกาหนดเวลาการจัดกิจกรรมหัลเกาะฮ์ มุร็อบบีย์จะต้องรักษาเวลาไม่ ควร อย่างยิ่งในการยืดเวลา จะก่อให้เกิดความเบ่ือหน่ายต่อกิจกรรมหัลเกาะฮ์ และเป็นผลเสียต่อกิจกรรม ดังกล่าว ดังนั้น การเร่ิมต้นกิจกรรมและการเลิกกิจกรรมขอให้เป็นตามเวลาที่กาหนดโดยกลุ่ม สมาชิก และมุรอ็ บบียต์ กลงร่วมกัน 2.3.7. ไม่ปล่อยให้บรรยากาศกิจกรรมหัลเกาะฮ์ เป็นบรรยากาศแห่งการเล่น หยอกล้อกนั เปน็ เร่ืองทีส่ าคัญสาหรบั มุร็อบบีย์ท่ีจะต้องแนะนาอย่างสม่าเสมอ ไม่ให้เกิดบรรยากาศการ หยอกล้อกัน เพราะว่ากิจกรรมหัลเกาะฮ์เป็นกิจกรรมให้ความรู้ทางวิชาการ และจิตวิญญาณ ฉะนั้น สมาชิกตอ้ งมีความต้ังใจและใส่ใจต่อกิจกรรมดงั กล่าว . 2.3.8. พยายามให้สมาชิกเข้าสู่ญามาอะฮมุร็อบบีย์มีความจาเป็นจะต้องพยายาม ทาความเข้าใจสู่การเป็นญามาอะฮตามสถานการณ์และช่วงเวลาที่เหมาะสม และให้มีภาระหน้าที่แก่ สมาชิกได้ทางานร่วมกันอย่างเป็นญามาอะฮ์ ด้วย 2.3.9. มีการใคร่ครวญตนเองในกิจกรรมหัลเกาะฮ์ จาเป็นสาหรับมุร็อบบีย์ที่ จะต้องใคร่ครวญตนเองและดาเนินใคร่ครวญสมาชิกในกลุ่มถึงเร่ืองต่างๆ เช่น การทาอิบาดะฮ ครอบครวั ฐานะทางการเงนิ แนวคิดอิสลาม อามลั อสิ ลามีย์
15 2.3.10. ขนั้ ตอนการดาเนินการหัลเกาะฮ์ มขี ั้นตอน ดังนี้ (1) มาถงึ สถานทต่ี ามเวลาท่ไี ด้กาหนดไว้ (2) สมาชิกน่งั เปน็ วงกลม หัวเขาติดกันเพ่อื เตรียมความเข้าสกู่ จิ กรรมหัลเกาะฮ์ (3) มุรอ็ บบียเ์ กร่ินนาแก่สมาชกิ การเข้าร่วมกิจกรรมหัลเกาะฮ์ (4) อ่านอัลกรุ อานและตัฟสรี (5) นาเสนอเนอ้ื หารายวิชา (6) การถกประเดน็ เกยี่ วกับเนือ้ หาท่ไี ด้นาเสนอ (7) นาเสนอประเด็นรว่ มสมยั และรว่ มกันวเิ คราะหส์ งั เคราะห์ (8) สรปุ ผลจากการเข้าร่วมกจิ กรรมหลั เกาะฮ์ (9) เลกิ กิจกรรม 2.4. มุตะรอ็ บบียบ์ ุคคลทีเ่ ขา้ ร่วมเปน็ สมาชิกกลมุ่ ศึกษา จานวน 3 – 15 คน อยู่ภายใต้ การดแู ลของมุร็อบบีย์และปฏบิ ัตติ ามกิจกรรมหัลเกาะฮ์ โดยมีเง่ือนไขดังนี้ 2.4.1 ปัจเจกบคุ คลน้นั ต้องเรียบร้อยสะอาด 2.4.2 พรอ้ มทีจ่ ะเรยี นรแู้ ละปฏบิ ัตติ ามกาหนดการกจิ กรรมหลั เกาะฮ์ 2.4.3 มคี วามตั้งใจและมงุ่ มนั ทจี่ ะเปล่ียนแปลงตนเองและผู้อน่ื 2.4.4 ปฏบิ ตั ิละหมาดใหค้ รบ 5 เวลา 2.4.5 มีความเห็นใจตอ่ ปญั หาเก่ยี วกับอิสลาม 3. วัตถุประสงค์หลั เกำะฮ์ หัลเกาะฮ์ท่ีดาเนินการอย่างสม่าเสมอนั้นมีประโยชน์ต่อการพัฒนาปัจเจกบุคคล เพราะว่า การมาพบกันอยา่ งสมา่ เสมอน้นั สมาชกิ ไมใชแ่ ค่เพียงศึกษาอิสลามเท่านั้น แต่จะศึกษาถึงการ มีส่วนร่วมในการทางานร่วมกัน แลกเปล่ียนการเป็นผู้นาและผู้ตาม จะศึกษาถึงวินยัและกฎระเบียบที่ ทางสมาชิกในกลุ่มได้ร่วมกาหนดไว้ ศึกษาถึงวิธีการวิเคราะห์ สังเคราะห์เนื้อหาและการนาเสนอ ความคดิ เห็นตา่ งๆ ศึกษาการตัดสินใจของสมาชิกในกลุ่มร่วมกันและจะศึกษาถึงการส่ือสารระหว่างกัน สิ่งเหล่านี้เป็นส่ิงสาคัญในการพัฒนาปัจเจกบุคคลเพ่ือคนๆหนึ่งได้บรรลุถึงเป้าหมายของชีวิต (SatriaHadiLubis, 2006: p.7) Ali Abdul Halim Mahmud (2005 : p.138 – 144 ) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ หลั เกาะฮ์ ดังน้ี 1 . เ พื่ อ ส ร้ า ง ปั จ เ จ ก มุ ส ลิ ม ใ ห้ มี ค ว า ม ส า นึ ก ว่ า อิ ส ล า ม เ ป็ น วิ ถี แ ห่ ง ก า ร ด า เ นิ น ชี วิ ต 2.เพอ่ื สรา้ งความเปน็ พน่ี อ้ งในกลมุ่ สมาชกิ ให้มีความเขม็ แขง็ ไมว่ ่าจะอยู่ในสงั คมหรือ องคก์ รกต็ าม
16 3.เพ่ือสนับสนุนในความดีและสัจธรรมท่ีมีอยู่ในตัวของมุสลิมและโน้มน้าว ให้มีความ เสียสละ ทุ่มเทไปสเู่ ป้าหมายของศาสนา 4.เพื่อเปน็ การป้องกันในสง่ิ ท่ีเปน็ อันตรายและเสอ่ื มเสียตอ่ สมาชิก 5.สร้างความภาคภูมิใจต่ออิสลามด้วยการสร้างความมุ่งมั่นต่อการมีคุณธรรม จรยิ ธรรมในกิจวตั รประจาวนั ทั้งในยามที่มคี วามสุขหรือทุกข์กต็ าม 6.ศึกษาวิเคราะห์ ปัญหาและอุปสรรค เก่ียวกับการปฏิบัติอิสลามที่มีต่อสมาชิกและ เสนอการแนวทางแก้ปญั หาอย่างละเอยี ดด้วย 7.สรา้ งความเข้าใจอย่างลกึ ซ้งึ เกยี่ วกับงานดะวะฮ(เผยแผ่)และองคก์รในหม่สู มาชกิ 8.ปลูกฝังและพัฒนาทักษะ การบริหารและการทางานองคก์ร 9.ทางานรว่ มกันระหว่างกลมุ่ สมาชกิ หัลเกาะฮ์เพื่อให้เห็นถึงปัญหาและ อุปสรรคต่างๆ ของกลุ่มตน ในขณะเดียวกัน Muhamad Ruswandi dan Rama Adeyasa (2007 : p.6) ได้ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของหัลเกาะฮ์ที่มีต่อสมาชิกกลุ่มศึกษาหมายถึง เป็นการพัฒนาด้านปัจเจกบุคคล ดังน้ี 1.เพอ่ื ปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ภาคบังคบั 2.เพื่อให้สมาชิกมคี วามสนใจตอ่ ประเดน็ ปญั หาเกีย่ วกับอสิ ลาม 3.เพอ่ื สรา้ งบคุ ลกิ ภาพท่ีดีงามและมีความพรอ้ มทจ่ี ะรับฟังการตักเตือน 4.เพื่อสร้างพฤติกรรมเพอื่ พัฒนาตนเองและเปลี่ยนแปลงผู้อ่ืน 5.เพอ่ื ให้เกิดความพรอ้ มทจ่ี ะรับในสง่ิ ที่ไดป้ ระโยชนจ์ ากการเผยแผ่อสิ ลาม Ya’qob Muhammad Husin (2008: p.14 – 15 )ได้กล่าวถึงวัตถุประสงคข์อง หลั เกาะฮ์ ดงั นี้ 1.เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริงและชัดเจนเก่ียวกับอิสลามแก่สมาชิกเพื่อให้สมาชิก ไดใ้ ชค้ วามรู้มาปฏบิ ัติในชวี ิตประจาวนั และแก้ปญั หาเก่ียวกบั ศาสนาเบ้ืองต้นได้ 2.เพอ่ื เป็นการยกระดบั วิถชี ีวิตสู่การดาเนนิ ชีวติ ตามวถิ ีอิสลาม (อามัลอิสลามีย์) และมี ความรู้สึกรับผิดชอบปกป้อง ความดีงามและความสูงส่งของอิสลามทั้งท่ีเป็นปัจเจกบุคคลและองค์กรก็ ตาม 3.เพื่อสร้างความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นและความเข้มแข็งที่ม่ันคงของความเป็นพี่น้อง และปลกู ฝังเก่ียวกับการทางานเปน็ กลุ่ม (ญะมาอีย)์
17 4.เพ่ือสร้างแนวความคิดในการทางานร่วมกันในกลุ่มสมาชิกและให้ ความสาคัญต่อ การขับเคล่ือนในรูปแบบการทางานเป็นทีม หรือกลุ่มตามหลักการทางานแบบอิสลาม หรือการตัดสินใจ ของกลมุ่ หรอื องคก์ ร 5.เพื่อให้สมาชิกอยู่ในแนวทางของญะมาอะฮ(องค์กร) หรือให้ขับเคลื่อนใน กรอบใน การพฒั นาสมาชกิ ไม่วา่ จะเป็นการพัฒนาดา้ นปจั เจก สงั คมและการบริหารองคกร์ 6.เพื่อเป็นการประสานกันในการจัดกิจกรรมึซ่งเป็นการเรียนรู้การเสียสละจาก ประสบการณ์การทางานองคกร์ อิสลามท่ัวโลก 7.เพ่ือเป็นการพัฒนา การอบรมหรือบ่มเพาะสมาชิกให้ออกมาในลักษณะกิจกรรมท่ี สามารถกระทาได้อย่างแท้จริง อาทิ มีการแสดงจุดยืน สุขภาพร่างกาย ความเข้าใจความรู้ ทางวชิาการ และบุคลกิ ภาพ จากการนาเสนอของนักวิชาการเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของหัลเกาะฮ์ สามารถสรุปได้ ดังน้ี 1.เพื่อเปน็ การพัฒนาจิตวญิ ญาณของสมาชิกให้เกดิ ความเข้มแข็งไม่ว่าจะเป็นการศรัทธา และปฏบิ ัติ 2.เพื่อพัฒนาด้านสติปัญญาของสมาชิกโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ต่างๆที่ ได้จาก การทาหลั เกาะฮ์ 3.เพอ่ื เป็นการพัฒนาคณุ ธรรมจรยิ ธรรมของสมาชิกและขัดเกลาออกสู่สังคม โดยเฉพาะ การเปลย่ี นพฤตกิ รรมของตนเองและผู้อื่น 4.เพื่อเป็นการเร่ิมต้นของการทางานองค์กร การทางานเป็นกลุ่มสู่การสร้าง ภาวะ ความเปน็ ผนู้ าและการเผ่ยแผส่ ัจธรรมสสู่ ังคมต่อไป สรุป จุดประสงค์ของหัลเกาะฮ์ ที่มีความจาเป็นอย่างย่ิงที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิรูป ตนเองไปพร้อมๆกับกิจกรรมหัลเกาะฮ์ เพ่ือให้คนอ่ืนสู่การยอมจานนต่ออัลลอฮฺ สามารถแก้ปัญหา ครอบครวั ได้เปน็ อย่างดีเป็นสิ่งที่ควรได้รับการสนับสนุน ดังนั้นหากขาดการทากิจกรรมเช่นน้ี อาจจะทา ให้เกิดความบกพร่องในการทางานเพื่อศาสนาได้ การรวมตัวกันในวงหัลเกาะฮ์ สาหรับคนท่ีมีแนวคิด เดียวกันนัน้ ก็เป็นสว่ นหนง่ึ ทีจ่ ะทาให้การแก้ปัญหาเกดิ ผลสาเร็จข้ึนได้ 2. ทฤษฎสี นทนำ (Focus Group Discussion) การสนทนากลุ่ม หมายถึงการรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลใน ประเด็นปัญหาที่เฉพาะเจาะจง โดยผู้ดาเนินการสนทนา (Moderator) เป็นผู้คอยจุดประเด็นการ สนทนา เพื่อชักจูงให้กลุ่มเกิดแนวคิดและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นหรือแนวทางการสนทนาอย่าง
18 กว้างขวางละเอียดลึกซ้ึง โดยมีผู้ร่วมสนทนาในแต่ละกลุ่มประมาณ 6-10 คน ซ่ึงเลือกมาจากประชากร เปา้ หมายทก่ี าหนดเอาไว้ 2.1 ประโยชนข์ องกำรสนทนำกลุม่ เพื่อใช้ในการศึกษาความคิดเห็น ทัศนคติ ความรู้สึก การรับรู้ ความเชื่อ และ พฤติกรรม และเพ่ือใช้ในการกาหนดสมมติฐานใหม่ๆ และเพื่อใช้ในการกาหนดคาถามต่างๆท่ีใช้ใน แบบสอบถาม และยังสามารถใช้ค้นหาคาตอบที่ยังครุมเครือ หรือยังไม่แน่ชัดของการวิจัยแบบสารวจ เพ่ือช่วยใหง้ านวจิ ยั สมบรู ณ์ยงิ่ ขน้ึ และสามารถใช้ในการประเมนิ ผลทางด้านธรุ กิจ 2.2 ข้อดขี องกำรสนทนำกลุม่ ผู้เก็บข้อมูล เป็นผู้ได้รับฝึกอบรมเป็นอย่างดี เป็นการเผชิญหน้ากันในลักษณะกลุ่ม มากกว่าการสมั ภาษณต์ ัวต่อตวั ใหม้ ปี ฏิกิริยาโต้ตอบกันได้ บรรยากาศของการคุยกันเป็นกลุ่มจะช่วยลด ความกลวั ท่ีจะแสดงความเห็นส่วนตวั 3. ทฤษฎกี ำรแลกเปลย่ี นทำงสังคม (Social Exchange Theory) ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมเกิดข้ึนจากงานเขียนของศาสตราจารย์ยอจน์ โฮแมน (G.C. Hormans) ในปีค.ศ. 1950 หรือ ราวพ.ศ. 2493 ในหนังสือช่ือ The Human Group โดย กลา่ วถึงรูปแบบความสัมพันธ์ของบุคคลน้ันเกิดขึ้นจากกระบวนการ การสร้างความคิด(อธิบายแนวคิด) ท่านได้อธิบายเป็น 2 ระดับ ระดับแรก เป็นการอธิบายการกระทาหรือกิจกรรม (การแสดงออก) ของ บุคคลต่อบุคคลในบริบทของความสัมพันธ์ท่ีเกิดขึ้น ระดับที่สอง คือ การอธิบายปัจจัยที่ก่อให้เกิด ความสัมพันธ์ซ่ึงเกี่ยวกับสถานภาพหรือตาแหน่งของบุคคลและส่ิงท่ีเป็นนามธรรมอยู่ภายในตัวของคน ต่างๆ เช่น ค่านยิ ม ความเชอ่ื การรบั รู้ ความศรทั ธา เป็นตน้ ทฤษฎีการแลกเปล่ยี นทางสงั คมดงั กล่าวขา้ งต้น ไดพ้ ยายามอธิบายให้เข้าใจถึงการเพิ่ม และการสูญเสียอานาจ เหมือนกับกระบวนการแลกเปล่ียนอิทธิพลระหว่างผู้นากับผู้ตามท่ีเกิดขึ้น ตลอดเวลาในการอยรู่ ว่ มกัน ทฤษฎนี ้ีพจิ ารณาบนพน้ื ฐานของกระบวนการมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพือ่ ใชอ้ ธิบายพฤติกรรมของกลมุ่ คนในอนั ซับซ้อน สิ่งสาคัญของการมีความสัมพันธ์กันในสังคมก็เพ่ือแลกเปล่ียนผลประโยชน์หรือความ พอใจด้านต่างๆกัน การนาประสบการณ์น้ันๆมาใช้ได้ ในการดาเนินการแลกเปล่ียนทางสังคม ไม่ใช่แต่ เพียงผลประโยชน์ด้านวัตถุ ยังรวมทางด้านจิตใจ เช่น การถูกยอมรับ ยกย่องและผลกระทบทางจิตใจ อ่นื ๆทุกคนเรียนรู้การแลกเปล่ียนทางสังคมต้ังแต่เยาว์วัย และพัฒนาการแลกเปล่ียนตามความคาดหวัง ของตนเองมากข้ึนและต้องการความยตุ ิธรรมมากขึ้นด้วย(อา้ งองิ www.nrru.ac.th/article/leadership/page2.5.htm) ทฤษฎนี เี้ ชอ่ื ว่าคนเราท้งั ในเรือ่ งความรู้สึกนึกคิด และการกระทา บุคคลคิดและกระทา ก็เพ่ือตอบสนองความรู้สึกท่ีดีให้กับตนเอง เช่น การกระทาที่ทาแล้วเกิดความสบายใจและรวมถึงการ
19 กระทาที่ใหผ้ ลประโยชนท์ ั้งในรปู รางวลั ที่เหน็ ไดแ้ ละไมเ่ หน็ เปน็ รปู ร่างหรอื รางวัลทั้งที่เป็นเศรษฐกิจ และ รางวัลทางสังคม (Tanner, 1977 อ้างถึงในศ.สันทัด เสริมศรี 2551: คาอธิบายความสัมพันธ์ทางสังคม ในบรบิ ททฤษฎีการแลกเปลย่ี นทางสงั คม) 4. ทฤษฎีกลุ่มสัมพนั ธ์ กลุ่มสัมพันธ์ คือ กิจกรรมที่ให้กลุ่มได้เรียนรู้ถึงพฤติกรรม ทัศนคติ และการเข้าใจคน ให้กลุ่มรู้วิธีแก้ไขปัญหา ยอมรับพัฒนาตนและรับรู้ตนเอง เรียนรู้ปฏิกิริยาภายในกลุ่ม กระตุ้นในบุคคล เกดิ การเปลย่ี นแปลงเพ่ือการอยูใ่ นสังคม และเปน็ การใชก้ ระบวนการกลมุ่ ในแนวทางใหเ้ กิดความร่วมมือ ทดี่ ตี อ่ การพัฒนาองค์กร ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์(เอกสารสานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยา เขตปัตตานี) ได้วางขอบเขตความหมายกลุ่มสัมพันธ์ คือ เป็นกิจกรรมหน่ึงที่นามาใช้ในการฝึกอบรม สัมมนา เพ่ือเป็นการละลายพฤติกรรมของบุคคลในกลุ่มท่ีมีท่ีมาแตกต่างกันให้มีความสัมพันธ์มีความ เป็นมติ รท่ีดตี ่อกันในกลุ่มเพอ่ื จะได้สามารถทางานรว่ มกนั ได้อย่างมีความสุขและประสบความสาเร็จตาม เป้าหมายท่ีวางไว้ และในเอกสารดังกล่าวถึงเทคนิคการจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ด้วยวิธีการหลากหลาย และไดแ้ ยกประเภทกจิ กรรม มี 3 ประเภทด้วยกัน 1.กจิ กรรมกลุ่มสัมพันธ์ประเภทใชด้ นตรปี ระกอบ หมายถงึ การจัดกิจกรรมกลุ่ม สมั พนั ธ์โดยการใชด้ นตรีประกอบ เพ่ือเพ่ิมบรรยากาศ หรอื ใชค้ นั่ เวลา การดาเนนิ กิจกรรม 2.กิจกรรมกลุ่มสัมพนั ธป์ ระเภทที่ใชด้ ินสอ และกระดาษ หมายถงึ การจัดกิจกรรม สัมพันธโ์ ดยใช้อปุ กรณด์ ินสอ และกระดาษเป็นส่วนประกอบการดาเนินกจิ กรรม 3. กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ประเภทไมใ่ ช้อปุ กรณ์ หมายถงึ การจดั กจิ กรรมกลมุ่ สัมพันธ์ โดยใชผ้ นู้ ากจิ กรรมเปน็ ตัวหลักในการดาเนนิ กจิ กรรมโดยไม่ใช้อปุ กรณ์อยา่ งอ่ืน 4.1 ประโยชนข์ องกำรจดั กิจกรรมกลมุ่ สมั พันธ์ ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีส่วนร่วมในการ เรียนอย่างเต็มท่ีเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้จากกิจกรรมจะช่วยให้ผู้เข้ารับการอบรมรู้จักที่จะ สนใจตวั เองดียิ่งข้นึ สรา้ งบรรยากาศการเรียนใหผ้ ู้เขา้ รับการอบรมสนุกสนานไม่เกิดความรู้สึกว่าถูกสอน และสามารถเรยี นรู้ได้ในระยะเวลาอันสั้นเพ่ือเป็นแนวทางในการสัมมนาบุคลากร และรู้จักแก้ปัญหาทั้ง ส่วนตนและสว่ นรวม เพื่อช่วยให้เกิดทัศนคติท่ีดีต่อกัน มีความเข้าใจ เห็นใจกัน ลดการขัดแย้ง เพ่ือช่วย สง่ เสริมให้การทางานรวมพลังกันเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพเพ่ือช่วยให้ผลงานเป็นไปตามเป้าหมาย และได้มาตรฐานเปน็ การเสรมิ สรา้ งพลงั ขององค์กรโดยบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยส่งเสริมในการ สมั มนาการดา้ นร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คมและผ่อนคลายความตงึ เครียด
20 4.2 ลกั ษณะกิจกรรมกลมุ่ สัมพันธ์ ลักษณะกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์เป็นลักษณะในรูปแบบการสร้างความคุ้นเคยระหว่ าง สมาชิกด้วยกนั โดยทางานเป็นทีม และเป็นการสังเกตพฤติกรรมการแสดงบทบาท สาหรับลักษณะของ ผู้นากิจกรรมกล่มุ สมั พันธ์ ผนู้ าต้องมคี วามรดู้ ้านจิตวิทยา กลุ่มสัมพนั ธ์ และเทคนิคการละลายพฤติกรรม และต้องรู้จักการวางแผน และการเตรียมการ เพ่ือดาเนินกิจกรรมละลายพฤติกรรม ต้องเป็นบุคคลท่ี มนุษยสัมพันธ์ดี ปรับตัวเก่ง เข้ากับบุคคลอ่ืนได้ดี ต้องเป็นบุคคลที่มีไหวพริบ มีความเชื่อม่ันในตนเอง และมีความกระตือรือร้น ผู้นาของกลุ่มต้องเป็นคนยุติธรรม จริงใจ และวางตัวเป็นกลาง ใจกว้าง มี เหตุผล และยอมรับความเห็นของผู้อ่ืน และสามารถอธิบายละชี้แจงกิจกรรมได้อย่างชัดเจน ใช้คาพูด และภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยมีเทคนิคในการพูดกระตุ้นให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม ให้ความ ชว่ ยเหลือแนะนา และสงั เกตกิจกรรมของกลุ่ม โดยประสานงานให้กลุ่มดาเนินกิจกรรมไปได้ด้วยดี สรุป ปญั หาได้ชัดเจนและจบั ประเด็นใจความได้ถกู ต้อง 5. ทฤษฎกี ำรเรยี นรทู้ ำงสังคม ผู้วิจัยนาเสนอทฤษฎีการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับหัลเกาะฮฺ แยกเป็น 2 ส่วนคือ ทฤษฎี การเรยี นรทู้ างสังคมของ Bandura ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ทางสงั คมของ Skinner ดงั มรี ายละเอยี ดดังนี้ 5.1 ทฤษฎีการเรียนร้ทู างสังคมของ Bandura Bandura (1986) กล่าววา่ พฤตกิ รรมทมี่ นษุ ยแ์ ต่ละคนแสดงออกมานั้นแท้จริงแล้วเกิด จากการท่ีบุคคลน้ันสังเกตเห็นบุคคลอื่นกระทาก่อน แล้วตนนาเอาแนวพฤติกรรมดังกล่าวน้ันมาเป็น ต้นแบบในการกระทาของตนบ้าง โดยเรียนพฤติกรรมท่ีบุคคลหนึ่งกระทาแล้วส่งผลให้บุคคลอื่นนาไป เปน็ แนวทางการกระทาวา่ เปน็ พฤตกิ รรมตัวแบบหรือพฤติกรรมแม่แบบ (modeling) และใช้สติปัญญา เกบ็ จาไวจ้ ากนนั้ จึงประสานความร้ใู หมเ่ ขา้ กับประสบการณ์เดิมและกาหนดเป็นคาดหวัง พร้อมกับแสดง พฤติกรรมตามการคาดหวงั ของตนเอง กล่าวคอื ถ้าผู้เลียนแบบคาดหวังว่าเมื่อปฏิบัติตามพฤติกรรมของ ตัวแบบแล้วเขาจะได้รับความพึงพอใจเขาก็จะปฏิบัติตาม แต่ถ้าผู้เลียนแบบคาดหวังว่า การปฏิบัติตาม พฤติกรรมของตัวแบบแล้ว เขาไม่ได้รับความพึงพอใจเขาก็จะไม่ปฏิบัติตาม ทฤษฎีการ การเรียนรู้ทาง สังคมเช่ือว่า การเรียนรู้ในการแสดงพฤติกรรม โดยกระบวนการของการเกิดพฤติกรรมการกระทา ตามนนั้ แบ่งออกเป็น 4 กระบวนการคอื กระบวนการที่ 1 ความสนใจหรือการเอาใจใส่ (attention) ความสนใจในท่ีนี้หมายถึง ความสนใจในส่ิงเร้าหรือพฤติกรรมของตัวแบบ ความสนใจนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ก) การเลือกรับรู้ หมายถงึ การทีเ่ ลยี นแบบใหค้ วามสนใจทจ่ี ะรับรูแ้ ละทาความเข้าใจพฤติกรรมของตัวแบบแต่ยังไม่คิดจะ นามาเปน็ พฤตกิ รรมของตนเองอย่างไรกต็ ามการเลือกรบั ร้ขู องบคุ คลจะเป็นอยา่ งไรน้ันขึ้นอยู่กับลักษณะ โครงสร้างและความซับซ้อนของพฤติกรรมต้นแบบซึ่งทาหน้าท่ีเป็นสิ่งเร้าและข้ึนอยู่กับประสบการณ์
21 ของผเู้ ลยี นแบบด้วยการรับรแู้ ละความสนใจของบคุ คลที่มีต่อส่ิงเร้าต่างๆจะเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะ ของสิ่งเร้า คือ ความเข้มและขนาดของส่ิงเร้า (intensity and size) ความแปลกใหม่ (contrast) การ กระตุ้นซ้า (repetition) และการเคลื่อนไหว ข) การเลือกสิ่งเร้า หมายถึง การตัดสินใจเลียนแบบ พฤตกิ รรมของตวั แบบหรือเปล่ียนพฤติกรรมไปตามการเลือกรับรู้ การเลือกสิ่งเร้าหรือการตัดสินใจที่จะ เลียนแบบพฤติกรรมจึงข้ึนอยู่กับความสามารถในการจาแนกความสาคัญของส่ิงเร้า ซึ่งความสาคัญของ สิ่งเร้าจะมากหรือน้อยเพียงใดมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามระดับแรงจูงใจ (motive) เช่น ความต้องการ ความจาเป็น ระดับของการเสริมแรง(reinforcement) เช่น การรับรางวัล หรือการถูกลงโทษของ พฤติกรรมต้นแบบความพร้อมในการเลยี นแบบ (momentary preparation) และการคาดหวังผลกรรม ของผู้เลียนแบบ (expectancy) กระบวนการที่ 2 การเกบ็ จาหรอื การคงไว้(retention) การเก็บจาหมายถึง การบันทึก พฤตกิ รรมตน้ แบบไวใ้ นระบบความจาหรือสมองของผู้เลียนแบบซ่ึงการบันทึกอาจอยู่ในรูปของรหัสหรือ จินตนาการและจะแสดงออกเป็นพฤติกรรมก็ต่อเมื่อบุคคลคาดหวังว่าเม่ือกระทาแล้วจะได้รับความพึง พอใจหรอื การเสรมิ แรงบวกเช่นเดียวกับตัวแบบ กระบวนการท่ี 3 การสร้างหรือผลิตตามพฤติกรรมแม่แบบ(production) การสร้าง พฤติกรรมตามพฤติกรรมแม่แบบเป็นกระบวนการท่ีบุคคลประสานความรู้ท่ีได้จากการบันทึกไว้ใน กระบวนการที่2 การเก็บจาความรู้และประสบการณ์เดิมที่มาก่อนให้ได้เป็นรูปแบบของพฤติกรรม แมแ่ บบที่เกบ็ จาเม่ือมีการกระตุ้นหรือได้รบั สิ่งเรา้ กระบวรการที่ 4 การจูงใจ(motivation process) พฤติกรรมแม่แบบท่ีบุคคลเก็บและ สร้างพฤติกรรมไว้นั้นบุคคลจะยังไม่แสดงออกจนกว่าจะมีภาวะหรือเกิดเงื่อนไขอย่างใดอย่างหน่ึงซ่ึงมา เปน็ แรงเสริม(incentives) กระตนุ้ ให้บุคคลนั้นประสงค์ที่จะแสดงพฤติกรรมนั้นๆออกมาและบุคคลเพ่ิม ความคาดหวังว่าเม่ือแสดงพฤติกรรมน้ันแล้วจะได้ความพึงพอใจ เงื่อนไขหรือสิ่งจูงใจมี 3 ลักษณะหลัก คอื แรงเสริมท่เี ปน็ ปจั จยั ภายนอกความพึงพอใจ(external incentives) ส่ิงจูงใจท่ีเป็นปัจจัยจากผลการ กระทา(Vicarious incentives) และความที่เปน็ ปจั จยั จากส่วนบุคคล(self-incentives) 5.2 ทฤษฎีการเรยี นร้ทู างสงั คมของ Skinner Skinner (1953) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้ทาการทดลองกับทารก โดยวางเงื่อนไข เกิดการกระทา (operant conditioning) และได้ต้ังทฤษฎีว่าเมื่อบุคคลหรืออินทรีย์แสดงพฤติกรรมใด แล้วได้รับแรงเสริม (reinforcement) อินทรีย์นั้นหรือบุคคลน้ันก็จะแสดงพฤติกรรมน้ันซ้าอีก ถ้า พฤตกิ รรมน้ันไม่ได้รับการเสริมแรงกระทาน้ันๆก็จะค่อยลดลงในท่ีสุดไม่เกิดพฤติกรรมน้ันๆอีก Skinner เช่ือว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงได้แรงจูงใจที่มีอิทธิพลต่ อพฤติกรรม มนุษย์มีร ากฐ านมาจ ากการไม่ทาชั่ว และหลีกเล่ีย งการล งโทษ( punishment)และการ ต้องการ การ
22 ยอมรับการชมเชยหรือรางวัล(enforcements) จากสังคม(Skinner,1953 อ้างถึงใน นงลักษณ์ วิรัชชัย และคณะ, 2551 สานักงานบริหารและพัฒนาองค์ความร้)ู สรุปโดยรวม ทฤษฎีหัลเกาะฮ์ ทฤษฎีสนทนา ทฤษฎีการแลกเปล่ียน ทฤษฎีกลุ่ม สมั พนั ธ์ และทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม เพ่ือฝึกการทางานร่วมกับผู้อื่นจนเกิดทักษะกระบวนการกลุ่ม สามารถนาไปใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตได้ ฝึกคุณลักษณะนิสัยของผู้เข้าร่วม เช่น ความรับผิดชอบในการ ทางาน ความมรี ะเบียบวินัย ความตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ ความมีน้าใจ ฯลฯ ซึ่งใช้ได้ดีทางด้านการ วางแผนในอนาคต การแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหา มีจุดมุ่งหมายที่จะสนับสนุนให้บุคคลได้รู้จัก ตนเอง พจิ ารณาสง่ิ ตา่ ง ๆ ตามความเป็นจริง รู้จักประเมินสิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิด รวมถึงมีความรับผิดชอบ ทจี่ ะสนองความต้องการของตนเองอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ โดยจะต้องปฏิบตั ิได้จริงและจะต้องสนับสนุนให้ ผูร้ ับการปรกึ ษามีความมงุ่ ม่ันทจี่ ะดาเนินการปฏิบัติตามทีว่ างไว้ ควำมสำคัญของจริยธรรม พจนานกุ รมไทยฉบับราชบณั ฑิตสถาน (2530 : น.51) ไดใ้ ห้ความหมายวา่ จรยิ ธรรม คือธรรมทเี่ ป็นขอ้ พงึ ปฏิบตั ิท่ีต้ังอยใู่ นคุณงามความดี ชัยพร วิชชาวุธ (2531 : น.6) ได้ให้ความหมายว่า จริยธรรมหมายถึง หลักเกณฑ์การ ตัดสินใจ ความถูกผิดของพฤติกรรม หลักเกณฑก์ ารประเมนิ ผลดี ผลเสยี ของพฤติกรรม และปฏิกิริยาต่อ พฤติกรรมตา่ งๆ ไมว่ ่าจะเปน็ พฤตกิ รรมทางบวกหรือพฤติกรรมทางลบ ชัยพร วงศ์วรรณ (2538 : น.27) จริยธรรม หมายถึง แนวทางของการประพฤติตนให้ เป็นคนดี เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และส่วนรวม สามารถแยกแยะส่ิงใดดี ส่ิงใดควรละเว้น อะไรควร ประพฤตปิ ฏิบัติ ประภาศรี สีหอาไพ (2540 : น.17) ให้ความหมายของจริยธรรม หมายถึง หลักความ ประพฤตทิ ่อี บรมกิริยาและปลกู ฝงั ลักษณะนสิ ัย ให้อย่ใู นครรลองของคุณธรรมหรอื ศลี ธรรม พระธรรมญาณมุนี (2531 : น.103) ได้ให้ความหมายของจริยธรรมไว้ว่า จริยธรรม หมายถึง พฤติกรรมท่ีเป็นรูปแบบของการปฏิบัติตน การดาเนินตนที่มีความเหมาะสมแก่ ภาวะฐานะ กาลเทศะ และเหตกุ ารณใ์ นปจั จบุ ัน จากความหมายดังกล่าวมาพอสรุปได้ว่า จริยธรรม หมายถึง พฤติกรรมในการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นในสงิ่ ทีค่ วรปฏบิ ัติที่ดีงามเหมาะสม และเป็นท่ีนิยมชมชอบหรือยอมรับของสังคมเพ่ือ ความสนั ติสขุ แห่งตนเอง และความสงบเรียบร้อยของสังคมสว่ นรวม
23 ควำมหมำยของจริยธรรมอสิ ลำม อสิ ลามเป็นระบอบการดาเนินชีวิตท่ีมุ่งขัดเกลาจิตใจให้ผ่องแผ้ว บนพื้นฐานแห่งความ รัก ความเป็นท่ีพ่ีน้องกัน เพราะอิสลามส่ังให้มุสลิมทุกคนเป็นพี่น้องกัน และได้กล่าวความหมายของ จรยิ ธรรมท่ีควรประพฤตพิ อสรุปไดด้ งั นี้ อิหม่าม ฆอซาลี ได้กล่าวถึง จริยธรรม หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงถึงความรู้สึก เก่ียวกับความบริสุทธ์ิใจ ความซ่ือสัตย์ ในอิสลามจะกล่าวถึงลักษณะของจริยธรรมท่ีมีต่ออัลลอฮฺต่อ เพ่ือนมนษุ ย์ และต่อสิ่งอื่นบนหน้าแผ่นดินนี้ นอกจากน้ี อีหม่าม ฆอซาลี ได้แบ่งพฤติกรรมออกเป็นสอง ลักษณะคือพฤตกิ รรมทดี่ ีและไม่ดี (Hussein Bahreise, 1981 : น.30) จริยธรรมอิสลาม หรือ จริยธรรมมุสลิม (moral of muslim) หมายถึงพฤติกรรมของ คน (มุสลมิ ) ที่ได้ประพฤติปฏิบัติ ที่ดี ที่ถูกต้อง ที่ควรตามกฎระเบียบต่างๆ ที่อิสลามได้กาหนดข้ึน และ การประพฤติปฏิบัติดังกล่าวรวมท้ังพฤติกรรมทางใจ วาจา และกาย ซ่ึงจะทาให้ผู้ปฏิบัติพึงได้รับ ความสขุ ทัง้ ทางกายและใจในการดารงชวี ิตท้ังบนโลกนแ้ี ละโลกหนา้ จรยิ ธรรมทางอิสลามเกิดจากศาสนา จึงผูกพันมุสลิมไว้กับอัลลอฮฺทุกอิริยาบถ หมายความว่า สิ่งที่ควรประพฤตินั้น มุสลิมประพฤติโดยมี จุดมุ่งหมาย คือ ประพฤติดี เพราะเช่ือและปฏิบัติตามท่านศาสดามูหัมมัดโดยหวังความโปรดปราน จากอัลลอฮฺ ไม่ใช่ประพฤติเพราะให้สังคมยอมรับหรือหวังผลตอบแทนจากมนุษย์ แต่จริยธรรมเป็น พฤติกรรมทแ่ี สดงออกทางกายและใจของมนษุ ย์ หะซนั (อับดลุ การมี วนั แอเลาะ. ม.ป.ป : น.6) กล่าววา่ จริยธรรมที่ดีน้ัน คอื ใบหนา้ ย้มิ แยม้ เสียสละ ระงบั ความโกรธ ส่วนทา่ น อับดลุ ลอฮ บตุ ร อัลมุบารอก กลา่ ววา่ จรยิ ธรรมท่ีดนี ้ันต้อง ประกอบไปดว้ ย 3 ประการ 1. หลกี เล่ียงสง่ิ ต้องหา้ ม 2. แสวงหาแต่ของท่ีอิสลามอนมุ ัติ (หะลา้ ล) 3. ให้ความสขุ แกผ่ ู้ทอี่ ยภู่ ายใตก้ ารคุ้มครอง บาร์มาวยี ์ อูมารีย์ (Barmawi Umari, 1987 : น.43) ไดแ้ บ่งจริยธรรมออกเปน็ 2 ส่วน คอื พฤติกรรมทด่ี ี (Akhlaaqul Mahmudah) และพฤตกิ รรมทไี่ ม่ดี (Akhlaaqul Mazmumah) ดงั น้ี 1. พฤติกรรมที่ดี (Akhlaaqul Mahmudah) ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความสงบสุข การ ให้อภัย มนุษย์สัมพันธ์ดี ขยันทาดี การทาดี ให้เกียรติแขก มีความละอาย ห้ามปรามในสิ่งที่ชั่วความ สุภาพ ตัดสินด้วยความยุติธรรม ความเป็นพี่น้องกัน บริสุทธิ์ ความกตัญญู การช่วยเหลือ สันติภาพ ความสะอาด ภักดตี ่ออลั ลอฮฺ ถอ่ มตน พอใจในส่ิงทม่ี อี ยู่ มีความมน่ั ใจ ความเมตตากรุณา 2. พฤติกรรมที่ไม่ดี (Akhlaaqul Mazmumah) ได้แก่ การเห็นแก่ตัว อบายมุข ตระหน่ี โกหก เสพของมึนเมา การทาลาย กดข่ี ไม่กล้า ทาบาปใหญ่ ขี้โกรธ โกงเรื่องช่ังตวง นินทา
24 เย่อหยิ่ง เล่ห์เหลย่ี ม อย่เู พือ่ โลกวัตถุ อจิ ฉา แค้น ฆา่ ตัวตาย ฟ่มุ เฟอื ย อวดดี ไม่สานกึ บญุ คุณ รักร่วมเพศ เกย่ี วขอ้ งกบั ดอกเบีย้ ใส่ร้าย ดถู กู ผอู้ ืน่ ลักขโมย มีกิเลสตัณหา จากขา้ งต้นจึงสรุปไดว้ ่า พฤติกรรมของมนุษย์น้ันมที ้ังดีและไมด่ ีสาหรับในศาสนา อิสลาม จรยิ ธรรมอสิ ลามทยี่ อมรับว่าดีและจาเปน็ ทีม่ นษุ ยต์ ้องนาไปปฏิบตั มิ รี ายละเอยี ดดังนี้ 1. จรยิ ธรรมตอ่ อัลลอฮฺ การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺด้วยการปฏิบตั ิตามบัญชาของพระองค์ ทาให้หา่ งไกลจากข้อ หา้ มของพระองค์ด้วยความบรสิ ุทธ์สิ จุ รติ เพอื่ พระองคโ์ ดยเฉพาะดว้ ยการมอบตนมีความอดทนและยา เกรง (ตกั วา) ดงั พระดารสั ของพระองค์อลั ลอฮ์ วา่ َوَما َخلَْق ُت اْْلِ من َواِْلن َس إِمل لِيَ ْعبُُدوِن ความว่า “และขา้ มิได้สร้างญิน และมนษุ ย์เพ่ืออนื่ ใด เวน้ แตเ่ พือ่ เคารพภกั ดีต่อขา้ ”(อซั ซาริยาต : 56) 2. จริยธรรมต่อท่านศาสนทตู คอื การให้ความเคารพท่าน การใหค้ วามเคารพต่อทา่ นศาสนทตู จะไม่เหมือนกบั การ เคารพภกั ดีต่ออัลลอฮฺการให้ความเคารพท่านนบมี ูฮมั หมัดคือการเช่ือฟงั คาตักเตอื นของท่านแลว้ นาไป ปฏบิ ตั ิเพราะอลั ลอฮไฺ ด้ตรัสไว้ในอลั กรุอานว่า َوَما أَْر َسْلنَا َك إِمل َكافمًة لِلنما ِس بَ ِشيًرا َونَ ِذيًرا َوَٰلَ ِك من أَ ْكثََر النما ِس َل يَْعلَ ُموَن ความวา่ “และเรามิได้สง่ เจ้ามาเพ่อื อ่นื ใดเวน้ แตเ่ ปน็ ผูแ้ จง้ ข่าวดแี ละเปน็ ผู้ตักเตือนแกม่ นุษยท์ ้ังหลาย” (สะบะอฺ : 28) 3. จริยธรรมต่อบุคคลอ่ืนจากการศึกษาค้นคว้าได้มีการแบ่งจริยธรรมต่อบุคคลอ่ืนมี รายละเอียดตอ่ ไปน้ี 3.1 การกตัญญรู คู้ ณุ อสิ ลามสอนให้กตัญญูรู้คุณของผู้ท่ีมีคุณเริ่มจากการให้กตัญญู รู้คุณอัลลอฮฺพระผู้ทรงสร้างผู้ทรงให้ชีวิตทรงให้เครื่องยังชีพและสติปัญญาฯลฯด้วยการเคารพภักดีต่อ พระองค์เช่ือและปฏิบัติตามคาสั่งของพระองค์และรอซูลของพระองค์รู้คุณของพ่อแม่ด้วยการเชื่อฟังทา ความดแี ละเล้ียงดูตอบแทนทา่ นและรคู้ ุณเพื่อนมนุษย์ดว้ ยกัน 3.2 การนอบน้อมถ่อมตนมุสลิมต้องเป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนยิ่งต่ออัลลอฮฺเป็น อนั ดับแรกสดดุ ีความบริสทุ ธ์ขิ องพระองคแ์ ละศาสดาของพระองค์และออ่ นโยนตอ่ มวลมุสลิมด้วยกันและ ยกย่องใหเ้ กียรติแกเ่ พอื่ นมนุษย์ 3.3 การทาความดอี สิ ลามสอนให้มนุษย์มีจิตใจบริสุทธ์ิทาใจให้ผ่องแผ้วมีคาพูดท่ีดี ต้ังเจตนาที่จะทาความดีต่อตนเองและผู้อื่นจนเป็นนิสัยและบอกว่าความดีและความช่ัวไม่เหมือนกัน ความชั่วน้ันขจัดได้ให้ปราบความชั่วด้วยความดีด้วยมือหรือด้วยคาพูดหรือถ้าไม่สามารถทาได้ทาด้วย ทางจติ ใจ
25 3.4 ความละอายต่อบาปเพราะการละอายต่อบาปเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา คือให้ละเว้นจากการคิดชั่วทาช่ัวทั้งในท่ีลับและในที่แจ้งไม่ให้การทาลามกอนาจารการทาชู้การใส่ความ และพระองค์ทรงใหม้ ลาอกิ ะฮฺบันทึกการกระทาของมนษุ ย์ 3.5 การมีสัจจะคือมีความจริงต่อหน้าที่รับผิดชอบจริงต่อคาพูดจริงต่อสัญญาและ จริงต่อบคุ คลคือซือ่ ตรงหรอื ซอ่ื สัตย์อสิ ลามสอนให้มีอะมานะฮฺ (ไวว้ างใจ) และมคี วามสัตย์ในทุกเรอื่ ง 4. จรรยามารยาทอสิ ลามสอนเรื่องเกย่ี วกับความประพฤตทิ ่ีควรประพฤตดิ ้วยกริ ยิ า ทา่ ทางดว้ ยกิริยาท่ีสุภาพเพราะการมีมารยาทเปน็ บ่อเกดิ ของความสามัคคปี รองดองในหมู่คณะ การกระทบกระท่ังการรงั เกียจเดยี ดฉันท์ใหถ้ ือแบบอยา่ งของท่านศาสนทตู เปน็ แบบอย่างซงึ่ มรี ายละเอียดดงั นี้ 4.1 ขออนุญาตเม่ือเข้าไปในส่วนตวั ผู้อื่นไมว่ ่าผู้นนั้ จะเป็นพอ่ แมห่ รือใครก็ตามใน เวลาสว่ นตวั ท่ตี ้องขออนุญาตเม่อื จะเข้าพบ 3 เวลาคือ 1) เวลาย่ารงุ่ ก่อนลุกจากทีน่ อน 2) เวลาพกั ผ่อน ตอนเวลากลางคนื 3) เวลากลางคืนนอกจากนย้ี ังใหภ้ รรยาขออนญุ าตสามีก่อนออกจากบ้านลูกขอ อนญุ าตพ่อแมค่ นใช้ขออนญุ าตเจา้ นายลูกสาวขอความยนิ ยอมจากพ่อแมเ่ มื่อจะแต่งงานเป็นต้น 4.2 มรรยาทในการพูด เนื่องจากการพูดมีความสาคัญในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ อิสลามจึงสอนให้พูดจาสุภาพอ่อนโยนกับทุกคนแม้กระท่ังคนสนิท ให้ใช้คาพูดที่ดีน้าเสียงพอเหมาะ ไม่ พดู พลอ่ ย ไมพ่ ดู ใส่ร้าย นนิ ทา หรือสาปแชง่ ถ้าจาเป็นตอ้ งพดู ปฏเิ สธหรือโต้แย้งต้องใช้วาจาไพเราะ เม่ือ อยู่ในวงสนทนาจะต้องไม่กระซิบกันสองคนโดยคนที่สามไม่รู้เพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดหรือ ก่อให้เกิดแคลงใจกันได้ 4.3 มรรยาทในการทักทายและเข้าบ้านผู้อื่น อิสลามให้มุสลิมทักทายหรือแสดง ความเคารพด้วยการกล่าวสลาม การกล่าวสลามเป็นการทักทายสาหรับมุสลิมกับมุสลิมด้วยกัน ในการ กล่าวสลาม “เดก็ ควรให้สลามแก่ผู้ใหญ่ คนเดินผ่านควรให้สลามแก่คนท่ีนั่งอยู่ ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะควร ให้สลามแก่ผู้ที่เดิน ผู้ที่เดินควรให้สลามแก่ผู้ที่นั่ง และกลุ่มคนที่น้อยกว่าควรให้สลามแก่กลุ่มคนที่ มากกว่า” 4.4 มรรยาทในการกนิ และการดื่ม อิสลามสอนให้กนิ และดื่มด้วยมือขวา และแจก ทางมือขวา และกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ (บิสมิลลาฮฺ) ก่อนกิน ไม่ตักอาหารเป็นของตนมากเกินไป ต้องเผอ่ื แผ่เพอ่ื นทีร่ ่วมวงกนิ อาหารด้วยไม่สรุ ุ่ยสุรา่ ยหรือกนิ ทง้ิ ขว้าง ไม่ตาหนิอาหาร ถ้าไม่ชอบให้กินแต่ น้อยใหก้ นิ อาหารร่วมกนั เพราะมคี วามจาเริญมากกว่าตา่ งคนตา่ งกนิ และให้กนิ พอประมาณ จากการศึกษาความหมายของจริยธรรมอิสลามสรุปได้ว่า จริยธรรมอิสลาม หมายถึง การประพฤติไปในทางท่ีดีท้ังทางกาย วาจา ใจ ตามกฎระเบียบที่อิสลามได้กาหนดข้ึนมา โดยมี คุณลกั ษณะดังนี้ จรยิ ธรรมต่ออัลลอฮจฺ ริยธรรมตอ่ รอซูลจริยธรรมต่อบคุ คล จรรยามารยาท
26 กล่าวโดยสรุป คุณธรรมจริยธรรมหรือคุณค่าแห่งความดีงามในอิสลามน้ัน ครอบคลุม ทั้ง 3 ใหญ่ของอิสลาม คือหลักการศรัทธา (อีหม่าน) หลักการปฏิบัติ (อิสลาม) และหลักคุณธรรม (อิหฺ สาน) และคุณงามความดีที่อิสลามตอบรับต้องประกอบด้วยความอิคลาศ (บริสุทธิ์ใจ) ถูกต้องตาม หลักการ มีการปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย (อิสติกอมะฮฺ) และมีการมอบหมายต่ออัลลอฮฺ (ตะวักกัล) พร้อมกับการมคี วามหวังการตอบแทนจากพระองค์ ควำมสำคัญของจรยิ ธรรม จริยธรรมนับว่าเป็นปัจจัยสาคัญในการอยู่รวมกันในสังคมอย่างมีความสุขถ้าคนใน สังคมใดมีจริยธรรมสูงสังคมนั้นจะมีแต่ความเจริญผู้มีจริยธรรมสูงประพฤติแต่ในส่ิงที่ดีและบรรลุถึง สภาพชีวติ อนั ทรงคณุ คา่ พงึ ประสงค์ (กรมวชิ าการ 2541 : น.43) จริยธรรมเป็นสงิ่ สาคัญในสังคมทีจ่ ะนาความสุขสงบและความเจริญก้าวหน้ามาสู่สังคม น้ันๆเพราะเม่อื คนในสงั คมมีจริยธรรมจิตใจก็ยอ่ มสูงส่งมคี วามสะอาดและสวา่ งในจิตใจ จริยธรรมเป็นความประพฤติการกระทาและความคิดท่ีถูกต้องดีงามรวมถึงการทา หน้าที่ของตนให้ครบถ้วนสมบูรณ์เว้นในสิ่งที่ควรละเว้นประกอบการและดารงชีวิตอย่างฉลาดด้วยสติ และปัญญารู้เหตุรู้ผลรู้กาลเทศะกระทาทุกอย่างด้วยความรอบคอบเสียสละอุทิศตนมุ่งม่ันและบากบั่น ความสาคัญของจริยธรรมจึงเป็นเครื่องมือยุทธศาสตร์ของชาติและสังคมเคร่ืองชี้วัดความเจริญความ เส่ือมของสังคมจริยธรรมเป็นเรื่องท่ีจาเป็นอย่างย่ิงสาหรับทุกคนทุกหมู่เหล่าและทุกอาชีพสังคมจะอยู่ รอดและเปน็ สุขได้กด็ ว้ ยจรยิ ธรรม วิธีปลูกฝังคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ชาเลือง วุฒิจันทร์ (2524 : น.76-77) ได้กล่าวว่าการปลูกฝังและหล่อหลอมให้เด็ก นักเรียนเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมครบถ้วนสมควรตามความมุ่งหมายของการศึกษาในแผนการศึกษา แห่งชาติจะต้องมีการดาเนินการให้ครบถ้วนท้ังระบบทั้งนอกโรงเรียนและในโรงเรียนจะยกภาระให้แก่ โรงเรียนหรือสถานศึกษาเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้แนวทางการวิธีการตลอดจนหัวข้อธรรมหรือสังกัปของ คุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงค์ก็จะต้องตรงกันทั้งสังคมนอกโรงเรียนและในโรงเรียนด้วยแหล่งหล่อ หลอมจริยธรรมแกเ่ ด็กนกั เรียนนกั ศกึ ษาโดยสว่ นรวมมดี งั นี้ 1. บิดามารดาบ้านหรือสถาบันครอบครัวเป็นแหล่งแรกท่ีทาการปลูกฝังหล่อหลอม ตลอดจนถ่ายทอดลักษณะอันทรงคุณธรรมและจริยธรรมแก่สมาชิกในครอบครัวและต้องทาหน้าที่น้ี ต่อไปแม้เด็กจะเข้าไปรับการศึกษาอบรมในโรงเรียนระดับต่างๆอยู่แล้วก็ตามนักการศึกษาได้ศึกษา ผลกระทบของการเล้ียงดูเด็กแบบต่างๆต่อความมีคุณธรรมและจริยธรรมของเด็กปรากฏว่าเด็กที่ได้รับ ความรักจากการเลี้ยงดมู ากมีลกั ษณะความรับผิดชอบวนิ ยั ทางสังคมและความความเอื้อเฟื้อสูงกว่าเด็กท่ี ได้รับความรักจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองน้อยเด็กที่ถูกเลี้ยงดูแบบควบคุมมากจะมีลักษณะเชื่อฟัง
27 สภุ าพเออ้ื เฟ้อื แต่มีลักษณะขี้อายเก็บตวั ใจน้อยและชอบพงึ่ พาผใู้ หญ่สว่ นเด็กท่ีเล้ียงดูแบบควบคุมน้อยไม่ เช่ือฟังไม่มีความรับผิดชอบและขาดสมาธิเด็กท่ีถูกเล้ียงดูแบบให้เหตุผ ลเป็นเด็กที่ไม่ก้าวร้าวรู้จัก รบั ผิดชอบชัว่ ดรี ู้สึกละอายเมือ่ ทาผดิ 2. ญาติผู้ใหญ่และสมาชิกอ่ืนๆในครอบครัวเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการปลูกฝังและหล่อ หลอมจรยิ ธรรมให้แก่เด็กในครอบครัวเช่นเดียวกันโดยปกติเด็กจะเรียนรู้เจตนาเชิงจริยธรรมจากผู้ใหญ่ ด้วยการสงั เกตละเลียนแบบมากกว่าทจ่ี ะได้มาจากการฟังคาสั่งของผู้ใหญ่โดยตรงถ้าหากผู้ใหญ่เป็นผู้ที่มี ลกั ษณะเดน่ เป็นทย่ี กย่องบูชาแกเ่ ด็กมาเด็กมีแนวโนม้ เลยี นแบบพฤตกิ รรมของผ้ใู หญ่ข้ึนมาเท่านน้ั 3. เพื่อนๆของเด็กเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการกาหนดค่านิยมทางคุณธรรมและ จริยธรรมบางอย่างให้เด็กได้รับรู้รับไปปฏิบัติเพ่ือให้เกิดพฤติกรรมคล้ายตามเพื่อนๆได้โดยเฉพาะใน วยั รนุ่ การทาอะไรตามเพ่ือนจะเห็นได้ชัดท่ีสุดการเรียนรู้เชิงจริยธรรมของเด็กมิใช่มาจากเพื่อนเพียงฝ่าย เดียวแต่ยังได้มาจากการได้กระทากิจกรรมร่วมกันการเข้าใจกันและกันในระหว่างเด็กวัยเด็กด้วยกั นเอง ดว้ ยซ่งึ เพื่อนๆดงั กล่าวนร้ี วมทงั้ เพือ่ นในโรงเรยี นและนอกโรงเรียนด้วย 4. พระสงฆ์หรือผู้นาทางคุณธรรมและจริยธรรมในหมู่บ้านตาบลหรืออาเภอหรือ ท้องถิ่นท่ีเด็กนักเรียนอยู่นั้นเป็นที่เคารพนับถือของผู้ใหญ่ในสังคมน้ันและได้มอบให้เป็นผู้อบรมสั่งสอน ด้านจรยิ ธรรมแกป่ ระชาชนทัง้ เด็กและผูใ้ หญ่การปฏิบัติดปี ฏิบัติชอบของพระสงฆ์หรือผู้นาทางศาสนาใน ทอ้ งถนิ่ นั้นมีอิทธพิ ลตอ่ การปลูกฝังคณุ ธรรมจริยธรรมแกเ่ ด็กนักเรียนนกั ศกึ ษาในท้องถิ่นนั้นดว้ ย 5. ส่ือมวลชนหรือสื่อมวลชนทุกรูปแบบในปัจจุบันนี้มีบทบาทสาคัญย่ิงต่อการปลูกฝัง หรือเปล่ียนแปลงเจตนาค่านิยมตลอกจนรูปแบบของพฤติกรรมของเด็กและเยาชนนักเรียนนักศึกษา หนังสือพิมพ์วิทยุโทรทัศน์ตลอดไปถึงภาพยนตร์บทเพลงหนังสืออ่านเป็นทั้งเคร่ืองปลูกฝังค่านิยมทาง คุณธรรมให้แก่เด็กและเยาวชนทุกวัยและในขณะเดียวกันถ้าส่ิงเหล่านี้ไม่ได้รับความสนใจด้านท่ีช่วย ปลูกฝังความมีจริยธรรมที่ดีแก่เยาวชนแล้วยังอาจเป็นเคร่ืองมือทาล่นหรือขวางก้ันการปลูกฝังหล่อ หลอมใหเ้ ดก็ นักเรียนนักศกึ ษาใหเ้ ปน็ ผคู้ ุณธรรมและจริยธรรมท่ีดีงามไว้ด้วย 6. โรงเรียนหรือสถานศึกษา ซ่ึงรวมอยู่ถึงการจัดส่ิงแวดล้อมและสภาพแวดล้อมใน สถานศกึ ษา การบริหารและการให้บรกิ ารตา่ งๆ ในสถานศึกษา การเป็นตัวอย่างท่ีดีงามของครู อาจารย์ การเรยี นการสอนวิชาต่างๆ ตามหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาการท่ีเก่ียวกับจริยศึกษาโดยเฉพาะการ จัดการกจิ กรรมต่างๆ ในสถานศึกษาในการปลกู ฝังคุณธรรมจริยธรรมน้ัน ใช้วิธีการหล่อหลอมดังที่กล่าว มาในข้างต้นด้วยวิธีการใช้นิทานวรรณคดีหรือข่าวสารจากชีวิตจริง การใช้วีดีทัศน์ ภาพยนตร์ แถบ บันทึกเสียง ภาพน่ิง แผ่นโปร่งใสการอธิบาย การเทศนา การตักเตือนการสนทนา การยกย่องสรรเสริญ การชมเชย การแกไ้ ขและวจิ ารณ์ข้อบกพร่อง
28 ชัยพร วิชชาวุธ และธีระพร อุวรรณโณ (2525 : น.24-35) ได้กล่าวอ้างถึงว่ายังมี แนวความคิดและพัฒนาการใหม่ในการปลูกฝังจริยธรรม ท่ีเสนอโดยนักการศึกษาและนักจิตวิทยาท่ี แตกตา่ งกัน 4 วิธี ซึ่งมรี ายละเอียดดังนี้ 1. การปลูกฝังจริยธรรมด้วยการกระจ่างค่านิยม ถือว่าค่านิยมคือหลักการประพฤติ ปฏบิ ัตติ อ่ ส่ิงตา่ ง ๆ ทบ่ี คุ คลถือวา่ ดงี ามถกู ต้อง และควรแก่การยึดถือ กระบวนการปลูกฝังจริยธรรมด้วย การกระจ่างค่านิยม มีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนพบด้วยตนเองว่าหลักการประพฤติปฏิบัติของตนเองต่อสิ่ง ต่าง ๆ เป็นอยา่ งไร และหลกั การทด่ี ีท่ถี ูกทีค่ วรตามทรรศนะของตนเปน็ อย่างไร วธิ กี ารปลกู ฝังจริยธรรมตามแนวความคิดพืน้ ฐานของนกั ทฤษฎกี ารกระจ่างค่านิยม คือ การช่วยให้นักเรียนเกิดความกระจ่างในความเช่ือในทัศนคติในพฤติกรรมและในความรู้สึกของตนเอง หน้าท่ีของครูในการปลูกฝังค่านิยมคือการช้ีนา หรือจัดการให้มีการชี้นาเพ่ือให้นักเรียนเกิดการฉุกคิด ขน้ึ มาวา่ ความเช่อื ทัศนคติ พฤติกรรม และความรู้สกึ ของตนทมี่ ตี อ่ สงิ่ หน่งึ ๆ 2. การปลูกฝังจริยธรรมด้วยเหตุผล มีแนวคิดพื้นฐานตามทรรศนะของโคลเบิร์ก จริยธรรมหมายถึง กฎเกณฑ์ในการตัดสินความถูกผิดของการกระทาความเข้าใจเก่ียวกับกฎเกณฑ์นี้ ขึ้นอยู่กบั พฒั นาการทางปญั ญาข้อผกู พันกบั อายุของบุคคล วิธีการปลูกฝังจริยธรรมตามทรรศนะของทฤษฎีการปลูกฝังจริยธรรมด้วยเหตุผล คือ การพัฒนาผู้เรียนให้มีกฎเกณฑ์การตัดสินควรถูกผิดด้วยเหตุในระดับสูง และอย่างน้อยก็ให้อยู่ในระดับ กฎเกณฑ์สังคมตามทรรศนะน้ี การพัฒนาจริยธรรมไม่อาจกระทาด้วยการสอน ไม่อาจกระทาด้วยการ แสดงตัวอย่างให้ดู จริยธรรมพัฒนาข้ึนมาด้วยการนึกคิดของแต่ละคนตามลาดับช้ัน และตามระดับ พัฒนาการทางปัญญาซึ่งผูกพันกับอายุ กิจกรรมที่เป็นหัวใจของการพัฒนาจริยธรรมตามทฤษฎีในการ ปลกู ฝังจรยิ ธรรมด้วยเหตผุ ลในชัน้ เรียนคือ การอภปิ รายแลกเปล่ียนทรรศนะ 3. การปลูกฝังจริยธรรมด้วยการปรับพฤติกรรม วิธีการของการปรับพฤติกรรมตั้งอยู่ บนรากฐานของความเชื่อว่าพฤติกรรมของคนเราถูกควบคุมโดยเง่ือนไขการเสริมแรงและเงื่อนไขการ ลงโทษ วิธีการปลูกฝังจริยธรรมตามความคิดน้ีหากต้องการปลูกฝังพฤติกรรมใดก็ต้องจัดเง่ือนไขต่างๆ เพื่อให้กระทาพฤติกรรมนั้นได้รับแรงเสริมและถ้าหากต้องการลดพฤติกรรมใดก็ต้องจัดเง่ือนไขเพื่อให้ ผกู้ ระทาพฤติกรรมนั้นไม่ไดร้ ับแรงเสริม 4. การปลกู ฝังจรยิ ธรรมดว้ ยการเรยี นรู้ทางสังคมถือว่าจรยิ ธรรมเปน็ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับ เกณฑส์ าหรบั การประเมนิ ความถูกผิดของพฤติกรรมมีแนวความคิดพื้นฐานว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วน หนึง่ เกดิ จากประสบการณ์ตรงของตนเองสว่ นหน่งึ เกิดจากการสังเกตพฤติกรรมของผู้อ่ืนอีกส่วนหน่ึงจาก การฟังคาบอกเล่าและการอ่านบันทึกของผู้อื่นการเรียนรู้ประเภทหลังนี้ช่วยให้มนุษย์มีความรู้อย่าง รวดเรว็ และกว้างขวาง
29 วิธีการปลูกฝังจริยธรรมโดยการจัดประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งได้แก่ ตัวอย่างและคาบอกให้ผู้เรียนเกิดความเช่ือว่าพฤติกรรมอะไรนาไปสู่ผลกรรมอะไรและผลกรรมน้ันน่า ปรารถนาเพียงไรการจัดเงื่อนไขส่ิงแวดล้อมทางสังคมเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้จริยธรรมนี้จะต้องจัดให้มี ความสอดคล้องกันท้ังประสบการณ์ต่างๆตัวอย่างและคาบอกและถ้าหากคาบอกมีลักษณะเป็นการ ชี้แนะให้ผูเ้ รยี นมองเหน็ ความสมั พนั ธ์ต่างๆจากประสบการณ์ตรงและจากตัวอย่างที่ประสบด้วยแล้วการ เรียนรู้ก็จะเกดิ ในลักษณะทต่ี รงเปา้ และมปี ระสิทธผิ ลมากขน้ึ 3. แนวทางการปลูกฝังคณุ ธรรมจรยิ ธรรม กาแหง จิตตะมาก (2548 : น.74-78) จากการศึกษาเอกสารแนวคิดทฤษฎีหลักการและ งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องเก่ียวกับแนวทางการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมพบว่าการท่ีจะพัฒนาบุคคลให้เกิดใน เรื่องดังกล่าวจะต้องใช้วิธีการและแนวทางอย่างหลากหลายผสมผสานกันจึงจะประสบความสาเร็จได้ แนวทางการพัฒนาคุณธรรมจรยิ ธรรมและคา่ นยิ มท่ีพึงประสงคท์ ไ่ี ดศ้ ึกษาเอกสารแนวคิด ทฤษฏีหลักการตาราและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะสอดคล้องและตรงกันจึงได้จัดกลุ่มเป็น 5 แนวทางหลกั ๆซึง่ ประกอบดว้ ยแนวทางการพัฒนาด้วยการจัดการเรียนการสอนแนวทางการพัฒนาด้วย การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนแนวทางการพัฒนาด้วยการใช้ตัวแบบท่ีดีแนวทางการพัฒนาด้วยการจัด สภาพแวดล้อมในโรงเรยี นและแนวทางการพัฒนาด้วยการนาผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมจาก การที่ได้ศึกษาเอกสารแนวคิดทฤษฏีหลักการตาราและงานวิจัยที่เก่ียวข้องจึงทาการวิเคราะห์และ สงั เคราะหไ์ ดแ้ นวทางการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์พร้อมรายละเอียดของการ ปฏิบตั ิในแต่ละแนวทางดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี 1. แนวทางการพัฒนาด้วยการจดั การเรียนการสอนซึ่งประกอบด้วยการสอนโดยตรงใน กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมการสอนสอดแทรกในรายวิชาอื่นที่ตนเองสอนการสอน บูรณาการเขา้ กับกลมุ่ สาระอ่ืนการสอนเน้นการอภิปรายและแสดงเหตุผลเชิงจริยธรรมการสอนโดยการ ใช้ตวั แบบและกรณีตัวอย่างการสอนโดยการให้ปฏิบัติในสถานการณ์จาลองและการสอนโดยการใช้การ ปรบั พฤติกรรม 2. แนวทางการพัฒนาด้วยการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนซ่ึงประกอบด้วยการจัด กิจกรรมลูกเสือเนตรนารี ยุวกาชาดผู้บาเพ็ญประโยชน์วันสาคัญทางศาสนาเข้าค่ายคุณธรรมจริยธรรม กิจกรรมประจาวันหนา้ เสาธงการละหมาดประจาวันและการแขง่ ขนั กีฬา 3. แนวทางการพัฒนาด้วยการใช้ตัวแบบท่ีดีซึ่งประกอบด้วยการให้ผู้บริหารครูและ บุคลากรประพฤติตนเป็นแบบอย่างท่ีดีนักเรียนรุ่นพี่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีการเชิญบุคคลที่มี คุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมท่ีพึงประสงค์ดีเด่นตรงกับที่โรงเรียนต้องการพัฒนามาให้การอบรม นักเรียนเป็นระบบอย่างต่อเนื่องขอความร่วมมือผู้ปกครองให้ช่วยประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ในเร่ืองคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมท่ีพึงประสงค์และเชิญบุคคลที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นพ่อดีเด่นแม่
30 ดีเด่นเข้าร่วมกิจกรรมวันพ่อวันแม่แห่งชาติที่โรงเรียนจัดข้ึนพร้อมกล่าวประวัติยกย่องเชิดชูควา มดีเป็น แบบอยา่ งกับนักเรียน 4. แนวทางการพัฒนาด้วยการจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนซ่ึงประกอบด้วยการจัด สภาพสง่ิ แวดล้อมในบรเิ วณโรงเรียนอาคารเรยี นอาคารประกอบห้องเรียนห้องปฏบิ ตั กิ ารให้สะอาดร่มร่ืน สวยงามและเป็นระเบียบเรียบร้อยมีการติดข้อความคติธรรมสุภาษิตท่ีเอื้อต่อ การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมท่ีพึงประสงค์ไว้ตามต้นไม้อาคารเรียนอาคารประกอบห้องเรียนห้องปฏิบัติการใน บริเวณโรงเรียนมีการจัดนิทรรศการเน่ืองในโอกาสวันสาคัญทางศาสนาอย่างต่อเนื่องเป็นประจา มีการ จัดห้องจริยศึกษา และห้องละหมาด โดยเฉพาะ เพื่อให้นักเรียนได้ใช้เป็นแหล่งศึกษาในการพัฒนา คุณธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นยิ มทพี่ งึ ประสงค์ 5. แนวทางการพฒั นาดว้ ยการนาผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในโรงเรียน ซ่ึง ประกอบ ด้วย การเชญิ ผู้ปกครองและผู้นาชมุ ชนเข้ารว่ มประชมุ ชี้แจงทาความเข้าใจ ทาได้ด้วยการสร้าง ความตระหนักและมีส่วนร่วมตัดสินใจ เผยแพร่ และแจ้งข้อมูลข่าวสารความรู้เก่ียวกับเทคนิควิธีการ อบรมสั่งสอนและลักษณะพฤติกรรมท่ีบ่งชี้คุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ ของนักเรียนให้ ผู้ปกครองทราบ ขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองอบรมสั่งสอน และแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับลักษณะ พฤติกรรมท่ีบ่งชี้คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ของนักเรียนให้ทางโรงเรียนทราบ เชิญ ผู้ปกครองและผู้นาชุมชนเข้าร่วมกิจกรรมวันสาคัญทางศาสนา วันพ่อแห่งชาติ วันแม่แห่งชาติ ท่ี โรงเรยี นจัดขน้ึ ฤกษช์ ยั คณุ ปู การ (2539 : น.78 - 233) ได้เสนอทฤษฎีทีส่ ามารถใช้สอนและฝึกอบรม ให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและจริยธรรมที่พึงประสงค์ได้อย่างประสิทธิภาพ การปลูกฝังจริยธรรมโดย วิธีกระจ่างค่านิยม หมายถึง การกระตุ้นให้บุคคลเข้าใจค่านิยมของตนเองและค่านิยมของผู้อ่ืนได้อย่าง ชัดเจนซึ่งความเข้าใจดังกล่าวจะช่วยให้บุคคลสามารถดารงชีวิตอยู่ในสังค มและสิ่งแวดล้อมได้สมบูรณ์ ยิ่งข้ึน การมุ่งให้ผู้เรียนเข้าใจค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรมของตนเองได้อย่างชัดเจน เพ่ือป้องกัน ความสับสนและความลังเลใจในการประพฤติปฏิบตั ิทง้ั ตอ่ ตนเองและผู้อื่น ผ้เู รียนมีอิสระในการพิจารณา ถูกผิดได้ด้วยตนเอง กล่าวคือ ส่ิงใดที่ผู้เรียนคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีงามสิ่งน้ันก็จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องดี งามของผู้เรียนซ่ึงบุคคลท่ีเกี่ยวข้องจะต้องเข้าใจและยอมรับสิ่งท่ีถูกต้องและดีงามดังกล่าวของเขาด้วย ในกรณที ี่ค่านยิ มของผู้ใดไม่ถกู ต้องตามหลักคณุ ธรรม จริยธรรม และค่านิยมของสังคมไม่ควรตัดสินใจว่า คา่ นยิ มของเขาผิดและบังคับให้เขาเปลี่ยนค่านิยม แต่ควรส่งเสริมให้เขาได้แลกเปล่ียนความคิดเห็นแลก คา่ กบั ผอู้ นื่ จนกระทั่ง เขายอมรับค่านิยมถูกต้องตามหลักคุณธรรมและจริยธรรมด้วยตนเอง การเปลี่ยน คา่ นิยมด้วยวธิ ีการดงั กลา่ วจึงเปน็ วธิ กี ารเปลย่ี นค่านิยมหรอื พฤติกรรมโดยที่ผู้เปล่ียนไม่สูญเสียความเป็น ตัวของตัวเองและมีความเช่ือม่ันว่าตนได้กระทาในส่ิงที่ถูกต้องและเหมาะสมซึ่งถือว่าเป็นความสาเร็จ สูงสุดของการเปลี่ยนเจตคติและพฤติกรรมของบุคคลการปลูกฝังจริยธรรมโดยให้เหตุผลเชิงจริยธรรม
31 เป็นวิธีการที่สามารถนามาใช้สอนและฝึกอบรมให้เป็นคน มีคุณธรรมและจริยธรรมที่พึงประสงค์โดย เหตุผลเชิงจริยธรรมจะทาหน้าท่ีเป็นเหตุจูงใจให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์บุคคลจึงสามารถ ประเมินคุณธรรมและจริยธรรมของผู้อื่นได้โดยการสังเกตและซักถามเหตุผลท่ีอยู่เบ้ืองหลังการกระทา ต่างๆของเขา ดังน้ัน ในการที่พัฒนาเยาวชนให้มีความเจริญเติบโตทางด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย และมีจิตใจท่ีดีงามได้น้ัน จาเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เก่ียวข้อง โดยเร่ิมตั้งแต่สถาบัน ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน โดยยึดหลักและวิธีการต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น ตามแบบอย่างของ ทา่ นศาสดา บรรดาศอหาบะฮฺ (สาวก) และบรรดาผ้รู ูท้ สี่ ืบทอดมาจนถงึ ทกุ วันนี้ ระบบครอบครวั ในอสิ ลำม อสิ ลามเปน็ ศาสนาทม่ี กี ฎระเบยี บแบบแผน มีบทบญั ญัติซ่ึงเป็นกฎที่ประทานลงมาจาก พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่พินิจพิเคราะห์อย่างเท่ียงธรรมจะพบว่ากฎระเบียบทุกอย่างนั้นมีความสมดุลระหว่าง ความตอ้ งการทางดา้ นร่างกายและจิตใจของมนุษย์ วิถีในการดาเนินชีวิตของมุสลิมทุกคนน้ันมีแบบแผน จากคาสอนอันสมบูรณ์ยิ่งท่ีเปรียบดั่งประทีปท่ีส่องนาทาง ฉายแสงเจิดจ้ายังทุกแง่มุมของวิถีชีวิตมนุษย์ (ซยั ยดิ ซาอิด อคั ตารฺ รซิ วี, 2526: น.19) ตั้งแต่ศาสนาอิสลามภาคสมบูรณ์ได้อุบัติข้ึนมาในปี ค.ศ.610 เป็นต้นมา และได้มี บทบาทอย่างกว้างขวางบนเวทีโลก ชาวโลกก็ได้แลเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า ศาสนาอิสลามมีลักษณะ แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ เกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความคิด ความเช่ือ หรือด้านการปฏิบัติ ครอบครัวในรูปแบบอิสลามกับท่ีมิใช่รูปแบบอิสลามจึงแตกต่างกัน และเพ่ือให้ศาสนาอิสลามรักษา เอกลักษณ์ของตนเองโดยตลอด อัลลอฮฺ จึงได้กาชับมิให้มุสลิมประนีประนอมศาสนาอิสลามกับศาสนา อ่ืนๆ ไม่ว่ากรณีใดๆ อายะฮฺในคัมภีร์อัลกุรอานได้สะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนของอิสลามอย่างชัดเจน ว่า หลักการอสิ ลามนน้ั ต้องแยกชัดเจนเสมอื นนา้ กบั น้ามนั (อารง สทุ ธาศาสน์, 2541: น.6-7) ดังน้ันเราจะพบว่า ศาสนาอิสลามมีความแตกต่างจากศาสนาอื่นๆชัดเจน ระบบ ครอบครัวในอิสลามจึงมีกรอบท่ีเป็นแนวทางให้แก่การดาเนินชีวิตของมนุษย์ ที่มีความเหมาะสมกับทุก ยคุ ทกุ สมยั อยา่ งมิตอ้ งสงสยั และถอื ว่า ระบบครอบครัวที่มีความเข้มแข็งจะเป็นหน่วยพื้นฐานที่สาคัญใน การสรา้ งวฒั นธรรมท่ดี ีงามและความผาสกุ ใหแ้ ก่สังคม ควำมสำคญั ของครอบครวั ครอบครัวเป็นการรวมตัวของบุคคลที่มีความรัก ความผูกพันกันและมีปฏิสัมพันธ์กัน ช่วยเหลือเก้ือกูลกัน ครอบครัวเป็นสถาบัน สังคมท่ีเล็กท่ีสุดแต่กลับเป็นสถาบันท่ีมีความสาคัญท่ีสุด เพราะเป็นหน่วยสังคมแรกท่ีหล่อหลอมชีวิตของคนในครอบครัวให้การเล้ียงดูอบรมส่ังสอนครอบครัว
32 เป็นแหล่งผลิตคนเข้าสู่สังคม สังคมจะมีคนที่มีคุณภาพดีมากหรือน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กบการอบรมจาก ครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นสถาบันแรกท่ีให้การอบรมส่ังสอน หล่อหลอมบุคลิกภาพความคิด และ ความรสู้ กึ ครอบครวั จงึ เปน็ แหลง่ สร้างและพัฒนาคณุ ภาพของมนษุ ย์ในสงั คม รากฐานแห่งความสมบูรณ์ของชีวิตมนุษย์ ตามเกณฑ์ของอัลลอฮฺและของเราะสูลุลอฮฺ นั้น คือการร่วมชีวิตกันเป็นคู่สามีภรรยา มิใช่อยู่คนเดียวอย่างโดดเด่ียว ด้วยเหตุน้ีการนิกาฮฺ หรือการ สมรสในมุมมองอิสลาม คือการยอมรับกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺ ในด้านการสนองตอบฟิตเราะฮฺ(ความ ต้องการเดิม) ด้วยการทาตามแบบอย่างสุนนะฮฺของท่านเราะสูล ในแง่ของวิธีปฏิบัติ ซึ่งอัลลอฮฺ ได้ กาหนดไว้เป็นหนทางท่ีมนุษย์จะบรรลุสู่ความสมบูรณ์ในชีวิตโลกและชีวิตอาคิเราะฮฺ (อิสมาอีล ลตุ ฟี จะปะกยี า, 2549: น.11-12) ดังที่ อัลลอฮฺ ไดต้ รสั ไว้ในคัมภรี ์อลั กุรอานวา่ َو َخلَْقنَا ُك ْم أَْزَوا ًجا ความว่า และเราได้บังเกิดพวกเจ้าให้เป็นคู่ครองกัน (คือเราได้บังเกิดพวกเจ้ามาเป็น เพศชายและเพศหญงิ เพ่อื จะให้เปน็ คคู่ รองกนั ใหม้ กี ารสมรสและสืบเชื้อสายกนั ต่อไป (อนั นะบะอฺ : 8) เม่ือกล่าวถงึ ครอบครัวในอิสลามแล้ว สามีคือผู้นา ส่วนภรรยาคือผู้ท่ีมีหน้าท่ีดูแลความ เรียบร้อยภายในครอบครวั ถึงแม้ว่าสามีตอ้ งรบั ผิดชอบในหน้าท่ีการเป็นผู้นา แต่นั้นก็มิได้หมายความว่า เขาจะมเี กียรตมิ ากกว่าผู้เปน็ ภรรยาแต่อยา่ งใด (มฮุ าหมัดซากี เจะ๊ หะ, 2554: น.29) ดังที่อัลลอฮฺ ได้ตรัส ในอัลกุรอานวา่ َوَل تَتَ َمنم ْوا َما فَ مض َل اّلملُ بِِهَوابَ ْعْسأَلَُضواُكاْمّلملََعلَِم َْٰىن بَفَْع ْضلِِهض ۗ لإِِلمنِرَاجّالمِلَل َكنَا َِنصيبِمُبك ِِِلما َشا ْْكيتَءَسبَُعلِواي ًماَولِلنِ َساِء نَ ِصي مب ِِما ا ْكتَ َسَْْب ความว่า และจงอย่าปรารถนาในสิ่งท่ีอัลลอฮฺได้ทรงให้แก่บางคนในหมู่พวกเจ้า เหนือกวา่ อีกบางคน สาหรับผ้ชู ายนั้นมีส่วนไดร้ บั จากสิง่ ท่ีพวกเขาได้ขวนขวายไว้ และสาหรับหญิงึน้นก็ มีส่วนได้รับจากส่ิงที่พวกนางได้ขวนขวายไว้ และพวกเจ้า จงขอต่ออัลลอฮฺเถิด จากความกรุณาของ พระองค์ แท้จริงอลั ลอฮทฺ รงรอบรู้ในทกุ สิง่ ทกุ อยา่ ง (อันนสิ าอฺ :32) ซัยยิด อบุล อะอฺลา เมาดูดี (แปลโดย กุหลาบเขียว, 2553: น.138 ) กล่าวว่า นับเป็น ความมหศัจรรย์ของศาสนา ท่ีสามารถโน้มนาผู้ชายและผู้หญิงให้มาร่วมกันเสียสละเพื่อเผ่าพันธุ์ และ อารยะธรรมโดยระงับยับยั้งความเห็นแก่ตัวของตนตามวิสัยสัตว์ แล้วหัน สู่ความเป็นมนุษย์ท่ีไม่เห็นแก่ ตัวได้มีเพียงบรรดาเราะสูล เท่าน้ันที่เข้าใจเป้าหมายท่ีแท้จริงของธรรมชาติและกาหนดให้การแต่งงาน เป็นรูปแบบที่ถูกต้องแต่เพียงอย่างเดียวในการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ท้ังโดยเจตนาเพื่อ กามารมณ์และเพอื่ สังคม เน่ืองมาจากอิทธพิ ลแห่งหลักธรรมคาสอนและทางนาของท่านเหล่านั้น โดยแท้ ทที าให้การแต่งงานกลายเป็นสถาบนหนึง่ ของประชาชาติต่างๆทวั่ ทกุ มมุ โลก
33 บทบาทของคู่สมรสถกู กาหนดตามความเหมาะสมของโครงสร้างทางสรีระของร่างกาย อิสลามได้ยืนยันถึงความแตกต่างดังกล่าวและได้กาหนดกฎเกณฑ์พื้นฐานทางสังคมไว้ ดัง น้ี (มุฮาหมัด ซากี เจะ๊ หะ, 2554: น.197) 1) สถาบันครอบครัวเป็นกลไกสาคัญของสังคมซึ่งต้องอยู่บนพ้ืนฐานของการสมรสที่ ถกู ต้อง 2) กฎเกณฑธ์ รรมชาตไิ ด้กาหนดไวว้ ่า ทกุ สงั คมจะต้องมกี ฎระเบียบและผู้นา 3) การสมรสจะก่อให้เกิดสิทธิทางศีลธรรมและสิทธิทางกฎหมาย ความสงบสุขภายใน ครอบครัวจะเกิดข้ึนไม่ได้ ถ้าสามีภรรยาไม่มีความไว้วางใจและความพึงพอใจซึ่งกันและกัน คุณค่าทาง ศีลธรรมของการสมรสในอิสลาม คือการเป็นหุ้นส่วนในการทาให้ชีวิตสมรสบรรลุเป้าหมาย เมื่อสามี ภรรยาเข้าใจถึงคุณค่าทางศีลธรรมดังกล่าว แล้วปัญหาความไม่เท่าเทียมกันจะไม่เกิดขึ้น ท้ังชายและ หญิงจะถูกปฏิบตั ิอย่างเทา่ เทียมกันโดยพระผเู้ ป็นเจา้ ภายใต้หลักคาสอนของอัลกุรอาน 4) เน่ืองจากความแตกต่างในด้านสรีระร่างกายทาให้ชายและหญิงมีบทบาทใน ครอบครัวทต่ี ่างกนั ขณะที่ชีวิตครอบครัวดาเนินไปอยู่น้ันเราจะพบว่าอิสลามได้เข้ามาแก้ทุกๆ ปัญหาของ ระบบครอบครัว ด้วยวิธีอันชาญฉลาดอย่างย่ิงเสียจนกระทั่งเราต้องยอมรับว่า ไม่มีวิธีการอื่นใดที่ดีกว่า ทีจ่ ะมาแกไ้ ขปญั หานไ้ี ดอ้ ีกแล้ว (ซัยยิด ซาอดิ อคั ตารฺ ริซวี, 2526: น.19) ดงั น้ันครอบครัวจึงเป็นสถาบัน ทางสังคมท่ีเล็กท่ีสุด ท่ีเกิดจากความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างบุคคลสองคนขึ้นไป และมีบทบาท สาคญั ในการถ่ายทอดความเช่ือความศรัทธา ตลอดจนค่านิยมและทัศนคติต่างๆ เป็นสถาบันลาดับแรก ทจี่ ะหล่อหลอมบุคลิกภาพให้แก่มนุษยก์ ่อนการออกไปใชช้ วี ติ จรงิ ในสังคม อิสลามได้เรียกรอ้ งให้สังคมมนุษยด์ ารงชวี ติ อย่างสะอาดบริสุทธิ์ สร้างสังคมที่มีสถาบัน ครอบครัวเป็นเบ้าหลอมในการสานสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่ห้อมล้อมด้วยความรักอัน แท้จริง มีความจริงใจต่อกัน มีความรับผิดชอบและแบ่งปันภาระหน้าที่อย่างยุติธรรมและสมดุลสู่ความ ผาสุกในชีวิตอย่างแท้จริง (มัสลัน มาหะมะ, 2009: น.2) อิสลามเป็นศาสนาท่ีได้วางหลักเกณฑ์ให้ ครอบครัวนั้นเป็นสถานท่ีซึ่งดูแลการเจริญเติบโตในทุกมิติ คือทั้ง ด้านร่างกาย จิตวิญญาณและ สติปัญญาเพอ่ื ใหส้ ามารถเติบโตมาเปน็ ส่วนหนึ่งในการทาหน้าทร่ี ับใช้สงั คม ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ครอบครัวเป็นสถาบันที่สาคัญยิ่งในการสร้างและพัฒนา ประชาชาติอิสลามให้มีคุณภาพ เมื่อครอบครัวมีความเข้มแข็งก็จะเป็นฐานสาคัญ ในการฟ้ืนฟูสังคม ตอ่ ไป ศาสนาอิสลามไม่สนับสนุนให้มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษหรือละท้ิงความสุขทางโลก อย่างสิ้นเชิงด่ังเช่นบรรดานักบวชหรือพระ เพราะการอยู่อย่างสันโดษนั้นขัดกับสัญชาตญาณ ความ
34 ต้องการที่แท้จริงของมนุษย์และไม่สอดคล้องกับธรรมชาติที่พระผู้เป็นเจ้า ได้สร้างมนุษย์มา คณุ ประโยชนข์ องการแตง่ งานตอ่ สงั คมน้นั มดี ังต่อไปน้ี (Abdullah Nasih Ulwan, 1995: น.8-10) 1) การแต่งงานจะก่อให้เกิดความสงบทางจิตใจ ความรัก มิตรภาพ และความสนิท สนมกจ็ ะก่อตัวขนึ้ ระหว่างสามีและภรรยา ดังทอี่ ัลลอฮ ได้ตรสั ในคัมภรี อ์ ัลกุรอานไว้วา่ ًَوِم ْن آَيتِِه أَ ْن َخلَ َق لَ ُكإِْممنِمِْنف أََٰنَذْلُِف َِسك ُكَلْمَيأَْزَتوا لًِجَقاْولِمتَ يَْستََفُكنُمكواُروإِلََْني َها َو َجَع َل بَْينَ ُك ْم َمَومدةً َوَرْحَة “หน่ึงจากสัญญาณท้ังหลายของพระองค์ คือ ทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้า จากตัว ของพวกเจ้า เพอ่ื พวกเจ้า จะได้มีความสขุ อยกู่ บั นางและทรงมีความรักใคร่และความเมตตาระหว่างพวก เจา้ แท้จรงิ ในการน้ี แน่นอน ยอ่ มเปน็ สญั ญาณแก่หมูช่ นผ้ใู คร่ครวญ” (อรั รูม: 21) ความสงบทางจิตใจและจิตวิญญาณน้ันจะช่วยให้บุคคลหน่ึงมีความใกล้ชิดกับพระ เจา้ ของเขามากขน้ึ ตลอดจนทาให้ศาสนาของเขามคี วามสมบูรณม์ ากย่งิ ข้ึน 2) เพื่อการดารงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์และให้เกิดการแพร่ขยายเผ่าพันธ์ุของมนุษย์ ให้ดารงอยู่ต่อไป อัลกุรอานได้ช้ีให้เห็นถึงประโยชน์ของการแต่งงานท่ีส่งผลมนุษย์ซ่ึงเป็นเหตุผลทาง สงั คม ไว้ดังน้ี َي أَُيِّرََهجااًاللنماَكثِيُسًرااتمَونُقِواَساَءرًبم ُكَوُامتماُقلموِاذ اّيلملَ َاخلملََقِذ ُكيْمتَِمَسْانءَنلَُْفوَنسبِِهَواَواِحْلََدْرةَحَاوَمَخلَ إَِقمنِماْنَّلمهلَا َكَزاْوَنَجَهَعالَْيَوبَُك ْممثَرقِِميْنبًاُه َما “มนุษยชาติท้ังหลาย! จงยาเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิต หนึ่งและได้ทรงบังเกิดจากชีวิตนั้น ซึ่งคู่ครองของเขาและได้ทรงให้แพร่ สะพัดไปจากท้ังสองน้ัน ซ่ึง บรรดาชายและบรรดาหญงิ อนั มากมาย และจงยาเกรงอัลลอฮฺที่พวกเจ้าต่างขอกันด้วยพระองค์ และพึง รกั ษาเครอื ญาติ แทจ้ รงิ อัลลอฮฺทรงสอดสอ่ งดูพวกเจา้ อยเู่ สมอ” (อันนิสาอฺ : 1) 3) เพ่ือเปน็ การรักษาเช้ือสายวงศ์ตระกูล การแต่งงานจะทาให้สามารถระบุสายตระกูล ได้ แต่หากไม่มีบทบัญญัติการแต่งงานจากอัลลอฮฺ ก็อาจส่งผลให้ในสังคมหน่ึงๆ เต็มไปด้วยเด็กๆที่ไม่มี ตระกูล การเปน็ อยขู่ องคนเหลา่ นนั้ กจ็ ะไมไ่ ด้รบั เกียรตจิ ากคนในสังคม สถานการณ์ลักษณะทาให้ศักดิ์ศรี และความบริสุทธ์ิของมนษุ ย์น้ันหายไป ซ้ายังอาจส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของความไร้ศีลธรรมและ ความเสเพลส่าส่อนข้ึนในสังคม 4) เพ่ือให้สังคมรอดพ้นจากการกระทาท่ีผิดศีลธรรม การแต่งงานจะมีส่วนช่วยให้ สงั คมปลอดภยั จากการกระทาท่ีนาไปสู่ความเสื่อมเสียด้านศีลธรรมจรรยา และช่วยลดความแตกแยกที่ อาจเกิดข้ึนมาจากความวุ่นวายที่มาจากความอ่อนแอของปัจเจกบุคคลในสังคม หากพื้นฐานของความ พึงพอใจในเพศตรงข้ามเกิดข้ึนจากการแต่งงานท่ีถูกต้องตามหลักการ จะส่งผลให้ประชาชาติมีความ เป็นอยู่ที่สงบสุข มีความสัมพันธ์ฉันท์พ่ีน้องที่ดี อีกทั้งยังอานวยให้มุสลิมคนหน่ึงสามารถปฏิบัติตาม
35 บทบัญญตั ขิ องอัลลอฮฺ ได้อย่างดี ดังทที่ ่านเราะสลู ลุ อฮฺ ไดเ้ ชญิ ชวนเยาวชนท่ีมีความสามารถให้แต่งงาน เพอ่ื เหตุผลทางศีลธรรมและเพอื่ ประโยชน์ตอ่ สังคม ดงั นี้ ، ا َْوسَتَم ْطنَا ََعلْ يَِمْنْستَُك ْمِط ْاعلْبَفَاَءعَلََةْيِهفَْليَِبتَلَزمومصْْجوِمفَِإفَنِإمنهُمهُأَلََغهُ ُِّوضَجلِاْلءبَم َصِر،َفْرَمِجْن،َي َم ْع َشََورأَ اْلح مشَصبَاُن ِلِبْل “โอ้ชายหนุ่มท้ังหลาย ในหมู่พวกท่านผู้ใดท่ีมีความสามารถท่ีจะแต่งงาน ก็จงแต่งงาน เถิด เพราะการแต่งงานจะทาให้สายตาของท่านลดต่าลงและปกป้องอวัยวะเพศได้ดีย่ิง และผู้ท่ีไม่มี ความสามารถ ใหเ้ ขาจงถือศีลอดเถดิ เนือ่ งจากมันจะปกป้องกันได้” (รายงานโดยอัลบุคอรแี ละมุสลิม) 5) เพื่อป้องกันให้ปลอดภัยจากโรคร้ายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากพฤติกรรมผิดวินัยทาง เพศ การแต่งงานจะทาให้สังคมมีความปลอดภัยจากการแพร่กระจายของโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจาก การมชี ู้หรอื การส่าส่อนทางเพศ เช่น โรคซิฟิลิส โรคเอดส์ และโรคท่ีน่ารังเกียจอื่นๆ ที่อันตรายอีกท้ังยัง ทาลายเผา่ พนั ธ์ุของมนษุ ย์ และก่อให้เกดิ โรคติดตอ่ ระบาดอย่างมากมาย 6) เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างคู่ชีวิตในการสร้างครอบครัว และอบรมเล้ียงดูบุตร ตลอดจนร่วมรับผิดชอบและฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิตไปด้วยกันสามีและภรรยาต้องให้ความเคารพซ่ึงกัน และกัน กล่าวคือ ภรรยาจะปฏิบัติในสิ่งที่เป็นหน้าท่ีของเธอ ที่มีความเหมาะสมกับสรีระทางธรรมชาติ ของเธอ เช่นการดูแลและจัดการงานบ้านต่างๆ การเล้ียงดูบุตร ส่วนผู้เป็นสามีก็ปฏิบัติในส่วนท่ีเป็น ความรับผิดชอบของเขา คือการทางานนอกบ้าน ซึ่งมักจะเป็นงานที่ต้องใช้กาลังด้วยความร่วมมือ ระหว่างคู่สมรสจะเป็นรากฐานสาคัญในการสร้างประชาชาติท่ีมีคุณภาพและมีความศรัทธาท่ีแท้จริง บุตรท่ีมาจากครอบครัวที่มีความรักและความอบอุ่น จะเป็นกาลังสาคัญ ในการช่วยเหลือสังคมให้ กา้ วหนา้ ตอ่ ไป 7) เพ่ือให้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการเป็นพ่อแม่อย่างลึกซึ้ง ด้วยกระบวนการแต่งงาน จะทาให้คู่สมรสมีความรู้สึกของการอยากเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นแรงกระตุ้นให้อยากปฏิบัติหน้าที่ของการ เปน็ พอ่ แมใ่ หส้ มบรู ณข์ ึน้ อกี ทงั้ ยังส่งผลใหต้ นเองไดต้ ระหนกั ถงึ หน้าทีข่ องตนเองที่พึงปฏิบัติต่อพ่อแม่ผู้ให้ กาเนดิ มากย่ิงขนึ้ สิ่งเหล่านี้คือผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ซ่ึงล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากการแต่งงาน ที่มีเป้าหมายเพอ่ื การสร้างสถาบันครอบครัว เอาใจใส่ในการการอบรมเลี้ยงดูบุตร จนเป็นตัวแปรสาคัญ ที่จะร่วมกันขับเคล่ือนให้ประชาชาติอิสลามมีความเจริญก้าวหน้ามากข้ึน ซึ่งมีความสอดคล้องกับท่ีเชค อาลี อีซา (2533: น.13-16) ได้กล่าววา่ การสมรสในอสิ ลามนน้ั มีประโยชนต์ ่อส่วนรวมโดยเฉพาะ และมี ผลดตี อ่ สังคมดงั ตอ่ ไปนี้ 1) เป็นการรักษาเผ่าพันธ์ุของมนุษย์ การสมรสทาให้การสืบพันธุ์ของมนุษย์มีอยู่ต่อไป เป็นการเพ่ิมจานวนประชากรให้มากขึ้น และการสมรสก็ยังจะรักษามนุษย์ให้มีความดีทั้งด้านนิสัยและ รา่ งกายไปพร้อมๆ กัน
36 2) สร้างความภาคภูมิใจให้แก่บุตรหลาน ด้วยการสมรสท่ีอัลลอฮฺได้บัญญัติให้แก่บ่าว ของพระองคน์ นั้ ก็เพื่อใหล้ กู ๆ ไดม้ ีความภาคภูมิใจในการสืบสกุลต่อจากบิดา มารดาของเขา คงอยู่ต่อไป จนกระท่ังวันกิยามะฮฺ (วันส้ินโลก) ทาให้มนุษย์ไม่สูญพันธุ์ ถ้าไม่มีการสมรส ความเสียหายอย่างใหญ่ หลวงจะเกิดข้นึ บนแผน่ ดนิ มนษุ ย์จะประพฤติผิดมากกวา่ นีแ้ ละการกระทาผดิ วินยั ทางเพศก็จะแพร่หลาย อย่างมากมาย 3) ทาให้สังคมมีความสุขและขจัดนิสัยที่ไม่ดีของมนุษย์ ดังนั้นผู้ใดมีความสามารถ พรอ้ มกจ็ งรบี แต่งงานเสีย 4) ทาใหค้ นในสงั คมปลอดภยั จากโรคร้ายต่างๆ ซงึ่ อาจมีต้นเหตุมาจากการผิดประเวณี ของมนษุ ย์เอง เช่น ซิฟิลสิ หนองใน และเอดส์ ซง่ึ โรคเหลา่ นจี้ ะมีผลตอ่ ไปยงั รุ่นลกู ๆ ทีจ่ ะเกดิ ตามมาด้วย บางคร้ังโรคนอี้ าจร้ายแรงถึงข้ันทาอนั ตรายตอ่ เด็กได้ 5) สร้างความสงบสุขแก่ชีวิตและจิตใจ การสมรสสร้างความรักใคร่และความเมตตา ซ่ึงกันและกันระหว่างสามีภรรยาชีวิตมนุษย์หมุนเวียนอย่างมีความสุขภายในครอบครัว เร่ิมเช้าวันใหม่ ด้วยการท่ีสามีออกไปประกอบอาชีพ และเมื่อกลับมาพบครอบครัวในตอนเย็น ความเหน็ดเหนื่อยจาก การงานก็จะหายไป เราจะพบว่า ชีวิตภายในครอบครัวน้ันท้ังสามี ภรรยาต่างเป็นท่ีอบอุ่นใจซ่ึงกันและ กันและไม่ต้องสงสัยเลยว่า ครอบครัวที่มีความสุขนั้นเขาจะต้องมีกระบวนการอบรมและเอาใจใส่ลูกๆ เป็นอยา่ งดี 6) ช่วยเหลือสามีและภรรยาในการสร้างครอบครัว และเพ่ืออบรมลูกๆ และให้ รบั ผิดชอบครอบครวั ซ่ึงแต่ละคนจะชว่ ยทาใหช้ ีวติ ของอกี ตนหน่งึ สมบูรณข์ ้ึน ผูห้ ญิงก็ปฏิบัติ ในส่ิงท่ีเป็น ความรบั ผิดชอบของเธอ ซ่ึงเป็นงานท่ีเธอถนัด ซ่ึงอัลลอฮฺได้จัดมาให้แก่ผู้หญิงน่ันคือ การบริหารกิจการ ภายในบ้านและเอาใจใส่อย่างสม่าเสมอในการอบรมลูกๆ ส่วนผู้ชายก็ทาในส่ิงท่ีอยู่ในความรับผิดชอบ ของเขา ซง่ึ กเ็ ปน็ งานที่เขาถนัดเชน่ เดยี วกันอัลลอฮไฺ ด้มอบหมายให้ผชู้ ายรับผดิ ชอบในการจัดหาปัจจัยยัง ชพี เพื่อเลย้ี งดคู รอบครวั พร้อมทั้งปกป้องรักษาครอบครวั ให้พ้นจากอันตรายต่างๆ หากทั้งสองคนปฏิบัติ หนา้ ทข่ี องตนได้อย่างนีแ้ ล้ว ก็จะทาให้ครอบครัวมีความสุขและน่ันคือข้ันของการเตรียมพร้อมเพื่อจะให้ ไดล้ ูกที่ดี 7) กอ่ ให้เกดิ ความรกั และความเมตตาปรานอี ย่างมากมายภายในหัวใจของผู้เป็นพ่อแม่ ความรู้สกึ นจ้ี ะเกดิ ขนึ้ เองโดยอลั ลอฮฺ เป็นผู้จัดเตรียมมาให้มนษุ ย์ และความรู้สึกนีย้ ังสง่ ผลต่อการปกป้อง ลูกนอ้ ยใหไ้ ดร้ ับความถกู ต้องในชวี ติ ใหเ้ ขาเขา้ ใจท่จี ะใช้ชวี ติ อยู่ในโลกนีอ้ ยา่ งมีแบบแผนที่ถูกต้อง ด้วยคณุ ประโยชนต์ อ่ สงั คมอนั มากมายดังกล่าว จึงไม่แปลกใจเลยว่าทาไมอิสลามจึงได้ บัญญัติการสมรสมาให้มนุษย์ พร้อมทั้งยังกาชับให้มนุษย์น้อมรับคาส่ังใช้น้ีด้วยการสมรสกันกับคนดีใน แบบทศ่ี าสนาได้ชแ้ี นะเปน็ แนวทางไว้
37 โครงสร้ำงของครอบครวั มสุ ลิม คาสอนของศาสนาอิสลามเก่ียวกับครอบครัวนั้นมีความชัดเจนและครอบคลุมทุก ประเด็น กล่าวคือ อิสลามกาหนดให้ผู้ชายเป็นผู้รับผิดชอบในการทางานและจัดหาส่ิงจาเป็นต่อการ ดารงชีวิตใหแ้ ก่ภรรยาและบตุ รและต้องค้มุ ครองคนในครอบครัวให้พ้นจากความช่ัวร้ายต่างๆ ส่วนผู้เป็น ภรรยาได้ถูกกาหนดหนา้ ท่ีสาหรับการดแู ลบ้าน อบรมและเลี้ยงดูลูก จัดหาความสะดวกสบายและความ พึงพอใจให้แก่สามีและลูก การศึกษาเรื่องการบริหารจัดการในครอบครัวตามแนวทางศาสนาอิสลาม มี ความจาเป็นต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ท่ีเชื่อมโยงกันระหว่างบุคคล ซ่ึงมีลักษณะเป็นโครงสร้างท่ีจะเอื้อ ใหบ้ ุคคลในครอบครวั สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข มีการแบ่งบทบาทหรืออานาจหน้าท่ี ตามความ เหมาะสมของบริบทและจารีตประเพณีในสังคมหรือยคุ สมยั Khurshid Ahmad (1980: p.31-32) ได้กล่าวว่า โครงสร้างของครอบครัวในอิสลาม ได้แบ่งบุคคลออกเป็น 3 กลมุ่ ย่อย คอื กลุ่มแรกซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลทีม่ คี วามสัมพนั ธ์ใกล้ชิดกันมากที่สุดจะ ประกอบด้วย สามี ภรรยา บุตร พ่อแม่ของสามีหรือภรรยาท่ีอาศัยอยู่ด้วยกันและคนรับใช้ (กรณีท่ีมี) กลุม่ ทสี่ อง คอื กลุ่มครอบครัวของเครือญาติ ซึ่งจะประกอบด้วยครอบครัวของญาติสนิท ซ่ึงอาจจะอาศัย อยู่ร่วมกันหรือแยกกันอยู่คนละครัวเรือน เป็นบุคคลที่สามารถขอความช่วยเหลือระหว่างกันได้โดยง่าย บคุ คลเหล่านม้ี ีสิทธิได้ประโยชน์ในทรัพย์สมบัติท้ังในขณะท่ีมีชีวิตและเม่ือตายไปในฐานะท่ีเป็นผู้ร่วมรับ มรดก ซ่ึงตามกฎหมายบุคคลเหล่านี้จัดเป็นทายาทรับมรดก หลักการนี้สาคัญในการสร้างแก่นอัน เข้มแข็งในครอบครัวมุสลิมนั้นจาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสาคัญกับการแบ่งปันความรัก รับรู้ถึงความ เจ็บปวด ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันช่วยเหลือกันในยามท่ีเจ็บป่วยและเผชิญกับบทสอบต่างๆ ความสัมพันธ์ ลักษณะนี้เกดิ จากการเกย่ี วพันกนั ทางสายเลือดโดยผ่านการแต่งงาน และการเป็นแม่นม กำรบริหำรจดั กำรภำยในครอบครัวมสุ ลมิ การบริหารจัดการครอบครัวให้เกิดประสิทธิภาพนั้น ผู้นาครอบครัวจาเป็นต้องมี ความรู้ในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในบ้าน เช่น ความพึงพอใจของสมาชิกและความสัมพันธ์ ระหว่างลูกๆ และต้องมีความเข้าใจในตัวภรรยาและลูกๆทุกคน นอกจากศาสตร์และความสามารถ ทางดา้ นการจดั การแลว้ ผู้นาครอบครัวยังตอ้ งมีความรู้ในดา้ นต่างๆ ที่เก่ยี วข้อง ดังต่อไปนี้ 1. ควำมสัมพนั ธ์ภำยในครอบครวั ระหว่างสามีภรรยาจาเป็นต้องให้เกิดความสัมพันธ์ร่วมกันทั้งในด้านความคิดและการ กระทา ทั้งด้านจิตวิญญาณและอารมณ์ กล่าวคือ มีกิจกรรมการอ่านศึกษาร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจทาง ศาสนาบางอยา่ งร่วมกนั ตลอดจนชว่ ยเหลือกนั ทางานบ้าน และใชเ้ วลาบางโอกาสในการหยอกล้อกันบ้าง ตามสมควร (ฟัตฮยี ์ ยะกนั , แปลโดย นศั รลุ ลอฮฺ ต็อยยิบ, 2010: น.81-81)
38 การเสริมสรา้ งความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมาชิกในครอบครัวสามารถแสดงออกมาในหลาย รูปแบบ โดยเน้นให้สมาชิกในครอบครัวใช้เวลาร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเป็นลักษณะการทา กิจกรรมร่วมกันในบา้ น เช่น ทาอาหารรว่ มกนั การทางานบา้ น การสอนการบ้านให้ลูก เป็นต้น หรือ เป็น ลักษณะการทากิจกรรมร่วมกันนอกบ้าน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและพักผ่อนหย่อนใจ เช่น รับประทาน อาหารอาหารนอกบ้าน ออกกาลังกายร่วมกนั เยย่ี มเยยี นเครือญาติ เขา้ ร่วมกจิ กรรมของสงั คม เป็นตน้ การปฏิบัติต่อกันด้วยดี ด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกันช่วยเหลือแบ่งเบาภาระหน้าท่ี รว่ มกันจะกอ่ ใหเ้ กดิ ความสัมพันธท์ ีด่ แี ละเกิดความเชือ่ มัน่ ต่อกนั ดังคากล่าวของท่านเราะสลู ุลอฮวฺ า่ “ผ.ศู้لِِهรْهทัَِبธา ْمทีُف ُهส่ َطมْلบََوأรู ،ณً์َقاทُีخلสُ่ ุดْمคُهอืَُسنผْ้حทู َีوأมَ่ มีًنาَاรِيمย إาَيทنทؤِمดีُْ่مที الสีِ่لดุ ك َمแْ َล أะออ่ นโยนทส่ี ุดต่อภรรยาของเขา” (รายงานโดยติรมีซีย์) และในหะดีษอกี บทหนึง่ ท่านเราะสลู ุลอฮฺ ไดก้ ลา่ วอีกวา่ َوأََن َخْيُرُك ْم ِْلَْهلِي، َخْيُرُك ْم َخْيُرُك ْم ِْلَْهلِِه “ผูท้ ่ีดีทส่ี ดุ ในหม่พู วกทา่ น คอื ผู้ท่ีปฏิบัติต่อครอบครัวของเขาอย่างดีที่สุด และฉันเป็น ผทู้ ปี่ ฏบิ ตั ดิ ที ่สี ดุ ต่อครอบครวั ของฉัน” (รายงานโดยมสุ ลมิ ) 2. กำรอบรมขดั เกลำสมำชิกในครอบครัว การอบรมสมาชิกในครอบครัวถือเป็นสิ่งท่ีมีความจาเป็นอย่างย่ิง การทาให้สมาชิกใน ครอบครัวได้มวี ิชาความรูท้ ี่จาเป็นตามบทบัญญัติศาสนาอิสลาม เป็นหน้าท่ีของผู้นาครอบครัว เพื่อตอบ รบั คาสัง่ ใช้ของอัลลอฮ ในอายะฮหฺ นึ่งที่พระองคท์ รงตรสั วา่ َعلَْيَيَهاأَُيَّمَهلَااائِلمَكِذيةم َنِغلَآاَمنُمظوا َُواْْلِ َجاَرة قُِشواَداأَنمدُْفَلَس يَُكْعْم ُصَوأَوْهَنلِياُّلمكلَْم َمَانًرأاََمََورقُُهوْمُد ََهوياَْفالَعنملُاوَُنس َما يُْؤَمُروَن โอ้บรรดาผู้ศรทั ธาเอย๋ จงคมุ้ ครองตวั ของพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้าให้พ้นจาก ไฟนรกเพราะเช้ือเพลิงของมันคือมนุษย์ และก้อนหิน มีมะลาอิกะฮฺผู้แข็งกร้าวหาญคอยเฝ้ารักษามันอยู่ พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่พวกเขา และพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชา (อลั กรุ อา่ น, อัตตะหรฺ มี : 6) อายะฮฺน้ีเปรียบเสมือนรากฐานสาคัญท่ีส่ังใช้ให้มีการให้ความรู้และอบรมสมาชิกใน บ้านด้วยการกาชับในเรื่องความดีงาม และหลีกห่างจากความช่ัว (เชค มุฮัมมัด ซอและห์ อัลมุนัจญิด, แปล โดย อาอิชะห์ มุนีร วงษ์สันต์, มปป.: น.35) ภรรยามีสิทธิท่ีจะได้รับการแนะนาและช้ีแนะ พร้อม กับการตักเตือนจากผู้เป็นสามีของนาง รวมไปถึงการสอนให้ความรู้ในเรื่องของศาสนา การศึกษาคัมภีร์
39 อัลกุรอาน การศึกษาหะดีษของท่านนบี เป็นต้นและนางมีสิทธิท่ีจะได้รับแบบอย่างจริยธรรมอันดีงาม จากสามขี องนาง (อบั ดลุ ลอฮฺ โต๊ะมิ, 2551: น.36) ซัยยิด อบุล อะลา เมาดูดี(แปลโดย บรรจง บินกาซัน, 2553: น.31) ได้กล่าวว่า อายัต นี้ได้บอกถึงความรับผิดชอบของคนผู้หนึ่งท่ีไม่ได้จากัดอยู่แค่การพยายามปกป้องตัวเองให้พ้นจากการ ลงโทษของอัลลอฮฺเท่านั้น แต่เขายังมีความรับผิดชอบท่ีจะต้องให้การศึกษาและการฝึกอบรมอย่างดี ท่ีสุดแก่สมาชิกในครอบครัวของเขาให้เป็นบ่าวที่ดีของอัลลอฮฺ เพราะคนในครอบครัวเขาน้ันอัลลอฮได้ มอบหมายให้อยู่ในการดูแลของเขา และถ้าหากพวกเขาอาจจะหลงผิดเดินไปบนหนทางท่ีนาไปสู่นรก เขาจะต้องพยายามอย่างถึงที่สุดท่ีจะแก้ไข เขาไม่ควรที่จะเป็นห่วงแต่เร่ืองท่ีจะให้ลูกมีชีวิตม่ังค่ังและมี ความสุขในโลกนี้ แต่เขาจะต้องคอยเฝ้าดูไม่ให้ลูกๆ ของเขากลายเป็นเช้ือฟืนของนรกในโลกหน้า มากกวา่ ท่านเราะสูลุลอฮฺ เคยกล่าวแก่มาลิก อิบนุ หุวัยริษและเศาะฮาบะฮฺคนอื่นๆ ท่ีอยู่ รว่ มกบั เขาในหะดีษบทหนึ่งทร่ี ายงานวา่ اْرجعُوا إِل أَْهليكم فَأَقِي ُموا فِيِه ْم َوعلِموُهم َوُمُروُه ْم “พวกเจ้าจงกลับไปสู่ครอบครัวของพวกเจ้า ดังน้ันพวกเจ้าจงอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา และจงใหค้ วามร้แู ละส่ังสอนพวกเขา” (รายงานโดยอลั บุคอรแี ละมสุ ลมิ ) และในอีกบทหนึ่งพระองค์ได้ทรงกาชับในเรอื่ งการละหมาด ดงั ทีก่ ล่าววา่ َوأُْمْر أَْهلَ َك ِبل مصلَاِة َوا ْصطَِْب َعلَْي َها “เจา้ จงใช้ครอบครวั ของเจา้ ใหท้ าละหมาด และจงอดทนในการปฏบิ ัติ” (ฎอหา: 132) แบบอย่างจากบรรดาสตรีในยุคสมัยของท่านเราะสูลุลอฮฺ ที่เอาใจใส่ในเร่ืองการ เรียนร้แู ละยังมคี วามกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ เพอ่ื จะไดเ้ ขา้ ใจบทบัญญัติคาสอนของศาสนาให้ ถ่องแท้มากย่ิงขึ้น ได้เคยมีกลุ่มสตรีไปขอพบท่านเราะสูลุลอฮฺ เพื่อขอให้ท่านกาหนดวันเฉพาะ สาหรับ จัดการเรยี นการสอนใหแ้ กบ่ รรดามสุ ลมิ ะฮฺ (สตรมี สุ ลิม) ดังทีไ่ ด้มีรายงานจาก อบีสะอีด อัลคุดรยี ์ ว่า ِفَافَجْجاَمَعءََكْلاْتلَِننَااْمَكَِرمأََذةامْنإَِونَََكْلفَذاَِسرفَُساَكوِْجيلَتَْوَامًّمْعلماِلَنََنْتفََِصيأَلمََتَىكُهافِّمنيلملُِهَرتَُعُسلََعْويلُِِهُلمنََااوّلمَِِسِلملماَمَصَعفَلملمَقَمىالَاَّكْلمتلُاَّلمَيعلُلَْيَفرَِهَقُساَووََلَلسلمااَمّْلمجلِتَفَِمَعذَلمْعَهَمَنُهَِبمنفالِِيَِمراْوَجِماَعُلمَلكَمَذِِهاُبَ اَِدّويَلمكثِلَُذاَك “มีสตรีคนหน่ึงได้มาหาเราะสูลุลอฮฺ พร้อมกับกล่าวว่า โอ้ท่านเราะสูลุลอฮฺ ฉันทราบ มาว่า บรรดาผู้ชายได้รับความรู้จากหะดีษของท่าน ดังน้ัน ท่านจงกาหนดวันแก่พวกเรา(กลุ่มมุสลิมะฮฺ) เพื่อจะได้มาหาท่านเพื่อเรียนรู้ส่ิงที่อัลลอฮฺได้ทรงสอนแก่ท่าน จากน้ันท่านเราะสูลุลอฮฺจึงได้สั่งให้พวก
40 นางมารวมตัวกันในวนั ทีไ่ ด้กาหนด แล้วพวกนางก็ได้มาชุมนุมกันในวันดังกล่าว โดยท่านเราะสูลุลอฮฺ ก็ ไดม้ าพบพวกนางและถา่ ยทอดสงิ่ ที่อลั ลอฮไฺ ด้ทรงบญั ชาสง่ั ใช้ให้แก่พวกนาง” (รายงานโดยอลั บุคอรี) การปฏิบัติหน้าที่ในครอบครัวให้สอดคล้องตามแนวทางศาสนาน้ันจาเป็นต้องอาศัย ความรู้เฉพาะในเร่ืองนั้น ๆ ผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในหลักคาสอนของศาสนาย่อมมีการปฏิบัติท่ี แตกตา่ งจากผู้ที่ขาดความรู้ การได้เรยี นร้อู ยา่ งสม่าเสมอจะเป็นส่วนช่วยให้การปฏิบัติภารกิจอันสาคัญนี้ มีความสมบูรณม์ ากย่ิงขนึ้ ดังทีอ่ ัลลอฮฺ ไดต้ รสั ไว้ในสเู ราะฮอฺ ซั ซมุ มัรว่า قُ ْألَمَهْن ْلُهيََوْسقتََاِونِيمتالمآِذَنيءََناليَلمْْعيلَِلُموَسَنا َِجوالمًداِذيَوَنقَائَِلًمايَْعَلَْي َُمذُورَناَْۗلإَِّمِنخَاَرَةيَتََوَيذَْمركُُرجوأُوَلُرْوحَاةَْلََلرْبِبَِها ۗ ِب “ผู้ท่ีเขาเป็นผู้ภักดีในยามค่าคืน ในสภาพของผู้สุญูด และผู้ยืนละหมาดโดยที่เขาหวั่น เกรงต่อโลกอาคเิ ราะฮฺ และหวงั ความเมตตาของพระเจา้ ของเขา (จะเหมือนกับผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺกระ น้ันหรือ?) จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด บรรดาผู้รู้และบรรดาผู้ไม่รู้จะเท่าเทียมกันหรือ? แท้จริงบรรดาผู้มี สตปิ ัญญาเท่านั้นท่ีจะใคร่ครวญ” (อัซซุมมรั : 9) 3. กำรตระหนกั ในบทบำทกำรอบรมเล้ียงดูบตุ ร ศาสนาอิสลามได้ให้ความสาคัญและใส่ใจเป็นอย่างย่ิงต่อการอบรมเลี้ยงดูบุตร เพราะ เป็นความรับผิดชอบหลักของผู้เป็นบิดามารดาที่จะต้องเอาใจใส่อบรมสั่งสอนเด็กๆ อย่างใกล้ชิด เด็กที่ เติบโตมาภายใต้การฟูมฟักของครอบครัวที่ดี และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย จะส่งผลให้เด็กมี คุณธรรม อกี ท้ังจะเป็นเกราะคุ้มกนั ตวั เด็กจากความเลวรา้ ยตา่ งๆ ท่ีมีเกลอื่ นอยใู่ นสงั คมปจั จุบนั ความเป็นจริงแล้วความขัดแย้งใดๆ ท่ีเกิดข้ึนระหว่างสามีภรรยา ย่อมมีผลกระทบ โดยตรงและรวดเร็วที่สดุ ตอ่ การอบรมลกู ๆ โดยเฉพาะตอ่ จิตใจของพวกเขา อีกทง้ั ยงั มีผลต่อความเชื่อม่ัน และความเบ่ียงเบนแก่พวกเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นกลไกแรกท่ีจะทาให้การอบรมลูกตามแบบฉบับ อิสลามเกิดข้ึนได้จริงเริ่มจากการครองชีวิต คู่ตามแนวทางอิสลาม (ฟัตฮีย์ ยะกัน, แปลโดย นัศรุลลอฮฺ ต็อยยิบ, 2010: น.83-85) ความคาดหวังในการสร้างครอบครัวอิสลาม คือการสร้างชนรุ่นใหม่ที่มี คณุ ภาพ ทีส่ ามารถเติบโตมาเปน็ คนดีทม่ี คี วามยาเกรง และสรา้ งประโยชนใ์ ห้กบั สังคมต่อไป ดังท่ีปรากฏ ใน อลั กรุ อานว่า َربمنَا َه ْب لَنَا ِم ْن أَْزَوا ِجنَا َوذُِرميتِنَا قُمرَة أَ ْعُي َوا ْجَعْلنَا لِْل ُمتمِق َي إَِماًما “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระองค์โปรดประทานแก่เรา ซ่ึงคู่ครองของเราและ ลกู หลานของเรา ให้เปน็ ทร่ี ่นื รมย์แกส่ ายตาของเรา และทรงทาให้เราเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้ยาเกรง” (อัลฟุรกอน : 74) เด็กทุกคนเกิดมาในสภาพที่บริสุทธิ์ หากพ่อ แม่เอาใจใส่ในการอบรมดูแลให้ความรัก ความอบอนุ่ และอบรมสั่งสอนตามแนวทางของศาสนา เด็กก็จะสามารถเติบโตมาเป็นมุสลิมท่ีดี แต่หาก
41 เด็กเคยชินกบั สภาพแวดล้อมครอบครัวท่ีมีแต่ความขัดแย้ง หรือการทะเลาะวิวาท บุคลิกท่ีไม่ดีเหล่าน้ัน ก็อาจติดตัวเดก็ มาด้วย ดงั ทที่ ่านเราะสูลุลอฮฺ ได้กลา่ ววา่ َويُمَ ِج َسانِِه، َويُنَ ِصَرانِِه، ُك ِل َمْولُود يُولَُد َعلَى الِْفطَْرِة فَأَبََواهُ يَُه ِوَدانِِه “ทารกทุกคนท่ีเกิดมาอยู่ในสภาพที่บริสุทธิ์ (ฟิฏเราะฮฺ) พ่อแม่จะเป็นผู้ท่ีทาให้ลูกเป็น ยะฮดู ี(ยิว) นัศรอนี(คริสเตียน) หรอื ผ้บู ชู าไฟ (รายงานโดยอลั บุคอรี) ศาสนาอิสลามจึงเข้มงวดและเน้นหนักในเรื่องการอบรมลูกๆ ต้ังแต่การจัดเตรียม บรรยากาศ สภาพแวดล้อมที่ดี ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ ที่จะเอ้ือให้การอบรมพวกเขาดาเนินไปอย่างดีที่สุด (ฟัตฮีย์ ยะกัน, แปลโดย นัศรุลลอฮฺ ต็อยยิบ, 2010: น.85) เพราะการให้การอบรมท่ีดีย่อมเป็นพ้ืนฐาน สาคญั ที่จะส่งผลดีต่อลกู ในระยะยาวได้ ดงั ท่ีท่านเราะสูลุลอฮฺ (รายงานโดยอลั บคุ อร)ี ไดก้ ลา่ วว่า َما َنَ َل َوالِمد َولًَدا ِم ْن َْنل أَفْ َض َل ِم ْن أََدب َح َسن “ ผู้เป็นบิดามิได้มอบสง่ิ ใดแกล่ กู ไว้ ท่ปี ระเสรฐิ ยงิ่ กว่าการใหก้ ารอบรมทดี่ ี“ จิตวิทยาสมัยใหม่ได้เน้นการเลี้ยงดูบุตรด้วยวิธีการท่ีเหมาะสมเ พื่อให้บุตรสามารถ เติบโตมาด้วยความรัก ความอบอุ่นและความม่ันคงทางด้านจิตใจและร่างกายตามข้ันของช่วงวัย ต่างๆ เช่น เด็กในช่วงวัยหน่ึงจาเป็นต้องได้รับการเล้ียงดูแบบหน่ึง แตกต่างกับอีกช่วงหน่ึงซ่ึงจาเป็นต้องได้รับ การเลี้ยงดูที่แตกต่างกันโดยนัยน้ีถ้าเด็กไม่ได้รับการเลี้ยงดูให้เหมาะสมตามขั้นตอนของช่วงวัยดังกล่าว จิตวิทยาสมัยใหม่อาจจะบอกว่าเด็กจะเติบโตมาอย่างมีปัญหามากมาย และในขณะเดียวกันอาจจะ ตาหนิพ่อแม่ว่า บกพร่องในหน้าที่ท่ีเหมาะสม(อารง สุทธาศาสน์, 2541:น.44) ซ่ึงเกี่ยวข้องกับเร่ือง นี้อลั ลอฮไดต้ รสั ในอลั กรุ อานว่า فََوَربِ َك لَنَ ْسأَلَنم ُه ْم أََْجَعِ َي َع مما َكانُوا يَْع َملُوَن “ดังน้ัน ขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้า แน่นอนเราจะถามพวกเขาท้ังหมด ถึงท่ีพวก เขาไดก้ ระทาไว้” (อัลกุรอ่าน, อลั หจิ ญรฺ : 92-93) َوقُِفوُه ْم إِنمُهم م ْسئُولُوَن “จงยับยง้ั พวกเขาไว้ เพราะพวกเขาต้องถูกสอบสวน” (อลั กุรอา่ น อัศศอ็ ฟฟาต : 24) บิดามารดาจึงมีหน้าท่ีดูแลเอาใจใส่ในการเล้ียงดูบุตรหลานให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ อบรมบ่มนิสยั และปลูกฝังบุคลกิ ภาพของพวกเขาตามแนวทางอิสลาม มีจริยธรรมที่ดีงาม และส่ิงเหล่านี้ จะเป็นจริงได้ง่ายมากย่ิงข้ึนหากได้เห็นจากการปฏิบัติของพ่อแม่เป็นแบบอย่าง พ่อแม่จึงมีอิทธิพลต่อ การพฒั นาดา้ นจิตวิญญาณของลกู เป็นอยา่ งมาก ดังทีอ่ ลั ลอฮ ไดต้ รัสในอลั กุรอานวา่ ....َي أَُيَّها الم ِذي َن آَمنُوا قُوا أَنُْف َس ُك ْم َوأَْهلِي ُك ْم َنًرا
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111