48 และโดยปกติแล้ว เวลามากสดุ ของเลือดหลงั คลอด คือ 40 วัน เร่ิมนับจากเวลาคลอดหรือก่อนคลอด 2 หรือ 3 วัน –ดังที่ นาเสนอมาก่อนหน้ า- เน่ืองจากหะดีษจากอุมมุ สะละมะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา ที่วา่ َ َكنَ ْت ال ُن َف َساء ََتْ ِلس لَََع َع ْه ِد َرسو ِل اََّّل ِل َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َسلَّ َم أَ ْر َب ِعي َن يَ ْو ًما ความวา่ ในสมยั ของท่านเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั สตรี ที่มีเลือดจากการคลอดบุตร จะงดจากการละหมาดและการถือศีล อดเป็ นระยะเวลา 40 วัน (บันทึกโดยอัต-ติรมิซีย์ : 258 และคน อื่นๆ) และบรรดาปวงปราชญ์มีมติเป็ นเอกฉันท์ในเรื่องนี ้ ดัง ท่ีอตั -ตริ มซิ ีย์ และนกั วิชาการทา่ นอ่ืนๆ ได้รายงานไว้ และหากเลือดหยุดไหลก่อน 40 วัน เธอจะต้องอาบนา้ ชาระร่างกายและจะต้องละหมาด เน่ืองจากไม่มีกาหนดระยะเวลา น้อยสดุ ของเลือดจากการคลอดบตุ ร เพราะเวลาน้อยสดุ มิถกู ระบไุ ว้ และเม่ือเลยเวลา 40 วนั แล้ว ถ้าหากตรงกบั ระยะเวลาของ เลือดประจาเดือน ก็ให้ถือว่าเป็ นเลือดประจาเดือน และหากไมต่ รง กบั ช่วงเวลาของเลือดประจาเดือนแตเ่ ลือดยงั ไมห่ ยดุ ก็ให้ถือวา่ เป็ น เลือดเสีย และต้องปฏิบตั ศิ าสนกิจตามปกติ และในกรณีท่ีเลือดไหลเกิน 40 วนั แตไ่ ม่ไหลต่อเน่ืองและ ไมต่ รงกบั ประจาเดือน กรณีนีน้ กั วชิ าการมีทศั นะความเหน็ แตกตา่ ง กนั
49 3.2 บทบัญญัตเิ ก่ียวกับเลือดหลังคลอดบุตร บท บัญ ญั ติเก่ี ยวกับ เลื อดห ลังคลอด ก็ เห มื อนกับ บทบญั ญตั เิ กี่ยวกบั เลือดประจาเดอื น ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี ้ 1. ห้ามมีเพศสัมพนั ธ์ เช่นเดียวกบั ภรรยาที่มีประจาเดือน และอนโุ ลมให้หยอกล้อ หาความสขุ อยา่ งอ่ืนได้ 2. ห้ ามถือศีลอด ละหมาด หรือเวียนรอบบัยตุลลอฮฮุ เชน่ เดยี วกบั ผ้ทู ่ีมีประจาเดือน 3. ห้ามสัมผัสหรืออ่านอัลกุรอาน ตราบใดท่ีไม่เกรงว่าจะ ลืม 4. ต้องชดใช้การถือศีลอดท่ีขาดในช่วงมีเลือดหลังคลอด เชน่ เดยี วกบั คนท่ีมีประจาเดือน 5. ต้องอาบนา้ ชาระร่างกายเม่ือเลือดหยดุ และหลกั ฐานในเร่ืองนีค้ ือ (1) จากอมุ มสุ ะละมะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา กลา่ ววา่ َ َكنَ ْت ال ُن َف َساء ََتْ ِلس لَََع َع ْه ِد َرسو ِل اََّّل ِل َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َسلَّ َم أَ ْر َب ِعي َن يَ ْو ًما ความวา่ ในสมยั ของท่านเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั สตรี ท่ีมีเลือดจากการคลอดบตุ ร จะงดจากการละหมาดและการถือศีล อดเป็ นระยะเวลา 40 วัน (โดยนักบันทึกอัต-ติรมิซีย์ 258, อิบนุ มาญะฮฺ 648, อบู ดาวดู 312)
50 ท่านมัจญ์ดุดดีน ป่ ขู องอิบนุตยั มียะฮฺ ได้กล่าวในหนงั สือ ของท่าน (อัล-มุลตะกอ : 1/184) ความหมายของหะดีษบทนีค้ ือ “เธอถูกส่ังให้งดจาการละหมาดและศีลอดเป็ นเวลา 40 วัน ทัง้ นี ้ เพ่ือมิให้คาพดู ของท่านเราะสูล ศ็อลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั เป็ น เท็จ เพราะเป็ นไปไม่ได้ ท่ีปกติแล้ วผู้หญิ งในยุคหนึ่งๆ จะมี ประจาเดือนหรือเลือดหลงั คลอดเทา่ กนั \" (2) รายงานจากอมุ มุ สะละมะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา กลา่ ว วา่ أَ ْر َب ِعي َن الْ َم ْرأَة َ َليْلَ ًة َصََّل الله َعلَيْ ِه َو َسلَّ َم َت ْقعد ِفي ال َّن ِ ُب ل ال ِّن َفا ِس َو َس ّلَ َم بِ َق َضا ِء َص َلا ِة ال ِنّ َفا ِس ا َعل َّنلَ ِيْ ِِّهب ِم ْن نِ َسا ِء يََأَْكمنَر َِهتا َصََّل الله ความว่า ภรรยาของท่านนบี ศ็อลลลั ลอฮุอะลยั ฮิวะสัลลมั ได้พัก ในขณะมีเลือดหลังคลอด 40 วัน โดยท่านไม่ได้สั่งให้เธอชดใช้ ละหมาด ที่ขาดไปในชว่ งนนั้ (บนั ทกึ โดยอบู ดาวดู : 312) เกร็ดควำมรู้ หากเลือดหยดุ กอ่ นครบ 40 วนั แล้วเธอได้อาบนา้ ชาระล้าง ร่างกาย ละหมาด และถือศีลอด หลงั จากนนั้ มีเลือดไหลอีกครัง้ หนงึ่ กอ่ นครบ 40 วนั ที่ถกู ต้องแล้วให้ถือว่าเป็ นเลือดจากการคลอดบตุ ร โดยที่เธอจะต้องงดการถือศีลอดและงดละหมาด สว่ นการถือศีลอด ในชว่ งที่สะอาดระหวา่ งนนั้ ก็ใช้ได้ ไมต่ ้องชดใช้ (โปรดดมู จั ญ์มอู ฺฟะ ตาวา ของชัยค์มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม เล่มท่ี 2 หน้าที่ 102 , อัล- ฟะตาวา ของชยั ค์อบั ดุลอะซีซ บินบาซ ที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารอดั -
51 ดะวะฮฺ เล่มที่ 1/44 , หาชิยะฮฺของอิบนุ กอสิม อะลา ชรั ห์ อซั -ซาด เล่มที่ 1/405, ริสาละฮฺ ฟี อัด-ดิมาอ์ อัฏ-เฏาะบิอียะฮฺ ลิ อัน- นิสาอ์ หน้า 55-56 และอลั -ฟะตาวา อสั -สะอฺดยี ะฮฺ หน้าที่ 137) เกร็ดควำมรู้อ่ืนๆ ชยั ค์อบั ดุรเราะห์มาน อิบนุ อสั -สะอฺดีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “เป็ นที่ประจักษ์ว่าเลือดจากการคลอดบุตรนัน้ มีสาเหตุ จากการคลอดบุตร ส่วนเลือดเสียนัน้ คือเลือดท่ีไม่ปกติ เพราะ เจ็บป่ วยและอื่นๆ และประจาเดือนคือเลือดปกติ” (อิรชาด อลุ ิล อบั ศอร วลั อลั บาบ หน้าท่ี 25) กำรรับประทำนยำ อนุญ าตให้ รับประทานยาเพ่ือระงับเลือดประจาเดือนได้ หากไม่เป็ นอนั ตรายต่อสุขภาพ ดงั นนั้ เมื่อได้รับประทานแล้ว และ ประจาเดือนได้หยุด จงถือศีลอด ละหมาด และเฏาะวาฟรอบบัย ตลุ ลอฮฺ และปฏิบตั สิ ่ิงอ่ืนๆ ได้เหมือนกบั ผ้ทู ่ีมีความสะอาดทวั่ ไป บทบัญญัตวิ ่ำด้วยกำรทำแท้ง โอ้สตรีผู้ศรัทธาเอ๋ย เธอจะต้องรับผิดชอบต่อส่ิงท่ีอัลลอฮฺ ทรงสร้ างขึน้ มาในครรภ์ของเธอ ดังนัน้ เธออย่าได้ ปกปิ ดสิ่งนัน้ อลั ลอฮฺได้ตรัสวา่
52 َوٱ أّ َل أو ِم ِبِٱّلل يُ أؤ ِمن ُكن إِن أَ أر َحا ِم ِهن ِ ٓف ٱّل ُل َخ َل َق َما يَ أك ُت أم َن َ لَ ُهن ََ ِيل ﴿ َو َل أن ]٢٢٨ :ٱٓأۡل ِخرِن ﴾ [اْلقرة ความว่า “และไม่เป็ นที่อนุมัติสาหรับพวกเธอในการที่พวกเธอจะ ปกปิ ดส่ิงท่ีอลั ลอฮฺได้สร้างขึน้ มาในมดลูกของพวกเธอ หากวา่ พวก เธอนนั้ เป็นผ้ศู รัทธาตอ่ อลั ลอฮฺและวนั สดุ ท้าย” (อลั -บะเกาะเราะฮฺ : 228) และเธออย่าได้ใช้เลห่ ์กลในการทาแท้ง ไมว่ ่าจะด้วยวธิ ีการ อนั ใดก็ตาม แท้จริงอลั ลอฮฺได้ผอ่ นปรนให้เธอละศีลอดในเดือนเราะ มะฎอนได้ เม่ือการถือศลี อดเป็ นความลาบากในขณะท่ีเธอตงั้ ครรภ์ หรือการถือศีลอดทาให้เกิดอนั ตรายกับทารกในครรภ์ และแท้จริง การทาแท้งที่แพร่หลายในสมยั นีน้ นั้ เป็นสิ่งท่ีต้องห้าม และหากสิ่งที่อย่ใู นครรภ์ถกู เป่ าวิญญาณแล้ว และได้ตาย ไปด้วยสาเหตขุ องการทาแท้ง แท้จริงนั่นถือว่าเป็ นการฆ่าชีวิตโดย ไม่ชอบธรรม ซึ่งอัลลอฮฺทรงห้ ามและจะติดตามด้ วยความ รับผิดชอบเร่ืองสินไหม ตามอตั ราที่ถกู กาหนด และ -ในทศั นะของ ผู้รู้บางคน- ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮฺ (ค่าไถ่โทษ) คือ การปล่อยทาส หญิงท่ีศรัทธา หากไม่สามารถก็ให้ถือศีลอดสองเดือนติดต่อกัน และผ้รู ู้บางคนได้เรียกการกระทานีว้ า่ “การฝังทงั้ เป็นประเภทเลก็ ” ชยั ค์มหุ มั มดั อิบนุ อิบรอฮีม เราะหิมะฮลุ ลอฮฺ ได้กล่าวใน หนงั สือมจั ญ์มอู ฺฟะตาวา เล่มที่ 11 หน้าท่ี 105 ว่า “การหาชอ่ งทาง
53 ที่จะทาแท้ งขณะที่ไม่แน่ใจว่าเด็กตายแล้ วหรือยังนัน้ ไม่เป็ นที่ อนญุ าต แตใ่ นกรณีท่ีมน่ั ใจวา่ เดก็ เสียชีวิตแล้วก็สามารถทาแท้งได้” สภานักวิชาการระดบั สูงของประเทศซาอุดิอาระเบียมีมติ เลขที่ 140 ลงวนั ที่ 20/6/1407 ดงั ตอ่ ไปนี ้ 1. ไม่อนุญาตให้ทาแท้งไม่ว่าในระยะใด ยกเว้นจะมีข้อ ผอ่ นผนั ทางบทบญั ญตั ิ และอยใู่ นขอบเขต(กรอบ) ที่จากดั ยงิ่ 2. ไม่อนุญาตให้ทาแท้งในช่วงแรก -คือระยะครรภ์ 40 วนั แรก- หากการกระทาดังกล่าวเนื่องจากกลัวความยากลาบากใน ก ารเลี ย้ งดูบุ ต ร ก ลัวว่าไม่ ส าม ารถ แ บ ก รับ ค่าใช้ จ่าย ใน ชีวิตประจาวนั ค่าศึกษาเล่าเรียน หรือกลวั ถึงอนาคตของพวกเขา หรือจานวนลกู ที่มีอยพู่ อเพียงแล้ว 3. ไม่อนุญาตให้ทาแท้งเม่ือในครรภ์เป็ นก้อนเลือด หรือ ก้อนเนือ้ แล้ว นอกจากกรณีท่ีคณะแพทย์ซ่ึงเช่ือถือได้ยืนยนั ว่าจะ เป็ นอนั ตรายตอ่ แม่ เช่นเกรงว่าจะเกิดอนั ตรายถึงชีวิตหากให้อย่ใู น ครรภ์ต่อไป ซึ่งในกรณีเช่นนีอ้ นุญาตให้ทาแท้งได้ ทงั้ นีห้ ลงั จากใช้ เคร่ืองมือทกุ ชนิดเพ่ือป้ องกนั อนั ตรายเหลา่ นนั้ แล้ว 4. หลังจากระยะที่ 3 (เป็ นก้อนเนือ้ ) และหลังจากครบ 4 เดอื นของการตงั้ ครรภ์ ไม่อนญุ าตให้ทาแท้ง ยกเว้นจะมีคณะแพทย์ ผ้เู ชี่ยวชาญและเช่ือถือได้ยืนยนั ว่าการอ้มุ ท้องต่อไปจะเป็ นเหตใุ ห้ มารดาเสียชีวิต ทงั้ นีห้ ลงั จากใช้เครื่องมือทกุ ชนิดเพื่อช่วยชีวิตของ เด็กในครรภ์แล้ว และการท่ีอนญุ าตให้ทาแท้งตามเง่ือนไขตา่ งๆ นนั้
54 ก็ให้วางอย่บู นหลกั การขจดั อนั ตรายท่ีย่ิงใหญ่กว่าจากอนั ตรายทงั้ สองด้าน (อันตรายต่อชีวิตของแม่และเด็ก) และเพื่อให้ได้มาซ่ึง ผลประโยชน์ท่ีย่ิงใหญ่กว่าจากประโยชน์ทงั้ สอง (เพื่อชีวิตแม่และ เดก็ ) จากนัน้ สภานักวิชาการระดับสูง ได้สั่งเสียให้ มีความ ยาเกรงตอ่ อลั ลอฮฺ และให้มีการไตร่ตรองพิจารณาในเร่ืองนี ้อลั ลอฮฺ เป็นผ้ทู ี่ประทานความสาเร็จ ขอพระองค์ทรงประทานพรแดท่ ่านนบี มหุ มั มดั บรรดาวงศ์วาน และบรรดาอคั รสาวกของทา่ นด้วยเทอญ ชยั ค์มหุ มั มดั อิบนุ อษุ ัยมีน กล่าวไว้ในหนงั สือ ริสาละฮฺ ฟี อดั -ดิมาอ์ อฏั -เฏาะบอิ ียะฮฺ ลิ อนั -นิสาอ์ หน้าที่ 60 วา่ “หากการทา แท้ งโดยมีเจตนาที่จะทาลายเด็กที่อยู่ในครรภ์หลังจากถูกเป่ า วิญญาณเข้าไปในเด็กแล้ว การกระทาดงั กลา่ วเป็นสิ่งต้องห้าม โดย ไม่มีข้อสงสัยใดๆ เพราะเป็ นการฆ่าชีวิตโดยอธรรม ซึ่งเป็ นสิ่ง ต้องห้ามตามอลั กรุ อาน หะดีษ และมตเิ อกฉนั ท์ของปวงปราชญ์” และอิมามอิบนุ อลั -เญาซีย์ ได้กลา่ วไว้ในหนงั สืออะห์กาม อนั -นนิสาอ์ หน้าท่ี 108-109 ว่า “เมื่อจดุ ประสงค์ของการแตง่ งาน คือการมีลกู และไม่ได้หมายความว่านา้ (อสุจิ) ทงั้ หมดจะเป็ นลูก ดงั นนั้ เม่ือเด็กก่อตวั ขึน้ เป็ นรูปร่างก็ถือว่าบรรลุจุดมุ่งหมาย ดงั นนั้ การเจตนาทาแท้งจึงค้านกับเป้ าหมายของการแต่งงาน เว้นแต่ว่า การทาแท้งได้เกิดขึน้ ในตอนแรกของการตงั้ ครรภ์ ก่อนท่ีจะมีการ เป่ าวิญญาณเข้าไป ซ่ึงเป็ นความผิดท่ีใหญ่หลวง เพราะกาลงั ก้าว
55 ไปสู่ความสมบูรณ์ ครบถ้ วนของการเป็ นมนุษย์ แต่อันนีจ้ ะมี ความผิดน้อยกวา่ กรณีท่ีมีการเป่ าวิญญาณเข้าไปแล้ว และการทา แท้งหลงั จากการเป่ าวิญญาณเสมือนกบั การฆา่ ชีวิตศรัทธาชน โดย ที่อลั ลอฮฺได้ตรัสวา่ ]٩ ،٨ : ﴾ [التكوير٩ بِأَ ِّي َذۢنب قُتِ َل أت٨ ﴿ ِإَو َذا ٱلأ َم أو ُءۥ َدةُ ُسئِلَ أت ความว่า “และเม่ือทารกหญิงท่ีถูกฝังทงั้ เป็ นถกู ถาม ด้วยความผิด อนั ใดเขาจงึ ถกู ฆา่ ” (อตั -ตกั วีร : 8-9) โอ้สตรีผู้ศรัทธาเอ๋ย จงยาเกรงต่ออลั ลอฮฺเถิด และอย่าได้ กระทาความผิดนีโ้ ดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยวตั ถุประสงค์อันใดก็ ตาม และอย่าได้ หลงคาโฆษณาชวนเช่ือที่หลงผิด หรือการ เลียนแบบที่จะนาไปสู่ความเสียหาย ซึ่งไม่เป็ นที่พึงประสงค์ของ สตปิ ัญญาหรือศาสนาแตอ่ ยา่ งใด
56 บทท่ี 4 บญั ญัตวิ ่ำด้วยอำภรณ์และหญิ ำบ หน่ึง คุณสมบัตขิ องอำภรณ์สำหรับสตรีผู้ศรัทธำ 1. จะต้องปกปิดทกุ สว่ นของร่างกายจากการมองของผ้ชู าย ที่แต่งงานกันได้ และไม่เปิ ดเผยแก่ผู้ชายที่แต่งงานกันไม่ได้ (ญาติสนิทท่ีเป็ นมะห์ร็อม)นอกจากส่ิงที่เปิ ดเผยตามประเพณี ปฏิบตั ิ เชน่ ใบหน้า มือทงั้ สอง และเท้าทงั้ สอง 2. มีความหนา สามารถปกปิดสีของผิวหนงั ได้ 3. ไม่รัดรูป จนทาให้เห็นสดั ส่วนอย่างชดั เจน ดงั ในบนั ทึก ของมสุ ลมิ . َ َسل.سي َيوار َجؤطودسَكِمأَه ْْذَّنننَا َم َِك ِأبَسياْسَْْر ِنَلِة ََمق َِِةكر َيَاذاْْ ْْل َوِضَْخكب َوذِات َ»نابِلْ َهَمااائِللَ َّن ِةا،ِ َوَق ِإت ْو َّنمَماَِرمئِيَعَلحَها َه ْمات َل:ا،يَ«َونِْدِصَسنْخا َلفْءا َنَنَاك ِْمِ ْسلَ َْينَّنا َةأَ ْهَتو َِلعلَاالَََِّرنِياَياِْرد لََنتْم ِرأَميَرِمَحهيَه ََملاا ความว่า “ชาวนรกสองจาพวกท่ีฉันไมเ่ คยเห็น หน่ึงคือพวกเขามีแส้ คล้ายกับหางววั ใช้เฆ่ียนตีผู้คน และอีกกลุ่มคือบรรดาผ้หู ญิงที่ใส่ อาภรณ์ไม่มิดชิด ยั่วยวน ศีรษะของพวกนางคล้ายกับโหนกอูฐ พวกนางจะไมไ่ ด้เข้าสวรรค์ และไม่ได้ดมกล่ินของสวรรค์ ทงั้ ที่กล่ิน ของมนั จะสมั ผสั ได้ในระยะเท่านนั้ เทา่ นี”้ (บนั ทกึ โดยมสุ ลมิ : 5547)
57 อิบนุ ตยั มียะฮฺ เราะหิมะฮลุ ลอฮฺ ได้อธิบายคาว่า “ปกปิ ด ไม่มิดชิด” คือ การแตง่ กายด้วยอาภรณ์ท่ีไม่ปกปิ ดเรือนร่าง ดเู ผินๆ คอื สวมใสแ่ ตใ่ นความเป็ นจริงเหมือนกบั เปลือยกาย ดงั เชน่ คนสวม ใสเ่ สือ้ ผ้าท่ีบางจนเห็นผิวหนงั หรือรัดรูปจนเห็นสดั สว่ น เช่น สะโพก แขน และอื่นๆ และแท้จริงแล้วอาภรณ์ของผ้หู ญิงคือสิ่งท่ีปกปิ ด ไม่ เปิ ดเผยเรือนร่างและสดั ส่วน เพราะว่าอาภรณ์ของผ้หู ญิงหนาและ กว้าง (ใหญ่)” (มจั ญ์มอู ฺฟะตาวา : 22/146) 4. ไม่เลียนแบบการแตง่ กายของผ้ชู าย เพราะท่านเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั สาปแชง่ ผ้หู ญิงท่ีทาตวั เป็ นผ้ชู ายและ ผ้ชู ายที่ทาตวั เป็ นผู้หญิง และการเลียนแบบผู้ชายในการแต่งกาย นัน้ คือสวมใส่เสือ้ ผ้ าท่ีเป็ นชุดเฉพาะสาหรับผู้ชายตามจารีต ประเพณี ทงั้ ในด้านชนดิ และลกั ษณะของเสือ้ ผ้า อบิ นุ ตยั มียะฮฺ กลา่ ววา่ “ความแตกตา่ งระหว่างเสือ้ ผ้าของ ผ้ชู ายและผู้หญิงนนั้ ให้กลับไปพิจารณาสิ่งท่ีเหมาะสมของแต่ละ คน ซง่ึ เหมาะสมกบั คาสง่ั ท่ีให้ผ้หู ญิงปกปิ ดและสวมใส่หิญาบ มิใช่ การเผยโฉม ด้วยเหตนุ ีจ้ ึงไม่มีบญั ญัติให้เธอใช้เสียงในการอะซาน การกล่าวคาตัลบียะฮฺในการทาหัจญ์และอุมเราะฮฺ ไม่ขึน้ ไปบน ภเู ขาเศาะฟาและมรั วะฮฺ ไมใ่ สช่ ดุ อิหฺรอมเหมือนผ้ชู าย เพราะผ้ชู าย ต้องเปิ ดศีรษะ ต้องไม่สวมใส่เสือ้ ผ้าท่ีใช้กันตามปกติ ที่เย็บเป็ น ส่วนๆ ตามอวัยวะ เช่น เสือ้ กางเกง หมวก และรองเท้าหุ้มข้อ... ส่วนผู้หญิงไม่มีอาภรณ์ใดที่ถูกห้าม เพราะเธอถูกส่ังให้ปกปิ ด
58 เพียงแตห่ ้ามเธอใช้ผ้าคลุมหน้า ถุงมือ เพราะนนั่ เป็ นอาภรณ์ที่ถูก ผลิตขนึ ้ มาตามขนาดของอวยั วะ และเธอก็ไม่มีความจาเป็ นต้องใช้ มนั ... แตเ่ ธอปิ ดหน้ามิให้ผ้ชู ายมองด้วยผ้าอ่ืนแทน ... และเมื่อเป็ น ท่ีประจักษ์ แล้ วว่า อาภรณ์ ผู้ชายและผู้หญิ งต้ องแตกต่างกัน อาภรณ์ผ้หู ญิงคือสิง่ ท่ีมีเป้ าหมายใช้ในการปกปิ ด แก่นแท้ในเร่ืองนี ้ ย่อมประจกั ษ์และยังเป็ นที่ประจักษ์อีกว่า หากสิ่งนนั้ เป็ นอาภรณ์ ของผู้ชาย - โดยส่วนมาก- ก็ห้ามผู้หญิงสวมใส่ ... และถ้าหาก อาภรณ์นนั้ ปกปิ ดไม่มิดชิดและยงั คล้ายคลึงกบั อาภรณ์ผ้ชู าย ก็ยิ่ง ห้ามสวมใส่มากขนึ ้ ไปอีก เพราะนา้ หนกั ของเหตผุ ลดงั กลา่ วทงั้ สอง ด้าน วลั ลอฮอุ ะอฺลมั ” (มจั ญ์มอู ฺฟะตาวา : 22/ 148,149,155 ) 5. ในอาภรณ์ของผ้หู ญิง จะต้องไม่มีเคร่ืองประดบั ท่ีดงึ ดดู ความสนใจ เมื่อเธอต้องออกจากบ้าน เพื่อเธอจะไม่อวดโฉมด้วย เคร่ืองประดบั สอง นิยำมของหญิ ำบ พร้อมหลักฐำนและประโยชน์ หิญ าบ คือ การปกปิ ดเรือนร่างจากผู้ชายที่สามารถ แตง่ งานกนั ได้ ดงั หลกั ฐาน أَ أُوج ُي َأوأببَِناِهٓءِن ُب َوُع َولَلتُِي ِهأب ِنديأَ َأنو أَ أِمو أن ََهءاابَآَو ِءأّلَ ُب أُۡعوِض َلأبتِ َ ِهننِِ ُبأَ ُأمورِ َأهِأب َننآئِ َِهَ َ ىنع ﴿ َو َل ُي أب ِدي َن زِي َن َت ُهن إِل َما َظ َه َر زِينَ َت ُهن إِل ِِلُ ُعو َلتِ ِهن أَ أو َءابَآئِ ِهن ]٣١ : إِ أخ َوىنِ ِهن﴾ [النور
59 ความว่า “และพวกเธอจะไม่แสดงเคร่ืองประดับของพวกเธอ นอกจากสงิ่ ที่เปิ ดเผย (อยภู่ ายนอก) เทา่ นนั้ และจงดงึ ผ้าคลมุ ศีรษะ มาปิ ดหน้ าอกเสือ้ ของพวกเธอ และอย่าแสดงเครื่องประดับ นอกจากแก่สามี พอ่ พ่อของสามี ลกู ของพวกเธอ ลกู ของสามี หรือ พ่ีน้องชายของเธอ” (อนั -นรู ฺ : 31) และอลั ลอฮฺตรัสวา่ ]٥٣ : ﴿ِإَو َذا َس َأ أل ُت ُمو ُهن َم َتىعا َف أ َس ُلو ُهن ِمن َو َرآ ِء ِح َجا نب ﴾ [الأحزاب ความวา่ “และเมื่อพวกทา่ นต้องการขอส่งิ ใดจากพวกเธอ จงขอจาก ด้านหลงั ของสงิ่ กาบงั ” (อลั -อะห์ซาบ : 53) “สิ่งกาบงั ” คือ สิ่งท่ีผ้หู ญิงใช้ปกปิ ดเรือนร่าง เช่น กาแพง ประตู หรืออาภรณ์ บทบญั ญัตินีค้ รอบคลุมผู้ศรัทธาทุกคน แม้ว่า โองการนีไ้ ด้กล่าวถึงภรรยาของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลยั ฮิ วะสลั ลมั เป็นการเฉพาะก็ตาม เนื่องจากอลั ลอฮฺได้บอกเหตผุ ลวา่ ]٥٣ : ﴿ َذىلِ ُك أم أَ أط َه ُر لِ ُق ُلوبِ ُك أم َو ُقلُوبِ ِهن ﴾ [الأحزاب ความว่า “น่นั เป็ นความบริสุทธิ์ยิ่งสาหรับจิตใจของพวกท่านและ จิตใจของพวกเธอ” (อลั -อะห์ซาบ : 53) และนี่คือเหตผุ ลที่ครอบคลมุ ทุกคน เมื่อเหตผุ ลครอบคลมุ บทบญั ญตั กิ ็ยอ่ มครอบคลมุ เชน่ กนั
60 และอลั ลอฮฺตรัสวา่ ﴿ َ َٰٓي َأي َها ٱلن ِب قُل ِّۡ َل أز َوى ِج َك َو َب َناتِ َك َون ِ َسآءِ ٱلأ ُم أؤ ِمنِ َي يُ أدنِ َي َع َل أي ِهن ِمن َج َلىبِيبِ ِهن ]٥٩ : ﴾ [الأحزاب ความว่า “โอ้ศาสนทตู ของอลั ลอฮฺเอย๋ จงกล่าวแก่บรรดาภรรยาของ เจ้า บรรดาลูกสาวของเจ้า และภรรยาของบรรดาผ้ศู รัทธา ให้พวก เขาดึงเสือ้ คลุมลงมาปกปิ ดเรือนร่างของพวกเขา” (อลั -อะห์ซาบ : 59) อิบนุ ตยั มียะฮฺ กลา่ วว่า เสือ้ คลมุ (ญิลบาบ) คือผ้าผืนใหญ่ ซงึ่ ปิ ดศีรษะและทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งอิบนุ มสั อูด และท่านอ่ืนๆ เรียกมนั วา่ ริดาอ์ แต่คนทวั่ ๆ ไปจะเรียกมนั ว่า อิซาร ท่านอบู อบุ ยั ดะฮฺได้กล่าวว่า แท้จริง ผ้หู ญิงจะดึงเสือ้ คลุมลงมาทางศีรษะ แล้ว ไม่เปิ ดส่วนใดนอกจากตาเท่านัน้ และนิกอบก็อยู่ในประเภทของ เสือ้ คลมุ (มจั ญ์มอู ฺฟะตาวา : 22/110-111) และส่วนหน่ึงจากหลกั ฐานท่ีบอกว่าจาเป็ นต้องปิ ดใบหน้า มิให้ผู้ชายที่แต่งงานกันได้มอง คือหะดีษจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮฺอนั ฮา « ََح َاك َذَن ْواالبُِرنَا ْك َب َاس َدنلَ َي ْمت ُرإِو ْح َن َدابِنََناا َِوجََلْنَْبانَب َه َما َع ِم َْرنس َروأْ ِِلس َاهّاََّل ِللَََع َص َوََّلْج ِاهّ ََهَّلالفَ ِإ َع َذلَايْ ِه َجا َو َو َسزلَّو َنَماُ َكمْ ِرَش َم ْفا َناهت»فَ ِإ َذا ความว่า “ขบวนของผ้ชู ายได้ผ่านมาทางพวกเรา ขณะที่เราอยู่ใน พิธีหัจญ์และอุมเราะฮฺ (ซึ่งพวกเธอเปิ ดใบหน้า) พร้ อมกับท่าน เราะสลู ศ็อลลลั ลอฮุอะลยั ฮิวะสัลลมั เมื่อพวกเขาอยู่ตรงพวกเรา
61 คนหนึ่งจากพวกเราได้ปลอ่ ยเสือ้ คลมุ จากทางศรีษะมาปิดหน้า เมื่อ พวกเขาผ่านไป เราก็ดึงออก” (บันทึกโดยอบู ดาวูด : 1833 และ อิบนุ มาญะฮฺ : 2935) หลักฐานที่บ่งบองถึงความจาเป็ นต้ องปิ ดหน้ านัน้ มี มากมาย และฉนั จะแนะนาให้เธอได้อ่านหนงั สือของอิบนุ ตยั มียะฮฺ “การแต่งกายของสตรีในการละหมาด” และหนังสือของชัยค์ อบั ดลุ อะซีซ บนิ บาซ “การเผยโฉมและการสวมใสห่ ิญาบ” และของ ชยั ค์หะมดู บิน อบั ดลุ ลอฮฺ อตั -ตวุ ยั ญิรีย์ ท่ีชื่อ “อศั -ศอริม อลั -มชั ฮรู ฺ อะลา อัล-มฟั ตนู ีน บิ อสั -สฟุ ูร” และหนงั สือของชยั ค์มุหมั มดั อลั - อษุ ยั มีน “อลั -หิญาบ” ซง่ึ มีเนือ้ หาอยา่ งพอเพียง พงึ ทราบเถิด โอ้สตรีผ้ศู รัทธาเอ๋ย แท้จริงบรรดาผ้รู ู้ที่อนโุ ลม ให้เปิ ดหน้านนั้ ทงั้ ๆ ท่ีทศั นะของพวกเขาขาดนา้ หนกั แล้ว พวกเขา ยงั ได้วางเงื่อนไขว่า อนโุ ลมให้เปิ ดหน้าได้ เมื่อปราศจากส่ิงท่ีนาสู่ การยว่ั ยวน และการยวั่ ยวนเป็ นส่ิงท่ีเลี่ยงยาก โดยเฉพาะยคุ นี ้ซึ่ง ผู้คนไม่ค่อยเคร่งครัดในศาสนา ขาดความละอาย และคนที่ เรียกร้องส่กู ารยวั่ ยวนมีจานวนมาก และผ้หู ญิงก็ชอบแต่งหน้ากัน อย่างแพร่หลายซึ่งมกั จะนาไปส่ฟู ิ ตนะฮฺได้ ดงั นนั้ เธอจงหลีกเลี่ยง ส่งิ เหลา่ นนั้ เถิด จงสวมใสห่ ิญาบที่ปกป้ องรักษามิให้เกิดการยวั่ ยวน และไม่มีผ้รู ู้คนใดเลย -ในอดีตและปัจจบุ นั - อนโุ ลมให้ผ้หู ญิงกระทา สิ่งท่ีก่อให้เกิดการยวั่ ยวน
62 ผ้หู ญิงบางคนตีสองหน้า เมื่ออยใู่ นสงั คมท่ีสวมใส่หิญาบก็ จะสวมใส่ด้วย และจะไม่สวมใสห่ ากอย่ใู นอีกสงั คมหนึ่ง บางคนจะ สวมใส่เม่ืออยู่ในสถานที่ทั่วไป แต่เม่ือเข้าห้างร้ าน โรงพยาบาล หรือร้านขายเคร่ืองประดบั หรือคยุ กบั ชา่ งตดั เสือ้ ก็จะเปิ ดหน้า มือ เสมือนอยกู่ บั สามี หรือญาตทิ ี่แตง่ งานกนั ไมไ่ ด้ จงยาเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้ จริงเราเห็นผู้หญิงบางคนที่ เดนิ ทางมายงั ประเทศของเรา พวกเขาจะไมส่ วมใสห่ ิญาบ นอกจาก เม่ือลงจากเคร่ืองบินเท่านนั้ คล้ายกบั ว่าหิญาบเป็ นเพียงวิถีปฏิบตั ิ เทา่ นนั้ ไมไ่ ด้เป็นบทบญั ญตั แิ ตป่ ระการใด โอ้สตรีผ้ศู รัทธา แท้จริงหิญาบจะปกป้ องเธอจากการมองท่ี ถกู อาบยาพิษ ซึ่งเป็ นการมองของผ้ชู ายที่หวั ใจเป็ นโรคและคนช่ัว และจะตดั ความใคร่อนั เลวร้ายของพวกเขา ดงั นนั้ จงสวมใสห่ ิญาบ เถิด และอย่าสนใจคาเรียกร้ องที่ให้ เปลือ้ งหิญาบ หรือไม่ให้ ความสาคญั กบั หิญาบ เพราะพวกเขาไม่หวังดีตอ่ เธอ ดงั ที่อลั ลอฮฺ ตรัสวา่ َ أن ]٢٧ : [النساء ﴾ ٢٧ َع ِظيما َم أي ًل تَ ِمي ُلوا ٱلش َه َوى ِت يَتبِ ُعو َن ٱَّ ِلي َن ﴿ َو ُيرِي ُد ความวา่ “และบรรดาผ้ทู ี่ตามอารมณ์ใฝ่ ต่าต้องการให้พวกเจ้าหนั เห ออกห่างไปอยา่ งมากมายจากแนวทางความถูกต้อง” (อนั -นิสาอ์ : 27) บทท่ี 5
63 บญั ญัตวิ ่ำด้วยกำรละหมำดของผู้หญงิ จงรักษาละหมาดตามเวลาท่ีถูกกาหนดไว้ โดยให้ถูกต้อง ตามเงื่อนไขและองค์ประกอบ อลั ลอฮฺได้ตรัสแก่บรรดาภรรยาของ ทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั วา่ ]٣٣ : ﴿ َوأَقِ أم َن ٱلصلَ ىو َة َو َءاتِ َي ٱلز َك ىو َة َوأَ ِط أع َن ٱّل َل َو َر ُسو ََ ُل ٓۥ ﴾ [الأحزاب ความว่า “พวกเธอจงรักษาละหมาด จงจ่ายซะกาต จงเชื่อฟั ง อลั ลอฮฺและศาสนทตู ของพระองค์” (อลั -อะห์ซาบ : 33) และน่ีเป็ นคาส่ังแก่สตรีทุกคน เพราะการละหมาดเป็ น หลกั การข้อท่ีสองจากโครงสร้างของอิสลาม อีกทงั้ ยงั เป็ นเสาหลกั ของศาสนา การละทิง้ ละหมาดเป็ นพฤติกรรมกุฟรฺ/การปฏิเสธ ศรัทธาที่จะทาให้สิน้ สภาพจากการเป็ นมุสลิม เพราะไม่มีศาสนา และไมม่ ีอิสลามสาหรับคนท่ีไมล่ ะหมาดไมว่ า่ ผ้ชู ายหรือผ้หู ญิง การปลอ่ ยให้เวลาละหมาดหมดไปโดยไมม่ ีอปุ สรรคที่ได้รับ การอนโุ ลมนนั้ คอื การละเลย อลั ลอฮฺตรัสวา่ ﴿۞ َف َخ َل َف ِمن َب أع ِد ِه أم َخ ألف أَ َضا ُعوا ٱلص َل ىو َة َوٱت َب ُعوا ٱلش َه َوى ِت َف َس أو َف َي أل َق أو َن إِل َمن تَا َب َو َءا َم َن َو َع ِم َل َصىلِحا َفأُو َ َٰٓلئِ َك يَ أد ُخلُو َن ٱۡ أ َلن َة َو َل ُي أظ َل ُمو َن٥٩ َغ ًّيا ]٦٠ ،٥٩ : ﴾ [مريم٦٠ َش أيا
64 ความว่า “แล้วคนช่ัวก็มาแทนท่ีพวกเขา ซ่ึงพวกเขาละเลยการ ละหมาด และปฏิบตั ิตามอารมณ์ใฝ่ ต่า แน่นอนพวกเขาจะพบกับ ความขาดทนุ และการลงโทษในนรก นอกจากผ้ทู ่ีกลบั เนือ้ กลับตวั ได้ศรัทธา และประกอบความดี พวกเขาก็จะได้เข้าสวรรค์ และพวก เขาจะมถิ กู อธรรมแม้เพียงเล็กน้อย” (มรั ยมั : 59-60) อบิ นุ กะษีรฺ เราะหมิ ะฮลุ ลอฮฺ ได้นาเสนอคาอธิบายจากนกั อ ธิ บ า ย จ า น ว น ห นึ่ ง -ใ น ต า ร า ตัฟ สี ร ข อ ง ท่ า น ว่ า -ค า ว่ า ล ะ เล ย ละหมาด คอื การปลอ่ ยจนหมดเวลา โดยละหมาดหลงั จากเลยเวลา ไปแล้ว ส่วนคาวา่ “ฆ็อยย์” ท่ีถกู ระบุในโองการดงั กล่าวว่าพวกเขา จะได้พบ ก็คือความขาดทนุ และเป็นนรกขมุ หนง่ึ ซง่ึ อยใู่ นญะฮนั นมั บทบญั ญัติและข้อชีข้ าดเฉพาะเก่ียวกับการละหมาดของ สตรีมีหลายประการ ดงั นี ้ 1. ไม่มีการอะซานและอิกอมะฮฺ เนื่องจากการอะซานต้อง ใช้เสียงดัง ขณะเดียวกันไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเปล่งเสียงดัง การ อะซานและอิกอมะฮฺของผ้หู ญิงนนั้ ใช้ไม่ได้ อิบนุ กุดามะฮฺกล่าวว่า “ในประเด็นนี ้ เราไม่พบว่าปวงปราชญ์มีทัศนะท่ีขัดแย้งกันเลย” (อลั -มฆุ นีย์ : 2/26)
65 2. ต้องปกปิ ดทุกส่วนของร่างกายนอกจากใบหน้า ส่วนมือ และเท้านนั้ ปวงปราชญ์มีทศั นะตา่ งกนั และทงั้ หมดนีเ้ฉพาะในกรณี ที่ไมม่ ีผ้ชู ายท่ีแตง่ งานกนั ได้มองเหน็ แตห่ ากมีผ้ชู ายท่ีแตง่ งานกนั ได้ เห็นอยู่ด้วย ก็จาเป็ นต้องปิ ดทุกส่วน ดังที่ต้องปิ ดนอกละหมาด ดังนัน้ ในละหมาดก็ต้องปิ ดศีรษะ บ่า และทุกส่วนของร่างกาย จนกระท่ังหลังเท้าทัง้ สองด้วย ดงั รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กลา่ ววา่ َّ َص َلاة َ إِل «ل »ِِ ِب َمار َحائِ ِض اََّّلل َي ْقبَل ความว่า “อลั ลอฮฺจะไม่ตอบรับการละหมาดของสตรีท่ีบรรลุศาสน ภาวะแล้ว นอกจากต้องมีผ้าคลุม” (บันทึกโดยอบู ดาวูด : 641, อตั -ตริ มิซีย์ : 377 และอบิ นุ มาญะฮฺ : 655) คาวา่ \"ผ้าคลมุ \" คอื ผ้าที่คลมุ ศีรษะและต้นคอ และมีรายงานจากอมุ มสุ ะละมะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา วา่ َس«أَِإلَ َذا ْتَ َكالَنَّن ِا َّلب ِّد ْرَصعََّل َاسّاََّبِل ًلغا َعيلََغيْ ِّ ِهط َوي َسظَلّ َهموأَ َتر َقَص َدِّ َلميْالَْه َام»ْرأَة ِفي ِد ْرع َوِِ َخار لَيْ َس َعلَيْ َها ِإ َزار:َأَقاَّن ََهلا ความว่า แท้ จริงเธอได้ ถามท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสัลลมั ว่า ผู้หญิงจะละหมาดโดยใส่เสือ้ และผ้าคลุม โดยไม่ใส่ ผ้านุ่งได้หรือไม่? ท่านเราะสูลตอบว่า “ได้ เมื่อเสือ้ นนั้ ยาวพอที่จะ ปิดหลงั เท้าของเธอ” (บนั ทกึ โดยอบู ดาวดู : 640)
66 หะดีษทงั้ สองบทนีบ้ ง่ ชีว้ า่ เธอจะต้องคลมุ ศีรษะและบา่ ดงั หะดีษของท่านหญิงอาอิชะฮฺ และจะต้องปิ ดทกุ สว่ นของร่างกายดงั หะดษี ของอมุ มุ สะละมะฮฺ และอนุโลมให้เปิ ดใบหน้า เมื่อไม่มีผู้ชายท่ีแต่งงานกันได้ มองเห็น เน่ืองจากปวงปราชญ์มีมตเิ ป็นเอกฉนั ท์ในเรื่องนี ้ อิบนุ ตัยมียะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า \"หากผู้หญิง ละหมาดคนเดียว เพียงพอด้วยผ้าคลมุ ศีรษะ และขณะท่ีเธออย่ใู น บ้านนนั้ สามารถเปิ ดศีรษะได้เม่ือไม่ได้อยู่ในละหมาด เพราะการ แต่งกายในขณะละหมาดนัน้ คือหน้าที่ต่ออัลลอฮฺ เนื่องจากไม่ อนุญาตแก่คนใดท่ีจะเวียนรอบกะบะฮฺในสภาพท่ีเปลือย แม้จะอยู่ คนเดียวในยามค่าคืนก็ตาม และไม่อนญุ าตแก่คนใดท่ีจะละหมาด ในสภาพท่ีเปลือยแม้อยคู่ นเดียวก็ตาม... ดงั นนั้ สว่ นที่ต้องปกปิ ดใน ละหมาดไมไ่ ด้เกี่ยวกบั การปกปิดจากการมองของผ้คู นเลย ไมว่ า่ ใน ความเหมือนหรือความต่าง (หมายถึง การปกปิ ดต่อหน้าผู้คนนนั้ ตา่ งกบั การปกปิ ดในละหมาด และขณะอยใู่ นบ้าน)” (มจั ญ์มอู ฺ อลั - ฟะตาวา : 22/113-114) อบิ นุ กดุ ามะฮฺ เราะหมิ ะฮลุ ลอฮฺ กลา่ วว่า “ในการละหมาด ของสตรีท่ีเป็ นไท (มิใชท่ าส) จาเป็ นต้องปกปิ ดทกุ สว่ นของร่างกาย ของ หากเปิ ดเผยสว่ นใดการละหมาดก็ใช้ไม่ได้ นอกจากจะเปิ ดเผย เพียงเล็กน้อยเท่านัน้ และนี่เป็ นทัศนะของมาลิก, อัล-เอาซาอีย์ และอชั -ชาฟิอีย์” (อลั -มฆุ นีย์ : 2/328)
67 3. ผ้หู ญิงจะไมก่ างมือออกกว้างขณะรูกอู ฺ และสญุ ดู อิบนุ กุดามะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าววา่ “แท้จริงผ้หู ญิง จะเอามือแนบกบั ตวั ของเธอในขณะรูกอู ฺและสญุ ดู แทนการกางมือ และแขน และจะน่ังแบบขาชิดกันหรือปล่อยเท้าทัง้ สองไปทาง ด้านขวา แทนการนงั่ บนเท้าซ้าย และใช้เท้าขวายนั พืน้ (อิฟติรอช) หรือแทนการนง่ั บนตะโพกโดยเท้าซ้ายสอดใต้ขาขวา และใช้เท้า ขวายนั กบั พืน้ (ตะวรั รุก) เพราะจะเป็ นการปกปิ ดท่ีดียิ่งกวา่ สาหรับ ผ้หู ญิง” (อลั -มฆุ นีย์ : 2/258) อิมาม อนั -นะวะวีย์ เราะหิมะฮลุ ลอฮฺ กลา่ ววา่ \"อชั -ชาฟิ อีย์ กล่าวว่า ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในการ ละหมาด เพียงแตว่ า่ ผ้หู ญิงควรจะแนบอวยั วะต่างๆ กบั ตวั หรือขา อ่อนจะแนบชิดกับท้อง ในขณะสญุ ูด เพราะนน่ั เป็ นการปกปิ ดท่ีดี ย่ิงกวา่ สาหรับเธอ และฉนั ชอบที่จะให้ปฏิบตั ิเช่นนีใ้ นขณะรูกอู ฺและ ในการละหมาดทงั้ หมด” (อลั -มจั ญ์มอู ฺ : 3/455) 4. การละหมาดญะมาอะฮฺระหว่างผู้หญิงด้วยกันโดย ผ้หู ญิงเป็ นอิมามนนั้ บรรดาผ้รู ู้มีทศั นะตา่ งกนั ระหว่างผ้ทู ี่ห้ามและ ผ้ทู ี่อนญุ าต • ส่วนมากเห็นว่าอนญุ าตให้ทาได้ “เน่ืองจากท่านเราะสูล ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ได้สง่ั ให้อมุ มุ วะรอเกาะฮฺนาละหมาด แกค่ นในครอบครัว” (บนั ทกึ โดยอบู ดาวดู : 592)
68 • บางสว่ นเหน็ วา่ ไมส่ ง่ เสริมให้กระทา • บางสว่ นเห็นวา่ ไมค่ วรกระทา (มกั รูฮฺ) • บางสว่ นเหน็ วา่ อนญุ าตให้กระทาในละหมาดภาคสมคั ร ใจ (ละหมาดสนุ ตั ) ไมใ่ ชล่ ะหมาดภาคบงั คบั (ละหมาดฟัรฎ)ู ทศั นะท่ีมีนา้ หนกั มากท่ีสุด คือ ส่งเสริมหรือชอบให้ปฏิบตั ิ และเพื่อความรู้เพ่ิมเติมในประเด็นนี ้ โปรดดูหนังสืออัล-มุฆนีย์ (2/202) และอลั -มจั ญ์มอู ฺ (4/84-85) และพวกเธอสามารถท่ีจะอ่าน เสียงดงั ได้ เมื่อไมม่ ีผ้ชู ายท่ีอนญุ าตให้แตง่ งานได้ยิน 5. อนุญาตให้ผู้หญิงออกไปละหมาดที่มัสญิดพร้ อมกับ บรรดาผ้ชู าย แตก่ ารละหมาดที่บ้านดียงิ่ กวา่ สาหรับพวกเธอ ตามที่ มีหลกั ฐานดงั นี ้ َ «ل »اََّّل ِل َم َسا ِج َد اََّّل ِل إ َما َء َت ْم َنعوا ความว่า “พวกท่านอย่าได้ห้ามมิให้บรรดาผ้หู ญิงออกไปละหมาด ที่มสั ญิดของอลั ลอฮฺ” (บนั ทกึ โดยมสุ ลมิ : 989) أَ ْن الْ َم َسا ِج َد َ َ »لَه َّن َخ ْير َوبيوته َّن إَل ََ ْير ْج َن النِّ َسا َء َت ْمنَعوا «ل ความวา่ “พวกทา่ นอยา่ ได้ห้ามมิให้ผ้หู ญิงออกไปละหมาดท่ีมสั ญิด และบ้านของพวกเธอนัน้ ดียิ่งกว่าสาหรับพวกเธอ” (บันทึกโดย อะห์มดั : 5470 และอบู ดาวดู : 576)
69 ดงั นนั้ การละหมาดท่ีบ้านยอ่ มเป็ นสิ่งที่ดีกวา่ อนั เน่ืองจาก เป็นการปกปิดที่ดกี วา่ และในกรณีที่พวกเธอออกไปละหมาดท่ีมสั ญิด ควรจะมี มารยาทดงั นี ้ 5.1 ต้องสวมใสอ่ าภรณ์ที่มดิ ชดิ และมีหิญาบ ดงั หะดษี َو َس َّل َم َ َك َن النِّ َساء ي َصلِّي َن م َتلَ ِّف َعات َينْ ََ ِص ْف َن ث َّم َعلَيْ ِه اََّّلل َصََّل َرسو ِل اََّّل ِل َم َع بِمرو ِط ِه َّن َما ي ْع َر ْف َن الْ َغلَ ِس ِمن ความว่า “บรรดาผ้หู ญิงเคยละหมาด (ศบุ ห์) พร้อมกบั ท่านเราะสลู ศ็อลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั จากนนั้ พวกเธอแยกย้ายกลบั โดยท่ีมี ผ้าคลมุ ไมม่ ีใครรู้จกั พวกเธออนั เน่ืองจากความมืด” (บนั ทกึ โดยอลั - บคุ อรีย์ : 867 และมสุ ลิม : 1457) 5.2 ไม่ใช้ นา้ หอม เน่ืองจากหะดีษของท่านเราะสูล ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั » َولْ َي ْخر ْج َن تَ ِف َلات، « َل َت ْم َنعوا إ َما َء اََّّل ِل َم َسا ِج َد اََّّل ِل ความวา่ “พวกท่านอยา่ ได้ห้ามมิให้ผ้หู ญิงออกไปละหมาดท่ีมสั ญิด และพวกเธอจงออกไปโดยไม่ใช้นา้ หอม” (บันทึกโดยอะห์มัด : 9625 และอบู ดาวดู : 565) และมีรายงานจากอบู ฮรุ ็อยเราะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ ทา่ น เราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั กลา่ ววา่ »« َأ ُي َما ا ْم َرأَة أَ َصابَ ْت َِبو ًرا فَ َلا ت َ ْش َه ْد َم َع َنا الْ ِع َشا َء ا ْْل ِخ َر َة
70 ความว่า “สตรีคนใดได้ใส่นา้ หอมแล้ว เขาอย่าได้ร่วมละหมาด อิชาอ์พร้ อมกับเรา” (บันทึกโดยมุสลิม : 997, อบู ดาวูด : 4175 และอนั -นะสาอีย์ : 5143) และรายงานจากท่านหญิงซัยนับ ภรรยาของอิบนุ มัสอูด เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ ท่านเราะสลู ศ็อลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั กล่าว วา่ »«إِ َذا َش ِه َد ْت ِإ ْح َداك َّن الْ َم ْس ِج َد فَ َلا َت َم َّس ِطيبًا ความว่า “เม่ือคนใดจากพวกเธอต้องการไปละหมาดท่ีมสั ญิด เธอ อยา่ ใสน่ า้ หอม” (บนั ทกึ โดยมสุ ลิม : 996) อัช-เชากานีย์ กล่าวว่า \"หะดีษเหล่านีบ้ ่งชีว้ ่า อนุญาตให้ สตรีไปละหมาดท่ีมสั ญิด เมื่อไมม่ ีสงิ่ ที่ก่อให้เกิดการยว่ั ยวน หรือสิ่ง ที่อย่ใู นขา่ ยการยวั่ ยวน เช่นนา้ หอม... และหะดีษเหลา่ นีบ้ ง่ ชีว้ า่ การ อนุญาตให้ภรรยาไปละหมาดท่ีมสั ญิดนนั้ เมื่อในการออกไปของ พวกเธอไม่มีส่ิงที่นาส่กู ารยวั่ ยวน เช่น นา้ หอม เคร่ืองประดบั หรือ อาภรณ์ใดๆ” (นยั ลลุ เอาฏอรฺ : 3/140-141) 5.3 เธอจะไม่ออกไปมสั ญิดในสภาพท่ีประดบั ประดาด้วย เสือ้ ผ้า หรือเคร่ืองประดบั ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ ันฮา กลา่ ววา่ لَ ْو أَ َّن َرسو َل اََّّل ِل َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َسلَّ َم َرأَى ِم ْن النِّ َسا ِء َما َرأَ ْي َنا لَ َمنَ َعه َّن ِم ْن الْ َم ْس ِج ِد .َك َما َمنَ َع ْت َبنو إ ْْ َسا ِئي َل نِ َسا َءه ْم
71 ความว่า “หากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลมั ได้เห็น จากบรรดาสตรี ซึ่งสิ่งที่พวกเราเห็น ท่านย่อมหกั ห้ามมิให้พวกเธอ ไปมัสญิด ดังท่ีชาวอิสรออีลได้ห้ามภรรยาของพวกเขา” (บันทึก โดยอลั -บคุ อรีย์ : 869 และมสุ ลมิ : 998) อชั -เชากานีย์กลา่ วว่า “คาวา่ หากทา่ นเราะสลู ศ็อลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิวะสัลลัม ได้เห็นดงั ท่ีเราเห็น หมายความว่า เห็นเสือ้ ผ้าที่ สวยๆ การใช้นา้ หอม เครื่องประดบั และการอวดโฉม และแท้จริง แล้วสมยั ก่อนนนั้ บรรดาผ้หู ญิงจะออกไปมสั ญิดโดยการสวมใส่ผ้า คลมุ และเสือ้ ผ้าท่ีเนือ้ หยาบๆ” อิบนุล เญาซีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า \"สตรีควรระวัง เป็ นอย่างย่ิงในการออกไปมสั ญิด แม้ว่าตวั เธอเองจะปลอดภยั จาก การยว่ั ยวนของคนอ่ืน แตค่ นอื่นอาจจะไม่ปลอดภยั จากการยว่ั ยวน ของเธอ ดงั นนั้ เม่ือจาเป็ นต้องออกไปก็ต้องได้รับอนุญาตจากสามี ของเธอ ด้วยชุดท่ีไม่ดึงดูดสายตา เดินตามทางท่ีไม่ปะปน เล่ียง ตลาด และระวงั มิให้ผ้คู นได้ยินเสียงของเธอ และเดินริมทางไม่ใช่ กลางถนน” (อะห์กาม อนั -นสิ าอ์ : 39) 5.4 หากผ้หู ญิงคนเดียว ก็ให้ยืนหลงั จากแถวของผ้ชู าย ดงั หะดษี จากอะนสั เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ กลา่ ววา่ .ق ْمت أَنَا َوالْ َيتِيم َو َرا َءه َوالْ َعجوز ِم ْن َو َرائِ َنا
72 ความว่า “ฉันและเด็กกาพร้ าได้ยืนหลงั ท่านเราะสูล ศ็อลลลั ลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม และหญิงชรา (ย่าของฉัน)ได้ยืนหลังจากเรา” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 380) และยงั มีรายงานจากอะนสั เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ วา่ .َص َّليْت أَنَا َوالْ َيتِيم ِفي بَيْتِ َنا َخلْ َف ال َّن ِ ِّب َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َسلَّ َم َوأِِّّم أ ُم سلَيْم َخلْ َفنَا ความว่า “ฉนั และเด็กกาพร้าได้ละหมาดหลงั ท่านนบี ศ็อลลลั ลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ที่บ้านของเรา และแม่ของฉัน (อุมมุ สุลัยม์) อยู่ หลงั จากเรา” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 727, 874) และจากอบู ฮรุ ็อยเราะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮุอนั ฮุ กลา่ วว่า ท่าน เราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั กลา่ ววา่ »« َخ ْير صفو ِف ال ِّر َجا ِل أَ َّول َها َو ََ ُش َها آ ِخر َها َو َخ ْير صفو ِف النِّ َسا ِء آ ِخر َها َو ََ ُش َها أَ َّول َها ความว่า “ผลบุญมากที่สุดจากแถวของผู้ชายคือแถวแรก และผล บุญน้อยท่ีสุดคือแถวหลังสุด และดีท่ีสุดจากแถวของผู้หญิงคือ หลงั สดุ และผลบญุ น้อยท่ีสดุ คือแถวแรก” (บนั ทกึ โดยมสุ ลิม : 984) ดงั นนั้ หะดีษทงั้ สองบทนีบ้ ง่ ชีว้ า่ บรรดาสตรีจะยืนหลงั จาก แถวของผ้ชู ายและจะไมล่ ะหมาดกนั แบบกระจดั กระจาย เมื่อพวก เขาละหมาดหลังผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็ นละหมาดฟัรฎู (ภาคบังคับ) หรือละหมาดตะรอวีหฺก็ตาม 5.5 เมื่ออิมามเกิดความผิดพลาดขึน้ ในละหมาด แท้จริง ผู้หญิ งจะเตือนอิมาม โดยการใช้ หลังมือตีกับหลังมืออีกข้ าง เน่ืองจากทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั กลา่ ววา่
73 »«إ َذا نَابَك ْم ََ ْشء ِفي ال َّص َلا ِة فَلْي َسبِّ ْح ال ِّر َجال َولْي َص ِّف ْق النِّ َساء ความว่า “เม่ือมีส่ิงใดเกิดขึน้ แก่พวกท่านในขณะละหมาด ดงั นัน้ ผู้ชายจงกล่าวว่า สุบหานัลลอฮฺ (เพื่อเป็ นการส่งสัญญาณเตือน) และผ้หู ญิงจงเตือนด้วยการตบมือ” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 719) น่ีคือการอนญุ าตให้ผ้หู ญิงตบมือในขณะละหมาด เมื่อมีสิ่ง ใดเกิดขึน้ เช่น การเผลอของอิมาม ทงั้ นีเ้ นื่องจากเสียงของผ้หู ญิง นนั้ เป็ นสิ่งท่ียวั่ ยวนแก่ผ้ชู าย ดงั นนั้ เธอถกู ใช้ให้ตบมือแทนการเปลง่ เสียง 5.6 เมื่ออิมามให้สลามเสร็จจากการละหมาด ให้ผ้หู ญิงรีบ ออกจากมสั ญิด และผ้ชู ายยังคงน่งั อยู่ต่อ เพ่ือมิให้ไปทันผู้หญิงท่ี แยกย้ายกลบั ไป เน่ืองจากอมุ มุ สะละมะฮฺ กลา่ ววา่ ِإ َّن النِّ َسا َء ك َّن إِ َذا َس َّل ْم َن ِم َن الْ َم ْكتو َب ِة ق ْمن َو َث َب َت َرسول اََّّل ِل َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َسلَّ َم فَ ِإ َذا قَا َم َرسول اََّّل ِل َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َسلَّ َم َقا َم،َو َم ْن َصََّل ِم َن ال ِّر َجا ِل َما َشا َء اََّّلل .ال ِّر َجال ความว่า “แท้จริงบรรดาสตรีในยุคของท่านเราะสูล เม่ือพวกเธอ สลามจากการละหมาดฟัรฎูแล้ว พวกเธอจะลุกขึน้ เพ่ือแยกย้าย กลับ และท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดา ผ้ชู ายท่ีละหมาดยงั คงนงั่ อย่ตู อ่ ตามท่ีอลั ลอฮฺทรงประสงค์ (เพื่อมใิ ห้ ปะปนกับผู้หญิ ง) ครัน้ เมื่อท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสลั ลมั ได้ลกุ ขนึ ้ บรรดาผ้ชู ายก็จะลกุ ขนึ ้ ”
74 อัซ-ซุฮฺรีย์กล่าวว่า \"เราเห็นว่า การกระทาเช่นนัน้ เพ่ือ บรรดาผ้หู ญิงจะได้ออกไปกอ่ น” -อลั ลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง- (บนั ทกึ โดยอลั - บคุ อรีย์ : 870) อชั -เชากานีย์ กลา่ ววา่ “ในหะดีษบทนีบ้ ง่ ชีว้ า่ แท้จริงอิมาม ควรจะเอาใจใส่ต่อสภาพของมะอ์มูมและควรป้ องกันส่ิงท่ีอาจจะ นาสู่การกระทาอนั ต้องห้าม เลี่ยงสถานท่ีอนั เกิดความระแวง และ อย่าให้ มีการปะปนตามถนนหนทางระหว่างหญิ งและชาย นอกเหนือจากการปะปนกนั ในบ้าน” (นยั ลลุ เอาฏอรฺ : 2/326) อนั -นะวะวีย์ เราะหิมะฮลุ ลอฮฺ กล่าวว่า “ในการละหมาด ญะมาอะฮฺนนั้ ผ้หู ญิงจะแตกตา่ งจากผ้ชู าย หลายประการ อาทิ หนง่ึ ไมเ่ น้นยา้ ให้ละหมาดญะมาอะฮฺเหมือนกบั ผ้ชู าย สอง อิมามท่ีเป็นผ้หู ญิงจะยืนระหวา่ งกลางของพวกเธอ สาม ผ้หู ญิงคนเดียวจะยืนหลงั ผ้ชู าย ไม่ใช่ด้านข้างซึ่งตา่ ง กบั ผ้ชู าย สี่ เมื่อผ้หู ญิงละหมาดพร้อบกบั ผ้ชู าย แถวหลงั จะเป็ นแถว ที่ดีท่ีสดุ (อลั -มจั ญ์มอู ฺ : 3/455) และจากที่กลา่ วมาทงั้ หมดนนั้ สรุปได้วา่ การปะปนระหวา่ ง หญิงและชายเป็นสง่ิ ต้องห้าม 5.7 การออกไปละหมาดอีด มีรายงานจากอุมมุ อะฏียะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา กลา่ ววา่
75 أَ َف ْنيَ ْعََُنِْت ِلْر ََنجها َّلن َّ ِصف َيلااَةلْ ِف َوْي َط ِْرش َه َو ْاد ْل ََأن ْاضََْْلَ ْيحرالْ َوَع َد َوا ْعتِ َوَ َةق َفأََع َّملَايْ ِهال َْوح َّيَس َّل َمض َصََّل اََّّلل أَ َم َرنَا َرسول اََّّل ِل ْ َوال ْح َّي َض َو َذ َوا ِت ،اْلدو ِر .الْم ْس ِل ِمي َن ความว่า “ท่านเราะสูล ศ็อลลลั ลอฮุอะลยั ฮิวะสัลลมั ส่งั ให้เราพา ผู้หญิงออกไปในวันอีดิลฟิ ฏร์และอีดิลอัฎหา ทัง้ เด็กสาว ผู้ท่ีมี ประจาเดือน และหญิงโสด สว่ นผ้มู ีประจาเดือนนนั้ ให้ออกหา่ งจาก สถานท่ีละหมาด และพวกเธอจะร่วมฟังคฏุ บะฮฺ และการขอดอุ าอ์ ของบรรดาชาวมุสลิม” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 974, มุสลิม : 2051, อบู ดาวูด : 1136, อนั -นะสาอีย์ : 1558, อัต-ติรมิซีย์ : 539 และอบิ นุ มาญะฮฺ : 1308) อชั -เชากานีย์ กล่าวว่า “หะดีษบทนีแ้ ละรวมถึงหะดีษอ่ืนๆ ท่ีมีความหมายในทานองนี ้บง่ ชีว้ า่ ส่งเสริมให้ผ้หู ญิงทกุ คนออกไป ยังสถานท่ีละหมาดอีด ไม่มีการแยกระหว่างเด็กสาว แม่หม้าย คนชรา คนมีประจาเดือน ตราบใดที่ไม่ได้อยู่ในอิดดะฮฺ (เวลารอ คอยสาหรับผ้หู ญิงท่ีสามีตายหรือหย่าร้าง) และในการออกไปไม่มี การยว่ั ยวนหรือมีอุปสรรคท่ีได้รับการอนุโลม...” (นัยลุลเอาฏอรฺ : 3/306) อิบนุ ตยั มียะฮฺ กล่าวว่า “แท้จริงท่านเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลมั ได้บอกแก่บรรดาสตรีว่า การละหมาดที่บ้านนนั้ ประเสริฐยิ่งกว่าการร่วมละหมาดวนั ศกุ ร์และละหมาดญะมาอะฮฺ
76 นอกจากละหมาดอีด เพราะทา่ นได้สง่ั ให้พวกเธอออกไป -อลั ลอฮฺรู้ ดยี ่งิ - เนื่องจากสาเหตตุ อ่ ไปนี ้ หนึ่ง วนั อีดมี 2 ครัง้ ในรอบปี จึงเป็ นส่ิงท่ีรับได้ ซึ่งต่างกับ ละหมาดวนั ศกุ ร์และญะมาอะฮฺ (มีอยตู่ ลอด) สอง วันอีดไม่มีส่ิงใดมาทดแทน ต่างกับวันศุกร์และ ละหมาดญะมาอะฮฺ เพราะเธอละหมาดซฮุ ร์ท่ีบ้านได้ สาม การออกไปละหมาดอีด เป็ นการราลึกถึงอลั ลอฮฺ ซึ่ง คล้ายกบั กบั การประกอบพิธีหจั ญ์ในบางด้าน และโดยเหตนุ ีเ้องวนั อีดิลอฎั หา จึงอย่ใู นช่วงฤดกู าลหจั ญ์ ทงั้ นีเ้ พื่อให้สอดคล้องกับคน ทาหจั ญ์ (มจั ญ์มอู ฺ อลั -ฟะตาวา : 6/459-459) บรรดาผ้รู ู้ในมซั ฮบั อชั -ชาฟิ อีย์ได้ตงั้ เงื่อนไขวา่ การออกไป ละหมาดอีดของเหลา่ สตรีนนั้ จะต้องไมม่ ีลกั ษณะท่ีโดดเดน่ อนั -นะวะวีย์ กล่าวว่า \"อัช-ชาฟิ อีย์และบรรดาสหายของ ทา่ นกลา่ วว่า สง่ เสริมแก่บรรดาสตรีท่ีไม่มีลกั ษณะท่ีโดดเดน่ ออกไป ละหมาดอีด ส่วนผ้ทู ่ีมีลกั ษณะท่ีโดดเดน่ นนั้ ไม่ควรออกไป และหาก พวกเธอต้องการจะออกไปก็ควรสวมเสือ้ ผ้าเก่าๆ และไมส่ วมเสือ้ ผ้า ท่ีทาให้โดดเด่น ควรซกั และทาความสะอาดด้วยนา้ และไม่ควรใช้ นา้ หอม ทงั้ หมดนีเ้ ป็ นบทบญั ญัติเก่ียวกับผ้หู ญิงสูงวยั ซ่ึงไม่เป็ นท่ี ปรารถนาของผู้ชาย ส่วนเด็กสาว และคนสวยๆ และผู้ที่ยังเป็ นท่ี หมายปองนัน้ ไม่ควรออกไป เนื่องจากเกรงว่าพวกเธอจะได้รับ อนั ตราย หรือเกิดการยว่ั ยวน
77 หากมีคนแย้งวา่ เร่ืองนีข้ ดั แย้งกบั หะดีษของอมุ มุ อะฏียะฮฺ ซงึ่ ได้นาเสนอก่อนนีแ้ ล้ว เราขอตอบวา่ มีรายงานในบนั ทึกของอลั - บุคอรีย์: 869 และมุสลิม: 998 จากหะดีษของท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา กลา่ ววา่ لَ َمنَ َعه َّن الْ َم َسا ِج َد، َما أَ ْح َد َث النِّ َساء- َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َس َلّ َم- لَ ْو أَ ْد َر َك َرسول اََّّل ِل .َك َما م ِن َعت نِ َساء بَ ِن ِإ ْْ َسا ِئي َل ความวา่ “หากท่านเราะสลู ศ็อลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ได้เห็นส่ิง ที่เหล่าสตรีอตุ ริขนึ ้ มา (จากการแตง่ กายและการอวดโฉม) แน่นอน ทา่ นต้องห้ามมใิ ห้พวกเธอไปมสั ญิด ดงั ท่ีเหลา่ สตรีของวงศว์ านของ อสิ รออีลเคยถกู ห้าม” เน่ืองจากอันตราย และประตูแห่งความช่ัวในยุคนีม้ ี มากมาย ซ่ึงต่างจากยุคแรกๆ มากนัก – วัลลอฮุอะอฺลัม” (อัล- มจั ญ์มอู ฺ : 5/13) ฉนั (ผ้เู ขียน)ขอกลา่ วเสริมว่า ในยคุ ของเรานีม้ ียาแยม่ ากยิ่ง กวา่ อีกหลายเทา่ เลยทีเดยี ว อิบนลุ เญาซีย์ ได้กลา่ วในหนงั สือของท่านวา่ \"ฉันเคยแจก แจงแล้วว่า แท้จริงการออกไปละหมาดของสตรีนนั้ เป็ นส่ิงท่ีอนุมตั ิ แตเ่ ม่ือเกรงว่าจะเกิดอนั ตรายหรือการยวั่ ยวน การยบั ยงั้ มิให้พวก เธอออกไปนนั้ เป็ นส่ิงที่ดียิ่งกวา่ เนื่องจากบรรดาสตรีในยคุ แรกของ อิสลามต่างกับสภาพของบรรดาสตรีในยุคนี ้ และบรรดาบุรุษก็
78 เช่นเดียวกัน” (อะห์กาม อนั -นิสาอ์ : 39) หมายถึงในยุคแรกๆ นนั้ จะมีความเคร่งครัดมากกวา่ จากที่กล่าวมานนั้ เธอได้รู้ว่า การออกไปละหมาดอีดเป็ น สิ่งท่ีศาสนาอนุมัติ โดยต้องอยู่ในกรอบ และมีเจตนาเพื่อภักดี ต่ออัลลอฮฺ และมีส่วนร่วมในการวิงวอน การแสดงออกถึง เอกลักษณ์ของอิสลาม มิใช่เพ่ือโชว์เคร่ืองประดับ และยั่วยวน ดงั นนั้ จงพงึ สงั วรเถิด
79 บทท่ี 6 บัญญัตวิ ่ำด้วยกำรจดั กำรศพของผ้หู ญงิ พระองค์อลั ลอฮฺได้ทรงกาหนดความตายแก่ทุกชีวิต และ พระองค์จะคงอยตู่ ลอดกาลแตเ่ พียงพระองค์เดียว อลั ลอฮฺได้ตรัสไว้ วา่ ]٢٧ : ﴾ [الرحمن٢٧ ﴿ َو َي أب َ ىق َو أج ُه َر ّبِ َك ُذو ٱۡ أ َل َلى ِل َوٱ أۡ ِل أك َرا ِم ความว่า “และพระพักตร์ของพระผู้เป็ นเจ้าของเจ้า ผู้เป็ นเจ้าของ การยกย่องและการให้ เกียรติ จะคงอยู่ไปตลอดกาล” (อัร- เราะห์มาน : 27) พระองค์ทรงวางบทบญั ญตั ิเก่ียวกบั ศพลกู หลานของอาดมั เป็ นการเฉพาะ ซึ่งผู้ที่มีชีวิตจะต้องดาเนินตาม ในบทนี ้ เราจะ นาเสนอบญั ญตั ทิ ี่เก่ียวกบั การจดั การศพผ้หู ญิงเป็นการเฉพาะ ดงั นี ้ 1. สตรีจะต้องอำบนำ้ ศพให้กับสตรี ไม่อนุญาตให้ผ้ชู ายเป็ นผ้อู าบนา้ ให้นอกจากสามีของนาง เท่านัน้ เพราะเขามีสิทธ์ิในการอาบนา้ ให้แก่ภรรยาของเขา และ
80 ผู้ชายจะทาหน้าที่ในการอาบนา้ ศพผู้ชาย และไม่อนุญาตให้สตรี เป็ นผ้อู าบให้นอกจากผู้เป็ นภรรยาเท่านนั้ เพราะเธอมีสิทธิ์ในการ อาบนา้ ให้แก่ศพของเขา เน่ืองจากท่านอะลีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้อาบนา้ ให้แก่ภรรยาของท่าน –ทา่ นหญิงฟาฏิมะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮุ อนั ฮา- ซง่ึ เป็นลกู สาวของท่านเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั และอสั มาอ์ บินติ อมุ ยั ส์ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา ได้อาบนา้ ให้สามีของ เธอคอื ทา่ นอบู บกั รฺ อศั -ศดิ ดกี เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ 2. ส่งเสริมให้ห่อศพสตรีด้วยผ้ำสีขำวจำนวน 5 ชิน้ ประกอบด้วย ผ้าน่งุ หน่ึงผืน ผ้าคลุมศีรษะ เสือ้ และผ้าห้มุ ห่อ 2 ผืน ซึ่งอยู่ชัน้ นอกสุด เน่ืองจากมีรายงานจากลัยลา อัษ- ษะกอฟี ยะฮฺ กลา่ ววา่ وََكث ََّمن،َ ا َر، َدث ََّمو َفااْتِ ِْلَهاَم،ْيْ ِهث ََّمو َساللَّ ِّد َم ْر ِعَعن،َأَكَّونْلت َماِفيأَ َم ْع ْنَطا َغنَا َّس َرَلسأو َّملُاكْلثلوِهم بَِنصََّْ َلتا َلرلسهو َِلعلَايْللِه ِه َو ََسصَََّّللَمااللل ْهِح َقاَع َءل . ث َّم أ ْد ِر َج ْت َب ْعد ِفي الثَّ ْو ِب ا ْْل ِخ ِر،الْ ِملْ َح َف َة ความว่า “ฉันเป็ นคนหน่ึงจากผ้ทู ี่อาบนา้ ให้แก่อมุ มุ กลุ ษูม ลูกสาว ของท่านเราะสลู ศ็อลลลั ลอฮุอะลยั ฮิวะสลั ลมั ตอนท่ีนางเสียชีวิต และสิ่งแรกท่ีท่านเราะสูลได้ให้แก่เรานัน้ คือ ผ้านุ่ง เสือ้ ผ้าคลุม ศรีษะ หลงั จากนนั้ เป็ นผ้าหุ้มห่อ หลงั จากนนั้ นางได้ถูกหุ้มห่อทับ ด้วยผ้าอีกผืนหนง่ึ ” (บนั ทกึ โดยอบู ดาวดู : 3157)
81 อชั -เชากานีย์ กล่าวไว้ในหนังสือ (นัยลุลเอาฏอรฺ : 4/42) \"หะดีษบทนีเ้ ป็ นหลักฐานว่าแท้จริงส่ิงที่ถูกบัญญัติในการห่อศพ ผ้หู ญิงนนั้ คอื ผ้านงุ่ เสือ้ ผ้าคลมุ ศีรษะ ผ้าห้มุ หอ่ อีกสองผืน\" 3. กำรจัดผมของศพผู้หญิง ให้รวบหรือถกั ผมเป็ นสามเปี ย แล้วเอาไว้ด้านหลงั ของเธอ เนื่องจากมีหะดีษจากอุมมุ อะฏียะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ในการ อาบนา้ ศพลูกสาวของท่านเราะสูล ศ็อลลลั ลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่วา่ .ف َض َّف ْرنَا َش ْع َر َها ثَ َلاثَ َة قرون َوأَلْ َقيْ َناه َخلْف َها ความว่า “แล้วเราได้ถักผมของเธอออกไปเป็ นสามเปี ย แล้วเราได้ เอามันไปไว้ทางด้านหลงั ของนาง” (บนั ทึกโดยอลั -บุคอรีย์ : 1262 และมสุ ลมิ : 2168) 4. บทบัญญัตเิ ก่ียวกับกำรตดิ ตำมไปส่งศพสตรี มีรายงานจากอมุ มุ อาฏียะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา กลา่ ววา่ .ن ِهينَا َع ْن ا ِّتبَا ِع اْ ْلَ َنائِ ِز َولَ ْم ي ْع َز ْم َعلَيْنَا ความวา่ “เราถกู ห้ามมิให้ตดิ ตามไปสง่ ศพ และเราไมไ่ ด้ถกู ห้ามโดย เดด็ ขาด” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 313 และมสุ ลมิ : 2164) สิ่งท่ีเห็นได้จากการห้ามนนั้ คือไม่อนุญาตให้กระทา และ คากล่าวของเธอท่ีว่า “และเรามิได้ถกู ห้ามโดยเดด็ ขาด” นนั้ ชยั คลุ อิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ
82 (มัจญ์ มูอฺ อัล-ฟะตาวา 24/355) ว่า “บางทีความหมายท่ีเธอ หมายถึงก็คือ ไม่ได้ห้ามอย่างจริงจังหรือเน้ นยา้ แต่น่ันก็ไม่ได้ แปลว่าการห้ามดงั กลา่ วเป็ นโมฆะ และบางทีอาจจะเป็ นความคาด เดาของเธอเองว่านี่เป็ นการห้ ามท่ีไม่ถึงขัน้ หะรอม ในขณะที่ ใจความของหลกั ฐานนนั้ ต้องดทู ่ีคาพดู ของท่านเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอ ฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้อยู่ที่การคาดเดาของคนใดคนหน่ึงอ่ืนไป จากทา่ น” 5. ห้ำมสตรีมใิ ห้ไปเย่ียมหลุมฝังศพ มีรายงานจากอบู ฮรุ ็อยเราะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ วา่ .أَ َّن َرسو َل اََّّل ِل َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َسلَّ َم لَ َع َن َز َّوا َرا ِت الْقبو ِر ความว่า “แท้จริงท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ สาปแช่งบรรดาผู้หญิงที่ไปเย่ียมหลุมฝังศพอยู่บ่อยครัง้ ” (บันทึก โดยอะห์มดั : 2030 และอตั -ติรมีซีย์ : 230 และกล่าวว่าเป็ นหะดีษ เศาะฮีหฺ) ชยั คลุ อิสลาม อิบนุ ตยั มียะฮฺ ได้กล่าวไว้ในมจั ญ์มูอฺ อลั - ฟะตาวา เล่มที่ 24/355-356 ว่า “และเป็ นที่ทราบกนั ดีว่า ถ้าเร่ืองนี ้ ถูกเปิ ดกว้างแก่ผ้หู ญิงแล้วย่อมเป็ นเหตนุ าไปส่กู ารขาดความขนั ติ การราพึงราพัน และการร้ องห่มร้ องไห้ เน่ืองจากนางอ่อนแอ มี ความอดทนน้อย อนั จะเป็ นสาเหตใุ ห้ผ้ตู ายเดือดร้อนเพราะการคร่า
83 ครวญโหยหวนของเธอ และเป็ นสาเหตุของการยั่วยวนแก่ผู้ชาย ด้วยนา้ เสียงและรูปร่างของเธอ ดงั ท่ีมีรายงานในหะดีษหนง่ึ วา่ »«فَإِنَّك َّن َت ْف ِ َّت الْ َ َّح َوت ْؤ ِذي َن الْ َميِّ َت ความว่า “แท้จริงพวกเธอย่อมจะทาให้ผู้ท่ีมีชีวิตอยู่ต้องป่ันป่ วน (ยว่ั ยวน) และกอ่ ความเดือดร้อนแกค่ นตาย\" เม่ือการไปเย่ียมหลมุ ฝังศพของบรรดาสตรีอาจจะเป็ นที่มา และสาเหตขุ องเร่ืองราวต่างๆ ท่ีต้องห้ามในตวั ของพวกเธอและแก่ ผ้ชู าย –ขณะท่ีเหตผุ ลทางบทบญั ญัติตรงนีไ้ ม่มีกฎเกณฑ์ตายตวั - ดังนัน้ จงไม่สามารถกาหนดกรอบและปริมาณสิ่งที่อาจจะเป็ น สาเหตุ และไม่สามารถแยกแยะแต่ละประเภทได้ กรณีแบบนีม้ ี ทฤษฎีทางบทบญั ญัติกาหนดไว้คือ เม่ือเหตผุ ลแห่งบทบญั ญัติเป็ น สิ่งซ่อนเร้ นหรือไม่เป็ นท่ีแพร่หลาย ก็ให้ ข้ อชีข้ าดผูกพันกับ แหล่งที่มาและสาเหตุ ดงั นนั้ เรื่องนีจ้ ึงเป็ นสิ่งต้องห้ามเพ่ือเป็ นการ ปิ ดช่องทาง เช่นเดียวกับการห้ามมองเครื่องประดบั ของสตรีท่ีอยู่ ภายในเน่ืองจากเกิดการยวั่ ยวน และเช่นเดียวกบั ที่ห้ามการอย่กู ับ ผ้หู ญิงโดยลาพงั และการมองผ้หู ญิง และในการท่ีสตรีเยี่ยมหลมุ ฝัง ศพนนั้ ไม่มีผลดีมากพอท่ีจะเอามาเทียบกับผลเสีย เพราะในการ เยี่ยมนัน้ ไม่มีความดีใดนอกจากการวิงวอนของเธอให้แก่ผู้ตาย เท่านนั้ และนน่ั เป็ นสิ่งท่ีเธอสามารถทาได้ภายในบ้านของเธอเอง (โดยไมต่ ้องไปที่สสุ าน)”
84 6. ห้ำมไม่ให้มีกำรร้องรำพันคร่ำครวญ คือการราพึงราพันเสียงดัง ฉีกเสือ้ ผ้า ตบตีแก้ม โกนผม การย้อมสี และขีดข่วนบนใบหน้า อนั เนื่องจากความท้อแท้เพราะ สญู เสียผ้ตู าย การคร่าครวญขอให้เกิดความหายนะ และอื่นๆ จาก สิ่งที่บ่งบอกถึงความท้อแท้ในลิขิตของอัลลอฮฺ ไม่มีความอดทน เหล่านีล้ ้วนเป็ นส่ิงท่ีต้องห้ามและเป็ นบาปใหญ่ เน่ืองจากหะดีษ ท่ีวา่ »«لَيْ َس ِم َّنا َم ْن لَ َط َم اْ ْلدو َد َو َش َّق اْ ْليو َب َو َدع َا بِ َد ْع َوى اْ ْلَا ِه ِل َّية ความว่า “ไม่ใชแ่ นวทางของเรา ผ้ทู ี่ตบตีใบหน้า ฉีกเสือ้ ผ้า และคร่า ครวญเย่ียงพฤติกรรมสมัยญาฮิลียะฮฺ”(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 1294 และมสุ ลิม : 281) .أَ َّن َرسو َل اََّّل ِل صَل الله عليه وسلم بَ ِريء ِم ْن ال َّصا ِل َق ِة َوال ْحَا ِل َق ِة َوال َّشا َّق ِة ความว่า “ท่านเราะสลู ลุ ลอฮฺ ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ไมข่ อย่งุ เกี่ยวกับผู้หญิงท่ีส่งเสียงดัง ผู้หญิงท่ีโกนผม ผู้หญิงที่ฉีกเสือ้ ผ้า” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 1296 และมสุ ลิม : 283) กล่าวคอื ผ้หู ญิงท่ี กระทาการเหลา่ นีใ้ นเวลาที่ตวั เองประสบเคราะห์กรรม และยงั มีหะดษี อีกวา่ . َوالْم ْستَ ِم َع َة، لَ َع َن َرسول اََّّل ِل َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َسلَّ َم ال َّنا ِِئَ َة ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ สาปแช่งหญิงท่ีร่าไห้คร่าครวญ และผู้รับฟั งเสียงร้ องนัน้ ด้วย”
85 (บนั ทกึ โดยอบู ดาวดู : 3128) กล่าวคือผ้ทู ่ีมีเจตนารับฟังและพอใจ เสียงราพนั คร่าครวญนนั้ โอ้พ่ีน้องผู้ศรัทธา จาเป็ นท่ีเธอต้องหลีกเลี่ยงการกระทา เชน่ นี ้เม่ือประสบกบั การทดสอบ จาเป็ นท่ีเธอต้องอดทน และหวงั ผลตอบแทนจากอลั ลอฮฺ เพ่ือให้บททดสอบของเธอลบล้างความผิด ตา่ งๆ และเพ่มิ พนู ความดีให้แกเ่ ธอ อลั ลอฮฺได้ตรัสไว้ :ت١ِة٥ر٦ِ َ ىرس﴾ِجَوٱ[ُعلاوثْلََمنقَرى١ِه٥ُف٧شَوىٱءَّ ِّلِمتي َنَِّمنٱإِنۡ أَذَلآر أوّبِأَ ِِه َفأمصى َبَوَأتٱو َُۡهرأ ُلأۡم َوحمِةع َِوصَوأُي َن َبو أقَة َٰٓلئَِقاصلَُكٓوِّما َُهإِننُمٱا أۡٱ َِللّأ ألُمم ِلَأوهىَِتإِلَ ُودنَوواٱٓ أَۡإِنلََّنأل١ َلأ٥َص٥ََ ِ أَُو﴿بوَ َ ََِّٰٓول َلئِِشنَ أبَٱكلُل َو َنعصىلَِِأي ُِبكِهيمأمَنب ]١٥٧ ،١٥٥ ความวา่ “และเราจะทดสอบพวกเจ้าด้วยสว่ นหนึง่ (ส่ิงเล็กน้อย)จาก ความกลัว ความหิวโหย ความเสียหายในทรัพย์สิน ชีวิต และ ผลผลิต และเจ้าจงแจ้งข่าวดแี ก่บรรดาผ้อู ดทนเถิด บรรดาผ้ทู ี่เมื่อมี บททดสอบได้มาประสบกับพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่าแท้จริงเรา เป็นกรรมสิทธิ์ของอลั ลอฮฺ และแท้จริงเราจะต้องกลบั ไปหาพระองค์ ชนเหล่านีแ้ หละ จะได้รับพรและความเมตตาจากพระผ้เู ป็ นเจ้าของ พ วก เขา แล ะชน เห ล่านี แ้ ห ละคื อผู้ท่ี ได้ รับ ท างน า ” (อัล - บะเกาะเราะฮฺ : 155-157)
86 อนุญาตให้ร้ องไห้ได้ โดยท่ีต้องไม่มีการราพันคร่าครวญ และปราศจากการกระทาที่ต้องห้าม ไม่โมโหโกรธเคืองต่อการ กาหนดของอลั ลอฮฺ เพราะว่าลาพังการร้องไห้นนั้ ถือว่าเป็ นความ เมตตาแก่ผู้ตายและความอ่อนโยนของหวั ใจ และมนั เป็ นสิ่งที่ไม่ สามารถยับยงั้ ได้ ดงั นนั้ การร้องให้จึงเป็ นสิ่งท่ีอนุมตั ิ และบางครัง้ อาจจะเป็นส่งิ ที่ชอบให้กระทาเสียอีกด้วย ขออลั ลอฮฺทรงเป็นผ้ทู ี่ให้ความชว่ ยเหลือ
87 บทท่ี 7 บญั ญัตวิ ่ำด้วยกำรถอื ศีลอดของผ้หู ญิง การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนเป็ นส่ิงจาเป็ นสาหรับ มสุ ลิมทุกคน และเป็ นรุก่นหรือองค์ประกอบหลกั ประการหน่ึงของ ศาสนาอสิ ลาม อลั ลอฮฺตรัสไว้วา่ ﴿ َ َٰٓي َأي َها ٱَّ ِلي َن َءا َم ُنوا ُكتِ َب َعلَ أي ُك ُم ٱل ِّص َيا ُم َك َما ُكتِ َب ََ َع ٱَّ ِلي َن ِمن َق أبلِ ُك أم ]١٨٣ : ﴾ [اْلقرة١٨٣ َل َعل ُك أم َتت ُقو َن ความวา่ “โอ้บรรดาผ้ศู รัทธาทงั้ หลาย การถือศลี อดได้ถกู กาหนดแก่ พวกเจ้า เหมือนกับที่ได้ถูกกาหนดแก่พวกท่ีมาก่อนหน้าพวกเจ้า หวงั วา่ พวกเจ้าจะยาเกรง” (อลั -บะเกาะเราะฮฺ : 183) คาวา่ “ถกู กาหนด” หมายถึง ถกู บญั ญตั ิ ดงั นนั้ เม่ือเด็กสาว ได้บรรลศุ าสนภาวะแล้ว โดยมีเคร่ืองหมายหนง่ึ จากเครื่องหมายใน การบรรลุศาสนภาวะให้เห็น เช่นเร่ิมมีประจาเดือน เม่ือนนั้ การถือ ศีลอดก็เป็ นวาญิบ(จาเป็ น)สาหรับเธอ เด็กสาวบางคนอาจจะมี ประจาเดือน เมื่ออายุ 9 ปี ซึ่งเธออาจจะยงั ไมร่ ู้วา่ จาเป็ นต้องถือศีล อด เธอเลยไม่ถือโดยที่เข้าใจว่าเธอนนั้ ยงั เล็กอยู่ และผู้ปกครองก็
88 ไม่ได้สง่ั เธอให้ทาการถือศีลอด ส่ิงนีถ้ ือว่าเป็ นความบกพร่องอย่าง ยิ่ง เพราะละทิง้ องค์ประกอบหลักอีกประการหน่ึงของอิสลาม เด็กสาวคนใดท่ีมีรอบเดือนเกิดขึน้ จะต้องศีลอดชดเชย ตามจานวนวนั ท่ีขาด ตงั้ แตช่ ่วงแรกของการมีประจาเดือน ถึงแม้วา่ ผ่านไปนานแล้วก็ตาม เพราะว่าการถือศีลอดนัน้ ยังอยู่ในความ รับผดิ ชอบของเธอ กำรถือศีลอดจำเป็ นแก่ผู้ใด? เมื่อเดือนเราะมะฎอนได้มาถึงจาเป็ นต่อมุสลิมทุกคนทัง้ ชายและหญิง ผ้ซู ึง่ บรรลศุ าสนภาวะ มีสขุ ภาพดี และไมไ่ ด้เดินทาง (อยปู่ ระจาถิ่น) จะต้องถือศีลอดในเดอื นดงั กล่าว และบคุ คลใดป่ วย หรือเดนิ ทางในชว่ งเดือนเราะมะฎอน เขาจะได้รับก็ได้รับอนญุ าตให้ ละศีลอด และชดใช้ตามจานวนวนั ท่ีขาดไป อลั ลอฮฺตรัสไว้วา่ َ ََ َ ىع أَ أو أيام ِّم أن َفعِدة َس َفر َمرِي ًضا ََك َن َو َمن َف أل َي ُص أم ُه َش ِه َد ِمن ُك ُم ٱلش أه َر ﴿ َف َمن ]١٨٥ :[اْلقرة ﴾ أُ َخ َر ความว่า “ดงั นนั้ ผ้ใู ดในหม่พู วกเจ้าเข้าอย่ใู นเดือนนนั้ แล้ว ก็จงถือ ศีลอด และผ้ใู ดป่ วยหรืออย่ใู นการเดินทาง -แล้วเขาละศีลอด- ก็ให้ เขาได้ถือชดใช้ในวนั อื่นแทน” (อลั -บะเกาะเราะฮฺ :185) ในทานองเดียวกนั ผ้ทู ี่มีชีวิตในเดือนเราะมะฎอนในขณะที่ เขาเป็ นผ้แู ก่ชรามาก ไม่สามารถถือศีลอดได้ หรือผ้ปู ่ วยเรือ้ รังซ่ึงไม่ มีความหวงั ท่ีจะหายจากโรคนนั้ ไม่ว่าจะเป็ นชายหรือหญิงก็ตาม
89 แท้จริงให้เขาละศีลอดและให้จา่ ยอาหารแก่ผ้ขู ดั สนจานวนหนง่ึ ลติ ร ตอ่ หนงึ่ วนั จากอาหารหลกั ของท้องถิ่น อลั ลอฮฺตรัสวา่ ]١٨٤ :﴿ َو ََ َع ٱَّ ِلي َن يُ ِطي ُقونَ ُهۥ فِ أديَة َط َعا ُم ِم أس ِكي ﴾ [اْلقرة ความว่า “และบรรดาผ้ทู ี่ถือศีลอดได้ด้วยความยากลาบาก ก็ให้มี การจ่ายส่ิงชดเชย คือจ่ายอาหารแก่ผ้ขู ดั สน” (อลั -บะเกาะเราะฮฺ : 184) อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอนั ฮุ กล่าวว่า “บทบัญญัตินี ้ สาหรับคนชรา” (บนั ทึกโดยอลั -บคุ อรีย์ : 4505) ส่วนคนป่ วยที่ไม่มี หวงั จะหายก็ใช้บญั ญัติเดียวกับคนชราได้ ไม่ต้องถือศีลอดชดใช้ เนื่องจากขาดความสามารถ คาว่า “การถือศีลอดด้วยความ ลาบาก” คอื การถือศลี อดได้ด้วยความทกุ ข์ทรมาน ข้อผ่อนปรนต่ำงๆ ในกำรถือศีลอดของผู้หญงิ สาหรับสตรีนนั้ มีข้อผ่อนปรนหลายประการ ให้ละศีลอดได้ และชดใช้ในวนั อื่นๆ ตามจานวนวนั ท่ีขาดไป 1. เลือดประจำเดือน และเลือดหลังคลอดบุตร ห้ามสตรีท่ีมีประจาเดือนและเลือดหลงั คลอดทาการถือศีล อด และจาเป็ นที่จะต้องถือชดเชยในวันอ่ืน เน่ืองจากหะดีษของ ทา่ นหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา กลา่ ววา่ ِك َّنا ن ْؤ َمر بِ َق َضا ِء ال ِّص َيا ِم َو َل ن ْؤ َمر بِ َق َضا ِء ال َّص َلاة
90 ความว่า “เราถูกส่งั ให้ชดเชยการถือศีลอด และไม่ถูกใช้ให้ชดเชย การละหมาด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 321 , มุสลิม : 759 , อบู ดาวดู : 262 , อตั -ตริ มซิ ีย์ : 130 และอนั -นะสาอีย์ : 2317) และทัง้ นี ้ เนื่องจากมีสตรีผู้หนึ่งได้ถามเธอว่า ทาไมผู้มี ประจาเดือนต้องถือศีลอดชดเชย และไมต่ ้องละหมาดชดเชย? เธอ ก็ได้อธิบายว่า “แท้จริงเร่ืองนีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งจากเรื่องราวที่ต้องยึด ตามตวั บท” เหตุผลท่ีไม่ต้องถือศีลอด ชยั คลุ อิสลาม อิบนุ ตยั มียะฮฺ ได้กล่าวไว้ในมจั ญ์มอู ฺ อลั -ฟะตาวา เล่มท่ี 25/251 “เลือดที่ออกมา เพราะการมีประจาเดือนนัน้ คือการออกมาของเลือด และผู้ที่มี ประจาเดือนสามารถที่จะถือศีลอดในเวลาที่ไม่มีเลือดได้ ดงั นนั้ การ ถือศีลอดเวลาท่ีไมม่ ีเลือดนนั้ เป็ นการถือศีลอดที่สมดลุ ซง่ึ เลือดเป็ น องค์ประกอบท่ีทาให้ร่างกายแข็งแรง และการถือศีลอดในขณะที่มี ประจาเดือน ทาให้เกิดความบกพร่องและอ่อนแอต่อร่างกายของ เธอ และการถือศีลอดไม่สมดลุ ดงั นนั้ เธอจงึ ถกู สงั่ ใช้ให้ถือศีลอดใน เวลาท่ีไมม่ ีประจาเดอื น\" 2. กำรตงั้ ครรภ์และกำรให้นม
91 คือการตงั้ ครรภ์และการให้นมที่ทาให้เกิดอนั ตรายตอ่ สตรี ตอ่ ทารกในครรภ์ หรือทงั้ ตอ่ ตวั ของแมแ่ ละเดก็ เอง เธอก็สามารถละ ศลี อดได้ในขณะท่ีกาลงั ตงั้ ครรภ์หรือชว่ งให้นม หากเธอละศีลอดเพราะเกรงว่าอนั ตรายจะเกิดกบั เด็ก เธอ จะต้องถือศีลอดชดเชยวนั ท่ีได้ละศีลอด และให้จ่ายอาหารแก่ผ้ขู ดั สนหนง่ึ คนตอ่ จานวนหนงึ่ วนั ท่ีได้ละเว้นการถือศลี อด หากเธอละศลี อดเพราะเกรงอนั ตรายท่ีจะเกิดขนึ ้ กบั เธอเอง ก็ให้ถือศีลอดชดเชยอย่างเดียวไม่ต้องจ่ายอาหาร ทงั้ นีเ้ น่ืองจากผู้ ท่ีตงั้ ครรภ์และผ้ทู ่ีให้นม เข้าขา่ ยในคาตรัสของอลั ลอฮฺที่วา่ ]١٨٤ :﴿ َو ََ َع ٱَّ ِلي َن يُ ِطي ُقونَ ُهۥ فِ أديَة َط َعا ُم ِم أس ِكي ﴾ [اْلقرة ความว่า “และสาหรับผ้ทู ี่ถือศีลอดได้ด้วยความยากลาบาก ให้จา่ ย สง่ิ ชดเชยคอื อาหารแก่ผ้ขู ดั สน” (อลั -บะเกาะเราะฮฺ : 184) อิบนุ กะษีรฺ กล่าวไว้ในตัฟซีรฺของท่าน เล่มท่ี 1/379 ว่า “และผ้ทู ี่เข้าข่ายในความหมายนี ้คือผ้ทู ่ีตงั้ ครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร เมื่อเขาทงั้ สองกลวั จะเป็ นอนั ตรายตอ่ ตวั เอง หรือเป็ นอนั ตรายต่อ ลกู ” ชยั คลุ อสิ ลาม อิบนตุ ยั มียะฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนงั สือของท่าน เล่มท่ี 25/318 “หากว่าเธอกลวั ว่าจะเป็ นอนั ตรายตอ่ ทารกในครรภ์ ก็อนุญาตให้ละศีลอด และจะต้องชดเชยตามจานวนวนั ท่ีขาดไป
92 และจะต้องจ่ายอาหารแก่ผู้ขดั สนหนึ่งคนจานวนหนึ่งลิตรต่อหนึ่ง วนั ที่ละศีลอด” ส่งิ ท่ีจำเป็ นต้องรู้ 1. ผ้ทู ี่มีเลือดเสีย (อลั -มุสตะหาเฏาะฮฺ) –คือผ้ทู ่ีมีเลือดมา โดยที่ไม่ใช่ประจาเดือนดังท่ีกล่าวก่อนนีแ้ ล้ว- จาเป็ นแก่เธอที่ จะต้องถือศีลอด และไมอ่ นญุ าตให้ละทิง้ การถือศีลอดอนั เนื่องจาก มีเลือดเสีย ชยั คลุ อิสลาม อิบนตุ ยั มียะฮ ได้กลา่ วไว้ในหนงั สือของทา่ น เล่มที่ 25/251 หลงั จากท่ีกลา่ วถึงการละศีลอดของผ้มู ีประจาเดือน “ซึง่ แตกตา่ งกบั เลือดเสีย เพราะว่าเลือดเสียนนั้ ไม่สามารถควบคมุ เวลาได้ โดยเธอถูกใช้ให้ถือศีลอดในเวลานัน้ และไม่สามารถจะ ระวงั มนั ได้ เช่น การอาเจียนออกมา การมีเลือดออกมาตามแผล และฝี ต่างๆ การฝัน และในทานองนัน้ ในบรรดาสิ่งที่ไม่สามารถ ควบคุมได้ มันจึงไม่มีผลกับการถือศีลอดเหมือนกับเลือด ประจาเดอื น” 2. จาเป็ นต่อผู้มีประจาเดือน ผู้ท่ีตงั้ ครรภ์ และผู้ท่ีให้นม เมื่อพวกเธอละทิง้ การถือศีลอด จะต้องถือศีลอดชดใช้ตามจานวน วันที่ได้ ละศีลอด ในระหว่างเดือน เราะมะฎ อน นีก้ ับเดือน เราะมะฎอนที่จะมาถึง และการรีบชดใช้เป็ นสง่ิ ที่ประเสริฐท่ีสดุ และ เมื่อเหลือไม่ก่ีวนั ที่เดือนเราะมะฎอนใหม่จะมาถึงนอกจากเท่ากับ
93 วนั ท่ีได้ละศีลอด ก็จาเป็ นที่จะต้องถือศีลอดชดใช้ เพ่ือมิให้เดือน เราะมะฎอนใหม่มาถึงโดยที่ยังมิได้ชดเชยของก่อน ถ้าหากเข้า เราะมะฎอนใหม่และยงั มิได้ชดเชย โดยที่ไม่มีอุปสรรคท่ีได้รับการ อนโุ ลมแล้ว ก็จาเป็ นที่จะต้องถือศีลอดชดเชย พร้อมจา่ ยอาหารแก่ ผ้ขู ดั สนหน่ึงคนตอ่ หนึ่งวนั หากการล่าช้าเกิดจากอุปสรรคก็จะต้อง ถือศีลอดชดใช้อยา่ งเดียว (ไมต่ ้องจ่ายอาหาร) ผ้ทู ี่จาเป็นต้องถือศีล อดชดเชย ด้วยสาเหตขุ องการละทิง้ ศีลอดอนั เน่ืองจากการเจ็บป่ วย หรือการเดินทางนัน้ ก็ใช้บทบัญญัติและข้อชีข้ าดเดียวกับผู้มี ประจาเดือน ดงั ท่ีแจกแจงมาก่อนแล้ว 3. ไม่อนุญาตให้สตรีถือศีลอดภาคสมัครใจ (ตะเฎาวุอฺ) เม่ือสามีของเธออยู่บ้าน ไม่ได้เดินทาง นอกจากด้วยการอนุญาต ของสามีเท่านนั้ ดงั หะดีษท่ีอิมามอลั -บุคอรีย์และมุสลิม และท่าน อ่ืนๆ ได้รายงานจากอบู ฮรุ ็อยเราะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ ว่าท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะละฮวิ ะสลั ลมั กลา่ ววา่ أَ ْن لِلْ َم ْرأَ ِة َّ َ »بِ ِإ ْذنِ ِه ِإل َشا ِهد َو َز ْوج َها تَصو َم يَ ِح ُل «ل ความว่า “ไม่อนุญาตให้ภรรยาถือศีลอดในขณะท่ีสามีของนางอยู่ บ้าน ไม่ได้เดินทาง นอกจากด้วยการอนุญาตของเขาเท่านัน้ ” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 5192 และมสุ ลิม :2367) และในบางสายรายงานของอะห์มัดและอบู ดาวูดที่ว่า “นอกจากเดือนเราะมะฎอน” ถ้าสามีได้อนุญาตให้ถือศีลอดภาค สมคั รใจ หรือสามีไมไ่ ด้อยกู่ บั เธอ หรือเธอไมม่ ีสามี ก็ส่งเสริมให้เธอ
94 ถือศีลอดโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในวนั ที่สง่ เสริมให้ถือ เชน่ วนั จนั ทร์ วนั พฤหัสบดี สามวนั ของทุกๆ เดือน หกวนั ของเดือนเชาวาล สิบวัน ของเดือนซุลหิจญะฮฺ วนั อะเราะฟะฮฺ วนั อาชรู ออ์ หน่ึงวนั ก่อนและ หลังจากวันอาชูรออ์ เพียงแต่ไม่สมควรสาหรับเธอที่จะถือศีลอด สมคั รใจ (สุนัต) ในขณะท่ียงั ติดค้างศีลอดเดือนเราะมะฎอน เธอ จะต้องถือศลี อดชดเชยเสียก่อน วลั ลอฮอุ ะอฺลมั 4. เม่ือสตรีสะอาดจากประจาเดือนในช่วงกลางวันของ เดือนเราะมะฎอน เธอจะต้องงดการรับประทานในชว่ งเวลาส่วนท่ี เหลือของวนั นนั้ และเธอยงั ต้องถือศีลอดชดของวนั นนั้ ด้วย พร้อมๆ กับวนั อ่ืนๆ ที่ได้ละเว้นการถือศีลอดเพราะมีประจาเดือน และการ งดอาหารในส่วนท่ีเหลือของวนั ท่ีเธอสะอาดนนั้ เป็ นวาญิบ/จาเป็ น ทงั้ นีเ้พราะเป็นการให้เกียรตเิ ดอื นเราะมะฎอน
95 บทท่ี 8 บัญญัตวิ ่ำด้วยกำรประกอบพธิ ีหจั ญ์และ อุมเรำะฮขฺ องผู้หญงิ การประกอบพิธีหัจญ์ ณ บัยตุลลอฮฺในทุกๆ ปี นัน้ เป็ น ข้อบังคับในภาพรวม(ฟั รฎูกิฟายะฮฺ)สาหรับประชาชาติมุสลิม ทงั้ หมด สว่ นที่เป็ นวาญิบ(ฟัรฎอู ยั นฺ)สาหรับมสุ ลิมทกุ คนนนั้ คือหน่งึ ครัง้ ตลอดชีวิต สาหรับผู้ท่ีมีเง่ือนไขในการทาหัจญ์ ครบถ้ วน นอกเหนือจากนนั้ ก็เป็นหจั ญ์ภาคสมคั รใจ (ตะเฏาวอุ ฺ) การประกอบพิธีหัจญ์นัน้ เป็ นโครงสร้ างหลักของศาสนา อิสลาม และเป็ นรูปแบบการมีส่วนร่วมของบรรดาสตรีในภารกิจ การต่อส้ใู นหนทางของอลั ลอฮฺ (ญิฮาด) เนื่องจากหะดีษของท่าน หญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา ได้กลา่ ววา่ ال ْحَ ُج ، ِفي ِه قِتَا َل ل ِج َهاد َعلَيْ ِه َّن ، « َن َع ْم :قال ؟ ِج َهاد النِّ َسا ِء ل َََع َه ْل يَا َرسو َل اََّّل ِل »َوالْع ْم َرة ความว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ สตรีต้องทาการต่อสู้ในหนทาง ของอลั ลอฮฺใช่ไหม (ญิฮาด)? ทา่ นกลา่ วว่า ใช่ จาเป็ นแก่พวกเธอที่ จะต้องทาการญิฮาด แต่เป็ นการญิฮาดท่ีไม่มีการฆ่าฟัน คือการ
96 ประกอบพิธีหัจญ์ และอุมเราะฮฺ” (บันทึกโดยอะห์มัด : 25198 และอิบนุ มาญะฮฺ : 2901 ด้วยสายรายงานท่ีถกู ต้อง) และในรายงานของอัล-บุคอรีย์ จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา กลา่ ววา่ «لَ ِك َّن أَفْ َض َل اْ ِْل َها ِد َحج: يَا َرسو َل اََّّل ِل ن َرى اْ ِْل َها َد أَفْ َض َل الْ َع َم ِل أَ َف َلا ُنَا ِهد قَا َل »َم ْْبور ความว่า “โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮฺ เรารู้ว่าการญิฮาดในหนทาง ของอัลลอฮฺเป็ นงานท่ีประเสริฐย่ิง จะไม่ให้เราออกไปญิฮาดด้วย หรือ? ท่านเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั กลา่ ววา่ แต่การญิ ฮาดที่ดียิ่ง(สาหรับพวกเธอ)คือการทาหัจญ์ท่ีสมบูรณ์” (บันทึก โดยอลั -บคุ อรีย์ : 1520) บทบัญญัติในกำรประกอบพิธีหัจญ์ ท่ีเก่ียวกับสตรี เป็ นกำรเฉพำะ มีหลายประการได้แก่ 1. มะห์ร็อม เงื่อนไขท่ีจาเป็ นในการประกอบพิธีหจั ญ์ซ่ึงครอบคลุมทงั้ ผ้ชู ายและผ้หู ญิงมีหลายประการ คือ เป็ นมสุ ลิม มีสติสมั ปชญั ญะ เป็นไท (มใิ ชท่ าส) บรรลศุ าสนภาวะ มีความสามารถในคา่ ใช้จา่ ย ส่วนเงื่อนไขท่ีจาเป็ นสาหรับผ้หู ญิงเป็ นการเฉพาะ คือต้อง มีมะห์ร็อมเดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์พร้อมกบั เธอ คือสามี หรือ
97 ผู้ชายท่ีถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกับเธอแบบถาวรเน่ืองจากเป็ นเครือ ญาติ เชน่ พ่อ ลกู ชาย พ่ีชาย หรือน้องชาย หรือด้วยสาเหตอุ ่ืน เช่น พี่น้ องชายจากการดื่มนมร่วมแม่นมกับเธอ หรือสามีของแม่ (พ่อเลีย้ ง) หรือลูกชายของสามี (ลูกเลีย้ ง) หลักฐานในเรื่องนีม้ ีหะ ดีษจากอิบนุอบั บาส เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ กล่าวว่า แท้จริงเขาได้ยิน ทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั ได้กลา่ วคาปาฐกถาวา่ َو ِإ ِِ َّّن ا ْكتتِبْت ِفي َغ ْز َو ِة َك َذا،َحا َّج ًة َع ِإا َّنْم َارأَْمتِ َرأََ ِكِ»ت،و َف َلحاَ َّّجََِّللَم، ْنيََاط ِل َرْقس:َلا:قََفا ََقلا َف َقا َم ع ِذي َُمْ َرم َخ َر َج ْت ،َرجل ،َو َك َذا ความวา่ “ชายคนหนงึ่ จะไมอ่ ยตู่ ามลาพงั กบั ผ้หู ญิง นอกจากจะมีผู้ ที่เป็ นมะห์ร็อมของเธออยู่ด้วยเท่านัน้ และผู้หญิงจะไม่เดินทาง นอกจากจะมีผ้ทู ่ีเป็ นมะห์ร็อมไปพร้อมกับเธอด้วย” ชายคนหนึ่งได้ ยืนขนึ ้ แล้วกล่าววา่ โอ้ท่านศาสนทตู ของอลั ลอฮฺ แท้จริงภรรยาของ ฉนั ต้องการออกไปประกอบพิธีหจั ญ์ และแท้จริงฉนั นีไ้ ด้ถกู ลงช่ือให้ ร่วมสงครามท่ีนนั่ ท่ีน่ี ท่านเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั จึง กล่าววา่ “ทา่ นจงออกไป แล้วจงประกอบพิธีหจั ญ์พร้อมกบั ภรรยา ของทา่ น” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 3006 และมสุ ลิม : 3259) และมีรายงานจากอิบนุ อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่าน เราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั กลา่ ววา่ َّ ثَ َلاثًا الْ َم ْرأَة َ ِإل «ل »َُمْ َرم ِذي َم َع ت َسا ِف ْر
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178