หลักการบรหิ ารนโยบายและการวางแผนการศึกษา( )Principles of Administration Policy and and Educational Planning โดย อาจารย์ ดร.สุธรรม ธรรมทศั นานนท์ ภาควชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม www.wachum.com/dewey/300/sutham1.ppt
• คำอธิบำยรำยวชิ ำ หลกั กำรแนวคิดทฤษฎีกำรบริหำร กระบวนกำรบริหำรและกำรจดั กำรศึกษำ บริบทและแนวโนม้ กำรบริหำรกำรศึกษำยคุ ใหม่ กำรวเิ ครำะห์และกำหนดนโยบำยกำรศึกษำ กำรวำงแผนกำรศึกษำ
หวั ขอ้ เร่ือง• หลกั การแนวคดิ ทฤษฎกี ารบริหาร• องค์การและการจดั องค์การ• การติดต่อส่ือสาร• การตัดสินใจส่ังการ• การจูงใจ ขวญั กาลังใจ• การประสานงาน• การประชาสัมพนั ธ์โรงเรียน• การบริหารการศึกษายุดปฎิรูป• การกาหนดนโยบาย• การวางแผนการศึกษา• แนวโน้มการจัดการศึกษายุคใหม่
กิจกรรมกำรเรียนกำรสอน• กจิ กรรมในชน้ั เรยี น บรรยายโดยอาจารย์ประจาวชิ า การอธบิ ายกลุ่มและร่วมกจิ กรรมในชน้ั เรยี น การเขยี นรายงานตามหวั ขอ้ ทกี่ าหนด• กจิ กรรมนอกชนั้ เรยี น หาประสบการณ์เพม่ิ เตมิ จากบุคคล ศกึ ษาดูงานนอกสถานท/่ี การวเิคราะห์หนว่ ยงาน
งานกล่มุ 1. รายงานกล่มุ ทห่ี มอบหมาย งานเดย่ี ว 2 งาน1. ศึกษาบทความเกยี่ วกบั การบริหารการศึกษา (2549 – ปัจจุบัน) 1 บทความ สาระประกอบด้วย 1) ช่ือบทความ 2) ชื่อผู้เขยี นบทความ 3) ปี /เล่มท/่ี วนั ท่ี ของวารสารทต่ี พี มิ พ์ 4)สรุปสาระสาคญัของบทความ 5) แสดงความคดิ เห็นของนิสิตต่อบทความ 6) การนาไปประยุกต์ใช้ ในหน่วยงาน 7) ถ่ายเอกสารต้นฉบับบทความแนบมาด้วยสาระ ข้อ 1 – 6 ความยาวไม่เกนิ หน้ากระดาษ A4
2. ให้วเิ คราะห์สภาพปัจจุบนั และปัญหา การบริหารในหน่วยงานของตนเอง แล้วเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาโดยประยกุ ต์แนวคดิหลกั การอย่างเหมาะสมและยอมรับได้ (ไม่ตา่ กว่า 3 หน้ากระดาษA4)3.งานเดยี่ วชิ้นที่ 1-2 ให้นิสิตรวมเป็ นเล่มรายบุคคลแล้วส่งวนั สอบFINAL
กำรประเมินผล• กำรเขำ้ ช้นั เรียนและมีส่วนร่วมแสดงควำมคิดเห็น 10 คะแนน• กำรศึกษำวเิ ครำะห์หน่วยงำน 10 คะแนน• กำรรำยงำนกำรศึกษำเป็นกลุ่ม 15 คะแนน• กำรเขียนรำยเด่ียว 1 ชิ้นงำน 15 คะแนน• สอบกลำงภำค (ใบงำน) 20 คะแนน• สอบปลำยภำคเรียน 30 คะแนน
ความหวังพฤติกรรม ความรู้ ทัศนคติความคิด การบริหารเวลาวิธีเรียนคณุ ภาพ ความสาเร็จของพวกเรา มาตรฐานOutput Outcome
ทฤษฎแี ละทฤษฎที างการบริหาร ทฤษฎี หมำยถึง แนวควำมคิดหรือควำมเช่ือที่เกิดข้ึนอยำ่ งมีหลกั เกณฑ์ มีกำรทดสอบและกำรสงั เกตจนเป็นที่แน่ใจทฤษฎีเป็นเซทของมโนทศั นท์ ี่เช่ือมโยงซ่ึงกนั และกนั เป็นขอ้ สรุปอยำ่ งกวำ้ งขวำงที่พรรณำและอธิบำยพฤติกรรมกำรบริหำรองคก์ ำรทำงกำรศึกษำอยำ่ งเป็นระบบ ถำ้ ทฤษฎีไดร้ ับกำรพสิ ูจน์บ่อยๆก็จะกลำยเป็นกฎเกณฑท์ ฤษฎีเป็นแนวควำมคิดท่ีมีเหตุผลและสำมำรถนำไปประยกุ ตแ์ ละปฏิบตั ิได้ ทฤษฎีมีบทบำทในกำรให้คำอธิบำยเก่ียวกบั ปรำกฏกำรณ์ทว่ั ไปและช้ีแนะกำรวจิ ยั
ประโยชน์ของทฤษฎที างการบริหาร 1. ทาให้เกดิ ความรู้ ความคิดใหม่ ๆ เกดิ ความก้าวหน้าทางวิทยาการ คอืถ้ามีทฤษฎกี ม็ กี ารพสิ ูจน์ค้นคว้า เพอื่ ทดสอบหรือพสิ ูจน์ทฤษฎอี นื่ 2.สามารถใช้ประกอบการทานายเหตุการณ์ พฤติกรรม และใช้แก้ไขปัญหาได้ 3.ทฤษฎจี ะช่วยขยายประสิทธิภาพของการทางาน กล่าวคือ ผ้บู ริหารท่ีรู้ทฤษฎจี ะมีทางเลอื ก และเลอื กทางท่เี หมาะสมได้ 4.ทฤษฎเี ป็ นหลกั ยดึ ในการปฏบิ ัติ ดังน้ัน ผู้ที่ทางานแนวคิดหรือทฤษฎีกจ็ ะเกดิ ความม่นั ใจในการทางานมากกว่าทาไป อย่างเลอื่ นลอย ทฤษฎจี ะช่วยชีแ้ นะนาการปฏบิ ัติ
ความสัมพนั ธ์ระหว่างทฤษฎกี บั การปฏบิ ัติ @ ทฤษฎจี ะเป็ นตัวกาหนดทศิ ทางสาหรับการวิจยั และการชีแ้ นะท่ีมีเหตุผลต่อการปฏิบัติ @ทฤษฎจี ะถูกทดสอบขดั เกลาโดยการวิจัย เมอ่ื ทฤษฎผี ่านการวจิ ยัแล้ว จงึ นามาประยกุ ต์ใช้กบั การปฏบิ ัติ @ไม่มกี ารปฏบิ ัติใด ๆ ทไ่ี ม่ได้อย่บู นพนื้ ฐานของทฤษฎี ในเม่ือทฤษฎีอยู่บนพนื้ ฐานของตรรกวิทยามีเหตุผลแม่นยาถูกต้องแล้ว การปฏิบัติกจ็ ะมีเหตุผลและถูกต้องเช่นเดียวกนั การปฏิบัตจิ งึ สร้างมาให้เห็นทฤษฎเี ป็ นเหตุผลทว่ี ่าทาไมต้องศึกษาทฤษฎี การศึกษาทฤษฎกี เ็ พราะจะให้การปฏิบัตไิ ด้ผลจริง
แกป้ ัญหา ทฤษฎบี รหิ าร บรหิ ารการศกึ ษาและการจดั องคก์ าร การนาไปใช้ บรหิ ารสถานศกึ ษาเขา้ ใจ วิจยั พฒั นา แนวคดิ วิเคราะห์ วิพากษ์ หลกั การ จุดเด่น จุดดอ้ ย -รฐั เอกชน การเปลยี่ นกระบวนทศั น์ -ระดบั การศกึ ษา -ประเภทการศกึ ษา จุดเด่น จุดดอ้ ย ขอ้ จากดั แนวปฏบิ ตั ิ
ความหมายการบริหาร การวางแผนงานและการดาเนินงานให้เป็ นไปตาม แผนโดยจัดกาลงั คน เงิน วสั ดุ การประสานงาน การอานวยการ การตดิ ต่อส่ือสารและการควบคุม งานให้เหมาะสมทสี่ ุด (Prof. Mold)
ความหมายการบริหาร (ต่อ)- Peter F. Drucker : ศิลปะในการทางานให้บรรลุเป้ าหมายร่วมกบั ผอู้ ื่น- Harold koontz : การดาเนินงานให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้ โดยการอาศยั คน เงิน วตั ถสุ ิ่งของ เป็นปัจจยัในการปฏิบตั ิงาน- Herbert A. simon : กิจกรรมท่ีบคุ คลตงั้ แต่ 2 คนขึน้ ไปรว่ มมอื กนั ดาเนินการให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกนั
ควำมหมำยกำรจดั กำร (Management) Mary Parker “กำรจดั กำรเป็นเทคนิคกำรทำงำนใหส้ ำเร็จ โดยอำศยั ผอู้ ื่น” “กำรจดั กำร คือ กระบวนกำรกำรจดั องคก์ ำรและกำรใชท้ รัพยำกรต่ำงๆ เพอ่ื ใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคท์ ี่กำหนดข้ึนไวล้ ่วงหนำ้ ”
การบริหาร VS การจัดการ การบริหาร (Administration) เป็ นกระบวนการทเี่ กย่ี วข้องกบั การกาหนดนโยบายและแผนงาน ตลอดจนการกากบั ดูแลเพอื่ ให้แน่ใจว่า ความสาเร็จทเ่ี กดิ ขนึ้สอดคล้องกบั นโยบายและแผนทวี่ างไว้การจดั การ (Management) เป็ นกระบวนการของการนาเอานโยบายและแผนงานไปปฏิบตั ใิ ห้บรรลุตามเป้ าหมายทีก่ าหนดในข้นั ของการบริหาร
สรุปกำรบริหำรจดั กำร หมำยถึง กำรใชศ้ ำสตร์และศิลป์ ของบุคคลต้งั แต่ 2 คน ข้ึนไป ร่วมมือกนั ดำเนินกิจกรรมหรืองำนให้บรรลุวตั ถุประสงค์ท่ีวำงไว้ร่ วมกัน โดยอำศัยกระบวนกำร และทรัพยำกรทำงกำรบริหำรเป็ นปัจจยั อยำ่ งประหยดั และให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด
ววิ ฒั นำกำรของทฤษฎีกำรบริหำร
ทศั นะการทฤษฎีบริหาร• การบรหิ ารเชงิ วทิ ยาศาสตร(์ 1887-1945) (The Scientific Management Point of View)• ทศั นะเชงิ มนุษยส์ มั พนั ธ์ (1945-1958) (The Human Relationship Point of View)• ทศั นะเชงิ พฤตกิ รรมศาสตร(์ 1958-1970) (The Behavioral Science Point of View)• ทศั นะวธิ เี ชงิ ระบบ(1970-ปจั จบุ นั )
วิวฒั นำกำรของทฤษฎีทำงกำรบริหำรปัจจุบ1890 1900 1910 1920 1930 1940 1950 1960 1970ทศั นะด้งั เดมิ ทัศนะเชิงพฤตกิ รรม ทัศนะเชิงปริมาณ ทัศนะร่วมสมยัการบริหารเชิง นักพฤติกรรม การบริหาร ทฤษฎีเชิง วทิ ยาศาสตร์ ระยะแรก ศาสตร์ ระบบการบริหารเชิง การศึกษา การบริหาร ทฤษฎตี าม บริหาร ที่ฮอว์ธอร์น ปฏิบัติการ สถานการณ์การบริหารแบบ ความเคล่ือนไหว สารสนเทศ ทัศนะที่เกดิ ราชการ เชิงมนุษยสัมพนั ธ์ การบริหาร ขนึ้ ใหม่ หลกั พฤติ- www.themegallery.com กรรมศาสตร์
1. ทศั นะการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์กลุม่ การจดั การเชงิ วทิ ยาศาสตรข์ องเทยเ์ ลอร์ Federic W. Taylor 1. รอู้ ยา่ งแน่นอนวา่ เราตอ้ งการใหค้ นทาอะไรและดแู ลวา่ เขาไดท้ างานอยา่ งดที ส่ี ุดและประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยทส่ี ดุ 2. ไมน่ าแผนการบรหิ าร ซง่ึ ก่อใหเ้ กดิ ความไมพ่ อใจทงั้ ฝา่ ยนายจา้ งและลกู จา้ งมาใช้
3. คนงานตอ้ งการคา่ จา้ งทส่ี งู และสงิ่ ทน่ี ายจา้ งตอ้ งการจากคนงานมากทส่ี ดุ กค็ อื คา่ ใชจ้ า่ ยใน การผลติ ต่า
ทฤษฎกี ารบริหารแบบด้งั เดมิ (ต่อ)Classical Organizational Theoryนักบริหารทีส่ าคญั1. Frederick W. Taylor (บดิ าแห่งการจัดการวทิ ยาศาสตร์)2. Henry วเิ คราะห์งาน ขจดั ข้อเสีย) www.themegallery.com
นักบริหารท่สี าคญั1. ฟายอล (Henry Fayol) หลกั การสาคญั คอื 1) หลกั การแบ่งงานกนั ทาตามความถนัด (Division of work) 2) หลกั การอานาจบังคบั (Authority) 3) หลกั การระเบียบวนิ ัยการเคารพกฎกตกิ า (Discipline) 4) หลกั การเอกภาพการบังคบั บัญชา (Unity of Command) 5) หลกั การเอกภาพในทศิ ทาง (Unity of direction) 6) หลกั ผลประโยชน์ส่วนรวมก่อนส่วนตวั ) 7) หลกั ความยตุ ธิ รรมต่อนายจ้างและลูกจ้าง (Remuneration) www.themegallery.com
ทฤษฎกี ารบริหารเชิงวทิ ยาศาสตร์8) หลกั การรวมอานาจไว้ส่วนกลาง (Centralization)9) หลกั การสายบงั คบั บญั ชา (Hierarchy/Scalar chain)10) หลกั การเป็ นระเบยี บแบบแผน (Order) ต่อการทางาน11) หลกั ความเสมอภาค (Equity)12) หลกั ความมน่ั คงในงาน (Stability of staff)13) หลกั ความคดิ ริเร่ิม (Initiative)14) หลกั ความสามคั คี ( Espirity de corps) www.themegallery.com
ทฤษฎกี ารบริหารเชิงวทิ ยาศาสตร์นักบริหารทส่ี าคญั2. เชสเตอร์ ไอเบอร์นาร์ด (Chrster I. Bernard)1) การวางแผน (Planning) 2) การจัดองค์กร (Organizing) 3) การส่ังการ (Directing) 4) การประสานงาน (Coordinating) 5) การควบคุมงาน (Controlling) www.themegallery.com
หลกั การบริหารของ Gulik ลเู ธอร์ กลู ิค (Luther Gulick)หลกั การบริหารควรประกอบด้วย (POSDCoRB)P-Planning หมายถงึ การวางแผนO-Organizing หมายถงึ การจดั องคก์ ารS-Staffing หมายถงึ การจดั คนเขา้ ทางานD-Directing หมายถงึ การสงั่ การCo-Coordinating หมายถงึ ความรว่ มมอืR-Reporting หมายถงึ การรายงานB-Budgeting หมายถงึ งบประมาณ
ทฤษฎีบริหารองคก์ ารในระบบราชการ(Bureaucracy) ของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber)1. หลกั ของฐานอานาจจากกฎหมาย2. การแบง่ หน้าทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบ ทต่ี อ้ งยดึ ระเบยี บกฎเกณฑ์3. การแบง่ งานตามความชานาญการเฉพาะทาง4. การแบง่ งานไมเ่ กย่ี วกบั ผลประโยชน์สว่ นตวั5. มรี ะบบความมนั่ คงในอาชพี
หน้าท่หี ลกั ของนักบริหาร 5 ประการจากหนังสือ Principles of management โดย Prof. Koontz 1. การวางแผนงาน (Planning) 2. การจัดองค์การ ( Organizing ) 3. การจดั คนเข้าทางาน ( Staffing ) 4. การอานวยการ ( Directing ) 5. การควบคุมงาน (Control)
ทฤษฎกี ารบริหารเชิงวทิ ยาศาสตร์นักบริหารทสี่ าคญั1. Henry Fayol 2.Chester I Barnard LutherGulick กาหนดหน้าท่ี วางแผน-จดั องค์การ- (POSDCORB) เพอ่ื ให้บรรลุ การส่ังการ- จุดม่งุ หมาย-จดั กลุ่ม งานลดค่าใช้จ่าย การประสานงาน- การควบคุม www.themegallery.com
2.ทศั นะเชิงมนุษยสมั พนั ธ์ทฤษฎีการบรหิ ารบนพ้ืนฐานของมนษุ ยสมั พนั ธ์อดีต : การบรหิ ารตามหลกั วิทยาศาสตร์ ไดง้ านเรว็ โดยเสียคา่ ใชจ้ า่ ยต่า มองคนเหมือนเครอื่ งจกั ร ใชเ้ งิน และ บทลงโทษในการจงู ใจ
2.ทศั นะเชิงมนุษยสัมพนั ธ์• ฟอลเลต็ ต์ (Follett , 1924:77) ไม่เห็นด้วยกบั การ บริหารเชิงวทิ ยาศาสตร์ กล่าวว่าปัญหาของการ บริหารขององค์การใดๆ รวมถงึ โรงเรียนจะต้องมอง ไปทีม่ นุษยสัมพนั ธ์
ปัจจบุ นั .. การบริหารบนพนื้ ฐาน ของหลกั มนุษยสัมพนั ธ์ การบรหิ ารเป็ นการทางานของคน ความพึงพอใจของคนถือเป็ นสิ่งสาคญั ขวญั และ กาลงั ใจ เป็ นสิ่งจงู ใจ
แนวคิดทฤษฎีการบรหิ ารบนพ้ืนฐาน ของมนษุ ยสมั พนั ธ.์ ....• ไมย่ ึดมนั่ ในกระบวนการ และผลลพั ธเ์ พียงอยา่ งเดียว• ใหค้ วามสาคญั กบั คนถือว่าคนเป็ นทรพั ยากรท่ีมีคา่• ความแตกต่างของคน เป็ นส่งิ ที่ดี และ จาเป็ นต่อการบรหิ าร องคก์ าร• ผบู้ รหิ ารตอ้ งมีความรดู้ า้ นการบรหิ ารจดั การ• บรรยากาศในการทางาน เอ้ือต่อการปฏิบตั ิงาน• ใหค้ วามสาคญั ต่อความหมายในความเป็ นมนษุ ย์• ผบู้ รหิ ารตอ้ งเป็ นที่ยอมรบั ของผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา
การประยกุ ตใ์ ช้หลกั มนุษยสมั พนั ธ์ ในการบริหารการศึกษา1. ผบู้ รหิ ารควรสรา้ งมนุษยสมั พนั ธอ์ นั ดกี บั ครเู ป็น รายบุคคลและเป็นกลุ่ม2. ปญั หาเรอ่ื งมนุษยสมั พนั ธ์ ซง่ึ ในเบอ้ื งตน้ ไมค่ อ่ ยมี ความสาคญั แต่ต่อมาไดร้ บั การยอมรบั มากขน้ึ3. ผบู้ รหิ ารสามารถสรา้ งภาวะผนู้ าแบบประชาธปิ ไตยได้ มากกวา่ เพราะตาแหน่งเออ้ื อานวยให้
4. ครทู กุ คนรวมเป็นกลมุ่ สงั คมทซ่ี บั ซอ้ น ผบู้ รหิ ารจะตอ้ งรว่ มงานกบั ครเู หลา่ น้ดี ว้ ย ความระมดั ระวงั5. ครแู ละเจา้ หน้าทท่ี ุกคนทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบ กระเทอื นต่อการตดั สนิ ใจควรจะมสี ว่ น รว่ มในการตดั สนิ ใจนนั้ ดว้ ย
3.ทศั นะเชิงพฤตกิ รรมศาสตร์ประสิทธิภาพกบั การบริหารการบริหารที่ต้องการให้งานขององค์การดาเนินไปอย่างมปี ระสิทธิภาพต้องมที างเลอื กในการแก้ปัญหาหลายๆทาง และควรเลอื กทางในการแก้ปัญหาทเ่ี สียค่าใช้จ่ายน้อยทสี่ ุดแต่สามารถทางานบรรลุผล
Abraham Maslow (1908-1970) บุคคลไดร้ บั การกระตนุ้ โดยความตอ้ งการและจะกระทาเพอ่ื ใหไ้ ดร้ บั การตอบสนองความตอ้ งการตามลาดบั ขนั้
ทฤษฎีลาดบั ขนั้ ความต้องการ(Hierarchy of needstheory) แบง่ ความตอ้ งการของมนุษยอ์ อกเป็น 5 ขนั้ตงั้ แตค่ วามตอ้ งการพน้ื ฐานต่าสดุ ไปถงึ สงู สดุ คอื1. ทางกายภาพ (Physiological needs)2. ความปลอดภยั (Safety needs)3. ทางสงั คม (Social needs)4. ยกยอ่ งชอ่ื เสยี ง ( Esteem needs)5. สมหวงั และความสาเรจ็ ของชวี ติ (Self-actualization needs)
ความต้องการสาเร็จในชีวติ (Need for self- actualization) ความต้องการการยกย่องยอมรับ (Esteem needs) ความต้องการความผูกพนั หรือสังคม (Belonging needs) or (Social needs) ความต้องการความม่นั คงหรือความปลอดภยั (Security or safety needs)) ความต้องการทางกายภาพ (Physiological needs) (ปัจจัย 4 - จ.ป.ฐ.)แสดงลาดบั ขัน้ ความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s hierarchy ofneeds)
ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของ - แมคเกรเกอร์ McGregor- ทฤษฎี X (Theory X) มองวา่ พนกั งานเกยี จครา้ นไมก่ ระตอื รอื รน้ ไมช่ อบงานและพยายามหลกี เลย่ี งงาน-ทฤษฎี Y (Theory Y) มองวา่ พนกั งานมคี วามรบั ผดิ ชอบมคี วามคดิ รเิ รม่ิ ในการแกป้ ญั หาในการทางานและไมม่ คี วามเบอ่ื หน่ายในการทางาน
ควำมเคล่ือนไหวเชิงมนุษยส์ มั พนั ธ์ (Human Relation Movement)• ทฤษฎี X –คนไม่ชอบทำงำน หลีกเล่ียงงำน –คนตอ้ งกำรใหบ้ งั คบั ควบคุม ข่เู ขญ็ ลงโทษให้ บรรลุเป้ ำหมำย –คนไม่รับผดิ ชอบ ไม่มีควำมทะเยอทะยำน แต่ อยำกมน่ั คง
ควำมเคล่ือนไหวเชิงมนุษยส์ มั พนั ธ์ (Human Relation Movement)• ทฤษฎี Y – คนไม่ชอบทำงำนโดยสนั ดำน แต่พยำยำมทำใหเ้ ป็น ธรรมชำติ – คนควบคุมตนเองใหบ้ รรลเุ ป้ ำหมำยท่ีตนผกู พนั ได้ – ควำมผกู พนั กบั เป้ ำหมำยข้ึนอยกู่ บั รำงวลั โดยเฉพำะกำร ตอบสนองควำมตอ้ งกำรระดบั สูง – คนแสวงหำควำมรู้นอกเหนือจำกควำมรับผิดชอบ – คนแสดงควำมคิดสร้ำงสรรคเ์ พือ่ กำรแกป้ ัญหำ – คนยงั ใชศ้ กั ยภำพทำงสติปัญญำไม่เตม็ ท่ี
- แมคเกรเกอร์ ไดเ้ รยี กรอ้ งใหผ้ บู้ รหิ ารเปลย่ี นแปลงมุมมองมนุษยจ์ ากมมุ มองตามทฤษฎี X ไปเป็นมมุ มองตามทฤษฎีY
ทฤษฎี Z ของ อชู ิ (Ouchi )รวมเอาหลกั การของทฤษฎี X , Y เขา้ ดว้ ยกนัองคก์ ารตอ้ งมหี ลกั เกณฑท์ ค่ี วบคุมมนุษย์มนุษยร์ กั ความเป็นอสิ ระ มคี วามตอ้ งการ ดงั นนั้ ผบู้ รหิ ารจงึ ตอ้ งปรบั เป้าหมายขององคก์ ารให้สอดคลอ้ งกบั เป้าหมายของบคุ คลในองคก์ าร
ทฤษฏีกำรบริหำรทศั นะร่วมสมยั (Contemporary Viewpoint)1. กำรบริหำรตำมทฤษฎีเชิงระบบ (System Theory) – ระบบเปิ ด และ ระบบปิ ด2. ทฤษฎีกำรบริหำรตำมสถำนกำรณ์ (Contingency Theory) – ไม่มีหลกั กำรบริหำรสำเร็จรูปท่ีใชไ้ ดก้ บั ทุกสถำนกำรณ์ – ตอ้ งคำนึงถึงควำมเหมำะสมกบั สถำนกำรณ์
4.ทศั นะวิธีการเชิงระบบระบบในเชงิ บรหิ าร หมายถงึ องคป์ ระกอบหรอื ปจั จยัตา่ งๆ ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั และมสี ว่ นกระทบต่อปจั จยัระหวา่ งกนั ในการดาเนินงานเพอ่ื ใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ขององคก์ ร
ระบบองค์การจะดาเนินอยู่บนพนื้ ฐานของส่วนประกอบ 5 ส่วน คอื1. ปจั จยั นาเขา้ (Input)2. กระบวนการเปลย่ี นแปลง (Transformation process)3. ปจั จยั สง่ ออก (Outputs)4. สงิ่ ป้อนกลบั (Feedback)5. สภาพแวดลอ้ ม (External environment)
ทฤษฎจี ดั การเชิงสถานการณ์ (Contingency theory)@ กำรบริหำรจดั กำรเชิงสถำนกำรณ์ จะมุ่งเนน้ กำรปรับปรุงพฤติกรรมทำงกำรบริหำรใหเ้ ขำ้ กบั สถำนกำรณ์ขององคก์ ำร@ ควำมสำเร็จหลกั ของกำรบริหำรจะถกู กำหนดโดยสถำนกำรณ์@ ไม่มีกลยทุ ธ์กำรบริหำรอยำ่ งเดียวท่ีสำมำรถใชไ้ ดก้ บัสถำนกำรณ์ทุกอยำ่ ง
Search