Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สังคม3

สังคม3

Published by liw.chantasinee, 2020-07-18 07:04:12

Description: สังคม3

Search

Read the Text Version

สัปดาห์ที่ 3 (11/มิ.ย./63) ใบงานเร่ือง About 1. ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา 2. หลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลกั ทางวิทยาศาสตร์ 3. การคดิ ตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนาและการแบบวทิ ยาศาสตร์ 4. พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสตร์แห่งการศกึ ษา 5. พระพุทธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตุปัจจยั และวิธีการแกป้ ัญหา

ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประชาธิปไตยมาต้งั แตก่ อ่ นพระพุทธเจา้ จะทรงมอบให้ พระสงฆเ์ ป็นใหญ่ในกิจการใดท้งั ปวง ซ่ึงมีลกั ษณะดงั น้ี

หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั ทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางพทุ ธศาสตร์ ต้งั ปัญหาให้ชัดเจน ทุกขค์ อื ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ การต้งั คาถามชั่วคราวเพื่อตอบทดสอบ หาคาตอบจากลทั ธิ รวบรวมข้อมูล ลองปฏบิ ตั โิ ยคะ วิเคราะห์ข้อมูล รวบรวมผลการปฏิบตั ิ ถ้าคาตอบชั่วคราวถกู ต้ังทฤษฎไี ว้ หากผดิ กเ็ ปลี่ยน หากถกู ใหป้ ฏิบตั ิใหถ้ งึ นาไปประยกุ ต์แก้ปัญหา จดุ หมาย เผยแผ่แก่ชาวโลก หลกั ของพระพุทธศาสนาและทางวทิ ยาศาสตร์ มีท้งั ส่วนทเี่ หมือนและต่างกนั ดงั น้ี 1. ความเชื่อ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ - ยึดว่าจะเช่ือส่ิงใดตอ้ งพิสูจน์ได้ ใหเ้ ห็นว่าเป็นจริง - เชื่อในเหตผุ ล และมหี ลกั ฐานมายนื ยนั - ทกุ อยา่ งดาเนินอยา่ งมกี ฎเกณฑ์ เป็นระเบียบ ดา้ นพระพทุ ธศาสนา - ไมส่ อนใหเ้ ช่ือและศรทั ธาในอิทธิปฏหิ าริย์ อาเทศนาปาฏหิ าริย์ - ไม่สอนใหเ้ ช่ือหรือศรทั ธาสิ่งท่ีนอกเหนือประสาทสมั ผสั - ให้นาหลกั ศรัทธาโยงไปหาการพสิ ูจน์ดว้ ยประสบการณ์ ดว้ ยปัญญาและการ ปฏบิ ตั ิ - หลกั ความเช่ือ กาลามสูตร คือ อยา่ เชื่อเพียงเพราะไดฟ้ ังตามกนั มา

2. ด้านความรู้ ดา้ นวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์เนน้ ความสนใจกบั ปัญหาที่เกิดข้ึนจากประสบการณ์ดา้ นประสาทสมั ผสั (ตา หู จมกู ล้ิน กาย) ดา้ นพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสนใจกบั ปัญหาทเ่ี กิดทางจิตใจ

การคิดตามนยั แห่งพระพุทธศาสนาและการแบบวทิ ยาศาสตร์ ข้นั กาหนดรู้ทกุ ข์ การกาหนดรู้ทุกขห์ รือการกาหนดปัญหาว่าคืออะไร มี ขอบเขตของปัญหาแคไ่ หน หนา้ ท่ีท่ีควร ทาในข้นั แรกคอื ให้เผชิญหนา้ กบั ปัญหา แลว้ กาหนดรู้สภาพและขอบเขตของปัญหาน้นั ใหไ้ ด้ 1. ข้นั สืบสาวสมทุ ยั ไดแ้ ก่เหตขุ องทุกขห์ รือสาเหตุของปัญหา แลว้ กาจดั ใหห้ มด ไป 2. ข้นั นิโรธ ไดแ้ ก่ความดบั ทุกข์ หรือสภาพท่ีไร้ปัญหา ซ่ึงทาให้ สาเร็จเป็นจริงข้นึ มา 3. ข้นั เจริญมรรค ไดแ้ ก่ ทางดบั ทุกข์ หรือวธิ ีแกป้ ัญหา ซ่ึงเรามหี นา้ ทีล่ งมือ -ทา มรรคข้นั ที่ 1 เป็นการแสวงหาและทดลองใชว้ ิธีการตา่ ง ๆ เพื่อคน้ หาวธิ ีการท่ี เหมาะสมที่สุด - มรรคข้นั ท่ี 2 เป็นการวิเคราะหผ์ ลการสงั เกตและทดลองทไี่ ดป้ ฏิบตั มิ าแลว้ เลอื ก เฉพาะวิธีการท่เี หมาะสมทส่ี ุด - มรรคข้นั ท่ี 3 เป็นการสรุปผลของการสงั เกตและทดลอง เพอื่ ให้ไดค้ วามจริงเก่ียวกบั เร่ืองน้นั คือมรรคมีองค์ 8 นน่ั เอง แนวคดิ แบบวิทยาศาสตร์

แนวคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ เรียกอกี อยา่ งหน่ึงวา่ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีข้นั ตอนดงั น้ี

สรุป ได้ ดังนี้

พระพุทธศาสนาเป็นศชาสตร์แห่งการศกึ ษา คาว่า “การศึกษา” มาจากคาว่า “สิกขา” โดยทว่ั ไปหมายถงึ “ กระบวนการเรียน ” “ การฝึกอบรม ” “ การคน้ ควา้ ” “ การพฒั นาการ ” และ “ การรู้แจง้ เห็นจริงในส่ิงท้งั ปวง ” จะเห็นไดว้ ่า การศกึ ษาในพระพุทธศาสนามหี ลาย ระดบั ต้งั แต่ระดบั ต่าสุดถงึ ระดบั สูงสุด เมือ่ แบ่งระดบั อยา่ งกวา้ ง ๆ มี 2 ประการคอื 1. การศกึ ษาระดบั โลกิยะ มีความมงุ่ หมายเพอ่ื ดารงชีวติ ในทาง โลก 2. การศึกษาระดบั โลกุตระ มีความมุ่งหมายเพื่อดารงชีวิตเหนือ กระแสโลก พระพทุ ธเจา้ สอนให้คนไดพ้ ฒั นาอยู่ 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านศีล ด้านจิตใจ และด้าน สติปัญญา โดยมจี ดุ มงุ่ หมายใหม้ นุษยเ์ ป็นท้งั คนดีและคนเก่ง ดงั น้นั หลกั ในการศกึ ษาของพระพทุ ธศาสนา น้ันจะมี ลาดบั ข้นั ตอนการศึกษา ซ่ึงข้นั ตอน การศกึ ษาท้งั 3 น้ี รวมเรียกว่า \"ไตรสิกขา\" ซ่ึงมีความหมายดงั น้ี

1. สีลสิกขา การฝึกศึกษาในดา้ นความประพฤตทิ างกาย วาจา และอาชีพ ให้มี ชีวิตสุจริตและเก้ือกลู (Training in Higher Morality) 2. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาดา้ นสมาธิ หรือพฒั นาจติ ใจใหเ้ จริญไดท้ ี่ (Training in Higher Mentality หรือ Concentration) จะเหน็ ไดว้ ่า ส3.ีลปสัญิกขญาาจสิติกตขสาิกกขาารแฝลึกะศปึกัญษาญใานสปิกัญขญา กาสารูงศขกึ้นึ ษไาปทใ้งั ห3้รขู้ค้นัิดนเข้ี า้ ใจมองเห็นตามเป็น จริง (Training in Higher Wisdom) จากกระบวนการศกึ ษาทีก่ ล่าวมาท้งั 3 ข้นั ตอนของพทุ ธศาสนาน้ี หากสามารถนาไป ปฏบิ ตั อิ ยา่ งจริงจงั ก็จะเกิดผลดีกบั ผปู้ ฏบิ ตั ิ

พระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั และวิธีการ แกป้ ัญหา หลกั ของเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ความเป็นเหตุเป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตุปัจจยั ทอ่ี งิ อาศยั ซ่ึงกนั และกนั ทีเ่ รียกวา่ \"กฎปฏิจจสมปุ บาท\" \" เมื่ออันนมี้ ี อนั นจี้ ึงมี เมื่ออนั นไี้ ม่มี อนั นกี้ ไ็ ม่มี เพราะอันนเี้ กิด อนั นจี้ ึงเกิด เพราะอนั นดี้ บั อันนจี้ ึงดบั \" \" ปัญหา \" จะตอ้ งมเี หตุปัจจยั หลายเหตุทกี่ ่อใหเ้ กิดปัญหาข้ึนมา หากเราตอ้ งการ แกไ้ ขปัญหากต็ อ้ งอาศยั เหตุปัจจยั ในการแกไ้ ขหลายเหตปุ ัจจยั คาวา่ \" เหตุปัจจยั \" พุทธศาสนาถอื ว่า สิ่งที่ทาใหผ้ ลเกิดข้ึนไม่ใช่เหตุอยา่ งเดียว ตอ้ งมี ปัจจยั ตา่ ง ๆ ดว้ ยเมือ่ มีปัจจยั หลายปัจจยั ผลก็เกิดข้ึน ความสมั พนั ธข์ องเหตุปัจจยั หรือ หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท แสดงใหเ้ ห็นอาการของส่ิงท้งั หลายสมั พนั ธ์ เน่ืองอาศยั เป็นเหตุปัจจยั ตอ่ กนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะท่เี ป็นกระแสน้ี ขยายความหมายออกไปใหเ้ ห็นแง่ ต่าง ๆ ไดค้ อื - ส่ิงท้งั หลายมีความสมั พนั ธต์ อ่ เนื่องอาศยั เป็นปัจจยั แกก่ นั - ส่ิงท้งั หลายมีอยโู่ ดยความสัมพนั ธ์กนั - สิ่งท้งั หลายมอี ยดู่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั - ส่ิงท้งั หลายไม่มคี วามคงทอี่ ยอู่ ยา่ งเดิมแมแ้ ต่ขณะเดียว (มกี ารเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่อยนู่ ่ิง) - สิ่งท้งั หลายไม่มอี ยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คอื ไม่มีตวั ตนที่แทจ้ ริงของมนั - สิ่งท้งั หลายไม่มีมูลการณ์ แตม่ ีความสัมพนั ธ์แบบวฏั จกั ร หมนุ วนจนไมท่ ราบวา่ อะไรเป็นตน้ กาเนิดที่ แทจ้ ริง

หลกั คาสอนของพระพุทธศาสนาของพระพุทธศาสนาทเี่ นน้ ความสัมพนั ธ์ของเหตุ ปัจจยั มมี ากมาย ในที่น้ีจะกลา่ วถึงหลกั คาสอน 2 เร่ือง คอื ปฏจิ จสมปุ บาทคือ เรียกอกี อยา่ งหน่ึงวา่ กฏอิทปั ปัจจยตา ซ่ึงกค็ อื กฏแห่งความ เป็นเหตุเป็นผลของกนั และกนั นนั่ เอง อริยสัจ 4 แปลวา่ ความจริงอนั ประเสริฐ ความจริงของพระอริยบคุ คล หรือความจริงที่ ทาใหผ้ เู้ ขา้ ถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่ 4 ประการ คือ • ทุกขไ์ ดก้ าหนดรูแ้ ลว้ • เหตแุ ห่งทุกขไ์ ดล้ ะแลว้ • ความดบั ทุกขไ์ ดป้ ระจกั ษแ์ จง้ แลว้ • ทางแห่งความดบั ทกุ ขไ์ ดป้ ฏิบตั แิ ลว้ และ สามารถประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ไดห้ ลายเรื่อง เช่น เร่ืองการเงิน และ การมี สุขภาพทีด่ ี ดงั ภาพ






Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook