Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ilovepdf_merged (11)

ilovepdf_merged (11)

Published by pornsawan16082505, 2021-08-25 08:27:07

Description: ilovepdf_merged (11)

Search

Read the Text Version

˹ѧÊ×Í àÃ×èͧ á¡‹¹¢Í§¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ´Ã.ÇÔªÔµ áÂŒÁºØÞàÃ×ͧ

แก่นของพระพทุ ธศาสนาจากแง่มุมการมองทางวิทยาศาสตร์ 1. ความเป็ นมา และวตั ถุประสงค์ 1.1 ผเู้ ขยี นจะมุ่งวิเคราะห์เฉพาะบทบญั ญตั ิ หรือหลกั คาสอน ส่วนที่เป็นแกน่ หรือหลกั ปรัชญาสาคญั ของพระพทุ ธศาสนาในเชิงตรรกะ เทา่ น้นั 1.2 ขอ้ มลู และความรู้ทางดา้ นพุทธศาสนา อาศยั ขอ้ เขยี นของผนู้ าสงฆห์ ลาย ๆ ท่าน โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ท่าน ป.อ.ปยตุ โต หาใช่ขอ้ มูลโดยตรงจากพระไตรปิ ฎก 1.3 ตอ้ งการเสนอความเห็น เพอื่ โตแ้ ยง้ กบั ขอ้ บ่งช้ีที่มีการพูดถงึ กนั มากว่า พระพุทธศาสนา เป็นคาสอนเพยี งแคใ่ หด้ ารง “วิถชี ีวิต” (Way of Life) มใิ ช่ศาสนา ในรูปแบบท่ีสมบรู ณ์ 1.4 ผเู้ ขยี นตอ้ งการพิสูจนใ์ หบ้ รรดาพวกท่ีมคี วามเชื่อไมถ่ กู ตอ้ ง ให้เห็นวา่ แทท้ ี่ จริงแลว้ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาท่ีมี “คาสัง่ สอนท่ีรู้แจง้ ถงึ ขอ้ เท็จจริงท้งั ทางปรัชญา และทางศาสนา” ตรงตามคาจากดั ความที่ถูกตอ้ งตามนิยามท่ีใชก้ นั อยู่ 1.5 นอกจากน้ี ตอ้ งการช้ีใหเ้ ห็นว่า ศาสนาพทุ ธเป็น “หลกั คาสอนที่สามารถ ถกู พิสูจน์ใหเ้ ห็นเป็นท่ีประจกั ษเ์ ชิงวทิ ยาศาสตร์” ไดอ้ ยา่ งดีอกี ดว้ ย โดยอาศยั ความรู้ ในภาพรวมของสมองวทิ ยา (Brain Science) ซี่งเป็นคานิยามใหม่ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั เรื่อง ชีวะประสาทวทิ ยา (Neurobiology) และวิชาที่เก่ียวขอ้ งในการอธิบายถึงโครงสร้าง ของสมองมนุษยใ์ หม่ (Neocortex) และการทางานเชื่อมโยงกบั ส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย เพื่อทาหนา้ ที่ช่วยมนุษยใ์ นการดารงชีวิต โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง การทางานร่วม กบั ระบบส่ือประสาทท้งั 6 อนั ไดแ้ ก่ หู ตา จมูก ลิ้น และการสัมผสั ตลอดจนระบบ ความคิด และการส่ังการ 1

ในขณะท่ีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีเก่ียวขอ้ งยงั ไม่กระจ่าง พระพุทธองคไ์ ดท้ รง คน้ พบเมอ่ื กวา่ 2560 ปี เศษที่แลว้ ความสัมพนั ธ์ระหว่าง “จิตและกาย ในเชิงประจกั ษ”์ (Experimentation หรือ Observation) ที่เกิดข้นึ ตามธรรมชาติ และตวั เอง “สงั เกตเห็น” กลา่ วคอื เป็นการทางานของจิต และกาย ท่ีเป็นตวั กอ่ ใหเ้ กิดอารมณ์ให้ พระองคร์ ับรู้ และทา้ ยท่ีสุด นาไปสู่การคน้ พบการรู้แจง้ (พุทธะ) ถงึ หลกั อริยะสจั 4 ซ่ึงเป็นหลกั ธรรมที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา บทบญั ญตั ิไตรลกั ษณ์ และ ไตรสิกขา ตลอดจนหลกั ธรรมอืน่ ๆ อกี 84,000 ธรรมขนั ธ์ ดงั ที่ทราบกนั ดีอยแู่ ลว้ 1.6 บทความที่นาเสนอน้ี อาจมขี อ้ ขาดตกบกพร่อง หรือขอ้ ยกเวน้ ในการ นาเสนอขอ้ มูลท้งั หมด และอาจจะมคี วามแตกต่างท้งั ในแงม่ มุ ของการตีความ และการ เสนอความเห็น ซ่ึงในบางประเด็น อาจทาใหเ้ กิดการถกเถยี ง หรือโตแ้ ยง้ ถงึ หลกั ความ เช่ือ หรือความคิดเห็นเดิม ของหมคู่ ณะอ่ืน โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง หมู่คณะสงฆ์ ผเู้ ขียน ขอเรียนถงึ เจตนา ในการนาเสนอว่า จะพยายามนาขอ้ มูลของแกน่ พระพุทธศาสนามาอธิบาย หรือตีความในเชิงวทิ ยาศาสตร์ ซ่ึงผเู้ ขียนมีความเช่ือวา่ หลกั ฐานที่บ่งบอก ซ่ึงแปลมาจากภาษาบาลี และสนั สกฤต ไดช้ ้ีชดั วา่ พระพุทธองค์ ทรงเขา้ ใจอยา่ งแจ่มแจง้ ถงึ หลกั ธรรม หรือธรรมซ่ึงแปลกนั ว่าเป็นหลกั ธรรมชาติ ถา้ ขอ้ ความที่แปลออกมา แสดงถึงความมุ่งหมายท่ีชดั เจน แสดงว่า เราสามารถ ใชค้ วามรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่คน้ พบไดใ้ นปัจจุบนั เอามายืนยนั และ “อา้ งอิง” ในการ อธิบายบทบญั ญตั ิ และหลกั ธรรมตา่ ง ๆ ไมว่ ่าจะเป็นในแง่ของ “ปรัชญา” หรือ การใช้ เหตผุ ลทางวทิ ยาศาสตร์ เพ่ือประกอบเป็นหลกั ฐานยืนยนั ชดั เจน ถึงความโดดเดน่ ของ หลกั คาสอนท่ีพระพุทธองค์ ใชเ้ วลาในการนง่ั “พจิ ารณา” ความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ ปัญหาที่เกิดข้ึน และความ “ท่ีควรจะเป็นไปของชีวิต” เพ่ือแกป้ ัญหาของเจตนารมย์ 2

ของมนุษย์ ท่ีจะมุง่ แต่สุข และหนีทกุ ข์ แตไ่ ม่รู้หนทาง และวิธีท่ีจะแกไ้ ขใหไ้ ดผ้ ลสาเร็จ เดด็ ขาด ถา้ หากขอ้ คดิ เห็นน้ี อาจไม่เป็นที่พงึ ประสงคข์ องใคร หรือขดั ใจใคร ขอเรียนวา่ ผเู้ ขยี นซ่ึงก็เป็นพุทธมามกะท้งั ตนเอง และท้งั ตระกลู และไมม่ ีเจตนาลบหลใู่ คร และ สิ่งใด เน่ืองจากมคี วามดอ้ ยในความรู้เร่ืองภาษาบาลี จึงตอ้ งอาศยั หลกั ฐานจากทา่ นผรู้ ู้ ท่ีไดแ้ ปลออกมาใหเ้ ป็นที่เขา้ ใจไดเ้ ป็นอยา่ งดี สาหรับทา่ นท่ีอ่านแลว้ จะเห็นดว้ ยหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นของผม ผมตอ้ งการ นาเสนอความเห็นให้ท่านอ่านอยา่ งสบาย เพอื่ ความรู้ในอกี มมุ มองหน่ึง 2. คานยิ ามและคาจากดั ความ พวกที่เห็นคลอ้ ยตามว่า พระพุทธศาสนาน้นั ไม่ใช่ศาสนา น่าจะเช่ือตามตรรกะ ที่อา้ งองิ จากคาจากดั ความของฝรั่งท่ีใชค้ าว่า Religion รวมท้งั อา้ งอิงถึงศาสนาคริสต์ ที่พวกเขานบั ถือวา่ จะตอ้ งมตี วั พระเจา้ (God หรือ Superhuman) แตศ่ าสนาพทุ ธของเรา ไมม่ ีพระเจา้ มแี ต่คาที่เรียกว่า “องคศ์ าสดา” ดว้ ยเหตุน้ี จึงขอใหเ้ ราเขา้ ไปดคู าจากดั ความของคาว่า ศาสนา (Religion) ตาม พจนานุกรมของ The Oxford English Reference Dictionary, 2nd Edition, Oxford University Press, 1966 ระบุไว้ ดงั น้ี Religion (1) The belief in a superhuman controlling power esp. in a personal god or gods entitled to obedience and worship. 3

(2) A particular system of faith and worship. จะเห็นไดว้ า่ คาแปลตามขอ้ 1 น้นั คือ “ความเช่ือในผมู้ อี านาจเหนือมนุษย์ เช่น องคพ์ ระเจา้ หรือ พระเจา้ องคอ์ น่ื ๆ ท่ีทกุ คนยอมรับนบั ถือบชู า และเชื่อถือ ซ่ึงขอ้ ความตาม ขอ้ 1 ในวรรคแรกจะหมายถงึ พระเจา้ ทางศาสนาคริสต์ ส่วนใน วรรคที่สอง กน็ ่าจะหมายถึงพวกพระเจา้ ทางศาสนาพราหมณ์ และฮินดู เป็นตน้ และที่สาคญั กน็ ่าจะรวมศาสนาพุทธเขา้ ไปดว้ ย ในแงข่ องการเป็นองคศ์ าสดา เหนือมนุษย์ ท่ีพวกเรายอมรับนบั ถอื ส่วนคาแปลตามขอ้ 2 ซ่ึงแปลความหมายถึง “ระบบความเชื่อ และศรัทธา ท่ีมี การเลอ่ื มใส และนบั ถือ นิยามน้ี กต็ รงกบั “ความเป็นศาสนา” ของพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกนั พจนานุกรมไทย ฉบบั ของบริษทั ซีเอด็ ยู เคชนั่ จากดั (ปี พ.ศ. 2553) กล่าวถึง คาจากดั ความ ของคาว่า ศาสนา ไวว้ ่า “เป็นลทั ธิความเชื่อของมนุษย,์ หลกั คาสอน” ฉะน้นั เป็นขอ้ สรุปท่ีชดั เจน ไมว่ า่ เราจะดูจากคาจากดั ความของฝร่ัง หรือไทย ว่าศาสนาพทุ ธเป็น “ศาสนา” แน่ ๆ เพราะว่าเรามอี งคศ์ าสดา ก็คือ พระพทุ ธเจา้ ซ่ึงไม่จาเป็นตอ้ งเป็น “พระเจา้ ” (God) ของ ใคร แตใ่ นความเช่ือ และความนบั ถอื ของเรา เราถอื เสมอื นพระองคเ์ ป็นพระเจา้ หรือผู้ มีอานาจเหนือมนุษย์ ในการสร้างความศรัทธา และไดร้ ับการยอมรับนบั ถอื จากพวกเรา ในส่วนที่มีการกลา่ วอา้ งถงึ ว่า ศาสนาจะตอ้ งมีองคป์ ระกอบของปรัชญาน้นั ศาสนาพทุ ธ มหี ลกั ปรัชญาแฝงอยมู่ ากมาย ดงั จะไดก้ ลา่ วถงึ ตอ่ ไป 4

ลองมาดู คาจากดั ความของคาว่า ปรัชญา ก่อนครับ ปรัชญา (Philosophy) พจนานุกรม ฉบบั ภาษาองั กฤษ ท่ีไดอ้ า้ งถึงไวแ้ ลว้ (The Oxford English Reference Dictionary) ให้คาจากดั ความของคาวา่ Philosophy ไวว้ ่า (1) The use of reason and argument in seeking truth and knowledge of reality especially causes and nature of things, the material universe, perception of physical phenomena and human behavior. (2) A particular system or sets of beliefs reached by this. ตามข้อ (1) แปลเป็นไทยเอาใจความ ปรัชญา คอื การใชเ้ หตผุ ล ตลอดจนการ โตแ้ ยง้ เพื่อท่ีจะแสวงหาความเป็นจริง และความรู้ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งของเหตุ และปัจจยั ทางธรรมชาติที่ทาใหส้ ่ิงของหรือสสารท่ีอบุ ตั ิข้นึ ในโลก ตลอดจน เรื่องความรู้ และความเขา้ ใจทางดา้ นกายภาพของส่ิงของ หรือสสารเหลา่ น้นั และพฤติกรรมของมนุษย์ ตามข้อ (2) พดู ถึงหลกั เกณฑ์ และระบบความเชื่อถือท่ีเกิดข้ึนจากการที่เรา ศึกษาหาความรู้ไดต้ ามขอ้ (1) ส่วนพจนานุกรม ฉบบั ของไทย (ฉบบั ที่อา้ งไวเ้ ดิม) ให้คาจากดั ความไวส้ ้นั ๆ ว่าเป็น “วิชาว่าดว้ ยหลกั ความรู้ และความเป็นจริง 3. การวิเคราะห์จากข้อมลู เชิงประจักษ์ของหลักฐานทางพทุ ธศาสนา จากคาจากดั ความดงั กลา่ วขา้ งตน้ เม่อื นามาประกอบในการพิจารณาถงึ หลกั ธรรม บทบญั ญตั ิ และคาสอนท่ีสาคญั ๆ ของศาสนาพทุ ธแลว้ จะเห็นวา่ ศาสนา 5

พุทธน้นั มกี ารใชก้ ารอธิบายในแนวปรัชญาอยหู่ ลายหมวด หรือหลายบทบญั ญตั ิ ดว้ ยกนั กลา่ วคอื 3.1 หมวดทเี่ ก่ียวกับปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เราสามารถอนุมานไดว้ ่า สิ่งที่ พระพุทธองคท์ รงบญั ญตั ิไวใ้ นส่วนน้ี สามารถเรียกไดว้ ่าเป็นกฎของจกั รวาล หรือกฎ ของโลก ท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติที่เราพบเห็น กฎเหล่าน้ี มกี ารอธิบายไวเ้ ป็นภาษาองั กฤษ จนทาใหร้ ู้สึกวา่ เป็น “สากล” แตไ่ ม่ อยากจะพดู วา่ ใครลอกจากใคร ทา่ นลองคดิ ดูเอาวา่ ของใครเกิดกอ่ นกนั จากหลกั ฐาน ระบุวา่ พทุ ธศาสนา จาแนกกฎเกณฑข์ องธรรมชาติ (Law of Nature หรือ Universe) ไว้ 5 ประเภทดว้ ยกนั คอื ก) อตุ นุ ยิ าม คือ ปรากฎการณ์ของฝ่ายวตั ถุ ท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติ เช่น ดิน หิน น้า ลม ฟ้าอากาศ ฤดกู าล กลางวนั กลางคนื ฯลฯ เร่ืองน้ี น่าจะตรงกบั ทางฝรั่งที่เรียกว่า Physical Law ข) พืชนิยาม (Biological หรือ Genetic Law) ช่ือกน็ ่าจะส่ือให้ทราบอยแู่ ลว้ ว่า เป็นการกล่าวถงึ การเกิด และการดารงอยขู่ องส่ิงมชี ีวติ (รวมมนุษย)์ กล่าวคือ เรื่องการสืบทอดกรรมพนั ธุ์ ดงั เช่นตวั อยา่ งที่ชอบพูดกนั ส้นั ๆ ง่าย ๆ ว่า “ปลกู อะไรก็จะไดอ้ ยา่ งน้นั ” ค) จติ ตนยิ าม (Psychological หรือ Psychic Law) คอื การกลา่ วถงึ การทางาน และองคป์ ระกอบของจิต ซ่ึงเราจะไดพ้ ูดถงึ เรื่องน้ีอีกอยา่ งละเอียด ในส่วน ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การคน้ พบ ของพระพทุ ธองค์ ซ่ึงสามารถพิสูจน์ได้ เชิง วทิ ยาศาสตร์ 6

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในเรื่องน้ี ทางสากลใชค้ าเรียกอีกคาหน่ึงว่าเป็น Law of Mentalism ซ่ึงจะอธิบายถงึ กระบวนการเกิดของความคดิ (ทางจิต) และอทิ ธิพลของ ความคดิ ท่ีจะมตี อ่ พฤติกรรมของมนุษย์ ง) กรรมนิยาม เป็นการอธิบายถึง กฎของธรรมชาติที่เก่ียวกบั การกระทา หรือ พฤติกรรมที่เกิดข้ึนของมนุษย์ ท่ีมกั จะเรียกวา่ กฎแห่งกรรม ภาษาองั กฤษ ใชเ้ รียกทบั ศพั ทว์ ่า Law of Karma (จะสันนิษฐานไดห้ รือไม่วา่ เป็นการ เสนอแนะทางอินเดีย) ซ่ึงจะเป็นกระบวนการของการกอ่ เกิดการกระทา และ การไดร้ ับผล หรือการใหผ้ ลของการกระทาน้นั ถา้ จะแยกวิเคราะห์ จะเห็นว่า กฎน้ีกล่าวถงึ คลา้ ยคลงึ กบั ทฤษฎีฟิสิกส์ ที่พูดถงึ สภาวะที่มีการกระทา (Action) เกิดข้นึ กจ็ ะมีส่ิงตอบโตข้ องการกระทาน้นั (Reaction) เกิดข้นึ ส่วนในทางพฤติกรรมมนุษยน์ ้นั นาไปใชอ้ ธิบายกระบวนการกระทาท่ีมี เจตจานง และมผี ลสืบเน่ือง เช่นการพดู ถงึ “เราประกอบกรรมใดไว้ กรรมน้นั กจ็ ะตาม สนอง” ซ่ึงในทางปฏิบตั ิน้นั อาจตอ้ งรอพสิ ูจน์กนั นาน เนื่องจากจะเกิดการใชเ้ วลา รอผล (Time lag) ซ่ึงเราควบคุมไม่ได้ แต่ถา้ จะพูดถงึ เรื่องน้ีเชิงตรรกะ จะเห็นวา่ เป็นหลกั ความจริงทางธรรมชาติท่ี พสิ ูจนไ์ ดว้ ่า หากเราคดิ ดี และทาแต่ความดี รวมท้งั การทาบุญ กรรมท่ีตามสนองอยา่ งที่ เห็นไดช้ ดั เจน ก็คอื เราไดร้ ับความสุขใจ และพอใจ โดยไม่จาเป็นตอ้ งรอผลทาง กายภาพอะไรอกี 7

จ) ธรรมนิยาม กฎธรรมชาติ หรือบทบญั ญตั ิขอ้ น้ี นบั ไดว้ ่า เป็นบทบญั ญตั ิ ท่ีสาคญั ที่สุด ในการอธิบายถึงกฎแห่งความสัมพนั ธซ์ ่ึงกนั และกนั ระหว่าง ปัจจยั ใดปัจจยั หน่ึง ซ่ึงเป็นเหตุ และอกี ปัจจยั ใดปัจจยั หน่ึง ซ่ึงจะเป็นผล ของสรรพส่ิงท้งั หลายท่ีอบุ ตั ิข้นึ ในโลกน้ี กฎขอ้ น้ี ทา่ นระบเุ ป็นภาษาบาลีไวช้ ื่อว่า “อิทปั ปัจจยตา” ทางฝรั่งใชช้ ื่อวา่ “The Law of Cause and Effect” ไดแ้ ก่ ลกั ษณะที่เป็นกฎของจกั รวาลขอ้ หน่ึง ท่ี แสดงถึงความสมั พนั ธร์ ะหว่างปัจจยั ตา่ ง ๆ ของโลก ซ่ึงมีความสมั พนั ธ์กนั ในแง่ที่วา่ “เมื่อมสี ่ิงน้นั ๆ (เหตุ) เป็ นปัจจยั ส่ิงนี้ ๆ (ผล) ย่อมเกิดขนึ้ ” กล่าวงา่ ย ๆ ส้นั ๆ กค็ ือว่า อบุ ตั ิการณข์ องสรรพส่ิงท้งั หลายในโลกน้ี “ตา่ งกม็ ี ท่ีมา และที่ไป” ไม่มอี ะไรเกิดข้ึนโดยบงั เอญิ น้าไมส่ ามารถเกิดข้นึ ได้ ถา้ ไม่มีการรวมตวั กนั ระหว่าง อ๊อกซิเยน่ กบั ไฮโดรเยน่ เป็นตน้ จากกฎขอ้ น้ี นาไปสู่การเกิดของแกน่ พระพุทธศาสนา ที่เรารู้จกั กนั ดีในนามของ “อริยสัจ 4” และนาไปใชอ้ ธิบายวงจรชีวิตของมนุษย์ ท่ีเรียกว่า หลกั “ปฏิจจสมุปบาท” 3.2 อริยสัจ 4 กอ่ นที่จะทาการวิเคราะหห์ ลกั คาสอน ซ่ึงเป็นแกน่ ของศาสนาพทุ ธ ขอทาความ เขา้ ใจกบั ศพั ทบ์ างคา ที่มกั จะมคี วามเขา้ ใจไมค่ อ่ ยจะตรงกนั ดงั น้ี คอื คาแรก คอื คาวา่ “ธรรม หรือ ธรรมะ” ถา้ ดจู ากขอ้ บ่งช้ีทางปรัชญาที่เราพดู ถึง ไวแ้ ลว้ คาว่า ธรรม หรือ ธรรมะ จะเป็นอยา่ งอ่ืนไปไม่ได้ นอกจากสิ่งที่เกิดข้ึนตาม ธรรมชาติ หรืออิงจากธรรมชาติ หรืออุปมาอุปไมยจากสิ่งท่ีเกิดข้นึ ตามธรรมชาติ 8

คาทีส่ อง คอื คาว่า “พทุ ธ” ซ่ึงแปลว่า การรู้แจง้ หรือการต่ืนรู้ สามารถอธิบาย เสริมความไดว้ ่า เป็นการรู้ และเขา้ ใจ ส่ิงท่ีเกิดข้ึนตามความเป็นจริงของธรรมชาติ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง กฎของธรรมชาติที่ว่าดว้ ยความสัมพนั ธซ์ ่ึงกนั และกนั และอาการ ซ่ึงเป็นเหตุเป็นผลแกก่ นั และกนั อนั ไดแ้ ก่ อิทปั ปัจจยตา ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ จากกฎของธรรมชาติขอ้ น้ี พระพุทธองคท์ รงนาแนวคดิ มาประยกุ ตเ์ ป็น คาส่ังสอน ท่ีเรียกวา่ อริยสัจ 4 ประกอบไปดว้ ย องค์ประกอบที่ 1 คือ “ทกุ ข์” ไดแ้ ก่ สภาวะที่ไม่คงที่ของสภาพสิ่งต่าง ๆ ในโลก (ไม่วา่ จะเกิดจาก “อุตุนิยาม” หรือ พชื นิยาม กต็ าม) ซ่ึงท่านเรียกว่า ความไม่ เที่ยง หากนามาประกอบคาอธิบายชีวิตมนุษย์ จะเห็นไดว้ า่ จะมสี ภาวะของการบีบค้นั กดดนั ขดั แยง้ มีความบกพร่อง ขาดแก่นสาร และความเท่ียงแท้ ไม่สามารถให้ ความสุข และความพอใจ อยา่ งเตม็ อมิ่ ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง และตลอดเวลา องค์ประกอบที่ 2 คือ “ทุกข์สมทุ ยั ” หรือ สมทุ ยั ซ่ึงหมายถึง เหตุที่ทาใหเ้ กิด ทกุ ข์ ตามองคป์ ระกอบ ขอ้ 1 เหตทุ ่ีเกิดข้ึนเพราะมีความอยากของตวั ตนของเรา เช่น อยากมี อยากได้ และอยากเป็น (ซ่ึงเป็นธรรมชาติของมนุษย)์ เม่อื ไมไ่ ดก้ จ็ ะเกิดความ รุ่มร้อน กระวนกระวาย เบ่ือหน่าย ฯลฯ เม่อื ไดแ้ ลว้ แต่เก็บรักษาอยไู่ ดไ้ ม่ตลอด กท็ าให้ เกิดอารมณ์เสียดาย เคยี ดแคน้ หรือโกรธเคือง เป็นตน้ องค์ประกอบท่ี 3 คือ “ทุกข์นโิ รจน์” หรือ นโิ รจน์ แปลว่า ความดบั ทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ภาวะที่เราสามารถบรรลไุ ด้ โดยการกาจดั กิเลส และตณั หา ของความอยาก ท้งั หลายออกไป 9

องค์ประกอบท่ี 4 คือ “ทุกข์นิโรจคามนิ ีปฏิปทา” หรือเรียกส้ัน ๆ ว่า มรรค หมายถึง หนทางประเสริฐ หรือขอ้ ปฏิบตั ิตา่ ง ๆ เพื่อนาไปสู่การดบั ทุกข์ ซ่ึงจะมี องคป์ ระกอบอยู่ 8 ชนิด และท่ีสามารถกลา่ วไดว้ ่า เป็นทางสายกลาง (มชั ฌมิ าปฏิปทา) คาอธิบายเหลา่ น้ี แสดงใหเ้ ห็นว่า พระพุทธองคท์ รงมีความเขา้ ใจในเจตจานง ของมนุษยท์ ี่ธรรมชาติสร้างใหเ้ กิดว่า มีเจตจานงที่ “ม่งุ สุข และหนีทุกข”์ ทางฝรั่งใช้ คาว่า “Seek Pleasure and avoid pain” เม่ือมาถงึ จุดน้ี เราจาเป็นท่ีตอ้ งพูดถึง กระบวนการของชีวติ มนุษยท์ ี่จะตอ้ งไป รับรู้ว่าอะไรคือสุข อะไรคือทกุ ข์ ส่ิงสาคญั ตามธรรมชาติท่ีติดตวั มนุษยม์ าต้งั แต่เกิด ทา่ นเรียกวา่ “ขนั ธ์ 5” และ ทา่ น ป.ปยตุ โต ใชค้ าภาษาองั กฤษว่า 5 Aggregates ซ่ึงจะประกอบดว้ ย ขันธ์ตัวท่ี 1 คือ สังขาร ซ่ึงไดแ้ ก่ สภาวะท่ีปรุงแตง่ “จิต” ใหด้ ี ให้ชวั่ หรือ กลาง ๆ คุณสมบตั ิที่สาคญั ของจิต คอื มีเจตนาเป็ นตวั นา (และ) ท่ีมกี ารนึกคดิ ตรึกตรอง และการแสดงออกทางกาย วาจา ใหเ้ ป็นไปตามอารมณท์ ี่เกิดข้นึ จากเคร่ืองปรุงแต่ง ตา่ ง ๆ เช่น ศรัทธา สติ หิริโอตปั ปะ (ความรู้ดี รู้ชว่ั และความละอายต่อบาป) เมตตา กรุณา โลภะ โทสะ ฯลฯ ขนั ธ์ตวั ทีส่ อง คือ รูปกบั นาม ขนั ธ์ตวั น้ี ไมค่ อ่ ยมปี ระเด็นของความสบั สน กลา่ วคอื เพราะพระพทุ ธองค์ แยกแยะ ให้เห็นชดั เจนว่า “รูป” หมายถงึ ส่ิงต่าง ๆ ที่ถกู รับรู้ท่ีอยู่ภายนอกร่างกายเรา (ผา่ นระบบสื่อประสาทท้งั 5 อนั ไดแ้ ก่ หู ตา จมูก ลิ้น และการสมั ผสั ) ตามบทบญั ญตั ิของอตุ ุนิยาม และพชื นิยาม แต่เราไป “ปรุงแต่ง” โดย 10

กระบวนการของ “สงั ขาร” ทาให้เกิดนิมติ รหมายแตกตา่ งไปจาก “รูป” ที่เป็นของแท้ ถกู ตอ้ งตามธรรมชาติกลายเป็น “นาม” โดยการกาหนดจากตวั เราเอง เนื่องจากมี อารมณ์ที่เกิดจากการ “ปรุงแต่ง” (ที่เกิดข้นึ ตามธรรมชาติของการทางานของสมอง มนุษย์ ผา่ นระบบ Limbic) ขันธ์ตัวทส่ี าม คือ เวทนา มีความหมายแตกต่างไปจากคาจากดั ความท่ีเราใชก้ นั อยตู่ ามปกติ กล่าวคือ หมายถงึ การรับรู้จากส่ิงทีถ่ กู รับรู้ (จากส่ิงเร้าภายนอก ผา่ นระบบ ส่ือประสาทเป็นตวั “นาม” ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ ) จึงทาใหเ้ กิดการ “เสวยอารมณ์” ข้ึน ขนั ธ์ตวั ทสี่ ่ี คือ สัญญา ซ่ึงหมายความถึง ความจดจา หรือสิ่งท่ีระลึกได้ จะตรง กบั หนา้ ที่ของ “ฮิปโปแคมปัส” ซ่ึงอยู่ตรงกลางสมอง ซ่ึงเป็นจุดเริ่มตน้ การทางาน ร่วมกนั กบั คลงั สมอง ซ่ึงจะมเี น้ือเยอ่ื (Cortex) ส่วนต่าง ๆ อกี มากมายในสมอง ที่ทา หนา้ ท่ี “บนั ทึก” ผลที่เกิดจากระบบการสื่อสารกบั สิ่งเร้าภายนอกเอาไว้ เพอื่ ช่วยมนุษย์ ในการแยกแยะ และตดั สินใจเลอื กพฤติกรรมต่าง ๆ ในอนั ที่จะช่วยให้เรารอดชีวิต และ ดารงอยไู่ ดอ้ ยา่ งสะดวกและปลอดภยั ตามเจตนารมยท์ ่ีธรรมชาติสร้างใหเ้ กิด “สัญญา” ตวั น้ีเป็นตวั “ปัจจยั ยทุ ธศาสตร์” หลกั ของการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การจดจาในระยะยาว ซ่ึงจะมีบทบาทสาคญั ในเร่ืองความคิดความ อ่านริเร่ิมต่าง ๆ ขนั ธ์ตวั ท่ี 5 คือ วิญญาณ ขนั ธ์ตวั น้ี ที่ทา่ นอธิบายมา จะมีความแตกตา่ งไปจาก คาวา่ วญิ ญาณ ท่ีเราเขา้ ใจกนั วา่ มนั คือส่ิงที่เราจบั ตอ้ งไมไ่ ด้ แต่ล่องลอยอยใู่ นตวั มนุษย์ (แต่ไม่รู้วา่ อยตู่ รงไหน) 11

ทางพระทา่ นใหค้ าอธิบายไวว้ ่า วญิ ญาณ เป็ นสภาวะท่ีเกดิ การตระหนกั รู้ และ การรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ (เฉกเช่นเดียวกนั กบั “เวทนา”) แต่จะเป็นการเกิดข้นึ เฉพาะที่ เป็ นไปตามเจตนา เป็นสาคญั แลว้ ตวั “เจตนา” น้นั คอื อะไร ถา้ เรามงุ่ วิเคราะหค์ าวา่ เจตนา ในส่วนที่เกี่ยวขอ้ ง กบั วงจรชีวิตมนุษย์ เราสามารถอธิบายได้ 2 ส่วนดว้ ยกนั คือ ส่วนแรก ส่ิงมชี ีวติ ท้งั หลาย รวมท้งั มนุษย์ ธรรมชาติกาหนดให้มกี ารเกิด เจริญเติบโต สืบทอดกรรมพนั ธุ์ แก่ เจบ็ และตาย ส่วนท่ีสอง การใชช้ ีวิตตามวฏั จกั รในขอ้ ท่ี 1 น้นั ธรรมชาติกาหนดให้มีเจตนา รอดชีวิตเป็นอนั ดบั แรก ซ่ึงไดส้ ร้างความสมั พนั ธ์ระหว่างระบบส่ือประสาทของเรา กบั ระบบอวยั วะ “ลิมปิ ค” ที่เราไดพ้ ูดถึงไปแลว้ ส่วนเจตนาท่ีเป็นอนั ดบั ต่อไป คอื มนุษย์ (และสตั ว)์ ทกุ ผทู้ กุ นามมเี จตจานงที่ “มุง่ สุข” (Seek Pleasure) และหนีทุกข์ (Avoid Pain) ดว้ ยกนั ท้งั น้นั ฉะน้นั วญิ ญาณ ตวั น้ี กค็ ือ ความเป็นตวั เป็นตนของเรา ท่ีมี”ระบบการ ดารงชีวิต” อยภู่ ายใตร้ ่างกายส่วนท่ีเป็นภายภาพ ซ่ึงในสมยั โบราณน้นั ยงั ไมม่ ี การศึกษา และคน้ พบส่วนที่อยภู่ ายใน วา่ มอี ะไรบา้ ง จากหลกั ฐาน และเหตุผล ที่เราไดก้ ลา่ วถึง ความสาคญั และความสมั พนั ธ์ ระหว่างหนา้ ที่ของ “ขนั ธ์ท้งั 5” กบั การทางานของร่างกายมนุษย์ ท้งั น้ีเพื่อความ ดารงอยขู่ องชีวิต เท่ากบั เป็นการอธิบายว่า ชีวติ มนุษย์ เกิดข้นึ และมีการทางาน อยา่ งไร การขยายความ “ขนั ธ์ 5” ในแงม่ ุมทางวิทยาศาสตร์ 12

ดงั ไดก้ ลา่ วแลว้ วา่ “ขนั ธ์ 5” คือ การอธิบายถึง กระบวนการ การดารงชีวติ ของ มนุษยท์ ี่มกี ารรับรู้ความเป็นไปต่าง ๆ ตามธรรมชาติรอบตวั ของเรา ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตร์ทาให้เรามีเคร่ืองมือตา่ ง ๆ ที่ทางประสาทวทิ ยา (Neuroscience) นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการคน้ พบ และยืนยนั ระบบการทางานของ ระบบสมอง ระบบสื่อประสาท และระบบเสน้ ประสาท ซ่ึงมีความสาคญั และมี ความสัมพนั ธก์ นั ในการกอ่ ให้เกิด “ความมชี ีวติ จิตใจ” ของมนุษยต์ ามแนวทางของ ขนั ธ์ 5 ที่พระพทุ ธองคท์ รงบญั ญตั ิไว้ เครื่องมือดงั กล่าวไดแ้ ก่ (1) Electro Encephalogram (EEG) เป็นเคร่ืองมอื รุ่นแรก ๆ ท่ีนกั วิทยาศาสตร์ และแพทยใ์ ชว้ ดั การทางานของเซลลน์ ิวรอนต่าง ๆ ในระบบสมอง โดยใช้ “อเิ ลค็ โตรด” (Electrodes) หรือคลื่นไฟฟ้า (2) Functional Magnetic Resonance Imaging (fMRI) เป็นเคร่ืองมือรุ่นใหม่ ที่เรารู้จกั กนั ดี ที่นกั วทิ ยาศาสตร์นามาใชใ้ นการ “แสกน” สมอง การวดั คลื่น แม่เหลก็ ไฟฟ้าที่เกิดข้นึ จากการทางานของสมอง จะสามารถสร้างภาพ จาลอง (Images) ต่าง ๆ ให้เราเห็นความเคลอ่ื นไหวตา่ ง ๆ ท่ีเกิดข้นึ ใน ระหวา่ งองคาพยพของสมองท้งั มวล (3) Functional Near-Infared Spectroscopy (fNIRS) เครื่องมือบอกวิธีการ ใชว้ ดั การทางานของสมอง โดยการใชแ้ สงอนิ ฟาเรดส่องดกู ารหลงั่ ฮอร์โมน ตา่ ง ๆ เช่น คอร์ตะซอล (Cortisol) ท่ีเกิดข้ึนในกระแสร์เลือด ทาให้เรา สามารถรู้หนา้ ท่ีต่าง ๆ ในองคาพยพของสมองไดอ้ ย่างละเอยี ด โดยอาจใช้ เคร่ืองมือน้ีร่วมกบั เร่ือง EEG 13

โครงสร้างและการทางานของสมอง การที่จะอธิบายเร่ือง “แก่นพระพุทธศาสนาจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์” น้นั มคี วามจาเป็นอยา่ งยิ่งที่ท่านผอู้ ่าน จะตอ้ งรู้เร่ืององคาพยพ และการทางานของสมอง ข้นั พ้ืนฐาน อนั แสดงถงึ ความมหศั จรรยข์ องส่ิงท่ีอยภู่ ายใตก้ ะโหลกศรี ษะของมนุษย์ ท่ีเราเรียกวา่ “สมอง” และท่ีสัตวช์ นิดอนื่ ๆ ท่ีพอมอี ยบู่ า้ ง แต่นอ้ ยกว่าเรามาก กค็ อื ปลาวาฬ ปลาโลมา และลงิ ชิมแปนซี เป็นตน้ องคาพยพของสมองน้ี เป็นการรังสรรคเ์ ชิง “วิศวะสถาปัตย”์ ของธรรมชาติท่ี หยบิ ย่นื ให้เฉพาะมวลมนุษยช์ าติ เป็นการสร้างสรรคก์ ระบวนการที่แยบยล และ ผสมผสานกนั อยา่ งลงตวั ท่ีทาใหเ้ กิดความเป็นมนุษย์ และทาใหส้ ่ิงที่อยใู่ นหวั สมอง เหนือกวา่ เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ท่ีดีท่ีสุดในโลกใด ๆ ท่ีมอี ยู่ การอธิบาย “ขนั ธ์ 5” หรือการประกอบกนั ของความมีชีวิต จาเป็นท่ีจะตอ้ งมี การอา้ งอิงถึงการทางานของส่วนประกอบต่าง ๆ ของสมอง ที่เป็นกายภาพ เราจึงจะ เห็นอบุ ตั ิการณท์ ่ีเกิดข้นึ ตลอดจนความสัมพนั ธ์ของอุบตั ิการณ์ตามกระบวนการดงั ที่ พระพุทธองคท์ รงบญั ญตั ิไว้ ขอเรียนย้าอกี คร้ังหน่ึง การคน้ พบเชิงวิทยาศาสตร์ ไมใ่ ช่เป็นการต้งั “สมมตุ ิฐาน” (Thesis) แต่เป็นการพสิ ูจนส์ มมตุ ิฐาน โดยการรวบรวมขอ้ มลู จากการ ทดลองปฏิบตั ิ (Experimentation) โดยเคร่ืองมอื รุ่นใหม่ ๆ ที่เราประดิษฐ์ข้นึ ขออธิบายอยา่ งส้นั ๆ วา่ สมองมนุษยข์ องเราน้นั สามารถจาแนกออกเป็น 3 ส่วนใหญด่ ว้ ยกนั คือ 14

1. สมองส่วนล่างหรือส่วนท้าย (Hind Brain) สมองส่วนน้ี คอื ส่วนของกา้ น สมอง (Brain Stem) ท่ีตอ่ จากกา้ นคอข้ึนมาตรงใตท้ า้ ยทอย ส่วนน้ี คือสมองด้งั เดิม ของสัตวท์ ่ีมีกระดูกสันหลงั ทุกชนิด หนา้ ท่ีหลกั ๆ กค็ อื การบริหารจดั การระบบการ ทางานของร่างกาย ท้งั ที่เป็นอตั โนมตั ิ เช่น การเตน้ ของหวั ใจ การหายใจ ฯลฯ ตลอดจนที่ไม่เป็นอตั โนมตั ิ เช่น เร่ืองการเคลือ่ นไหวของร่างกาย เป็นตน้ 2. สมองส่วนกลาง (Mid Brain) สมองส่วนน้ี จะตอ่ จากส่วนแรก โดยต้งั ทบั ซอ้ นสมองส่วนลา่ งข้ึนไปอกี ช้นั หน่ึง สมองส่วนน้ีจะรับหนา้ ที่สาคญั เช่น การบริหาร จดั การ เรื่องการเห็น การไดย้ ิน การรับรู้ ความรู้สึกสัมผสั การควบคุมอณุ หภูมขิ อง ร่างกาย ตลอดจนการกระตนุ้ และการต่ืนตวั ของร่างกาย ซ่ึงจะเก่ียวกบั การเคลือ่ นไหว ของร่างกาย สมองส่วนน้ี เป็นสมองท่ีพฒั นาข้นึ มาใหส้ ัตวท์ ี่เล้ยี งลกู ดว้ ยน้านมโดยเฉพาะ (มนุษยก์ เ็ ช่นเดียวกนั ) สิ่งท่ีจะตอ้ งย้าใหเ้ ขา้ ใจ ก็คือวา่ สมองส่วนน้ีจะมีหนา้ ท่ีผลติ ฮอร์โมน (และเป็น สารส่ือประสาท) ที่ชื่อว่า โดพามีน (Dopamine) ซ่ึงเป็นสารที่สาคญั มากในการเรียนรู้ และช่วยสร้างความจดจาในส่วนท่ีทาใหร้ ่างกายพอใจ และมคี วามสุข จึงทาหนา้ ที่ เสมือน “สารเสพติด” ท่ีทาให้ม่งุ สุข หนีทกุ ข์ ของมนุษย์ เลกิ ยาก เพราะเกิดความเคย ชิน (มีกเิ ลส) 3. สมองส่วนหน้า (Fore Brain) เป็นสมองช้ินใหญท่ ่ีสุดของบรรดาสัตวเ์ ล้ยี ง ลูกดว้ ยน้านม (2 ใน 3 ส่วนของสมองท้งั หมด 15

ส่วนของมนุษย์ ที่มพี เิ ศษมากว่าในส่วนที่เขาเรียกว่า “เซเรบรั่ม” (Cerebrum) กลา่ วคือ เป็นส่วนที่ต้งั ของสมองส่วนหนา้ (Frontal Lobe) ที่มขี นาดใหญ่กว่าสตั ว์ อื่น ๆ สมองส่วนน้ี จะเป็นที่ต้งั ของส่วนท่ีเรียกว่า ส่วนบญั ชาการสูงสุด (Prefrontal Lobe) ในแง่ของการวิเคราะหส์ ถานการณด์ ว้ ยเหตุ ดว้ ยผล ตลอดจนการใชก้ าร ตดั สินใจส่งั การอยา่ งมีเจตนา และมุ่งหมาย เพอื่ ตอบสนองอารมณ์ที่มนุษยเ์ รารู้ และ รับทราบ จากระบบสื่อประสาทของการเห็น ไดย้ ิน และสมั ผสั กบั ส่ิงต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน รอบตวั เรา (ทางพระเรียกว่า “ผสั สะ”) องคาพยพที่เกี่ยวขอ้ ง และระบบอื่น ๆ ท่ีสาคญั กค็ ือ ส่ิงที่เรียกวา่ “ระบบลมิ บิค” (Limbic System) ซ่ึงประกอบไปดว้ ย ทาลามสั และไฮโปทาลามสั ก) ศูนย์ส่ือสารและกระจายข่าว (Thalamus และ Hypo-thalamus) จะทา หนา้ ที่รับข่าว และกระจายขา่ วในรูปของการสั่งการจากสมองส่วนหนา้ ข) คลงั สมอง – ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ทาหนา้ ที่คลา้ ยบรรณารักษ์ ห้องสมดุ ในการรวบรวมบนั ทึกขอ้ มูล และจดั หมวดหมู่ เพื่อการใชง้ าน ตอ่ ไป ค) ศูนย์อารมณ์ (อะมิคดาลา (Amygdala) จะรวบรวมขอ้ มูลที่เกี่ยวขอ้ งกบั ความกลวั และภยั อนั ตรายต่าง ๆ ที่อาจคกุ คามชีวิตของเรา ระบบตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี จะมกี ารเช่ือมโยงกบั เน้ือเยือ่ (Cortex) ต่าง ๆ ท่ีอยใู่ น กะโหลกศรี ษะ จะรองรับการทาหน้าที่เฉพาะเหลา่ น้ี โดยจะมีการเชื่อมตอ่ ของเซลล์ ประสาทในสมอง ซ่ึงมอี ยเู่ ป็นพนั ๆ ลา้ นเซลลใ์ ห้เกิดเป็น “ทางเช่ือม” ไวจ้ ดจาใชง้ าน ต่อไป 16

(ทา่ นที่สนใจจะทราบความอศั จรรยข์ องสมอง คอยติดตาม หนงั สือ เร่ือง “การ เรียนรู้และพฒั นาของมนุษย”์ ที่ผมแต่งข้ึนมาเพื่อจะใชช้ ่วยการฝึกสอนของครูอาจารย์ และโคช้ ) การอธบิ ายขันธ์ 5 ขอ้ มูลสถติ ิท่ีเกิดข้ึน เป็นความรู้ท่ีทางประสาทวิทยานาไปอธิบายการทางานของ ระบบการทางานของสมอง ระบบสื่อประสาท และระบบเส้นประสาทท้งั สิ้นของ ร่างกาย 1. การอธิบาย “สังขาร” จากคานิยาม สงั ขาร “คือจิต ที่มีเจตนาเป็นตวั นา และท่ี มีการนึกคดิ ตรึกตรอง และการแสดงออกของกาย วาจา ใหเ้ ป็นตามอารมณ์ที่เกิดจาก เคร่ืองปรุงแต่ง ...” แสดงวา่ “จิต” จะตอ้ งมีสถานะภาพ เป็น “วตั ถุ” ทางกายภาพ ส่วนเจตนา และ การนึกคิดตรึกตรอง ตลอดจนการแสดงออกทางกาย วาจา เป็นการอธิบายถึง ปรากฎการณ์ หรือภาพ หรือหนา้ ที่ท่ีมีผลมาจากส่ิงท่ี “จิต” รับรู้ และมอี ารมณ์ประกอบ ซ่ึงมกั จะใชค้ าว่า “จิตใจ” เป็นตวั รับรู้อารมณ์ ฉะน้นั “จิตใจ” จึงไม่ใช่ “จิต” และไม่ใช่ ตวั สมอง 2. คาว่า “เวทนา” คาอธิบายของคาว่า “เวทนา” หมายถงึ “การรับรู้จากสิ่งท่ีถูก รับรู้” การรับรู้เกิดข้ึนจากระบบส่ือประสาท การรับรู้จะสมบรู ณ์ ก็ต่อเมอ่ื มีการแปลความหมายของการรับรู้ว่า ส่ิงน้นั คือ อะไร ระบบส่ือประสาทจะทาหนา้ ท่ีรับการรู้ และส่งสญั ญาน (ดว้ ยฮอร์โมน และสาร สื่อประสาท) ไปยงั คลงั ขอ้ มลู (Hippocampus) ซ่ึงจะเกี่ยวกบั ขนั ธต์ วั ตอ่ ไปที่เรียกว่า 17

“สญั ญา” คลงั ขอ้ มลู จะแปลความหมายกลบั ไป (ผา่ นศนู ยข์ อ้ มูลของร่างกายท่ี เรียกวา่ ธาลามสั - Thalamus) เพอื่ ส่งไปดขู อ้ มลู เพม่ิ เติมที่ศนู ยอ์ ารมณ์ (Limbic Systems) เมอ่ื รวบรวมขอ้ มลู และแปลความหมายไดแ้ ลว้ กส็ ่งขอ้ มลู ต่าง ๆ เพือ่ สื่อสาร กลบั ไปท่ี “จิต” หรือสมองสั่งการได้ จากการคน้ พบทางประสาทวทิ ยา ขอ้ สรุปท่ีเกิดข้นึ ก็คือ จดุ ท่ีทางพระพุทธองค์ กล่าวถงึ เร่ืองจิต คือ ท่ีต้งั ส่วนหนา้ สุดของสมองส่วนหนา้ (Prefrontal Lobe) ท่ีอยู่ หลงั หนา้ ผาก ส่วนการอธิบายถึงผลพวงที่เกิดข้ึนจากกระบวนการของจิต ไม่วา่ จะเป็นเรื่อง พฤติกรรม หรือการปรุงแตง่ จิตให้เกิดพฤติกรรมน้นั นกั ทฤษฎีทางจิตใจ (Theory of Mind) ยอมรับว่า Mind หรือ จิตใจ คอื สิ่งท่ี ปรากฎออกมาเป็นการรับรู้ และความรู้สึกจากอารมณ์น้นั ซ่ึงมาจากการท่ีมนุษยม์ ี ระบบอารมณ์ และการจดจาอารมณ์ (Limbic System และ hippocampus) ที่เกิดจาก การเห็นไดย้ ิน และจากการรู้สึกสัมผสั ของเรา จึงเกิดการปรุงแตง่ ไปตามครรลอง และ อาจปรุงแตง่ ไปตามเจตนาของสมองส่วนหนา้ ให้สัง่ การ หรือตดั สินใจให้เกิด พฤติกรรมทางกาย วาจา ตอ่ ไป 3. การอธบิ าย “สัญญา” คานิยามของ “สัญญา” ส้นั ๆ ง่าย ๆ ก็คอื “สิ่งที่ระลกึ ได”้ 18

สิ่งท่ีระลึกไดน้ ้ี เป็นความจาเป็นอยา่ งยิ่งในการอานวยความสะดวกสบายให้เรา ในการดารงชีวติ ท่ีจะใชเ้ วลาท่ีไมจ่ าเป็นตอ้ งมานง่ั ตรึกตรองอีกว่า สิ่งน้ีดี หรือเป็นภยั อนั ตรายตอ่ ชีวติ ยกเวน้ เป็นสิ่งใหม่และยงั ไม่ “ระลกึ ได”้ ระบบท่ีสาคญั ตรงน้ี เราคน้ พบว่า ศูนยส์ ื่อสารของร่างกาย (Thalamus) จะส่ง ขอ้ มลู มาท่ีส่วนของ “คลงั สมอง” ที่เรียกว่า ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซ่ึงเป็น ส่วนที่เกบ็ ขอ้ มลู เหมือนเป็น “บรรณารักษ”์ ของหอ้ งสมดุ 4. การอธิบาย “วญิ ญาณ” คานิยามของวิญญาณ ระบวุ ่าหมายถึง “การรับรู้ (ที่) เป็นไปตามเจตนา” เราอาจตีความหมายไดห้ ลายทางดว้ ยกนั ประการแรก เจตนาน้ี หมายถึงการท่ีธรรมชาติ “หยิบย่ืน” ความมชี ีวิตให้ ก็ เป็นไปตามเจตนาของ “ฟ้าดิน” ประการท่ีสอง เจตนาน้ีจะพว่ งความหมายของการมีชีวติ ว่า “ม่งุ สุข” และ “หนี ทกุ ข”์ ดว้ ยตามคลั ลองของ “ฟ้าดิน” ประการทส่ี าม เป็นการ “ผิดตกยกเวน้ ” ความหมายท่ีไม่จาเป็นตอ้ งกล่าวถงึ คอื การรับรู้ท่ีไม่ตอ้ งมเี จตนา ทางวทิ ยาศาสตร์ ไดค้ น้ พบว่า การรับรู้ หรือการสง่ั การใหเ้ กิดข้ึนตามการรับรู้ โดยไมเ่ จตนา เกิดข้ึนเพราะร่างกายเรามีระบบอตั โนมตั ิ ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของระบบ เส้นประสาทใหญ่ ซ่ึงแบ่งออกเป็นระบบเสน้ ประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) และระบบเสน้ ประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System) 19

ระบบอตั โนมตั ิน้ี จะเป็นส่วนหน่ึงของระบบเสน้ ประสาทรอบนอก และจะมี หนา้ ท่ีควบคมุ สงั่ การใหอ้ งคาพยพของร่างกายทกุ ส่วนทางาน เพ่อื ให้ดารงชีวิตอยไู่ ด้ ตลอดเวลา ระบบดงั กลา่ ว ไดแ้ ก่ ระบบการทางานของหวั ใจ และปอด ในการฟอกเลือด และส่งเลือดกลบั หวั ใจ สูบถ่ายโลหิตไปเล้ยี งร่างกาย ระบบขบั ถ่าย ระบบความหิว การหลบั นอน ฯลฯ อีกหนา้ ท่ีหน่ึง ที่มคี วามสาคญั ก็คอื การประสานงานกบั ระบบลมิ ปิ ค (ผา่ นส่วน ของสมองท่ีชื่อ อะมิคดาลา – Amygdala) ในการตดั สินใจอยา่ งเร่งดว่ น ในกรณีท่ีเกิด ภาวะฉุกเฉิน ท่ีเราจะตอ้ งตดั สินใจ เพ่อื การรอดชีวิต วา่ จะ “หนี” อยา่ งไรใหร้ วดเร็ว หรือจะ “สู้” (ฝร่ังใชค้ าว่า flight หรือ fight) 5. การอธบิ าย “รูปกับนาม” ขนั ธ์ตวั น้ี เป็นการอธิบายถึงสิ่งท่ีเราเห็น และการ รับรู้จากภายนอก (ผา่ นระบบสื่อประสาท ท้งั 6) วา่ เป็น “รูป” หรือ รูปธรรม ส่วนการท่ี เราไปแปลความหมายเป็นอะไรก็ตาม เกิดจาก “ความเป็นมนุษย”์ ที่มรี ะบบสมอง ท้งั สิ้น อานวยความสะดวกให้เรามากาหนดเป็น “นาม” หรือความหมายต่าง ๆ และใส่ อารมณ์กากบั เขา้ ไปตามธรรมชาติของมนุษยท์ ่ีมี “อปุ กรณช์ ่วย” ในระบบสมอง เยอะแยะ ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ 6. กล่าวโดยสรุป เราอาจแยกพิจารณาขอ้ มลู ท่ีเกิดข้นึ ออกได้ เป็น 2 ส่วน กล่าวคอื ส่วนแรกท่ีเรียกวา่ เป็นองคค์ วามรู้ที่นาเสนอในหลกั สมมุติฐาน (Thesis) หรือ ทฤษฎี (Theory) และส่วนท่ีเป็นการ “พิสูจน์” สมมุติฐาน หรือ ทฤษฎี และเราสามารถไดข้ อ้ สรุปดงั น้ี คือ 20

ก) องคส์ มมุติฐาน หรือทฤษฎี ขนั ธ์ 5 ของพระพุทธเจา้ และทฤษฎีเรื่องจิตใจ น้นั สามารถกล่าวไดอ้ ยา่ งเต็มปากว่า สิ่งที่บรรยายไวถ้ ึงปรากฎการณ์ที่เกิดข้ึนมอี ยู่ ครบถว้ น ความสมั พนั ธ์ท่ีเกิดข้นึ ไดร้ ับการอธิบายอยา่ งเป็นเหตุเป็นผล และสามารถ พสิ ูจนไ์ ดจ้ ากการทดลองทา (Experiments) ท้งั หลายท้งั ปวง ข) จากเคร่ืองมือต่าง ๆ ดงั ไดก้ ลา่ วแลว้ ขอ้ สรุปที่ไดใ้ นปัจจบุ นั ระบวุ ่า ประการแรก สงั ขารคอื ระบบสมองใหม่ของมนุษย์ ที่มรี ะบบสมองส่วนหนา้ ท่ี เรียกไดร้ วม ๆ ว่า จิต ที่เป็นตวั ทาหนา้ ท่ีตา่ ง ๆ ตามที่ไดต้ ้งั เป็นขอ้ สมมุติฐานไว้ ประการที่สอง “จิตใจ” (Mind) ไมใ่ ช่ “จิต” หรือสมองส่วนหนา้ แต่เป็นการ ระบุถึง “อาการ” ของความรู้สึกที่เกิดข้ึน เนื่องจากเรามี “สังขาร” หรือระบบของสมอง ซ่ึงมีความสามารถสลบั ซบั ซอ้ น ในการก่อให้ อารมณ์ ท่ี “จิตใจ” รู้สึกรับรู้ได้ ประการท่ีสาม ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง “จิต” (สมอง) กบั “จิตใจ” และการ (อวยั วะต่าง ๆ) ตา่ งมคี วามสมั พนั ธ์กนั อยา่ งมีนยั ยะ วา่ เป็น “หน่ึงเดียวกนั ” (Oneness) แตส่ ่ิงที่แตกตา่ งไปจากความเขา้ ใจเดิมท่ีว่า “จิตกาหนดกาย” อยา่ งเดียวน้นั เป็น การเขา้ ใจผดิ เพราะการคน้ พบเปิ ดเผยว่า กาย หรือกิจกรรมทางกาย ซ่ึงถูก “วางแผน” กาหนดโดยสมอง (จิต) สามารถเปล่ียน “จิต” หรือการทางานของจิต หรือสมองได้ เพราะตวั สมองสามารถเปลย่ี นโครงสร้างการทางานได้ ส่วนน้ี ทางวิชาการระบวุ ่า เป็นความสามารถของสมองท่ีมคี วามยืดหยนุ่ สูง (Neuroplasticity) ในเรื่องน้ี ขอใหอ้ า่ นประกอบในการวเิ คราะห์ เร่ือง “ไตรสิกขา” ซ่ึงจะพูดถึง การฝึกฝน อนั จะทาให้เราใช้ “มรรคมีองค์ 8” อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 21

ประการสุดท้าย จิต และสังขาร มีอยจู่ ริง แต่ท่ีต้งั ของจิต และของสังขารอยใู่ น ส่วนท่ีอยใู่ ตก้ ะโหลกศรี ษะ ยงั ไม่เคยมีการคน้ พบใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวดั หรือการผา่ หวั ใจ โดยศลั ยแพทย์ และพบ หรือเจอจิต อยใู่ นหวั ใจ แต่อยา่ งใด เร่ืองน้ี ขออนุญาตออกความเห็นส่วนตวั นะครับวา่ ผมยงั คลางแคลงใจว่า การ บนั ทึกขอ้ ความว่า “จิตอยทู่ ่ีหัวใจ” ในพระไตรปิ ฎกเลม่ ที่ 14 น้นั พระองคท์ รงระบเุ อง หรือ เกิดจากการบอกเล่าตอ่ ๆ กนั มา การนาเสนอสิ่งท่ีคน้ พบการทางานของระบบสมอง ระบบสื่อประสาท และ ระบบเสน้ ประสาทของร่างกายมนุษย์ ซ่ึงถกู ระบุว่าเป็นส่วนหน่ึงของ “ขนั ธ์ 5” ใน พุทธวจนะ หรือ พระไตรปิ ฎก จะแสดงใหเ้ ห็นถึงความโดดเด่นของศาสนาพุทธ แมก้ ระทง่ั นกั วทิ ยาศาสตร์คนสาคญั ของโลก ที่ชื่อ ไอน์สไตน์ ยงั ออกมากลา่ วยกยอ่ ง ไวเ้ มอ่ื ก่อนเขาเสียชีวติ วา่ “ถา้ หากจะมีศาสนาใด ท่ีอาจจะนบั ไดว้ ่า เป็นศาสนาแห่งจกั รวาล (Cosmo Religion) ในอนาคต ศาสนาดงั กล่าว เห็นจะเป็น (หรือจะม)ี แต่ศาสนาพทุ ธเทา่ น้นั ” เหตุผล ท่ีเขานาเสนอ อาจสรุปส้นั ๆ ไดว้ า่ ศาสนาแห่งจกั รวาลที่จะสนองความ ตอ้ งการของมนุษยใ์ นยคุ ของวทิ ยาศาสตร์สมยั ใหม่น้นั มแี ต่ศาสนาพทุ ธเทา่ น้นั ท่ีอยู่ เหนือ หรือลม้ ลา้ งความเชื่อ หรือบทบญั ญตั ิตา่ ง ๆ ท่ีศาสนา (คริสต)์ ตราไว้ (Dogma และ Theology) ศาสนาพุทธเท่าน้นั ท่ีแฝงไวด้ ว้ ยปรัชญา และความจริงที่คน้ พบไดจ้ ากการ สงั เกต (Observation) ประสบการณท์ ่ีรับรู้คน้ พบ และแปลความหมายของความเป็น จริงตามธรรมชาติเหลา่ น้นั (ท่ีเราเรียกว่าธรรมะ) รวมถงึ การบรรยายถึงความสาคญั ของ 22

วญิ ญาณทางจิตใจ (Spiritual) อนั ทาใหม้ นุษยช์ าติรับรู้และสาเหนียกความหมายได้ ของความเป็นหน่ึงเดียวกนั (Oneness) แต่ไอน์สไตน์ ใชค้ าว่า Meaningful Unity คาพดู ของไอนส์ ไตน์ จะสะทอ้ นให้เห็นถึงขอ้ ขดั แยง้ ระหวา่ งนกั วิทยาศาสตร์ รุ่นเกา่ ก่อนหนา้ เขา กบั สถาบนั ที่ทรงพลงั ในสมยั ก่อน อนั ไดแ้ ก่ สถาบนั ศาสนาคริสต์ นกั ประวตั ิศาสตร์ คงจะจาช่ือ “กาลิเลโอ กาลเิ ลอี” นกั ดาราศาสตร์คนสาคญั แห่งเมอื งหอเอนปิ ซ่า อิตาลี ท่ีไดค้ น้ พบกฎเกณฑใ์ หม่ ๆ มากมาย แตก่ ารคน้ พบที่สร้างความขดั แยง้ อนั ย่ิงใหญ่ กค็ ือ ส่ิงที่เขานาเสนอวา่ “ดวง อาทิตย์ต่างหากไม่ใช่โลกท่ีเป็ นศูนย์กลางของ (สุริยะ) จกั รวาล” ซ่ึงขดั แยง้ กบั ส่ิงท่ี “โบสถ”์ ตราไวใ้ นบทบญั ญตั ิวา่ “โลกเป็นศูนยก์ ลางของจกั รวาล และดวงอาทิตย์ หมนุ รอบโลก” กาลเิ ลโอ ต้องคาพิพากษาให้ถกู จาคุกตลอดชีวิต สิ่งที่ไอน์สไตน์ พาดพงิ น้นั น่าจะเป็นเรื่องของแนวโนม้ ของการสนบั สนุนการ เป็นอิสระทางความคิดเห็นของวทิ ยาศาสตร์ (Freedom of Science) นกั วิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ๆ บางพวกยงั ไดอ้ า้ งถึงการคน้ พบวทิ ยาศาสตร์รุ่นใหม่ ท่ีเรียกวา่ Quantum Physics ซ่ึงไดค้ น้ พบปรากฎการณก์ ารมีตวั ตนของสรรพสิ่งที่อยู่ 2 ที่แตกตา่ งกนั ทาใหเ้ กิดแนวความเช่ือถึงเรื่องคล่ืนของจิต” หรือคล่ืนสมองที่สามารถ ทาใหเ้ กิดการ “โทรจิต” ถึงกนั และกนั ได้ เพียงแตว่ ่าการคน้ พบทางดา้ นน้ียงั ไม่เป็น วทิ ยาศาสตร์ 23

ถา้ เราเปิ ดใจคดิ ตามไอนส์ ไตน์ เราจะตอ้ งยอมรับความจริงว่า จิตมีความเป็น ตวั ตน แตส่ ถานะภาพของจิต กค็ ือ อยทู่ ่ีสมองส่วนหนา้ ของมนุษย์ และทาหนา้ ที่ ดงั กล่าว ตามท่ีไดค้ น้ พบความจริงทางวิทยาศาสตร์ กลา่ วคอื ไมใ่ ช่ใจ จิตใจ หรือหวั ใจ คาถามก็คือ เราอยากนบั ถือศาสนาที่ถูกยอมรับว่ามศี กั ยภาพสูงสุดของการเป็น “ศาสนาแห่งจกั รวาล” หรือเราจะด้ือดึงเชื่อ (อยา่ งลม ๆ แลง้ ๆ) กนั ต่อไป ผมฝากกราบเรียนผสู้ นใจ และผเู้ ก่ียวขอ้ ง ช่วยพิจารณากนั ต่อไปว่า เราควรจะ ทาอยา่ งไรกนั ดีต่อไป 3.3 บทบญั ญัตทิ ่เี รียกว่า “ไตรลกั ษณ์” การทาความเขา้ กบั “ไตรลกั ษณ์” ซ่ึงนบั ว่าเป็นปรัชญาช้ินสาคญั อกี ช้ินหน่ึงที่ พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิไวว้ ่า เป็นเร่ืองสาคญั ที่สุดเรื่องหน่ึง สาหรับพทุ ธศาสนิกชน ท่ีจะตอ้ งตระหนกั เสียก่อนอยา่ งแทจ้ ริง จึงจะกา้ วขา้ มไปสู่บทบญั ญตั ิของการฝึกฝน เรื่อง “ไตรสิกขา” และมีความรู้แจง้ เร่ือง “อริยะสัจ 4” ซ่ึงเป็นแก่นของพทุ ธศาสนา ต่อไป บทบญั ญตั ิไตรลกั ษณ์มอี ยู่ 3 องค์ ประกอบดว้ ยกนั คือ อนิจจงั ทกุ ขงั และ อนตั ตา ก) อนิจจงั หรือ อนจิ จตา พระองคท์ รงสอนวา่ สรรพสิ่งทุกอยา่ งในโลก แมจ้ ะ อบุ ตั ิข้ึนตามกฎของธรรมชาติแลว้ ก็จริ ง แตไ่ ม่มสี รรพสิ่งใดคงอยไู่ ดอ้ ยา่ ง ยง่ั ยืนตลอดไป โดยเฉพาะอย่างย่ิง ชีวติ ของมนุษย์ และสัตว์ จะตอ้ งมีวงจร ของการเกิด แก่ เจบ็ และตายในท่ีสุด มิไยท่ีมนุษย์ จะไขว่ควา้ หาความเป็น อมตะซ่ึงยงั เป็นไปไม่ไดใ้ นยคุ ของทา่ น และยคุ ของเรา 24

ข) ทกุ ขัง หรือ ทุกขตา ทกุ ขงั ตวั น้ี ก็คอื ทุกขงั ตวั เดียวกนั กบั ที่ปรากฏอยใู่ น “อริยะสจั 4” ที่ทรงกลา่ วไวว้ ่า ไม่มีสถานะภาพใด ๆ ท่ีเกิดข้ึนแลว้ จะคงอยู่ ต่อไป เพราะมขี อ้ บกพร่อง และจะถูก “บีบค้นั ” (Stress) ให้มกี ารแปรสภาพ ไปในที่สุด ค) อนตั ตา องคป์ ระกอบตวั น้ี นบั ว่ามคี วามสาคญั ท่ีสุดในการทาความเขา้ ใจ ปรัชญาเพือ่ การใชช้ ีวติ อยา่ งมคี วามสุข กลา่ วคือ เป็นการอธิบายถงึ ความท่ี ไม่ใช่รูป หรือตวั ตนแทจ้ ริง ท่ีมสี ภาพคงอยู่อยา่ งถาวรดว้ ยตวั ของมนั เอง วตั ถุตา่ ง ๆ ลว้ นเป็นส่วนหน่ึงขององคป์ ระกอบหลาย ๆ ส่วนมารวมกนั เป็นรูปเป็นร่างก็จริง แต่เม่ือแยกสลาย หรือวเิ คราะห์ดูจริง ๆ แลว้ ทกุ ส่ิง ทกุ อยา่ งจะกลายเป็นเศษธุลีเลก็ ๆ มารวมตวั เสมือนหน่ึง การอธิบายถึง การรวมตวั ของอะตอม จากโปรตอน และนิวตรอน และการรวมของ อะตอมเป็นโมเลกุลของสสาร ตามท่ีสามารถอธิบายไดเ้ ชิงวิทยาศาสตร์ เมื่อนามาพจิ ารณาดูใหล้ ะเอียด กจ็ ะเห็นความจริงของบญั ญตั ิน้ี ในแง่ที่ว่า ในขณะท่ีเรากาลงั พจิ ารณาเหตกุ ารณ์ใด เหตุการณ์หน่ึง ซ่ึงเป็นปัจจุบนั อยู่ เมื่อกาลเวลา หมุนไปขา้ งหนา้ แมแ้ ค่เส้ียววินาที ปัจจุบนั น้นั ก็จะกลายเป็นอดีต และอนาคต ก็จะ กลายมาเป็นปัจจุบนั และวฏั จกั รน้ี ก็จะเกิดข้ึนอยา่ งซ้าซากไม่รู้จบ เฉกเช่น การเกิดดบั ของความคดิ มนุษย์ และวฏั จกั รของชีวิต ท่ีมีการเกิด แก่ เจบ็ และตายในที่สุด น่ีก็คือ ตวั อย่างของความไม่เทีย่ ง ดว้ ยเหตนุ ้ี สรรพส่ิงท้งั หลายท้งั ปวง ต่างกต็ กอยใู่ นลกั ษณะท่ีเรียกว่า เป็นทกุ ข์ (ทุกขงั ) กลา่ วคือ ตกอยใู่ นภาวะท่ีถกู บีบค้นั จากการเกิดและสลาย เกิดและสลายอยู่ 25

ตลอดเวลา เป็นสภาวะท่ีมคี วามบกพร่อง และไม่สมบูรณ์ในตวั ของมนั เอง (ไม่สมดลุ ในแงข่ องฟิสิกส์) ถา้ หากมนุษยเ์ ขา้ ไปยึดถอื สรรพส่ิงเหล่าน้นั ว่า ใหม้ นั อยคู่ งท่ีกบั เรา ตลอดไป โดยการไปยดึ ถือน้นั เกิดจากความเขา้ ใจผิด เนื่องจากมีความอยาก (ตณั หา) และความหลงผิด ยดึ ติด (อุปทาน) ตามธรรมชาติของมนุษย์ ก็จะทาใหม้ นุษยเ์ รามี ความทุกข์ ซ่ึงก็คือ ทกุ ขงั ตามที่ทา่ นทรงกล่าวไวใ้ นบญั ญตั ิ เร่ือง อริยสัจ 4 เม่ือสรรพส่ิงท้งั หลายท้งั ปวงเป็น “อนิจจงั ” และเป็น “ทกุ ขงั ” มนั กจ็ ะตอ้ งเป็น “อนตั ตา” ซ่ึงอุปมากบั ชีวติ ของเรา คือ ความไมม่ ตี วั ตนท่ีแทจ้ ริง (ไม่เป็นสสาร) ซ่ึงถา้ หากมนั มตี วั ตนท่ีแทจ้ ริง และเป็นของเราแน่ไซร้ เราคงสามารถบงั คบั สัง่ การ กะเกณฑ์ หรือควบคมุ ใหม้ นั คงสภาพเหมอื นเดิมได้ และอยกู่ บั เราไดต้ ลอดไป แต่ในทางความเป็นจริงแลว้ เราควบคุมตวั ตนของเราที่เป็นท้งั สภาวะอนิจจงั และทุกขงั ไม่ไดเ้ ลย แลว้ เราจะเรียก หรือยดึ ถอื (ในทางที่ผดิ ) วา่ สิ่งน้ีคือ ตวั ตนของเรา ไดอ้ ย่างไร “ไตรลกั ษณ์” คือ สุดยอดของปรัชญาในเชิงอุบาย ที่พระพุทธองค์ ทรงใชใ้ น การสงั่ สอนมวลมนุษยใ์ ห้สาเหนียกรับรู้ และหมน่ั ตรึกตรองถงึ กลไกของการใชช้ ีวิต ตามธรรมชาติท่ีมนั ไม่เท่ียง คงที่ หรือมีอะไรคงอยแู่ น่นอน เมื่อเรารู้ดงั น้ีว่า เราเกิดมา และใชช้ ีวิตอยไู่ ด้ เพียงระยะเวลาหน่ึง ควรจะใชช้ ีวิต อยา่ งมสี ติ และไมป่ ระมาท เพ่ือเขา้ ใจ และขจดั ส่ิงท่ีทาให้เกิดทกุ ข์ ซ่ึงก็คือ กิเลส และ ตณั หา สาหรับคฤหสั ถ์ หรือพวกอยา่ งเรา ๆ ท่าน ๆ ควรเลอื กปฏิบตั ิทางโลกยี ะธรรม ซ่ึงเป็นการประพฤติปฏิบตั ิของการใชช้ ีวติ ตามธรรมดาสามญั ในโลก แตก่ ค็ วรจะใช้ 26

เวลาที่มีอยไู่ มน่ าน ในการรู้จักเลือกการใช้ชีวติ และประกอบกจิ การในทางทชี่ อบทค่ี วร เพื่อตวั เองจะไดร้ ู้ถึงกิเลส และตณั หาที่เกิดข้ึน และเลือกประพฤติปฏิบตั ิ เช่น ลด ละ หรือเลกิ ไปตามควร เพ่อื มิให้ตวั เองตอ้ งประสบปัญหา และภยั ร้ายแรงเดือดร้อนจาก กิเลส หรือตณั หาท่ีเกิดข้ึนตามสมควรแก่กรณี ส่วนพวกท่ีจะเลอื กเดินตามแนวสงฆน์ ้นั พระพุทธองคท์ า่ นแนะแนวทางที่ เรียกว่า โลกุตรธรรม คือการปฏิบตั ิธรรมท่ี “หลุดออกไปจากโลก” หรือ “อนั มิใช่วสิ ยั ของโลก” กล่าวคอื การบรรลุความสามารถในการเอาชนะ การเกิดของอารมณท์ ี่เกิด จากกิเลส และตณั หา (ซ่ึงเป็นธรรมชาติของมนุษย)์ อย่างส้ินเชิง และใหพ้ ึงเขา้ ใจถงึ ธรรมชาติของการขดั ขนื ของมนุษยท์ ่ีไมอ่ ยากจะเปลี่ยนแปลง เพราะชอบความเคยชิน ดว้ ยเหตุน้ี ทา่ นจึงไดม้ กี ารกาหนดระดบั ตวั ช้ีวดั ของการรับรู้ การเอาชนะกิเลส และตณั หา ในทานองเดียวกนั กบั ตวั ช้ีวดั ระดบั ของความสามารถในการปฏิบตั งิ านที่ เราเรียกว่า KPI (Key Performance Indicators) โดยเร่ิมจาก ก) ระดับโสดาบัน คอื ระดบั ที่แสดงถึง ความเขา้ ใจทะลุปรุโปร่งในธรรมวนิ ยั ท่ีพระองคท์ รงสงั่ สอน หรือพดู ในแงข่ องทา่ น คือ เป็ นผ้ทู เี่ ห็นธรรมแล้ว และปฏิบตั ิศีลครบถว้ น ข) ระดับสกทาคามิ คือ ระดบั ท่ีสูงข้ึน โดยที่นอกจากจะแลเห็น หรือเขา้ ใจ สภาวธรรมแลว้ ระดบั อารมณข์ อง โทสะ โมหะ และราคะ ถกู ควบคมุ ไวไ้ ด้ จนเหลอื นอ้ ย หรือเบาบางลง ค) ระดบั พระอนาคามี คอื ระดบั ท่ีมีการถอื ศีลอยา่ งบริบูรณม์ ากข้ึน มีความ เขา้ ใจในแงธ่ รรมอยา่ งถอ่ งแท้ และสามารถขจดั กามราคะ และปฎิฆะ 27

(ความหงุดหงิด จากอานาจโทสะ) กล่าวคอื เริ่มจะมีปัญญา เขา้ ใจถ่องแท้ มากข้ึน ว่าอะไรเป็นอะไร และควบคมุ ตวั เองไดม้ ากข้นึ ง) ระดบั พระอรหนั ต์ คอื ระดบั สูงสุดท่ีแสดงถึงการมีศลี สมาธิ และปัญญา ตามบทบญั ญตั ิไตรสิกขาสมบูรณ์แบบ โดยสามารถ ลดละ และเลกิ ความรู้สึก และอารมณ์ที่เกิดจากกิเลส และตณั หาอยา่ งหมดสิ้น อน่ึง สมควรกลา่ วไวใ้ นที่น้ีวา่ บุคคลที่บรรลตุ วั ช้ีวดั น้ีได้ ระดบั อรหนั ตเ์ ทา่ น้นั ท่ีสิ้นราคา โทสะ และโมหะ จึงจะเขา้ สู่ภาวะท่ีเรียกว่า “นิพพาน” คอื ปราศจากการ ปรุงแต่งใด ๆ ซ่ึงทางวทิ ยาศาสตร์เป็นการยากท่ีจะหาทางพิสูจน์ภาวะน้ีได้ ยกเวน้ ในกรณีของการสิ้นวิญญาณ หรือตายแลว้ เท่าน้นั 3.4 เรื่องของ “ฌาน” และ “นมิ ติ ” เม่ือเราพูดถึง KPI หรือตวั ช้ีวดั ของระดบั สภาวะต่าง ๆ ซ่ึงเป็นผลมาจากการ กระทา หรือความสามารถของมนุษย์ เรากค็ วรทาความเขา้ ใจกบั คาว่า “นิมติ ” และ “ฌาน” ซ่ึงเป็นผลพวงมาจากการคน้ พบการทางานของสมองในทางวิทยาศาสตร์ คาวา่ “นิมิต” อธิบายว่า เป็นภาพที่เราเห็นในใจ หรือท่ีจิตกาหนดข้ึน ซ่ึง นอกจากจะตรงกบั คาว่า จินตนาการท่ีสมองมนุษยก์ าหนดข้ึน เพอ่ื นาทางไปสู่ พฤติกรรมท่ีตอ้ งการในอนาคตแลว้ สิ่งที่บนั ทึกในคลงั สมองมากมาย เม่ือมีสมาธิแน่ว แน่ อาจจะฉายภาพออกมาได้ ส่วนคาว่า “นิมิต” ท่ีทางพระว่าเกิดจาก “สัญญา” น้นั สามารถอธิบายในเชิง วิทยาศาสตร์ไดว้ ่า ส่ิงท่ีบรรจุลงเป็นความจาระยะยาวในสมองน้นั บางส่วนอาจจะ อยลู่ ึก จนเราจาไม่ได้ ทานองเดียวกนั กบั การตกตระกอนของน้า ท่ีมีส่วนอ่นื ๆ ผสม 28

ถา้ ตระกอนอยลู่ ึกเกินไป เราก็อาจจะไมท่ ราบว่ามี เพราะมนั อยลู่ กึ “ตระกอนของ ความจา” กเ็ ช่นเดียวกนั ตะกอนในน้า จะแตกตวั ให้เราเห็นได้ กต็ อ่ เมื่อมีอะไรมากวน หรือมาเขยา่ หรือ มากระตนุ้ ตะกอนความจาในสมอง กเ็ ช่นเดียวกนั การทาสมาธิอย่างแน่วแน่ และนาน พอสมควร จะทาให้ “คลื่นของสมอง” อยใู่ นระดบั ท่ีต่ากวา่ ระดบั การทางานปกติ ทาใหเ้ รารู้สึกผอ่ นคลาย และสบายตวั (คลื่นสมองระดบั แอลฟ่ า) คล่ืนสมองท่ีต่าน้ี เท่ากบั เป็นตวั กระตนุ้ ให้สมองคลายส่วนของความจาในอดีต ท่ีลึก ๆ ออกมาไดง้ ่ายข้นึ การประพฤติปฏิบตั ิศีลเป็นเร่ืองท่ีถูกแนะนาใหท้ ามาระยะหน่ึง เมือ่ นามา พจิ ารณาเปรียบเทียบกนั ตามความรู้สึกของเราที่มที ้งั นิมติ และฌานเกิดข้ึน จะส่งผล ใหเ้ รารู้สึกถงึ ความแตกต่างของการขจดั กิเลส และตณั หา ออกไปเสียได้ จะทาใหเ้ รา มีความรู้สึกยนิ ดี และพงึ พอใจ ภาวะน้ี คือ ภาวะท่ีเรากาลงั กา้ วเขา้ สู่ภาวะของ “ปฐมฌาน” หรือ ฌานที่ 1 เป็นฌานซ่ึงเรารู้สึก และสัมผสั ไดถ้ ึงความปิ ติยนิ ดี และพงึ พอใจในระดบั หน่ึง อยา่ งไรกต็ าม ภาวะน้ียงั ไม่อาจอยไู่ ดอ้ ยา่ งสมดลุ และสมบรู ณ์ เพราะเหตุท่ี ทา่ นกลา่ วว่า เรายงั ไม่ค่อยแน่ใจนกั เรายงั มคี วามอาลยั อาวรณใ์ นกิเลส และ ตณั หาอยู่ 29

หรือพูดอีกนยั หน่ึง ก็คือ เพราะเลิกเสวยอารมณ์ของปฐมฌาน และกลบั ไปสู่ ภาวะปกติ นิสัยเดิมยงั อาจแกไ้ มห่ าย แสดงว่า โปรแกรมที่ถกู ปลูกฝังมาต้งั แต่เดก็ ยงั ถูก ลบไมห่ มด ตวั ชี้วัดตวั ที่ 2 เรียกว่า “ทุติฌาน” เป็นฌานท่ีมรี ะดบั ของการมปี ระสบการณ์ ที่เหนือกว่าระดบั แรก กล่าวคอื ขอ้ พะวงสงสัย หรืออาลยั อาวรณ์จะลบหายไป ร่างกาย จะรู้สึกยนิ ดี และพงึ พอใจมากข้นึ ตวั ชีว้ ดั ตัวท่ี 3 คือ “ตติฌาน” (ฌานท่ี 3) เป็นฌานท่ีมีความสาคญั มากในแงข่ อง การที่เราจะตอ้ งตดั ความยินดี หรือพึงพอใจออกไปจากความนึกคดิ และความรู้สึก เพราะว่า ความยนิ ดี หรือพึงพอใจ คอื กิเลสชนิดหน่ึง จะตอ้ งเหลอื แต่ ความมีสมาธิท่ีแน่วแน่ และมีความสงบท่ีแทจ้ ริง ตวั ชี้วดั ที่ 4 ตัวสุดท้ายได้แก่ “จตตุ ฌาน” น้นั จะเป็นสภาวะที่เหลือแต่สมาธิ ท่ีแน่วแน่ ไมม่ กี ารปรุงแต่งใด ๆ นอกจากความวางเฉย แมแ้ ตค่ วามสงบสุขท่ีเกิดข้นึ จะเห็นไดว้ า่ การที่เราจะเขา้ ถงึ (โดยความรู้สึกสัมผสั ) ฌานระดบั ที่ 4 และ สามารถดารงสภาวะท่ีเกี่ยวขอ้ งอยไู่ ด้ จะเป็นฌานที่แสดงภาวะเดียวกนั กบั ระดบั ของความรู้แจง้ และการเอาชนะกิเลส และตณั หา ในระดบั “พระอรหนั ต”์ ดงั ได้ กลา่ วมาแลว้ การท่ีเราจะกา้ วถงึ ตวั ช้ีวดั ท่ี 3 และที่ 4 ได้ หมายความว่า เราประสบความสาเร็จ ในการท่ีเราสามารถใส่โปรแกรมชีวิตใหม่ แทนทโ่ี ปรแกรมเก่าที่ธรรมชาตสิ ร้างให้ไว้ได้ ต้ังแต่ เกิด และเติบโตมาด้วยคัลลองของการใช้ชีวิตตามปกติวิสัย โดยไมม่ ีการ 30

“แฮ๊งส์” หรือสะดุดตามธรรมดาของการต่อตา้ นที่เรามกั จะกลา่ วว่า “สนั ดอนขุดได้ แต่ สันดานขดุ ยาก” แตใ่ นกรณีน้ี ถือเป็นการถอนรากถอนโคน ตามหลกั การ หรือวตั ถุประสงคท์ ่ี มุ่งหวงั ไวค้ อื จะไมม่ กี ารปรุงแต่งของอารมณ์ ทางดา้ นสมองวทิ ยา กลา่ วถึงสถานการณ์ เช่นน้ีว่า เป็นเร่ืองการมีสมาธิ และมี ท้งั สติ และปัญญาในการสั่งการให้มีการตดั ระบบสื่อสารระหว่างระบบส่ือประสาทท้งั 5 กบั ระบบลิมปิ คออกไป เสมอื นหน่ึงการทาบายพาสเส้นเลือด และใหไ้ ปรายงานตรง ต่อสมองใหม่ ท่ีมีท้งั สติ และปัญญา ในการแยกแยะ และเขา้ ใจทุกสิ่งทุกอยา่ ง ท่ีเกิดข้นึ ตามความเป็ นจริ ง 4. ความเหมือนท่ีแตกต่าง ระว่าง “มรรคมีองค์ 8” กบั “ไตรสิกขา” หลกั ธรรม หรือ บทบญั ญตั ิที่กลา่ วนาไวใ้ นหวั ขอ้ ท้งั สองเร่ืองน้ี แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความเป็นปรัชญาในการนาคาส่ังสอนไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั เพ่อื จะตอบ คาถามท่ีวา่ “ชีวติ ควรเป็ นไปอย่างไร” จึงจะชอบ และเหมาะสม ในขณะเดียวกนั บทบญั ญตั ิท่ีเหมือนกนั แต่แตกตา่ งในการนาไปใช้ แสดงให้ เห็นถึงความเขา้ ใจ ถงึ ความสมั พนั ธเ์ ป็นหน่ึงเดียวกนั ระหว่างกาย กบั จิต ซ่ึงไดร้ ับการ พสิ ูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และเราจะไดก้ ลา่ วต่อไปในตอนสรุป ในข้นั น้ี ขอให้เราทาความเขา้ ใจกบั ธรรมขอ้ ที่ 4 ของหลกั อริยสัจ 4 อนั ไดแ้ ก่ มรรคมอี งค์ 8 (สาหรับทา่ นพทุ ธศาสนิกชนที่ยงั ไมส่ ันทดั ) ดงั ตอ่ ไปน้ี คือ องค์ท่ี 1 ได้แก่ สัมมาทิฐิ หมายถึง อดุ มการณ์ และความเชื่อ หรือความเห็นชอบ ของมนุษยท์ ่ีถูกตอ้ งตามทานองคลองธรรม 31

องค์ที่ 2 ได้แก่ สัมมาสังกัปปะ หมายถึง ความดาริ หรือความนึกคิดในทางท่ี ถกู ตอ้ ง หรือชอบ องค์ที่ 3 ได้แก่ สัมมาวาจา หมายถึง การมีวาจา และการเจรจาท่ีเหมาะสม และชอบ องค์ที่ 4 ได้แก่ สัมมากมั มันตะ หมายถงึ การใชช้ ีวติ และการกระทา (พฤติกรรม) ชอบ หมายถงึ ความประพฤติทางกายเหมาะสม และอยใู่ นแนวสุจริต โดยไม่ตดั รอนชีวติ ใคร ไม่ลกั ขโมย หรือประพฤติผิดในเร่ืองกาม จะเห็นว่าขอ้ น้ี รวมเร่ือง “ศลี ” ไวห้ ลายขอ้ ทีเดียว องค์ที่ 5 ได้แก่ สัมมาอาชีวะ ซ่ึงหมายถึง การหาเล้ียงชีพในทางที่ชอบ (ไมผ่ ิด กฎหมาย ศลี ธรรมและคุณธรรม) องค์ท่ี 6 ได้แก่ สัมมาวายามะ คือการท่ีเราจะตอ้ งมคี วามเพียรพยายามในทาง ที่ชอบ จะเห็นไดว้ ่า หลกั ขอ้ น้ีเป็นองคป์ ระกอบสาคญั ท่ีจะช่วยสนบั สนุนให้เรา ประพฤติปฏิบตั ิดว้ ยความขยนั หมนั่ เพียร เพื่อเป้าหมายที่เราตอ้ งการ องค์ที่ 7 ได้แก่ สัมมาสติ หมายถึง การมีภาวะที่ตวั เราคอยระลกึ ถึงอยเู่ สมอ (วา่ กาลงั คดิ หรือทาอะไรอย)ู่ ขอ้ น้ี ก็จะถือวา่ เป็นองคส์ นบั สนุน เช่นเดียวกนั กบั องคท์ ี่ 6 32

องค์ที่ 8 ได้แก่ สัมมาสมาธิ คือ ภาวะที่มีการต้งั มน่ั ของจิตอยา่ งแน่วแน่ในทาง ที่ชอบ กลา่ วคือ มีอารมณ์เป็นหน่ึงเดียว เรียบ สม่าเสมอ และไม่ฟ้งุ ซ่าน ท้งั น้ีเพ่ือ จะช่วย (องคส์ นบั สนุน) การดารงชีวิตอยา่ งถกู ตอ้ ง หลกั ขอ้ น้ีเป็นองคป์ ระกอบสาคญั ที่จะช่วยให้เราไดเ้ ขา้ ถงึ “ปัญญา” ท่ีจะรู้และ เขา้ ใจส่ิงท้งั หลายท่ีเกิดข้นึ (ในโลกน้ี) ตามความเป็นจริง คราวน้ี เราลองพจิ ารณารูปแบบของการบญั ญตั ิหลกั “ไตรสิกขา” ดบู า้ ง ไตรสิกขา มอี งคป์ ระกอบอยู่ 3 ส่วนดว้ ยกนั คอื หมวดท่ี 1 ศีลสิกขา องคป์ ระกอบของศลี สิกขา ไดแ้ ก่ มรรคองคท์ ่ี 3 สัมมาวาจา องคท์ ่ี 4 สัมมากมั มนั ตะ และองคท์ ่ี 5 สมั มาอาชีวะ ข้นึ ตน้ ก่อน จะเห็นวา่ น่ีกค็ อื องคป์ ระกอบของศีล 5 ซ่ึงเป็นขอ้ ท่ีทรงแนะนาให้ประพฤติ ปฏิบตั ิทางกาย และวาจา บวกดว้ ยการมอี าชีพท่ีถูกท่ีควร หมวดที่ 2 สมาธิสิกขา องคป์ ระกอบของหมวดน้ี คอื มรรคองคท์ ่ี 6 สัมมาวายามะ (ความเพียร) มรรคองคท์ ี่ 7 สมั มาสติ และมรรคองคท์ ่ี 8 สมั มาสมาธิ ท้งั 3 องค์ จดั วา่ เป็นองคป์ ระกอบของ “เครื่องมอื ช่วย” ในการบรรลุผลสาเร็จ ส่วนในหมวดที่ 3 กค็ ือ ปัญญาสิกขา ซ่ึงจะประกอบไปดว้ ย มรรคองคท์ ่ี 1 สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) และมรรคองคท์ ่ี 2 สมั มาสังกปั ปะ (ความคิดชอบ) เพื่อรู้แจง้ เห็นจริง (พุทธ) ตามแนวทางของ อริยะสัจ 4 33

บทวเิ คราะห์ เราจะเห็นไดอ้ ย่างชดั เจนวา่ มรรคมอี งค์ 8 และ ไตรสิกขา มอี งคป์ ระกอบ (Content) ที่เหมือนกนั แตน่ ามาจดั ลาดบั เพอื่ การกระทาหรือฝึกฝนในกระบวนการ (Process) ท่ีแตกตา่ งกนั ผมไม่แน่ใจว่า ส่ิงที่พระพุทธองค์ คน้ พบน้ี จะนาไปสู่การระบุถงึ กฎขอ้ หน่ึงของ จกั รวาลในทางสากล ที่เรียกวา่ “The Law of Divine Oneness” ที่ระบไุ วว้ ่า ทุกสรรพ ส่ิงในโลกน้ี ต่างก็มีการเช่ือมตอ่ กนั เป็นหน่ึงเดียวกนั ไม่วา่ จะเป็นทางกายภาพ หรือ ทางจิต (โดยการส่งหรือสื่อสารทางคลืน่ ของสมอง) การคน้ พบทางควอนต้มั ฟิสิกส์ เมอ่ื ไม่นานมาน้ี ไดเ้ ปิ ดเผยถึงการพบความ เช่ือมโยงระหวา่ งพลงั งานจากแหล่งเดียวกนั แต่ไปปรากฏอยอู่ กี ตาแหน่งหน่ึงท่ีตา่ ง ออกไป ช่วยทาให้ความเชื่อมน่ั ในเร่ืองกฎจกั วาลขอ้ น้ี ดูเป็นจริงเป็นจงั จนทาให้เกิด การ “คาดคะเน” ถงึ ความเป็นไปไดข้ อง “โทรจิต” หรือการสื่อสารระหวา่ งจิต (ซ่ึงก็ คอื คลน่ื สมอง) ของบคุ คลสองคนข้ึนไป แต่อยา่ งไรก็ตาม ขอ้ สนั นิษฐานน้ี ก็ยงั เป็นขอ้ สนั นิษฐานท่ีเกิดจากความเช่ือ แต่ ยงั ไร้ขอ้ พิสูจน์ เมอื่ ยอ้ นกลบั มาดเู ร่ืองของเรา จะเห็นไดว้ ่า พระพุทธองค์ ทรงเขา้ ใจใน กฎจกั รวาลขอ้ น้ี ถึงความสมั พนั ธร์ ะหว่างจิตกบั กาย กลา่ วคอื ในบทบญั ญตั ิของ มรรค 8 ในอริยสัจ 4 น้นั เป็นกระบวนการท่ีเห็นไดช้ ดั เจนว่า จิต เชื่อและเห็นชอบ อยา่ งไร กายก็จะรับบญั ชาปฏิบตั ิไปตามแนวทางน้นั 34

นี่คอื กระบวนการที่เรียกว่า “จิตสั่งกาย” ที่สามารถพิสูจน์ไดเ้ ชิงวทิ ยาศาสตร์ สมยั ใหม่ว่า สมองส่วนหนา้ (Prefrontal Cortex) เป็นตวั สาคญั ในการกาหนดการ เคล่อื นไหวต่าง ๆ ของ อวยั วะสาคญั ๆ ในร่างกาย จะมีการยกเวน้ ก็แตเ่ พยี ง ระบบที่เรียกว่า “อตั โนมตั ิ” เช่น การเตน้ ของหวั ใจ ฯลฯ ที่ตอ้ งทางานอยตู่ ลอดเวลา แล้วท่านมเี หตผุ ลอย่างไร จึงมากาหนดเป็ นกระบวนการใหม่ น่ีคือ ปรัชญา และตรรกะ ทีล่ กึ ซ้ึงที่พระพุทธองคท์ รงเขา้ ใจ หลงั จากพิจารณา อยา่ งแยบคายแลว้ ว่า มนุษยท์ ้งั หลายอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ เม่ือเกิดมาลมื ตาดูโลก และมี ส่วนของสมองมนุษยท์ ี่มีขนาด และขดี ความสามารถในการเรียนรู้ ต้ังแต่เกดิ (อาจจะ เรียนรู้ต้งั แต่ในครรภม์ ารดาแลว้ ) แตท่ วา่ ในระหวา่ งทางของการเจริญเติบโต ไดถ้ ูกบม่ เพาะจากมารดา และ ครอบครัว ตลอดจนส่ิงแวดลอ้ มทางสังคม ในการส่งั สมประสบการณ์ และเรียนรู้การ ดาเนินชีวติ ตามคลั ลองของการเกิดเป็นมนุษยท์ ี่ทา่ นอธิบายไวใ้ นบทบญั ญตั ิและ หลกั ธรรมต่าง ๆ แลว้ วา่ ชีวิตมนั คืออะไร วฏั จกั รของมนั เป็นอย่างไร ซ่ึงจะเป็นไปตาม ธรรมวิสัยของโลก การมุ่งสุข และการหนีทุกข์ ฉะน้นั ไม่มีใครท่ีจะมีภาวะ “จิตเป็นประภสั สร” กล่าวคอื เป็นจิตที่ว่างเปลา่ และบริ สุทธ์ ิ นอกจากน้ี จะให้ใครล่ะท่ีมี “พทุ ธ” มาคอยสั่งสอนให้เกิดปัญญารู้แจง้ และ ถงึ แมว้ ่าจะเกิดถกู สอน หรือแนะนาใหเ้ กิดการรู้แจง้ แตก่ ระบวนการดงั กล่าวจะมี 35

ประสิทธิผล หรือประสิทธิภาพไดอ้ ยา่ งไร ในเมื่อตวั เรายงั ไมเ่ คยมปี ระสบการณใ์ น ชีวติ เสียกอ่ นกบั กิเลสและตณั หา ที่เกิดข้นึ ตามครรลองของการเป็นมนุษย์ เราจะทราบและรู้สึกไดอ้ ย่างไร อะไรคือสุข อะไรคือทกุ ข์ อะไรคอื สุขที่ทาให้ เกิดทุกขภ์ ายหลงั น่ีกค็ อื การเขา้ ใจถึงกฎของจกั รวาล ท่ีระบุถงึ ความเป็นหน่ึงเดียวกนั ดงั ไดก้ ลา่ ว มาแลว้ สิ่งที่เราไดก้ ล่าวตามแนวทางของพระพทุ ธองคใ์ นเร่ืองกายสงั่ จิตน้นั สามารถ อธิบายไดใ้ นเชิงวิทยาศาสตร์จากผลการศกึ ษาและวจิ ยั ทางประสาทวิทยา (หรือสมอง วิทยา) กล่าวคือ เขาคน้ พบวา่ สมองของมนุษย์ มีความยืดหยนุ่ สูง ในสองประเด็นดว้ ยกนั คือ ประการแรก สมองมนุษยไ์ ม่จาเป็นตอ้ งเส่ือมไปตามกาลเวลาอยา่ งมากมาย อยา่ งที่กลา่ วขานกนั ถงึ จะเส่ือมไปบา้ ง แตท่ ี่มเี หลืออยู่ กม็ ปี ระสิทธิภาพเพยี งพอที่จะ เรียนรู้ และทางานให้มนุษยต์ ่อไปได้ ปัญหาท่ีเกิดความเสื่อมถอยข้นึ เพราะเราหยดุ ใช้ หรือไมร่ ู้จกั ใชม้ นั ตา่ งหาก ประการที่สอง ความยดื หยนุ่ ดงั กล่าว สามารถรองรับการเปลยี่ นแปลงของ โปรแกรมเดิม ซ่ึงมีนิสัย หรืออุปทานเดิม ๆ ทเี่ ราไม่ตอ้ งการได้ เขา้ ทานอง “สันดอน ขดุ ได้ สันดานก็ขดุ ได”้ ประเดน็ สาคญั ก็คอื เรารู้วิธีท่ีจะลบโปรแกรมเดิม และใส่โปรแกรมใหม่เขา้ ไป หรือไม่ 36

วธิ ีการที่พระพุทธองคแ์ นะนาในหมวดปัญญาสมาธิน้นั การศึกษาทางสมอง วทิ ยา คน้ พบว่า การนงั่ ทาสมาธิน้นั จะมีผลต่อคล่ืนสมอง ซ่ึงจะมอี ยู่ 5 คล่ืน รวมท้งั คล่ืนตอนที่เราหลบั คล่นื สมองท่ีเหมาะสมในการเรียนรู้ กลา่ วคือ มกี ารทบทวนกนั ระหวา่ งเจตนา หรือเป้าหมาย กบั ความจดจาในระยะยาว (คล่ืนแอลฟ่ า และแกมมา่ ) จะเป็นคล่ืนที่ เหมาะสมในการเรียนรู้ท่ีสุด คงจะจาไดว้ ่า เราเคยพดู ถึงระดบั ความรู้ข้นั โสดาบนั จนถงึ ข้นั อรหนั ต์ และการ เกิดของ “นิมิต” และ “ฌาน” ตา่ ง ๆ ซ่ึงจะเกิดจากผลของการทาสมาธิไปนาน ๆ จนถึง ข้นั คล่ืนสมองมกี ารเคลือ่ นไหวในระดบั ต่า จนทาใหร้ ่างกายมคี วามสงบ และมี ความสุขอยา่ งแทจ้ ริง (เพราะไม่ตอ้ งวิตกกงั วลกบั เร่ืองใด ๆอกี แลว้ ) เมือ่ เราสามารถบรรลุภาวะใหม่ และเป็นท่ีตอ้ งการของร่างกาย ร่างกายก็จะ บรรจุโปรแกรมใหม่ ๆ ในระบบการบริหารสมองเขา้ ไปเอง ปัญหา ก็คอื สิ่งท่ีเราพดู ถึง ไม่ไดเ้ กิดข้ึนภายใน 1 เดือน หรือ 1 ปี อยา่ ลมื ว่า พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ใชเ้ วลา และความเพียรพยายามอย่างท่ีสุด เป็น เวลาถงึ 6 ปี จึงคน้ พบ ความลบั ของธรรมชาติน้ี อปุ สรรค หรือ มาร ที่เกิดข้ึนน้นั เป็นเรื่องปกติวิสัยที่มนุษยอ์ ย่างเรา ๆ ทา่ น ๆ จะตอ้ งพบ และต่อสูก้ บั มนั คอื ความเคยชินกบั นิสัยเดิม ๆ ของเรา ที่ทาให้อยใู่ นวงั วน ของความสบายมากกวา่ ความทุกข์ ฉะน้นั มนั จะตอ้ งมกี ารตอ่ ตา้ นเป็นธรรมชาติ ทา่ นที่เคยจะเลิกพฤติกรรมที่เคย ทานเหลา้ หรือสูบบหุ รี่ หรือจะลดความอว้ น โดยการงด และเลอื กบริโภคอาหารก็ดี 37

ยอ่ มเขา้ ใจซาบซ้ึงถงึ แรงต่อตา้ นต่าง ๆ ไดด้ ี นน่ั กค็ อื ตวั ศนู ยอ์ ารมณ์ (Limbic System) ที่มอี ะมิกดาลา เป็นหวั เรือใหญ่ในการสร้างอารมณ์ นอกจากน้ี ยงั มีการหลงั่ ฮอร์โมนที่ช่ือว่า โด๊ปพามนี (Dopamine) ออกมา ทาให้ เราสบายใจ และพอใจอยบู่ ่อย ๆ จนเรา “เสพติด” นน่ั ก็คอื หนา้ ท่ีของเขาตามที่ธรรมชาติสร้างให้มา กจ็ ะตอ้ งมกี ารต่อสู้กนั ดว้ ย การมีสติ และความเพียร รวมท้งั สิ่งท่ีทางพระกล่าวถึงประโยคท่ีว่า “อย่าประมาท” ดว้ ยเหตนุ ้ี เม่ือวตั ถุประสงคข์ องชีวติ เรา ที่พวกเราท่านเลือกท่ีจะเห็นชอบวา่ ควรจะเป็นไปอยา่ งไร นน่ั ก็คือ การก่อกาเนิดของโปรแกรมชีวิตใหม่ ซ่ึงจะประกอบ ไปดว้ ยหมวดปัญญาที่เราควรเห็นและคิดทางชอบ ส่วนการปฏิบตั ิ เพื่อจะบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องการบรรจุโปรแกรมลงไปได้ ตวั ช่วยก็คือ เราตอ้ งประพฤติปฏิบตั ิ “ดว้ ยกาย” ใหเ้ กิดความเคยชิน เหมอื นการฝึกซอ้ ม กีฬาก่อนการแข่งขนั ยงั ไงยงั ง้นั น่ีกค็ ือ หมวดศลี จากน้นั กค็ วรจะใชเ้ วลาทบทวน นงั่ นึกตรึกตรอง ประเมนิ ผลวา่ สิ่งท่ีเราพยายาม ใส่โปรแกรมลงไปใหม่ มอี ะไรขาดตกบกพร่อง นี่คือ การอาศยั หมวดสมาธิ เป็นหลกั 5. ความสัมพันธ์ระหว่าง หลกั อิทัปปัจยตา หลักอริยสัจ 4 และหลักปฎจิ จสมุปบาท ดงั ที่ไดก้ ลา่ วไวแ้ ลว้ ในบทบญั ญตั ิธรรมนิยามว่า ปรากฏการณ์ หรืออุบตั ิการณ์ ท่ีมคี วามสัมพนั ธเ์ ป็นเหตเุ ป็นผล ซ่ึงกนั และกนั หรือที่ทางภาษาองั กฤษเรียกว่า The Law of Cause & Effect น้นั คาอธิบายทางบาลขี องพระพทุ ธองคน์ ่าจะตรงกบั คาว่า อิทปั ปัจยตา 38

จากหลกั ปรัชญาขอ้ น้ี น่าจะนาไปสู่การคน้ พบ และรู้แจง้ ถึงสัจจธรรม ท่ีนามา ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั ลาดบั เป้าหมายของการมีชีวิต ของมนุษย์ “จากการมงุ่ สุข และ หนีทุกข”์ เสียใหม่ มาเป็นการแนะนาสง่ั สอนกระบวนการ “ปลอดทุกข”์ โดยการแก้ ทกุ ขท์ ่ีตน้ เหตุ โดยการไม่มุ่งสุข หรือตัดการม่งุ สุขท่ีเป็ นเจตนาออก และจะไดผ้ ลลพั ธ์ ของการมีความสุขอย่างแทจ้ ริง ฉะน้นั “อริยสจั 4” จึงไดแ้ จง้ เกิด และเป็นการรู้แจง้ ของพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ผา่ นทางปฏิบตั ิ ซ่ึงถอื ว่า เป็นสุดยอดของการเรียนรู้ที่จะไดร้ ับความเขา้ ใจจากการ สมั ผสั ดว้ ยการปฏิบตั ิ ซ่ึงจะมปี ระสิทธิผลมากกว่าจากคาบอกเล่า จากการสอน หรือ จากการอ่านตารา ส่วน ปฎิจจสมุปปบาท เป็นการแสดงกระบวนการของธรรมนิยาม และ อิทปั ปัจยตา ในการแสดงถงึ วฏั จกั รการใชช้ ีวติ ของมนุษยอ์ ยา่ งเรา ๆ ท่าน ๆ โดย พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแจกแจงข้นั ตอนของความสัมพนั ธ์ ซ่ึงเป็นปัจจยั ต่อกนั อยา่ ง ละเอียด ถึง 12 ปัจจยั และ 11 ข้นั ตอน ดงั รายละเอยี ด ต่อไปน้ี 1) เพราะ “ความไมร่ ู้จริง” (อวชิ ชา) เป็นปัจจยั จึงทาให้ “สงั ขาร” เกิดความ นึกคิด และมเี จตจานง ตลอดจนการปรุงแตง่ ตา่ ง ๆ 2) เพราะ “สังขาร” เป็นปัจจยั “วญิ ญาณ” จึงเกิด และทาให้มกี ารรับรู้จากสื่อ ประสาทท้งั 6 3) เพราะ “วญิ ญาณ” เกิด จึงเป็นปัจจยั ของ “นามรูป” ท่ีเรารับรู้ และมองเห็น จากส่ิงเร้าภายนอก 4) เพราะมี “นามรูป” จึงเป็นปัจจยั ต่อสฬายตนะ (ระบบสื่อประสาทของ ร่างกาย) ไดแ้ ก่ มกี ารมองเห็น ไดย้ นิ และสมั ผสั ได้ 39

5) เพราะมี “สฬายตนะ” เกิดข้นึ จึงทาใหเ้ กิด “ผสั สะ” ซ่ึงแปลวา่ ความรับรู้ หรือการสาเหนียก (Perception) 6) เพราะเกิด “ผสั สะ” จึงเกิด “เวทนา” คอื ความรู้สึกจากอารมณ์ท่ีจาได้ (มาจาก “สญั ญา”) 7) เมื่อมี “เวทนา” ทาใหเ้ ป็นปัจจยั ของ “ตณั หา” เนื่องจากมีอารมณ์ติดใจ ท้งั อยากได้ และไมอ่ ยากได้ ของบางสิ่งบางอยา่ ง 8) ตวั “ตณั หา” ทาใหเ้ กิด “อปุ ทาน” แปลว่า ความยดึ ติด ซ่ึงจะหมายถงึ นิสยั ของมนุษยน์ น่ั เอง 9) เพราะมี “อุปทาน” ทาให้เกิด “ภพ” เพราะมีความอยาก และยึดติด จึงติดใจ ทาให้เกิดความรู้สึกมชี ีวติ ชีวา 10) เพราะเกิด “ภพ” ทาให้เกิด “ชาติ” หมายความถงึ ความรู้สึกเป็นตวั ตน ทางกายภาพ หรือท่านระบวุ ่า เป็น “ความปรากฏแห่งขนั ธ์ท้งั หลาย” 11) เพราะ “ชาติ” เกิด จาเป็นตอ้ งเกิดปัจจยั “ชรา มรณะ” เพราะวา่ ไมม่ ี การเกิด กจ็ ะไม่มีการแก่ เจบ็ และตายไปในท่ีสุด ผู้เขยี น มคี วามรู้สึกวา่ ใน 3 ข้นั ตอนสุดทา้ ยน้ี อาจจะมกี ารนาไปกล่าวถงึ ใน กระบวนการท่ีไมน่ ่าจะเป็นเร่ืองของศาสนาพุทธ ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงสั่งสอน นน่ั ก็คือ มนุษยห์ วงั ท่ีจะใชก้ ฎแห่งกรรม เพื่อทาประโยชนใ์ ห้กบั ตวั เอง จนเลย เถิดไป จนลมื ความเป็นไปไดท้ างธรรมชาติ สิ่งท่ีไดย้ ินไดเ้ ห็นอยทู่ วั่ ไป คอื การทาบุญ (ในวดั ) เพอื่ หวงั ผล (ใหต้ วั เอง หรือ ใครก็ตาม) ในชาติหนา้ ซ่ึงสามารถอนุมานไดว้ ่า ผูค้ ดิ เช่นน้ี เช่ือวา่ จะมี “ชาติหนา้ ” หรือไดก้ ลบั มาเกิดอีก 40

เราสามารถพูดไดไ้ หมว่า ทา่ นที่เช่ือเช่นน้ี จะตีความหมายของศพั ทเ์ หล่าน้นั ผิดไปจากความหมายที่ควรจะเป็ น ประการแรก การคน้ พบของพระองคท์ ่าน มีหลกั การอา้ งองิ อยา่ งชดั เจนว่า องิ กฎธรรมชาติ ซ่ึงการคน้ หาความเป็นนิรันดร์โดยไม่ตาย (Immortal) น้ีเป็นสิ่งที่ คน้ หากนั มาต้งั แตก่ ่อนพทุ ธกาล แตธ่ รรมชาติยงั ไมเ่ คยหยบิ ยื่นความเป็นนิรันดร์ หรือ การเกิดใหมใ่ หก้ บั ใคร (Recarnation) โดยที่สามารถพสิ ูจน์ไดท้ างวิทยาศาสตร์ ประการทสี่ อง คือ สิ่งท่ีน่าจะเป็นสิ่งท่ีท่านเรียกวา่ “อวชิ ชา” หรือความไม่รู้ ซ่ึง ผเู้ ขียน เช่ือแน่ว่า พระพทุ ธองค์ ไมม่ ที างท่ีจะระบุชดั เจนไดว้ ่า เราจะมี “ชาติหนา้ ” ใน รูปของการเกิดของชีวิตใหม่ เพราะสิ่งต่าง ๆ ท่ีทรงสั่งสอน มีหลกั การ มีเหตผุ ลทางปรัชญา ที่สามารถพิสูจน์ ไดท้ างวทิ ยาศาสตร์สมอง และพฤติกรรมของมนุษย์ ถา้ หาจะตีความ คาว่า “ชาติหนา้ ” เป็นเสมือนห้วงเวลาท่ีถดั ไปในอนาคต เรายอ่ มจะเห็นความสอดคลอ้ งกบั หลกั คาสอนท่ีเรียกวา่ “กรรม” ซ่ึงในทางปรัชญาโลก กม็ ีกฎของธรรมชาติ ท่ียึดถอื กนั ในบางภมู ภิ าค เช่น อนิ เดีย ทางภาษาองั กฤษ ใชค้ าว่า Law of Karma ถา้ หากศกึ ษาให้ดี ก็ไม่แตกต่างไปจาก Law of Cause and Effect ใน แงท่ ่ีวา่ ถา้ คุณคิดดี และทาดี คุณกจ็ ะไดร้ ับผลดี ในอนาคต (ชาติหนา้ ) อยา่ งนอ้ ยท่ีสุดก็ ไดผ้ ลทางจิตใจ ของคณุ เอง แน่นอนท่ีสุดอยแู่ ลว้ 41

6. ปัจจยั อะไรท่เี ป็ นอุปสรรคในการเผยแผ่ศาสนาพทุ ธให้เป็ นท่ีเข้าใจอย่างถูกต้อง ตวั กลางของการเผยแผ่ ก็คอื การส่ือความ ส่วนการสื่อความท่ีสาเร็จสมบูรณก์ ็ จะมีองคป์ ระกอบต่าง ๆ คอื ตวั ผสู้ ื่อความ ภาษา หรือวิธีการท่ีใชใ้ นการส่ือความ และ สไตลข์ องการส่ือความ (รวมถงึ การเลือกสื่อ) และผรู้ ับการส่ือความ ผมขอยกตวั อยา่ งในเรื่องเทคนิค และความสมบูรณข์ องการส่ือความมาเพื่อการ วิเคราะหเ์ ปรียบเทียบดงั น้ี 1) ผลสาเร็จ หรือผลสาฤทธ์ิ ของการส่ือความ ก็คอื การท่ีผสู้ ่ือความ (ผสู้ ง่ั สอน, ผบู้ อกกล่าว) สามารถส่ือเร่ืองราวความหมาย และความมงุ่ หมาย โดยการใชส้ ื่อกลางท่ี สาคญั ท่ีสุดของมนุษย์ คอื ภาษาให้ผูร้ ับขอ้ ความ (ผเู้ รียน, ผรู้ ับรู้) เขา้ ใจเร่ืองราว และ ความหมายถกู ตอ้ ง ตรงกบั ท่ีผสู้ ่ง หรือผสู้ ่ือตอ้ งการ 2) สาหรับเร่ืองราวน้นั จะเห็นไดว้ า่ คาสอนของศาสนาพทุ ธ ในแงข่ องหลกั การ และเรื่องราว เม่ือศกึ ษาถงึ แกน่ แทแ้ ลว้ จะเห็นไดว้ ่า เป็ นปรัชญาทมี่ ตี รรกะดมี าก และ พระพทุ ธองค์ (ผเู้ ริ่มตน้ สื่อขอ้ ความ) ยงั ทรงตระหนกั ดีถึงสถานะของผรู้ ับขอ้ ความตา่ ง ๆ ว่ามรี ะดบั ความรู้ และความเขา้ ใจต่างกนั อปุ มาดง่ั สภาพของดอกบวั ในผนื น้า บา้ งก็ อยใู่ ตน้ ้า ปร่ิมน้า หรือบา้ งก็อยเู่ หนือน้า ฉะน้นั ผูท้ ่ีรับหนา้ ที่สื่อความตอ่ (สาวก) จะตอ้ งเขา้ ใจ และเลือกชนิดของ ขอ้ ความใหเ้ หมาะสมกบั ชนิดของผรู้ ับขอ้ ความ 3) จะเห็นไดว้ า่ ปัญหาในเรื่องน้ี อยทู่ ี่วิธีการส่ือ และการเลอื กใชภ้ าษาท่ีสาวก นามาสืบสานตอ่ ผมก็พอจะเขา้ ใจไดบ้ า้ งว่า หมู่สงฆอ์ ยากจะรักษาจารีตประเพณีใน 42

การใชส้ วดเป็นภาษาบาลี อาจจะดูดี และขลงั แตว่ ่าทา่ นจะตอ้ งตระหนกั ดว้ ยวา่ การใช้ ภาษาบาลีน้นั จะเหมาะสาหรับวัฒนธรรมทีใ่ ช้ภาษาบาลเี ท่าน้นั จาเป็ นไหม ท่จี ะต้องนามาใช้ในหมู่พระสงฆ์ไทยด้วย อย่าว่าแต่พลเมืองไทยเลย อปุ มาเหมอื นการเรียนจากตาราภาษาองั กฤษ ถา้ อยากจะเช่ียวชาญก็ให้ไปศกึ ษา ต่อตา่ งประเทศ เช่น องั กฤษ ออสเตรเลยี หรือ สหรัฐฯ ส่วนคนไทยกส็ ามารถเรียนรู้วชิ าการน้นั ๆ โดยการนามาแปลเป็นภาษาไทยเสีย ให้สมบูรณ์ และถกู ตอ้ ง โปรดอย่าลืมนะ ผมยา้ ในแง่ของผลสัมฤทธ์นิ ะครับ 4) ประเด็นต่อไปท่ีเก่ียวขอ้ ง ก็คอื เร่ืองการเทศน์ที่มีการจดั ทาเป็นเรื่องเป็นราว (สมยั น้ีไม่คอ่ ยไดย้ นิ ) เร่ืองการเทศนน์ ้ี หรือการเทศนก์ ่อนการสวด (เช่นท่ีวดั ชลประทานฯ) และการสวดหนา้ ศพ โดยมีการแปลเป็นภาษาไทยกากบั ดว้ ยบางวดั ซ่ึง กเ็ ป็นเรื่องท่ีดี แตก่ ็ยงั มีการออกเสียงสูงต่า แบบการสวดเดิม ทาให้เขา้ ใจไดย้ าก ฉะน้นั การสวดภาษาบาลีดว้ ย น่าจะยกเลกิ ไปเลยจะไดป้ ระหยดั เวลาดว้ ย 5) ประเดน็ สุดทา้ ย กค็ อื ความสับสนท่ีเกิดจากการนาภาษาบาลมี าแปลเป็น ภาษาไทย เพอ่ื การอธิบาย ก. เม่อื พจิ ารณาจากแก่นทางพทุ ธศาสตร์ ดงั ที่ไดก้ ลา่ วมาแลว้ จะเห็นวา่ หลกั ศาสนาพทุ ธ เป็นหลกั ธรรมชาติ ท่ีสามารถพสิ ูจน์ไดท้ างวทิ ยาศาสตร์ ไมเ่ คยมีการ อวดอา้ งในเร่ืองของความขลงั หรือเวทมนต์ หรือฤทธ์ิเดชใด ๆ ท่ีไร้เหตุ และผล 43

“ความเหนือมนุษย”์ ที่ถูกระบุ มิไดห้ มายถงึ ความสามารถพเิ ศษในการเสกของ ขลงั หรือมองเห็น และทานายอนาคตอะไรไดเ้ ลย แต่ทาไม เราจึงพบเห็นการกล่าวอา้ ง หรือพาดพงิ ถึงลาดบั ของนรก หรือ สวรรค์ เสมอื นหน่ึงมอี ยจู่ ริง ๆ ตามธรรมชาติของวตั ถุ (อุตนุ ิยาม) ทาไมจึงไมด่ าเนินการสังฆายนา การแปล โดยมีสถาบนั ที่ถกู ตอ้ งแปล และ ตีความว่าอะไรเป็นความจริง และอะไรเป็นเพียงแคอ่ ุปมา แล้วเราจะยึดถืออะไรในการสื่อความให้ชาวบ้านเข้าใจอย่างถกู ต้องกันแน่ ข. จะขอยกตวั อยา่ งมากมาย ท่ีเรานาภาษาบาลี (ทานองเดียวกนั กบั ท่ีพระพุทธ องคท์ รงใช)้ ในความหมายของหลกั ศาสนามาใชใ้ นความหมาย ของคฤหสั อย่างเรา ๆ ทา่ น ๆ เป็นตน้ ว่า - คาว่าทุกขข์ องทา่ น กบั ทกุ ขข์ องเรากต็ า่ งกนั ส่วนสุขของเรา กค็ อื ทุกขข์ อง ทา่ นดว้ ย - คาวา่ เวทนาของทา่ น แปลวา่ การรับรู้ แตข่ องเราเอามาใชใ้ นกรณีท่ีมี ความรู้สึกน่าสงสาร น่าเห็นใจ - คาว่าสงั ขารของท่าน แปลได้ 2 ความหมาย แต่ความหมายท่ีสาคญั หมายถึง เจตนา และความคิดของสมอง แต่ของเรานามาใชแ้ สดงองคป์ ระกอบของร่างกาย เท่าน้นั - คาว่าบญุ ของท่าน มจี ดุ หมายปลายทางอยทู่ ี่การให้จิตใจสงบ และสบายใจ แต่ บุญของเรา ตอ้ งไปทาที่วดั จึงจะเรียกว่าทาบุญ 44

- คาวา่ บาป นรก หรือสวรรค์ ก็อย่างท่ีไดก้ ล่าวไวแ้ ลว้ ว่า มนั ควรจะแสดงดีกรี ของความรู้สึกชวั่ ดี แต่ถกู นามาใชอ้ นุมานให้เห็นเป็นรูปธรรม - คาว่าภพ และชาติ ซ่ึงหมายถึงสภาวะและระยะเวลาของการเกิด กถ็ กู ทาให้ เขา้ ใจไขวเ้ ขวว่าเป็นตวั ตน หรือสถานท่ีท่ีจะตอ้ งไปเกิดใหม่ 7. เร่ืองของการปฏบิ ัตศิ ีล และปฏิบตั ิธรรม ขอ้ คิดเห็นอนั ดบั สุดทา้ ย กจ็ ะเป็นเรื่องของความเขา้ ใจในการปฏิบตั ิศีล และการ ปฏิบตั ิธรรม ปจุ ฉาก็คือวา่ อะไรคือคาจากดั ความของคาว่า “การปฏิบตั ิศีล” และอะไร คอื จากดั ความของคาว่า \"การปฏิบตั ิธรรม” ปฏิบตั ิอยา่ งไรเรียกว่าปฏิบตั ิศลี และปฏิบตั ิ อยา่ งไรเรียกวา่ ปฏิบตั ิธรรม และเราจะปฏิบตั ิไปเพ่ือจดุ มุ่งหมายอะไร การปฏิบตั ิธรรม กาลงั เป็นแฟชน่ั ที่บางทา่ นไป กย็ งั ไมเ่ ขา้ ใจวา่ ไปเพื่ออะไร หรือมจี ุดม่งุ หมายอะไร รู้แตว่ า่ ไปทาแลว้ สบายใจดี ถา้ คาวา่ ธรรม หรือ ธรรมะ หมายถงึ ความเป็นธรรมชาติ หรือกฎเกณฑข์ อง ธรรมชาติ การปฏิบตั ิธรรม ก็น่าจะเป็นคลั ลองของชีวิตท่ีพวกเราทุกคนจะตอ้ งทาทุก วนั อยแู่ ลว้ เพยี งแต่ว่า บางคนอาจจะมีเป้าหมายท่ีแตกตา่ งกนั บางคนอาจรู้ และมีเป้าหมาย แต่ไมป่ ฏิบตั ิ หรือบางคนไมร่ ู้ และไมม่ ีเป้าหมายเลยไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิ แต่ส่ิงทที่ กุ คนกาลงั เผชิญหน้าในการปฏิบัตธิ รรม ประจาวนั ตามแนวทาง ธรรมชาตขิ องมนุษย์ กค็ ือ ม่งุ สุข และหนที ุกข์ 45

การยอมรับว่าตัวเองนบั ถือศาสนาพทุ ธ และได้มีการฝึ กหดั ปฏบิ ตั ศิ ีล (ถือศีล กข่ี ้อกแ็ ล้วแต่) ไม่ใช่การปฏบิ ตั ธิ รรมอย่แู ล้วหรือ จะตอ้ งให้ไปปฏิบตั ิธรรมแบบไหนอกี ล่ะ อยา่ งที่กลา่ วไวข้ า้ งตน้ ถา้ จะปฏิบตั ิธรรมตามแนวพระพทุ ธองคต์ อ้ งระบุว่าเป็น การปฏิบตั ิโลกตุ ระธรรม โดยมเี ครื่องมอื ช่วย กล่าวคอื สมาธิ และการวิปัสสนา ท้งั น้ี เพื่อมุ่งสู่การรู้จกั ตวั เอง และธรรมชาติ (การทางานของสมองและร่างกาย) อยา่ งแทจ้ ริง นนั่ ก็คอื การมงุ่ สู่ “ความแจง้ ” หรือ “ความต่ืนรู้” (พุทธะ) ของความสมั พนั ธ์ทาง ธรรมชาติอยา่ งแทจ้ ริง การรับรู้ที่เกิดข้ึน และสาเหนียกไดจ้ าก “จิต” (เชิงศาสนา) หรือ การทางานของ สมอง (เชิงวทิ ยาศาสตร์) ฉะน้นั จติ ไม่ใช่ตัวพุทธะ อยา่ งท่ีนิกายบางนิกายกล่าวถงึ แต่ จติ รับรู้พุทธะได้เม่ือได้รับการฝึ กฝนอย่างดีแล้ว ในขณะเดียวกนั จิตแทแ้ ละบริสุทธ์ิจริง ก็แทบจะหาทายาไดย้ าก ยกเวน้ จิต แรกเกิด และจิตหลงั จาก “การปฏิบตั ิธรรม” อยา่ งแขง็ ขนั เป็นเวลานานหลายสิบปี (อยา่ ลืมว่า พระพทุ ธเจา้ ทรงใชเ้ วลา 45 ปี เหมือนกนั ) จนเขา้ ข้นั นิพพาน กล่าวโดยสรุป กค็ ือ เนื่องจากตวั ความหมาย (คาแปลหรือคาจากดั ความ หรือ ภาษาท่ีใช)้ เองก็ยงั กอ่ ใหเ้ กิดความสับสนในหมพู่ ทุ ธศาสนิกชน ผสมผสานกบั วธิ ีการ สื่อความท่ีไม่เหมาะสม ทาใหเ้ กิดองคค์ วามรู้ แบบงู ๆ ปลา ๆ เลยเถิดกนั ไปใหญ่วา่ อะไรคอื สิ่งท่ีถกู ตอ้ ง ฉะน้นั ผมจึงอยากใหท้ า่ นผอู้ ่านไดม้ ีโอกาสรับทราบหลกั การ วธิ ีคดิ และวธิ ี การมอง “แก่นพุทธศาสนา” ในมุมมองของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (ซ่ึงลา้ หลงั กว่า 46

2564 ปี ) และไดน้ าไปไตร่ตรองดู โดยการปลอ่ ยวาง “ความขลงั ” และการแปลผิด ๆ ของคานิยามบางคา เพ่ีอที่จะช่วยให้พวกเราเขา้ ใจ และช่วยกนั ผลกั ดนั ให้เกิดการ ส่ือความท่ีมีผลสัมฤทธ์ิตอ่ การเผยแผศ่ าสนาที่ดีท่ีสุดในโลก และมีโอกาสเป็น “ศาสนา ของจกั รวาล” ศาสนาหน่ึง เรื่องการประพฤติปฏิบตั ิศีลน้นั ทกุ คนคงเขา้ ใจกนั ดีอยแู่ ลว้ ผเู้ ขียนขอย้าเพียงแต่ วา่ เรามงุ่ ปฏิบตั ิศลี ไมว่ ่าจะปฏิบตั ิกนั กข่ี อ้ ก็ตามแต่ กเ็ พือ่ วตั ถุประสงคท์ ่ีจะบรรลุธรรม อยแู่ ลว้ แต่เป็นระดบั ธรรมที่จดั อยใู่ นข้นั “โลกียะธรรม” หรือเป็นธรรมท่ีคฤหสั ถ์ หรือ ประชาชนอยา่ งเรา ๆ ท่าน ๆ พึงปฏิบตั ิ ส่วนการปฏิบตั ิธรรมน้นั ถา้ แปลเอาความกนั ตรง ๆ ก็คือ การประพฤติปฏิบตั ิ ตวั ตามธรรมชาติ หรือตามธรรมดาของโลก ซ่ึงถา้ แปลความหมายไปอยา่ งน้ี คงไม่ น่าจะใช่ ผเู้ ขียน กไ็ ดแ้ ต่หวงั ว่า พทุ ธศาสนิกชนที่นิยมกนั “ปฏิบตั ิธรรม” ไม่ไดท้ าเพราะ เป็นแฟชนั่ ” แต่มีความเขา้ ใจดีว่า ไปทาดว้ ยความมุ่งหมายอะไร อยา่ ไดส้ าคญั ผิดในสาระสาคญั โดยการยึดถอื เป้าหมายปลายทางเป็นสรณะ มากกว่าการได้รับผลจากกระบวนการทีเ่ ราสามารถทาได้ และรับทราบผลได้ ทกุ เม่ือ เชื่อวัน “การปฏิบตั ิธรรม” ในแนวท่ีพระพุทธเจา้ ทรงกาหนด น่าจะเป็นแนวทางของ “โลกตุ ระธรรม” ซ่ึงจะมีเป้าหมายของการไมด่ าเนินชีวิตตามธรรมชาติ ที่มุง่ สุข และ หนีทุกขใ์ นทางที่ผดิ (ในสายตาของพระพุทธองค)์ 47

นน่ั กค็ อื เรื่องของหมู่สงฆ์ ที่เป็นสาวก และอยากคน้ พบความเป็น “พทุ ธ” ตาม แนวทางของพระพุทธเจา้ ซ่ึงจะมีอนั ดบั ของการช้ีวดั ต่าง ๆ ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ และขอให้พึงเข้าใจว่า ผลพวงท่ไี ด้รับจากกระบวนการ “ปฏิบัติธรรม” จะมี ความสาคัญมากไปกว่าเป้าหมายทางโลกิยะธรรมท่ีได้กาหนดไว้ เวลาจะไปปฏิบตั ิธรรม ก็ขอใหม้ จี ุดมงุ่ หมายวา่ ตอ้ งการอะไร ถา้ เป้าหมาย คือ ความสุข และความพอใจในระยะส้ัน ๆ ก็ไมจ่ าเป็นตอ้ งไปปฏิบตั ิธรรม แค่ปฏบิ ตั ิศลี ก็ ถือวา่ เป็นการปฏิบตั ิธรรมอยา่ งหน่ึงแลว้ แตถ่ า้ ไปปฏิบตั ิธรรม แต่ไมป่ ฏิบตั ิศีล ผลพวงท่ีจะไดก้ ็แคช่ ่วงที่ไปนง่ั ปฏิบตั ิ จะ ไมส่ ่งผลระยะยาวอะไรเลย เพราะกลบั มาใชช้ ีวิตตามปกติ กจ็ ะมีแต่ความวุ่นวายใจ เหมอื นเดิม ฉะน้นั ถา้ จะเลอื กเดินตามแนวของการปฏิบตั ิตาม โลกตุ ระธรรม ตอ้ งมีศลี สิกขาเสียกอ่ น แลว้ ไปใช้ “สมาธิสิกขา” ช่วยในการนง่ั วิปัสสนา คาถาม กค็ ือ วธิ ีน้นั เป็นส่ิงที่พวกคุณท่ีไม่ใช่พระสงฆ์ ประสงคเ์ ลอื กหรือ? เม่ือพูดถึงเร่ืองน้ี ขอขยายความให้คลอบคลุมถึงแนวทางในการรับ “พระพทุ ธศาสนา” มาเป็นศาสนาประจาชาติไทยเรา ผเู้ ขียน เช่ือว่า ยงั มพี ทุ ธศาสนิกชน อีกจานวนมากที่ยงั สบั สน หรือสาคญั ผิดใน ความสาคญั ของสาวกท่ีมีศรัทธาแรงกลา้ ในการออกมาบวชเป็นพระ ซ่ึงขณะน้ี สามารถแยกออกไดเ้ ป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ พวกท่ีเลอื กวธิ ีปลีกวเิ วก ไปจาวดั ป่ าบา้ ง หรือไปธุดงคบ์ า้ ง ท้งั น้ีเพ่ือยดึ ถอื เป้าหมาย “โลกุตระธรรม” เป็นสรณะ และพวกท่ีออก บวช และเลือกจาวดั ท่ีอยใู่ นเขตเมอื ง และปฏิบตั ิหนา้ ที่ในการเป็นตวั แทนพระพุทธเจา้ 48

ในการดาเนินกิจกรรมท่ีเก่ียวกบั ศาสนกิจของชาวบา้ น เช่นการสวดหนา้ ศพ การทา สงั ฆทาน การทาบญุ ข้นึ บา้ นใหม่ การรับผา้ ป่ า หรือกฐิน เป็นตน้ กิจกรรมในการสั่งสอน และเผยแพร่ ซ่ึงสมยั กอ่ น จะมีการเทศน์ ก็จะหายไป (ยกเวน้ วดั บางวดั เช่นวดั ชลประทาน) คงเหลอื แคศ่ ีลหา้ นาหนา้ พิธีเท่าน้นั ตกลง กเ็ ลยตดั สินใจไม่ได้ ใครจะขลงั กว่าใคร และในแง่ไหน กิจกรรมสงฆใ์ นส่วนหลงั น้ี เป็นผลทาให้เกิดการขยายตวั ทางโครงสร้างของวดั ทางวตั ถุ เพื่อตอบสนองกบั กิจกรรมทางสงั คม และวฒั นธรรมมากไปกว่า การอบรม จิตใจผา่ นการอบรมทาง “ศีล” และทาง “ธรรม” ถึงจะมีอยใู่ นการสวดต่าง ๆ แต่ก็เป็นภาษาบาลี ที่พวกคฤหสั ถไ์ ม่เขา้ ใจ นี่ก็คือ ประเดน็ ท่ีผมไดก้ ลา่ วถงึ ไปแลว้ ส่วนการสนองความตอ้ งการของพทุ ธศาสนิกชน ที่ไมค่ ่อยเขา้ ใจแกน่ ของ ศาสนา แต่ไปผกู ติดอยกู่ บั กิจกรรมเสริม ทาให้เกิดการหมุนเวียนของ “เงินสด” ใน บญั ชีวดั ต่าง ๆ ซ่ึงตอ้ งการ และทาให้เกดิ ความสะดวกในการเลือกใชจ้ า่ ย ความสะดวกอนั น้ีแหละ คอื ตวั ปัญหาในส่วนที่วา่ ใครเลือกที่จะตดั สินทาอะไร กบั ความสะดวกน้ีแตกต่างไปตามนโยบายของ “คณะกรรมการวดั “ เพราะเงินประเภท น้ี ไม่มรี ะเบียบขอ้ บงั คบั กาหนดไว้ เหมือนอย่างเงินที่ทางราชการจดั สรรให้ ขอ้ สรุปส้นั ๆ กค็ ือว่า กลุ่มสงฆก์ ลุ่มน้ี มีความสาคญั อยา่ งยิ่งต่อการคงอยู่ และ การเจริญเติบโตของศาสนาพทุ ธ ในทางท่ีถกู ตอ้ งท้งั ในแง่ของการใหค้ วามรู้ และในแง่ ของศรัทธา ท่ีเราจะมีตอ่ สาวกของพระพทุ ธองค์ 49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook