48 - องคก์ ารอนามัยโลกไดก้ าหนดให้การตัง้ ครรภ์ท่ีมคี ุณภาพแม่ต้องมาฝากครรภ์ อย่าง น้อย 5 ครั้ง โดยคร้ังแรกนั้นต้องมาก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ซ่ึงในพื้นที่ชายแดน ใต้พบว่ามีแม่ตั้งครรภ์ร้อยละ 70 เท่าน้ันท่ีสามารถเข้าถึงการฝากครรภ์ตามเกณฑ์ องคก์ ารอนามัยโลก โดยสาเหตุสาคญั ทท่ี าให้แม่ตง้ั ครรภ์ไม่สามารถมาฝากครรภ์ได้ ตามกาหนด ได้แก่ อุปสรรคในการเดินทางมารับบริการที่โรงพยาบาล แม่ตั้งครรภ์ จานวนหนึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายในการรับบริการทางการแพทย์และยินดีท่ีจะคลอดกับ หมอตาแยในชุมชนเพอื่ ลดรายจา่ ย - ภาวะซีด (Anemia) ในแม่ตั้งครรภ์ของจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสอยู่ท่ี รอ้ ยละ 18.4 16.1 และ 17.2 ตามลาดับ ซง่ึ สง่ ผลโดยตรงตอ่ ความสมบรู ณ์ของเด็ก ในครรภ์ สาเหตุสาคัญของภาวะนี้ในพื้นที่ชายแดนใต้เกิดจากการได้รับสารอาหาร ไม่เพียงพอและการพบพยาธิในระบบทางเดนิ อาหาร - ความเชื่อของประชาชนในพื้นท่ีเก่ียวกับการดูแลครรภ์และการดูแลแม่หลัง ต้ังครรภ์ไม่เป็นไปตามคาแนะนาทางการแพทย์สมัยใหม่ เช่น การห้ามหญิง ต้ังครรภ์ทานยาบารุงครรภ์ (ธาตุเหล็ก และวิตามินรวม) เพราะเช่ือว่าจะทาให้เด็ก ในครรภ์พิการ ห้ามการทานเน้ือสัตว์ ฟักทองและอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุอาหาร อีกหลายรายการเพราะเชื่อว่าหากทานอาหารเหลา่ น้จี ะทาใหแ้ ผลคลอดหายช้า - ภาวะต้ังครรภ์ขาดคุณภาพ ปัญหาระหว่างการคลอดและภาวะขาดสารอาหารใน แม่ตง้ั ครรภ์นามาส่ภู าวะน้าหนักแรกคลอดตา่ ของเด็กทเ่ี กดิ ในพ้ืนท่ี สิง่ น้ีไดโ้ อกาสท่ี เดก็ 0-5 ปีจะมภี าวะเตยี้ แคระแกรน็ และผอมมากขนึ้ ถึง 4 เท่า - การใช้ชีวิตในพื้นท่ีที่มีการก่อเหตุความไม่สงบเพิ่มความเส่ียงของการได้รับ สารอาหารไม่สมบรู ณ์ถึง 2 เทา่ - แมล่ กู ออ่ นไมส่ ามารถให้นมบุตรครบ 2 ปี อย่างสมบรู ณ์ได้ - เด็ก 2-5 ปี บริโภคอาหารขยะ โดยพบว่าเด็กบริโภคคาร์โบไฮเดรตจากขนมขบ เคยี้ วมากถงึ 1 ใน 4 ของสารอาหารท่ตี อ้ งการทัง้ วัน - การพบพยาธิในระบบทางเดินอาหารในเด็กอายุต่ากวา่ 3 ปี และการตรวจหาพยาธิ ในเด็กอายุต่ากว่า 5 ปี ยังไม่บรรจุเป็นสิทธิการรักษาในระบบหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า จึงทาให้เด็กในพ้ืนที่ชายแดนใต้จานวนหนึ่งไม่ได้เร่ิมรับการรักษาการติด เชื้อพยาธซิ งึ่ เปน็ สาเหตุหนงึ่ ของการขาดสารอาหาร
49 - อัตราฟันผใุ นเด็กอายุ 9 12 18 และ 24 เดอื น ในพ้นื ท่ีชายแดนใต้เท่ากบั ร้อยละ 2 19 67 และ 84 ตามลาดับ ซ่ึงการมีฟันผุทาให้เด็กกินได้น้อยลงและนาไปสู่ภาวะ ทุพโภชนาการ สาเหตุท้ังหมดน้ันดาเนินเป็นวงจรที่ซ้าแล้วซ้าอีกหลายสิบปี แม้จะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยตรง แต่กระน้ันตามก็ยังขาดการบูรณาการการขับเคลื่อนกระบวนการแก้ปัญหาให้เป็น กระบวนการทีส่ อดคลอ้ งไปทงั้ ระบบเดยี วกัน ในการนี้คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีซึ่งเป็น หน่วยงานที่มีนักวิชาการด้านโภชนาการและอนามัยในเด็กและมีพันธกิจในการบริการสาธารณะได้ มองเห็นปัญหาการขาดโภชนาการในเด็กอายุ 0-4 ปี เป็นปัญหาสาคัญในพ้ืนที่จึงได้ร่วมกับศูนย์ อานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในฐานะหน่วยงานซ่ึงเป็นศูนย์กลางการพัฒนาที่ เช่ือมโยงยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวดั ชายแดนภาคใต้ของกระทรวงและหน่วยงานท่ี มีหน้าที่สู่พื้นที่และเชื่อมโยงภารกิจของหน่วยงานในพื้นท่ีให้เกิดการบูรณาการทางานร่วมกันแบบไร้ รอยต่อทุกมิติเพื่อหนุนเสริมกระบวนการทางานได้ตระหนักถึงความเดือนร้อนของประชาชนอันเกิด จากภาวะขาดโภชนาการในเด็กและได้เล็งเห็นร่วมกันว่าปัญหาน้ีจาเป็นต้องดาเนินการแก้ไขปัญหา อย่างเร่งดว่ น ทั้งนี้ภารกิจที่ทางคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และ ศูนย์อานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้จะร่วมกันจัดทาขึ้นครั้งนี้ได้สนับสนุนยุทธศาสตร์การ พัฒนาด้านสังคม กลยุทธ์ที่ 1 การสร้างสังคมเข้มแข็ง แนวทางที่ 4 การจัดการภัยคุกคามในชุมชน เป้าประสงค์ ภาคีทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใตม้ ีสว่ นร่วมอย่างเข้มแข็งในการเสริมสรา้ ง และพฒั นาคุณภาพชวี ติ และการเสรมิ สร้างสภาพแวดลอ้ มสงั คมให้เอ้ือต่อการมีคุณภาพชีวติ ทีด่ ี มพี ื้นที่ หรือชุมชนต้นแบบ ชุมชนน่าอยู่และสันติสุขกระจายอยู่ทุกพ้ืนท่ีของจังหวัดชายแดนภาคใต้สอดคล้อง กับเป้าหมายแผนบูรณาการขับเคล่ือนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 แนวทางการดาเนินงานท่ี 2 ด้านการพัฒนา มุ่งให้ประชาชนในพื้นที่ พึ่งพาตนเองได้ด้วยหลัก ประชารัฐและตัวชี้วัดแนวทางแผนบูรณาการ ประชาชนในพื้นท่ีได้รับบริการจากภาครัฐที่ส่งผลให้มี คุณภาพชีวิตเพิ่มสูงข้ึน ดังนั้น คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือนศูนย์อานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงจดั ทา “โครงการพฒั นานกั จัดการจัดการปญั หาโภชนาการสาหรับเด็กทุพโภชนาการในพน้ื ที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้” เพ่อื แก้ไขวงจรทเี่ ลวรา้ ยดงั กล่าวและพัฒนาคุณภาพชีวติ ของเด็กในพน้ื ท่ใี หด้ ยี ง่ิ ข้ึน
50 คาแนะนาเรื่อง “ขนมและอาหารว่างสาหรับเด็ก 2 ปีข้ึนไป” ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ แห่งประเทศไทย วยั เด็กเป็นวัยทีต่ ้องการสารอาหารในปริมาณสูง เมือ่ เทียบกบั ขนาดของร่างกายแล้วกระเพาะ มีขนาดเล็ก การรับประทานอาหารเพียง 3 ม้ือหลัก เด็กจึงไม่สามารถได้รับสารอาหารครบถ้วน ใน ปริมาณที่ร่างกายต้องการเพื่อการเจริญเติบโต ขนมและของว่าง นอกจากจะช่วยเสริมความสุขใน ชีวิตประจาวันของเด็กแล้ว ยังเป็นส่วนเสริมให้เด็กได้รับสารอาหารท่ีมีคุณค่าจาเป็นต่อร่างกายด้วย โดยสัดส่วนท่ีพอเหมาะสาหรับพลังงานท่ีเด็กควรได้รบั จากการรับประทานอาหารวา่ งควรอยู่ท่ีรอ้ ยละ 20 เมือ่ เทียบกับพลงั งานทีไ่ ดร้ บั จากการรับประทานอาหารทั้งหมดในแตล่ ะวนั แต่ข้อมูลจากการสารวจการรับประทานอาหารว่างของเด็กในปัจจุบันพบว่า เด็กเล็กอายุ ระหว่าง 3-5 ปี ได้รับพลังงานจากอาหารว่างและขนมมากกว่าท่ีควรได้รับ ทาให้ร่างกายได้รับ สารอาหารท่ีมีประโยชน์จากอาหารมื้อหลักลดลง นอกจากน้ีแล้ว ขนมและของว่างท่ีเด็กไทยนิยม รบั ประทานมีสว่ นประกอบของแป้ง ไขมันและน้าตาลในปริมาณมาก เช่น ขนมถงุ /ขนมซอง นา้ อัดลม ส่งผลให้เด็กไทยมีปัญหาโภชนาการเกินและเป็นโรคอ้วนเพิ่มข้ึนเป็นอย่างมาก พ่อ แม่ และผู้ดูแลเด็ก จงึ ควรใส่ใจกับขนมหรือของว่างทีจ่ ัดใหแ้ ก่เด็ก โดยเลือกสรรขนมและของว่างให้มีคุณค่า มสี ารอาหาร ท่ีจาเป็นและจัดให้ในปริมาณท่ีเหมาะสมไม่มากเกินไปจนอาจทาให้เด็กน้าหนักเกินหรือเด็กอ่ิมจนไม่ อยากกินอาหารม้อื หลักท่จี าเป็นแกร่ ่างกายจนทาให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยร่วมกับสถาบันวิจัยโภชนาการและมูลนิธิ สาธารณสุขแห่งชาติ มีขอ้ แนะนาในการเลอื กขนมและอาหารวา่ งแกเ่ ด็ก ดังน้ี 1. เด็กควรได้รับอาหารมื้อหลักวันละ 3 ม้ือ นมวันละ 2-3 แก้ว (ควรเลือกเป็นนมจืด สาหรับเด็กทั่วไปและนมจืดพร่องมันเนยสาหรับเด็กท่ีน้าหนักเกินหรืออ้วน ไม่ แนะนาใหบ้ รโิ ภคนมหวานหรือนมปรงุ แต่ง) และอาหารว่าง 2. อาหารว่างเป็นอาหารท่ีบริโภคระหวา่ งอาหารมื้อหลักควรบริโภคอาหารว่างไม่เกนิ วันละ 2 มอื้ แตล่ ะมือ้ ใหพ้ ลงั งานไม่เกินร้อยละ 10 ของพลงั งานทีต่ ้องการในแต่ละวัน น่ันคือสาหรับเด็กเล็ก (อายุ 2-5 ปี) ไม่เกินมื้อละ 100-130 กิโลแคลอรี เด็กวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี) ไมเ่ กนิ มื้อละ 150 กิโลแคลอรี เดก็ วยั รุ่น (อายุ 13-15 ปี) ไมเ่ กินม้ือละ 200 กิโลแคลอรีหรอื โดยเฉลยี่ มื้อละ 100-150 กโิ ลแคลอรีสาหรับเด็กอายุ 2-15 ปี 3. อาหารว่างที่ดีควรจากัดปริมาณน้ามัน น้าตาลและเกลือไม่ให้สูงเกินไป (แสดงใน ตาราง) และควรมีสารอาหารที่จาเป็นต่อร่างกายต่อไปน้ี ได้แก่ โปรตีน เหล็ก แคลเซยี ม วิตามนิ เอ วิตามินซี วติ ามนิ บี 1 วิตามินบี 2 หรือใยอาหารไม่นอ้ ยกว่า 2 ชนิด โดยแต่ละชนดิ มีปรมิ าณไม่ต่ากว่ารอ้ ยละ 10 ของปริมาณท่ีควรไดร้ บั ต่อวัน
51 4. ควรรบั ประทานอาหารวา่ งห่างจากมอ้ื อาหารหลกั อย่างน้อย 1 ชว่ั โมง 5. ไมค่ วรใชอ้ าหารหรือขนมเป็นเงื่อนไขของการใหร้ างวัลหรือการลงโทษ ตารางที่ 10 ปริมาณสารอาหารที่ควรจากัดในอาหารว่าง สารอาหารท่คี วรจากดั ในอาหารวา่ ง ปริมาณในแตล่ ะวันไม่เกิน ปริมาณในแต่ละมื้อไมเ่ กนิ นา้ มนั 5 กรัม 2.5 กรัม หรอื ครง่ึ ช้อนกาแฟ นา้ ตาล 24 กรมั 12 กรมั หรอื 3 ช้อนกาแฟ 200 มิลลิกรัม 100 มิลลิกรัม หรือ โซเดยี ม 1/10 ชอ้ นกาแฟของเกลอื ธรรมดา หรอื 1/30 ชอ้ น กาแฟของเกลือปรุงทิพย์ อาหารว่างมีหลายประเภทในแต่ละประเภทยังมีหลากหลาย อาหารว่างแต่ละประเภท แต่ละชนดิ มคี ณุ ค่าสารอาหารแตกต่างกนั ดงั น้ี 1. ผลไมส้ ด เป็นอาหารว่างท่ีมีประโยชน์ มีแร่ธาตุ ใยอาหารและวิตามินสูง ผลไม้ที่เหมาะสม สาหรับเปน็ อาหารวา่ ง ได้แก่ กล้วย สม้ มะละกอ ฝร่งั ชมพู่ เปน็ ตน้ (ตวั อย่างของผลไม้ 1 สว่ น บริโภค : กลว้ ยนา้ วา้ 1 ผล สม้ 1 ผล ผลไมต้ ัดเปน็ ช้นิ 1 จานเล็ก หรือ 6-8 คา) หลกี เลี่ยงการบริโภคผลไม้ที่มี รสหวานจัดบ่อย เช่น ทุเรียน ลาไย ขนุน เป็นต้น หรือให้เป็นผลไม้อบแห้งท่ีไม่เติมน้าตาลไม่เกิน 6-8 คา เช่น กล้วยตาก (ชนดิ ไมช่ บุ นา้ ผง้ึ ) เปน็ ตน้ 2. เคร่ืองด่ืม ส่ิงท่ีเด็กต้องการคือน้าอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว โดยเด็กได้รับจากน้าเปล่าจาก อาหาร เช่น น้าแกงจืด นม และเครื่องดื่มอื่น ๆ เคร่ืองด่ืมที่เหมาะสมสาหรับเด็กไม่ควรมีน้าตาลเกิน ร้อยละ 5 ตัวอย่างเครื่องด่ืม เช่น นมเปรี้ยวพร้อมดื่มซ่ึงมีนมเป็นส่วนประกอบเพียงครึ่งเดียวและมี น้าตาลสูงเทียบเท่าน้าอัดลม ควรให้นาน ๆ ครั้งหรือไม่ควรบริโภคเลยในเด็กท่ีมีน้าหนักเกินหรืออ้วน น้าผลไม้สดบางชนิดท่ีไม่เติมน้าตาล เช่น น้าส้ม น้าฝร่ัง เป็นแหล่งอาหารท่ีดีของวิตามินซี หากล้าง ผลไม้ให้สะอาดและค้ันให้เด็กดื่มทันที แต่น้าผลไม้สาเร็จรูปหรือน้าผลไม้ท่ีขายตามร้านท่ัวไปมักเติม น้าตาลและบางชนิดมีน้าตาลสูง จึงควรเลือกชนิดที่มีน้าผลไม้แท้เป็นส่วนผสมไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 และเติมน้าตาลไม่เกินร้อยละ 5 โดยดื่มวันละไม่เกิน 1 แก้ว หรือไม่เกิน 1 กล่องเล็กต่อวันแต่ควรให้ เป็นผลไม้สดดีกว่า น้าอัดลมไม่แนะนาให้บริโภค เนื่องจากมีน้าตาลสูงและมีกรดฟอสฟอริกซึ่งอาจจะ ทาใหเ้ กดิ เนือ้ ฟนั กร่อนหรือกระดูกกร่อนได้
52 3. ของว่างจาพวกเบเกอรี่ ควรเลือกขนมปังกรอบชนิดที่มีใยอาหารสูงคือชนิดท่ีทามา จากโฮลวีท หลีกเลย่ี งขนมทม่ี ไี ขมันสูงและรสหวานจัด เช่น คกุ้ ก้ี พัฟ พาย เค้กหน้า ครมี เปน็ ตน้ 4. ขนมซองหรือขนมถุง หลีกเลี่ยงขนมกรุบกรอบที่มีแป้งหรือไขมันสูง เช่น มันฝร่ัง ทอด ข้าวเกรียบ ถ้าจะบริโภคให้เลือกชนิดที่มีโปรตีนสูงแทน ไดแ้ ก่ ปลาเส้น เมล็ด พืชอบ เชน่ ถวั่ อบกรอบ เมล็ดทานตะวันอบ เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม เปน็ ตน้ 5. ถ่ัว พชื หวั และธัญพืช ให้ถั่วต้มหรอื ถ่วั อบแทนถ่ัวทอด มัน/เผอื กตม้ แทนเชื่อม ฉาบ ขา้ วโพดตม้ แทนข้าวโพดคั่วอบเนย เปน็ ตน้ 6. ลูกกวาด ลูกอม ช็อคโกแลต นมอดั เมด็ เปน็ ขนมที่ควรหลีกเล่ียงอย่างย่ิงเน่ืองจากมี นา้ ตาลสงู เส่ียงต่อฟันผุ และภาวะโภชนาการเกิน 7. ไอศกรีม ควรให้นาน ๆ คร้ัง ให้เลือกไอศกรีมที่มีไขมันต่า เช่น ไอศกรีมหวานเย็น (ที่ไมแ่ ต่งสีจดั ) ไอศกรมี เชอรเ์ บท โยเกริ ต์ แขง็ เป็นตน้ 8. ขนมหวานของไทย ขนมไทยหลายอย่างมีประโยชน์เน่ืองจากมักนาธัญพืช ถั่ว ผัก ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบ การบริโภคให้เลือกชนิดที่มีน้ามันน้อยหรือกะทิ/ มะพร้าวน้อยและไม่หวานจัด เช่น ถ่ัวแปบ ข้าวต้มมัด ขนมตาล ขนมกล้วย เม็ด ขนุน ถ่ัวเขียวต้ม เต้าส่วน เป็นต้น หลีกเล่ียงขนมหวานไทยบางชนิดท่ีมีกะทิหรือ น้าตาลเข้มข้น เช่น ตะโก้ ขนมหม้อแกง ฝอยทอง ทองหยิบ มันเชื่อม กล้วยเชื่อม กล้วยแขก เปน็ ตน้ 9. ของว่างประเภททอด ปิ้ง ย่างให้หลีกเลี่ยงชนิดไหม้เกรียม ไม่แนะนาอาหารว่าง ประเภททอด 10. ของว่างอ่นื ๆ ที่เหมาะสมสาหรับเด็กและมีอาหารหลายหมวดอย่ปู นกัน เชน่ แซนวิช ไส้ทนู ่าขนมจีบ ซาลาเปา ขนมปังไส้หมูหยอง เปน็ ตน้ การใหอ้ าหารเด็ก 1-5 ขวบ (ลัดดา เหมาะสุวรรณ, 2548: 131-142) หลกั ฐานในปจั จุบนั บ่งช้ีว่าอาหารและโภชนาการในวัยต้นของชีวิตมีผลต่อสุขภาพในวัยผู้ใหญ่ นอกจากจะเลี้ยงเด็กให้ ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนเพ่ือให้เจริญเติบโตพร้อมทั้งมีพัฒนาการเป็นไปตามวัยแล้ว เด็กควร ได้รับการฝกึ ให้ร้จู ักเลือกกนิ อาหารทีด่ ีต่อสุขภาพอย่างสม่าเสมอ จนปลกู ฝงั เป็นนิสัยการกินท่ีถูกต้องถึง วัยผู้ใหญ่เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้แก่ โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและ หลอดเลือด และโรคมะเร็งอีกด้วย พ่อแม่และผู้เลี้ยงดูควรได้รับคาแนะนาให้สามารถสร้างเสริมนิสัย การกนิ ท่ีดีดังกลา่ วแกเ่ ดก็
53 พฒั นาการด้านการกิน (Feeding Milestones) พัฒนาการดา้ นกาย ด้านสังคมและบคุ คลท่เี กยี่ วขอ้ งกับพัฒนาการด้านการกนิ อาหารในวัย 1- 5 ขวบ มขี ัน้ ตอนดังน้ี ตารางท่ี 11 พฒั นาการด้านกาย สังคม และบุคคลในวยั 1-5 ขวบ วัย พัฒนาการดา้ นกาย พัฒนาการดา้ นสงั คมและบุคคล 12-18 เดอื น - หยบิ และปล่อยอาหารได้ - ชอบกินอาหารของคนอนื่ - จบั ชอ้ นไดแ้ ต่ยงั ไมถ่ นดั - ชอบแสดงออก - เอาช้อนตกั อาหารเขา้ ปากไดแ้ ต่ยงั เลอะเทอะ - จบั ถ้วยไดแ้ ตย่ ังปล่อยถว้ ยไดไ้ มด่ ี 18-24 เดอื น - ความอยากอาหารลดลง - เรมิ่ สนใจมารยาทบนโต๊ะอาหาร - ชอบใช้มือหยิบอาหารเข้าปาก - แสดงชัดว่าชอบอาหารอะไรไม่ชอบ - ชอบลองอาหารทีม่ ี Texture อะไร - เบ่ียงเบนความสนใจไดง้ า่ ย 2-3 ขวบ - ถอื ถ้วยไดด้ ี - อาหารชอบ/ไมช่ อบชดั ขึน้ - ใชช้ ้อนตักอาหารเข้าปากไดโ้ ดยไมเ่ ลอะเทอะ - ชอบทาอะไรดว้ ยตนเอง - ยงั ทาอาหารหกขา้ งจาน - กินอาหารซ้าอยู่อย่างสองอย่างนาน - เค้ียวอาหารไดด้ ีแต่ยังตอ้ งระวังสาลัก เปน็ เดอื น - อยากกินอาหารที่มรี ปู รา่ งต่าง ๆ เชน่ รปู วงกลม สามเหลย่ี ม สเี่ หลยี่ ม ดาว เป็นตน้ - ชอบมายงุ่ ในครัว 3-4 ขวบ - จบั หูถว้ ยได้ - เริม่ มีความอยากกินอาหารมากขน้ึ - เทน้าจากเหยือกได้ - ขออาหารท่ชี อบกิน - เค้ยี วอาหารสว่ นใหญไ่ ด้ - ชอบอาหารที่มีสีสัน มีรูปร่างต่าง ๆ เชน่ รปู ดาว รูปกลม ตวั A B C - เลือกอาหารได้เมือ่ เสนอให้ 2 อย่าง - ถูกชนี้ าโดยโฆษณาทางโทรทัศน์ - ชอบเลียนแบบทา่ คนทาอาหาร 4-5 ขวบ - ใชช้ อ้ นและส้อม - ชอบพูดมากกว่ากิน - ด่มื จากถว้ ยได้เหมือนผู้ใหญ่ - ยังกินอาหารชนิดเดียวซ้า ๆ ได้นาน ๆ - กนิ อาหารเองได้ดี (Food Jag) - ลอ่ หลอกใหก้ ินอาหารดว้ ยรางวัล
54 วัย พฒั นาการด้านกาย พัฒนาการด้านสังคมและบุคคล 5-6 ขวบ - กนิ ได้เอง ไม่ตอ้ งป้อน - ชอบช่วยทาอาหาร - สนใจว่าอาหารมาจากไหน - เพือ่ นเริ่มมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การกิน - มมี ารยาทและทาตามกติกาได้ - กนิ อาหารท่ีมีสว่ นผสมแตกต่างได้ - แต่ยงั ชอบอาหารง่าย ๆ - เพื่อนหรอื นอกบา้ นมีอิทธพิ ลเพ่ิมขน้ึ - ชอบกนิ อาหารอรอ่ ยในโอกาสพเิ ศษ 1. วัย 1-2 ขวบ เด็กวัยนี้มีอัตราการเติบโตลดลงจากท่ีเคยมีน้าหนักเพิ่มปีละ 6-7 กิโลกรัม และ ความยาวเพิ่มข้ึนปีละ 25 เซนติเมตร ในขวบปีแรก ลดลงเป็นปีละ 2 กิโลกรัม และสูงขึ้น 12.5 เซนติเมตรในขวบปีท่ีสอง เด็กวัยนี้จึงกินอาหารน้อยลงเนื่องจากมีความต้องการน้อยลงตามวัย หาก พอ่ แม่ไมเ่ ขา้ ใจก็จะพยายามบงั คบั ให้กนิ ซง่ึ เดก็ กจ็ ะปฏเิ สธและทาใหเ้ กิดปัญหาการกนิ อาหารตามมา 1.1 นมเป็นอาหารเสริม เมอ่ื อายุย่างเขา้ ขวบปที ส่ี อง นมที่เป็นอาหารหลักในขวบปีแรกลดบทบาทเป็น อาหารเสริม เด็กที่เคยได้รับนมแม่ควรให้นมแม่ต่อไป สาหรับเด็กท่ีเลี้ยงด้วยนมผสม ควรเปล่ียนจาก นมผสมท่ีเคยได้เป็นนมผงสาหรบั เด็ก 1 ขวบขึ้นไป โดยเลือกชนดิ ที่เสริมวติ ามินและเกลือแรค่ รบถว้ น จะได้ประโยชน์กว่าหรือจะเปลย่ี นเป็นนมวัวสดพาสเจอร์ไรส์หรือ UHT ก็ได้ เนื่องจากเด็กยังต้องการ ไขมันสาหรับการเจริญเติบโต โดยต้องการไขมันเป็นสัดส่วนร้อยละ 50 ของพลังงานท่ีต้องการต่อวัน นมท่ีให้เด็กวัยน้ีจึงยังควรเป็นนมไขมันครบส่วน (Whole Milk) อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรให้อาหารที่มี ไขมันมากเกินไป อาหารท่ีหวานเกินไปหรืออาหารที่เค็มมาก เด็กวัยน้ีต้องการพลังานวันละ 1,000 แคลอร่ี คร่ึงหน่ึงได้จากนมและอีกประมาณครึ่งหน่ึงได้จากอาหารท่ีรับประทาน ซึ่งควรจะครบ 5 หมู่ และหลากหลาย เดก็ วยั น้เี ร่ิมกนิ อาหารรว่ มโต๊ะกับผใู้ หญไ่ ด้แต่ต้องเลือกอาหารให้เหมาะกบั เด็ก เด็กท่ีดูดนมจากขวดในช่วงปีแรก เม่ือย่างเข้าอายุ 2 ขวบ เด็กควรจะเริ่มหย่าขวด นม เดก็ วัยนดี้ ม่ื น้าจากแกว้ ได้คล่องโดยท่ัวไปแล้วเด็กส่วนใหญ่สามารถท่จี ะหย่าขวดนมได้งา่ ย ถา้ หาก พ่อแม่ให้ดื่มนมจากแก้วโดยซ่อนขวดนมเสีย เด็กบางคนท่ียังดูดนมม้ือก่อนนอนต้องไม่ให้อมจุกนมคา อยู่ในปากขณะหลับเพราะจะทาให้ฟันผุและหูช้ันกลางอักเสบ ในที่สุดแล้วควรจะต้องหย่าขวดนมให้ ไดภ้ ายในอายุขวบคร่ึงถงึ สองขวบ 1.2 ขา้ วเป็นอาหารหลัก
55 เด็กควรจะเร่ิมหัดใช้ช้อนกินอาหารได้ต้ังแต่อายุ 10-20 เดือน พ่อแม่บางคน ราคาญและไม่อยากสกปรกเลอะเทอะเลยไม่ยอมใหเ้ ดก็ ไดฝ้ กึ ใชช้ อ้ นทาใหเ้ ด็กไม่ได้เรยี นรู้ทักษะในการ กนิ อาหารเองซ่ึงเป็นขั้นตอนสาคญั ท่จี ะนาไปสู่การทาอะไรได้เอง (Self-Help) และไมต่ อ้ งรอให้คนอื่น ชว่ ย (Self-Reliance) เดก็ สว่ นใหญ่ควรจะกินอาหารได้เองเมอื่ อายุ 2 ขวบ เด็กช่วงวัยน้ี ใช้ช้อนในการตักอาหารเข้าปากได้ดีพอสมควร พ่อแม่ควรจัดให้ เด็กรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่เพ่ือจะได้เรียนรู้แบบอย่างจากพ่อแม่ อย่างไรก็ตามพ่อแม่ไม่ ควรท่ีจะคาดหวังจากเด็กมากเกินไป ควรให้อาหารปริมาณไม่มาก อาจประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ใหญ่ และอาจใหเ้ พ่ิมถ้าหากเด็กยงั อยากกินอยู่ เม่ือเดก็ อมิ่ แลว้ เด็กมักแสดงอาการไมส่ นใจอาหาร หนั ศรี ษะ หนีหรือผลักจานอาหารออก พ่อแม่ไม่ควรจะบังคับให้เด็กกินต่อไป พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังว่าเด็กจะกิน อาหารเท่ากันทุกวันและไม่ควรกังวลว่าเด็กจะรับอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ครบ 5 หมู่ในแต่ละม้ือ โดยท่ัวไปเด็กจะได้รับอาหารครบถ้วนสมดุล เมื่อมองภาพรวมเป็นช่วง 3-4 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เด็ก บางคนจะกินอาหารท่ชี อบซ้าซากไดเ้ ปน็ เวลาต่อเนื่องกนั ในขณะท่ีเดก็ บางคนอาจจะเป็นคนอยากลอง อาหารใหม่ เด็กบางคนอาจจะชอบอาหารอยา่ งหนึ่งในวันน้ี แล้วในวนั ต่อมาไม่ยอมกินเลย เดก็ บางคน อาจจะกินอาหารชนิดหน่ึงติดต่อกันซ้าซากทุกม้ือเป็นเดือนแล้วก็หยุดกินทันทีทันใดซึ่งเป็นธรรมชาติ ของเด็กช่วงวัยน้ีท่ีพ่อแม่ต้องเข้าใจเพ่ือไม่ให้รู้สึกหงุดหงิดหรือบังคับเด็กจนทาให้เกิดบรรยากาศของ การกนิ อาหารท่ไี มส่ งบสขุ 1.3 อาหารว่าง ช่วงวัยน้ีเป็นวัยท่ียังต้องการอาหารว่างซ่ึงอาจเป็นผลไม้ ขนมที่ไม่หวานจัด หรอื มไี ขมนั มากเกินไป ไมค่ วรให้เดก็ กินขนมกรบุ กรอบ น้าอดั ลมหรอื นมไม่ควรฝกึ ให้เด็กดื่มนมเปรี้ยว หรือนมรสหวาน เน่อื งจากจะติดเปน็ นิสยั และทาใหฟ้ ันผุและเปน็ โรคอ้วนในอนาคต 1.4 การก่อรปู ของนสิ ัยการกินอาหาร นิสัยการกิน (Eating Habits) เริ่มก่อรูปในช่วงวัยนี้และสานต่อเป็นนิสัยในวยั ต่อไป ปัญหาเดก็ กนิ ยากในวยั 2-5 ปี ส่วนใหญ่มักจะเป็นผลจากท่พี ่อแม่บังคับใหเ้ ด็กในขวบปีแรก กิน ตามที่ตนเองชอบ เด็กจะมีปฏิกิริยาต่อต้านทาให้บรรยากาศระหว่างรับประทานอาหารตึงเครียดและ บ่ันทอนสัมพันธภาพของพ่อแม่กับเด็ก เด็กวัยน้ีจะเร่ิมแสดงความชอบหรือไม่ชอบอาหารบางอย่าง เป็นพิเศษ พ่อแม่ควรจะยอมให้เด็กเลือกอาหารได้บ้างซึ่งในที่สุดแล้วเด็กก็มักจะได้อาหารท่ีสมดุล เพยี งพอสาหรับความต้องการ นสิ ยั การกนิ ในวยั น้ีอาจจะไดร้ ับอิทธิพลมาจากพี่ นสิ ยั ท่กี อ่ รปู ขึ้นในช่วง วยั นีจ้ ะคงอยไู่ ปอีกหลายปี ปัจจัยอื่นที่อาจรบกวนการกินอาหารของเด็ก ได้แก่ พ่อแม่ไม่มีเวลาพอทาให้ต้อง กินอย่างเร่งรีบและบรรยากาศระหว่างมื้ออาหารวุ่นวายมากเกินไป ผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างในการกิน
56 หรือไม่กนิ อาหารบางอย่าง มื้ออาหารจึงควรจะเป็นช่วงเวลาท่ีสงบสุข มีการพดู จาสนทนาในเร่ืองท่ีทั้ง ครอบครวั สนใจรว่ มกนั 2. วยั 2-5 ขวบ เมื่อเด็กอายุได้ 2 ปีข้ึนไป อาหารที่เด็กรับประทานก็คืออาหารที่ทั้งครอบครัว รับประทานร่วมกันโดยควรจะมีอาหารครบ 5 หมู่และหลากหลาย ในประเทศไทยยังไม่มีแนวทางการ บริโภคอาหาร (Food Based Dietary Guideline) สาหรับเด็กวัยนี้ ข้อแนะนาอาหารที่ควรบริโภค แต่ละวันที่มีเป็นข้อแนะนาสาหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ ในที่นี้จึงดัดแปลงจาก Food Guide Pyramid ของประเทศสหรฐั อเมริกา ซึ่งแนะนาให้เด็กวยั นี้ควรไดร้ ับ - อาหารกลุ่มข้าว ธัญพืช ก๋วยเตี๋ยว วันละ 4-6 ทัพพี เด็กควรได้รับข้าวท่ีขัดสี น้อย เชน่ ข้าวกลอ้ งบา้ งเพ่อื ให้ไดร้ ับวติ ามินและใยอาหาร - ผักสุก วนั ละ 2-3 ทัพพี ควรให้เดก็ ไดร้ บั ผักหลากหลายชนดิ - ผลไม้ 2 ส่วนต่อวัน ตัวอย่างของผลไม้ 1 ส่วน ได้แก่ กล้วย 1 ผล ส้ม 1 ลูก ฝรง่ั ครงึ่ ลกู มะละกอหนั่ เปน็ ชิ้นพอคา 6 ช้ิน - นมวันละ 3 แกว้ /กลอ่ ง หรือผลติ ภณั ฑจ์ ากนม - เนื้อสัตว์ ปลา ไก่ ถ่ัวเมล็ดแห้ง 2-3 ส่วนต่อวัน ตัวอย่างของ 1 ส่วนได้แก่ เน้ือสัตว์หรือปลาหรือไก่ 2 ช้อนกินข้าว ไข่ 1 ฟอง เพ่ือไม่ให้เด็กได้รับไขมัน มากเกินไปซึ่งจะนาไปสู่ปัญหาน้าหนักเกินและอ้วนและปัญหาไขมันสูงใน เลือด ควรให้เด็กได้กินปลาและไก่มากข้ึนและลดเน้ือแดงลง ลอกหนังไก่และ เล็มส่วนที่เปน็ ไขมนั ทเ่ี ห็นชัดออก - ปรุงอาหารดว้ ยเครือ่ งปรุง ผงชูรส ซอส เกลือ นา้ ตาลเท่าทจ่ี าเปน็ ใชน้ า้ มันใน การปรุงอาหารให้น้อยลง เช่น หลีกเล่ียงอาหารใช้น้ามันหรืออาหารทอดจน กรอบ - ผู้ใหญ่มีอทิ ธิพลอย่างยิ่งตอ่ การกินอาหารของเดก็ พอ่ แมต่ อ้ งตระหนักว่าลูกจะ เลียนแบบพฤติกรรมการกินของตนเอง จึงต้องเลือกจัดอาหารเฉพาะที่เป็น ประโยชน์ต่อสุขภาพและกินเป็นตัวอย่างแก่ลูก นิสัยการกินท่ีก่อรูปในเด็กวัย นจี้ ะคงตอ่ จนถงึ วยั รุ่น 2.1 เดก็ ไมย่ อมกนิ อาหาร เด็กส่วนใหญช่ อบลองอาหารท่ีมีสีสันสดใสหรอื น่ากิน พ่อแม่ไม่ควรจะบังคับให้เดก็ กนิ ตามทพี่ ่อแม่ชอบ ถา้ เดก็ อม่ิ แล้วและยังคะยน้ั คะยอให้กินอีกอาจจะทาให้เด็กปฏิเสธอาหารชนิดนั้น วิธีที่จะทาให้เด็กไม่เล่นจนเพลินและเหนื่อยจนกินอาหารไม่ลง แม่ควรบอกล่วงหน้าประมาณสัก 10-
57 15 นาที ว่าอาหารใกล้เสร็จแล้ว ให้เดก็ เตรยี มตัวล้างมือเพ่ือมานง่ั โต๊ะอาหารและกินรว่ มกนั ก็จะทาให้ เด็กได้รู้ตัวล่วงหน้า หยุดเล่นและเตรียมตัวที่จะรับประทานอาหาร เด็กจะได้ไม่เหนื่อยเกินไปหรือ ตื่นเต้นไม่อยากหยุดเล่นจนไม่ยอมกินหรือรู้สึกหิว ไม่แนะนาให้พ่อแม่ใช้อาหารเป็นรางวัลหลอกล่อ เด็กหรือใช้เป็นการลงโทษเด็ก ควรกินอาหารเป็นเวลาเพ่ือให้เด็กฝึกจนเป็นนิสัย ไม่ควรให้กินอาหาร พร้อมกับอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมต่าง ๆ ไปด้วย ฝึกให้เด็กกินอาหารบนโต๊ะอาหารเป็นท่ี เป็นทาง ไม่ปล่อยให้เด็กกินไปเลน่ ไปซ่ึงอาจจะทาให้สาลักได้ เด็กเกิน 3 ขวบข้ึนไปส่วนใหญ่มักจะเริม่ รู้จกั มารยาท ใชช้ ้อนและส้อมได้ค่อนขา้ งดี การชวนให้เด็กชว่ ยคดิ ว่าจะกนิ อะไรบ้าง ชว่ ยเลอื กซ้ือหรือ มีส่วนร่วมในการทาอาหาร เช่น ล้างผัก เป็นต้น ทาให้เด็กมีความภาคภูมิใจและอยากชิมอาหารที่ ตวั เองมีสว่ นร่วมในการเลือกหรือทานน้ั ๆ 2.2 เด็กกินยาก เด็กมีความชอบและไม่ชอบอาหารบางอย่างเป็นพิเศษได้เป็นธรรมดา พ่อแม่ควร ยอมให้เด็กได้เลือกอาหารบ้าง โดยเตรียมอาหารท่ีมีประโยชน์และครบหมู่ไว้ให้เด็กเลือกสัก 2 อย่าง พ่อแม่ไม่ควรกังวลถ้าเด็กไม่กินอาหารบางชนิด แต่ยอมกินอาหารบางชนิดท่ีอยใู่ นหมู่เดียวกัน เช่น ไม่ ยอมกินข้าวในบางม้ือ แต่กินก๋วยเต๋ียวหรือขนมจีนหรือข้าวเหนียวซ่ึงเป็นอาหารในหมู่เดียวกันและ แลกเปลี่ยนกันได้ เด็กบางคนไม่ยอมกินปลาแต่กินเน้ือไก่หรือเนื้อหมู เด็กบางคนไม่กินกุ้งแต่กินปลา เดก็ บางคนไม่ชอบเน้ือสัตว์แต่กินเต้าหู้และไข่ได้ เปน็ ตน้ เด็กก็ยังได้อาหารเพียงพอเน่ืองจากได้อาหาร ในหมูน่ ้ัน ๆ ครบถ้วน 2.3 ปญั หาทอ้ งผกู เด็กจะขับถ่ายได้คล่องต่อเม่ือมีกากอาหารในลาไส้ใหญ่มากพอที่จะทาให้มี ความรู้สกึ อยากถ่าย เด็กที่กนิ อาหารกากใยน้อย เชน่ ไมก่ นิ ผักหรอื ผลไมเ้ ลย อาจทาให้มปี ัญหาในการ ขับถ่าย นอกจากจะป้องกันท้องผูกแล้วนิสัยการกินอาหารที่มีใยอาหารน้ีจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและ หลอดเลอื ดและโรคมะเร็งในวยั ผ้ใู หญ่ได้ การให้เด็กได้กินขา้ วท่ีขัดสีน้อยปนกับข้าวท่ีสจี นขาวบา้ งก็จะ ทาให้เด็กได้รับกากใย ผักและผลไม้เป็นแหล่งอาหารของกากใยอาหาร หากได้ฝึกให้เด็กกินจนเป็น นสิ ัยให้ได้ผักวนั ละ 2-3 ทัพพี ผลไม้วนั ละ 2-3 สว่ น และไดร้ บั นา้ ด่มื เพียงพอจะช่วยให้อุจจาระไม่แข็ง มาก ขับถา่ ยได้สะดวกข้ึน 2.4 เดก็ ไทยไมก่ ินหวาน เด็กทุกคนชอบของหวานและของมัน เราไม่สามารถจะห้ามไม่ให้เด็กชอบหวานได้ แต่เราสามารถท่ีจะลดการกินของหวานของเด็กได้ โดยไม่ซื้อลูกกวาด ขนมหวาน นมหวาน น้าอัดลม ให้กับเด็ก ให้ทดแทนขนมเหล่านี้ด้วยผลไม้ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าขนมหวานมาก ให้ดื่มนมจืด และน้าเปล่าแทนนมเปรีย้ ว หรอื นา้ อดั ลม ซึ่งนอกจากจะหวานแลว้ ยงั มกี รดฟอสฟอร์ริก (Phosphoric
58 Acid) ซึ่งจะทาให้เนื้อฟันกร่อนหรือกระดูกกร่อนได้ ปัญหาฟันผุจะเร่ิมพบได้ในวัยน้ีหากไม่ได้รับการ ดูแลสขุ ภาพฟันท่ถี กู ต้อง นา้ ตาลทราย (Sucrose) เป็นตัวที่ทาใหฟ้ นั ผุมากทส่ี ดุ ปรมิ าณคาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะน้าตาลทรายในอาหาร ปริมาณที่รับประทาน จานวนครั้งและเวลาที่อาหารค้างอยู่ในช่อง ปากเปน็ ปัจจัยทที่ าใหฟ้ นั ผุ จงึ แนะนาใหล้ ดขนม ทอฟฟี่ ลูกอม และใช้หลอดดูดน้าหวานหรือน้าอดั ลม 2.5 เด็กไม่กินผัก ผักส่วนใหญ่มีกลิ่นและมีรสขมควรริเริ่มด้วยผักท่ีมีกลิ่นน้อยและไม่มีรสขมสาหรับ เด็ก เช่น ใบตาลึง ใบผักบุ้ง เด็กส่วนหนึ่งจะชอบของกรุบกรอบซ่ึงอาจจะชอบลองถั่วฝักยาวหรือ แครอท เด็กบางคนชอบสีสันสดก็อาจใหล้ องกินผักที่มีสตี ่าง ๆ กัน เช่น มะเขือเทศสีแดง แครอทสีสม้ เป็นต้น ถ้าเด็กไม่เลือกเองและมีส่วนร่วมในการทาอาหารท่ีมีผักหรือช่วยปลูกผักกินเองก็จะทาให้เด็ก ตื่นเต้นและอยากชิมอาหารที่ตัวเองเลือกหรือมีส่วนในการทา แต่ที่สาคัญที่สุดคือผู้ใหญ่จะต้องเป็น แบบอยา่ ง เด็กในวยั นี้พรอ้ มท่ีจะเลยี นแบบจากพี่หรือพ่อแม่ 2.6 หมัน่ ติดตามการเติบโตของเดก็ โดยการช่ังน้าหนักและวดั ส่วนสูงเป็นระยะและประเมินการเตบิ โตโดยใช้กราฟการ เจริญเติบโตของเด็กไทยตรวจประเมินว่าเด็กอยู่ในเกณฑ์ใดเพ่ือระวังไม่ให้เด็กผอมเกินไปหรืออ้วน เน่ืองจากไม่เป็นผลดีตอ่ สขุ ภาพทง้ั สองด้าน และใหม้ ีส่วนสูงท่ีเหมาะสมตามวัย 2.7 แคลเซยี มในอาหาร นมเป็นแหล่งอาหารท่ีมีแคลเซียมสูง เด็กวัยนี้จึงยังควรได้นมวันละ 3 แก้ว ซึ่งควร จะเป็นนมจืด ในเด็กท่ีมีปัญหาพร่องน้าย่อย Lactase หรือแพ้โปรตีนจากนมวัว อาหารไทยที่มี แคลเซยี มสงู ทีจ่ ะให้แทนนม คอื เต้าหู้ ผักใบเขยี ว ปลาตวั เล็กตวั นอ้ ยทส่ี ามารถกนิ ไดท้ ั้งตัว 2.8 ปัญหาเด็กนา้ หนักเกินและอว้ น หลักฐานจากการศึกษาทางระบาดวิทยาช้ีว่า ช่วงวัยเด็กท่ีเส่ียงต่อการเกิดโรคอ้วน ในผู้ท่ีมีความเส่ียงทางพันธุกรรมอยู่แล้ว ได้แก่ ช่วงอยู่ในครรภ์มารดา ช่วงท่ีมี Adiposity Rebound คือช่วงอายุ 5-6 ปี และช่วงวัยรนุ่ ดังอ้างถึงข้างต้นแล้วว่าความเสี่ยงของการยังคงเป็นผใู้ หญ่ที่อ้วนจะ เพิ่มข้ึนตามอายุ เด็กที่อ้วนในช่วงอายุ 1-2 ปี มีความเส่ียงท่ีจะอ้วนเมื่อเป็นผู้ใหญ่เป็น 2 เท่าของเด็ก วัยเดียวกันที่ไม่อ้วน ถ้ายังคงอ้วนถึงอายุ 3-5 ปี มีโอกาสท่ีจะเป็นผู้ใหญ่อ้วนเพ่ิมข้ึนเป็น 8 เท่า การ ปอ้ งกนั โรคอว้ นจึงควรทาใหว้ ัยเด็กซึ่งถ้าเริม่ ไดต้ ้ังแต่ในช่วงวัยตน้ ของชีวติ นอกจากจะป้องกนั โรคอ้วน แล้วอาจยังสามารถปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพท่ีพึงประสงค์ ทั้งในด้านของการบริโภคอาหารและการ ออกกาลังกายจนเป็นนสิ ัยถงึ วยั ผใู้ หญ่ได้ โดยมคี าแนะนาการเล้ียงดเู ด็กเพือ่ ปอ้ งกนั โรคอ้วนในเด็กก่อนวยั เรียน ดงั นี้
59 - ไม่สอนให้เด็กกินจุบจิบ พ่อแม่บางคนกังวลว่าเด็กจะหิวจึงหาขนม ของว่าง ปรนเปรอเด็กและคะย้ันคะยอให้เด็กกินทั้งที่เด็กไม่ได้ขอทาให้เด็กได้อาหารเกิน ความต้องการและยังตดิ เปน็ นสิ ยั อีกดว้ ย - ไมซ่ อ้ื ขนม นมและอาหารสะสมไว้ในบ้าน ในยคุ ท่มี ีหา้ งแบบดิสเคาท์สโตร์ท่ีลดราคา สินค้นทข่ี ายเป็นแพคหรือลัง เชิญชวนให้ซือ้ ของเหล่านัน้ ตุนเอาไว้ เดก็ ยังไมส่ ามารถ ยับย้ังความอยากได้ เมื่อมีของอยู่ในบ้านมากก็จะหยิบบริโภคคร้ังละมาก ๆ จน หมดในเวลาอนั สั้นและมนี ้าหนกั เกินในทสี่ ุด - สอนให้บริโภคผักและผลไม้ให้เป็นนิสัยแทนขนมและของว่างที่ทาให้อ้วน ผักและ ผลไม้ที่ไม่หวานเป็นแหล่งอาหารอันอุดมของวิตามินและเกลือแร่ท่ีจาเป็นต่อ รา่ งกายและยงั มีใยอาหารทส่ี าคัญต่อสขุ ภาพด้วย - สอนเด็กให้มีวินัยในการกิน ให้กินอาหารเป็นเวลา ตักอาหารให้พอดีกิน ไม่กินท้ิง กินขว้าง การจัดอาหารของครอบครัวมีส่วนช่วยในการฝึกวินัย บางครอบครัวจัด อาหารมากเกินถึง 2-3 เท่า กระตุ้นให้เกิดการกินแบบไม่ย้ัง การสอนให้เค้ียว อาหารให้ละเอยี ดและกินพอดอี ิ่มจะเปน็ ผลดตี ่อสขุ ภาพ - ไม่สอนให้เด็กกินอาหารรสจัด พ่อแม่บางคนชอบปรุงรสอาหาร ก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม ต้องตักน้าตาลทรายเพิ่มหลายช้อน เหยาะน้าปลาและใส่พริก ทาให้เด็กอยากทา ตามและเป็นคนติดอาหารรสจัดซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพ อาจเสี่ยงต่อเบาหวาน โรค อว้ นและความดันโลหติ สูง - ดืม่ นมแตพ่ อดี พ่อแม่บางคนตอ้ งการให้ลูกได้แคลเซียมมาก ๆ เพ่ือใหต้ วั สูงจึงใหล้ ูก ด่ืมนมมาก เด็กโตแล้วก็ยังให้ด่ืมเป็นลิตรทั้งกลางวันกลางคืนเป็นสาเหตุของโรค อ้วนได้ เด็กเกิน 1 ขวบ ควรให้เลิกนมม้ือกลางคืน เด็กอนุบาลได้รับนมวันละ 2-3 มอื้ ก็เพยี งพอ - ลดกกิจกรรมที่ไม่เคล่อื นไหวร่างกายโดยเฉพาะการดโู ทรทัศน์ซ่ึงมักสัมพันธ์กับการ กินขนมจุบจิบ มีข้อแนะนาให้เด็กดูโทรทัศน์ (ซ่ึงอาจรวมการเลน่ เกมคอมพิวเตอร์) ไมเ่ กนิ 2 ช่วั โมงตอ่ วัน - สร้างนิสัยการออกกาลังกายท้ังท่ีเป็นการเล่นกีฬาเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้กติกาและ การอยู่ร่วมกับผู้อื่นและที่เป็นการออกกาลังกายในชีวิตประจาวัน เช่น การทา กิจกรรมงานบ้านร่วมกันท้ังครอบครัว เดินหรือขี่จักรยานแทนการนั่งรถ เดินแทน การขนึ้ ลฟิ ต์หรอื บนั ไดเลอ่ื น เป็นต้น คาแนะนาสาหรบั ทาให้เวลามอ้ื อาหารเปน็ เวลาที่มคี วามสุขสาหรบั เด็กกอ่ นวัยเรยี น
60 - เริ่มให้เด็กกินอาหารเองด้วยอาหารท่ีน่ิมและกินได้ง่าย เช่น กล้วย เพื่อให้เด็กกิน เองได้สาเรจ็ และไมเ่ ลอะเทอะ - สง่ เสรมิ ให้เดก็ กินอาหารเอง เดก็ ต้องการเวลาทีจ่ ะฝึกการใช้ช้อนตักอาหารเข้าปาก เม่อื ทาได้สาเร็จเดก็ จะมคี วามรู้สึกดีเปน็ อย่างมากและภมู ใิ จในความสาเรจ็ - พ่อแม่ไม่ควรจะราคาญเมื่อเด็กยังทาได้ไม่ดี ถือช้อนเก้งก้างหรือทาเลอะเทอะ ระหว่างกิน เด็กกาลังเรียนรู้ทักษะใหม่ พ่อแม่อาจจะใช้วิธีปูหนังสือพิมพ์หรือผ้า พลาสติกรอบ ๆ บริเวณที่เด็กนั่งหรือใต้เก้าอ้ีที่เด็กน่ังเพ่ือท่ีจะเก็บกวาดได้ง่ายหลงั ม้อื อาหาร - ถ้าเด็กกินเร็วมาก พ่อแม่ควรทาให้เด็กกินช้าลง เช่น ชวนคุยหรือบอกให้เด็กวาง ชอ้ นลงระหวา่ งแต่ละคา เด็กในวยั นี้จะทาตามอย่างผ้ใู หญ่เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ก็ต้อง กินให้ช้า ไม่พูดจาเร่งรีบหรือเร่งเด็ก บรรยากาศในระหว่างการกินค่อนข้างจะผ่อน คลาย วางอาหารในปริมาณไมม่ ากบนโต๊ะอาหารและเตือนใหเ้ ดก็ เคย้ี วอาหาร - ควรให้เด็กได้มีโอกาสเลือกว่าเด็กจะกินอะไรบ้างโดยต้องเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ให้เด็กเลือกระหว่างผักสองชนิดที่มีอยู่บนโต๊ะเมื่อเด็กเลือกแล้วพ่อแม่ต้องชม เด็กทเี่ ลือกกนิ ผกั - พ่อแม่ต้องพยายามอดใจไว้ไม่แสดงความโกรธ เมื่อเด็กทาอาหารหกหรือเทอาหาร ลงบนข้าง ๆ โตะ๊ เน่ืองจากเปน็ ลักษณะปกติตามวยั ของเด็กวยั น้ี พอเดก็ ทาแล้วเด็ก ก็จะรู้สึกสนกุ และก็จะเป็นเร่ืองเลน่ ท่จี ะโยนอาหารลงจากโต๊ะ พ่อแมไ่ ม่ควรสง่ เสริม พฤติกรรมนี้ด้วยการก้มลงเก็บอาหารน้ีให้กับเด็ก เมื่อเด็กทาอย่างน้ี 2-3 ครั้ง ควร เกบ็ อาหารไปเสีย บอ่ ยคร้งั ทีเ่ ดก็ จะทาอย่างนเี้ ม่ืออิ่มแล้ว - ส่งเสริมให้เด็กที่ไม่ชอบผักยอมกินผัก โดยช้ีชวนให้สนุกและน่าสนใจ เช่น ถ้าเด็ก เริ่มเรยี นเกย่ี วกบั เร่ืองสีอาจชวนให้เด็กเลือกกนิ ถัว่ ลันเตาหรือถวั่ เมด็ เขียว เลือกกิน ผักสีเขียว เลือกผักท่ีเป็นแท่งสีส้มจากจานผดั ผกั รวม ถ้าเด็กกาลังเร่ิมหัดนับอาจใช้ วธิ ีนับเม็ดถั่วหรอื ช้นิ แครอทในช้อนกอ่ นจะสง่ ใหเ้ ด็ก - อนุญาตให้เด็กตักอาหารเองเพ่ือเด็กจะได้เรียนรู้ว่าเท่าไรที่เขาอยากกินถึงจะอิ่ม วิธีการนี้ยังช่วยลดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่และเด็กในวยั น้ีที่มักจะชอบพูดคาวา่ “ไม”่
61 บทที่ 3 วัตถปุ ระสงค์ โครงการพัฒนานักจัดการปัญหาโภชนาการสาหรับเด็กทุพโภชนาการในพ้ืนท่ีจังหวัด ชายแดนภาคใต้ มวี ตั ถปุ ระสงค์ในการวิจยั ดังนี้ 1. เพื่อลดความชุกของเด็กอายุ 0-4 ปี ที่มีภาวะทุพโภชนาการในพ้ืนที่ตาบลนาร่อง อย่างนอ้ ยร้อยละ 50 2. เพื่อสร้างเสริมทักษะการจัดการแก้ปัญหาเด็กทุพโภชนาการในพ้ืนที่ตาบลนาร่อง แก่เจ้าหน้าที่สาธารณสขุ ในพ้ืนท่ี 3. เพื่อเพิ่มสัดสว่ นผู้รับวัคซนี และลดจานวนผบู้ ่ายเบีย่ งวคั ซนี ในพนื้ ที่ตาบลนารอ่ ง 4. เพื่อให้ได้องค์ความรู้ในการจัดการแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการที่เหมาะสมใน บริบทชายแดนใต้
62 บทที่ 4 กรอบแนวคดิ การวิจัย แนวคิดเก่ียวกับการเจริญเติบโต พัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เด็กวัยก่อน เรียน หมายถึง เด็กที่มีอายุต่ากว่า 6 ปี เป็นวัยก่อนเข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับ มีพัฒนาการตอมา จากวัยทารก ซ่ึงเป็นวัยที่เส่ียงต อการเป็นโรคขาดสารอาหารมากเพราะเด็กในวัยน้ีส่วนใหญ่ รับประทานอาหารอื่นนอกจากนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเด็กขาดโปรตีนและพลังงาน (Protein- Energy Malnutrition: PEM) จะเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย ภูมิต้านทานโรคต่า การเจริญเติบโตของ สมองช้ากว่าปกติ มีการเรียนรู้และคุณภาพชีวิตในระดับต่า นอกจากนั้น วัยเด็กเป็นวันที่ร่างกายกาลัง เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วท้ังร่างกายและด้านภาษา ถือเป็นระยะที่เกิดการเรียนรู มากที่สุดในชีวิต ทฤษฎีพัฒนาการทางความคิดของ Jean Piagen ได้กล่าวว่าการเจริญเติบโตทางร่างกายจะไปพร้อม กับการเจริญเติบโตด้านความคิดและจิตใจด้วย ดังน้ันเด็กที่สามารถปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมที่ดีจากการ เรียนรู้และปรับตัวโดยใช้ปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex) ระบบประสาทสัมผัส (Sensory) และการ เคลื่อนไหว (Motor) ในระยะแรก ๆ ของชีวิต ใช้ศักยภาพทางชีวภาพเหล่าน้ีเปน็ สือ่ ในการเรียนรูแ้ ละ พฒั นาความคดิ เก่ยี วกับโลกและบคุ คล ปจั จยั ทีส่ ่งผลตอ่ พัฒนาการเดก็ ปฐมวัย จากการศึกษาทฤษฎีและงานวิจยั ที่เกย่ี วข้องกบั พัฒนาการเด็ก พบปจั จัย 3 ด้าน คือ ด้าน ชีวภาพ ด้านสังคม และด้านสภาพแวดล้อมท่ีส่งผลต่อพัฒนาการเด็ก และอีกหน่ึงปัจจัยคือปัจจัยจาก การบงั คบั ใชก้ ฎหมายพิเศษในพืน้ ที่โดยเฉพาะในพื้นทช่ี ายแดนใต้ การสร้างบรรยากาศการแข่งขันเป็นหน่ึงในกระบวนการท่ีถูกใช้เพื่อรีดเค้นศักยภาพของ ทรพั ยากรมนษุ ย์ให้เกดิ ข้ึนสงู สดุ การสร้างการแขง่ ขันท่ีดีคือการแข่งขนั ที่ทุกคนเปน็ ผูช้ นะ แนวคิดของ การใช้แรงจูงใจส่วนบุคคลในการส่งเสริมโภชนาการของผู้ปกครองท่ีมีบุตรหลานมีปัญหาด้าน โภชนาการเกิดข้ึนจากกรอบแนวคิดท่ีวา่ การให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในด้านการพัฒนาโภชนาการเพียง อย่างเดียวนั้นจะไม่สรา้ งแรงจูงใจในการปฏบิ ัติ ดงั นั้นจึงต้องเพมิ่ แรงจงู ใจในการนาความรู้ที่ได้จากการ อบรมด้านโภชนาการนาไปใช้จริงกับบุตรหลานท่ีตนดูแล แรงจูงใจท่ีจะเกิดข้ึนโดยธรรมชาติคือ แรงจูงใจจากความรักความเป็นห่วงและความปรารถนาดีของผู้ปกครองต่อบุตรหลานและแรงจูงใจที่ เกิดจากการสรา้ ง (Intervention) ของโครงการวิจยั นี้คือรางวัลทีผ่ ู้ปกครองท่ีสามารถเพิ่มน้าหนักของ บุตรหลานได้มากทีส่ ุดในแต่ละกลุ่มอายใุ นแต่ละอาเภอ การสร้างกรอบแนวคิดของการวิจัยได้จากการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกับเด็กวัย กอ่ นเรียน ทฤษฎเี ก่ียวกบั พัฒนาการมนษุ ย์ และงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง
63 ภาพท่ี 7 กรอบแนวคดิ การวิจัย ปจั จัยทางกายภาพของเด็ก กระบวนการ 1. น้าหนกั แรกเกดิ ของเด็กต้า่ กวา่ เกณฑ์ 1. การอบรมเพ่ิมทกั ษะการจัดการปัญหา 2. ปัจจยั ทางชีวภาพดา้ นคณุ ลักษณะทางประชากร โภชนาการแกเ่ จ้าหนา้ ที่ และสขุ ภาพของมารดาขณะตงั้ ครรภ์ 2. Self Motivation แข่งขันกันระหวา่ ง 2.1 คุณลกั ษณะทางประชากรของมารดา ผูป้ กครองบา้ รงุ ลกู ใหส้ มบรู ณ์ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ 3. Coaching Skills ทักษะการถา่ ยทอด 2.2 สุขภาพของมารดาขณะตัง้ ครรภ์ ความรแู้ ละส่งเสริมผปู้ กครองของ เจา้ หนา้ ท่สี าธารณสขุ โรคประจา้ ตวั ภาวะแทรกซ้อนขณะตง้ั ครรภ์ การตดิ เช้ือระหวา่ งต้ังครรภ์ การได้รบั วติ ามินเสรมิ โฟเลต ไอโอดนี ธาตเุ หลก็ ปจั จัยทางชีวภาพด้านสขุ ภาพเด็กและโภชนาการ ผลลัพธ์ทีอ่ าจจะเกดิ ขน้ึ 1. สขุ ภาพเมอ่ื แรกเกิด อายุครรภ์ของมารดาเม่อื คลอด 1. ภาวะโภชนการดี พฒั นาการตามวัย วธิ ีการคลอด นา้ หนกั ทารกแรกเกิด ภาวะขาดออกซเิ จน 2. ภาวะโภชนาการไม่ดี สงสัยล่าชา้ 2. สขุ ภาพของเดก็ หลงั คลอด ภาวะแทรกซ้อนหลงั คลอด ผลลพั ธท์ ่อี าจจะเกดิ ขน้ึ โรคประจา้ ตวั การเจ็บปว่ ย สขุ ภาพชอ่ งปาก 1. ภาวะโภชนการดี พัฒนาการตามวยั 3. การกนิ อาหารม้ือหลกั 2. ภาวะโภชนาการไมด่ ี สงสัยล่าช้า ปัจจยั ทางสังคม วัฒนธรรม และสิง่ แวดล้อม 1. คา่ นยิ ม ความเช่ือ การดแู ลแม่ตงั้ ครรภ์ การเล้ียงดูบุตร 2. การตั้งครรภ์ การปฏิบัตติ ามค้าแนะน้าด้านสขุ ภาพ ปัจจยั ดา้ นการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในพน้ื ที่ 1. เดก็ ในครอบครวั ผ้เู หน็ ตา่ งจากรัฐ 2. บคุ คลในครอบครวั โดนติดตามจากรฐั
64 บทที่ 5 วธิ ีการดาเนินงาน การคัดเลอื กพืน้ ท่ี ทางโครงการไดค้ ัดเลือกพ้นื ท่โี ดยใช้ข้อมลู จากการสารวจจานวนเดก็ ท่ีป่วยเปน็ โรคหัดในช่วงที่ มีการระบาดของโรคหัดในปี 2561-2562 ร่วมกับพื้นที่ที่มีรายงานของเด็กขาดโภชนาการสูงสุดในแต่ ละจังหวดั และไดพ้ น้ื ทใ่ี นการปฏบิ ตั ิงานทั้งส้ิน 4 จังหวัด 17 อาเภอ โดยแบง่ เปน็ อาเภอดังตอ่ ไปน้ี 1. จังหวดั สงขลา - อาเภอสะบ้ายอ้ ย - อาเภอเทพา 2. จังหวดั ปตั ตานี - อาเภอหนองจิก - อาเภอยะรงั - อาเภอมายอ - อาเภอทงุ่ ยางแดง - อาเภอสายบรุ ี 3. จังหวัดยะลา - อาเภอกรงปนิ งั - อาเภอบนั นงั สตา - อาเภอกาบงั - อาเภอธารโต - อาเภอยะหา 4. จังหวดั นราธิวาส ไดแ้ ก่ - อาเภออรอื เสาะ - อาเภอบาเจาะ - อาเภอระแงะ - อาเภอจะแนะ - อาเภอสุไหง โก-ลก
65 การคัดเลือกผูเ้ ขา้ รว่ มโครงการ การคัดเลือกผ้เู ขา้ ร่วมโครงการมี 2 ส่วน นั่นคือ 1. ส่วนแรก เป็นส่วนของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท่ีจะเข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตร นกั จดั การปัญหาทุพโภชนาการมืออาชีพ โดยแต่ละอาเภอมเี จ้าหน้าท่สี าธารณสุขเขา้ รว่ มอบรมอาเภอ ละ 4 คน เป็นเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตาบลท่ีดูแลงานอนามัยเด็ก เล็ก 2 คน เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลประจาอาเภอท่ีดูแลปัญหาในเด็ก 1 คน และเจ้าหน้าที่จาก สานักงานสาธารณสุขประจาอาเภอ 1 คน นอกจากนั้นยังมีผู้ดูแลงานโภชนาการเด็กของสานักงาน สาธารณสุขประจาจังหวัดแต่ละจงั หวัดอีก 1 คน รวมจานวนผูเ้ ข้าร่วมจากสว่ นแรกทั้งสิน้ 72 คน 2. ส่วนที่สอง เป็นส่วนของเด็กอายุ 0-4 ปี ที่มีปัญหาด้านโภชนาการระดับรุนแรงที่สุดในแต่ละ อาเภอ อาเภอละ 30 คน โดยเกณฑ์การคัดเลือกคือดูจากเกณฑ์น้าหนักต่ออายุ ส่วนสูงต่ออายุ และ น้าหนักต่อส่วนสูงของเด็ก หากพบว่าเข้าเกณฑ์ตกจากค่าเฉล่ียมากที่สุดในพื้นท่ีจะเป็นเกณฑ์แรกใน การคัดเลือกเข้าโครงการ ภายในหน่ึงอาเภอจะแบ่งเป็น 2 ตาบล ทาให้มีผู้เข้าร่วมโครงการจากสว่ นน้ี ตาบลละ 15 คน รวมทั้งส้ิน 510 คน โดยเด็กหนึ่งคนจะต้องมีผู้ปกครองอย่างน้อย 1 คน เป็นผู้ดูแล และผู้ปกครองต้องเป็นผเู้ ข้ารับการอบรมในการพัฒนาภาวะโภชนาการของบุตรหลาน รวมถงึ เปน็ ผู้ให้ ขอ้ มูลในการตอบแบบสอบถามตลอดระยะเวลาของโครงการ รวมจานวนผปู้ กครองท่เี ข้ารว่ มโครงการ อย่างนอ้ ย 510 คน การอบรมเจา้ หน้าท่ี การอบรมจ้าหน้าท่ีในหลักสูตรพัฒนานักจัดการปัญหาโภชนาการสาหรับเด็กทุพโภชนาการ ในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะเวลาในการอบรม 5 วัน 3 คืน โดยหลักสูตรมีเน้ือหาดังต่อไปน้ี (เอกสารหลักสูตรการอบรมอย่ใู นเอกสารแนบของรายงานสรุป) 1. ความรู้โภชนศาสตร์ในเด็กเล็ก ได้แก่ ความรู้พ้ืนฐานด้านสารอาหารที่จาเป็นต่อการ พฒั นาร่างกายและสติปัญญาของเดก็ อายุ 0-4 ปี การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและสติปัญญาของเดก็ 2. เทคนิคการวิจัยภาคสนามเบ้ืองต้น ได้แก่ การตั้งสมมติฐานการวิจัย การออกแบบ วิธีวิจัย การออกแบบแบบสอบถาม การวิเคราะหข์ ้อมลู เบื้องต้น และการสรุปผล 3. เมนูอาหารเพ่ือพัฒนาโภชนาการ ซึ่งมีการสอนให้พ่อแม่เตรียมอาหารอย่างง่ายใน การแก้ไขภาวะโภชนาการในระยะเวลาส้ัน ๆ เน้ือหาในส่วนนี้ เช่น การจัดจานอาหารเพ่ือเพิ่มความ สนใจสาหรับเด็กเลก็ การทาซุปไกส่ กดั เพอื่ กระตุน้ ความอยากอาหาร
66 4. ความรู้การแพทย์แผนไทยเบ้ืองต้นสาหรับกระตุ้นโภชนาการ เนื้อหาสาหรับส่วนน้ี ได้แก่ การนวดเพ่ือกระตุ้นความแข็งแรงของกล้ามเน้ือท่ีเก่ียวข้องกับระบบทางเดินอาหาร (กล้ามเนื้อ รอบปาก กล้ามเนื้อคอ กล้ามเน้ือหน้าอก กลา้ มเนือ้ หลัง และกลา้ มเน้อื หน้าทอ้ ง) การนวดกระตุ้นต่อม นา้ ลายเพื่อเพม่ิ ความอยากอาหาร 5. การใช้หลกั การพฤตกิ รรมบาบดั สาหรบั แกไ้ ขปัญหาเดก็ ทมี่ ีภาวะกนิ ยาก เช่น การใช้ คาสั่งท่ีได้ผลสาหรับส่ังเด็กกินยาก การควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กเล็ก การลดพฤติกรรมต่อต้าน พอ่ แม่ในเด็ก 6. การคดั กรองโรคความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรมท่ีมผี ลตอ่ ภาวะโภชนาการ การออกแบบวิธีการแกป้ ัญหาโภชนาการในแตล่ ะพนื้ ที่ (โครงรา่ งวจิ ยั ย่อยระดับอาเภอ) คณะผวู้ จิ ัยได้ให้เจ้าหน้าที่ออกแบบแผนในการแก้ไขปัญหาทุพโภชนาการในเด็กที่คัดเลือกมา โดยมีระยะเวลาในการดาเนินการทั้งสิ้น 4 เดือน เม่ือทาการออกแบบวิธีการแก้ปัญหาแล้ว จะนา วิธกี ารนน้ั ปรกึ ษากบั อาจารย์ท่ีปรึกษาประจากลมุ่ เพ่ือปรับแก้และพัฒนาโครงร่างก่อนลงทางานจริงใน พน้ื ท่ี ทัง้ น้ี กระบวนการทจี่ าเปน็ ต้องมีในโครงรา่ งวจิ ัยยอ่ ย สาหรับทกุ พื้นท่ีคอื 1. การอบรมผู้ปกครองในด้านโภชนาการจากการใช้เน้ือหาหลักสูตรที่เจ้าหน้าท่ีได้รับ การอบรมมาจากโครงการ 2. การสนับสนุนอาหารเสริมท่ีอุดมด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตคุณภาพสูงแก่เด็กที่ เข้าร่วมโครงการ 3. การติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด (สัปดาห์ละ 1 ครั้ง) โดยติดตามเรื่องพฤติกรรม การรับประทานอาหาร คุณภาพของอาหาร น้าหนัก ส่วนสูงของเด็กที่เปลี่ยนแปลงไป (เอกสารแนบ แบบสอบถามที่ใช้ในโครงการ) 4. การรายงานผลการเปล่ียนแปลงด้านความรู้ การปฏิบัติและทัศนคติด้านโภชนาการ ของผปู้ กครอง และตดิ ตามการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเด็ก
67 บทท่ี 6 ผลการศกึ ษาและวิเคราะห์ผล ข้อมูลบริบทของพ้ืนที่การศึกษา ภาพท่ี 8 แสดงการกระจายของพ้ืนที่ที่ศึกษาท้ัง 32 แห่งในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา ประกอบอาชีพเกษตรกรและรับจ้างร้อยละ 32.6 และ 26.6 ตามลาดับ สาหรับพ้ืนที่การ วจิ ัยในระดับตาบลแสดงดังรูปขา้ งลา่ ง โดยมพี ้ืนท่ีในการวิจัยทง้ั ส้นิ 17 อาเภอ จาก 5 จังหวัด ภาพที่ 8 พื้นท่ขี องการศึกษา ขอ้ มูลทวั่ ไปของผ้ดู ูแลเดก็ ผู้ดูแลเด็กส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่อายุระหว่าง 20-40 ปี โดยมีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 32.6 ปี ส่วน ผู้ดูแลเด็กที่อายุน้อยกว่า 20 ปี และมากกว่า 50 ปีมีร้อยละ 4.6 และ 2.7 ตามลาดับ เป็นเพศหญิง รอ้ ยละ 90 และนับถอื ศาสนาอสิ ลามร้อยละ 93 ผู้ดูแลเด็กประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างร้อย ละ 33.2 และ 26.9 ตามลาดับ และมีรายได้ต่ากว่า 6,000 บาทต่อเดือนร้อยละ 75 ผู้ดูแลเด็กร้อยละ 36.7 สาเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาหรือต่ากว่า ส่วนใหญ่เป็นบิดาหรือมารดาของเด็กร้อยละ 91.6 มีจานวนบุตรเฉลี่ยเท่ากับ 1.52 คน โดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดูแล บตุ รร้อยละ 94.9 (ตารางที่ 12)
ตารางที่ 12 ข้อมลู ทว่ั ไปของผู้ดแู ลเด็ก 68 ร้อยละ ข้อมูลท่ัวไป จานวน 4.6 อายุ (Mean=32.6, S.D.=7.9) 39.2 22 42.1 - < 20 ปี 188 11.4 - 21-30 ปี 202 2.7 - 31-40 ปี 55 - 41-50 ปี 13 90.1 - > 50 ปี 10.0 เพศ 461 - หญงิ 51 93.0 - ชาย 6.8 ศาสนา 476 0.2 - อสิ ลาม 35 - พทุ ธ 1 33.2 - ไม่ระบุ 26.6 อาชีพ 170 25.6 - เกษตรกรรม 136 14.6 - รับจ้าง 131 - อืน่ ๆ 75 5.1 - ไมป่ ระกอบอาชีพ 31.6 การศกึ ษา 26 51.6 - ไมเ่ คยไดร้ บั การศกึ ษา 162 5.7 - ประถมศกึ ษา 264 6.1 - มัธยมศึกษาหรือเทยี บเท่า 29 - ปริญญาตรขี ึน้ ไป 31 75 - ไมร่ ะบุ 25 รายได้ครัวเรือน (ตอ่ เดือน) 384 - < 6,000 บาท 128 - > 6,000 บาท ความสัมพันธ์กับเด็ก
69 ข้อมูลท่ัวไป จานวน รอ้ ยละ - บิดาหรอื มารดา 469 91.6 - อ่ืน ๆ 43 8.4 ผูร้ ับผิดชอบคา่ ใชจ้ ่ายในการเลีย้ งดู - บดิ าหรือมารดา 486 94.9 - อนื่ ๆ 26 5.1 จานวนบตุ รของผูด้ แู ล - ไม่มีบตุ ร 5 1.0 - 1-2 คน 239 46.7 - 3-4 คน 186 36.3 - 5 คนขึ้นไป 82 16.0 ทมี่ า: (หน่วยปฏิบัติการวิจัยคลังอนุพันธ์ความรู้ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2551: 59) นา้ หนักและส่วนสูงของบดิ าและมารดา (Parent’s Anthropometry) ตารางที่ 13 แสดงค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้าหนักและส่วนสูงของบิดาและ มารดาเดก็ ท่ีเขา้ ร่วมโครงการซ่ึงพบวา่ บดิ ามารดาของเด็กท่ีเข้ารว่ มโครงการมีน้าหนักและสว่ นสูงเฉลี่ย ต่ากว่าค่าเฉลี่ยของชายไทยและหญิงไทย โดยบิดามีค่าเฉล่ียน้าหนักและส่วนสูงต่ากว่าชายไทย 7.2 กิโลกรัม และ 6.7 เซนติเมตรตามลาดบั ส่วนมารดามีน้าหนักและส่วนสงู เฉลีย่ ต่ากว่าหญิงไทยเทา่ กบั 2.6 กโิ ลกรัม และ 4.4 เซนตเิ มตรตามลาดับ ตารางท่ี 13 คา่ เฉลี่ยและส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของน้าหนักและส่วนสูงของบดิ าและมารดาของเด็ก ในโครงการเปรยี บเทียบกบั คา่ เฉลย่ี ของชายไทยและหญิงไทย น้าหนกั และสว่ นสูง ค่าเฉลี่ยน้าหนกั และบดิ ามารดา คา่ เฉล่ยี นาหนกั และส่วนสูง ที่เขา้ รว่ มโครงการ (S.D.) ของคนไทย* นา้ หนกั พ่อ (กโิ ลกรมั ) 61.1 (8.5) 68.3 สว่ นสงู พ่อ (เซนติเมตร) 164.5 (6.4) 171.2 นา้ หนักแม่ (กโิ ลกรัม) 55.8 (11.5) 58.4 ส่วนสงู แม่ (เซนติเมตร) 154 (5.6) 158.4 ทมี่ า: (หน่วยปฏิบัติการวิจัยคลังอนุพันธ์ความรู้ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2551: 59)
70 รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยต่อเดือนและรายจ่ายในการเล้ียงดูเด็กของครอบครัวผู้เข้าร่วม โครงการ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้ครัวเรือนต่อเดือน 6,000 บาทลงมา จังหวัดยะลาและปัตตานี มีสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ 6,000 บาทลงมามากที่สุดร้อยละ 85 และ 80 ตามลาดับ (ตารางท่ี 14) กลุ่มตัวอยา่ งมรี ายได้ครัวเรือนเฉลย่ี 4,500 บาทตอ่ เดอื น โดยกล่มุ ผ้มู ีรายได้น้อยกว่า 6,000 บาท ต่อเดอื นมรี ายได้เฉลีย่ เพียง 3,500 บาทต่อเดอื น กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี า่ ใชจ้ า่ ยในการเลยี้ งดูเด็กเฉลย่ี เท่ากับ 1,557 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ของรายได้ครัวเรือน โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการ เล้ียงดูเด็กในกลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้น้อย (น้อยกว่า 6,000 บาทต่อเดือน) เท่ากับร้อยละ 31 ของ รายได้ครัวเรือน ซ่ึงสูงกว่าส่วนสัดสว่ นค่าใช้จ่ายในการเล้ียงดูเด็กในกลุ่มท่ีมีรายได้สูง (6,000 บาทต่อ เดือนขึ้นไป) ซ่ึงเท่ากับร้อยละ 19 ของรายได้ครัวเรือน โดยครอบครัวมีเงินเหลือสาหรับรายจา่ ยอ่ืน ๆ เฉล่ียเท่ากับ 2,410 และ 7,300 บาทต่อเดือน ในกลุ่มที่มีรายได้ต่ากว่า 6,000 บาท และกลุ่มที่มี รายได้ 6,000 บาทข้ึนไป (ตารางที่ 15) รายได้ครัวเรือนมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญกับค่าใช้จ่าย ในการเลี้ยงดูเด็ก โดยครอบครัวที่มีรายได้น้อยจะมีค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรน้อยกว่าครอบครัวท่ีมี รายได้มากอย่างมีนัยสาคัญ (ตารางท่ี 16) เม่ือจาแนกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กออกเป็น 4 หมวด หลัก ได้แต่ ค้าผ้าอ้อม ค่าอาหารอ่ืน ๆ ที่ไม่ใช่นม ค่ารักษาพยาบาล (ท้ังที่เป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงและ โดยอ้อม) และค่านม (คา่ นมผง นมกล่อง นมเสรมิ ทุกประเภท) พบวา่ คา่ ใชจ้ า่ ยจา่ ยเพื่อซื้อนมเสริมสูง ท่ีสุดจากค่าใช้จ่ายท้ังส่ีหมวด โดยมีค่าเฉล่ียอยู่ที่ 720.3 บาทต่อเดือน (ค่าเฉล่ียเฉพาะผู้ปกครองท่ีมี ค่าใชจ้ า่ ยในหมวดนี)้ ในขณะท่ีค่ารักษาพยาบาลเป็นค่าใชจ้ ่ายทผี่ ้ปู กครองจ่ายน้อยทส่ี ุด (ตารางที่ 17) ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กมีแนวโน้มท่ีสูงข้ึนเมื่ออายุเด็กเพ่ิมขึ้น ดังนั้นครัวเรือนท่ีมีรายได้น้อยต้อง รับภาระค่าใช้จ่ายท่ีสูงขึ้นหากเด็กมีอายุมากขึ้นในขณะที่รายได้ครัวเรือนยังเท่าเดิม (ตารางท่ี 18) ค่าใช้จ่ายสาหรับเด็กส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายเพ่ือการซ้ือนมผงและผ้าอ้อม ซึ่งน่าสนใจว่าค่าใช้จ่าย ดงั กลา่ วลดลงไมม่ ากแมเ้ ด็กจะมีอายเุ ด็กมากขึ้น (ตารางที่ 19) ตารางท่ี 14 จานวนและสัดส่วนครัวเรือนทม่ี ีรายได้มากกว่าและนอ้ ยกว่า 6,000 บาทต่อเดอื นจาแนก ตามภมู ิลาเนา จงั หวัด <=6000 >6000 P value ปตั ตานี 121 (80.6) 29 (19.4) 0.001 ยะลา 128 (85.3) 22 (14.7) นราธิวาส 104 (69.3) 46 (30.7) สงขลา 31 (50.0) 31 (50.0)
71 ตารางที่ 15 รายไดแ้ ละรายจ่ายครวั เรอื นต่อเดือนจาแนกตามกลุ่มรายได้มากกว่าและนอ้ ยกวา่ 6,000 บาทตอ่ เดือน รายการ Median (IQR) P-value for Chi-square test รายไดเ้ ฉลี่ยต่อเดือน 4,500 (3000,7000) - รายได้เฉล่ยี ตอ่ เดือน (บาท) - น้อยกว่า 6,000 บาท 3,500 (3,000, 5000) < 0.01 6,000 บาทขน้ึ ไป 9000 (7500, 11250) รายจ่ายในการเลีย้ งดเู ดก็ เฉลีย่ ตอ่ เดือน (บาท) 1,557 (1237.9 รายจ่ายในการเล้ียงดูเดก็ ต่อเดือนจาแนกตาม รายจา่ ยท่ไี ดร้ ับ (บาท) 1,090 (600,1600) < 0.001 - นอ้ ยกว่า 6,000 บาท 1,700 (1095, 2800) - 6,000 บาทขึน้ ไป ตารางที่ 16 จานวนและสดั สว่ นกลุ่มตวั อย่างตามคา่ ใชจ้ า่ ยในการเลยี้ งดูบุตรและรายได้ครวั เรอื นตอ่ เดือนมากกว่าหรอื น้อยกวา่ 1,000 บาท ค่าใช้จา่ ย รายได้ครัวเรอื นต่อเดอื น (บาท) P-value ในการเล้ยี งดบู ตุ รตอ่ เดอื น <6000 บาท >= 6000 <1000 172 (44.8) 25 (19.5) <0.001 >=1000 212 (55.2) 103 (80.5) ตารางที่ 17 คา่ เฉล่ยี คา่ ใชจ้ ่ายในการดูแลเดก็ จาแนกตามหมวดค่าใชจ้ า่ ย หมวดค่าใชจ้ ่าย Mean (S.D.) Median (IQR) ผ้าออ้ ม (402 คน) 469.6 (383.8) 350 (270,500) อาหารอื่น ๆ ท่ีไม่ใชน่ ม (426 คน) 615.1 (551.6) 500 (300,700) คา่ รกั ษาพยาบาล (110 คน) 461.4 (355.8) 500 (200,500) คา่ นม (348 คน) 722.4 (681.2) 500 (300,910)
72 ตารางที่ 18 ตารางแสดงรายจ่ายตอ่ เดือนในการเลีย้ งดเู ดก็ อายุ 0-4 ปี ในกล่มุ ท่มี รี ายได้น้อยทส่ี ุด 20% สุดท้าย อายุ (ป)ี 01234 ค่าใช้จา่ ยรวมตอ่ เดือน (บาท) 4100.70 4143.02 4297.71 5093.49 6047.85 ค่าใช้จา่ ยจากรัฐ (บาท) 1737.05 1730.28 1827.89 2412.30 2893.53 ค่าใช้จ่ายโดยเอกชน (บาท) 2375.08 2412.68 2469.82 2681.26 3154.38 หมายเหตุ: ดัดแปลงโดยคณะผู้วจิ ยั ต้นฉบับจาก จ่มจันทร์ เฉลิมพล. ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตร (อายุ 0-14 ปี) ในประเทศไทย. CHIANG MAI Univ J Econ. 2019 Apr 30;23(1):55–78 ตารางที่ 19 ค่าใชจ้ า่ ยในการเล้ยี งดูเด็กแยกตามหมวดและแยกตามอายุ อายุ จานวนเด็ก จานวนเด็กที่มี คา่ ใชจ้ ่ายเฉล่ียสาหรับ จานวนเด็กทีม่ ี ค่าใช้จ่ายสาหรบั ค่าใช้จา่ ยนมผง นมผง (บาท) ค่าใชจ้ ่ายสาหรบั ผ้าออ้ ม (บาท) 0-1 ปี 21 Median (IQR) (คน) Median (IQR) ผา้ อ้อม (คน) 350 (300,450) 15 (71.4) 360 (300,900) 21 (100) 1-2 ปี 137 96 (70.1) 500 (300,830) 120 (87.6) 440 (300,600) 2-3 ปี 168 118 (70.2) 500 (300,900) 147 (87.5) 320 (255,500) 3-5 ปี 186 118 (63.4) 500 (300,975) 113 (60.8) 300 (250,500) ขอ้ มูลทัว่ ไปของเด็กท่ีเขา้ รว่ มโครงการ เด็กทเี่ ขา้ รว่ มโครงการเปน็ เพศหญงิ ร้อยละ 54.9 มีอายุเฉลย่ี 2.5 ปี (S.D.=1.0) ท้งั นม้ี ากกว่า ร้อยละ 60 เป็นเด็กอายุ 2-4 ปี เด็กร้อยละ 97.4 คลอดท่ีสถานบริการสุขภาพ ปัญหาท่ีพบบ่อยท่ีสุด ในระหว่างต้ังครรภ์ของแม่และเด็กท่ีเข้าร่วมโครงการคือ โลหิตจางท่ีร้อยละ 10.7 ความดันโลหิตสูง รอ้ ยละ 7.0 และทารกน้าหนักต่ากว่าปกตริ ้อยละ 5.9 เด็กร้อยละ 80.7 มปี ระวัตกิ ารคลอดโดยวธิ ปี กติ และร้อยละ 19.3 คลอดโดยการผา่ คลอด (ตารางที่ 20) เดก็ ทีม่ ปี ระวตั ิผ่าคลอดสว่ นใหญ่มีข้อบง่ ชี้สาม ลาดับแรกเร่ืองการตั้งครรภ์แฝด (ร้อยละ 15.8) ปากมดลูกไม่เปิด (รอ้ ยละ 15.8) มารดาเปน็ โรคความ ดันโลหิตสูง (ร้อยละ 12.6) (ตารางท่ี 21) เด็กร้อยละ 28.2 ไม่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กระทรวง สาธารณสุขกาหนด โดย ไม่ได้รับวคั ซีนเลยร้อยละ 0.8 รบั แค่วคั ซีนแรกคลอดเท่านั้นร้อยละ 3.3 และ รับวัคซีนไม่ครบบางตัวร้อยละ 24.1 (ตารางที่ 20) ทั้งน้ีสัดส่วนของเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับไม่ ครบมาจากครอบครัวท่ีมีรายได้น้อยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 31.1 ส่วนเด็กท่ีไม่ได้รับวัคซีนหรือรับไม่ ครบท่ีมาจากครอบครัวท่ีมีรายได้สูงกว่ามีเพียงร้อยละ 18.7 (ตาราง 22) เด็กร้อยละ 14.4 เคยป่วย
73 ด้วยโรคที่ป้องกนั ได้ดว้ ยวัคซีน โดยพบสัดส่วนการป่วยในกลมุ่ ทไ่ี ม่ไดร้ บั วคั ซีนรอ้ ยละ 20 มากกว่ากลุ่ม ท่ีได้รับวัคซีนซ่ึงพบร้อยละ 12 (ตาราง 23) โดยโรคที่พบบ่อยท่ีสุดได้แก่ หัด (ร้อยละ 11.3) เด็กร้อย ละ 92 เคยได้รับนมแม่ โดยมีระยะเวลาเฉล่ียในการดื่มนมแม่เวลา 17.6 เดือน การได้รับนมแม่ของ เด็กไมม่ ีความสมั พันธก์ บั รายได้ครวั เรือน (ตาราง 21) ตารางที่ 20 ข้อมูลพืน้ ฐานของเด็กที่เขา้ ร่วมการศกึ ษา จานวน (ร้อยละ) ลกั ษณะ 231 (45.1) เพศ 281 (54.9) - ชาย 21 (4.1) - หญงิ 137 (26.8) อายุ 168 (32.8) - 0-1 ปี 186 (36.3) - 1-2 ปี - 2-3 ปี 5 (2, 8) - 3-4 ปี ลาดบั ท่ขี องบตุ รทเี่ ข้าโครงการ Median(IQR) 492 (97.4) สถานท่คี ลอด 13 (2.6) - สถานบริการสขุ ภาพ - ท่ีบา้ น 405 (80.7) ประวตั กิ ารคลอด 97 (19.3) - คลอดปกติ - ผา่ คลอด 55 (10.7) ภาวะแทรกซ้อนระหว่างต้งั ครรภข์ องมารดา (ตอบไดม้ ากกวา่ 1) 36 (7.0) - โลหิตจาง 17 (3.3) - ความดันโลหติ สูง 2 (0.4) - เบาหวาน - ภาวะซึมเศรา้ อารมณแ์ ปรปรวน 30 (5.9) ภาวะแทรกซ้อนของทารกระหวา่ งต้ังครรภ์ 4 (0.8) - น้าหนกั ทารกตา่ กว่าปกติ - นา้ หนักทารกสูงกวา่ ปกติ
74 จานวน (รอ้ ยละ) ลกั ษณะ 352 (71.8) ประวตั ิการไดร้ ับวัคซนี 118 (24.1) - รบั วคั ซีนครบ 16 (3.3) - รบั วคั ซนี ไม่ครบ 4 (0.8) - รับวัคซีนแรกคลอดเทา่ นั้น - ไมร่ ับวคั ซีนเลย 70 (14.4) ประวัตกิ ารเป็นโรคตดิ ต่อทปี่ อ้ งกันไดด้ ว้ ยวัคซนี 416 (85.6) - เคยเป็น - ไมเ่ คยเปน็ 58 (11.3) การป่วยดว้ ยโรคติดตอ่ ทป่ี ้องกนั ได้ (ตอบได้มากกวา่ 1 ขอ้ ) 3 (0.5) - โรคหัด 4 (0.8) - โรคบาดทะยกั 7 (1.4) - โรคไข้หวัดใหญ่ - โรคอ่นื ๆ 473 (94.0) การไดร้ ับนมแม่ 30 (6.0) - เคยไดร้ ับ - ไม่เคยได้รบั 17.6 (9.8) ระยะเวลาเฉลีย่ ทีเ่ คยไดร้ บั นมแม่ (เดือน) 18 (1, 48) - ค่าเฉลี่ย (ส่วนเบนมาตรฐาน) - ค่ามัธยฐาน (น้อยท่ีสุด, มากทส่ี ดุ ) 10 (10.5) 1 (1.1) ตารางท่ี 21 ขอ้ บง่ ชีใ้ นการผ่าคลอดของเด็กที่เขา้ รว่ มโครงการ 5 (5.3) ประวัติการคลอดของเดก็ 1 (1.1) 1 (1.1) สาเหตขุ องการผา่ คลอด Abnormal Presentation Bleeding CPD Epilepsy Fetal Distress
75 ประวัตกิ ารคลอดของเดก็ 2 (2.1) Gestational DM (GDM) 12 (12.6) Pregnancy Induce Hypertension 12 (12.6) No Describe 15 (15.8) No Cervical Dilatation Oligohydramnios 1 (1.1) Placenta Previa 2 (2.1) Post-term Pregnancy 3 (3.2) Preterm Labor 2 (2.1) Previous C/S and Abdominal surgery 12 (12.6) Prolong of Labor 1 (1.1) Twin Pregnancy 15 (15.8) ตารางท่ี 22 จานวนและสัดส่วนการได้รับวัคซีนจาแนกตามรายได้เฉล่ียครัวเรือน รายได้เฉล่ียต่อการรับวัคซีน ประวตั ิการรับวัคซีน <6000 บาท >=6000 บาท P-value 0.025 รบั วัคซีนครบ 252 (71.5) 100 (28.5) รบั วัคซีนไม่ครบ 100 (84.7) 18 (15.3) รับแค่วัคซีนแรกคลอดเทา่ น้นั 12 (75.0) 4 (25.0) ไมร่ ับวัคซีนเลย 3 (75.0) 1 (25.0) ตารางท่ี 23 ประวตั กิ ารรบั วัคซีนและการเปน็ โรคทีป่ ้องกนั ได้ดว้ ยวคั ซนี ความสมั พนั ธข์ องการรับวัคซนี และการเปน็ โรคท่ปี อ้ งกันได้ดว้ ยวคั ซีน รับวคั ซีนครบ รบั วคั ซีนไมค่ รบ P-value เปน็ โรคที่ป้องกนั ได้ด้วยวัคซีน 41 (12.0) 27 (20.3) 0.029 ไมเ่ ป็นโรคทป่ี ้องกนั ไดด้ ว้ ยวคั ซนี 302 (88.0) 106 (79.7)
76 การไดร้ บั นมแม่ เด็กที่เข้าร่วมโครงการร้อยละ 92.4 เคยได้รับนมแม่ โดยมีค่าเฉล่ียระยะเวลาที่รับนม มารดาอยู่ที่ 17.6 เดือน (ตารางที่ 24) เม่ือดูจากข้อมูลข้างต้นอาจจะเข้าใจได้ว่าพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดน ภาคใต้ เด็กยังได้รับนมแม่อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายต่อเดือนในการเล้ียงดูบุตรพบว่า เด็กท่ีอายุต่ากว่า 1 ปี มีค่าใช้จ่ายสาหรับนมเสริมเฉลี่ยท่ีเดือนละ 720 บาท ซ่ึงถือเป็นตัวเลขท่ีเป็น จานวนท่ีมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายส่วนนี้เกือบคร่ึงหน่ึงของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเลี้ยงดูบุตรหนึ่งคน ท่ี น่าสนใจอีกประการคือ ระยะเวลาท่ีเดก็ ได้รับนมแม่ที่พบในการศึกษาน้อี ยู่ที่ 17.6 เดือน แต่ไม่ได้ระบุ ว่าเดก็ ได้รับนมแม่แบบ Exclusive Brest Feeding ก่ีเดอื น ข้อค้นพบจากการสารวจคร้งั นี้มีความใกล้เคียงกับการสารวจครั้งลา่ สุดของ UNICEF ใน ปี 2015-2016 ท่ีพบว่าถึงแม้อัตราการให้นมแม่ของแม่ในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนใต้จะสูงเท่าเทียมกับ ค่าเฉล่ียของประเทศที่ปะมาณ 96.3%-100% แต่กระน้ันก็ตาม แม่ท่ีสามารถให้ Exclusive Breast Feeding ได้อย่างน้อย 6 เดือนเหลือน้อยมาก ในบางจังหวัดโดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาสที่พบเพียง แค่ 8% เท่าน้ัน (ค่าเฉลี่ยประเทศอยู่ที่ 23.1%) ส่วนจังหวัดปัตตานีที่สามารถรักษาการให้นมแม่ล้วน ไดส้ ูงทีส่ ดุ ของพ้นื ที่อยทู่ ่ี 25.9%28 ตารางที่ 24 ข้อมูลการไดร้ ับนมแมข่ องเด็กในโครงการ 473 (92.4) 30 (5.9) ประวตั ิดา้ นการรบั นมแม่ 9 (1.8) เด็กไดร้ ับนมมารดาหรือไม่ 17.6 (9.8) - ใช่ 18 (1, 48) - ไม่ใช่ - ไม่ตอบ 1 (0.2) ถา้ ใช่ ระยะเวลาท่ีไดร้ บั นมมารดานานเทา่ ไหร่ (เดือน) - คา่ เฉลยี่ (ส่วนเบีย่ งเบนทางสถติ )ิ - คา่ มธั ยฐาน (นอ้ ยที่สุด, มากที่สุด) ถ้าไม่ เพราะเหตุใด - บดิ าหรอื มารดา เสยี ชวี ติ 28 UNICEF Thailand, National Statistic Office Thailand. (June, 2017). Thailand 14 Provinces Multiple Indicator Cluster Survey (MICS) 2015-2016. [ Web Blog]. Available: https://www.unicef.org/thailand/media/2 3 1 / file/ Thailand%2014%20Provinces%20Multiple%20Indicator%20Cluster%20Survey%20(MICS)%202015- 2016.pdf. [September 29, 2020].
77 9 (1.8) 23 (4.5) ประวัติด้านการรับนมแม่ - บิดา-มารดา หยา่ รา้ ง - บิดาหรือมารดา ทางานต่างถ่ิน ตารางท่ี 25 การได้รบั นมแมเ่ มอื่ แยกตามกล่มุ รายได้ รายได้เฉล่ียตอ่ การกินนมแม่ <6000 >=6000 P-value 0.183 กินนมแม่ 355 (93.9) 118 (94.4) ไม่กินนมแม่ 23 (6.1) 5 (5.6) ความร้ดู ้านโภชนาการและพฤตกิ รรมการดูแลเด็กเพื่อส่งเสริมโภชนาการของผูป้ กครอง ความรดู้ ้านโภชนาการและพฤติกรรมการดูแลเด็กด้านโภชนาการของผู้ปกครองก่อนและหลัง การเข้าร่วมโครงการมีความแตกต่างอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ โดยเฉพาะความรู้เชิงลกึ เช่น กลุ่มอายุ ท่ีเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดปัญหาการขาดสารอาหาร ความรู้ท่ีเก่ียวข้องกับความเช่ือและทัศนคติ เช่น การดืม่ นมแม่ กรรมพนั ธ์ เป็นต้น (ตารางที่ 26) เช่นเดียวกบั พฤติกรรมการดแู ลเพ่อื ส่งเสริมโภชนาการ ซึ่งพบว่า พฤติกรรมการดูแลเพ่ือส่งเสริมโภชนาการของผู้ปกครองมีการเปล่ียนแปลงไปในทิศทางที่ดี ขึ้นอย่างชัดเจนและมีนัยสาคัญทางสถิติ หลังจากเข้าร่วมโครงการ เช่น ผู้ปกครองตระหนักถึงการวัด และชง่ั น้าหนกั เพื่อติดตามภาวะโภชนาการของบุตรหลาน ผูป้ กครองเข้าใจมากข้ึนว่าการบังคับให้เด็ก กนิ ไม่ใช่การแก้ปญั หาโภชนาการ ผ้ปู กครองจัดให้เด็กรบั ประทานผลไม้มากข้ึน และเข้าใจความหมาย และวิธีการปอ้ งกนั แก้ไขโรคขาดสารอาหารมากข้ึน (ตารางที่ 27 และ 28) ตารางท่ี 26 เปรียบเทียบคะแนนความรู้พื้นฐานด้านโภชนาการเด็กของผู้ปกครองที่เข้าร่วม โครงการ โดยเปรยี บเทยี บกอ่ นและหลงั เขา้ ร่วมโครงการ คาถามทดสอบความรู้ ก่อน หลงั P-value จานวน (ร้อยละ) จานวน (รอ้ ยละ) 1. อาหารประเภทผักผลไม้ มีประโยชน์ต่อ 484 (94.5) 498 (97.3) 0.035 ระบบขบั ถ่ายของเด็ก
78 คาถามทดสอบความรู้ กอ่ น หลงั P-value จานวน (ร้อยละ) จานวน (ร้อยละ) 0.758 2. ร่างกายต้องการสารอาหารในปริมาณท่ี เ พี ย ง พ อ แ ต่ ไ ม่ ไ ด้ ขึ้ น อ ยู่ กั บ ป ริ ม า ณ 377 (73.6) 381 (74.6) 0.486 อาหารทีก่ นิ 0.386 487 (95.1) 491 (96.1) 3. อาหารที่มีประโยชน์มีผลต่อการเจริญ 453 (88.5) 462 (90.2) <0.001 เตบิ โตของรา่ งกายและสติปัญญา 406 (79.3) 444 (86.7) <0.001 4. ถ้าร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกายจะทาให้ 344 (67.2) 397 (77.5) <0.001 เป็นโรคทเี่ รียกวา่ โรคขาดสารอาหาร 0.005 264 (51.6) 346 (67.6) 0.154 5. เด็กที่มีน้าหนักตัวเทียบกับส่วนสูงต่า 478 (93.4) 498 (97.3) ก ว่ า เ ก ณ ฑ์ ม า ต ร ฐ า น ถื อ ว่ า เ ป็ น เ ด็ ก 465 (90.8) 478 (93.4) <0.001 ทุพโภชนาการ <0.001 297 (58.0) 345 (67.4) 6. เด็กวัยก่อนเข้าโรงเรียน เป็นกลุ่มอายุท่ี 302 (59.0) 353 (68.9) มีโอกาสเกิดโรคขาดสารอาหารมากกว่า วยั อ่นื ๆ 7. ถ้าเด็กได้รบั สารอาหารทไ่ี ม่เหมาะสมกับ รา่ งกายอาจทาใหเ้ สยี ชวี ิตได้ 8. น้านมแม่เป็นอาหารที่มีคุณภาพดีท่ีสุด สาหรับลูกต้ังแต่แรกเกดิ ถึง 6 เดือน 9. ไม่คว รให้เด็ก กิน อ าห ารป ร ะ เ ภ ท น้าอัดลม ลูกอมและของหมักดองเพราะ ทาให้ฟนั ผุเร็วข้นึ 10. โรคขาดสารอาหารเป็นโรคท่ีหายไดเ้ อง 11. การเจริญเติบโตของเด็กข้ึนอยู่กับ กรรมพนั ธ์มากกว่าเรอื่ งการกินอาหาร
79 ตารางที่ 27 เปรียบเทียบจานวนและสัดส่วนของผู้ปกครองท่ปี ฏิบัติการดแู ลเพ่ือส่งเสริมโภชนาการ ของเด็กก่อนและหลงั โครงการ พฤตกิ รรมการดูแลเดก็ ก่อน หลัง P-value จานวน (รอ้ ยละ) จานวน (ร้อยละ) <0.001 1. ทา่ นได้จัดผลไมใ้ หเ้ ด็กกินทกุ วนั <0.001 2. ท่านตระหนักถึงและจัดให้มีการช่ัง 391 (76.4) 458 (89.5) 465 (90.8) 505 (98.6) <0.001 น้าหนักวัดส่วนสูงของเด็ก เพ่ือ <0.001 ตดิ ตามภาวะทางโภชนาการ 152 (29.7) 264 (51.6) 3. ถ้าเด็กไม่ยอมกิน จาเป็นต้องบังคับให้ 188 (36.7) 256 (50) <0.001 เด็กกินใหไ้ ด้ 4. เด็กทชี่ อบอมข้าวและกินพร้อมเล่นไป 447 (87.3) 482 (94.1) ด้วย (ผู้ปกครองเดินป้อนข้าว) จะทา ใ ห้ เ ด็ ก กิ น ไ ด้ ม า ก ก ว่ า เ ด็ ก ท่ี นั่ ง กิ น อาหารเปน็ ที่ 5. เดก็ ควรกนิ อาหารมื้อหลัก 3 มื้อ อาหารว่าง 2 มื้อ เมื่อจาแนกกลุ่มผู้ปกครองท่ีมีรายได้น้อยกว่าหรือเท่ากับ 6,000 บาทและมากกว่า พบว่า กลุ่มท่ีมีรายไดน้ อ้ ยกว่าหรือเท่ากบั 6,000 บาท มแี นวโนม้ ท่จี ะมกี ารเพม่ิ พนู ความรู้และการปฏิบัติทาง โภชนาการทีถ่ กู ตอ้ งมากกว่ากล่มุ ท่ีมีรายได้มากกวา่ เม่ือส้ินสุดโครงการ ซ่งึ แสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองท่ีมี รายได้น้อยกว่าตอบสนองด้านความรู้และการปฏิบัติต่อการอบรมของเจ้าหน้าท่ีมากกว่า ข้อค้นพบ ดังกล่าวอาจจะเกิดจากผู้ปกครองที่มีรายได้น้อยกว่า 6,000 บาท (ตารางท่ี 29 และ 30) เมื่อเร่ิมต้น โครงการอาจจะเริ่มต้นด้วยคะแนนความรู้และการปฏิบัติที่น้อยกว่า แต่เม่ือสิ้นสุดโครงการมี พัฒนาการในสองด้านน้ีเพ่ิมขึ้น และเมื่อแยกกลุ่มผู้ปกครองเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มที่พาบุตรหลานไปรบั วัคซีนครบกับกลุ่มที่ไม่ครบ พบว่ากลุ่มผู้ปกครองที่เด็กได้รับวัคซีนครบมีคะแนนด้านความรู้และการ ปฏบิ ัตดิ า้ นโภชนาการดกี วา่ กล่มุ ผปู้ กครองทบ่ี ุตรหลานได้รับวัคซนี ไม่ครบ
80 ตารางที่ 28 จานวนและสดั ส่วนของผปู้ กครองทปี่ ฏิบัติการดูแลด้านโภชนากา โครงการ รอบที่ทดสอบ กอ่ นเร่ิม การปฏิบัติโภชนาการ รายไดผ้ ปู้ กครอง <= 6,000 > บาท *Mean (SD) 1.7 (0.5) 1. ช่ังน้าหนัก วัดส่วนสูง n ทตี่ อบใช่ (%) 352 (91.7) 113 จดั ผลไม้ใหก้ นิ ทกุ ม้ือ n ที่ตอบใช่ (%) 295 (76.8) 9 ตารางที่ 29 จานวนและสัดส่วนของผู้ปกครองท่ีตอบคาถามความรู้ด้านโภช โครงการ รอบท่ีทดสอบ กอ่ นเร ความรู้โภชนาการ รายไดผ้ ปู้ กครอง <= 6,000 บาท *Mean (SD) 10.1 (1.7) 1. อ า ห า ร ป ร ะ เ ภ ท ผั ก ผ ล ไ ม้ มี n ทตี่ อบใช่ (%) 370 (96.4) ประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายของ เด็ก 2. ร่างกายต้องการสารอาหารใน n ทต่ี อบใช่ (%) 284 (74) ปริมาณท่ีเพียงพอแต่ไม่ได้ข้ึนอยู่ กับปรมิ าณอาหารทกี่ นิ
ารเม่ือจาแนกตามกลมุ่ รายไดผ้ ู้ปกครองและเปรียบเทียบกอ่ นและหลัง มโครงการ เมอ่ื ส้ินสดุ โครงการ 6,000 P-value <= 6,000 > 6,000 P-value บาท .6 (0.6) 0.332 1.9 (0.3) 1.9 (0.3) 0.814 3 (88.3) 0.331 96 (75) 0.764 380 (99) 125 (97.7) 0.374 343 (89.3) 115 (89.8) 1.000 ชนาการถูกต้องจาแนกตามรายได้เปรียบเทียบก่อนและหลังเข้าร่วม ร่ิมโครงการ เมื่อสิน้ สดุ โครงการ > 6,000 P-value <= 6,000 บาท > 6,000 P-value 9.8 (1.8) 0.083 11.2 (1.6) 11 (1.8) 0.337 114 (89.1) 0.004 373 (97.1) 125 (97.7) 1 93 (72.7) 0.862 283 (73.7) 98 (77.2) 0.509
81 รอบท่ีทดสอบ ก่อนเร ความรโู้ ภชนาการ รายไดผ้ ปู้ กครอง <= 6,000 บาท *Mean (SD) 10.1 (1.7) 3. การเจริญเติบโตของเด็กข้ึนอยู่ n ที่ตอบใช่ (%) 156 (40.6) กับกรรมพันธ์มากกว่าเรื่องการ กินอาหาร 4. อาหารที่มีประโยชน์มีผลต่อการ n ทต่ี อบใช่ (%) 366 (95.3) เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต ข อ ง ร่ า ง ก า ย แ ล ะ สติปัญญา 5. ถ้าเด็กไม่ยอมกินจาเป็นต้อง n ที่ตอบใช่ (%) 273 (71.1) บังคับใหเ้ ดก็ กนิ ใหไ้ ด้ 6. เด็กท่ีชอบอมข้าวและกินพร้อม n ที่ตอบใช่ (%) 244 (63.5) เล่นไปด้วยจะทาให้เด็กกินได้ มากกว่าเด็กท่นี ัง่ กนิ อาหารเปน็ ท่ี 7. เด็กควรกินอาหารม้ือหลัก 3 มื้อ n ทต่ี อบใช่ (%) 334 (87) อาหารวา่ ง 2 มอ้ื 8. ถ้าร่างกายได้รับสารอาหารไม่ n ท่ตี อบใช่ (%) 347 (90.4) เพียงพอต่อความต้องการของ
ร่ิมโครงการ เมื่อสนิ้ สุดโครงการ > 6,000 P-value <= 6,000 บาท > 6,000 P-value 9.8 (1.8) 0.083 11.2 (1.6) 11 (1.8) 0.337 54 (42.2) 0.836 116 (30.2) 43 (33.6) 0.544 121 (94.5) 0.906 370 (96.4) 121 (95.3) 0.6 87 (68) 0.577 181 (47.1) 67 (52.3) 0.358 80 (62.5) 0.916 200 (52.1) 56 (43.8) 0.126 113 (88.3) 0.818 367 (95.6) 115 (89.8) 0.03 106 (82.8) 0.031 354 (92.2) 108 (84.4) 0.016
82 รอบที่ทดสอบ ก่อนเร ความรโู้ ภชนาการ รายไดผ้ ปู้ กครอง <= 6,000 บาท *Mean (SD) 10.1 (1.7) ร่ า ง ก า ย จ ะ ท า ใ ห้ เ ป็ น โ ร ค ท่ี เรยี กวา่ โรคขาดสารอาหาร ตารางที่ 30 คะแนนความรู้พื้นฐานด้านโภชนาการเด็กของผู้ปกครองเปรียบ บาท และเปรยี บเทยี บก่อนและหลงั เข้ารว่ มโครงการ รอบท่ีทดสอบ ก่อนเร ความรู้โภชนาการ รายได้ผู้ปกครอง <= 6,000 บาท *Mean (SD) 10.1 (1.7) 1. เด็กที่มีน้าหนักตัวเทียบกับ n ท่ีตอบใช่ (%) 311 (81) ส่วนสูงต่ากว่าเกณฑ์มาตรฐาน ถือว่าเป็นเดก็ ทพุ โภชนาการ 2. เด็กวัยก่อนเข้าโรงเรียนเป็น n ที่ตอบใช่ (%) 265 (69) กลุ่มอายุที่มีโอกาสเกิดโรคขาด สารอาหารมากกว่าวยั อื่น ๆ
ร่ิมโครงการ เมอ่ื ส้นิ สุดโครงการ > 6,000 P-value <= 6,000 บาท > 6,000 P-value 9.8 (1.8) 0.083 11.2 (1.6) 11 (1.8) 0.337 บเทียบกลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่าเท่ากับ 6,000 บาท และมากกว่า 6,000 ริม่ โครงการ เมื่อสนิ้ สดุ โครงการ > 6,000 P-value <= 6,000 บาท > 6,000 P-value 9.8 (1.8) 0.083 11.2 (1.6) 11 (1.8) 0.337 95 (74.2) 0.131 340 (88.5) 104 (81.2) 0.051 79 (61.7) 0.158 298 (77.6) 99 (77.3) 1
83 รอบท่ีทดสอบ ก่อนเร ความรู้โภชนาการ รายไดผ้ ู้ปกครอง <= 6,000 บาท *Mean (SD) 10.1 (1.7) 3. ถ้าเด็กได้รับสารอาหารท่ีไม่ n ท่ตี อบใช่ (%) 194 (50.5) เหมาะสมกับร่างกายอาจทาให้ เสยี ชวี ิตได้ 4. น้ า น ม แ ม่ เ ป็ น อ า ห า ร ท่ี มี n ที่ตอบใช่ (%) 358 (93.2) คุณภาพดีที่สุดสาหรับลูกต้ังแต่ แรกเกิด ถึง 6 เดอื น 5. ไ ม่ ค ว ร ใ ห้ เ ด็ ก กิ น อ า ห า ร n ทต่ี อบใช่ (%) 350 (91.1) ประเภทน้าอัดลม ลูกอม และ ของหมักดอง เพราะทาให้ฟันผุ เรว็ ขึ้น 6. โรคขาดสารอาหารเป็นโรคท่ี n ทีต่ อบใช่ (%) 154 (40.1) หายได้เอง
ริ่มโครงการ เม่อื สนิ้ สดุ โครงการ > 6,000 P-value <= 6,000 บาท > 6,000 P-value 9.8 (1.8) 0.083 11.2 (1.6) 11 (1.8) 0.337 70 (54.7) 0.475 255 (66.4) 91 (71.1) 0.383 120 (93.8) 1 374 (97.4) 124 (96.9) 0.757 115 (89.8) 0.791 359 (93.5) 119 (93) 1 61 (47.7) 0.163 125 (32.6) 42 (32.8) 1
84 พฤตกิ รรมการรับประทานอาหารของเดก็ เม่ือสารวจพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเด็กซ่ึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการแสดงผลออกเป็น น้าหนักและส่วนสูงของเด็ก เราทาการสารวจคะแนนของพฤติกรรมด้านบวกและด้านลบของการ รับประทานอาหาร โดยแต่ละข้อจะมีคะแนนเต็ม 5 คะแนน หากเปน็ พฤติกรรมด้านบวก หากคา่ เฉล่ียเข้า ใกล้ 5 หมายความว่าค่าเฉล่ียของพฤติกรรมดังกล่าวเป็นไปในทางที่ดี หากเป็นพฤติกรรมทางลบถ้ามี คา่ เฉลีย่ คะแนนเข้าใกล้ 5 หมายความวา่ ค่าเฉล่ยี ของพฤติกรรมดังกล่าวเป็นไปในทางที่ไม่ดี ผลการสารวจ พบว่าพฤติกรรมบวกท่ีได้คะแนนสูงสุด ได้แก่ เด็กดื่มนมทุกวัน 4.16 คะแนน เด็กสามารถเค้ียวอาหารได้ อยา่ งละเอียด 4.13 คะแนน ส่วนพฤติกรรมดา้ นลบทเ่ี ดก็ ทากันมากท่ีสุด ไดแ้ ก่ เด็กมีปัญหาในการบดเค้ียว และกลืนอาหาร 3.28 คะแนน และเด็กชอบกินลูกอมหรือน้าอัดลมท่ี 3.26 คะแนน เมื่อแยกกลุ่มเด็กตาม รายได้ครอบครวั ไม่พบความแตกต่างของพฤติกรรม แตเ่ มอ่ื แยกเด็กตามกลุ่มที่ได้รับวคั ซนี ครบและไม่ครบ พบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเด็กในหัวข้อต่อไปนี้ ในด้าน พฤตกิ รรมดา้ นบวก กลุม่ ทร่ี ับวัคซนี ครบมีคะแนนดีกวา่ ในเร่ืองการรับประทานอาหารตรงต่อเวลาและการ ด่ืมนมเป็นประจาทุกวัน ส่วนในด้านพฤติกรรมลบ กลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนกลับทาคะแนนเฉล่ียได้ดีกว่าใน เรื่องเด็กกินขนมหวานน้อยกว่า เด็กกินพร้อมเดินเล่นไปด้วยน้อยกว่าและเด็กกินขนมจนไม่ยอมกินข้าว น้อยกวา่ กลุ่มที่ได้รบั วคั ซนี ครบ (ตารางที่ 31)
ตารางที่ 31 คา่ เฉล่ยี คะแนนพฤตกิ รรมการรบั ประทานอาหารของเด็กเปรียบ ตารางแสดงคะแนนพฤติกรรมการรบั ประทานอาหารของเด็ก พฤติกรรมการรบั ประทานอาหารของเดก็ mean (SD) < เด็กเค้ยี วอาหารได้ละเอียด++ 4.13 (0.92) 4 เดก็ เลือกกินอาหารท่ีตนชอบ++ 3.99 (0.95) 4 เด็กสามารถกนิ อาหารได้เหมือนผใู้ หญ+่ + 3.36 (1.20) 3 เด็กกนิ อาหารตรงเวลา++ 3.62 (1.00) 3 เดก็ ดื่มนมทกุ วนั ++ 4.16 (1.11) 4 เด็กกนิ ผักไดท้ ุกชนิด++ 3.15 (1.25) 3 เด็กกนิ ชนมหวานทุกวัน** 2.86 (1.12) 2 ผปู้ กครองต้องตามป้อนขา้ วเด็ก** 2.45 (1.17) 2 เด็กกนิ พรอ้ มเลน่ ไปด้วย** 2.35 (1.05) 2 เด็กกินอาหารเพยี งบางมื้อ ในแต่ละวนั ** 2.75 (1.11) 2 เดก็ ชอบกินขนมขบเคย้ี ว** 2.50 (1.11) 2 เด็กกินขนมตา่ ง ๆ มากจนทาใหไ้ ม่ยอมกินข้าว** 2.88 (1.12) 2 เวลาเดก็ ร้องไห้หรือโกรธจะไม่ยอมกินอาหาร** 2.93 (1.13) 2
85 บเทียบกลมุ่ ตามรายไดแ้ ละประวัติการรบั วัคซนี ก่อนเข้ารว่ มโครงการ <=6,000 รายได้ การรบั วัคซีน P-value 4.2 (0.9) >6,000 P-value วคั ซนี ครบ วคั ซนี ไม่ครบ 0.36 4.0 (1.0) 0.80 3.3 (1.2) 4.0 (0.9) 0.23 4.2 (0.9) 4.1 (1.0) 0.82 3.6 (1.0) 4.0 (0.9) 0.45 4.0 (0.9) 4.0 (1.0) 0.08 4.1 (1.1) 3.4 (1.1) 0.58 3.4 (1.2) 3.4 (1.2) 0.04 3.1 (1.3) 3.7 (0.9) 0.44 3.7 (1.0) 3.5 (1.1) 0.06 2.8 (1.1) 4.2 (1.0) 0.49 4.2 (1.0) 4.0 (1.2) 0.03 2.4 (1.2) 3.2 (1.2) 0.85 3.2 (1.2) 3.0 (1.3) 0.17 2.3 (1.0) 3.0 (1.1) 0.23 2.9 (1.1) 2.7 (1.2) 0.04 2.7 (1.1) 2.6 (1.2) 0.18 2.5 (1.2) 2.3 (1.1) 0.11 2.5 (1.1) 2.5 (1.1) 0.19 2.4 (1.0) 2.2 (1.0) 0.07 2.9 (1.1) 2.8 (1.1) 0.26 2.8 (1.1) 2.6 (1.1) 0.00 2.9 (1.1) 2.6 (1.0) 0.49 2.5 (1.1) 2.3 (1.1) 0.73 2.8 (1.1) 0.16 3.0 (1.1) 2.6 (1.0) 3.0 (1.1) 0.25 2.9 (1.1) 2.9 (1.2)
ตารางแสดงคะแนนพฤตกิ รรมการรบั ประทานอาหารของเดก็ พฤตกิ รรมการรบั ประทานอาหารของเดก็ mean (SD) < เดก็ ชอบอมลกู อมหรือดืม่ นา้ อัดลม** 3.26 (1.26) 3 เดก็ ชอบอมอาหารไว้ในปากนาน ๆ ** 3.28 (1.19) 3 เด็กมปี ัญหาในการเค้ยี ว บดกลืนอาหาร ** 3.28 (1.39) 3 เดก็ ไม่ค่อยใส่ใจกนิ ต้องคอยใหผ้ ูใ้ หญบ่ งั คับ หรอื เกลยี้ กลอ่ ม** 2.46 (1.04) 2 ++ คะแนนพฤติกรรมท่ีดเี ต็ม 5 คะแนน, **คะแนนพฤติกรรมลบยิง่ เขา้ ใกล้
86 รายได้ การรบั วัคซนี <=6,000 >6,000 P-value วคั ซีนครบ วัคซนี ไมค่ รบ P-value 3.2 (1.3) 3.3 (1.2) 0.64 3.2 (1.2) 3.2 (1.3) 0.79 3.3 (1.2) 3.3 (1.1) 0.86 3.2 (1.2) 3.4 (1.2) 0.30 3.2 (1.4) 3.4 (1.3) 0.36 3.3 (1.4) 3.3 (1.4) 0.96 2.5 (1.1) 2.4 (1) 0.54 2.5 (1.0) 2.3 (1.0) 0.07 1 เทา่ ไหรย่ ิ่งดี
87 การเปลีย่ นแปลงของนา้ หนักและส่วนสูงของเดก็ 1. การเปล่ียนแปลงโดยภาพรวมของดชั นีทางโภชนาการท้งั สาม เมือ่ พจิ ารณาการเปล่ียนแปลงของดัชนที างโภชนาการทัง้ สามด้านก่อนและหลังเข้า ร่วมโครงการ ได้แก่ น้าหนักต่อส่วนสูง (WHZ) น้าหนักต่ออายุ (WAZ) และส่วนสูงต่ออายุ (HAZ) (ตารางท่ี 32) พบวา่ ภาวะผอม (Wasting) ลดลง 18.0% อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ เช่นเดยี วกับภาวะ น้าหนักต่ากว่าเกณฑ์ (Underweight) ท่ีลดลง 7.6% โดยเป็นการลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ แต่ ภาวะเตย้ี แคระแกรน็ (Stunting) ไม่พบการเปล่ียนแปลงอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ ตารางที่ 32 เปรยี บเทียบภาวะโภชนาการของผู้ป่วยก่อนและหลงั โครงการ ลักษณะท่ีศกึ ษา ก่อน หลัง จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ p-value ภาวะผอม (Wasting) 292 58.4 202 40.4 <0.001 ภาวะน้าหนักต่ากวา่ เกณฑ์ (Underweight) 359 71.1 321 63.5 <0.001 ภาวะเต้ยี แคระแกรน็ (Stunting) 314 62.2 320 63.4 0.461 2. นา้ หนกั ตอ่ ส่วนสงู (Weight for Height: WH) เมื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของ Z-Score ของน้าหนักตามอายุ (Weight for Age: WA) น้าหนกั ตามสว่ นสงู (Wight for Height: WH) และส่วนสงู ตามอายุ (Height for Age) โดยมี จุดตัดท่ีค่า S.D. + 1.5, + 2.0, และ + 2.5 ซ่ึงแสดงถึงความผิดปกติระดับน้อย ปานกลาง และมาก หากผลเป็นบวกแสดงว่ามีภาวะโภชนาการเกิน เช่น ถ้าค่า Z-Score ของ WA เกิน 2.5 S.D. แสดงว่า อว้ นมาก หากค่า Z-Score ของ HA มากกว่า -2.5 S.D. แสดงวา่ มภี าวะแคระแกรนมาก เป็นต้น ภาพ ที่ 9 แสดงการเปล่ียนแปลงของค่า Z-Score ของน้าหนักต่อส่วนสูง (WH) ซึ่งพบว่าก่อนเข้าร่วม โครงการเด็กทุกคนมีค่า Z-Score ของ WH น้อยกว่า -1.5 S.D. ซ่ึงแสดงว่าเด็กมีภาวะเต้ีย แคระ แกรน แต่เม่ือสน้ิ สุดโครงการพบว่าค่า WHZ ดขี น้ึ อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ
88 ภาพท่ี 9 การเปลยี่ นแปลงของค่า Z-Score ของนา้ หนักตอ่ ส่วนสงู (WHZ) ก่อนและหลงั เข้าร่วม โครงการ เม่ือจาแนกการเปลี่ยนแปลงของ WHZ รายจังหวัด (ภาพท่ี 10) พบว่าจังหวัดท่ีมีการ เปล่ียนแปลงคา่ WHZ เข้าสู่เกณฑป์ กติมากท่สี ุดคือจังหวดั สงขลา โดยจังหวัดทม่ี ีการเปลี่ยนแปลงของ WHZ น้อยทสี่ ุดคอื จังหวัดยะลา ส่วนจังหวดั ปตั ตานีและนราธิวาส มเี ดก็ เพียงแคป่ ระมาณ รอ้ ยละ 40 เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนจากเด็กขาดโภชนาการไปเป็นเด็กที่มีภาวะโภชนาการปกติ แต่กระนั้นก็ตาม ยังไม่พัฒนาไปสู่ภาวะโภชนาการดี เช่นเดียวกันเมื่อพิจารณาการเปล่ียนแปลงของค่า WHZ จาแนก ตามรายได้ (ภาพท่ี 10) พบว่า เด็กในกลุ่มที่มีรายได้ดีกว่ามีค่า WHZ แย่กว่าเด็กในกลุ่มที่มีรายได้ ต่ากว่า เม่อื สน้ิ สุดโครงการเด็กทั้งสองกลุ่มมคี ่า WHZ ดขี ึน้ แตไ่ ม่มีนัยสาคัญทางสถิติ เม่อื พจิ ารณาการ เปล่ียนแปลงค่า WHZ จาแนกตามกลุ่มอายุเปรียบเทียบก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ (ภาพที่ 11) พบว่าทุกกลุ่มอายุมีการเปล่ียนแปลงค่า WHZ แต่ไม่มีกลุ่มอายุใดที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติ เช่นเดียวกันเม่ือพิจารณาการเปล่ียนแปลงค่า WHZ จาแนกตามจังหวัด (ภาพท่ี 13) พบว่า เด็ก ที่เข้าร่วมโครงการในจังหวัดสงขลามีค่า WHZ ดีที่สุด อย่างไรก็ตามเมื่อส้ินสุดโครงการพบว่าเด็กมีคา่ WHZ ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเกือบทุกจังหวัด แต่ไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ นอกจากนั้นยังมีข้อค้นพบท่ี น่าสนใจคอื เม่ือพิจารณา WHZ ตามรายไดค้ รัวเรือนของผู้ปกครอง (ภาพท่ี 13) เด็กท่มี าจากครอบครัว ที่มีรายได้มากกว่า 6,000 บาท มีค่าเฉลี่ยของ WHZ เริ่มต้นน้อยกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวที่ยากจน กว่า แต่เมื่อส้ินสุดโครงการ เด็กที่มาจากท้ังสองกลุ่มรายได้มีการเปล่ียนแปลงของ WHZ เพิ่มข้ึนอย่าง ไม่มีนยั สาคญั ทางสถติ ิ
89 ภาพท่ี 10 การเปล่ียนแปลงของ Z-score ของนา้ หนักต่อส่วนสูง (WHZ) จาแนกรายจงั หวดั ก่อนและ หลงั ร่วมโครงการ ภาพที่ 11 การเปลี่ยนของค่า Z-Score ของน้าหนักต่อส่วนสูง (WHZ) จาแนกตามรายได้ก่อนและ หลงั เข้ารว่ มโครงการ
90 ภาพที่ 12 การเปลยี่ นแปลงคา่ Z-Score ของนา้ หนกั ต่อส่วนสูง (WHZ) จาแนกตามชว่ งอายกุ ่อน และหลงั เขา้ ร่วมโครงการ ภาพท่ี 13 การเปลี่ยนแปลงของน้าหนกั ตามเกณฑ์ส่วนสงู (WHZ) จาแนกตามจงั หวดั
91 ภาพท่ี 14 นา้ หนกั ตามเกณฑ์ส่วนสูงจาแนกตามเกณฑร์ ายได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122