ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาติ ปา่ ชายเลน อทุ ยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จงั หวัดตรงั ปีที่ 3 The permanent plots monitoring in the National Park. Mangrove forest in Had Chao Mai National Park, Trang. 3rd period. บทคัดยอ่ ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาติ ป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง แปลงถาวรขนาด 120 x 120 เมตร ส้ารวจซ้าในปีที่ 3 เดือนพฤษภาคม 2557 ผลการศึกษาพบ พันธุ์ไม้ทังสิน 11 ชนิด 8 สกุล 6 วงศ์ ไม้ใหญ่พบจ้านวนทังสิน 4,797 ต้น แบ่งออกเป็น 11 ชนิด 8 สกุล 6 วงศ์ ไม้หนุ่มจ้านวนทังสิน 270 ต้น แบ่งเป็น 6 ชนิด 6 สกุล 4 วงศ์ และกล้าไม้จ้านวน ทังสิน 55 ต้น แบ่งเป็น 3 ชนิด 3 สกุล 1 วงศ์ โดยโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Bl.) เป็น พันธ์ุไม้เด่นมีค่ามากที่สุด มีค่าเท่ากับ 141.41 มีค่าดัชนีความหลากชนิดของ Shannon - Wiener Index ของไม้ใหญ่ ไม้หนุ่ม และกล้าไม้เท่ากับ 1.16, 1.11 และ 1.02 ตามล้าดับ ค่าความหลากชนิด ของ Simpson’s Index ของไม้ใหญ่ ไม้หนุ่ม และกล้าไม้เท่ากับ 0.59, 0.56, 0.65 ตามล้าดับ การกระจายตามชัน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ความสูงเพี ยงอกและความสูงของ ไม้ใหญ่ เป็น แบ บ L-shape พบว่าโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Bl.) มีการกระจายครอบคลุมพืนท่มี ากที่สุด โครงสร้างดา้ นตงั ไม้ใหญส่ ามารถแบ่งได้ 2 ชนั ชนั บนมคี วามสงู มากกวา่ 9 เมตร และชนั รองมคี วามสูง น้อยกว่า 9 เมตร การปกคลุมของเรือนยอดไม้ทังหมดคิดเป็นรอ้ ยละ 79.83 ของพืนที่แปลง ปริมาตร ไม้รวมทังหมด 112.81 ลูกบาศก์เมตรต่อเฮกตาร์ มวลชีวภาพเหนือพืนดินทังหมด 29.10 ตันต่อ เฮกตาร์ มีปริมาณการกักเก็บคาร์บอนรวมทังหมด 14.06 ตันคาร์บอนต่อเฮกตาร์ การติดตามชีพ ลักษณ์ของพรรณไม้มีการติดตังเคร่ืองวัดอุณหภูมิและความชืนสัมพัทธ์ ซ่ึงพบว่ามีอุณหภูมิเฉล่ีย 27.39 องศาเซลเซียส ความชืนสัมพัทธ์เฉลีย่ 86.31 เปอร์เซ็นต์ ส้าหรับชีพลกั ษณ์พรรณไม้ป่าชายเลน ส่วนใหญ่ออกดอก ออกฝัก/ผลเกือบตลอดทังปี การศึกษาในครังนีพบว่าพรรณไม้ในแปลงถาวรมีการ เจริญเตบิ โตด้านขนาดความโตและความสงู ของตน้ ไม้เพิ่มขึนจากปีทีผ่ ่านมา คาสาคญั : ป่าชายเลน, องค์ประกอบของพรรณไม้, อทุ ยานแห่งชาติ
Abstract : The permanent plots monitoring in the National Park. Mangrove forest in Had Chao Mai National Park, Trang. 3rd year. The study was proceeded using 1 plot with size 120 x 120 m. Survey repeat 3 years in May 2014. The result consisted of 1 1 species, 8 genera, 6 families, A total of 4,797 trees were initially divided into 1 1 species, 8 genera, 6 families, A total of 270 saplings were initially divided into 6 species, 6 genera, 4 families and A total of 55 seedlings were initially divided into 3 species, 3 genera, 1 families. The most abundance family was Rhizophoraceae. The highest Important Value Index (IVI) were Rhizophora apiculata Bl. (141.41% ) The Shannon - Wiener Index of diversity of tree, sapling, and seedling were of 1.16, 1.11 and 1.02 Respectively. The diversity of the Simpson’s Index of tree Saplings and Seedlings were of 0.59, 0.56 and 0.65 Respectively. DBH distribution of trees was L-shape. Species observed most frequently was Rhizophora apiculata Bl. The vertical structure of trees can be precisely divided in to 2 layers. The 1 st top tree layer was above 9 m., the 2 nd medium layer was lower 9 m. Percentage of crown cover was of 79.83% .The total tree volume was 112.81 m3/ha, total biomass was 29.10 ton/ha, equivalent to 14.06 tons carbon/ha. For phenology of mangrove trees. For most of the mangrove trees, flowering phenology. Fruiting throughout the year. Average temperature is 27.39. Average Relative humidity 8 6.31. By temperature and Relative humidity changes each season will have a dramatic effect on growth, flowering, fruit of mangrove trees. The study found that permanent plots is growing in size and height of the tree grows up from a year ago. Keywords : Mangrove forest, permanent plot, National Park
(1) สารบญั หน้า สารบัญ (1) สารบัญตาราง (2) สารบญั ภาพ (3) คานา 1 วัตถปุ ระสงค์ 2 การตรวจเอกสาร 3 อุปกรณ์และวธิ ีการ 20 20 อุปกรณ์ 20 วธิ ีการ 33 ผลและวจิ ารณ์ 33 ผล 56 วจิ ารณ์ 64 สรปุ และขอ้ เสนอแนะ 64 สรปุ 66 ข้อเสนอแนะ 67 เอกสารและส่งิ อา้ งองิ 71 ภาคผนวก 72 ภาคผนวก ก พรรณไมท้ ี่พบในแปลงถาวรป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจา้ ไหม 74 ภาคผนวก ข การประมวลผลทางสถติ ิด้วยโปรแกรม SPSS โดยวิธีหาความ 78 แปรปรวนแบบสองทาง (Two – way ANOVA) ภาคผนวก ค ลักษณะของพฤกษศาสตรพ์ นั ธุไ์ มป้ า่ ชายเลน
(2) สารบญั ตาราง ตารางที่ หนา้ 1 สมการแอลโลเมตริก (allometric equation) ที่ใชใ้ นการคานวณหามวลชีวภาพเหนือ 29 พน้ื ดนิ ของไม้ปา่ ชายเลน 35 2 ดัชนคี วามสาคัญ (Importance Value Index; IVI) ของไมใ้ หญ่ 36 3 ดชั นคี วามสาคญั (Importance Value Index; IVI) ของไมห้ นุ่ม 36 4 ดชั นีความสาคญั (Importance Value Index; IVI) ของกลา้ ไม้ 45 5 ดชั นีความหลากหลายทางชวี ภาพของไมป้ ่าชายเลน 46 6 ปรมิ าตรไมป้ ่าชายเลนแต่ละวงศ์ 47 7 มวลชวี ภาพเหนือพืน้ ดนิ ของไมป้ า่ ชายเลน 47 8 ปรมิ าณการเก็บกักคารบ์ อนของไม้ป่าชายเลน 61 9 ชนดิ พันธุ์ไมท้ ี่พบในแปลงถาวรป่าชายเลนในปีท่ี 1 ปที ี่ 2 และปีท่ี 3 61 10 พนั ธุ์ไม้เด่นที่พบในแปลงถาวรป่าชายเลนในปีที่ 1 ปที ี่ 2 และปที ่ี 3 61 11 ความหลากหลายทางชีวภาพในปีท่ี 1 ปีท่ี 2 และปที ่ี 3 63 12 ปรมิ าตรไมใ้ นแปลงถาวรป่าชายเลนปีที่ 1 ปีท่ี 2 และปที ี่ 3 63 13 มวลชีวภาพเหนือพน้ื ดินและปรมิ าณเกบ็ กักคารบ์ อนปที ่ี 1 ปีท่ี 2 และปีที่ 3 ตารางผนวกที่ 73 75 ก1 พนั ธุไ์ ม้ที่พบในแปลงถาวรป่าชายเลน 75 ข1 คา่ ประมวลผลทางสถติ ิของดชั นคี วามสาคัญของพันธ์ไุ มใ้ นแปลงถาวร 76 ข2 คา่ ประมวลผลทางสถติ ขิ องปริมาตรไม้ในแปลงถาวร 76 ข3 คา่ ประมวลผลทางสถิตขิ องมวลชีวภาพในแปลงถาวร 77 ข4 คา่ ประมวลผลทางสถิติของปรมิ าณกักเก็บคารบ์ อนในแปลงถาวร ข5 คา่ ประมวลผลทางสถิติของการปกคลมุ เรือนยอดในแปลงถาวร
(3) สารบัญภาพ ภาพท่ี หนา้ 1 ทต่ี งั้ และขอบเขตการปกครองของอทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม 15 2 ลกั ษณะแผนผงั ในแปลงถาวรปา่ ชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาติหาดเจา้ ไหม 16 3 แผนผังลาดับแปลงยอ่ ยสาหรับการปฏบิ ัติงานในสนาม 17 4 ลกั ษณะภูมปิ ระเทศบรเิ วณแปลงถาวรปา่ ชายเลน 18 5 เส้นทางเข้าถึงแปลงถาวรปา่ ชายเลน อุทยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม 19 6 แผนผังแปลงถาวรแต่ละขนาด 21 7 การวดั เส้นผ่าศูนย์กลางของต้นไมท้ มี่ ลี ักษณะแตกต่างกนั 22 8 เปรยี บเทียบการกระจายของตน้ ไม้ในแปลงถาวรปา่ ชายเลนตามชั้นขนาดความโต 37 9 รูปแบบการกระจายของต้นไม้ในแปลงถาวรป่าชายเลน 38 10 โครงสร้างดา้ นต้ังบรเิ วณแปลงถาวรป่าชายเลน (Profile diagram) 39 11 โครงสรา้ งปา่ ดา้ นต้งั และดา้ นบนแปลงถาวรด้วยแผนภาพ 3 มติ ิ 40 12 พ้ืนทกี่ ารปกคลุมของเรือนยอด (crown cover) 42 13 การปกคลมุ ของเรอื นยอดไมแ้ ตล่ ะกลุ่ม 43 14 อณุ หภูมิและความชื้นสมั พัทธ์เฉล่ยี แตล่ ะเดอื น 48 15 ความสัมพันธ์อุณหภูมิและความช้ืนสัมพัทธ์กับชีพลักษณ์โกงกางใบเล็ก (Rhizophora 49 apiculata Blume.) โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) ตะบูนขาว (Xylocarpus 50 granatum J.Koenig) และถัว่ ขาว (Bruguiera cylindrica (L.) Blume) 16 ความสัมพันธ์อุณ หภูมิและความชื้นสัมพัทธ์กับชีพลักษณ์ จีง้า (Scyphiphora 51 hydrophylacea C.F.Gaertn.) ตะบูนดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) และฝาดแดง (Lumnitzera littorea 52 (Jack) Voigt) 53 17 ความสัมพนั ธอ์ ณุ หภูมแิ ละความชน้ื สมั พทั ธก์ ับชีพลักษณถ์ วั่ ดา (Bruguiera parviflora (Roxb.) 60 Wight & Arn. ex Griff.) ตาตุ่มทะเล (Excoecaria agallocha L.) หงอนไก่ทะเล (Heritiera littoralis Aiton) 18 การกระจายต้นไม้ในแปลงถาวรปา่ ชายเลนท่ีตายทัง้ หมด 19 การกระจายของต้นไมต้ ายในแปลงถาวรป่าชายเลน แยกตามชนิดพันธ์ุ 20 สาเหตกุ ารตายของไมป้ ่าชายเลนในแปลง (จากการสังเกต)
สารบัญภาพ (ต่อ) (4) ภาพที่ หน้า 21 การปกคลมุ ของเรอื นยอดตน้ ไมท้ ่เี พม่ิ และตายในปีที่ 3 62 ภาพผนวกที่ 79 80 ค1 โกงกางใบเลก็ (Rhizophora apiculata Blume) 81 ค2 โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) 82 ค3 ตะบนู ขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) 83 ค4 ถ่ัวขาว (Bruguiera cylindrica (L.) Blume) 84 ค5 จีง้า (Scyphiphora hydrophylacea C.F.Gaertn.) 85 ค6 ตะบนู ดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) 86 ค7 โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) 87 ค8 ถ่ัวดา (Bruguiera parviflora (Roxb.) Wight & Arn. ex Griff.) 88 ค9 ตาต่มุ ทะเล (Excoecaria agallocha L.) 89 ค10 หงอนไก่ทะเล (Heritiera littoralis Aiton) ค11 ฝาดแดง (Lumnitzera littorea (Jack) Voigt)
ตดิ ตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาตปิ า่ ชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม จงั หวดั ตรงั ปที ่ี 3 1 ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแหง่ ชาติ ปา่ ชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาตหิ าดเจ้าไหม จงั หวดั ตรัง ปีที่ 3 The permanent plots monitoring in the National Park. Mangrove forest in Had Chao Mai National Park, Trang. 3rd period. คานา ปัจจุบันสังคมพืชป่าชายเลนเริ่มเปลี่ยนแปลงไปท้ังทางตรงและทางอ้อม จึงทาให้ป่าชายเลน บางพื้นท่ีเริ่มเสื่อมโทรมและลดน้อยลงไป โดยเกิดจากการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ จึงทาให้ระบบ นิเวศป่าชายเลนและพืชบางชนิดของป่าชายเลนอาจสูญหายไป แม้ว่าป่าชายเลนจะมีเนื้อที่เพียง เล็กน้อยเม่ือเทียบกับป่าบก แต่ป่าชายเลนนับว่ามีความสาคัญต่อชีวิตประชากรและเศรษฐกิจของ แต่ละประเทศมากข้ึน มีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นท่ีรวมของสังคมพืช สัตว์น้า และสัตว์บก นานาชนิด ตลอดจนยังมคี วามเก่ยี วเนือ่ งกันของระบบนิเวศหญ้าทะเลและแนวปะการัง การสารวจหรือศึกษาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่จาเป็น สามารถใช้เป็นฐานเปรียบเทียบ ความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีข้ึนหรือทรุดโทรม การศึกษาลักษณะทางนิเวศป่าไม้ โดยการวาง แปลงถาวรซ่ึงการวัดซ้าทุก ๆ ปีจะทาให้ทราบถึงพลวัตประชากรของพันธ์ุไม้ ได้แก่ อัตราการตาย อัตราการเกิด อัตราการเจริญเติบโตของต้นไม้ เม่ือเวลาผ่านไป ซ่ึงใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดการ ทรัพยากร อย่างเหมาะสม และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้ สานักอุทยานแหง่ ชาติ โดย สถาบันนวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพื้นท่ีคุ้มครองได้ดาเนินการจัดทาแปลงถาวร สาหรบั การศึกษา นิเวศวิทยาป่าไม้ระยะยาวในพื้นท่ีอุทยานแห่งชาติทุกภูมิภาคของประเทศไทย แปลงถาวรดังกล่าวได้ นามาใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูลนิเวศวิทยาของพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ท้ังในระดับพ้ืนฐานและการประยุกต์ใช้ เพื่อการศึกษาประเด็นอ่ืน ๆ เช่น การสะสมคาร์บอนในพ้ืนที่ป่าอนุรักษ์ ผลกระทบของ การเปล่ียนแปลงภูมิอากาศต่อระบบนิเวศ การใช้เป็นตัวแบบสาหรับการศึกษาการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีการสารวจระยะไกล การใช้เคร่ืองมือด้านเศรษฐศาสตร์เพื่อการจัดการพื้นท่ีคุ้มครอง รวมท้ังการใชศ้ ึกษาทางด้านต้นทุนธรรมชาติ (ทรงธรรม และคณะ, 2556) ศนู ยน์ วตั กรรมอทุ ยานแห่งชาตแิ ละพื้นที่คุ้มครองทางทะเล จงั หวดั ตรัง สถาบันนวัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพื้นท่ีค้มุ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาตหิ าดเจา้ ไหม จงั หวัดตรัง ปที ่ี 3 2 วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อติดตามโครงสร้างและองค์ประกอบพันธไ์ุ ม้ปา่ ชายเลนในอุทยานแหง่ ชาติหาดเจา้ ไหม 2. เพื่อศึกษาการเจริญเติบโต (Growth) และผลผลิต (Yield) ของสังคมพืชป่าชายเลนใน อทุ ยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม 3. เพื่อใชเ้ ป็นข้อมลู พ้นื ฐานสาหรับการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยกี ารสารวจระยะไกล (Remote sensing) ศูนย์นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาติและพื้นที่คุ้มครองทางทะเล จงั หวัดตรัง สถาบันนวัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพื้นท่ีคมุ้ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาตปิ า่ ชายเลน อุทยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จังหวัดตรัง ปที ่ี 3 3 การตรวจเอกสาร 1. ลกั ษณะท่ัวไปของปา่ ชายเลน ป่าชายเลน (Mangroves forest) หมายถึง กลุ่มของสังคมพืชที่ข้ึนอยู่ตามชายฝ่ังทะเล ในบริเวณท่ีเป็นดินเลน และอยู่ในพ้ืนที่ระหว่างน้าขึ้นสูงสุดถึงน้าลงต่าสุด ประกอบด้วยพรรณไม้ หลายชนิด และเปน็ พวกท่ีมใี บเขยี วตลอดปี (Evergreen species) มีลักษณะทางสรีรวิทยาและความ ต้องการส่ิงแวดล้อมคล้ายกัน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้สกุลโกงกาง (Rhizophora sp.) เป็น ไม้สาคัญและมีไม้ตระกูลอ่ืน ๆ ปะปนอยู่บ้าง ป่าชายเลนเป็นป่าประเภทไม่ผลัดใบ (Evergreen forest) ป่าชายเลนส่วนใหญ่จะข้ึนในเขตร้อนของโลกเท่าน้ันป่าชายเลนจะพบทั่วไปตามพ้ืนที่ ชายฝ่ังทะเล บริเวณปากน้า อ่าว ทะเลสาบ และเกาะซ่ึงเป็นบริเวณที่น้าทะเลท่วมถึงของประเทศใน แถบโซนร้อน ส่วนบริเวณก่ึงร้อนหรือเขตเหนือและใต้โซนร้อนจะพบป่าชายเลนอยู่บ้างเป็นส่วนน้อย เน่ืองจากสภาวะภูมิประเทศไม่เหมาะสม ป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ หลายชนิด มักจะพบในกลุ่มประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะใน ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า และไทย เปน็ ต้น การกระจายของป่าชายเลนทั่วโลก โดยพิจารณาสภาพทางภูมิศาสตร์ พบว่าป่าชายเลน มี 2 เขตใหญ่ คือ เขตท่ี 1 เป็นเขตในแถบอินโด - แปซิฟิก (Indo-Pacific Regions) เขตท่ี 2 ได้แก่ เขตโลกใหม่และแอฟริกาตะวันตก (New World - West African Regions) เขตแรกประกอบด้วย ประเทศในแอฟริกาตะวันออก อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญ่ีปุ่นตอนใต้ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกของซามัว สาหรับเขตโลกใหม่และแอฟริกาตะวันตก ประกอบด้วยประเทศในบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของแอฟริกา และอเมริกา อ่าวเม็กซิโก ชายฝั่งมหาสมุทรแปซฟิ กิ แถบโซนรอ้ นอเมรกิ าและบริเวณหมเู่ กาะกาลาปากอส ปา่ ชายเลนในประเทศไทยซึ่งข้ึนอยู่กระจัดกระจายตามชายฝ่งั ทะเลภาคตะวนั ออก ภาคกลาง และภาคใต้น้ันจากข้อมูลสารวจเมื่อ พ.ศ. 2529 จากภาพถ่ายดาวเทียมและการสารวจการใช้ ประโยชน์พ้ืนที่ภาคพื้นดิน ปรากฏว่ามีพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดประมาณ 1,227,724 ไร่ แต่จากการ สารวจคร้ังล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2539 ปรากฏว่ามีพ้ืนที่ป่าชายเลนเหลือเพียงประมาณ 1,047,390 ไร่ เท่านั้น ป่าชายเลนส่วนใหญ่จะมีมากทางภาคใต้ติดชายฝ่ังทะเลอันดามันประมาณ 830,000 ไร่ หรือ ร้อยละ 79.3 สาหรับภาคใต้ติดทะเลอ่าวไทยมปี า่ ชายเลนประมาณ 103,570 ไร่ หรือรอ้ ยละ 9.9 สว่ น ศูนย์นวัตกรรมอทุ ยานแห่งชาติและพ้ืนที่คุ้มครองทางทะเล จังหวัดตรัง สถาบันนวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาติและพ้นื ที่คุ้มครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อุทยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จังหวัดตรัง ปีที่ 3 4 ทางภาคตะวนั ออกมปี ระมาณ 79,112 ไร่ หรือร้อยละ 7.5 และภาคกลางหรือบรเิ วณอ่าวไทยตอนบน มีป่าชายเลนน้อยมากประมาณ 34,056 ไร่ หรือร้อยละ 3.3 ของป่าชายเลนท้ังหมดของประเทศ เท่าน้ัน (สนทิ , 2548) 2. การวิเคราะหส์ งั คมพืช นิวัติ (2546) ไดก้ ลา่ วถึงการวิเคราะหส์ งั คมพืชไวด้ ว้ ยกัน 3 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1. ลักษณะในทางวิทยาศาสตร์ (Synthetic characteristic) เป็นลกั ษณะท่ีใช้ศกึ ษาหมูไ่ ม้ใด หมู่ไม้หน่ึงโดยเฉพาะ เช่น ชนิดพืช จานวนต้น ความหนาแน่น การกระจาย ความถี่ ความสูง อัตรา การเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เป็นต้น ลักษณะบางอย่างสามารถวัดในเชิงปรมิ าณ และลกั ษณะบางอย่างอาจบรรยายไดใ้ นเชิงคุณภาพ ตัวอย่างของลักษณะในเชิงปริมาณ ไดแ้ ก่ ความถี่ ความมากมาย ความหนาแน่น ความเด่น ดัชนีความสาคัญทางนิเวศวิทยา ในส่วนของลักษณะใน เชงิ คุณภาพ ไดแ้ ก่ การทาบญั ชีรายช่อื ชนิดพันธ์ุ การแบง่ ชัน้ การจับกลุม่ การเปลย่ี นแปลงตามฤดกู าล 2. ลักษณะในทางสังเคราะห์ (Analytic characteristic) เป็นการศึกษาลักษณะข้อมูลจาก หลายหมู่ไม้ แล้วนาข้อมูลมารวมกันเพอ่ื หาขอ้ สรุปมาบรรยายเกี่ยวกับลักษณะของสังคมพืชน้นั ฉะน้ัน การศึกษาลักษณะทางสังเคราะหจ์ ึงเป็นการศึกษาส่วนต่าง ๆ ท่ีประกอบกันเขา้ เป็นสังคมพืช ลักษณะ ทางสังเคราะห์ที่สาคัญ คือ presence, constance ท่ีหมายถึงความสม่าเสมอของพืชชนิดใดชนิด หนึ่งที่ปรากฏอยู่ในหมู่ไม้ต่าง ๆ ภายในประเภทของสังคมพืชชนิดหน่ึง และการติดกลุ่ม (Fidelity) หมายถึงความมากน้อยท่ีพืชจะจากัดตัวเองอยู่กับสังคมพืชชนิดใดชนิดหนึ่ง พืชบางชนิดขึ้นอยู่ได้ใน หลายสังคม เราเรียกพืชที่ขึ้นอยู่ได้ในหลาย ๆ สังคมว่ามีการติดกลุ่มน้อย (Low fidelity) ส่วนพืช ทจี่ ากดั ตัวเองอย่กู ับสงั คมพชื เพียงชนิดเดียววา่ มีการติดกล่มุ สูง (High fidelity) 3. ลักษณะที่ปรากฏเห็นได้ด้วยตา (Physiognomic characteristic) การศึกษาสังคมพืชใน แงน่ ีจ้ ะศกึ ษาไดจ้ ากรปู ชีวติ (Life form) และขนาดของใบ (Leaf size) เป็นตน้ ศนู ยน์ วัตกรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพ้ืนที่คุ้มครองทางทะเล จงั หวดั ตรัง สถาบนั นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาติและพนื้ ท่ีค้มุ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาตปิ า่ ชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาติหาดเจา้ ไหม จังหวดั ตรงั ปที ่ี 3 5 การวดั ค่าเชงิ ปรมิ าณในสงั คมพชื ค่าเชิงปริมาณ (Quantitative value) เป็นค่าการวัดเพ่ือใช้เปรียบเทียบสังคมพืชขั้นพื้นฐาน ที่นิยมใช้กันมาก เช่น ค่าความหนาแน่น (Density) ค่าพื้นท่ีเฉลี่ยต่อต้น (Mean area) ค่าความถี่ (Frequency) และความเด่น (Dominance) ของพรรณพืช เป็นต้น การวัดค่าเหล่านี้ขึ้นอยู่กับวิธีการ และการรวบรวมข้อมูลจากแปลงตัวอย่างในสังคมพืช การสารวจท่ีใช้แปลงขนาดใหญ่แปลงเดียวอาจ แสดงค่าบางอย่างไม่ได้หรือไม่เหมาะสม โดยเฉพาะค่าความถ่ีของพันธ์ุไม้ในสังคมพืช การสารวจโดย วิธีการแบบใช้แปลงตัวอย่าง ย่อมให้ค่าการประมาณที่กระทาได้ง่าย ส่วนค่าความหนาแน่นได้จาก จานวนต้นไมท้ ัง้ หมดหารด้วยจานวนแปลงที่ทาการสารวจ ผลท่ีได้คอื ความหนาแน่นตอ่ แปลง ค่าความหนาแน่นต้นไม้ บ่งบอกถึงจานวนต้นไม้ต่อหน่วยพื้นที่ ค่าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ปจั จัยหลายประการด้วยกัน เช่น ขนาดของต้นไม้ ความสมบูรณ์ของต้นไม้ โดยทั่วไปไม้ท่ีมีขนาดใหญ่ มีค่าความหนาแน่นน้อยกว่าไม้ขนาดเล็กในสภาพสังคมท่ีสมบูรณ์เท่ากัน ไม้ที่มีความหนาแน่นมาก ไมไ่ ดห้ มายความว่าเป็นไม้ขนาดใหญแ่ ละเดน่ เสมอไป ค่าความถี่ของไม้บ่งบอกถึงการกระจายของไม้น้ัน ๆ ในสังคมพืช พันธ์ุไม้ที่มีค่าความถ่ีมาก แสดงว่ามกี ารกระจายอย่างกว้างขวางในสังคม ส่วนพันธุ์ไม้ทมี่ ีความถ่ีน้อยแสดงว่ามีการกระจายแคบ หรือเป็นไม้ท่ีหายากในสังคมน้ันๆ ดังน้ันไม้บางชนิดอาจมีความหนาแน่นค่อนข้างสูงแต่มีค่าความถ่ีต่า ก็อาจเป็นได้ ทั้งน้ีเนื่องจากไม้ชนิดนั้นจะปรากฏอยู่เป็นกลุ่มในพื้นท่ีแคบ ๆ ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่ง ความถ่ี (Law of frequency) ความเด่นของพันธุ์ไม้ในสังคม สามารถดาเนินการได้หลายรูปแบบ คือ (1) ในรูปการปกคลุม ของเรือนยอด (2) รูปของพ้ืนที่หน้าตัด โดยทาการวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงอกของไม้ใหญ่ และ เปล่ยี นเป็นคา่ พืน้ ทีห่ น้าตัดตอ่ ไป และ (3) รูปของมวลชีวภาพ เปน็ ต้น คา่ ความเดน่ เน้นที่การมอี ิทธพิ ล เหนือไม้อ่ืน ๆ ไม้ท่ีมีเรือนยอดปกคลุมกว้างขวางแสดงว่ามีการแก่งแย่งในด้านแสงสว่างได้ดีกว่าไม้ท่ีมี พื้นที่เรือนยอดปกคลุมน้อย พ้ืนท่ีหน้าตัดของต้นไม้แสดงให้เห็นถึงผลผลิตจากป่า ซึ่งสามารถเปลี่ยน ค่าเป็นปริมาตรของสว่ นต่าง ๆ ของไม้ได้ ค่าความเด่นน้ีเป็นตัวช้ีถึงการแสดงออกของไม้แต่ละชนิดใน สงั คม (ดอกรัก และ อทุ ิศ, 2552) ศูนย์นวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาติและพ้ืนท่ีคุ้มครองทางทะเล จงั หวัดตรัง สถาบันนวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาติและพืน้ ที่คุ้มครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาติป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรัง ปที ่ี 3 6 3. ชพี ลักษณข์ องพนั ธ์ไุ ม้ การศึกษาชีพลักษณ์ เป็นการศึกษาการตอบสนองของต้นไม้ตลอดรอบฤดูกาล ซ่ึงการ ตอบสนองของต้นไม้แต่ละชนิดพันธุ์ ตลอดจนแต่ละพื้นท่ีจะมีความแตกต่างกันระหว่างฤดูต่าง ๆ ความชื้น และอุณหภูมิท่ีเปล่ียนแปลงไปในรอบฤดูกาลจะมีผลอย่างมากต่อการเจริญเติบโตและการ ดารงเผ่าพันธข์ุ องตน้ ไม้ (องคก์ รนานาชาติ WWF, 2555) การศึกษาชีพลักษณ์ของต้นไม้มีความจาเป็นสาหรับการฟื้นฟูป่าเพื่อศึกษาระยะการพัฒนา ของผลและเมล็ด ระยะเวลาท่ีผลสุกพร้อมเก็บและการกระจายของเมล็ด ซ่ึงข้อมูลดังกล่าวสามารถ นาไปใช้จัดการวางแผนงานในการเกบ็ เมล็ดตลอดทัง้ ปี และระยะเวลาทีเ่ หมาะสมสาหรบั การเก็บเมล็ด ไม้ที่เหมาะสมในการเพาะหรือทาลายการพักตัวของเมล็ดหรือการทาให้ระยะพักตัวยาวนานข้ึน ระหว่างการศึกษาชีพลักษณ์ ยงั สามารถบอกได้ถงึ ชนิดไม้ท่เี ปน็ ชนิดสาคัญของปา่ คอื เป็นชนดิ ไม้ทใ่ี ห้ ดอกหรือผลที่เป็นอาหารแก่สัตว์ได้ในช่วงเวลาท่ีอาหารอื่น ๆ ขาดแคลน ชนิดไม้ท่ีเป็นของป่าจะเป็น ไม้ท่ีจะเลือกมาทดสอบเพ่ือเป็นชนิดพรรณไม้โครงสร้าง และขณะเดียวกันการเก็บข้อมูลลักษณะการ ติดและการร่วงหล่นของใบ ซ่ึงจะช่วยในการคาดการณ์ลักษณะพื้นที่สาหรับต้นไม้แต่ละชนิด ในระยะ สั้นการศึกษาชีพลักษณ์เป็นวิธกี ารท่ีสาคัญในการเรียนรู้การทางานของระบบนิเวศป่า (หน่วยวิจัยการ ฟ้นื ฟปู ่า มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่, 2555) ลักษณะทางชีพลักษณ์ของพันธ์ุไม้ในป่าชายเลน หมายถึง ลักษณะเฉพาะต้ังแต่การออกดอก ออกผล ผลแก่และผลร่วงเทา่ นั้น ท้ังนี้เนื่องจากความรู้เก่ียวกับระยะเวลาของลักษณะต่าง ๆ เหล่าน้ีมี ความสาคัญในระบบนิเวศป่าชายเลนเป็นอย่างมากไม่เฉพาะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมต่าง ๆ ภายในของระบบนิเวศเท่าน้ัน แต่จะมีความสาคัญเป็นอย่างมากในการจัดการป่าชายเลน โดยเฉพาะ ในการปลูกสร้างสวนป่าไม้ชายเลน เพ่ือให้แผนการปลูกป่าให้สอดคล้องกับระยะเวลาโดยเฉพาะช่วง ผลที่แก่และร่วงหล่น ระยะเวลาของการออกดอก ออกผล ผลแก่ และผลร่วงของไม้สาคัญ ในป่าชายเลนในแตล่ ะประเทศในแถบเขตรอ้ นไมแ่ ตกต่างกนั มากนัก (สนิท, 2548) สาหรับประเทศไทย Kongsangchai et al. (1982) อ้างโดย สนิท (2548) ได้ศึกษา ระยะเวลาต้ังแต่การออกดอก ออกผล ผลแก่ และผลร่วงของพันธุ์ไม้ท่ีสาคัญบางชนิดในป่าชายเลนใน หลายท้องท่ี ซึ่งสรปุ ได้ดงั นี้ ศนู ย์นวัตกรรมอทุ ยานแหง่ ชาติและพ้ืนที่คมุ้ ครองทางทะเล จังหวัดตรงั สถาบนั นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพ้นื ที่ค้มุ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาติปา่ ชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาติหาดเจ้าไหม จงั หวัดตรงั ปที ่ี 3 7 1. โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) ในจังหวัดระนองการออกดอก เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมและผลหรือฝักจะร่วงมากที่สุดในเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม สาหรับใน จังหวัดพังงาการออกดอกจะเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ และผลหรือฝักจะร่วงหล่น มากที่สุดระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคมเช่นเดียวกัน ส่วนในจังหวัดกระบ่ีโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) จะออกดอกในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม และผลหรือฝัก จะร่วงหล่นระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม บรเิ วณป่าชายเลนในภาคตะวันออกโดยเฉพาะ จังหวัดจันทบุรีและตราดโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) จะออกดอกระหว่าง เดือนมกราคมถึงเดอื นมีนาคม และผลหรอื ฝักจะรว่ งหลน่ ระหวา่ งเดือนมถิ ุนายนถึงสิงหาคมโดยเฉพาะ ในจังหวัดตราด ผลหรือฝักจะร่วงหล่นมากท่ีสุดในเดือนกรกฎาคม นอกจากน้ีสนิท (2523) พบว่า โกงกางใบเลก็ (Rhizophora apiculata Blume) จะออกดอกมากทส่ี ดุ ประมาณเดือนธนั วาคม 2. โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) พบว่า จะออกดอกตลอดท้ังปีแต่ ระยะเวลาการออกดอกมากที่สุดจะแตกต่างกันบ้างตามท้องท่ีต่าง ๆ กล่าวคือ ในจังหวัดระนองการ ออกดอกของโกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) จะมีมากที่สุดในระหว่างเดือน กันยายนถึงเดือนมกราคม และผลหรือฝักจะร่วงหล่นภายในระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน สาหรับในจังหวัดพังงาการออกดอกจะมีปริมาณมากในเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ และผลหรือ ฝักจะร่วงสูงสุดภายในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ส่วนในจังหวัดกระบี่การออกดอกมากท่ีสุด ของโกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) จะพบในเวลาเดียวกันกับที่พังงา คือ เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ และผลหรือฝักจะแก่และร่วงหล่นมากท่ีสุดในเดือนเมษายน และ พฤษภาคมเช่นเดียวกัน โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) ในจังหวัดจนั ทบุรีจะออก ดอกมากที่สุดระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ และผลหรือฝักจะร่วงหล่นมากท่ีสุดในเดือน พฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม ซ่ึงระยะเวลาแตกต่างเล็กน้อยจากโกงกางใบใหญ่ที่จังหวัดตราด คือ การออกดอกจะมีมากระหว่างเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ สนิท (2523) พบว่า โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) บริเวณจังหวัดปัตตานีจะออกดอกประมาณเดือนมีนาคมถึงเดือน เมษายน และผลหรือฝักจะรว่ งหล่นมากท่สี ุดในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสงิ หาคม ตามลาดบั 3. ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) โดยท่ัวไปออกดอกมากระหว่างเดือน มกราคมถึงเดือนเมษายน แต่ท้ังนี้ระยะเวลาจะแตกต่างกันบ้างตามท้องที่กล่าวคือ ในจังหวัดระนอง ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) จะออกดอกมากระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือน พฤษภาคมและผลจะร่วงหล่นมากในปีต่อมาคือระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม สาหรับใน ศนู ย์นวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นท่ีคุ้มครองทางทะเล จงั หวัดตรัง สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพื้นที่ค้มุ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาตปิ า่ ชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรงั ปีท่ี 3 8 จงั หวัดพังงาจะออกดอกมากท่ีสุดระหว่างเดือนพฤษภาคมถงึ เดือนมีนาคม และผลจะร่วงมากในเดือน มนี าคมถึงเดือนเมษายน ส่วนทางจงั หวัดจันทบุรแี ละตราดจะออกดอกมากท่ีสุดระหว่างเดอื นมกราคม ถงึ เดือนมีนาคม และผลจะร่วงมากในเดอื นตุลาคมถงึ เดอื นธันวาคม 4. ตะบูนดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) พบว่าจะออกดอกมาก ประมาณเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนและผลจะร่วงมากภายในเดือนมถิ ุนายนถงึ เดือนกรกฎาคมในปี ต่อมา สาหรับจังหวัดพังงา ตะบูนดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) จะออกดอก ในเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนเช่นเดียวกัน แต่ผลจะร่วงหล่นมากท่ีสุดในเดือนกรกฎาคมและเดือน สิงหาคม ส่วนในจังหวัดจันทบุรีและตราดไม้ชนิดนี้จะออกดอกมากระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือน กมุ ภาพันธ์ และผลจะรว่ งหลน่ มากในเดือนกนั ยายนถงึ เดอื นตุลาคมตามลาดบั 5. ฝาดแดง (Lumnitzera littorea (Jack) Voigt) พบว่าจะออกดอกมากในระหว่างเดือน มีนาคมถึงเดือนเมษายนและผลจะร่วงหล่นมากในเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมในบริเวณ ป่าชายเลนจังหวัดระนอง สาหรับในจังหวัดจันทบุรีและตราด ไม้ฝาดแดง (Lumnitzera littorea (Jack) Voigt) จะออกดอกมากระหวา่ งเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม และผลจะร่วงหล่นมากในเดือน ธนั วาคมถึงเดือนมนี าคม 6. ตาตุ่มทะเล (Excoecaria agallocha L.) จะพบว่าระยะเวลาการออกดอกและผลร่วง หล่นในป่าชายเลนแต่ละท้องที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ในจังหวัดชุมพรตาตุ่มทะเล (Excoecaria agallocha L.) จะออกดอกมากระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน และผลจะร่วงมากใน เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม ในจังหวัดพังงาจะออกดอกมากในเดือนพฤษภาคมถึงเดือน มิถุนายนเช่นเดียวกัน แต่ผลจะร่วงมากในระยะเวลาช้ากว่าเล็กน้อย คือ ระหว่างเดือนธันวาคมถึง เดือนกุมภาพันธ์ สาหรับในจังหวัดตราดตาตุ่มทะเล (Excoecaria agallocha L.) จะออกดอกมาก ระหวา่ งเดอื นกมุ ภาพันธ์ถึงเดอื นพฤษภาคมและผลรว่ งหล่นมากในเดือนพฤศจกิ ายนถึงเดือนธันวาคม 7. แสมขาว (Avicennia alba Blume) พบว่าระยะเวลาของการออกดอกและผลร่วงหล่น ในจังหวัดระนองจะช้ากว่าในจังหวัดจันทบุรีและตราดเล็กน้อย กล่าวคือแสมขาว (Avicennia alba Blume) ในจังหวัดระนองจะมีดอกมาก ระหว่างเดอื นมีนาคมถึงเดือนเมษายน และผลจะร่วงหล่นมาก ทส่ี ดุ ในเดือนสงิ หาคมถึงเดอื นกนั ยายน สว่ นในจงั หวดั จันทบุรีจะมดี อกมากท่สี ุดระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม และผลจะร่วงมากท่ีสุดระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมและในจังหวัดตราด ศนู ยน์ วตั กรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพื้นท่ีคุ้มครองทางทะเล จงั หวัดตรัง สถาบนั นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพน้ื ที่คุ้มครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาตปิ า่ ชายเลน อุทยานแหง่ ชาตหิ าดเจ้าไหม จังหวดั ตรัง ปีท่ี 3 9 แสมขาว (Avicennia alba Blume) จะออกดอกมากในเดือนภุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมและผลร่วง หล่นมากในเดือนกรกฎาคมถงึ เดอื นกนั ยายนตามลาดบั 8. แสมดา (Avicennia officinalis L.) จะออกดอกและผลร่วงหล่นในป่าชายเลนแต่ละ ท้องท่ีแตกต่างกันเล็กน้อย คือ ในจังหวัดระนองจะออกดอกมากที่สุดระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือน พฤษภาคม และผลจะร่วงหล่นมากระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม ส่วนจังหวัดจันทบุรีและ ตราด แสมดา (Avicennia officinalis L.) จะออกดอกระหว่างเดือนมกราคมถงึ เดือนมนี าคม และผล จะร่วงระหวา่ งเดือนมถิ นุ ายนถงึ เดือนกนั ยายน 4. งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วข้อง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (2551) ได้ทาการศึกษาโครงสร้างป่าชายเลน จังหวัดภูเก็ต โครงสร้างป่าชายเลนจังหวัดพังงา และโครงสร้างป่าชายเลนจังหวัดกระบี่ ซึ่งผล การศกึ ษาดังต่อไปนี้ โครงสรา้ งป่าชายเลน จังหวัดภเู ก็ต พบพนั ธ์ุไม้ป่าชายเลนเพียง 10 ชนิด ความหนาแน่นเฉล่ีย เท่ากับ 6.96 ต้นต่อไร่ ความโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย เท่ากับ 12.37 และ 9.52 ตามลาดับ โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) เปน็ พรรณไม้เด่นในท้องท่ีในด้านความเด่นสัมพัทธ์ (relative dominant) ความหนาแน่นสัมพัทธ์ (relative density) และความถี่สัมพัทธ์ (relative frequency) มีค่าดัชนีความสาคัญ (important value index, IVI) มีค่าสูงท่ีสุดเท่ากับ 138.71 รองลงมา ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) และตาตุ่มทะเล (Excoecaria agallocha L.) ค่าความสาคัญเท่ากับ 63.12, 48.50, และ 25.10 ตามลาดับ ลักษณะโครงสร้างป่ามีความแตกต่างกับจังหวัดพังงาเล็กน้อย ค่าดัชนีความ หลากหลายทางพืชพันธ์ุเท่ากับ 0.53 ค่าความชุกชุมทางชนิดพันธ์ุ (species richness) และค่าความ สมา่ เสมอทางพนั ธุ์ (evenness) มคี า่ เท่ากบั 3.44 และ 0.53 ตามลาดับ โครงสร้างป่าชายเลน จังหวัดพังงา พบพันธุ์ไม้ป่าชายเลนในแนวสารวจจานวน 19 ชนิด ความหนาแน่นเฉล่ีย 22.60 ต้นต่อไร่ ความโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ยและความสูงเฉลี่ยเท่ากับ 12.90 เซนติเมตร และ 9.36 เมตร ตามลาดับ และพบพันธ์ุไม้เบิกนา (pioneer species) ใน 2 วงศ์ ได้แก่ วงศแ์ สม (Avicenniaceae) ซงึ่ แสมดา (Avicennia officinalis L.) เป็นพันธ์ไุ ม้เดน่ ในวงศ์นี้โดย ศูนยน์ วตั กรรมอทุ ยานแห่งชาติและพ้ืนท่ีคมุ้ ครองทางทะเล จังหวดั ตรัง สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพ้ืนที่คมุ้ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาตปิ ่าชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาติหาดเจา้ ไหม จังหวดั ตรงั ปที ่ี 3 10 มีค่าความสาคัญ เท่ากับ 17.66 ในขณะท่ีพบแสมขาว (Avicennia alba Blume) จานวนเล็กน้อย และไม่พบแสมทะเล (Avicennia marina (Forssk.) Vierh.) ในแนวสารวจในจังหวัดพังงา นอกจากน้ียังพบไม้เบิกนาในวงศ์ลาพู (Sonneratiaceae) แต่มีจานวนที่น้อยกว่าวงศ์แสมมาก แต่อย่างไรก็ตามโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) และตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) เป็นชนิดพันธุ์ที่พบมากที่สุด ค่าความสาคัญเท่ากับ 84.76 และ 61.04 ตาม ล าดั บ แล ะเป็ น ช นิ ด พั น ธ์ุที่ พ บ ได้ ใน ทุ ก แป ลงสารวจ ค่ าดั ช นี ค วาม ห ลากห ลาย Shannon - Wiener index มีค่าค่อนข้างสูงเท่ากับ 0.82 ค่าความชุกชุมทางพันธ์ุ เท่ากับ 4.16 และ ค่าความสมา่ เสมอทางพันธุ์ เทา่ กบั 0.64 โครงสร้างป่าชายเลน จังหวัดกระบี่ พบพันธ์ุไม้ป่าชายเลนในแนวสารวจจานวน 18 ชนิด ความหนาแน่นเฉล่ีย 19 ต้นต่อไร่ ความโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางเฉล่ียและความสูงเฉล่ีย เท่ากับ 9.44 เซนติเมตร และ 7.50 เมตร ตามลาดับ ลักษณะโครงสร้างป่ามีความคล้ายคลึงกับ โครงสร้างป่าชายเลนบริเวณจังหวัดพังงา กล่าวคือ แสมดา (Avicennia officinalis L.) แสมขาว (Avicennia alba Blume) ลาแพ น หิ น (Sonneratia griffithii Kurz) และลาพู (Sonneratia caseolaris (L.) Engl.) เป็นพรรณไม้เบิกนาในท้องท่ี ในขณะที่โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) และตะบูนดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) มคี ่าความสาคญั มากท่ีสุดเทา่ กับ 102.73, 54.45 และ 51.45 ตามลาดับ แต่ความ สม่าเสมอของการกระจายพันธ์ุน้อยกว่า เท่ากบั 0.51 และความชกุ ชุมทางชนิดพันธุ์ มีค่าใกล้เคียงกัน เท่ากับ 3.92 เป็นผลให้ค่าดัชนีความหลากหลายในท้องที่จังหวัดกระบี่ แต่อย่างไรก็ตามตะบูนดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) ในบริเวณนี้ มีค่าความเด่นสัมพัทธม์ ากท่ีสุดซ่ึงค่าดังกลา่ วข้ึนอยู่กบั ความโตของลาต้น ดงั น้นั อาจกล่าว ได้ว่าป่าชายเลนในบริเวณจังหวัดกระบี่ ประกอบด้วยโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) จานวนมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง แต่ตะบูนดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) และตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) พบจานวน น้อยซง่ึ เปน็ ไมข้ นาดใหญ่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง (2555) ได้ทาการศึกษาพื้นทป่ี ่าชายเลนของประเทศไทย ในจังหวัดตรงั พบพันธุ์ไม้ป่าชายเลนในแนวสารวจจานวน 13 วงศ์ 12 สกลุ 29 ชนดิ มีความหนาแน่น เฉลี่ยรวมเท่ากับ 411 ต้นต่อไร่ เส้นผ่านศูนย์กลางเฉล่ียเท่ากับ 10.91 เซนติเมตร และความสูงเฉลี่ย เท่ากับ 8.06 เมตร ค่าดัชนีความหลากหลายทางชนิดพันธ์ุของ Shannon - Wiener diversity ศนู ย์นวัตกรรมอทุ ยานแห่งชาตแิ ละพ้ืนที่คมุ้ ครองทางทะเล จงั หวดั ตรัง สถาบันนวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพน้ื ท่ีคุ้มครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาตปิ า่ ชายเลน อุทยานแหง่ ชาติหาดเจ้าไหม จังหวดั ตรัง ปีท่ี 3 11 index เท่ากับ 0.83 และมีค่าดัชนีความสม่าเสมอทางชนิดพันธุ์ ลาพู (Sonneratia caseolaris (L.) Engl.) มี ค่ าเท่ ากั บ 0 .6 5 โด ย ล าพู (Sonneratia caseolaris (L.) Engl.) เป็ น ช นิ ด ไม้ ท่ี มี ความเด่นสัมพัทธ์มากที่สุดเท่ากับร้อยละ 12.87 และโกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) เป็นชนิดไม้ท่ีมีความหนาแน่นสัมพัทธ์ และความถสี่ ัมพัทธ์มากท่ีสุดเท่ากับร้อยละ 30.40 และ 18.20 ตามลาดับ ซึ่งทาให้มีค่าดัชนีความสาคัญสูงท่ีสุดเท่ากับ 52.94 รองลงมาได้แก่ โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) เทา่ กับ 38.53 โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) เท่ากับ 37.77 พันธ์ุไม้ป่าชายเลนที่มีคา่ ดัชนีความสาคัญน้อยท่ีสุดหรือเป็นพันธ์ุไม้ที่พบได้ยากในพ้ืนที่ ได้แก่ ตะบูนดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) ลาแพนหิน (Sonneratia griffithii Kurz) โพทะเล (Thespesia populnea (L.) Sol. Ex Correa) ปอทะเล (Hibiscus tiliaceus L.) โปรงขาว (Ceriops decandra Ding Hou) ฝาดแดง (Lumnitzera littorea (Jack) Voigt) หงอนไก่ ทะเล (Heritiera littoralis Aiton) และพังกาหัวสุม-ดอกแดง (Bruguiera gymnorrhiza (L.) Savigny) ตามลาดับ นพรัตน์ และ ปราโมทย์ (2540) ได้ทาการศึกษาลักษณะทางพืชพรรณป่าชายเลนบริเวณ แหลมตะลุมพุก ฝ่ังอ่าวปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จากการศึกษาพบว่าบริเวณปากคลองหรือ ริมอ่าวที่เลนลึก มีกล้าไม้และลูกไม้พวกลาพู (Sonneratia caseolaris (L.) Engl.) และแสมดา (Avicennia officinalis L.) โดยจับกลุ่มเป็นหย่อม ๆ ส่วนในบริเวณถัดไปพบพรรณไม้ 4 ชนิด ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงอก (DBH) มากกว่า 4.5 เซนติเมตร คือ แสมดา (Avicennia officinalis L.) โก งก า งใบ เล็ ก (Rhizophora apiculata Blume) แ ล ะ ถ่ั ว ข า ว (Bruguiera cylindrica (L.) Blume.) และในพ้ืนที่ 400 ตารางเมตร พบต้นไม้ 94 ต้น หรือมีความหนาแน่นเฉล่ีย ประมาณ 376 ต้นต่อไร่ โดยท่ีแสมดา (Avicennia officinalis L.) และโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) มปี ระชากรมากท่ีสดุ และในปริมาณที่พอกัน จากการศกึ ษาครงั้ นี้ยังพบวา่ โกงกาง ใบ เล็ก (Rhizophora apiculata Blume) ที่ มีความสูงระห ว่าง 1.30 - 6.30 เมตร มีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางเพียงอก 4.5 - 13 เซนติเมตร มีประชากรมากกว่าแสมดา (Avicennia officinalis L.) ท้ังนี้คงเป็นเพราะการตัดออกแล้วปลูกเสริมด้วยโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) ซง่ึ หากปลอ่ ยใหพ้ ชื พรรณบริเวณน้เี จริญเติบโตเองไปตามธรรมชาติแล้ว ไมเ้ ดมิ บรเิ วณนนี้ ่าจะ เป็นแสมดา (Avicennia officinalis L.) ก่อนโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) อย่างไรก็ตามจากการศึกษายังพบว่าป่าชายเลนแห่งน้ีมีประชากรเป็นไม้ขนาดเล็กเป็นส่วนมากหรือ อาจกล่าวได้ว่าป่าท่ีเลือกศึกษาเปน็ ปา่ ท่ีกาลังอยู่ระหว่างการเปลย่ี นแปลงเพราะพบลกู ไมจ้ านวนมากที่ กาลงั เจริญเตบิ โต ศนู ยน์ วัตกรรมอทุ ยานแห่งชาติและพื้นที่ค้มุ ครองทางทะเล จงั หวัดตรงั สถาบันนวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพนื้ ท่ีคุม้ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาตหิ าดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรงั ปีท่ี 3 12 สมานใจ และคณะ (2553) ได้ทาการศึกษาลักษณะทางชีพลักษณ์พันธุ์ไม้ป่าชายเลน จงั หวัดชลบุรี พันธุ์ไม้ท่ขี ้ึนสว่ นใหญ่เปน็ ไม้วงศ์ Avicenniaceae และวงศ์ Rhizophoraceae มีไม้วงศ์ อื่น ๆ ข้ึนแทรกอยู่บ้างเล็กน้อย ในการศึกษาลักษณะทางชีพลักษณ์พันธุ์ไม้ป่าชายเลนจังหวัดชลบุรี คร้งั น้ีพบว่า แสมทะเล (Avicennia marina (Forssk.) Vierh.) เป็นชนิดท่ีเด่นอย่างเห็นได้ชัดโดยพบ ในทุกแปลงตัวอย่างที่สารวจ และพบกระจายทั่วไปในพื้นที่ป่าชายเลนจังหวัดชลบุรี โดยโพทะเล (Thespesia populnea (L.) Sol. Ex Correa) มีอัตราการออกดอก - ออกผล ตลอดจนถึงอัตราการ ติดผลจนผลแก่มากที่สุด รองลงมา แสมทะเล (Avicennia marina (Forssk.) Vierh.) ลาแพน (Sonneratia ovata Back.) แ ล ะ ต ะ บู น ด า (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) ตามลาดับ ส่วนโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) ไม่สามารถคิดอัตราการติดผลได้ เน่ืองจากมกี ารออกดอกกอ่ นช่วงเวลาทีท่ าการเก็บขอ้ มูล ศุภพร และ ทรงธรรม (2555) ได้ศึกษาโครงการจัดทาแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาติ ป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง สารวจโครงสร้างและองค์ประกอบของไม้ใหญ่ ไมห้ นุ่มและกลา้ ไม้ ผลการศึกษาพบพรรณไม้ทั้งส้ิน 11 ชนิด 8 สกลุ 6 วงศ์ ไม้วงศ์ Rhizophoraceae มากที่สุด ไม้ใหญ่ 11 ชนิด 8 สกุล 6 วงศ์ ไม้หนุ่ม 7 ชนิด 6 สกุล 4 วงศ์ และกล้าไม้ 5 ชนิด 5 สกุล 3 วงศ์ พันธ์ุไม้เด่นเม่ือพิจารณาจากดัชนีค่าความสาคัญในระดับไม้ใหญ่สูงสุด คือ โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) (140.30 %) ไม้หนุ่มพันธุ์ไม้เด่น คือ โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) (105.13 %) กล้าไม้พันธ์ุไม้เด่น คือ โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) (103.20 %) ความหลากหลายทางชีวภาพใช้สูตร Shannon - Wiener Index พบว่า ไม้หนุ่มมีค่ามากที่สุด 1.21 รองลงมาคือ ไม้ใหญ่และกล้าไม้ มีค่า 1.17 และ 1.00 ตามลาดับ การกระจายของต้นไม้ตามช้ันขนาดความโตเป็นรูป L - shape ซ่ึงถือเป็นลักษณะของป่าปกติ โดยโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) กระจายครอบคลุมพ้ืนท่ีมากท่ีสุด ลักษณะ โครงสร้างเรือนยอดแบ่งได้ 2 ชั้น คือ ชั้นบนและช้ันรอง มีความสูงมากกว่า 9 เมตร และมีความสูง น้อยกว่า 9 เมตร มีการปกคลุมเรือนยอดร้อยละ 80.15 ของพ้ืนที่ทั้งหมด ปริมาตรไม้รวม 104.79 ลูกบาศก์เมตรต่อเฮกตาร์ มวลชีวภาพท้ังหมด 22.14 ตันต่อเฮกตาร์ ปริมาณการเก็บกักคาร์บอน โดยรวมเท่ากับ 10.69 ตันต่อเฮกตาร์ สาหรับชีพลักษณ์ของไม้ป่าชายเลน ส่วนใหญ่จะออกดอกมาก ช่วงเดือนกันยายน - มกราคม มีผลหรือฝักมากช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน มีอุณหภูมิเฉลี่ย 27.15 องศาเซลเซียส และความช้ืนสัมพัทธ์เฉล่ียร้อยละ 83.80 อุณหภูมิและความช้ืนสัมพัทธ์ ที่เปลีย่ นแปลงในแต่ละฤดกู าลมผี ลอย่างมากตอ่ การเจรญิ เตบิ โต ออกดอก ผลของพนั ธไุ์ ม้ป่าชายเลน ศนู ย์นวัตกรรมอทุ ยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นท่ีคุม้ ครองทางทะเล จังหวัดตรัง สถาบนั นวตั กรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพื้นที่คุ้มครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาติป่าชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จังหวัดตรงั ปที ่ี 3 13 ศุภพร และ ทรงธรรม (2556) ได้ศึกษา โครงการจัดทาแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาติ ป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง โดยวางแปลงถาวรขนาด 120 x 120 เมตร สาหรับศึกษาไม้ใหญ่ ไม้หนุ่ม และกล้าไม้ (รวม 144 แปลงย่อย) เพื่อติดตามโครงสร้างและ องค์ประกอบของพันธุ์ไม้ ซ้าในปีท่ี 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 ผลการศึกษาพบพรรณไม้ท้ังสิ้น 11 ชนิด 8 สกุล 6 วงศ์ ไม้วงศ์ Rhizophoraceae มากที่สุด ไม้ใหญ่ 11 ชนิด 8 สกุล 6 วงศ์ ไม้หนุ่ม 7 ชนิด 6 สกุล 4 วงศ์ และกล้าไม้ 4 ชนิด 4 สกุล 2 วงศ์ พันธ์ุไม้เด่นในระดับไม้ใหญ่ คือ โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) มีค่าสูงท่ีสุดเท่ากับ 140.75 พันธ์ุไม้เด่นของ ไม้หนุ่มคือ โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) มีค่าสูงที่สุดเท่ากับ 104.50 พันธุ์ไม้เด่น ข อ งก ล้ าไม้ คื อ โป รงแ ด ง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) มี ค่ า สู งท่ี สุ ด เท่ ากั บ 79.66 ความหลากหลายทางชีวภาพใช้สูตรของ Shannon - Wiener Index พบว่า ไม้หนุ่มมีค่ามากท่ีสุด 1.27 รองลงมา คือ ไม้ใหญ่และกล้าไม้ มีค่า 1.17 และ 1.15 ตามลาดับ การกระจายของตน้ ไม้ตามชั้น ขนาดความโตเป็นรูป L- shape ซ่ึงถือเป็นลักษณะของป่าปกติ โดยโกงกางใบเล็กกระจายครอบคลุม พื้นท่ีมากที่สุด ลักษณะโครงสร้างเรือนยอดแบ่งได้ 2 ชั้น คือ ช้ันบนและชั้นรอง มีความสูงมากกว่า 9 เมตรและสูงน้อยกว่า 9 เมตร มีการปกคลุมเรือนยอดร้อยละ 80.17 มีปริมาตรไม้รวม 118.57 ลูกบาศก์เมตรต่อเฮกตาร์ มวลชีวภาพทั้งหมด 27.85 ตันต่อเฮกตาร์ ปริมาณการเก็บกักคาร์บอน โดยรวมเท่ากบั 13.45 ตันต่อเฮกตาร์ ปรารพ (2556) ศึกษาความหลากหลายของพันธ์ุพืชป่าชายเลนในพ้ืนที่อุทยานแห่งชาติ สิรินาถ จังวัดภูเก็ต โดยวางแปลงขนาด 30 x 150 เมตร ตั้งฉากกับชายฝ่ัง ผลการศึกษาพบพันธุ์ไม้ 967 ต้น 10 ชนิด 8 สกุล 6 วงศ์ การปกคลุมของเรือนยอดไม้มีพื้นท่ีทั้งหมด 3,729.72 ตารางเมตร ความหนาแน่นรวมเท่ากับ 2,148.89 ต้นต่อเฮกตาร์ ปริมาตรไม้รวมเท่ากับ 27.27 ลูกบาศก์เมตรต่อ เฮกตาร์ พ้ืนที่หน้าตัดรวม 20.76 ตารางเมตรต่อเฮกตาร์ ค่าดัชนีความสาคัญ (IVI) ของไม้ใหญ่ พ บ โป รงแ ด ง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) มี ค่าม าก ที่ สุ ด เท่ ากั บ 199.33 แส ด งว่ามี ความโดดเดน่ และเป็นองค์ประกอบหลกั ของสังคมพืชป่าชายเลน ค่าดชั นีความหลากหลายตามสมการ ของ Shannon - Wiener Index ของไมใ้ หญ่ เท่ากบั 0.74 ซงึ่ มคี วามหลากหลายต่า ชัยณรงค์ และคณะ (2556) ศึกษานิเวศวิทยาป่าไม้ระยะยาวในพ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติ เครือข่ายแปลงตัวอย่างถาวรในเขตร้อน ป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดขนอม - หมู่เกาะทะเลใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช โดยวางแปลงขนาด 120 x 120 เมตร ผลการศึกษา พบ พันธ์ุไม้ป่าชายเลนท้ังหมด 1,790 ต้น จาแนกได้เป็น 13 ชนิด 5 วงศ์ และจากการวิเคราะห์ข้อมูล ศูนยน์ วัตกรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นท่ีคมุ้ ครองทางทะเล จงั หวัดตรงั สถาบันนวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพ้ืนที่คุม้ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาตปิ ่าชายเลน อุทยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม จงั หวัดตรงั ปที ่ี 3 14 ดัชนี ความสาคัญ ของพั นธุ์ ไม้ พบว่า ไม้จาพวกตะบู นขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) พังกาหัวสุม-ดอกแดง (Bruguiera gymnorrhiza (L.) Savigny) โดยมีค่าดัชนีความสาคัญพันธุ์ไม้เท่ากับ 128.25, 58.71, 41.65 ตามลาดับ ค่าดัชนี ความหลากหลายมีค่าเท่ากับ 1.58 และจากการศึกษาลักษณะโครงสร้างป่าและจาแนกชั้น พบว่า มี การทดแทนของพันธ์ุไม้ โดยศึกษาจากการแบ่งช้ันเรือนยอดของพันธุ์ไม้พบว่ามีการแบ่งช้ันเรือนยอด ออกเป็น 3 ชนั้ เรอื นยอด และการกระจายของพนั ธุ์ไม้อยทู่ ว่ั ทัง้ แปลง 5. ที่ตง้ั แปลงถาวรป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ต้ังอยู่ในท้องที่อาเภอสิเกา และอาเภอกันตัง จังหวัดตรัง อยู่ระหวา่ งเส้นรุ้งที่ 7 องศา 17 ลิปดา - 7 องศา 32 ลิปดา เหนือ และเส้นแวงท่ี 99 องศา 13 ลิปดา - 99 องศา 29 ลิปดา อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง สามารถแบ่งพื้นที่ออกได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ พื้นท่ีดนิ ชายฝง่ั ทะเล รวมทงั้ เกาะมุกต์ เกาะกระดาน เกาะแหวน เกาะเชือก เกาะเมง เกาะปลิง และเกาะเจ้าไหม บริเวณชายฝ่ังน้ีประกอบด้วยเขาหินปูนสูงชันทางตอนเหนือด้านตะวันออกมี เทือกเขาจองจันทร์ เทือกเขาควนเม็ดจูน เทือกเขาควนแดง ฯลฯ ซึ่งเป็นแหล่งกาเนิดต้นน้าลาธาร หลายสายท่ีมารวมกันเป็นคลองบางสัก ไหลลงสู่แม่น้าตรัง พื้นน้า ครอบคลุมพ้ืนที่ประมาณ 137.22 ตารางกโิ ลเมตร เปน็ ห้วงน้าลกึ มคี วามลึกเฉลย่ี 20 เมตร (ภาพท่ี 1 ถึงภาพที่ 4) เส้นทางเขา้ ถงึ แปลงถาวรปา่ ชายเลน ที่ต้ังของแปลงถาวรป่าชายเลน ต้ังอยู่บริเวณ คลองไหโล๊ะ ซึ่งห่างจากที่ทาการ ศูนย์นวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพ้ืนที่คุ้มครองทางทะเล จังหวัดตรัง ประมาณ 1.2 กิโลเมตร สภาพพื้นท่ีโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่ง สังคมพืชชายเลนอยู่ติดคลองยังคงสภาพของสังคมพืชป่าชายเลน มีแนวร่องน้ากระจายอยู่ท่ัวพ้ืนที่ท้ังยังมีน้าเข้าถึงตลอดเวลา ลักษณะของดินส่วนใหญ่เป็นดินเลน (ภาพท่ี 5) ศูนย์นวตั กรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพื้นที่คมุ้ ครองทางทะเล จงั หวดั ตรัง สถาบนั นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นที่คมุ้ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอุทยานแหง่ ชาติป่าชายเลน อุทยานแหง่ ชาตหิ าดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรัง ปีท่ี 3 15 ภาพที่ 1 ที่ตั้งและขอบเขตการปกครองของอทุ ยานแหง่ ชาตหิ าดเจา้ ไหม ศนู ยน์ วตั กรรมอทุ ยานแหง่ ชาติและพ้ืนที่คมุ้ ครองทางทะเล จงั หวัดตรงั สถาบันนวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาติและพื้นท่ีค้มุ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรงั ปีที่ 3 16 ภาพท่ี 2 ลกั ษณะแผนผงั ในแปลงถาวรป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจา้ ไหม ศูนย์นวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาติและพ้ืนท่ีคมุ้ ครองทางทะเล จงั หวดั ตรัง สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพ้ืนท่ีค้มุ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาติป่าชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรัง ปีท่ี 3 17 N ภาพที่ 3 แผนผังลาดับแปลงย่อยสาหรับการปฏบิ ตั งิ านในสนาม ศนู ย์นวตั กรรมอทุ ยานแห่งชาติและพื้นที่คุ้มครองทางทะเล จังหวัดตรงั สถาบันนวตั กรรมอุทยานแห่งชาติและพืน้ ท่ีค้มุ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อุทยานแหง่ ชาตหิ าดเจ้าไหม จงั หวัดตรัง ปที ่ี 3 18 N (ก) (ข) (ค) (ง) ภาพที่ 4 ลักษณะภูมิประเทศบริเวณแปลงถาวรป่าชายเลน (ก) ค่าความสูงจากระดับน้าทะเลปาน กลาง (เมตร) ของแต่ละหมุดยอ่ ย (ข) ระดับสูงต่าของภูมปิ ระเทศในแปลงถาวร (ค) เส้นช้ัน ระดับความสูง (ระยะหา่ ง 50 เซนตเิ มตร) (ง) สภาพภูมิประเทศในระบบ 3 มติ ิ ศูนย์นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาติและพื้นท่ีคุ้มครองทางทะเล จังหวดั ตรัง สถาบันนวัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพื้นท่ีคุ้มครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาติปา่ ชายเลน อุทยานแหง่ ชาตหิ าดเจา้ ไหม จังหวดั ตรัง ปีที่ 3 19 ภาพท่ี 5 เส้นทางเขา้ ถึงแปลงถาวรปา่ ชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม ศนู ยน์ วตั กรรมอทุ ยานแหง่ ชาตแิ ละพ้ืนที่คุม้ ครองทางทะเล จังหวดั ตรงั สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นที่คมุ้ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาตปิ า่ ชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม จังหวดั ตรัง ปที ่ี 3 20 อปุ กรณแ์ ละวิธีการ อปุ กรณ์ 1. อุปกรณท์ ่ีใช้ในการสารวจ 1.1 เทปวดั ระยะ 50 เมตร 1.2 เทปวดั ขนาดความโตตน้ ไม้ 1.3 หมายเลขตดิ ตน้ ไม้ 1.4 เชอื กสาหรับตดิ หมายเลขต้นไม้ (มัดรอบลาต้น) 1.5 อุปกรณจ์ ดบนั ทึกขอ้ มูล 1.6 อุปกรณเ์ กบ็ ตวั อย่างพนั ธ์ุไม้ เชน่ แผงอัดพนั ธ์ไุ ม้ ถุงพลาสติก 1.7 กลอ้ งถ่ายรปู 1.8 สสี เปรย์และสนี ้ามัน วธิ กี าร 1. สารวจโครงสรา้ งและองคป์ ระกอบพรรณพชื 1.1 สารวจข้อมลู ภาคสนาม สารวจไม้ใหญ่ คือ วัดซ้าตน้ ไม้ท่ีอยู่ในแปลงและวัดต้นไม้ที่ข้ามชั้นมาเปน็ ไมใ้ หญ่คือ ต้นไม้ท่ีมี ขนาดเส้นรอบวงต้ังแต่ 14 เซนติเมตรข้ึนไป ที่ระดับความสูงเพียงอก (1.3 เมตร) และมีความสูง มากกว่า 1.3 เมตร ภายในแปลงขนาด 10 x 10 เมตร โดยติดหมายเลขต้นไม้ วัดขนาดความโต ความสูงก่ิงแรก ความสูงท้ังหมด ความกว้างเรือนยอด พิกัดตาแหน่งท่ีปรากฏในแปลง พร้อมทั้ง จาแนกชนิดไม้แต่ละต้น กรณีไม้สกุลโกงกาง (Rhizophora sp.) วัดขนาดความโตลาต้นที่ระดับเหนือ รากอันบนสดุ ขนึ้ ไป 20 เซนตเิ มตร ส่วนความสงู ท้งั หมดวัดจากผวิ ดนิ ขึ้นไปถงึ ปลายยอด ไม้หนุ่ม คือ ไม้ที่มีขนาดเส้นรอบวงน้อยกว่า 14 เซนติเมตรท่ีระดับความสูงเพียงอก (1.3 เมตร) และมคี วามสงู มากกวา่ 1.3 เมตร ภายใน 4 x 4 เมตร บันทกึ ชนิดและจานวนต้น ศนู ย์นวตั กรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพ้ืนที่คุม้ ครองทางทะเล จงั หวดั ตรงั สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นท่ีคมุ้ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาติป่าชายเลน อุทยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม จังหวดั ตรัง ปที ี่ 3 21 กล้าไม้ คือ ไม้ที่มีความสูงไม่เกิน 1.3 เมตร ภายใน 1 x 1 เมตร บันทึกชนิดและจานวนต้น (ภาพที่ 6) ศึกษาโครงสร้างของป่าจากการจาแนกชั้น (stratification) พิจารณาจากการจาแนกชั้น โครงสร้างด้านต้ัง (profile diagram) โดยคัดเลือกจากพ้ืนท่ีแปลงขนาด 10 x 60 เมตร และการ ปกคลุมของเรือนยอดไม้ (crown cover diagram) เลือกพ้ืนที่แปลงขนาด 100 x 100 เมตร ภายใน แปลงถาวร ภาพที่ 6 แผนผังแปลงถาวรแตล่ ะขนาด 2. วิธีการวัดไมใ้ หญ่ ดอกรัก (2542) การวัดไม้ใหญ่โดยการวัดขนาดความโตด้านเส้นรอบวง (GBH) หรอื วัดขนาด เสน้ ผ่าศูนยก์ ลาง (DBH) ทรี่ ะดับความสงู เพียงอก ปกติวดั ทรี่ ะดับความสูง 1.30 เมตร จากพน้ื ดิน ซงึ่ มี วิธีการวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่ีระดับความสูงเพียงอกของต้นไม้ในแต่ละลักษณะท่ีแตกต่างกัน (ภาพที่ 7) ดงั น้ี 2.1 การวดั ขนาดเสน้ ผา่ ศูนย์กลางของตน้ ไม้ทขี่ ้นึ อยใู่ นที่ราบตามปกตจิ ะวดั ที่ระดบั ความสูง จากพืน้ ดนิ 1.30 เมตร (ภาพที่ 7 A) 2.2 ต้นไม้ข้ึนอยู่บนที่ลาดเท (slope) ให้วัดท่ีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่ีระดับความสูง 1.30เมตร ทางด้านบนของพนื้ ทล่ี าดเท (ภาพท่ี 7 B) ศูนยน์ วัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพ้ืนท่ีค้มุ ครองทางทะเล จงั หวัดตรัง สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาติและพื้นที่ค้มุ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อุทยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรงั ปีท่ี 3 22 2.3 ต้นไม้เอียงหรือเอนให้วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่ีระดับความสูง 1.30 เมตร ไปตาม มุมเอียงของต้นไมน้ นั้ (ภาพท่ี 7 C) 2.4 ต้นไม้ที่มีปมท่ีระดับความสูง 1.30 เมตร จากพ้ืนดิน ให้วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเหนือ จุดทมี่ ีปมและพูพอนขึน้ ไป 5 เซนติเมตร (ภาพท่ี 7 D) 2.5 ต้นไม้ท่ีมีการเจริญเติบโตแตกเป็นสองนางหรือสองกิ่ง โดยท่ีการแตกสองนางนั้นแตกที่ ระดับสูงกว่า 1.30 เมตร วดั ขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลางที่ระดับความสงู 1.30 เมตร ตามปกติ (ภาพท่ี 7 E) 2.6 ต้นไม้ท่ีมีการเจริญเติบโตแตกเป็นสองนางหรือสองกิ่ง โดยที่การแตกสองนางนั้นแตกที่ ระดับต่ากว่า 1.30 เมตร ให้วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ระดับความสูง 1.30 เมตร ของไม้แต่ละต้น (กิ่ง) (ภาพที่ 7 F) 2.7 ต้นไม้ท่ีมโี คนโตหรือรากแบบพพู อน (buttress) ที่ระดบั ความสูง 1.30 เมตร ให้วัดขนาด เส้นผ่าศนู ย์กลางเหนือจดุ รากพพู อนขึ้นไปอีก 50 เซนตเิ มตร (ภาพท่ี 7 G) 7A 7B 7C 7D 7E 7F 7G ภาพท่ี 7 การวดั เส้นผ่าศนู ย์กลางของตน้ ไม้ท่ีมลี กั ษณะแตกต่างกนั (จดุ ประคือตาแหน่งที่วัด) ท่มี า : สานักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านปา่ ไม้, 2553 ศนู ย์นวตั กรรมอทุ ยานแหง่ ชาตแิ ละพ้ืนท่ีคมุ้ ครองทางทะเล จังหวัดตรัง สถาบันนวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพนื้ ที่คุ้มครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวดั ตรงั ปีที่ 3 23 3. การวเิ คราะหข์ ้อมูล เม่ือทาการสารวจและบันทึกข้อมูลสังคมพืชในแปลงถาวรเสร็จส้ินแล้ว จากน้ันจะนาข้อมูล ดงั กล่าวมาวิเคราะห์ โดยอาศัยหลกั การวเิ คราะห์คณุ ลกั ษณะของสงั คมพืช มวี ธิ ีการดงั น้ี 3.1 การจัดทาบญั ชรี ายชอื่ ชนดิ พนั ธุ์ไม้ (Species List) บัญชีรายช่ือชนิดพันธ์ุไม้ท่ีจัดทาขึ้นน้ี จะประกอบด้วยรายละเอียดต่าง ๆ คือ ช่ือสามัญ (Common Name) ชื่อวิทยาศาสตร์ (Sciencetific Name) วงศ์ (Family) ของชนิดพันธ์ุไม้ที่ปรากฏ ในแปลงทั้งหมดแยกเป็นไม้ใหญ่ ไม้หนุ่ม และกล้าไม้ จากนั้นประเมินสถานภาพพันธ์ุพืชตามหลัก Thailand Red Data เช่น พืชใกล้สูญพันธ์ุ พืชหายาก ฯลฯ เพอื่ ประเมินความสาคัญของพื้นที่ต่อการ ปรากฏของพืชตามสถานภาพทพี่ บ 3.2 การวิเคราะห์คา่ ความสาคัญของชนิดพนั ธไ์ุ ม้ (Importance Value; IVI) การประเมินค่าความสาคัญของชนิดพันธ์ุไม้ (Importance value) ในการจาแนก ค ว า ม ส า คั ญ ข อ งช นิ ด พั น ธ์ุ ไม้ ที่ ป รา ก ฏ ใน พ้ื น ท่ี ศึ ก ษ าจ ะด า เนิ น ก า ร โด ย ใช้ ค่ าดั ช นี ค ว า ม ส า คั ญ (Importance Value Index) มาเป็นตัวชี้วัด ทั้งนี้เพ่ือทาให้เป็นภาพรวมความสาคัญทางนิเวศวิทยา ของพชื ชนดิ ใดชนดิ หน่งึ โดยมีสูตรการคานวณตามแนวทางของอุทิศ (2542) ดงั นี้ ความหนาแนน่ ของชนิดพันธ์ุ A (Density; D) คือ จานวนต้นไมท้ ้ังหมดของชนดิ พันธ์ุ A ท่ปี รากฏในแปลงตอ่ จานวนแปลงทั้งหมดท่ที าการสารวจ (144 แปลงย่อย) D = จานวนตน้ ไมท้ ้งั หมดของชนิดพนั ธุ์ A ท่ีปรากฏในแปลง จานวนแปลงทงั้ หมดท่ีทาการสารวจ (144 แปลงย่อย) จากนนั้ นาความหนาแนน่ ทีไ่ ด้ไปคานวณหาความหนาแนน่ สัมพทั ธ์ (Relative Dominant; RD) ดงั น้ี ศูนยน์ วตั กรรมอุทยานแห่งชาติและพ้ืนท่ีคุม้ ครองทางทะเล จงั หวัดตรงั สถาบันนวตั กรรมอุทยานแห่งชาติและพื้นท่ีคมุ้ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแหง่ ชาตปิ า่ ชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรัง ปที ี่ 3 24 RD (%) = ความหนาแนน่ ของชนิดพนั ธ์ุ A x 100 ผลรวมของความหนาแนน่ ของทุกชนิดพันธ์ุ ความถข่ี องชนิดพนั ธุ์ A (Frequency; F) คือ จานวนแปลงยอ่ ยท่ีชนดิ พันธ์ุ A ปรากฏ ต่อจานวนแปลงท้ังหมดทีส่ ารวจ (144 แปลงยอ่ ย) ทาให้อยใู่ นรปู ของรอ้ ยละโดยคณู ด้วย 100 F = ความถ่ีของชนิดพันธุ์ A x 100 จานวนแปลงทั้งหมดที่ทาการสารวจ จากนน้ั นาความถท่ี ่ไี ด้ไปคานวณหาความถส่ี มั พัทธ์ (Relative Frequency; RF) ดงั น้ี RF (%) = ความถ่ขี องชนิดพันธ์ุ A x 100 ผลรวมของความถ่ีของทุกชนดิ พันธ์ุ ความเด่น (Dominance; Do) ความเด่นในด้านพ้ืนท่ีหน้าตัด (Basal Area; BA) คือ พ้ืนที่หน้าตัดลาต้นของต้นไม้ท่ีวัดระดับอก (1.30 เมตร) ต่อจานวนแปลงทั้งหมดท่ีทาการสารวจ (144 แปลงย่อย) พน้ื ท่ีหนา้ ตดั = (เสน้ รอบวง)2 4π BA = ผลรวมของพนื้ ทหี่ น้าตดั ชนิดพนั ธุ์ A พน้ื ท่ที ่ีทาการสารวจ จากน้ันนาความเด่นท่ีได้ไปคานวณหาความเด่นสัมพทั ธ์ (Relative Dominance; RDo) RDo (%) = ความเดน่ ของชนิดพันธุ์ A x 100 ผลรวมของความเดน่ ของทกุ ชนดิ พนั ธุ์ ศูนย์นวัตกรรมอทุ ยานแห่งชาติและพ้ืนท่ีคมุ้ ครองทางทะเล จังหวัดตรัง สถาบันนวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพืน้ ที่คมุ้ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาตปิ ่าชายเลน อุทยานแหง่ ชาตหิ าดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรงั ปีที่ 3 25 คา่ ดัชนีความสาคัญ (Importance Value Index; IVI) เป็นค่าท่ีแสดงถึงความสาเร็จ ทางพันธกุ รรมของชนิดพันธุ์ไมใ้ นการครอบครองพนื้ ที่นนั้ ชนดิ พันธ์ุใดท่มี ีค่าดัชนีความสาคัญสูง แสดง ว่าชนิดพันธุ์น้ันเป็นชนิดพันธ์ุเด่นและมีความสาคัญในพื้นท่ีนั้น ดัชนีความสาคัญเป็นค่าท่ีรวมความ หนาแนน่ สัมพทั ธ์ ความถ่สี มั พัทธ์ และความเด่นสัมพทั ธ์เขา้ ดว้ ยกนั มสี ูตรในการคานวณ ดังนี้ IVI = RD + RF + RDo สาหรับไม้ใหญ่มีค่าต้ังแต่ 0 - 300 ส่วนค่าดัชนีความสาคัญของไม้หนุ่มและกล้าไม้ใช้ค่า คานวณเพียงสองค่าคอื ผลรวมของความหนาแน่นสมั พัทธ์และความถ่สี ัมพัทธ์ มีคา่ ตั้งแต่ 0 - 200 ความหลากหลายทางชวี ภาพ การประเมินค่าความหลากหลายของชนิดพันธ์ุ (Species diversity) เป็นการแสดง ความหลากชนิดของส่ิงมีชีวิตในพ้ืนที่หน่ึง ๆ ซ่ึงค่าท่ีได้ข้ึนอยู่กับจานวนชนิดพันธุ์ถ้าจานวนชนิดพันธุ์ มาก ความหลากหลายจะมากแต่ถ้าจานวนชนิดพันธุ์น้อยความหลากหลายก็จะน้อย แต่ถ้าในแต่ละ ชนิดพันธุ์มีการกระจายอย่างเท่าเทียมกัน ความหลากหลายก็จะมากขึ้น ในการคานวณ อ้างตาม ดอกรกั และ อุทิศ (2552) ดังนี้ ดัชนีความหลากหลายของแชนนอนวีเนอร์ (Shannon - Weiner Index, H’) s H ' (Pi InPi ) i1 เมอ่ื H’ = คา่ ความหลากหลายทางชวี ภาพของ Shannon - Weiner Pi = สดั สว่ นของชนดิ i ต่อจานวนชนดิ ทงั้ หมด S = จานวนของชนิดท้ังหมด ln = ลอกกาลิทึมฐาน e ศนู ย์นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นท่ีคุ้มครองทางทะเล จงั หวดั ตรัง สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพื้นท่ีค้มุ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอุทยานแหง่ ชาติป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจา้ ไหม จงั หวดั ตรัง ปที ี่ 3 26 ดชั นีความหลากหลายของซิมป์สนั (Simpson’s Index, D) โดย D = คา่ ดัชนีความหลากหลายของชนดิ พนั ธขุ์ อง Simpson’s Index pi = สดั สว่ นของจานวนของสง่ิ มชี ีวิตชนิด i ต่อจานวนของชนิดท้งั หมด S = จานวนของชนดิ ทั้งหมด ดัชนีความหลากชนิด (Fisher’s index, α) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างจานวนต้นไม้ กับจานวนชนิดพันธุ์ไม้ โดยท่ีค่า α เป็นค่าคงท่ี แสดงถึงความหลากหลายของชนิดในสังคม กล่าวคือ ถ้าค่า α มีค่ามาก แสดงว่ามจี านวนชนิดมากซงึ่ โดยปกติแล้วไม่ขน้ึ กับขนาดของแปลงตวั อย่าง โดยใช้ Fisher index (α ) (Fisher et al.,1943 อ้างโดย จินตนา,2544) ใชส้ มการ ดังน้ี S = α ln(1+n/α) α = N(1-X) X เมื่อ α = ค่าดชั นคี วามหลากชนิดของ Fisher’s index S = จานวนชนดิ พนั ธท์ุ ้ังหมด n = จานวนต้นท้ังหมด ดชั นีความมากมายหรอื ความรา่ รวยของชนดิ (Margalef’s Index) Margalef’s Index = S – 1 In (N) เมื่อ S = จานวนชนดิ พรรณพชื ทั้งหมด N = จานวนต้นไม้ท้งั หมด ศูนย์นวตั กรรมอทุ ยานแห่งชาตแิ ละพื้นท่ีคุม้ ครองทางทะเล จังหวดั ตรงั สถาบันนวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาติและพนื้ ท่ีค้มุ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอุทยานแหง่ ชาตปิ ่าชายเลน อุทยานแหง่ ชาตหิ าดเจา้ ไหม จังหวัดตรัง ปที ี่ 3 27 ค่าความสมา่ เสมอ (Pielou’s Evenness Index, E) E = H’ H’ Hmax = In (S) โดย E = ความสมา่ เสมอ (evenness) H’ = Shannon diversity Index S = จานวนชนิดทีพ่ บทั้งหมด ค่าดัชนคี วามคลา้ ยคลงึ ของสงั คมพืช (Similarity indices) ใช้สตู รของ Sorrensen ISs (%) = 2 W x 100 A+B โดย ISs = ค่าดชั นีความคล้ายคลึงของ Sorrensen W = จานวนชนดิ ท่ปี รากฏทั้งสองสังคมหรอื หมู่ไม้ A = จานวนชนดิ ทีพ่ บท้ังหมดในสังคมหรือหมู่ไมแ้ รก B = จานวนชนิดทพ่ี บท้ังหมดในสังคมหรือหมู่ไมท้ สี่ อง 4.5 การคานวณปริมาตรไม้ การคานวณปริมาตรไม้มีสูตรปริมาตรไม้ท่ีมีการศึกษาเอาไว้ในประเทศไทยมากม าย ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดและการใช้ประโยชน์ไม้ในแต่ละยุคสมยั (ธัญนรินทร์, 2556) การศึกษา ครั้งนี้จึงได้เลือกสูตรที่มีการนิยมและเหมาะสาหรับการหาปริมาตรไม้ในป่าธรรมชาติ โดยใช้สูตรของ ธัญนรนิ ทร์ (2542) มีสตู รดงั น้ี สตู รปรมิ าตรไม้ตะบูน ln V = 1.880578 + 2.053321 ln (DBH/100) ศูนย์นวตั กรรมอทุ ยานแหง่ ชาติและพ้ืนท่ีคุ้มครองทางทะเล จงั หวัดตรัง สถาบันนวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพื้นท่ีคุ้มครอง
ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาติปา่ ชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม จังหวัดตรงั ปที ี่ 3 28 ไมอ้ น่ื ๆ ln (V) = 2.250111 + 2.414209 ln (DBH/100) เมอ่ื DBH = เส้นผา่ ศูนยก์ ลางเพียงอก (เซนตเิ มตร) จรวย (2542) ได้จัดทาสมการปริมาตรไม้สนประดิพัทธ์และไม้โกงกางใบใหญ่ในท้องที่ จังหวัดเพชรบรุ ี และไดข้ ้อสรุป เป็นสตู รปรมิ าตรไม้ ดงั น้ี สมการปรมิ าตรไม้โกงกางใบใหญ่ V = 0.000028D1.5911 H1.4748 เมอ่ื กาหนดให้ V = ปริมาตรไม้ (ลบ.ม.) H = ความสูง (ม.) D = เส้นผ่าศนู ย์กลางเพยี งอก (ระดับ1.30 เมตร) 4.6 การหามวลชวี ภาพเหนือพนื้ ดินและปริมาณการเกบ็ กกั คารบ์ อน การคานวณหามวลชีวภาพเหนือพ้ืนดินของต้นไม้ในป่าชายเลนชนิดต่าง ๆ ท่ีมีขนาด DBH มากกว่า 4.5 เซนติเมตร ใชส้ มการในการศึกษาคร้งั น้ี ดังตารางท่ี 1 ศูนยน์ วัตกรรมอทุ ยานแห่งชาติและพ้ืนที่คุม้ ครองทางทะเล จงั หวัดตรัง สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพนื้ ที่คุ้มครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาติป่าชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาติหาดเจา้ ไหม จังหวัดตรงั ปที ี่ 3 29 ตารางที่ 1 สมการแอลโลเมตรกิ (allometric equation) ทใี่ ช้ในการคานวณหามวลชีวภาพเหนือ พืน้ ดินของไมป้ ่าชายเลน พนั ธ์ุไม้ สมการ R2 ที่มา ถว่ั ขาว Log Ws = 0.4754 + 0.0413 Log D2H 0.9026 วิจารณ์, 2553 (Bruguiera cylindrica (L.) Blume) Log Wb = -0.4325 + 0.0382 Log D2H 0.8841 Log Wl = -0.1984 + 0.0349 Log D2H 0.9574 ถว่ั ดา Log Ws = 0.3470 + 0.0458 Log D2H 0.9217 วิจารณ์, 2553 (Bruguiera parviflora (Roxb.) Log Wb = -0.6811 + 0.0659 Log D2H 0.8431 Wight & Arn. ex Griff.) Log Wl = -0.2965 + 0.0393 Log D2H 0.8787 โปรงแดง Log Ws = 0.2432 + 0.0587 Log D2H 0.9076 วจิ ารณ์, 2553 (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) Log Wb = -0.4632 + 0.0625 Log D2H 0.8185 Log Wl = -0.4187 + 0.0529 Log D2H 0.7758 โกงกางใบเล็ก Log Ws = 0.8074 + 0.0289 Log D2H 0.9681 วิจารณ์, 2553 (Rhizophora apiculata Blume.) Log Wb = -0.2344 + 0.0424 Log D2H 0.9175 Log Wl = -0.0682 + 0.0277 Log D2H 0.8521 Log Wpr = -0.7566 + 0.0311 Log D2H 0.8771 โกงกางใบใหญ่ Log Ws = 0.6171 + 0.0357 Log D2H 0.9367 วจิ ารณ์, 2553 (Rhizophora mucronata Lam.) Log Wb = -0.3606 + 0.0467 Log D2H 0.7972 Log Wl = -0.3778 + 0.0360 Log D2H 0.842 Log Wpr = -0.6908 + 0.0496 Log D2H 0.8815 ตะบนู ขาว Log Ws = 0.2374 + 0.0589 Log D2H 0.9698 วจิ ารณ์, 2553 0.9558 (Xylocarpus granatum J.Koenig) Log Wb = -0.5046 + 0.0637 Log D2H 0.945 Log Wl = -0.5179 + 0.0558 Log D2H ศนู ยน์ วัตกรรมอุทยานแหง่ ชาติและพ้ืนท่ีคุ้มครองทางทะเล จังหวัดตรัง สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพืน้ ท่ีคมุ้ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแหง่ ชาตปิ า่ ชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม จงั หวัดตรัง ปที ่ี 3 30 ตารางท่ี 1 (ต่อ) พันธ์ุไม้ สมการ R2 ทม่ี า ตะบนู ดา Log Ws = 0.2572 + 0.0566 Log D2H 0.9898 วจิ ารณ์, 2553 0.9192 (Xylocarpus moluccensis (Lam.) Log Wb = -0.7659 + 0.0562 Log D2H 0.8675 M.Roem.) Log Wl = -0.7823 + 0.0511 Log D2H ตาตุม่ ทะเล Log Ws = -1.315407 + 0.928433 Log D2H 0.9852 สานักอนรุ กั ษ์ (Excoecaria agallocha L.) Log Wb = -1.975896 + 1.009039 Log D2H 0.9244 ทรพั ยากร Log Wl = -1.079285 + 0.573519 Log D2H 0.8675 ปา่ ชายเลน, 2554 หงอนไกท่ ะเล Log Ws = -0.8446348 + 0.7468525 Log 0.97428 สานกั อนรุ กั ษ์ (Heritiera littoralis Aiton) DDLLoo22HHgg Wb = -2.3159916 + 1.1352985 Log 0.95959 Wl = -1.2739856 + 0.628154 Log 0.94663 ทรัพยากรป่าชาย ฝาดแดง 0.9697 (Lumnitzera littorea (Jack) LDo2Hg Ws = -0.923683+ 0.784095 Log 0.8901 เลน, 2554 Voigt) LDLDoo22HHgg Wb = -2.585542 + 1.158140 Log 0.8978 สานักอนรุ ักษ์ จงี ้า Wl = -1.682677 + 0.742926 Log (Scyphiphora hydrophylacea ทรพั ยากรปา่ ชาย C.F.Gaertn.) DLo2Hg Ws = 0.9549+ 0.04490 Log D2H Log Wb = 0.8649 + 0.02412 Log D2H เลน, 2554 วจิ ารณ์, 2553 Log Wl = 0.5439 + 0.09422 Log D2H ในการหาปริมาณการเก็บกักคาร์บอนของป่าชายเลน โดยการนาค่ามวลชีวภาพเหนือพื้นดิน ไปคูณด้วยค่าคงที่ 3.67 (ค่าคงท่ีน้ีคิดจากน้าหนักโมเลกุลของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซ่ึงก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ 1 โมเลกุล ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน (C) จานวน 1 อะตอม และธาตุออกซิเจน (O2) จานวน 2 อะตอม ซึ่งธาตุคาร์บอนมีน้าหนัก 12 กรัมอะตอม ส่วนธาตุออกซิเจนมีน้าหนัก 16 กรัมอะตอม ดังนั้น 1 โมเลกุลของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีน้าหนักเท่ากับ 44 กรัมอะตอม ฉะน้ัน ค่าคงที่ในการเปลี่ยนคาร์บอน 1 กรัม ไปเป็นก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ เท่ากับ 44/12 = 3.67) ซ่ึงเป็น ค่าท่ีไม้ปา่ ชายเลนดูดซับคารบ์ อนไดออกไซด์ (วิจารณ์, 2553) ศนู ยน์ วัตกรรมอทุ ยานแห่งชาติและพ้ืนที่คุ้มครองทางทะเล จงั หวดั ตรงั สถาบนั นวตั กรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพืน้ ท่ีคุ้มครอง
ติดตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาติป่าชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาตหิ าดเจา้ ไหม จังหวัดตรัง ปที ่ี 3 31 4.3 การปกคลมุ เรือนยอดไม้และการกระจายตน้ ไม้ในแปลงถาวร การปกคลุมเรือนยอด จากข้อมูลเรือนยอดในแปลงถาวร 120 x 120 เมตร ซ่ึงจัดเก็บ ในรูปแบบตามระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ซ่ึงในระบบดังกล่าวนามาวิเคราะห์พ้ืนที่การปกคลุม ของเรือนยอดของทุกชนิด การปกคลุมของเรือนยอดตามชนิดและตามกลุ่ม และร้อยละการซ้อนทับ กันของเรือนยอดได้ สาหรับการคานวณการปกคลุมเรือนยอดของต้นไม้จากพื้นท่ีแปลงตัวอย่าง ทั้งหมดคิดเพียงแปลง 100 x 100 เมตร เท่าน้ัน โดยการเว้นระยะห่างจากแต่ละขอบแปลงเข้ามา ดา้ นละ10 เมตร (ศนู ย์ศกึ ษาและวิจยั อุทยานแหง่ ชาติ จงั หวดั เพชรบุรี, 2554) สาหรับการศึกษาการกระจายของต้นไม้สังคมพืชป่าชายเลนในครั้งน้ีเป็นปีท่ี 3 ให้เพิ่ม ต้นไม้ที่ข้ามช้ันมาเป็นไม้ใหญ่และตัดต้นไม้ที่ตายออกจากการวิเคราะห์การกระจายและการปกคลุม ของเรือนยอดไมใ้ นแปลงถาวรด้วย 4.7 การศกึ ษาตรวจวดั ชพี ลกั ษณ์ (phenology) การตรวจวัดชีพลักษณ์ในแปลงถาวรป่าชายเลนได้ดาเนินการสารวจเดือนละ 1 ครั้ง ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยการบันทึกข้อมูล คือ ตรวจชีพลักษณ์ต้นไม้แต่ละหมายเลข ไดแ้ ก่ การออกใบ ดอก และผล โดยกาหนดให้หมายเลขแทนลักษณะตา่ ง ๆ ดังนี้ - ใบรว่ งหรือทง้ิ ใบ (L1) แทนดว้ ยหมายเลข 1 - ใบอ่อนหรอื กาลังผลิใบ (L2) แทนดว้ ยหมายเลข 2 - ใบปกติ (L3) แทนดว้ ยหมายเลข 3 - ดอกตมู (FL1) แทนดว้ ยหมายเลข 4 - ดอกบาน (FL2) แทนด้วยหมายเลข 5 - ดอกรว่ ง (FL3) แทนด้วยหมายเลข 6 - ผลออ่ น (FR1) แทนด้วยหมายเลข 7 - ผลแก่ (FR2) แทนด้วยหมายเลข 8 - ผลสุกหรอื ผลรว่ ง (FR3) แทนด้วยหมายเลข 9 ศูนยน์ วัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพ้ืนท่ีคุม้ ครองทางทะเล จงั หวัดตรงั สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพน้ื ที่คมุ้ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาตปิ า่ ชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวดั ตรงั ปที ่ี 3 32 ซ่ึงในแต่ละหมายเลขต้นไม้น้ันให้แทนลักษณะเพียงค่าเดียวเท่านั้น โดยให้ค่าที่มีค่าสูง ทส่ี ดุ เปน็ ตัวแทนของหมายเลขตน้ ไม้น้ัน ระยะเวลาที่ทาการศกึ ษา ทาการศึกษาสังคมพืชป่าชายเลนสารวจซ้าในปีท่ี 3 โดยการวัดขนาดความโต ความสูง และ การปกคลุมเรอื นยอดของไม้ท่ีข้ามชนั้ เป็นไม้ใหญ่ ในชว่ งเดือนพฤษภาคมของทุกปี ศนู ยน์ วัตกรรมอทุ ยานแห่งชาตแิ ละพ้ืนท่ีคุ้มครองทางทะเล จังหวัดตรัง สถาบนั นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นที่คมุ้ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาติป่าชายเลน อทุ ยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวดั ตรงั ปที ี่ 3 33 ผลและวิจารณ์ ผล 1. โครงสร้างและองคป์ ระกอบของพรรณพืช 1.1 ชนิดพันธไุ์ ม้ จากการศึกษาแปลงถาวรป่าชายเลน ในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เป็นการ ดาเนินการสารวจวัดซ้าในปีที่ 3 พบพรรณไม้ท้ังสิ้น 11 ชนิด 8 สกุล 6 วงศ์ ไม้ใหญ่พบ 11 ชนิด 8 สกุล 6 วงศ์ ไม้หนุ่ม 6 ชนิด 6 สกุล 4 วงศ์ และกล้าไม้ 3 ชนิด 3 สกุล 1 วงศ์ (ตารางผนวกที่ 1) และพบตน้ ไมท้ ขี่ า้ มขั้นมาเป็นไม้ใหญจ่ านวน 5 ต้น ต้นไม้ท่ตี ายในแปลงถาวรในปีน้ีจานวน 61 ตน้ 1.2 ดัชนีคา่ ความสาคญั ของพันธ์ไุ ม้ในสังคมพืช 1.2.1 ไม้ใหญ่ ดัชนีค่าความสาคัญ เป็นดัชนีท่ีบ่งบอกความสาคัญของพืชแต่ละชนิดท่ีข้ึนอยู่ใน พ้ืนที่ ซ่ึงเป็นผลรวมของค่าเปอร์เซ็นต์สัมพัทธ์ของความหนาแน่น ความถ่ี และความเด่นของพืช แต่ละชนิด และเม่ือพิจารณาดัชนีความสาคัญของพรรณไม้ในแปลงถาวร พบว่า พรรณไม้ท่ีมีค่า ดัชนีความสาคัญของพรรณไม้สูงที่สุด คือ โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) รองลงมา โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) ถ่ั ว ข า ว ( Bruguiera cylindrica (L.) Blume) แ ล ะ จี ง้ า ( Scyphiphora hydrophylacea C.F.Gaertn.) มีค่าดชั นีความสาคัญของพรรณไม้เท่ากับ 141.41, 87.48, 31.68, 18.81 และ 8.44 % ตามลาดับ(ตารางท่ี 2) จากการศึกษาดัชนีความสาคัญของไม้ใหญ่ โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) เป็นพรรณไมเ้ ด่นท่มี คี วามสาคญั ของพื้นทนี่ ี้ ศนู ย์นวัตกรรมอทุ ยานแห่งชาตแิ ละพ้ืนท่ีคุ้มครองทางทะเล จังหวัดตรงั สถาบันนวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นท่ีคมุ้ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาติป่าชายเลน อุทยานแหง่ ชาตหิ าดเจ้าไหม จงั หวัดตรงั ปีท่ี 3 34 1.2.2 ไมห้ นุ่ม ดัชนีค่าความสาคัญ เมื่อนาค่าความหนาแน่นสัมพัทธ์และค่าความถี่สัมพัทธ์ มารวมกนั เป็นค่าความสาคัญของพรรณไม้ พบวา่ พรรณไม้ที่มีค่าดชั นีความสาคัญของพรรณไม้สูงที่สุด คอื โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) รองลงมา โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) ถั่วขาว (Bruguiera cylindrica (L.) Blume) ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) และ จีง้า (Scyphiphora hydrophylacea C.F.Gaertn.) มีค่าดัชนีความสาคัญ ของพรรณ ไม้ เท่ากับ 117.73, 40.95, 25.46, 9.59 และ 4.06 % ตามลาดับ (ตารางที่ 3) การศึกษาดัชนี ความสาคัญของไม้หนุ่ม โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) เป็นพรรณไม้เด่นของไม้หนุ่มท่ี มคี วามสาคัญของพ้ืนที่น้ี 1.2.3 กลา้ ไม้ ดัชนีค่าความสาคัญ เมื่อนาค่าความหนาแน่นสัมพัทธ์และค่าความถ่ีสัมพัทธ์ มารวมกันเป็นค่าความสาคัญของพรรณไม้ พบว่า พรรณไม้ที่มีค่าดัชนีความสาคัญของพรรณไม้สูง ที่สุด คือ โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) รองลงมาโปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) และถั่วขาว (Bruguiera cylindrica (L.) Blume) มีค่าดัชนีความสาคัญของ พรรณไม้เท่ากับ 111.06, 49.60 และ 39.34 % ตามลาดับ (ตารางที่ 4) จากการศึกษาดัชนี ความสาคัญของกล้าไม้ คือ โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) เป็นพรรณไม้เด่น ของกล้าไม้ทม่ี ีความสาคญั ของพน้ื ท่ีนี้ ศนู ยน์ วัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพื้นท่ีค้มุ ครองทางทะเล จงั หวดั ตรงั สถาบันนวัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพ้นื ท่ีคุม้ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อุทยานแหง่ ชาติหา ตารางท่ี 2 ดชั นคี วามสาคัญ (Importance Value Index; IVI) ของไม้ใหญ่ ท่ี ชอื่ สามญั ช่ือวิทยาศาสตร์ 1 โกงกางใบเล็ก Rhizophora apiculata Blume 2 โปรงแดง Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob. 3 ตะบูนขาว Xylocarpus granatum J.Koenig 4 ถวั่ ขาว Bruguiera cylindrica (L.) Blume 5 จงี า้ Scyphiphora hydrophylacea C.F.Gaertn. 6 ตะบนู ดา Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem. 7 โกงกางใบใหญ่ Rhizophora mucronata Lam. 8 ฝาดแดง Lumnitzera littorea (Jack) Voigt 9 ถ่วั ดา Bruguiera parviflora (Roxb.) Wight & Arn. e 10 ตาตุ่มทะเล Excoecaria agallocha L. 11 หงอนไก่ทะเล Heritiera littoralis Aiton ศูนยน์ วัตกรรมอทุ ยานแหง่ ชาติและพื้นท่ีคมุ้ ครองทางทะเล จงั หวัดตรงั สถาบันนวัตกรรมอุทย
าดเจา้ ไหม จังหวดั ตรงั ปที ี่ 3 35 ex Griff. ความหนาแนน่ ความถ่ี ความเด่น ดัชนี สมั พทั ธ์ สมั พทั ธ์ สัมพัทธ์ ความสาคญั 53.18 28.12 60.11 33.69 27.92 25.87 141.41 5.38 19.41 6.90 87.48 4.36 10.50 3.96 31.68 1.81 5.74 0.89 18.81 0.54 3.96 0.58 8.44 0.63 2.18 1.04 5.09 0.08 0.79 0.28 3.84 0.15 0.59 0.11 1.16 0.06 0.40 0.19 0.85 0.13 0.40 0.07 0.65 0.59 ยานแหง่ ชาตแิ ละพ้นื ท่ีคุ้มครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาตปิ ่าชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาตหิ า ตารางที่ 3 ดัชนคี วามสาคัญ (Importance Value Index; IVI) ของไม้หนุ่ม ท่ี ชื่อสามัญ ช่ือวทิ ยาศาสตร์ 1 โปรงแดง Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob. 2 โกงกางใบเล็ก Rhizophora apiculata Blume 3 ถ่วั ขาว Bruguiera cylindrica (L.) Blume 4 ตะบนู ขาว Xylocarpus granatum J.Koenig 5 จงี า้ Scyphiphora hydrophylacea C.F.G 6 หงอนไกท่ ะเล Heritiera littoralis Aiton ตารางที่ 4 ดชั นีความสาคัญ (Importance Value Index; IVI) ของกลา้ ไม้ ท่ี ช่อื สามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ 1 โกงกางใบเล็ก Rhizophora apiculata Blume 2 โปรงแดง Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob. 3 ถ่ัวขาว Bruguiera cylindrica (L.) Blume ศูนยน์ วตั กรรมอทุ ยานแหง่ ชาติและพ้ืนท่ีค้มุ ครองทางทะเล จังหวัดตรัง สถาบันนวตั กรรมอุทย
าดเจ้าไหม จงั หวัดตรัง ปีท่ี 3 36 Gaertn. ความหนาแนน่ สมั พัทธ์ ความถี่สัมพทั ธ์ ดชั นคี วามสาคัญ 61.85 55.88 117.73 18.89 22.06 40.95 12.96 12.50 25.46 3.70 5.88 9.59 1.85 2.21 4.06 0.74 1.47 2.21 ความหนาแนน่ สัมพัทธ์ ความถี่สัมพทั ธ์ ดัชนีความสาคัญ 52.73 58.33 111.06 21.82 27.78 49.60 e 25.45 13.89 39.34 ยานแหง่ ชาตแิ ละพ้นื ที่คุม้ ครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาติหาดเจา้ ไหม จงั หวัดตรัง ปีที่ 3 37 1.3 การกระจายและลักษณะโครงสร้างต้นไมใ้ นแปลงถาวรปา่ ชายเลน 1.3.1 การกระจายของต้นไม้ในแปลงถาวร การกระจายของต้นไม้ในแปลงถาวรป่าชายเลนตามช้ันขนาดความโต พบว่า มี การกระจายตามช้ันขนาดความโตเป็นรูป L-shape ซ่ึงถือเป็นลักษณะของป่าปกติ (normal forest) เม่ือเปรียบเทียบการกระจายตามชั้นขนาดความโตกับปีที่ผ่านมาพบว่าการศึกษาในครงั้ น้ีจานวนต้นท่ีมี ขนาดเลก็ ลดจานวนลง และจานวนต้นท่ีมีขนาดใหญ่กเ็ ริ่มมจี านวนเพม่ิ ขน้ึ แสดงดงั ภาพท่ี 8 การกระจายของต้นไม้ในแปลงถาวรป่าชายเลนมีการกระจายแบบสุ่ม ซ่ึง โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) เป็นพรรณไม้ท่ีพบว่ามีจานวนต้นมากหรือมีการ กระจายอยู่ทั่วพ้ืนท่ีมากที่สุด รองลงมา โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) ถั่วขาว (Bruguiera cylindrica (L.) Blume) จีง้า (Scyphiphora hydrophylacea C.F.Gaertn.) แ ล ะ ต ะ บู น ด า (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) ตามลาดบั โดยจานวนตน้ ไม้ทมี่ ีขนาดเล็กจะมีจานวนมากและจานวนจะลดลงเม่ือขนาดเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง เพ่ิมข้ึน (ภาพที่ 9) ภาพท่ี 8 เปรียบเทยี บการกระจายของต้นไมใ้ นแปลงถาวรปา่ ชายเลนตามชนั้ ขนาดความโต ศนู ย์นวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพ้ืนท่ีคมุ้ ครองทางทะเล จังหวัดตรัง สถาบนั นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพน้ื ท่ีคุ้มครอง
ติดตามแปลงถาวรในอทุ ยานแหง่ ชาติป่าชายเลน อุทยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จังหวัดตรงั ปีที่ 3 38 ภาพที่ 9 รปู แบบการกระจายของตน้ ไม้ในแปลงถาวรปา่ ชายเลน ศนู ย์นวัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพื้นท่ีคุม้ ครองทางทะเล จังหวัดตรงั สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแห่งชาตแิ ละพื้นที่คมุ้ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอทุ ยานแห่งชาติป่าชายเลน อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม จังหวดั ตรงั ปีท่ี 3 39 1.3.2 ลกั ษณะโครงสรา้ งป่า ลกั ษณะโครงสรา้ งป่าชายเลน อทุ ยานแหง่ ชาติหาดเจ้าไหม แบ่งช้นั ความสูงได้ดงั นี้ เรือนยอดช้ันท่ี 1 เป็นเรือนยอดช้ันบน มีความสูงต้ังแต่ 9 เมตรขึ้นไป การปกคลุมของ เรือ น ย อ ด ค่ อ น ข้ างต่ อ เนื่ อ ง พ รรณ ไม้ ใน ช้ั น เรือ น ย อ ด น้ี ป ระก อ บ ด้ ว ย โก งก างใบ เล็ ก (Rhizophora apiculata Blume) โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) โปรงแดง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) ถั่วขาว (Bruguiera cylindrica (L.) Blume) ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) เปน็ ต้น เรือนยอดช้ันที่ 2 เป็นเรือนยอดท่ีมีลักษณะการปกคลุมเรือนยอดต่อเน่ืองกันในระดับ ความสูงน้อยกว่า 9 เมตร พรรณไม้ประกอบด้วย ฝาดแดง (Lumnitzera littorea (Jack) Voigt) ตะบนู ดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) หงอนไกท่ ะเล (Heritiera littoralis Aiton) จีง้า (Scyphiphora hydrophylacea C.F.Gaertn.) พรรณไม้ในช้ันเรือนยอดน้ีอาจเป็นต้นท่ียังไม่โต เตม็ ทีห่ รอื อาจแคระแกรน็ เน่ืองจากปัจจยั แวดล้อมไมเ่ หมาะสม (ภาพที่ 10) ภาพท่ี 10 โครงสร้างด้านตัง้ บริเวณแปลงถาวรปา่ ชายเลน (Profile diagram) ศูนย์นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาติและพ้ืนที่คมุ้ ครองทางทะเล จังหวดั ตรัง สถาบนั นวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพื้นที่คุ้มครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาตปิ ่าชายเลน อุทยานแห่งชาติหาดเจา้ ไหม จังหวดั ตรงั ปที ่ี 3 40 ทิศเหนอื ทศิ ตะวนั ออก ทิศตะวนั ตก ทิศใต้ ภาพที่ 11 โครงสรา้ งป่าด้านตงั้ และดา้ นบนแปลงถาวรด้วยแผนภาพ 3 มิติ ศูนยน์ วตั กรรมอุทยานแห่งชาติและพื้นท่ีคมุ้ ครองทางทะเล จงั หวดั ตรัง สถาบันนวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาตแิ ละพื้นท่ีคุ้มครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอุทยานแหง่ ชาตปิ ่าชายเลน อทุ ยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรงั ปที ่ี 3 41 1.4 การปกคลุมเรือนยอดไม้ การปกคลุมของเรือนยอดไม้ท้ังหมด จากผลการคานวณร้อยละการปกคลุมของ เรือนยอดไม้ในแปลงถาวร พบว่าในพื้นที่แปลงถาวร มีพื้นท่ีปกคลุมของเรือนยอดไม้ท้ังหมด 7,982.56 ตารางเมตร หรือคดิ เปน็ ร้อยละ 79.83 ของพนื้ ทแ่ี ปลง (ภาพท่ี 12) การปกคลุมของเรือนยอดไม้บางกลุ่ม พบว่า เรือนยอดไม้ท่ีมีการปกคลุมของ เรือนยอดมากท่ีสุด คือ ไม้วงศ์ Rhizophoraceae พบการปกคลุมของเรือนยอดเป็นพ้ืนที่ 7,454.25 ตารางเมตร คิดเป็นร้อยละ 74.54 ของพ้ืนท่ี พรรณไม้ในวงศ์น้ีประกอบด้วย โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata Blume) โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata Lam.) ถ่ัวขาว (Bruguiera cylindrica (L.) Blume) ถั่ ว ด า (Bruguiera parviflora (Roxb.) Wight & Arn. ex Griff.) โ ป ร ง แ ด ง (Ceriops tagal (Perr.) C.B.Rob.) รองลงมา ไม้วงศ์ Meliaceae พบการปกคลุมของเรือนยอดเป็นพื้นท่ี 1,402.26 ตารางเมตร หรือ คิดเป็นร้อยละ 14.02 ของพื้นท่ี พรรณไม้ในวงศ์นี้ประกอบด้วย ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum J.Koenig) ตะบนู ดา (Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem.) ไม้วงศ์ Rubiaceae พบการปกคลุมของเรือนยอดเป็นพื้นที่ 135.16 ตารางเมตร หรือ คิดเป็นร้อยละ 1.35 ของพ้ื นท่ี พรรณ ไม้ในวงศ์นี้ คือ จีง้า (Scyphiphora hydrophylacea C.F.Gaertn.) ไม้วงศ์ Euphorbiaceae พบการปกคลุมของเรือนยอดเป็นพื้นท่ี 82.42 ตารางเมตร หรือ คิดเป็นร้อยละ 0.82 ของพืน้ ท่ี พรรณไมใ้ นวงศ์น้ี คือ ตาตุ่มทะเล (Excoecaria agallocha L.) ไม้วงศ์ Combretaceae พบการปกคลุมของเรือนยอดเป็นพ้ืนที่ 12.44 ตารางเมตร หรือ คดิ เป็นร้อยละ 0.12 ของพื้นที่ พรรณไมใ้ นวงศ์น้ี คอื ฝาดแดง (Lumnitzera littorea (Jack) Voigt) ไม้วงศ์ Malvaceae พบการปกคลุมของเรือนยอดเป็นพ้ืนที่ 3.64 ตารางเมตร หรือ คิดเป็นร้อยละ 0.04 ของพ้ืนที่ พรรณไม้ในวงศ์น้ี คือ หงอนไก่ทะเล (Heritiera littoralis Aiton) (ภาพ ท่ี 13) ศนู ยน์ วตั กรรมอทุ ยานแห่งชาติและพื้นที่คุ้มครองทางทะเล จงั หวัดตรัง สถาบันนวัตกรรมอุทยานแหง่ ชาติและพ้นื ท่ีคุม้ ครอง
ตดิ ตามแปลงถาวรในอุทยานแห่งชาตปิ า่ ชายเลน อุทยานแหง่ ชาตหิ าดเจ้าไหม จังหวัดตรงั ปที ี่ 3 42 ภาพท่ี 12 พ้ืนท่กี ารปกคลุมของเรือนยอด (crown cover) ศนู ยน์ วตั กรรมอทุ ยานแหง่ ชาติและพ้ืนที่คุ้มครองทางทะเล จงั หวัดตรัง สถาบนั นวตั กรรมอุทยานแหง่ ชาติและพื้นที่ค้มุ ครอง
Search