Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 1 ลักษณะภาษาไทย

บทที่ 1 ลักษณะภาษาไทย

Published by ouy_kikujung, 2018-06-20 02:20:00

Description: บทที่ 1 ลักษณะภาษาไทย

Search

Read the Text Version

1 บทที่ 1 ความร้เู บ้อื งตน้ เกี่ยวกับภาษา1.ความหมายของภาษา คำว่ำ “ภำษำ” มำจำกคำในภำษำสันสกฤต ส่วนในภำษำบำลีใชค้ ำวำ่ “ภำสำ” ซึง่ แปลวำ่ พูด กลำ่ ว หรอืบอก นอกจำกน้ีได้มผี กู้ ล่ำวถงึ ควำมหมำยหรือนยิ ำมของภำษำในลักษณะตำ่ งๆ ดงั น้ี กำชยั ทองหล่อ (2554 : 1) ไดใ้ ห้คำจำกัดควำมของภำษำ โดยกลำ่ ววำ่ ภำษำ แปลตำมรูปศัพทห์ มำยถึงคำพดู หรือถอ้ ยคำ แปลเอำควำมวำ่ เครอ่ื งสื่อควำมหมำยระหวำ่ งมนษุ ย์ ให้กำหนดรูค้ วำมประสงค์ของกันและกันได้โดยมรี ะเบยี บคำ หรือจังหวะเสียงเปน็ เคร่ืองกำหนด วจิ นิ ตน์ ภำณุพงศ์ (2520 : 6) ได้กลำ่ วว่ำ ภำษำ คอื เสียงพดู ทีม่ รี ะเบยี บและมีควำมหมำยซ่งึ มนษุ ย์ใช้เป็นเคร่ืองมอื สำหรับสือ่ สำรควำมคดิ ควำมรู้สึก ควำมต้องกำร และใช้ในกำรประกอบกจิ กรรมร่วมกนั จนั ทรเ์ พญ็ ศริ ิพนั ธ์ุ (2551 : 2) ได้ให้ควำมหมำยของภำษำว่ำ ภำษำเปน็ เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นกำรสอื่ ควำมหมำยเพื่อใหเ้ กดิ ควำมเขำ้ ใจ ควำมรสู้ กึ และควำมต้องกำรซึง่ กันและกนั พจนำนุกรมรำชบัณฑติ ยสถำน พ.ศ.2554 (2556 : 868-869) ไดใ้ ห้ควำมหมำยของคำว่ำ ภำษำ ดังนี้ถอ้ ยคำท่ใี ช้พูดหรอื เขยี นเพื่อส่ือควำมของชนกลุ่มใดกล่มุ หนง่ึ เชน่ ภำษำไทย ภำษำจีน หรอื เพอ่ื ส่อื ควำมเฉพำะวงกำร เช่น ภำษำรำชกำร ภำษำกฎหมำย ภำษำธรรม ; เสยี ง ตวั หนงั สือ หรือกริ ยิ ำอำกำรทสี่ อื่ ควำมได้ เช่น ภำษำพดู ภำษำเขยี น ภำษำทำ่ ทำง ภำษำมือ ; (โบ) คนหรอื ชำตทิ พ่ี ดู ภำษำน้นั ๆ เชน่ มอญ ลำว ทะวำย นงุ่ ห่มและแตง่ ตัวตำมภำษำ (พงศ.ร3) ; (คอม) กลมุ่ ของชุดอกั ขระ สัญนยิ ม และกฎเกณฑ์ท่กี ำหนดขน้ึ เพอ่ื สงั่ งำนคอมพิวเตอร์ เชน่ภำษำซี ภำษำจำวำ ; ปริยำยหมำยควำมวำ่ สำระ เรอื่ งรำว เน้ือควำมทเี่ ข้ำใจกัน เช่น ตกใจจนพดู ไมเ่ ป็นภำษำ เขียนไมเ่ ปน็ ภำษำ ทำงำนไมเ่ ป็นภำษำ จำกคำนิยำมหรอื คำจำกดั ควำมของภำษำขำ้ งตน้ สรปุ ไดว้ ำ่ ภำษำ หมำยถึง เครอื่ งมอื หรือระบบกำรใช้สญั ลกั ษณ์ อำจเปน็ เสียงหรือกริ ยิ ำอำกำรท่ใี ช้สื่อควำมหมำยถ่ำยทอดควำมรู้สึกนกึ คดิ อันจะก่อใหเ้ กดิ ควำมเขำ้ ใจซง่ึกนั และกัน

22. กาเนิดของภาษา กำเนิดของภำษำ ตำมแนวคิดและข้อสันนษิ ฐำนของนักนริ ุกตศิ ำสตร์ ไดส้ รปุ ไว้มีดงั นี้2.1 เกิดจากการเลยี นเสียงส่งิ แวดล้อมทไ่ี ด้ยิน ไดฟ้ งั ได้แก่ 2.1.1 เสียงสัตว์ เชน่ เสยี งกำ ไก่ คำ่ ง ชะนี ตกุ๊ แก แมว ววั สุนัข เสือ เป็นต้น 2.1.2 เสียงของธรรมชาติ เชน่ เสยี งฝนตก ฟ้ำร้อง ฟ้ำผำ่ เสยี งคล่ืน เสยี งลม เสยี งพำยุพัด เป็นตน้ 2.1.3 เสียงของวตั ถุ เช่น เสยี งระฆงั กะลำ เสยี งปนื กำรจุดดอกไม้ไฟ กำรเปำ่ เขำสตั ว์ และใบไม้ เปน็ ตน้ 2.1.4 เสยี งของเด็กทำรก เช่น คำออกเสียงออ้ แอ้ แวๆ้ โฮๆ ฮอื ๆ เป็นตน้ 2.2 เกดิ จากเสยี งอุทานทีเ่ ปลง่ ออกมาในขณะทที่ างานหรอื ทากิจกรรมตา่ งๆ เช่น ฮุยเลฮยุ ฮดึ เอ้ำฮึดมำละเหวย มำละวำ เป็นต้น2.3 เกดิ จากเสียงอุทานทเี่ ปลง่ ออกมาในขณะทเ่ี กดิ ความร้สู ึกตา่ งๆ เชน่ โอ๊ย เอ๊ะ เฮ้ ฮึม่ เปน็ ตน้ 2.4 เกดิ จากการคิดคาขนึ้ ใชใ้ นลกั ษณะตา่ งๆ เช่น ดำ ขำว อว้ น ผอม สูง ตำ่ รอ้ น หนำว เยน็ เกลยี ด รัก รู้ คดิเรว็ ช้ำ ไป มำ เปน็ ตน้3.หนา้ ทีข่ องภาษา ประสทิ ธิ์ กำพยก์ ลอน (2520: 11-13) ไดก้ ลำ่ วถึงหน้ำทข่ี องภำษำในฐำนะทีเ่ ปน็ เครอ่ื งมอื อย่ำงหนงึ่ ของมนษุ ย์ สำมำรถแบง่ หน้ำทไี่ ด้ดงั น้ี3.1 ภำษำเปน็ เครอ่ื งมือติดตอ่ สอื่ สำรระหวำ่ งกนั3.2 ภำษำเปน็ เครอ่ื งมือแสดงควำมคิดและเหตุผล3.3 ภำษำเป็นเคร่ืองแสวงหำควำมรู้และควำมเพลิดเพลนิ3.4 ภำษำเป็นเคร่อื งมอื ในกำรประกอบอำชีพ3.5 ภำษำเป็นเครอ่ื งมือในกำรปกครอง3.6 ภำษำเป็นเครอื่ งมอื ในกำรประกอบกจิ กรรมของสงั คม

33.7 ภำษำเปน็ ตวั บนั ทึกและถำ่ ยทอดจรรโลงวัฒนธรรมไว้มิใหส้ ญู หำย4. ประเภทของภาษา ภำษำแบง่ ตำมลกั ษณะกำรสอ่ื สำรได้ 2 ประเภท ได้แก่ 4.1 วจั นภาษา คอื ภำษำทใ่ี ช้ถอ้ ยคำในกำรส่ือสำร ได้แก่ ภำษำพูด และภำษำเขยี น กำรใช้ภำษำข้นึ อยกู่ บั กำลเทศะ สถำนกำรณ์ สภำวะแวดลอ้ ม และสมั พนั ธภำพระหว่ำงบคุ คล ซ่งึ อำจแบง่ภำษำเป็นระดบั ต่ำงๆได้หลำยลกั ษณะ โดยบทนจ้ี ะแบง่ ลกั ษณะสำคัญของภำษำเปน็ 5 ระดับ ดังน้ี 4.1.1 ระดบั พิธกี าร ใช้สอื่ สำรกนั ในทป่ี ระชุมทจ่ี ัดขึน้ อยำ่ งเป็นทำงกำร ไดแ้ ก่ กำรประชมุ รฐั สภำ กำรกล่ำวอวยพร กำรกล่ำวต้อนรับ กำรกล่ำวรำยงำนในพิธมี อบปรญิ ญำบตั ร ประกำศนยี บตั ร กำรกล่ำวสดดุ หี รือกำรกล่ำวเพอ่ื จรรโลงใจใหป้ ระจกั ษ์ในคณุ ควำมดี กำรกล่ำวปิดพิธี เปน็ ต้น ผสู้ ่งสำรระดับนม้ี ักเป็นคนสำคญั หรือมตี ำแหนง่ สงูผู้รบั สำรมกั อยใู่ นวงกำรเดียวกนั หรอื เป็นกลมุ่ คนส่วนใหญ่ สัมพนั ธภำพระหวำ่ งผสู้ ง่ สำรกับผรู้ บั สำรมีตอ่ กันอยำ่ งเปน็ทำงกำร ส่วนใหญผ่ สู้ ง่ สำรเป็นผู้กล่ำวฝำ่ ยเดยี ว ไมม่ ีกำรโตต้ อบ ผกู้ ลำ่ วมกั ต้องเตรยี มบทหรอื วำทนิพนธม์ ำล่วงหนำ้และมกั นำเสนอด้วยกำรอำ่ นต่อหน้ำทปี่ ระชุม 4.1.2 ภาษาระดบั ทางการ ใชบ้ รรยำยหรืออภิปรำยอยำ่ งเปน็ ทำงกำรในทป่ี ระชมุ หรอื ใช้ในกำรเขียนขอ้ ควำมท่ีปรำกฏต่อสำธำรณชนอย่ำงเปน็ ทำงกำร หนังสอื ท่ใี ชต้ ดิ ตอ่ กบั ทำงรำชกำรหรอื ในวงธรุ กจิ ผสู้ ่งสำรและผรู้ ับสำรมักเป็นบคุ คลในวงอำชพี เดียวกนั ภำษำระดับนีเ้ ป็นกำรสื่อสำรใหไ้ ดผ้ ลตำมจุดประสงคโ์ ดยยึดหลกั ประหยัดคำและเวลำให้มำกทสี่ ุด 4.1.3 ภาษาระดับกง่ึ ทางการ คล้ำยกบั ภำษำระดบั ทำงกำร แต่ลดควำมเปน็ งำนเปน็ กำรลงบ้ำง เพ่อื ใหเ้ กดิสมั พันธภำพระหว่ำงผสู้ ง่ สำรและผรู้ บั สำรซงึ่ เปน็ บุคคลในกลมุ่ เดยี วกัน มีกำรโต้แย้งหรอื แลกเปลยี่ นควำมคิดเหน็ กนัเป็นระยะๆ มักใช้ในกำรประชมุ กลมุ่ หรือกำรอภิปรำยกลุ่ม กำรบรรยำยในช้นั เรยี น ขำ่ ว บทควำมในหนังสอื พมิ พ์เนอ้ื หำมกั เปน็ ควำมรูท้ วั่ ไป ในกำรดำเนินชวี ิตประจำวัน กิจธรุ ะต่ำงๆ รวมถึงกำรปรึกษำหำรือรว่ มกัน 4.1.4 ภาษาระดบั ไม่เป็นทางการ ภำษำระดับนี้มกั ใชใ้ นกำรสนทนำโต้ตอบระหวำ่ งบุคคลหรอื กลมุ่ บคุ คลไม่เกิน 4-5 คนในสถำนทีแ่ ละกำละทไ่ี มใ่ ช่ส่วนตัว อำจจะเปน็ บคุ คลที่คนุ้ เคยกัน กำรเขยี นจดหมำยระหว่ำงเพอ่ื นกำรรำยงำนขำ่ ว และกำรเสนอบทควำมในหนงั สอื พมิ พ์ โดยทั่วไปจะใชถ้ อ้ ยคำสำนวนทท่ี ำใหร้ สู้ กึ คุ้นเคยกนั มำกกวำ่ภำษำระดบั ทำงกำรหรือภำษำท่ใี ชก้ นั เฉพำะกลมุ่ เน้อื หำเป็นเรอ่ื งทั่วๆไปในกำรดำเนินชีวติ ประจำวัน กจิ ธุระต่ำงๆรวมถงึ กำรปรึกษำหำรอื รว่ มกนั

4 4.1.5 ภาษาระดบั กนั เอง ภำษำระดับนีม้ กั ใชก้ ันในครอบครวั หรอื ระหว่ำงเพอ่ื นสนิท สถำนทใ่ี ช้มักเป็นพนื้ ท่ีสว่ นตวั เนอื้ หำของสำรไมม่ ขี อบเขตจำกัด มักใช้ในกำรพดู จำกนั ไม่นิยมบนั ทึกเปน็ ลำยลักษณ์อกั ษรยกเว้นนวนยิ ำยหรอื เร่ืองสน้ั บำงตอนท่ีต้องกำรควำมเป็นจริง หมายเหตุ กำรแบง่ ภำษำดงั ทกี่ ล่ำวมำแล้วมิไดห้ มำยควำมวำ่ แบง่ กันอย่ำงเด็ดขำด ภำษำระดบั หน่ึงอำจเหลือ่ มลำ้ กับอีกระดับหน่งึ ก็ได้4.2 อวจั นภาษา คือ ภำษำท่ไี มใ่ ชถ้ อ้ ยคำในกำรสอื่ สำร ไดแ้ ก่ กำรแสดงกิรยิ ำท่ำทำงของมนุษย์ กำรแสดงสหี น้ำสำยตำ นำ้ เสียง กำรใชม้ อื วตั ถุ กำรใช้สญั ญำณตำ่ งๆ เพื่อนำมำสอื่ ควำมหมำย และ ทำควำมเขำ้ ใจตอ่ กันแบง่ เปน็ 7 ประเภท คือ 4.2.1. เทศภาษา (proxemices) เปน็ อวจั นภำษำที่ใช้เกี่ยวขอ้ งกับสถำนที่ หรอื ช่วงระยะหำ่ งที่บคุ คลกำลังสอ่ื สำรกัน สถำนทท่ี ่ีบุคคลส่อื สำรกัน สำมำรถแสดงใหเ้ หน็ นยั แหง่ ควำมสมั พนั ธ์บำงประกำรของผูส้ ง่ สำรและผรู้ บั สำร เชน่ กำรที่ชำยหญงิ คยุ กนั สองตอ่ สองในห้องบง่ ไดว้ ำ่ ทั้งคู่มีควำมสนิทสนมคุ้นเคยกนั เป็นอยำ่ งดี หรือมเี รอื่ งที่พูดคยุ กนั เปน็ ควำมลับ นอกจำกนร้ี ะยะหำ่ งหรอื ใกลใ้ นขณะสนทนำกบ็ ง่ บอกไดว้ ่ำพูดคุยกนั ธรรมดำหรอื คยุ กนั อยำ่ งรู้จักสนทิ สนม 4.2.2. เนตรภาษา (oculesics) เป็นอวจั นภำษำทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั กำรใชด้ วงตำ สำยตำเพอื่ สือ่ สำรถึงอำรมณ์ควำมรู้สึกนึกคดิ ทัศนคติ และควำมตอ้ งกำรจำกผสู้ ง่ สำรไปยังผรู้ ับสำร เช่น กำรมอง กำรจอ้ ง เหลอื บ ชำเลืองหร่ีตำ ถลงึ ตำ เป็นตน้ 4.2.3. กาลภาษา (chonemics) เปน็ อวจั นภำษำที่เกี่ยวขอ้ งกบั ระยะเวลำ หรือชว่ งระยะเวลำทก่ี ำลงัส่ือสำรกันอยู่ ถือว่ำกำล หรือ เวลำ เป็นอวัจนภำษำทส่ี ำคญั อย่ำงมำกในทุกสังคม เพรำะแสดงใหเ้ หน็ ถงึ กำรให้เกยี รติ ใหค้ วำมเคำรพ ให้ควำมสำคญั เชน่ มำตรงเวลำในกำรนัดสมั ภำษณ์ ท้งั ยงั แสดงให้เหน็ ลกั ษณะนิสยั วำ่ มีควำมรบั ผดิ ชอบหรอื ไม่ มีบคุ ลกิ ภำพอยำ่ งไร 4.2.4. อาการภาษา (kinesics) เปน็ อวัจนภำษำท่เี กย่ี วขอ้ งกบั กำรเคลอ่ื นไหวอวยั วะส่วนต่ำงๆ ของรำ่ งกำยเพ่อื สอื่ ควำมหมำยบำงประกำร เช่น กำรเคลื่อนไหวศีรษะ ลำตัว แขนขำ ตัวอยา่ งเช่น สำ่ ยศีรษะ แสดงวำ่ ปฏเิ สธ โบกมือ แสดงกำรทกั ทำยหรือกำรลำ อำกำรภำษำจะถูกกำหนดโดยคนในแต่ละสงั คมซงึ่ เขำ้ ใจกันได้ 4.2.5. สัมผัสภาษา (haptics) เป็นอวจั นภำษำที่ส่อื กบั ผรู้ ับสำรโดยกำรใช้อวยั วะส่วนใดส่วนหนง่ึ ของผู้สง่ สำรสมั ผสั กบั ผรู้ ับสำรเพ่อื แสดงถงึ ควำมรสู้ กึ ควำมปรำรถนำและอำรมณข์ องผสู้ ง่ สำรทต่ี ้องกำรส่ือ เช่นกำรเดนิ คลอ้ งแขน จับมอื โอบกอด ลบู ไล้ ตัวอย่างเชน่ กำรโอบกอดและหอมแกม้ ในสงั คมตะวันตก หมำยถงึ

5กำรแสดงควำมรักและห่วงใย เป็นต้น 4.2.6. ปริภาษา (vocalic / paralanguage) เป็นอวัจนภำษำทีห่ มำยถงึ สง่ิ ที่เกิดขนึ้ รอบๆภำษำแบง่ เป็น 2 ลักษณะ 4.2.6.1. ปริภาษาเกีย่ วกับภาษาพดู ไดแ้ ก่ นำ้ เสยี ง ควำมเร็ว ควำมดัง จังหวะในกำรพดู ซงึ่สำมำรถบง่ บอกถงึ อำรมณ์ควำมรสู้ ึกของผ้พู ดในขณะนน้ั ได้ 4.2.6.2 ปรภิ าษาเกย่ี วกับภาษาเขียน ได้แก่ กำรใช้รปู แบบตัวอักษรใหญ่ เลก็ หนำ บำง เอยี งสีของอักษร กำรขีดเส้นใต้ กำรใชเ้ ครื่องหมำยวรรคตอน เพื่อเน้นยำ้ ควำมสำคัญของขอ้ ควำม 4.2.7 วัตถุภาษา (objects) เป็นอวจั นภำษำทเี่ กย่ี วข้องกบั กำรเลอื กใชว้ ัตถุเพ่อื นำมำส่ือถงึควำมหมำยบำงประกำร เช่น กำรเลอื กใชเ้ ครอื่ งแตง่ กำย เครอ่ื งประดบั ขำ้ วของเคร่ืองใชใ้ นกำรแต่งบำ้ น ตวั อย่างเช่น ใส่สรอ้ ยคอทองคำ แสดงถงึ ควำมรำ่ รวย แตง่ กำยชดุ สดี ำ แสดงวำ่ เสียใจและไว้อำลยั ใหผ้ ้ตู ำยเป็นต้น5. องค์ประกอบของภาษา จงชัย เจนหัตถกำรกิจ (2551: 4) ได้กล่ำวว่ำภำษำประกอบดว้ ยองค์ประกอบท่สี ำคญั ดงั นี้5.1 เสียง เกิดจำกกำรเปลง่ เสยี งแทนพยำงค์ และคำ5.2 พยางคแ์ ละคา เกดิ จำกกำรประสมพยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ต์ 5.3 ประโยค เกดิ จำกกำรนำคำมำเรียงกันตำมลกั ษณะโครงสรำ้ งของภำษำทก่ี ำหนดกฎเกณฑห์ รอืเป็นระบบไวยำกรณ์ของแตล่ ะภำษำ5.4 ความหมาย คอื ควำมหมำยที่เกิดจำกคำหรือประโยคเพ่ือใชใ้ นกำรสื่อสำรทำควำมเขำ้ ใจกนันอกจำกน้ี นิภำพรรณ ศรีพงษ์ (2551:2) ไดก้ ลำ่ วถึงองคป์ ระกอบของภำษำ ดังน้ี 5.1 โครงสรา้ งหรอื รปู แบบ ไดแ้ ก่ รูปแบบของภำษำทีก่ ลำ่ วออกมำ อำจกล่ำวเปน็ คำเด่ียวๆบ้ำง คำหลำยคำเรยี งกันบ้ำง อย่ำงที่เรำกำหนดเรียกกันภำยหลงั ว่ำ พยำงค์ คำ วลี และประโยค 5.2 เสยี งทเ่ี ปลง่ ออกมา ได้แก่ เสียงพูดทน่ี กึ ไวแ้ ลว้ เปลง่ ออกมำใหผ้ ู้อน่ื ได้ยนิ เชน่ ออกเสยี งวำ่ กนิ น้ำ ตักแกว้ ไป มำ เป็นตน้

6 5.3 ความหมาย ได้แก่ สงิ่ ที่ผพู้ ูดและผฟู้ ังเข้ำใจรบั รตู้ รงกนั คอื ฟงั ออกและสำมำรถพดู โตต้ อบกนั ไดร้ เู้ รอ่ื งเชน่ ลกู บอกแมว่ ่ำ “หิว” เพียงคำเด๋ียวแม่กห็ ำข้ำวมำให้ลกู เม่อื ลกู รับประทำนอำหำรเรียบร้อยแล้ว แมถ่ ำมวำ่ “อิม่หรอื ยงั ” ลูกกต็ อบวำ่ “อม่ิ แล้ว” อยำ่ งนีเ้ รียกวำ่ ต่ำงฝำ่ ยตำ่ งเขำ้ ใจควำมหมำยของกนั และกนั ไดเ้ ปน็ อย่ำงดี6.ลักษณะทวั่ ไปของภาษา ปรชี ำ ทชิ ินพงศ์ (2522: 5-7) ได้กล่ำวถงึ ลกั ษณะท่ัวไปของภำษำไว้ว่ำ ภำษำเป็นส่ิงทมี่ อี ยู่คู่มนุษย์ต้งั แต่ดกึ ดำบรรพ์เปน็ ต้นมำ และเปน็ สงิ่ ทสี่ ัมพนั ธ์เกยี่ วข้องกบั มนษุ ย์มำกในแทบทกุ กจิ กรรมของชวี ิตตง้ั แตเ่ กดิ จนตำยดังน้นั กำรศึกษำภำษำจึงอำจทำไดห้ ลำยแนว สุดแลว้ แต่ผ้ศู กึ ษำจะเลอื กแงม่ มุ ใด อย่ำงไรก็ตำม ผลจำกกำรศึกษำของนกั ภำษำศำสตร์ ทำให้เรำได้ทรำบลกั ษณะทัว่ ไปของภำษำ ซ่ึงมหี ลำยประกำร ดงั น้ี 6.1 ภาษาเปน็ เครอ่ื งมอื สอ่ื สารของมนุษย์ ในกำรติดตอ่ ทำให้เกิดควำมเขำ้ ใจกับคนรอบขำ้ ง มนุษย์ใช้ภำษำเป็นส่ือในกำรตดิ ตอ่ ในกรณีท่ีเป็นฝำ่ ยส่ง ก็อำจกระทำโดยพูดหรือเขียน ส่วนกรณีทเ่ี ปน็ ฝำ่ ยรบั ก็อำจกระทำโดยฟงัหรืออำ่ น ไม่มมี นษุ ย์ปกตคิ นใดทจี่ ะตดิ ต่อกบั คนอืน่ โดยไมใ่ ช้ภำษำ ภำษำจึงเปน็ เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้สอ่ื สำรของมนุษยโ์ ดยแท้ 6.2 ภาษาเปน็ ส่งิ ท่ีประกอบด้วยเสียงและความหมาย โดยปกติมนุษย์สำมำรถทำเสยี งไดม้ ำกมำยร้อยแปดแต่กใ็ ช่วำ่ จะเปน็ ภำษำทัง้ หมด เช่น เสียงหัวเรำะ ร้องไห้ ผวิ ปำก กระแอมกระไอ ฯลฯ เหล่ำน้ีไมจ่ ัดเปน็ ภำษำ ทั้งนไ้ี ม่มคี วำมหมำยกำหนดแนน่ อนเป็นแนวเดยี วกนั บำงคนอำจหัวเรำะหรือรอ้ งไหเ้ พรำะควำมเสยี ใจก็ได้ ด้วยเหตุน้ีควำมหมำยจงึ เป็นสงิ่ สำคัญมำกทจ่ี ะบอกควำมเป็นภำษำ เสยี งพดู ใดกต็ ำมหำกขำดควำมหมำยเสียแล้ว กห็ ำเป็นภำษำไม่ เพรำะไม่สำมำรถใชส้ ่ือสำรกนั ได้ ภำษำจงึ ต้องประกอบด้วยเสียงและควำมหมำยเสมอ 6.3 ภาษามลี กั ษณะที่เป็นระบบระเบียบ ระบบระเบียบในภำษำก็คือลกั ษณะเฉพำะของแตล่ ะภำษำกล่ำวคือ ในแต่ละภำษำจะมเี สยี งทใ่ี ชส้ อื่ ควำมหมำยอย่ใู นวงจำกัด มีจำนวนและลกั ษณะแตกต่ำงกันไปตำมลกั ษณะภำษำนั้นๆ เสยี งต่ำงๆเหลำ่ นน้ั อำจจะถกู นำมำประกอบกันอยำ่ งมีระเบียบกลำยเปน็ คำ จำกน้ันกถ็ ูกนำไปเรยี บเรยี งเป็นประโยคอยำ่ งเปน็ ระเบียบอกี จนเกิดเปน็ ควำมหมำยท่ใี ช้ส่ือสำรกันในสงั คม เช่น เสียง ก +อิ + น ประกอบกันเป็นคำ “กนิ ” เมื่อนำไปเรยี บเรยี งเขำ้ ประโยคว่ำ “ฉนั กินข้าวแลว้ ” คนท่ีรู้ภำษำไทยกย็ ่อมจะเข้ำใจ เพรำะถูกตำมระบบระเบยี บภำษำไทย แตถ่ ้ำเขำ้ ประโยคเปน็ “แลว้ กนิ ฉนั ข้าว” ดังนกี้ ไ็ ม่เปน็ ภำษำ เพรำะขำดระบบระเบยี บของภำษำไทยเป็นตน้ 6.4 ภาษาเปน็ เคร่อื งมอื ของสังคมทกี่ าหนดข้ึน ภำษำไมใ่ ช่เปน็ เรอ่ื งเฉพำะของผู้ใดผหู้ นงึ่ แต่เปน็ สิ่งทม่ี นษุ ย์ในสังคมตกลงยอมรบั ใชต้ รงกัน ว่ำถำ้ ออกเสยี งอยำ่ งนน้ั จะมคี วำมหมำยถึงส่ิงนั้น และถำ้ นำคำมำเรียงกนั อยำ่ งน้ี จะมีควำมหมำยถงึ สง่ิ นี้ เชน่ ในภำษำไทย ถำ้ ออกเสียงว่ำ “แมว” ก็จะหมำยถึงสตั วช์ นิดหนง่ึ มีสีข่ ำ ชอบจบั หนู เปน็ ตน้และถ้ำจะบอกลกั ษณะยอ่ ยของแมวกจ็ ะต้องนำคำมำวำงไว้ข้ำงหลงั เป็น แมวขาว แมวดา ถ้ำใครจะนำคำขยำยมำ

7วำงไวข้ ำ้ งหนำ้ เป็น ขาวแมว ดาแมว ดังนีก้ ็อำจจะฟงั ไมเ่ ข้ำใจ หรอื เขำ้ ใจเป็นอยำ่ งอนื่ และอำจเปน็ ท่ขี บขันของผู้ฟงัก็ได้ เพรำะสงั คมไมไ่ ด้กำหนดใหพ้ ูดเชน่ น้ัน ในกำรกำหนดภำษำขึ้นใช้ในสังคม เป็นเรอ่ื งท่ีไมม่ หี ลักเกณฑ์อะไรแนน่ อน และไมม่ ใี ครสำมำรถอธิบำยเหตุผลไดว้ ่ำ ทำไมสตั ว์ชนดิ เดยี วกันในหมู่คนไทย จึงเรียกวำ่ แมว แตฝ่ ร่งั เรยี กวำ่ cat และทำไมเรำจงึ พูดวำ่ แมวขาวแมวดา แทนทจี่ ะพูดว่ำ ขาวแมว (white cat) หรือดาแมว (black cat) เหมือนภำษำองั กฤษ เป็นต้น 6.5 ภาษามพี ลังในการงอกงามไมร่ ้จู บ ถึงแมภ้ ำษำจะมรี ะบบระเบยี บอยู่ในขอบเขตจำกดั คอื มเี สียงอยู่ชุดหนึ่ง และมโี ครงสรำ้ งทำงไวยำกรณ์ ที่เปน็ ลกั ษณะจำกดั เฉพำะก็จรงิ แตใ่ นกำรสร้ำงประโยคใหมๆ่ เจ้ำของภำษำอำจสร้ำงประโยคขึ้นใชไ้ ด้มีจำนวนไม่รู้จบสน้ิ โดยวธิ ีนำคำท่มี ใี ช้อยู่ในภำษำมำเรยี บเรียงเขำ้ เป็นประโยคในรูปตำ่ งๆทำนองเดียวกบั กำรสร้ำงจำนวนเลขโดยวธิ ีนำเอำเลข 1 ถงึ 0 มำเขยี นรวมกันเปน็ จำนวนเลขต่ำงๆนั่นเอง ประโยคใหมๆ่ ท่ถี กู สร้ำงข้ึนน้ี แมผ้ ู้ใช้ภำษำคนอืน่ ๆจะไม่เคยไดย้ นิ หรอื ได้ฟงั มำก่อนก็ตำม แตก่ ส็ ำมำรถเขำ้ ใจได้ทันที โดยไม่ต้องมีใครสอน 6.6 ภาษาเกดิ จากการเรยี นรู้ ไม่มีมนุษยค์ นใดรภู้ าษามาแตก่ าเนดิ แตเ่ ป็นการเรียนรู้เอาจากผ้อู นื่หลงั จากการเกิดมาแลว้ กลำ่ วคอื เม่อื เรำเกดิ มำและเตบิ โตในหมผู่ ู้ใช้ภำษำใด เรำกย็ ่อมจะพูดและฟังภำษำน้นั เขำ้ ใจได้ แต่จะให้ร้ภู ำษำอน่ื ทเี่ รำไมเ่ คยไดย้ ินได้ฟงั มำก่อนยอ่ มเปน็ ไปไม่ได้ แมจ้ ะเป็นภำษำของบรรพบุรษุ เรำกต็ ำม ภำษำจึงเกดิ จำกกำรเรียนรู้ มใิ ช่สิ่งทต่ี ดิ ตัวมำแต่กำเนิด หรอื เกดิ จำกสัญชำตญำณแนน่ อน 6.7 ภาษามีลกั ษณะเป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรมยอ่ มมกี ำรเตบิ โตอนั ได้แก่ กำรเปล่ียนแปลงเป็นปกตวิ ิสัยและมีกำรถำ่ ยทอดกนั ได้จำกคนรนุ่ หน่ึงไปสคู่ นอีกรุ่นหนงึ่ ภำษำกเ็ ช่นเดยี วกนั ย่อมมีกำรเปลี่ยนแปลงและถำ่ ยทอดสบื ต่อกันมำไมข่ ำดสำย ซ่งึ เรำจะสงั เกตเห็นโดยง่ำย โดยเฉพำะในดำ้ นกำรเปลี่ยนแปลงของภำษำ จะพบว่ำ เรำมีคำเกิดใหมม่ ำกมำยในปจั จบุ ัน บำงคำกท็ ำท่ำจะติดและบำงคำกท็ ำท่ำจะตำย และหำกเรำมองยอ้ นไปในอดตี กจ็ ะพบวำ่มีคำเป็นจำนวนมำกมำย ซงึ่ ในปจั จบุ ันไม่มที ใี่ ช้แล้ว บำงคำถึงจะมีใชอ้ ยู่ แต่กถ็ กู ดดั แปลงเสียงและควำมหมำยไปแล้วมำกต่อมำก ลกั ษณะทีก่ ล่ำวมำน้ี เปน็ ลกั ษณะของวัฒนธรรมท่ีมีกำรเปลี่ยนแปลงและถำ่ ยทอดมำโดยลำดบั น่ันเอง7.ความสาคญั ของภาษา นภิ ำพรรณ ศรีพงษ์ (2551:2-3) ไดก้ ล่ำวถึงควำมสำคญั ของภำษำ ดังน้ี 7.1 ภาษาเป็นส่ือท่ีใช้ติดต่อกันระหว่างกลุม่ ชนในสังคมในประเทศและท่ัวโลก ทำให้เกดิ ควำมเข้ำใจซง่ึ กนัและกัน มกี ำรแลกเปลย่ี นวัฒนธรรม ประเพณี และควำมก้ำวหนำ้ ทำงวทิ ยำกำรร่วมกัน 7.2 ภาษาเป็นเอกลกั ษณ์ประจาชาติ ชนทกุ ชำติทเ่ี จรญิ และมอี ำรยธรรมรงุ่ เรอื งมำช้ำนำน จะมภี ำษำเป็นเอกลักษณข์ องตนเองสำหรบั ใช้ติดตอ่ สือ่ สำรกนั ภำยในชำติ

8 7.3 ภาษาเป็นศาสตร์และเป็นศลิ ป์ ภำษำมีกฎระเบยี บ จงึ นบั ได้วำ่ เปน็ วิชำทีเ่ ปน็ วทิ ยำศำสตร์ 7.4ภาษาเปน็ เคร่ืองผกู พันระหวา่ งมนุษยใ์ นสังคมใหม้ ีความรักและความเขา้ ใจอันดีระหวา่ งกันกำรตดิ ตอ่ สอื่ สำร กำรสรำ้ งควำมรักควำมเข้ำใจ ควำมผกู พนั ท่ีไม่สำมำรถแสดงออกไดเ้ มอื่ ผรู้ บั และเมอ่ื ผสู้ ง่ อยู่หำ่ งไกลกัน ภำษำเปน็ ส่ือทบ่ี รรยำยควำมรสู กึ ทม่ี ตี อ่ กนั ไดอ้ ยำ่ งดีทีส่ ดุ ทจี่ ะทำใหเ้ กิดควำมรกั และซำบซงึ้ ใจทกุ ครั้งท่ีได้อ่ำน 7.5 ภาษาเป็นแหลง่ ถา่ ยทอดความรู้ ภมู ิปัญญาท้องถิ่น ขนบธรรมเนยี มประเพณี วัฒนธรรม และวรรณคดี องค์ควำมรูท้ ี่สำคญั มอี ยู่มำกมำยในสงั คมทกุ ทอ้ งถ่นิ ทกุ ชนชัน้ ภำษำเปน็ เครอื่ งมอื สำคัญทจ่ี ะชว่ ยบนั ทกึและทำหนำ้ ทีถ่ ่ำยทอดควำมรเู้ หล่ำนั้นใหบ้ รรพชนรุ่นหลงั ได้รับทรำบอยำ่ งดีทส่ี ดุ 7.6ภาษาใชเ้ ปน็ หลักฐานการบันทึกเหตกุ ารณด์ า้ นพงศาวดารและประวตั ิศาสตร์ พงศำวดำรและประวัติศำสตร์ ของชำตติ ่ำงๆทส่ี ืบทอดกนั เปน็ ระยะเวลำยำวนำนหลำยพันปี มนุษยช์ นทงั้ หลำยในปัจจบุ ันได้รบั รู้เหตุกำรณ์ต่ำงๆได้ ก็อำศัยกำรอำ่ นบนั ทกึ ทำงภำษำ 7.7 ภาษาเป็นสงิ่ ที่ถา่ ยทอดความร้สู กึ นึกคิด และจนิ ตนาการของมนษุ ย์ ควำมร้สู กึ นกึ คดิ และจินตนำกำรของมนษุ ย์ท่อี ยูภ่ ำยในจิตใจและควำมคดิ คำนงึ ของแตล่ ะบุคคลสำมำรถจะถำ่ ยทอดออกมำเป็นภำพ เป็นเรือ่ งรำวออกมำใหผ้ อู้ ่นื ทรำบในรูปของวรรณกรรมประเภทร้อยแก้วและรอ้ ยกรอง 7.8 ภาษาเป็นเครอื่ งยดึ เหน่ียวและหลอ่ หลอมมนษุ ย์ในสงั คมใหอ้ ยู่ร่วมกันอยา่ งเป็นระเบยี บและปกตสิ ุขกำรท่มี นษุ ยใ์ นสงั คมมำอยู่รวมกันเปน็ จำนวนมำก จะตอ้ งมกี รอบควำมคิดและแนวทำงปฏบิ ัตทิ ่เี ปน็ แนวเดยี วกนั จึงจะทำใหบ้ คุ คลจำนวนมำกอยรู่ ว่ มกนั ได้อยำ่ งสนั ติสุข ภำษำจงึ มสี ว่ นสำคัญยงิ่ ทจี่ ะทำใหเ้ กิดกำรตรำกฎหมำย ระเบยี บและขอ้ บงั คบั เพ่อื ใช้ปกครองให้กล่มุ ชนในสงั คมอยู่โดยมีสทิ ธิเทำ่ เทียมกนั นอกจำกน้ี ศรีสุดำ จรยิ ำกลุ (2539 : 9-10) ไดก้ ลำ่ วถึงควำมสำคัญของภำษำไว้ ดังนี้ ภาษาไทยเปน็ ภาษาของชาติ คนไทยนบั ว่ำโชคดที ่ที ีภำษำของชำตมิ ำแตโ่ บรำณ และสำมำรถรกั ษำสมบตั ิช้ินสำคัญของชำตนิ ี้ไว้ได้ตลอดมำ คำวำ่ “ภำษำชำติ” กินควำมลึกซงึ้ นอกจำกจะแสดงควำมเปน็ เอกรำชแลว้ ยังแสดงถงึ เอกลกั ษณ์ของชำตอิ กี ดว้ ย ภาษาไทยเป็นเครือ่ งมอื สรา้ งความสามคั คีของคนในชาติ ในประเทศไทย แม่เรำจะมภี ำษำถน่ิ ของภำคเหนือ ภำคอสี ำน ภำคใต้ แต่กส็ ำมำรถจะสอื่ สำรเปน็ ท่ีเขำ้ ใจกนั ได้ และภำษำรำชกำร คือ ภำษำกรงุ เทพฯ กเ็ ปน็ภำษำทปี่ ระชำชนยินยอมพรอ้ มใจกันรบั มำใช้ จงึ ถือว่ำ คนไทยพูดภำษำไทยเหมือนกัน กำรมจี ดุ รวมเช่นน้ยี อ่ ม

9ก่อใหเ้ กิดควำมร้สู กึ ว่ำเปน็ พวกพ้องเดยี วกัน รักใครส่ ำมัคคกี นั คนไทยทไี่ ปอยตู่ ำ่ งประเทศเป็นเวลำนำน เมอื่ ไดพ้ บคนไทย ได้พดู ภำษำไทยดว้ ย จะรู้สึกอบอุ่นใจ ภำษำไทยจึงเป็นเครือ่ งมอื สำคญั ยง่ิ ในกำรสรำ้ งควำมรูส้ กึ เปน็ ไทยรว่ มกนั สรำ้ งควำมสำมัคคีซึ่งจะยังประโยชนแ์ ก่สังคมและประเทศชำติเป็นอยำ่ งยงิ่ ภาษาไทยเปน็ เครอ่ื งมอื ศกึ ษาวชิ าการและประกอบอาชพี กำรศกึ ษำไม่วำ่ จะเป็นแขนงใดกต็ ำม ยอ่ มอำศัยภำษำเป็นเครือ่ งมอื ทงั้ ส้นิ นอกจำกนย้ี งั มีภำษำเฉพำะวิชำ เชน่ ศัพทท์ ำงกำรศกึ ษำ กำรแพทย์ กฎหมำย เหลำ่ นีต้ ้องใช้ภำษำอกี ระดบั หน่งึ ซึง่ คนที่ไมเ่ อำใจใสใ่ นภำษำ จะรบั กำรถำ่ ยทอดวทิ ยำกำรเหล่ำนน้ั มไิ ด้ แต่เม่อื จะศึกษำวิชำกำรหรอื เร่อื งรำวสำคัญใดๆใหล้ ะเอียดลกึ ซงึ้ ยอ่ มต้องอำศยั ภำษำทลี่ ะเอยี ดขึ้นด้วย จะเห็นได้ว่ำ คนท่ัวไปเข้ำใจภำษำเฉพำะวิชำหรือวชิ ำชพี ไดย้ ำก แมใ้ นอำชีพธรรมดำสำมญั เชน่ เป็นเสมียน ค้ำขำยเล็กๆนอ้ ยๆ คนทใ่ี ชภ้ ำษำดี พูดเกง่ ก็ได้เปรียบในกำรประกอบอำชพี ด้วย ภาษาไทยเปน็ เคร่อื งมือถ่ายทอดความรู้และวัฒนธรรมไทย หลักศลิ ำจำรกึ เปน็ หลักฐำนสำคัญทท่ี ำให้คนไทยรุ่นต่อมำรู้ถึงประวตั ิศำสตร์ สงั คม และวฒั นธรรมในอดตี ของไทย กำรถำ่ ยทอดวฒั นธรรมและควำมรใู้ หแ้ กช่ นรุน่หลงั ยอ่ มอำศยั ภำษทง้ั สนิ้ กำรถำ่ ยทอดวฒั นธรรมไทยโดยใช้ภำษำไทย ย่อมให้ควำมซำบซึ้งย่ิงกว่ำภำษำอน่ื ภาษาใชส้ รา้ งสรรค์วรรณกรรม ศลิ ปะ คือ สมบัตอิ นั ล้ำค่ำของชำติ ศิลปะไทย เชน่ วรรณคดีวรรณกรรมต่ำงๆ ตลอดจนเพลงพืน้ บ้ำน ย่อมตอ้ งอำศัยภำษำเปน็ เครื่องสรำ้ งสรรค์ทงั้ ส้ิน ชำตไิ ทยมีศิลปะสงู สง่ทำงกำรประพันธ์ จนกล่ำวกนั ว่ำ “คนไทยเป็นกวโี ดยสำยเลอื ด” หำกเรำไมม่ ีภำษำไทย หรือต้องใชภ้ ำษำของชำติอ่ืนวรรณศิลปข์ องไทยอำจไม่เจรญิ งอกงำมถงึ เพียงน้ี คนไทยที่ไม่ตระหนักถงึ คุณคำ่ ของภำษำ มองข้ำมสนุ ทรยี ศิลปใ์ นข้อน้ี ย่อมสูญเสยี คุณค่ำส่วนหนงึ่ ของชวี ิตไปอย่ำงนำ่ เสียดำย8.ลักษณะเฉพาะของภาษาไทย ภำษำไทยมีลกั ษณะเฉพำะเปน็ ของตัวเองแตกต่ำงจำกภำษำอนื่ กำรท่ีจะใช้ประโยคใหไ้ ดผ้ ลสมควำมม่งุหมำย จะตอ้ งรู้จักลกั ษณะของภำษำอยำ่ งถ่องแท้ มิฉะนนั้ จะไมส่ ำมำรถหยบิ ยกหรอื เลือกถ้อยคำได้ถูกตอ้ ง ผะอบโปษกฤษณะ (2538: 17-31) ได้กลำ่ วถงึ ลกั ษณะเฉพำะของภำษำไทย ไวด้ ังนี้ ลักษณะเฉพำะของภำษำไทย มดี งั นี้8.1ภาษาไทยมีตัวอักษรเป็นของตนเองภำษำไทยเปน็ ภำษำท่ีมีอักษรเปน็ ของตนเอง อักษรของไทยท่ีใช้กนั ในปัจจบุ นั แบง่ ออกเปน็ 4 ชนิด คอืพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตวั เลข (กำชัย ทองหลอ่ , 2543 : 51)8.1.1ตวั อักษรแทนเสยี งแท้ คอื สระ ซ่งึ มเี สยี ง 32 เสียง มีรปู 21 รปู ไดแ้ ก่ะ- วิสรรชนีย์ ำ - ลำกขำ้ ง-ิ พินท์ุอิ ่ – ฝนทอง

10 - หยำดน้ำคำ้ ง “- ฟนั หนู ุ - ตีนเหยียด ู –ตีนคู้เ - ไมห้ นำ้ -็ ไม้ไตค่ ู้ โ – ไม้โออ- ตวั ออ - ไมห้ นั อำกำศ (หรอื ไมผ้ ดั )ย- ตวั ยอใ- ไมม้ ว้ น ว- ตวั วอฤ-รึ ไ- ไม้มลำยฦ-ลึ ฤำ-รึอ ฦำ-ลือ8.1.2 อกั ษรแทนเสยี งแปร คือ พยัญชนะ มี 44 ตัว ได้แก่กขฃคฅฆงจฉชซฌญฎฏฐฑฒณดตถทธนบปผฝพฟภมยรลวศษสหฬอฮ8.1.3 อักษรแทนเสียงดนตรี คอื วรรณยุกต์ มี 4 รูป 5 เสยี ง คือ่ ไม้เอก ้ ไม้โท๊ ไม้ตรี ไม้จัตวำ 8.1.4 ตัวอักษรแทนจำนวน คอื ตัวเลข ไทยมีตัวเลขเป็นของตวั เอง คอื ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ เปน็ เอกลกั ษณท์ ่คี วรจะรกั ษำไวอ้ ยำ่ งย่งิพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตัวเลขไทย เป็นสงิ่ ทีค่ นไทยควรเขยี นใหช้ ดั เจน8.2 ภาษาไทยแท้เปน็ ภาษาทมี่ ีพยางค์เดียวคำพยำงค์เดยี วออกเสียงสน้ั ชัดเจนมคี วำมหมำยทผ่ี ูฟ้ ังฟงั แล้วเขำ้ ใจทนั ทีตวั อย่ำง คำเรยี กเครอื ญำติ เช่น พ่อ แม่ ลงุ ป้ำ นำ้ อำ พี่ น้อง ปู่ ย่ำ ตำ ยำยคำกรยิ ำ เช่น ไป มำ เดิน นั่ง นอน พูด กิน ปีนคำเรียกช่อื สตั ว์ เช่น นก กำ เปด็ ไก่ หมู หมำ งู วัว ควำย เสอื ลิง ค่ำงคำเรยี กช่ือสง่ิ ของ เช่น เสือ้ ผ้ำ มีด หม้อ ถว้ ย ชำม ไร่ นำ

118.3 ภาษาไทยแทม้ ีตวั สะกดตามมาตรา มำตรำตวั สะกดมี 8 มำตรำ คอื คำไทยแทจ้ ะมตี วั สะกดตำมมำตรำและไมม่ กี ำรนั ต์ คือ แม่ ก ใช้ “ก” เปน็ ตวั สะกด แม่ ง ใช้ “ง” เป็นตัวสะกด แม่ ด ใช้ “ด” เปน็ ตวั สะกด แม่ น ใช้ “น” เปน็ ตัวสะกด แม่ บ ใช้ “บ” เปน็ ตวั สะกด แม่ ม ใช้ “ม” เปน็ ตวั สะกด แม่ ย ใช้ “ย” เปน็ ตวั สะกด แม่ ว ใช้ “ว” เปน็ ตวั สะกดตัวอย่ำง มำกมำย ขำดแคลน ข้ำวของ รว่ งโรย เย็นฉำ่ พบปะ คดิ ถงึ มำกมำยหมายเหตุ คำท่ไี ทยยืมมำจำกภำษำอน่ื จะสงั เกตไดจ้ ำกกำรเขยี นตวั สะกดตำมรปู เดิม ภำษำเดิม แตอ่ อกเสยี งตำมมำตรำตวั สะกดของไทย แม่กก ข ค ฆตัวอยำ่ ง เลข โรค เมฆแมก่ ด จ ช ซ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ทตัวอย่ำง กิจ รำช ก๊ำซ ชฏั รัฐ ครุฑ วัฒนำ พฆิ ำต รถ บำท พธุแมก่ บ ป พ ฟ ภตวั อยำ่ ง รูป ภำพ ปรฟู๊ ลำภแมก่ น ณ ญ ร ล ฬตวั อยำ่ ง คณุ อรัญ กำร กำล กำฬ 8.4 ภาษาไทยมีรูปสระวางไว้หลายตาแหน่ง ก.ข้ำงหน้ำพยญั ชนะ เช่น ไป เส แสรง้ ข.ขำ้ งหลังพยญั ชนะ เช่น จะ มำ ค.ขำ้ งบนพยัญชนะ เช่น ริ ดี ง. ท้งั ขำ้ งหนำ้ และขำ้ งหลงั เชน่ เขำ เธอ จ. ท้ังขำ้ งหนำ้ และข้ำงบน เช่น เป็น เสียง ติด 8.5 ภาษาไทยคาเดยี วกนั แตม่ คี วามหมายหลายอยา่ ง ภำษำไทยนน้ั เป็นภำษำคำโดด ถ้ำคำอยู่ตำ่ งท่ีหรอื เปล่ยี นท่ไี ป ก็จะมคี วำมหมำยเปลีย่ นไป ควำมหมำยจะข้ึนกบั บริบทท่แี วดลอ้ มอยู่ตวั อย่ำง เชำ้ วนั นฉี้ ันมีอำรมณ์ขนั เมือ่ ได้ยินไก่ขัน ในขณะท่ีกำลังใช้ขันตกั น้ำ คำวำ่ “ขนั ” ทง้ั 3 คำ มคี วำมหมำยแตกตำ่ งกนั ขนั คำที่ 1 เป็นคำวิเศษณข์ ยำยคำวำ่ อำรมณ์ คอื น่ำหัวเรำะ ขนั คำท่ี 2 เป็นคำกรยิ ำ คือ อำกำรร้องของไก่

12ขันคำท่ี 3 เปน็ คำนำม คือ ภำชนะตักหรอื ใส่นำ้ 8.6 ภาษาไทยมีความประณีต มคี ำทม่ี ีควำมหมำยหลกั เหมือนกนั แต่มคี วำมหมำยเฉพำะต่ำงกันตวั อยำ่ ง การทาใหข้ าดจากกนั – ตดั หัน่ แล่ เชือด เฉือน สบั ซอย การทาอาหารใหส้ ุก – ปง้ิ ยำ่ ง ตม้ ตุน นง่ึ ผัด ทอด คั่ว ผิง อบ บุพบทบอกสถานที่ (ตดิ กัน) – ใกล้ ชิด ตดิ แนบ ข้ำง กำรเลือกใชค้ ำในกำรเขียน กำรพูด ตอ้ งเลอื กใช้ใหถ้ ูกตอ้ ง ถำ้ เลอื กผิดควำมหมำยจะเปลี่ยนไปด้วยตวั อย่ำง เขำหัน่ หมู เขำสบั หมู 8.7 ภาษาไทยเปน็ ภาษาเรยี งคา ถ้ำเรียงเปล่ียนทหี่ รอื สบั ท่กี นั ควำมหมำยจะเปล่ยี นไป เชน่ 8.7.1 หล่อนเปน็ น้องเมยี ไม่ใช่เมยี นอ้ ง น้องเมีย หมำยถงึ น้องของเมยี (หรือนอ้ งภรรยำ) เมยี นอ้ ง หมำยถงึ เมยี ของนอ้ ง (ซ่ึงเปน็ ภรรยำของนอ้ งชำย) 8.7.2 เขำเปิดไฟรถวบู วำบเพรำะรบี ขับจะให้ทนั รถไฟ ไฟรถ หมำยถงึ ดวงไฟท่อี ย่หู นำ้ รถ รถไฟ หมำยถงึ รถโดยสำรชนิดหน่งึ ท่ีมลี ักษณะเปน็ ขบวนยำว ว่งิ ตำมยำว โดยปกตปิ ระโยคในภำษำไทยจะเรยี งลำดบั ประธำน (ผทู้ ำ) กริยำ (กริยำ) และกรรม (ผ้ถู กู กระทำ)ตวั อยำ่ ง ฉัน กนิ ขนม แม่ เลยี้ ง นอ้ ง ถำ้ มีบทขยำยโดยปกตจิ ะอยหู่ ลงั คำนน้ั ๆ เช่นตัวอย่ำง กระตำ่ ยขำวกินผกั บ้งุ สเี ขยี ว “ขำว” ขยำย กระตำ่ ย และ “สเี ขียว” ขยำย ผกั บงุ้ แต่ถ้ำจะมบี ทขยำยกรยิ ำ บทขยำยน้นั จะอยู่หลังกรรม หรอื อยทู่ ้ำยประโยคตัวอย่ำง หมูกนิ รำขำ้ วอย่ำงรวดเรว็ “อยำ่ งรวดเรว็ ” ขยำยกริยำ “กนิ ” และอยหู่ ลงั “ขำ้ ว” ซ่ึง เป็นกรรม 8.8 คาในภาษาไทยมีเสยี งสมั พันธก์ บั ความหมายตวั อยำ่ ง 8.8.1 คำที่ประสมสะเอ จะมคี วำมควำมหมำยในทำงท่ี “ไมต่ รง” เช่น เก เข เป๋ เซ เป็นตน้

13 8.8.2 คำท่ปี ระสมสระออ มี “ม” สะกด จะมีควำมหมำยไปทำงงอ หรอื โค้งเข้ำหำกนั เช่นอ้อม คอ้ ม น้อม ลอ้ ม เปน็ ตน้ 8.9 ภาษาไทยเป็นภาษาดนตรี หมำยถึงมกี ำรเปลย่ี นระดบั เสียงของคำ หรือทเ่ี รียกว่ำ “วรรณยกุ ต์ และภำษำไทยยังมเี สยี งสัมผสั ทส่ี ร้ำงควำมไพเรำะ ทำให้ภำษำไทยมีลกั ษณะพิเศษ คือ 8.9.1 มคี ำใช้มำกขน้ึ เมื่อเปล่ียนระดบั เสยี งวรรณยกุ ต์ เม่อื เปลีย่ นระดบั เสยี งก็เปล่ยี นควำมหมำย เชน่ตัวอย่ำง เสอื หมำยถึง น สัตวเ์ ล้ียงลุกดว้ ยนม ลักษณะคลำ้ ยแมวแตต่ วั โตมำก เป็นสัตว์กินเนอ้ื นิสัยค่อนขำ้ งดรุ ้ำย หำกนิ เวลำกลำงคนื เสื่อ หมำยถงึ น สำด, เครอื่ งสำนชนดิ หนึง่ สำหรบั ปนู งั่ และนอน เสื้อ หมำยถงึ น.เคร่อื งสวมกำยทอ่ นบนทำดว้ ยผ้ำเปน็ ต้น เรยี กขือ่ ตำ่ งๆกนั เชน่ เสอ้ื ก๊กั ,เสือ้ เชิ้ต 8.9.2 มคี วำมไพเรำะ เพรำะระดบั เสียงต่ำงๆของคำทำใหเ้ กดิ เปน็ เสียงดนตรี จดั อย่ใู นพวกภำษำดนตรี(Musical Language) ถ้ำผู้ใช้ภำษำรูจ้ กั เลือกคำให้เหมำะ จะเกดิ เสยี งไพเรำะ ทำใหผ้ ู้ฟงั เกดิ อำรมณ์ หรอื มองเหน็ภำพได้ง่ำย ดว้ ยเหตุนี้คนไทยสว่ นมำกจงึ สำมำรถประพันธบ์ ทรอ้ ยกรองได้ จนไดช้ ื่อวำ่ เปน็ คนเจำ้ บทเจำ้ กลอนเพรำะลกั ษณะของภำษำเอือ้ อยูแ่ ล้วตวั อยำ่ ง ชะโดดกุ กระดโ่ี ดด สลำดโลดยะหยอยหยอย กระเพอื่ มน้ำกระพร่ำพรอย กระฉอกฉำนกระฉอ่ นชล จำกตัวอย่ำงจะเห็นวำ่ กำรใช้เสยี งสงู ตำ่ สลับกันทำใหม้ ีควำมไพเรำะ ทำให้เกดิ มโนภำพชัดเจนเหมอื นกับเห็นปลำต่ำงๆกระโดดข้ึนลงในน้ำทม่ี ลี ะลอก 8.9.3 ภำษำไทยมจี งั หวะและควำมคลอ้ งจอง ไมว่ ่ำจะเป็นสำนวนหรือคำพงั เพยในภำษำไทยซ่ึงผูกขน้ึเปน็ ทำนองสง่ั สอนหรือเปรียบเทยี บ จะมีคำคล้องจองอยเู่ สมอตัวอย่ำง เขำ้ ตำมตรอก ออกตำมประตู รักดหี ำมจั่ว รักชวั่ หำมเสำ ปำกวำ่ ตำขยิบ ขำ้ วยำกหมำกแพง 8.9.4 ภำษำไทยเลยี นเสยี งธรรมชำติและเสียงคำจำกภำษำอ่นื ได้ทุกภำษำ เพรำะเรำมเี สยี งวรรณยกุ ต์ถึง 5 เสียงตัวอยำ่ ง 8.9.4.1 เลยี นเสยี งภำษำต่ำงประเทศ เต้ำเจย้ี ว ตั้งฉ่ำย (จีน) ฟุตบอล วอลเลย์บอล (อังกฤษ) ซงั ตมิ กำแฟ (ฝรงั่ เศส) ฟจู ิ ปน่ิ โต (ญี่ป่นุ )

14ตวั อยำ่ ง 8.9.4.2 เลยี นเสียงธรรมชำติ ระฆังดังเหงง่ หง่าง ฟ้ำรอ้ งครืนๆ ลูกไกร่ อ้ งเจย๊ี บๆ ฝนตกจกั้ ๆ8.10 ภาษาเขียนมีวรรคตอน ภาษาพดู มีจังหวะ ด้วยเหตทุ ภี่ ำษำไทยมวี ิธกี ำรเขยี นคำตอ่ กัน ไมม่ กี ำรเวน้ ระยะระหวำ่ งคำ ตอ่ เม่ือจบควำมจงึ มกี ำรเวน้ วรรควรรคตอนจงึ เป็นเร่อื งท่สี ำคัญในภำษำไทย ในกำรเขยี นถ้ำเว้นวรรคตอนผดิ ทำให้เสยี ควำมหรือควำมหมำยเปลยี่ นไปในกำรพูดกต็ อ้ งเว้นจงั หวะใหถ้ กู ท่ีเช่นเดียวกัน ถ้ำหยุดผดิ จงั หวะ ควำมหมำยกเ็ ปล่ียนไปตัวอย่ำง ก. พูดไปสองไพเบีย้ นิ่งเสยี พันตำลึงทอง - น่งิ เสยี ดกี ว่ำพดู พดู ไปสองไพเบี้ย นงิ่ เสียพันตำลงึ ทอง - ย่ิงนงิ่ ยิ่งเสยี หำยมำก ข. รำคำขำ้ วตกลงเกวียนละ 450 บำท - รำคำท่ีตกลงกันเกวียนละ450 บำท รำคำข้ำวตก ลงเกวียนละ 450 บำท - รำคำขำ้ วลดลง เกวยี นละ 450 บำท8.11 ภาษาไทยเปน็ ภาษาทม่ี ลี กั ษณนาม ลักษณนำม คือ นำมท่บี อกลกั ษณะของนำมขำ้ งหน้ำ ซงึ่ เปน็ สิง่ ทเี่ รำผ้เู ป็นเจ้ำของภำษำควรจะใช้ให้ถกู ต้อง 8.11.1 ลักษณนำมใชต้ ำมหลงั จำนวนนบั เพอื่ บอกใหร้ ลู้ กั ษณะต่ำงๆกันของนำมนัน้ตวั อยำ่ ง ผ้ำ 2 ผืน ผำ้ 2 ม้วน ผ้ำ 2 พบั ผ้ำ 2 ตั้ง 8.11.2 ใชห้ ลงั นำมเม่อื ต้องกำรเน้นและบอกให้รลู้ ักษณะตวั อยำ่ ง ฉนั ตอ้ งกำรแหวนวงนัน้ นำ้ อดั ลมขวดใหญร่ ำคำกบี่ ำท 8.12. ภาษาไทยเปน็ ภาษาที่มีระดับของคา 8.12.1ราชาศพั ท์ ชำติไทยเป็นชำติท่ีมวี ัฒนธรรมสูงสง่ มำแต่โบรำณ ได้รับกำรยกยอ่ งไปในนำนำประเทศทม่ี สี มั พนั ธไมตรีกบัไทย โดยเฉพำะในเรื่องกำรเคำระผอู้ ำวุโส ซงึ่ แสดงออกทง้ั ทำงกริ ยิ ำมำรยำท และกำรใชภ้ ำษำ บุคคลในสงั คมยอ่ มต่ำงกนั ด้วยวยั วฒุ ิ ลำดับญำติ ลำดับชน้ั ปกครอง ฯลฯ ภำษำไทยมีอจั ฉรยิ ะลกั ษณะหน่งึ คือ กำรใช้คำเหมำะแกบ่ คุ คลจนมีผกู้ ลำ่ วว่ำ “คนไทยพดุ กนั แม้ไมเ่ ห็นตวั กท็ รำบได้ทนั ทีวำ่ ผพู้ ดุ ผ้ฟู งั เปน็ หญงิ หรอื ชำย เดก็ หรอื ผู้ใหญ่” ทั้งน้ีเพรำะกำรใชถ้ อ้ ยคำเหมำะแกบ่ คุ คลนนั้ จะบง่ บอกไวอ้ ย่ำงชดั เจน เป็นควำมงดงำมท้ังในภำษำ วัฒนธรรม และสงั คมในทำงภำษำจะไดเ้ หน็ ศลิ ปะของกำรใชภ้ ำษำ ในทำงสังคมจะไดเ้ ห็นวฒั นธรรมทำงขนบประเพณี

15 ความเป็นมาของคาราชาศพั ท์ ประเทศไทยเปน็ ประเทศทม่ี พี ระมหำกษัตริย์ปกครองมำกกวำ่ 700 ปี พระบำรมีของพระมหำกษัตริย์ปกปอ้ งใหป้ ระเทศไทยเปน็ เอกรำชตลอดมำ ประชำชนชำวไทยจึงได้รบั ควำมรม่ เยน็ เป็นสขุ มำจนเท่ำทกุ วนั นี้ คนไทยเทดิ ทนู พระมหำกษตั รยิ เ์ หนอื สง่ิ อน่ื ใดดว้ ยสำนกึ ในพระมหำกรณุ ำธคิ ณุ เปน็ ลน้ พน้ จึงคิดถ้อยคำท่จี ะใชก้ ับพระองค์ใหผ้ ดิ แตกตำ่ งไปจำกบคุ คลสำมญั เลอื กสรรถอ้ ยคำอนั ไพเรำะ ใชเ้ ฉพำะพระเจำ้ แผน่ ดนิ หรือพระรำชำศัพท์เหลำ่ นนั้ จงึ เปน็ ภำษำท่งี ดงำม และเรยี กกนั วำ่ “รำชำศพั ท์” หมำยควำมว่ำ คำท่ีใชส้ ำหรบั พระรำชำ ความหมาย “รำชำศัพท์” เดมิ หมำยถึงคำเฉพำะทใี่ ช้สำหรบั พระเจ้ำแผน่ ดนิ ดว้ ยเหตุทีค่ นไทยเคำรพและเทิดทูนพระองค์ท่ำนยงิ่ ลน้ รวมทั้งเคำรพและเทิดทนู พระรำชวงศ์ดว้ ย ประกอบกบั วฒั นธรรมทำงภำษำของเรำมกี ำรใชถ้ ้อยคำเหมำะแก่ชั้นของบคุ คลแลว้ จึงใช้ถ้อยคำใหล้ ดหลั่นลงมำตำมลำดบั รวมเรียกวำ่ “รำชำศัพท์” เชน่ เดียวกนั ตอ่ มำก็ครอบคลมุ ไปถงึ ศัพท์ที่ใช้กับบคุ คลธรรมดำ ภำษำรำชกำร และภำษำสุภำพด้วย คำ “รำชำศพั ท์” จงึ มีควำมหมำยถึง“ศัพท์” หรือคำทใ่ี ช้เหมำะแกบ่ ุคคลช้นั ตำ่ งๆ ความสาคัญของราชาศัพท์ 1.ดา้ นภาษา แสดงศลิ ปะของกำรใชภ้ ำษำ ในกำรเลอื กถอ้ ยคำทีง่ ดงำม ภำษำไพเรำะเปน็ ภำษำทำงวรรณคดี 2. ด้านสังคม แสดงขนบธรรมเนียมประเพณที ม่ี ีจิตใจสงู และควำมผูกพนั ทำงจติ ใจท่มี ีตอ่ กัน ภำษำกับสงั คมมีควำมสมั พนั ธ์กัน รำชำศพั ทเ์ ปน็ ศลิ ปะของภำษำทีค่ วรจะรกั ษำไว้ กำรใชร้ ำชำศพั ท์ทีถ่ กู ต้องเป็นศกั ดิ์ศรขี องผใู้ ช้ และยงั ได้ช่อื วำ่ เปน็ ผรู้ ักษำวัฒนธรรมทำงภำษำ ซึง่ เป็นเอกลักษณ์ของชำติ 8.12.2 คาบอกลักษณะโดยเฉพาะตัวอยา่ ง ล้าง = ทำใหส้ ะอำด ชำระดว้ ยน้ำ ใชก้ บั ของทัว่ ๆไป แต่เม่ือใชก้ ับ “ผม” ต้องใช้ “สระผม” เมื่อใชก้ บั “เสอื้ ผำ้ ” ต้องใช้ “ซักเสอื้ ผ้ำ” ความมชี ือ่ เสียง = ในทำงดี = ลือชำปรำกฏ โด่งดัง ในทำงไม่ดี = ออ้ื ฉำว กระฉ่อน 8.12.3 ภาษาธรรมดากบั ภาษากวี คำบำงคำทไ่ี ทยนำมำจำกภำษำอ่นื มคี วำมหมำยอยำ่ งเดยี วกับคำไทย จะนำมำใช้ในภำษำธรรมดำไม่ได้ คงใช้แต่ในคำประพันธเ์ ทำ่ น้ันตวั อย่ำง หญิง - สตรี กำนดำ กัลยำ นงนชุ นชุ นำฎ พนิต ยุพยง เยำวเรศ บงั อร อนงค์ ฯลฯ

16 อำทิตย์ - ตะวัน ไถง ทินกร ทิพำกร ภำณุมำศ สรุ ยี ์ รวิ อำภำกร สรุ ยิ นั ฯลฯ 8.13 ภาษาไทยมคี าพ้องเสียงและพอ้ งรูป คาพ้องเสยี ง หมำยถงึ คำที่มีเสียงเหมอื นกัน แตค่ วำมหมำยและกำรเขยี นตำ่ งกนั เช่น กำน หมำยถึง ตัดให้เตยี น กำฬ หมำยถงึ ดำ กำล หมำยถึง เวลำ กำร หมำยถงึ กจิ งำน ธรุ ะ กำรณ์ หมำยถงึ เหตุ กำนต์ หมำยถงึ เปน็ ทรี่ ัก กำนท์ หมำยถึง บทกลอน กำญจน์ หมำยถึง ทอง หรือ สัน หมำยถึง สิ่งทมี่ ีลกั ษณะนูนสงู สรร หมำยถงึ เลือก สรรพ์ หมำยถงึ ทงั้ หมด สรรค์ หมำยถงึ สรำ้ ง สันต์ หมำยถงึ สงบ สนั ทน์ หมำยถงึ พดู จำ คาพอ้ งรปู หมำยถงึ คำที่มรี ปู เหมอื นกนั แตอ่ อกเสยี งตำ่ งกนั และมีควำมหมำยต่ำงกันตวั อย่ำง เพลำ เพ-ลำ หมำยถงึ เวลำ เพลำ หมำยถงึ เบำๆ หรอื แกนทสี่ อดในดมุ ลอ้ รถ เรอื โคลงเพรำะโคลง อำ่ นวำ่ เรือโคลงเพรำะโค-ลง 8.14 ภาษาไทยมักละคาบางคา กำรละคำบำงคำทำให้ประโยคบำงประโยคมีควำมหมำยไมแ่ น่ชัด อำจทำให้เขำ้ ใจเป็นสองทำงตัวอย่ำง โต๊ะสองตวั นี้ของเธอ โต๊ะของเธอสองตวั น้ี สองตวั น้โี ต๊ะของเธอ - ละคำว่ำ “คอื ” หรอื “เปน็ ” ฉนั ไปโรงเรียนเวลา 8.00 น. - ละคำบพุ บท “ท่ี” หรือ “ถงึ ” จำกตวั อยำ่ ง กำรละคำไว้ในฐำนทีเ่ ขำ้ ใจทำให้เกิดควำมสบั สนในกำรใช้ภำษำได้ง่ำย

178.15 ภาษาพูดมีคาเสรมิ แสดงความสุภาพภำษำพดู มีคำเสรมิ ทำ้ ยประโยคตัวอย่ำง คำแสดงควำมสุภำพ เช่น เถดิ ซิ นะ จ๊ะ คะ ครับแสดงควำมรสู้ ึก เช่น นะจ๊ะแสดงควำมไมส่ ุภำพ เชน่ โวย้ วะ8.16 การลงเสยี งหนักเบาทาให้หน้าท่ขี องคาเปลีย่ นไปกำรออกเสียงในภำษำไทยทม่ี ีเสยี งหนักเบำไมเ่ ท่ำกันทกุ พยำงค์ ทั้งท่เี ป็นคำไทยแทแ้ ละคำที่มำจำกภำษำอ่นืตวั อยำ่ ง กะทิ “กะ” เสยี งเบำกวำ่ “ทิ”กำรลงเสียงหนักเบำสำคญั อย่ทู ี่ “ควำม”ถำ้ คำนัน้ มีควำมหมำยชดั แจง้ ต้องลงเสียงหนักทกุ พยำงค์สะ = สุมไว้ รวบรวมไว้สะสม = รวบรวมไวใ้ ห้มำกขึ้นเรอื่ ยๆสะสำง = ทำสิ่งท่ีรวบรวมไว้หำยหำยยงุ่กำรลงเสยี งหนกั เบำยังอำจแยกให้เหน็ ควำมหมำยทีแ่ ตกตำ่ งกนั ได้ เพรำะทำหน้ำทผ่ี ดิ กันตวั อย่ำง ก. ถ้ำมนั เสียก็แกเ้ สียให้ดี“เสีย” คำแรก เป็นคำกริยำ ลงเสยี งหนัก หมำยถงึ “เสอื่ มคุณภำพ”“เสีย” คำหลงั เสยี งเบำ เปน็ คำวเิ ศษณเ์ สริมเพ่ือเนน้ ควำมหมำย “ใหเ้ สรจ็ ไป”ข. ขำ้ วเยน็ หมดแล้ว หมำยถงึ ข้ำวไม่รอ้ นแล้ว เน้นทีค่ ำวำ่ “เยน็ ”ขำ้ วเย็นหมดแล้ว หมำยถึง ข้ำวที่มีลกั ษณะเย็นไมม่ ีแลว้ เนน้ ท่คี ำวำ่ “หมด”วนั นฉ้ี ันไปกนิ ขา้ วเย็นดว้ ย หมำยถงึ ข้ำวมือ้ เย็นในกำรพดู จงึ ตอ้ งระมัดระวงั ในกำรออกเสียงหนกั เบำใหถ้ ูกตอ้ ง8.17 การสรา้ งคาในภาษาไทยมลี กั ษณะพเิ ศษภำษำทกุ ภำษำย่อมมกี ำรสรำ้ งคำใหม่อยเู่ สมอ เม่อื สงั คมกว้ำงขึ้น ภำษำกต็ ้องขยำยตัวไปตำมควำมตอ้ งกำรของมนษุ ย์ จงึ ทำใหม้ ีคำในภำษำเปน็ อนั มำก8.17.1 เกดิ จำกกำรแปรเสียง คือเปลีย่ นเสยี งเดมิ ให้เพ้ียนไป เสยี งเปล่ียนไป ควำมหมำยกเ็ ปลย่ี นไปด้วย ทำใหม้ ีคำเพม่ิ ในภำษำตวั อย่ำง โซก – โชก ชมุ่ -ชอุม่8.17.2 เกดิ จำกกำรเปลยี่ นเสยี ง คือ คำคำเดียวกันแต่เปลย่ี นเสยี งให้ตำ่ งกัน กม็ ีควำมหมำยตำ่ งกนัตัวอยำ่ ง ก. วิธี หมำยถงึ ทำนองหรือหนทำงทจ่ี ะทำ กฎเกณฑ์ ธรรมเนียม พธิ ี หมำยถึง แบบอย่ำง ธรรมเนยี มข. ฐำน หมำยถึง ทีต่ ั้ง แทน่

18 ฐำนะ หมำยถึง ตำแหน่ง หลกั แหลง่8.17.3 เกิดจำกกำรประสมคำ คือ นำคำมำรวมกันแล้วเกดิ ควำมหมำยอีกอยำ่ งหน่งึตวั อย่ำง ตู้ + เยน็ เป็น ตู้เย็น พดั +ลม เป็น พัดลม ผ+ี เสอื้ เปน็ ผเี ส้อื8.17.4 เกิดจำกกำรเปล่ียนตำแหนง่ คำ กำรเปลยี่ นตำแหนง่ ของคำ ย่อมทำใหค้ วำมหมำยเปล่ียนไปตวั อยำ่ ง ไขไ่ ก่ – ไกไ่ ข่ เดนิ ทำง – ทำงเดิน ใจร้อน - รอ้ นใจ 8.17.5 เกดิ จำกกำรแปรควำม คือ ขยำยควำมหมำยของคำใหเ้ พมิ่ ขึ้น เกิดเป็นคำท่ีมคี วำมหมำยมำกข้นึตวั อย่ำง เดนิ หมำยถงึ ก. เคลอื่ นไป ก้ำวหน้ำไป ไปดว้ ยกำลงั ตำ่ งๆ เชน่ คนเดนิ , นำฬิกำเดิน ซ่งึ เมือ่ รวมกับคำอ่ืนควำมหมำยแปรไป เดินเหนิ หมำยถงึ วิ่งเต้นขอควำมชว่ ยเหลือ เดินแตม้ หมำยถงึ ใช้วธิ แี ยบคำย เดินสะพดั หมำยถึง กระแสรำยวนั 8.17.6 เกดิ จำกกำรเปล่ียนควำม คอื ควำมหมำยอยำ่ งหน่งึ แลว้ เปลีย่ นตำมนยั ของคำนั้น เช่นตวั อยำ่ ง นยิ ำย นยิ ำย – เร่อื งทเ่ี ลำ่ ต่อๆกันมำ นยิ ำย - กำรพดู เทจ็ กระโถน กระโถน – ภำชนะทร่ี องรับของทต่ี ้องกำรทิง้ กระโถน – ผ้ทู ่ีตอ้ งรบั รทู้ กุ อยำ่ งไม่ว่ำทำงดีหรอื ทำงเสีย 8.17.7 เกิดจำกกำรกำรนำคำภำษำอืน่ มำใช้ ด้วยเหตุทช่ี ำตหิ นงึ่ ตอ้ งมคี วำมสมั พันธ์กับชำตอิ น่ื ๆ เชน่ ทำงศำสนำ สงครำม กำรค้ำ ฯลฯ ควำมสัมพนั ธ์ในภำษำย่อมเกดิ ตำมดว้ ย ไทยเรำเคยมคี วำมสัมพนั ธ์กบั จีน เขมรโปรตเุ กส องั กฤษ ฝรัง่ เศส อนิ เดีย ฯลฯ จงึ มีคำเหลำ่ นเี้ ขำ้ มำปะปนในภำษำไทย บำงทกี เ็ สียงเดิม บำงทีก็แปลงให้เข้ำกบั เสยี งของไทยตวั อยำ่ ง กวยเตี๋ยว (จีน) เสวย (เขมร) เขต ธรรม (บำลสี ันสกฤต)8.17.8 เกิดจำกกำรคดิ คำข้นึ ใหม่ กำรบญั ญตั คิ ำข้นึ ใหม่ บำงทีกอ็ ำศัยเสียงธรรมชำตหิ รือรูปร่ำง บำงทกี อ็ ำศยัศัพทใ์ นภำษำอื่นตวั อย่ำง โทรทัศน์ ไฟฟำ้ กิจกรรม พฤติกรรม คุณค่ำ

19เอกสารอ้างอิงกำชัย ทองหล่อ. 2554. หลักภาษาไทย. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 53. กรงุ เทพฯ: บริษัท รวมสำสน์ (1977) จำกดั .จงชยั เจนหัตถกำรกจิ . 2551. หลกั ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: บริษัท ธนำเพรส จำกัด.จนั ทรเพญ็ ศิรพิ ันธ.ุ 2551. การใชภาษาไทย. ชมุ พร : สถำบันกำรพลศึกษำวทิ ยำเขตชุมพร.นภิ ำพรรณ ศรีพงษ.์ 2551. หลกั ภาษาไทย. นครรำชสมี ำ: มหำวิทยำลยั เทคโนโลยรี ำชมงคลอสี ำน นครรำชสีมำ.ปรีชำ ทิชนิ พงศ.์ 2522. ลักษณะภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.์ผะอบ โปษกฤษณะ.2538. ลกั ษณะเฉพาะของภาษาไทย. พิมพค์ รงั้ ท่ี 5. กรงุ เทพฯ: บริษัท รวมสำสน์ (1977) จำกัด.รำชบัณฑิตยสถำน.2556.พจนานกุ รมราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554. กรงุ เทพฯ: นำนมบี ๊คุ ส์พบั ลเิ คชั่นส.์ .วิจินตน์ ภำณุพงศ์.2520. โครงสรา้ งของภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : มหำวิทยำลยั รำมคำแหง.

20บทที่ 2 เสียง1.ความหมายของเสยี ง คำวำ่ เสยี ง พจนำนกุ รมฉบบั รำชบณั ฑิตยสถำนพ.ศ. 2554 (2556:1263) ไดใ้ หค้ วำมหมำยว่ำ สง่ิ ทร่ี บั รดู้ ้วยหู เชน่ เสยี งฟำ้ รอ้ ง เสยี งเพลง เสยี งพูด เสียงในภำษำ หมำยถงึ เสยี งของมนุษย์ทเี่ ปล่งออกมำเพื่อใชส้ ื่อควำมหมำย เพอ่ื ถ่ำยทอดควำมรู้ เรอ่ื งรำวควำมตอ้ งกำร อำรมณ์ ควำมรู้สกึ ตำ่ งๆใหผ้ ู้ฟงั เขำ้ ใจควำมประสงคข์ องผู้พดู ดงั นั้นเสยี งในภำษำจึงตอ้ งมีควำมหมำยอนั เปน็ ทเี่ ข้ำใจตรงกนั ระหวำ่ งมนษุ ย์ทอี่ ยรู่ ่วมในสงั คมเดียวกัน2.อวยั วะทใี่ ชใ้ นการออกเสยี ง กำญจนำ นำคสกลุ (2556:22-27) ได้กลำ่ วถงึ อวยั วะทใ่ี ช้ในกำรออกเสียงพูดแบง่ เปน็ 2 พวก คอื 2.1 อวยั วะทเี่ ป็นส่วนกระทาอาการ อวัยวะทเี่ ป็นสว่ นกระทาอาการ (articulators) หมำยถึงอวยั วะส่วนทเ่ี คลอ่ื นไหวเพื่อผลักลมไปยงั ตำแหน่งตำ่ งๆ อวัยวะตวั กระทำกำรทส่ี ำคัญ คอื ล้ิน ซง่ึ เคล่อื นไหวไดม้ ำกทีส่ ุด บำงคนเรียกอวัยวะสว่ นน้วี ่ำ กรณ์ 2.2 อวัยวะทเ่ี ป็นตาแหน่งทเี่ กิดเสียงตา่ งๆ อวยั วะท่ีเปน็ ตาแหนง่ ทเี่ กิดเสยี งตา่ งๆ (point of articulation) หมำยถึง ตำแหนง่ หรอื ฐำน ทีเ่ กิดของเสียงต่ำงๆ เชน่ ริมฝปี ำก ฟัน เพดำนส่วนต่ำงๆ เปน็ ตน้ บำงคนเรยี กอวยั วะส่วนนี้วำ่ ฐานรปู ที่ 1 อวัยวะทใี่ ชใ้ นกำรออกเสยี งพูด

21 อวยั วะสว่ นทีม่ หี นำ้ ทีโ่ ดยตรงในกำรออกเสยี งพดู มีลกั ษณะสำคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี1.รมิ ฝปี าก เปน็ อวยั วะส่วนที่เคลอ่ื นไหวไดม้ ำก และทำใหเ้ สยี งแตกตำ่ งกนั ไดม้ ำก เรำอำจะบังคบั รมิ ฝีปำกใหส้ นทิ ให้เปิดเล็กน้อย ใหเ้ ปิดกวำ้ งขึ้น ให้ยน่ื ออกมำ ใหห้ อ่ กลมหรอื ทำเป็นรปู รกี ไ็ ด้ ลักษณะต่ำงๆของริมฝีปำกล้วนมผี ลตอ่ กำรออกเสียง และกำรทำใหเ้ สียงแตกตำ่ งกนั ไปทง้ั ส้นิ2.ฟนั เป็นอวยั วะทเ่ี ป็นฐำนหรือตำแหนง่ ทเ่ี กดิ ของเสียงหลำยชนิด เช่น เมอ่ื ฟันบนกดลงบนริมฝีปำกล่ำง ลมทผ่ี ่ำนออกมำโดยแรงจะลอดชอ่ งทพ่ี อจะผำ่ นได้ออกมำ ทำให้เกดิ เป็นเสียงชนิดทเี่ รียกวำ่ เสยี งเสียดแทรกที่เกิดท่ีระหวำ่ งฟันกบั รมิ ฝปี ำก ถำ้ ฟนั บนกดกบั ฟันล่ำง ลมทผี่ ำ่ นออกมำโดยแรงจะทำใหไ้ ดเ้ สยี งเสียดแทรกที่เกิดทฟ่ี ัน เป็นต้นนอกจำกนปี้ ลำยลิน้ จงึ มักจะทำอำกำรตำ่ งๆบรเิ วณฟนั และหลังฟนั ทำใหเ้ กิดเสียงทเ่ี รียกวำ่ เสียงเกดิ ท่ีฟัน (dentalsound)3.ปมุ่ เหงอื ก (alveolus) เปน็ ส่วนท่ีนูนออกมำตรงบรเิ วณหลงั ฟันด้ำนบน ถำ้ เอำลนิ้ แตะดจู ะรสู้ ึกว่ำมลี ักษณะเปน็คลืน่ ลิน้ อำจจะแตะหรือวำงอยใู่ กลบ้ ริเวณป่มุ เหงอื ก ซ่งึ ทำใหเ้ กดิ เสยี งปมุ่ เหงือก (alveolar sound) ปมุ่ เหงือกนับเป็นตำแหนง่ หรอื ฐำนสำคัญในกำรออกเสยี งพูดตำแหนง่ หน่งึ4.เพดานแขง็ หรือเพดานปาก (palate) หมำยถึงเฉพำะเพดำนส่วนทโี่ ค้งเป็นกระดกู แข็ง เพดำนแข็งเป็นตำแหนง่สำคัญอกี ตำแหนง่ หนงึ่ ในกำรอธิบำยที่เกดิ ของเสียง5.เพดานออ่ น (velum) คือ สว่ นของเพดำนท่ีอยู่ต่อเพดำนแขง็ เข้ำไปข้ำงใน มีลักษณะเป็นกระดกู ออ่ นท่ีขยบั ขน้ึ ลงได้เลก็ นอ้ ย เวลำหำยใจเพดำนออ่ นและลิน้ ไก่ซงึ่ อยปู่ ลำยเพดำนอ่อนจะลดระดบั ลงมำเปดิ ช่องใหล้ มออกไปทำงจมูกฉะนัน้ เวลำทเี่ รำไม่พดู เพดำนอ่อนและลิ้นไกจ่ ะลดระดับลงมำ เวลำพดู ส่วนใหญเ่ พดำนออ่ นและล้ินไก่จะถูกยกขนึ้ ไปจดกบั ผนงั คอ ในเวลำออกเสยี งนำสิกเทำ่ นั้นทเี่ พดำนอ่อนจะลดระดบั ลงมำเพ่อื ใหล้ มออกไปทำงจมูกได้6.ลน้ิ ไก่ (uvula) เป็นกอ้ นเน้อื เลก็ ๆอยตู่ ่อปลำยเพดำนออ่ นตรงกลำงปำก สนั่ รัวได้7.ช่องจมูก (nasal cavity) หมำยถงึ โพรงในช่องจมกู ซง่ึ อยู่เหนือลิน้ ไก่ขึ้นไปเปน็ ช่องท่ีลมซึ่งผำ่ นเสน้ เสยี งขึ้นมำจะผำ่ นออกไปทำงจมกู ได้เมื่อเวลำหำยใจและเวลำออกเสียงนำสิก ในเวลำเปลง่ เสยี งอ่นื ๆ ล้นิ ไกจ่ ะถูกยกข้ึนไปปิดชอ่ งจมกู เพื่อใหล้ มออกมำทำงชอ่ งปำก8.ลนิ้ (tongue) เปน็ สว่ นทเ่ี คลื่อนไหวได้มำกทสี่ ดุ ในกำรออกเสียงพูด ส่วนทเี่ คล่อื นไหวของลนิ้ แต่ละสว่ นมผี ลตอ่ กำรออกเสยี ง เรำจงึ แบ่งลนิ้ ออกเปน็ 3 สว่ นดว้ ยกนั ตำมหน้ำทีท่ มี่ ใี นกำรออกเสียง คือ 8.1 ปลายลน้ิ (tip of the tongue) หรอื ล้ินสว่ นปลำยสุด หมำยเอำส่วนปลำยของลิ้น ซง่ึ สำมำรถจะยกขน้ึไปแตะอวยั วะส่วนตำ่ งๆในปำกตอนบนไดโ้ ดยงำ่ ย

22 8.2 หน้าลนิ้ (blade of the tongue) หรือ ล้ินสว่ นหน้ำ หมำยเอำลน้ิ สว่ นทอี่ ยูต่ รงขำ้ มกับเพดำนแขง็ อย่ำงในขณะที่ไมไ่ ด้พูด 8.3 หลังลน้ิ (back of the tongue) หรือล้นิ ส่วนหลัง หมำยเอำสว่ นของลน้ิ ซงึ่ ถ้ำวำงล้ินรำบกบั ปำกตำมปกติจะอยู่ตรงข้ำมกบั เพดำนออ่ น9.แผ่นเนื้อปากหลอดลม (Epiglottis) หรือ ลิ้นปิดกลอ่ งเสียง เป็นกอ้ นเน้ือเล็กๆคล้ำยลิน้ ไกอ่ ยู่ตอ่ โคนลนิ้ ลงไปในลำคอ มีหนำ้ ท่ีปดิ เปดิ ชอ่ งหลอดลมเพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หอ้ ำหำรตกลงไปในหลอดลม ในเวลำทกี่ ลนื อำหำร แผน่ เนอ้ื ปำกหลอดลมจะผิดลงให้อำหำรผ่ำนไปลงหลอดอำหำร เมอื่ พดู แผ่นเนือ้ นจ้ี ะเปดิ ออก หำกพูดในขณะจะกลืนอำหำร ลมที่ออกมำจะดนั ให้แผ่นกล้ำมเน้อื นเ้ี ปิดออก อำหำรอำจตกลงไปในชอ่ งหลอดลม ทำใหส้ ำลกั ได้10.โพรงคอ (pharynx) หมำยถงึ โพรงซง่ึ อยูถ่ ดั จำกปำกลงไปจำกช่องปำกจนถงึ เสน้ เสยี งหรอื สำยเสียง11.เสน้ เสียง หรือสายเสียง (vocal cords) เปน็ อวัยวะสำคญั ท่ที ำใหเ้ กิดเสยี ง เสน้ เสยี งมลี ักษณะทปี่ ระกอบด้วยเสน้เอ็นและกล้ำมเนอ้ื เปน็ แผ่น 2 แผ่น เสน้ เสยี งทงั้ สองวำงขวำงอย่ตู รงกลำงกล่องเสยี ง กลอ่ งเสยี ง คอื ส่วนทอี่ ยู่เหนือหลอดลมขน้ึ มำ ตรงที่เรำเรยี กวำ่ ลกู กระเดือก กล่องเสียงประกอบด้วยกระดูกอ่อนหลำยส่วนด้วยกัน ส่วนที่อยู่ด้ำนหน้ำ คือ กระดกู ออ่ นไทรอยด์ (thyroid cartilage) ปลำยดำ้ นหนง่ึ ของเสน้ เสยี งทัง้ สองจะเชือ่ มอยกู่ บั กระดูกออ่ นไทรอยดน์ ้แี ละอยูช่ ิดกัน ปลำยอกี ดำ้ นหนง่ึ ของเสน้ เสยี งท้งั สองจะเช่อื มอย่กู บั กระดูกอ่อน อำรติ นิ อยด์(arytenoid cartilages) ซ่ึงเป็นกระดูกออ่ นอีก 2 ชน้ิ กระดกู ออ่ นอำรติ ินอยดก์ ับปลำยเสน้ เสียงดำ้ นทแี่ ยกหำ่ งจำกกันไดน้ ีจ้ ะอยทู่ ำงดำ้ นหลงั กระดูกอ่อนอำริตินอยดแ์ ละกลำ้ มเนือ้ ในกล่องเสียง จะทำใหเ้ ส้นเสียงทง้ั สองอยชู่ ดิ ตดิ กันหรอื หำ่ งจำกกนั ได้ เมื่อเส้นเสียงอยหู่ ่ำงจำกกันจะเกิดเป็นชอ่ งสำมเหลยี่ ม ซ่งึ เป็นทำงใหล้ มผ่ำนเข้ำไปถงึ ปอดหรือผ่ำนออกมำจำกปอดได้ ชอ่ งนี้เรียกวำ่ ชอ่ งวำ่ งระหว่ำงเสน้ เสยี ง (glottis) ซ่งึ โดยปกตเิ สน้ เสยี งของผูช้ ำยจะยำวกว่ำของผหู้ ญงิ3.เสียงในภาษา กำชัย ทองหลอ่ (2554:50) ไดก้ ล่ำวถึงเสยี งในภำษำจำแนกออกเป็น 3 ชนดิ คอื 1.) เสยี งสระ หรอื เสียงแท้ 2.) เสียงพยัญชนะ หรอื เสียงแปร 3.) เสยี งวรรณยกุ ต์ หรือเสียงดนตรี1. เสยี งสระ (เสียงแท้) คือ เสยี งทเ่ี ปลง่ ออกมำจำกลำคอโดยตรง ไม่ถูกสกดั กั้นด้วยอวัยวะสว่ นใดในปำก แล้วเกิดเสยี งกอ้ งกงั วำน และออกเสยี งไดย้ ำวนำน ซ่ึงเสียงสระในภำษำไทยแบ่งออกเป็น 3 ชนดิ คอื 1.1 สระเดี่ยวหรือสระแท้ มีจำนวน 18 เสียง ได้แก่สระเสยี งส้นั (รสั สระ) ไดแ้ ก่ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ โอะ เอำะ เออะ

23สระเสียงยำว (ทฆี สระ) ไดแ้ ก่ อำ อี อือ อู เอ แอ โอ ออ เออสระเด่ียวแบ่งออกเป็น 1.1.1 สระแทฐ้ านเดียว ได้แก่ สระแทท้ ม่ี เี สยี งเปลง่ ออกมำกระทบฐำนใดฐำนหนึ่งในปำกเพยี งฐำนเดยี ว มี 8 เสียง คือสระเสยี งสั้น (รสั สระ) สระเสียงยาว(ทีฆสระ) ลมกระทบฐาน อะ อำ คอ อิ อึ อี เพดำน อุ อือ ป่มุ เหงอื กหรอื ฟนั อู รมิ ฝีปำก1.1.2 สระแท้สองฐาน ได้แก่ สระแทท้ เ่ี สียงเปล่งออกมำกระทบสองฐำนพรอ้ มกันมี 10 เสียง คือสระเสยี งสั้น (รัสสระ) สระเสียงยาว (ทฆี สระ) ลมกระทบฐาน เอะ เอ คอกับเพดำน แอะ คอกับเพดำน โอะ แอ คอกบั ริมฝปี ำก เอำะ โอ คอกับรมิ ฝปี ำก เออะ คอกับปุม่ เหงอื กหรอื ฟัน ออ เออ 1.2 สระประสมหรอื สระเลอ่ื น คือ กำรประสมเสยี งสระแท้ 2 เสียงเข้ำด้วยกนั มีจำนวน 6 เสยี ง แบง่ออกเปน็ สระเสียงสน้ั (รสั สระ) สระเสยี งยาว (ทีฆสระ)เอยี ะ เกดิ จำกกำรประสมของ สระอิ + สระอะ เอยี เกิดจำกกำรประสมของ สระอี + สระอำเออื ะ เกดิ จำกกำรประสมของ สระอึ + สระอะ เอือ เกิดจำกกำรประสมของ สระอือ + สระอำอวั ะ เกดิ จำกกำรประสมของ สระอุ + สระอะ อวั เกดิ จำกกำรประสมของ สระอู + สระอำ * ปัจจบุ นั นักภำษำศำสตร์ถอื ว่ำมีเพียง 3 หน่วย คือ เอยี เอือ อวั เพรำะไม่มคี เู่ ทยี บเสียงระหวำ่ งเสียงสนั้ และเสยี งยำว แต่แบ่งหนว่ ยเสียงยอ่ ย คือ เสียงย่อยสน้ั และเสยี งยอ่ ยยำว เนอ่ื งจำก สระเอยี ะ ทีไ่ ม่มีตัวสะกด ที่พบในภำษำไทย มีเพยี งคำวำ่ เดียะ เพยี ะ เปยี๊ ะ (พิณ) เผยี ะ สระอัวะ ท่ไี ม่มตี วั สะกด ในคำว่ำ ผัวะ

24พัวะ สระเออื ะ ทไ่ี มม่ ตี ัวสะกด ไมม่ ที ีใ่ ช้ ดงั น้ัน สระประสมเสยี งส้ัน สว่ นใหญ่ก็อำศยัรปู เอีย เอือ อวั เช่น เรยี ก เสือก พวก ใชร้ ูปสระเสยี งยำว แตอ่ อกเสียงสนั้ เป็น เอียะ เออื ะ อวั ะ(จงชัย เจนหตั ถกำรกจิ , 2551:17)1.3 สระเกิน ได้แก่ สระทมี่ เี สียงซ้ำกบั สระแทแ้ ตม่ เี สยี งพยญั ชนะผสมอยูด่ ว้ ย มี 8 เสียง คอืสระเสียงสัน้ (รัสสระ) สระเสยี งยาว (ทีฆสระ) อำ = อะ + ม - ไอ = อะ + ย - ใอ = อะ + ย - เอำ = อะ + ว - ฤ = ร + อึ ฦ = ล + อึ ฤๅ = ร + อื ฦๅ = ล + อืออำ = อะ + ม (เกดิ จำกเสียงสระอะ ผสมกบั เสียงพยัญชนะ ม)ไอ = อะ + ย (เกดิ จำกเสยี งสระไอ ผสมกับเสยี งพยญั ชนะ ย)ใอ = อะ + ย (เกดิ จำกเสยี งสระใอ ผสมกบั เสยี งพยญั ชนะ ย)เอำ = อะ + ว (เกิดจำกเสียงสระอะ ผสมกบั เสยี งพยัญชนะ ว)ฤ = ร + อึ (เกิดจำกเสียงพยญั ชนะ ร ผสมกบั เสยี งสระอ)ึฤๅ = ร + อื (เกดิ จำกเสียงพยญั ชนะ ร ผสมกบั เสยี งสระอือ)ฦ = ล + อึ (เกดิ จำกเสยี งพยญั ชนะ ล ผสมกบั เสียงสระอ)ึฦๅ = ล + อือ (เกิดจำกเสยี งพยญั ชนะ ล ผสมกบั เสียงสระอือ) *ปัจจบุ นั นักภำษำศำสตร์ ไม่นบั สระเกินเป็นเสียงสระ เพรำะมีเสยี งพยญั ชนะผสมอยู่ คอื อำ มตี ัว ม, ใอ มีตัว ย, ไอ มตี ัว ย , เอำ มีตัว ว , ฤ ฤำ มตี วั ร , ฦ ฦำ มตี วั ล (อำ ไอ ใอ เอำ ทำงภำษำศำสตรแ์ นวใหม่ จะนบั เป็นเสียงสระพเิ ศษ เพรำะมีเสียงพยญั ชนะประสมอยู่ด้วย และถือวำ่ เปน็ คำทมี่ ีเสยี งตัวสะกดดว้ ย)(จงชัย เจนหตั ถกำรกจิ , 2551:17) ดงั น้นั จึงกำหนดว่ำเสยี งสระมี 21 เสยี ง ท้ังน้ี คอื ไม่รวมสระเกินซงึ่ ถือว่ำเปน็ หนว่ ยเสียงในตัวเองโดยสมบรู ณ์อยแู่ ล้ว และไม่รวมสระประสมเสียงส้ัน คอื เอยี ะ เอือะ อวั ะ เนอ่ื งจำกมีทใี่ ชใ้ นภำษำไทยนอ้ ยมำก และสว่ นใหญ่จะเปน็ คำเลยี นเสียงธรรมชำตซิ งึ่ ไม่ไดใ้ ช้สือ่ ควำมหมำยอ่ืน

25 ปจั จุบันรำชบัณฑิตยสถำนได้พิจำรณำวำ่ สระในภำษำไทยมี 21 หนว่ ยเสยี ง ไดแ้ ก่ สระเดีย่ ว 18 หนว่ ยเสียงสระประสม 3 หนว่ ยเสยี ง ตำมหลักภำษำศำสตร์ ซ่ึงนกั ภำษำศำสตร์ไดพ้ ิจำรณำว่ำเสียงสระประสมในภำษำไทยมีเพยี ง 3 หน่วยเสยี ง ไดแ้ ก่ เอีย เออื และอวั ซึง่ เปน็ สระเสยี งยำว ดงั นี้เสยี งสระ สระเดย่ี ว - อะ อำ อิ อี อึ ออื อุ อู เอะ เอ แอ โอะ โอ เอำะ ออ เออะ เออ สระประสม - เอีย เออื อวั  รปู สระในภาษาไทย รปู สระเป็นเครือ่ งหมำยท่ีเขียนข้ึนแทนเสยี งสระ โดยใช้เขยี นโดดๆ หรอื ใช้เขียนประสมกับรปู สระอ่ืน เพอ่ื ให้เกิดสระใหม่ มี 21 รูป ดงั นี้ ชื่อเรยี ก รปู สระ ชอ่ื เรยี ก รูปสระ เ1.วิสรรชนีย์ ะ 11.ไม้หน้ำ ใ ไ2.ไม้หนั อำกำศหรือไมผ้ ัด ั 12.ไมม้ ว้ น โ อ3.ไม้ไตค่ ู้ ็ 13.ไมม้ ลำย ย ว4.ลำกขำ้ ง ำ 14.ไมโ้ อ ฤ ฤำ5.พินทอ์ุ ิ ิ 15.ตัวออ ฦ ฦำ6.ฝนทอง ่ 16.ตวั ยอ7.นฤคหิต (หยำดนำ้ ค้ำง) 17.ตัววอ8.ฟนั หนู \" 18.ตัวรึ9.ตนี เหยยี ด ุ 19.ตวั รอื10.ตีนคู้ ู 20.ตัวลึ 21.ตัวลือ  สระลดรูป-สระเปลย่ี นรปู สระในภำษำไทย เมื่อนำไปประสมกับพยัญชนะเพอื่ ใหเ้ กดิ พยำงคห์ รอื คำ จะมวี ิธีใช้ 3 แบบ คือ1. นำสระไปใช้ทนั ที เชน่ จะ พำ ไป เที่ยว เงำะ

262. เปล่ียนรปู เมอ่ื มตี ัวสะกด ได้แก่ เชน่ กลับ ทัน พัก เชน่ เย็บ เป็น เขม็ ะ เปล่ยี นรูปเปน็ ั เช่น เดนิ เลิก เตมิ เ-ะ เปลี่ยนรปู เป็น ็ เ-อ เปลี่ยนรปู เปน็ เ ิ 3. ลดรปู เมอ่ื มตี วั สะกด ได้แก่ รถ บด ชน คน พร จร อำวรณ์ อนสุ รณ์โ-ะ เชน่ออ เชน่ การเขียนรูปสระ กำรเขยี นรปู สระในภำษำไทย มดี ังน้ี1.เขยี นหนำ้ พยัญชนะ เชน่ เป๋ แก โอ ใช่ ไหม2. เขยี นหลงั พยัญชนะ เช่น จะ มำ ขอ กวน หนอ่ ย3. เขยี นเหนอื พยญั ชนะ เชน่ วิ ธี ฝึก ปรอื ครบั ก็4. เขียนใต้พยญั ชนะ เช่น คณุ หนู5. เขียนหนำ้ และหลงั พยัญชนะ เชน่ เละ และ โปะ๊ เรำ เกำะ เธอ เลอะ6. เขยี นเหนือและหลงั พยัญชนะ เช่น จำ ตวั ผวั ะ7. เขยี นหนำ้ และเหนือพยญั ชนะ เชน่ เหน็ เกดิ เทดิ8. เขยี นหนำ้ เหนือ และหลังพยญั ชนะ เชน่ เสยี เก๊ยี ะ เรือ

272. เสียงพยญั ชนะ หรอื เสยี งแปร คือ เสียงทเ่ี ปล่งออกมำจำกลำคอ แลว้ กระทบกบั อวัยวะสว่ นใดส่วนหนง่ึ ในปำกเชน่ คอ ปุ่มเหงือก ฟนั ริมปำก ซงึ่ ทำใหเ้ กดิ เป็นเสยี งตำ่ งๆกนั โดยพยญั ชนะไทยมี 21 เสียง 44 รปู ดังต่อไปนี้ พยญั ชนะ 21 เสยี ง พยญั ชนะ 44 รปู1. ก ก2. ค ขฃคฅฆ3. ง ง4. จ จ5. ช ชฌฉ6. ซ ซศษส7. ด ดฎ8. ต ตฏ9. ท ทธฑฒถฐ10. น นณ11. บ บ12. ป ป13. พ พภผ14. ฟ ฟฝ15. ม ม16. ย ยญ17. ร ร18. ล ลฬ19. ว ว20. ฮ ฮห21. อ อ หน้าท่ีของพยญั ชนะ คือ เปน็ พยญั ชนะตน้ เสียง ไดแ้ ก่ พยญั ชนะทอี่ ยูต่ น้ คำหรอื ต้นพยำงค์ ซง่ึ มี 4 ลักษณะ คอื พยัญชนะตน้ เด่ียว อักษรควบ อักษรนำ และมำตรำตวั สะกด มหี ลักทีค่ วรสงั เกต ดังน้ี 1. พยัญชนะตน้ เด่ยี ว ได้แก่ พยญั ชนะ 1 ตัวอยูต่ น้ คำหรอื ตน้ พยำงค์ ซงึ่ หน่วยเสยี งพยัญชนะทง้ั21 หน่วยเสียงในภำษำไทยสำมำรถปรำกฏเปน็ พยญั ชนะตน้ ของพยำงค์ได้ทกุ หนว่ ย

28 2. อกั ษรควบ ไดแ้ ก่ พยญั ชนะ 2 ตวั เรียงกัน ออกเรียงกล้ำเป็นพยำงค์เดยี ว แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ 2.1 อักษรควบแท้ ไดแ้ ก่ พยญั ชนะ 2 ตัวทมี่ ี ร ล ว ประสมอยดู่ ้วย ประสมสระเดยี วกัน อำ่ นออกเสียงพรอ้ มกนั สองตัว เชน่ กวำง (ออกเสียง กว) อนิ ทรำ (ออกเสียง ทร) 2.2 อักษรควบไมแ่ ท้ ได้แก่ พยัญชนะทม่ี ตี วั ร ควบอย่ดู ว้ ย แต่ไม่ออกเสยี งตัว ร คอื ออกเสยี งพยัญชนะตัวแรกตัวเดียว หรือมฉิ ะน้ันกอ็ อกเสียงเป็นเสยี งอน่ื ไปเชน่ จริง สร้ำง เศรำ้ ไซร้ ทรุด โทรม ทรำบ *นักภำษำศำสตรไ์ มถ่ ือวำ่ อกั ษรควบไม่แท้เป็นอกั ษรควบกล้ำ เพรำะออกเสียงพยัญชนะเพียงเสยี งเดียว (จงชัย เจนหัตถกำรกิจ, 2551 : 28) 3. อกั ษรนา ได้แก่ คำทม่ี ีพยัญชนะต้นสองตัวประสมอยู่ในสระเดยี วกัน อ่ำนออกเสยี งได้ 2 ชนิด ได้แก่ 3.1 อกั ษรนาท่อี อกเสยี ง 2 พยางค์ พยำงค์แรกออกเสยี ง อะ กงึ่ เสยี ง พยำงค์หลังออกเสยี งตำมสระท่ีประสมอยู่ และออกเสียงเหมือน ห นำ- ใช้อกั ษรกลำงนำอักษรต่ำเด่ียว เชน่ กนก ตลก ตลำด ตลบั- ใชอ้ กั ษรสงู นำอกั ษรตำ่ เดย่ี ว เชน่ ขนนุ ขยำ ขยกุ ขยกิ ขยับ ไฉน ฉงน ถลก ถลำ ผลิต สนกุ สนอง 3.2 อักษรนาที่อ่านออกเสยี งร่วมกนั สนทิ เปน็ พยางค์เดียว- ใช้ ห นำอักษรต่ำเด่ียว เช่น หงำย ใหญ่ หนอ หมู่ หยำม ไหล หวำ- ใช้ อ นำ มีใช้ 4 คำ คอื อย่ำ อยู่ อย่ำง อยำก 4. มาตราตวั สะกด พยัญชนะไทยทงั้ 44 รปู เม่อื นำมำเขียนเป็นตวั สะกดแลว้ จะมีเสียงเพยี ง 8 เสียง คือ 1. แม่ กง คือ คำท่ีออกเสียง ง ท้ำยพยำงค์ เช่น ลง แรง วง่ิ ขลงั 2. แม่ กน คอื คำทอ่ี อกเสียง น ท้ำยพยำงค์ เชน่ พรรณ ศัลย์ ชล รนิ 3. แม่ กม คือ คำท่อี อกเสยี ง ม ท้ำยพยำงค์ เช่น ลม ปรำม รมิ พรำหมณ์ 4. แม่ เกย คือ คำท่อี อกเสียง ย ท้ำยพยำงค์ เชน่ พำย เคย น้อย กรวย 5. แม่ เกอว คือ คำทอ่ี อกเสยี ง ว ท้ำยพยำงค์ เชน่ สำว หวิ เขียว แกว้ 6. แม่ กก คอื คำทอ่ี อกเสียง ก ท้ำยพยำงค์ เชน่ เมฆ หมอก ภำค เลข 7. แมก่ ด คอื คำท่ีออกเสียง ด ท้ำยพยำงค์ เช่น พัฒน์ พธุ เหตุ มิตร 8. แม่ กบ คอื คำทีออกเสียง บ ทำ้ ยพยำงค์ เช่น เทพ สรรพ รปู แบบ

293. เสยี งวรรณยุกต์ หรอื เสียงดนตรี คอื เสียงสระ หรอื เสียงพยัญชนะ ซึ่งเวลำเปลง่ เสยี งแลว้ เสยี งจะมีระดับสูงตำ่ เหมือนกบั เสยี งดนตรี สำหรบั เสียงวรรณยกุ ตท์ ใี่ ชใ้ นภำษำไทยมี 5 เสยี ง ดังตอ่ ไปนี้ เสียงวรรณยกุ ต์ รปู วรรณยกุ ต์ ตัวอยา่ ง1. เสียงสำมัญ (ไม่มรี ปู ) กนิ ตำ งง2.เสียงเอก ่ ขำ่ ว ปำก ศัพท์3.เสียงโท ้ จ้อง นัง่ ใกล้4.เสียงตรี ๊ งว้ิ รกั แม้5.เสยี งจตั วำ ฉัน หนงั เก ลักษณะของเสยี งวรรณยุกตห์ รือเสียงดนตรี 1. เปน็ เสยี งทมี่ รี ะดบั เสียงสงู ตำ่ เหมอื นเสยี งดนตรี2.เสียงวรรณยกุ ตม์ ี 4 รูป คือรปู ่ เรียกวำ่ ไม้เอกรปู ้ เรยี กว่ำ ไมโ้ ทรูป ๊ เรยี กว่ำ ไมต้ รีรปู เรยี กวำ่ ไม้จตั วำและมี 5 เสียง คือ เสยี งสำมัญ เสยี งเอก เสยี งโท เสียงตรี เสยี งจตั วำ  หนา้ ทขี่ องเสยี งวรรณยกุ ต์ เสยี งวรรณยกุ ต์ทำใหค้ ำมคี วำมหมำยแตกต่ำงกันไป เชน่ เสอื เสอ่ื เสื้อ เสือ หมำยถึง น.ชอื่ สัตว์เลี้ยงลกู ด้วยนม รปู ร่ำงลักษณะคลำ้ ยแมวแตต่ ัวโตกวำ่ มำก เป็นสตั ว์กินเนอ้ื นิสยัคอ่ นข้ำงดุรำ้ ย หำกนิ เวลำกลำงคนื เสอ่ื หมำยถึง น.เครอ่ื งสำนชนดิ หนงึ่ สำหรบั ปนู งั่ และนอน เส้ือ หมำยถึง น. เคร่อื งสวมกำยท่อนบน  การผันวรรณยุกต์ พยัญชนะไทยแบ่งได้เปน็ 3 หมู่ โดยแบง่ พน้ื เสยี งท่ียงั ไมไ่ ดผ้ นั ซึง่ มรี ะดบั สงู กลำง ต่ำ เรยี กว่ำ ไตรยำงศ์ จดัไวเ้ พอื่ ควำมสะดวกในกำรผันวรรณยกุ ต์

30อักษรกลาง มี 9 ตวั อกั ษร 3 หมู่ หรอื ไตรยางค์อกั ษรสงู มี 11 ตัวอักษรต่า มี 24 ตัว ไดแ้ ก่ ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ ไดแ้ ก่ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห ไดแ้ ก่ ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮอักษรเดยี่ ว คอื อักษรตำ่ ทไ่ี ม่เสยี งคกู่ บั อักษรสูง มี 10 ตวั ได้แก่ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬอกั ษรคู่ คือ อกั ษรตำ่ ท่ีมีเสยี งคกู่ ับอกั ษรสูง มี 14 ตัว ได้แก่ อักษรตา่ (อกั ษรคู่) อกั ษรสงู คฅฆ ขฃ ชฌ ฉ ฑฒทธ ฐถ ซ สศษ พภ ผ ฟ ฝ ฮ ห คาเป็นและคาตาย1. คาเปน็ คอื 1.1 พยัญชนะประสมสระเสียงยำวในแม่ ก กำ เชน่ จำ ปรี ดู กอ 1.2 คำท่ีมีตวั สะกดแม่ กง กน กม เกย เกอว เชน่ ฟงั ตน ยำม เชย พรำว 1.3 อำ (-ม) , ไอ (-ย) . ใอ (-ย), เอำ (-ว) เพรำะมีเสยี งตัวสะกด2. คาตาย คอื 2.1 พยัญชนะประสมสระเสยี งส้นั ในแม่ ก กำ เชน่ มะ จะ ติ ปริ ดุ เกำะ 2.2 พยญั ชนะตัวเดยี ว เชน่ ณ บ ธ ก็ ฤ 2.3 มีตวั สะกดแม่ กก กบ กด เช่น สขุ ภำค พกั เมฆ ภพ ตบ ภำพ สด บำท

31 การผนั วรรณยุกต์1.อกั ษรกลางคาเปน็ ผนั วรรณยกุ ต์ได้ครบ 5 เสยี ง มรี ปู วรรณยกุ ต์และเสียงวรรณยกุ ต์ตรงกนั2.อกั ษรกลางคาตาย ผนั วรรณยกุ ต์ได้ 4 เสยี ง คอื รปู สำมัญเสยี งเอก รูปโทเสียงโท รปู ตรีเสียงตรี และรปู จัตวำเสยี งจตั วำ3.อกั ษรสงู คาเปน็ ผนั วรรณยุกต์ได้ 3 เสียง คอื รปู สำมญั เสยี งจัตวำ รูปเอกเสยี งเอก และรปู โทเสียงโท4.อักษรสงู คาตาย ผนั วรรณยกุ ต์ได้ 2 เสียง คือ รูปสำมัญเสยี งเอก และรปู โทเสียงโท5.อักษรตา่ คาเปน็ ผันวรรณยุกตไ์ ด้ 3 เสียง คอื รปู สำมัญเสยี งสำมญั รูปเอกเสียงโท และรูปโทเสียงตรี6.อกั ษรตา่ คาตายเสยี งส้นั ผันวรรณยุกต์ได้ 3 เสียง คอื รปู สำมญั เสยี งตรี รปู เอกเสยี งโท และรปู จตั วำเสียงจตั วำ7.อกั ษรตา่ คาตายเสียงยาว ผันวรรณยุกตไ์ ด้ 3 เสียง คือ รปู สำมญั เสียงโท รูปโทเสียงตรี และรปู จตั วำเสียงจตั วำ* อักษรสงู ใช้อกั ษรตำ่ คู,่ อักษรต่ำคู่ใช้อกั ษรสงู และอกั ษรตำ่ เดย่ี วใช้ตัว ห อ นำ เพ่ือใหช้ ว่ ยผนั วรรณยุกตใ์ หค้ รบ5 เสียงได้ ตารางผนั เสียงวรรณยุกต์ อกั ษร เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวาอกั ษรกลำงคำเป็น ผนั ได้ 5 เสียง กำ ก่ำ กำ้ ก๊ำ กำอกั ษรกลำงคำตำย ผันได้ 4 เสียง - กะ ก้ะ ก๊ะ กะอกั ษรสงู คำเปน็ ผนั ได้ 3 เสียง - ข่ำ ขำ้ - ขำอกั ษรสูงคำตำย ผันได้ 2 เสยี ง - ขะ ขะ้ - -อกั ษรต่ำคำเปน็ ผนั ได้ 3 เสยี ง คำ - คำ่ คำ้ -อกั ษรตำ่ คำตำยเสยี งสั้น ผันได้ 3 เสียง - - ค่ะ คะ คะอักษรตำ่ คำตำยเสยี งยำว ผันได้ 3 เสยี ง - - โคก โค้ก โคก

32เอกสารอา้ งองิกำญจนำ นำคสกลุ .2556. ระบบเสียงภาษาไทย. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 7. กรุงเทพฯ: โครงกำรเผยแพรผ่ ลงำนวชิ ำกำรคณะอักษรศำสตร์ จฬุ ำลงกรณ์มหำวิทยำลยักำชยั ทองหล่อ. 2554. หลกั ภาษาไทย. พมิ พ์ครง้ั ที่ 53. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท รวมสำส์น (1977) จำกดั .จงชยั เจนหตั ถกำรกจิ . 2551. หลักภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท ธนำเพรส จำกัด.รำชบณั ฑติ ยสถำน.2556.พจนานุกรมราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554. กรงุ เทพฯ: นำนมบี ุ๊คสพ์ บั ลเิ คชั่นส.์

33 บทที่ 3 พยางค์1.ความหมายของพยางค์ กำญจนำ นำคสกลุ (2556 : 165-166) กล่ำวว่ำ พยำงค์ หมำยถึง หนว่ ยทเี่ ลก็ ท่ีสดุ ในกำรพูดเพือ่ สอ่ืควำมหมำยของคนเรำ พระยำอปุ กิตศลิ ปสำร, พระยำ (2546 : 18) กลำ่ ววำ่ ถ้อยคำที่เรำใชพ้ ูดกันนั้น บำงทีกเ็ ปลง่ เสยี งออกครง้ัเดียว บำงทกี ห็ ลำยครั้ง เสียงทเ่ี ปลง่ ออกมำครัง้ หน่ึงๆน้นั ทำ่ นเรยี กวำ่ “พยำงค”์ คือ ส่วนของคำพดู เรงิ ชยั ทองหลอ่ (2556 : 139) กล่ำวว่ำ พยำงค์ คือ หนว่ ยเสยี งท่ีประกอบดว้ ยสระตัวเดยี ว คำคำเดียวจะมีพยำงคเ์ ดยี วหรอื หลำยพยำงค์กไ็ ด้ และจะมีควำมหมำยทกุ พยำงคห์ รอื จะมแี ตพ่ ยำงค์ใดพยำงค์หนงึ่ หรอื ไม่มีควำมหมำยเลยกไ็ ด้ พยำงคท์ ่มี คี วำมหมำยเช่น เธอ เดิน ช้ำ พยำงคท์ ีม่ คี วำมหมำยบำงพยำงค์ เชน่ สมาธิ นาฬกิ าพยำงคท์ ่ไี ม่มีควำมหมำย เชน่ อรณุ วลี ผลติ กำชัย ทองหลอ่ (2554 : 89) กล่ำววำ่ พยำงค์ คอื สว่ นหนงึ่ ของคำหรือหนว่ ยเสยี งทปี่ ระกอบดว้ ยสระตวัเดียว จะมีควำมหมำยหรอื ไม่มีก็ได้ จำกคำอธิบำยควำมหมำยของพยำงคด์ งั กล่ำว สรปุ ได้ว่ำ พยำงค์ คอื เสียงทีเ่ ปล่งออกมำ 1 ครัง้ จะมีควำมหมำย หรอื ไมม่ ีควำมหมำยกไ็ ด้ พยำงค์เกิดจำกกำรเปล่งเสียงพยญั ชนะ เสยี งสระ และเสียงวรรณยกุ ตต์ ำมกนั ออกมำอย่ำงกระชัน้ ชดิ จนฟงั ดเู หมอื นกับเปล่งเสียงออกมำในคร้งั เดียวกนั ซ่งึ เรยี กวำ่ กำรประสมเสยี งในภำษำเสยี งที่เกดิ จำกกำรประสมเสยี ง จงึ เรยี กว่ำ พยำงค์ หรือ พยำงค์ คือ เสียงทเ่ี ปลง่ ออกมำครงั้ หนึ่งๆ ซงึ่ มเี สียงสระเป็นเสยี งท่ีดงั เด่น 1 เสียง และเสยี งทอี่ ยู่ข้ำงเคยี งอยำ่ งนอ้ ย 2 เสยี ง ไดแ้ ก่ เสยี งพยัญชนะ และเสยี งวรรณยกุ ต์ พยำงค์อำจจะเปน็ คำก็ได้ ถ้ำพยำงค์นนั้ มีควำมหมำย ดงั ตวั อย่ำงตอ่ ไปนี้นำ มี 1 พยำงค์ 1 คำนำที มี 2 พยำงค์ 1 คำนำฬกิ ำ มี 3 พยำงค์ 1 คำ

342.องค์ประกอบของพยางค์ กำชัย ทองหล่อ (2554 : 89) กล่ำววำ่ พยำงคใ์ นภำษำไทยมอี งค์ประกอบสำคัญอย่ำงน้อย 3 ส่วน คือ เสียงพยญั ชนะต้น +เสียงสระ +เสียงวรรณยุกต์ 2.1เสยี งพยญั ชนะต้น ไดแ้ ก่ เสียงพยัญชนะทเ่ี ปลง่ ออกมำกอ่ นเสียงอืน่ พยัญชนะต้นอำจเป็นพยญั ชนะตน้เดย่ี ว หรือพยญั ชนะตน้ ควบ เชน่ ปำด กับ ปรำด ตัวอักษรที่พิมพต์ วั หนำเปน็ พยัญชนะต้นเดย่ี วและตน้ ควบตำมลำดบั 2.2 เสียงสระ ไดแ้ ก่ เสียงท่อี อกตำมเสียงพยญั ชนะอยำ่ งรวดเร็ว ทำให้พยญั ชนะต้นออกเสียงได้ชัดเจน เสยี งสระอำจเปน็ เสระเดี่ยวเสียงสั้น สระเดี่ยวเสียงยำว หรอื สระประสมเสียงใดเสียงหนงึ่ 2.3 เสยี งวรรณยุกต์ ได้แก่ เสยี งสงู ตำ่ ทีเ่ ปลง่ ออกมำพร้อมๆกบั เสียงสระ นอกจำกนี้พยำงคบ์ ำงพยำงค์อำจมีองค์ประกอบเพิ่มข้นึ อกี 1 สว่ น คอื เสยี งพยญั ชนะสะกดหรอื เสยี งพยญั ชนะทำ้ ยพยำงค์ * ในภำษำไทยพยำงคจ์ ะมีสว่ นประสมอยำ่ งมำก 5 ส่วน คือ พยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด และกำรันต์ จะน้อยกวำ่ 3 ส่วนหรอื 5 ส่วนไมไ่ ด้ และคำคำเดียวจะมพี ยำงค์เดยี ว หรอื หลำยพยำงคก์ ไ็ ด้ เชน่กำ คำเดยี ว 1 พยำงค์กำเหว่ำ คำเดยี ว 2 พยำงค์กำระเวก คำเดียว 3 พยำงค์3. โครงสรา้ งพยางค์ พระยำอปุ กติ ศลิ ปะสำร,พระยำ (2546 : 18-19) ไดก้ ลำ่ วถึงแบบสรำ้ งของพยำงค์วำ่ เกดิ จำกกำรประสมอักษรมี 3 แบบ สรุปได้ดงั น้ี 3.1 การประสมอักษร 3 สว่ น ไดแ้ ก่ พยำงค์ท่ีเกิดจำกกำรประสมของ พยัญชนะต้น +สระ+ วรรณยุกต์เช่น มี นำ หำ้ ไร่ เปน็ ตน้ 3.2 การประสมอกั ษร 4 สว่ น มี 2 แบบ คือ 3.2.1 การประสมอักษร 4 ส่วนปกติ ไดแ้ ก่ พยำงค์ทีเ่ กดิ จำกกำรประสมของพยัญชนะต้น +สระ + พยัญชนะตวั สะกด + วรรณยุกต์ เชน่ มำด ร้ำย พลำย งำม เปน็ ต้น 3.2.2 การประสมอกั ษร 4 สว่ นพิเศษ ไดแ้ ก่ พยำงคท์ ีเ่ กดิ จำกกำรประสมของพยัญชนะต้น+

35สระ + วรรณยุกต์ + การนั ต์ เชน่ เลห่ ์ สหี ์ เบยี ร์ โพธ์ิ เป็นตน้ 3.3 การประสมอกั ษร 5 สว่ น ได้แก่ พยำงคท์ เ่ี กิดจำกกำรประสมของ พยญั ชนะต้น +สระ + พยัญชนะตัวสะกด +วรรณยุกต์ + การันต์ เช่น ลักษณ์ ขนั ธ์ สงั ข์ จนั ทร์ เปน็ ต้น ขอ้ สังเกต พยำงค์ท่ปี ระสมด้วยสระ อำ ไอ ใอ เอำ เช่น ทำ ไม ใจ เบำ เป็นต้น พยำงคเ์ หล่ำน้ีถำ้ กำหนดตำมรูปสระแล้วจะเป็นวิธีประสมอกั ษร 3 ส่วน จดั ไวใ้ นแม่ ก กำ แตถ่ ำ้ พจิ ำรณำตำมเสียงอกั ษรประสมแล้ว นำ่ จะอยู่ในวิธีประสม 4 ส่วน เพรำะมเี สยี งพยญั ชนะ ม ย และ ว เป็นเสยี งสะกด หรอื มีเสยี งพยัญชนะท้ำย4.ประเภทของพยางค์ กำชัย ทองหล่อ (2556 : 141) ไดแ้ บ่งพยำงคอ์ อกเปน็ 2 ประเภท คือ4.1 พยางค์ปดิ คือ พยำงค์ท่ีมีลกั ษณะใดลักษณะหนงึ่ ดังนี้ 4.1.1 พยำงคท์ ี่มตี วั สะกดทุกพยำงค์ เชน่ ฉัน นง่ั รถ 4.1.2 พยำงค์ที่ประสมกับสระ อำ ใอ ไอ เอำ เช่น นำ้ ใส ใจ เรำ 4.1.3 พยำงคท์ ป่ี ระสมกบั สระเสียงส้นั ทล่ี งเสยี งหนกั เช่น เอะอะ เลอะเทอะ เกะกะ4.2 พยางค์เปิด คอื พยำงค์ทไ่ี ม่มีเสยี งพยญั ชนะปดิ ท้ำย เชน่ พี่ ขำ เป๋5. การลงเสียงหนกั เสยี งเบาในพยางค์ กำรเนน้ เสียงหนกั เสยี งเบำในพยำงคภ์ ำษำไทย มกั เกดิ จำกสำเหตุหลำยประกำร คอื 5.1ลักษณะส่วนประกอบของพยางค์ พยำงค์ท่ีมีเสียงสระเป็นเสียงยำวและพยำงคท์ ีม่ เี สยี งพยญั ชนะทำ้ ย คอื เปน็ คำครุ มกั จะออกเสยี งเน้นหนัก 5.2ตาแหนง่ ของพยางคใ์ นคาในภาษาไทย พยำงค์ทมี่ กั จะมีเสียงเนน้ หนกั คือ พยำงคส์ ดุ ท้ำยของคำ 5.2.1 ถา้ เป็นคา 2 พยางค์ มักลงเสยี งหนกั ทพี่ ยำงคท์ ี่ 2 เชน่ มำนะ ทองแดง 5.2.2 ถ้าเปน็ คา 3 พยางค์ มักลงเสียงหนกั ท่พี ยำงคท์ ี่ 3 และอำจลงเสียงหนักที่พยำงคท์ ี่ 1 หรอื2 ถำ้ พยำงค์ที่ 1 หรือ 2 น้นั มเี สยี งยำวหรือมเี สยี งพยัญชนะท้ำย เช่น ปัจจุบนั จริยำ สมำคม 5.2.3. ถา้ เป็นคา 4 พยางค์ ข้ึนไป มักลงหนกั ทพี่ ยางค์ท้าย สว่ นพยำงคอ์ ื่นๆกอ็ อกเสยี งหนกั เบำตำมลักษณะสว่ นประกอบของพยำงค์ เช่น เจดียย์ ทุ ธหัตถี สำธำรณสุข

36 หมายเหตุ กำรลงเสยี งหนกั เสยี งเบำ ของพยำงค์ในภำษำไทย มีผลต่อกำรสือ่ ควำมหมำยของคำหรือข้อควำมน้นั ๆด้วย เชน่ เขำจะมำเอาเยน็ โน่นแหละ ประโยคน้ีเน้นคำวำ่ เอำ หมำยควำมวำ่ เขำจะมำเอำของตอนเยน็ โน่นแหละ เขำจะมาเอำเย็นโนน่ แหละ ประโยคนี้เน้นคำว่ำ มำ หมำยควำมวำ่ กวำ่ เขำจะมำได้ กต็ อ้ งตอนเยน็ โนน่แหละ ดงั น้นั กำรลงเสยี งหนัก เบำ จึงมคี วำมสำคัญต่อกำรสอื่ สำรของมนุษย์ เสยี งหนกั เบำ จึงเป็นสว่ นหนงึ่ของอวัจนภำษำดว้ ย6. เสียงครุ ลหุ ในพยางค์ 6.1 คาครุ ( ั ) เป็นคำท่ีมเี สียงหนัก ไดแ้ ก่ คำทกุ คำทป่ี ระสมกบั สระเสียงยำวในแม่ ก กำ เชน่ งำ ชี้ สู้ห่อ และคำทป่ี ระสมกบั สระเสียงส้นั ก็ไดเ้ สียงยำวก็ได้ และมตี วั สะกดด้วย เชน่ ขม คิด นึก ปำน โชค เลบ็นอกจำกนนั้ คำทปี่ ระสมกับสระ อำ ไอ ใอ เอำ ซึง่ ถอื วำ่ เปน็ เสียงมีตัวสะกดกจ็ ัดเป็นคำครเุ ชน่ เดียวกนั 6.2 คาลหุ ( ุ ) เปน็ คำท่ีมีเสยี งเบำ ได้แก่ คำทป่ี ระสมกบั สระเสยี งส้ันในแมก่ กำ เช่น จะ มิ ปุ แพะ โตะ๊และคำท่เี ปน็ พยัญชนะตัวเดียว (ไมม่ รี ปู สระ) เช่นคำ ก็ ณ ธ บ่ หรอื บำงทเี มอื่ มพี ยญั ชนะ 2 ตวั เรียงอยู่ดว้ ยกนั ก็จะอ่ำนออกเสยี งสั้นเป็นลหุทงั้ 2 ตวั เช่น จร ( อำ่ น จะ-ระ) มน (อ่ำน มะ-นะ) พล อำ่ น (พะ-ละ) ทงั้ นเี้ พื่อให้คำนัน้ ๆเปน็ คำลหตุ ำมที่ต้องกำร

37เอกสารอ้างองิกำญจนำ นำคสกลุ .2556. ระบบเสยี งภาษาไทย. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 7. กรงุ เทพฯ: โครงกำรเผยแพรผ่ ลงำนวชิ ำกำร คณะอกั ษรศำสตร์ จุฬำลงกรณม์ หำวิทยำลยักำชัย ทองหลอ่ . 2554. หลกั ภาษาไทย. พิมพ์ครง้ั ท่ี 53. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั รวมสำส์น (1977) จำกดั .เริงชัย ทองหล่อ. 2556. หลกั ภาษาไทย ฉบบั สมบูรณ์. กรงุ เทพฯ: ไฮเอด็ พับลิชชง่ิ .อุปกติ ศิลปสำร, พระยำ .2546. หลักภาษาไทย: อกั ขรวิธี วจีวภิ ำค วำกยสัมพันธ์ ฉนั ทลักษณ์. พิมพค์ รงั้ ท่ี 12. กรงุ เทพฯ: บริษทั โรงพิมพ์ไทยวัฒนำพำนิช จำกดั

38 บทท่ี 4 คา1.ความหมายของคา กำชยั ทองหลอ่ (2554 : 193) กล่ำวถงึ คำว่ำ พยำงค์ท่เี ปล่งออกมำ จะเป็นพยำงคเ์ ดียว หรือหลำยพยำงค์รวมกันกต็ ำม ถำ้ มคี วำมหมำยเป็นท่รี กู้ นั ได้ เรียกวำ่ คำหรอื ถ้อยคำ ซึง่ เปน็ ออกมำเป็นเสียงพดู กเ็ รียกวำ่ คำพดู ถ้ำเขยี นเป็นตวั หนงั สอื ก็เรยี กว่ำ คำเขียน อปุ กิตศิลปสำร, พระยำ (2546 : 59) กล่ำวว่ำ คำ หมำยถึง เสียงท่ีพูดออกมำไดค้ วำมอยำ่ งหนงึ่ ตำมควำมต้องกำรของผพู้ ูดจะเปน็ กพี่ ยำงคก์ ็ตำมเรยี กวำ่ คำหนงึ่ บำงคำกม็ ีพยำงค์เดียว บำงคำกม็ หี ลำยพยำงค์ จำกคำอธบิ ำยควำมหมำยของคำดงั กล่ำว สรปุ ไดว้ ่ำ คำ หมำยถึง เสยี งหรอื พยำงคท์ เี่ ปล่งออกมำแลว้ มีควำมหมำย อำจมีพยำงคเ์ ดียวหรือหลำยพยำงค์ก็ได้ เชน่ ตำ = 1 พยำงค์ 1 คำ กระตำ่ ย = 2 พยำงค์ 1 คำ กะลำสี = 3 พยำงค์ 1 คำคามีความหมายโดยทวั่ ไป 2 ลักษณะ คอื 1.ความหมายโดยตรง คอื ควำมหมำยเดมิ ซึง่ เป็นควำมหมำยตำมพจนำนุกรม เช่นเสอื หมำยถงึ น. ช่อื สัตว์เลี้ยงลกู ดว้ ยนม ซงึ่ เป็นวงศเ์ ดียวกับแมวแต่ตัวใหญก่ ว่ำ เปน็ สตั ว์กินเน้ือควาย หมำยถงึ น. ชื่อสตั วเ์ คยี้ วเอ้ือง เป็นสัตว์กีบคู่ รปู ร่ำงใหญส่ ดี ำหรอื เทำ เขำโค้งยำว 2.ความหมายโดยนยั คือ ควำมหมำยท่ีชกั นำควำมคดิ ให้เกยี่ วโยงไปถงึ สิ่งอ่ืน ควำมหมำยโดยนัยจะแฝงควำมเกีย่ วขอ้ งกบั สิง่ ต่ำงๆ ขนึ้ อยู่กบั ควำมรสู้ กึ กำลเทศะ และเจตนำในกำรใชค้ ำ เช่น เสือ มคี วำมหมำยโดยนยั วำ่ มีเลห่ เ์ หลีย่ ม โหดเห้ียมตัวอย่ำง เขำทำตวั เหมอื นเสอื จำศีล ควาย มีควำมหมำยโดยนัยวำ่ ควำมโง่เขลำตวั อย่ำง เสียแรงพดู กับเขำ เหมือนสซี อใหค้ วำยฟัง

392. คามลู คำมูล คอื คำไทยแท้หรอื คำที่มำจำกภำษำอ่นื ก็ได้ มีควำมหมำยชดั เจนในตวั เปน็ คำท่ีสำมำรถส่อื สำรแลว้ เข้ำใจควำมหมำยได้ทันที โดยไมต่ ้องแปลควำม ดงั ทพ่ี ระยำอุปกิตศิลปสำร (2546 : 60) กล่ำววำ่ “คำท่ีเรำตง้ั ขน้ึเฉพำะคำๆเดยี ว จะเปน็ คำทม่ี ำจำกภำษำไหนกด็ ี หรอื คำทตี่ งั้ ขึ้นใหม่ในภำษำไทยเฉพำะคำหนงึ่ ๆกด็ ี เรียกวำ่ คำมลู ” กำรจะพิจำรณำวำ่ คำใดเปน็ คำมูลหรอื ไมน่ ้นั มีขอ้ สงั เกต ดังนี้ 1. เปน็ คาพยางคเ์ ดยี ว มคี วำมหมำยบรบิ ูรณแ์ ละชัดเจน เชน่ ปลำ นก เห็น สวย เสื้อ 2.เปน็ คาหลายพยางค์ มขี อ้ สังเกตคอื เมือ่ แยกพยำงคอ์ อกไปแล้ว แต่ละพยำงคจ์ ะไม่มคี วำมหมำยเชน่ ตะไคร้ สะอำด ภำษำ วจี สำธำรณะ หรือแตล่ ะพยำงค์มีควำมหมำย แตเ่ มอื่ รวมควำมหมำยของพยำงคเ์ หลำ่ น้ันเขำ้ ดว้ ยกนั แลว้ จะไมเ่ กี่ยวกบั ควำมหมำยของแตล่ ะพยำงคเ์ ดมิ นัน้ เลย เช่น นาที = ชอ่ื หนว่ ยเวลำ 1 ใน 60 ของช่ัวโมง นำ = ท่ีปลกู ข้ำว ที = ครัง้ ครำว หน ทำ่ ทำง โอกำส ช้ันเชิง สับปะรด = ไมล้ ้มลกุ ชนดิ หนงึ่ ผลกินได้ มีรสเปรยี้ ว สับ = เอำของมคี มฟันลงไปโดยแรงหรอื ซอยถๆ่ี ปะ = มำเจอกนั , ปดิ ทับ รด = เทหรือสำดน้ำลงไปเพอ่ื ทำใหช้ มุ่ จำกลกั ษณะข้ำงตน้ สรปุ ได้วำ่ คำมลู มลี กั ษณะ ดงั นี้ 1.เปน็ คำเดียวโดดๆ 2.เปน็ คำทม่ี หี ลำยพยำงค์ข้อสงั เกต 1.แมวขำว คำนี้สำมำรถแยกศัพท์ได้ คอื แมว+ขำว ไมใ่ ชค่ ำมูล เป็น วลี 2.นกรอ้ ง คำน้ีสำมำรถแยกศพั ท์ได้ คอื นก+รอ้ ง ไมใ่ ชค่ ำมลู มีภำคประธำนและภำคแสดง จึงเปน็ ประโยค 3.มะละกอ คำนไ้ี มส่ ำมำรถแยกศัพทเ์ ปน็ มะ+ละ+กอ ดังนี้คำน้เี ปน็ คำมูล

402.1 ตวั อยา่ งคามลูคำมูลพยำงคเ์ ดยี ว เช่น ชำ้ ง ม้ำ ววั เป็ด เดนิ ว่งิ นอนคำมูลสองพยำงค์ เชน่ สะดวก สบำย ขนม วำจำ รหสัคำมูลสำมพยำงค์ เชน่ อนำมัย ตุก๊ ตำ กะละมงั สถำนีคำมูลสี่พยำงค์ เชน่ ขะมกั เขมน้ อจั ฉริยะ คะยน้ั คะยอ บุษรำคมัคำมลู หำ้ พยำงค์ เช่น สำมะเลเทเมำ ฮปิ โปโปเตมัส มะงุมมะงำหรำ2.2 หนา้ ท่ีของคามลูคำมูลทำหนำ้ ทไี่ ด้ 7 ชนิด คือ1. เป็นคำนำม เชน่ พ่อ แม่ เด็ก ตุ๊กตำ สตรี บรุ ษุ สังกะสี อะลมู เิ นยี ม2. เปน็ คำสรรพนำม เช่น เขำ ท่ำน เธอ ดิฉัน กระผม3. เปน็ คำกรยิ ำ เชน่ เดิน วิง่ นงั่ ดู สำลัก4. เปน็ คำวิเศษณ์ เชน่ สวย งำม ส้ัน ยำว ขำว5. เป็นคำบุพบท เชน่ ใน ที่ ของ บน เหนือ ต้งั แต่ จนกระทงั่6. เปน็ คำสันธำน เชน่ และ หรือ แตท่ วำ่ เพรำะฉะน้ัน เม่ือ...ก็7. เปน็ คำอทุ ำน เช่น โธ่ เฮ้อ ไชโย อนิจจำ อ๊ยุ3. การสรา้ งคา 3.1คาประสม คือ เกดิ จำกกำรนำคำมลู ต้ังแตส่ องคำขน้ึ ไปนำมำประสมกนั ทำใหเ้ กดิ คำและมีควำมหมำยใหม่ หรอื มีควำมหมำยคงเดมิ อย่บู ำ้ ง  ลักษณะของคาประสม คำประสมมลี กั ษณะสำคญั ทสี่ งั เกตได้ ดังน้ี 1. คำประสมต้องเกิดจำกคำมลู ทีเ่ ป็นคำไทยกับภำษำใดก็ได้ เช่น คำไทย+ คำไทย เช่น ดอกเบ้ยี ตำตมุ่ ดวงเดือน มดแดง คำไทย+คำภำษำอืน่ เชน่ ต๋ัวหนงั (จีน-ไทย)

41 2. คำทใ่ี ช้ยอ่ คำยำวๆให้สัน้ ลง เชน่ การ หมำยถงึ งำน สิ่งหรอื เร่อื งทที่ ำ เชน่ กำรเรือน กำรกุศล กำรสมำคม กำรต่ำงประเทศกำรคมนำคม ความ หมำยถงึ เร่อื ง หรอื อำกำร เชน่ ควำมดี ควำมหลัง ควำมลบั ควำมสำเร็จ ควำมเครยี ดควำมรู้สึก ควำมประทบั ใจ เครือ่ ง หมำยถึง สงิ่ สำหรบั ประกอบกันหรอื เปน็ พวกเดียวกนั เช่น เครอื่ งมอื เครอื่ งใช้ เครอ่ื งแกงเคร่ืองประดับ ช่าง หมำยถงึ ผู้ชำนำญในกำรฝมี อื หรอื ศลิ ปะอยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึง เมอ่ื มำประสมกบั คำอ่ืน ทำให้เกดิ ควำมหมำยใหม่ เชน่ ช่ำงไม้ ช่ำงไฟ ชำ่ งเขียน ช่ำงเย็บ ช่ำงปั้น ชาว หมำยถงึ กลุ่มชนทม่ี เี ชือ้ ชำตเิ ดยี วกัน อยู่ในถน่ิ ฐำนเดียวกนั มีอำชพี อยำ่ งเดียวกนั หรอืนับถอื สำสนำร่วมกนั เช่น ชำวไทย ชำวจีน ชำวไร่ ชำวนำ ชำวประมง ชำวพทุ ธ นกั หมำยถงึ ผู้ ผชู้ อบ ผู้ชำนำญ หรอื ผู้มอี ำชีพในทำงนน้ั ๆ เช่น นกั เรียน นกั ท่องเทยี่ ว นักดนตรีนกั แสดง นกั เขียน นกั ขำ่ ว ผู้ หมำยถึง คนหรอื สิ่งท่ีถือเสมอคน เชน่ ผู้ดี ผู้ร้ำย ผู้ปกครอง ผทู้ รงศลี หมอ หมำยถึง ผู้รู้ ผชู้ ำนำญ หรือผรู้ ักษำโรค เชน่ หมอควำม หมอขวัญ หมอตำแย หมอฟันหมอลำ หมอผำ่ ตัด  คาประสมแบง่ ออกได้ ดงั น้ี 1. คำประสมทมี่ คี วำมหมำยคงเคำ้ ควำมหมำยเดมิ เชน่ เช่น มดแดง เตำรดี รถไฟ 2. คำประสมทมี่ ีควำมหมำยใหม่ เชน่ ลูกสะใภ้ ลูกเขย เทำ้ ไฟ ลกุ เสือ 3. คำประสมทีน่ ำคำเหมือนกนั หรือควำมหมำยเหมือนกันมำประสมกนั เช่น แตะต้อง ตัดสินเลก็ นอ้ ย 4. คำประสมทสี่ ร้ำงจำกคำสมำสในภำษำบำลีและสนั สกฤต เชน่ กลเมด็ ทนุ ทรัพย์ ผลไม้ 5. คำประสมที่ยอ่ จำกขอ้ ควำมทมี่ ีควำมยำว เชน่ ชำวไร่ = ผู้ชำนำญกำรทำไร่ หมอดู = ผทู้ ำนำยโชคชะตำ รถยนต์ = รถทใี่ ช้เคร่ืองยนต์

42 3.2 คาซ้า คอื กำรนำคำเดียวกันมำซ้ำกนั เพือ่ ใหม้ คี วำมหมำยเปลย่ี นไป ซึ่งควำมหมำยนั้นจะเพม่ิ หรือลดน้อยลงก็ได้ คำซ้ำแบง่ ออกได้ ดังน้ี 1. คำซำ้ ทบ่ี อกพหูพจน์ คือ จำนวนท่ีมีตัง้ แตส่ องขึ้นไป เชน่ เดก็ ๆ พๆี่ เพอ่ื นๆ 2. คำซำ้ ที่เกิดจำกกำรเลียนเสียงธรรมชำติ ประเภทเสยี งสตั ว์ หรือกำรกระทำของคนแบบต่ำงๆเชน่ โครมๆ เปรยี้ งๆ เหมียวๆ บ๊อกๆ 3. คำซำ้ ทีเ่ น้นใหเ้ กดิ ควำมหมำยหนกั แน่นยงิ่ ข้นึ เช่น สีเขียวๆ ลูกแดงๆ เดินเร็วๆ กินนอ้ ยๆ 4. คำซำ้ ที่บอกแยกจำนวน เช่น เป็นก้อนๆ เป็นชน้ั ๆ เปน็ แถวๆ เป็นวนั ๆ 5. คำซ้ำกนั ในคู่ คือ ซ้ำกัน 2 คู่ ซงึ่ คำหนำ้ เปน็ คำเดยี วกัน คำหลงั อำจมคี วำมหมำยใกลเ้ คยี งหรือคล้ำยกนั เช่น รดู้ ำรแู้ ดง ตกอกตกใจ ผเี ขำ้ ผอี อก คำหนงั คำเขำ กินเศษกนิ เลย เปน็ ปำกเป็นเสียง 6. คำซ้ำทก่ี รอ่ นคำหน้ำใหเ้ ป็นเสียงอะ เพ่อื ให้มีควำมไพเรำะในกำรออกเสยี ง ซึง่ ในภำษำสนั สกฤต เรยี กวำ่ คำอพั ยำต ถ้ำในภำษำบำลี เรียกวำ่ คำอพั ภำส เชน่ ครืน้ ครน้ื เป็น คระครนื้ , ริกริก เป็น ระรกิ ,วับวับ เปน็ วะวบั ฯลฯ 3.3 คาซอ้ น หมำยถึง คำประสมชนิดหน่งึ โดยกำรนำคำทม่ี ีควำมหมำยเหมอื นหรอื คล้ำยคลึงกนั มำเรยี งซอ้ นกัน เพือ่ ต้องกำรให้คำนั้นชดั เจนขน้ึ เช่น บ้ำนเรอื น เงนิ ทอง เดียวดำย มำกมำย ปกปิด อึดอัด ดูแล ฯลฯ  ลกั ษณะของคาซอ้ น 1. คำทมี่ คี วำมหมำยเหมอื นกนั หรอื คลำ้ ยกันมำซอ้ นกัน เพื่อใหเ้ กดิ ควำมหมำยใหม่ เช่น กักขงัขดั แย้ง คดโกง คัดลอก ชกต่อย ทบุ ตี บอกกลำ่ ว ปิดบงั ผูกพัน มดื ค่ำ เรยี กร้อง หลงลืม 2. นำคำที่มีควำมหมำยตรงข้ำมมำซ้อนกนั ควำมหมำยอำจจะอยู่ทคี่ ำทัง้ สองคำ หรอื ควำมหมำยอำจเปลย่ี นไป เช่น ดรี ้ำย เทจ็ จรงิ ยำกง่ำย มำกน้อย หนกั เบำ ยำกดีมีจน บำปบุญคณุ โทษ ตนื้ ลกึ หนำบำง 3. นำคำท่มี เี สยี งพยัญชนะต้นเสยี งเดียวกนั แต่เสียงสระตำ่ งกนั มำซอ้ นกัน เช่น - สระอึ กับ สระอะ เช่น กุกกกั กบุ กบั ขลุกขลกั ตึงตงั ปงึ ปงั ยบุ ยับ - สระอุ กับ สระอะ เช่น กกุ กกั กบุ กบั ขลุกขลกั ปุ๊บป๊ับ หมุบหมบั - สระอู กบั สระอี เช่น คู่คี่ จู้จ้ี จจู ๋ี ยู่ยี่ สสู ี ดูดี๋ บ้บู ี้

43 - สระเอะ กบั สระอะ เชน่ เกะกะ เปะปะ เอะอะ - สระเอ กับ สระ ไอ เชน่ เกไก เฉไฉ ไถลไถล - สระออ กับ สระแอ เชน่ กรอบแกรบ กลอ้ มแกลม้ งอแง งอมแงม ท้อแท้ วอแว วอกแวก 4. นำคำทม่ี สี ระเหมอื นกันมำซ้อนกนั เช่น ซอมวอ่ เละเทะ เยนิ่ เย้อ เรื่อยเฉอื่ ย อึมครมึข้อสงั เกต คำซอ้ นเพอ่ื เสียงน้ี แม้บำงคำอำจมคี วำมหมำยท่คี ำใดคำหน่ึง แต่สว่ นใหญค่ วำมหมำยอย่ทู ่ที ั้งสองคำ 3.4 การสมาส คอื วธิ กี ำรผสมคำของภำษำบำลแี ละสันสกฤต ไทยได้นำมำดัดแปลง เปน็ วิธกี ำรสมำสแบบไทย  วิธีการสรา้ งคาสมาส คำสมำสสรำ้ งได้ 2 แบบ คอื 1.แบบเรยี งคำเข้ำต่อกันโดยไมเ่ ปลย่ี นแปลงรูปศพั ท์ เรำเรยี กว่ำ กำรสมำส 2.แบบเรียงคำโดยเปลย่ี นแปลงบำงสว่ นของรปู ศพั ท์ เพือ่ ให้เกดิ กำรกลมกลืนเสียง เรยี กว่ำ กำรสนธิ  หลกั สงั เกตคาสมาส 1.ต้องเปน็ คำที่มำจำกภำษำบำลสี นั สกฤตเท่ำนน้ั เช่น กรมธรรม์ กรรมกร ธนบัตร ยทุ ธวิธี รฐั บรุ ษุ สริ พิ รพุทธมำรดำ มหำนคร 2.ควำมหมำยหลกั อยทู่ ่คี ำหลงั โดยมีคำหนำ้ เป็นคำขยำย เม่ือแปลควำมหมำยจงึ แปลจำกหลังมำหน้ำเช่น มหำรำช หมำยถงึ พระรำชำผยู้ ่งิ ใหญ่ ยทุ ธกำร หมำยถึง กำรรบ 3. พยำงคส์ ดุ ท้ำยของคำหน้ำ เม่อื มำสมำสกบั คำหลังต้องไมป่ ระวิสรรชนีย์ เช่น ธุรกิจ พลศกึ ษำลักษณนำม ทักษสมั พนั ธ์ วำตภยั สำธำรณสขุ อรยิ สงฆ์ อำรยชน อิสริยยศ 4. พยำงค์สดุ ท้ำยของคำหนำ้ เม่ือมำสมำสกบั คำหลัง ตอ้ งไมม่ ีเครื่องหมำยทัณฑฆำต เชน่กำญจนบรุ ี ไปรษณียบตั ร ทัศนยี ภำพ มนุษยสมั พนั ธ์ สัตวแพทย์ สัมพันธภำพ สมั ฤทธผิ ล

445. คำทมี่ ำสมำสกนั จะอ่ำนออกเสยี งตอ่ เนอ่ื งกัน ยกเวน้ แต่จะอำ่ นตำมควำมนยิ ม ซ่งึ พจนำนกุ รมมักใหอ้ ำ่ นได้ 2 แบบ เช่นปรำกฏกำรณ์ อ่ำนว่ำ ปรำ-กด-ตะ-กำน , ปรำ-กด-กำนมธั ยมศึกษำ อำ่ นวำ่ มัด-ทะ-ยม-มะ-สึก-สำ , มัด-ทะ-ยม-สึก-สำ 3.5 การสนธิ คอื กำรกลมกลืนหน่วยเสียงของภำษำบำลสี ันสกฤต  หลักสงั เกตคาสนธิ กำรสนธเิ ปน็ วิธหี นงึ่ รวมอยูใ่ นคำสมำส แตม่ ีข้อแตกตำ่ งท่ีควรสงั เกตเพมิ่ จำกกำรสมำส ดงั นี้ 1. มีกำรกลมกลนื เสยี งสระทพี่ ยำงค์ท้ำยของคำหน้ำ กับพยำงค์หนำ้ ของคำหลัง เรียกว่ำสระสนธิ เชน่ นลิ +อบุ ล = นลิ ุบล รำช+โอวำท = รำโชวำท วทิ ย+อำคำร = วิทยำคำร รำช+อุปโภค = รำชูปโภค ธน+ู อำคม = ธนั วำคม ศลิ ป+อำกร = ศิลปำกร สขุ +อุทยั = สโุ ขทัย 2. มีกำรกลมกลืนเสยี งพยัญชนะ เรยี กว่ำ พยญั ชนะสนธิ ในภำษำไทยมีใช้ไม่มำก เชน่ คำที่ข้ึนต้นดว้ ย ทรุ (พจนำนุกรมอธบิ ำยว่ำ ทรุ เดิมเปน็ ทุส แผลงเปน็ ทุร เมอื่ อยหู่ นำ้ อกั ษรค่ำ) ได้แก่ ทุส+คม เป็น ทุร+คม หมำยถงึ ไปลำบำก , ไปถงึ ยำก ทสุ +ชน เป็น ทุร+ชน หมำยถึง คนช่ัวรำ้ ย ทสุ +ชำติ เป็น ทุร+ชำติ หมำยถึง ชำติชั่ว ทสุ +พล เปน็ ทุร+พล หมำยถงึ มีกำลงั นอ้ ย , อ่อนแอ , ท้อแท้4.ชนิดของคาไทย อุปกติ ศิลปสำร, พระยำ (2546 : 70) ได้แบง่ คำในภำษำไทยออกเปน็ 7 ชนดิ คือ

45 1.คำนำม 2.คำสรรพนำม 3.คำกริยำ 4.คำวิเศษณ์ 5.คำบพุ บท 6.คำสนั ธำน 7.คำอุทำน 1. คานาม คือ คำทใ่ี ชเ้ รียกช่ือคน สัตว์ สงิ่ ของ แบง่ เปน็ 5 ชนิด คือ 1.1 สามานยนาม คอื นำมทใ่ี ช้เป็นชอ่ื ทัว่ ๆไป เชน่ หนู เปน็ โตะ๊ บำ้ น โรงเรยี น 1.2 วสิ ามานยนาม คอื นำมชอ่ื เฉพำะ เชน่ หลินปิง นำยภำณุเดช โรงเรียนสตรีวทิ ยำ 1.3 สมหุ นาม คือ นำมทเี่ ปน็ หม่คู ณะ เช่น ฝูง โขลง กอง หรือคำนำมทม่ี ีควำมหมำยไปในทำงจำนวนมำก เชน่ รฐั บำล องค์กำร กรม บรษิ ทั ชมรม 1.4 ลักษณนาม คอื คำนำมที่บอกลกั ษณะของนำม มกั ใช้ตำมหลงั คำวเิ ศษณท์ ี่บอกจำนวนนบั เชน่ นำฬกิ ำ 5 เรือน ภิกษุ 5 รูป ช้ำงป่ำ 1 ตัว ช้ำงบำ้ น 1 เชอื ก 1.5 อาการนาม คือ นำมทเี่ ปน็ ชื่อกรยิ ำอำกำร ในภำษำไทยเรำมกั มคี ำว่ำ การ และความ นำหน้ำ เช่น กำรกนิ กำรนอน ควำมดี ควำมจน ควำมสุขอัน เช่น 2.คาสรรพนาม คอื คำท่ีใช้แทนคำนำม แบ่งเป็น 6 ชนดิ คอื 2.1 บุรษุ สรรพนาม คอื สรรพนำมทใี่ ชแ้ ทนเวลำพูดจำกัน แบ่งเป็น บุรุษที่ 1 ใชแ้ ทนผูพ้ ดู เชน่ ผม ฉนั ขำ้ พเจ้ำ อำตมำ ขำ้ พระพทุ ธเจำ้ บรุ ษุ ท่ี 2 ใช้แทนผฟู้ งั เช่น คณุ เธอ ทำ่ น ใต้เท้ำ ฝ่ำพระบำท บุรษุ ที3่ ใช้แทนผูท้ ก่ี ลำ่ วถงึ เชน่ เขำ แก มนั ทำ่ น พวกเขำ 2.2 ประพันธสรรพนาม คอื คำสรรพนำมทใ่ี ช้แทน (เช่ือม) คำนำมทอ่ี ย่ขู ้ำงหนำ้ ได้แก่ ที่ ซ่งึ คนทอ่ี อกกำลงั กำยอยเู่ สมอ ร่ำงกำยมกั แข็งแรง

46ประเทศบรำซลิ ซ่งึ เป็นเจำ้ ภำพจัดกำรแข่งขันฟุตบอลโลก กำลังมีชือ่ เสียงโดง่ ดงั มำกศลี อนั พึงปฏิบัติ คอื ศีลหำ้เขำผไู้ มเ่ คยก้มหวั ใหใ้ ครคัดคำ้ นโครงกำรน้ี 2.3 นิยมสรรพนาม คอื สรรพนำมที่กำหนดควำมให้รู้แนน่ อน ไดแ้ ก่ น่ี น่นั โน่น หรือ นี้ นน้ัโนน้ เช่น นเ่ี ป็นเพ่ือนฉนั น่ันอะไรนะ โน่นของเธอไงละ่ โน้นคือที่หมำยของเรำ 2.4 อนิยมสรรพนาม หมำยถงึ สรรพนำมที่แทนสง่ิ ท่ไี มท่ รำบ คือ ไม่ช้เี ฉพำะลงไป และไม่ได้กลำ่ วในเชิงถำมหรอื สงสยั ไดแ้ ก่ ใคร อะไร ไหน ใด ผู้ใด เช่น ใครขยันก็สอบไลไ่ ด้เขำเป็นคนที่ไมส่ นใจอะไรผ้ใู ดพำกเพียรวันนี้ ผูน้ ้นั สบำยวนั หลังไหนๆฉันกไ็ ปได้2.5 ปฤจฉาสรรพนาม หมำยถึงคำสรรพนำมท่ใี ช้เปน็ คำถำม ไดแ้ ก่ อะไร ใคร ทีไ่ หน แหง่ ใด เช่นใครอย่ทู นี่ น่ัอะไรเสยี หำยบ้ำงไหนละ่ โรงเรยี นของเธอข้อสงั เกต คำอนิยมสรรพนำมกบั ปฤจฉำสรรพนำม ตำ่ งกนั ท่ีควำมในประโยค ถำ้ เป็นคำถำมกเ็ ปน็ ปฤจฉำสรรพนำมเชน่ปฤจฉาสรรพนาม อนยิ มสรรพนามใครทำแก้วแตก ใครไม่ดหู นงั สือกส็ อบตก

47เขำดูอะไร อะไรกส็ อู้ อกกำลงั กำยไม่ได้เขำไปที่ไหน ท่ไี หนฉันกอ็ ยู่ได้ 2.6 วิภาคสรรพนาม หมำยถึง คำสรรพนำมท่ใี ช้แทนคำนำม ซงึ่ แสดงใหเ้ ห็นว่ำ นำมน้ันจำแนกออกเปน็ หลำยส่วน ไดแ้ ก่ ต่าง บา้ ง กนั เชน่นักเรยี นบ้างเรียนบ้างเลน่ทกุ คนต่างก็มสี ิทธเิ ท่ำเทยี มกันเขำตีกนั 3. คากรยิ า คือ คำทแี่ สดงอำกำรของนำม สรรพนำม แสดงกำรกระทำในประโยค แบ่งออกเปน็4 ชนดิ คือ3.1 สกรรมกรยิ า คอื คำกริยำทตี่ อ้ งมีกรรมมำรบั เชน่ฉันกินข้ำวเขำเหน็ นกพอ่ ล้างรถแมวจอ้ งจ้ิงจก 3.2 อกรรมกรยิ า คอื คำกรยิ ำท่ีไม่ต้องมกี รรมมำรบั ก็สำมำรถทำให้ประโยคมใี จควำมสมบรู ณ์ เช่นรถตดิไก่ขันฟำ้ ร้องนอ้ งหวั เราะ 3.3 วิกตรรถกริยา คือ กรยิ ำที่ต้องอำศยั สว่ นเตมิ เตม็ เพือ่ ประกอบประโยคให้มใี จควำมสมบรู ณ์เนอ่ื งจำกเปน็ กรยิ ำทีไ่ ม่ได้แสดงควำมเปน็ ผู้กระทำ ดงั นนั้ จงึ ไมต่ ้องอำศัยกรรม ได้แก่ เป็น เหมอื น คล้าย เท่า คอืเช่น

48 ผมเป็นนกั เรยี น ลกู คนนค้ี ลา้ ยพอ่ เขำคอื ครูของฉันเอง รองเท้ำ 2 คูน่ ี้เหมอื นกัน ลูกโปง่ 3 ใบนี้เท่ากนั เลย 3.4 กรยิ านเุ คราะห์ คอื กรยิ ำท่ีทำหนำ้ ทชี่ ว่ ยกริยำอ่ืนทตี่ ำมมำใหม้ คี วำมหมำยชดั เจนยิ่งข้นึ และชว่ ยบอกกำลหรอื กำรกระทำ ไดแ้ ก่ จง กาลงั จะ ยอ่ ม คง ยัง ถูก นะ เถอะ เทอญ เช่น นำยแดงจะไปโรงเรียน เขำถกู ตี เธอรบี ไปเถอะ น้องกาลงั ทำกับขำ้ ว 4.คาวิเศษณ์ คือ คำทป่ี ระกอบคำอื่นเพ่ือใหไ้ ด้ควำมชัดเจนยงิ่ ขึน้ แบง่ เปน็ 10 ชนิด คือ 4.1 ลักษณวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณข์ ยำยนำม สรรพนำม หรอื กริยำ เพ่ือบอกลักษณะต่ำงๆเช่น บอกชนิด ขนาด สัณฐาน สี เสียง กลิ่น รส อาการ สมั ผสั เชน่ เล็ก แบน ขาว เหมน็ หอม เปรีย้ ว เช่น ภเู ขำสูงจรงิ มะม่วงผลนมี้ ีรสเปรีย้ ว นกั เรียนดีต้องอำ่ นหนังสือ 4.2 กาลวเิ ศษณ์ คอื คำวิเศษณท์ ่ีขยำยคำอนื่ เพ่อื บอกเวลำ เชน่ เรว็ กอ่ น เชา้ สาย บา่ ยเย็น คา่ นาน เสมอ เชน่ เขำมำโรงเรียนสาย เรำหยดุ พักงำนตอนเทย่ี ง ฉนั ต่ืนเช้าเสมอ 4.3 สถานวเิ ศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ทป่ี ระกอบเพือ่ บอกสถำนท่ี ไดแ้ ก่ บน ล่าง เหนือ ใน นอกใกล้ ไกล เช่น

49 เขำอยู่ไกล เขำเลือกทำงำนที่น่ี เพรำะบำ้ นเขำอยู่ใกล้ข้อสงั เกต คำชนิดนถ้ี ำ้ มคี ำนำมหรอื สรรพนำมตำมหลงั นับเป็นคำบุพบท เช่น เขำอยู่บน (วิเศษณ์) เขำอยู่บนบำ้ น (บุพบท) 4.4 ประมาณวิเศษณ์ คือ คำวเิ ศษณท์ ่ีประกอบเพ่อื บอกปรมิ ำณ เชน่ น้อย มาก จุ ทัง้ ปวงจำแนก เปน็ 4 พวก 4.4.1 บอกจำนวนจำกดั ไดแ้ ก่คำ หมด สนิ้ ทงั้ ปวง บรรดำ 4.4.2 บอกจำนวนไมจ่ ำกัด ไดแ้ ก่คำ จุ มำก หลำย 4.4.3 บอกจำนวนนับ เชน่ หนง่ึ สอง ทหี่ น่งึ 4.4.4 บอกจำนวนแบง่ แยก เช่น ตำ่ ง บ้ำง 4.5 นยิ มวิเศษณ์ คือ คำวเิ ศษณท์ ่ีประกอบเพอ่ื บอกควำมชเี้ ฉพำะ ไดแ้ ก่ น้ี น้ัน โน้น ทเี ดยี วแนน่ อน เฉพาะ เชน่ เขำอยบู่ ้ำนหลังน้ี คนน้ันพูดจรงิ ทำจริง ฉันเรียนวชิ ำเฉพาะไม่ใช่เรยี นวิชำท่ัวไป 4.6 อนยิ มวเิ ศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ทใี่ ช้ประกอบเพอ่ื บอกควำมไมช่ เ้ี ฉพำะ อีกทง้ั ไมใ่ ช่คำถำมหรอื แสดงควำมสงสยั ไดแ้ ก่ อื่น อื่นๆ ใคร ใครๆ อะไร ฉันใด เช่น เธอจะมำเวลำใดก็ได้ เธอจะทำอยา่ งไรกท็ ำเถอะ อะไรๆฉันกท็ ำนได้ ใครจะไปก็เชิญ

50 4.7 ปฤจฉาวเิ ศษณ์ คือ คำวเิ ศษณท์ ่เี ปน็ คำถำม หรือแสดงควำมสงสยั ไดแ้ ก่ อะไร ไฉน ใดเหตไุ ร อยา่ งไร เช่น ตวั อะไรอยู่ใตโ้ ต๊ะ เขำกำลงั คดิ อะไรนะ ทาไมเธอจงึ ทำอยำ่ งน้ี บำ้ นเธออย่ทู ไ่ี หน 4.8 ประติเษธวเิ ศษณ์ คอื คำวิเศษณท์ แ่ี สดงควำมปฏิเสธ ได้แก่ ไม่ ไม่ได้ มิได้ ไมใ่ ช่ หามไิ ด้เช่น ผมไมไ่ ดท้ ำสงิ่ นัน้ เขำไม่เคยตัง้ ใจเรยี นเลย ร่ำงกำยเรำจะอยู่คงทนหามิได้ 4.9 ประตชิ ญาวิเศษณ์ ได้แก่ คำวิเศษณท์ ี่ใช้ในกำรพดู จำกนั เชน่ คำจำพวกขำนรบัคำรับรอง ได้แก่ คะ ค่ะ ขา ครับ จ๊ะ ขอรับ เชน่ คุณคะมีคนมำหำค่ะ แม่จา๋ หนหู วิ ข้ำว คณุ ครูขา คุณพอ่ หนมู ำหำคะ่ 4.10 ประพนั ธวเิ ศษณ์ คือ คำวิเศษณท์ ่ีทำหนำ้ ทเ่ี ช่ือมคำหรอื ควำมท่มี ำขำ้ งหน้ำ ไดแ้ ก่ ที่ซง่ึ อัน อย่ำงท่ี ชนิดที่ ให้ วำ่ ทีว่ ำ่ คือ เผ่อื เพ่อื ให้ เพ่ือวำ่ เชน่ เขำคิดอย่ำงท่ีเธอคดิ เขำทำควำมดีอนั หำท่สี ุดมไิ ด้ พอ่ เกบ็ เงนิ ไว้เพอื่ ให้ลูกได้เรียนหนงั สอืข้อสังเกต ระหว่ำงประพนั ธสรรพนำมกบั ประพันธวิเศษณ์ แม้จะมบี ำงคำเหมือนกัน เชน่ ท่ี ซ่งึ อนั แต่มขี อ้ แตกตำ่ งกัน ดงั นี้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook