Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารสรุปเนื้อหาที่ต้องรู้และเก็งข้อสอบวิชาสุขศึกษา รหัสวิชาทช21002

เอกสารสรุปเนื้อหาที่ต้องรู้และเก็งข้อสอบวิชาสุขศึกษา รหัสวิชาทช21002

Published by natkrit.golf, 2021-08-20 23:41:23

Description: เอกสารสรุปเนื้อหาที่ต้องรู้และเก็งข้อสอบวิชาสุขศึกษา รหัสวิชาทช21002

Search

Read the Text Version

กศน.อําเภอเ ้กาเลี้ยวKHAOLEAW NFE – เก็งตรงเนอื้ หาทอี่ อกสอบ โดย ครู กศน. : ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น

กศน.อําเภอเ ้กาเลี้ยวเอกสารสรุปเนอื้ หาท่ีตอ้ งรู้และคลงั ข้อสอบปลายภาคเรยี น รายวชิ า สุขศกึ ษา พลศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ รหสั ทช 21102 หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอเกา้ เลี้ยว สานกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวดั นครสวรรค์ กระทรวงศึกษาธิการ

-ก คานา กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาทุกระดับการศึกษา สานักงาน กศน. ในฐานะ ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมายประชาชนทั่วไปท่ีอยู่นอกระบบ โรงเรียน โดยใช้หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ในการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมาย ดังกลา่ ว และเพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายของ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารในการยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ ผู้เรียน กศน. หลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้สูงขึ้น ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอเก้าเลี้ยว จึงได้จัดทาสรุปเนื้อหาท่ีต้องรู้และเก็งข้อสอบ ซ่ึงจะทาให้ผเู้ รียนเขา้ ถงึ ส่อื ไดส้ ะดวก รวดเร็ว อนั จะสง่ ผลใหผ้ ู้เรียนมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ดขี ึ้น สรุปเน้ือหาทตี่ อ้ งรู้ มีเนือ้ หามาจากการนาหนังสือเรยี นของสานกั งาน กศน. มาสรุปเนื้อหา ประเด็นสาคัญ ท่สี อดคลอ้ งตามผงั การออกข้อสอบในแตล่ ะรายวิชาของสานกั งาน กศน. เก็งข้อสอบ จัดทาขึ้นสาหรับนักศึกษา กศน.ใช้เป็นคู่มือในการเตรียมตัวสอบเก็บคะแนน สอบกลางภาค และสอบปลายภาค รวมทั้งใช้เป็นคู่มือในการเตรียมตัวสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการทดสอบทาง การศึกษาระดับชาติด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน (N-Net) ตรงตามมาตรฐานและตัวชี้วัดหลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อประเมินความพร้อมของนักศึกษาก่อนสอบจริง นอกจากน้ีนกั ศึกษายังได้ทบทวนเน้ือหาเพอ่ื เป็นการเสริมสร้างความรู้ เพิ่มพูนความเข้าใจและประสบการณ์ ทาให้ นกั ศึกษาเกดิ ความมัน่ ใจและพร้อมท่ีจะนาไปประยกุ ต์ใชเ้ พื่อการสอบจริงได้อกี ด้วย ทั้งนี้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอเก้าเล้ียว หวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะเป็น ประโยชน์กับผู้เรียน กศน. หลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตาม สมควร จึงขอขอบคุณ กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา ผู้อานวยการ และ ครูผู้สอน และผู้เกี่ยวข้อง มา ณ โอกาสน้ี กศน.อาเภอเกา้ เลยี� ว พ.ศ.2564 กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว

สารบัญ -ข คานา หนา้ สารบญั ก สารบญั (ต่อ) ข คาแนะนาการใช้เอกสารสรุปเนือ้ หาและเกง็ ข้อสอบที่ต้องรู้ ค บทท่ี 1 พัฒนาการของร่างกาย ง เร่อื งที่ 1 โครงสรา้ ง หนา้ ท่กี ารทางาน และการดูแลรักษาระบบตา่ ง ๆกศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว ของร่างกาย เร่อื งที่ 2 พฒั นาการและการเปลยี่ นแปลงตามวัยดา้ นร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา บทที่ 2 การดแู ลรกั ษาสุขภาพ เรอ่ื งท่ี 1 หลกั การดูแลสขุ ภาพเบื้องตน้ การดูแลสุขภาพตามหลกั 5 อ. เร่อื งที่ 2 การออกกาลังกาย รปู แบบและวิธีการออกกาลังกายเพอ่ื สุขภาพ เรือ่ งที่ 3 สขุ ภาพทางเพศ เรื่องท่ี 4 พฤติกรรมทีน่ าไปสู่การลว่ งละเมดิ ทางเพศ และการต้ังครรภท์ ีไ่ ม่พึงประสงค์ บทที่ 3 สารอาหาร เรื่องท่ี 1 ปัญหาสขุ ภาพทเ่ี กิดจากการบรโิ ภคอาหารไม่ถกู โภชนาการ เรอ่ื งที่ 2 ปรมิ าณความตอ้ งการสารอาหารตามเพศ วยั และสภาพร่างกาย เรอ่ื งท่ี 3 วิธีการประกอบอาหารเพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร บทที่ 4 โรคระบาด เรอ่ื งที่ 1 สาเหตุ อาการ การปอ้ งกนั และการรักษาโรคทเ่ี ป็นปัญหาสาธารณสุข บทที่ 5 ยาแผนโบราณและยาสมุนไพร เร่อื งท่ี 1 หลักและวิธกี ารใช้ยาแผนโบราณและยาสมนุ ไพร เรื่องท่ี 2 อนั ตรายจากการใช้ยาแผนโบราณและยาสมนุ ไพร บทที่ 6 การปอ้ งกันสารเสพติด 69 เรือ่ งท่ี 1 ปัญหา สาเหตุ ประเภทและชนิดของสารเสพตดิ และการป้องกนั แก้ไข 70 เรอ่ื งที่ 2 ลกั ษณะอาการของผ้ตู ดิ สารเสพติด 72 เรือ่ งท่ี 3 อันตราย การปอ้ งกันและการหลกี เล่ยี งการพฤติกรรมเสี่ยงตอ่ สารเสพติด 74 เรื่องท่ี 4 การปอ้ งกนั และการหลกี เล่ยี งการตดิ สารเสพติด

-ค สารบญั (ต่อ) บทที่ 7 อบุ ตั ิเหตุ อบุ ัตภิ ยั เรื่องท่ี 1 ปญั หา สาเหตขุ องการเกดิ อุบัติเหตุ อุบัตภิ ยั และภยั ธรรมชาติ เรื่องท่ี 2 การป้องกันอนั ตรายและหลกี เล่ียงพฤติกรรมเสี่ยงท่จี ะนาไปสคู่ วาม ไม่ปลอดภยั จาก อุบตั เิ หตุ อุบัตภิ ัย และภยั ธรรมชาติ เรอื่ งท่ี 3 เทคนิค วธิ ีการขอความช่วยเหลอื และการเอาชวี ิตรอด เมอื่ เผชิญ อันตราย และสถานการณค์ บั ขนั เรือ่ งที่ 4 การปฐมพยาบาลเม่ือไดร้ บั อนั ตรายจากอุบัติเหตุ อบุ ัติภยั จากภัยธรรมชาติ บทที่ 8 ทักษะชวี ติ เพ่ือการสื่อสาร เรอื่ งที่ 1 ความหมาย ความสาคญั ของทักษะชวี ติ 10 ประการ เร่อื งที่ 2 ทักษะชีวิตท่ีจาเป็น 3 ประการ บทที่ 9 อาชพี แปรรปู สมนุ ไพร เรือ่ งท่ี 1 สมนุ ไพรกับบทบาททางเศรษฐกจิ เรือ่ งที่ 2 การแปรรูปสมนุ ไพรเพื่อการจาหนา่ ย เรื่องที่ 3 การขออนญุ าตผลิตภณั ฑ์อาหารและยา (อย.) เก็งข้อสอบ สาหรบั นกั ศึกษา เฉลยข้อสอบ กศน.อําเภอเ ้กาเลี้ยว

-ง คาแนะนาการใช้เอกสาร หนังสือสรุปเน้ือหาท่ีต้องรู้และเก็งข้อสอบ รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา เล่มน้ี เป็นการสรุปเนื้อหาจาก หนงั สือเรยี น กศน. รายวิชาสุขศึกษา พลศึกษา รหัส ทช 21002 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554) โดยสรุปเนื้อหาที่ต้องรู้ มี เนื้อหามาจากการนาหนังสือเรียนของสานักงาน กศน. มาสรุปเนื้อหา ประเด็นสาคัญท่ีสอดคล้องตามผังการออก ข้อสอบในแต่ละรายวิชาของสานักงาน กศน. และเก็งข้อสอบ จัดทาขึ้นสาหรับนักศึกษา กศน.ใช้เป็นคู่มือในการ เตรียมตัวสอบเก็บคะแนน สอบกลางภาค และสอบปลายภาค รวมทั้งใช้เป็นคู่มือในการเตรียมตัวสอบวัด ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน (N-Net) ตรง ตามมาตรฐานและตัวช้ีวัดหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือ ประเมินความพร้อมของนักศึกษาก่อนสอบจริง นอกจากนี้นักศึกษายังได้ทบทวนเนื้อหาเพ่ือเป็นการเสริมสร้าง ความรู้ เพ่ิมพูนความเข้าใจและประสบการณ์ ทาให้นักศึกษาเกิดความมั่นใจและพร้อมที่จะนาไปประยุกต์ใช้เพื่อ การสอบจริง เพ่ือให้นักศึกษาได้เรียนรู้และทาความเข้าใจในเน้ือหาสาระและเก็งข้อสอบของรายวิชาสุขศึกษา พลศึกษา รหัส ทช 21002 ท่ีสาคัญ ๆ ได้สะดวกและสามารถเข้าใจย่ิงขึ้น ในการศึกษาสรุปเนื้อหาที่ต้องรู้และเก็งข้อสอบ เล่มน้ี นักศกึ ษาควรปฏบิ ัติ ดงั น้ี 1.ศึกษาเนื้อหาสาระของหนังสือสรุปเนื้อหาท่ีต้องรู้หนังสือเรียน รายวิชาสุขศึกษา พลศึกษา รหสั ทช 21002 ให้เขา้ ใจอย่างถอ่ งแท้ 2.เมือ่ ศกึ ษาเนอ้ื หาต้องรู้เขา้ ใจอย่างถ่องแท้แลว้ ฝึกทาข้อสอบและตรวจคาตอบจากเฉลย 3.หากนักศึกษาตอ้ งการศึกษารายละเอยี ดเนอ้ื หาสาระรายวิชาสุขศึกษา พลศึกษา รหัส ทช 21002 เพิม่ เติมสามารถศึกษาค้นคว้าไดจ้ ากส่ืออน่ื ๆ ในหอ้ งสมดุ ประชาชน อินเทอรเ์ น็ต หรือครูผู้สอน กศน.อําเภอเ ้กาเลี้ยว

สรปุ เนือ้ หาทต่ี ้องรู้กศน.อําเภอเ ้กาเลี้ยว สาหรับนกั ศึกษา กศน.

บทที่ 1 พฒั นาการของรา งกาย เร่ืองท่ี 1 โครงสรา ง หนา ที่การทาํ งาน และการดแู ลรกั ษาระบบตาง ๆ ท่ีสาํ คัญ ของรางกาย 5 ระบบ การทํางานของระบบอวัยวะตาง ๆ ของรางกาย ประกอบดวยโครงสรางท่ีสลับซับซอน จําแนกไดเปน 10 ระบบ ซึ่งแตละระบบก็จะทํางานไปตามหนาที่ และมีความสัมพันธตอกันในการ ทาํ งาน ในท่ีน้ีจะกลาวถึงการทํางานของระบบอวัยวะท่ีสําคัญของรางกาย 5 ระบบ คือ ระบบผวิ หนัง ระบบกลา มเน้ือ ระบบกระดกู ระบบไหลเวยี นโลหติ และระบบหายใจ กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว1. ระบบผวิ หนงั ผวิ หนังเปนอวยั วะทหี่ อหมุ รา งกาย ประกอบดวย 2 สว น คือ 1.1. หนังกาํ พรา เปนผวิ หนงั สวนบนสดุ ประกอบดวยเซลลบาง ๆ ตรงพื้นผิวไมมี นิวเคลียส และจะเปน สวนท่มี ีการหลุดลอกออกเปนขไ้ี คล แลวสรางเซลลข นึ้ มาทดแทนอยูเสมอ สว น ตา ง ๆ ที่เกิดข้ึนในช้ันผิวหนังกําพรา ไดแก เล็บมือ เล็บเทา ขน และผม สวนเซลลชั้นใน สุดทท่ี ําหนาที่ผลิตสีผวิ เรียกวา สเตรตัม เจอรมินาทวิ มั 1.2 หนังแท ผิวหนังแทอยูใตผิวหนังกําพรา หนาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ประกอบดว ย เนอื้ เยอื่ เกย่ี วพัน 2 ชั้น คือ 1.2.1. ช้ันบนหรอื ช้นั ตื้น เปน ชั้นทนี่ นู ยน่ื เขา มาแทรกเขาไปในหนังกําพรา เรียกวา เพบ็ พลิ ารี มีหลอดเลือด และปลายประสาทฝอย 1.2.2. ชัน้ ลางหรอื ชัน้ ลึก มไี ขมันอยู มีรากผมหรือขนและตอมไขมันอยูใน ชัน้ น้ี การปฏิบัติตนในการดูแลรักษาและการปองกันอาการผิดปกติของระบบ ผวิ หนัง ผวิ หนงั เปนอวัยวะภายนอกท่ีหอหุมรางกาย ชวยสงเสริมบุคลิกภาพของบุคคล และ บงบอกถงึ การมสี ุขภาพท่ีดแี ละไมดีของแตละคนดวย ดังน้ัน จึงจําเปนตองสรางเสริมและ ดูแลผวิ หนังใหม ีสภาพทีส่ มบูรณมีประสิทธิภาพในการทํางานอยเู สมอ ดังน้ี 1. อาบนา้ํ ชาํ ระลางรา งกายใหสะอาดดว ยสบอู ยางนอยวนั ละ 1-2 ครง้ั 2. ทาครีมบํารุงผวิ ที่มคี ณุ ภาพและเหมาะสมกบั ผวิ ของตนเอง 3. ทาครีมกันแดดกอนออกจากบานเมื่อตองไปเผชิญกับแดดรอนจัด เพื่อปอ งกนั อันตรายจากแสงแดดท่ีมีรังสีซง่ึ เปน อันตรายตอ ผวิ หนัง 4. สวมเส้ือผาท่ีสะอาดพอดีตัวไมคับหรือหลวมเกินไป และเหมาะสมกับ ภมู อิ ากาศตามฤดกู าล

โลหติ และทางเดินของโลหิต 1. โลหติ เปนของเหลวสแี ดงมีฤทธเิ์ ปน ดาง มคี วามเหนียวกวาน้ําประมาณ 5 เทา รางกายคนเรามีเลือดอยูประมาณ 10% ของนํ้าหนักตัว ในเลือดจะประกอบดวย พลาสมา มีอยูประมาณ 55% ของปริมาณเลือดในรางกายและมีเซลลเม็ดเลือด ซึ่งมีท้ังเม็ด เลือดแดงและเม็ดเลอื ดขาว และเกล็ดเลือด ซึง่ รวมกนั แลวประมาณ 45% ของปริมาณเลอื ด ในรา งกาย 2. หัวใจ จะมีขนาดประมาณกําปนของตนเอง ต้ังอยูในทรวงอกระหวางปอด ท้ัง 2 ขางพื้นที่ของหัวใจ 2 ใน 3 สวนจะอยูทางหนาอกดานซายของรางกาย ภายในหัวใจจะ แบงเปน 4 หอง ขางบน 2 หอง ขางลาง 2 หอง มีล้ินหัวใจก้ันระหวางหองบนและหองลาง แตละหองจะทําหนาท่ีตางกันคือ หองบนขวาจะรับเลือดเสียจากสวนตาง ๆ ของรางกายจาก หลอดเลอื ดดาํ หองลา งขวาจะรบั เลือดจากหองบนขวาแลว สงไปยงั ปอด ปอดจะฟอกเลอื ดดาํ ให เปน เลือดแดงเพอื่ นาํ ไปใชใ หม หองบนซายจะรับเลือดแดงจากปอด หอ งลา งซายจะรบั เลือดจาก หองบนซายแลว สงผา นหลอดเลอื ดแดงไปยงั สว นตา ง ๆ ของรางกาย 3. หลอดเลือด มี 3 ชนิด ไดแก หลอดเลือดแดง จะนําเลือดแดงจากหัวใจไป เล้ยี งเซลลตา ง ๆ ของรา งกาย หลอดเลือดดํา จะนําเลือดท่ีใชแลวจากสวนตาง ๆ ของรางกาย กลับสูห ัวใจ แลว สง ไปฟอกทปี่ อด หลอดเลอื ดฝอย เปนแขนงเล็ก ๆ ของทัง้ หลอดเลือดแดงและ หลอดเลือดดํา ผนังของหลอดเลือดฝอยจะบางมากมีอยูทั่วไปในรางกาย จะเปนที่แลกเปลี่ยน อาหาร กาซ และของเสียตาง ๆ ระหวางเลอื ดกบั เซลลของรางกาย เพราะอาหาร กาซ และของเสีย ตา ง ๆ สามารถซมึ ผา นได 4. นํ้าเหลืองและหลอดน้ําเหลือง นํ้าเหลืองเปนสวนหน่ึงของของเหลวใน รางกาย มีลักษณะเปนนํ้าสีเหลืองออนอยูในหลอดนํ้าเหลืองซ่ึงมีอยูท่ัวรางกาย นํ้าเหลืองจะ ประกอบดวย น้ํา โปรตีน เอนไซม แอนติบอดี และเซลลเม็ดเลือดขาว นํ้าเหลืองจะเปนตัวกลาง แลกเปลี่ยนสารตาง ๆ ระหวางเซลลและหลอดเลือดฝอย เซลลเม็ดเลือดขาวในตอมนํ้าเหลือง ชว ยกําจดั แบคทเี รียหรอื สิ่งแปลกปลอมตา ง ๆ กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวเรื่องท่ี 2 พฒั นาการและการเปล่ยี นแปลงตามวัย ดา นรางกาย อารมณ สงั คม และสติปญญา พฒั นาการทางอารมณ อารมณข องทารกแรกเกิดมักจะมีอารมณรัก อารมณโกรธ และอารมณ กลวั ทั้งน้พี อแมจะมีอิทธิพลในการพัฒนาอารมณต อ ทารกมากท่ีสดุ พฒั นาการดา นบคุ ลิกภาพ บุคลิกภาพของทารกมีการพัฒนามาตั้งแตกําเนิดเชนเดียวกับลักษณะ อ่ืน ๆ ของรายกาย โดยมีสิ่งแวดลอมและพันธุกรรมเปนตัวกําหนด จึงทําใหทารกแตละคนมี ความแตกตา งกันต้งั แตเกิด 2.1.2. วัยทารก พฒั นาการทางรา งกาย ระยะนี้ทารกเจริญเติบโตอยางรวดเร็ว จากแรกเกิดถึงอายุ 6 เดือน นา้ํ หนกั จะเพิ่มข้นึ รวดเร็วภายหลัง 6 เดือน ถงึ 3 ป นํา้ หนกั จะเร่ิมลดลงเน่อื งจากตองออกกําลัง กายในการฝก หดั อริ ยิ าบถตาง ๆ พฒั นาการทางอารมณ ทารกวัยแรกเกิดจะสงเสียงรองเม่ือไมพอใจ หรือโกรธเม่ือถูกขัดใจ จะเร่ิมกลวั สงิ่ รอบตวั สงิ่ ทไี่ มค ุนเคยจะถอยหนี รองไหเ มอ่ื ตอ งการขอความชวยเหลือจากผูใหญ จะเปน วัยท่มี คี วามอิจฉารษิ ยา เม่อื เหน็ พอแมเอาใจใสนองเปนพิเศษ ทําใหตนขาดความสําคัญ ไป อยากรูอยากเห็นสิ่งแปลก ๆ ใหม ๆ รูจักย้ิมหรือหัวเราะเมื่อมีความพอใจ จะรักและหวง แหนของเลน หรือรกั สตั วเ ล้ียง พัฒนาการทางภาษา ทารกเร่ิมเปลงเสียงออแอไดตั้งแตระยะ 6 เดือนแรก เชน ปอ มา ดา ฯลฯ ภายหลังจงึ ฝก หัดทําเสยี งเลียนแบบผูใกลชิด สามารถเขาใจคําพูด ความรูสึกท่ีแสดงออก ทางสีหนา ทาทาง น้ําเสียงของผูพูดได ในระหวางนี้ผูอยูใกลชิดควรเปนแบบอยางท่ีดีใหแก ทารก เชน การพูดชา ๆ ออกเสยี งใหชัดเจน พฒั นาการทางสตปิ ญญา พฒั นาการดานน้ีมอี ิทธพิ ลจากการไดเ ลนกับเพื่อน ๆ เขาใจภาษาที่พูด กับคนอื่น ตลอดจนการพัฒนากลามเน้ือบางสวนพัฒนาการทางสติปญญาของทารก จะเริ่มมี การเคลื่อนไหวโดยบงั เอิญและพอใจเพลิดเพลนิ เม่ืออายุ 18 เดือนข้ึนไป จะรูจักสรางความคิด รวบยอด รจู กั นําตัวตุก ตามาสมมตุ เิ ปน พ่นี อ งกันได

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว2.2. วยั เดก็ การแบงชวงอายุของวัยเดก็ โดยประมาณแบงไดเปน 3 ระยะ ไดแก วัยเด็กตอนตน อายุต้ังแต 2 - 5 ป วยั เด็กตอนกลาง อายุต้งั แต 5 - 9 ป วัยเดก็ ตอนปลาย อายุตั้งแต 9 - 12 ป 2.2.1. วัยเดก็ ตอนตน พัฒนาการทางรางกาย วัยเด็กตอนตนหรือวัยกอนเขาเรียน อายุ 2 – 5 ป อัตราการ เจริญเติบโตลดลงตางกวาวัยทารก จะเปลี่ยนจากลกั ษณะทา ทางของทารก มีความเจริญเติบโต ของอวยั วะตา ง ๆ ของรา งกาย ฟนแทจ ะเรม่ิ ขน้ึ 1-2 ซี่ จะเริ่มเลือกอาหารตามท่ีชอบ นอนเปน เวลา บางคนยังปสสาวะรดท่ีนอน เร่ิมมีทักษะในการใชมือ แตงตัวไดเอง ใสรองเทาไดเอง เปนตน ตอไปจะสนใจการว่ิงกระโดดหอยโหนเปนระยะ ชอบเลนกับเพื่อน ๆ มาก ทําใหเกิด ความอบอุนไมรสู ึกถูกทอดทิ้ง พฒั นาการทางอารมณ วัยนจ้ี ะเปน คนเจาอารมณ มกั จะโกรธเมอื่ ถกู ขัดใจจะแสดงออกโดยการ ทบุ ตี ขวา งปาส่งิ ของ ท้งิ ตวั ลงนอน จะมคี วามกลวั กบั สง่ิ ของแปลก ๆ ใหม ๆ จะหลบซอนว่ิงหนี ความกลัวจะคอย ๆ หายไปโดยการไดรับการอธิบาย และการใหเด็กไดคุนเคยกับ สิ่งนั้น ๆ มีความอิจฉาริษยานองใหมหรือพ่ี ๆ โดยคิดวาตนถูกแยงความรักไปจากพอแม เปนวัยที่มี อารมณรางเริง แจมใส หัวเราะยิ้มงาย อยากรูอยากเห็นจะถามโนนถามนี่ มีความสงสัยในส่ิง ตาง ๆ ไมส ้นิ สุด จะแสดงความรักอยา งเปด เผย พัฒนาการทางสงั คม เดก็ เริม่ รูจ กั คบเพอื่ น เลน กับเพือ่ น ปรับตัวใหเขากับเพ่ือน ๆ มีการเลน กันเปน กลมุ ชอบเลนแขงขนั มกี ารเลน แยกตามเพศชายเพศหญงิ พอใจจะเลน ดวยกัน ชวยเหลือ กัน เห็นอกเหน็ ใจกัน ยอมรับฟง กนั เร่ิมมองเหน็ ความแตกตางระหวางเพศหญิงกับเพศชาย สนใจ ซักถามเกย่ี วกับส่ิงทเี่ ปนเพศของตน ซ่งึ จะเปน การไปสบู ทบาทชายหญิงเมอื่ เตบิ โตข้ึน พัฒนาการทางภาษา เด็กจะใชภาษาไดดีพอสมควร สามารถอานและเขียน รูความหมาย คําใหม ๆ ไดอยางรวดเร็ว การพัฒนาภาษามิไดข้ึนอยูกับสติปญญาอยางเดียว แตมี

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวองคป ระกอบอ่ืน เชน ครอบครัวใหญเกินไป โอกาสพูดคุยกับลูกนอยไป ในครอบครัวใชภาษา พดู มากกวา 1 ภาษาทาํ ใหเ ดก็ สับสน 2.2.2. วัยเด็กตอนกลาง พัฒนาการทางรางกาย วัยเด็กตอนกลาง อายุ 5 – 9 ป การเจริญเติบโตจะเปนไปเร่ือย ๆ รา งกายจะขยายออกทางสงู มากกวาทางกวา ง รูปรางเปลย่ี นแปลงจะมีฟนถาวรข้ึนแทนฟนน้ํานม เร่ือย ๆ เด็กวัยน้ีไมชอบอยูน่ิง ชอบทํากิจกรรมอยางรวดเร็ว ไมคอยระมัดระวัง เด็กสนใจ กิจกรรมการเลนกลางแจง เกมสก ฬี าตา ง ๆ ทใี่ ชก ลามเนอ้ื และการทรงตัว พัฒนาการทางอารมณ เปน วัยเขาเรียนตอนตนเม่ือเขาโรงเรียนเด็กตองเรียนรูการปรับตัวเขา กับส่ิงแปลก ๆ ใหม ๆ เชน ครู สถานที่ ระเบียบวินัย สิ่งแวดลอมใหม ๆ ทําใหเด็กมีการ เปลี่ยนแปลงทางอารมณ ตอ งการแสดงตนเปน ท่ชี ่ืนชอบของครู ตองการการยอมรับเขาเปนหมู คณะ มีโอกาสทํากิจกรรมกับหมคู ณะทําใหอารมณแจม ใสเบกิ บาน พัฒนาการทางสงั คม เมอื่ เดก็ เร่มิ เขา โรงเรยี นบางคนอาจมปี ญ หาในการคบเพื่อนฝูง ปรับตัว เขากับผูอ่ืนไดยาก ท้ังน้ีแลวแตการอบรมท่ีไดรับจากทางบาน เด็กที่เติบโตในครอบครัว ทบี่ รรยากาศอบอนุ จะมอี ารมณม ่ันคงแจมใสจะใหความรว มมอื แกหมูค ณะ มเี พือ่ นมาก พฒั นาการทางสตปิ ญ ญา โดยทั่วไปเดก็ จะเรยี นรูจ ากส่งิ ใกลตัวกอ น จะมพี ัฒนาการทางดา นภาษา เจริญข้ึนรวดเร็ว รับรูคําศัพทเพิ่มข้ึนใชถอยคําภาษาแสดงความคิดความรูสึกไดอยางดี เร่ิมมี พฒั นาการดา นจรยิ ธรรม มคี วามรบั ผิดชอบไดในบางอยางเร่ิมสนใจส่ิงตาง ๆ แตยังไมสามารถ พิจารณาไดอยางลึกซ้ึงในเรื่องของความจริง ความซ่ือสัตยอาจหยิบฉวยของผูอ่ืนโดยไมต้ังใจ ขโมยก็ได 2.2.3. วัยเด็กตอนปลาย เดก็ วยั นจี้ ะมอี ายรุ ะหวาง 9-12 ป โดยประมาณ โครงสรางของรางกาย เปลี่ยนแปลงเพ่อื เตรียมเขา สูวยั รุน

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวพัฒนาการทางรา งกาย ในระยะน้ีเด็กหญิงจะเติบโตเร็วกวาเด็กชาย เด็กหญิงจะเร่ิมมี ประจําเดอื นระหวา งอายุ 11-12 ป โดยประมาณ เด็กชายจะเร่มิ มีการหล่งั อสุจริ ะหวางอายุ 12- 16 ป โดยประมาณ พฒั นาการทางดานอารมณ รกั ษาอารมณไ ดปานกลาง ไมชอบการแขงขัน ชอบการยกยอง มีความ กงั วลเก่ียวกับรปู รา งตนเอง รกั สวยรักงาม ตองการความรักจากเพื่อนและครู พัฒนาการทางสงั คม เด็กจะมีการรักกลุมพวกมาก โดยมีพฤติกรรมเหมือนกลุมในดานการ แตง กาย วาจา และการแสดงออก มีความตองการเปนท่ีไววางใจได มีอารมณคลายคลึงกัน ไมยอมอยคู นเดยี ว พฒั นาการทางสติปญญา เร่ิมมีสติปญ ญามีความสามารถคิดและแกปญหาไดมาก มีความคิดริเริ่มที่จะทํา สิ่งใหม ๆ มีความเชื่อมั่นในตนเอง รับผิดชอบ รูจักใชเหตุผล อยากรูอยากเห็น และมีความ เขาใจส่ิงตาง ๆ ไดเร็ว เด็กชายจะมีความสนใจเรื่องวิทยาศาสตร คณิตศาสตร ดาราศาสตร แตเด็กหญิงสนใจเร่ืองตัดเย็บ ทําอาหาร การเรือน แตที่สนใจคลายกัน ไดแก เลี้ยงสัตว ดูภาพยนตร หรอื การไปเท่ยี วไกล ๆ 2.3. วยั รุน การแบง ชว งอายุของวัยรุนอยูระหวาง 11-20 ป โดยประมาณ การเจริญเติบโต ทางรางกายของเด็กผชู ายและเด็กผูหญิง เปนชวงระยะของการเขาสูวัยหนุมวัยสาว เด็กผูหญิง จะเขาสูวัยรุนเมื่ออายุประมาณ 11 ปขึ้นไป เด็กผูชายจะเขาสูวัยรุนเมื่ออายุประมาณ 13 ป วัยรุนเปนชวงของการปรับตัวจากวัยเด็กไปสูวัยผูใหญ ทําใหมีความเครียด ความขัดแยงใน ความคดิ อารมณ และจิตใจ หากเด็กวัยรุนไดรับรู เขาใจกระบวนการพัฒนาท้ังในดานรางกาย และจติ ใจ จะไมว ิตกกังวลกับการเปลี่ยนแปลงท่ีจะเกิดขึ้นกับตัวของเขาเอง อีกทั้งยังสามารถ ชวยใหพวกเขารูจักวิธีปรับตัวใหเขากับสังคม ไมกอปญหาใหเกิดเปนเรื่องวุนวาย รวมถึงการ ดแู ลรกั ษา และปองกนั ตนเองจากโรคติดตอ ทางเพศสัมพันธช นิดตาง ๆ

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวเดก็ ผชู ายเมื่อเขา สูชวงวัยรุน จะเริ่มมคี วามสนใจและใกลชดิ กับกลุมเพ่ือนมากข้ึน วัยรุน จะมีกิจกรรมตาง ๆ รวมกัน ซ่ึงอาจจะเปนการเลนกีฬา ดนตรีหรือการออกไปเดินตาม หา งสรรพสินคา วยั รนุ มีความรูสกึ เอาใจใสซ ง่ึ กนั และกนั รกั เพ่อื นมากขึ้นทาํ อะไรกจ็ ะทําตามๆ กัน เปนกลมุ ไมต อ งการท่จี ะแตกแยกหรอื ถูกทอดทงิ้ ออกจากกลมุ การพฒั นาการทางสติปญ ญา การพัฒนาการทางสติปญญาของวัยรุนตอนตน คือ ความสามารถทางสมองเพ่ิมข้ึน เพราะเซลลป ระสาทซ่ึงมอี ยตู งั้ แตเด็ก ในระยะนี้จะพัฒนาเต็มที่ การเปลี่ยนแปลงจะเห็นไดชัด ในความสามารถในการพูด จนิ ตนาการ ความสนใจ เปลยี่ นแปลงไปจากเดิม เร่ิมสนใจเพ่ือนตาง เพศ ไมเหมือนกับวัยเด็ก การทํางานมีความสนใจและติดตอกันนานกวาวัยเด็ก การทํางาน เรียนดี ความคดิ ดี มีเหตผุ ลขน้ึ เด็กบางคนสามารถเขยี นบทประพนั ธนวนยิ ายได เปน ตน 2.4. วยั ผใู หญ ระยะของชว งเวลาทเี่ รยี กวา ผูใหญ น้ันมีความยาวนานและมีความสําคัญตอชีวิต อยางมาก เปนระยะเวลาการเลือกประกอบอาชีพที่ม่ันคง มีเพ่ือน คูครอง ในวัยนี้ยังมีการ เปล่ียนแปลงทางรา งกาย และความเสอื่ มในดานความสามารถอกี ดวย จะแบงชวงอายุไดเปน 2 ระยะ คือ วัยผใู หญอายตุ ้ังแต 21 - 40 ป วัยกลางคนอายุตัง้ แต 40 - 60 ป ลักษณะโดยท่ัวไปของวัยผูใหญ บุคคลยางเขาสูวัยผูใหญ ตองปรับตัวใหเขา กฎเกณฑตาง ๆ ของสังคม ยอมรับความเปนจริงของชวี ติ การควบคุมอารมณ การเลือกคูครอง ที่เหมาะสม อาจกลา วไดดงั น้ี 1. การเลือกคูครองใชระยะเวลาหลังจากวัยรุน สนใจเลือกคูครองโดยศึกษา องคประกอบที่สาํ คญั เพ่อื เลอื กคคู รองไดเหมาะสมกบั ตน 2. การประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับความสามารถของตน มักจะมีความ เจริญกาวหนา ในอาชีพ ผูประสบความสําเร็จในการประกอบอาชีพ จะชวยใหชีวิตครอบครัวมี ความสขุ 3. การเผชิญปญ หา ในวัยผูใหญมักจะมีปญหาในเร่ืองของการมีคูครองและบุตร การมีสมาชิกเพ่ือข้ึนก็ยอมมีปญหาประดังเขามา ตองใชความสามารถในการแกปญหา เพ่ือประคบั ประคองครอบครัวได

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว4. ความกดดันทางดานอารมณ ปญหาตาง ๆ ท้ังในดานครอบครัวและการงาน บางคนมีความยงุ ยากในการปรับตัวอยบู าง แตพอยางเขาสูวัย 30-40 ป อาจลดความตึงเครียด ไดบา ง และสามารถแกไ ขปญ หาตา ง ๆ ไดด ีขนึ้ ความตงึ เครียดทางอารมณก ็ลดลงไป 2.5. วัยชรา ความชราจะมีความแตกตางของบุคคลเขามาเกี่ยวของดวยในวัยท่ีมีอายุเทากัน สมรรถภาพอาจแตกตางกัน บางคนอายุ 50 ป แตค วามชราทางกายภาพมีมาก ในเวลาเดียวกัน คนอายุ 60 ปความชราทางกายภาพยังไมมากนัก เราจึงกําหนดอายุวัยชราโดยประมาณ คือ วัย 60 ปข้นึ ไป พัฒนาการทางรางกาย เซลลต า ง ๆ เร่มิ ตายจะมีการเกดิ ทดแทนไดนอยและชา รางกายสึกหรอ ถามีการ เจ็บปวยทางรางกายจะรกั ษาลําบากและหายชากวา วยั อนื่ ๆ เพราะวัยนี้รางกายมีแตความทรุด โทรมมากกวาความเจริญ ความสูงจะคงท่ี หลังโกง ผมบนศีรษะหงอก กลามเนื้อหยอน สมรรถภาพ การทรงตวั ไมดี พฒั นาทางสตปิ ญญา มีความสุขุมรอบคอบ ยังมีเหตุผลดีแตขาดความริเริ่ม จะยึดหลักเกณฑท่ีตนเคย ยึดถือปฏบิ ัติ สมรรถภาพในการเลาเรียนจะคอย ๆ ลดลงทีละนอย ในชวงอายุระหวาง 25-50 ป หลังจาก 50 ปแลวจะลดลงคอนขางเร็ว การทองจําอะไรจะรับไดยากกวาวัยอื่น มีความ หลงลมื งา ย พัฒนาการทางดา นอารมณ บางคนชอบงาย โกรธงาย อารมณแปรปรวนไมคงที่ แตวัยชราบางรายมีจิตใจดี ทั้งน้ีเปนไปตามสภาพแวดลอม สังคม และประสบการณที่ผานมา รวมถึงสภาพเศรษฐกิจใน ครอบครัวดวย ในวัยชรานี้จะมีความเมตตากรุณา อัตตาสูงกวาวัยอ่ืน ๆ จะเห็นไดจากการ ชวยเหลือผูอน่ื ในกรณตี าง ๆ พัฒนาการทางดา นสังคม สวนมากจะสนใจเรื่องของการกุศลยึดถือศาสนาเปนท่ีพ่ึงพิงทางใจ บริจาค ทรัพยสนิ เพื่อการบํารงุ ศาสนา จับกลมุ ปฏบิ ัตธิ รรม บางรายสิ่งแวดลอมและเศรษฐกจิ บงั คับ

บทที่ 2 การดูแลรกั ษาสุขภาพ เรอื่ งที่ 1 หลักการดแู ลสขุ ภาพเบ้ืองตน การดูแลสุขภาพตามหลัก 5 อ. ชวี ติ ท่มี ีความสุข คอื ชวี ติ ที่มคี วามสะดวกสบาย นกึ อยากจะทําอะไร อยากไดอะไรก็ สามารถทําไดหรือหาซ้ือมาได แตนั่นคงจะไมใชความสุขที่แทจริง เพราะหากจิตใจไมสบาย รางกายออ นแอ เจบ็ ไขไดป วยกระเสาะกระแสะ กค็ งไมมีความสุข ดังนั้นปจจัยหลักที่ทําใหคนมี ความสุขก็ตอ งเปน ผูท่ีมีสขุ ภาพรางกายแข็งแรง มีคําแนะนําทางการแพทยวา คนเราจะมีสุขภาพดี ตองประกอบดวย 5 อ. คอื อาหาร อากาศ อารมณ อุจจาระ และออกกาํ ลังกาย ซ่ึงสามารถแยกแยะได ดังน้ี อาหาร ควรเปนอาหารที่เหมาะสมกับรางกาย กินแลวใหประโยชนตอรางกาย ไมมี โทษหรอื พิษภยั หรอื มีผลขา งเคยี งใหเกิดโรคภัยภายหลัง อากาศ ที่ใชหายใจเขาออก ตองเปนอากาศที่บริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษใดๆ เพราะ หัวใจของคนตองการอากาศเขาไปเพื่อสูบฉีดโลหิตไปหลอเลี้ยงอวัยวะตางๆ ใหทํางาน ตลอดเวลา อากาศบริสุทธ์ิทาํ ใหรสู ึกสดชื่น มีความสุข อารมณ ผูทม่ี อี ารมณแจมใส ราเริง จะมีความสุขกวาคนท่ีมีอารมณขุนมัว หงุดหงิด ฉนุ เฉียว นอกจากน้ันแลว ยงั มผี ลตอ ระบบการทาํ งานของอวัยวะตางๆ ภายในรา งกายอกี ดวย อุจจาระ คือ กากอาหาร หรอื ของเสียทีร่ า งกายยอ ยแลวนําสวนทีด่ ไี ปใช หลังจากน้ัน ก็จะขับถายออกมา หากตกคางอยูในรางกายนานเกินไปจะทําใหเกิดโรคภัยไขเจ็บได คนที่มี ระบบขบั ถา ยท่ดี ีจะมีหนาตาสดใส มีนํา้ มนี วล ตรงกันขา มกับคนที่ไมคอยขับถาย หรือท่ีเรียกวา ทองผกู ออกกําลังกาย เปนการบริหารอวัยวะท้ังภายในและภายนอก ทําใหไดรับการ เคลือ่ นไหว ชว ยใหเ กิดการเสริมสรางสวนที่ขาดหรือลดสวนที่เกิน ชวยในการทํางานของหัวใจ ปอด ฯลฯ คนท่ีไมออกกําลังกายจะเปนคนออนแอ ขาดภูมิตานทาน เจ็บปวย เชื้อโรคเขาสู รางกายไดง าย กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว

เร่ืองท่ี 2 การออกกาํ ลงั กาย รูปแบบและวิธีการออกกําลังกายเพอ่ื สุขภาพ 2.1. ประโยชนข องการออกกาํ ลงั กาย 1. ทางดา นรางกาย 1. ชวยเสริมสรางสมรรถภาพทางดานรางกายใหเปนผูที่แข็งแรง มีประสิทธภิ าพในการทํางาน สรางความแขง็ แกรงของกลา มเนื้อ 2. ชวยทําใหระบบตางๆ ภายในรางกายเจริญเติบโต แข็งแรง มีประสทิ ธิภาพในการทํางาน อาทิ ระบบการไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบการยอย อาหาร เปนตน 2. ทางดานอารมณ 1. ชว ยสามารถควบคมุ อารมณไดเ ปน อยางดีไมวาจะอยูในสภาพเชน ไร 2. ชวยใหคนทม่ี ีอารมณเ บิกบาน ยมิ้ แยมแจม ใส 3. ชวยผอนคลายความตงึ เครยี ดทางสมอง และอารมณไดเปนอยางดี 3. ทางดา นจิตใจ 1. ชว ยใหเ ปน คนทีม่ ีจิตใจบริสุทธมิ์ องโลกในแงดี 2. ชว ยใหเปน คนท่มี จี ติ ใจเขม แขง็ กลา เผชิญตอปญหาอุปสรรคตา ง ๆ 3. ชวยใหเกิดความเชื่อม่ัน ตัดสินใจไดดี 4. ทางดานสงั คม 1. เปน ผทู ีม่ ีระเบียบวนิ ัย สามารถอยใู นสภาพแวดลอ มตา งๆ ได 2. เปนผูที่เขากับสังคม เพื่อนฝูง และบุคคลท่ัวไปไดเปนอยางดี ไมป ระหมา หรอื เคอะเขิน 3. เปนผูที่ชวยสรางความสัมพันธอันดีระหวางสังคมตอสังคม และ ประเทศตอ ประเทศ . ํอาเภอเก้าเ ้ลียว

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวเรือ่ งที่ 3 สขุ ภาพทางเพศ การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษยนั้น หมายถึง การเจริญเติบโตและ พัฒนาการทางรางกายและจิตใจควบคูกันไปตลอด เร่ิมตั้งแต วัยเด็ก วัยแรกรุน วัยผูใหญ ตามลาํ ดับ โดยท่ัวไปแลว การเจริญเติบโตและพัฒนาการทางรางกายของคนเราจะส้ินสุดลง เม่ือมีอายุประมาณ 25 ป จากวัยน้ีอวัยวะตาง ๆ ของรางกายเร่ิมเสื่อมลงจนยางเขาสูวัยชรา และตายในท่สี ดุ สว นการเจรญิ เติบโตและพัฒนาการทางจิตใจน้ันไมมีขีดจํากัด จะเจริญเติบโต และพฒั นาเจริญงอกงามขน้ึ เร่ือย ๆ จนกระทั่งเขา สวู ยั ชรา วธิ ีปฏบิ ตั ิเพ่ือการมีสขุ ภาพทางเพศทีด่ ี 3.1 การคุมกาํ เนิด การคุมกาํ เนิดเปนวธิ กี ารปฏิบัติเพอื่ ปอ งกนั การตงั้ ครรภ มีวธิ กี าร ดังนี้ 3.1.1. การใชถุงยางอนามยั ถุงยางอนามยั มีลกั ษณะเปนถุงที่ทําดวยยางบางๆ ยดื ได ใชสวมอวัยวะเพศชายขณะที่แข็งตวั พรอ มท่จี ะรวมเพศ 3.1.2. การรบั ประทานยาเม็ดคุมกําเนิด 1. แบบ 21 เม็ด ยาเม็ดในแผงจะประกอบดวยฮอรโมนท้ังหมด การเริม่ รบั ประทานยาเมด็ แรกใหเรม่ิ ตรงกบั วันของสัปดาหท ี่ระบแุ ผงยา เชน ประจําเดือนมาวัน แรกคือวนั ศุกร กเ็ รม่ิ กินที่ “ศ” หรอื วันศกุ ร โดยรับประทานวันละ 1 เม็ดเปนประจําทุกวันตาม ลกู ศรชจ้ี นหมดแผง หลงั จากนั้นใหหยดุ ใชย า 7 วนั เมื่อหยุดยาไปประมาณ 2-3 วันก็จะมีเลือด ประจําเดือนมาและเมื่อหยุดจนครบ 7 วันแลวไมวาเลือดประจําเดือนจะหมดหรือไมก็ตามให เร่มิ แผงใหมทันที 2. แบบ 28 เม็ด ยาเม็ดในแผงหน่ึงจะประกอบดวยฮอรโมน 21 เม็ด และสวนที่ไมใชฮอรโมนอีก 7 เม็ด ซ่ึงมักจะมีขนาดเล็กหรือใหญกวา 21 เม็ดแรก การเริ่ม รบั ประทานยาแผงแรกใหเ รม่ิ รับประทานยาในวันแรกที่ประจําเดือนมา โดยรับประทานยาเม็ด

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวแรกในสวนที่ระบุวาเปนจุดเริ่มตน 1 แลวรับประทานทุกวันตามลูกศรชี้จนหมดแผง โดยเมื่อ รับประทานหมดแผงแลว ใหรับประทานยาแผงใหมตอไปเลยทันทีไมวาประจําเดือนจะหมด หรอื ยงั ก็ตาม วิธีรับประทานแบบ 28 เม็ดจะคอนขางสะดวกกวาแบบ 21 เม็ด ท่ีไมตองจดจํา วนั ท่ตี องหยุดยา ถาลืมรับประทาน 1 เม็ด ใหรับประทานทันทีเมื่อนึกได และรับประทานเม็ด ตอ ไปเวลาเดิม ถา ลมื รับประทาน 2 เม็ด ใหรับประทานยาวนั ละ 2 เม็ด ติดตอกันไปเปนเวลา 2 วนั โดยแบง รบั ประทานตอนเชา 1 เมด็ ตอนเยน็ 1 เม็ด และใชว ิธกี ารคมุ กาํ เนิดแบบอ่ืนรวมดวย เชน ใชถ ุงยางอนามยั เปนเวลา 7 วัน ถาลืมรับประทาน 3 เมด็ ขึ้นไป ควรหยุดยาและรอใหเลือด ประจําเดือนมากอ นแลว คอยเริ่มแผงใหม และใชวิธกี ารคมุ กาํ เนิดแบบอ่ืนรวมดว ย 3. แบบรับประทานหลังรวมเพศภายใน 24 ชั่วโมง แตเดือนหนึ่งไม ควรใชเกนิ 4 ครั้ง ยาน้ีใชก นิ ทนั ทีหรอื ภายใน 24 ชวั่ โมงหลังรว มเพศ และควรกินยาอีกหนึ่งเม็ด ในเวลา 12 ชัว่ โมง 3.1.3. การฝงยาเม็ดคุมกําเนิดใตผิวหนัง ยาประเภทน้ีมีสวนประกอบของ เอสโตรเจนสูงมีฤทธิ์ทําใหไขทีผสมแลวไมสามารถฝงตัวไดในผนังมดลูก เปนยาเม็ดคุมกําเนิด ชนิดฝงไวใตผิวหนังบริเวณดานใตทองแขนของฝายหญิง มีลักษณะเปนแคปซูลเล็กๆ 6 อัน ยาจะซมึ จากแคปซูลเขา สรู า งกายอยางสมํา่ เสมอ สามารถคุมกําเนดิ ไดน านถึง 5 ป 3.1.4. การใสหว งอนามัย ใชโดยการใสไวในโพรงมดลูก ซ่ึงแพทยจะเปนผูใส หวงให สามารถคุมกําเนิดได 3-5 ป แลวจึงมาเปล่ียนใหมแตก็มีบางชนิดท่ีตองเปล่ียนทุก ๆ 2 ป วิธีน้ไี มเ หมาะสําหรับผหู ญงิ ที่ยงั ไมเ คยมีบุตร 3.1.5. การฉีดยาคุมกําเนิด ใชกับผูหญิงฉีดคร้ังหนึ่งปองกันไดนาน 3 เดือน อาจมีขอเสียอยูบางคือ เม่ือตองการมีบุตรอาจตองใชเวลานานกวาจะต้ังครรภ และไมเหมาะ สาํ หรับผทู ่มี ีประจําเดือนมาไมส มํ่าเสมอ 3.1.6. การนับระยะปลอดภัย คือ นับวันกอนประจําเดือนมา 7 วัน และหลัง ประจําเดือนมา 7 วัน เพราะไขยังไมสุกและเย่ือบุโพรงมดลูกกําลังเปล่ียนแปลง แตถา ประจําเดือนมาไมแ นน อน การคุมกําเนดิ วิธีนอี้ าจผิดพลาดได 3.1.7. การหลัง่ อสจุ ิภายนอก คอื การหลงั่ นํ้าอสุจิออกมานอกชองคลอด แตก็ อาจมีน้าํ อสุจบิ างสวนเขา ไปในชอ งคลอดได วธิ นี จี้ ึงมโี อกาสตงั้ ครรภไดสูง 3.1.8. การผา ตัดทําหมนั 1. การทําหมนั ชาย ทาํ โดยแพทยใ ชเ วลาประมาณ 10 นาที หลังทําหมัน ชายแลวจะตอ งคมุ กําเนิดแบบอนื่ ไปกอ น ฝายชายจะหลง่ั นาํ้ อสุจิประมาณ 15 ครั้ง แลวน้ําอสุจิ

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวครงั้ ที่ 15 หรอื มากกวา ไปใหแพทยต รวจวายงั มตี ัวอสจุ หิ รอื ไม ถา แพทยตรวจวาไมมีตัวอสุจิแลว ก็สามารถมีเพศสัมพันธไดโ ดยไมตองใชก ารคมุ กาํ เนดิ แบบอืน่ อกี 2. การทําหมนั หญงิ แบงออกเปน 2 แบบ คอื 1. การทาํ หมนั เปยก คือ การทําหมันหลังคลอดบุตรใหม ๆ ภายใน 24 - 48 ชว่ั โมง เพราะจะทาํ ไดง ายเนื่องจากมดลกู ยงั มีขนาดใหญและลอดตัวสูง 2. การทาํ หมนั แหง คือ การทําหมันในระยะปกตขิ ณะทไี่ มม ีการ ต้ังครรภหรือหลงั การคลอดบุตรมานานแลว การทาํ หมนั แหง อาจทาํ ไดห ลายวธิ ี เชน ผา ตัดทาง ดานหนาทอง ผา ตัดทางชอ งคลอด 3.1.9. การคุมกําเนิดดวยยาเม็ดคุมกําเนิดฉุกเฉิน เปนการปองกันการ ตั้งครรภเฉพาะฉุกเฉิน เชน การมีเพศสัมพันธโดยไมไดใชการปองกันวิธีอ่ืนมากอน กรณีถูก ขมขืน ซ่ึงองคกรอนามัยโลกไดใหการรับรองวา การกินยาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉินเปนวิธี ท่ปี ลอดภัย และมปี ระสิทธิภาพในการปองกันการต้ังครรภไดระดับหนงึ่ 3.2. การทองไมพ รอม การมีเพศสัมพันธก อ นวยั อนั ควร เปน พฤตกิ รรมทก่ี อใหเ กิดปญหาตางๆ ตามมาใน ชีวิตตลอดจนเปนปญหาหรือภาระแกสังคม ชุมชนดวย ดังน้ัน จึงตองใหคําแนะนําอบรม สั่งสอนใหพ ฤติกรรมตนอยูในกรอบของสงั คมทด่ี ไี มยงุ เก่ยี วเร่ืองเพศสัมพนั ธ ปองกนั ตนเอง 1. สอนความรเู รือ่ งเพศเพศสมั พนั ธแ ละการคมุ กาํ เนิดแกเดก็ นักเรยี น นกั ศกึ ษาที่ กาํ ลังกา วเขา สูวัยรุนพรอมทัง้ ชใ้ี หเห็นขอดีขอ เสยี ของการมเี พศสมั พันธกอนวัยอนั ควร และการ ตั้งครรภเ มอ่ื ไมพ รอม 2. สอนวยั รุนชายใหม ีความรบั ผิดชอบและใหเกยี รติผหู ญงิ 3. ปลูกฝงคา นิยมในการรักนวลสงวนตวั ตัง้ แตวัยเดก็ และเนนยํา้ มากขึ้นในวยั รุน 4. สอนใหร ูจ ักการปฏิเสธในสถานการณท่ีไมเ หมาะสม 3.3. การทําแทง การทําแทง หมายถึง การทําใหการตั้งครรภส้ินสุดกอนอายุครรภ 28 สัปดาห สําหรบั ในประเทศไทยการทําแทง ยงั ไมเ ปนเรอื่ งที่ผดิ กฎหมายไมว าจะกระทําโดยแพทยปริญญา หรือหมอเถื่อนก็ตาม กฎหมายจะอนุญาตใหทําแทงได 2 กรณี คือ กรณีถูกขมขืนและกรณี ตัง้ ครรภนน้ั เปน อันตรายตอ สขุ ภาพของมารดาและทารกในครรภ เทาน้นั

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวการทําแทงโดยทั่วไปของเด็กวัยรุนจะทําแทงกับผูที่ไมมีความรูดานการแพทย ที่แทจ รงิ จึงทําใหเ กิดอันตรายกับผูมาทาํ แทง เชน เกิดการตกเลือด หรอื ไดรับอันตรายอาจเกิด การตดิ เชือ้ โรค จากเครื่องมือ อุปกรณท่ีนํามาใช เกิดความสกปรกจากการใชอุปกรณ สถานท่ี จนทําใหมารดาเปน บาดทะยักไดด ว ย 3.4. การติดเช้ือเอชไอวี (HIVS) ในของเหลวท่ีรา งกายสรางข้นึ ของผูต ดิ เชื้อเอชไอวี (HIVS) ของเหลวท่ีมีเชือ้ เอชไอวีอยูนนั้ คือ เลือด อสจุ ิ สารคดั หลั่งในชอ งคลอด นา้ํ นม สว นชอ งทางท่ีเชื้อเอชไอวี จะเขา สรู างกายได คือ เยอ่ื บุและปากแผล เมื่อเลือด อสจุ ิ สารคัดหล่งั ในชอ งคลอดทม่ี เี ชื้อเอชไอวีสัมผสั โดยตรงกับเย่อื บหุ รือ ปากแผลกจ็ ะทาํ ใหม โี อกาสตดิ เชือ้ ได เยือ่ บุมอี ยูในสวนที่มคี วามชน้ื ในรางกาย เชน ในชองปาก ในชอ งคลอด ทอ ปสสาวะ ทวารหนกั เปนตน การกระทําท่ที ําใหเลือด อสุจิ สารคัดหลั่งในชอ งคลอดเกิดการสมั ผสั โดยตรงกับ เยื่อบุไดงา ยคือการมีเพศสมั พันธ จะเขาใจไดงา ยขน้ึ เม่อื ลองคดิ ถึงอวัยวะทสี่ มั ผสั กบั ของเหลวใน รา งกายในระหวา งมีเพศสมั พนั ธ การใชเข็มฉีดยารวมกนั จะทําใหเ กิดความเส่ยี งสงู ท่ีเลอื ดจะเขา สูเ สนเลอื ดได โดยตรง จงึ ทําใหเ กดิ การติดเชือ้ ไดง า ย การคลอดบตุ รจากมารดาทต่ี ิดเชือ้ เอชไอวนี ั้น จะมโี อกาสที่เลอื ดของมารดาจะ สัมผสั กบั ทารก จึงมโี อกาสทจี่ ะทําใหติดเชอ้ื ได และการใหนาํ้ นมจากมารดากม็ ีโอกาสทจี่ ะทําให ติดเชื้อไปยังบตุ รได วิธลี ดความเสีย่ งในการติดเชอ้ื เอชไอวี 1. การมีเพศสัมพนั ธ ในระหวา งท่ีมีเพศสัมพนั ธ หากมกี ารปอ งกนั ไมใ หเลือด อสจุ ิ สารคัดหล่งั ใน ชองคลอดสมั ผสั โดยตรงกบั อวยั วะเพศ รทู วาร ในชองปาก กจ็ ะเปน การลดความเส่ยี งในการตดิ เชอื้ การใชถุงยางอนามัยจงึ เปนวิธหี น่ึงท่ีใชใ นการเล่ียงมิใหเกิดการสัมผสั โดยตรง กรณที ใี่ ช อุปกรณเ ครอ่ื งชวยทางเพศรว มกัน อาจมโี อกาสทีเ่ ลือดหรือสารคดั หล่งั ในชอ งคลอดจะสัมผัส โดนเย่อื บุ

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว2. การใชเขม็ ฉดี ยารวมกัน การ ใชเ ข็มฉีดยารว มกนั หมายถงึ การใชเข็มฉีดยาอนั เดยี วกันรว มกบั คนอน่ื เพือ่ ฉดี ยาเสพติดเปนตน การใชเข็มใหม หรือเขม็ สวนตัว กจ็ ะเปน การหลกี เลีย่ งการใชเ ข็ม รวมกับคนอ่ืน เปน การลดความเส่ียงจากการติดเชอ้ื เอชไอวี เปน ตน กรณีทีใ่ ชเข็มรวมกับคนอ่ืน การฆา เชื้อโรคอยางพอเพียงก็จะทาํ ใหล ดความเสยี่ งลงได 3. การคลอดบตุ รจากมารดาทตี่ ิดเช้ือเอชไอวี มารดาทต่ี ดิ เชอื้ เอชไอวที ี่ตงั้ ครรภน้ัน หากรูวา ตวั เองตดิ เชอ้ื แตเน่ินๆ กจ็ ะ สามารถลดความเสีย่ งในการแพรเช้อื ไปสบู ตุ รในครรภไ ด โดยปฏบิ ัติดังนี้ 1. การรับประทานยาตา นไวรัสในชว งจงั หวะเวลาที่เหมาะสม จะทาํ ใหไวรัส ในรางกายมจี าํ นวนทีน่ อยลง 2. คลอดบตุ รดว ยการผา ทอ ง 3. หลงั จากคลอดบตุ รแลว ไมใหนมจากมารดา กจ็ ะทําใหโอกาสในการติดเชือ้ ของทารกลดนอยลง เร่ืองท่ี 4 พฤติกรรมท่ีนาํ ไปสกู ารลวงละเมดิ ทางเพศ การมีสมั พนั ธและการตั้งครรภ ท่ไี มพ ึงประสงค 4.1. การเปลี่ยนแปลงเมื่อเขา สวู ัยหนุมสาว 1. พฒั นาการทางเพศและการปรบั ตัวเมอื่ เขา สวู ัยรนุ วัยรุนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางรางกายอยางรวดเร็ว และมีพัฒนาการ ทางเพศควบคูกนั ไปดวย โดยเพศชายและเพศหญงิ จะมคี วามแตกตา งกนั 1.1 การเปลี่ยนแปลงทางรางกายของเพศหญิง การเขาสูชวงวัยรุนของ เด็กหญงิ จะเกดิ ขึน้ เรว็ กวา เด็กชาย คอื จะเริม่ ขึ้นเมื่ออายุประมาณ 11-13 ป ตอมใตสมองจะผลิต ฮอรโ มนท่ีไปกระตนุ การเจรญิ เตบิ โต และกระตุน การทาํ งานของรงั ไขใ หสรางเซลลส ืบพันธแุ ละผลิต ฮอรโ มนเพศหญิง ในชวงนวี้ ยั รุนหญิงจะมีการเจรญิ เตบิ โตอยา งรวดเร็ว สว นสูงและนําหนกั เพิ่มมาก ข้ึน อวัยวะเพศโตขึ้น มีขนข้ึนบริเวณหัวเหนาและรักแร เอวคอดสะโพกผายออก เตานมโตขึ้น อาจมีสิวขึน้ ตามใบหนา สว นมดลูก รงั ไข และอวยั วะทเี่ ก่ียวขอ งเจริญเติบโตขึ้น เร่ิมมีประจําเดือน ซึง่ ลักษณะการมปี ระจาํ เดอื นในเพศหญิงจะเปนการบงบอกวา วัยรุนหญิงไดบรรลวุ ฒุ ภิ าวะทางเพศ แลว และสามารถตั้งครรภไ ด

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว1.2. การเปลีย่ นแปลงทางรา งกายของเพศชาย เดก็ ชายจะเริ่มเขาสูวัยรุน เม่ืออายุประมาณ 13-15 ป ตอมใตสมองจะผลิตฮอรโมนที่ไปกระตุนใหรางกายเจริญเติบโต และกระตุนใหอัณฑะผลิตเซลลสืบพันธุและฮอรโมน เพศชายมีการเปล่ียนแปลงของรางกาย ท่ีเห็นไดชัดโดยเฉพาะความสูงและนํ้าหนักตัวท่ีเพิ่มขึ้น แขนขายาวเกงกางไหลกวางออก กระดกู และกลา มเน้ือแข็งแรงขนึ้ และมีกาํ ลังมากข้ึน เสียงแตก นมแตกพาน มีหนวดเครา มีขน ขึ้นท่ีหนาแขง รักแร และบริเวณอวัยวะเพศ บางคนอาจมีสิวข้ึนบริเวณใบหนา หนาอก หรือ หลังอวัยวะเพศโตข้ึนและแข็งตัวเม่ือมีความรูสึกทางเพศหรือถูกสัมผัส และมีการหลั่งน้ําอสุจิ หรือนํา้ กามออกมาในขณะหลบั (ฝนเปย ก) ซึ่งเปนอาการท่ีบงบอกวาไดบรรลุวุฒิภาวะทางเพศ แลว และยังหมายถงึ การมคี วามสามารถท่จี ะทาํ ใหเพศหญงิ เกดิ การต้งั ครรภไดอกี 1.3. ตอ มไรทอทมี่ ีอิทธพิ ลตอการควบคมุ พัฒนาการทางเพศ ตอมไรทอ ท่ีมีอิทธิพลตอการเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุนที่สําคัญ ไดแก ตอมใตสมองหรือ ตอมพิทูอิทารี ตอมเพศ ตอมไทรอยด และตอมหมวกไต ซึ่งตอมไรทอแตละตอมสงผลตอการ เจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการของวยั รุน 1.4. อารมณทางเพศหรอื ความตองการทางเพศ หมายถึง ความรูสึกของ บคุ คลท่ีมีผลมาจากสิ่งเราภายในหรือสิ่งเราภายนอก ท่ีเปนปจจัยที่มากระตุนใหเกิดความรูสึก ทางเพศขึ้น โดยมีระดับความแตกตางมากนอยตางกัน ขึ้นอยูกับความสามารถในการควบคุม อารมณแ ละพน้ื ฐานทางดา นวุฒิภาวะของแตล ะบคุ คล แนวทางการปฏบิ ตั เิ พอ่ื ระงบั อารมณท างเพศ หมายถงึ ความ พยายามในการทจ่ี ะหลีกเล่ยี งตอ สิง่ เราภายนอกท่มี ากระตุนใหอ ารมณทางเพศมเี พิม่ มากข้ึนโดย มีแนวทางในการปฏบิ ัติ ดงั นี้ 1. หลีกเล่ยี งการดูหรอื อานขอความจากส่อื ตา ง ๆ ทมี่ ภี าพหรอื ขอความท่ีสามารถยว่ั ยุใหเ กดิ อารมณท างเพศ เชน การดหู นังสือ หรอื ภาพยนตร หรือส่อื อินเทอรเน็ตทมี่ ีภาพหรือขอความท่ีแสดงออกทางเพศ ซง่ึ เปน การยวั่ ยุใหเ กิดอารมณท างเพศ 2. หลีกเล่ยี งการปฏิบัตหิ รือการทาํ ตัวใหว า งหรือปลอยตวั ใหม ีความ สบายเกนิ ไป เชน การนอนเลน ๆ โดยไมหลับ การนัง่ ฝนกลางวันหรือนั่งจิตนาการทเี่ ก่ยี วของกับ เรือ่ งเพศ การอยูในสภาพของบรรยากาศทีม่ ีแสงสีเสยี งทกี่ อ หรอื ปลกุ เรา ใหเกิดอารมณ ทางเพศ

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว บทท่ี 3 สารอาหาร เรือ่ งที่ 1 ปญ หาสุขภาพทีเ่ กดิ จากการบริโภคอาหารไมถูกโภชนาการ 1. อาหาร หมายถึง ส่ิงที่เรากินไดและมีประโยชนตอรางกาย ส่ิงที่กินไดแตไมเปน ประโยชนหรือใหโ ทษแกรางกาย อาทิ สุรา เห็ดเมา เราก็ไมเรยี กสงิ่ น้นั วาเปน อาหาร 2. โภชนาการ หมายถงึ เร่ืองตางๆ ท่ีวา ดวยอาหาร อาทิ การจัดแบงประเภทสารอาหาร ประโยชนของอาหาร การยอ ยอาหาร โรคขาดสารอาหาร เปนตน โภชนาการเปน วชิ าสาขาหนึ่งซงึ่ มี ลกั ษณะเปนวทิ ยาศาสตรป ระยุกต ที่กลาวถงึ การเปลี่ยนแปลงตาง ๆ ของอาหารท่ีเรารับประทาน เขาไป เพ่อื ใชป ระโยชนใ นดา นการเจริญเตบิ โตและซอมแซมสวนตางๆ ของรา งกาย 3. สารอาหาร หมายถึง สารเคมีที่เปนสวนประกอบสําคัญในอาหาร สารเคมีเหลานี้มี ความสาํ คญั และจําเปน ตอ รา งกาย อาทิ เปนตัวทาํ ใหเกิดพลงั งานและความอบอนุ ตอรา งกาย ชวยในการเจรญิ เตบิ โต ชวยซอ มแซมสว นทส่ี กึ หรอทาํ ใหรางกายทํางานไดตามปกติ เม่ือนําอาหาร มาวิเคราะหจะพบวามีสารประกอบอยูมากมายหลายชนิด ถาแยกโดยอาศัยหลักคุณคาทาง โภชนาการจะแบงออกเปน 6 ประเภท ไดแก โปรตีน คารโบไฮเดรต ไขมนั วติ ามิน เกลอื แร และนํ้า 4. พลังงานและแคลอรี่ ไขมนั คารโ บไฮเดรต และโปรตีน ใหป ระโยชนแ กรางกายหลาย อยางทีส่ ําคญั คอื การใชพลงั งานแกรา งกาย พลงั งานในทีน่ ้ีหมายถึงพลงั งานท่ีรา งกายจําเปนตองมี ตองใชแ ละสะสมไว เพือ่ ใชในการทาํ งานของอวยั วะทั้งภายในและภายนอกรางกาย 5. อาหารหลัก 5 หมู อาหารเปนสิ่งจําเปนย่ิงสําหรับการเจริญเติบโต การบํารุงเลี้ยง สวนตา งๆ ของรางกาย มักพบวาบางคนเลือกที่จะกินและไมกินอาหารอยางหน่ึงอยางใด ซึ่งเปน การกระทาํ ทีไ่ มถ กู ตอ ง หากไมกินอาหารตามความตอ งการของรางกาย การกินอาหารตองคํานึงถึง คณุ คาของสารอาหารมากกวา ความชอบหรือไมชอบ การเลอื กกินหรอื ไมกนิ อาหาร เกิดจากสาเหตุ หลายประการ ปญหาการบรโิ ภคอาหารไมถ ูกหลกั โภชนาการ มีดังน้ี 1. ภาวะทุพโภชนาการ ภาวะทพุ โภชนาการ หมายถงึ ภาวะที่รา งกายไดรบั สารอาหารผิดเบ่ียงเบนไปจาก ปกติ อาจเกิดจากไดรับสารอาหารนอยกวาปกติหรือเหตุ ทุติยภูมิ คือเหตุเน่ืองจากความ บกพรองตางจากการกิน การยอย การดูดซึมในระยะ 2-3 ปแรกของชีวิต จะมีผลกระทบตอ ระดบั สตปิ ญ ญาและการเรียนภายหลัง เน่ืองจากเปนระยะที่มีการเจริญเติบโตของสมองสูงสุด ซึ่งระยะเวลาทวี่ ิกฤติตอพัฒนาการทางรางกายของวัยเด็กมากที่สุดนั้นตรงกับชวง 3 เดือนหลัง การตั้งครรภจนถึงอายุ 18-24 เดือนหลังคลอด เปนระยะที่มีการปลอกหุมเสนประสาทของ ระบบประสาท และมีการแบงตัวของเซลลประสาทมากที่สุด เม่ืออายุ 3 ปมีผลกระทบตอการ

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวเจริญเตบิ โตถงึ รอยละ 80 สาํ หรับผลกระทบทางรางกายภายนอกที่มองเห็นไดคือ เด็กมีรูปราง เตย้ี เล็ก ซุบผอม ผิวหนังเหยี่ วยน เนือ่ งจากไขมันชนั้ ผวิ หนัง นอกจากน้อี อวยั วะภายในตาง ๆ กไ็ ดร บั ผลกระทบเชนกนั 1. หวั ใจ จะพบวา กลามเนื้อหวั ใจไมแ นน หนา และการบีบตัวไมด ี 2. ตบั จะพบไขมนั แทรกอยูในตับ เซลลเนอ้ื ตบั มีลักษณะบางและบวมเปนนํ้าสาเหตุให ทํางานไดไ มด ี 3. ไต พบวาเซลลทัว่ ไปมลี ักษณะบวมนํา้ และติดสจี าง 4. กลา มเนอ้ื พบวา สวนประกอบในเซลลลดลง มนี าํ้ เขาแทนท่ี 2. ภาวะโภชนาการเกนิ เม่อื คนเราบริโภคอาหารชนิดใด ชนิดหน่ึง เกินความตองการของรางกาย จะทําให เกิดภาวะโภชนาการเกินจนเกิดโรคได และโรคท่ีเกิดจากภาวะโภชนาการเกิน เปนสาเหตุของ การสูญเสยี ชวี ติ เปนจํานวนไมนอย และเปนตนเหตุของการเจ็บปวยที่ตองเสียคาใชจายในการ รักษายาวนาน เชน โรคหวั ใจและหลอดเลือด ตลอดจนโรคอวน เปนตน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหวั ใจและหลอดเลือด เปนสาเหตกุ ารตายทส่ี าํ คัญท่ีสุดของคนไทยในปจ จุบนั ซึง่ รวมถึงโรคตางๆและภาวะอาการของโรคตา ง ๆ โรคหลอดเลือดหวั ใจ โรคหลอดเลอื ดหัวใจ เปนโรคชนิดหน่ึงที่เกิดจากหลอดเลือดแดงหัวใจแข็ง ตีบ ตัน ขาดความยืดหยุน หลอดเลือดหวั ใจตบี หรอื ตนั หรือเกิดจากลมิ่ เลือดอดุ ตันหลอดเลอื ดหัวใจ จนทําใหกลามเน้ือหัวใจขาดเลือด หรือทําใหกลามเน้ือหัวใจตาย โรคน้ีเปนสาเหตุสําคัญของ อตั ราการปว ยการตายของคนไทยในปจ จุบนั และมแี นวโนมจะเพม่ิ มากขน้ึ ในอนาคต สาเหตุ 1. กรรมพนั ธุ ผทู ีพ่ อแม ปยู า ตายาย ปว ยเปน โรคหลอดเลือดหัวใจจะมีความเสี่ยง มากกวา ไขมนั ในหลอดเลอื ด ถา สูงกวา ปกติจะทาํ ใหห ลอดเลือดแข็ง เส่ียงตอการเปนโรคหลอด เลือดหวั ใจ 2. ความดันเลือดสงู 3. เบาหวาน ผทู เี่ ปนเบาหวานมกั จะเปนโรคหลอดเลือดหวั ใจดว ย 4. ความอวน ความอวนกับโรคหลอดเลือดหัวใจ มักจะเกิดขึ้นดวยกันเสมอ โดยเฉพาะคนอวนท่ีพงุ มกั จะมไี ขมันในเลือดสูงจนเปนโรคหลอดเลอื ดหัวใจดว ย

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว5. ออกกําลังกายนอยหรือขาดการออกกําลังกาย การไหลเวียนเลือดไมคลองพอ การเผาผลาญพลังงานนอ ย ทาํ ใหสะสมไขมนั จนกลายเปน โรค 6. ความเครยี ดและความกดดันในชีวิต อาจสงผลทาํ ใหเ ปน โรคนไี้ ด 7. การสบู บหุ ร่ี สารนิโคตินและทารจากควันบุหรี่มผี ลตอ การเกิดโรคน้ี นอกจากสาเหตุที่สําคัญดังกลาว ซึ่งจัดวาเปนปจจัยท่ีสามารถเปล่ียนแปลงได อาจมีปจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เปนสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เชน เพศ อายุ เชื้อชาติ เปน ตน จากการศึกษาพบวาเพศชายเสี่ยงตอ การเกดิ โรคนี้มากกวาเพศหญิง ยกเวนผูหญิงในวัย หมดประจําเดือน เนื่องจากมีระดับฮอรโมนเอสโตรเจนลดลง มีไขมันในเลือดสูง สําหรับอายุ พบวา มีอตั ราการเกิดโรคน้ีสูงมากในผสู งู อายุ และเชือ้ ชาตพิ บวา ในคนผิวดาํ มอี ัตราการเกิดโรค นม้ี ากกวาคนผวิ ขาว อาการ 1. เจบ็ หนา อกเปนๆ หายๆ หรือเจ็บเมื่อเครียดหรือเหนื่อย ซึ่งเปนลักษณะอาการ เริ่มแรก 2. เจ็บหนาอกเหมือนมีอะไรไปบีบรัด เจ็บลึกๆ ใตกระดูกดานซายราวไปถึง ขากรรไกรและแขนซายถงึ นวิ้ มือซา ย เจบ็ นานประมาณ 15-20 นาที ผูปวยอาจมีเหง่ือออกมาก คล่นื ไสห ายใจลําบาก รูสึกแนนๆ คลายมีเสมหะติดคอ บางครั้งมีอาการคัดจมูกคลายเปนหวัด เม่ือเปนมากจะมีอาการหนา มดื คลายจะเปน ลม และอาจถึงขน้ั เปนลมได บางครง้ั พอเหนอื่ ยก็จะ รูส กึ งว งนอนและเผลอหลับไดงาย 3. ผูปว ยมีอาการหวั ใจส่นั หัวใจเตนไมสม่าํ เสมอ 4. ในกรณีท่ีรนุ แรง อาการเจ็บหนา อกจะรนุ แรงมาก มักจะเกิดจากการท่ีมีลิ่มเลือด ไปอุดตนั บรเิ วณหลอดเลอื ดที่ตีบ ทําใหเกดิ กลา มเนือ้ หวั ใจตาย ผปู วยอาจมีอาการ หวั ใจวาย ชอ็ ก หัวใจหยุดเตน ทําใหเ สยี ชีวติ อยา งกะทนั หนั ได การปองกัน 1. หากพบวา บคุ คลในครอบครัวมีประวัติเปนโรคนี้ ควรเพ่ิมความระมัดระวังและ หลกี เลี่ยงจากปจจยั เสีย่ ง เพราะอาจกระตุนการเกิดโรค 2. ลดอาหารที่ทาํ จากนาํ้ มันสัตว กะทิจากมะพราว นํ้ามนั ปาลม และไขแดง 3. ไมค วรรบั ประทานอาหารทม่ี ีรสเคม็ จดั 4. ลดอาหารจําพวกแปง คารโ บไฮเดรต รับประทานอาหารพวกผกั ผลไมม ากๆ 5. งดอาหารไขมนั จากสัตวแ ละอาหารหวานจดั

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว6. ออกกําลงั กายอยางสมาํ่ เสมอ 7. พักผอ นใหเ พยี งพอวนั ละ 6-8 ช่วั โมง และหาวธิ ีผอ นคลายความเครียด 8. หลกี เลย่ี งหรืองดการสูบบหุ ร่ี โรคอว น (Obesity) โรคอวนเปนสภาวะที่รางกายมีไขมันสะสมตามสวนตางๆ ของรางกายมากเกินกวา เกณฑป กติ ซึง่ ตามหลกั สากลกําหนดวา ผูชายไมควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกวา 12-15% ของน้าํ หนกั ตัว ผหู ญงิ ไมควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกนิ กวา 18-20% ของนํ้าหนักตัว หากจะ ใหไ ดผ ลแนนอนควรไดร บั การตรวจจากหองปฏิบัติการ แตนักเรียนอาจประเมินวาเปนโรคอวน หรือไมดว ยวธิ งี ายๆ ดวยวิธตี รวจสอบกับตารางนาํ้ หนักและสวนสงู ของกรมอนามัย สาํ หรับในผใู หญอาจประเมินไดจ าก การหาคาดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) ไดจ ากสูตรดังนี้ _ น้าํ หนัก (กิโลกรมั ) BMI = สวนสูง2 (เมตร) คาทไี่ ดอยรู ะหวาง 18.5-24.9 ถอื วาอยใู นเกณฑปกติ ไมอว นหรอื ผอมเกนิ ไป สาเหตุ 1. กรรมพนั ธุ 2. การรับประทานอาหารเกินความตอ งการของรางกาย และมพี ฤตกิ รรมการ รับประทานอาหารทไี่ มด ี เชน กินจบุ จบิ 3. ขาดการออกกาํ ลงั กาย 4. สภาวะทางจิตและอารมณ เชน บางคนเมอื่ เกิดความเครียดก็จะหันไปรับประทาน อาหารมากจนเกินไป 5. ผลขา งเคียงจากการไดรบั ฮอรโ มนและการรบั ประทานยาบางชนิด เชน ยาคุมกําเนดิ ฮอรโมนสเตยี รอยด เปนตน

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวอาการ มีไขมันสะสมอยใู นรางกายจํานวนมาก ทําใหมีรูปรางเปล่ียนแปลงโดยการขยายขนาด ข้นึ และมีนาํ้ หนักตวั มากข้ึน การปองกนั 1. กรรมพันธุ หากพบวามปี ระวตั ขิ องบคุ คลในครอบครัวเปน โรคอว น ควรตอ งเพิ่ม ความระมัดระวงั โดยมีพฤติกรรมสขุ ภาพในเร่อื งตา งๆ ทเี่ กีย่ วของกับโรคอวนอยา งเหมาะสม 2. รับประทานอาหารแตพอสมควรโดยเลอื กรับประทานอาหารท่ีมปี ระโยชน หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานและอาหารที่มีไขมันสูง รับประทานผักและผลไมมากๆ และ หลากหลาย 3. ออกกําลงั กายสม่ําเสมออยา งนอ ยสปั ดาหล ะ 3 วนั วันละ 30 นาที 4. หาวิธีการควบคมุ และจัดการความเครยี ดอยางเหมาะสม พักผอนใหเพยี งพอ 5. การใชยาบางชนดิ ท่ีอาจมีผลขางเคยี ง ควรปรกึ ษาแพทย และใชยาตามท่ีแพทย แนะนําอยา งเครงครัด เรือ่ งท่ี 2 ปรมิ าณความตอ งการสารอาหารตามเพศ วยั และสภาพรา งกาย 1. ความตอ งการสารอาหารในวัยเด็ก อาหารมีสวนสาํ คญั อยา งมากในวยั เด็กท้งั ในดานการเจริญเติบโตของรางกายและ การพฒั นาการในดานความสัมพนั ธของระบบการเคล่อื นไหวของรางกาย ตลอดจนในดานจิตใจ และพฤตกิ รรมในการแสดงออกและปจจัยที่มีสวนสําคัญที่ทําใหเด็กไดรับอาหารท่ีถูกหลักทาง โภชนาการ ไดแก 1.1. ครอบครวั ท่ีคอยดแู ลและเปน ตวั อยางท่ดี ี 1.2. ตัวเด็กเองท่จี ะตองถกู ฝก ฝน 1.3. ส่งิ แวดลอ มทําใหเ กดิ การปฏบิ ัติอยางคนขา งเคยี ง อาหารท่ีถูกหลักโภชนาการในวัยเด็กตองการอาหารครบท้ัง 3 ประเภท เพือ่ การเจริญเติบโตและพัฒนาการ ส่ิงท่ีตองคํานึงถึงคอื อาหารทใี่ หเ ดก็ ควรไดรบั ไดแ ก 1) อาหารที่ใหโปรตีน ไดแก นม ไข เน้ือสัตว ตลอดจนโปรตีนจากพืช จําพวกถ่ัวเขยี ว ถั่วเหลือง 2) อาหารท่ีใหพลังงาน ไดแก ขาว แปง นํ้าตาล ไขมัน และน้ํามัน สวนนา้ํ อัดลม หรอื ขนมหวาน ลูกกวาดตา ง ๆ ควรจํากดั ลง เพราะประโยชนนอ ยมากและบางที

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวทาํ ใหมีปญ หาเร่อื งฟนผุดว ย 3) อาหารที่ใหวติ ามนิ และเกลอื แรไดแก พวก ผัก ผลไม และอาหารทีม่ ี ใยอาหารทีม่ สี ว นทําใหเ กบ็ ไมทองผูก 2. ความตองการสารอาหารของเด็กวยั เรยี น การเลือกอาหารเชาที่เด็กวัยเรียนควรไดรับประทานและหาไดงาย คือ นมสด 1 กลอง ขาวหรือขนมปง ไข อาจจะเปนไขดาว ไขลวก หรือไขเจียว ผลไมท่ีหาไดงาย เชน กลว ยน้าํ วา มะละกอ หรือสม เทานีเ้ ดก็ ก็จะไดร บั สารอาหารทเี่ พยี งพอแลว 3. ความตองการสารอาหารในวัยรนุ วยั รนุ เปนวัยท่ีมกี ารเจรญิ เตบิ โตในดา นรา งกายอยางมาก และมีการเปล่ียนแปลง ทางอารมณและจิตใจคอนขางสูง มีกิจกรรมตาง ๆ คอนขางมากทั้งในดานสังคม กีฬา และ บันเทิง ความตองการสารอาหารยอมมีมากข้ึน ซึ่งจะตองคํานึงท้ังปริมาณและคุณภาพใหถูก หลักโภชนาการ ปจจยั ท่สี ําคญั คือ 1. ครอบครัว ควรปลกู ฝงนิสัยการรบั ประทานอาหารท่ถี ูกหลกั 2. วัยรุน จะเร่ิมมีความคิดเห็นเปนของตัวเองมากข้ึน การรับความรูเกี่ยวกับ โภชนาการ มีความจําเปนเพ่ือใหเห็นความสําคัญของการรับประทานอาหารที่มีคุณคาทาง โภชนาการอยา งสมาํ่ เสมอ ซงึ่ จะมผี ลดตี อ ตัววัยรนุ เองโดยตรง 3. ส่ิงแวดลอมในโรงเรียนหรือสถานศึกษา อิทธิพลจากเพื่อนฝูงมีสวนท่ีทําให วัยรุนเลยี นแบบกันเร่อื งการรับประทานอาหาร ตลอดจนการบริโภคสารอันตรายความตองการ อาหารท่ีใหโปรตีน พลังงาน และวิตามินตองเพียงพอสําหรับวัยรุน วิตามินตองเหมาะสมและ โดยเฉพาะอยางย่งิ อาหารทีม่ เี กลอื แรป ระเภทแคลเซียมและเหล็กตองเพียงพอ 4. ความตองการสารอาหารในวัยผูใ หญ วัยผูใหญถึงแมจะหยุดเจริญเติบโตแลว รางกายยังตองการสารอาหารอยาง ครบถวน เพอ่ื นําไปทาํ นุบํารงุ อวัยวะ และเนือ้ เย่อื ตาง ๆ ของรางกายใหคงสภาพการทํางานท่ีมี สมรรถภาพตอ ไป และปจจยั สาํ คัญอยา งหนง่ึ ทจ่ี ะทําใหวยั ผูใหญยงั คงแข็งแรง ไดแก การบริโภค อาหารท่ถี กู ตอ งตามหลกั โภชนาการ การควบคมุ อาหารในวยั ผใู หญ มดี ังน้ี 1. ใหบริโภคอาหารหลายชนิด เนื่องจากไมมีอาหารชนิดใดชนิดหน่ึงท่ีใหคุณคา ทางโภชนาการไดค รบถวน 2. บริโภคอาหารในปริมาณทพ่ี อเหมาะ เพ่อื ใหน ํ้าหนกั อยใู นเกณฑทต่ี องการ 3. หลกี เลยี่ งการรับประทานทมี่ ไี ขมันมากเกินไป

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว4. บรโิ ภคอาหารทมี่ ปี ริมาณของแปง และกากใยใหเพยี งพอ 5. หลกี เลย่ี งการบรโิ ภคอาหารทป่ี รงุ ดว ยปรมิ าณนา้ํ ตาลจาํ นวนมาก 6. หลกี เล่ยี งการบริโภคอาหารเค็มมากเกินไป 7. หลกี เลยี่ งเครอ่ื งดื่มทีม่ ีแอลกอฮอล 5. ความตองการสารอาหารของวัยชรา วัยชรา หมายถึง ผูทอ่ี ยใู นวยั 60 ปขึ้นไป สําหรบั ปญหาเรอื่ งอาหารการกินหรือ โภชนาการในวัยน้ี ขอใหรับประทานอาหารใหครบทุกหมูและควบคุมปริมาณ โดยดูจากการ ควบคุมนํ้าหนักตัวไมใหมากขึ้น และกรณีนํ้าหนักเกินอยูแลว ควรจะลดน้ําหนักใหสัมพันธกับ สว นสูง ขอ แนะนาํ ในการดูแลเรือ่ งอาหารในผสู งู อายุมีดังนี้ 1. โปรตีน ควรใหรับประทานไขวันละ 1 ฟอง และดื่มนมอยางนอยวันละ 1 แกวสําหรับโปรตีนจากเนือ้ สตั วค วรลดนอ ยลง 2. ไขมัน ควรใชนํ้ามันถั่วเหลืองหรือน้ํามันขาวโพด ในการปรุงอาหารเพราะ เปนน้าํ มนั พืชท่ีมีกรดไลโนเลอิก 3. คารโบไฮเดรต คนสูงอายุควรรับประทานขาวลดลงและไมควรรับประทาน นา้ํ ตาลในปรมิ าณทมี่ าก 4. ใยอาหาร คนสูงอายุควรรับประทานอาหารที่เปนพวกใยอาหารมากขึ้น เพือ่ ชวยปอ งกันการทองผกู ชว ยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดและลดอุบัติการณของการเกิด มะเรง็ ลาํ ไสใหญล งได 5. นํ้าด่ืม คนสงู อายุควรดมื่ นํ้าปริมาณ 1 ลิตรตลอดทั้งวัน แตท้ังน้ีสามารถปรับ เองไดตามความตองการของรางกาย โดยสังเกตดูวาถาปสสาวะมีสีเหลืองออน ๆ เกือบขาว แสดงวานาํ้ ในรา งกายเพียงพอแลว สว นเครอื่ งด่ืมแอลกอฮอลรวมท้ังน้ําชา กาแฟ ควรงดเวนถา ระบบยอยอาหารในคนสูงอายุไมดี ทานควรแบงเปนมื้อยอย ๆ แลวรับประทานทีละนอย แต หลายม้ือจะดกี วา แตอาหารหลกั ควรเปนม้ือเดียว 6. ความตอ งการสารอาหารในสตรีต้ังครรภ สตรีตั้งครรภ นอกจากตองมีสารอาหารทั้ง 6 ประเภท ไดแก โปรตีน คารโบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร และน้ํา ในอาหารที่รับประทานเปนประจําใหครบทุก ประเภทแลว สตรีตง้ั ครรภตอ งทราบอีกวา ควรท่ีจะเพิ่มสารอาหารประเภทใด จึงจะทําใหเด็ก ในครรภไดร ับประโยชนส งู สดุ ดังนี้

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว1. อาหารทใ่ี หโ ปรตีน ไดแก ไข นม เนื้อสตั ว เครอื่ งในสัตวแ ละถว่ั เมลด็ แหง 2. อาหารที่ใหพลงั งาน ไดแก ขาว แปง นาํ้ ตาล ไขมนั และนํ้ามัน 3. อาหารทใ่ี หวติ ามนิ และเกลอื แร สตรตี ้ังครรภตอ งการอาหารท่มี ีวิตามิน และเกลือแรเพิ่มข้ึนควรรับประทานอาหารประเภทผักและผลไมทุกๆวัน เชน สม มะละกอ กลว ย สลับกนั ไป เรื่องท่ี 3 วธิ ีการประกอบอาหารเพอ่ื คงคณุ คาของสารอาหาร 1. หลักการปรงุ อาหารท่ีถูกสขุ ลกั ษณะ เพ่ือใหไดอาหารที่สะอาด ปลอดภัย และมีคุณคาทางโภชนาการ มีหลักการปรุง อาหารท่ถี กู สขุ ลักษณะ โดยคาํ นึงถงึ หลัก 3 ส คือ สงวนคณุ คา สกุ เสมอ สะอาดปลอดภยั สงวนคุณคา คือ การปรุงอาหารจะตองปรุงดวยวิธีการปรุงประกอบเพ่ือสงวน คุณคา ของอาหารใหม ปี ระโยชนเตม็ ท่ี เชน การลา งใหสะอาดกอ นห่นั ผัก การเลือกใชเกลือเสริม ไอโอดนี สกุ เสมอ คือ ตอ งใชความรอนในการปรุงอาหารใหสุกโดยเฉพาะอาหารประเภท เนื้อสัตว ทั้งนี้เพื่อตองการจะทําลายเชื้อโรคท่ีอาจปนเปอนมากับอาหาร การใชความรอน จะตองใชความรอนในระดับท่ีสูง ในระยะเวลานานเพียงพอที่ความรอนจะกระจายเขาถึง ทกุ สว นของอาหาร ทําใหสามารถทําลายเชื้อโรคไดอ ยา งมปี ระสทิ ธภิ าพ สะอาดปลอดภัย คือ จะตองมีการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานของอาหารกอน การปรงุ ประกอบวาอยูในสภาพที่สะอาด ปลอดภัย ไดมาตรฐาน เชน เน้ือหมูสด ตองไมมีเม็ด สาคู (ตัวออนพยาธิตัวตืด) น้ําปลา จะตองมีเครื่องหมาย อย.รับรอง เปนตน และจะตองมี กรรมวธิ ขี ้ันตอนการปรุงประกอบอาหารท่ีสะอาด ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ มีผูปรุง ผูเสิรฟ อาหารท่ีมีสุขวิทยาสวนบุคคลที่ดี รูจักวิธีการใชภาชนะอุปกรณและสารปรุงแตงรสอาหาร ที่ถูกตอง เชน มีการลดปริมาณสารพิษ กําจัดศัตรูพืชท่ีตกคางในผักสด การใชชอนชิมอาหาร เฉพาะในการชิมอาหารระหวา งการปรงุ อาหาร 2. หลักการทาํ อาหารใหส ะดวกและรวดเร็ว มีวธิ กี ารเตรยี มอาหารพรอมปรงุ ในวันหยุดที่เก็บไวในตูเย็นแลวนํามาปรุงใหมได โดยใชเวลานอ ยแตไดค ุณคามาก เริ่มจากอาหารประเภทเน้ือสัตว เชน หมู ไก กุง ปลา เม่ือซ้ือ มาจัดเตรียมตามชนิดที่ตองการปรุงหรือหุงตมแลวทําใหสุก ดวยวิธีการตมหรือรวน แลวแบง ออกเปน สว น ๆ ตามปรมิ าณทจ่ี ะใชแตล ะครั้ง แลว เก็บไวในตูเย็น ถาจะใชในวันรุงข้ึน หรือเก็บ

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวไวใ นชอ งแชแ ข็งถาจะเก็บไวใชนาน เมื่อตองการใชก็นําออกมาประกอบอาหารไดทันที โดยไม ตองเสียเวลา รอใหละลายเหมือนการเก็บดิบ ๆ ท้ังชิ้นใหญโดยไมห่ัน การเตรียมลวงหนาวิธีน้ี นอกจากจะสะดวก รวดเร็วแลว ยังคงรสชาติและคุณคา ของอาหารอกี ดวย 3. หลักการเก็บอาหารใหสะอาดปลอดภัย การเก็บอาหารตามหลักการสุขาภิบาลอาหาร มีวัตถุประสงคเพื่อยืดอายุของ อาหารทใี่ ชบริโภค โดยจะตอ งอยใู นสภาพท่ีสะอาดปลอดภัยในการบริโภค หลักการในการเก็บ อาหารใหคํานงึ ถงึ หลัก 3 ส. คอื สัดสวนเฉพาะ สงิ่ แวดลอมเหมาะสม สะอาดปลอดภยั สัดสวนเฉพาะ คือ ตองเก็บอาหารใหเปนระเบียบ แยกเก็บตามประเภทอาหาร โดยจดั ใหเ ปน สดั สวนเฉพาะไมปะปนกัน มฉี ลากซอ้ื หรือเครอ่ื งหมายอาหารแสดงกาํ กบั ไว ส่งิ แวดลอ มเหมาะสม คือ ตอ งเก็บอาหารโดยคํานงึ ถึงการจัดสภาพส่ิงแวดลอมให เหมาะสมกบั อาหารแตละประเภท โดยคํานึงถึงอุณหภูมิความชื้นเพื่อชวยทําใหอาหารสดสะอาด เก็บไดน าน ไมเ นา เสียงาย สิ่งแวดลอ มของอาหารจะจดั การใหอยูใ นสภาพท่ีจะปองกนั การปนเปอน ได เชน การเก็บอาหารกระปองในบรเิ วณท่มี ี อาหารหมุนเวยี น สูงจากพ้นื อยางนอ ย 30 เซนติเมตร การเก็บนมพาสเจอรไ รซไวในอุณหภมู ิต่าํ กวา 7 องศาเซลเซยี ส เปนตน สะอาดปลอดภัย คือ ตองเก็บอาหารในภาชนะบรรจุท่ีถูกสุขลักษณะ สะอาด ปลอดภยั มกี ารทาํ ความสะอาดสถานทเ่ี กบ็ อยางสม่ําเสมอไมเก็บสารเคมีท่ีเปนพิษอื่น ๆ เชน การ ใชถุงพลาสติก กลองพลาสติกสําหรับบรรจุอาหารในการบรรจุอาหารท่ีเก็บไวในตูเย็น ตูแชแข็ง เปนตน 4. อุณหภูมิเทา ไหรจ ึงจะทาํ ลายเชื้อโรคได เชอื้ จุลินทรยี มอี ยูทั่วไปตามส่ิงแวดลอมมนุษย สัตว อาหาร ภาชนะอุปกรณและ สามารถจะดํารงชีวิตอยูไดในชวงอุณหภูมิต่ํากวา 0 องศาเซลเซียส จนถึง 75 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะเชอ้ื จลุ ินทรียท กี่ อใหเกดิ โรคระบาดทางเดินอาหาร มักจะเปนเชื้อจุลินทรียที่สามารถ เจริญเตบิ โตไดดีที่อุณหภมู หิ อ งประมาณ 25 องศาเซลเซียส ถึง 40 องศาเซลเซยี ส ฉะนนั้ การทาํ ลายเชื้อจลุ ินทรยี ทก่ี อใหเกดิ โรคระบบทางเดินอาหารจําเปนจะตอง กําหนดชวงอุณหภูมิที่เหมาะสม เพ่ือจะไดแนใจวาเช้ือจุลินทรียถูกทําลายจนหมดส้ิน ในขบวนการผลิตอาหารทางอุตสาหกรรมการทําลายเช้ือโรคจําเปนตองอาศัยอุณหภูมิ ท่ีเหมาะสมควบคูไปกับระยะเวลาท่ีเหมาะสมจึงจะมีประสิทธิภาพในการทําลายที่ดี คือ อุณหภูมิท่ีสูงมากใชระยะเวลาส้ัน (121องศาเซลเซียสเปนเวลา 1 นาที) และอุณหภูมิที่ต่ําใช

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยวระยะเวลานาน (63 องศาเซลเซียส เปนเวลา 30 นาที) ทั้งท่ียังมีปจจัยอ่ืนที่เกี่ยวของในการ ควบคุม ไดแ ก ปรมิ าณเชือ้ จลุ นิ ทรยี ป ระเภทของอาหารคาความเปน กรด ดาง ความชืน้ สําหรับในการปรุงประกอบอาหารในครัวเรือนอุณหภูมิท่ีสามารถทําลาย เชอ้ื จุลนิ ทรีย คือ 80 - 100 องศาเซลเซียส (อุณหภูมินํ้าเดือด) เปนเวลานาน 15 นาที สําหรับ อุณหภมู ิในตูเยน็ 5 - 7 องศาเซลเซียส เชื้อจุลินทรียสามารถดํารงชีวิตอยูได และสามารถเพิ่ม จํานวนไดอ ยา งชาในขณะท่ีอณุ หภมู ิแชแ ขง็ ตํ่ากวา 0 องศาเซลเซียส เชื้อจุลินทรียสามารถดํารง อยูไดแตไมเพิ่มจํานวนอุณหภูมิที่เชื้อจุลินทรียตาย คือ -20 องศาเซลเซียส ดังน้ัน เพื่อความ ปลอดภยั ในการบรโิ ภคอาหารโดยเฉพาะอาหารเนื้อสัตวควรปรุงอาหารใหสุกเสมอ โดยทั่วทุก สวนทอี่ ุณหภมู ิสูงกวา 80 องศาเซลเซียสขึน้ ไปหรือสกุ เสมอ สะอาด ปลอดภัย 5. อณุ หภูมิทเี่ หมาะสมในการเกบ็ อาหารสดประเภทเนื้อสัตว อาหารเนอื้ สัตวสด เปนอาหารทม่ี คี วามเสีย่ งสงู เพราะมีปจจัยเอือ้ ตอการเนาเสีย ไดงาย คือ มีปริมาณสารอินทรียสูง มีปริมาณน้ําสูง ความเปนกรดดางเหมาะสมในการ เจรญิ เติบโตของเช้ือจุลินทรีย การเกบ็ เน้อื สัตวส ดทถี่ ูกสขุ ลกั ษณะ คือ ตอ งลางทําความสะอาดแลวจึงหั่นหรือ แบงเนื้อสัตวเปนช้ิน ๆ ขนาดพอดีที่จะใชในการปรุงประกอบอาหารแตละครั้ง แลวจึงเก็บใน ภาชนะท่ีสะอาดแยกเปนสัดสวนเฉพาะ สําหรับเน้ือสัตวสดที่ตองการใชใหหมด ภายใน 24 ช่ัวโมงสามารถเก็บไวในอุณหภูมิตูเย็นระหวาง 5 - 7 องศาเซลเซียส ในขณะท่ีเนื้อสัตวสดที่ ตองการเก็บไวใชนาน (ไมเกิน7วัน) ตองเก็บไวในอุณหภูมิตูแชแข็ง อุณหภูมิตํ่ากวา 0 องศา เซลเซยี ส เมอื่ จะนาํ มาใชจําเปน จะตองนาํ มาละลายในไมโครเวฟ แตถาละลายในนํ้าเย็นจะตอง เปลี่ยนนํ้าทุก 30 นาที เพ่ือใหอาหารยังคงความเย็นอยูและนํ้าที่ใชละลายไมเปนแหลงสะสม ของเชื้อจุลินทรียที่อาจจะปนเปอนมา ทําใหมีโอกาสเพิ่มจํานวนไดมากข้ึนจนอาจจะเกิดเปน อนั ตรายได 6. ความสาํ คญั ภาชนะบรรจอุ าหาร ภาชนะบรรจุอาหารเปนปจจัยสําคัญที่เสี่ยงตอการปนเปอนเช้ือโรค สารเคมีท่ีเปน พษิ กับอาหารทพี่ รอ มจะบรโิ ภค สามารถกอ ใหเกดิ การปนเปอนไดทกุ ขั้นตอน ต้ังแตขั้นตอนการ เกบ็ อาหารดบิ ข้นั ตอนการเสริ ฟ ใหกับผูบรโิ ภค ข้ันตอนการเก็บอาหารดิบถาภาชนะบรรจุทําดวยวัสดุท่ีเปนพิษหรือภาชนะ ที่ปนเปอนเช้ือโรคก็จะทําใหอาหารท่ีบรรจุอยูปนเปอนไดโดยเฉพาะภาชนะบรรจุอาหาร เนื้อสัตวสด เมื่อใชแลวตองลางทําความสะอาดใหถูกตองกอนจะนํามาบรรจุเน้ือสัตวสดใหม

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

บทท่ี 4 โรคระบาด สาระสาํ คญั กกกกกกกกการมีความรูความเขาใจเก่ียวกับสาเหตุ อาการ การปองกัน และการรักษา โรคตดิ ตอ ท่ีแพรร ะบาดและเปน ปญหาตอ สขุ ภาพของประชาชนในชุมชน จะชวยใหรูวิธีปองกัน ตนเองและครอบครวั ตลอดจนรวมมือปองกนั การแพรกระจายเช้ือโรคไปสูบุคคลอื่นอันจะเปน แนวทางสาธารณสุขของประเทศได ผลการเรียนรทู ค่ี าดหวัง กกกกกกกก1. อธบิ ายสาเหตุ อาการ การปองกนั และการรกั ษาของโรคทเ่ี ปน ปญหาตอ สุขภาพได กกกกกกกก2. อธบิ ายวิธกี ารปอ งกนั และหลกี เล่ยี งการเปน โรคที่เปน ปญหาสาธารณสุขได ขอบขา ยเนือ้ หา กกกกกกกกสาเหตุ อาการ การปองกนั และการรักษาโรคทีเ่ ปน ปญ หาสาธารณสขุ ไดแก โรคไขเลอื ดออก โรคมาลาเรยี โรคไขหวดั นก โรคซารส และโรคอหวิ าตกโรค กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว

กศน. ํอาเภอเ ้กาเลี้ยว บทที่ 4 โรคระบาด เรือ่ งท่ี 1 สาเหตุ อาการ การปอ งกนั และการรกั ษาโรคทเี่ ปน ปญ หาสาธารณสุข กกกกกก โรคตดิ ตอ หมายถึง โรคที่เกิดจากเช้ือโรคแลวสามารถติดตอจากคนไปสูบุคคลอื่นได หรืออาจติดตอระหวางคนสูคน หรือสัตวสูคนได หรือติดตอระหวางสัตวดวยกันเองได โดยมี พาหะ เชน คน สัตว หรือมตี ัวกลางนําเชือ้ โรค เปน ตน ลกั ษณะของโรคติดตอ 1. เชอื้ โรคสามารถแพรกระจายไปยังบุคคลอื่นไดอยางรวดเร็ว 2. การแพรก ระจายของโรคมักเกดิ จากพฤตกิ รรมของบคุ คลหรือปญ หาสุขาภิบาล สิ่งแวดลอม 3. มีอัตราการเจ็บปวยคอ นขางสูงและโอกาสท่จี ะเกิดโรคเปนไดท ุกเพศทกุ วัย โรคทเี่ ปน ปญหาสาธารณสุขของประเทศ 1. โรคไขเ ลือดออก โรคไขเลือดออก คือ โรคติดเช้ือซ่ึงมีสาเหตุมาจาก ไวรัสเดงก่ี (Dengue virus) อาการของโรคนม้ี ีความคลายคลงึ กบั โรคไขหวัดในชว งแรก จึงทําใหผูปวยเขาใจคลาดเคลื่อนได วาตนเปนเพียงโรคไขหวัด และทําใหไมไดรับการรักษาท่ีถูกตองในทันที โรคไขเลือดออกมี อาการและความรนุ แรงของโรคหลายระดับ ตั้งแตไมม ีอาการหรือมีอาการเล็กนอยไปจนถึงเกิด ภาวะช็อก ซ่งึ เปน สาเหตุที่ทําใหผปู วยเสยี ชีวติ อาการ อาการของโรคนี้คลายคลึงกับโรคไขหวัด กลาวคือ มีอาการไข ออนเพลีย ปวดเมื่อยกลามเนื้อ แตแตกตางกันที่ไขจะสูงกวามาก โดยอาจมีไขสูงกวา 40 องศา เซลเซียส ผูปวยจะมีหนาแดงและปวดเมื่อยกลามเนื้อคอนขางมากกวา หากทําการทดสอบ โดยการรัดตนแขนดวยสายรัด จะพบจุดเลือดออก ผูปวยอาจมีเลือดออกผิดปกติ เชน เลือด กําเดาไหล เลือดออกตามไรฟน หรืออาการเลือดออกผิดปกติอื่น ๆ และในบางรายที่มี อาการรุนแรงมาก ๆ อาจพบอาการซึม เหงื่อออก มือเทาเย็น ชีพจรเตนเบาแตเร็ว ปวด ทองโดยเฉพาะบริเวณใตชายโครงขวา ปสสาวะลดลง อาจถึงกับช็อกและเสียชีวิตได โดย อาการนําของภาวะช็อกมักเริ่มจากการมีไขลดลง ควรรีบแจงแพทยหรือนําผูปวยสง โรงพยาบาลทันที

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว

กศน.อําเภอเกา้ เล้ยี ว