การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชก้ จิ กรรมในแหลง่ ชมุ ชน (The use of Community Activities) ความหมาย การจดั การเรยี นรูท้ ่ใี หผ้ ูเ้ รยี นไดส้ มั ผสั กบั ของจรงิ สถานการณ์จรงิ จากชมุ ชนใกลๆ้ บรเิ วณ สถานศึกษา โดยผูเ้ รยี นไดศ้ ึกษาและปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตามทไ่ี ดร้ ว่ มกนั วางแผนไว้ จดุ ม่งุ หมาย 1. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความคนุ้ เคยกบั สภาพแวดลอ้ มและปรบั ตวั เขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม ในการดาเนินชีวติ ท่ดี ใี นชมุ ชนต่อไป 2. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นมที กั ษะในการสงั เกต การศึกษาคน้ ควา้ และสบื เสาะเพอ่ื หาเหตผุ ลในการ กระทาของประชากรแตล่ ะชมุ ชนโดยการกระทาจรงิ 3. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นไดเ้ ขา้ ใจในสภาพชีวติ ความเป็นอยู่ สภาพสงั คม วฒั นธรรมของบคุ คล ในชมุ ชน อนั จะทาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจทด่ี ซี ่ึงกนั และกนั ของคนในชาติ 4. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นเช่ือมนั่ ในการเป็นเจา้ ของชุมชน มคี วามรกั ถ่นิ ฐานและม่งุ มนั่ ทจ่ี ะพฒั นา ชมุ ชนใหด้ ขี ้ึน
บทบาทของผูส้ อน 1. ผูส้ อนจะตอ้ งสารวจแหลง่ ความรูใ้ นชมุ ชน กอ่ นท่ีจะใชใ้ นการจดั การเรยี นรู้ 2. ผูส้ อนจะตอ้ งรว่ มวางแผนการใชก้ จิ กรรมในแหลง่ ชมุ ชนกบั ผูเ้ รยี น 3. ผูส้ อนตอ้ งเป็นผูป้ ระสานงานและอานวยความสะดวกระหว่าง สถานศึกษา กบั แหลง่ ชมุ ชน ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ 1. ขน้ั นาเสนอ เป็นขน้ั ท่ีผูส้ อนและผูเ้ รยี นร่วมกนั เสนอปญั หาหรอื ความตอ้ งการท่จี ะ แกป้ ญั หา โดยใชส้ อ่ื และวธิ กี ารต่างๆ กระตนุ้ เพ่อื นาไปสูก่ ารจดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้ กจิ กรรมในแหลง่ ชมุ ชน 2. ขน้ั กาหนดจดุ ประสงค์ ผูส้ อนและผูเ้ รยี นร่วมกนั กาหนดปญั หา กจิ กรรมและวตั ถปุ ระสงค์
ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ (ต่อ) 3. ขน้ั วางแผน ผูส้ อนและผูเ้ รยี นรว่ มกนั วางแผนตามขน้ั ตอน ดงั น้ี 1) แบง่ กลมุ่ ศกึ ษาคน้ ควา้ เลอื กประธานและเลขานุการกลมุ่ 2) เตรยี มคาถามและปญั หาใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ 3) จดั วางกฎระเบยี บในการศกึ ษาโดยใชก้ จิ กรรมในแหลง่ ชมุ ชน 4) วางแผนในเรอ่ื งวสั ดุอปุ กรณ์ในการจดั การเรยี นรู้ 5) วางแผนรว่ มกบั ผูท้ เ่ี กย่ี วขอ้ งในการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชก้ จิ กรรมในแหลง่ ชมุ ชน 6) วางแผนเพอ่ื แกไ้ ขปญั หาอปุ สรรคท่อี าจจะเกดิ ข้ึน 4. ขน้ั ดาเนินงาน เป็นขน้ั ท่ปี ฏบิ ตั ติ ามขน้ั ตอนทว่ี างแผนไว้
การจดั การเรยี นรูแ้ บบทดลอง (Laboratory Method) ความหมาย วธิ ีสอนแบบทดลอง หมายถงึ วธิ ีสอนท่ีใหผ้ ูเ้ รยี นไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง จนเกดิ ความรูค้ วามเขา้ ใจเพอ่ื พสิ ูจน์ขอ้ เทจ็ จรงิ พสิ ูจนส์ มมตุ ิฐาน หรอื คน้ พบ ขอ้ ความต่างๆ ความม่งุ หมาย วธิ ีสอนแบบทดลองมคี วามม่งุ หมายในการจดั การเรยี นรูด้ งั น้ี 1. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นไดร้ บั ความรูจ้ ากประสบการณ์ตรงโดยการสงั เกตและทดลอง 2. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นมีประสบการณ์ในการทดลอง ซ่ึงจะช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นสนใจใน บทเรยี นมากย่งิ ข้ึน 3. เพอ่ื พฒั นาทกั ษะในการใชเ้ คร่อื งมือต่างๆ ในการทดลอง
ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ วธิ ีสอนแบบทดลองมขี น้ั ตอนของการจดั การเรยี นรู้ 3 ขน้ั คอื 1. ขน้ั นาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจและแรงจูงใจ ผูส้ อนเสนอแนะสง่ิ ทจ่ี ะทาการทดลอง อธบิ าย ใหผ้ ูเ้ รยี นเขา้ ใจในวธิ กี ารทดลอง แจกคาแนะนาหรอื คูม่ อื ในการทดลอง 2. ขน้ั ทาการทดลอง ผูเ้ รยี นทกุ คนอาจทาการทดลองในปญั หาเดียวหรอื แตกต่างกนั ก็ได้ การทดลองจะกนิ เวลาเทา่ ไรยอ่ มแลว้ แต่ลกั ษณะของการทดลองน้นั ๆ 3. ขน้ั เสนอผลการทดลอง หลงั จากทดลองหรอื เม่อื การทดลองใกลเ้ สรจ็ ผูเ้ รยี นตอ้ งมา รวมกนั เพอ่ื อธบิ ายถงึ วธิ กี ารท่จี ะเสนอผลของการทดลองซึงอาจทาไดโ้ ดยวธิ ีการดงั น้ี 1) อธิบายถงึ ธรรมชาตแิ ละความสาคญั ของปญั หาแตล่ ะกล่มุ ท่ที าการทดลอง 2) รายงานขอ้ มลู หรอื ขอ้ คน้ พบทร่ี วบรวมได้ 3) แสดงตวั อยา่ งท่เี ป็นวสั ดหุ รอื ในรูปอน่ี ๆ ทไ่ี ดจ้ ากผลงาน 4) แสดงนิทรรศการผลงานดา้ นต่างๆ พรอ้ มทง้ั การอธบิ ายประกอบ
ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ขอ้ ดี 1. ผูเ้ รยี นไดป้ ระสบการณ์ตรงในการเรยี นรูข้ ณะลงมอื ปฏบิ ตั ิดว้ ยตนเอง 2. เป็นการเรยี นรูโ้ ดยผ่านประสาทสมั ผสั หลายดา้ น 3. ทาใหจ้ าไดน้ าน เน่ืองจากเรยี นรูจ้ ากของจรงิ 4. ผูเ้ รยี นเกดิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรด์ ว้ ยตนเอง 5. ผูเ้ รยี นเกดิ ความสนุก ต่นื เตน้ กบั การทดลอง ทาใหบ้ ทเรยี นน่าสนใจย่งิ ข้ึน ขอ้ จากดั 1. ส้นิ เปลอื งวสั ดอุ ปุ กรณ์ 2. ใชเ้ วลาในการจดั การเรยี นรูม้ าก
การจดั การเรยี นรูแ้ บบโครงการ (Project Method) ความหมาย วธิ ีสอนแบบโครงการเป็นการจดั การเรยี นรูท้ ่ใี หผ้ ูเ้ รยี นเป็นหมู่หรอื รายบคุ คลไดว้ างโครงการและดาเนินงานใหส้ าเรจ็ ตามโครงการน้ัน ความม่งุ หมาย 1. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นไดฝ้ ึกท่จี ะรบั ผดิ ชอบในการทางานต่างๆ 2. เพ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นฝึกแกป้ ญั หาดว้ ยการใชค้ วามคดิ 3. เพอ่ื ฝึกดาเนินงานตามความม่งุ หมายท่ตี ง้ั ไว้
ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ 1. ขน้ั กาหนดความม่งุ หมาย เป็นขน้ั กาหนดความม่งุ หมายและลกั ษณะ โครงการโดยตวั ผูเ้ รยี น ผูส้ อนจะเป็นผูช้ ้ีแนะ 2. ขน้ั วางแผนหรอื วางโครงการ เป็นขน้ั ท่ีมีคณุ ค่าต่อผูเ้ รยี นเป็นอยา่ งมาก คอื ผูเ้ รยี นจะช่วยกนั วางแผนวา่ ทาอย่างไร 3. ขน้ั ดาเนินการ เป็นขน้ั ลงมือกระทากจิ กรรมหรอื ลงมือแกป้ ญั หา 4. ขน้ั ประเมนิ ผล หรอื อาจเรยี กวา่ ขน้ั สอบสวนพจิ ารณาผูเ้ รยี น ทาการ ประเมนิ ผลว่ากจิ กรรมหรอื โครงการท่ที าน้นั บรรลผุ ลตามความม่งุ หมายท่ีตง้ั ไว้ หรอื ไม่ มขี อ้ บกพรอ่ งอย่างไรและควรแกไ้ ขใหด้ ขี ้ึนอยา่ งไร
ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ขอ้ ดี 1. ผูเ้ รยี นมีความสนใจเพราะไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ิจรงิ ๆ 2. สง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์ การทางานอยา่ งมีแผน รูจ้ กั ประเมินผลงานตนเอง 3. ช่วยใหเ้ กดิ การเรยี นรูต้ ามวิธธี รรมชาตมิ ีประสบการณใ์ นการทางานร่วมกบั ผูอ้ น่ื 4. ฝึกใหผ้ ูเ้ รยี นไดร้ ูจ้ กั แกป้ ญั หาเพอ่ื เตรยี มพรอ้ มท่จี ะเผชิญสภาพสงั คมจรงิ ๆ ขอ้ จากดั 1. เสยี เวลามาก และอาจทาใหผ้ ูเ้ รยี นไดร้ บั ความรูท้ ่เี ป็ นหลกั วชิ าไมเ่ พยี งพอ 2. ประสบการณ์ในชีวติ จรงิ หลายอยา่ งไม่สามารถวางแผนและทากจิ กรรมได้ 3. ถา้ ผูส้ อนไมม่ คี วามรูเ้ พยี งพอ การจดั การเรยี นรูจ้ ะประสบความลม้ เหลว
การจดั การเรยี นรูแ้ บบแบง่ กล่มุ ทางาน (Committee Work Method) ความหมาย วธิ ีสอนแบบแบ่งกล่มุ ทางาน คอื การท่ผี ูส้ อนมอบหมายใหผ้ ูเ้ รยี นทางานร่วมกนั เป็นหมู่ คณะ ช่วยกนั คน้ ควา้ แกป้ ญั หา ความม่งุ หมาย 1. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นมีความรบั ผดิ ชอบในการทางานร่วมกนั ช่วยเหลอื ซ่ึงกนั และกนั ทางาน อย่างมีระบบและระเบยี บวนิ ยั รูจ้ กั ทาหนา้ ท่เี ป็นผูน้ าและผูต้ ามท่ดี ี 2. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นไดฝ้ ึกทกั ษะในการแกป้ ญั หาตามวธิ ีทางวทิ ยาศาสตร์ มกี ารศึกษา คน้ ควา้ และแสวงหาความรูด้ ว้ ยตนเอง ทางานเฉพาะอย่าง ทง้ั เป็นรายบคุ คลและสว่ นรวม 3. เพอ่ื ฝึกใหผ้ ูเ้ รยี นรูจ้ กั เลอื กทางานตามความสนใจ ความถนดั และความสามารถ
ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ 1. ขน้ั กาหนดความม่งุ หมาย เป็นขน้ั ท่กี าหนดความม่งุ หมาย และวธิ ีการทางานอยา่ งละเอยี ด ถา้ เป็ นครง้ั แรกผูส้ อนควรดูแลอย่าง ใกลช้ ิด 2. ขน้ั เสนอแนะแหลง่ วทิ ยาการท่ีจะใชค้ น้ ควา้ หาความรู้ เป็น ขน้ั ท่ีผูส้ อนผูส้ อนบอกรายละเอยี ดของหนงั สอื ไวค้ น้ ควา้ 3. ขน้ั วางแผน เป็ นขน้ั ท่ีผูเ้ รยี นวางแผนทางานร่วมกนั ทางาน ตามท่รี บั มอบหมาย 4. ขน้ั ประเมนิ ผล เป็นขน้ั ท่ผี ูส้ อนสงั เกตพฤติกรรมของผูเ้ รยี น ในการร่วมมือกนั ทางาน
การจดั การเรยี นรูแ้ บบ 4 MAT 4 MAT เป็นนวตั กรรมการออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่สี อดคลอ้ งกบั แนวคิดใน เร่อื งความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล การจดั การเรยี นรูท้ เ่ี นน้ ผูเ้ รยี นเป็ นศนู ยก์ ลาง แบ่งเป็น 4 ขน้ั ตอน แต่ละขน้ั ตอนแบง่ เป็นขน้ั ตอนย่อยๆ 2 ขน้ั ตอบสนองการพฒั นา ศกั ยภาพทกุ ดา้ นของผูเ้ รยี นทม่ี ีรูปแบบ/ลกั ษณะการเรยี นรูแ้ ตกต่างกนั ดงั น้ี ขน้ั ตอนท่ี 1 การนาเสนอประสบการณ์ท่มี คี วามสมั พนั ธก์ บั ผูเ้ รียน เป็นการกระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความสนใจ คน้ พบเหตผุ ล ว่าทาไมตอ้ งเรยี นเร่อื งน้นั แบง่ เป็น 2 ขน้ั ตอนยอ่ ย คอื 1). การเสรมิ สรา้ งประสบการณ์ ขน้ั น้ีผูเ้ รยี นจะไดม้ ีปฏสิ มั พนั ธห์ รอื ใช้ จนิ ตนาการของตนในสง่ิ ทก่ี าลงั เรยี น (เนน้ การพฒั นาสมองซีกขวา) 2). การวเิ คราะหป์ ระสบการณ์ทไ่ี ดร้ บั เป็นขน้ั ท่หี าเหตผุ ลเกย่ี วกบั ประสบการณ์ ทไ่ี ดร้ บั ในขน้ั 1. ดว้ ยการคดิ วเิ คราะห์ (เนน้ การพฒั นาสมองซีกซา้ ย)
การจดั การเรยี นรูแ้ บบ 4 MAT (ต่อ) ขน้ั ตอนท่ี 2 การเสนอเน้ือหา สาระ ขอ้ มูลแกผ่ ูเ้ รยี น เป็นการ เช่ือมโยงการเรยี นรูม้ าสรา้ งความคดิ รวบยอดเพอ่ื ตอบคาถามใหไ้ ดว้ ่าสง่ิ ท่เี รยี นน้ันคอื อะไร แบ่งเป็น 2 ขน้ั ตอนย่อย คือ 1. การบูรณาการประสบการณ์สรา้ งความคิดรวบยอด ขน้ั น้ีม่งุ เนน้ ใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถเช่ือมโยงระหว่างประสบการณ์ของตนเกบ็ สง่ิ ท่ีเรยี น เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจ (เนน้ การพฒั นาสมองซกี ขวา) 2. การพฒั นาเป็ นความคดิ รวบยอด เป็ นขน้ั ของการทาใหผ้ ูเ้ รยี น เขา้ ใจในสง่ิ ท่เี รยี นจนสรา้ งเป็นความคิดรวบยอดได้ (เนน้ การพฒั นา สมองซีกซา้ ย)
การจดั การเรยี นรูแ้ บบ 4 MAT (ต่อ) ขน้ั ตอนท่ี 3 การฝึกปฏบิ ตั เิ พ่อื พฒั นาความคดิ รวบยอด เป็ นการพฒั นา ความคดิ รวบยอดมาสูก่ ารปฏบิ ตั จิ รงิ เป็นการหาคาตอบว่าจะทาไดอ้ ยา่ งไร แบ่งเป็น 2 ขน้ั ตอนย่อย คอื 1. การปฏบิ ตั ิตามขน้ั ตอน ขน้ั น้ีผูเ้ รยี นจะไดป้ ฏบิ ตั ิตามขน้ั ตอนท่ี กาหนดไว(้ เนน้ การพฒั นาสมองซีกขวา) 2. การนาเสนอผลการปฏบิ ตั งิ าน ขน้ั น้ีเป็นการบูรณาการและ สรา้ งสรรคข์ องผูเ้ รยี นท่ีจะแสดงถงึ ความรูค้ วามเขา้ ใจในสง่ิ ท่ีเรยี นใน รูปแบบต่างๆ ตามความถนัดหรอื ความสนใจของตน(เนน้ การพฒั นาสมอง ซีกซา้ ย)
การจดั การเรยี นรูแ้ บบ 4 MAT (ต่อ) ขน้ั ตอนท่ี 4 การนาความคดิ รวบยอดไปสูก่ ารประยกุ ตใ์ ชเ้ ป็นกระบวนการ เรยี นรูท้ ่เี กดิ จากการลงมอื ทาดว้ ยตนเอง แบ่งเป็น 2 ขน้ั ตอนย่อย คือ 1. การนาความรูไ้ ปประยกุ ตใ์ ช/้ การพฒั นางาน ในขน้ั น้ีผูเ้ รยี นจะไดม้ ี โอกาสเลอื กและลงมือกระทางานของตนเองทกุ ขน้ั ตอน จนสาเรจ็ เป็น ผลงาน (เนน้ การพฒั นาสมองซีกขวา) 2. การนาเสนอผล/การเผยแพร่ เป็นขน้ั ท่เี ปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นได้ แลกเปลย่ี นความรูแ้ ละประสบการณ์ในรูปแบบต่างๆ (เนน้ การพฒั นา สมองซกี ซา้ ย) แสดงไดด้ งั ภาพท่ี 6.1
คาอธิบาย 1. ความสามารถของ สมองซกี ขวา คือ การคดิ สงั เคราะห์ การ คิดสรา้ งสรรค์ การใชส้ ามญั สานึก การคิดแบบหลากหลาย การคดิ แบบองคร์ วม การคิดจนิ ตนาการ ฯลฯ 2. ความสามารถของ สมองซกี ซา้ ย คอื การคิดวเิ คราะห์ การ คดิ หาเหตผุ ล การคิดแบบปรนัย การคิดแบบมีทศิ ทาง ฯลฯ
ตวั อยา่ ง การออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ ตามแนวคดิ ของ 4 MAT เร่อื ง “การจาแนกประเภทของสตั ว”์
การจดั การเรยี นรูแ้ บบอภปิ ราย (Discussion Method) ความหมาย การจดั การเรยี นรูแ้ บบอภปิ ราย เป็นการแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซ่ึงกนั และกนั เพอ่ื ช่วยแกไ้ ขปญั หาอย่างใดอยา่ งหน่ึงระหวา่ งผูส้ อนกบั ผูเ้ รยี น ความม่งุ หมาย วธิ ีสอนแบบอภปิ รายมีความม่งุ หมาย เพอ่ื สง่ เสรมิ การทางานร่วมกนั แบบประชาธิปไตย และเพอ่ื ฝึกใหผ้ ูเ้ รยี นแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซ่ึงกนั และกนั ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ วธิ ีสอนแบบอภปิ รายจะแบ่งการดาเนินการอภปิ รายเป็น 2 ขน้ั คอื ขน้ั นาเขา้ สูห่ วั ขอ้ การอภปิ รายและขน้ั อภปิ รายถกเถยี งการอภปิ รายแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ าย คอื ฝ่ ายทาการอภปิ รายซ่ึงนงั่ อยูบ่ นเวทหี รอื หนา้ ชน้ั เรยี นกบั ฝ่ ายผูฟ้ งั ในกล่มุ ผูท้ าการ อภปิ รายจะประกอบดว้ ยประธานหน่ึงคนทาหนา้ ท่เี ป็นผูน้ าการอภปิ รายเป็นผูเ้ สนอปญั หา
การนาเขา้ สูห่ วั ขอ้ การอภปิ ราย ประธานจะตอ้ งกลา่ วแนะนาหวั ขอ้ ท่ีจะอภปิ ราย จากน้นั แนะนาสมาชิกผูท้ าการอภปิ รายแตล่ ะคน แลว้ จงึ ดาเนินขน้ั ตอ่ ไป ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ขอ้ ดี 1. สง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นทกุ คนมโี อกาสแสดงความคดิ เหน็ 2. พฒั นาสตปิ ญั ญาของผูเ้ รยี นดา้ นความคดิ 3. สง่ เสรมิ การคน้ ควา้ หาความรูข้ องผูเ้ รยี นเพอ่ื นามาใชใ้ นการอภปิ ราย 4. สง่ เสรมิ การเคารพในเหตผุ ลของผูอ้ น่ื ขอ้ จากดั 1. ในบางหวั ขอ้ ส้นิ เปลอื งเวลาในการอภปิ รายมาก หากประธานไม่สามารถ คุมสถานการณ์ใหด้ ีได้ 2. หากการตง้ั หวั ขอ้ ไม่ดีจะทาใหก้ ารอภปิ รายไม่สมั ฤทธ์ผิ ล
การจดั การเรยี นรูแ้ บบพฒั นาความสามารถเฉพาะ (Talents Unlimited: TU) แนวคดิ ของการจดั การเรยี นรูแ้ บบพฒั นาความสามารถเฉพาะ การจดั การเรยี นรูแ้ บบพฒั นาความสามารถเฉพาะ หรอื การจดั การเรยี นรูแ้ บบ TU เป็นรูปแบบการจดั การเรยี นรูท้ ม่ี ่งุ เนน้ พฒั นาความสามารถเฉพาะของผูเ้ รยี นแต่ละคน การจดั การเรยี นรูแ้ บบ TU ม่งุ พฒั นาทกั ษะ 5 ประการ คอื 1. การคดิ อยา่ งมผี ล (Porductive Thinking) ทกั ษะการคดิ เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ล ออกมาน้นั เป็นการฝึกใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความคดิ ท่ีหลากหลาย 3. การเดาเหตกุ ารณ์หรอื การพยากรณ์ (Forcasting) เป็นกระบวนการทม่ี งั่ พฒั นาผูเ้ รยี นในการศกึ ษาหาเหตแุ ละผลท่คี วรจะเกดิ ข้ึน 4. การวางแผน (Planning) เป็นการพฒั นาผูเ้ รยี น ใหผ้ ูเ้ รยี นพจิ ารณาถงึ รายละเอยี ดความจาเป็นต่างๆ 5. การตดั สนิ ใจ (Decision Making) เป็นอกี ทกั ษะหน่ึงท่รี ูปแบบ TU ม่งุ พฒั นาผูเ้ รยี นทางดา้ นการตดั สนิ ใจโดยใชเ้ หตผุ ล ใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถลาดบั ความสาคญั
บทบาทของผูส้ อนในชน้ั เรยี นเม่ือใชร้ ูปแบบ TU การใชก้ ารจดั การเรยี นรูแ้ บบ TU ในชน้ั เรยี นน้นั ผูส้ อนผูส้ อนจะตอ้ งมีทกั ษะ พ้นื ฐานต่างๆ ดงั น้ี 1. ความรูเ้ รอ่ื งจติ วทิ ยาพฒั นาการของผูเ้ รยี น กลา่ วคอื ผูส้ อนผูส้ อนตอ้ งมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในภาวะความเจรญิ เตบิ โตของผูเ้ รยี นในแตล่ ะช่วยอายขุ องผูเ้ รยี นทต่ี นกาลงั สอนอยู่ 2. มีความรูใ้ นเน้ือหาวชิ าทส่ี อน 3. มีมนุษยสมั พนั ธท์ ่ดี ี 4. มกี ารวางแผนทด่ี ี 5. มีความรูใ้ นการใชส้ อ่ื การจดั การเรยี นรูอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 6. มคี วามรูเ้ รอ่ื งการจดั การหอ้ งเรยี นใหเ้ หมาะสมกบั สภาพและเน้ือหาท่สี อน
ลาดบั ขน้ั การจดั การเรยี นรูแ้ บบ TU 1. สรา้ งแรงจูงใจ (Motivation) ผูส้ อนผูส้ อนอาจจะทบทวนพฤตกิ รรมการจดั การ เรยี นรูท้ ่ตี นเองตอ้ งการจะสอนเช่น ทบทวนพฤตกิ รรมการสอ่ื สาร 2. ผูส้ อนบรรยาย ผูส้ อนจะเป็นผูบ้ รรยายเพอ่ื กาหนดสถานการณ์ในขน้ั น้ีวา่ จดุ ประสงคข์ องกจิ กรรมคอื อะไร วธิ กี ารจะเป็นอยา่ งไร 3. การตอบสนองของผูเ้ รยี น ผูส้ อนตอ้ งคาดหวงั ถงึ การตอบสนองของผูเ้ รยี นวา่ ตอ้ งการใหผ้ ูเ้ รยี นตอบสนองกจิ กรรมในลกั ษณะใด 4. ใหก้ ารเสรมิ แรง เม่ือผูเ้ รยี นตอบสนองกจิ กรรมไดต้ ามความคาดหวงั ผูส้ อนตอ้ งให้ กาลงั ใจเช่น คาชม รางวลั แลกเปลย่ี นงานซ่งึ กนั และกนั 5. การเช่ือมตอ่ ผูส้ อนผูส้ อนอาจใหผ้ ูเ้ รยี นทากจิ กรรมอน่ื เพอ่ื เช่ือมต่อกจิ กรรมท่เี พง่ิ ทาเสรจ็ เพอ่ื เป็นการทบทวนหรอื ย้าความคดิ การเรยี นรูแ้ บบ TU น้ีจะเนน้ ใหผ้ ูเ้ รยี นเป็นผูป้ ฏบิ ตั มิ ากกวา่ ผูส้ อนเป็นผูก้ ระทา ดงั น้นั ผูส้ อนจะไม่คอ่ ยไดพ้ ดู
การจดั การเรยี นรูแ้ บบหน่วย (Unit Teaching Method) ความหมาย วธิ ีสอนแบบหน่วยเป็นการจดั การเรยี นรูท้ ่นี าเน้ือหาวชิ าหลายวชิ ามาสมั พนั ธ์ กนั สรา้ งเป็นบทเรยี นข้ึน เรยี กว่าหน่วย ความม่งุ หมาย 1. เพ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นไดเ้ รยี นรูด้ ว้ ยตนเอง เพราะผูเ้ รยี นจะตอ้ งปฏบิ ตั ิคน้ ควา้ หา ความรูแ้ ละแกป้ ญั หาดว้ ยตนเอง 2. เพ่อื สง่ เสรมิ ความถนดั ตามธรรมชาติของผูเ้ รยี น เพราะการจดั การเรยี นรู้ แบบน้ีมกี จิ กรรมหลายประเภท 3. สง่ เสรมิ การทางานแบบประชาธิปไตย คอื ผูเ้ รยี นรูจ้ ดั วางโครงการรว่ มกนั
ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ วธิ สี อนแบบหน่วยมขี น้ั ตอนการจดั การเรยี นรู้ 5 ขน้ั คอื 1. ขน้ั นาเขา้ สูห่ น่วย เป็นขน้ั เรา้ ความสนใจ ซ่งึ อาจทาไดโ้ ดยแนะนาหนงั สอื ทค่ี วรอา่ น สนทนาพูดคยุ เลา่ เรอ่ื งหรอื อภปิ รายเกย่ี วกบั ปญั หา 2. ขน้ั ผูเ้ รยี นและผูส้ อนวางโครงการรว่ มกนั เป็นการวางโครงการรว่ มกนั ระหวา่ ง ผูเ้ รยี นกบั ผูส้ อน 3. ขน้ั ลงมอื ทางาน สารวจและรวบรวมความรูต้ า่ งๆ จากหอ้ งสมดุ พพิ ธิ ภณั ฑ์ หนงั สอื พมิ พร์ ายวนั ความสมั พนั ธก์ บั วชิ าตา่ งๆ เช่น ประวตั ศิ าสตร์ ฯลฯ 4. ขอ้ เสนอกจิ กรรม ซ่งึ ไดแ้ ก่ กจิ กรรมทแ่ี สดงออกในทางสรา้ งสรรค์ เช่น รายงาน ดว้ ยวาจาหรอื ขอ้ เขียน การอภปิ ราย การแสดงละคร ฯลฯ 5. ขน้ั ประเมินผล พจิ ารณาตามขน้ั ตอนและจดุ ประสงคข์ องหน่วย โดยพจิ ารณา ความรูว้ ชิ าการ เจตคตแิ ละความเขา้ ใจในสง่ิ ตา่ งๆ
ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ขอ้ ดี ผูเ้ รยี นไดม้ ีสว่ นร่วมในการวางแผนการเรยี นรูร้ ่วมกบั ผูส้ อน ไดท้ างานเป็นกลมุ่ สง่ เสรมิ ความเป็นประชาธิปไตย และสง่ เสรมิ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างวชิ าในหลกั สูตร ขอ้ จากดั วธิ สี อนแบบน้ีตอ้ งใชเ้ วลามาก และตอ้ งมแี หลง่ ความรูใ้ หผ้ ูเ้ รยี นไดศ้ ึกษาคน้ ควา้
การจดั การเรยี นรูแ้ บบวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Method) ความหมาย วธิ ีสอนแบบวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ การจดั การเรยี นรูท้ เ่ี ปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นพบ ปญั หาและคดิ หาวธิ แี กป้ ญั หา โดยขน้ั ทง้ั 5 ของวทิ ยาศาสตร์ ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ ขน้ั ท่ี 1 กาหนดปญั หา และทาความเขา้ ใจปญั หา เป็นขน้ั ทาใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ปญั หา เพราะปญั หาจะทาใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความสนใจอยากรูอ้ ยากเหน็ ในขน้ั น้ีผูส้ อนมหี นา้ ท่ี 1. ช่วยแนะใหผ้ ูเ้ รยี นเหน็ ปญั หา 2. จดั สง่ิ แวดลอ้ มใหเ้ ขา้ ใจปญั หา โดยใชอ้ ปุ กรณ์เขา้ ช่วย 3. ช่วยผูเ้ รยี นวางความม่งุ หมายในการแกป้ ญั หาใหเ้ ป็นทเ่ี ขา้ ใจแก่ผูเ้ รยี นทกุ คน ในชน้ั เรยี น
การจดั การเรยี นรูแ้ บบวทิ ยาศาสตร์ (ต่อ) ขน้ั ท่ี 2 ขน้ั แยกปญั หา และวางแผนแกป้ ญั หา ขน้ั น้ีผูส้ อนและผูเ้ รยี น ช่วยกนั แยกแยะปญั หาออกไปอย่างกวา้ งขวาง เพอ่ื ความสะดวกแกก่ าร แกป้ ญั หา ขน้ั น้ีผูส้ อนมีหนา้ ทค่ี อื 1. ช่วยผูเ้ รยี นวางแผนการวา่ จะแกป้ ญั หาดว้ ยวธิ ใี ด 2. แบ่งผูเ้ รยี นออกเป็นกลมุ่ ใหแ้ ต่ละกลมุ่ รบั ผิดชอบและทางานตาม ความสามารถและสนใจ 3. แนะนาใหผ้ ูเ้ รยี นแต่ละกลมุ่ รูจ้ กั แหลง่ ความรู้ ไปคน้ ควา้ เพอ่ื ประโยชน์ในการแกป้ ญั หา
การจดั การเรยี นรูแ้ บบวทิ ยาศาสตร์ (ต่อ) ขน้ั ท่ี 3 ลงมอื แกป้ ญั หาหรอื การทดลองและเกบ็ ขอ้ มูล นับเป็ นขน้ั การ เรยี นรูข้ องผูเ้ รยี นเองโดยการกระทาจรงิ ๆ นามาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ ในขน้ั น้ีผูส้ อนมีหนา้ ท่ี ดงั ต่อไปน้ี 1. ช่วยผูเ้ รยี นแต่ละกลมุ่ เขา้ ใจปญั หาและรบั ผิดชอบในงานท่ีไดร้ บั มอบหมาย 2. ช่วยแนะนาใหผ้ ูเ้ รยี นรูจ้ กั วธิ ีแกป้ ญั หาและหาแหล่งความรูเ้ สรมิ เพม่ิ ข้ึน 3. ช่วยแนะนาใหผ้ ูเ้ รยี นทางานท่ีไดร้ บั มอบหมายอยา่ งมีหลกั เกณฑ์
การจดั การเรยี นรูแ้ บบวทิ ยาศาสตร์ (ต่อ) ขน้ั ท่ี 4 ขน้ั วเิ คราะหข์ อ้ มูลหรอื รวบรวมความรูเ้ ขา้ ดว้ ยกนั และแสดงผล เป็นขน้ั ท่รี วบรวมความรูต้ ่างๆ จากปญั หาท่แี กต้ กไปแลว้ ผูเ้ รยี นแต่ละ กลมุ่ จะตอ้ งแสดงผลงานของตน ซ่งึ ทาไดห้ ลายทาง เช่น 1. ผูส้ อนช่วยแนะนาใหเ้ ม่อื จาเป็นจรงิ ๆ 2. แสดงผลงานทางวตั ถุ 3. รายงานหรอื อภปิ รายใหผ้ ูส้ อนและเพอ่ื นๆ ทราบ 4. แสดงวธิ ีการแกป้ ญั หาใหเ้ พอ่ื นเหน็
การจดั การเรยี นรูแ้ บบวทิ ยาศาสตร์ (ต่อ) ขน้ั ท่ี 5 ขน้ั สรุปและประเมนิ ผลหรอื ขน้ั สรุปและการนาไปใช้ เม่อื จบ บทเรยี นครง้ั หน่ึงๆ ผูส้ อนและผูเ้ รยี นจะตอ้ งสรปุ เรยี บเรยี งใหม้ รี ะเบยี บ บนั ทกึ ไวเ้ ป็นหลกั ฐาน แลว้ วดั ผลงานบทเรยี นท่เี รยี นไปแลว้ ไดผ้ ลดีและ ผลเสยี อย่างไร 1. อภปิ รายกนั ทง้ั ชน้ั เก่ยี วกบั ผลงานท่ีไดก้ ระทาไปแลว้ 2. ดูผลงานของเพ่อื นๆ ในกลมุ่ อน่ื เพอ่ื จะไดค้ วามรูจ้ ากสง่ิ เหลา่ น้นั 3. ควรสงั เกตผูเ้ รยี นทกุ ระยะว่าตง้ั ใจทาและหาความรูไ้ ดจ้ รงิ หรอื ไม่ 4. การทดสอบ เม่ือจบบทเรยี นกม็ ีการทดสอบความรู้ ความเขา้ ใจ ของผูเ้ รยี น
การจดั การเรยี นรูแ้ บบวทิ ยาศาสตร์ (ต่อ) ขอ้ ดี 1. ผูเ้ รยี นไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ หาความรูด้ ว้ ยตนเอง 2. สง่ เสรมิ การทางานรว่ มกนั เป็นหมู่ 3. สง่ เสรมิ ความเป็นประชาธิปไตย 4. สง่ เสรมิ ใหม้ คี วามรบั ผดิ ชอบ 5. สง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นไดใ้ ชค้ วามคดิ หาเหตผุ ล
การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชเ้ สน้ เลา่ เรอ่ื ง (Story Line) คาวา่ Story Line นามาใชใ้ นภาษาไทยวา่ เสน้ เลา่ เรอ่ื ง เสน้ ดาเนิน เรอ่ื ง เสน้ เรอ่ื งราวเสน้ โครงเรอ่ื ง เสน้ เลา่ เรอ่ื งเป็นวธิ กี ารจดั การเรยี นรูว้ ธิ หี น่ึงท่ี จะจดั เน้ือหาวชิ าตา่ งๆ การจดั การเรยี นรู้ โดยใชเ้ สน้ เลา่ เรอ่ื ง มีหลกั การจดั การเรยี นรู้ ดงั น้ี 1. สรา้ งหน่วยการเรยี น โดยใชว้ ชิ าใดวชิ าหน่ึงเป็นแกนเรอ่ื ง และนาวชิ าอน่ื มาบูรณาการดว้ ยการสรา้ งแผนภาพเน้ือหาและกจิ กรรม กอ่ นอน่ื ผูส้ อนจะ กาหนดช่ือเรอ่ื งหรอื หวั ขอ้ เรอ่ื งท่จี ะสอนและกาหนดหวั ขอ้ ยอ่ ย โดยบูรณาการ เน้ือหาและกจิ กรรม แลว้ กาหนดจดุ ประสงค์
2. สรา้ งสถานการณ์หรอื เรอ่ื งราวจากหน่วยการเรยี น ผูส้ อนตอ้ งสมมติ สถานการณ์หรอื เรอ่ื งราวข้ึน ซ่งึ ตอ้ งมอี งคป์ ระกอบ 4 ประการ คอื ฉาก ตวั ละคร วถิ ชี ีวติ และเหตกุ ารณ์ และสถานการณ์จะสนองตอ่ จดุ ประสงคก์ ารจดั กาเรยี นรู้ ตวั อย่าง ลงุ มา ป้ าออ่ น และหลานชาย ทาไรอ่ ยูเ่ ชิงเขา ซ่งึ อาศยั นา้ ในหว้ ยใน การทาไรแ่ ละใชน้ ้าในการบรโิ ภค เม่อื ปีท่แี ลว้ เถา้ แกฮ่ งซง่ึ เป็นเขา้ ของโรงเลอ่ื ย ไดพ้ าพรรคพวกตดั ตน้ ไมใ้ นป่าบนภเู ขาจานวนมาก ปีน้ีนา้ ในหว้ ยลดนอ้ ยลง ใบ หญา้ แหง้ นา้ ในหว้ ยไม่มี ลงุ มาเรม่ิ ไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นจากการขาดแคลนนา้ จากสถานการณ์จะมีองคป์ ระกอบของเรอ่ื ง คอื 1. ฉาก (ป่าไมท้ ่เี คยอดุ มสมบูรณ์ดว้ ยตน้ ไม,้ นา้ ในหว้ ยมีนา้ ไวใ้ ช)้ 2. ตวั ละคร (ลงุ มา ป้ าออ่ น หลานชาย เถา้ แกฮ่ ง) 3. วถิ ชี ีวติ (ลงุ มาเคยใชน้ า้ ในหว้ ยในการทาไรแ่ ละบรโิ ภค) 4. เหตกุ ารณ์ (เถา้ แกฮ่ งตดั ไมใ้ นป่า ทาใหน้ า้ ในหว้ ยไม่มี)
3. การจดั การเรยี นรูต้ อ้ งจดั ทาเสน้ ทางการดาเนินเร่อื ง คาถามนา กจิ กรรม สอ่ื และลกั ษณะการเรยี นโดยทาเป็นแผนการจดั การเรยี นรู้ เสน้ ทางการดาเนินเรอ่ื ง จะเป็นหวั ขอ้ ย่อยท่จี ะเรยี น และองคป์ ระกอบของ Story Line คาถามนาจะ ตอบสนองต่อจดุ ประสงคก์ ารจดั การเรยี นรู้ ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี
4. การจดั การเรยี นรูต้ ามแผนการจดั การเรยี นรูจ้ ะแบ่งเวลาการ จดั การเรยี นรูต้ ามเสน้ ทางการดาเนินเร่อื ง ในตารางแผนการ จดั การเรยี นรูอ้ าจกาหนดเวลาการจดั การเรยี นรูแ้ ต่ละ เสน้ ทางการดาเนินเร่อื ง ซ่งึ อาจใชเ้ วลา 2-3 ชวั่ โมงการจดั การ เรยี นรูด้ ว้ ย Story Line ตามตวั อยา่ งแผนการจดั การ เรยี นรูด้ งั กลา่ วขา้ งตน้
การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใหฝ้ ึ กและปฏบิ ตั ิ (Drill and Practice) ความหมาย ฝึ ก (Drill) คอื การกระทาซ้าหรอื การทาแบบฝึ กหดั เพอ่ื พฒั นาทกั ษะ (Skill) ปฏบิ ตั ิ (Practice) คอื การปฏบิ ตั จิ รงิ ในสง่ิ ท่ไี ดเ้ รยี นมา ซง่ึ การปฏบิ ตั ยิ อ่ ยๆ กจ็ ะ เป็นการกระทาซ้าๆ การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใหฝ้ ึกและปฏบิ ตั จิ งึ หมายถงึ การจดั การ เรยี นรูท้ ใ่ี หผ้ ูเ้ รยี นไดล้ งมอื ฝึกปฏบิ ตั จิ รงิ ในสง่ิ ทไ่ี ดเ้ รยี นรูจ้ ากบทเรยี น เพอ่ื ใหเ้ กดิ ทกั ษะความชานาญและสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ไดต้ อ่ ไป จดุ ม่งุ หมาย 1. เพอ่ื ใหเ้ หน็ ความสาคญั ของการฝึกปฏบิ ตั ิ 2. เพอ่ื ใหไ้ ดล้ งมอื กระทาจรงิ 3. เป็นการเรยี นรูจ้ ากประสบการณ์
บทบาทของผูส้ อน 1. วเิ คราะหส์ ง่ิ ท่จี ะใหผ้ ูเ้ รยี นไดเ้ รยี นรูแ้ ละเกดิ ทกั ษะ 2. การวดั พฤติกรรมก่อนการเรยี นทกั ษะน้นั ๆ 3. จดั ขน้ั ตอนการฝึกทกั ษะใหเ้ ป็นไปตามลาดบั ขน้ั จากงา่ ยไปหายาก 4. อธิบายและสาธิตการปฏบิ ตั ิงานในการฝึกทกั ษะต่างๆ ใหผ้ ูเ้ รยี นไดด้ ู 5. ใหผ้ ูเ้ รยี นไดป้ ฏบิ ตั จิ รงิ โดยฝึกหดั อยา่ งต่อเน่ือง 6. พยายามกระตนุ้ และสง่ เสรมิ ใหก้ าลงั ใจในการฝึกและปฏบิ ตั ิ 7. พยายามใชก้ ระบวนการกลมุ่ ของผูเ้ รยี นใหม้ าก 8. จดั ทาใบความรู-้ ใบงาน ในเร่อื งท่ผี ูเ้ รยี นจะตอ้ งฝึกและปฏบิ ตั ิ 9. จดั ทาเคร่อื งมอื วดั และประเมนิ ผลการฝึกและการปฏบิ ตั ิ
ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ 1. ขน้ั นาใหเ้ กดิ ความเขา้ และแรงจูงใจ 2. ขน้ั ฝึกและปฏบิ ตั ิ เป็นขน้ั ของการฝึกหดั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ทกั ษะ 3. ขน้ั นาไปใช้ เป็นขน้ั ของการเกดิ ทกั ษะ 4. ขน้ั ประเมินผล เป็นขน้ั ตอนท่ตี อ้ งการความกา้ วหนา้ ของการฝึก ขอ้ ดี 1. ผูเ้ รยี นเหน็ คณุ คา่ ของสง่ิ ทเ่ี รยี น ผูเ้ รยี นมีจุดม่งุ หมายท่ีแน่นอน 2. การเรยี นรูเ้ กดิ ข้ึนจากการทาจรงิ และประสบการณ์ตรง เรยี นรูแ้ ละจดจาสง่ิ ท่เี รยี น 3. พฒั นาดา้ นทกั ษะ สามารถถา่ ยทอดการเรยี นรูไ้ ปใชส้ ถานการณ์เช่นเดียวกนั ได้ 4. ผูส้ อนมีเวลาทจ่ี ะใหค้ วามช่วยเหลอื แกผ่ ูเ้ รยี นท่ตี อ้ งการความช่วยเหลอื
ขอ้ จากดั 1. ใชเ้ วลามาก 2. นาไปสูค่ วามน่าเบ่ือ นอกจากจะมีแรงจูงใจสูงและมจี ดุ หมายท่แี น่นอน 3. ไม่ช่วยเหลอื ใหผ้ ูเ้ รยี นเขา้ ใจจดุ ม่งุ หมายใหม่ๆ 4. ผูเ้ รยี นบางคนเรยี นเพยี งฝึกแต่ไม่เรยี นรูถ้ งึ คณุ ค่า 5. การทาซ้าๆ อยา่ งไม่มีความหมาย อาจเป็นอปุ สรรคท่ีจะทาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจ 6. กรณีท่ใี หป้ ฏบิ ตั ิงานเป็นกลมุ่ ๆ สมาชิกบางคนอาจหลกี เล่ยี งการปฏบิ ตั ิงาน
การจดั การเรยี นรูโ้ ดยการศึกษากรณีตวั อย่าง (Case study method) ความหมาย การจดั การเรยี นรูท้ ่ใี หผ้ ูเ้ รยี นไดศ้ กึ ษากรณีตวั อย่างจากเหตกุ ารณ์สถานการณ์ หรอื สภาพปญั หาตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ข้ึนจรงิ จุดม่งุ หมาย 1. เพอ่ื ฝึกใหผ้ ูเ้ รยี นรูจ้ กั การวเิ คราะหแ์ ละแยกประเด็นปญั หา 2. เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นรูจ้ กั การตดั สนิ ใจอยา่ งมหี ลกั การและเหตผุ ล 3. เพอ่ื เสรมิ สรา้ งทกั ษะในการทางานระหวา่ งกนั เป็นกลมุ่ 4. เพอ่ื ฝึกและใหโ้ อกาสผูเ้ รยี นแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ประสบการณ์ ความรูส้ กึ และเจตคตซิ ง่ึ กนั และกนั Footer Text
การจดั การเรยี นรูโ้ ดยการศึกษากรณีตวั อยา่ ง (ต่อ) บทบาทของผูส้ อน 1. เป็นผูแ้ นะแนวทางในการเรยี นใหแ้ ก่ผูเ้ รยี น 2. คอยกระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รยี นระดมพลงั สมองในกรณีทผ่ี ูเ้ รยี นไม่คอ่ ยแสดงความคดิ เหน็ 3. คดั เลอื กกรณีตวั อยา่ งทเ่ี หมาะสมกบั เน้ือหาและจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 4. เตรยี มเอกสารใหเ้ พยี งพอ การแกป้ ญั หาบางครง้ั ตอ้ งใชเ้ อกสารคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ รูปแบบของกรณีตวั อย่าง 1. เร่อื งเลา่ เร่อื งสน้ั 2. ข่าวหนงั สอื พมิ พ์ 3. เร่อื งยาวตดั ตอ่ 4. บทสนทนา 5. รูปภาพซ่ึงตอ่ เน่ืองเป็นเรอ่ื งราว Footer Text
ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรู้ 1. ขน้ั เตรยี ม เป็นขน้ั ท่ีผูส้ อนแนะนาวธิ ีตวั อยา่ ง แบ่งผูเ้ รยี นออกเป็นกลมุ่ ย่อยๆ 2. ขน้ั เสนอกรณีตวั อยา่ ง เป็นขน้ั ท่ีผูเ้ รยี นศึกษากรณีตวั อยา่ งในรูปแบบต่างๆ 3. ขน้ั วเิ คราะห์ เป็ นขน้ั ท่ผี ูเ้ รยี นแต่ละกลมุ่ ร่วมอภปิ ราย ระดมพลงั สมอง า ตดั สนิ ใจหาแนวทางการแกป้ ญั หาและสรุปผลการอภปิ รายกลมุ่ 4. ขน้ั สรปุ เป็ นขน้ั ท่ผี ูเ้ รยี นทง้ั ชน้ั และผูส้ อนรว่ มกนั สรุปผลการอภปิ รายใน กลมุ่ ใหญ่ทง้ั หมด 5. ขน้ั ประเมินผล เป็นขน้ั ตอนท่ปี ระเมนิ การตดั สนิ ใจของผูเ้ รยี นในการหา แนวทางแกป้ ญั หาว่าอยูบ่ นเหตผุ ลใด มีคณุ ธรรมและเหมาะสมท่จี ะนาไปใชไ้ ด้ Footer Text
ขอ้ ดี 1. ทาใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถเผชิญปญั หามากมายในเวลาท่กี าหนด 2. ทาใหผ้ ูเ้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นและมีความกระตอื รอื รน้ 3. ทาใหผ้ ูเ้ รยี นสนุกสนาน ต่นื เตน้ ไม่เบอ่ื หน่าย 4. ทาใหผ้ ูเ้ รยี นกลา้ แสดงความคดิ เหน็ 5. สง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นเขา้ ใจบทเรยี นอย่างแจม่ ชดั 6. สง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความรว่ มมอื กนั โดยไม่คดิ ถงึ การแข่งขนั 7. ทาใหผ้ ูเ้ รยี นมีทกั ษะในการพจิ ารณาเหตกุ ารณ์ท่เี รยี นอย่างรอบคอบ 8. มที กั ษะในการแกป้ ญั หา 9. เป็นการถา่ ยทอดความรูอ้ ยา่ งมรี ะบบ ขอ้ จากดั 1. การนาปญั หามาใหผ้ ูเ้ รยี นไดศ้ ึกษาอย่างสอดคลอ้ งกบั เน้ือหาสาระ 2. กรณีตวั อย่างตอ้ งทาใหใ้ กลเ้ คยี งกบั ความเป็ นจรงิ มากทส่ี ุด Footer Text
Search