Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารวิชาการสารสนเทศและการสื่อสาร

เอกสารวิชาการสารสนเทศและการสื่อสาร

Published by ปัญญา ภู่ขวัญ, 2021-07-24 14:55:41

Description: เอกสารวิชาการสารสนเทศและการสื่อสาร

Search

Read the Text Version

51 รปู ที่3.9 อุปกรณ์ประกอบคอมพวิ เตอร์ 3.4.1 ซีพียู เปน็ อปุ กรณ์ที่มคี วามสาคญั ทส่ี ุดและเป็นปจั จัยแรกในการพจิ ารณาเมอ่ื คิดที่จะ ซ้อื หรอื ประกอบคอมพิวเตอร์ เน่อื งจากมผี ลตอ่ การเลือกซ้ืออุปกรณ์อืน่ เชน่ เมนบอรด์ เป็นต้น และ ซีพยี ูยงั เปน็ อุปกรณ์ที่ทาหน้าทใ่ี นการประมวลผลข้อมูลของเครอ่ื งคอมพิวเตอรอ์ ีกด้วย ในการเลอื ก ซื้อซีพยี สู ามารถพจิ ารณาได้จากหลายปจั จยั เชน่ บริษัทผผู้ ลติ ความเร็วซพี ยี ู แคช ความเรว็ บัส

52 รูปท่ี3.10 ตวั อย่างคุณลักษณะของซพี ยี ู ปัจจัยในการพจิ ารณาเลือกซ้อื ซพี ยี ู 1) บริษทั ผ้ผู ลิต ในปจั จบุ ันมีบรษิ ัทผผู้ ลติ ซพี ียชู ้ันนา 2 บรษิ ัท คือ บริษัทอินเทล (Intel

53 Corporation) และบริษทั เอเอ็มดี (Advanced Micro Devices : AMD) โดยทั้งสองบริษทั ได้มกี าร ผลติ ซีพียทู ี่แบ่งตามจานวนของแกนประมวลผล (Processing core) ตารางท่ี 3.1 ชนิดของซพี ียู 2) ความเร็วของซีพยี ู ความเรว็ ของซีพยี ูขึ้นอยกู่ ับความถ่สี ัญญาณนาฬิกา ซึง่ เป็น สัญญาณไฟฟ้าทคี่ อยกาหนดจงั หวะการทางานประสานของวงจรภายในให้สอดคล้องกัน

54 สญั ญาณดังกล่าวจะมหี นว่ ยความถเ่ี ปน็ เมกะเฮิรตซ์ (megahertz) หรือลา้ นครงั้ ต่อวนิ าที ถงึ ระดับ กิกะเฮริ ตซ์ (gigahertz) หรอื พันลา้ นคร้ังต่อวินาที 3) หน่วยความจาแคช (cache) ในซพี ียูมหี นว่ ยความจาแคช ซง่ึ เป็นหน่วยความจาความเรว็ สงู เพ่ือให้การทางานเร็วขนึ้ เน่อื งจากแรมมีความเร็วที่ชา้ กวา่ ซพี ยี จู ึงจาเปน็ ท่ีต้องมหี น่วยความจา แคช เป็นที่เก็บขอ้ มลู ชวั่ คราวเพอ่ื ใหซ้ พี ียูทางานร่วมกนั ได้ดีขึ้น โดยควรพจิ ารณาเลอื กซื้อซพี ยี ูทีม่ ี ความจขุ องหน่วยความจาแคชมาก 4) ความเรว็ บสั คอื ความเรว็ ในการรับสง่ ข้อมูลระหวา่ งซีพยี แู ละอปุ กรณ์อน่ื ๆ ควรพิจารณา ซีพยี ทู ่ีมคี วามเร็วบัสสูงและสอดคล้องกับความเร็วของอุปกรณ์อ่ืน เชน่ เมนบอร์ด และแรม หน่วยความจาแคช ตารางท่ี 3.2 การเลือกใชซ้ พี ยี ูให้เหมาะสมกับงาน

55 3.4.2 เมนบอรด์ (mainboard) หรืออาจเรียกวา่ มาเธอรบ์ อรด์ หรือโมโบ (motherboard : mobo) เปน็ แผงวงจรหลักของคอมพวิ เตอรโ์ ดยท่ัวไปจะประกอบด้วยช่องสาหรับติดตั้งซพี ยี ไู บออส ชิปเซ็ต ช่องสาหรบั ติดต้งั หน่วยความจา สายสัญญาณ และบัสตา่ งๆ ข้ัวต่อสาหรับเช่ือมต่อ อุปกรณ์เสรามภายใน เชน่ ฮาร์ดดสิ ก์ ซีดีไดรฟ์ และพอร์ตตอ่ อปุ กรณ์รอบขา้ ง เชน่ เมาส์ และ คีย์บอร์ด รูปที่3.11 แสดงส่วนประกอบของเมนบอรด์ โดยทั่วไปการระบุคุณลักษณะของเมนบอร์ดในชุดคอมพวิ เตอรส์ าเรจ็ อาจระบเุ ฉพาะชนดิ หรือจานวนของพอรต์ และสลอ็ ต เช่น พอร์ต USB หรือสล็อต PCI ซึง่ เปน็ สว่ นประกอบหนง่ึ ของ เมนบอร์ดเทา่ น้ัน ตัวอย่างชนิดของพอร์ตและสล็อตที่ระบใุ นแผ่นพับชุดคอมพิวเตอร์สาเร็จ

56

57 รูปท่ี3.12 ตวั อย่างชนิดพอร์ตและสล็อต รูปที่3.13 ตัวอย่างรายละเอยี ดเมนบอร์ด

58 รปู ท่ี3.14 พอรต์ เช่ือมต่ออุปกรณภ์ ายนอกแบบต่างๆ

59 ตารางที่ 3.3

60 ตารางที่ 3.4 สาหรับผใู้ ช้ท่ีตอ้ งการเปล่ียนเมนบอร์ด หรือต้องการซ้ือเมนบอร์ดเพ่ือนามาประกอบเคร่ือง คอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง สงิ่ ท่ีตอ้ งคานึงถงึ ในการเลือกซื้อเมนบอร์ด เชน่ ซ็อกเกต็ ซีพยี ู ฟรอนต์ไซด์ บัส สล็อตหน่วยความจา ช่องสาหรับติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ หรอื สลอ็ ต พอร์ต ขวั้ ตอ่ และรูปแบบหรือ ฟอร์มแฟกเตอร์ 3.4.3 แรม ในการเลอื กซื้อแรมเพอื่ นามาใช้งรานกบั พีซี มักจะเป็นแรมชนิดดีดีอาร์เอสดี แรม (Double Data Rate Synchronous Dynamic RAM : DDR SDRAM) ซึ่งจะตอ้ งพิจารณา ประเภทของแรมให้ตรงกบั สลอ็ ตหนว่ ยความจาบนเมนบอรด์ และสง่ิ ทผ่ี ้ใู ชค้ อมพิวเตอรท์ วั่ ไปควร ให้ความสาคัญในลาดับต่อมาคือ ขนาดความจุ และความเร็ว ซง่ึ เปน็ ปัจจัยสาคัญทต่ี ้องนามา พิจารณาด้วย

61 รูปที่3.15 ตวั อยา่ งการระบุคุณลกั ษณะของแรม

62 รปู ท่ี3.16 ตัวอยา่ งของแรมชนิดต่างๆ ปัจจยั ในการพจิ ารณาเลือกซือ้ แรม 1) ประเภทของแรม ต้องพิจารณาเลือกซ้อื ให้ตรงกับสลอ็ ตหน่วยความจาบนเมนบอร์ด แรมที่ใช้ในพีซี เชน่ DDR , DDR2 และ DDR3 โดยแรมแต่ละชนดิ จะมตี าแหนง่ รอยบากทีแ่ ตกต่าง กนั เพอ่ื ใหส้ ามารถเสยี บแรมบนสล็อตได้ถูกต้อง

63 2) ความจุ ปจั จบุ ันแรมมีให้เลือกตงั้ แต่ความจุ 256 MB ขน้ึ ไป เครื่องคอมพวิ เตอร์ที่ใช้ งานด้านกราฟกิ หรือมัลติมีเดียระดับสงู จะใช้แรมทีม่ ีความจสุ งู ข้นึ ตามไปด้วย สาหรับเครือ่ ง คอมพวิ เตอร์ในปจั จุบันมกั จะตดิ ตัง้ แรมความจุ 1 GB ข้ึนไป บนเมนบอร์ดของคอมพวิ เตอรจ์ ะมสี ลอ็ ตสาหรับติดตัง้ แรมมากกวา่ 1 ช่อง ผใู้ ช้สามารถ ตดิ ตัง้ แรมได้หลายตัว แตต่ ้องเป็นชนิดเดยี วกัน ตามท่ีสล็อตตดิ ตงั้ จะมีให้ โดยความจุแรมของพซี ี จะเท่ากบั ผลรวมจากความจุของแรมทง้ั หมด รูปท่ี3.17 การตดิ ต้งั แรมบนเมนบอร์ด 3) ความเรว็ ของแรม ความเร็วของแรม หมายถึง จานวนครั้งท่สี ามารถอ่านเขยี นขอ้ มูลได้ ภายในหน่งึ วินาที โดยมีหน่วยวดั เป็น เมกะเฮริ ตซ์ (MHz) เช่น DDR3 มคี วามเร็ว 1,333 MHz เป็น ตน้ ผุ้ใชง้ านต้องเลือกความเร็วของแรมให้สอดคล้องกบั ความเร็วบัสของเมนบอร์ดด้วย ตัวอยา่ งเชน่ ถ้าระบบบัสบนเมนบอร์ด (FSB) ทางานด้วยความเร็ว 1,066 MHz แตน่ าแรมท่มี ี ความเรว็ 1,333 MHz มาใช้งานจะได้สามารถทางานที่ความเรว็ 1,333 MHz ได้ ตวั อย่างของ ระบบบสั บนเมนบอร์ดกับแรมเปรียบได้กับการทีร่ ถว่ิงบนถนนเพ่ือไปให้ถึงจุดหมาย ในบางคร้งั อาจใชอ้ ัตราการถ่ายโอนข้อมลู ในการจาแนกรุ่นของแรม เช่น PC2-5400 คือ แรมชนิด DDR2 – 667 ท่ีมคี ่าอัตราการถ่ายโอนข้อมลู ประมาณ 5,400 MB/s หมายถงึ ปรมิ าณ ข้อมลู ที่จะรบั สง่ ไดภ้ ายในหนึ่งวนิ าที (คานวณจาก 667 MHz X 8 ไบต์)

64 รูปท่ี3.18 ระบบบัสบนเมนบอร์ด 3.4.4 ฮาร์ดดสิ ก์ (hard disk) เปน็ อุปกร์ในการเก็บข้อมลู ฮารด์ ดิสกท์ ี่ใช้กันในพีซโี ดยทัว่ ไป คอื ฮาร์ดดสิ ก์ขนาด 3.5 นว้ิ สาหรับฮาร์ดดิสกท์ ่ีมขี นาด 2.5 และ 1.8 นิ้วนน้ั นิยมใช้กบั โน๊ตบ๊กุ รปู ท่ี3.19 ฮารด์ ิสก์ การพิจารณาเลือกซื้อฮาร์ดดสิ กข์ ้ึนอยกู่ ับปัจจัยหลายอย่างดว้ ยกัน เช่น การเช่อื มตอ่ ความ จขุ องขอ้ มูล และความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์ ซ่งึ สง่ิ เหล่านี้จะทาให้ฮาร์ดดสิ ก์มรี าคาท่แี ตกต่างกนั

65 รูปที่3.20 การระบุคณุ ลกั ษณะของฮารด์ ิสก์ ปจั จัยในการพิจารณาเลือกซ้ือฮาร์ดดิสก์ 1) การเช่ือมต่อ มาตรฐานการเชือ่ มตอ่ ของฮาร์ดดสิ ก์ทีใ่ ชง้ านอยู่บนพซี ใี นปัจจุบัน ใช้ มาตรฐาน EIDE และ SATA ทัง้ นขี้ ้ึนอยู่กับเมนบอร์ดวา่ รองรับการเช่ือมต่อแบบใด 2) ความจุขอ้ มูล มีหนว่ ยเป็น กกิ ะไบท์ (GB) หรอื เทระไบต์ (TB) ซึง่ ขนาดความจุขอ้ มลู ของฮารด์ ดิสก์นั้นขึ้นอยกู่ ับความต้องการของผใู้ ชง้ าน 3) ความเรว็ รอบ เป็นอัตราเร็วในการหมุนของฮาร์ดดสิ ก์เพ่อื ให้หัวอา่ น-เขียน เข้าถงึ ข้อมูล ฮารด์ ดสิ ก์ทีม่ ีความเรว็ รอบสูงจะทาใหม้ อี ัตราเร็วในการรับสง่ ขอ้ มูลสงู โดยทั่วไปฮาร์ดดิสกข์ องพซี ี จะมคี วามเรว็ รอบอยทู่ ี่ 7,200 รอบตอ่ นาที (rpm)

66 รูปท่ี3.21 การเช่ือมต่อแบบSATA และ EIDE 3.4.5 การ์ดแสดงผล (display card, graphics card หรือ video card) ทาหนา้ ที่แปลง ข้อมลู ดิจทิ ัลมาเปน็ สัญญาณทส่ี ่งไปทจ่ี อภาพ การ์ดแสดงผลอาจอยู่ในรูปแบบการด์ หรอื อาจติดตงั้ มาบนเมนบอร์ดแลว้ การท่ีผุ้ใช้ต้องการปรับปรงุ การด์ แสดงผลเนือ่ งจากตอ้ งการใช้กับงานท่ีตอ้ งการแสดงผล ภาพสามมติ ไิ ด้อย่างคมชัด ซึ่งคอมพิวเตอรช์ ุดสาเร็จที่ผขู้ ายจัดให้อาจไมส่ ามารรถแสดงผลภาพ ดงั กล่าวได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ สาหรบั ปจั จัยในการพจิ ารณาเลอื กซ้ือการ์ดแสดงผล เช่น ชปิ ประมวลผล กราฟิก การเช่ือมต่อ และความจขุ องหนว่ ยความจาบนการ์ด

67 รปู ที่3.22 การระบุคณุ ลกั ษณะของการ์ดแสดงผล ปัจจัยในการเลอื กซ้ือการ์ดแสดงผล 1) ชิปประมวลผลกราฟกิ หรือจพี ยี ู (graphic processing unit : GPU) เปน็ อุปกรณ์ พเิ ศษทเ่ี พม่ิ ความเร็วในการแสดงผลโดยลดภาระซีพยี ใู นการคานวณขอ้ มลู ท่ีจะส่งไปทจ่ี อภาพ ตัวอยา่ งการเลือกซื้อจีพยี ู เช่น ถ้าต้องการประมวลผลภาพสามมติ ิ อาจใชช้ ิปของบริษัท nVIDIA รนุ่ GForce 9 และ GTX2xx หรอื ชปิ ของบริษทั ATi รนุ่ Radeon HD 4000 2) การเชอื่ มตอ่ มี 2 แบบ คือ แบบใช้กับบัส PCI Express และบัส AGP โดย PCI Express จะมปี ระสทิ ธิภาพสงู ทส่ี ุดซง่ึ สามารถให้ความเร็วสูงสดุ ไดถ้ ึง 16 GB/s สว่ น AGP มี ประสิทธภิ าพรองลงมา 3) ความจุของหนว่ ยความจาบนการ์ด หน่วยความจาบนการ์ด (Video RAM) เป็นส่วนท่ี ใชเ้ ก็บข้อมูลภาพทีแ่ สดงบนจอคอมพวิ เตอร์ ถ้าความจุของหน่วยความจามาก จะทาใหแ้ สดงภาพ มลั ตมิ ีเดียความละเอียดสูงไดด้ ี การบอกความจขุ องหน่วยความจาบนตัวการ์ด เชน่ DDR3 512 MB

68 3.4.6 ออปตคิ ัลดิสกไ์ ดรฟ์ (optical disk drive) ที่ใชก้ นั ในปจั จุบัน เชน่ ซดี ไี ดรฟ์ และดวี ี ดีไดร์ฟ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทพ่ี ีซีทุกเคร่ืองควรมี เน่อื งจากซีด/ี ดีวีดีไดร์ฟมีราคาถูกลงมาก นอกจากนีส้ อ่ื ทีใ่ ชเ้ กบ็ บนั ทึก เช่น แผน่ ซดี ี แผ่นดีวีดี มคี วามจสุ ูงและมรี าคาถกู

69 รปู ที่3.23 การระบุคา่ ความเร็วของ

70 การพิจารณาเลือกซอ้ื ออปตคิ ัลดิสกไ์ ดร์ฟ จะพจิ ารณาจากความเร็วในการอ่านและบันทกึ ข้อมลู ซ่ึงแต่ละชนิดจะระบุความเรว็ ไว้ แตกตา่ งกนั ตามชนิดของออปติคลั ดิสก์ไดรฟ์ ดังนี้ 1. ซีดีไดรฟ์ (Compact Disc Drive : CD Drive) ใชอ้ า่ นข้อมูลจากแผน่ ซีดไี ด้อยา่ งเดียว 2. ดวี ดี ไี ดร์ฟ (Digital Versatile Disc Drive : DVD Drive) ใช้อ่านขอ้ มูลได้ทง้ั แผ่นซีดีและ แผ่นดีวีดี แต่ไม่สามารถเขียนหรอื บนั ทกึ ข้อมูลลงบนแผ่นซดี ีหรอื ดวี ีดไี ด้ 3. ซดี ีอาร์ดับบลวิ ไดร์ฟ (Compact Disc ReWritable Drive : CD-RW Drive) สามารถอ่าน และเขียนข้อมูลลงบนแผน่ ซีดไี ด้ มกี ารระบุค่าความเร็วเช่น 52x/32x/52x หมายความว่า ความเร็ว ในการเขียน CD-R เทา่ กบั 52x ความเรว็ ในการเขยี นซ้า CD-RW เท่ากับ 32x และความเรว็ ในการ อ่าน CD-ROM เท่ากบั 52x 4. คอมโบไดรฟ์ (Combo Drive) สามารถอา่ นและเขียนข้อมลู บนแผน่ ซีดี และอา่ นข้อมูล จากแผ่นดีวีดี มีการระบคุ ่าความเรว็ เช่น 52x/32x/52x/16x 5. ดีวีดีอาร์ดับบลวิ ไดรฟ์ (Digital Versatile Disc ReWritable Drive : DVD+RW Drive) สามารถอ่านและเขยี นขอ้ มลู ได้ทง้ั แผน่ ซดี แี ละแผ่นดีวีดี มีการระบุคา่ ความเร็ว เช่น 20x/12x/20x/8x 3.4.7 เคส (case) โดยทั่วไปมีลักษณะเป็นกลอ่ งสีเ่ หล่ยี ม ทาหน้าทเี่ ป็นโครงยึดให้กับ อปุ กรณ์ภายในต่างๆ ที่ประกอบกันเปน็ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ ทงั้ เมนบอรด์ ฮาร์ดดิสก์ แหล่งจ่ายไฟ เปน็ ตน้ นอกจากนี้ยงั ทาหน้าท่ีในการปอ้ งกนั ความเสยี หายทจ่ี ะเกดิ กับอุปกรณอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ ภายในเคส หลักในการพจิ ารณาเลือกซ้ือเคส เช่น - มชี อ่ งระบายอากาศและระบบระบายความร้อน - มีพ้นื ที่หรอื ช่องที่จะเพม่ิ อุปกรณ์ได้ เช่น การเพมิ่ ฮาร์ดดิสก์ การเพม่ิ ซดี ี/ดวี ีดีไดร์ฟ - ลักษณะของเคส เช่น เคสในแนวนอน ที่เรียกว่า เดสกท์ ็อปเคส (desktop case) และเคส ในแนวต้งั ทเี่ รียกว่า ทาวเวอร์เคส (tower case) - ในกรณีท่เี ปน็ การใช้งานโดยทว่ั ไป อาจะเลอื กใชเ้ คสทม่ี แี หล่งจา่ ยไฟ (power supply) ตดิ ตงั้ มาใหส้ าเรจ็ แล้ว แต่ถา้ ต้องการติดตั้งอปุ กรณภ์ ายในหลายชิ้น เชน่ ฮาร์ดดิสก์ การ์ดแสดงผล ความเรว็ สงู และพอร์ต USB ควรพจิ ารณาเลอื กแหลง่ จา่ ยไฟทีม่ ีความสามารถสูงขึ้น

71 รูปที่3.24 เคสของเครือ่ งคอมพวิ เตอรแ์ บบตา่ งๆ 3.4.8 จอภาพ (monitor) ทพ่ี บจะมีอยสู่ องประเภทคือ จอซีอารท์ ี (Cathode Ray Tube : CRT) และจอแอลซดี ี (Liquid Crystal Display : LCD) ซึง่ ในปัจจุบนั จอแอลซีดเี ปน็ ที่นิยมมาก เน่ืองจากมีราคาถูก ถนอมสายตา ประหยัดพลังงาน และใช้พ้นื ทใี่ นการจัดวางน้อย รปู ท่ี3.25 คณุ ลักษณะของจอภาพ ปัจจยั ในการเลือกซอ้ื จอภาพ เชน่ - ความละเอยี ดของภาพ (resolution) หมายถงึ จานวนจุดหรอื พิกเซลบนจอภาพ ถา้ หากมี ความละเอียดสงู จะทาให้ภาพคมชัดมากขึ้น ตัวอย่างเช่น จอภาพท่ีมคี วามละเอยี ด 1680 x 1050 เปน็ จอภาพท่ีมีจุดภาพในแนวนอน 1680 จุด และมจี ดุ ภาพในแนวตงั้ 1050 จดุ - ขนาด (size) ขนาดของจอภาพจะวัดเป็นแนวทแยงมุม เช่น จอ 19 น้ิว และแบบ 21 นว้ิ นอกจากนีจ้ อภาพยังสามารถเลือกความสวา่ ง (brightness) และความเปรียบเทยี บต่าง (contrast) ได้อีกดว้ ย การแสดงผลของจอภาพนั้นจะตอ้ งมีการ์ดแสดงผล เป็นตวั ประสานงาน ระหว่างซพี ยี ูกบั จอภาพ โดยสญั ญาณภาพจะถูกสง่ ออกมาจากการ์ดแสดงผลน้ี จอภาพโดยทวั่ ไป

72 จะมีพอรต์ ต่อแบบวจี เี อ (Video Graphics Array : VGA) ซงึ่ เปน็ ตัวรับสัญญาณแอนะลอ็ กมาจาก การด์ แสดงผล จอภาพบางรุ่นจะมีพอร์ตต่อแบบดวี ีไอ (Digital Video Interface : DVI) ซึง่ เปน็ การ รับข้อมูลภาพแบบดจิ ิทัลซ่ึงจะใหภ้ าพที่คมชดั กวา่ 3.5 การรับประกนั อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์คอมพวิ เตอร์จะมีการรบั ประกันอายุการใชง้ าน อปุ กรณแ์ ต่ละชนิดจะมีระยะเวลา รบั ประกันตา่ งกัน เชน่ แรม รับประกนั ตลอดอายุการใช้งาน (life time) และฮารด์ ดิสกอ์ าจ รับประกัน 1-5 ปี โดยอายขุ องการรับประกันท่นี านขนึ้ อาจมผี ลทาให้ราคาสงู ขน้ึ บนอปุ กรณบ์ าง ชนดิ จะมีสต๊กิ เกอรร์ ับประกนั ติดอยู่บนตัวอุปกรณ์ซงึ่ หากมกี ารฉกี ขาด การรับประกันจะสิน้ สุดลง ทนั ที ดงั นั้นจึงควรระมัดระวงั เมอื่ เลือกซื้ออุปกรณ์คอมพวิ เตอรช์ นิดตา่ งๆ 3.6 ขอ้ แนะนาการดแู ลและบารงุ รักษาเครอื่ งคอมพิวเตอร์เบือ้ งต้น 1. ไมค่ วรเปิดฝาคอมพิวเตอร์โดยไม่จาเป็น เนื่องจากอาจมีโลหะที่นาไฟฟา้ เข้าไปในเครื่อง ทาใหเ้ กิดการลัดวงจร หรือมีฝุ่นเข้าไปในตวั เคร่ือง ฝุ่นน้ีจะเปน็ ตัวเกบ็ ความชื้นทาให้วงจร คอมพิวเตอรท์ างานผิดพลาดได้ 2. ไมค่ วรตั้งเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ไวใ้ นสถานทที่ ม่ี ีอุณหภูมสิ งู เน่ืองจากจะส่งผลใหช้ ้ินสว่ น อิเลก็ ทรอนกิ ส์เส่ือมสภาพเรว็ ขึ้น 3. ไมค่ วรตั้งคอมพิวเตอร์ใกลก้ ับประตูหรือหนา้ ตา่ ง เนื่องจากอาจโดนแสดงแดดหรอื ฝน สาดเข้ามาได้ 4. ไมค่ วรวางจอคอมพิวเตอร์ใกล้กบั สนามแม่เหล็ก หรือลาโพงตัวใหญๆ่ เน่ืองจาก สนามแมเ่ หล็กจะทาให้การแสดงภาพผิดเพ้ยี นไปจากความเปน็ จรงิ 5. ถา้ หากทีบ่ ้านไฟตกหรอื มไี ฟกระชาก ควรมีเคร่อื งสารองไฟยพู เี อส (Uninterruptible power supply : UPS) 6. ควรตั้งโหมดประหยัดพลงั งานใหก้ ับเครื่อง เพอื่ ถนอมอายกุ ารใชง้ านเคร่ือง การทางานใน โหมดนจี้ ะทาใหฮ้ าร์ดดิสกแ์ ละซพี ียูทางานนอ้ ยลงเมอื่ ไมม่ กี ารใชเ้ คร่ืองในระยะเวลาท่ีกาหนด 7. ไมค่ วรวางของเหลวใกล้กบั เครื่องคอมพิวเตอร์ 8. ไม่ควรปิดเครื่องโดยการกดสวิตซ์ปิด ควรใช้คาส่ังปดิ ระบบปฏบิ ัตกิ าร เนื่องจาก ระบบปฏิบตั ิการต้องดาเนินการตรวจสอบสถานการณท์ างานต่างๆ ของฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ กอ่ นจะหยุดการทางาน

73 3.7การแก้ปญั หาเบอ้ื งต้นของพซี ี เคร่อื งคอมพิวเตอรน์ ับว่าเป็นอุปกรณ์ท่ีทนต่อการใชง้ าน ถ้าหากใช้งานเคร่อื งอยา่ งถกู วิธี ตามคาแนะนาท่ีกลา่ วมา แต่อย่างไรก็ตามมบี างปญั หาที่อาจเกิดขนึ้ ได้ ซึง่ ผู้ใชส้ ามารถแก้ไข เบอ้ื งตน้ ไดด้ ้วยตัวเอง เชน่ 1. เครื่องหยุดทางานขณะใชง้ านอยู่ สาเหตุ แหล่งจ่ายไฟจ่ายกาลงั ไฟฟ้าไมพ่ อ อาจเกดิ จากมีอุปกรณต์ ่อพ่วงอย่กู ับ คอมพวิ เตอร์เป็นจานวนมาก การแกไ้ ข นาอุปกรณท์ ไ่ี มจ่ าเป็นที่ต่อพ่วงอยูก่ บั เครอื่ งคอมพิวเตอร์ออกไป หรือเปลย่ี น แหล่งจา่ ยไฟท่ีมีกาลังไฟฟา้ มากขึน้ 2. เปดิ เคร่ืองแล้วปรากฏขอ้ ความวา่ “DISK BOOT fAILURE, INSERT DISK SYSTEM PRESS ENTER” สาเหตุ เคร่อื งบูตไมพ่ บฮารด์ ดสิ ก์ หรือระบบปฏิบัติการบนฮาร์ดดิสก์เสยี หาย การแก้ไข ตรวจสอบโปรแกรมไบออสว่า บูตฮาร์ดดิสกใ์ นตาแหน่งท่ถี ูกต้องหรือไม่ หรือ ติดต้งั ระบบปฏิบัตกิ ารบนฮารด์ ดสิ ก์ 3. อ่านหรือเขียนแผ่นซีดี / ดวี ีดีไม่ได้ สาเหตุ หวั อ่านเลเซอร์ของไดรฟ์ สกปรก การแก้ไข ให้ใชแ้ ผ่นซดี ที าความสะอาดหัวอ่าน โดยใส่แผน่ ซีดีสาหรบั ทาความสะอาดเข้า ไปในไดร์ฟ แปรงขนาดเลก็ ที่อยใู่ ต้แผ่นซดี จี ะปัดทาความสะอาดหัวอ่านเลเซอรข์ องไดร์ฟ 4. เคร่อื งรสี ตาร์ต (restart) เองขณะใชง้ าน สาเหตุ ซีพยี มู ีความร้อนสงู การแกไ้ ข ตรวจสอบพัดลมของซีพยี วู ่าทางานหรือไม่ สายท่ีตอ่ อย่แู น่หรือไม่ credit: http://krukrit.kkw2.ac.th/

74 บทท่ี 4 ระบบเครือขา่ ยและการสือ่ สาร 4.1 บทบาทของการส่ือสารข้อมลู และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การติดต่อสือ่ สารข้อมูลสมัยใหมน่ ้ี มรี ากฐานมาจากความพยายามในการเช่ือมต่อระหวา่ ง คอมพวิ เตอร์กับคอมพวิ เตอร์ โดยอาศัยระบบส่ือสารที่มีอยแู่ ลว้ เช่น โทรศพั ท์ ดงั นั้นการสอ่ื สาร ขอ้ มูลจงึ อย่ใู นขอบเขตทจ่ี ากัด ต่อมาเม่ือมกี ารใช้คอมพวิ เตอร์มากข้นึ ความต้องการในการตดิ ตอ่ ระหวา่ งคอมพิวเตอร์หลายเคร่ืองในเวลาเดยี วกัน ที่เรียกว่า ระบบเครื่อขา่ ย (Network) ไดร้ ับการ พัฒนาให้ดขี ึ้นเป็นลาดบั ในตอนเริม่ ต้นของยคุ สื่อสาร เม่ือประมาณ พ.ศ. 2513-2515 ความต้องการใช้คอมพิวเตอร์ ร่วมกันมมี ากขึน้ แต่คอมพวิ เตอร์ยังมรี าคาสูงมาก เมอื่ เทียบกับอุปกรณส์ ่ือสารท่ีมีอยู่แล้ว บางอย่าง การสื่อสารดว้ ยระบบเครือข่ายในระยะน้ันจึงเน้นการใช้คอมพวิ เตอรท์ ี่ศูนย์คอมพวิ เตอร์ เป็นผู้ให้บรกิ ารแก่ผใู้ ช้ปลายทางหลายคน เพื่อประหยัดค่าใชจ้ ่ายของระบบ ตอ่ มาเมื่อถึงยุคสมัยของไมโครคอมพิวเตอร์ พบว่าขีดความสามารถในด้านความเร็วของการ ทางานของเมนเฟรม มีความเรว็ มากกว่า 10 เท่า เม่อื เทียบกับไมโครคอมพิวเตอร์ตวั ที่ดีท่สี ุด แต่ ราคาของเมนเฟรมแพงกวา่ ไมโครคอมพิวเตอรห์ ลายพันเท่า การใช้ไมโครคอมพวิ เตอรจ์ ึง แพร่หลายและกระจายออกไป การสื่อสารจึงกลายเป็นระบบเครอื ข่ายแบบกระจาย กลา่ วคือ แทนทจี่ ะออกแบบใหเ้ ครื่องคอมพวิ เตอร์ปลายทางต่อกับเมนเฟรม ก็เปลีย่ นเป็นระบบเครอื ข่ายท่ี ใชค้ อมพวิ เตอร์ต่อกับเครื่องคอมพวิ เตอร์แทน ลักษณะของเครือข่ายจึงเรมิ่ จากจดุ เลก็ ๆ อาจจะอยู่บนแผงวงจรอิเลก็ ทรอนิกสเ์ ดียวกนั ขยายตวั ใหญข่ ้ึนเป็นระบบท่ีทางานรว่ มกนั ในหอ้ งทางาน ในตกึ ระหว่างตกึ ระหว่างสถาบนั ระหวา่ งเมอื ง ระหว่างประเทศ การจดั แบง่ รูปแบบของเครือข่ายคอมพวิ เตอรจ์ งึ แยกตามขนาดของ เครือข่าย ดงั ตารางดงั ต่อไปนี้

75 ตาราง การแบง่ แยกลกั ษณะของเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ตามระยะทางระหว่างโพรเซสเซอร์ ระยะทางระหวา่ ง ลักษณะทต่ี งั้ ของ ช่อื เรียกเครอื ข่าย โพรเซสเซอร์ โพรเซสเซอร์ 0.1 เมตร แผงวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เครื่องจกั รชนิดดาต้าโฟลว์ 1 เมตร ระบบเดยี วกัน มัลตโิ พรเซสเซอร์ 10 เมตร หอ้ ง มัลตโิ พรเซสเซอร์ 100 เมตร ตัวอาคาร เครือข่ายท้องถนิ่ 1 กโิ ลเมตร หนว่ ยงานเดยี วกนั เครอื ข่ายท้องถิ่น 10 กโิ ลเมตร เมือง เครือข่ายท้องถิ่น 100 กิโลเมตร ประเทศ เครือข่ายระยะไกล 1000 กิโลเมตร ระหว่างประเทศ เครือข่ายระยะไกล 10000 กโิ ลเมตร ระหว่างดวงดาว เครือข่ายระยะไกลมาก ขอ้ มูลในรูปของสญั ญาณอเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ่ีเก็บในคอมพิวเตอรส์ ามารถส่งต่อ คัดลอก จดั พิมพ์ ทาสาเนาไดง้ า่ ย เม่ือเทียบกับการคัดลอกด้วยมือซง่ึ ต้องใชเ้ วลามากและเสย่ี งตอ่ การทา ข้อมลู ผดิ พลาดอีกด้วย วิธีการทางดา้ นการสื่อสารข้อมูล กาลงั ได้รบั การนามาประยกุ ต์ใช้ในระบบ สานักงานท่ีเรียกว่า ระบบสานักงานอัตโนมัติ (office automation) ระบบดงั กลา่ วนม้ี ักเรียกย่อกัน สัน้ ๆ วา่ โอเอ (OA) เปน็ ระบบที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาชว่ ยในการทางานทเี่ กยี่ วกบั เอกสาร ท่วั ไป แล้วส่งไปยงั หนว่ ยงานตา่ ง ๆ ได้ดว้ ยไปรษณีย์อเิ ล็กทรอนกิ สเ์ พ่ือโอนยา้ ยแลกเปลี่ยนข้อมลู ที่ เกบ็ รวบรวมไว้ระหว่างแผนก บทบาททีส่ าคัญอีกบทบาทหนง่ึ คือ การใหบ้ รกิ ารข้อมลู หลายประเทศจดั ใหม้ ีฐานข้อมลู ไว้ บริการ เชน่ ฐานขอ้ มูลเก่ียวกับสิ่งแวดลอ้ ม ฐานขอ้ มูลงานวจิ ยั ฐานข้อมลู ทางเศษรกิจ ฐานขอ้ มลู ของสินคา้ เคร่ืองอุปโภคบรโิ ภค ในมหาวิทยาลัยอาจมขี ้อมลู เกยี่ วกับหนังสือและตาราวชิ าการ หาก

76 ผู้ใชต้ ้องการขอ้ มูลใดกส็ ามารถติดต่อมายงั ศูนย์บรกิ ารข้อมลู นนั้ การติดต่อจะผา่ นเครือข่าย คอมพิวเตอร์ ทาให้การไดข้ ้อมูลเป็นไปอยา่ งรวดเร็ว ความสาคัญของการสื่อสารข้อมลู ผา่ นเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ จึงเป็นสิง่ ทต่ี ระหนักกันอยู่เสมอ ลอง พจิ ารณาถงึ ประโยชน์ของการสือ่ สารข้อมูลต่อไปน้ี 1) การจดั เก็บข้อมลู ได้ง่ายและส่อื สารได้รวดเรว็ การจัดเกบ็ ข้อมลู ซง่ึ อย่ใู นรูปของ สัญญาณอเิ ล็กทรอนิกส์ สามารถจดั เก็บไวใ้ นแผน่ บนั ทึกทม่ี คี วามหนาแนน่ สงู แผ่นบันทกึ แผ่นหนงึ่ สามารถบันทึกข้อมูลไดม้ ากกวา่ 1 ล้านตัวอกั ษร สาหรับการสอ่ื สารขอ้ มูลน้ัน ถ้าข้อมูลผ่าน สายโทรศพั ท์ได้ด้วยอัตรา 120 ตัวอักษรตอ่ วินาทีแล้ว จะส่งข้อมูล 200 หนา้ ได้ในเวลา 40 นาที โดยท่ีไม่ตอ้ งเสียเวลามาน่งั ป้อนขอ้ มูลเหล่านน้ั ซ้าใหมอ่ ีก 2) ความถกู ตอ้ งของขอ้ มูล โดยปกตมิ ีการสง่ ขอ้ มลู ด้วยสญั ญาณทางอิเลก็ ทรอนกิ ส์จาก จดุ หนึ่งไปยงั จดุ อ่ืนดว้ ยระบบดิจทิ ลั วิธกี ารรบั สง่ น้นั จะมีการตรวจสอบสภาพของขอ้ มูลหากขอ้ มลู ผดิ พลาดกจ็ ะมีการรับรูแ้ ละพยายามหาวิธีการแกไ้ ขให้ข้อมูลทไี่ ดร้ ับมคี วามถกู ตอ้ ง โดยอาจใหท้ า การสง่ ใหม่ หรือกรณีทีผ่ ิดพลาดไมม่ ากนกั ฝ่ายผ้รู ับอาจใชโ้ ปรแกรมของตนแกไ้ ขข้อมลู ให้ถกู ต้อง ได้ 3) ความเร็วของการทางาน โดยปกติสัญญาณของไฟฟ้าจะเดินทางดว้ ยความเรว็ เทา่ แสง ทาใหก้ ารใชค้ อมพิวเตอร์ส่งข้อมูลจากซกี โลกหนึง่ ไปยังอกี ซกี โลกหนึง่ หรือค้นหาข้อมลู จาก ฐานข้อมลู ขนาดใหญ่ สามารถทาไดร้ วดเร็ว ความรวดเรว็ ของระบบจะทาให้ผูใ้ ชส้ ะดวกสบาย อยา่ งย่ิง เช่น บริษทั สายการบนิ ทุกแห่งสามารถทราบข้อมูลของทกุ เท่ยี วบินได้อย่างรวดเรว็ ทาให้ การจองที่นง่ั ของสายการบนิ สามารถทาได้ทันที 4) ตน้ ทนุ ประหยัด การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ต่อเข้าหากันเป็นเครอื ข่ายเพอ่ื ส่งหรือสาเนา ข้อมลู ทาใหร้ าคาตน้ ทนุ ของการใช้ขอ้ มลู ไม่แพง เมือ่ เทียบกับการจัดส่งแบบวธิ ีอนื่ นกั คอมพวิ เตอร์ บางคนสามารถสง่ โปรแกรมใหก้ นั และกนั ผ่านทางสายโทรศพั ท์ได้ 4.2 การสื่อสารข้อมูล การส่อื สารขอ้ มูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถา่ ยโอนหรอื แลกเปล่ียน ข้อมูลกันระหวา่ งผสู้ ง่ และผู้รับ โดยผ่านช่องทางส่ือสาร เช่น อุปกรณ์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ หรือ คอมพิวเตอรเ์ ปน็ ตัวกลางในการส่งขอ้ มลู เพ่ือใหผ้ ู้ส่งและผรู้ ับเกิดความเข้าใจซ่ึงกันและกนั เม่ือกลา่ วถงึ การติดตอ่ ส่ือสาร ในอดีตอาจหมายถงึ การพดู คยุ กันของมนุษยซ์ ง่ึ อาจเปน็ การ แสดงออกด้วยท่าทาง การใช้ภาษาพดู หรือผา่ นทางตัวอกั ษร โดยเป็นการสื่อสารในระยะใกล้ๆ

77 ตอ่ มา เมอ่ื เทคโนโลยีกา้ วหนา้ ไดม้ กี ารพฒั นาการส่ือสารเข้ากบั การใชง้ านอุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ทาใหส้ ามารถสือ่ สารไดใ้ นระยะไกลขนึ้ และสะดวกรวดเรว็ มากขึ้น เช่น การใช้โทรเลข โทรศพั ท์ โทรสาร อกี ทั้งตัวอุปกรณท์ ี่ใชใ้ นการส่ือสารเองก็ไดร้ บั การพฒั นาความสามารถขึ้นมาเป็นลาดับ และเขา้ มามีบทบาทในทุกวงการ ดงั น้นั ในยุคสารสนเทศน้ี การสื่อสารข้อมลู จงึ หมายถึงการ แลกเปล่ียนข้อมลู ข่าวสารซึ่งอาจอยใู่ นรูปของตวั อักษร ตัวเลข รูปภาพ เสยี งหรือวิดีทัศน์ ระหว่าง อปุ กรณส์ ่ือสาร โดยผา่ นทางสอ่ื กลางในการสอ่ื สารซงึ่ อาจเป็นสือ่ กลางประเภทที่มีสายหรอื ไร้สาย กไ็ ด้ โดยปกติ องคป์ ระกอบหลกั ของระบบส่ือสารขอ้ มลู มีอยู่ 5 อยา่ ง ได้แก่ 1. ขา่ วสารหรือขอ้ มลู (message) 2. ผู้ส่ง (sender) 3. ผรู้ บั (receiver) 4. สื่อกลาง (media) 5. โพรโทคอล (protocol 1. ผสู้ ง่ ข่าวสารหรอื แหล่งกาเนดิ ขา่ วสาร (source) อาจจะเป็นสญั ญาณตา่ งๆ เชน่ สญั ญาณ ภาพ ขอ้ มลู และสียงเปน็ ต้น ในการติดต่อสื่อสารสมัยก่อนอาจจะใชแ้ สงไฟ ควนั ไฟ หรือทา่ ทางตา่ ง ๆ ก็นับว่าเป็นแหล่งกาเนิดข่าวสาร จัดอยใู่ นหมวดหม่นู เี้ ช่นกัน 2. ผรู้ บั ข่าวสารหรอื จดุ หมายปลายทางของขา่ วสาร (sink) ซึ่งจะรบั ร้จู ากสิ่งที่ผูส้ ่งข่าวสาร หรอื แหล่งกาเนิดข่าวสารสง่ ผ่านมาใหต้ ราบใด ท่ีการติดตอ่ ส่ือสารบรรลวุ ัตถุประสงค์ ผ้รู ับสารหรือ จดุ หมายปลายทางของข่าวสารก็จะได้รบั ข่าวสารนัน้ ๆ ถ้าผรู้ ับสารหรอื จุดหมายปลายทางไม่ได้ รบั ข่าวสาร ก็แสดงวา่ การสื่อสารน้นั ไมป่ ระสบความสาเร็จ กลา่ วคือไม่มกี ารสื่อสารเกิดขนึ้ นนั่ เอง

78 3. ชอ่ งสญั ญาณ (channel) ในที่นี้อาจจะหมายถึงสื่อกลางหรือตัวกลางที่ข่าวสารเดินทางผ่าน อาจจะเปน็ อากาศ สายนาสัญญาณตา่ ง ๆ หรือแมก้ ระทั่งของเหลว เชน่ น้า น้ามัน เป็นตน้ เปรยี บเสมือนเปน็ สะพานท่ีจะใหข้ ่าวสารข้ามจากฝ่งั หนึ่งไปยังอีกฝงั่ หนึ่ง 4. การเข้ารหัส (encoding) เปน็ การช่วยใหผ้ ู้สง่ ข่าวสารและผู้รับขา่ วสารมีความเขา้ ใจตรงกนั ในการส่ือความหมาย จงึ มีความจาเปน็ ตอ้ งแปลงความหมายน้ี การเข้ารหสั จงึ หมายถึงการแปลง ขา่ วสารให้อย่ใู นรปู พลังงาน ทพ่ี รอ้ มจะส่งไปในสอื่ กลาง ทางผสู้ ่งมคี วามเขา้ ใจต้องตรงกันระหว่าง ผู้สง่ และผ้รู บั หรือมีรหสั เดียวกัน การสอ่ื สารจงึ เกิดข้ึนได้ 5. การถอดรหสั (decoding) หมายถึงการท่ผี ู้รับข่าวสารแปลงพลงั งานจากสื่อกลางใหก้ ลบั ไป อยู่ในรูปข่าวสารท่สี ง่ มาจากผูส้ ง่ ข่าวสาร โดยมีความเข้าในหรอื รหสั ตรงกัน 6. สัญญาณรบกวน (noise) เปน็ สิง่ ทมี่ ีอยู่ในธรรมชาติ มกั จะลดทอนหรือรบกวนระบบ อาจจะ เกดิ ข้ึนได้ทัง้ ทางดา้ นผสู้ ง่ ขา่ วสาร ผรู้ ับขา่ วสาร และชอ่ งสัญญาณ แต่ในการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน มักจะสมมตใิ ห้ทางด้านผู้สง่ ขา่ วสารและผรู้ ับข่าวสารไมม่ คี วามผิดพลาด ตาแหนง่ ทใี่ ช้วิเคราะห์ มกั จะเป็นท่ีตัวกลางหรือชอ่ งสญั ญาณ เมอื่ ไรทร่ี วมสัญญาณรบกวนด้านผู้ส่งขา่ วสารและดา้ นผู้รับ ข่าวสาร ในทางปฎบิ ัติมกั จะใช้ วงจรกรอง (filter) กรองสัญญาณแต่ต้นทาง เพ่ือใหก้ ารสอื่ สารมี คุณภาพดยี ิง่ ขึน้ แล้วค่อยดาเนินการ เชน่ การเข้ารหัสแหล่ง 4.2.1 การสื่อสาร-วธิ กี ารถา่ ยโอนข้อมลู 1 1. การถ่ายโอนขอ้ มูลแบบขนานการถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน ทาได้โดยการสง่ ขอ้ มลู ออกทลี ะ 1 ไบต์ หรอื 8 บิตจากอุปกรณ์ส่งไปยงั อปุ กรณ์รับ อปุ กรณ์ตวั กลางระหวา่ งสอง เคร่อื งจงึ ต้องมีชอ่ งทางใหข้ ้อมลู เดินทางอย่างน้อย 8 ช่องทาง เพอ่ื ให้กระแสไฟฟา้ ผา่ นโดยมากจะ เป็นสายสัญญาณแบบขนาน ระยะทางของสายสญั ญาณแบบขนานระหว่างสองเคร่ืองไมค่ วรยาว เกนิ 100 ฟตุ เพราะอาจทาให้เกิดปญั หาสัญญาณสญู หายไปกับความต้านทานของสาย นอกจากน้อี าจมีปญั หาท่ีเกิดจากระดับไฟฟา้ สายดินท่จี ุดรบั ผดิ ไปจากจดุ ส่ง ทาให้เกิดการ ผิดพลาดในการรับสัญญาณทางฝ่ายรับ นอกจากแกนหลักแล้วอาจจะมที างเดนิ ของสัญญาณควบคุมอ่ืน ๆ อกี เช่น บิตพารติ ี ทีใ่ ช้ใน การตรวจสอบความผดิ พลาดของการรบั สญั ญาณที่ปลายทางหรอื สายที่ควบคุมการโตต้ อบ (hand-shake)

79 2. การถา่ ยโอนข้อมูลแบบอนกุ รมในการถ่ายโอนขอ้ มูลแบบอนกุ รม ข้อมลู จะ ถูกส่งออกมาทลี ะบิต ระหว่างจุดสง่ และจดุ รับ การสง่ ข้อมูลแบบนีจ้ ะชา้ กวา่ แบบขนาน การถ่าย โอนข้อมลู แบบอนกุ รมต้องการตัวกลางสาหรับการส่ือสารเพียงชอ่ งเดียวหรอื สายเพยี งคูเ่ ดียว ค่าใชจ้ า่ ยจะถูกกว่าแบบขนานสาหรับการสง่ ระยะทางไกลๆ โดยเฉพาะเมือ่ เรามรี ะบบการสื่อสาร ทางโทรศพั ท์ไวใ้ ช้งานอยู่แลว้ ย่อมจะเป็นการประหยัดกว่าทจ่ี ะทาการติดต่อส่ือสารทลี ะ 8 ช่อง เพื่อการถา่ ยโอนข้อมูลแบบขนานการถา่ ยโอนขอ้ มูลแบบอนกุ รมจะเร่มิ โดยข้อมลู จากจุดสง่ จะถูก เปลีย่ นให้เป็นสญั ญาณอนกุ รมเสยี กอ่ น แล้วคอยทยอยส่งออกทีละบิตไปยังจุดรับ และทีจ่ ดุ รับ จะต้องมกี ลไกในการเปล่ียนขอ้ มูลท่ีสง่ มาทีละบิต ให้เป็นสัญญาณแบบขนานซง่ึ ลงตัวพอดี เช่น บิตท่ี 1 ลงทบ่ี สั ข้อมลู ท่ีสง่ มาทีละบติ ให้เป็นสญั ญาณแบบขนานซึง่ ลงตัวพอดี เชน่ บิตท่ี 1 ลงท่ี บสั ข้อมูลเส้นท่ี 1 ดงั แสดงในรปู 4.2.2การสอื่ สาร : วธิ กี ารถ่ายโอน2

80 การติดตอ่ แบบอนกุ รมอาจแบง่ ตามรูปแบบการรบั -สง่ ได้ 3 แบบ 1. การสอื่ สารแบบทางเดยี ว (simplex: SPX) เปน็ การสื่อสารแบบทางเดยี ว มที ิศ ทางการไหลของสญั ญาณเป็นทศิ ทางเดียวกัน กล่าวคือ มีเพยี งอปุ กรณ์ตัวเดยี วเท่านั้นที่ทาหน้าท่ี สง่ ขอ้ มูล อุปกรณ์ตัวอ่ืนทาหนา้ ทร่ี ับข้อมูลอยา่ งเดียว ตัวอยา่ งเช่น แป้นพิมพ์และจอภาพ หรือ สวิตซ์และหลอดไฟ หรือการออกอากาศวิทยุ โทรทัศน์ ที่ผ้รู บั และผสู้ ่งไมส่ ามารถโตต้ อบกันได้ 2. การสอ่ื สารแบบสองทางคร่งึ อตั รา (half duplex: HDX) เป็นการสื่อสารแบบสอง ทาง แต่ส่งได้ทลี ะทาง โดยแต่ละสถานีทาหน้าท่ไี ด้ท้งั รบั และสง่ ขอ้ มลู เม่อื อปุ กรณ์ใดทาหนา้ ท่เี ป็น ผสู้ ง่ อุปกรณ์ตัวอืน่ จะทาหนา้ เป็นผ้รู ับ ไมส่ ามารถส่งขอ้ มลู สวนทางกันได้ ตัวอย่างของการส่ง สญั ญาณแบบน้เี ชน่ วิทยสุ ่ือสารของหน่วยงานราชการ หรือตารวจซ่งึ ต้องผลัดกันพูด เมอ่ื ฝ่ายหนงึ่ เป็นผพู้ ูดตอ้ งกดปมุ่ แล้วจงึ พูดได้ เม่ือพูดเสรจ็ เรามกั จะได้ยนิ คาว่า \"เปลีย่ น\" น่นั คือ เป็นการบอกให้ ผู้รับทราบว่า ผูส้ ง่ ต้องการเปล่ียนสถานะจากผู้สง่ เปน็ ผรู้ ับ และให้ผ้รู ับเปลย่ี นเป็นผู้ส่ง 3. การส่อื สารแบบสองทางเตม็ อตั รา (full duplex: FDX) เปน็ การสื่อสารแบบสอง ทาง แต่รับสง่ ได้พร้อม ๆ กนั หมายความว่า สถานีทง้ั 2 สถานี สามารถสง่ และรับขอ้ มลู ได้พรอ้ ม ๆ กัน และตัวกลางท่ใี ช้ท้ัง 2 ฝัง่ อาจใช้ร่วมกันหรอื แบ่งแยกเป็นสายสาหรับรับ กับสายสาหรับสง่ ก็ได้ การสือ่ สารแบบนี้มีประสิทธิภาพดกี ว่าแบบอื่น ๆ เพราะไมเ่ กิดการหน่วงเวลาในช่วงการเปลย่ี น สถานะระหวา่ งผรู้ ับกับผสู้ ง่

81 4.3 ส่ือกลางในการส่อื สารขอ้ มูล ตวั กลางหรือสายเชื่อมโยง เป็นสว่ นทท่ี าใหเ้ กิดการเชือ่ มต่อระหว่างอุปกรณต์ า่ งๆ เข้าด้วยกัน และอปุ กรณท์ ยี่ อมใหข้ า่ วสารขอ้ มูลเดินทางผ่านจากผสู้ ง่ ไปสู่ผู้รบั สื่อกลางทใี่ ช้ในการสื่อสาร ข้อมลู มีอยู่หลายประเภท แต่ละประเภทมคี วามแตกตา่ งกันในดา้ นของปริมาณข้อมูลที่สื่อกลาง นัน้ ๆ สามารถนาผา่ นไปได้ในเวลาขณะใดขณะหนึง่ การวดั ปริมาณหรือความจุในการนาข้อมูล หรือทเ่ี รยี กกนั ว่า แบนดว์ ิดธ์ (bandwidth) มหี น่วยเป็นจานวน บิต ข้อมลู ต่อวนิ าที (bits per second : bps) ลักษณะของตวั กลางตา่ งๆ มีดงั ต่อไปน้ี 4.3.1 สอ่ื กลางประเภทมีสาย 1) สายคู่บดิ เกลียว (Twisted – Pair Cable)สายคู่บิดเกลียวประกอบด้วยสาย ทองแดง ที่หมุ้ ด้วยฉนวนพลาสติก หลังจากนนั้ กน็ าสายท้ังสองมาถักกันเปน็ เกลียวคู่ เช่น สายคบู่ ิด เกลยี วท่ีใช้กับเครอื ข่ายท้องถิ่น (CAT5) การนาสายมาถักเปน็ เกลยี วเพ่ือชว่ ยลดการแทรกแซงจาก สญั ญาณรบกวนสายคู่บดิ เกลยี วมอี ยู่ 2 รปู แบบ คือ สายคบู่ ดิ เกลียวแบบไม่มีชีลด์ และแบบมี ชลิ ด์ สายคูบ่ ดิ เกลียวแบบไม่มีชลี ด์ (Unshielded Twisted –Pair Cable :UTP นยิ มใช้งานมากในปัจจบุ นั มีลกั ษณะคลา้ ยกับสายโทรศัพทบ์ ้านไม่มกี ารหุม้ ฉนวนมแี ต่การบิด

82 เกลยี วอย่างเดียว สายคูบ่ ิดเกลียวแบบมีชิลด์ (Shielded Twisted –Pair Cable :STP) สาหรับสายSTP คลา้ ยกับสาย UTP แต่สาย STP จะมีชลิ ดห์ ่อหมุ้ อีกช้นั หนง่ึ ทาใหป้ ้องกัน สญั ญาณรบกวนได้ดกี ว่าสายUTP ขอ้ ดี 1) ราคาถกู 2) มนี ้าหนักเบา 3) ง่ายต่อการใช้งาน ขอ้ เสยี 1) มคี วามเร็วจากดั 2) ใชก้ บั ระยะทางสนั้ ๆ สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) สายมกั ทาด้วยทองแดงอยแู่ กนกลาง ซึง่ สายทองแดงจะ ถูกหอ่ หุ้มดว้ ยพลาสติก จากนั้นก็จะมีชิลด์ห่อหมุ้ อีกช้ันหน่งึ เพือ่ ปอ้ งกนั สัญญาณรบกวน และหุ้ม ดว้ ยเปลอื กนอกอีกช้ันหนง่ึ ป้องกนั สญั ญาณรบกวนจากคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าได้ดี สายโคแอกเชยี ลท่ี เห็นไดท้ ่วั ๆไป คือ สายท่นี ามาใชต้ อ่ เข้ากับเสาอากาศทีวีที่ใชต้ ามบ้าน

83 ขอ้ ดี 1) เชื่อมตอ่ ไดใ้ นระยะไกล 2) ป้องกันสัญญาณรบกวนไดด้ ี ขอ้ เสีย 1) มรี าคาแพง 2) สายมีขนาดใหญ่ 3) ตดิ ตง้ั ยาก สายไฟเบอรอ์ อปตคิ (Optical Fiber) สายไฟเบอร์ออปติคหรือสายใยแกว้ นาแสง เป็นสายทีม่ ีลักษณะโปรง่ แสง มรี ปู ทรงกระบอกในตัว ขนาดประมาณเส้นผมของมนษุ ยแ์ ต่มีขนาดเลก็ สายไฟเบอร์ออปติค แบง่ เป็น 3 ชนดิ 1) Multimode step –index fiber จะสะทอ้ นแบบหักมมุ 2) Multimode graded –index มลี กั ษณะคล้ายคลน่ื 3) Single mode fiber เป็นแนวตรง

84 ข้อดี 1) มีขนาดเล็กนา้ หนักเบา 2) มีความปลอดภยั ในการส่งขอ้ มลู 3) มคี วามทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนาน ขอ้ เสยี 1) เส้นใยแก้วมีความเปราะบาง แตกหักงา่ ย 2) มีราคาสงู เม่ือเทียบกับสายเคเบิลทั่วไป 3) การติดตง้ั จาเปน็ ตอ้ งพึ่งพาผูเ้ ชย่ี วชาญเฉพาะ 4.3.2 ส่อื กลางประเภทไมม่ สี าย ส่ือทไ่ี ม่ใชส้ าย ส่ือประเภทน้เี ป็นระบบตัวกลางที่สง่ เปน็ คล่ืนวิทยุ เชน่ อากาศท่ีเราใช้ สง่ คลนื่ วทิ ยุ คลืน่ ไมโครเวฟ (Microwave) รวมท้ังการส่ือสารผ่านดาวเทียม

85 ดาวเทียม การใชด้ าวเทยี มสาหรับการสง่ ข้อมูลแบบดจิ ิตอลก็เหมอื นกับการส่งแบบไมโครเวฟนนั่ เองคะ่ ดาวเทียมนนั้ จะต้องรบั และส่งสัญญาณแบบสนั ตรง ดาวเทียมจะชว่ ยสง่ สญั ญาณในระยะไกลซึง่ ทาไดม้ ากขึ้นในลักษณะของการข้ามภูมภิ าค ข้ามทวีป ซึ่งสัญญาณไมโครเวฟนนั้ ไมส่ ามารถทาได้ เนอ่ื งจาก ดาวเทียมน้ันจะมีฟุตพรนิ้ (Footprint) สาหรบั ฟุตพรน้ิ (Footprint) กค็ อื จานวนพน้ื ท่บี นผิว โลกที่ดาวเทียมหนง่ึ ครอบคลุมการส่งสัญญาณได้น่ันเองค่ะ ในปัจจุบนั นี้มีการใชส้ ัญญาณดาวเทียมที่โคจรแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท ก็คือ • ดาวเทียมแบบจีอโี อ (Geostationary Earth Orbit : GEO) ดาวเทียมชนิดน้ี จะเหมาะกบั การสง่ สัญญาณโทรทัศน์ • ดาวเทยี มแบบโคจรระดับกลาง (Medium Earth Orbit : MEO) ดาวเทียมชนิดนใี้ นการ โคจรจะโน้มเอยี งไปยงั สน้ ศูนย์สูตรน่ันเอง • ดาวเทยี มแบบระดับต่า (Low Earth Orbit : LEO) ดาวเทยี มชนิดน้จี านวนมากสามารถ ครอบคลุมการส่งสัญญาณบนโลกให้ทั่วถงึ ได้ ทจี่ ริงดาวเทียมกค็ ือสถานีไมโครเวฟลอยฟ้าน่ันเอง ซง่ึ ทาหนา้ ท่ขี ยายและทบทวนสญั ญาณขอ้ มูล รับและส่งสญั ญาณข้อมลู กับสถานดี าวเทยี มที่อยู่บนพ้นื โลก สถานีดาวเทยี มภาคพ้ืนจะทาการสง่ สญั ญาณขอ้ มลู ไปยงั ดาวเทียมซ่ึงจะหมนุ ไปตามการหมุนของโลกซึง่ มีตาแหน่งคงที่เม่ือเทียมกับ ตาแหน่งบนพน้ื โลก ดาวเทยี มจะถูกส่งขนึ้ ไปให้ลอยอยู่สูงจากพืน้ โลก เคร่ืองทบทวนสัญญาณของ ดาวเทียม (Transponder) จะรบั สญั ญาณข้อมลู จากสถานภี าคพื้นซง่ึ มีกาลงั อ่อนลงมากแลว้ มา ขยาย จากน้ันจะทาการทบทวนสัญญาณ และตรวจสอบตาแหนง่ ของสถานีปลายทาง แล้วจึงสง่ สญั ญาณขอ้ มลู ไปด้วยความถใี่ นอกี ความถห่ี นงึ่ ลงไปยงั สถานีปลายทาง การสง่ สัญญาณข้อมลู ขึ้นไปยังดาวเทยี มเรยี กวา่ \"สัญญาณอัปลงิ ก์\" (Up-link) และการสง่ สญั ญาณข้อมูลก็จะกลับลง มายงั พืน้ โลกเรยี กวา่ \"สญั ญาณ ดาวน์-ลงิ ก์ (Down-link) ลักษณะของการรับส่งสัญญาณข้อมลู อาจจะเปน็ แบบจุดต่อจดุ (Point-to-Point) หรือแบบแพร่สญั ญาณ น่นั เอง ข้อดี-ข้อเสีย ของการสง่ สัญญาณแบบดาวเทียม ขอ้ ดี การส่งข้อมูลหรือการส่งสัญญาณแบบดาวเทยี มจะสามรถรบั -ส่ง ข้อมลู ได้เร็ว สะดวกต่อการ ติดต่อสื่อสาร และสามารถส่งขอ้ มูลไดใ้ นระยะทางท่ไี กล ขอ้ เสยี การส่งสญั ญาณขอ้ มลู ทางดาวเทียมก็คือระบบดาวเทยี มนนั้ คล้ายกับไมโครเวฟ คอื อาจจะ ถูกกระทบโดยสภาพอากาศ ดังนนั้ มีการล่าชา้ ของสญั ญาณในการสง่ ข้อมลู แต่ละชว่ ง ดงั นนั้ การ

86 เชอื่ มโยงขอ้ มลู จดั การกับปัญหาความล่าชา้ สัญญาณข้อมลู สามารถถูกรบกวนจากสัญญาณ ภาคพน้ื อื่น ๆ ได้ อีก ในการส่งสัญญาณ เนื่องจากระยะทางขึ้น-ลง ของสญั ญาณ และทส่ี าคัญคือ มรี าคาสูงในการลงทุนทาให้คา่ บริการสงู ตามข้นึ มา คลน่ื วทิ ยุ คล่ืนวิทยทุ ่ีกระจายออกจากสายอากาศ จะเดินทางไปทุกทศิ ทาง ในทุกระนาบ การกระจาย คล่นื นมี้ ีลักษณะเปน็ การขยายตัวของพลงั งานออกเปน็ ทรงกลม ถา้ จะพจิ ารณาในส่วนของพนื้ ที่ แทนหน้าคลืน่ จะเห็นได้ว่ามันพ่งุ ออกไปเรื่อย ๆ จากจุดกาเนดิ และสามารถเขียนแนวทิศทางเดนิ ของหน้าคลืน่ ได้ดว้ ยเสน้ ตรงหรือเสน้ รังสี เสน้ รงั สีที่ลากจากสายอากาศออกไปจะทามุมกับระนาบ แนวนอน มุมนเี้ รยี กว่า มมุ แผ่คลนื่ อาจมีค่าเปน็ บวก ( มุมเงย ) หรือมีค่าเป็นลบ ( มมุ กดลง ) ก็ได้ มมุ ของการแผ่คลื่นนี้อาจนามาใช้เปน็ ตัวกาหนดประเภทของคล่ืนวิทยุได้ โดยทัว่ ไปคล่ืนวทิ ยุอาจ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คล่ืนดนิ (GROUND WAVE ) กบั คล่นื ฟ้า (SKY WAVE ) พลงั งานคลื่นวทิ ยสุ ่วนใหญจ่ ะเดินทางอยู่ใกล้ ๆ ผวิ โลกหรือเรยี กวา่ คล่ืนดิน ซงึ่ คลื่นนีจ้ ะเดินไปตาม ส่วนโคง้ ของโลก คล่นื อีกส่วนทอี่ อกจากสายอากาศ ดว้ ยมุมแผค่ ลน่ื เป็นค่าบวก จะเดินทางจากพื้น โลกพ่งุ ไปยงั บรรยากาศจนถึงช้นั เพดานฟ้าและจะสะท้อนกลบั ลงมายงั โลกน้ีเรยี กว่า คลน่ื ฟ้า ผลของคล่นื วิทยุท่มี ีต่อร่างกาย คลน่ื วทิ ยุสามารถทะลเุ ขา้ ไปในร่างกายมนุษยไ์ ดล้ ึกประมาณ 1/10 ของความยาวคลน่ื ที่ตกกระทบ และอาจทาลายเน้ือเย่อื ของอวยั วะภายในบางชนดิ ได้ ผลการทาลายจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กบั ความเข้ม ชว่ งเวลาท่รี า่ งกายไดร้ บั คลื่นและชนิดของเน้ือเยือ่ อวัยวะทม่ี ีความไวต่อคลื่นวทิ ยุ ไดแ้ ก่ นัยนต์ า ปอด ถุงน้าดี กระเพาะปสั สาวะ อณั ฑะ และบางสว่ นของระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะ

87 นัยนต์ า และอัณฑะ เป็นอวัยวะทอี่ ่อนแอทีส่ ุดเมอื่ ได้รบั คล่ืนวิทยชุ ว่ งไมโครเวฟ คลน่ื วทิ ยุช่วงความถตี่ ่าง ๆ อาจมีผลตอ่ ร่างกายดงั นี้ 1. คลน่ื วิทยทุ ม่ี ีความถ่ีน้อยกว่า 150 เมกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคล่นื มากกว่า 2 เมตร) คลนื่ จะ ทะลุผา่ นรา่ งกายโดยไม่ก่อใหเ้ กิดผลใด ๆ เนือ่ งจากไม่มีการดูดกลืนพลงั งานของคล่ืนไว้ ร่างกายจึง เปรียบเสมือนเปน็ วัตถุโปร่งใสตอ่ คลน่ื วทิ ยชุ ่วงนี้ 2. คลนื่ วิทยุที่มคี วามถร่ี ะหว่าง 150 เมกะเฮิรตซ์ ถึง 1.2 จิกะเฮริ ตซ์ (มีความยาวคล่ืนระหว่าง 2.00 ถึง 0.25 เมตร) คล่นื วิทยุช่วงน้สี ามารถทะลุผ่านเขา้ ไปในรา่ งกายได้ลกึ ประมาณ 2.5 ถึง 20 เซนตเิ มตร เนื้อเย่ือของอวัยวะภายในบรเิ วณนั้นจะดูดกลืนพลงั งานของคลื่นไว้ถงึ ร้อยละ 40 ของ พลงั งานที่ตกกระทบ ทาให้เกิดความร้อนขน้ึ ในเน้ือเย่ือ โดยทร่ี ่างกายไม่สามารถรสู้ กึ ได้ ถา้ ร่างกาย ไม่สามารถกระจายความร้อนออกไปในอตั ราเทา่ กับทร่ี ับเข้ามา อณุ หภูมิหรอื ระดบั ความร้อนของ ร่างกายจะสูงข้ึน เปน็ อันตรายอยา่ งย่งิ ตอ่ รา่ งกาย ความร้อนในรา่ งกายทสี่ ูงกวา่ ระดับปกติอาจ ก่อให้เกิดผลหลายประการ เชน่ - เลอื ดจะแข็งตัวช้ากว่าปกติ ผลอนั นถ้ี ้ามีการเสยี เลือดเกิดข้นึ อาการจะมคี วามรนุ แรง - การหมนุ เวยี นของเลือดเรว็ ขึ้น - ฮโี มโกลบินของเม็ดเลือดแดงจะมีความจุออกซเิ จนลดลง ทาให้เลอื ดมอี อกซิเจนไม่เพยี งพอเลี้ยง เนือ้ เย่ือตา่ ง ๆ เม่ือเน้ือเยื่อขาดออกซิเจนจะทาใหเ้ ซลล์สมอง ระบบประสาทส่วนกลางและอวัยวะ ภายในขาดออกซเิ จนด้วย อาจทาใหม้ ีการกระตุกของกล้ามเนื้อจนถึงชัก ถา้ สภาพเช่นน้ดี าเนิน ต่อไป ผลทีต่ ามมาก็คือ ไม่รู้สึกตัวและอาจเสียชวี ิตได้ 3. คลืน่ วิทยทุ ีม่ ีความถีร่ ะหว่าง 1-3 จกิ ะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลื่นระหวา่ ง 30 ถึง 10 เซนติเมตร) ทง้ั ผิวหนงั และเนอ้ื เย่ือลกึ ลงไปดูดกลืนพลงั งานไดร้ าวรอ้ ยละ 20 ถึงร้อยละ 100 ขึน้ อยู่กบั ชนิดของ เน้อื เยอ่ื คลื่นวทิ ยุเช่นน้ีเป็นอันตรายอย่างยง่ิ ต่อนัยน์ตา โดยเฉพาะเลนสต์ าจะมคี วามไวเปน็ พิเศษ ตอ่ คลื่นวิทยคุ วามถ่ีประมาณ 3 จกิ ะเฮริ ตซ์ เพราะเลนส์ตามคี วามแตกต่างจากอวยั วะอน่ื ตรงทไี่ มม่ ี เลอื ดมาหล่อเลี้ยงและไมม่ กี ลไกซอ่ มเซลล์ ดงั นั้นเมื่อนยั น์ตาไดร้ ับคล่ืนอย่างต่อเนอ่ื งจะทาให้ ของเหลวภายในตามีอุณหภูมสิ ูงขนึ้ โดยไม่สามารถถ่ายโอนความรอ้ นเพื่อให้อุณหภมู ิลดลงได้ เหมอื นเนอ้ื เยอื่ ของอวัยวะอื่น ๆ จึงจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างรุนแรงตามมา พบว่าถ้าอณุ หภูมิของ ตาสูงข้นึ เซลล์เลนส์ตาบางสว่ นอาจถูกทาลายอยา่ งชา้ ๆ ทาใหค้ วามโปร่งแสงของเลนส์ตาลดลง ตาจะขุ่นลงเรือ่ ย ๆ ในทส่ี ดุ จะเกดิ เป็นต้อกระจก สายตาผิดปกติ และสุดท้ายอาจมองไมเ่ ห็น 4. คลื่นวิทยุทีม่ ีความถร่ี ะหวา่ ง 3-10 จกิ ะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลนื่ ระหว่าง 10 ถึง 3 เซนติเมตร) ผิวหนงั ชั้นบนสามารถดดู กลืนพลงั งานมากที่สดุ เราจะรสู้ ึกวา่ เหมอื นกับถกู แสงอาทิตย์

88 5. คลน่ื วิทยทุ ่ีมีความถีส่ งู กวา่ 10 จิกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลืน่ น้อยกว่า 3 เซนตเิ มตร) ผิวหนังจะ สะทอ้ นใหก้ ลับออกไป โดยมีการดูดกลืนพลงั งานเล็กน้อย ข้อดี : ตดิ ต้งั เพอื่ เชอ่ื มโยงการตดิ ตอ่ ได้สะดวก เพียงตอ่ อุปกรณเ์ ครื่องรบั -สง่ วทิ ยกุ ับ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แลว้ ตรวจสอบความเรียบร้อยของระบบกส็ ามารถจะสื่อสารข้อมูลทง้ั ภายใน และภายนอกอาคารได้ เน่ืองจากในการส่อื สารดว้ ยระบบวทิ ยจุ ะมีระบบความพร้อมก่อนทาการ รับส่งขอ้ มูล จงึ ไมค่ ่อยมีปัญหาเรอื่ งสญั ญาณรบกวน ข้อเสยี : มอี ตั ราเรว็ ในการส่งขอ้ มลู ตา่ นอกจากนี้ยังต้องทาการขออนุญาตใชค้ วามถี่วทิ ยุ กับกรมไปรษณีย์โทรเลขเสยี กอ่ น สาหรับคา่ ใช้จ่ายในเร่ืองของอุปกรณ์สอ่ื สารนัน้ ค่อนขา้ งจะมี ราคาแพงกว่าการส่ือสารดว้ ยสายสัญญาณ ไมโครเวฟ (Microwave) สญั ญาณคลืน่ ความถี่ประมาณ 100 เมกะเฮิรตซ์ เดินทางเป็นเส้นตรง ทาใหส้ ามารถปรับทิศ ทางการสง่ ได้แน่นอน การบีบสญั ญาณสง่ ใหเ้ ป็นลาแคบ ๆ จะทาให้มีพลังงานสูง สัญญาณรบกวน ต่า การปรับจานรับและจานส่งสัญญาณใหต้ รงกนั พอดี จะทาให้สามารถส่งสัญญาณได้หลาย ความถไ่ี ปในทิศทางเดียวกนั ได้ โดยไม่รบกวนกนั ข้อเสียคือ คลื่นไมโครเวฟไม่สามารถเดินผา่ นวัตถทุ ี่กีดขวางได้ สัญญาณอาจเกิดการหักเหใน ระหว่างเดินทางทาให้มาถงึ จาน รบั สญั ญาณช้ากวา่ ปกติและสญั ญาณบางส่วนอาจสูญหายได้ เรียกวา่ เกิด “multipath fading” จากสภาพภูมิอากาศ และความถี่สญั ญาณ คล่ืนความถี่ ตงั้ แต่ 8 กกิ ะเฮิรตซ์ขึ้นไป จะถูกดูดซมึ โดยพน้ื นา้ หรือเมื่อผา่ นพายุฝนเพราะมีความยาวคลื่นเพียง ไม่กี่เซนติเมตร การตัง้ สถานีรับ-ส่งสญั ญาณไมโครเวฟ (relay station) สามารถตัง้ ให้อยู่ห่างกันได้ ถึง 30-50 กิโลเมตร นิยมนามาใชใ้ นธรุ กจิ งานให้บรกิ ารเช่น โทรศัพท์ทางไกล โทรศัพท์มือถือ การ แพรภ่ าพโทรทศั น์ เป็นตน้ เพ่ือหลีกเลยี่ งการวางสายเคเบิล ระบบไมโครเวฟจึงมรี าคาถูกกวา่ ระบบ อน่ื คลืน่ อนิ ฟราเรดและคลื่นสั้น (Infrared and millimeter wave) นยิ มใช้สาหรับการสื่อสารระยะใกล้ คุณสมบัติของคลน่ื คือ เดินทางเป็นแนวตรง ราคาถูก และง่าย ตอ่ การผลติ ใชง้ านแต่ไม่สามารถเดินทางผ่านวัตถหุ รือสิ่งกดี ขวางได้ เช่น รีโมทสาหรับควบคมุ วิทยุ วดิ ีโอโทรทศั น์ เคร่ืองเล่นบงั คับตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ สามารถใช้คลน่ื อินฟราเรดเพื่อการส่ือสารในระบบ เครอื ข่ายท้องถน่ิ (LAN) ได้ดี เพราะคณุ สมบัตขิ องคล่นื ที่ไมส่ ามารถเดินทาง ผ่านส่ิงกีดขวางได้ การใช้ระบบเครือขา่ ยในห้องทางานท่ีมีอุปกรณใ์ ช้คล่นื อินฟราเรดในการรับ-สง่ สญั ญาณแบบ

89 หลาย ทิศทางติดตง้ั อยู่ ทาใหส้ ะดวกต่อการใช้เคร่ืองคอมพวิ เตอรแ์ บบพกพาซ่งึ ใชอ้ ุปกรณ์รับ-ส่ง ด้วยคลน่ื อนิ ฟราเรด สามารถติดต่อกับระบบเครือขา่ ยของสานักงานได้ และยังนาคณุ สมบตั ขิ อง คลื่นอินฟราเรดไปใชใ้ นการจดั ประชุม ทุกคนสามารถสื่อสารข้อมลู ดว้ ยเครื่องคอมพิวเตอร์ ผ่าน อปุ กรณ์สือ่ สารคล่ืนอินฟราเรดโดยไม่ต้องเสยี เวลาในการวาง สายเชื่อมต่อระบบเครือข่ายใหห้ ้อง ประชุม สญั ญาณแสงเลเซอร์ (Laser beams) เปน็ ระบบการส่ือสารแบบทางเดยี ว ผู้รับและผ้สู ง่ สญั ญาณข้อมูลจงึ ตอ้ งมีอปุ กรณท์ งั้ ในการรับและ ส่งข้อมูลดว้ ย จงึ จะสามารถส่อื สารได้สองทาง การสง่ ข้อมูลดว้ ยแสงเลเซอรม์ ีราคาถกู และชว่ ง ความกว้างของชอ่ งสญั ญาณสูงมาก เม่ือเทยี บกับการใชส้ ญั ญาณไมโครเวฟ ลาแสงเลเซอรม์ ี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพยี ง 1 มลิ ลเิ มตร อุปกรณ์รับสญั ญาณมขี นาดโตกวา่ เพยี งเล็กน้อย การ ติดตงั้ อุปกรณ์รับ-สง่ สัญญาณ ต้องเป็นผู้ที่มีความละเอียด ข้อเสียของลาแสงเลเซอร์คือ ไม่ สามารถสอ่ งผา่ นสายฝนหรือหมอกหนา ๆ ไดร้ วมท้ังคลื่นความร้อนจากแสงแดดอาจทาให้แสง เลเซอรเ์ กดิ การหักเหได้ เชน่ การส่งสัญญาณแสงเลเซอร์ระหว่างอาคาร เป็นต้น 4.4 เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ธรรมชาตมิ นษุ ย์ต้องอยรู่ วมกนั เป็นกลมุ่ มกี ารตดิ ต่อสอื่ สารระหวา่ งกัน ร่วมกันทางานสรา้ งสรร สังคมเพ่อื ให้ ความเป็นอยู่โดยรวมดขี ึ้น จากการดาเนินชวี ิตรว่ มกนั ทัง้ ในดา้ นครอบครวั การทางาน ตลอดจนสงั คมและการเมอื ง ทาให้ต้องมกี ารพบปะแลกเปลย่ี นข้อมูลระหว่างกัน เมือ่ มนษุ ย์มี ความจาเปน็ ทีจ่ ะติดต่อส่ือสารระหวา่ งกัน พัฒนาการ ทางดา้ นคอมพิวเตอร์จงึ ต้องตอบสนอง เพือ่ ใหใ้ ช้งานได้ตามความต้องการ แรกเริ่มมกี ารพัฒนาคอมพวิ เตอรแ์ บบ รวมศูนย์ เชน่ มนิ คิ อมพิวเตอร์ หรือ เมนเฟรม โดยใหผ้ ใู้ ชง้ านใช้พร้อมกันไดห้ ลายคน แตล่ ะคนเปรียบเสมือน เป็นสถานีปลายทาง ท่ีเรียกใชท้ รัพยากร การคานวณจากศนู ย์คอมพวิ เตอร์และให้คอมพิวเตอร์ ตอบสนองต่อ การทางานนั้น ต่อมามกี ารพฒั นาไมโครคอมพวิ เตอรท์ ่ีทาใหส้ ะดวกต่อการใชง้ าน ส่วนบุคคล จนมกี ารเรียกไมโครคอมพิวเตอร์ ว่า พีซี (Personal Competer:PC) การใชง้ าน คอมพิวเตอร์จึงแพรห่ ลายอย่างรวดเร็ว เพราะการใชง้ านง่ายราคา ไมส่ ูงมาก สามารถจดั หามา ใชไ้ ด้ไม่ยาก เม่ือ มกี ารใช้งานกนั มาก บรษิ ัทผูผ้ ลิตคอมพิวเตอร์ต่างๆ ก็ปรับปรุง และพฒั นา เทคโนโลยีให้ตอบสนองความตอ้ งการทจ่ี ะทางานร่วมกนั เปน็ กลุ่มในรูปแบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ จึงเปน็ วธิ ีการหนง่ึ และกาลงั ได้รับความนิยมสงู มาก เพราะทาให้ตอบสนองตรงความต้องการท่ีจะ

90 ตดิ ตอ่ สื่อสาร ขอ้ มลู ระหว่างกัน เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ไดร้ ับการพัฒนาเร่ือยมาจากเครื่อง คอมพวิ เตอรข์ นาดใหญ่ได้แก่ เมนเฟรม มินคิ อมพิวเตอร์ มาเปน็ ไมโครคอมพวิ เตอร์ ท่ีมีขนาดเลก็ ลงแตม่ ีประสทิ ธภิ าพสูงขน้ึ ไมโครคอมพวิ เตอร์ก็ได้รับ การพัฒนาใหม้ ีขีดความสามารถและทางาน ได้มากขึ้น จนกระท่ังคอมพวิ เตอร์สามารถทางานรว่ มกันเปน็ กลุ่มได้ ดังนั้นจงึ มกี ารพัฒนาให้ คอมพิวเตอร์ทางานในรูปแบบ เครือข่ายคอมพวิ เตอร์ คือนาเอาเครือ่ งคอมพวิ เตอร์ ขนาดใหญม่ า เป็นสถานีบริการ หรือที่เรยี กวา่ เคร่ืองให้บริการ (Server ) และให้ไมโครคอมพวิ เตอร์ตาม หนว่ ยงานต่างๆ เป็นเครื่องใช้บรกิ าร (Client) โดยมีเครือขา่ ย(Network) เป็นเสน้ ทางเชือ่ มโยง คอมพวิ เตอร์จาก จุดตา่ งๆ ในทส่ี ุดระบบเครอื ข่ายก็จะเข้ามาแทนระบบคอมพวิ เตอรเ์ ดมิ ทเี่ ป็นแบบรวมศูนยไ์ ด้ เครอื ข่าย คอมพิวเตอรท์ วีความสาคัญและได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะสามารถสรา้ งระบบคอมพิวเตอร์ให้ พอเหมาะกับงาน ในธรุ กิจขนาดเลก็ ทีไ่ มม่ กี าลงั ในการลงทนุ ซือ้ เคร่ืองคอมพวิ เตอรท์ ี่มรี าคาสูงเช่น มนิ ิคอมพิวเตอร์ ก็สามารถใช้ไมโครคอมพวิ เตอร์หลายเครือ่ งต่อเชื่อมโยงกันเปน็ เครือขา่ ย โดยให้ ไมโครคอมพวิ เตอร์เครอ่ื งหนึ่ง เป็นสถานีบรกิ ารท่ีทาให้ใช้งานข้อมูลรว่ มกันได้ เม่อื กิจการ เจรญิ ก้าวหน้าข้นึ กส็ ามารถขยายเครือข่ายการใช้ คอมพิวเตอร์โดยเพิ่มจานวนเครือ่ งหรือขยาย ความจุข้อมลู ใหพ้ อเหมาะกับองค์กร ในปัจจุบนั องค์การขนาดใหญ่กส็ ามารถลดการลงทนุ ลงได้ โดยใช้เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์เชื่อมโยงจากกลุ่มเล็ก ๆ หลาย ๆ กลุ่มรวมกันเป็นเครือข่ายของ องค์การ โดยสภาพการใช้ขอ้ มลู สามารถทาได้ดีเหมือน เช่นในอดตี ท่ีต้องลงทนุ จานวนมาก เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาทที่สาคญั ต่อหน่วยงานตา่ งๆ ดงั นี้ 1. ทาใหเ้ กิดการทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม และสามารถทางานพร้อมกนั 2. ให้สามารถใชข้ ้อมลู ตา่ งๆ รว่ มกนั ซ่ึงทาใหอ้ งค์การได้รับประโยชน์มากขึ้น

91 3. ทาให้สามารถใช้ทรัพยากรไดค้ ุ้มคา่ เชน่ ใชเ้ ครื่องประมวลผลร่วมกนั แบง่ กนั ใช้แฟ้มขอ้ มูล ใช้ เคร่ืองพมิ พ์ และอุปกรณท์ ม่ี ีราคาแพงรว่ มกัน 4. ทาให้ลดตน้ ทุน เพราะการลงทุนสามารถลงทุนใหเ้ หมาะสมกบั หนว่ ยงาน 4.5 โพรโทคอล โปรโตคอล ( Protocol) หมายถงึ ข้อกาหนดหรือข้อตกลงในการส่ือสารระหว่างคอมพิวเตอร์ ซึง่ มอี ย่ดู ้วยกนั มากมายหลายชนิด แตล่ ะชนิดกม็ ีข้อดี ข้อเสีย และใช้ในโอกาสหรือสถานการณ์ แตกต่างกนั ไป คล้ายๆ กบั ภาษามนุษยท์ ม่ี ีทง้ั ภาษาไทย จีน ฝร่ัง หรอื ภาษาใบ้ ภาษามือ หรือจะใช้ วธิ ยี ักคิ้วหล่วิ ตาเพ่อื ส่งสัญญาณก็จัดเปน็ ภาษาไดเ้ หมอื นกนั ซ่ึงจะสอ่ื สารกนั รู้เร่ืองได้จะตอ้ งใช้ ภาษาเดยี วกัน ในบางกรณถี ้าคอมพิวเตอร์ 2 เครอ่ื งส่ือสารกันคนละภาษากนั และต้องการนามา เช่ือมตอ่ กนั จะต้องมตี ัวกลางในการแปลงโปรโตคอลกลับไปกลับมาซ่งึ นยิ มเรยี กวา่ Gateway ถ้า เทยี บกับภาษามนุษย์ก็คอื ล่าม ซึง่ มีอยทู่ งั้ ท่เี ป็นเครื่องเซิร์ฟเวอรแ์ ยกต่างหากสาหรับทาหน้าท่นี ้ี โดยเฉพาะ หรอื าจะเปน็ โปรแกรมหรอื ไดรฟ์ เวอร์ที่สามารถติดตั้งในเคร่ืองคอมพวิ เตอร์นั่นๆไดเ้ ลย การท่ีคอมพิวเตอรเ์ ครื่องหน่ึงจะส่งข้อมูลไปยังคอมพวิ เตอร์อกี เคร่ืองหนึ่งไดน้ ้ัน จะตอ้ งอาศัย กลไกหลายๆ อย่างร่วมกันทางานตา่ งหน้าที่กนั และเชอื่ มต่อเป็นเครือขา่ ยเข้าด้วยกัน ปญั หาที่ เกดิ ขน้ึ คอื การเชื่อมต่อมคี วามแตกตา่ งระหวา่ งระบบและอุปกรณห์ รือเปน็ ผู้ผลิตคนละรายกนั ซงึ่ เป็นส่ิงท่ีทาให้การสร้างเครอื ขา่ ยเป็นเรื่องยากมาก เน่ืองจากขาดมาตรฐานกลางที่จาเปน็ ในการ เชื่อมตอ่ จงึ ได้เกิดหน่วยงานกาหนดมาตรฐานสากลข้นึ คือ International Standards Organization และ ทาการกาหนดโครงสร้างทงั้ หมดทจ่ี าเป็นต้องใชใ้ นการส่ือสารขอ้ มูลและเป็นระบบเปิด เพอื่ ให้

92 ผูผ้ ลติ ตา่ งๆ สามารถแยกผลิตในส่วนทีต่ ัวเองถนัด แต่สามารถนาไปใช้ร่วมกันได้ ระบบเครือขา่ ย คอมพวิ เตอรส์ มัยใหม่จะถูกออกแบบใหม้ ีโครงสรา้ งทแี น่นอน และเพือ่ เป็นการลดความซบั ซอ้ น ระบบเครือข่ายส่วนมากจงึ แยกการทางานออกเปน็ ชัน้ ๆ ( layer) โดยกาหนดหน้าทใ่ี นแต่ละช้ันไว้ อย่างชัดเจน แบบจาลองสาหรับอ้างองิ แบบ OSI (Open System Interconnection Reference Model) หรือทนี่ ิยมเรียกกนั ท่ัวไปวา่ OSI Reference Model ของ ISO เป็นแบบจาลองทีถ่ ูกเสนอ และพัฒนาโดยองค์กร International Standard Organization (ISO) โดยจะบรรยายถงึ โครงสรา้ ง ของสถาปัตยกรรมเครอื ขา่ ยในอุดมคติ ซึ่งระบบเครือข่ายที่เปน็ ไปตามสถาปัตยกรรมน้ีจะเปน็ ระบบเครอื ข่ายแบบเปิด และอปุ กรณ์ทางเครือขา่ ยจะสามารถติดต่อกันได้โดยไมข่ น้ึ กับวา่ เป็น อปุ กรณข์ องผู้ขายรายใด OSI 7-Layer Reference Model (OSI Model) โดยโครงสรา้ งการสอ่ื สารข้อมลู ที่กาหนดข้นึ มี คณุ สมบัตดิ งั นี้ คือ ในแตล่ ะช้ันของแบบการสื่อสารข้อมลู เราจะเรียกวา่ Layer หรือ \"ช้ัน\" ของแบบ การสื่อสารขอ้ มลู ประกอบด้วยชัน้ ย่อยๆ 7 ชั้น ในแต่ละชั้นหรอื แตล่ ะ Layer จะเสมอื นเชอื่ มต่อเพือ่ สง่ ข้อมลู อยู่กับชัน้ เดยี วกนั ในคอมพวิ เตอร์อกี ด้านหนึ่ง แต่ในการเช่ือมกันจรงิ ๆ น้นั จะเปน็ เพียงการ เชื่อมในระดับ Layer1 ซง่ึ เป็นชั้นลา่ งสุดเทา่ น้นั ท่มี ีการรับสง่ ข้อมูลผา่ นสายส่งข้อมูลระหว่าง คอมพิวเตอรท์ ั้งสองโดยที่ Layer อื่นๆ ไม่ไดเ้ ชอ่ื มต่อกันจริงๆ เพยี งแต่ทางานเสมือนกับว่ามีการ ตดิ ต่อรับส่งข้อมูลกับช้นั เดยี วกันของคอมพิวเตอร์อีกดา้ นหน่ึง

93 คณุ สมบัตขิ ้อทสี่ องของ OSI Model คือ แตล่ ะชนั้ ทร่ี ับสง่ ขอ้ มูลจะมีการตดิ ต่อรับสง่ ข้อมลู กับชน้ั ที่ อยูต่ ิดกับตัวเองเทา่ น้ัน จะติดต่อรบั สง่ ข้อมลู ขา้ มกระโดดไปช้นั อื่นๆ ในคอมพวิ เตอร์ของตวั เอง ไมไ่ ด้ เชน่ คอมพิวเตอรด์ ้านส่งขอ้ มลู ออกไปให้ผรู้ ับใน Layer ท่ี 7 ซึง่ อย่ทู ีด่ า้ นบนสุดของดา้ นส่ง ขอ้ มูลจะมีการเชอ่ื มต่อกับ Layer 6 เทา่ นน้ั ในส่วน Layer 6 จะมีการเช่อื มตอ่ รับส่งข้อมูลกบั Layer 5 และ Layer 7 เทา่ นน้ั Layer 7 จะไม่มีการกระโดดไป Layer 4 หรอื 5 ได้ จะมกี ารส่ง ขอ้ มูลไลล่ าดับลงมา จากบนลงล่าง จนถงึ Layer 1 แลว้ เช่ือมต่อกับ Layer 1 ในด้านการรับข้อมลู ไลข่ ้นึ ไปจนถงึ Layer 7 ในทางปฏิบตั ิ OSI Model ไดแ้ บ่งลักษณะการทางานออกเป็น 2 กลมุ่ กลมุ่ แรก ได้แก่ 4 ชั้นสอ่ื สารดา้ นบน คอื Layer ท่ี 7, 6, 5 และ 4 ทาหน้าท่เี ชอื่ มตอ่ รับส่ง ข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรมประยกุ ต์ เพื่อให้รบั ส่งข้อมูลกบั ฮาร์ดแวร์ท่ีอยูช่ ้ันล่างได้อยา่ งถูกต้อง เรยี กวา่ Application-oriented layers ซ่งึ จะเกย่ี วขอ้ งกับซอฟท์แวร์เป็นหลัก โดยใน 4 ช้ันบนมกั จะ เปน็ ซอฟทแ์ วร์ของบรษิ ัทใดบริษัทหนงึ่ ในโปรแกรมเดยี ว กลุม่ ทสี่ อง จะเป็นช้ันลา่ ง ได้แก่ Layer ท่ี 3, 2 และ 1 ทาหน้าท่เี ก่ียวกบั การรับส่งขอ้ มูลผ่าน สายส่ง และควบคุมการรับส่งขอ้ มูล ตรวจสอบข้อผิดพลาด รวมทงั้ เลือกเส้นทางในการรบั สง่ ข้อมูล ซึง่ จะเกีย่ วกบั ฮาร์ดแวร์เป็นหลกั เรยี กว่า Network-dependent layers ซึ่งในส่วนของ 3 ชนั้ ล่างสุด หรือ Layer ท่ี 1, 2 และ 3 นัน้ มักจะเก่ยี วข้องกับฮาร์ดแวรแ์ ละ โปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวรเ์ ปน็ หลัก ทาใหส้ ามารถแยกแตล่ ะช้ันออกจากกันได้ง่าย และผลิตภัณฑ์ ของต่างบรษิ ทั กันในแตล่ ะช้ันได้อย่างไมม่ ปี ัญหา

94 OSI Model แบ่งเปน็ 7 ชั้น แตล่ ะชนั้ จะมชี อ่ื เรยี กและหน้าท่ีการทางาน ดังน้ี Layer ที่ 7 Application Layer Application Layer เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของขบวนการับส่ง ข้อมลู ทาหนา้ ท่ีติดต่อกับผใู้ ช้ โดยจะรับคาสัง่ ตา่ งๆ จากผู้ใช้ส่งใหค้ อมพวิ เตอร์แปลความหมาย และทางานตามคาสง่ั ท่ไี ด้รบั ในระดับโปรแกรมประยุกต์ เชน่ การแปลความหมายของการกดปุ่ม บนเมาส์ใหเ้ ป็นคาสงั่ ในการก็อปปไี ฟล์ หรอื ดึงข้อมูลมาแสดงบนจอภาพ เปน็ ตน้ ซง่ึ การแปลคาสั่ง จากผู้ใชส้ ่งใหก้ บั คอมพวิ เตอรร์ บั ไปทางานนี้ จะต้องแปลออกมาถกู ตอ้ งตามกฏ ( Syntax) ที่ใชใ้ น ระบบปฏิบัติการของคอมพวิ เตอรน์ ้ันๆ ตวั อยา่ งเช่น ถ้ามีการก็อปปี้ไฟลเ์ กิดขนึ้ ในระบบ คาสั่งทีใ่ ช้ จะตอ้ งสรา้ งไฟล์ได้ถูกต้อง มีชอ่ื ไฟลย์ าวไมเ่ กินจานวนท่รี ะบบปฏบิ ัติการนั้นกาหนดไว้ รูปแบบของ ชือ่ ไฟล์ตรงตามข้อกาหนด เปน็ ตน้ Layer ท่ี 6 Presentation Layer Presentation Layer เป็นชัน้ ทีท่ าหนา้ ที่ตกลงกบั คอมพิวเตอร์อีกดา้ นหนึ่งในระดับชั้นเดียวกันวา่ การรับสง่ ข้อมูลในระดับโปรแกรมประยกุ ต์จะมี ขั้นตอนและข้อบังคับอย่างไร ขอ้ มูลทร่ี ับสง่ กันใน Layer ที่ 6 จะอยใู่ นรูปแบบของขอ้ มูลชนั้ สูงมกี ฏ ( Syntax) บังคบั แนน่ อน เช่น ในการกก็อปปไ้ี ฟลจ์ ะมขี ้ันตอนย่อยประกอบกัน คือสรา้ งไฟล์ที่ กาหนดขน้ึ มาเสียกอ่ น จากนั้นจึงเปดิ ไฟล์ แลว้ ทาการรับข้อมูลจากปลายทางลงมาเก็บลงในไฟล์ท่ี สร้างขึน้ ใหมน่ ้ี โดยเนอ้ื หาของขอ้ มลู ที่ทาการรบั ส่งระหว่างกัน กค็ ือคาสั่งของขัน้ ตอนย่อยๆขา้ งต้น นัน่ เอง นอกจากน้ี Layer ท่ี 6 ยงั ทาหนา้ ที่แปลคาสั่งที่ได้รบั จาก Layer ท่ี 7 ให้เปน็ คาสง่ั ระดับ ปฏิบตั ิการสง่ ให้ Layer ท่ี 5 ต่อไป Layer ท่ี 5 Session Layer Session Layer ทาหน้าทคี่ วบคุม \"จงั หวะ\" ในการรบั ส่งขอ้ มูล ของคอมพวิ เตอร์ทง้ั สองด้าน ทร่ี บั สง่ แลกเปลีย่ นข้อมลู กันใหม้ ีความสอดคล้องกนั ( Synchronization) และกาหนดวิธที ่ีใช้ในการรับส่งขอ้ มูล เชน่ อาจจะเป็นในการสลับกันส่ง ( Half Duplex) หรอื การรบั สง่ ข้อมูลพรอ้ มกนั ทัง้ สองดา้ น ( Full Duplex) ข้อมูลทร่ี ับส่งใน Layer ท่ี 5 จะ อยู่ในรูป dialog หรอื ประโยคสนทนาโต้ตอบกันระหวา่ งดา้ นรับและด้านสง่ ข้อมลู เช่น เมอ่ื ไดร้ ับ ขอ้ มูลสว่ นแรกจากผูส้ ่ง กจ็ ะตอบโต้กลับให้ผู้สง่ ได้รวู้ ่าไดร้ ับขอ้ มลู ส่วนแรกแล้ว พรอ้ มที่จะรบั ข้อมูล สว่ นถัดไป ซึง่ คล้ายกับการสนนาโตต้ อบกนั ระหว่างผู้รับและผสู้ ง่ นั่นเอง Layer ที่ 4 Transport Layer Transport Layer ทาหนา้ ที่เช่ือมต่อการรับส่งขอ้ มลู ระดับสูง ของ Layer ท่ี 5 มาเปน็ ข้อมูลทร่ี ับสง่ ในระดับฮาร์ดแวร์ เชน่ แปลงค่าหรือชือ่ ของเคร่ือง คอมพวิ เตอร์ในเครือขา่ ยให้เป็น network address พร้อมทั้งเปน็ ชนั้ ทีค่ วบคุมการรับส่งข้อมลู จาก ปลายดา้ นสง่ ถงึ ปลายด้านรับขอ้ มลู ให้ขอ้ มูลมกี ารไหลลื่นตลอดเส้นทางตามจังหวะที่ควบคุมจาก Layer ท่ี 5 โดยใน Layer ท่ี 4 น้ี จะเปน็ รอยต่อระหว่างการรับสง่ ข้อมูลซอฟทแ์ วร์กบั ฮารด์ แวร์การ

95 รบั ส่งขอ้ มลู ของระดับสูงจะถูกแยกจากฮาร์ดแวร์ท่ีใชร้ ับส่งข้อมลู ท่ี Layer ท่ี 4 และจะไม่มีส่วนใด ผูกติดกับฮารด์ แวร์ท่ีใช้รับสง่ ข้อมูลในระดับล่าง ดังนั้นฮารด์ แวร์และซอฟท์แวร์ท่ีใช้ควบคมุ การ รับสง่ ข้อมูลในระดบั ล่างลงไปจาก Layer ท่ี 4 จึงสามารถสบั เปลยี่ น และใช้ขา้ มไปมากบั ซอฟทแ์ วร์ รับส่งข้อมูลในระดับท่ีอยูข่ ้างบน (ต้งั แต่ Layer ท่ี 4 ขน้ึ ไปถงึ Layer ท่ี 7) ไดง้ า่ ย หนา้ ท่ีอกี ประการ หน่งึ ของ Layer ท่ี 4 คือ การควบคุมคุณภาพการรับส่งข้อมูลให้มีมาตรฐานในระดับท่ีตกลงกนั ทัง้ สองฝ่าย และการตัดข้อมลู ออกเปน็ ส่วนย่อย ๆ ใหเ้ หมาะกับลกั ษณะการทางานของฮารด์ แวร์ทใ่ี ช้ ในเครือข่าย เช่น หาก Layer ท่ี 5 ตอ้ งการสง่ ข้อมลู ทม่ี ีความยาวเกนิ กว่าท่ีระบบเครือข่ายท่ีจะสง่ ให้ Layer ท่ี 4 ก็จะทาหน้าท่ีตดั ข้อมูลออกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ แล้วสง่ ไปให้ผู้รบั ขอ้ มูลทไี่ ด้รบั ปลายทางกจ็ ะถูกนามาต่อกันท่ี Layer ท่ี 4 ของด้านผู้รบั และสง่ ไปให้ Layer ท่ี 5 ต่อไป Layer ที่ 3 Network Layer Network Layer ทาหนา้ ที่เชือ่ มตอ่ คอมพวิ เตอร์ด้านรับ และ ด้านส่งเข้าหากันผ่านระบบเครือข่าย พร้อมท้ังเลอื กหรือกาหนดเส้นทางท่จี ะใชใ้ นการรบั สง่ ข้อมลู ระหวา่ งกนั และสง่ ผ่านขอ้ มูลทีไ่ ด้รบั ไปยังอุปกรณใ์ นเครือข่ายตา่ ง ๆ จนกระท่งั ถงึ ปลายทาง ใน Layer ท่ี 3 ขอ้ มลู ท่รี ับสง่ กนั จะอยูใ่ นรูปแบบของกลมุ่ ข้อมูลทเ่ี รยี กวา่ Packet หรอื Frame ข้อมลู Layer ท่ี 4, 5, 6 และ 7 มองเหน็ เป็นคาสัง่ และ Dialog ต่าง ๆ นั้น จะถูกแปลงและผนึกรวมอย่ใู น รปู ของ Packet หรอื Frame ท่มี เี พียงแอดเดรสของผู้รับ , ผูส้ ่ง , ลาดับการรบั สง่ และส่วนของ ขอ้ มูลเทา่ น้ัน หนา้ ที่อกี ประการหนงึ่ คือ การทา Call Setup หรอื เรยี กติดต่อคอมพิวเตอร์ปลายทาง กอ่ นการรบั สง่ ข้อมลู และการทา Call Cleaning หรอื การยกเลกิ การติดต่อคอมพวิ เตอร์เมอ่ื การ รบั สง่ ขอ้ มลู จบลงแลว้ ในกรณีที่มีการรับส่งข้อมลู นน้ั ตอ้ งมกี ารติดต่อกนั กอ่ Layer ที่ 2 Data link Layer Data link Layer เป็นชั้นทที่ าหน้าทเี่ ชอ่ื มต่อการรับส่งขอ้ มูล ในระดับฮาร์ดแวร์ โดยเมื่อมีการส่งั ให้รบั ข้อมลู จากใน Layer ท่ี 3 ลงมา Layer ท่ี 2 จะทาหน้าที่ แปลคาสัง่ นั้นใหเ้ ปน็ คาสัง่ ควบคมุ ฮาร์ดแวร์ท่ีใชร้ บั ส่งข้อมูล ทาการตรวจสอบข้อผิดพลาดในการ รบั ส่งข้อมูลของระดบั ฮาร์ดแวร์ และทาการแก้ข้อผิดพลาดทไ่ี ด้ตรวจพบ ข้อมูลท่ีอย่ใู น Layer ท่ี 2 จะอยู่ในรูปของ Frame เช่น ถา้ ฮาร์ดแวร์ท่ใี ชเ้ ปน็ Ethernet LAN ขอ้ มูลจะมีรูปร่างของ Frame ตามทีร่ ะบไุ ว้ในมาตรฐานของ Ethernet หากวา่ ฮาร์ดแวร์ท่ีใชร้ ับส่งข้อมูลเปน็ ชนิดอ่ืน รูปร่างของ Frame ก็จะเปล่ียนไปตามมาตรฐานนนั่ เอง Layer ท่ี 1 Physical Layer Physical Layer เปน็ ชัน้ ลา่ งสดุ และเป็นช้ันเดียวท่มี ีการ เชอ่ื มต่อทางกายภาพระหวา่ งคอมพวิ เตอร์สองระบบท่ีทาการรบั สง่ ข้อมลู ใน Layer ท่ี 1 น้ีจะมกี าร กาหนดคณุ สมบตั ทิ างกายภาพของฮาร์ดแวร์ทใี่ ชเ้ ช่ือมต่อระหว่างคอมพวิ เตอรท์ ั้งสองระบบ เชน่ สายทใ่ี ช้รับส่งข้อมลู จะเป็นแบบไหน ข้อตอ่ ท่ีใช้ในการรับสง่ ขอ้ มูลมมี าตรฐานอย่างไร ความเรว็ ใน

96 การรับสง่ ข้อมลู เทา่ ใด สญั ญาณทใ่ี ชใ้ นการรบั ส่งข้อมลู มีรปู ร่างอย่างไร ขอ้ มลู ใน Layer ท่ี 1 นจ้ี ะ มองเห็นเป็นการรับส่งข้อมลู ทลี ะบติ เรียงตอ่ ไป 4.6 อปุ กรณเ์ ครือขา่ ย คงมหี ลายๆท่านท่ีคิดจะติดตั้งระบบเครือข่ายเพ่ือใชง้ านภายในบ้านหรือในสานักงานของ ตัวเอง เพราะต้องการแชร์ ทรัพยากรท่ีมอี ยูเ่ ชน่ เครื่องพมิ พ์ ข้อมลู เคร่อื งสแกนและอ่ืนๆ ให้เคร่ือง คอมฯหลายๆเครื่องใชร้ ่วมกัน อกี ทงั้ ตอ้ งการความสะดวกในการติดต่อสอ่ื สารภายในองคก์ รทาง อเี มล์ ซึ่งทา่ นก็ลองคิดดูว่าถ้าทา่ นทางานอยู่ชั้นสี่แลว้ เครื่องพมิ พอ์ ยชู่ น้ั สามถา้ ไม่มรี ะบบเครือข่าย จะทายงั ไงถ้าตอ้ งพิมพง์ าน กค็ งต้อง Save งานใส่แผ่นแลว้ กเ็ ดินลงไปพมิ พท์ ่ชี นั้ สาม เป็นยงั งัย ครบั แค่คิดก็เหนื่อยใช่ม้ัยครับ แลว้ ถ้าอยากมรี ะบบเครอื ขา่ ยจะทายงั งยั ? มีสองทางเลอื กครับ ทางเลือกแรก คือ “จา้ งเขาทา” ง่ายครับขอแตม่ ีเงนิ เป็นพอกท็ าได้ และอีกทางคือ “ทา เอง” ซงึ่ ก็ต้องลงแรง ศึกษาหาข้อมลู ทาการบ้านกันเหนื่อยหน่อยละครบั แต่ส่งิ ท่ีได้กลับมาก็คอื ความรู้ ได้พฒั นาความสามารถ และยงั ได้ความภูมิใจ แต่ก็อย่าลมื เง่ือนไขเรื่องเวลานะครบั เพราะ ถ้าต้องการใช้งานอย่างเร่งด่วน ก็ควรว่าจา้ งผู้รบั เหมาวางระบบ มาจัดการใหด้ ีกวา่ แตเ่ รอ่ื ง การศึกษาหาความรกู้ ็ไม่ควรทิง้ เพราะระบบเมอ่ื ติดต้งั เสร็จใช่ว่าจะจบเลย ยงั ต้องการ การดแู ล รักษาเพื่อใหส้ ามารถทางานรบั ใชท้ ่าน โดยไมม่ ปี ัญหา และสมมุตินะครับสมมุติ ถ้าท่านจะทาเอง แล้วจะทายงั ไง? ไมต่ อ้ งกงั วลครบั ทกุ ปัญหามีคาตอบ เม่อื ท่านคดิ จะทาเอง ก็ต้องหาขอ้ มูลกนั ก่อน เรื่องแรกท่ีจะพูดถงึ เรามาพูดถึงอุปกรณเ์ ครอื ข่ายกัน สาหรับอุปกรณ์เครอื ข่ายน้ันกจ็ ะมีอยู่ หลายๆ แบบไม่วา่ จะเป็น Lan Card, Hub, Switch, Firewalls & Filters, Internet Gateway Routers & LAN Modems, Network Management, Print Server หรืออุปกรณ์ Wireless การ เลือกใช้อุปกรณใ์ นระบบเครือข่ายพวกน้กี ็เป็นอีกปัญหาหนึ่งทีม่ ีหลายคนบ่นกันมากว่าอยากติดตงั้ ระบบเครอื ข่ายไวใ้ ชแ้ ตต่ ิดท่ีตรงเลอื กอปุ กรณ์ในการใชง้ านไมถ่ ูก ไม่ยากครับข้นั แรกท่านผ้อู า่ น จะตอ้ งทราบถึงคุณสมบัติของอปุ กรณ์แต่ชนิดก่อน การ์ดแลน เปน็ อุปกรณ์ที่ทาหน้าท่ีในการรับสง่ ขอ้ มูลจากเคร่ืองคอมฯเคร่อื งหน่งึ ไปสู่อีกเครือ่ งโดยผ่าน สายแลน การ์ดแลนเป็นอุปกรณท์ ีส่ ามารถต่อพ่วงกับพอร์ตแทบทกุ ชนิดของเครอื่ งคอมพิวเตอร์ ไม่ ว่าจะเปน็ ISA, PCI, USB, Parallel, PCMCIA และ Compact Flash ซ่งึ ทเี่ หน็ ใชก้ นั มากท่สี ุดกจ็ ะ เปน็ แบบ PCI เพราะถ้าเทียบราคากบั ประสิทธิภาพแลว้ ถือวา่ ค่อนขา้ งถูก มีหลายราคา ตัง้ แต่ไมก่ ี่ รอ้ ยบาทจนถงึ หลักพัน ส่วนแบบ USB, Parallel, PCMCIA ส่วนใหญ่จะเห็นใชก้ ันมากกับเคร่อื ง

97 โน๊ตบุค๊ เพราะก็อย่างท่ที ราบกนั อยู่ว่าการติดอุปกรณล์ งในพอรต์ ภายใน ของเครื่องโน๊ตบุ๊คเปน็ เรื่องยาก ดงั นั้นการต่ออุปกรณ์ต่อพว่ งจึงต้องอาศัยพอร์ตภายนอกดังทก่ี ล่าวมา ฮับ เปน็ อุปกรณ์ท่ที าหน้าท่ีเสมอื นกับชมุ ทางขอ้ มูล มหี นา้ ทีเ่ ปน็ ตัวกลาง คอยส่งข้อมูลให้ คอมพิวเตอรใ์ นเครือข่าย ซง่ึ ลักษณะการทางาน ใหล้ องนึกถึงภาพการออกอากาศโทรทศั น์ ทีเ่ ม่ือมี เครอื่ งคอมพวิ เตอร์เครอ่ื งใดเครอื่ งหน่ึงกาลังสง่ ขอ้ มลู เครื่องท่ีอยู่บนเครอื ข่ายทกุ เคร่ืองจะได้รับ ขอ้ มูลเหมือนๆ กันทุกเคร่ือง ซง่ึ เมอื่ แต่ละเคร่ืองไดร้ ับข้อมูลกจ็ ะดูว่า เปน็ ข้อมูลของตัวเองไหม ถ้า ใชก่ ็จะรับเขา้ มาประมวลผล ถา้ ไม่ใช่ก็ไม่รบั เขา้ มา ซงึ่ จากากรทางานในลักษณะน้ี ในเครือข่ายท่ีใช้ ฮับเป็นตวั กระจ่ายสญั ญาณ จะสามารถส่งข้อมูลสู่เครือข่ายไดท้ ลี ะเครอ่ื ง ถ้ามคี อมพิวเตอร์เคร่ือง ใดเครื่องหนึ่งกาลังส่งข้อมูล เคร่ืองอน่ื ๆ กต็ ้องรอให้การสง่ ขอ้ มลู เสรจ็ ส้นิ เสยี ก่อน เม่ือ ช่องสญั ญาณว่าง จงึ จะสามารถสง่ ข้อมูลได้ สวิตซ์ สวิตซจ์ ะทาหนา้ ท่ีคลา้ ยฮบั แต่จะเกง่ กว่าตรงทเี่ มอ่ื มกี ารรอ้ งขอโดยเคร่อื งคอมพิวเตอร์ใน เครอื ข่ายเพือ่ ส่งข้อมลู สวิตซ์ก็จะสร้างวงจรเสมอื นขึน้ มาให้เคร่ืองสองเครื่องนี้สง่ ขอ้ มูลถงึ กัน ซ่งึ ชอ่ งสญั ญาณกลางกจ็ ะว่างไว้รองรับการร้องขอส่งข้อมลู จากเครื่องอ่นื ๆ ต่อไป ถ้านึกภาพไมอ่ อก ให้นึกถึงการทางานของสายโทรศัพท์ ที่หลายๆ คสู่ ายสามารถพดู คุยพร้อมๆ กันได้ จาก คณุ ลักษณะนี้ทาให้สามารถสง่ ข้อมูลไดเ้ ร็วกว่าฮับ เพราะแทบจะไม่มกี ารรอใชช้ ่องสัญญาณ เกิดข้ึนในเครือข่ายท่ีใช้สวติ ซ์เป็นตัวกระจายสญั ญาณ และแน่นอนราคาของสวิตซย์ ่อมแพงกว่าฮบั โมเด็ม เปน็ อุปกรณ์ทที่ าหน้าท่ีแปลงสัญญาณให้สามารถส่งผา่ นทางสายโทรศัพท์ สายเช่า และ สายไฟเบอร์ออฟติก แลว้ แต่ประเภทของโมเด็ม ทาใหส้ ามารถสง่ สัญญาณไปได้ไกล ยกตัวอย่าง เช่น การท่ีคณุ ใช้โมเดม็ หมุนโทรศัพท์หาไอเอสพีที่อย่หู ่างออกไปหลายกิโลเมตร เพ่ือจะเข้าส่รู ะบบ อนิ เตอร์เน็ต เราเตอร์ เปน็ อุปกรณ์ที่ทาหน้าทเี่ ลือกเส้นทางในการสง่ ผ่านข้อมลู ทาหนา้ ท่ใี นการหาเส้นทางทด่ี ที ่ีสุด ในขณะนั้น เพอ่ื ลดความเสยี่ งจากการลม้ เหลวในการส่งข้อมูล และเราเตอร์ยังสามารถช่วยเช่อื ม

98 เครอื ข่ายสองเครือข่าย หรอื มากกว่าเข้าดว้ ยกนั เพราะเราเตอรเ์ ปน็ อปุ กรณ์ทีส่ ามารถทางานบน เครอื ข่ายอยา่ งน้อยสองเครือขา่ ยขน้ึ ไป ถา้ จะพดู ถึงราคา พดู แบบนา่ รกั ๆ ก็ตอ้ งพูดว่า โห...แพงจัง เลย สายแลน เม่อื มีวงแลนก็ตอ้ งมีสายแลน สายแลนมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็นสายโคแอคเชียน ยทู พี ี เอสที พี และ ไฟเบอร์ออปติก หรอื แมก้ ระท่งั แบบทีไ่ มใ่ ช้สาย (Wireless LAN ) และแบบท่ีเหน็ ไดบ้ ่อย ที่สุดในปจั จบุ ันที่นิยมใชก้ ัน ก็ไดแ้ กส่ ายแบบ ยูทีพี ท่ใี ช้กับหวั ตอ่ แบบ RJ 45 ซ่ึงจะคลา้ ยๆกับ หวั ต่อของสายโทรศพั ท์ ( ของโทรศัพท์เป็นแบบ RJ11 ) ซ่ึงสายประเภทนจ้ี ะไม่มีการ ชีลด์ ป้องกนั สญั ญาณรบกวน แต่จะใช้วิธีตีเกลียวสายเป็นคู่ๆ 4 คู่ ป้องกนั สัญญาณรบกวน อีกแบบกค็ อื การใช้ วธิ ีสง่ สญั ญาณดว้ ยคล่นื วิทยุย่านความถีส่ งู บางแบบก็ใชอ้ ินฟราเรด จุดเด่นทีเ่ หน็ ได้ชัดคอื เมื่อไม่ ต้องเดินสายทาให้สามารถติดตั้งได้งา่ ย ยา้ ยก็สะดวก แต่ขอ้ ด้อยก็คือปญั หาจากการถูกรบกวน และสัญญาณถกู บงั แถมความเรว็ ในการสง่ ข้อมูลยงั ด้อยกว่าระบบแลนแบบใชส้ ายอยู่ ราคาก็สูง กว่า และที่กาลงั มาแรงในขณะนคี้ อื เทคโนโลยแี บบ Ethernet over VDSL น่าสนใจกันขึ้นมาบ้าง แลว้ ไหมครับ ถา้ สนใจเราก็ไปลยุ กันต่อเลยครับ ในการเช่ือมต่อระบบเครือขา่ ยท่ใี ชๆ้ กันก็มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบระยะใกล้ และแบบระยะไกล เอาเปน็ วา่ เรามาเร่ิมต้นการเลือกใช้อปุ กรณ์ระบบ เครือข่ายแบบระยะใกล้ 4.7 รูปรา่ งเครอื ข่าย โทโพโลยี หมายถึง รปู แบบการเชือ่ มต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณค์ อมพวิ เตอร์ เข้าด้วยกนั ให้ เปน็ เครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ซึ่งในการกลา่ วถงึ โทโพโลยจี ะกลา่ วถงึ ใน 2 ลกั ษณะ คือ โทโพโลยที าง ตรรกะ (logical topology) และโทโพโลยีทางกายภาพ (Physical Topology) โทโพโลยีทางตรรกะ แสดงถงึ การเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์ต่างๆของเครือข่ายเป็นแผนภาพ ส่วนโทโพโลยีทางกายภาพ หมายถึงการเช่ือมโยงทางกายภาพของเครื่องคอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณ์ ต่างๆ ซง่ึ เปน็ การเชอื่ มโยงทางวงจรอเิ ล็กทรอนกิ ส์ โทโพโลยีทั่วไปในเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรม์ กั จะ หมายถึงโทโพโลยที างตรรกะ ซ่ึงมรี ปู แบบการเช่ือมโยงหลายรูปแบบรูปแบบทสี่ าคัญมีดงั น้ี การเช่อื มโยงแบบสมบูรณ์ (Complete Interconnect) การเชอ่ื มโยงแบบสมบูรณ์ เปน็ การ เชอ่ื มโยงคอมพวิ เตอร์ทุกเครื่องในเครือข่ายเขา้ ด้วยกันแบบจุดตอ่ จุด ดงั แสดงในรูปภาพการ เชอื่ มโยงแบบนี้ทาให้มีความเร็วในการส่ือสารข้อมูลสูงโปรแกรมทใี่ ชใ้ นการควบคุม การส่อื สารก็ เปน็ แบบพ้ืนฐานไม่ซบั ซ้อนมากนัก และไม่จาเปน็ ต้องมหี นว่ ยประมวลผลกลาง การสื่อสารในการ

99 เลือกเสน้ ทางส่ือสารเน่ืองจากเป็นการเชื่อมโยงโดยตรงถึงเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่อง การ เช่อื มโยงแบบนี้มีความเชื่อมั่นในการสื่อสารสูง และหากได้เพิ่มหนว่ ยประมวลผลการส่ือสารเข้าไป ในระบบอีก จะทาใหก้ ารสือ่ สารเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพมากย่งิ ข้นึ โครงสร้างเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY) การนาเครื่องคอมพวิ เตอรม์ าเชอ่ื มต่อกนั เพื่อประโยชน์ของการสื่อสารน้ัน สามารถกระทาได้ หลายรปู แบบ ซ่งึ แต่ละแบบกม็ จี ุดเดน่ ท่แี ตกต่างกนั ไป โดยทว่ึ ไปแล้วโครงสร้างของเครอื ข่าย คอมพิวเตอร์สามารถจาแนกตามลักษณะของการเชื่อมต่อดงั ต่อไปน้ี 1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอรแ์ บบบัส (bus topology) 2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology) 3. โครงสรา้ งเครือข่ายคอมพิวเตอรแ์ บบดาว (star topology) credit: http://www.thaigoodview.com/node/43402

100 บทท่ี 5 อนิ เทอรเ์ น็ต 5.1 อินเทอรเ์ นต็ เป็นเครือข่ายขนาดใหญท่ ีเ่ ชือ่ มต่อเครือข่ายคอมพิวเตอรข์ ององค์กรธุรกจิ หน่วยงานของ รฐั บาลสถานศึกษา ตลอดจนเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์สว่ นบุคคลเขา้ ไว้ดว้ ยกัน ทาใหข้ อ้ มูล สารสนเทศ สนิ ค้าและบริการทน่ี าเสนอผา่ นเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์เหลา่ น้ีสามารถ เขา้ ถึงไดจ้ าก คอมพวิ เตอร์หรืออุปกรณ์อน่ื ๆ จากที่ต่างๆ ไม่วา่ จะเป็นบา้ น สานกั งาน โรงเรียน ชายทะเล หรือ อาหารทั่วโลก ในปัจจบุ ันมีคนจากทั่วโลกนับพนั ลา้ นคนทีเ่ ขา้ ถงึ บริการบนอนิ เทอร์เน็ต เชน่ เวิลดไ์ วดเ์ ว็บ อีเมล (e-mail) พาณชิ อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) หอ้ งคุย (chat room) การส่งสารทันที


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook