47 บทท่ี 2 กฎหมายเกีย่ วกับธุรกิจการเกษตร สาระสําคัญ ประโยชนและความสําคัญเกี่ยวกับกฎหมาย กฎหมายทีด่ นิ กฎหมายเก่ียวกบั สหกรณ กฎหมายเกี่ยวกบั การชลประทาน พระราชบัญญตั โิ รคระบาดสตั ว พระราชบัญญตั ิกกั กนั พชื พระราชบญั ญตั กิ ักกันสัตว นิตกิ รรม และสญั ญาตาง ๆ การจัดการหนี้ และการชําระหน้ี ผลการเรยี นรูท ่คี าดหวงั มีความรู ความเขาใจ ในการจดั การอาชพี อยางมคี ุณธรรม มีความรู ความเขา ใจ ในการพัฒนาอาชพี ใหม คี วามมั่นคง ขอบขายเนอ้ื หา - กฎหมายเกย่ี วกบั ธรุ กิจการเกษตร
48 ความรูเบือ้ งตนเก่ียวกับกฎหมาย กฎหมาย เปน กฎเกณฑ ขอ บงั คบั ทใ่ี ชค วบคมุ ความประพฤตขิ องมนษุ ยใ นสงั คม กฎหมาย มลี กั ษณะเปน คาํ สงั่ ขอ หา ม ทมี่ าจากผมู อี าํ นาจสงู สดุ ในสงั คมใชบ งั คบั ไดท วั่ ไป ใครฝา ฝน จะตอ งไดร บั โทษหรอื สภาพบงั คบั อยา ง ใดอยา งหนึ่งระบบกฎหมายในปจจุบันแบง ออกเปน 4 ระบบ ไดแก ระบบกฎหมาย ไมเปนลายลกั ษณอ กั ษร ระบบกฎหมายลายลกั ษณอ กั ษร ระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม และระบบกฎหมายศาสนา กฎหมายแตล ะระบบยอ ม มที มี่ าแตกตา งกนั การแบง ประเภทของกฎหมาย อาจแบง ไดห ลายลกั ษณะ ขน้ึ อยกู บั วา จะยดึ อะไรเปน หลกั เกณฑ ในการแบง มนุษยจําเปนตองมีกฎหมายเปนกฎเกณฑในการอยูรวมกัน เพ่ือใหสังคม เกิดความเปนระเบียบ เรียบรอ ยและสงบสุข กฎหมายคืออะไร มนุษยเ ปน สัตวส ังคม โดยธรรมชาตแิ ลว มนษุ ยไ มส ามารถทจี่ ะดาํ รงชวี ติ อยคู นเดยี วได จึงตองรวมกันอยูเปนหมูเปนพวก เปนกลุมเปนกอน เริ่มจากสังคมเล็ก ๆ ระดับครอบครัว ตอมาเมื่อมนุษยมี จํานวนมากข้ึนก็รวมกันเปนเผาเปนกลุมชนและสุดทายเผาที่มีสายพันธุเดียวกันก็รวมเขาดวยกันกลายเปนกลุม ชนใหญข นึ้ จนกลายเปน รฐั เปน ประเทศ การทมี่ นษุ ยม าอยรู วมกนั เปน จาํ นวนมาก จาํ เปน ทตี่ อ งมกี ารตดิ ตอ กนั เพื่อแลกเปล่ียนปจจัยในการดํารงชีวิต บางครั้งมนุษยก็มีความตองการที่จะทําอะไร ๆ ตามใจตนเองบาง ซงึ่ การกระทาํ นนั้ อาจเปน เหตทุ าํ ใหผ อู นื่ ไมพ อใจ จนเกดิ ความขดั แยง วนุ วายขน้ึ มาได มนษุ ยจ งึ ตอ งสรา งกฎเกณฑ ตา ง ๆ ขนึ้ เพอื่ ใชค วบคมุ ความประพฤตขิ องสมาชกิ ในสงั คมใหเ ปน ไปในทาํ นองเดยี วกนั เพอื่ ใหส งั คมเปน ระเบยี บ เรียบรอยสงบสุข กฎเกณฑตาง ๆ เหลาน้ี เรียกวา บรรทัดฐานทางสังคม (Social Norms) ประกอบดวย 1. วถิ ชี าวบา น (Folkways) เปน กฎเกณฑค วามประพฤตทิ อ่ี ยใู นรปู ของประเพณนี ยิ ม ทสี่ มาชกิ ในสงั คม ปฏบิ ตั สิ ืบตอกนั มา ถาใครไมป ฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะถกู ตฉิ นิ นินทาวา รา ย เชน การแตง กาย กิริยามารยาททางสงั คมใน โอกาสตา ง ๆ เปนตน 2. จารีต (Mores) เปน กฎเกณฑค วามประพฤตทิ ย่ี ดึ หลกั ความดีความช่ัว กฎเกณฑทางศาสนา เปนเร่อื ง ของความรูสึกวาสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก หากใครละเมิดฝาฝนจะไดรับการตอตานจากสมาชิกในสังคมอยางจริงจัง อาจถูกกีดกันออกจากสังคม หรือไมมีใครคบคาสมาคมดวย เชน การลักเล็กขโมยนอย การเนรคุณบิดามารดา หรอื ผมู ีพระคุณ เปน ตน 3. กฎหมาย (Laws) เปน กฎเกณฑค วามประพฤตทิ มี่ กี ารบญั ญตั ไิ วอ ยา งชดั เจน แนน อน วา กระทาํ อยา งไร เปน ความผดิ ฐานใด จะไดร ับอยางไร เชน ผูใ ดฆาผอู น่ื ตอ งระวางโทษประหารชวี ติ เปนตน กฎเกณฑข องความประพฤตทิ ง้ั สามประการดงั กลา วสองประการแรกไมไ ดม กี ารบญั ญตั ไิ วอ ยา งชดั เจน การลงโทษผูละเมิดฝาฝนก็ไมรุนแรง ประการท่ีสาม กฎหมายจึงเปนส่ิงที่สําคัญท่ีสุด ใชไดผลมากที่สุด ในการ ควบคุมความประพฤติของมนุษย ดังนั้นสังคมมนุษยทุกสังคมจึงจําเปนตองมีกฎหมาย เปนกฎเกณฑในการอยู รว มกัน ดังคํากลา วทวี่ า “ท่ีใดมสี ังคมทนี่ ัน่ มกี ฎหมาย”
49 ความหมายของกฎหมาย กฎหมาย หมายถงึ คาํ สง่ิ หรอื ขอ บงั คบั ของรฐั ซง่ึ บญั ญตั ขิ น้ึ เพอ่ื ใชค วบคมุ ความประพฤตขิ องบคุ คลซงึ่ อยู ในรัฐหรือในประเทศของตน หากผูใดฝาฝนไมประพฤติปฏิบัติตาม ก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ หรือไดรับผล เสยี หายนัน้ ดว ย ลักษณะของกฎหมาย การปกครองประเทศใหเกิดความเปน ระเบยี บเรียบรอ ยสงบสขุ นั้น รัฐจําเปน จะตอ งออกคําสงั่ ขอบงั คบั ตา ง ๆ มากมาย คาํ สัง่ ขอบงั คับเหลา น้นั มไิ ดเ ปน กฎหมายทุกฉบบั คาํ สง่ั ขอบงั คบั ของรฐั ทีจ่ ะถือวาเปนกฎหมาย ไดนั้น ตอ งประกอบดวยลักษณะดังตอ ไปน้ี 1. มาจากรฏั ฐาธปิ ต ย หมายความวา ผทู จี่ ะออกกฎหมายไดน น้ั ตอ งเปน ผทู มี่ อี าํ นาจสงู สดุ ในประเทศ ซง่ึ จะเปน ใครนั้นตอ งแลวแตส ถานการณห รือรปู แบบการปกครองประเทศไทยสมัยสมบรู ณาญาสิทธิราช พระมหา กษัตริยทรงมีอํานาจสิทธิ์ขาดในการปกครอง และการออกกฎหมายแตเพียงผูเดียว ปจจุบันเราใชการปกครอง แบบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ เ ปน ประมขุ รฐั ธรรมนญู บญั ญตั ใิ หอ าํ นาจอธปิ ไตยซง่ึ เหน็ อาํ นาจสงู สดุ ใน การปกครองประเทศเปนของปวงชนชาวไทย และบัญญัติใหพระมหากษัตริยทรงใชอํานาจนิติบัญญัติ ซ่ึงเปน อาํ นาจในการออกกฎหมายโดยความเหน็ ชอบของรฐั สภา ในสถานการณท ม่ี กี ารปฏวิ ตั ยิ ดึ อาํ นาจการปกครอง ประเทศ หัวหนาคณะปฏิวัติก็มีอํานาจออกกฎหมายไดเพราะเปนผูที่มีอํานาจสูงสุดในขณะน้ัน จะเห็นไดวา ทุกวนั นย้ี งั มปี ระกาศคณะปฏวิ ตั ิหลายฉบบั ทย่ี ังบังคบั ใชเปนกฎหมายอยู 2. เปน คาํ สงั่ ขอ หา ม ขอ บงั คบั ทตี่ อ งปฏบิ ตั ติ าม หมายความวา กฎหมายไมใ ชค าํ ขอรอ ง หรอื แถลงการณ เมือ่ ประกาศใชแลว ประชาชนทุกคนตองปฏบิ ัตติ าม ถึงแมว าจะขดั ตอ ผลประโยชนห รอื ไมเห็นดวย กต็ องยอมรับ จะปฏิเสธไมได เชน กฎหมายบงั คบั ใหเ สียภาษี บังคับใหต อ งรบั ราชการทหาร เปน ตน 3. ใชไ ดท ่วั ไป หมายความวา กฎหมายเมอ่ื ประกาศใชแ ลว จะมีผลใชบังคับไดกบั ประชาชนทุกคนไมวา จะเปนเดก็ ผใู หญ ผูชาย ผูหญงิ คนรวย คนจน ขา ราชการ แมแ ตพระมหากษัตริยห รือเชอ้ื พระราชวงศก ็ตาม และใชไดทั่วไปทุกพ้ืนทใี่ นอาณาเขตประเทศไทย 4. ใชไดเสมอไป หมายความวา กฎหมายเมอ่ื ประกาศใชแ ลว จะมผี ลใชบงั คบั ไดต ลอดไป ไมว า จะเกาแก ลา สมยั หรือนานเทาใดกต็ าม จนกวาจะมีการยกเลกิ 5. มีสภาพบังคับ หมายความวา กฎหมายเม่ือประกาศใชแลว ผูที่ไมปฏิบัติตามจะตองถูกลงโทษ หรือตกอยูในสภาพบังคับอยางใดอยางหนึ่งเสมอ อาจจะหนักบาง เบาบางแลวแตความผิดในกฎหมายอาญา สภาพบงั คับเรยี กวา โทษ มีอยู 5 ประการ คอื ประหารชวี ิต จาํ คกุ กักขัง ปรบั และรบิ ทรัพย ในกฎหมายแพง สภาพบงั คบั ขึ้นอยูกับการกระทาํ ความผิด เชน บังคบั ใหช าํ ระหนี้ ชดใชค าเสียหาย หรอื เสียดอกเบ้ยี เปนตน นอกจากนี้ในกฎหมายอ่ืน ๆ ก็อาจมีสภาพบังคับอ่ืน ๆ อีกก็ได เชน ขาราชการที่ทําผิดวินัย อาจถูก ตดั เงินเดือน สัง่ พกั ราชการ ใหออก ปลดออกหรือไลอ อก เปน ตน
50 ความสําคัญและความจาํ เปน ที่จะตองรูกฎหมาย ดังไดกลาวมาแลววา กฎหมายเปนบรรทัดฐานทางสังคมอยางหน่ึง ซึ่งเปนกฎเกณฑท่ีใชบังคับความ ประพฤติของสมาชิกในสังคมใหเปนไปในทํานองเดียวกัน ทําใหสังคมมีระเบียบ วินัย และสงบเรียบรอย หากไมมีกฎหมาย มนุษยซึ่งมักจะชอบทําอะไรตามใจตนเอง ถาตางตนตางทําตามใจและการกระทําน้ันทําใหผู อ่ืนไดรับความเสียหาย ก็จะเกิดปญหา ความขัดแยง มีการลางแคนไดโตตอบกันไปโตตอบกันมาไมมีท่ีสิ้นสุด เพราะไมมีกฎหมายเขาไปจัดการใหความเปนธรรม ในท่ีสุดสังคมน้ันประเทศนั้นก็จะลมสลายไมสามารถดํารง อยไู ด ปจ จบุ นั นใ้ี นชวี ติ ประจาํ วนั ของเรา ไมว า ใครจะทาํ อะไรกจ็ ะตอ งมกี ฎหมายเขา มาเกยี่ วขอ งดว ยตลอดเวลา เชน เมื่อมีคนเกิดก็ตองแจงเกิด ตองตั้งชื่อ ตองเขาโรงเรียน อายุครบ 15 ปบริบูรณก็ตองไปทําบัตรประจําตัว ประชาชน นกั เรียนท่อี ายุยา งเขาปที่ 18 ตองไปลงบญั ชีทหารกองเกิน การสมรสอยกู นิ เปน ครอบครัว การกยู ืม เงนิ ซอ้ื ขาย การทําสัญญาตา ง ๆ เหลา นลี้ ว นตองปฏิบตั ิตามทีก่ ฎหมายกําหนดไวทง้ั ส้ิน รัฐธรรมนูญกําหนดใหประชาชนมีหนาท่ีปฏิบัติตามกฎหมาย การรูกฎหมาย จึงจําเปนอยางยิ่ง เพราะเปน ประโยชนแกป ระชาชนทุกคน ท่จี ะไดท ราบถงึ ของเขตของสทิ ธิ และหนา ทขี่ องตน ตลอดจนขอ ปฏิบตั ิ ตาง ๆ ตามท่ีกฎหมายกําหนด เม่ือรูกฎหมายก็จะไดไมทําผิดกฎหมาย และไมถูกผูอ่ืนเอารัดเอาเปรียบโดยใช กฎหมายเปน เครอื่ งมือ การทําผิดกฎหมาย หรอื ปญ หาขอ ขดั แยง ขอ พิพาทตาง ๆ ท่ีเกิดข้นึ ระหวางประชาชน ดวยกันเอง หรือประชาชนกับขาราชการซ่ึงเปนเจาหนาที่ของรัฐ ตามเปนขาวฟองรองกันไมเวนแตละวันน้ัน มีสาเหตุมาจากความไมรูกฎมายทั้งสิน และเมื่อกระทําความผิดแลวจะกลาวอางแกตัววาที่กระทําลงไปนั้นเปน เพราะไมรกู ฎหมาย เพ่ือใหคนหลดุ พน จากความรบั ผิดก็ไมได ถงึ แมว าจะไมรกู ฎหมายจรงิ ๆ กต็ าม เนื่องจากใน ทางกฎหมายมีหลักเกณฑสําคัญประการหนึ่งวา “ความไมรูกฎหมายไมเปนขอแกตัว” เพราะถาหากวาใหมี การกลาวอางแกตัวได ทุกคนก็จะแกตัววาไมรูกฎหมายกันหมด เพื่อใหคนหลุดพนจากความรับผิด ในที่สุด กฎหมายก็จะขาดความศกั ด์สิ ิทธ์ิ และบงั คบั ใชก ับใครไมไดอ ีกตอ ไป ประเภทของกฎหมาย การแบงประเภทของกฎหมาย อาจแบง ไดหลายลกั ษณะ ข้นึ อยูก บั ผูแบงวาจะใชอ ะไรเปน หลัก แตโดย ท่ัวไปแลวเราจะแบงอยางคราว ๆ กอนโดยแบงกฎหมายออกเปนสองประเภทใหญ ๆ ไดแก กฎหมายภายใน ซง่ึ เปน กฎหมายทบี่ ญั ญตั ขิ น้ึ ใชโ ดยองคก รทมี่ อี าํ นาจภายในรฐั หรอื ประเทศ และกฎหมายภายนอก ซง่ึ เปน กฎหมาย ท่บี ัญญัตขิ ้นึ จากสนธิสัญญา หรอื ขอตกลงระหวา งประเทศกฎหมายภายใน และกฎหมายภายนอก ยังอาจแบง ยอ ยไดอ กี หลายลกั ษณะ ตามหลกั เกณฑท แี่ ตกตา งกนั ดงั นก้ี ฎหมายภายใน แบง ไดห ลายลกั ษณะตามหลกั เกณฑ ดงั น้ี 1. ใชเนื้อหาของกฎหมายเปนหลักเกณฑการแบง แบงกฎหมายออกเปน 2 ประเภท คือ 1.1 กฎหมายลายลกั ษณอ กั ษรไดแ กตวั บทกฎหมายตา งๆทบ่ี ญั ญตั ขิ น้ึ เปน ลายลกั ษณอ กั ษรโดย
51 องคก รทม่ี อี าํ นาจตามกระบวนการนิติบญั ญัติ เชน รฐั ธรรมนญู ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย พระราชบญั ญัติตาง ๆ ฯลฯ เปน ตน 1.2 กฎหมายไมเ ปน ลายลกั ษณอ กั ษรไดแ กจารตี ประเพณตี า งๆทน่ี าํ มาเปน หลกั ในการพจิ ารณา ตดั สนิ คดีความ ดังไดก ลา วมาแลวในเร่ืองทมี่ าของกฎหมาย ซ่ึงในประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยของไทยก็มี บทบัญญตั ิไวในมาตรา 4 วรรค 2 วา “เม่อื ไมม บี ทกฎหมายใดทจี่ ะยกมาปรับแกค ดไี ด ทานใหวนิ ิจฉัยคดีนน้ั ตาม คลองจารตี ประเพณีแหงทอ งถ่นิ ” 2. ใชส ภาพบงั คบั กฎหมายเปนหลกั ในการแบง แบงกฎหมายออกเปน 2 ประเภท คือ 2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ไดแก กฎหมายตาง ๆ ท่ีมีโทษตามบัญญัติไวใน ประมวลกฎหมายอาญา เชน ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติยาเสพติดใหโทษ พระราชบัญญัติรับ ราชการทหาร ฯลฯ เปน ตน 2.2 กฎหมายทมี่ สี ภาพบงั คบั ทางแพง สภาพบงั คบั ทางแพง มไิ ดม บี ญั ญตั ไิ วช ดั เจนเหมอื นสภาพ บังคับทางอาญา แตก็อาจสังเกตไดจากประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย เชน การบังคับชําระหน้ี การชดใช คาเสียหาย หรืออาจสังเกตไดอยางงาย ๆ คือ กฎหมายใดที่ไมมีบทบัญญัติกําหนดโทษทางอาญา ก็ยอมเปน กฎหมายท่มี ีสภาพบังคบั ทางแพง 3. ใชบทบาทของกฎหมายเปนหลักเกณฑในการแบง แบง กฎหมายออกเปน 2 ประเภท คอื 3.1 กฎหมายสารบัญญัติ ไดแ ก กฎหมายท่กี ลาวถงึ การกระทาํ ตาง ๆ ท่ีเปนองคประกอบของ ความผดิ โดยทวั่ ไปแลว กฎหมายสวนใหญ จะเปน กฎหมายสารบญั ญตั ิ 3.2 กฎหมายวธิ สี บญั ญตั ิ ไดแ ก กฎหมายทก่ี ลา วถงึ วธิ กี ารทจ่ี ะนาํ กฎหมายสารบญั ญตั ไิ ปใชว า เม่อื มีการทาํ ผิดบทบญั ญตั ิกฎหมาย จะฟอ งรองอยางไร จะพิจารณาตัดสนิ อยางไร พูดใหเขาใจงาย ๆ กฎหมาย วิธีสบญั ญตั กิ ค็ อื กฎหมายทีก่ ลา วถงึ วธิ กี ารเอาตัวผูก ระทาํ ผดิ ไปรับสภาพบังคบั น่นั เอง เชน ประมวลกฎหมายวธิ ี พจิ ารณาความอาญา กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความในศาลแขวง กฎหมายวธิ พี จิ ารณา คดีเยาวชนและครอบครัว เปนตน 4. ใชค วามสมั พนั ธร ะหวา งรฐั กบั ประชาชนเปน หลกั เกณฑใ นการแบง แบง กฎหมายออกเปน 2 ประเภท คอื 4.1 กฎหมายเอกชน ไดแ ก กฎหมายทบี่ ญั ญตั ถิ งึ ความสมั พนั ธร ะหวา งประชาชนดว ยกนั โดยทรี่ ฐั ไมเขามาเก่ียวของ เชน ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จํากัด เปนตน 4.2 กฎหมายมหาชน ไดแ ก กฎหมายทบ่ี ญั ญตั ถิ งึ ความสมั พนั ธร ะหวา งรฐั กบั ประชาชน ในฐานะ ทร่ี ฐั เปน ผปู กครอง จงึ ตอ งมอี าํ นาจบงั คบั ใหป ระชาชนปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย เพอ่ื ใหเ กดิ ความเปน ระเบยี บเรยี บรอ ย และสงบสขุ เชน รัฐธรรมนญู ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบญั ญตั ิคมุ ครองผบู รโิ ภค พระราชบัญญัติปอ งกัน การคากาํ ไรเกนิ ควร หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความตา ง ๆ เปน ตน
52 กฎหมายภายนอก กฎหมายภายนอก หรอื กฎหมายระหวางประเทศ แบงออกเปน 3 ประเภทคอื 1. กฎหมายระหวางประเทศแผนกคดีเมือง ไดแก กฎเกณฑ ขอบังคับที่วาดวยความสัมพันธระหวาง รัฐตอรัฐที่จะปฏิบัติตอกัน เมื่อมีความขัดแยงหรือเกิดขอพิพาทข้ึน เชน กฎบัตรสหประชาชาติ หรือไดแก สนธสิ ญั ญา หรอื เกดิ จากขอ ตกลงทว่ั ไป ระหวา งรฐั หนง่ึ กบั รฐั หนงึ่ หรอื หลายรฐั ทเี่ ปน คปู ระเทศภาคี ซงึ่ ใหส ตั ยาบนั รวมกนั แลวกใ็ ชบังคบั ได เชน สนธสิ ญั ญาไปรษณยี สากล เปนตน 2. กฎหมายระหวางประเทศแผนกคดบี ุคคล ไดแก บทบญั ญตั ทิ ี่วาดวยความสมั พันธร ะหวา งบคุ คลรฐั หน่ึงกับอีกรัฐหนึ่ง เม่ือเกิดความขัดแยง ขอพิพาทข้ึน จะมีหลักเกณฑวิธีการพิจารณาตัดสินคดีความอยางไร เพอื่ ไมใ หเ กดิ ความไดเ ปรยี บเสยี เปรยี บกนั เชน ประเทศไทยเรามี พระราชบญั ญตั วิ า ดว ยการขดั กบั แหง กฎหมาย ซง่ึ ใชบังคบั กับบคุ คลท่ีอยใู นประเทศไทยกบั บุคคลทอี่ ยูในประเทศอน่ื ๆ 3. กฎหมายระหวางประเทศแผนกคดีอาญา ไดแ ก สนธิสัญญา หรอื ขอ ตกลงเกย่ี วกับการกระทาํ ความ ผดิ ทางอาญาซงึ่ ประเทศหนงึ่ ยนิ ยอมหรอื รบั รองใหศ าลของอกี ประเทศหนง่ึ มอี าํ นาจพจิ ารณาตดั สนิ คดแี ละลงโทษ บคุ คลประเทศของตนทไี่ ปกระทาํ ความผิดในประเทศนนั้ ได เชน คนไทยไปเทยี่ วสหรัฐอเมริกาแลวกระทําความ ผดิ ศาลสหรฐั อเมรกิ าก็พจิ ารณาตดั สนิ ลงโทษได หรือบุคคลประเทศหนงึ่ กระทําความผดิ แลวหนไี ปอกี ประเทศ หนึ่ง เปนการยากลําบากท่ีจะนําตัวมาลงโทษได จึงมีการทําสนธิสัญญาวาดวยการสงตัวผูรายขามแดน เพ่ือให ประเทศทผ่ี กู ระทาํ ความผดิ หนเี ขา ไปจบั ตวั สง กลบั มาลงโทษ ซงึ่ ถอื วา เปน การรว มมอื กนั ปราบปรามอาชญากรรม ปจจบุ ันน้ปี ระเทศไทยทําสนธสิ ัญญาสง ตัวผูร ายขา มแดนกลบั องั กฤษ สหรฐั อเมริกา เบลเยีย่ ม และอิตาลี ฯลฯ เปนตน องมนษุ ยใ นสังคม กฎหมาย มลี กั ษณะเปนคาํ ส่งั ขอหาม ทมี่ าจากผูมอี าํ นาจสงู สดุ ในสั ประโยชนของกฎหมาย ประโยชนของกฎหมายอาจจะแบงออกไดเปนหลาย ๆ ขอ ท้ังสามารถนําเอากฎหมายมาแยกแยะ ประโยชนดังน้ี 1. สรางความเปนธรรม หรือความยุติธรรมใหแกสังคม เพราะกฎหมายเปนหลักกติกาท่ีทุกคน จะตอ งปฏบิ ตั เิ สมอภาค เทา เทยี มกนั เมอ่ื การปฏบิ ตั ขิ องบคุ คลใดบคุ คลหนงึ่ เอาเปรยี บคนอน่ื ขาดความ ยตุ ธิ รรม กฎหมายกจ็ ะเขา มาสรา งความยตุ ธิ รรม ยตุ ขิ อ พพิ าทไมใ หเ กดิ การเอารดั เอาเปรยี บกนั ดงั ทเี่ รา เรยี กกนั วา ยตุ ธิ รรม สงั คมกจ็ ะไดร บั ความสขุ จากผลของกฎหมายในดานน้ี 2. รูจักสทิ ธิหนา ท่ขี องตัวเองที่จะปฏิบตั ิตอสงั คม 3. ประโยชนในการประกอบอาชีพ เชน การเปน ทีป่ รึกษาทางกฎหมาย การเปน ทนายความ อยั การ ศาล ทั้งจะเปนประโยชนต อ สังคม โดยตางฝา ยตา งชว ยกนั รักษาความถกู ตอง ความยุตธิ รรม ใหเกดิ ข้ึนในสังคม 4. ประโยชนในทางการเมืองการปกครอง เพราะถาประชาชนรูกฎหมายก็จะเปนการเสริมสราง ความมนั่ คงของการปกครอง และการบรหิ ารงานทางการเมอื ง การปกครอง ประโยชนส ขุ กจ็ ะตกอยกู บั ประชาชน
53 5. รกั ษาความสงบเรียบรอยของบา นเมือง และศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะกฎหมาย ทีด่ ีน้ัน จะตอ งใหค วามคมุ ครองแกป ระชาชนเทา เทยี มกนั ประชาชนกจ็ ะเกดิ ความผาสกุ ปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส นิ สรา งความสัมพนั ธท ี่ดตี อครอบครวั ตอ บุคคลอ่นื และตอประเทศชาติ กฎหมายทดี่ นิ ท่ีดินเปนทรัพยอันมีคาท่ีทุกคนหวงแหนเปนพื้นฐานของครอบครัวและประเทศชาติเปนทรัพยากร ธรรมชาติท่ีมีความสําคัญยิ่งตอการดํารงชีวิตมนุษยสําหรับใชเพื่ออยูอาศัยและเพื่อประโยชนอื่นๆดังน้ันระเบียบ การเกยี่ วกบั ทด่ี นิ จงึ มคี วามละเอยี ดออ นมากเพอ่ื ใหป ระชาชนผสู จุ รติ ไดม โี อกาสทาํ ความเขา ใจกบั เรอื่ งทดี่ นิ ทเ่ี กยี่ ว กับชีวิตประจําวันบางสวนไวบางจึงไดรวบรวมขอควรทราบและทางปฏิบัติเกี่ยวกับท่ีดินซ่ึงจะไดกลาวตอไปตาม ลําดับ ท่ีดิน หมายความวา พืน้ ทดี่ ินท่วั ไปและใหห มายความรวมถึงภเู ขา หวย หนองคลองบงึ ทะเลสาบ เกาะ และที่ชายทะเลดวย (ประมวลกฎหมายท่ีดิน มาตรา 1) คําวาท่ีดินมิไดหมายถึงเนื้อดินอันเปนกรวดทราย โคลน เลนแตห มายถงึ อาณาเขตอนั จะพงึ วดั ไดเ ปน สว นกวา งสว นยาวอนั ประจาํ อยแู นน อนบนพน้ื ผวิ โลก เปน สว น หนง่ึ ของผวิ พน้ื โลกอนั มนษุ ยจ ะพงึ อาศยั กรวดทราย หนิ ดนิ โคลน แรธ าตทุ อี่ าจจะขดุ ขน้ึ มามใิ ชต วั ทด่ี นิ หากเปน ทรพั ยท ป่ี ระกอบเปน อนั เดยี วกบั ทด่ี นิ ทดี่ นิ นนั้ จงึ เปน สง่ิ ไมอ าจทาํ ลายทาํ ใหส ญู หาย หรอื เคลอ่ื นยา ยอยา งใดๆ ได เวนแตจะเปล่ียนสภาพไปเชนเปล่ยี นสภาพเปน ทางนา้ํ สาธารณะ ประเภททีด่ ิน 1. ทดี่ นิ ของเอกชนรวมทด่ี นิ ทยี่ งั ไมม หี นงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธิ แตอ าจมหี ลกั ฐานแบบแจง การครอบ ครอง(ส.ค.1) หนงั สอื รับรองการทําประโยชน (น.ส.3,น.ส.3 ก.)ผคู รอบครองที่ดนิ ดงั กลาวมีเพียงสิทธคิ รอบครอง เทาน้ันและรวมถึงทด่ี นิ มีหนงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธเิ ชน โฉนดทด่ี นิ โฉนดแผนที่ โฉนดตราจองและตราจองท่ี ตราวาไดทําประโยชนแลว 2. ทด่ี นิ ของรฐั ไดแ กท ดี่ นิ ทร่ี ฐั หรอื หนว ยงานของรฐั เปน ผถู อื กรรมสทิ ธริ วมทงั้ ทด่ี นิ รกรา งวา งเปลา ซงึ่ มไิ ด มีผูใดครอบครองเปนเจาของ และสาธารณสมบัติของแผนดินสาธารณสมบัติของแผนดิน คือทรัพยสินทุกชนิด ของแผนดินซึ่งใชเพื่อสาธารณประโยชนหรือสงวนไวเพ่ือประโยชนรวมกันเชนท่ีดินรกรางวางเปลาและท่ีดินท่ีมี ผูเวนคืนหรือทอดท้ิงกลับมาเปนของแผนดินโดยประการอ่ืนตามกฎหมายท่ีดินทรัพยสินสําหรับพลเมืองใชรวม กัน เชน ทางหลวง ทางนา้ํ ทะเลสาบทรพั ยส ินใชเ พื่อประโยชนของแผนดนิ โดยเฉพาะเชน ศาลากลางจังหวดั โรงทหาร สาธารณสมบัตขิ องแผน ดินมีคุณสมบัตดิ งั นี้ 1. จะโอนแกกันมไิ ด เวนแตมีกฎหมายทอี่ อกเฉพาะใหโอนกันได 2. หามมิใหยกอายุความขึ้นเปนขอตอสูกับแผนดิน เชนครอบครองทุงเลี้ยงสัตวสาธารณะก่ีปก็ไมได กรรมสิทธิ์ 3. หา มยึดทรัพยข องแผนดนิ
54 หนงั สอื สําคญั แสดงกรรมสทิ ธิ์ในทดี่ นิ มีอยู 4 อยาง 1. โฉนดแผนที่ เปนหนังสือแสดงกรรมสิทธิในที่ดินฉบับแรกท่ีเกิดขึ้นในประเทศไทยออกเมื่อ ร.ศ.120 (พ.ศ. 2445) และ ร.ศ. 127 (พ.ศ.2452) ออกโดยมกี ารรังวดั ทําแผนทร่ี ะวาง ปอ งกันการเกิดการทบั ท่ซี อนทผ่ี ู ถือหนงั สือนี้มีกรรมสิทธิในทดี่ ินของตนโดยสมบรู ณตลอดไปจนกระทัง่ ปจจุบัน 2. โฉนดตราจรอง เปน หนังสอื สําคัญแสดงกรรมสิทธิในท่ีดนิ ออกตามพระราชบัญญัตอิ อกโฉนดตราจอง ร.ศ.124 ประกาศใชใ นมณฑลพษิ ณโุ ลกทเี่ ปน จงั หวดั พษิ ณโุ ลก พจิ ติ ร อตุ รดติ ถ สโุ ขทยั และบางสว นของนครสวรรค ในจงั หวัดอื่นไมม ีการออกโฉนดตราจองการรงั วดั ทําแผนที่ไมมรี ะวางยึดโยงทําเปน แผนทีร่ ปู ลอย เปน แปลงๆ ไป 3. ตราจองที่ตราวาไดทําประโยชนแลวออกใหในกรณีท่ีบุคคลไดรับอนุญาตใหจับจองเปนใบเหยียบยํ่า มีอายุ 2 ปหรือผไู ดร บั ตราจองทเ่ี ปน ใบอนญุ าต มีอายุ 3 ปและไดท ําประโยชนในทดี่ ินภายในกําหนดแลว มสี ทิ ธิ จะไดร บั ตราจองที่ตราวา ไดทาํ ประโยชนแ ลว 4. โฉนดทด่ี ินตามประมวลกฎหมายทดี่ ิน มี 6 แบบ น.ส.4 , น.ส. 4 ก. ,น.ส. 4 ข., น.ส. 4ค.,น.ส. 4 ง. (ออกโดยกฎกระทรวงฉบบั ที่ 15,17 ปจจบุ นั ไมอ อกแลว ) น.ส. 4 จ.(ออกโดยกฎกระทรวงฉบับท่ี 34) ปจ จบุ ัน โฉนดท่ีดินออกตามแบบ น.ส.4 จ. การออกโฉนดที่ดิน ก. รฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทยประกาศเขตเพอื่ จะออกโฉนดทดี่ นิ ทง้ั ตาํ บล(ประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 58,58 ทว)ิ ข. การออกโฉนดท่ดี ิน เฉพาะราย (ประมวลกฎหมายท่ดี นิ มาตรา 59) ท่ีดินมอื เปลา คอื ทดี่ นิ ทไี่ มม หี นงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธอิ ยา งหนง่ึ อยา งใดใน 4 อยา งตอ ไปนคี้ อื ไมม โี ฉนดทดี่ นิ โฉนด แผนท่ี โฉนดตราจองและตราจองท่ีตราวาไดทําประโยชนแลวท่ีดินมือเปลานั้นอาจจะไมมีหนังสือสําคัญแสดง กรรมสิทธใิ นท่ดี ินแตอ ยางหน่ึงอยางใดเลย หรือมหี นงั สือสาํ คัญสาํ หรบั ท่ีดินบางอยาง เชน ใบเหยยี บยํา่ ตราจอง ทเ่ี ปนใบอนุญาต ส.ค.1 ใบจองหนังสอื รับรองการทาํ ประโยชนหรือใบไตสวน ส.ค.1 ส.ค.1 คือ หนังสือแจงการครอบครองท่ีดินท่ีผูครอบครองไดทําประโยชนในท่ีดินอยูกอนวันท่ีประมวล กฎหมายทดี่ นิ ใชบังคับไปแจงการครอบครองตอนายอําเภอหรือปลัดอาํ เภอผูเปน หัวหนาประจาํ กิ่งอาํ เภอ วา ตน ครอบครองทดี่ นิ อยูเ ปนจํานวนเทาใดนายอําเภอจะออกแบบ ส.ค.1 ใหแจง เก็บไวเปนหลกั ฐาน ส.ค.1มลี ักษณะ สาํ คัญแสดงใหท ราบวามเี น้ือทีเ่ ทา ใดใครเปน เจา ของ ตําแหนงอยูท ี่ใดที่ดินไดมาอยา งไร มีหลักฐานแหงการไดม า และสภาพที่ดินเปนอยางไร .ค.1ท่ีผูแจงไดมาไมมีผลกระทบกระเทือนตอสิทธิที่เคยมีอยูหรือไมเคยมีอยูของ ผูแจงตองเปล่ียนแปลงไปแตอยางใดคือ ไมกอใหเกิดสิทธิขึ้นใหมแกผูแจงแตประการใดไมใชหนังสือรับรองวา ผแู จง เปนเจา ของมีสิทธคิ รอบครอง ความเปนเจาของผูแจงผแู จง ตองพิสจู นเอาเอง
55 ใบจอง ใบจองเปนหนังสือที่ทางราชการออกใหเพื่อเปนการแสดงความยินยอมใหครอบครองทําประโยชนท่ีดิน เปนการชั่วคราวซึ่งใบจองนี้จะออกใหแกราษฎรท่ีทางราชการไดจัดที่ดินใหทํากินตามประมวลกฎหมายท่ีดิน (ผูที่ตองการจับจองควรคอยฟงขาวของทางราชการซึ่งจะมีประกาศเปดโอกาสใหจับจองเปนคราวๆ ในแตละ ทองท)่ี ผมู ีใบจองจะตอ งจัดการทําประโยชนในทดี่ นิ ทร่ี าชการจดั ให ใหแลวเสรจ็ ภายใน 3 ป (การทาํ ประโยชน ใหแลวเสร็จ หมายถึง 75 เปอรเซ็นตของที่ดินท่ีจัดให)และที่ดินที่มีใบจองน้ีจะโอนใหแกคนอื่นไมไดตองทํา ประโยชนด วยตนเองซง่ึ เม่อื ทําประโยชนเ สรจ็ ถงึ 75% แลว ก็มีสทิ ธิมาขอออกโฉนดที่ดนิ หรอื น.ส. 3 ไดเหมือน กบั ผมู ี ส.ค.1 มี 2 กรณี คอื 1. เมอ่ื ทางราชการเดนิ สาํ รวจทั้งตําบลเพอื่ ออกโฉนดทด่ี นิ หรือ น.ส.3 ให 2. มาขอออกเองเหมอื นกบั ผมู ี ส.ค.1 หนังสือรบั รองการทําประโยชน (น.ส.3) คือ หนังสอื คํารับรองจากพนกั งานเจาหนา ที่ (นายอาํ เภอ)วาผูครอบครองท่ีดนิ ไดท าํ ประโยชนแ ลว มี 2 แบบ คอื แบบ น.ส.3 และ น.ส. 3ก แบบ น.ส.3ก ใหใ ชเ มอื่ มกี ารออกหนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชนโ ดยวธิ กี าํ หนดตาํ แหนง ทด่ี นิ ในระวางรปู ถายทางอากาศ ทด่ี นิ ทมี่ มี ี น.ส.3 นถ้ี อื วา มสี ทิ ธคิ รอบครองคอื มสี ทิ ธยิ ดึ ถอื ทรพั ยน นั้ ไวเ พอ่ื ตนเปน สทิ ธทิ ม่ี คี วามสาํ คญั รอง ลงมาจากกรรมสทิ ธ(ิ แตทางพฤตนิ ัยกถ็ ือวา เปนเจา ของเชนกัน) นอกจากนี้เวลาจะโอนใหค นอนื่ ไมวาจะขายหรอื ยกให หรือจํานองก็สามารถทําได แตตองไปจดทะเบยี น ณ ที่วาการอาํ เภอไมใชส ํานกั งานทด่ี ิน ทีด่ ิน น.ส.3 นี้ เปน ที่ดินทเ่ี จา ของมเี พยี งสทิ ธิครอบครอง เจา ของท่ีดินมสี ิทธนิ าํ น.ส.3 มาขอออกโฉนด ที่ดินเพ่ือใหไดก รรมสทิ ธิได 2 กรณี คอื 1. เม่อื ทางราชการจะออกโฉนดท่ดี ินใหโอนการเดินสํารวจท้งั ตาํ บล 2. มาขอออกเองเปน เฉพาะราย เหมอื นผูมี ส.ค.1 หรอื น.ส.3 ใบไตส วน(น.ส.5) เปนหนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดิน (กฎกระทรวงฉบับท่ี 5)ใบไตสวนจะออกใหตอเมื่อ บุคคลมารังวัดโฉนดท่ีดินจะเปนการรังวัดเฉพาะแปลง(ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 59) หรือรังวัดเปนทองที่ (ประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 58)กอ นออกโฉนดทด่ี นิ พนกั งานเจา หนา ทจ่ี ะตอ งทาํ การรงั วดั ตรวจสอบทดี่ นิ เพอ่ื ทาํ แผนทรี่ ะวางและสอบสวนสทิ ธวิ า เปนท่ดี นิ ของใคร มบี ดิ า มารดาชอื่ อะไร มอี ายุเทาไรเนื้อทีท่ ง้ั หมดประมาณ เทาไร มีเขตขางเคียงแตละทิศจดอะไรและมีหลักฐานสําหรับท่ีดินอยางไรบางขอความที่สอบสวนรังวัดมาไดจะ ตองจดไวใ นใบไตส วนและใหเจา ของที่ดนิ ลงช่อื รับรองและเจาหนาท่ผี ทู ําการสอบสวนลงช่ือไวดว ย
56 ใบไตสวน เปนพยานเอกสารที่แสดงวาผูมีช่ือในใบไตสวนนําเจาหนาท่ีทําการรังวัดเพ่ือออกโฉนดท่ีดิน แปลงนัน้ ๆ แลว ใบไตสวนไมใ ชเอกสารสทิ ธิ แตม ปี ระโยชนสาํ หรับผูมีช่ือในใบไตสวนท่ถี กู ฟองคดหี าวาสละสทิ ธิ ครอบครองในทด่ี นิ แปลงนนั้ อาจอา งใบไตส วนเปน พยานเอกสารตอ สไู ดว า ตนเองยงั มเี จตนายดึ ถอื ครอบครองอยู มิฉะน้ันคงไมนําเจาหนาที่ทําการรังวัดออกโฉนดท่ีดินและเปนเอกสารท่ียืนยันวามีท่ีดินมีเนื้อท่ีประมาณเทาไร แตละทิศจดที่ดินขางเคียงแปลงใดและเปนหลักฐานท่ีแสดงวาเจาของไดครอบครองตามเขตท่ีแสดงไวใน ใบไตส วนแลว ที่ดินมือเปลาแตกตา งกับทดี่ ินมีโฉนด 1. ที่ดินมีโฉนด เจาของมีกรรมสิทธิ กลาวคือ มีสิทธิใชสอย, จําหนาย,ไดดอกผลและติดตามเอาคืน ซงึ่ ทรพั ยส นิ ของตนจากบคุ คลผไู มม สี ทิ ธจิ ะยดึ ถอื ไวข ดั ขวางมใิ หผ อู น่ื สอดเขา เกย่ี วขอ งกบั ทดี่ นิ นน้ั โดยมชิ อบดว ย กฎหมายที่ดินมือเปลาเจาของมีเพียงสิทธิครอบครองซ่ึงเกิดขึ้นจากการยึดถือที่ดินนั้นไวโดยเจตนายึดถือเพ่ือตน 2. ทด่ี ินมโี ฉนด ถกู ครอบครองปรปกษไดก ลา วคือหากมบี ุคคลอื่นเขา มาครอบครองท่ดี ินมโี ฉนดโดยสงบ เปด เผยและเจตนาเปน เจา ของตดิ ตอ กนั 10 ปบ คุ คลนนั้ ไดก รรมสทิ ธแิ ตต อ งไปขอใหศ าลสง่ั วา ไดม าโดยการครอบ ครองปรปกษและนําคําสงั่ ศาลไปจดทะเบียนประเภทไดม าโดยการครอบครองตอเจาพนกั งานทด่ี ิน ที่ดินมือเปลา ถูกครอบครองปรปกษไมได เชน ที่ดิน ส.ค.1 หรือ น.ส.3 มีคนมาครอบครอง 10 ป หรอื 20 ป ผคู รอบครองกค็ งมแี ตส ทิ ธคิ รอบครองดงั นนั้ ผมู าแยง การครอบครองทดี่ นิ มอื เปลา จากเจา ของเดมิ เกนิ 10 ปจ ะตอ สวู า ตนไดก รรมสทิ ธโิ ดยครอบครองปรปก ษแ ลว ไมไ ดแ ตต อ งตอ สวู า ตนไดส ทิ ธใิ นทด่ี นิ นนั้ แลว เนอื่ งจาก เจา ของเดมิ ถกู แยง การครอบครองแลว ไมฟ อ งรอ งภายใน1 ปผ คู รอบครองเดมิ ยอ มสญู สนิ้ ในทด่ี นิ ของตน(ประมวล กฎหมายแพง และพาณิชยมาตรา 1375) 3. ท่ีดินมีโฉนดพนักงานเจาหนาที่ในการจดทะเบียน คือเจาพนักงานท่ีดินจังหวัดหรือเจาพนักงานท่ีดิน สาขาซ่ึงท่ีดินน้ันตั้งอยูที่ดินมือเปลาพนักงานเจาหนาที่ในการจดทะเบียนคือนายอําเภอหรือผูทําการแทนปลัด อําเภอผูเ ปน หวั หนากงิ่ อําเภอหรือผูทําการแทนซง่ึ ท่ดี นิ น้นั ตง้ั อยู 4. ท่ีดินมีโฉนด อายุความการทอดท้ิงใหท่ีดินตกเปนของรัฐ ท่ีดินมีโฉนดทอดทิ้งเกิน10 ปติดตอกัน (ประมวลกฎหมายที่ดนิ มาตรา 6) ที่ดินมอื เปลา หากเปน หนงั สอื รบั รองการทําประโยชน (น.ส.3) ทอดท้ิงเกนิ 5 ปต ิดตอกนั ทีด่ ินนัน้ ตกเปน ของรฐั สาํ หรบั ทดี่ นิ มอื เปลา ประเภทอน่ื เชน ส.ค.1 ใบจองหากผคู รอบครองสละเจตนาครอบครอง หรอื ไมย ดึ ถอื ทรัพยสินนั้นตอไปการครอบครองยอมสุดส้ินท่ีดินตกเปนของรัฐทันทีเจาของท่ีดินมือเปลาจะสูญสิ้นสิทธิในที่ดิน ของตนไดโ ดยประการหน่ึงประการใดดงั ตอไปน้ี 1) โดยเจาของที่ดินมือเปลาโอนท่ีดินของตนใหผูอ่ืนหากเปนท่ีดินมีหนังสือรับรองการทําประโยชนโอน โดยการจดทะเบียนตอนายอําเภอทองท่ีซง่ึ ที่ดนิ ตัง้ อยหู ากเปนท่ีดนิ ส.ค.1โอนโดยการสง มอบการครอบครองซ่ึง ใชย ันกนั ไดร ะหวา งเอกชนเทา นน้ั จะใชย ันตอรฐั ไมได (ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1378-1380)
57 2) โดยการสละเจตนาครอบครอง (ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1377)เชน เจา ของทดี่ นิ มอื เปลา สค.1 ทําหนังสือโอนขายกันเองเปนการแสดงเจตนาวาผูขายสละเจตนาครอบครองและไมยึดถือท่ีดินน้ัน ตอไป 3) โดยไมยึดถือทรัพยสินนนั้ ตอไป (ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1377)การท่ีเจาของทด่ี นิ มอื เปลา เลกิ ยดึ ถอื ทดี่ นิ เปน การแสดงเจตนาละทงิ้ เลกิ ครอบครองการซอ้ื ขายทดี่ นิ มอื เปลา โดยมไิ ดท าํ สญั ญาเปน หนงั สอื กนั นน้ั เมอื่ ผซู อื้ ไดช าํ ระราคาและผขู ายสละสทิ ธใิ หผ ซู อื้ เขา ปกครองอยา งเจา ของโดยผขู ายเลกิ ยดึ ถอื ทด่ี นิ นนั้ ตอ ไปทดี่ นิ ยอมเปน สิทธิของผซู ื้อ 4) โดยถกู แยง การครอบครองแลว เจา ของทดี่ นิ มอื เปลา ไมฟ อ งเรยี กรอ งคนื ภายใน 1 ปย อ มสญู สนิ้ สทิ ธใิ น ท่ีดนิ ของตน (ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 1375)การฟองเรียกคนื ซ่งึ การครอบครองจะตอ งฟอง ภายใน 1 ป นับแตเวลาถูกแยงการครอบครองที่เปนเชนนี้เพราะกฎหมายถือวาท่ีดินมือเปลาเจาของไมมีกรรม สิทธมิ ีแตเพยี งสทิ ธคิ รอบครองระยะเวลา 1 ป นบั ตงั้ แตเวลาถูกแยง การครอบครองมิใชน ับตงั้ แตว นั ท่รี ูว าถูกแยง การครอบครอง การฟองเรียกคนื ภายใน 1 ป เปน ระยะเวลาส้นิ สดุ มิใชอ ายุความ ดังน้นั แมจําเลยไมยกขน้ึ เปน ขอ ตอ สู ศาลก็หยิบยกข้ึนพจิ ารณายกฟองโจทกก็ได 5) โดยถกู เวนคนื ใหท ่ีดนิ ตกเปนของรัฐ (ประมวลกฎหมายทีด่ นิ มาตรา 5) 6) โดยเจาของละท้ิง (ประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 6) เชน ทด่ี นิ สค.1 ใบจองหากเจา ของสละเจตนา ครอบครอง การครอบครองยอ มสน้ิ สดุ ทด่ี นิ ตกเปน ของรฐั สาํ หรบั ทด่ี นิ มหี นงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชนห ากทอด ทงิ้ 5 ปตดิ ตอกนั ทดี่ ินตกเปนของรฐั ประเภททีร่ กรางวางเปลา การไดมาซง่ึ กรรมสทิ ธใิ นทด่ี ิน 1. การไดม าซ่งึ กรรมสิทธใิ นที่ดิน กอนประมวลกฎหมายทด่ี ินใชบงั คบั เชนไดม าโดยไดโฉนดแผนทีโ่ ฉนด ตราจอง, หรือตราจองท่ตี ราวาไดท ําประโยชนแ ลว,ไดม าซ่งึ ที่บา นทีส่ วนตามกฎหมายเบด็ เสรจ็ บทท่ี 4ทด่ี ินประ เภทน้ีเปน ท่ีมกี รรมสิทธแิ ตไ มมหี นังสอื สําคัญแสดงกรรมสทิ ธแิ ละไมถือวา เปนทีด่ ินมอื เปลา ฎกี าที่ 1570/2500 ทพ่ี พิ าทซง่ึ เจา ของไดค รอบครองทาํ ทดี่ นิ ใหเ ปน ทบี่ า นทสี่ วนมากอ นประกาศใชป ระมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย บรรพ4 และพระราชบญั ญตั ิ ออกโฉนดทดี่ นิ (ฉบบั ท่ี 6) 2479 แลว แมท ด่ี นิ พพิ าทจะเปน ทด่ี นิ มอื เปลา ไมม หี นงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธกิ ต็ อ งนาํ กฎหมายลกั ษณะเบด็ เสรจ็ บทท่ี 42 มาใชบ งั คบั คดี โดยถอื อายคุ วามสละทดี่ นิ 9ป 10 ป หาใชอ ายุความ 1 ป ไม 2. การไดมาซึง่ กรรมสิทธใิ นทด่ี ินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไดม าโดยขอออกโฉนดทด่ี นิ ตงั้ ตาํ บล และ ไดม าโดยขอออกโฉนดที่ดนิ เฉพาะราย(ประมวลกฎหมายท่ีดนิ มาตรา 58 และ 59) 3. การไดมาซึ่งกรรมสิทธิในที่ดินโดยนิติกรรม เชน โดยการซื้อขายแลกเปล่ียนใหจํานอง, ขายฝาก ตอ งทําเปน หนังสือและจดทะเบยี นตอพนักงานเจา หนาทม่ี ิฉะนั้น เปน โมฆะ
58 4. การไดมาซึ่งกรรมสิทธิในท่ดี ินโดยผลของกฎหมาย เชน ก) ไดกรรมสทิ ธิในท่ีดนิ จากทีง่ อกรมิ ตลิ่ง ท่ดี ินแปลงใดเกิดทงี่ อกรมิ ตลง่ิ ทงี่ อกนัน้ เปน ทรพั ยส ินของ เจา ของทด่ี นิ แปลงนน้ั โดยหลกั ของทง่ี อกรมิ ตลงิ่ จะตอ งเกดิ ขน้ึ โดยธรรมชาตแิ ละตดิ ตอ เปน ผนื เดยี วกนั แตเ จา ของ ทด่ี นิ มจี ะมกี รรมสทิ ธใิ นทง่ี อกไดต อ งเปน ทที่ ม่ี หี นงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธเิ ชน โฉนดทด่ี นิ ถา เจา ของทด่ี นิ แปลง ใดเปนท่ีมือเปลาเกิดท่ีงอกออกมาเจาของท่ีแปลงน้ันก็มีแตสิทธิครอบครองที่งอกเทานั้นดังน้ันหากเปนงอกออก มาจากทด่ี นิ มโี ฉนดเจา ของทด่ี นิ แปลงดงั กลา วมกี รรมสทิ ธใิ นทง่ี อกผอู นื่ จะแยง การครอบครองทด่ี นิ สว นนตี้ อ งครอง ครองปรปก ษเ กนิ กวา 10 ปจ งึ ไดกรรมสิทธิ หากเปน ทงี่ อกออกมาจากทีด่ ินมือเปลา (สค.1 ,นส.3) เจา ของมเี พยี ง สทิ ธิครอบครองหากผอู น่ื แยง การครอบครองและเจา ของไมฟอ งรอ งเรยี กคนื ภายใน1 ป เจา ของส้ินสทิ ธิในท่ีงอก น้ัน ข) ไดม าซง่ึ กรรมสทิ ธใิ นทดี่ นิ โดยการครอบครองปรปก ษ ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1382“บคุ คลใดครอบครองทรพั ยส นิ ของผอู นื่ ไวโ ดยความสงบและโดยเปด เผยดว ยเจตนาเปน เจา ของถา เปน อสงั หารมิ ทรพั ยไ ดค รอบครองตดิ ตอ กนั เปน เวลา10 ปท า นวา บคุ คลนนั้ ไดก รรมสทิ ธ”ิ ทดี่ นิ ทจี่ ะถกู ครอบครองปรปก ษ ไดจะตองเปนท่ีดินของผูอ่ืนท่ีมีหนังสือสาํ คัญแสดงกรรมสิทธิ(โฉนดที่ดิน, โฉนดแผนท่ี, โฉนดตราจองตราจองที่ ตราวา ไดท ําประโยชนแ ลวท่ีบา นทส่ี วนตามกฎหมายเบ็ดเสรจ็ บทท่4ี 2) ทดี่ ินมือเปลา (ส.ค.1, น.ส.3)จะถกู ครอบ ครองปรปกษไมได เชน ก.ครอบครองท่ีดินมือเปลาอยางเจาของมา 10 ปก.ก็คงมีเพียงสิทธิ ครอบครองเทาน้ันการไดกรรมสิทธิโดยครอบครองปรปกษจะตองใหศาลส่ังวาไดมาโดยครอบครองปรปกษแลว นาํ คาํ สง่ั ศาลไปขอจดทะเบยี นตอ เจา พนกั งานทด่ี นิ ประเภทไดม าโดยการครอบครองหากเจา ของไดโ ดยการครอบ ครองบางสวนก็ไปขอจดทะเบียนในประเภทไดมาโดยการครอบครองเฉพาะสวนหรือไดรับแบงมาโดยการ ครอบครอง ค) การไดมาซ่ึงกรรมสิทธิในที่ดินโดยทางมรดกการจะมีกรรมสิทธิในท่ีดินมรดกที่ดินมรดกนั้นตอง เปนที่มหี นงั สอื สําคญั แสดงกรรมสทิ ธเิ ชน โฉนดที่ดนิ ถาท่ีดนิ มรดกเปน ทม่ี ือเปลาเชน ท่ี นส.3, สค.1ก็มเี พยี งสทิ ธิ ครอบครองผไู ดท รพั ยม าโดยทางมรดกนจ้ี ะตอ งจดทะเบยี นตอ เจา พนกั งานทดี่ นิ เสยี กอ นจงึ จะมกี ารเปลย่ี นแปลง ทางทะเบียนไดเ ชน นาย ก. ทาํ พนิ ยั กรรมยกท่ดี นิ โฉนดใหนาย ข. เมอ่ื นาย ก. ตาย นาย ข.ก็ไดร ับมรดกทนั ทโี ดย ผลของกฎหมายโดยไมตองจดทะเบียนเน่ืองจากพินัยกรรมมีผลเม่ือเจามรดกถึงแกความตายหรือหากไมมีพินัย กรมเมอ่ื เจา ของมรดกถงึ แกค วามตายมรดกกต็ กไปยงั ทายาทโดยธรรมทนั ทแี ตต อ มาหากนาย ข.ตอ งการขายทดี่ นิ มรดกใหนาย ค. นาย ข.จะทําไมไดเพราะชอ่ื ในโฉนดยังเปน ชือ่ นาย ก. เจา ของเดมิ อยู นาย ข.จะตอ งจดทะเบยี น การไดมาประเภทมรดก ลงชื่อนาย ข.เปนผูถือกรรมสิทธิเสียกอนจึงจะเอาท่ีดินไปจดทะเบียนขายใหนาย ค. ตอ ไปไดเ นอ่ื งจากประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1299 วรรค 2 บญั ญตั วิ า “ถา ผไู ดม าซงึ่ อสงั หารมิ ทรพั ย หรอื ทรพั ยส ทิ ธอิ นั เกย่ี วกบั อสงั หารมิ ทรพั ยโ ดยทางอนื่ นอกจากนติ กิ รรมสทิ ธขิ องผไู ดม านนั้ ถา ยงั มไิ ดจ ดทะเบยี น ไซรทานวาจะมีการเปล่ียนแปลงทางทะเบียนไมได”การไดมาทางมรดกก็เปนการไดมาโดยทางอ่ืนนอกจาก นิติกรรมเชนกัน
59 วธิ ีการจดทะเบียนการไดมาประเภทมรดก 1. ใหผูไดรับมรดกนําหลักฐานสําหรับที่ดินหรือหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน เชนโฉนดท่ีดิน นส.3 พรอ มดว ยหลกั ฐานในการรบั มรดก เชน พนิ ยั กรรม มรณบตั ร สตู บิ ตั รสาํ เนาทะเบยี นบา น บตั รประจาํ ตวั ประชาชน ไปยน่ื ขอตอ พนกั งานเจา หนา ท่ี หากหนงั สอื แสดงสทิ ธใิ นทดี่ นิ อยกู บั บคุ คลอนื่ ใหพ นกั งานเจา หนา ทมี่ อี าํ นาจเรยี ก มาได 2. ใหผูขอรับมรดก ยื่นคํารองพรอมหลักฐานตางๆ ดังกลาวในขอ 1 ตอพนักงานเจาหนาท่ี 3. พนกั งานเจา หนา ทส่ี อบสวนพยานหลกั ฐานและหากเชอื่ วา ผขู อเปน ทายาทกจ็ ะประกาศการขอรบั มรดก นน้ั 60 วันแมเปนการโอนมรดกตามพินัยกรรมก็ตองประกาศดว ยเวนแตมีการจดทะเบยี นตั้งผจู ดั การมรดกตาม คาํ สง่ั ศาลกอ นแลว และผจู ดั การมรดกโอนตอ ใหท ายาทไมต อ งประกาศประกาศนน้ั ใหต ดิ ไวท อ่ี าํ เภอสาํ นกั งานทด่ี นิ ท่ีทําการกํานัน บริเวณท่ีดินแหงละ 1ฉบับ สงประกาศใหทายาททุกคนที่ผูขอแจงวาเปนทายาททราบเทาท่ีจะ ทําได 4. ถาไมม ีผโู ตแ ยง กใ็ หจดทะเบยี นโอนมรดกใหแ กทายาทตามทข่ี อ 5. ถา มีผโู ตแ ยงใหพนักงานเจาหนา ท่ีสอบสวนคูก รณแี ลวเปรยี บเทียบประนีประนอมกนั หากไมต กลงให เจา หนา ท่สี ง่ั การไปตามที่เห็นสมควรแลวแจง คูกรณที ราบผูท ีไ่ มพอใจใหไปฟอ งศาลภายใน 60 วนั นบั แตท ราบ คําสั่งถามีการฟองศาลใหพนักงานเจาหนาที่รอเรื่องไวกอนเม่ือศาลพิพากษาจึงดําเนินการตามที่ศาลส่ัง ถาไมฟองภายในกําหนดใหดําเนินการไปตามที่พนักงานเจาหนาที่มีคําสั่งคาธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอน มรดกถา เปน การรบั มรดกระหวา งบดิ า มารดา บตุ ร สามเี สยี คา ธรรมเนยี มรอ ยละ 50 สตางคข องจาํ นวนทนุ ทรพั ย ไมต องเสยี คาอากร การเสยี สทิ ธิในทดี่ นิ ตามประมวลกฎหมายทดี่ นิ ผมู สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ อาจเสยี สทิ ธใิ นทดี่ นิ ไดโ ดยทดี่ นิ นนั้ จะตกเปน ของรฐั ในกรณที ม่ี กี ารทอดทงิ้ ไมท าํ ประโยชน หรอื ปลอ ยใหพนื้ ทดี่ นิ รกรา งวา งเปลา เกนิ เวลาดงั น้ี 1. สําหรบั ที่ดนิ มีโฉนดที่ดนิ เกิน 10 ป ติดตอกัน 2. สําหรับท่ีดินท่ีมี น.ส.3 เกิน 5 ป ตดิ ตอ กัน โดยถือวาผูน้ันเจตนาสละสิทธิในท่ีดินเฉพาะสวนที่ไดทอดทิ้งไมทําประโยชนหรือปลอยใหเปนที่ รกรา งวา งเปลา(ประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 6) การขอออกหนังสอื รับรองการทําประโยชน(น.ส.3 หรอื น.ส.3ก) ท่ดี นิ ท่จี ะขอออกหนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชนไดม ีดงั น้ี 1. เปนท่ีดนิ ที่ไดค รอบครองและทาํ ประโยชนแลว 2. ตอ งไมเปนท่ีดินที่ราษฎรใชประโยชนรว มกนั เชน ทางน้ํา ทะเลสาบท่ชี ายตลงิ่ 3. ตองไมเปนท่ีเขา ท่ีภูเขา หรือที่สงวนหวงหามหรือท่ีดินท่ีทางราชการเห็นวาควรสงวนไวเพ่ือ ทรัพยากรธรรมชาติ
60 หลกั ฐานทีจ่ ะตอ งนําไปแสดงประกอบการขอออกหนังสือรับรองการทาํ ประโยชนม ีดังน้ี 1. บตั รประจําตัว 2. แบบแจงการครอบครองท่ีดิน (ส.ค.1) 3. ใบรับแจง ความประสงคจ ะไดสทิ ธใิ นท่ดี ิน 4. ใบจองหรือใบเหยียบยา่ํ 5. ตราจองเปนใบอนญุ าต 6. หลักฐานการเสียภาษีที่ดินหรือหลักฐานอื่นๆในกรณีท่ีไมไดแจงการครอบครองและไมอยูในทองที่ ประกาศเปน เขตเดนิ สํารวจออกหนังสือรบั รองการทําประโยชน (น.ส.3) วิธกี ารออกหนงั สือรบั รองการทําประโยชน 1. ผขู อตอ งยน่ื คาํ ขอตอ นายอาํ เภอหรอื ปลดั อาํ เภอผเู ปน หวั หนา ประจาํ กงิ่ อาํ เภอทอ งทท่ี ด่ี นิ ตงั้ อยแู ลว แต กรณีพรอมท้งั แนบหลกั ฐานตามที่กลาวมาแลว 2. เม่ือรับคําขอแลว นายอําเภอหรือปลัดอําเภอผูเปนหัวหนาประจําก่ิงอําเภอหรืออาจจะมอบใหเจา หนาท่ีผูใดไปแทนก็ไดจะออกไปทําการรังวัดพิสูจนสอบสวนวาไดทําประโยชนในท่ีดินนั้นตามระเบียบและ กฎหมายในการรังวัดเจาของที่ดินและเจาของที่ดินขางเคียงตองไประวางช้ีแนวเขตและลงลายมือช่ือไวเปนหลัก ฐานดวย 3.เมอ่ื ไดพ สิ จู นก ารทาํ ประโยชนแ ลว ปรากฎวา ไดม กี ารครอบครองและทาํ ประโยชนต ามสมควรแกส ภาพ ท่ีดินในทองถ่ินตลอดจนสภาพกิจการที่ไดทําประโยชนแลวนายอําเภอหรือปลัดอําเภอผูเปนหัวหนาประจํากิ่ง อาํ เภอจะประกาศคาํ ขอรบั รองการทาํ ประโยชนไ ว3 0 วนั ณทว่ี า การอาํ เภอหรอื กงิ่ อาํ เภอทที่ าํ การกาํ นนั ในบรเิ วณ ที่ดินทีข่ อออกหนังสอื รบั รองการทําประโยชนและสาํ นกั งานเทศบาล(ถา มี) แหงละ 1 ฉบบั 4. ถา มผี คู ดั คา นนายอาํ เภอหรอื ปลดั อาํ เภอผเู ปน หวั หนา ประจาํ กงิ่ อาํ เภอจะทาํ การสอบสวนเปรยี บเทยี บ ถาตกลงกันไดก็ดําเนินการไปตามขอตกลงนั้นหากตกลงกันไมไดก็ใหมีคําสั่งวาจะออกหนังสือรับรองการทํา ประโยชนใ หแ กฝ า ยใดและใหฝ า ยทไี่ มพ อใจไปดาํ เนนิ การฟอ งรอ งตอ ศาลภายในกาํ หนด 60 วนั นบั แตว นั รบั ทราบ คําสั่ง เม่ือศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังประการใดใหดําเนินการไปตามน้ัน ถาไมไดฟองภายในกําหนด60 วัน กใ็ หด ําเนนิ การไปตามท่ีมคี าํ ส่ังไวแ ลว 5. ถาไมมผี ูคัดคาน ก็ใหอ อกหนงั สือรับรองการทําประโยชนใหต อ ไป 6. ถาปรากฎวาการออกหนังสือรับรองการทําประโยชนไปโดยความผิดหลงหรือฝาฝนกฎหมายหรือไม ถกู ตองดวยประการใดกต็ ามผวู า ราชการจังหวัดมอี าํ นาจส่ังเพกิ ถอน น.ส.3 ได
61 การขอออกโฉนดท่ีดนิ ที่ดินท่ีจะขอออกโฉนดท่ดี ินไดมีดงั นี้ 1. เปนที่ดนิ ทีไ่ ดครอบครองและทําประโยชนแลว 2. ตอ งไมเ ปนที่ดินทรี่ าษฎรใชป ระโยชนร ว มกนั เชน ทางนา้ํ ทางหลวง ทะเลสาบทช่ี ายตลิ่ง 3. ตองไมเ ปนท่เี ขา ทภ่ี ูเขา หรอื ท่สี งวนหวงหา มหรือทีด่ นิ ทที่ างราชการเหน็ วา ควรสงวนไวเพอื่ ทรพั ยากรธรรมชาติ 4. ตอ งเปนท่ีดนิ ทไ่ี ดมีระวางแผนที่เพอ่ื การออกโฉนดทีด่ นิ แลว หลกั ฐานที่จะตองนําไปแสดงประกอบขอออกโฉนดทีด่ นิ มีดังน้ี 1. บัตรประจาํ ตัว 2. แบบแจง การครอบครองที่ดนิ (ส.ค.1) 3. ใบรบั แจง ความประสงคจ ะไดส ทิ ธใิ นท่ีดิน 4. ใบจองหรอื ใบเหยยี บยา่ํ 5. ตราจองเปนใบอนญุ าต 6. หนังสือรับรองการทําประโยชน หรือใบสาํ คญั แสดงการนาํ ทีด่ ินขึ้นทะเบียน (แบบหมายเลข 3) 7. หนงั สือแสดงการทาํ ประโยชน ในกรณีทไ่ี ดร ับการจดั ท่ีดนิ ในนิคมสรา งตนเองหรอื สหกรณนคิ ม 8. หลักฐานการเสยี ภาษีทด่ี ินหรือหลกั ฐานอนื่ ในกรณที ่ไี มไ ดแ จง การครอบครองและไมอ ยูในทอ งท่ี ประกาศเปนเขตเดนิ สํารวจออกโฉนดท่ดี นิ ทง้ั ตาํ บล วธิ กี ารขอออกโฉนดทด่ี นิ 1. ผขู อตอ งยนื่ คาํ ขอพรอ มหลกั ฐานการไดม าซง่ึ ทดี่ นิ ตามทกี่ ลา วมาแลว ตอ เจา พนกั งานทดี่ นิ ณ สาํ นกั งาน ที่ดินจังหวัด หรอื สํานกั งานท่ดี ินสาขา แลวแตกรณี 2. เมื่อไดรับคําขอแลวเจาหนาที่จะออกไปทําการรังวัดและทําการไตสวนเจาของท่ีดินผูปกครองทองท่ี และเจา ของที่ดนิ ขางเคียง 3. เมื่อรังวดั เสรจ็ เรยี บรอ ยและไมม ขี อ ขัดขอ งเจาพนกั งานท่ดี ินก็จะประกาศแจกโฉนดมีกาํ หนด 30 วนั โดยปดไว ณ สํานักงานท่ีดินจังหวัดหรือสํานักงานท่ีดินสาขา ท่ีวาการอําเภอหรือกิ่งอําเภอท่ีทําการกํานันและ บริเวณที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินแหงละ 1 ฉบับ ในเขตเทศบาลใหปดไว ณ สํานักงานเทศบาลอีก 1 ฉบับ 4. ถามีผูโตแยงคัดคาน เจาพนักงานท่ีดินจะทําการสอบสวนเปรียบเทียบถาตกลงกันไดก็จะดําเนินการ ไปตามความตกลง ถา ไมต กลงเจา พนกั งานทดี่ นิ กจ็ ะเสนอเรอ่ื งพรอ มความเหน็ ไปใหผ วู า ราชการจงั หวดั พจิ ารณา สง่ั การเมอ่ื ผวู า ราชการจงั หวดั สงั่ แลว ถา ฝา ยใดไมพ อใจใหฝ า ยนน้ั ไปฟอ งศาลภายใน 30 วนั นบั แตว นั ทราบคาํ สงั่ ถาไมมกี ารฟอ งศาลก็ดาํ เนินการไปตามทผ่ี วู าราชการจงั หวดั สง่ั 5. ถาไมมผี ูใดคัดคา นโตแ ยง กอ็ อกโฉนดทดี่ ินใหตอ ไป
62 การจดทะเบียนสิทธแิ ละนิตกิ รรม การโอนกรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองในท่ีดินซึ่งมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทําประโยชน (นส.3 หรอื นส.3ก)ตอ งทาํ เปน หนงั สอื และจดทะเบยี นตอ พนกั งานเจา หนา ทผ่ี ใู ดประสงคจ ะจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละ นติ กิ รรมเกย่ี วกบั อสงั หารมิ ทรพั ยต ามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยใ หค กู รณนี าํ หนงั สอื แสดงสทิ ธใิ นทดี่ นิ มา จดทะเบยี นตอพนกั งานเจาหนาท่ี 1. การยน่ื ขอ 1.1 สําหรับท่ีดินทมี่ โี ฉนดทดี่ ินหรือมีใบไตสวนหรอื อสงั หารมิ ทรัพยอยา งอ่นื ในท่ีดนิ ดงั กลาวนน้ั รวมกับ ท่ีดินใหไ ปย่ืนคาํ ขอ ดังน้ี 1.1.1 ทด่ี นิ ทอ่ี ยใู นเขตทมี่ สี าํ นกั งานทด่ี นิ สาขาใหย น่ื ตอ เจา พนกั งานทด่ี นิ สาํ นกั งานทด่ี นิ สาขานนั้ 1.1.2 ถา ไมม สี าํ นกั งานทด่ี นิ สาขาในเขตนน้ั ใหย น่ื ตอ เจา พนกั งานทดี่ นิ ณ สาํ นกั งานทด่ี นิ จงั หวดั 1.2 สาํ หรบั ท่ีดนิ และอสงั หาริมทรัพยอยา งอน่ื นอกจากที่ระบุไวใ น 1 ใหไ ปยืน่ คาํ ขอ ดังน้ี 1.2.1 ท่ีดินท่อี ยใู นทอ งที่กง่ิ อําเภอใหยื่นตอ ปลัดอาํ เภอผูเปน หวั หนาประจํากง่ิ อําเภอทองที่นั้น 1.2.2 ทดี่ นิ ทีอ่ ยูน อกทอ งทีก่ ิ่งอาํ เภอใหย ื่นตอ นายอําเภอทอ งทน่ี ้นั 1.3 ทด่ี ินทมี่ โี ฉนดท่ดี นิ ใบไตส วน หรือหนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชน (นส.3 หรือนส.3ก) คกู รณีอาจยนื่ คาํ ขอตอ พนกั งานเจาหนา ท่ี ณ กรมทีด่ ิน (สาํ นกั งานทด่ี นิ กลาง)เพือ่ ใหพ นักงานเจาหนา ทีต่ าม 1 หรือ 2 แลวแต กรณดี ําเนินการจดทะเบยี นใหก ็ไดเวน แตการจดทะเบียนท่ีตอ งมีการประกาศหรอื ตองมีการรังวดั การมอบอาํ นาจกระทําการเกี่ยวกบั ทีด่ นิ ในการท่ีผูขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไมสามารถไปยังสํานักงานท่ีดินจังหวัดหรือสํานักงานที่ดิน อาํ เภอดว ยตนเองไดจ ะมอบหมายใหผ ใู ดผหู นงึ่ ทเี่ ชอื่ ถอื ไวว างใจไดจ รงิ ๆ ไปทาํ การแทนไดโ ดยผนู น้ั จะตอ งทาํ หลกั ฐานการมอบอาํ นาจเปน หนงั สอื ใหผ ไู ปทาํ การแทนควรมอบบตั รประจาํ ตวั ของผมู อบใหก บั ผรู บั มอบอาํ นาจนาํ ไป แสดงตอ พนกั งานเจา หนา ทดี่ ว ยเจา ของทด่ี นิ และผจู ะซอื้ ทด่ี นิ จะตอ งระมดั ระวงั หรอื กระทาํ การใหร ดั กมุ รอบคอบ มิฉะนั้นอาจเกิดการฉอโกงหรือไดรับความเสียหายอยางรายแรงไดจึงขอใหผูมอบไดปฏิบัติตามคําเตือนหลัง ใบมอบอาํ นาจโดยเครง ครดั หนงั สอื มอบอํานาจควรใชต ามแบบของกรมท่ดี นิ ซึง่ มอี ยู 2 แบบสําหรบั ทีด่ นิ มีโฉนด แลวแบบหนึ่งกับที่ดินที่ยังไมมีโฉนดอีกแบบหน่ึงหากจะใชกระดาษอ่ืนควรเขียนขอความอนุโลมตามแบบพิมพ ของกรมทดี่ ินเพราะจะไดร ายการที่ชัดเจนและถูกตอ งขอแนะนําขอปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1. ใหกรอกเครื่องหมายหนังสือสําคัญสําหรับที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพยอยางอื่น เชน ตึก บาน เรือน โรง ใหช ัดเจน 2. ใหระบุเรื่องและอํานาจจัดการใหชัดเจนวา มอบอํานาจใหทําอะไร เชน ซ้ือขาย จํานอง ฯลฯ ถามี เงอ่ื นไขพเิ ศษ เพิ่มเติม กใ็ หร ะบไุ วด วย 3. อยากรอกขอ ความใหต า งลายมือและใชนํา้ หมกึ ตางสีกันถาใชเครอ่ื งพมิ พดีดก็ตองเปน เครื่องเดยี วกนั 4. ถา มีขูดลบ ตกเตมิ แกไข หรือขดี ฆา ใหระบุขีดฆา ตกเตมิ กคี่ าํ และผมู อบอํานาจลงลายมอื ชือ่ กาํ กับไว ทุกแหง
63 5. อยา ลงลายมอื ชอื่ ผมู อบอาํ นาจกอ นกรอกขอ ความเมอื่ กรอกขอ ความครบถว นแลว ใหอ า นกอ นเมอ่ื เหน็ วาถกู ตองใหล งลายมือชื่อผมู อบอาํ นาจ คือ อยา ลงชอื่ ในกระดาษเปลาๆ เปนอนั ขาด 6. มีพยานอยางนอ ย 1 คน ถา ผูม อบอาํ นาจพิมพล ายน้ิวมือตอ งมีพยาน 2 คนพยานตองเซ็นชื่อ จะพิมพ ลายนว้ิ มอื ไมไ ดถ า ภรรยาเปน ผมู อบอาํ นาจตอ งใหส ามลี งชอ่ื เปน พยานและใหบ นั ทกึ ความยนิ ยอมเปน หนงั สอื ดว ย 7. หนงั สอื มอบอํานาจทาํ ในตางประเทศ ควรใหส ถานทตู หรอื สถานกงสุลหรือรบั รองดว ย 8. ผมู อบอาํ นาจทม่ี อี ายุ 60 ปข นึ้ ไปในกรณที ม่ี เี หตอุ นั สมควรสงสยั วา ผมู อบจะยงั คงมชี วี ติ อยหู รอื ไมแ ละ มีสตสิ ัมปชัญญะสมบรู ณหรอื ไมค วรใหผ ูปกครองทองทีห่ รือผูทเี่ ชอ่ื ถอื ไดรับรองกอ น 9. ควรพจิ ารณาถงึ บคุ คล ทจี่ ะรบั มอบอาํ นาจจากทา นควรจะเปน บคุ คลทที่ า นเชอ่ื ถอื หรอื รจู กั ชอบพอกนั มานาน หรือเปนญาติพ่ีนองกันอยามอบอํานาจใหกับผูท่ีไมรูจักมักคุนกันมากอน บางเร่ืองผูรับมอบอํานาจเปน ผูรับมอบอาํ นาจจากท้ังสองฝา ย คอื เปนตวั แทนทั้งฝา ยผโู อนและผรู บั โอนในกรณเี ชนนีผ้ มู อบอาํ นาจจะตองระบุ ไวใ นหนังสอื มอบอาํ นาจดว ยวา ยินยอมใหผรู บั มอบเปนผูแทนอกี ฝา ยหน่งึ ดวย(มาตรา 805 แหง ป.พ.พ.) ถาไมจําเปนจริงๆ ควรไปทําธุรกิจตางๆ เกี่ยวกับท่ีดินดวยตนเองจะเปนการปลอดภัยและสะดวกกวา แมจะเสยี เวลาไปบาง กย็ ังดกี วาสญู เสยี ทรัพย การอายดั ทดี่ นิ มาตรา 83 แหง ประมวลกฎหมายที่ดนิ บัญญัติวาผูใ ดมีสวนไดเ สยี ในท่ีดนิ อันอาจจะฟองบงั คับใหม กี าร จดทะเบยี นหรอื ใหม กี ารเปลย่ี นแปลงทางทะเบยี นไดม คี วามประสงคจ ะขออายดั ทดี่ นิ ตอ พนกั งานเจา หนา ที่ กใ็ ห ทาํ ได เมอ่ื พนกั งานเจา หนา ทสี่ อบสวนเหน็ สมควร ใหร บั อายดั ไวไ ดไ มเ กนิ กาํ หนดหกสบิ วนั นบั แตว นั ทขี่ ออายดั โดยใหผูนั้นไปดําเนินการทางศาลเมื่อศาลไดมีคําส่ังหรือคําพิพากษาแลวใหพนักงานเจาหนาที่ดําเนินการตอไป ตามควรแกกรณี คําวา การอายัดท่ีดิน หมายถึง การหยุดนิ่งไมทําอะไรตอไปหรือใหระงับการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ท่ีดินไวช่ัวระยะหนึ่งเพ่ือใหผูมีสวนไดเสียในที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิตามกฎหมายที่จะบังคับเอากับท่ีดินแปลงน้ันไป ฟอ งรอ งอายดั ไวร ะยะหนง่ึ (ไมเ กนิ 60 วนั ) ไดเ ปน การยงั ยง้ั การเปลยี่ นแปลงทางทะเบยี นเสยี แตต น มอื หากปลอ ย ใหจ ดทะเบยี นหรอื เปลยี่ นแปลงทางทะเบยี นกนั ไดเ รอื่ ยๆ ไปจะเกดิ ปญ หายงุ ยากโดยตา งฝา ยตอ งสนิ้ เปลอื งคา ใช จายและคา เสยี หายมากเกนิ ไปและอาจเกิดความเสียหายแกบคุ คลภายนอกผูส จุ รติ หากมีการโอนกันตอ ๆ ไปใน การสอบสวนพิจารณาของพนักงานเจาหนาท่ีจะรับอายัดหรือปฏิเสธไมรับเปนเร่ืองท่ีจะตองใชความระมัดระวัง อยางมากเพราะการอายัดเปนการตัดสิทธิของเจาของท่ีดินในอันท่ีจะขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ที่ดินหลักการพิจารณามีอยูวาสิทธิท่ีอางมาเพ่ือขออายัดน้ันเก่ียวกับท่ีจะบังคับเอาแตท่ีดินน้ันโดยตรงหรือไม การขออายดั ทด่ี นิ จะตอ งกระทาํ กอ นมกี ารฟอ งรอ งตอ ศาลถา ฟอ งศาลแลว รบั อายดั ไมไ ดเ วน แตศ าลจะสงั่ อายัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงและการขออายัดจะกระทําไดแตเฉพาะที่ดินเทาน้ันโดยผูขอ ตองสงหลักฐานเอกสารที่จะบังคับใหเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไมรวมถึงการขออายัดบานเรือนโรง และสิ่งปลูก สรางอนื่ ๆ
64 การขอออกใบแทนโฉนดท่ดี นิ หากโฉนดท่ีดินสูญหาย เจาของที่ดินจะตองออกใบแทนทันทีคําวาสูญหาย หมายถึง ตกหายหรือหาไม พบเมื่อพบวาโฉนดท่ีดินหายเจาของท่ีดินจะตองไปแจงความกับพนักงานสอบสวน ณ ทองท่ีที่เกิดเหตุสูญหาย หรือท่ีท่ีดินต้ังอยูใหพนักงานสอบสวนลงประจําวันไวเปนหลักฐาน โดยแจงหมายเลขโฉนดดวยหากไมทราบ หมายเลขโฉนดก็อาจขอตรวจสอบหมายเลขโฉนดจากบตรรายช่ือเจาของท่ีดินท่ีสํานักงานท่ีดินแลวนําหลักฐาน การแจง ความบัตรประจําตัว ทะเบียนบา น ทะเบยี นสมรส และพยานบคุ คลทีเ่ ชอ่ื ถือได 2 คน (มีบัตรประจาํ ตัว และสาํ เนาทะเบยี นบา นไปดว ย) ซงึ่ รถู งึ การทโี่ ฉนดทดี่ นิ สญู หายไปใหถ อ ยคาํ รบั รองการใหถ อ ยคาํ รบั รองของผขู อ วาเปนความจริงตอพนักงานท่ีดินโดยนําหลักฐานทั้งหมดดังกลาวไปยื่นคําขอออกใบแทนโฉนดที่ดินตอพนักงาน ท่ีดนิ ในเขตท่ีท่ีดินตง้ั อยู หากเจาพนกั งานทด่ี ินสอบสวนแลว เชอ่ื วาโฉนดทส่ี ูญหายจริงก็จะประกาศขอออกใบแทน 30 วนั ปดไว ท่สี ํานกั งานที่ดนิ 1 ฉบบั ท่ที าํ การกาํ นนั 1 ฉบับ ทบี่ ริเวณท่ดี นิ 1 ฉบับในเขตเทศบาลปดไว ณ สาํ นกั งานเทศบาล อกี 1 ฉบบั หากไมม ผี คู ดั คา นกจ็ ะออกใบแทนใหไ ปหากมผี คู ดั คา นและปรากฏวา โฉนดไมส ญู หายจรงิ เจา พนกั งาน ที่ดินกจ็ ะยกเลกิ คาํ ขอ คาํ แนะนําเรอ่ื งการปองกันการทุจรติ เกี่ยวกับท่ดี ิน 1. ควรเก็บรักษาโฉนดทด่ี ิน หรอื หนงั สือรับรองการทาํ ประโยชน (นส.3 หรือ นส.3ก)ไวใ นทปี่ ลอดภัย ถา มีแขกแปลกหนาขอดูโฉนดที่ดินหรือ นส.3 โดยอางวามีคนตองการจะซ้ือใหระมัดระวังเพราะผูทุจริต อาจนําฉบบั ปลอมมาเปล่ยี นได 2. อยาใหผ ูอื่นยืมโฉนดทดี่ ิน หรอื นส.3 ไปไมว ากรณใี ดๆ 3. ในกรณีโฉนดท่ีดิน หรือ นส.3 สูญหายหรือถูกลักใหรับแจงความตอพนักงานสอบสวน (ตํารวจ) โดยเร็วแลว นําใบแจง ความไปแสดงตอ พนกั งานเจา หนา ท่ที ่ีดินเพอ่ื ขอใหอ อกใบแทนใหม 4. อยาเซ็นชื่อในหนังสือมอบอํานาจโดยไมกรอกขอความเปนอันขาดกอนเซ็นช่ือใหกรอกขอความ ในใบมอบใหครบถวนและจะมอบใหไปทํานิติกรรมเร่ืองใดก็ใหเขียนลงไปใหชัดเจนเชน จะขายก็วาขาย จะใหก็วา ให 5. ควรพจิ ารณาถงึ บคุ คลทจี่ ะรับมอบอาํ นาจจากทา นควรเปน บคุ คลทที่ า นเชอื่ ถอื หรอื รจู กั ชอบพอกนั มา นาน หรือเปน ญาตพิ ีน่ อ งกนั อยามอบอาํ นาจใหกับผูท่ีไมรูจ ักมกั คุนกนั มากอนถา ไมจาํ เปน จรงิ ๆ ควรไปทาํ ธุรกิจ ตางๆเกี่ยวกับที่ดินดวยตนเองจะเปนการปลอดภัยและสะดวกกวาแมจะเสียเวลาไปบางก็ยังดีกวาสูญเสียทรัพย 6. ถามเี วลาวางควรนาํ โฉนดทด่ี นิ หรือ นส.3 ไปตรวจสอบที่สํานกั งานท่ดี นิ วาทด่ี นิ ของทา นยังอยูปกติ และมีหลกั ฐานถกู ตองตรงกบั ฉบับท่ีสาํ นกั งานทด่ี ินหรือไมเ พยี งใด 7. กอ นจะรบั ซอื้ รบั ซอื้ ฝากหรอื รบั จาํ นองทด่ี นิ ควรไปตรวจสอบดทู ดี่ นิ ใหแ นน อนถกู ตง อตรงกบั หลกั ฐาน ตามโฉนดท่ีดินหรือ นส.3 ถาสงสัยใหไปขอตรวจสอบหลักฐานที่ดินกอนหรือขอสอบเขตวาเปนที่ดินแปลงเดียว กันหรือไม
65 8. ควรตดิ ตอ กับเจาของที่ดนิ โดยตรง 9. อยาทําสัญญาใหกูยืมเงินกันเองโดยรับมอบโฉนดที่ดิน หรือ นส.3 ไวเปนประกันเปนอันขาด เพราะอาจเปน ฉบับของปลอมทางท่ดี ีควรไปจดทะเบยี นรบั จาํ นอง ตอ พนักงานเจา หนา ทีจ่ งึ จะปลอดภัย 10. การซ้ือขายท่ีดินมีโฉนดผูซ้ือขายชอบที่จะไปจดทะเบียนโอนท่ีสํานักงานท่ีดินและชําระเงินท้ังหมด ทส่ี าํ นกั งานทดี่ นิ ตอ หนา เจา พนกั งานทด่ี นิ ขณะจดทะเบยี นโอนทด่ี นิ ซง่ึ อาจชาํ ระเปน เงนิ สดหรอื แคชเชยี รเ ชค็ กไ็ ด เพ่ือปองกันปญหาตางๆท่ีอาจเกิดข้ึนได เชนหากชําระกอนการจดทะเบียนแลวผูขายอาจบิดพล้ิวไมโอนท่ีดินให หรือนาํ ไปโอนขายใหบุคคลภายนอก กอนท่ีเจาพนักงานท่ีดินจะจดทะเบียนจะสอบถามผูขายวาไดชําระเงินแลวหรือยังผูขายก็อาจเรียกให ผูซ้ือชําระเงินตอหนาเจาพนักงานที่ดินหากผูขายแจงวายังไมไดรับชําระเงินเจาพนักงานท่ีดินจะไมจดทะเบียน ซอ้ื ขายใหป ญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ มกั เกดิ จากผขู ายยงั ไมไ ดร บั ชาํ ระเงนิ คา ทด่ี นิ ครบถว นโดยจดทะเบยี นโอนขายใหผ ซู อื้ ไป กอ นภายหลังผซู ื้อบิดพลว้ิ ไมชําระเงนิ สว นทเี่ หลอื ผขู ายจึงไปฟองรอ งเรยี กเงินคาท่ดี ินสว นทีย่ ังไมไดรบั จากผูซ้ือ แตใ นสญั ญาซอ้ื ขายทด่ี นิ ระบวุ า “ผซู อ้ื ไดช าํ ระและผขู ายไดร บั เงนิ คา ทดี่ นิ รายนเี้ สรจ็ แลว ”ศาลไดพ จิ ารณาแลว วา ขอความดังกลาวในสัญญาแสดงวาผูขายยอมรับวาผูซ้ือไดชําระเงินคาท่ีดินท้ังหมดใหผูขายแลวในวันทําสัญญา การท่ีผูขายนําพยานบุคคลมาสืบวายังไมไดรับชําระเงินครบถวนเปนการนําสืบเปล่ียนแปลงแกไขขอความใน สญั ญาตอ งหา มมใิ หศ าลยอมรบั ฟง แมผ ขู ายจะนาํ เจา พนกั งานทดี่ นิ มาเปน พยานหากในสญั ญาระบวุ า ผขู ายไดร บั ชาํ ระเงนิ แลว เจา พนกั งานทด่ี นิ กต็ อ งเบกิ ความไปตามสญั ญาวา ผขู ายไดร บั ชาํ ระเงนิ แลว แมว า ความจรงิ เจา พนกั งาน ท่ีดินจะรูวายังชําระเงินไมหมดก็ตามมิฉะนั้นเจาพนักงานที่ดินก็จะมีความผิด เม่ือทราบวายังไมชําระเงินเหตุใด จงึ จดทะเบยี นโอนใหแ ละยงั ระบใุ นสญั ญาวา ผขู ายไดร บั ชาํ ระเงนิ แลว เทา กบั ผขู ายขายทด่ี นิ แตไ มไ ดเ งนิ หรอื ไดไ ม ครบถวนทางแกไ ขหากผขู ายยังไมไดรับชาํ ระเงนิ บางสวน ควรแจงใหเจา พนกั งานที่ดนิ บันทกึ ไวในสัญญาและขอ จดทะเบยี นบรุ มิ สทิ ธิ คอื สทิ ธทิ จ่ี ะไดร บั ชาํ ระหนก้ี อ นผอู นื่ ในหนส้ี ว นนน้ั เพอื่ ปอ งกนั มใิ หเ จา หนอี้ น่ื บงั คบั ชาํ ระหน้ี เอาจากทด่ี นิ แปลงนกี้ อ นผขู าย กฎหมายเกี่ยวกบั สหกรณ ในทางกฎหมาย “บุคคล” แบงออกเปน 2 ประเภท คือบคุ คลธรรมดา (Natural person) กับนติ ิบคุ คล (Juristic person) โดยบุคคลธรรมดาหมายถึงมนุษยเราทุกคนนี่เองและหมายความเฉพาะผูท่ีมีชีวิตอยูเทานั้น ผทู ต่ี ายแลว ไมเ รยี กวา บคุ คล สว นนติ บิ คุ คลนนั้ หมายถงึ บคุ คลทก่ี ฎหมายสมมตขิ นึ้ เชน บรษิ ทั จาํ กดั สมาคม มลู นธิ ิ วัดวาอาราม สหกรณ เปนตน โดยหลักการทางกฎหมายแลว การใหกลมุ บุคคล องคก ร หรือกองทนุ ทรพั ยสิน ตา งๆทจี่ ดั สรรไวเ ปน เพอ่ื ดาํ เนนิ กจิ การอนั หนงึ่ อนั ใดมฐี านะเปน นติ บิ คุ คลนนั้ กเ็ พอื่ ใหเ กดิ สถานะแหง ความรบั ผดิ ชอบทางกฎหมายตอบุคคลอื่นท่ีกลุมบุคคล องคกร หรือกองทุนน้ันๆ ไปมีนิติสัมพันธดวย และดวยเหตุน้ีเอง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยซ ง่ึ เปน บทบญั ญตั หิ ลกั ของกฎหมายทว่ี า ดว ยสทิ ธแิ ละหนา ทขี่ องบคุ คลธรรมดา และนิติบุคคลจึงไดกําหนดใหนิติบุคคลจะมีข้ึนไดก็แตดวยอาศัยอํานาจแหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
66 หรอื กฎหมายอืน่ 1 สหกรณ คอื คณะบคุ คลซ่งึ รวมกนั ดาํ เนนิ กิจการเพ่อื ประโยชนท างเศรษฐกิจและสังคม โดยชว ยตนเอง และชวยเหลือซ่ึงกันและกัน และไดจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.25422 และสหกรณท่ีไดจด ทะเบยี นแลว มฐี านะเปนนติ บิ ุคคล3 ดังน้ัน “สหกรณ” จึงเปนนิติบคุ คลซงึ่ มีข้นึ ดวยอาศยั อํานาจแหงพระราชบญั ญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มิใช ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยด งั เชน นติ บิ คุ คลอนื่ ๆ ทว่ั ไป เชน หา งหนุ สว นจาํ กดั หา งหนุ สว นสามญั นติ บิ คุ คล บรษิ ทั จาํ กดั มลู นธิ ิ หรอื สมาคม แตส หกรณก ม็ สี ทิ ธแิ ละหนา ทเี่ ชน เดยี วกบั นติ บิ คุ คลอน่ื ๆ ดงั กลา วตามบทบญั ญตั ิ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยและพระราชบัญญัติสหกรณหรือกฎหมายอื่น ภายในขอบแหงอํานาจ หนา ที่หรือวตั ถปุ ระสงคดงั ไดบ ญั ญตั ิหรือกาํ หนดไวในกฎหมาย ขอ บงั คับ หรอื ตราสารจดั ตัง้ 4 โดยปกตินิติบุคคลยอมมีหนาท่ีและสิทธิเชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เพราะตางก็เปนบุคคลที่กฎหมาย รับรองใหมีสิทธิและหนาท่ีได ยกเวนนิติบุคคลจะมีสิทธิและหนาที่เฉพาะท่ีอยูภายในขอบวัตถุประสงคของ นิติบุคคลน้ัน และตองเปนไปตามที่กฎหมายกําหนดและตามขอบังคับหรือตราสารจัดต้ังเทานั้น นิติบุคคล ไมสมามารถมีสิทธิและหนาที่นอกเหนือไปจากขอบังคับหรือตราสารจัดตั้ง5 เชน สหกรณออมทรัพยยอมมีสิทธิ และหนาท่ีตามวัตถุประสงคและขอบังคับของสหกรณคือการใหสมาชิกสหกรณและ/หรือสหกรณอื่นกูยืมเงิน เทาน้ัน จะไปใหบุคคลทั่วไปที่มิใชสมาชิกสหกรณกูยืมเงินไมได เพราะเปนการนอกเหนือขอบวตั ถุประสงคและ ขอบงั คบั ของสหกรณอ อมทรพั ย อยางไรก็ตามแมวา นิตบิ ุคคลจะมีสทิ ธิและหนา ทเ่ี หมือนบุคคลธรรมดากจ็ รงิ อยู แตสทิ ธิและหนาทบ่ี างอยา งซ่ึงโดยสภาพจะพึงมไี ดเ ฉพาะบุคคลธรรมดาเทา นน้ั เชน การคดั เลือกเขา รบั ราชการ ทหาร การสอบแขงขันบรรจุเปนขาราชการ การสมรสกับบุคคลอื่นเพ่ือมีบุตรหลานสืบตอไป หรือการรับบุตร บุญธรรม เปนตน เพราะสิทธิและหนา ท่ีเหลานีเ้ หน็ ไดช ดั วามไี ดเฉพาะบุคคลธรรมดาเทานั้น นิติบคุ คลไมมชี วี ิต จิตใจ รักใครไมเ ปน คดิ เองไมได พูดเองไมได นิตบิ ุคคลจงึ ตองมีผอู น่ื ซ่งึ เปนบคุ คลธรรมดาทําการแทน แตกตาง จากบุคคลธรรมดาทสี่ ามารถดาํ เนินการเองได นิติบคุ คลจึงไมอ าจมีสทิ ธิในเรื่องดังกลา วได เมอื่ กลมุ บคุ คล องคก ร หรอื กองทนุ มฐี านะเปน นติ บิ คุ คลแลว กฎหมายกาํ หนดใหค วามประสงคข องนติ บิ คุ คลยอ ม แสดงออกโดยผูแ ทนของนติ ิบุคคล กฎหมายจงึ บงั คบั ใหน ิติบุคคลตองมผี แู ทนซง่ึ อาจมคี นหนง่ึ หรือหลายคนก็ได ทงั้ นตี้ ามทกี่ ฎหมาย ขอ บงั คบั หรอื ตราสารจดั ตงั้ จะไดก าํ หนดไว6 ในกรณขี องสหกรณน น้ั มพี ระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 กําหนดไวเปน การเฉพาะใหม ี “คณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณ” เปน ผดู ําเนินการกจิ การและเปน 1 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 65 2 พระบญั ญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 4 3 พระบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 37 4 ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 66 5 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 65-67 6 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 70
67 ผูแทนของสหกรณในกิจการอันเกี่ยวกับบุคลภายนอก7 และคณะกรรมการดําเนินการสหกรณดังกลาวนั้นตอง ประกอบไปดว ยประธานกรรมการหนงึ่ คนและกรรมการอน่ื อกี ไมเ กนิ สบิ สค่ี นซง่ึ ทป่ี ระชมุ ใหญเ ลอื กตง้ั จากสมาชกิ 8 เพราะฉะนั้นการดําเนินกิจการสหกรณเพ่ือใหเปนไปตามวัตถุประสงคจึงตองอาศัยคณะกรรมการดําเนินการ สหกรณเปนผูบริหารตามหลักทั่วไปของการบริหารจัดการองคกร โดยมีคณะกรรมการดําเนินการเปนผูกําหนด กรอบและวางนโยบายของการบริหาร มี “ฝายปฏิบัติการ” อันประกอบดวยผูจัดการสหกรณและเจาหนาท่ี สหกรณ ซ่ึงจะเปนผูปฏิบัติงานตาง ๆ ใหเปนไปตามนโยบายท่ีคณะกรรมการกําหนด แตดวยเหตุที่สหกรณ มหี ลกั การและอดุ มการณใ นการจดั ตง้ั ทแ่ี ตกตา งจากการจดั ตงั้ กลมุ บคุ คล องคก ร หรอื กองทนุ อนื่ ทต่ี อ งชว ยเหลอื ซ่ึงวากันและกัน คณะกรรมการดําเนินการจึงมีความจําเปนที่ตองลงไปเปนฝายปฏิบัติในบางเร่ืองได มิใชเรื่อง แปลกหรอื ผดิ หลกั การการบรหิ ารจดั การองคก รแตป ระการใด นอกจากนนั้ เพอ่ื ใหเ กดิ ประสทิ ธภิ าพของการดาํ เนนิ กิจการสหกรณจึงมีการกําหนดใหสหกรณมี “ผูตรวจสอบกิจการ” ซ่ึงท่ีประชุมใหญเลือกต้ังจากสมาชิกหรือ บคุ คลภายนอกเปน ผตู ดิ ตามดแู ล “กจิ การ” ของสหกรณ และตอ งจดั ทาํ รายงานกจิ การของสหกรณต อ ทป่ี ระชมุ ใหญ9 จึงเห็นไดวาบุคคลสามประเภทดังกลาวมีบทบาทสําคัญอยางมากตอการบริหารกิจการสหกรณใหกิจการ สหกรณรุงเรืองเปนไปตามวัตถุประสงคและเปาหมายของการรวมกลุมกันของคณะบุคคลเพ่ือจัดตั้งสหกรณซึ่ง เปน ธรุ กจิ ของประชาชนอยางแทจริง ในการบริหารงานสหกรณออมทรัพยนั้น ประเด็นแรก คณะกรรมการตองทําความเขาใจใหถองแทและ ลกึ ซงึ้ พอสมควรกับหลกั การและอุดมการณส หกรณ ซงึ่ ผเู ขยี นไมข อกลาวถงึ ณ ทน่ี ้ี เพราะโดยสมมุตฐิ านผูเขยี น เชอื่ วา สมาชกิ ทอี่ าสาเขา เปน กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณน า จะตอ งรแู ละเขา ใจเปน อยา งดอี ยแู ลว เพยี งแตอ ยาก จะช้ีใหเห็นวาหลักการสหกรณนั่นหาไดแตกตางไปจากหลักเศรษฐกิจพอเพียงแตอยางใด เพราะอยางนอยการ ดาํ เนนิ กิจการทั้งหมดตอ งเอาสมาชกิ เปนศนู ยก ลางของการพฒั นา และอาศัยความรวมมอื ชวยกนั เพ่ือประโยชน ทางเศรษฐกจิ และสงั คมของสมาชกิ มใิ ชเ พอ่ื มงุ ทค่ี วามมง่ั คงั่ หรอื ผลประโยชนข องสหกรณจ นหลงลมื ความมน่ั คง ของสมาชกิ สหกรณตอ งเปนภมู ิคุม กันใหสมาชิก ปองกันมใิ หสมาชกิ ถกู กลุมทุนเอารดั เอาเปรียบจนในทายทสี่ ดุ ตอ งกลายเปน เกษตรกรผหู มดทท่ี าํ กนิ สญู เสยี ทดี่ นิ หรอื สญู เสยี ทรพั ยส นิ เพราะไมส ามารถชาํ ระหนแ้ี กเ จา หนห้ี รอื สหกรณได ประการท่ีสอง กรรมการดําเนินการสหกรณตองมีความรูในเรื่องตาง ๆ เริ่มตนตั้งแต การกําหนด นโยบายดานการเงนิ การคลงั การวางแผน การบริหารองคกร เศรษฐกิจ สงั คม และการพัฒนาคน โดยเฉพาะ ความรูดานกฎหมายซึ่งจําเปนและเก่ียวของกับการดําเนินกิจกรรมตาง ๆ ของสหกรณเพื่อใหเพียงพอตอการ บริหารสหกรณโ ดยรวมซึง่ มกี ฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ งกบั การบริหารสหกรณอยหู ลายฉบบั หลายเรื่อง คงเปน เรื่องยาก ทจ่ี ะทาํ ความเขา ใจใหค รบถว นทกุ เรอ่ื ง แตอ ยา งนอ ยกค็ วรกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณก ค็ วรจะเขา ใจในโครงสรา ง 7 พระบัญญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 51 8 พระบญั ญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 50 9 พระบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 53
68 กฎหมายที่เกี่ยวของดังกลาวไวบางเพื่อเปนพื้นฐานในการตอยอดความคิด การท่ีจะศึกษาคนควากฎหมาย เพมิ่ เตมิ ตอ ไปกจ็ ะมใิ ชเ รอื่ งทเ่ี หลอื บา กวา แรงของกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณแ ตล ะคน การเปน กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณเ ปรยี บเสมอื นเปน คณะรฐั มนตรี ผมู หี นา ทใี่ นการบรหิ ารงานและกจิ การสหกรณ มใิ ชเ ปน ผแู ทนชนชน้ั ที่ตองเขามารักษาผลประโยชนของกลุมที่สนับสนุนตนหรือพวกพองของตน สหกรณมิใชเรื่องของการเมืองหรือ ผลประโยชนของกลุมแตเปนเร่ืองความมั่นคงในการดํารงชีวิตของมวลสมาชิกทุกคนที่จะรวมมือกันทํากฎหมาย ทเ่ี กี่ยวขอ งกบั การสหกรณ เชน โครงสรางสหกรณจะเปนอยา งไร ใครจะเปนผูบรหิ ารหรอื ผูแ ทนสหกรณไดบาง ธุรกจิ หรือกจิ กรรมใดทีส่ หกรณส ามารถดาํ เนินการไดห รือไมไ ด วิธกี ารดาํ เนินการบริหารตองทาํ อยางไร เปนตน ในสวนนี้พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 ซึ่งเปนกฎหมายหลักในการบริหารสหกรณท่ีกรรมการดําเนินการ สหกรณจ ะตอ งทาํ ความเขา ใจใหม ากทสี่ ดุ เพราะเปน กฎหมายทวี่ า ดว ยตงั้ แตก ารสง เสรมิ สนบั สนนุ การกาํ กบั ดแู ล สหกรณ โครงสรา งสหกรณและวธิ ีดําเนินงานเปนสาํ คญั กิจการใดท่ีทาํ บาง กิจกรรมใดบา งทีท่ าํ ไมได รวมท้งั วิธี การควบรวม การแยกสหกรณ เปนตน โดยโครงสรางของพระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 จงึ มีลกั ษณะเปน กฎหมายมหาชนท่ีรัฐอาจใชอํานาจเขามากํากับดูแลในบางกิจกรรมของสหกรณ เพราะเน่ืองจากสหกรณเปน กจิ การทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการรวมตวั ของกลมุ คนทม่ี คี วามประสงคจ ะชว ยเหลอื ตนเองและชว ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั เพอ่ื ประโยชนท างเศรษฐกจิ และสงั คมเปน สาํ คญั มใิ ชเ ปน องคก รทจ่ี ดั ตง้ั ขน้ึ เพอ่ื มงุ แสวงหากาํ ไรเปน หลกั เพราะฉะนน้ั สหกรณจึงเปนกิจการที่มีกลุมคนจํานวนมากเปนเจาของ มิใชของผูใดผูหน่ึงและที่สําคัญที่สุดการมีสวนรวมใน การบริหารสหกรณเปนของมวลสมาชิกสหกรณทั้งหมด สมาชิกสหกรณแตละคนมีสิทธิที่จะออกเสียงเพ่ือการ ตัดสินใจในกิจการของสหกรณไดเพียงหนึ่งเสียงไมวาสมาชิกสหกรณผูน้ันจะถือหุนจํานวนเทาใดก็ตาม10 ตา งกบั องคก รทางธรุ กจิ อน่ื ทผี่ ถู อื หนุ อาจออกเสยี งไดจ าํ นวนหนุ ทถี่ อื ความจาํ เปน ทรี่ ฐั จะตอ งควบคมุ จงึ ยงั ตอ งมี อยบู า งเพอื่ ปอ งกนั และคมุ ครองทงั้ สทิ ธแิ ละทรพั ยส นิ ของสมาชกิ ผดู อ ยโอกาสมใิ หก ระทบกระเทอื นจากการบรหิ าร ของคณะกรรมการดําเนินการสหกรณท่ีสมาชิกเลือกเขามาบริหารงานแทนตนตามวิถีทางประชาธิปไตย สวนความรับผิดทางกฎหมายของคณะกรรมการตอสมาชิกก็ดี ตอบุคคลภายนอกก็ดี พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มิไดบัญญัติไวเปนการเฉพาะ จึงจําเปนตองใชประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมาบังคับใชกับ สหกรณดว ย ดังน้ัน เพ่ือใหเกิดความเขาใจในดานกฎหมายท่ีเก่ียวของ ผูเขียนจึงแบงกฎหมายที่เก่ียวของออกเปน สวน ๆ ดงั นี้ 1. กฎหมายท่เี กี่ยวกับอํานาจกระทําการของคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณ 10พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 59
69 2. กฎหมายทเ่ี กีย่ วกบั การดาํ เนินงานสหกรณ 3. กฎหมายทเี่ กี่ยวกับการดําเนนิ กิจการสหกรณ ตอนท่ี 2 กฎหมายท่เี ก่ยี วขอ งอํานาจกระการของคณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณ ดังไดกลาวมาแลวในบทนําวา นิติบุคคลจะเกิดข้ึนไดก็เพราะอาศัยอํานาจแหงบทบัญญัติของกฎหมาย เทาน้ัน กลาวคือ กลุมบุคคล องคกร หรือกองทุนท่ีประกอบธุรกิจหรือกิจกรรมกับบุคคลอ่ืนและประสงคจะมี สถานะเทา เทยี มในการมแี ละใชส ทิ ธติ า ง ๆ ในทางนติ กิ รรมสญั ญา กจ็ าํ เปน ตอ งมกี ฎหมายรบั รองใหเ ปน นติ บิ คุ คล เสยี กอน อาจจะเปน นติ ิบุคคลตามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย หรือกฎหมายอน่ื ๆ ก็ได เชน สหกรณเ ปน นิตบิ ุคคลเพราะพระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 37 วรรคสอง ซึ่งบญั ญัติกาํ หนดใหส หกรณท ่ไี ดจด ทะเบยี นแลว มฐี านะเปน นติ บิ คุ คล เปน ตน สว นใครจะเปน ผแู ทนนติ บิ คุ คลซง่ึ ตอ งมหี นา ทกี่ ระทาํ การแทนแสดงออก ถงึ ความประสงคข องนติ บิ คุ คลไดบ า ง ยอ มแตกตา งไปตามประเภทของนติ บิ คุ คลนน้ั ๆ ซง่ึ กฎหมายบญั ญตั ไิ วแ ตก ตางกันตามประเภทนิตบิ คุ คล เชน รัฐมนตรเี ปนผแู ทนของกระทรวง อธิบดเี ปน ผูแทนของกรมที่ตนสังกดั คณะ กรรมการของมลู นิธเิ ปนผแู ทนของมูลนิธิ กรรมการบรษิ ัทจาํ กัดเปนผูแทนของบริษทั จํากัด เจาอาวาสเปนผแู ทน ของวัด เปนตน สําหรับสหกรณน้ัน กฎหมายกําหนดใหคณะกรรมการดําเนินการสหกรณเปนผูแทนของสหกรณ แตอ ยา งไรกต็ ามการตง้ั ผแู ทนตอ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายทเี่ กย่ี วขอ งกบั นติ บิ คุ คลนน้ั ๆ หรอื ตอ งทาํ ตามตราสารหรอื ขอ บงั คบั ของนิตบิ ุคคลแตละประเภท ในสวนของคณะกรรมการดาํ เนินการสหกรณยอมตอ งมาจากการเลอื กต้ัง โดยที่ประชุมใหญ และคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณดงั กลา วนน้ั ตอ งประกอบไปดว ยประธานกรรมการหนึ่ง คนและกรรมการอ่ืนอีกไมเกินสิบส่ีคน ซ่ึงแตกตางจากผูแทนของนิติบุคคลอื่น ๆ เชน กรรมการบริษัทจํากัด กฎหมายกําหนดแตเพียงวา ใหมี “กรรมการ” หน่ึงคนหรือหลายคนดวยกันจัดการตามขอบังคับของบริษัท และอยูในความครอบงําของที่ประชุมแหงผูถือหุนทั้งปวง11 ผูเปนกรรมการจะพึงมีจํานวนมากนอยเทาใดใหสุด แลวแตท่ีประชุมใหญจะกําหนด12 ขอ แตกตา งท่เี หน็ ไดชดั คอื องคป ระกอบของคณะกรรมการดาํ เนินการสหกรณ มีสองสวน สวนที่หนึ่งคือ “ประธานกรรมการ” ซึ่งมีไดเพียงหนึ่งคน สวนท่ีสองคือ “กรรมการอื่น” ซึ่งมไี ดไมเกนิ สิบส่ีคนท้งั สองสวนตางไดรบั การเลือกตงั้ แยกจากกนั โดยเด็ดขาดจากท่ีประชุมใหญเชน เดียวกนั ดังน้ันเมื่อใดที่ประธานกรรมการวางลงไมวาจะเปนเพราะขาดคุณสมบัติ หรือถึงแกกรรม หรือลาออก ความเปน คณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณก ห็ มดไปเชน กนั จะเรยี กประชมุ คณะกรรมการกไ็ มไ ดแ มจ ะครบองค ประชมุ เพราะไมค รบองคป ระกอบ กรรมการอน่ื ทเ่ี หลอื กไ็ มอ าจดาํ เนนิ กจิ การและเปน ผแู ทนสหกรณอ นั เกย่ี วกบั 11 ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 1145 12 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 1150
70 บคุ คลภายนอกไดเ ลย แตต รงกนั ขา มในกรณกี รรมการอนื่ วา งลงคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณก ส็ ามารถดาํ เนนิ กิจการและเปนผูแทนสหกรณอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอกไดหากยังมีกรรมการเพียงพอที่จะเปนครบองคประชุม ความเปนคณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณย ังคงมีอยเู พราะครบองคประกอบ ในกรณีกรรมการดําเนินการสหกรณวางลงซ่ึงมิใชกรณีพนตามวาระ เชน ลาออก ถึงแกกรรมกรรม ขาดคุณสมบัติ หรือถูกที่ประชุมใหญถอดถอน13 หากยังมีจํานวนที่เปนองคประชุมได สหกรณอาจไมเลือกต้ัง กรรมการดําเนินการเขามาทดแทนก็ได แตในกรณีท่ีมีการเลือกกรรมการดําเนินการสหกรณแทนตําแหนงท่ีวาง ใหก รรมการดาํ เนนิ การสหกรณท ไ่ี ดร บั เลอื กอยใู นตาํ แหนง เทา กบั วาระทเ่ี หลอื อยขู องผทู ตี่ นแทน14 แตก รณที นี่ าย ทะเบยี นสหกรณส ง่ั ใหก รรมการดาํ เนนิ การสหกรณพ น จากตาํ แหนง ใหพ น จากตาํ แหนง ตามมาตรการทางกฎหมาย มหาชน เพราะคณะกรรมการดําเนินการสหกรณกระทําการหรืองดเวนกระทําการในการปฏิบัติหนาท่ีของตน จนทาํ ใหเ สอื่ มเสยี ประโยชนข องสหกรณห รอื สมาชกิ หรอื สหกรณม ขี อ บกพรอ งเกย่ี วกบั การเงนิ การบญั ชี กจิ การ หรือฐานะการเงิน15 นายทะเบียนสหกรณอาจต้ังคณะกรรมการชั่วคราวซ่ึงมิไดกําหนดวาจะตองมีจํานวนเทาใด เพอื่ ทําหนาทเ่ี ปนคณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณ โดยใหอยูในตาํ แหนงไดไมเ กินหนึ่งรอยแปดสบิ วนั และกอน ที่จะพนตําแหนง ใหคณะกรรมการช่วั คราวจัดประชมุ ใหญเ พ่ือเลอื กต้ังกรรมการดาํ เนินการสหกรณข ้ึนใหม1 6 แต กรณีที่นายทะเบียนสหกรณส่ังใหกรรมการบางคนพนจากตําแหนง ใหคณะกรรมการดําเนินการสหกรณสวนที่ เหลือเรียกประชุมใหญเลือกต้ังผูเปนกรรมการแทนภายในสามสิบวันนับแตวันท่ีกรรมการพนตําแหนง ถามิได เลอื กต้ังหรอื เลือกตงั้ ผูเ ปน กรรมการไมไ ดตามกาํ หนดเวลา ใหน ายทะเบียนสหกรณต้ังสมาชกิ เปนกรรมการแทน ในการนใ้ี หผ ซู ง่ึ ไดร บั การเลอื กตงั้ หรอื แตง ตง้ั นน้ั อยใู นตาํ แหนง กรรมการเทา กบั วาระทเี่ หลอื อยขู องผซู งึ่ ตนแทน17 นอกจากพระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 บัญญัตกิ ารตั้งกรรมการดาํ เนินการสหกรณไ วเ ปน พิเศษใน กรณที ่ีมเี หตุใหก รรมการดาํ เนนิ การสหกรณวา งลงเฉพาะกรณตี ามมาตรา 24 และ 25 ซึง่ ตองดาํ เนินการไปตาม นน้ั ดงั กลาวมาแลว ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ยยังบัญญัติใหอ ํานาจศาลตั้งผูจัดการชัว่ คราวของนติ ิบุคคล หากปรากฏวา มตี าํ แหนง วา งลงในจาํ นวนผแู ทนนติ บิ คุ คลและมเี หตอุ นั ควรเชอื่ วา การปลอ ยตาํ แหนง วา งไวน า จะ เกดิ ความเสียหายขึ้นได เมื่อมีผูมีสว นไดส ว นเสียคนใดคนหนง่ึ หรอื พนกั งานอัยการรองขอตอ ศาล ศาลจะแตง ตัง้ ผจู ดั การชว่ั คราวขนึ้ กไ็ ด1 8 ซง่ึ หมายถงึ หากประธานกรรมการดาํ เนนิ การวา งลงอนั เปน เหตใุ หไ มค รบองคป ระกอบ คณะกรรมการ หรือกรรมการวางลงจนไมค รบองคประชมุ สมาชกิ หรอื พนกั งานอยั การอาจรองขอใหศาลแตง ตั้ง กรรมการดาํ เนินการตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 73-75 ดังกลาว ได อํานาจกระทําการแทนสหกรณของคณะกรรมการดําเนินการสหกรณ ในพระราชบัญญัติสหกรณ 13 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 52 14 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 50 วรรคสี่ 15 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 22 16 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 24 17 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 25 18 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 73
71 พ.ศ.2542 กําหนดแตเ พยี งวาใหค ณะกรรมการดาํ เนินการสหกรณดําเนินกจิ การและเปน ผแู ทนสหกรณอนั เกยี่ ว กับบุคคลภายนอก เพ่ือการน้ีคณะกรรมการดําเนินการสหกรณจะมอบหมายใหกรรมการหนึ่งคนหรือหลายคน หรือผูจัดการทําการแทนก็ได19 ซ่ึงเปนบทหลักท่ีกรรมการดําเนินการตองคํานึงถึงเปนอยางย่ิงโดยเฉพาะในการ มอบอํานาจของคณะกรรมการ ถึงแมวากฎหมายจะใหนําบทบัญญัติวาดวยตัวแทนแหงประมวลกฎหมายแพง และพาณิชยมาใชบงั คบั แกความเกย่ี วพันระหวา งนิติบคุ คลกบั ผูแทนของนิติบคุ คล และระหวา งนิตบิ คุ คล หรือผู แทนของนติ บิ คุ คลกบั บคุ คลภายนอก เพราะพระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 บญั ญตั ไิ วโ ดยเฉพาะแลว วา คณะ กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณจ ะมอบอาํ นาจใหไ ดก แ็ ตก รรมการหรอื ผจู ดั การเทา นน้ั การจะไปมอบอาํ นาจใหบ คุ คล อนื่ ทาํ การแทนจาํ ทําไมไ ด และจะใหผ รู ับมอบอาํ นาจมีอาํ นาจมอบตวั แทนชวงดว ยก็ย่ิงไมไ ดเ ลยเพราะกฎหมาย จํากัดตัวผูรับมอบอํานาจวาอนุญาตใหแกกรรมการสหกรณและผูจัดการสหกรณเทานั้น นอกเหนือจากน้ันตอง พิจารณาตอไปอกี วาขอ บงั คบั หรือระเบยี บตา ง ๆ ของสหกรณกาํ หนดอํานาจหนา ทไ่ี วอ ยา งไรบา ง เพราะเมอ่ื ใด ทห่ี นา ทกี่ ย็ อ มมคี วามรบั ผดิ ตดิ ตามมา เมอื่ ใดทม่ี อี าํ นาจเมอ่ื นน้ั ยอ มตอ งมคี วามรบั ผดิ ชอบในการใชด ลุ ยพนิ จิ ดว ย เชน ความไมสุจริตและความประมาทเลินเลอในการใชดุลยพินิจจนเกิดความเสียหายแกสหกรณ แมพระราช บญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มไิ ดบ ญั ญัติไวถงึ ความรับผิดของคณะกรรมการดาํ เนินการสหกรณไ ว ก็หาใชจ ะไมมี กฎหมายใชบังคับเสียท่ีเดียว หลักกฎหมายเก่ียวสิทธิและหนาท่ีของบุคคลและนิติบุคคลน้ันถูกรวบรวมไวใน ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย และหากเมอ่ื ไมม บี ทกฎหมายใดทย่ี กมาปรบั คดไี ด ใหว นิ จิ ฉยั คดนี นั้ ตามจารตี ประเพณีแหงทองถิ่น ถาไมมีจารีตประเพณีเชนวานั้น ใหวินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกลเคียงอยางย่ิง และถาไมมีบทกฎหมายเชนนั้นก็ไมมีดวย ใหวินิจฉัยตามหลักกฎหมายท่ัวไป20 ดังนั้นคณะกรรมการดําเนินการ สหกรณซ่ึงมีหนาที่ในการกระทําการแทนสหกรณจะตองปฏิบัติตามหลักทั่วไปสําหรับการจัดการนิติบุคคลดังที่ บญั ญตั ิไวใ นประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย บรรพ 1 หลกั ทวั่ ไป หมวด 2 นติ บิ คุ คล สวนที่ 1 บทเบด็ เสร็จ ทัว่ ไป ตามท่ีกลา วมาแลว และยังตองใชก ฎหมายแบบเทยี บเคยี ง (Analogy) โดยเทียบเคียงกับ บรรพ 3 ลักษณะ 22 หุน สว นบริษทั หมวด 4 บริษัทจํากดั เทา ท่ไี มขดั หรือแยงกบั พระราชบญั ญัติสหกรณ พ.ศ.2542 ดวย ซง่ึ ใน บางสว นสามารถนาํ มาใชก บั กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณไ ด หากสหกรณม ไิ ดม ขี อ กาํ หนดไวเ ปน ประการอนื่ ในขอ บังคับหรือตราสารจัดต้ังหรือโดยกฎหมาย เชน ในกรณีประโยชนไดเสียของสหกรณขัดกับประโยชนไดเสียของ กรรมการดําเนินการสหกรณ กรรมการดําเนินการสหกรณผูนั้นจะกระทําการแทนสหกรณไมได21 หรือกรณีท่ี นติ บิ คุ คลมผี แู ทนหลายคน การดาํ เนนิ กจิ การของนติ บิ คุ คลใหเ ปน ไปตามเสยี งขา งมากของผแู ทนนติ บิ คุ คล22 หรอื ขอปรกึ ษาซง่ึ เกิดเปน ปญหาในการประชมุ กรรมการนัน้ ใหช ขี้ าดตดั สนิ เอาเสยี งขา งมากเปน ใหญ ถาและคะแนน 19 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 51 20 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 4 วรรคสอง 21 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 74 22 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 71
72 เสียงเทากัน ใหผูเปนประธานเปนผูออกเสียงชี้ขาด23 สวนการจัดการทรัพยสินและธุรกิจดังกลาวภายในขอบ วตั ถปุ ระสงคแ ละขอ บงั คบั ของนติ บิ คุ คลนน้ั ในกรณที ผ่ี ลประโยชนไ ดเ สยี นติ บิ คุ คลขดั กบั ผลประโยชนไ ดเ สยี ของ ผูแทนนิติบุคคลในการอันใด ผูแทนของนิติบุคคลน้ันจะเปนผูแทนในการอันน้ันไมได24 กรรมการหรือผูจัดการ ยอ มไมม อี าํ นาจเปน ผแู ทนนติ บิ คุ คลเพอื่ ทาํ การนนั้ ๆ นอกจากนนั้ ถา มขี อ จาํ กดั หรอื แกไ ขเปลย่ี นแปลงอาํ นาจของ ผูแทนนิติบุคคลใหมีผลตอเมื่อไดปฏิบัติตามกฎหมาย ขอบังคับ หรือตราสารจัดต้ังแลว25 นิติบุคคลนั้นตองแจง บุคคลภายนอกทราบดวย มิฉะน้ันจะยกขอจาํ กัดอํานาจน้ีข้นึ เปน ขอ ตอสบู ุคคลภายนอกผทู ําการโดยสุจรติ หาได ไม และถาการกระทําตามหนา ทีข่ องผูแทนของนิตบิ คุ คลหรอื ผมู ีอาํ นาจกระทําการแทนนิตบิ คุ คลเปน เหตใุ หเ กดิ ความเสยี หายแกบ คุ คลอน่ื นติ บิ คุ คลนนั้ ตอ งรบั ผดิ ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนแกค วามเสยี หายนน้ั แตไ มส ญู เสยี สทิ ธิ ทจ่ี ะไลเ บยี้ เอาแกผ กู อ ความเสยี หาย ถา ความเสยี หายแกบ คุ คลอนื่ เกดิ จากการกระทาํ ทไ่ี มอ ยใู นขอบวตั ถปุ ระสงค หรืออํานาจหนาที่นิติบุคคล บุคคลดังกลาวท่ีไดเห็นชอบใหกระทําการน้ันหรือไดเปนผูกระทําการดังกลาวตอง รวมกันรับผิดชอบชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูที่ไดรับความเสียหายน้ัน26 เวนแตการดังกลาวไดกระทําไปไดรับ อนมุ ตั ิของทป่ี ระชมุ ใหญแลว27 ตอนท่ี 3 กฎหมายที่เกี่ยวของการดําเนินงานการสหกรณ ในพระราชบัญญัติสหกรณมีสวนสําคัญท่ีคณะกรรมการดําเนินการสหกรณตองศึกษาในอีกสองเร่ือง ซง่ึ ตอ งแยกออกจากกนั ใหช ดั เจน คอื “การสหกรณ” ทง้ั นเ้ี นอ่ื ง คณะกรรมการตอ งดาํ เนนิ การสหกรณอ นั ประกอบ ดวย “งานสหกรณ” กับ “กิจการสหกรณ” เพราะนอกจากคณะกรรมการดําเนินการสหกรณตองรบั ผดิ ชอบการ ดําเนินงานสหกรณตอสมาชิกสหกรณน้ันแลว ยังตองดําเนินงานสหกรณภายใตการกํากับดูแลของเจาหนาท่ีรัฐ อนั ประกอบไปดว ยนายทะเบยี นสหกรณ รองนายทะเบยี นสหกรณ ผตู รวจการสหกรณ ผสู อบบญั ชหี รอื พนกั งาน เจา หนาทีซ่ ึ่งนายทะเบียนมอบหมาย เพื่อใหสหกรณด าํ รงคงอยไู ดอ ีกดว ยซงึ่ ในสว นน้เี ปนเรอ่ื งของการตรวจสอบ โดยรัฐเปนสําคญั ดงั จะเหน็ ไดจากบทบัญญัติที่วา “นายทะเบียนสหกรณ รองนายทะเบยี นสหกรณ ผูต รวจการ สหกรณ ผูสอบบัญชีหรือพนักงานเจาหนาท่ีซ่ึงนายทะเบียนมอบหมาย มีอํานาจออกคําสั่งเปนหนังสือ ใหคณะกรรมการดําเนินการสหกรณ ผูตรวจสอบกิจการ ผูจัดการ เจาหนาที่ หรือหรือเชิญสมาชิกสหกรณ มาช้ีแจงขอเท็จจริงเก่ียวกับกิจการสหกรณ หรือใหสงเอกสารเก่ียวกับการดําเนินงาน หรือรายงานการประชุม ของสหกรณได2 8” จึงเห็นไดวาในกรณีท่ีเปนกิจการสหกรณนั้นเจาหนาท่ีรัฐไมอาจขอดูเอกสารทางธุรกรรมหรือ สญั ญาตา งๆ ของสหกรณไ ดเ พราะจะกลายเปน วา เจห นา ทข่ี องรฐั เขา ไปลว งรคู วามลบั ทางธรุ กจิ ของสหกรณแ ละ สมาชิกสหกรณท่ีทําธุรกิจกับสหกรณได ซ่ึงเปนเร่ืองตองหามในทางธุรกิจและถือเปนการละเมิดสิทธิของผูอ่ืน 23 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 1161 24 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 74 25 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 72 26 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 76 27 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 1170 28 พระราชบัญญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 17
73 ในทางตรงกนั ขา มหากเปน เรอ่ื งของงานสหกรณเ จา หนา ทขี่ องรฐั สามารถขอดเู อกสารทเี่ กยี่ วขอ งกบั งานสหกรณ ไดท ง้ั หมด ปญ หาทตี่ อ งศกึ ษาตอ ไปกค็ อื อยา งไรทเี่ รยี กวา งานสหกรณ อยา งไรทเ่ี รยี กวา กจิ การสหกรณ เพราะเปน เร่ืองที่คณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณจะตอ งมีความรับผิดชอบทแี่ ตกตางกนั ดังนัน้ ในตอนที่ 3 นจ้ี ึงจะกลาว สง่ิ ทีเ่ รยี กวา งานสหกรณเ สียกอน สวนในตอนที่ 4 จะไดถึงกจิ การสหกรณตอ ไป งานสหกรณเ ปน งานทวี่ า ดว ยจดั ระบบสหกรณเ พอื่ พฒั นาไปสคู วามมน่ั คงใหส หกรณค งอยซู งึ่ กฎหมายได กําหนดวิธีการดําเนินงานไวเปนมาตรฐานเดียวกันอยูแลว ท้ังไดมอบหมายใหเจาหนาที่รัฐมีอํานาจสงเสริม ชวยเหลือ แนะนําและกํากับดูแลสหกรณใหเปนไปตามบทแหงพระราชบัญญัติสหกรณและกฎหมายอื่น โดยสามารถกําหนดระบบบัญชีและมาตรฐานการสอบบัญชีและแบบรายงานตาง ๆ ที่สหกรณตองยื่นตอนาย ทะเบียนสหกรณ รวมทั้งการแทรกแซงสหกรณดวยการออกคําส่ังใหมีการตรวจสอบหรือไตสวนการดําเนินงาน หรอื ฐานะการเงนิ การสง่ั ระงบั การดาํ เนนิ งานทง้ั หมดหรอื บางสว น หรอื ใหง ดเวน กระทาํ การอนั อาจจะกอ ใหเ กดิ ความเสยี หายแกส หกรณห รอื สมาชกิ 29 ฉะนนั้ จงึ อาจแบง งานสหกรณไ ดต ง้ั แตก ารกาํ หนดใหม คี ณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณเปนผูบริหารสหกรณ30 ใครเปนผูแทนของสหกรณ31 การจัดทําขอบังคับ32 การแกไขขอบังคับ33 การจัดทําทะเบียนสมาชิกและทะเบียนหุน34 การจัดทําบัญชี การบันทึกรายการในบัญชีและการลงบัญชี35 การจดั ทาํ งบดลุ 36การจดั ทาํ รายงานประจาํ ปแ สดงผลการดาํ เนนิ งาน37 การเกบ็ รกั ษาเอกสาร38การประชมุ สมาชกิ 39 การจัดสรรกําไรสุทธิ40 และการจัดการกับทุนสํารองและเงินของสหกรณ41 เปนตน ดังนั้น กระบวนการและ ข้ันตอนตาง ๆ ในงานสหกรณลวนถูกกําหนดไวในพระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 เกือบทั้งหมด บางกรณี ท่ียังไมกฎหมายยังบัญญัติไวก็เปนหนาที่ของนายทะเบียนสหกรณท่ีจะออกระเบียบกําหนดแนวทางใหสหกรณ และคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณป ฏบิ ตั ิ รวมตลอดถงึ การตรวจสอบขอ และรบั จดั ทะเบยี นบงั คบั ของสหกรณ4 2 29 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 16 30 พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 50 31 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 51 32 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 43 33 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 44, 59 34 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 64 35 พระราชบัญญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 65 36 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 66 37 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 67 38 พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 68 39 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 54-60 40 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 60 41 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 61, 62 42 พระราชบญั ญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 44
74 หากสหกรณม ปี ญ หาเกยี่ วกบั การตคี วามขอ บงั คบั ใหข อวนิ จิ ฉยั จากนายทะเบยี นสหกรณ และใหส หกรณถ อื ปฏบิ ตั ิ ตามคาํ วนิ ิจฉยั นั้น43 งานสหกรณด งั ทยี่ กมาขา งตน จะมคี วามสมั พนั ธก บั ความรบั ผดิ ชอบของคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณ เพราะพระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 ไดบญั ญตั ิกาํ หนดขอบเขตของความรับผิดชอบเปนลาํ ดบั ช้ัน ซึ่งหาก ไมดําเนินการตามท่ีกําหนดอาจถูกมาตรการทางกฎหมายมหาชนตั้งแตการตรวจสอบ การไตสวนได การสั่งให ระงับการดําเนินงาน จนกระท่ังการเขาแทรกแซงของเจาหนาท่ีรัฐโดยการใหคณะกรรมการหรือกรรมการคนใด พนจากตําแหนงหรือการส่ังใหหยุดดําเนินการ44 หรือรองทุกขหรือฟองรองแทนสหกรณในกรณีท่ีกรรมการ ผจู ัดการ หรอื เจาหนา ท่ีของสหกรณท าํ ใหสหกรณเ สยี หายถาสหกรณไ มรอ งทกุ ขหรอื ฟองคด4ี 5 เปน ตน แตท ง้ั นี้ เจาหนาท่ีของรัฐก็ตองไมลืมวากิจการสหกรณเปนกิจการของประชาชน ทุนท้ังหมดเปนของประชาชน เพอ่ื ประโยชนท างเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนโดยการดาํ เนนิ การของประชาชน รัฐเปน แตเพยี งผูมหี นาที่ สงเสริมสนับสนุนและคุมครองเทาน้ัน46 สหกรณมิใชทรัพยสินหรือกิจการของรัฐหรือเปนรัฐวิสาหกิจ เจาหนาท่ี รัฐจึงตองพึงระมัดระวังในการใชอํานาจเขาไปดูแลและไมควรใชอํานาจไปกํากับการดําเนินงานของสหกรณเกิน จําเปนเพื่อปองกันความเสียหาย แตอยางไรก็ตาม หากการใชมาตรการทางกฎหมายมหาชนและการแทรกแซง ของรัฐดังกลาวเปนไปโดยไมถูกตองชอบธรรม คณะกรรมการดําเนินการสหกรณท้ังคณะหรือเปนรายบุคคล หรือสหกรณยังสามารถใชสิทธิดําเนินการตามพระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 คือการอุทธรณคําสั่งตอ คณะกรรมการพัฒนาการสหกรณแหงชาติ47 หรือดําเนินการพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติทางปกครอง พ.ศ.2539 และในทา ยทส่ี ดุ กค็ อื การดาํ เนนิ การฟอ งรอ งตามพระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลปกครอง พ.ศ.2542 ตอ ไป จงึ อาจกลา ว โดยสรุปไดวาคณะกรรมการดําเนินการสหกรณควรทําความเขาใจงานสหกรณตามที่พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 วามีเรื่องใดบางและมีขั้นตอนลําดับของการปฏิบัติอยางไร เชน การจัดสรรกําไรสุทธิประจําปของ สหกรณ ตองจัดสรรเปนทุนสํารองไมนอยกวารอยละสิบของกําไรสุทธิเสียกอน จากนั้นจึงจัดสรรเปนคาบํารุง สันนิบาตสหกรณแหงประเทศไทยตามอัตราท่ีคณะกรรมการพัฒนาสหกรณกําหนด จากน้ันจึงไปจัดสรรเปน เงินปนผล เงินเฉล่ียคืน โบนัส และสุดทายจึงเปนทุนสะสมเพ่ือดําเนินการอยางหน่ึงอยางใดของสหกรณ ตามทีก่ าํ หนดในขอ บงั คับ48 ตอนที่ 4 กฎหมายท่เี กี่ยวของการดําเนินกจิ การสหกรณ พระราชบญั ญตั สิ หกรณพ.ศ.2542กาํ หนดวตั ถปุ ระสงคข องการจดั ตง้ั สหกรณใ นเชงิ อดุ มการณไ วว า เพ่อื ประโยชนทางเศรษฐกจิ และสังคมของบรรดาสมาชิกโดยวธิ ีชวยตนเองและชวยเหลอื ซ่งึ กนั และกัน มกี จิ การ 43 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ. 2542 มาตรา 45 44 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 21-25 45 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 20 46 รัฐธรรมนญู แหง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 85 47 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 26 48 พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 60
75 รวมกันตามประเภทของสหกรณที่ขอจดทะเบียน49 โดยใหดําเนินกิจธุรกิจ การผลิต การคา การบริการ และอุตสาหกรรมเพ่อื ประโยชนข องสมาชกิ การจดั สวสั ดิการสงเคราะหต ามสมควรแก สมาชกิ และครอบครวั ใหค วามชว ยเหลอื ทางวชิ าการแกส มาชกิ รบั ฝากเงนิ ออมทรพั ยใหก ูใหส นิ เชอื่ ใหยืม ใหเชา ใหเชาซ้ือ โอน รับจํานองหรือรับจํานําซ่ึงทรัพยสินแกสมาชิกหรือของสมาชิก จัดใหไดมา ซ้ือ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิ ใหสหกรณอ่ืนกูยืมเงิน หรือดําเนินกิจการอยางอื่นบรรดาท่ีเก่ียวกับหรือเนื่องใน การจัดใหสําเร็จตามวัตถุประสงคของสหกรณ50 นอกจากนั้นยังกําหนดวิธีดําเนินกิจการในหลักการไววา ใหสหกรณท่ีมีวัตถุประสงคเพ่ือการขายหรือแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรท่ีสมาชิกผลิตข้ึน พิจารณาซื้อหรือ รวบรวมผลผลผลิตจากสมาชิกกอนผูอื่น51 จึงเห็นไดวาสหกรณน้ันสามารถดําเนินกิจการไดมากมายทําไดเกือบ ทุกประเภทเพ่ือใหสําเร็จตามวัตถุประสงคของสหกรณ แตอยางไรก็ควรเปนไปตามวัตถุประสงคของประเภท สหกรณด ว ย มใิ ชดาํ เนินการในทุกเรอ่ื งทั้งทสี่ หกรณไมม คี วามพรอ มและความสามารถ เพราะนอกจากจะไมเ กดิ ประโยชนแ กส หกรณอาจนาํ มาซง่ึ ความเสียหายแกสหกรณไ ดเชน กัน กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ งกบั การบรหิ ารกจิ การสหกรณเ ปน กฎหมายทว่ี า ดว ยการประกอบธรุ กจิ และการดาํ เนนิ กิจกรรมทางดานธุรกรรมการเงินเปนหลัก โดยจะกลาวถึงวิธีการตามท่ีกฎหมายกําหนดรายละเอียดของการทํา นิติกรรมสัญญาในธุรกิจที่สหกรณสามารถดําเนินการได และตองปฏิบัติตามหลักเกณฑที่กําหนดไวในประมวล กฎหมายแพง และพาณชิ ยเ ปน สาํ คญั แตจ ะกลา วถงึ เฉพาะในสว นทจ่ี าํ เปน พอสงั เขปเทา นน้ั เพอื่ ใหเ กดิ ความเขา ใจ ในหลกั กฎหมายทีจ่ ะนําไปปฏิบตั แิ ละบรหิ ารกจิ การสหกรณต อ ไป เม่ือกลาวถึงการบริหารสินเชื่อซ่ึงเปนเรื่องของการประกอบธุรกิจการใหกูยืมเงินจึงตองเขาใจกฎหมายท่ี วา ดว ยการธรุ กรรมการเงนิ จงึ ขอเรมิ่ ตน ตง้ั แตห ลกั คดิ ของการใหส นิ้ เชอ่ื และกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ งกบั สนิ เชอ่ื ไปจน จบกระบวนการบังคับชําระหนี้ โดยจะกลาวถึงวิธีการตามท่ีกฎหมายกําหนดรายละเอียดของการทํานิติกรรม สัญญาในธุรกิจท่ีสหกรณสามารถดําเนินการได และตองปฏิบัติตามหลักเกณฑท่ีกําหนดไวในประมวลกฎหมาย แพง และพาณชิ ยเ ปน สาํ คญั แตจ ะกลา วถงึ เฉพาะในสว นทจี่ าํ เปน พอสงั เขปเทา นน้ั เพอ่ื ใหเ กดิ ความเขา ใจเชงิ ระบบ ซ่ึงสามารถนาํ ไปปฏิบตั ิบริหารสนิ เช่อื ในสหกรณต อไป (ก) การใหส้ินเช่อื ดว ยการกยู มื เงิน สญั ญากยู มื เงนิ เปน เอกเทศสญั ญาซง่ึ บญั ญตั ไิ วใ นประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยอยใู นเรอื่ งยมื ใช ส้ินเปลือง เปนสญั ญาซ่งึ บุคคลฝายหน่งึ ซง่ึ เรียกวา “ผกู ”ู ไดย ืมเงินจาํ นวนหนึง่ ไปจากบคุ คลอกี ฝา ยหนึ่งซึ่งเรยี ก 49 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 33 50 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 46 51 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 63
76 วา “ผใู หก ู” โดยมขี อ ตกลงวา ผกู ูจะตอ งคนื จํานวนเงินที่ผกู ูไ ดยืมไปจากผูใหก ู ภายในระยะเวลาท่ีกาํ หนดตกลง กันไว โดยผูกูยินยอมเสียดอกเบีย้ ใหแ กผ ใู หกูตามอัตราทตี่ กลงกันไวแ ตไมเ กินอตั ราทก่ี ฎหมายกาํ หนด ท้งั นเี้ พื่อ ปองกันการเอารัดเอาเปรียบโดยใชความออนแอทางการเงินและความจําเปนเดือดรอนของผูกูมาเปนการสราง ประโยชนแ กผ ูใหก นู น่ั เอง แตใ นการใหก ูเงินในระดับสถาบันการเงนิ การพิจารณาใหกูย มื เงินหรอื ไมน ้นั มีขอแตก ตางจากการกูยืมเงินระหวางบุคคลธรรมดาดวยกัน ท้ังน้ีเน่ืองจากสถาบันการเงินตองการความแนนอนของการ ไดเ งนิ ตน คนื ครบถว นภายในเงอื่ นไขทกี่ าํ หนด และในขณะเดยี วกนั วตั ถปุ ระสงคข องสถาบนั การเงนิ แตล ะประเภท ยังมีวัตถุประสงคของการใหกูตางกัน เชนธนาคารท่ัวไปจะใหกูโดยมีวัตถุประสงครวมเพื่อประโยชนทางการคา ของผใู หก เู ปน สาํ คญั แตธ นาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณย งั เนน ยอ ยลงไปทก่ี ารผลติ ทางดา นเกษตรกรรมและ การรวมตัวของกลุมเกษตรกรในรูปสหกรณเปนหลัก หรืออยางธนาคารอาคารสงเคราะหก็จะเนนวัตถุประสงค ของการกูเพ่ือท่ีอยูอาศัยเปนหลัก สวนสถาบันการเงินอื่นอาจมุงหมายเฉพาะการใหกูยืมเงินเพื่อการจัดหายาน ยนตพ าหนะ เปน ตน คาํ ถามจึงอยูท ว่ี าแลว สหกรณก าํ หนดวตั ถุประสงคของการกูยืมไวอ ยางไร เพราะหากเขา ใจหลักการตรง นไ้ี ดย อ มทาํ ใหก ารกยู มื เงนิ ระหวา งสหกรณก บั สมาชกิ เกดิ ประโยชนส งู สดุ ทงั้ สองฝา ย เพราะโอกาสทจี่ ะเสย่ี งเปน หน้ีเสยี นั้นจะมนี อย ซ่งึ อาจแบง เปน ขอพิจารณาในการกยู มื เงนิ ดงั ตอ ไปนี้ 1. สมาชกิ กเู งินไปเพื่อการอันใด โดยปกตกิ ารกเู งนิ ของสมาชกิ สหกรณก เ็ พอื่ การอนั จาํ เปน ในทางทกี่ อ ใหเ กดิ ประโยชนท างเศรษฐกจิ และ สงั คมของสมาชกิ นน้ั ยอ มหมายความวา สมาชกิ ควรกเู งนิ จากสหกรณไ ปเพอ่ื เปน ทนุ ในการกอ ใหเ กดิ รายไดป ระการ หนงึ่ และอกี ประการหนง่ึ กอ็ าจเพอ่ื การอนั จาํ เปน ในครอบครวั ซงึ่ กรณนี อี้ าจกอ ใหเ กดิ รายไดก อ ไดห รอื ไมเ กดิ ราย ไดก็ได แตทั้งหลายท้ังปวงตองเพื่อประโยชนทางเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิกสหกรณและครอบครัวนั้น แตในทางปฏิบัติ กลุมสหกรณออมทรัพยมักจะเนนไปท่ีความจําเปนของสมาชิกมากกวาการกอใหเกิดรายได ซง่ึ ตา งไปจากกลมุ สหกรณก ารเกษตร หนเี้ งนิ กสู ว นใหญข องสหกรณอ อมทรพั ยจ งึ เปน หนที้ ไี่ มก อ ใหเ กดิ รายไดแ ก สมาชิก บางคร้ังอาจกลายเปนการนําเงินไดในอนาคตมาบริโภคในปจจุบันเกินสมควร จนทําใหหลายคนหมด อนาคตหรือเสียอนาคตท่ีงดงามไปเสียเลยทีเดียว ดังน้ันคณะกรรมการเงินกูควรตองเพ่ิมความสําคัญในการ พิจารณาประเด็นหลักนี้เสียกอนวากูไปเพ่ือการอันจําเปนจริงๆ หรือไมหรือเพียงเปนขออาง หรือเพ่ือการสราง รายไดท เ่ี ปน ไปไดจ รงิ หรอื ไม ถา เปน กรณเี พอ่ื หารายได กรรมการเงนิ กกู ต็ อ งสามารถวเิ คราะหค วามเปน ไปไดแ ละ ความเสย่ี งในการลงทุนไดด วย เพราะกรรมการสหกรณมีหนาทสี่ รา งมนั่ คงแกสมาชิก ชว ยเหลือสนบั สนุนให
77 สมาชกิ มชี วี ติ ความเปน อยทู ด่ี ขี นึ้ และดแู ลวนิ ยั การเงนิ ของสมาชกิ ภายใตก รอบอดุ มการณแ ละวธิ กี ารสหกรณ มใิ ชเ พยี งแค “ตรายางทางการบรหิ าร” 2.เงือ่ นไขในการชาํ ระหนี้ เงอื่ นไขในการชาํ ระหนใ้ี นทนี่ ห้ี มายถงึ ความสามารถของลกู หนท้ี จ่ี ะคนื เงนิ กแู กส หกรณภ ายในระยะเวลา และอตั ราท่สี หกรณกาํ หนดไดหรือไม เง่ือนไปดังกลาวประกอบไปดวย 2.1 ความสามารถในการชาํ ระหนี้ของสมาชกิ 2.2 ความสามารถในการดาํ รงชพี ของสมาชิกและครอบครัว เง่ือนไขท้ังสองประการถือวาเปนปจจัยสําคัญในการพิจารณาใหกูยืมเงินระบบสหกรณซึ่งแตกตางกับ สถาบันการเงินอ่ืนที่มุงเนนความสามารถในการชําระหน้ีเพียงประการเดียว แตสหกรณตองพิจารณาทั้งสอง ประเด็นประกอบกัน เพราะนั่นคือคุณภาพชีวิตของสมาชิกท่ีสหกรณหรือกรรมการดําเนินการสหกรณตอดูแล รักษาเอาไวใหได หากขาดไปประเด็นหน่ึงประเด็นใดโอกาสที่หน้ีจะสูญก็มีมาก ความมั่นคงในชีวิตสมาชิกก็จะ ลดนอ ยถอยลง จงึ เปน หนา ทข่ี องกรรมการดาํ เนนิ การทจ่ี ะตอ งดแู ล มใิ ชว า สมาชกิ จะอยไู ดห รอื ไม ไมส าํ คญั ขอให สหกรณไดรับชาํ ระหนี้เปน อันเพียงพอ 3. หลักประกันในการชาํ ระหนี้ เมอื่ พิจารณาตามหัวขอ ท่ี 1 และท่ี 2 แลว ประเดน็ สดุ ทา ยท่ีตองพจิ ารณาคอื ความมนั่ ใจของสหกรณต อ ลกู หนวี้ า สามารถทจี่ ะดาํ เนนิ การบรหิ ารการเงนิ ของตนเองตอ ความผกู พนั และหนา ทที่ ส่ี มาชกิ สหกรณม ตี อ สหกรณ ไดเ พยี งใด เพราะอนาคตเปน สง่ิ ทไ่ี มแ นน อนไมว า สหกรณจ ะวเิ คราะหเ หตปุ จ จยั แหง การกยู มื ไวด เี พยี งใด แตก ย็ งั มคี วามเสย่ี งอยบู า ง เชน กรณกี ารเสยี ชวี ติ ของสมาชกิ ลกู หนโี้ ดยเฉพาะลกู หนบี้ างรายอาจไมม ที รพั ยส นิ ใดทพี่ อจะ เปนทรัพยมรดกไวเพ่ือรับผิดชอบตอเจาหน้ีโดยเฉพาะสหกรณซึ่งเปนของคนหมูมาก ดังน้ันความจําเปนในการ พจิ ารณาในเรอ่ื งหลกั ประกนั กน็ าจะมอี ยูบ า ง และควรพิจารณาเปนรายๆ แลว แตกรณีไป แตใ นทางปฏิบัตเิ รามัก ตัง้ กตกิ าตายตวั จนบางครั้งทําใหเ กิดขอขดั ของอยูพอสมควร
78 เมอ่ื ไดแ นวคดิ ดงั กลา วขา งตน แลว หนั มาพจิ ารณาขอ ปฏบิ ตั ใิ นทางกฎหมายเพอ่ื ใหม ผี ลผกู พนั ทางหนา ท่ี ตอกัน ซึ่งโดยปกติแลวจะเนนไปที่พยานหลักฐานหรือการอางอิงที่ไมเลื่อนลอย เชนในการกูยืมเงินกวาสองพัน บาทขน้ึ ไปกฎหมายวางแนวทางปฏบิ ตั ไิ วว า ถา มไิ ดม หี ลกั ฐานแหง การกยู มื เปน หนงั สอื อยา งใดอยา งหนง่ึ ลงลายมอื ช่ือผูยืมเปนสําคัญ ทานวาจะฟองรองบังคับคดีหาไดไม5 2 หลักฐานแหงการกูยืมเงินนอกจากหนังสือสัญญากูยืม เงินตามปกติแลว อาจจะเปนบันทึกเปรียบเทียบของอําเภอมีขอความวาผูยืมไดยืมเงินไปและไดลงลายมือช่ือ กถ็ อื วา เปน หลกั ฐานแหง การกยู มื ได บนั ทกึ ประจาํ วนั ของพนกั งานสอบสวนทมี่ ขี อ ความชดั แจง ผยู มื รบั รองวา ได กยู มื เงนิ ของผใู หก ไู ปจาํ นวนเทา นนั้ เทา นจ้ี รงิ และผยู มื ไดล งลายมอื ชอ่ื ไวใ นทา ยบนั ทกึ กย็ อ มใชไ ด บนั ทกึ การหยา จดหมายท่ีมีขอความระบุชัดเจนวาเปนหน้ีแลวไดลงลายมือชื่อไว เอกสารเหลาน้ียอมถือไดวาเปนหลักฐานแหง การกูยมื เงิน สญั ญากูยมื แบงออกเปน 2 ชนิด คอื สัญญากยู ืมเงินทไ่ี มคิดดอกเบี้ยเปน สัญญาไมมคี าตอบแทนแตหาก ผิดนัดชําระหน้ีคืนตนเงนิ ก็อาจตองชําระดอกเบยี้ แหง การผิดนัดในอัตราทก่ี ฎหมายกาํ หนดคือรอ ยละ 7.5 ตอป นับแตวันผิดนัดชําระหนี้ กับ สัญญากูยืมเงินท่ีคิดดอกเบ้ียซ่ึงเปนสัญญาท่ีมีคาตอบแทนโดยคิดคาตอบแทน เปนดอกเบี้ยเงินกูโดยคิดตังแตวันที่กูยืมเงินซ่ึงเปนวันท่ีไดประโยชนจากเงินกูน้ัน สําหรับอัตราดอกเบ้ียเงินกู โดยปกตกิ ฎหมายหา มมใิ หค ดิ ดอกเบยี้ เกนิ รอ ยละสบิ หา ตอ ป หากมกี ารคดิ อตั ราดอกเบยี้ เกนิ รอ ยละสบิ หา ตอ ป5 3 ผูใหก จู ะมคี วามผิดทางอาญาตามพระราชบัญญตั ิ หา มเรียกดอกเบีย้ เกนิ อัตรา พ.ศ.2475 เงนิ สวนดอกเบ้ยี เกนิ อัตราเปนโมฆะตามกฎหมาย ผูใหกูไมมีสิทธิท่ีจะฟองใหผูกูชําระหน้ีในสวนดอกเบ้ีย แตถาหากคูสัญญาไมได ตกลงกนั ไวว า จะเรยี กเทา ใด ตอ งคดิ อตั ราดอกเบยี้ รอ ยละ 7.5 ตอ ป สว นในกรณกี ารกยู มื เงนิ จากธนาคาร สถาบนั การเงนิ อนื่ เชน บริษัท ทรสั ต หรือบริษทั เงนิ ทุน ซ่งึ มีขอ ตกลงกบั กระทรวงการคลงั กันเปน พเิ ศษ ก็อาจตกลงใน เรอื่ งดอกเบยี้ กนั นอกเหนอื ทกี่ ลา วขา งตน ได สาํ หรบั สหกรณน น้ั มปี ระกาศธนาคารประเทศไทยกาํ หนดใหเ รยี กได ไมเ กนิ รอ ยละสบิ เจด็ ตอ ป จงึ เปนขอ ยกเวน พิเศษจากกฎหมายแพง และพาณชิ ย นอกจากนัน้ กฎหมายยงั หา มคิด ดอกเบ้ียทบตนในการกูยืมเงิน เวนแตคูสัญญากูยืมจะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยคางชําระไมนอยกวาหนึ่งปน้ันทบ เขากบั เงนิ ตน แลว ใหคิดดอกเบี้ยเงินท่ที บเขา กนั น้นั ได แตการตกลงเชน วามาน้ตี องทําเปน หนังสอื 54กบั กรณีเปน การกูยืมเงนิ จากธนาคารหรือสถาบันการเงนิ อืน่ โดยวธิ เี บิกเงินเกินบญั ชเี ทา นน้ั ท่ผี ูใหก ูคิดดอกเบ้ยี ทบตนได โดยปกติในการกูยืมเงินท่ีไดทําเปนสัญญากูยืมเงิน ตองปดอากรแสตมปใหถูกตองตามกฎหมายดวย เชน ถา การกยู ืมเงินหรือตกลงใหเบิกเงนิ เกินบัญชจี ากธนาคารทกุ จาํ นวน 2,000 บาท หรอื เศษของ 2,000 บาท 52 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 653 วรรคแรก 53 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 654 54 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 655
79 แหงยอดเงินที่กูยืมหรือตกลงใหเบิกเงินเกินบัญชี คิดอากรแสตมป 1 บาท แตสหกรณไดรับการยกเวนตองปด อากรแสตมปในสัญญากูในกรณีที่สมาชิกกูยืมเงินจากสหกรณ หรือสหกรณกูยืมจากสหกรณ หรือจากธนาคาร เพอื่ การเกษตรและสหกรณก ารเกษตร สว นการชาํ ระหนแี้ กเ จา หนหี้ รอื ไมน น้ั กฎหมายกาํ หนดแนวทางในการทล่ี กู หนพี้ สิ จู นว า ตนไดช าํ ระในการกู ยมื เงนิ มีหลักฐานเปน หนังสอื นน้ั จะนาํ สบื การใชเ งนิ ไดตอเม่ือมหี ลักฐานเปน หนังสอื อยางใดอยา งหนึ่งลงลายมอื ชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเปนหลักฐานแหงการกูยืมไดเวนคืนแลว หรือไดแทงเพิกถอนลงในเอกสาร นน้ั แลว 55 (ข) หลกั ประกันความเสยี หายในการกูเงิน ดังกลาวมาแลววา เพ่ือใหเจาหนี้มคี วามมัน่ ใจวา จะตอ งไดร บั ชําระหนค้ี ืนจากลูกหนแ้ี นน อน เจา หนีย้ อม จะเรยี กรอ งหลกั ประกนั เพอ่ื ปอ งกนั ความเสยี หายทอี่ าจเกดิ ขน้ึ ไดอ กี ชนั้ หนง่ึ หลกั ประกนั ดงั กลา วโดยทว่ั ไป มดี ว ย กนั 2 ชนิด หรือการประกนั ดวยบคุ คลแลการประกันดวยทรพั ย 1. การประกนั ดวยบคุ คล สญั ญาคํ้าประกนั คือ สัญญาซ่งึ บคุ คลภายนอกคนหน่งึ เรยี กวาผูค ํ้าประกนั ผกู พันตนตอ เจาหนค้ี นหนง่ึ โดยสญั ญาวา จะชาํ ระหนใี้ หแ กเ จา หนี้ ถา หากลกู หนไี้ มย อมชาํ ระหน้ี โดยตอ งมหี ลกั ฐานเปน หนงั สอื อยา งใดอยา ง หน่ึงลงลายมือชื่อของผูคํ้าประกัน จึงจะฟองรองบังคับคดีได56 มีผลใหเจาหนี้มีบุคคลสิทธิที่จะเรียกรองใหผูคํา ประกันชําระหน้ีไดโดยบังคับเอกาจากทรัพยสินทั่วไปของผูค้ําประกัน สัญญาคํ้าประกันเปนสัญญาอุปกรณ หมายถึง สัญญาประกอบกบั สญั ญาหลกั หรือสญั ญาประธาน ซ่งึ กค็ ือสญั ญากูย มื น่นั เอง ดังนน้ั การเกิดข้นึ และ ความเปนอยู รวมทั้งความสมบูรณของสัญญาคํ้าประกันน้ัน นอกจากจะตองขึ้นอยูกับความสมบูรณของสัญญา ค้ําประกันเองแลว ยังตองพิจารณาถึงความสมบูรณของสัญญาหลักหรือสัญญาประธานอีกดวย คือตองมีหน้ี ระหวางลูกหนี้กับเจาหนี้ และหนี้น้ันเปนหน้ีท่ีสมบูรณบังคับไดตามกฎหมายโดยหน้ีน้ันจะเกิดจากสัญญาหรือ ละเมิดก็ได หากสัญญาประธานเปนสัญญาท่ีไมสมบูรณ (โมฆะ) สัญญาคํ้าประกันอันเปนสัญญาอุปกรณก็จะมี ไมได5 7 เชน สัญญากตู กเปนโมฆะเพราะมีวตั ถุประสงคขดั ตอ กฎหมาย สญั ญาค้าํ ประกนั หนเ้ี งินกูนั้นยอ มใชไ มไ ด เชนกนั สัญญาคํา้ ประกันเปนสัญญาทไ่ี มต องมแี บบ แตสญั ญาคํ้าประกันตองมีหลกั ฐานเปน หนงั สอื ลงลายมอื ช่ือ ผูคํ้าประกนั เปนสาํ คัญ มิฉะน้นั จะฟองรอ งบังคับคดีไมได5 8 การฟองรองบังคับคดีไมไดนั้น หมายความวา เจาหนี้จะฟองใหผูคํ้าประกันชําระหน้ีแทนลูกหนี้ไมได หากไมม หี ลกั ฐานเปน หนงั สอื แตเ จา หนยี้ งั คงสามารถฟอ งใหล กู หนช้ี าํ ระหนตี้ ามมลู หนสี้ ญั ญาประธานได อยา งไร 55 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 653 วรรคสอง 56 ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 680 57 มาตรา 681 วรรคหนึ่ง 58 มาตรา 680 วรรคสอง
80 กต็ าม หนีป้ ระธานนอี้ าจเปนหนใ้ี นอนาคตก็ได เชน หน้ตี ามสัญญาเงินกูเบิกเงินเกินบัญชี หนีอ้ ันเกิดจากลูกจา ง ไปทําความเสยี หาย หรือหน้อี นั เกิดจากขาราชการลาไปศกึ ษาตอ ตางประเทศแลว ทําผดิ สัญญา เปน ตน สัญญาคํา้ ประกนั อาจแบง ออกเปน ก) สัญญาค้ําประกันอยางไมจํากัดจํานวน ลูกหนี้ตองรับผิดชดใชหน้ีใหแกเจาหน้ีเปนจํานวนเทาใด ผคู าํ้ ประกนั กต็ อ งชดใชใ หแ กเ จา หนใ้ี นจาํ นวนเทา กนั กบั ลกู หนดี้ ว ย59 คอื ตอ งรบั ผดิ ในตน เงนิ ดอกเบยี้ คา เสยี หาย ในการผดิ นดั ชาํ ระหน้ี คา ภาระตดิ พนั อนั เปน อปุ กรณแ หง หนรี้ ายนนั้ ดว ย60 ตลอดจนคา ธรรมเนยี มในการฟอ งรอ ง บงั คับคดีดวย แตถาเจา หนี้ฟอ งคดโี ดยมิไดเ รียกใหผ ูค้ําประกนั ชาํ ระหน้ีกอน ผูคําประกนั ไมต องรบั ผิดในคาฤชา ธรรมเนยี มเชน น้นั ไม6 1 ข) สัญญาคํ้าประกันจํากัดความรับผิด เปนสัญญาค้ําประกันที่ระบุจํานวนไววา จะรับผิดไมเกินจํานวน ตามทร่ี ะบไุ วเ ทา นนั้ ดงั นนั้ หากลกู หนผี้ ดิ นดั ไมช าํ ระหน้ี ผคู าํ้ ประกนั กจ็ ะใชห นดี้ งั กลา วแทนลกู หนเี้ ฉพาะเทา ทตี่ น ระบไุ วในสัญญาเทา นน้ั เมอ่ื ไดท าํ สญั ญาคาํ้ ประกนั แลว หากลกู หนผี้ ดิ นดั ไมช าํ ระหนเ้ี มอ่ื ใด เจา หนมี้ สี ทิ ธเิ รยี กใหผ คู า้ํ ประกนั ชาํ ระ หนไี้ ดเ มอ่ื นน้ั และเมอ่ื ผคู า้ํ ประกนั ไดช าํ ระหนใี้ หแ กเ จา หนไี้ ปแลว ยอ มมสี ทิ ธไิ ลเ บย้ี เอาคนื จากลกู หนไี้ ดเ ทา จาํ นวน ทต่ี นไดชดใชแ ทนลูกหน้ีไปแลว แมเ จา หนมี้ สี ทิ ธเิ รยี กรอ งใหผคู ้าํ ประกันชาํ ระหนี้ไดเม่ือลูกหนีผ้ ดิ นัด แตผ ูคา้ํ ประกนั กย็ ังสามารถเกยี่ งให เจาหนี้ไปรับชําระหน้ีจากทรัพยสินของลูกหน้ีกอนได หากผูค้ําประกันสามารถพิสูจนไดวาลูกหน้ีน้ันมีทางท่ีจะ ชาํ ระหนไี้ ด และการทจี่ ะบงั คบั ใหล กู หนีช้ าํ ระหนี้นนั้ ไมเ ปนการยาก62 อยา งไรกต็ าม ความรบั ผดิ ของผคู า้ํ ประกนั ในเมอื่ ลกู หนไ้ี มช าํ ระหนนี้ ้ี โดยปกตยิ อ มไมเ กนิ ความรบั ผดิ ของ ลูกหนี้63 ผูค ํ้าประกนั จะพน ความรบั ผดิ กต็ อเม่ือ 1. หนีข้ องลูกหน้ีระงับส้นิ ไปไมว าเพราะเหตุใด ๆ 2. ถาหน้ที ่คี ํ้าประกนั ไดก าํ หนดวันชําระหนี้ไวแนน อนแลว ผูค า้ํ ประกนั ไมจาํ ตองชําระหนก้ี อนถึงกาํ หนด เวลาชําระ64 และหากเจาหน้ียอมผอนเวลาใหแกลูกหน้ีอันจะตองชําระ ณ เวลามีกําหนดแนนอน ผูค้ําประกัน ก็เปนอนั หลดุ พน ความรบั ผดิ เวน แตผูค้ําประกนั ไดต กลงดวยในการผอนเวลา65 3. เมอ่ื หนถี้ งึ กาํ หนดชาํ ระแลว ผคู า้ํ ประกนั ขอชาํ ระหนแ้ี ทนลกู หนี้ ถา เจา หนไี้ มย อมรบั ชาํ ระหนผ้ี คู า้ํ ประกนั 59 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 682 60 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 653 61 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 684 62 มาตรา 689 63 คําพพิ ากษาฎีกาที่ 710/2499 หนา 551 64 ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 686 65 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 700
81 ก็เปนอนั หลุดพนจากความรับผดิ 66 4. เมื่อเจา หนเ้ี รยี กรอ งใหผูค ้ําประกันชําระหน้แี ลว ผูคํา้ ประกันมีสิทธดิ งั ตอ ไปนี้ คอื ผูค้าํ ประกนั มีสทิ ธิ จะขอใหเ จา หนไ้ี ปเรยี กใหล กู หนช้ี าํ ระหนก้ี อ นได เวน แตว า ลกู หนจ้ี ะถกู ศาลพพิ ากษาใหเ ปน คนลม ละลายเสยี แลว หรอื ไมป รากฏวา ลกู หนไ้ี ปอยหู างใดในพระราชอาณาจกั ร67 และแมว า เจา หนจี้ ะไดเ รยี กใหล กู หนช้ี าํ ระหนก้ี อ นแลว จงึ มาเรยี กใหผ คู า้ํ ประกนั ชาํ ระหนซี้ งึ่ ทาํ ใหผ คู า้ํ ประกนั ไมส ามารถใชส ทิ ธดิ งั กลา วแลว ไดก ต็ าม ถา ผคู าํ้ ประกนั พสิ จู น ไดว า ลกู หนน้ี นั้ มที างชาํ ระหนไี้ ดแ ละการทจ่ี ะชาํ ระหนน้ี น้ั ไมเ ปน การยาก ดงั นี้ เจา หนตี้ อ งไปบงั คบั ใหล กู หนชี้ าํ ระ หน้ีกอน สวนในกรณีที่เจาหนี้มีทรัพยของลูกหนี้ยึดถือไวเปนประกัน เมื่อผูคํ้าประกันรองขอเจาหน้ีจะตองเอา ทรัพยน้ันเปนการชําระหนีเ้ สยี กอน หากไมพ อชําระหนีจ้ งึ จะเรียกใหผูค ้ําประกนั ชาํ ระหนี้สวนท่เี หลือได6 8 ในกรณที ผี่ คู า้ํ ประกนั ไดช าํ ระหนใ้ี หแ กเ จา หนไ้ี ปแลว ยอ มมสี ทิ ธไิ ลเ บยี้ เอาคนื จากลกู หนี้ เทา จาํ นวนทต่ี น ไดช ดใชแ ทนลกู หนไี้ ปแลว รวมทง้ั ความเสยี หายอยา งใด ๆ อนั เกดิ จากการคา้ํ ประกนั เชน ผคู าํ้ ประกนั ไปกยู มื เงนิ มาใชหนี้ใหแกเจาหน้ีแลว ตองเสียดอกเบย้ี หรอื ผลประโยชนใ นตน เงนิ ทใ่ี ชแกเ จาหนี้ เชน ดอกเบีย้ นบั แตว ันท่ใี ช หนี้แกเ จาหนไ้ี ปจนกวา ลูกหนี้จะชําระหน้เี สรจ็ แกผ ูคา้ํ ประกัน เปนตน ถา เจาหน้ีมสี ิทธเิ หนือทรัพยสนิ ของลกู หน้ี เม่ือผูค้าํ ประกันไดชาํ ระหนี้ใหแกเ จา หนไี้ ปแลว ผคู า้ํ ประกนั ยอมรบั ชว งสิทธดิ งั กลาวไปดว ย69 2. การประกนั ดว ยทรัพยสนิ การประกันดว ยทรัพยส นิ แบงออกเปน 2 ประเภท คือ การจํานอง และการจํานาํ แตเน่อื งจากสหกรณ ไมไดรับจํานําทรัพยสินเพ่ือประกันการชําระหน้ีของสมาชิก ดังน้ันในเอกสารจะกลาวเฉพาะการจํานองเทานั้น จาํ นอง คอื สญั ญาซงึ่ บคุ คลหนง่ึ เรยี กวา ผจู าํ นองเอาอสงั หารมิ ทรพั ยข องตน หรอื สงั หารมิ ทรพั ยบ างชนดิ ทก่ี ฎหมาย อนญุ าตใหจ าํ นองได ไปจดทะเบยี นไวแ กบ คุ คลอกี คนหนึ่ง เรยี กวา ผรู บั จํานองเพอื่ เปน ประกันการชําระหน้ี ทง้ั น้ี โดยผูจํานองไมตอ งสง มอบทรัพยส นิ ดังกลาวใหแกผ รู บั จาํ นอง70 การจํานองอาจทําได โดยการเอาทรัพยสินของตนเองตราเปนประกันการชําระหนี้ของตนเอง หรอื ตราเปน ประกนั การชําระหนี้ของบคุ คลอน่ื ก็ได ทรพั ยท ีจ่ ํานองได มี 2 ประเภท คือ 1. อสังหาริมทรัพย เชน ทด่ี ิน บา น ส่ิงปลกู สรา ง 2. สังหารมิ ทรัพยพ เิ ศษ ไดแก เรือกําปนหรอื เรอื ที่มรี ะวางตง้ั แตหกตันข้นึ ไป เรอื กลไฟหรอื เรอื ยนตท่ีมี ระวางตง้ั แตห า ตนั ขน้ึ ไป แพ สตั วพ าหนะ เฉพาะสตั วพ าหนะทไี่ ดท าํ ตวั๋ รปู พรรณตามพระราชบญั ญตั สิ ตั วพ าหนะ 66 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 701 67 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 688 68 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 689 69 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 693 70 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 702
82 พ.ศ. 2482 แลว เทา นนั้ และสงั หารมิ ทรพั ยท กี่ ฎหมายบญั ญตั ใิ หจ ดทะเบยี นเฉพาะการ เชน เครอ่ื งจกั รขนาดใหญ ตามพระราชบญั ญัตเิ คร่อื งจักร พ.ศ. 2514 มาตรา 5 ซง่ึ อนญุ าตใหเ ครอื่ งจกั รทีไ่ ดจ ดทะเบียนกรรมสิทธ์ิ เปนตน สญั ญาจาํ นองตอ งทาํ เปน หนงั สอื และจดทะเบยี นตอ พนกั งานเจา หนา ทเ่ี สมอ มฉิ ะนนั้ ไมส มบรู ณ ซง่ึ ทาํ ให สัญญาจาํ นองตกเปน โมฆะ ฟองรอ งบงั คับคดีไมไ ด71 สําหรับวิธีการบังคับจํานอง เม่ือลูกหนี้ไมชําระหนี้น้ัน ผูรับจํานองตองมีจดหมายบอกกลาวไปยังลูกหน้ี กอนวาใหช าํ ระหนภ้ี ายในเวลาอนั สมควร ซ่ึงกําหนดไวใ นคาํ บอกกลาวและหากลูกหนีไ้ มช าํ ระหน้ีภายในกําหนด นน้ั ผรู บั จาํ นองจงึ จะฟอ งคดตี อ ศาลใหย ดึ ทรพั ยส นิ ทจ่ี าํ นองเอาออกขายทอดตลาดชาํ ระหนแี้ กต นได7 2 แตใ นขณะ เดยี วกนั ถา ผจู าํ นองไมป ระสงคจ ะใหท รพั ยส นิ ทจ่ี าํ นองนน้ั ตอ งถกู บงั คบั จาํ นองโดยการขายทอดตลาด ผจู าํ นองก็ มีสิทธิท่ีจะไถถอนจํานองได ถามีการจํานองซอนกันหลายราย ผูท่ีจดทะเบียนจํานองกอนยอมมีสิทธิไดรับชําระ หนกี้ อ นตามลาํ ดบั ไป73 ถา หนข้ี องผรู บั จาํ นองรายหลงั ถงึ กาํ หนดชาํ ระกอ น ผรู บั จาํ นองรายหลงั จะบงั คบั ตามสทิ ธิ ของตนใหเสยี หายแกผ ูรบั จํานองรายแรก ซ่งึ หนยี้ งั ไมถึงกาํ หนดชาํ ระไมได7 4 การไถถอนจํานอง ก็คือการท่ีผูจํานองชําระหน้ีท่ีคางชําระทั้งหมดใหแกผูรับจํานองไปเมื่อหน้ีระงับไป ทรัพยสินที่จํานองไวก ็จะหลุดพน จากภาระจํานอง ผรู บั โอนทรพั ยที่จาํ นองมีสทิ ธิชาํ ระหนี้เพอื่ ไถจาํ นองได หากผูจํานองเปนบุคคลภายนอกที่มิใชลูกหนี้แลว ผูจํานองยังมีสิทธิที่จะไดรับเงินใชคืนจากลูกหนี้ตาม จํานวนเงนิ ทช่ี ําระแทนลกู หนีไ้ ปดว ย75 อนึง่ ในการบงั คบั จํานองนน้ั ผรู บั จํานองไมต องคาํ นงึ วา ทรพั ยท่ีจาํ นองไวจ ะอยูในความครอบครองของ ใครหรอื ไดโ อนกรรมสทิ ธ์ไิ ปยังใครแลว กต็ าม สิทธจิ าํ นองยอมจะตดิ ไปกับตัวทรพั ยเ สมอ และผูรับจาํ นองยอมมี สิทธิไดรับชําระหน้จี ากทรพั ยส นิ ท่ีจาํ นองกอ นเจา หน้ีสามญั รายอ่ืนดวย อยา งไรกต็ าม ผรู ับจํานองมสี ทิ ธบิ ังคับจํานองไดเฉพาะทรัพยท่ีจดทะเบียนจํานองเทานน้ั จะไปบังคับถึง ทรัพยสินอ่ืน ๆ ท่ีไมไดจดทะเบียนจํานองไมไดเชน จํานองเฉพาะท่ีดินยอมไมครอบถึงโรงเรือนหรือบานท่ีปลูก ภายหลงั วันจํานอง เวน แตจ ะไดตกลงกันไวกอนวา ใหร วมถึงบานและโรงเรือนดงั กลา วดว ย จํานองเฉพาะบา นซ่งึ ปลกู อยใู นทด่ี นิ ของคนอนื่ กม็ สี ทิ ธเิ ฉพาะบา นเทา นน้ั นอกจากนน้ั จาํ นองยอ มไมค รอบคลมุ ถงึ ดอกผลแหง ทรพั ยส นิ ซึง่ จํานอง เชน จํานองสวนผลไมด อกผลทีไ่ ดจ ากสวนผลไมย ังคงเปนกรรมสิทธข์ิ องผจู าํ นองอยู สญั ญาจํานองอาจระงับไปดวยสาเหตุตาง ๆ ดงั น้คี ือ76 1. เมอ่ื หน้ีทป่ี ระกันระงบั ส้นิ ไป สัญญาจํานองเปนสัญญาซ่ึงมีข้ึนเพื่อประกันการชําระหนี้ท่ีเกิดขึ้นจากสัญญาประธาน 71 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 703 72 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 735 73 มาตรา 730 74 คาํ พิพากษาฎกี าท่ี 316/2504 หนา 303, ที่ 1711/2530 หนา 1324 75 มาตรา 724 76 มาตรา 744
83 เพราะฉะนนั้ เมอ่ื หนที้ เ่ี กดิ จากสญั ญาประธานระงบั สนิ้ ไป สญั ญาอปุ กรณก ย็ อ มระงบั สนิ้ ไปดว ย เชน การแปลงหนี้ ใหม ยอ มทาํ ใหห นเี้ ดมิ ระงบั สน้ิ ไป สว นประกนั ของหนเี้ ดมิ อนั เปน อปุ กรณแ หง หน้ี เชน จาํ นอง (ถา คสู ญั ญาในการ แปลงหน้ใี หมม ิไดต กลงเปนอยา งอ่นื ) ก็ยอมระงับไปดวยเชน กัน77 อยางไรก็ตาม หากหน้ีนั้นไมสามารถพิจารณาบังคับคดีไดเพราะขาดอายุความแลว ผูรับจํานอง ยังคง บังคบั ตามสญั ญาจาํ นองไดอยู 2. เมอื่ ปลดจาํ นองใหแกผ ูจํานองดวยหนงั สอื เปน สาํ คญั การปลดจาํ นอง คอื การทเ่ี จา หนีย้ อมสละสิทธิที่จะบังคับจํานองเอาแกท รัพยส ินท่จี ํานองนัน้ หรือกลาว งาย ๆ ก็คือ เปนกรณที ีเ่ จา หนี้ยินยอมสละหลกั ประกันในการที่จะไดรบั ชําระหน้ีไปนัน่ เอง แตต อ งสงั เกตดว ยวา การปลดจํานองเชนนี้หาทําใหหนี้เดิมซึ่งเกิดจากสัญญาประธานนั้นระงับไปไมการปลดจํานองท่ีจะมีผลตาม กฎหมายระหวางผูจํานองกับผูรบั จาํ นองน้ัน กฎหมายบังคบั ใหต องทําเปน หนงั สือ จะตกลงปลดจาํ นองใหแกกัน ดวยวาจาไมได และหากจะใหการปลดจํานองน้ัน มีผลตามกฎหมายถึงบุคคลภายนอกดวย ก็ตองนําหนังสือ ปลดจาํ นองนนั้ ไปจดทะเบียนตอ พนักงานเจาหนา ทดี่ วย78 3. เมื่อขายทอดตลาดทรพั ยสินซ่ึงจาํ นองตามคาํ สั่งศาลอันเนื่องจากการบังคับจาํ นอง ดังกลาวมาแลววา เม่ือหน้ีถึงกําหนดชําระและลูกหนี้ไมชําระหน้ี เจาหนี้ก็มีสิทธิที่จะบังคับจํานอง ตามกฎหมาย โดยผรู บั จาํ นองตอ งฟอ งบงั คบั จาํ นองตอ ศาล ขอใหศ าลมคี าํ สงั่ ใหน าํ ทรพั ยส นิ ทจี่ าํ นองนน้ี ออกขาย ทอดตลาด ดงั นก้ี ารจาํ นองก็จะระงับส้ินไป ทง้ั น้ี จะตอ งมกี ารจดทะเบยี นความระงบั แหง สญั ญาจาํ นองตอ พนกั งานเจา หนา ทดี่ ว ย จงึ จะมผี ลสมบรู ณ ตามกฎหมาย การดําเนนิ คดแี ละอายุความ โดยปกติ สหกรณย อ มมสี ทิ ธฟิ อ งสมาชกิ ผกู ใู หช าํ ระหนไ้ี ด เมอื่ ผกู ผู ดิ สญั ญาไมช าํ ระหนเี้ งนิ กู และอาจฟอ ง คูสมรสของผูก ดู ว ยในกรณีทเี่ ปนหน้รี วม เชนในกรณที ีค่ ูสมรสใหค วามยนิ ยอมหรอื ใหสัตยาบันในการกเู งินน้ัน ในสวนท่ีเกี่ยวกับอายุความ กฎหมายมิไดกําหนดเรื่องอายุความเพื่อการฟองรองคดีตามสัญญากูไวเปน พเิ ศษ จงึ ตอ งใชห ลักอายุความทวั่ ไป คืออายุความ 10 ป นับแตว ันทอ่ี าจบังคบั สิทธิเรียกรอ งได7 9 สวนการฟอง ดอกเบย้ี คา งชาํ ระ อายคุ วาม 5 ป เรมิ่ นบั แตว นั ครบกาํ หนดชาํ ระดอกเบยี้ ในงวดนน้ั ๆ80 สาํ หรบั การกยู มื เงนิ ทตี่ อ ง ผอ นทนุ คนื เปน งวดๆ นนั้ กฎหมาย กาํ หนดอายคุ วามไว 5 ป นบั แตว นั ครบกาํ หนดทจี่ ะตอ งชาํ ระของแตล ะงวด81 77 คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 1949/2516 หนา 2181 78 มาตรา 746 ; คาํ พิพากษาฎกี าที่ 802/2519 หนา 415 79 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 193/30 80 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 193/33(1) 81 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 193/33(3)
84 ในเรอ่ื งอายคุ วามน้ี ตอ งระมดั ระวงั ในกรณที ผี่ กู ถู งึ แกค วามตาย เพราะเมอื่ ผกู ถู งึ แกค วามตายแลว กฎหมายไดย น อายุความในการเรียกรองลงเหลือแคเพียง 1 ปนับแตสหกรณไดรูหรือควรไดรูถึงความตายของผูกู82 ในกรณีนี้ สหกรณอาจตองเรียกใหทายาทของผูกูมาทําหนังสือรับสภาพหน้ีไวกอน เพ่ือปองกันมิใหคดีขาด อายคุ วาม เมื่อรับสภาพหนแี้ ลว ยอ มีผลใหอ ายคุ วามสะดดุ หยุดลง และเร่ิมนบั อายคุ วามใหมต ามมลู หนเี้ ดมิ ทั้งหมดที่กลาวมาขางตนน้ีเปนกฎหมายหลักท่ีเก่ียวของกับการดาํ เนินธุรกิจพื้นของ สหกรณออมทรัพย โดยท่ัวไป แตม ธี ุรกรรมอกี ประการหนึง่ ทเ่ี ก่ยี วขอ งดวยการลงทุน การแสวงหารายไดจากทุนสหกรณ เชน การให สหกรณอ่ืนกู หรือการขอกูเงินจากสหกรณหรือสถาบันการเงินอื่นมาเพ่ือใชจายในการดําเนินการของสหกรณ จะมกี ฎหมายทเี่ กย่ี วขอ งมากมาย วธิ งี า ยทส่ี ดุ เหน็ จะเปน ตอ งศกึ ษาประกาศของคณะกรรมการพฒั นาการสหกรณ แหงชาติเปนสําคัญ เพราะขอบังคับเหลานี้จะออกไดตองมีกฎหมายรองรับ ในช้ันน้ีไมอาจกลาวโดยละเอียดได ท้ังหมด กฎหมายท่ีเก่ียวของกับการบริหารคน ในท่ีน้ีจะเปนกฎหมายท่ีวาดวยการจัดการคนที่เปนลูกจางของ สหกรณสว นหนง่ึ อกี สวนหน่ึงทีต่ อ งทําความเขา ใจอยางมากก็คอื คนทเ่ี ปน สมาชิก ซึง่ หมายถึงสทิ ธิประโยชนของ สมาชกิ ทีส่ หกรณค วรจะจัดหาใหต ามหลักการสหกรณ ในสว นของการบรหิ ารคนที่เปน “พนกั งานสหกรณ” มกี ฎหมายท่ีตองทําความเขาใจอยู 2 ฉบบั ดวยกนั คือ กฎหมายคมุ ครองแรงงาน กับ กฎหมายประกันสังคม ซ่ึงสรปุ โดยยอ ดงั น้ี กฎหมายคมุ ครองแรงงาน เปน กฎหมายทวี่ า ดว ยการคมุ ครองมาตรฐานขนั้ ตาํ่ ในการทาํ งานของผใู ชแ รงงาน โดยกําหนดใหนายจางจัดสภาพการจางและสภาพการทํางานของลูกจาง หากไมปฏิบัติตามถือวาเปนละเมิดตอ รัฐและสงั คมดวย บางกรณนี อกจากจะตองจา ยคา ชดเชยแลว ยังมีโทษทางอาญาดว ย ดังน้ันผูท่กี รรมการดําเนนิ การสหกรณจะตองศึกษาเพ่ือดูแลพนักงานสหกรณของตนในเรื่องเวลาทํางานของลูกจาง การทํางานแบบปกติ และคา ลวงเวลา วนั หยดุ ประจาํ สปั ดาหห รอื ตามประเพณแี ละวนั หยดุ พกั ผอ นประจาํ ป การลาตา งๆ และสวสั ดกิ าร ตางๆ ใหเ ขาใจมฉิ ะน้ันแลวอาจกอใหเกดิ ปญหาแก สหกรณโดยไมจ ําเปน สําหรับกฎหมายประกันสังคมน้ัน เปนกฎหมายที่มุงเนนใหความชวยเหลือแกลูกจางที่ตองเจ็บปวยหรือ ไดรับอันตรายซ่ึงมิใชเกิดจากการทํางาน เพราะถาเปนเรื่องท่ีเก่ียวของกับการทํางานตองใชกฎหมายคุมครอง แรงงาน ดงั นัน้ เฉพาะการประกนั สังคมจงึ ตองเขา ใจในเบอ้ื งตนวา กจิ การใดหรือการจา งลูกจา งเทา ใดจงึ จะตอง เขา สรู ะบบประกนั สงั คม การเกบ็ เงนิ สมทบเปน อยา งไร ซงึ่ ในสว นนอ้ี าจไปเกย่ี วขอ งกบั การจดั การทรพั ยากรมนษุ ย 82 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 1754
85 ของสหกรณด ว ย ในสวนของการบริหารคนที่เปน “สมาชิก” มีขอสังเกตทางกฎหมายท่ีพึงสังวรอยู 2 ฉบับดวยเชนกัน พระราชบญั ญตั ิประกันชวี ติ พ.ศ.2535 กับพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห พ.ศ.2517 เพราะที่สหกรณ จะสามารถดาํ เนนิ การไดเ พยี งใดในการจดั ใหม สี วสั ดกิ ารหรอื การสงเคราะหต ามสมควรแกส มาชกิ และครอบครวั โดยเฉพาะเกี่ยวกับการสงเคราะหสมาชิกหรือครอบครัวเม่ือสมาชิกหรือบุคคลในครอบครัวถึงแกความตาย ซึ่งเรื่องเหลาน้ีจะเขาไปเก่ียวของกับหนวยงานอื่นมากมายและอาจเกิดปญหาแกสหกรณในภายหลังได เพราะสหกรณไ มส ามารถประกอบกจิ การดงั กลา วไดเ ลย ทกี่ ลา วมาทงั้ หมดพอจะทาํ ใหเ หน็ ไดว า ผทู เ่ี ปน เจา ของสหกรณแ ละขนั อาสาเขา มาบรหิ ารกจิ การสหกรณ จาํ เปน ตอ งมคี วามรดู า นกฎหมายพอสมควรและมากกวา นน้ั คอื ตอ งรกู ฎหมายหลายฉบบั แตไ มจ าํ เปน ตอ งลกึ ซง้ึ ทง้ั หมด เพยี งแตข อใหรูหลกั ตา งๆ ทส่ี าํ คญั เทาน้ันกพ็ อ รายละเอยี ดสามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดใ นภายหลัง สว นท่ี ผูเขียนยังไมไดกลาวถึงก็คือเร่ืองของอายุความและการดําเนินคดีตาง ๆ ของสหกรณ เพราะมีรายละเอียด คอ นขา งมาก เอาแตเพียงวา กรรมการดําเนินการ สหกรณตองคอยตรวจสอบอยูเสมอวา หนี้ใดถงึ กําหนดชําระ หนใ้ี ดยงั เรยี กเกบ็ ไมไ ด กใ็ หร บี ดาํ เนนิ การทางกฎหมายโดยดว น เพอ่ื ปอ งกนั ความเสยี หาย สว นผลจะเปน อยา งไร เปนอีกเร่ืองหนึ่ง เพราะหนาที่ของกรรมการดําเนินการสหกรณคือการดูแลกิจการสหกรณใหเกิดความเสียหาย นอยทีส่ ดุ เทานน้ั เอง อยา งไรกต็ ามในการบรหิ ารสหกรณน นั้ หวั ใจทง้ั หาใชอ ยทู ก่ี ฎหมายแตเ พยี งประการเดยี ว แตต อ งยอมรบั วา ประเทศไทยน้นั เปนประเทศที่สภาพเปนนิติรัฐ คอื ทุกเรอื่ งตองเขยี นเปนบทกฎหมายเกือบทง้ั สิน้ และการนาํ ทุกเรื่องในกิจการสหกรณมาบัญญัติเปนกฎหมายทั้งหมดก็ทํามิได เพราะจะเกิดความแข็งกระดางไมยืดหยุน การตัดสินใจในการบริหารกิจการทั้งหมดของสหกรณตองอยูบนพ้ืนฐานของอุดมการณสหกรณและหลักการ สหกรณ ซง่ึ อดุ มการณส หกรณน เี้ องกถ็ กู นาํ มาเปน บทบญั ญตั หิ วั ใจของกฎหมายสหกรณโ ดยใหค าํ จาํ กดั ความของ สหกรณวา “คณะบุคคลซึ่งรวมกันดําเนินกิจการเพื่อประโยชนทางเศรษฐกิจและสังคมโดยชวยเหลือซึ่งกันและ กัน และจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติน้ี”83 รวมทั้ง “และตองมีวัตถุประสงคเพื่อสงเสริมผลประโยชนทาง เศรษฐกิจและสังคมของบรรดาสมาชิกโดยวิธีชวยตนเองและชวยเหลือซึ่งกันและกันตามหลักการสหกรณ”84 ฉะน้ันการบริหารกิจการสหกรณท้ังหมดจึงมุงเปาหมายแรกเพ่ือการพัฒนาชีวิตคนซึ่งหมายถึงความพัฒนาจาก พอมพี อกนิ ในระดบั ทหี่ นงึ่ ไปสรู ะดบั พอกนิ พอเกบ็ เปน ระดบั ทส่ี อง และสดุ ทา ยระดบั ทสี่ ามกค็ อื อยดู กี นิ ดมี สี ขุ ของ สมาชิกน่ันเอง เปาหมายที่สองอยูที่ความมั่นคงมากกวาความมั่งค่ังของสหกรณ หากสหกรณใดท่ีมุงหวังความ 83 พระราชบญั ญัตสิ หกรณ พ.ศ. 2542 มาตรา 3 84 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ. 2542 มาตรา 33
86 มงั่ คง่ั ของสหกรณเ ปน ลาํ ดบั แรก ผลทไ่ี ดร บั กค็ วามทกุ ขร ะทมของสมาชกิ นน่ั เอง และเมอื่ ใดทคี่ ณะกรรมการดาํ เนนิ การของสหกรณใชกรอบหลักการสหกรณท่ีกลาวมาขางตนเปนตัวตั้งในการบริหารกิจการสหกรณ นําเอามรรค วธิ แี หง นติ ธิ รรมเปน ตวั หาร แลว บวกหรอื ลบกบั สภาพแวดลอ มโดยทวั่ ไปพรอมดว ยความคดิ คาํ นงึ ของวฒั นธรรม องคก รแมของสหกรณ เชือ่ วา ผลลพั ธสุดทา ย คือประโยชนส งู สดุ ทไี่ ดจากการชว ยเหลอื ตนเองและการชว ยเหลอื ซึ่งกันและกันน่ันเอง สวนสหกรณใดจะทําไดหรือไมก็ตองเขาใจดวยวาหาใชกรรมการดําเนินการแตเพียงลําพัง เพราะปจ จยั แหง ความสาํ เรจ็ ทง้ั มวลจะขน้ึ อยทู ค่ี ณุ ภาพสมาชกิ เปน สาํ คญั เพราะสมาชกิ คอื ผทู เ่ี ปน เจา ของสหกรณ ซึ่งมีบทบาทมากท่ีสุดในการเลือกสมาชิกดวยกันเขามาทําหนาท่ีบริหารอุดมการณของมวลสมาชิกทั้งหมด ซงึ่ กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณจ ะผขู บั เคลอ่ื นใหส หกรณพ ลวตั รไปขา งหนา โดยมกี ลไกทขี่ าดเสยี มไิ ดค อื เจา หนา ท่ี สหกรณ เมื่อทราบดง่ั นีแ้ ลว ตองตอบคาํ ถามตอไปใหไ ดว า ณ เวลาน้ี “เรา” เปน ใครและตอ งมบี ทบาทในสหกรณ อยางไร แลวเราทําหนาท่แี ละมีบทบาทสมบูรณแ ลว หรือไม ถาคดิ วา ยงั ไมไ ดทําก็ทาํ เสียใหม ถาคิดวาไดทําแลวก็ ทําใหด ีที่สดุ ตอไป การสหกรณไ มใ ชเ รอื่ งยากทจ่ี ะศกึ ษาและเขา ถงึ แตใ นขณะเดยี วกนั การสหกรณก ไ็ มใ ชเ รอื่ งทใี่ หผ หู นง่ึ ผใู ด สามารถจะมงุ แสวงหาประโยชนไดเ พ่ือความร่ํารวยของตนเอง เพราะเปนเร่ืองท่ีไมอ าจทําไดโดยงาย และการท่ี จะเขา ไปเปน กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณน บั แตบ ดั นเี้ ปน ตน ไปจะไมใ ชเ รอ่ื งของใครกไ็ ดต อ ไปแลว เพราะนน่ั เปน ความผดิ พลาดทางความคดิ ชนดิ ทไ่ี มค วรใหอ ภยั การสหกรณ ณ เวลานตี้ อ งการสมาชกิ ทม่ี คี วามสามารถในความ หลากหลายมารวมมือรวมคิดและรวมกันทําอยางจริงจัง การเปนที่สมาชิกสหกรณมีอุดมการณนอย เราก็ไมวากันเพราะอยางนอยสมาชิกผูน้ันเห็นคุณประโยชนของสหกรณอยูบางแลววาสหกรณนาเปนแสงสวาง และทางรอดของชีวิตสมาชิกได แตตรงกันขาม หากสมาชิกท่ีมีอุดมการณสหกรณไมครบถวนเขาเปนกรรมการ ดาํ เนนิ การณ สหกรณน นั้ กจ็ ะไมม พี ลงั เพยี งพอทจ่ี ะสง เสรมิ ผลประโยชนท างเศรษฐกจิ และสงั คมของบรรดาสมาชกิ ดวยวิธีการสหกรณเพ่ือใหสมาชิกไดอยูดีมีสุขในแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเปนพื้นฐานทางความคิดของ การสหกรณม าแตเดมิ กฎหมายเกย่ี วกบั การชลประทาน เปน กฎหมายทเี่ กดิ ขนึ้ เพอื่ สง เสรมิ และควบคมุ การชลประทานในสว นของรฐั ทไี่ ดจ ดั ทาํ ขนึ้ เพอ่ื ใหไ ดม าซงึ่ นา้ํ หรอื เพ่ือกัก เก็บ รกั ษา ควบคมุ สง ระบาย หรอื แบง น้าํ เพอ่ื เกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภค หรอื การอตุ สาหกรรม รวมถงึ การปอ งกนั ความเสยี หายอนั เกดิ จากนาํ้ และการคมนาคมทางนาํ้ ในเขตชลประทาน (คํานยิ ามมาตรา 4 “การชลประทาน”) ขอบเขตหรือพืน้ ที่ทีจ่ ะใชบงั คับไดแ กบริเวณใดบาง ไดแ กบริเวณที่เปนทางนา้ํ ชลประทาน เขตชลประทาน เขตงาน ทางน้าํ ชลประทาน เขตชลประทาน เขตงาน หมายความวาอยา งไร ทางนาํ้ ชลประทาน หมายความวา ทางนาํ้ ทร่ี ฐั มนตรวี า การกระทรวงเกษตรและสหกรณ ไดป ระกาศตาม
87 มาตรา 5 วาเปน ทางนาํ้ ชลประทาน (คาํ นิยามมาตรา 4) เขตชลประทาน หมายความวา เขตท่ีดินท่ีทําการเพาะปลูกซึ่งจะไดรับประโยชนจาก การชลประทาน (คาํ นิยามมาตรา 4) เขตงาน หมายความวา เขตท่ีดนิ ทใี่ ชใ นการสรา งและการบาํ รงุ รักษาการชลประทานตามทีเ่ จา พนักงาน ไดแ สดงแนวเขตไว (คํานยิ ามมาตรา 4) ทางนํ้าชลประทานท่รี ัฐมนตรีไดประกาศตามมาตรา 5 นนั้ มกี ี่ประเภทและเปน อยา งไร ทางนาํ้ ชลประทานตามมาตรา 5 ไดแ บง เปน 4 ประเภท ประเภท 1 คอื ทางนาํ้ ทใี่ ชใ นการสง ระบาย กกั หรอื กนั้ นาํ้ เพอ่ื การชลประทาน เชน คลองสง นา้ํ สายใหญ คลองสง น้ํา คลองซอยของโครงการชลประทาน ฯลฯ ประเภท2คอื ทางนา้ํ ทใ่ี ชใ นการคมนาคมแตม กี ารชลประทานรว มอยดู ว ยเฉพาะภายในเขตทไี่ ดร บั ประโยชนจากการชลประทานนั้น ซึ่งหมายถึงใชเพอ่ื การคมนาคมเปนหลัก ประเภท3คอื ทางนา้ํ ทสี่ งวนไวใ ชใ นการชลประทานเชน แหลง ตน นาํ้ ลาํ ธารเหนอื ระบบชลประทาน และเห็นวา แหลงน้าํ นี้มคี วามตอ งการท่ีจะใชง านชลประทานในภายหนา ประเภท4คอื ทางนาํ้ อนั เปน อปุ กรณแ กก ารชลประทานซงึ่ หมายถงึ เพอื่ ใหก ารชลประทานสมบรู ณ ย่งิ ขนึ้ เชน อา งเกบ็ นา้ํ หรือแหลงนา้ํ ธรรมชาตทิ ีม่ อี ยูแลว รฐั มนตรจี ะตอ งออกประกาศวา ทางนา้ํ ใดเปน ทางนาํ้ ชลประทาน และเปน ประเภทใด และตอ งลงประกาศ ในราชกจิ จานุเบกษาดว ยจงึ จะมีผลตามกฎหมาย ซึง่ ประชาชนจะอางวา ไมรูไมไ ด ขอหามท่ปี ระชาชนพึงรูวามีอยา งไร และหากฝา ฝนจะตอ งรับโทษอยา งไรบา ง 1. หามเรือยนต หรอื เรือกลไฟเดนิ ในทางน้ําชลประทานประเภท 1 เวน แตจะไดร บั หนังสืออนญุ าตจาก เจา พนักงานเปน คร้ังคราวตามความจาํ เปน (มาตรา 13 เบญจ) 2. หา มเรอื ยนต หรอื เรอื กลไฟรบั จา งขนสง คนโดยสาร หรอื สนิ คา หรอื รบั จา งลากจงู ในทางนา้ํ ชลประทาน ประเภท 2 เวน แตจ ะไดรบั อนญุ าตจากเจาพนกั งาน และเม่ือไดร ับอนญุ าตแลว ใหใชไ ดถงึ วนั ท่ี 31 ธนั วาคมของ ปที่ออกใบอนุญาต (มาตรา 13 เบญจ) 3. หามปดก้ันน้าํ ไวดวยวิธกี ารใดๆ จนเปน เหตุไมใ หนาํ้ ไหลไปสทู ดี่ ินใกลเ คียงหรอื ปลายทาง (มาตรา 20 วรรคหนง่ึ ) หามขดั คําสัง่ เจาพนกั งานท่ีไดแจงเปน หนงั สือใหเ ปดสง่ิ ที่ปด ก้ันนา้ํ ไว (มาตรา 20 วรรคสอง) 4. หามใชเครือ่ งมอื และวิธีการจบั สตั วน ํา้ ในทางนา้ํ ชลประทานประเภท 1 และประเภท 2 ดงั นี้ 4.1 ปก ซ้งั ต้ังสกุ ตัง้ กะบงั ตง้ั จิบ ตั้งล่ี เทียบหญากลา ใชเฝอกหรืออวนชนิดตางๆ 4.2ใชย อขนั ชอ หรอื เครอื่ งมอื จบั สตั วน าํ้ ประจาํ ทชี่ นดิ อน่ื ซงึ่ ยนื่ หรอื ลา้ํ จากแนวตลง่ิ เกนิ กวา 1ใน4 ของความกวางของทางนาํ้ สว นน้ัน 4.3 เครอ่ื งมอื จบั สตั วน า้ํ เคลอื่ นท่ี เชน แห สวงิ ชอ น สมุ ยอ โดยรวมหมู หรอื โดยวธิ ปี ระดาตงั้ แต 2 เครือ่ งมอื ขึ้นไป
88 5. หามจับสัตวนํ้าในเขตทางน้าํ ชลประทานประเภท 1 ประเภท 2 และประเภท 4 ดงั น้ี 5.1 ตามทางน้ําวัดจากเขื่อนระบาย หรือทาํ นบแตละดาน 1,000 เมตร 5.2 ตามทางน้ําวดั จากประตนู าํ้ ฝาย ประตูระบาย ทอเชือ่ ม หรือปูมแตล ะดาน 300 เมตร 5.3 ตามทางนาํ้ วดั จากทอ นํา้ แตละดาน 100 เมตร (ขอ 4 และขอ 5 กฎกระทรวงฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2509)) 6. หา มฝา ฝน ประกาศของเจา พนกั งานทต่ี ดิ ไวใ หท ราบถงึ การใชเ รอื แพ การใชน าํ้ การระบายนาํ้ หรอื การ อ่ืนในทางนํา้ ชลประทานประเภท 4 (มาตรา 16) 7. หามฝา ฝน เมอื่ เจาพนกั งานสัง่ ใหผ คู วบคมุ เรอื แพ ทผ่ี าน หรือจะผา นทางนา้ํ ชลประทาน ใหห ยดุ หรอื จอดเรือ แพ (มาตรา 13 ตรี (1)) 8. หา มไมใ หต น ไมรุกลํา้ ทางนํา้ ชลประทาน หรอื ทาํ ใหเ สยี หายแกก ารชลประทาน ถาเจา พนกั งานส่ังให ตดั หรอื นําตนไมไ ปใหพน เจา ของหรอื ผูค รอบครองท่ีดินนนั้ ตองปฏบิ ัตติ ามหา มฝาฝน (มาตรา 24) ผูที่ฝาฝนขอ หามตามขอ 1 - 8 จะมีความผดิ ตามกฎหมาย และตอ งรบั โทษจาํ คุกไมเ กินหนึง่ เดือน หรือปรับ ไมเ กินหนงึ่ พนั บาท หรือท้งั จําทั้งปรบั (มาตรา 36 ตร)ี 9. หา มปลูกสรา ง แกไข หรือตอเตมิ สิ่งกอสราง หรอื ปลกู ปกส่ิงใด หรือทําการเพาะปลูก รุกลา้ํ ทางน้ํา ชลประทาน ชานคลอง เขตคนั คลอง หรอื เขตพนัง เวนแตจะไดรบั อนญุ าตเปนหนังสอื จากนายชางชลประทาน (มาตรา 23 วรรคหน่ึง) 10. หามกระทําการใดอันเปนการกีดขวางทางน้ําชลประทาน เวนแตจะไดรับอนุญาตเปนหนังสือจาก นายชา งชลประทาน (มาตรา 25 วรรคหนงึ่ ) 11. หามทงิ้ ขยะมูลฝอย ซากสัตว ซากพืช เถา ถา น หรอื สง่ิ ปฏกิ ูลลงในทางนํ้าชลประทาน หรอื ทาํ ใหนาํ้ เปน อันตรายแกก ารเพาะปลกู หรือการบรโิ ภค (มาตรา 28 วรรคหนง่ึ ) 12. หา มกระทําการอยา งหนง่ึ อยางใดอนั จะทาํ ใหเ สยี หายแกค ันคลอง ชานคลอง ทํานบ พนัง หรอื หมดุ ระดับหลกั ฐานทใี่ ชในการชลประทาน (มาตรา 30) 13. หา มกระทําการอยางหน่ึงอยา งใดอนั จะเปน การกดี ขวางแกแนวทางท่ไี ดส ํารวจไว หรอื เขตงาน หรอื ทําใหแนวทางทไ่ี ดส าํ รวจไว หรือหมดุ หมายแสดงเขตงานคลาดเคลือ่ นหรือสญู หาย (มาตรา 31) ผทู ่ีฝา ฝนขอหา มตามขอ 9 - 13 จะมีความผิดตามกฎหมาย และตองรบั โทษจาํ คกุ ไมเกินสามเดือน หรอื ปรับ ไมเกนิ สองพนั บาท หรอื ทัง้ จาํ ทัง้ ปรบั (มาตรา 37 วรรคหน่งึ ) 14. หามปลอยนํ้าซ่ึงทําใหเกิดพิษแกนํ้าตามธรรมชาติ หรือสารเคมีเปนพิษลงในทางนํ้าชลประทาน จนอาจทาํ ใหน าํ้ ในทางนาํ้ ชลประทานเปน อนั ตรายแกเ กษตรกรรม การบรโิ ภค อปุ โภค หรอื สขุ ภาพอนามยั (มาตรา 28 วรรคสอง) ผูท่ีฝาฝน ขอหา มนี้จะตองรบั โทษจาํ คุกไมเ กินสองป หรอื ปรบั ไมเ กินหนงึ่ แสนบาท หรอื ท้งั จาํ ทั้งปรับ มาตรา 37 วรรคสอง 15. หามฝาฝนคําส่ังเจาพนักงานหรือนายอําเภอหรือผูทําการแทนนายอําเภอที่ไดสั่งใหเจาของหรือ
89 ผคู รอบครองทด่ี นิ หรอื ผทู าํ การเพาะปลกู บนพน้ื ทด่ี นิ ภายในบรเิ วณทไี่ ดร บั นาํ้ จากการสง นา้ํ หรอื สบู นา้ํ กระทาํ อยา ง หนึ่งอยางใดภายในระยะเวลาที่กําหนดเพื่อใหกักนํ้าไวไมใหไหลเสียเปลาจนเปนเหตุใหท่ีดินขางเคียงไมไดรับน้ํา ตามทค่ี วร (มาตรา 21) 16. หามฝาฝนคําสั่งเจาพนักงานเม่ือเจาพนักงานไดส่ังหามชักหรือใชน้ําในทางนํ้าชลประทาน เม่ือเห็น วา เปนเหตุท่ีจะกอ ใหเ กิดความเสียหายแกผูอ ื่น (มาตรา 35) ผทู ฝ่ี า ฝน ขอ หา มตามขอ 15 - 16 จะมคี วามผดิ ตามกฎหมาย และตองรับโทษจําคุกไมเกินสามเดือน หรือปรับไมเกินสอง พนั บาท หรือทั้งจาํ ทง้ั ปรบั (มาตรา 38) 17. หามนําหรือปลอยสัตวพาหนะลงไปในทางนํ้า ชลประทานประเภท 1 และประเภท 2 หรอื เหยยี บยา่ํ คนั คลอง ชานคลอง หรอื บรเิ วณสิง่ กอ สรา งอันเกีย่ วกบั การชลประทาน เวน แตใ นทที่ ไี่ ดก าํ หนดอนญุ าตไวห รอื ไดร บั อนญุ าตเปน หนงั สอื จากเจาพนักงาน (มาตรา 27) ผทู ฝ่ี า ฝน ขอ หา มนจี้ ะตอ งรบั โทษปรบั เรยี งตามตวั สตั วต วั ละหา บาทขนึ้ ไป แตไ มเ กนิ ตวั ละหา สบิ บาท (มาตรา 39) 18. หามขุดคลองหรือทางน้าํ มาเช่อื มกบั ทางนา้ํ ชลประทานหรือมาเช่ือมกบั ทางน้าํ อื่นท่เี ช่อื มกบั ทางนาํ้ ชลประทาน หรือกระทําการอยางหนึ่งอยางใดใหน้ําในทางนํ้าชลประทานรั่วไหล อันอาจกอใหเกิดการเสียหาย แกการชลประทาน เวนแตจะไดรับอนุญาตเปนหนังสือจากอธิบดี หรือผูท่ีอธิบดีมอบหมาย (มาตรา 26 วรรคหน่ึง) 19. หามทําใหประตนู า้ํ ฝาย เขือ่ นระบาย ประตรู ะบาย ทอนํ้า ทอ เชือ่ ม สะพานทางนํ้า ปมู เสาหรอื สาย โทรศัพททีใ่ ชใ นการชลประทานเสยี หายจนอาจเกดิ อนั ตรายหรอื ขดั ขอ งแกการใชส งิ่ ท่กี ลาวน้นั (มาตรา 29) ผทู ฝ่ี าฝน ขอ หามตามขอ 18 - 19 จะมคี วามผดิ ตามกฎหมาย และตองรับโทษจาํ คกุ ไมเ กนิ หาป หรือปรับไม เกินสองหม่ืนบาท หรอื ท้งั จาํ ทั้งปรับ (มาตรา 40) 20. หา มปด หรือเปด ประตูนา้ํ เขอื่ นระบาย ประตรู ะบาย ทอน้ํา ทอ เชอ่ื ม สะพานทางน้าํ ปูม หรอื ลาก เขน็ สาล่ใี นบริเวณทาํ นบหรอื ประตูระบาย (มาตรา 32) 21. หา มแกไ ข เปลยี่ นแปลง หรอื รือ้ ถอนบรรดาสง่ิ กอ สรา งอนั เกี่ยวกบั การชลประทาน (มาตรา 33) 22 . หา มขดุ ลอก ทางนา้ํ ชลประทาน อนั จะทาํ ใหเ สยี หายแกก ารชลประทานหรอื ปด กนั้ ทางนา้ํ ชลประทาน เวนแตจ ะไดรับอนญุ าตจากอธิบดี (มาตรา 34) ผูท่ีฝา ฝนขอ หา มตามขอ 20 - 22 จะมคี วามผิดตามกฎหมาย และตองรบั โทษจําคกุ ไมเ กินสองป หรือปรับ ไมเกนิ หนง่ึ หมืน่ บาท หรอื ท้งั จําทง้ั ปรบั (มาตรา 41) ทาํ ไมกฎหมายจงึ กาํ หนดขอ หา มมากมายเชนน้ี เพราะหากมีการฝาฝนขอหามตามกฎหมายจะเกิดผลกระทบตอการบริหารจัดการนํ้าทุกภาคสวนไมวา จะเปนภาคเกษตรกรรม อตุ สาหกรรม การอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอยางยิง่ สงผลกระทบตอความเปน อยูช วี ิต
90 ประจําวันของประชาชนโดยทั่วไปใหไดรับความเดือดรอนเสียหาย เชน หากมีการท้ิงของเนาเสีย สิ่งปฏิกูล หรือสงิ่ ท่ีเปน พิษลงในทางนาํ้ ชลประทานกจ็ ะเกิดผลกระทบตอ การอปุ โภคบรโิ ภค ของประชาชน และสรรพชวี ิต ในการดาํ รงชพี ดว ย กฎหมายคมุ ครองสิทธิของประชาชนดงั ตอ ไปนี้ 1. ไดรบั น้าํ เทาท่จี ําเปนโดยไมท ําใหกระทบสิทธบิ คุ คลอน่ื 2. ไดร บั นาํ้ เพอื่ ใชใ นกจิ การโรงงาน การประปา หรอื กจิ การอนื่ ในหรอื นอกเขตชลประทานซงึ่ กฎหมายได ใหอ าํ นาจรฐั ในการจดั เกบ็ คา นา้ํ ในการชลประทาน โดยในภาคอตุ สาหกรรมเกบ็ ไดไ มเ กนิ ลกู บาศกเ มตรละหา สบิ สตางค และภาคเกษตรกรรมไมเ กนิ ไรล ะ 5 บาทตอป สําหรบั ในภาคอตุ สาหกรรมรฐั มนตรไี ดออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 42 (พ.ศ. 2540) จดั เก็บคานาํ้ ไวแ ลวโดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 8 สว นภาคเกษตรกรรมยงั ไมมกี ารออก กฎกระทรวงในการจัดเก็บคา นํ้า 3. ถาใชน ํ้าเพือ่ กิจการสาธารณประโยชนไมตอ งชําระคา นา้ํ แตจะตองไดรับยกเวนเปน หนังสือจากอธิบดี กรมชลประทาน (กฎกระทรวงฉบับท่ี 42 (พ.ศ. 2540)) 4. มีสิทธิทําทางนํ้าผานที่ดินของผูอื่นไดในเม่ือนายชางชลประทาน ผูวาราชการจังหวัดหรือนายอําเภอ ไดอ นญุ าตและกาํ หนดใหโ ดยกวา งรวมทงั้ ทดี่ นิ ดว ยไมเ กนิ สบิ เมตร แตต อ งใชค า สนิ ไหมทดแทนใหแ กเ จา ของและ ผคู รอบครองที่ดนิ ที่ทางนํ้าน้นั ผา น (มาตรา 9 วรรคหนึง่ ) แตอยางไรก็ตาม แมจะไดสิทธิในการใชนํ้า แตหากมีกรณีฉุกเฉินหรือจําเปนเกี่ยวกับการบริหารจัดการ นา้ํ หรอื ปรมิ าณไมเ พยี งพอแกก ารจดั สง นา้ํ เพอื่ การเกษตร กรมชลประทานมอี าํ นาจสงั่ ให ผใู ชน า้ํ งดการสบู นาํ้ หรอื ชกั น้ําได แมจ ะเกดิ สิทธแิ ตห ากใชสทิ ธโิ ดยฝาฝน ตอกฎหมายกจ็ ะตอ งรบั โทษตามกฎหมาย เม่ือไดสิทธิในการไดรับอนุญาตใหใชน้ําในกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอ่ืนในหรือนอกเขต ชลประทานโดยตอ งชาํ ระคา นาํ้ ในอตั ราลกู บาศกเ มตรละหา สบิ สตางค หากไมช าํ ระในกาํ หนดเวลาจะตอ งรบั โทษ ปรับไมเกินสิบเทาของคาน้ําท่ีคางชําระ แตหากไดนําคาน้ําท่ีคางชําระ และเงินเพิ่มอีกหนึ่งเทาของคานํ้าที่คาง ชําระมาชําระใหแกเจาพนักงานภายในเวลาท่ีเจาพนักงานกําหนดใหแลว ใหยกเวนโทษปรับสิบเทาของคาน้ําที่ คางชําระนั้นเสีย (มาตรา 36) ซึ่งหมายความวา การท่ีไมนําคาใชนํ้ามาชําระตามกําหนด เจาหนาที่จะกําหนด ระยะเวลาใหนาํ เงินคา ใชน้าํ และเบย้ี ปรับอีกหนง่ึ เทามาชําระ ถา ยังไมช าํ ระอีกจะมีโทษปรบั 10 เทา จุดมุงหมายของการกําหนดโทษปรับไวในกฎหมายก็เพ่ือเปนการปองปรามมิใหเกิดหนี้ คางชําระคานํ้า อนั จะสง ผลใหร ะบบบรหิ ารจดั การนาํ้ ในภาพรวมเกดิ ความเสยี หาย ดงั นน้ั เพอ่ื ประโยชนใ นการบรหิ ารจดั การนา้ํ ไมใหเ กิดความเสียหายในภาพรวม แตก อ ใหเกิดประโยชนสูงสดุ ในทกุ ภาคสวน การ ใชน้าํ ประชาชนควรรว มมือ รวมใจไมป ฏบิ ตั ิผิดกฎหมาย
91 พระราชบัญญตั โิ รคระบาดสัตว พระราชบัญญัติ โรคระบาดสตั ว พ.ศ.2499 ภูมพิ ลอดลุ ยเดช ป.ร. ใหไว ณ วันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2499 เปนปท 1่ี 1 ในรชั กาลปจ จบุ ัน พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช มพี ระบรมราชโองการโปรดเกลาฯ ใหป ระกาศวา โดยทเ่ี ปนการสมควรมกี ฎหมายวา ดว ยโรคระบาดสัตว จงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหต ราพระราชบญั ญัติขนึ้ ไว โดยคาํ แนะนาํ และยินยอมของสภาผแู ทนราษฎร ดังตอไปน้ี มาตรา1 พระราชบัญญตั ินเี้ รยี กวา “พระราชบญั ญัติโรคระบาดสัตว พ.ศ.2499” มาตรา2 พระราชบญั ญตั นิ ใี้ หใ ชบ งั คบั เมอ่ื พน กาํ หนดเกา สบิ วนั นบั แตว นั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน ตน ไป มาตรา3 ใหยกเลกิ (1) พระราชบญั ญัตโิ รคระบาดปศสุ ัตว และสัตวพ าหนะ พุทธศกั ราช2474 (2) พระราชบัญญตั โิ รคระบาดปศสุ ตั วและสัตวพ าหนะ แกไขเพ่ิมเติม พุทธศกั ราช 2478 และ (3) พระราชบญั ญตั โิ รคระบาดปศุสัตวแ ละสัตวพาหนะ (ฉบับท่ี3) พ.ศ.2497 ในกรณที มี่ บี ทกฎหมาย กฎ หรอื ขอ บงั คบั อนื่ ขดั หรอื แยง กบั บทแหง พระราชบญั ญตั นิ ้ี ใหใ ชพ ระราชบญั ญตั นิ บ้ี งั คบั แทน มาตรา 4 ในพระราชบัญญตั นิ ี้ “สตั ว” หมายความวา (1) ชา ง มา โค กระบือ ลา ลอ แพะ แกะ สกุ ร สนุ ัข แมว กระตาย ลิง ชะนี และใหหมายความรวมถึงนาํ้ เชื้อ สาํ หรบั ผสมพันธุ และเอม็ บริโอ (ตวั ออ นของสตั วท ่ียงั ไมเ จริญเตบิ โตจนถงึ ข้ันท่มี ีอวยั วะครบบรบิ รู ณ) ของสตั วเหลา น้ี ดวย (2) สัตวปก จาํ พวกนก ไก เปด หา น และใหห มายความรวมถึงไขสําหรับใชทาํ พันธุดว ย และ (3) สัตวช นิดอืน่ ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง “ซากสตั ว” หมายความวา รางกายหรอื สว นของรา งกายสัตวทตี่ ายแลว และยังไมไดแ ปรสภาพเปนอาหารสกุ หรือสิ่งประดิษฐสําเร็จรูป และใหหมายความรวมถึงงา เขา และขน ที่ไดตัดออกจากสัตวขณะมีชีวิตและยังไมไดแปร
92 สภาพเปนส่งิ ประดษิ ฐสาํ เรจ็ รูปดว ย “โรคระบาด” หมายความวา โรครินเดอรเปสต โรคเฮโมรายิกเซพติซีเมีย โรคแอนแทรกซ โรคเซอรา โรคสารตกิ โรคมงคลอ พษิ โรคปากและเทาเปอย โรคอหิวาตสกุ ร และโรคอนื่ ตามทีก่ าํ หนดในกฎกระทรวง “เจาของ” หมายความรวมถึงผคู รอบครอง ในกรณีท่เี ก่ียวกับสัตวเมอื่ ไมป รากฏเจาของ ใหห มายความ รวมถึงผเู ล้ียงและผคู วบคมุ ดว ย “ทาเขา ” หมายความวา ท่สี าํ หรบั นําสตั วและซากสตั วเขาในราชอาณาจักร “ทา ออก” หมายความวา ที่สําหรบั นําสัตวแ ละซากสตั วออกนอกราชอาณาจักร “ดานกกั สตั ว” หมายความวา ท่ีสําหรบั กักสัตวห รอื ซากสตั วเ พอื่ ตรวจโรคระบาด “การคา” หมายความวา การคา ในลกั ษณะคนกลาง “พนักงานเจาหนา ท”่ี หมายความวา ผซู ึง่ รัฐมนตรแี ตง ตงั้ “สารวัตร” หมายความวา สารวตั รของกรมปศุสัตว หรอื ผูซ ่ึงอธิบดแี ตง ต้ัง “นายทะเบียน” หมายความวา ผูซ่งึ รฐั มนตรีแตงตั้งเปนนายทะเบียน “สัตวแพทย” หมายความวา สตั วแพทยข องกรมปศสุ ัตว หรอื ผูซง่ึ รัฐมนตรีแตง ต้ัง “อธิบด”ี หมายความวา อธิบดกี รมปศุสตั ว “รัฐมนตร”ี หมายความวา รัฐมนตรีผูรักษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ี้ มาตรา5 พระราชบัญญัตินี้มิใหใชบงั คับในกรณเี กย่ี วกับสัตวข องกระทรวงกลาโหม และสวนราชการอ่นื ตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 6 สําหรับสนุ ัข แมว กระตา ย ลิง ชะนี รวมถึงนํ้าเชอื้ สําหรบั ผสมพนั ธสุ ตั วเหลา นี้ และสตั วป ก จาํ พวกนก ไก เปด หา น รวมถึงไขส าํ หรับใชทําพันธุ ใหพระราชบัญญัตนิ ใี้ ชบงั คบั เฉพาะการนําเขา นาํ ออกหรอื นําผา นราชอาณาจกั ร หรอื การอยางอนื่ ตามทกี่ ําหนดโดยพระราชกฤษฎีกา มาตรา 7 ใหรัฐมนตรีวาการกระทรวงเกษตรรักษาการตามพระราชบัญญัติน้ีและใหมีอํานาจแตงต้ัง พนกั งานเจา หนา ท่ี นายทะเบยี น และสตั วแพทย และออกกฎกระทรวงวางระเบยี บการขอและการออกใบอนญุ าต กําหนดคาธรรมเนียมไมเกินอัตราทายพระราชบัญญัตินี้ หรือยกเวนคาธรรมเนียมเฉพาะกรณี และ กําหนดการอ่ืนๆ เพอ่ื ปฏบิ ตั ิการตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี กฎกระทรวงนนั้ เม่อื ไดประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลว ใหใชบังคับได
93 หมวด 1 การปองกันโรคระบาด มาตรา 8 ในทอ งทที่ ย่ี งั มไิ ดป ระกาศเปน เขตปลอดโรคระบาดตามหมวด2 หรอื ในทอ งทท่ี ย่ี งั มไิ ดป ระกาศ เปน เขตโรคระบาด เขตสงสัยวา มโี รคระบาด หรอื เขตโรคระบาดชั่วคราวตามหมวด3 ถา มสี ตั วป ว ยหรอื ตายโดยรู วาเปนโรคระบาด หรือมีสัตวปวยหรือตายโดยปจจุบันอันไมอาจคิดเห็นไดวาปวยหรือตายโดยเหตุใด หรือใน หมบู า นเดยี วกนั หรอื ในบรเิ วณใกลเ คยี งกนั มสี ตั วต ง้ั แตส องตวั ขนึ้ ไปปว ยหรอื ตาย มอี าการคลา ยคลงึ กนั ในระยะ เวลาหางกันไมเกินเจด็ วนั ใหเ จา ของแจง ตอพนักงานเจา หนา ท่ี สารวัตร หรอื สัตวแพทยทองท่ีภายในเวลายีส่ ิบส่ี ชั่วโมงนบั แตเวลาท่ีสตั วปว ยหรือตาย ในกรณีที่สัตวปวยตามวรรคกอน ใหเจาของควบคุมสัตวปวยท้ังหมดไวภายในบริเวณที่สัตวอยู และหามมิใหเจาของหรือบุคคลอื่นใดเคลื่อนยายสัตวปวยไปจากบริเวณนั้น ในกรณีท่ีสัตวตายตามวรรคกอน ใหเจาของควบคุมซากสัตวน้ันใหคงอยู ณ ที่ที่สัตวนั้นตาย และหามมิใหเจาของหรือบุคคลอื่นใดเคล่ือนยาย ชําแหละ หรอื กระทําอยางใดแกซากสัตวนน้ั ถา พนกั งานเจาหนา ท่ี สารวัตร หรือสตั วแพทยไมอ าจมาตรวจซาก สตั วน ั้นภายในเวลาส่สี ิบแปดชว่ั โมงนบั แตเวลาท่ีสัตวน น้ั ตาย ใหเจาของฝงซากสัตวนั้นใตระดับผิวดนิ ไมนอยกวา หาสบิ เซนตเิ มตร สาํ หรับซากสตั วใ หญใหพูนดินกลบหลุมเหนอื ระดับผวิ ดนิ ไมนอ ยกวาหา สิบเซนตเิ มตรอกี ดวย มาตรา 9 เม่ือไดมีการแจงตามมาตรา8 หรือมีเหตุอันควรสงสัยวามีสัตวปวยหรือตายโดยโรคระบาด ใหพ นักงานเจาหนาที่ หรอื สารวัตร มีอาํ นาจออกคําสง่ั เปน หนังสือใหเ จา ของจดั การดังตอ ไปน้ี (1) ใหกักขัง แยก หรอื ยายสัตวปว ย หรอื สงสยั วาปว ยไวภายในเขต และตามวิธีการที่กาํ หนดให (2) ใหฝ ง หรอื เผาซากสตั วน นั้ ณ ทท่ี กี่ าํ หนดให ถา การฝง หรอื เผาไมอ าจทาํ ไดใ หส งั่ ทาํ ลายโดยวธิ อี น่ื ตาม ที่เหน็ สมควร หรือ (3) ใหก กั ขงั แยก หรอื ยายสตั วทอี่ ยรู วมฝงู หรอื เคยอยูรว มฝูงกับสตั วท่ปี วยหรือสงสัยวา ปวยหรอื ตาย ไวภายในเขต และตามวิธีการทีก่ าํ หนดให มาตรา 10 เม่ือไดมีการแจงมาตรา8 หรือตรวจพบ หรือมีเหตุอันควรสงสัยวาสัตวปวยหรือตายโดย โรคระบาด ใหส ตั วแพทยม อี าํ นาจเขา ตรวจสตั วห รอื ซากสตั วน นั้ และใหม อี าํ นาจออกคาํ สงั่ เปน หนงั สอื ใหเ จา ของ จดั การดังตอไปน้ี (1) ใหก ักขัง แยก หรอื ยา ยสตั วป ว ย หรอื สงสยั วา ปวยไวภายในเขต และตามวธิ ีการท่ีกาํ หนดให หรอื ให ไดร ับการรักษาตามทเ่ี หน็ สมควร (2) ใหฝ ง หรอื เผาซากสตั วน น้ั ทั้งหมด หรือแตบ างสว น ณ ทท่ี ่ีกาํ หนดให ถา การฝงหรือเผาไมอาจทําได กใ็ หทาํ ลายโดยวธิ ีอน่ื ตามทเี่ ห็นสมควร (3) ใหกกั ขัง แยก หรอื ยา ยสัตวทีอ่ ยูรว มฝูง หรอื เคยอยูรว มฝงู กบั สตั วท่ีปว ยหรือสงสยั วา ปว ย หรอื ตาย
94 ไวภ ายในเขต และตามวิธกี ารทีก่ ําหนดให หรอื ใหไ ดรับการปองกนั โรคระบาดตามที่เห็นสมควร (4) ใหทําลายสัตวท่ีเปนโรคระบาด หรือสัตว หรือซากสัตวที่เปนพาหะของโรคระบาด ตามระเบียบที่ อธบิ ดกี าํ หนดโดยอนุมตั ริ ฐั มนตรี ในการนี้ใหเ จาของไดรบั คา ชดใชต ามทกี่ าํ หนดในกฎกระทรวงไมตา่ํ กวากึง่ หน่ึง ของราคาสตั วซ งึ่ อาจขายไดใ นตลาดทอ งทก่ี อ นเกดิ โรคระบาด เวน แตใ นกรณที เี่ จา ของไดจ งใจกระทาํ ความผดิ ตอ บทแหง พระราชบญั ญัตนิ ี้ (5) ใหกําจัดเชื้อโรคท่ีอาหารสัตว หรือซากสัตวท่ีเปนพาหะของโรคระบาด ตามวิธีการท่ีกําหนด ใหห รือ (6) ใหท าํ ความสะอาด และทาํ ลายเชอ้ื โรคระบาด หรอื พาหะของโรคระบาดในทด่ี นิ อาคาร ยานพาหนะ หรือส่ิงของ ตามวธิ กี ารท่ีกําหนดให หมวด 2 เขตปลอดโรคระบาด มาตรา 11 เมอื่ รัฐมนตรีเหน็ สมควรเพือ่ ปองกนั มใิ หเ กิดโรคระบาดสําหรบั สัตวช นิดใดในทอ งที่ใด กใ็ หมี อาํ นาจประกาศในราชกจิ จานเุ บกษากาํ หนดทอ งทนี่ นั้ ทงั้ หมด หรอื แตบ างสว น เปน เขตปลอดโรคระบาด ประกาศ น้ีใหระบุชนดิ ของสัตวและโรคระบาดไวด ว ย มาตรา 12 เมอื่ ไดป ระกาศเขตปลอดโรคระบาดตามมาตรา11 แลว หา มมใิ หผ ใู ดเคลอ่ื นยา ยสตั วห รอื ซาก สัตวเขาใน หรือผา นเขตนน้ั เวนแตจ ะไดร บั อนญุ าตเปน หนังสือจากอธบิ ดีหรือสตั วแพทยซ ่งึ อธบิ ดมี อบหมาย มาตรา 13 ภายในเขตปลอดโรคระบาด ใหเจา ของสัตวมหี นา ท่ปี ฏบิ ตั กิ ารตามมาตรา8 ใหพ นกั งานเจา หนาที่และสารวตั รมอี าํ นาจตามมาตรา9 และใหส ตั วแพทยม ีอาํ นาจตามมาตรา10 และมาตรา18 มาตรา 14 ภายในเขตปลอดโรคระบาด ถา ปรากฎวา มโี รคระบาดหรอื มเี หตอุ นั ควรสงสยั วา มโี รคระบาด ผวู า ราชการจงั หวดั หรอื สตั วแพทย จะประกาศเขตโรคระบาด เขตสงสยั วา มโี รคระบาดหรอื เขตโรคระบาดชว่ั คราว แลวแตกรณี ตามหมวด3 ก็ได
95 หมวด 3 เขตโรคระบาด มาตรา 15 ในเขตทอ งทจี่ งั หวดั ใด มี หรอื สงสยั วา มโี รคระบาด ใหผ วู า ราชการจงั หวดั นน้ั มอี าํ นาจประกาศ กาํ หนดเขตทองทจ่ี งั หวดั น้ันทั้งหมด หรอื แตบ างสวน เปน เขตโรคระบาด หรอื เขตสงสัยวามโี รคระบาด แลวแต กรณี ประกาศนี้ใหระบุชนิดของสัตวและโรคระบาดไวดวยและใหปดไว ณ ศาลากลางจังหวัด ที่วาการอําเภอ บา นกาํ นนั บานผูใ หญบ า น และท่ีชมุ นุมชนภายในเขตนนั้ มาตรา 16 ในกรณที สี่ ัตวแพทยเ ห็นวา โรคระบาดที่ตรวจพบในทองทข่ี องตน หรือทองที่อ่นื ทีต่ ิดตอกับ ทองทข่ี องตนจะระบาดออกไป ใหสตั วแพทยมอี ํานาจประกาศเปนหนงั สอื กาํ หนดเขตโรคระบาดชั่วคราว มรี ศั มี ไมเกินหากิโลเมตรจากที่ท่ีตรวจพบโรคระบาดน้ัน ประกาศน้ีใหระบุชนดิ ของสัตวและโรคระบาดไวดวย และให ปด ไว ณ บา นกาํ นนั บา นผใู หญบ า น และทช่ี มุ นมุ ชน ภายในเขตนนั้ และใหใ ชบ งั คบั ไดส ามสบิ วนั นบั แตว นั ประกาศ มาตรา 17 เม่ือไดมีประกาศกําหนดเขตโรคระบาด หรือเขตสงสัยวามีโรคระบาดตามมาตรา 15 หรือ ประกาศกาํ หนดเขตโรคระบาดชว่ั คราวตามมาตรา16 แลว หา มมใิ หผ ใู ดเคลอื่ นยา ยสตั ว หรอื ซากสตั วภ ายในเขต นน้ั หรอื เคลอ่ื นยา ยสตั ว หรอื ซากสตั ว เขา ในหรอื ออกนอกเขตนน้ั เวน แตไ ดร บั อนญุ าตเปน หนงั สอื จากสตั วแพทย มาตรา 18 ภายในเขตโรคระบาด หรอื เขตสงสยั วา มโี รคระบาดตามมาตรา 15 หรอื เขตโรคระบาดชวั่ คราว ตามมาตรา 16 ใหส ตั วแพทยม อี ํานาจตามมาตรา10 และใหม ีอํานาจดังตอไปนอ้ี ีกดวย คือ (1) ออกประกาศ หรือส่ังเปน หนังสือใหบรรดาเจาของแจง จํานวนสัตวบางชนดิ และถา เห็นสมควร จะใหนําสตั วนั้นมาใหไดรบั การตรวจ หรือปองกนั โรคระบาด ก็ได (2) ส่ังใหเจาของสัตวที่ไดผานการตรวจ หรือปองกันโรคระบาดแลวนําสัตวนั้นมาประทับ เครื่องหมายท่ตี วั สัตว หรอื (3) สั่งกักยานพาหนะทีบ่ รรทุกสัตวหรอื ซากสตั วเ พอื่ ตรวจโรคระบาด และถาเหน็ สมควรจะสง่ั กกั สัตวหรอื ซากสัตวน้ันเพอ่ื คุมไวสังเกตตามความจาํ เปน ก็ได มาตรา 19 ภายในเขตโรคระบาด หรอื เขตสงสยั วา มโี รคระบาดตามมาตรา15 หรอื เขตโรคระบาดชวั่ คราว ตามมาตรา16 ถา มสี ัตวปว ย หรอื ตาย ใหเ จา ของแจง ตอ พนกั งานเจา หนา ที่ สารวัตร หรือสตั วแพทยภายในเวลา สบิ สองชั่วโมงนบั แตเ วลาทส่ี ตั วปว ยหรอื ตาย และใหนาํ ความในมาตรา 8 วรรคสองมาใชบ งั คบั โดยอนุโลม มาตรา 20 ในเขตทองท่ีจังหวัดใด ซ่ึงไดประกาศเปนเขตโรคระบาด หรือเขตสงสัยวามีโรคระบาด ถา ปรากฎวา โรคระบาดนน้ั ไดส งบลงหรอื ปรากฎวา ไมม โี รคระบาดโดยเดด็ ขาด แลว แตก รณี ใหผ วู า ราชการจงั หวดั ถอนประกาศเชนวาน้ันเสีย
96 หมวด 4 การควบคุมการคา สัตวแ ละซากสตั ว มาตรา 21 หา มมใิ หบ คุ คลใดทาํ การคา ชา ง มา โค กระบอื แพะ แกะ สกุ ร หรอื สตั วช นดิ อน่ื ตามทกี่ าํ หนด ในกฎกระทรวง หรอื ทาํ การคา ซากสตั วต ามทก่ี าํ หนดในกฎกระทรวง เวน แตจ ะไดร บั ใบอนญุ าตจากนายทะเบยี น มาตรา 21 ทวิ หา มมิใหบคุ คลใดขาย จาํ หนา ย จาย แจก แลกเปล่ียน หรือมไี วเ พ่อื ขายซงึ่ นาํ้ เชอ้ื สําหรับ ผสมพันธหุ รือเอ็มบริโอของ มา โค กระบอื แพะ แกะ สกุ ร หรอื สัตวชนดิ อนื่ ตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง เวนแต จะไดร บั ใบอนญุ าตจากนายทะเบยี น การขออนุญาตและการอนุญาต ใหเปนไปตามหลักเกณฑ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกําหนด โดยประกาศใน ราชกิจจานเุ บกษา มาตรา 22 ใบอนญุ าตตามมาตรา 21 หรอื มาตรา 21 ทวิ ใหใ ชไดจนถึงวนั สิ้นปป ฏิทินแหง ปท่อี อกใบ อนุญาต มาตรา 23 ผทู ําการคาสตั วหรือซากสัตว ตอ งปฏบิ ตั ิตามเง่อื นไขทก่ี าํ หนดไวในใบอนุญาต มาตรา 24 ในกรณที ่ีผูรับใบอนุญาตตามมาตรา 21 หรือมาตรา 21 ทวฝิ าฝน ตอบทแหง พระราชบัญญัติ น้ี หรือเง่ือนไขที่กําหนดไวในใบอนุญาต ใหสัตวแพทยมีอํานาจยึดใบอนุญาตของผูน้ันไวเพื่อเสนอนายทะเบียน ถา นายทะเบยี นเห็นสมควรจะส่งั พักใชหรือเพกิ ถอนใบอนญุ าตนั้นเสยี ก็ได ผูถูกยึด พักใช หรือเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหน่ึง มีสิทธิอุทธรณตอรัฐมนตรีหรือผูที่รัฐมนตรีมอบ หมายภายในสามสบิ วันนบั แตว นั ทีถ่ ูกยดึ พักใช หรอื เพกิ ถอนใบอนุญาต แลวแตก รณี คําวินิจฉยั ของรฐั มนตรีหรือผูทีร่ ฐั มนตรมี อบหมายใหเ ปนท่สี ดุ
Search