Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กฎหมายกับธุรกิจการเกษตร

กฎหมายกับธุรกิจการเกษตร

Published by ปัญญา ภู่ขวัญ, 2021-11-22 09:12:35

Description: กฎหมายกับธุรกิจการเกษตร

Search

Read the Text Version

47 บทท่ี 2 กฎหมายเกีย่ วกับธุรกิจการเกษตร สาระสําคัญ ประโยชนและความสําคัญเกี่ยวกับกฎหมาย กฎหมายทีด่ นิ กฎหมายเก่ียวกบั สหกรณ กฎหมายเกี่ยวกบั การชลประทาน พระราชบัญญตั โิ รคระบาดสตั ว พระราชบัญญตั ิกกั กนั พชื พระราชบญั ญตั กิ ักกันสัตว นิตกิ รรม และสญั ญาตาง ๆ การจัดการหนี้ และการชําระหน้ี ผลการเรยี นรูท ่คี าดหวงั มีความรู ความเขาใจ ในการจดั การอาชพี อยางมคี ุณธรรม มีความรู ความเขา ใจ ในการพัฒนาอาชพี ใหม คี วามมั่นคง ขอบขายเนอ้ื หา - กฎหมายเกย่ี วกบั ธรุ กิจการเกษตร

48 ความรูเบือ้ งตนเก่ียวกับกฎหมาย กฎหมาย เปน กฎเกณฑ ขอ บงั คบั ทใ่ี ชค วบคมุ ความประพฤตขิ องมนษุ ยใ นสงั คม กฎหมาย มลี กั ษณะเปน คาํ สงั่ ขอ หา ม ทมี่ าจากผมู อี าํ นาจสงู สดุ ในสงั คมใชบ งั คบั ไดท วั่ ไป ใครฝา ฝน จะตอ งไดร บั โทษหรอื สภาพบงั คบั อยา ง ใดอยา งหนึ่งระบบกฎหมายในปจจุบันแบง ออกเปน 4 ระบบ ไดแก ระบบกฎหมาย ไมเปนลายลกั ษณอ กั ษร ระบบกฎหมายลายลกั ษณอ กั ษร ระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม และระบบกฎหมายศาสนา กฎหมายแตล ะระบบยอ ม มที มี่ าแตกตา งกนั การแบง ประเภทของกฎหมาย อาจแบง ไดห ลายลกั ษณะ ขน้ึ อยกู บั วา จะยดึ อะไรเปน หลกั เกณฑ ในการแบง มนุษยจําเปนตองมีกฎหมายเปนกฎเกณฑในการอยูรวมกัน เพ่ือใหสังคม เกิดความเปนระเบียบ เรียบรอ ยและสงบสุข กฎหมายคืออะไร มนุษยเ ปน สัตวส ังคม โดยธรรมชาตแิ ลว มนษุ ยไ มส ามารถทจี่ ะดาํ รงชวี ติ อยคู นเดยี วได จึงตองรวมกันอยูเปนหมูเปนพวก เปนกลุมเปนกอน เริ่มจากสังคมเล็ก ๆ ระดับครอบครัว ตอมาเมื่อมนุษยมี จํานวนมากข้ึนก็รวมกันเปนเผาเปนกลุมชนและสุดทายเผาที่มีสายพันธุเดียวกันก็รวมเขาดวยกันกลายเปนกลุม ชนใหญข นึ้ จนกลายเปน รฐั เปน ประเทศ การทมี่ นษุ ยม าอยรู วมกนั เปน จาํ นวนมาก จาํ เปน ทตี่ อ งมกี ารตดิ ตอ กนั เพื่อแลกเปล่ียนปจจัยในการดํารงชีวิต บางครั้งมนุษยก็มีความตองการที่จะทําอะไร ๆ ตามใจตนเองบาง ซงึ่ การกระทาํ นนั้ อาจเปน เหตทุ าํ ใหผ อู นื่ ไมพ อใจ จนเกดิ ความขดั แยง วนุ วายขน้ึ มาได มนษุ ยจ งึ ตอ งสรา งกฎเกณฑ ตา ง ๆ ขนึ้ เพอื่ ใชค วบคมุ ความประพฤตขิ องสมาชกิ ในสงั คมใหเ ปน ไปในทาํ นองเดยี วกนั เพอื่ ใหส งั คมเปน ระเบยี บ เรียบรอยสงบสุข กฎเกณฑตาง ๆ เหลาน้ี เรียกวา บรรทัดฐานทางสังคม (Social Norms) ประกอบดวย 1. วถิ ชี าวบา น (Folkways) เปน กฎเกณฑค วามประพฤตทิ อ่ี ยใู นรปู ของประเพณนี ยิ ม ทสี่ มาชกิ ในสงั คม ปฏบิ ตั สิ ืบตอกนั มา ถาใครไมป ฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะถกู ตฉิ นิ นินทาวา รา ย เชน การแตง กาย กิริยามารยาททางสงั คมใน โอกาสตา ง ๆ เปนตน 2. จารีต (Mores) เปน กฎเกณฑค วามประพฤตทิ ย่ี ดึ หลกั ความดีความช่ัว กฎเกณฑทางศาสนา เปนเร่อื ง ของความรูสึกวาสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก หากใครละเมิดฝาฝนจะไดรับการตอตานจากสมาชิกในสังคมอยางจริงจัง อาจถูกกีดกันออกจากสังคม หรือไมมีใครคบคาสมาคมดวย เชน การลักเล็กขโมยนอย การเนรคุณบิดามารดา หรอื ผมู ีพระคุณ เปน ตน 3. กฎหมาย (Laws) เปน กฎเกณฑค วามประพฤตทิ มี่ กี ารบญั ญตั ไิ วอ ยา งชดั เจน แนน อน วา กระทาํ อยา งไร เปน ความผดิ ฐานใด จะไดร ับอยางไร เชน ผูใ ดฆาผอู น่ื ตอ งระวางโทษประหารชวี ติ เปนตน กฎเกณฑข องความประพฤตทิ ง้ั สามประการดงั กลา วสองประการแรกไมไ ดม กี ารบญั ญตั ไิ วอ ยา งชดั เจน การลงโทษผูละเมิดฝาฝนก็ไมรุนแรง ประการท่ีสาม กฎหมายจึงเปนส่ิงที่สําคัญท่ีสุด ใชไดผลมากที่สุด ในการ ควบคุมความประพฤติของมนุษย ดังนั้นสังคมมนุษยทุกสังคมจึงจําเปนตองมีกฎหมาย เปนกฎเกณฑในการอยู รว มกัน ดังคํากลา วทวี่ า “ท่ีใดมสี ังคมทนี่ ัน่ มกี ฎหมาย”

49 ความหมายของกฎหมาย กฎหมาย หมายถงึ คาํ สง่ิ หรอื ขอ บงั คบั ของรฐั ซง่ึ บญั ญตั ขิ น้ึ เพอ่ื ใชค วบคมุ ความประพฤตขิ องบคุ คลซงึ่ อยู ในรัฐหรือในประเทศของตน หากผูใดฝาฝนไมประพฤติปฏิบัติตาม ก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ หรือไดรับผล เสยี หายนัน้ ดว ย ลักษณะของกฎหมาย การปกครองประเทศใหเกิดความเปน ระเบยี บเรียบรอ ยสงบสขุ นั้น รัฐจําเปน จะตอ งออกคําสงั่ ขอบงั คบั ตา ง ๆ มากมาย คาํ สัง่ ขอบงั คับเหลา น้นั มไิ ดเ ปน กฎหมายทุกฉบบั คาํ สง่ั ขอบงั คบั ของรฐั ทีจ่ ะถือวาเปนกฎหมาย ไดนั้น ตอ งประกอบดวยลักษณะดังตอ ไปน้ี 1. มาจากรฏั ฐาธปิ ต ย หมายความวา ผทู จี่ ะออกกฎหมายไดน น้ั ตอ งเปน ผทู มี่ อี าํ นาจสงู สดุ ในประเทศ ซง่ึ จะเปน ใครนั้นตอ งแลวแตส ถานการณห รือรปู แบบการปกครองประเทศไทยสมัยสมบรู ณาญาสิทธิราช พระมหา กษัตริยทรงมีอํานาจสิทธิ์ขาดในการปกครอง และการออกกฎหมายแตเพียงผูเดียว ปจจุบันเราใชการปกครอง แบบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ เ ปน ประมขุ รฐั ธรรมนญู บญั ญตั ใิ หอ าํ นาจอธปิ ไตยซง่ึ เหน็ อาํ นาจสงู สดุ ใน การปกครองประเทศเปนของปวงชนชาวไทย และบัญญัติใหพระมหากษัตริยทรงใชอํานาจนิติบัญญัติ ซ่ึงเปน อาํ นาจในการออกกฎหมายโดยความเหน็ ชอบของรฐั สภา ในสถานการณท ม่ี กี ารปฏวิ ตั ยิ ดึ อาํ นาจการปกครอง ประเทศ หัวหนาคณะปฏิวัติก็มีอํานาจออกกฎหมายไดเพราะเปนผูที่มีอํานาจสูงสุดในขณะน้ัน จะเห็นไดวา ทุกวนั นย้ี งั มปี ระกาศคณะปฏวิ ตั ิหลายฉบบั ทย่ี ังบังคบั ใชเปนกฎหมายอยู 2. เปน คาํ สงั่ ขอ หา ม ขอ บงั คบั ทตี่ อ งปฏบิ ตั ติ าม หมายความวา กฎหมายไมใ ชค าํ ขอรอ ง หรอื แถลงการณ เมือ่ ประกาศใชแลว ประชาชนทุกคนตองปฏบิ ัตติ าม ถึงแมว าจะขดั ตอ ผลประโยชนห รอื ไมเห็นดวย กต็ องยอมรับ จะปฏิเสธไมได เชน กฎหมายบงั คบั ใหเ สียภาษี บังคับใหต อ งรบั ราชการทหาร เปน ตน 3. ใชไ ดท ่วั ไป หมายความวา กฎหมายเมอ่ื ประกาศใชแ ลว จะมีผลใชบังคับไดกบั ประชาชนทุกคนไมวา จะเปนเดก็ ผใู หญ ผูชาย ผูหญงิ คนรวย คนจน ขา ราชการ แมแ ตพระมหากษัตริยห รือเชอ้ื พระราชวงศก ็ตาม และใชไดทั่วไปทุกพ้ืนทใี่ นอาณาเขตประเทศไทย 4. ใชไดเสมอไป หมายความวา กฎหมายเมอ่ื ประกาศใชแ ลว จะมผี ลใชบงั คบั ไดต ลอดไป ไมว า จะเกาแก ลา สมยั หรือนานเทาใดกต็ าม จนกวาจะมีการยกเลกิ 5. มีสภาพบังคับ หมายความวา กฎหมายเม่ือประกาศใชแลว ผูที่ไมปฏิบัติตามจะตองถูกลงโทษ หรือตกอยูในสภาพบังคับอยางใดอยางหนึ่งเสมอ อาจจะหนักบาง เบาบางแลวแตความผิดในกฎหมายอาญา สภาพบงั คับเรยี กวา โทษ มีอยู 5 ประการ คอื ประหารชวี ิต จาํ คกุ กักขัง ปรบั และรบิ ทรัพย ในกฎหมายแพง สภาพบงั คบั ขึ้นอยูกับการกระทาํ ความผิด เชน บังคบั ใหช าํ ระหนี้ ชดใชค าเสียหาย หรอื เสียดอกเบ้ยี เปนตน นอกจากนี้ในกฎหมายอ่ืน ๆ ก็อาจมีสภาพบังคับอ่ืน ๆ อีกก็ได เชน ขาราชการที่ทําผิดวินัย อาจถูก ตดั เงินเดือน สัง่ พกั ราชการ ใหออก ปลดออกหรือไลอ อก เปน ตน

50 ความสําคัญและความจาํ เปน ที่จะตองรูกฎหมาย ดังไดกลาวมาแลววา กฎหมายเปนบรรทัดฐานทางสังคมอยางหน่ึง ซึ่งเปนกฎเกณฑท่ีใชบังคับความ ประพฤติของสมาชิกในสังคมใหเปนไปในทํานองเดียวกัน ทําใหสังคมมีระเบียบ วินัย และสงบเรียบรอย หากไมมีกฎหมาย มนุษยซึ่งมักจะชอบทําอะไรตามใจตนเอง ถาตางตนตางทําตามใจและการกระทําน้ันทําใหผู อ่ืนไดรับความเสียหาย ก็จะเกิดปญหา ความขัดแยง มีการลางแคนไดโตตอบกันไปโตตอบกันมาไมมีท่ีสิ้นสุด เพราะไมมีกฎหมายเขาไปจัดการใหความเปนธรรม ในท่ีสุดสังคมน้ันประเทศนั้นก็จะลมสลายไมสามารถดํารง อยไู ด ปจ จบุ นั นใ้ี นชวี ติ ประจาํ วนั ของเรา ไมว า ใครจะทาํ อะไรกจ็ ะตอ งมกี ฎหมายเขา มาเกยี่ วขอ งดว ยตลอดเวลา เชน เมื่อมีคนเกิดก็ตองแจงเกิด ตองตั้งชื่อ ตองเขาโรงเรียน อายุครบ 15 ปบริบูรณก็ตองไปทําบัตรประจําตัว ประชาชน นกั เรียนท่อี ายุยา งเขาปที่ 18 ตองไปลงบญั ชีทหารกองเกิน การสมรสอยกู นิ เปน ครอบครัว การกยู ืม เงนิ ซอ้ื ขาย การทําสัญญาตา ง ๆ เหลา นลี้ ว นตองปฏิบตั ิตามทีก่ ฎหมายกําหนดไวทง้ั ส้ิน รัฐธรรมนูญกําหนดใหประชาชนมีหนาท่ีปฏิบัติตามกฎหมาย การรูกฎหมาย จึงจําเปนอยางยิ่ง เพราะเปน ประโยชนแกป ระชาชนทุกคน ท่จี ะไดท ราบถงึ ของเขตของสทิ ธิ และหนา ทขี่ องตน ตลอดจนขอ ปฏิบตั ิ ตาง ๆ ตามท่ีกฎหมายกําหนด เม่ือรูกฎหมายก็จะไดไมทําผิดกฎหมาย และไมถูกผูอ่ืนเอารัดเอาเปรียบโดยใช กฎหมายเปน เครอื่ งมือ การทําผิดกฎหมาย หรอื ปญ หาขอ ขดั แยง ขอ พิพาทตาง ๆ ท่ีเกิดข้นึ ระหวางประชาชน ดวยกันเอง หรือประชาชนกับขาราชการซ่ึงเปนเจาหนาที่ของรัฐ ตามเปนขาวฟองรองกันไมเวนแตละวันน้ัน มีสาเหตุมาจากความไมรูกฎมายทั้งสิน และเมื่อกระทําความผิดแลวจะกลาวอางแกตัววาที่กระทําลงไปนั้นเปน เพราะไมรกู ฎหมาย เพ่ือใหคนหลดุ พน จากความรบั ผิดก็ไมได ถงึ แมว าจะไมรกู ฎหมายจรงิ ๆ กต็ าม เนื่องจากใน ทางกฎหมายมีหลักเกณฑสําคัญประการหนึ่งวา “ความไมรูกฎหมายไมเปนขอแกตัว” เพราะถาหากวาใหมี การกลาวอางแกตัวได ทุกคนก็จะแกตัววาไมรูกฎหมายกันหมด เพื่อใหคนหลุดพนจากความรับผิด ในที่สุด กฎหมายก็จะขาดความศกั ด์สิ ิทธ์ิ และบงั คบั ใชก ับใครไมไดอ ีกตอ ไป ประเภทของกฎหมาย การแบงประเภทของกฎหมาย อาจแบง ไดหลายลกั ษณะ ข้นึ อยูก บั ผูแบงวาจะใชอ ะไรเปน หลัก แตโดย ท่ัวไปแลวเราจะแบงอยางคราว ๆ กอนโดยแบงกฎหมายออกเปนสองประเภทใหญ ๆ ไดแก กฎหมายภายใน ซง่ึ เปน กฎหมายทบี่ ญั ญตั ขิ น้ึ ใชโ ดยองคก รทมี่ อี าํ นาจภายในรฐั หรอื ประเทศ และกฎหมายภายนอก ซง่ึ เปน กฎหมาย ท่บี ัญญัตขิ ้นึ จากสนธิสัญญา หรอื ขอตกลงระหวา งประเทศกฎหมายภายใน และกฎหมายภายนอก ยังอาจแบง ยอ ยไดอ กี หลายลกั ษณะ ตามหลกั เกณฑท แี่ ตกตา งกนั ดงั นก้ี ฎหมายภายใน แบง ไดห ลายลกั ษณะตามหลกั เกณฑ ดงั น้ี 1. ใชเนื้อหาของกฎหมายเปนหลักเกณฑการแบง แบงกฎหมายออกเปน 2 ประเภท คือ 1.1 กฎหมายลายลกั ษณอ กั ษรไดแ กตวั บทกฎหมายตา งๆทบ่ี ญั ญตั ขิ น้ึ เปน ลายลกั ษณอ กั ษรโดย

51 องคก รทม่ี อี าํ นาจตามกระบวนการนิติบญั ญัติ เชน รฐั ธรรมนญู ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย พระราชบญั ญัติตาง ๆ ฯลฯ เปน ตน 1.2 กฎหมายไมเ ปน ลายลกั ษณอ กั ษรไดแ กจารตี ประเพณตี า งๆทน่ี าํ มาเปน หลกั ในการพจิ ารณา ตดั สนิ คดีความ ดังไดก ลา วมาแลวในเร่ืองทมี่ าของกฎหมาย ซ่ึงในประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยของไทยก็มี บทบัญญตั ิไวในมาตรา 4 วรรค 2 วา “เม่อื ไมม บี ทกฎหมายใดทจี่ ะยกมาปรับแกค ดไี ด ทานใหวนิ ิจฉัยคดีนน้ั ตาม คลองจารตี ประเพณีแหงทอ งถ่นิ ” 2. ใชส ภาพบงั คบั กฎหมายเปนหลกั ในการแบง แบงกฎหมายออกเปน 2 ประเภท คือ 2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ไดแก กฎหมายตาง ๆ ท่ีมีโทษตามบัญญัติไวใน ประมวลกฎหมายอาญา เชน ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติยาเสพติดใหโทษ พระราชบัญญัติรับ ราชการทหาร ฯลฯ เปน ตน 2.2 กฎหมายทมี่ สี ภาพบงั คบั ทางแพง สภาพบงั คบั ทางแพง มไิ ดม บี ญั ญตั ไิ วช ดั เจนเหมอื นสภาพ บังคับทางอาญา แตก็อาจสังเกตไดจากประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย เชน การบังคับชําระหน้ี การชดใช คาเสียหาย หรืออาจสังเกตไดอยางงาย ๆ คือ กฎหมายใดที่ไมมีบทบัญญัติกําหนดโทษทางอาญา ก็ยอมเปน กฎหมายท่มี ีสภาพบังคบั ทางแพง 3. ใชบทบาทของกฎหมายเปนหลักเกณฑในการแบง แบง กฎหมายออกเปน 2 ประเภท คอื 3.1 กฎหมายสารบัญญัติ ไดแ ก กฎหมายท่กี ลาวถงึ การกระทาํ ตาง ๆ ท่ีเปนองคประกอบของ ความผดิ โดยทวั่ ไปแลว กฎหมายสวนใหญ จะเปน กฎหมายสารบญั ญตั ิ 3.2 กฎหมายวธิ สี บญั ญตั ิ ไดแ ก กฎหมายทก่ี ลา วถงึ วธิ กี ารทจ่ี ะนาํ กฎหมายสารบญั ญตั ไิ ปใชว า เม่อื มีการทาํ ผิดบทบญั ญตั ิกฎหมาย จะฟอ งรองอยางไร จะพิจารณาตัดสนิ อยางไร พูดใหเขาใจงาย ๆ กฎหมาย วิธีสบญั ญตั กิ ค็ อื กฎหมายทีก่ ลา วถงึ วธิ กี ารเอาตัวผูก ระทาํ ผดิ ไปรับสภาพบังคบั น่นั เอง เชน ประมวลกฎหมายวธิ ี พจิ ารณาความอาญา กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความในศาลแขวง กฎหมายวธิ พี จิ ารณา คดีเยาวชนและครอบครัว เปนตน 4. ใชค วามสมั พนั ธร ะหวา งรฐั กบั ประชาชนเปน หลกั เกณฑใ นการแบง แบง กฎหมายออกเปน 2 ประเภท คอื 4.1 กฎหมายเอกชน ไดแ ก กฎหมายทบี่ ญั ญตั ถิ งึ ความสมั พนั ธร ะหวา งประชาชนดว ยกนั โดยทรี่ ฐั ไมเขามาเก่ียวของ เชน ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จํากัด เปนตน 4.2 กฎหมายมหาชน ไดแ ก กฎหมายทบ่ี ญั ญตั ถิ งึ ความสมั พนั ธร ะหวา งรฐั กบั ประชาชน ในฐานะ ทร่ี ฐั เปน ผปู กครอง จงึ ตอ งมอี าํ นาจบงั คบั ใหป ระชาชนปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย เพอ่ื ใหเ กดิ ความเปน ระเบยี บเรยี บรอ ย และสงบสขุ เชน รัฐธรรมนญู ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบญั ญตั ิคมุ ครองผบู รโิ ภค พระราชบัญญัติปอ งกัน การคากาํ ไรเกนิ ควร หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความตา ง ๆ เปน ตน

52 กฎหมายภายนอก กฎหมายภายนอก หรอื กฎหมายระหวางประเทศ แบงออกเปน 3 ประเภทคอื 1. กฎหมายระหวางประเทศแผนกคดีเมือง ไดแก กฎเกณฑ ขอบังคับที่วาดวยความสัมพันธระหวาง รัฐตอรัฐที่จะปฏิบัติตอกัน เมื่อมีความขัดแยงหรือเกิดขอพิพาทข้ึน เชน กฎบัตรสหประชาชาติ หรือไดแก สนธสิ ญั ญา หรอื เกดิ จากขอ ตกลงทว่ั ไป ระหวา งรฐั หนง่ึ กบั รฐั หนงึ่ หรอื หลายรฐั ทเี่ ปน คปู ระเทศภาคี ซงึ่ ใหส ตั ยาบนั รวมกนั แลวกใ็ ชบังคบั ได เชน สนธสิ ญั ญาไปรษณยี สากล เปนตน 2. กฎหมายระหวางประเทศแผนกคดบี ุคคล ไดแก บทบญั ญตั ทิ ี่วาดวยความสมั พันธร ะหวา งบคุ คลรฐั หน่ึงกับอีกรัฐหนึ่ง เม่ือเกิดความขัดแยง ขอพิพาทข้ึน จะมีหลักเกณฑวิธีการพิจารณาตัดสินคดีความอยางไร เพอื่ ไมใ หเ กดิ ความไดเ ปรยี บเสยี เปรยี บกนั เชน ประเทศไทยเรามี พระราชบญั ญตั วิ า ดว ยการขดั กบั แหง กฎหมาย ซง่ึ ใชบังคบั กับบคุ คลท่ีอยใู นประเทศไทยกบั บุคคลทอี่ ยูในประเทศอน่ื ๆ 3. กฎหมายระหวางประเทศแผนกคดีอาญา ไดแ ก สนธิสัญญา หรอื ขอ ตกลงเกย่ี วกับการกระทาํ ความ ผดิ ทางอาญาซงึ่ ประเทศหนงึ่ ยนิ ยอมหรอื รบั รองใหศ าลของอกี ประเทศหนง่ึ มอี าํ นาจพจิ ารณาตดั สนิ คดแี ละลงโทษ บคุ คลประเทศของตนทไี่ ปกระทาํ ความผิดในประเทศนนั้ ได เชน คนไทยไปเทยี่ วสหรัฐอเมริกาแลวกระทําความ ผดิ ศาลสหรฐั อเมรกิ าก็พจิ ารณาตดั สนิ ลงโทษได หรือบุคคลประเทศหนงึ่ กระทําความผดิ แลวหนไี ปอกี ประเทศ หนึ่ง เปนการยากลําบากท่ีจะนําตัวมาลงโทษได จึงมีการทําสนธิสัญญาวาดวยการสงตัวผูรายขามแดน เพ่ือให ประเทศทผ่ี กู ระทาํ ความผดิ หนเี ขา ไปจบั ตวั สง กลบั มาลงโทษ ซงึ่ ถอื วา เปน การรว มมอื กนั ปราบปรามอาชญากรรม ปจจบุ ันน้ปี ระเทศไทยทําสนธสิ ัญญาสง ตัวผูร ายขา มแดนกลบั องั กฤษ สหรฐั อเมริกา เบลเยีย่ ม และอิตาลี ฯลฯ เปนตน องมนษุ ยใ นสังคม กฎหมาย มลี กั ษณะเปนคาํ ส่งั ขอหาม ทมี่ าจากผูมอี าํ นาจสงู สดุ ในสั ประโยชนของกฎหมาย ประโยชนของกฎหมายอาจจะแบงออกไดเปนหลาย ๆ ขอ ท้ังสามารถนําเอากฎหมายมาแยกแยะ ประโยชนดังน้ี 1. สรางความเปนธรรม หรือความยุติธรรมใหแกสังคม เพราะกฎหมายเปนหลักกติกาท่ีทุกคน จะตอ งปฏบิ ตั เิ สมอภาค เทา เทยี มกนั เมอ่ื การปฏบิ ตั ขิ องบคุ คลใดบคุ คลหนงึ่ เอาเปรยี บคนอน่ื ขาดความ ยตุ ธิ รรม กฎหมายกจ็ ะเขา มาสรา งความยตุ ธิ รรม ยตุ ขิ อ พพิ าทไมใ หเ กดิ การเอารดั เอาเปรยี บกนั ดงั ทเี่ รา เรยี กกนั วา ยตุ ธิ รรม สงั คมกจ็ ะไดร บั ความสขุ จากผลของกฎหมายในดานน้ี 2. รูจักสทิ ธิหนา ท่ขี องตัวเองที่จะปฏิบตั ิตอสงั คม 3. ประโยชนในการประกอบอาชีพ เชน การเปน ทีป่ รึกษาทางกฎหมาย การเปน ทนายความ อยั การ ศาล ทั้งจะเปนประโยชนต อ สังคม โดยตางฝา ยตา งชว ยกนั รักษาความถกู ตอง ความยุตธิ รรม ใหเกดิ ข้ึนในสังคม 4. ประโยชนในทางการเมืองการปกครอง เพราะถาประชาชนรูกฎหมายก็จะเปนการเสริมสราง ความมนั่ คงของการปกครอง และการบรหิ ารงานทางการเมอื ง การปกครอง ประโยชนส ขุ กจ็ ะตกอยกู บั ประชาชน

53 5. รกั ษาความสงบเรียบรอยของบา นเมือง และศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะกฎหมาย ทีด่ ีน้ัน จะตอ งใหค วามคมุ ครองแกป ระชาชนเทา เทยี มกนั ประชาชนกจ็ ะเกดิ ความผาสกุ ปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส นิ สรา งความสัมพนั ธท ี่ดตี อครอบครวั ตอ บุคคลอ่นื และตอประเทศชาติ กฎหมายทดี่ นิ ท่ีดินเปนทรัพยอันมีคาท่ีทุกคนหวงแหนเปนพื้นฐานของครอบครัวและประเทศชาติเปนทรัพยากร ธรรมชาติท่ีมีความสําคัญยิ่งตอการดํารงชีวิตมนุษยสําหรับใชเพื่ออยูอาศัยและเพื่อประโยชนอื่นๆดังน้ันระเบียบ การเกยี่ วกบั ทด่ี นิ จงึ มคี วามละเอยี ดออ นมากเพอ่ื ใหป ระชาชนผสู จุ รติ ไดม โี อกาสทาํ ความเขา ใจกบั เรอื่ งทดี่ นิ ทเ่ี กยี่ ว กับชีวิตประจําวันบางสวนไวบางจึงไดรวบรวมขอควรทราบและทางปฏิบัติเกี่ยวกับท่ีดินซ่ึงจะไดกลาวตอไปตาม ลําดับ ท่ีดิน หมายความวา พืน้ ทดี่ ินท่วั ไปและใหห มายความรวมถึงภเู ขา หวย หนองคลองบงึ ทะเลสาบ เกาะ และที่ชายทะเลดวย (ประมวลกฎหมายท่ีดิน มาตรา 1) คําวาท่ีดินมิไดหมายถึงเนื้อดินอันเปนกรวดทราย โคลน เลนแตห มายถงึ อาณาเขตอนั จะพงึ วดั ไดเ ปน สว นกวา งสว นยาวอนั ประจาํ อยแู นน อนบนพน้ื ผวิ โลก เปน สว น หนง่ึ ของผวิ พน้ื โลกอนั มนษุ ยจ ะพงึ อาศยั กรวดทราย หนิ ดนิ โคลน แรธ าตทุ อี่ าจจะขดุ ขน้ึ มามใิ ชต วั ทด่ี นิ หากเปน ทรพั ยท ป่ี ระกอบเปน อนั เดยี วกบั ทด่ี นิ ทดี่ นิ นนั้ จงึ เปน สง่ิ ไมอ าจทาํ ลายทาํ ใหส ญู หาย หรอื เคลอ่ื นยา ยอยา งใดๆ ได เวนแตจะเปล่ียนสภาพไปเชนเปล่ยี นสภาพเปน ทางนา้ํ สาธารณะ ประเภททีด่ ิน 1. ทดี่ นิ ของเอกชนรวมทด่ี นิ ทยี่ งั ไมม หี นงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธิ แตอ าจมหี ลกั ฐานแบบแจง การครอบ ครอง(ส.ค.1) หนงั สอื รับรองการทําประโยชน (น.ส.3,น.ส.3 ก.)ผคู รอบครองที่ดนิ ดงั กลาวมีเพียงสิทธคิ รอบครอง เทาน้ันและรวมถึงทด่ี นิ มีหนงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธเิ ชน โฉนดทด่ี นิ โฉนดแผนที่ โฉนดตราจองและตราจองท่ี ตราวาไดทําประโยชนแลว 2. ทด่ี นิ ของรฐั ไดแ กท ดี่ นิ ทร่ี ฐั หรอื หนว ยงานของรฐั เปน ผถู อื กรรมสทิ ธริ วมทงั้ ทด่ี นิ รกรา งวา งเปลา ซงึ่ มไิ ด มีผูใดครอบครองเปนเจาของ และสาธารณสมบัติของแผนดินสาธารณสมบัติของแผนดิน คือทรัพยสินทุกชนิด ของแผนดินซึ่งใชเพื่อสาธารณประโยชนหรือสงวนไวเพ่ือประโยชนรวมกันเชนท่ีดินรกรางวางเปลาและท่ีดินท่ีมี ผูเวนคืนหรือทอดท้ิงกลับมาเปนของแผนดินโดยประการอ่ืนตามกฎหมายท่ีดินทรัพยสินสําหรับพลเมืองใชรวม กัน เชน ทางหลวง ทางนา้ํ ทะเลสาบทรพั ยส ินใชเ พื่อประโยชนของแผนดนิ โดยเฉพาะเชน ศาลากลางจังหวดั โรงทหาร สาธารณสมบัตขิ องแผน ดินมีคุณสมบัตดิ งั นี้ 1. จะโอนแกกันมไิ ด เวนแตมีกฎหมายทอี่ อกเฉพาะใหโอนกันได 2. หามมิใหยกอายุความขึ้นเปนขอตอสูกับแผนดิน เชนครอบครองทุงเลี้ยงสัตวสาธารณะก่ีปก็ไมได กรรมสิทธิ์ 3. หา มยึดทรัพยข องแผนดนิ

54 หนงั สอื สําคญั แสดงกรรมสทิ ธิ์ในทดี่ นิ มีอยู 4 อยาง 1. โฉนดแผนที่ เปนหนังสือแสดงกรรมสิทธิในที่ดินฉบับแรกท่ีเกิดขึ้นในประเทศไทยออกเมื่อ ร.ศ.120 (พ.ศ. 2445) และ ร.ศ. 127 (พ.ศ.2452) ออกโดยมกี ารรังวดั ทําแผนทร่ี ะวาง ปอ งกันการเกิดการทบั ท่ซี อนทผ่ี ู ถือหนงั สือนี้มีกรรมสิทธิในทดี่ ินของตนโดยสมบรู ณตลอดไปจนกระทัง่ ปจจุบัน 2. โฉนดตราจรอง เปน หนังสอื สําคัญแสดงกรรมสิทธิในท่ีดนิ ออกตามพระราชบัญญัตอิ อกโฉนดตราจอง ร.ศ.124 ประกาศใชใ นมณฑลพษิ ณโุ ลกทเี่ ปน จงั หวดั พษิ ณโุ ลก พจิ ติ ร อตุ รดติ ถ สโุ ขทยั และบางสว นของนครสวรรค ในจงั หวัดอื่นไมม ีการออกโฉนดตราจองการรงั วดั ทําแผนที่ไมมรี ะวางยึดโยงทําเปน แผนทีร่ ปู ลอย เปน แปลงๆ ไป 3. ตราจองที่ตราวาไดทําประโยชนแลวออกใหในกรณีท่ีบุคคลไดรับอนุญาตใหจับจองเปนใบเหยียบยํ่า มีอายุ 2 ปหรือผไู ดร บั ตราจองทเ่ี ปน ใบอนญุ าต มีอายุ 3 ปและไดท ําประโยชนในทดี่ ินภายในกําหนดแลว มสี ทิ ธิ จะไดร บั ตราจองที่ตราวา ไดทาํ ประโยชนแ ลว 4. โฉนดทด่ี ินตามประมวลกฎหมายทดี่ ิน มี 6 แบบ น.ส.4 , น.ส. 4 ก. ,น.ส. 4 ข., น.ส. 4ค.,น.ส. 4 ง. (ออกโดยกฎกระทรวงฉบบั ที่ 15,17 ปจจบุ นั ไมอ อกแลว ) น.ส. 4 จ.(ออกโดยกฎกระทรวงฉบับท่ี 34) ปจ จบุ ัน โฉนดท่ีดินออกตามแบบ น.ส.4 จ. การออกโฉนดที่ดิน ก. รฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทยประกาศเขตเพอื่ จะออกโฉนดทดี่ นิ ทง้ั ตาํ บล(ประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 58,58 ทว)ิ ข. การออกโฉนดท่ดี ิน เฉพาะราย (ประมวลกฎหมายท่ดี นิ มาตรา 59) ท่ีดินมอื เปลา คอื ทดี่ นิ ทไี่ มม หี นงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธอิ ยา งหนง่ึ อยา งใดใน 4 อยา งตอ ไปนคี้ อื ไมม โี ฉนดทดี่ นิ โฉนด แผนท่ี โฉนดตราจองและตราจองท่ีตราวาไดทําประโยชนแลวท่ีดินมือเปลานั้นอาจจะไมมีหนังสือสําคัญแสดง กรรมสิทธใิ นท่ดี ินแตอ ยางหน่ึงอยางใดเลย หรือมหี นงั สือสาํ คัญสาํ หรบั ท่ีดินบางอยาง เชน ใบเหยยี บยํา่ ตราจอง ทเ่ี ปนใบอนุญาต ส.ค.1 ใบจองหนังสอื รับรองการทาํ ประโยชนหรือใบไตสวน ส.ค.1 ส.ค.1 คือ หนังสือแจงการครอบครองท่ีดินท่ีผูครอบครองไดทําประโยชนในท่ีดินอยูกอนวันท่ีประมวล กฎหมายทดี่ นิ ใชบังคับไปแจงการครอบครองตอนายอําเภอหรือปลัดอาํ เภอผูเปน หัวหนาประจาํ กิ่งอาํ เภอ วา ตน ครอบครองทดี่ นิ อยูเ ปนจํานวนเทาใดนายอําเภอจะออกแบบ ส.ค.1 ใหแจง เก็บไวเปนหลกั ฐาน ส.ค.1มลี ักษณะ สาํ คัญแสดงใหท ราบวามเี น้ือทีเ่ ทา ใดใครเปน เจา ของ ตําแหนงอยูท ี่ใดที่ดินไดมาอยา งไร มีหลักฐานแหงการไดม า และสภาพที่ดินเปนอยางไร .ค.1ท่ีผูแจงไดมาไมมีผลกระทบกระเทือนตอสิทธิที่เคยมีอยูหรือไมเคยมีอยูของ ผูแจงตองเปล่ียนแปลงไปแตอยางใดคือ ไมกอใหเกิดสิทธิขึ้นใหมแกผูแจงแตประการใดไมใชหนังสือรับรองวา ผแู จง เปนเจา ของมีสิทธคิ รอบครอง ความเปนเจาของผูแจงผแู จง ตองพิสจู นเอาเอง

55 ใบจอง ใบจองเปนหนังสือที่ทางราชการออกใหเพื่อเปนการแสดงความยินยอมใหครอบครองทําประโยชนท่ีดิน เปนการชั่วคราวซึ่งใบจองนี้จะออกใหแกราษฎรท่ีทางราชการไดจัดที่ดินใหทํากินตามประมวลกฎหมายท่ีดิน (ผูที่ตองการจับจองควรคอยฟงขาวของทางราชการซึ่งจะมีประกาศเปดโอกาสใหจับจองเปนคราวๆ ในแตละ ทองท)่ี ผมู ีใบจองจะตอ งจัดการทําประโยชนในทดี่ นิ ทร่ี าชการจดั ให ใหแลวเสรจ็ ภายใน 3 ป (การทาํ ประโยชน ใหแลวเสร็จ หมายถึง 75 เปอรเซ็นตของที่ดินท่ีจัดให)และที่ดินที่มีใบจองน้ีจะโอนใหแกคนอื่นไมไดตองทํา ประโยชนด วยตนเองซง่ึ เม่อื ทําประโยชนเ สรจ็ ถงึ 75% แลว ก็มีสทิ ธิมาขอออกโฉนดที่ดนิ หรอื น.ส. 3 ไดเหมือน กบั ผมู ี ส.ค.1 มี 2 กรณี คอื 1. เมอ่ื ทางราชการเดนิ สาํ รวจทั้งตําบลเพอื่ ออกโฉนดทด่ี นิ หรือ น.ส.3 ให 2. มาขอออกเองเหมอื นกบั ผมู ี ส.ค.1 หนังสือรบั รองการทําประโยชน (น.ส.3) คือ หนังสอื คํารับรองจากพนกั งานเจาหนา ที่ (นายอาํ เภอ)วาผูครอบครองท่ีดนิ ไดท าํ ประโยชนแ ลว มี 2 แบบ คอื แบบ น.ส.3 และ น.ส. 3ก แบบ น.ส.3ก ใหใ ชเ มอื่ มกี ารออกหนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชนโ ดยวธิ กี าํ หนดตาํ แหนง ทด่ี นิ ในระวางรปู ถายทางอากาศ ทด่ี นิ ทมี่ มี ี น.ส.3 นถ้ี อื วา มสี ทิ ธคิ รอบครองคอื มสี ทิ ธยิ ดึ ถอื ทรพั ยน นั้ ไวเ พอ่ื ตนเปน สทิ ธทิ ม่ี คี วามสาํ คญั รอง ลงมาจากกรรมสทิ ธ(ิ แตทางพฤตนิ ัยกถ็ ือวา เปนเจา ของเชนกัน) นอกจากนี้เวลาจะโอนใหค นอนื่ ไมวาจะขายหรอื ยกให หรือจํานองก็สามารถทําได แตตองไปจดทะเบยี น ณ ที่วาการอาํ เภอไมใชส ํานกั งานทด่ี ิน ทีด่ ิน น.ส.3 นี้ เปน ที่ดินทเ่ี จา ของมเี พยี งสทิ ธิครอบครอง เจา ของท่ีดินมสี ิทธนิ าํ น.ส.3 มาขอออกโฉนด ที่ดินเพ่ือใหไดก รรมสทิ ธิได 2 กรณี คอื 1. เม่อื ทางราชการจะออกโฉนดท่ดี ินใหโอนการเดินสํารวจท้งั ตาํ บล 2. มาขอออกเองเปน เฉพาะราย เหมอื นผูมี ส.ค.1 หรอื น.ส.3 ใบไตส วน(น.ส.5) เปนหนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดิน (กฎกระทรวงฉบับท่ี 5)ใบไตสวนจะออกใหตอเมื่อ บุคคลมารังวัดโฉนดท่ีดินจะเปนการรังวัดเฉพาะแปลง(ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 59) หรือรังวัดเปนทองที่ (ประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 58)กอ นออกโฉนดทด่ี นิ พนกั งานเจา หนา ทจ่ี ะตอ งทาํ การรงั วดั ตรวจสอบทดี่ นิ เพอ่ื ทาํ แผนทรี่ ะวางและสอบสวนสทิ ธวิ า เปนท่ดี นิ ของใคร มบี ดิ า มารดาชอื่ อะไร มอี ายุเทาไรเนื้อทีท่ ง้ั หมดประมาณ เทาไร มีเขตขางเคียงแตละทิศจดอะไรและมีหลักฐานสําหรับท่ีดินอยางไรบางขอความที่สอบสวนรังวัดมาไดจะ ตองจดไวใ นใบไตส วนและใหเจา ของที่ดนิ ลงช่อื รับรองและเจาหนาท่ผี ทู ําการสอบสวนลงช่ือไวดว ย

56 ใบไตสวน เปนพยานเอกสารที่แสดงวาผูมีช่ือในใบไตสวนนําเจาหนาท่ีทําการรังวัดเพ่ือออกโฉนดท่ีดิน แปลงนัน้ ๆ แลว ใบไตสวนไมใ ชเอกสารสทิ ธิ แตม ปี ระโยชนสาํ หรับผูมีช่ือในใบไตสวนท่ถี กู ฟองคดหี าวาสละสทิ ธิ ครอบครองในทด่ี นิ แปลงนนั้ อาจอา งใบไตส วนเปน พยานเอกสารตอ สไู ดว า ตนเองยงั มเี จตนายดึ ถอื ครอบครองอยู มิฉะน้ันคงไมนําเจาหนาที่ทําการรังวัดออกโฉนดท่ีดินและเปนเอกสารท่ียืนยันวามีท่ีดินมีเนื้อท่ีประมาณเทาไร แตละทิศจดที่ดินขางเคียงแปลงใดและเปนหลักฐานท่ีแสดงวาเจาของไดครอบครองตามเขตท่ีแสดงไวใน ใบไตส วนแลว ที่ดินมือเปลาแตกตา งกับทดี่ ินมีโฉนด 1. ที่ดินมีโฉนด เจาของมีกรรมสิทธิ กลาวคือ มีสิทธิใชสอย, จําหนาย,ไดดอกผลและติดตามเอาคืน ซงึ่ ทรพั ยส นิ ของตนจากบคุ คลผไู มม สี ทิ ธจิ ะยดึ ถอื ไวข ดั ขวางมใิ หผ อู น่ื สอดเขา เกย่ี วขอ งกบั ทดี่ นิ นน้ั โดยมชิ อบดว ย กฎหมายที่ดินมือเปลาเจาของมีเพียงสิทธิครอบครองซ่ึงเกิดขึ้นจากการยึดถือที่ดินนั้นไวโดยเจตนายึดถือเพ่ือตน 2. ทด่ี ินมโี ฉนด ถกู ครอบครองปรปกษไดก ลา วคือหากมบี ุคคลอื่นเขา มาครอบครองท่ดี ินมโี ฉนดโดยสงบ เปด เผยและเจตนาเปน เจา ของตดิ ตอ กนั 10 ปบ คุ คลนนั้ ไดก รรมสทิ ธแิ ตต อ งไปขอใหศ าลสง่ั วา ไดม าโดยการครอบ ครองปรปกษและนําคําสงั่ ศาลไปจดทะเบียนประเภทไดม าโดยการครอบครองตอเจาพนกั งานทด่ี ิน ที่ดินมือเปลา ถูกครอบครองปรปกษไมได เชน ที่ดิน ส.ค.1 หรือ น.ส.3 มีคนมาครอบครอง 10 ป หรอื 20 ป ผคู รอบครองกค็ งมแี ตส ทิ ธคิ รอบครองดงั นนั้ ผมู าแยง การครอบครองทดี่ นิ มอื เปลา จากเจา ของเดมิ เกนิ 10 ปจ ะตอ สวู า ตนไดก รรมสทิ ธโิ ดยครอบครองปรปก ษแ ลว ไมไ ดแ ตต อ งตอ สวู า ตนไดส ทิ ธใิ นทด่ี นิ นนั้ แลว เนอื่ งจาก เจา ของเดมิ ถกู แยง การครอบครองแลว ไมฟ อ งรอ งภายใน1 ปผ คู รอบครองเดมิ ยอ มสญู สนิ้ ในทด่ี นิ ของตน(ประมวล กฎหมายแพง และพาณิชยมาตรา 1375) 3. ท่ีดินมีโฉนดพนักงานเจาหนาที่ในการจดทะเบียน คือเจาพนักงานท่ีดินจังหวัดหรือเจาพนักงานท่ีดิน สาขาซ่ึงท่ีดินน้ันตั้งอยูที่ดินมือเปลาพนักงานเจาหนาที่ในการจดทะเบียนคือนายอําเภอหรือผูทําการแทนปลัด อําเภอผูเ ปน หวั หนากงิ่ อําเภอหรือผูทําการแทนซง่ึ ท่ดี นิ น้นั ตง้ั อยู 4. ท่ีดินมีโฉนด อายุความการทอดท้ิงใหท่ีดินตกเปนของรัฐ ท่ีดินมีโฉนดทอดทิ้งเกิน10 ปติดตอกัน (ประมวลกฎหมายที่ดนิ มาตรา 6) ที่ดินมอื เปลา หากเปน หนงั สอื รบั รองการทําประโยชน (น.ส.3) ทอดท้ิงเกนิ 5 ปต ิดตอกนั ทีด่ ินนัน้ ตกเปน ของรฐั สาํ หรบั ทดี่ นิ มอื เปลา ประเภทอน่ื เชน ส.ค.1 ใบจองหากผคู รอบครองสละเจตนาครอบครอง หรอื ไมย ดึ ถอื ทรัพยสินนั้นตอไปการครอบครองยอมสุดส้ินท่ีดินตกเปนของรัฐทันทีเจาของท่ีดินมือเปลาจะสูญสิ้นสิทธิในที่ดิน ของตนไดโ ดยประการหน่ึงประการใดดงั ตอไปน้ี 1) โดยเจาของที่ดินมือเปลาโอนท่ีดินของตนใหผูอ่ืนหากเปนท่ีดินมีหนังสือรับรองการทําประโยชนโอน โดยการจดทะเบียนตอนายอําเภอทองท่ีซง่ึ ที่ดนิ ตัง้ อยหู ากเปนท่ีดนิ ส.ค.1โอนโดยการสง มอบการครอบครองซ่ึง ใชย ันกนั ไดร ะหวา งเอกชนเทา นน้ั จะใชย ันตอรฐั ไมได (ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1378-1380)

57 2) โดยการสละเจตนาครอบครอง (ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1377)เชน เจา ของทดี่ นิ มอื เปลา สค.1 ทําหนังสือโอนขายกันเองเปนการแสดงเจตนาวาผูขายสละเจตนาครอบครองและไมยึดถือท่ีดินน้ัน ตอไป 3) โดยไมยึดถือทรัพยสินนนั้ ตอไป (ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1377)การท่ีเจาของทด่ี นิ มอื เปลา เลกิ ยดึ ถอื ทดี่ นิ เปน การแสดงเจตนาละทงิ้ เลกิ ครอบครองการซอ้ื ขายทดี่ นิ มอื เปลา โดยมไิ ดท าํ สญั ญาเปน หนงั สอื กนั นน้ั เมอื่ ผซู อื้ ไดช าํ ระราคาและผขู ายสละสทิ ธใิ หผ ซู อื้ เขา ปกครองอยา งเจา ของโดยผขู ายเลกิ ยดึ ถอื ทด่ี นิ นนั้ ตอ ไปทดี่ นิ ยอมเปน สิทธิของผซู ื้อ 4) โดยถกู แยง การครอบครองแลว เจา ของทดี่ นิ มอื เปลา ไมฟ อ งเรยี กรอ งคนื ภายใน 1 ปย อ มสญู สนิ้ สทิ ธใิ น ท่ีดนิ ของตน (ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 1375)การฟองเรียกคนื ซ่งึ การครอบครองจะตอ งฟอง ภายใน 1 ป นับแตเวลาถูกแยงการครอบครองที่เปนเชนนี้เพราะกฎหมายถือวาท่ีดินมือเปลาเจาของไมมีกรรม สิทธมิ ีแตเพยี งสทิ ธคิ รอบครองระยะเวลา 1 ป นบั ตงั้ แตเวลาถูกแยง การครอบครองมิใชน ับตงั้ แตว นั ท่รี ูว าถูกแยง การครอบครอง การฟองเรียกคนื ภายใน 1 ป เปน ระยะเวลาส้นิ สดุ มิใชอ ายุความ ดังน้นั แมจําเลยไมยกขน้ึ เปน ขอ ตอ สู ศาลก็หยิบยกข้ึนพจิ ารณายกฟองโจทกก็ได 5) โดยถกู เวนคนื ใหท ่ีดนิ ตกเปนของรัฐ (ประมวลกฎหมายทีด่ นิ มาตรา 5) 6) โดยเจาของละท้ิง (ประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 6) เชน ทด่ี นิ สค.1 ใบจองหากเจา ของสละเจตนา ครอบครอง การครอบครองยอ มสน้ิ สดุ ทด่ี นิ ตกเปน ของรฐั สาํ หรบั ทด่ี นิ มหี นงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชนห ากทอด ทงิ้ 5 ปตดิ ตอกนั ทดี่ ินตกเปนของรฐั ประเภททีร่ กรางวางเปลา การไดมาซง่ึ กรรมสทิ ธใิ นทด่ี ิน 1. การไดม าซ่งึ กรรมสิทธใิ นที่ดิน กอนประมวลกฎหมายทด่ี ินใชบงั คบั เชนไดม าโดยไดโฉนดแผนทีโ่ ฉนด ตราจอง, หรือตราจองท่ตี ราวาไดท ําประโยชนแ ลว,ไดม าซ่งึ ที่บา นทีส่ วนตามกฎหมายเบด็ เสรจ็ บทท่ี 4ทด่ี ินประ เภทน้ีเปน ท่ีมกี รรมสิทธแิ ตไ มมหี นังสอื สําคัญแสดงกรรมสทิ ธแิ ละไมถือวา เปนทีด่ ินมอื เปลา ฎกี าที่ 1570/2500 ทพ่ี พิ าทซง่ึ เจา ของไดค รอบครองทาํ ทดี่ นิ ใหเ ปน ทบี่ า นทสี่ วนมากอ นประกาศใชป ระมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย บรรพ4 และพระราชบญั ญตั ิ ออกโฉนดทดี่ นิ (ฉบบั ท่ี 6) 2479 แลว แมท ด่ี นิ พพิ าทจะเปน ทด่ี นิ มอื เปลา ไมม หี นงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธกิ ต็ อ งนาํ กฎหมายลกั ษณะเบด็ เสรจ็ บทท่ี 42 มาใชบ งั คบั คดี โดยถอื อายคุ วามสละทดี่ นิ 9ป 10 ป หาใชอ ายุความ 1 ป ไม 2. การไดมาซึง่ กรรมสิทธใิ นทด่ี ินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไดม าโดยขอออกโฉนดทด่ี นิ ตงั้ ตาํ บล และ ไดม าโดยขอออกโฉนดที่ดนิ เฉพาะราย(ประมวลกฎหมายท่ีดนิ มาตรา 58 และ 59) 3. การไดมาซึ่งกรรมสิทธิในที่ดินโดยนิติกรรม เชน โดยการซื้อขายแลกเปล่ียนใหจํานอง, ขายฝาก ตอ งทําเปน หนังสือและจดทะเบยี นตอพนักงานเจา หนาทม่ี ิฉะนั้น เปน โมฆะ

58 4. การไดมาซึ่งกรรมสิทธิในท่ดี ินโดยผลของกฎหมาย เชน ก) ไดกรรมสทิ ธิในท่ีดนิ จากทีง่ อกรมิ ตลิ่ง ท่ดี ินแปลงใดเกิดทงี่ อกรมิ ตลง่ิ ทงี่ อกนัน้ เปน ทรพั ยส ินของ เจา ของทด่ี นิ แปลงนน้ั โดยหลกั ของทง่ี อกรมิ ตลงิ่ จะตอ งเกดิ ขน้ึ โดยธรรมชาตแิ ละตดิ ตอ เปน ผนื เดยี วกนั แตเ จา ของ ทด่ี นิ มจี ะมกี รรมสทิ ธใิ นทง่ี อกไดต อ งเปน ทที่ ม่ี หี นงั สอื สาํ คญั แสดงกรรมสทิ ธเิ ชน โฉนดทด่ี นิ ถา เจา ของทด่ี นิ แปลง ใดเปนท่ีมือเปลาเกิดท่ีงอกออกมาเจาของท่ีแปลงน้ันก็มีแตสิทธิครอบครองที่งอกเทานั้นดังน้ันหากเปนงอกออก มาจากทด่ี นิ มโี ฉนดเจา ของทด่ี นิ แปลงดงั กลา วมกี รรมสทิ ธใิ นทง่ี อกผอู นื่ จะแยง การครอบครองทด่ี นิ สว นนตี้ อ งครอง ครองปรปก ษเ กนิ กวา 10 ปจ งึ ไดกรรมสิทธิ หากเปน ทงี่ อกออกมาจากทีด่ ินมือเปลา (สค.1 ,นส.3) เจา ของมเี พยี ง สทิ ธิครอบครองหากผอู น่ื แยง การครอบครองและเจา ของไมฟอ งรอ งเรยี กคนื ภายใน1 ป เจา ของส้ินสทิ ธิในท่ีงอก น้ัน ข) ไดม าซง่ึ กรรมสทิ ธใิ นทดี่ นิ โดยการครอบครองปรปก ษ ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1382“บคุ คลใดครอบครองทรพั ยส นิ ของผอู นื่ ไวโ ดยความสงบและโดยเปด เผยดว ยเจตนาเปน เจา ของถา เปน อสงั หารมิ ทรพั ยไ ดค รอบครองตดิ ตอ กนั เปน เวลา10 ปท า นวา บคุ คลนนั้ ไดก รรมสทิ ธ”ิ ทดี่ นิ ทจี่ ะถกู ครอบครองปรปก ษ ไดจะตองเปนท่ีดินของผูอ่ืนท่ีมีหนังสือสาํ คัญแสดงกรรมสิทธิ(โฉนดที่ดิน, โฉนดแผนท่ี, โฉนดตราจองตราจองที่ ตราวา ไดท ําประโยชนแ ลวท่ีบา นทส่ี วนตามกฎหมายเบ็ดเสรจ็ บทท่4ี 2) ทดี่ ินมือเปลา (ส.ค.1, น.ส.3)จะถกู ครอบ ครองปรปกษไมได เชน ก.ครอบครองท่ีดินมือเปลาอยางเจาของมา 10 ปก.ก็คงมีเพียงสิทธิ ครอบครองเทาน้ันการไดกรรมสิทธิโดยครอบครองปรปกษจะตองใหศาลส่ังวาไดมาโดยครอบครองปรปกษแลว นาํ คาํ สง่ั ศาลไปขอจดทะเบยี นตอ เจา พนกั งานทด่ี นิ ประเภทไดม าโดยการครอบครองหากเจา ของไดโ ดยการครอบ ครองบางสวนก็ไปขอจดทะเบียนในประเภทไดมาโดยการครอบครองเฉพาะสวนหรือไดรับแบงมาโดยการ ครอบครอง ค) การไดมาซ่ึงกรรมสิทธิในที่ดินโดยทางมรดกการจะมีกรรมสิทธิในท่ีดินมรดกที่ดินมรดกนั้นตอง เปนที่มหี นงั สอื สําคญั แสดงกรรมสทิ ธเิ ชน โฉนดที่ดนิ ถาท่ีดนิ มรดกเปน ทม่ี ือเปลาเชน ท่ี นส.3, สค.1ก็มเี พยี งสทิ ธิ ครอบครองผไู ดท รพั ยม าโดยทางมรดกนจ้ี ะตอ งจดทะเบยี นตอ เจา พนกั งานทดี่ นิ เสยี กอ นจงึ จะมกี ารเปลย่ี นแปลง ทางทะเบียนไดเ ชน นาย ก. ทาํ พนิ ยั กรรมยกท่ดี นิ โฉนดใหนาย ข. เมอ่ื นาย ก. ตาย นาย ข.ก็ไดร ับมรดกทนั ทโี ดย ผลของกฎหมายโดยไมตองจดทะเบียนเน่ืองจากพินัยกรรมมีผลเม่ือเจามรดกถึงแกความตายหรือหากไมมีพินัย กรมเมอ่ื เจา ของมรดกถงึ แกค วามตายมรดกกต็ กไปยงั ทายาทโดยธรรมทนั ทแี ตต อ มาหากนาย ข.ตอ งการขายทดี่ นิ มรดกใหนาย ค. นาย ข.จะทําไมไดเพราะชอ่ื ในโฉนดยังเปน ชือ่ นาย ก. เจา ของเดมิ อยู นาย ข.จะตอ งจดทะเบยี น การไดมาประเภทมรดก ลงชื่อนาย ข.เปนผูถือกรรมสิทธิเสียกอนจึงจะเอาท่ีดินไปจดทะเบียนขายใหนาย ค. ตอ ไปไดเ นอ่ื งจากประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 1299 วรรค 2 บญั ญตั วิ า “ถา ผไู ดม าซงึ่ อสงั หารมิ ทรพั ย หรอื ทรพั ยส ทิ ธอิ นั เกย่ี วกบั อสงั หารมิ ทรพั ยโ ดยทางอนื่ นอกจากนติ กิ รรมสทิ ธขิ องผไู ดม านนั้ ถา ยงั มไิ ดจ ดทะเบยี น ไซรทานวาจะมีการเปล่ียนแปลงทางทะเบียนไมได”การไดมาทางมรดกก็เปนการไดมาโดยทางอ่ืนนอกจาก นิติกรรมเชนกัน

59 วธิ ีการจดทะเบียนการไดมาประเภทมรดก 1. ใหผูไดรับมรดกนําหลักฐานสําหรับที่ดินหรือหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน เชนโฉนดท่ีดิน นส.3 พรอ มดว ยหลกั ฐานในการรบั มรดก เชน พนิ ยั กรรม มรณบตั ร สตู บิ ตั รสาํ เนาทะเบยี นบา น บตั รประจาํ ตวั ประชาชน ไปยน่ื ขอตอ พนกั งานเจา หนา ท่ี หากหนงั สอื แสดงสทิ ธใิ นทดี่ นิ อยกู บั บคุ คลอนื่ ใหพ นกั งานเจา หนา ทมี่ อี าํ นาจเรยี ก มาได 2. ใหผูขอรับมรดก ยื่นคํารองพรอมหลักฐานตางๆ ดังกลาวในขอ 1 ตอพนักงานเจาหนาท่ี 3. พนกั งานเจา หนา ทส่ี อบสวนพยานหลกั ฐานและหากเชอื่ วา ผขู อเปน ทายาทกจ็ ะประกาศการขอรบั มรดก นน้ั 60 วันแมเปนการโอนมรดกตามพินัยกรรมก็ตองประกาศดว ยเวนแตมีการจดทะเบยี นตั้งผจู ดั การมรดกตาม คาํ สง่ั ศาลกอ นแลว และผจู ดั การมรดกโอนตอ ใหท ายาทไมต อ งประกาศประกาศนน้ั ใหต ดิ ไวท อ่ี าํ เภอสาํ นกั งานทด่ี นิ ท่ีทําการกํานัน บริเวณท่ีดินแหงละ 1ฉบับ สงประกาศใหทายาททุกคนที่ผูขอแจงวาเปนทายาททราบเทาท่ีจะ ทําได 4. ถาไมม ีผโู ตแ ยง กใ็ หจดทะเบยี นโอนมรดกใหแ กทายาทตามทข่ี อ 5. ถา มีผโู ตแ ยงใหพนักงานเจาหนา ท่ีสอบสวนคูก รณแี ลวเปรยี บเทียบประนีประนอมกนั หากไมต กลงให เจา หนา ท่สี ง่ั การไปตามที่เห็นสมควรแลวแจง คูกรณที ราบผูท ีไ่ มพอใจใหไปฟอ งศาลภายใน 60 วนั นบั แตท ราบ คําสั่งถามีการฟองศาลใหพนักงานเจาหนาที่รอเรื่องไวกอนเม่ือศาลพิพากษาจึงดําเนินการตามที่ศาลส่ัง ถาไมฟองภายในกําหนดใหดําเนินการไปตามที่พนักงานเจาหนาที่มีคําสั่งคาธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอน มรดกถา เปน การรบั มรดกระหวา งบดิ า มารดา บตุ ร สามเี สยี คา ธรรมเนยี มรอ ยละ 50 สตางคข องจาํ นวนทนุ ทรพั ย ไมต องเสยี คาอากร การเสยี สทิ ธิในทดี่ นิ ตามประมวลกฎหมายทดี่ นิ ผมู สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ อาจเสยี สทิ ธใิ นทดี่ นิ ไดโ ดยทดี่ นิ นนั้ จะตกเปน ของรฐั ในกรณที ม่ี กี ารทอดทงิ้ ไมท าํ ประโยชน หรอื ปลอ ยใหพนื้ ทดี่ นิ รกรา งวา งเปลา เกนิ เวลาดงั น้ี 1. สําหรบั ที่ดนิ มีโฉนดที่ดนิ เกิน 10 ป ติดตอกัน 2. สําหรับท่ีดินท่ีมี น.ส.3 เกิน 5 ป ตดิ ตอ กัน โดยถือวาผูน้ันเจตนาสละสิทธิในท่ีดินเฉพาะสวนที่ไดทอดทิ้งไมทําประโยชนหรือปลอยใหเปนที่ รกรา งวา งเปลา(ประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 6) การขอออกหนังสอื รับรองการทําประโยชน(น.ส.3 หรอื น.ส.3ก) ท่ดี นิ ท่จี ะขอออกหนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชนไดม ีดงั น้ี 1. เปนท่ีดนิ ที่ไดค รอบครองและทาํ ประโยชนแลว 2. ตอ งไมเปนท่ีดินที่ราษฎรใชประโยชนรว มกนั เชน ทางน้ํา ทะเลสาบท่ชี ายตลงิ่ 3. ตองไมเปนท่ีเขา ท่ีภูเขา หรือที่สงวนหวงหามหรือท่ีดินท่ีทางราชการเห็นวาควรสงวนไวเพ่ือ ทรัพยากรธรรมชาติ

60 หลกั ฐานทีจ่ ะตอ งนําไปแสดงประกอบการขอออกหนังสือรับรองการทาํ ประโยชนม ีดังน้ี 1. บตั รประจําตัว 2. แบบแจงการครอบครองท่ีดิน (ส.ค.1) 3. ใบรับแจง ความประสงคจ ะไดสทิ ธใิ นท่ดี ิน 4. ใบจองหรือใบเหยียบยา่ํ 5. ตราจองเปนใบอนญุ าต 6. หลักฐานการเสียภาษีที่ดินหรือหลักฐานอื่นๆในกรณีท่ีไมไดแจงการครอบครองและไมอยูในทองที่ ประกาศเปน เขตเดนิ สํารวจออกหนังสือรบั รองการทําประโยชน (น.ส.3) วิธกี ารออกหนงั สือรบั รองการทําประโยชน 1. ผขู อตอ งยน่ื คาํ ขอตอ นายอาํ เภอหรอื ปลดั อาํ เภอผเู ปน หวั หนา ประจาํ กงิ่ อาํ เภอทอ งทท่ี ด่ี นิ ตงั้ อยแู ลว แต กรณีพรอมท้งั แนบหลกั ฐานตามที่กลาวมาแลว 2. เม่ือรับคําขอแลว นายอําเภอหรือปลัดอําเภอผูเปนหัวหนาประจําก่ิงอําเภอหรืออาจจะมอบใหเจา หนาท่ีผูใดไปแทนก็ไดจะออกไปทําการรังวัดพิสูจนสอบสวนวาไดทําประโยชนในท่ีดินนั้นตามระเบียบและ กฎหมายในการรังวัดเจาของที่ดินและเจาของที่ดินขางเคียงตองไประวางช้ีแนวเขตและลงลายมือช่ือไวเปนหลัก ฐานดวย 3.เมอ่ื ไดพ สิ จู นก ารทาํ ประโยชนแ ลว ปรากฎวา ไดม กี ารครอบครองและทาํ ประโยชนต ามสมควรแกส ภาพ ท่ีดินในทองถ่ินตลอดจนสภาพกิจการที่ไดทําประโยชนแลวนายอําเภอหรือปลัดอําเภอผูเปนหัวหนาประจํากิ่ง อาํ เภอจะประกาศคาํ ขอรบั รองการทาํ ประโยชนไ ว3 0 วนั ณทว่ี า การอาํ เภอหรอื กงิ่ อาํ เภอทที่ าํ การกาํ นนั ในบรเิ วณ ที่ดินทีข่ อออกหนังสอื รบั รองการทําประโยชนและสาํ นกั งานเทศบาล(ถา มี) แหงละ 1 ฉบบั 4. ถา มผี คู ดั คา นนายอาํ เภอหรอื ปลดั อาํ เภอผเู ปน หวั หนา ประจาํ กงิ่ อาํ เภอจะทาํ การสอบสวนเปรยี บเทยี บ ถาตกลงกันไดก็ดําเนินการไปตามขอตกลงนั้นหากตกลงกันไมไดก็ใหมีคําสั่งวาจะออกหนังสือรับรองการทํา ประโยชนใ หแ กฝ า ยใดและใหฝ า ยทไี่ มพ อใจไปดาํ เนนิ การฟอ งรอ งตอ ศาลภายในกาํ หนด 60 วนั นบั แตว นั รบั ทราบ คําสั่ง เม่ือศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังประการใดใหดําเนินการไปตามน้ัน ถาไมไดฟองภายในกําหนด60 วัน กใ็ หด ําเนนิ การไปตามท่ีมคี าํ ส่ังไวแ ลว 5. ถาไมมผี ูคัดคาน ก็ใหอ อกหนงั สือรับรองการทําประโยชนใหต อ ไป 6. ถาปรากฎวาการออกหนังสือรับรองการทําประโยชนไปโดยความผิดหลงหรือฝาฝนกฎหมายหรือไม ถกู ตองดวยประการใดกต็ ามผวู า ราชการจังหวัดมอี าํ นาจส่ังเพกิ ถอน น.ส.3 ได

61 การขอออกโฉนดท่ีดนิ ที่ดินท่ีจะขอออกโฉนดท่ดี ินไดมีดงั นี้ 1. เปนที่ดนิ ทีไ่ ดครอบครองและทําประโยชนแลว 2. ตอ งไมเ ปนที่ดินทรี่ าษฎรใชป ระโยชนร ว มกนั เชน ทางนา้ํ ทางหลวง ทะเลสาบทช่ี ายตลิ่ง 3. ตองไมเ ปนท่เี ขา ทภ่ี ูเขา หรอื ท่สี งวนหวงหา มหรือทีด่ นิ ทที่ างราชการเหน็ วา ควรสงวนไวเพอื่ ทรพั ยากรธรรมชาติ 4. ตอ งเปนท่ีดนิ ทไ่ี ดมีระวางแผนที่เพอ่ื การออกโฉนดทีด่ นิ แลว หลกั ฐานที่จะตองนําไปแสดงประกอบขอออกโฉนดทีด่ นิ มีดังน้ี 1. บัตรประจาํ ตัว 2. แบบแจง การครอบครองที่ดนิ (ส.ค.1) 3. ใบรบั แจง ความประสงคจ ะไดส ทิ ธใิ นท่ีดิน 4. ใบจองหรอื ใบเหยยี บยา่ํ 5. ตราจองเปนใบอนญุ าต 6. หนังสือรับรองการทําประโยชน หรือใบสาํ คญั แสดงการนาํ ทีด่ ินขึ้นทะเบียน (แบบหมายเลข 3) 7. หนงั สือแสดงการทาํ ประโยชน ในกรณีทไ่ี ดร ับการจดั ท่ีดนิ ในนิคมสรา งตนเองหรอื สหกรณนคิ ม 8. หลักฐานการเสยี ภาษีทด่ี ินหรือหลกั ฐานอนื่ ในกรณที ่ไี มไ ดแ จง การครอบครองและไมอ ยูในทอ งท่ี ประกาศเปนเขตเดนิ สํารวจออกโฉนดท่ดี นิ ทง้ั ตาํ บล วธิ กี ารขอออกโฉนดทด่ี นิ 1. ผขู อตอ งยนื่ คาํ ขอพรอ มหลกั ฐานการไดม าซง่ึ ทดี่ นิ ตามทกี่ ลา วมาแลว ตอ เจา พนกั งานทดี่ นิ ณ สาํ นกั งาน ที่ดินจังหวัด หรอื สํานกั งานท่ดี ินสาขา แลวแตกรณี 2. เมื่อไดรับคําขอแลวเจาหนาที่จะออกไปทําการรังวัดและทําการไตสวนเจาของท่ีดินผูปกครองทองท่ี และเจา ของที่ดนิ ขางเคียง 3. เมื่อรังวดั เสรจ็ เรยี บรอ ยและไมม ขี อ ขัดขอ งเจาพนกั งานท่ดี ินก็จะประกาศแจกโฉนดมีกาํ หนด 30 วนั โดยปดไว ณ สํานักงานท่ีดินจังหวัดหรือสํานักงานท่ีดินสาขา ท่ีวาการอําเภอหรือกิ่งอําเภอท่ีทําการกํานันและ บริเวณที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินแหงละ 1 ฉบับ ในเขตเทศบาลใหปดไว ณ สํานักงานเทศบาลอีก 1 ฉบับ 4. ถามีผูโตแยงคัดคาน เจาพนักงานท่ีดินจะทําการสอบสวนเปรียบเทียบถาตกลงกันไดก็จะดําเนินการ ไปตามความตกลง ถา ไมต กลงเจา พนกั งานทดี่ นิ กจ็ ะเสนอเรอ่ื งพรอ มความเหน็ ไปใหผ วู า ราชการจงั หวดั พจิ ารณา สง่ั การเมอ่ื ผวู า ราชการจงั หวดั สงั่ แลว ถา ฝา ยใดไมพ อใจใหฝ า ยนน้ั ไปฟอ งศาลภายใน 30 วนั นบั แตว นั ทราบคาํ สงั่ ถาไมมกี ารฟอ งศาลก็ดาํ เนินการไปตามทผ่ี วู าราชการจงั หวดั สง่ั 5. ถาไมมผี ูใดคัดคา นโตแ ยง กอ็ อกโฉนดทดี่ ินใหตอ ไป

62 การจดทะเบียนสิทธแิ ละนิตกิ รรม การโอนกรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองในท่ีดินซึ่งมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทําประโยชน (นส.3 หรอื นส.3ก)ตอ งทาํ เปน หนงั สอื และจดทะเบยี นตอ พนกั งานเจา หนา ทผ่ี ใู ดประสงคจ ะจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละ นติ กิ รรมเกย่ี วกบั อสงั หารมิ ทรพั ยต ามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยใ หค กู รณนี าํ หนงั สอื แสดงสทิ ธใิ นทดี่ นิ มา จดทะเบยี นตอพนกั งานเจาหนาท่ี 1. การยน่ื ขอ 1.1 สําหรับท่ีดินทมี่ โี ฉนดทดี่ ินหรือมีใบไตสวนหรอื อสงั หารมิ ทรัพยอยา งอ่นื ในท่ีดนิ ดงั กลาวนน้ั รวมกับ ท่ีดินใหไ ปย่ืนคาํ ขอ ดังน้ี 1.1.1 ทด่ี นิ ทอ่ี ยใู นเขตทมี่ สี าํ นกั งานทด่ี นิ สาขาใหย น่ื ตอ เจา พนกั งานทด่ี นิ สาํ นกั งานทด่ี นิ สาขานนั้ 1.1.2 ถา ไมม สี าํ นกั งานทด่ี นิ สาขาในเขตนน้ั ใหย น่ื ตอ เจา พนกั งานทดี่ นิ ณ สาํ นกั งานทด่ี นิ จงั หวดั 1.2 สาํ หรบั ท่ีดนิ และอสงั หาริมทรัพยอยา งอน่ื นอกจากที่ระบุไวใ น 1 ใหไ ปยืน่ คาํ ขอ ดังน้ี 1.2.1 ท่ีดินท่อี ยใู นทอ งที่กง่ิ อําเภอใหยื่นตอ ปลัดอาํ เภอผูเปน หวั หนาประจํากง่ิ อําเภอทองที่นั้น 1.2.2 ทดี่ นิ ทีอ่ ยูน อกทอ งทีก่ ิ่งอาํ เภอใหย ื่นตอ นายอําเภอทอ งทน่ี ้นั 1.3 ทด่ี ินทมี่ โี ฉนดท่ดี นิ ใบไตส วน หรือหนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชน (นส.3 หรือนส.3ก) คกู รณีอาจยนื่ คาํ ขอตอ พนกั งานเจาหนา ท่ี ณ กรมทีด่ ิน (สาํ นกั งานทด่ี นิ กลาง)เพือ่ ใหพ นักงานเจาหนา ทีต่ าม 1 หรือ 2 แลวแต กรณดี ําเนินการจดทะเบยี นใหก ็ไดเวน แตการจดทะเบียนท่ีตอ งมีการประกาศหรอื ตองมีการรังวดั การมอบอาํ นาจกระทําการเกี่ยวกบั ทีด่ นิ ในการท่ีผูขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไมสามารถไปยังสํานักงานท่ีดินจังหวัดหรือสํานักงานที่ดิน อาํ เภอดว ยตนเองไดจ ะมอบหมายใหผ ใู ดผหู นงึ่ ทเี่ ชอื่ ถอื ไวว างใจไดจ รงิ ๆ ไปทาํ การแทนไดโ ดยผนู น้ั จะตอ งทาํ หลกั ฐานการมอบอาํ นาจเปน หนงั สอื ใหผ ไู ปทาํ การแทนควรมอบบตั รประจาํ ตวั ของผมู อบใหก บั ผรู บั มอบอาํ นาจนาํ ไป แสดงตอ พนกั งานเจา หนา ทดี่ ว ยเจา ของทด่ี นิ และผจู ะซอื้ ทด่ี นิ จะตอ งระมดั ระวงั หรอื กระทาํ การใหร ดั กมุ รอบคอบ มิฉะนั้นอาจเกิดการฉอโกงหรือไดรับความเสียหายอยางรายแรงไดจึงขอใหผูมอบไดปฏิบัติตามคําเตือนหลัง ใบมอบอาํ นาจโดยเครง ครดั หนงั สอื มอบอํานาจควรใชต ามแบบของกรมท่ดี นิ ซึง่ มอี ยู 2 แบบสําหรบั ทีด่ นิ มีโฉนด แลวแบบหนึ่งกับที่ดินที่ยังไมมีโฉนดอีกแบบหน่ึงหากจะใชกระดาษอ่ืนควรเขียนขอความอนุโลมตามแบบพิมพ ของกรมทดี่ ินเพราะจะไดร ายการที่ชัดเจนและถูกตอ งขอแนะนําขอปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1. ใหกรอกเครื่องหมายหนังสือสําคัญสําหรับที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพยอยางอื่น เชน ตึก บาน เรือน โรง ใหช ัดเจน 2. ใหระบุเรื่องและอํานาจจัดการใหชัดเจนวา มอบอํานาจใหทําอะไร เชน ซ้ือขาย จํานอง ฯลฯ ถามี เงอ่ื นไขพเิ ศษ เพิ่มเติม กใ็ หร ะบไุ วด วย 3. อยากรอกขอ ความใหต า งลายมือและใชนํา้ หมกึ ตางสีกันถาใชเครอ่ื งพมิ พดีดก็ตองเปน เครื่องเดยี วกนั 4. ถา มีขูดลบ ตกเตมิ แกไข หรือขดี ฆา ใหระบุขีดฆา ตกเตมิ กคี่ าํ และผมู อบอํานาจลงลายมอื ชือ่ กาํ กับไว ทุกแหง

63 5. อยา ลงลายมอื ชอื่ ผมู อบอาํ นาจกอ นกรอกขอ ความเมอื่ กรอกขอ ความครบถว นแลว ใหอ า นกอ นเมอ่ื เหน็ วาถกู ตองใหล งลายมือชื่อผมู อบอาํ นาจ คือ อยา ลงชอื่ ในกระดาษเปลาๆ เปนอนั ขาด 6. มีพยานอยางนอ ย 1 คน ถา ผูม อบอาํ นาจพิมพล ายน้ิวมือตอ งมีพยาน 2 คนพยานตองเซ็นชื่อ จะพิมพ ลายนว้ิ มอื ไมไ ดถ า ภรรยาเปน ผมู อบอาํ นาจตอ งใหส ามลี งชอ่ื เปน พยานและใหบ นั ทกึ ความยนิ ยอมเปน หนงั สอื ดว ย 7. หนงั สอื มอบอํานาจทาํ ในตางประเทศ ควรใหส ถานทตู หรอื สถานกงสุลหรือรบั รองดว ย 8. ผมู อบอาํ นาจทม่ี อี ายุ 60 ปข นึ้ ไปในกรณที ม่ี เี หตอุ นั สมควรสงสยั วา ผมู อบจะยงั คงมชี วี ติ อยหู รอื ไมแ ละ มีสตสิ ัมปชัญญะสมบรู ณหรอื ไมค วรใหผ ูปกครองทองทีห่ รือผูทเี่ ชอ่ื ถอื ไดรับรองกอ น 9. ควรพจิ ารณาถงึ บคุ คล ทจี่ ะรบั มอบอาํ นาจจากทา นควรจะเปน บคุ คลทที่ า นเชอ่ื ถอื หรอื รจู กั ชอบพอกนั มานาน หรือเปนญาติพ่ีนองกันอยามอบอํานาจใหกับผูท่ีไมรูจักมักคุนกันมากอน บางเร่ืองผูรับมอบอํานาจเปน ผูรับมอบอาํ นาจจากท้ังสองฝา ย คอื เปนตวั แทนทั้งฝา ยผโู อนและผรู บั โอนในกรณเี ชนนีผ้ มู อบอาํ นาจจะตองระบุ ไวใ นหนังสอื มอบอาํ นาจดว ยวา ยินยอมใหผรู บั มอบเปนผูแทนอกี ฝา ยหน่งึ ดวย(มาตรา 805 แหง ป.พ.พ.) ถาไมจําเปนจริงๆ ควรไปทําธุรกิจตางๆ เกี่ยวกับท่ีดินดวยตนเองจะเปนการปลอดภัยและสะดวกกวา แมจะเสยี เวลาไปบาง กย็ ังดกี วาสญู เสยี ทรัพย การอายดั ทดี่ นิ มาตรา 83 แหง ประมวลกฎหมายที่ดนิ บัญญัติวาผูใ ดมีสวนไดเ สยี ในท่ีดนิ อันอาจจะฟองบงั คับใหม กี าร จดทะเบยี นหรอื ใหม กี ารเปลย่ี นแปลงทางทะเบยี นไดม คี วามประสงคจ ะขออายดั ทดี่ นิ ตอ พนกั งานเจา หนา ที่ กใ็ ห ทาํ ได เมอ่ื พนกั งานเจา หนา ทสี่ อบสวนเหน็ สมควร ใหร บั อายดั ไวไ ดไ มเ กนิ กาํ หนดหกสบิ วนั นบั แตว นั ทขี่ ออายดั โดยใหผูนั้นไปดําเนินการทางศาลเมื่อศาลไดมีคําส่ังหรือคําพิพากษาแลวใหพนักงานเจาหนาที่ดําเนินการตอไป ตามควรแกกรณี คําวา การอายัดท่ีดิน หมายถึง การหยุดนิ่งไมทําอะไรตอไปหรือใหระงับการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ท่ีดินไวช่ัวระยะหนึ่งเพ่ือใหผูมีสวนไดเสียในที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิตามกฎหมายที่จะบังคับเอากับท่ีดินแปลงน้ันไป ฟอ งรอ งอายดั ไวร ะยะหนง่ึ (ไมเ กนิ 60 วนั ) ไดเ ปน การยงั ยง้ั การเปลยี่ นแปลงทางทะเบยี นเสยี แตต น มอื หากปลอ ย ใหจ ดทะเบยี นหรอื เปลยี่ นแปลงทางทะเบยี นกนั ไดเ รอื่ ยๆ ไปจะเกดิ ปญ หายงุ ยากโดยตา งฝา ยตอ งสนิ้ เปลอื งคา ใช จายและคา เสยี หายมากเกนิ ไปและอาจเกิดความเสียหายแกบคุ คลภายนอกผูส จุ รติ หากมีการโอนกันตอ ๆ ไปใน การสอบสวนพิจารณาของพนักงานเจาหนาท่ีจะรับอายัดหรือปฏิเสธไมรับเปนเร่ืองท่ีจะตองใชความระมัดระวัง อยางมากเพราะการอายัดเปนการตัดสิทธิของเจาของท่ีดินในอันท่ีจะขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ที่ดินหลักการพิจารณามีอยูวาสิทธิท่ีอางมาเพ่ือขออายัดน้ันเก่ียวกับท่ีจะบังคับเอาแตท่ีดินน้ันโดยตรงหรือไม การขออายดั ทด่ี นิ จะตอ งกระทาํ กอ นมกี ารฟอ งรอ งตอ ศาลถา ฟอ งศาลแลว รบั อายดั ไมไ ดเ วน แตศ าลจะสงั่ อายัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงและการขออายัดจะกระทําไดแตเฉพาะที่ดินเทาน้ันโดยผูขอ ตองสงหลักฐานเอกสารที่จะบังคับใหเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไมรวมถึงการขออายัดบานเรือนโรง และสิ่งปลูก สรางอนื่ ๆ

64 การขอออกใบแทนโฉนดท่ดี นิ หากโฉนดท่ีดินสูญหาย เจาของที่ดินจะตองออกใบแทนทันทีคําวาสูญหาย หมายถึง ตกหายหรือหาไม พบเมื่อพบวาโฉนดท่ีดินหายเจาของท่ีดินจะตองไปแจงความกับพนักงานสอบสวน ณ ทองท่ีที่เกิดเหตุสูญหาย หรือท่ีท่ีดินต้ังอยูใหพนักงานสอบสวนลงประจําวันไวเปนหลักฐาน โดยแจงหมายเลขโฉนดดวยหากไมทราบ หมายเลขโฉนดก็อาจขอตรวจสอบหมายเลขโฉนดจากบตรรายช่ือเจาของท่ีดินท่ีสํานักงานท่ีดินแลวนําหลักฐาน การแจง ความบัตรประจําตัว ทะเบียนบา น ทะเบยี นสมรส และพยานบคุ คลทีเ่ ชอ่ื ถือได 2 คน (มีบัตรประจาํ ตัว และสาํ เนาทะเบยี นบา นไปดว ย) ซงึ่ รถู งึ การทโี่ ฉนดทดี่ นิ สญู หายไปใหถ อ ยคาํ รบั รองการใหถ อ ยคาํ รบั รองของผขู อ วาเปนความจริงตอพนักงานท่ีดินโดยนําหลักฐานทั้งหมดดังกลาวไปยื่นคําขอออกใบแทนโฉนดที่ดินตอพนักงาน ท่ีดนิ ในเขตท่ีท่ีดินตง้ั อยู หากเจาพนกั งานทด่ี ินสอบสวนแลว เชอ่ื วาโฉนดทส่ี ูญหายจริงก็จะประกาศขอออกใบแทน 30 วนั ปดไว ท่สี ํานกั งานที่ดนิ 1 ฉบบั ท่ที าํ การกาํ นนั 1 ฉบับ ทบี่ ริเวณท่ดี นิ 1 ฉบับในเขตเทศบาลปดไว ณ สาํ นกั งานเทศบาล อกี 1 ฉบบั หากไมม ผี คู ดั คา นกจ็ ะออกใบแทนใหไ ปหากมผี คู ดั คา นและปรากฏวา โฉนดไมส ญู หายจรงิ เจา พนกั งาน ที่ดินกจ็ ะยกเลกิ คาํ ขอ คาํ แนะนําเรอ่ื งการปองกันการทุจรติ เกี่ยวกับท่ดี ิน 1. ควรเก็บรักษาโฉนดทด่ี ิน หรอื หนงั สือรับรองการทาํ ประโยชน (นส.3 หรือ นส.3ก)ไวใ นทปี่ ลอดภัย ถา มีแขกแปลกหนาขอดูโฉนดที่ดินหรือ นส.3 โดยอางวามีคนตองการจะซ้ือใหระมัดระวังเพราะผูทุจริต อาจนําฉบบั ปลอมมาเปล่ยี นได 2. อยาใหผ ูอื่นยืมโฉนดทดี่ ิน หรอื นส.3 ไปไมว ากรณใี ดๆ 3. ในกรณีโฉนดท่ีดิน หรือ นส.3 สูญหายหรือถูกลักใหรับแจงความตอพนักงานสอบสวน (ตํารวจ) โดยเร็วแลว นําใบแจง ความไปแสดงตอ พนกั งานเจา หนา ท่ที ่ีดินเพอ่ื ขอใหอ อกใบแทนใหม 4. อยาเซ็นชื่อในหนังสือมอบอํานาจโดยไมกรอกขอความเปนอันขาดกอนเซ็นช่ือใหกรอกขอความ ในใบมอบใหครบถวนและจะมอบใหไปทํานิติกรรมเร่ืองใดก็ใหเขียนลงไปใหชัดเจนเชน จะขายก็วาขาย จะใหก็วา ให 5. ควรพจิ ารณาถงึ บคุ คลทจี่ ะรับมอบอาํ นาจจากทา นควรเปน บคุ คลทที่ า นเชอื่ ถอื หรอื รจู กั ชอบพอกนั มา นาน หรือเปน ญาตพิ ีน่ อ งกนั อยามอบอาํ นาจใหกับผูท่ีไมรูจ ักมกั คุนกนั มากอนถา ไมจาํ เปน จรงิ ๆ ควรไปทาํ ธุรกิจ ตางๆเกี่ยวกับที่ดินดวยตนเองจะเปนการปลอดภัยและสะดวกกวาแมจะเสียเวลาไปบางก็ยังดีกวาสูญเสียทรัพย 6. ถามเี วลาวางควรนาํ โฉนดทด่ี นิ หรือ นส.3 ไปตรวจสอบที่สํานกั งานท่ดี นิ วาทด่ี นิ ของทา นยังอยูปกติ และมีหลกั ฐานถกู ตองตรงกบั ฉบับท่ีสาํ นกั งานทด่ี ินหรือไมเ พยี งใด 7. กอ นจะรบั ซอื้ รบั ซอื้ ฝากหรอื รบั จาํ นองทด่ี นิ ควรไปตรวจสอบดทู ดี่ นิ ใหแ นน อนถกู ตง อตรงกบั หลกั ฐาน ตามโฉนดท่ีดินหรือ นส.3 ถาสงสัยใหไปขอตรวจสอบหลักฐานที่ดินกอนหรือขอสอบเขตวาเปนที่ดินแปลงเดียว กันหรือไม

65 8. ควรตดิ ตอ กับเจาของที่ดนิ โดยตรง 9. อยาทําสัญญาใหกูยืมเงินกันเองโดยรับมอบโฉนดที่ดิน หรือ นส.3 ไวเปนประกันเปนอันขาด เพราะอาจเปน ฉบับของปลอมทางท่ดี ีควรไปจดทะเบยี นรบั จาํ นอง ตอ พนักงานเจา หนา ทีจ่ งึ จะปลอดภัย 10. การซ้ือขายท่ีดินมีโฉนดผูซ้ือขายชอบที่จะไปจดทะเบียนโอนท่ีสํานักงานท่ีดินและชําระเงินท้ังหมด ทส่ี าํ นกั งานทดี่ นิ ตอ หนา เจา พนกั งานทด่ี นิ ขณะจดทะเบยี นโอนทด่ี นิ ซง่ึ อาจชาํ ระเปน เงนิ สดหรอื แคชเชยี รเ ชค็ กไ็ ด เพ่ือปองกันปญหาตางๆท่ีอาจเกิดข้ึนได เชนหากชําระกอนการจดทะเบียนแลวผูขายอาจบิดพล้ิวไมโอนท่ีดินให หรือนาํ ไปโอนขายใหบุคคลภายนอก กอนท่ีเจาพนักงานท่ีดินจะจดทะเบียนจะสอบถามผูขายวาไดชําระเงินแลวหรือยังผูขายก็อาจเรียกให ผูซ้ือชําระเงินตอหนาเจาพนักงานที่ดินหากผูขายแจงวายังไมไดรับชําระเงินเจาพนักงานท่ีดินจะไมจดทะเบียน ซอ้ื ขายใหป ญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ มกั เกดิ จากผขู ายยงั ไมไ ดร บั ชาํ ระเงนิ คา ทด่ี นิ ครบถว นโดยจดทะเบยี นโอนขายใหผ ซู อื้ ไป กอ นภายหลังผซู ื้อบิดพลว้ิ ไมชําระเงนิ สว นทเี่ หลอื ผขู ายจึงไปฟองรอ งเรยี กเงินคาท่ดี ินสว นทีย่ ังไมไดรบั จากผูซ้ือ แตใ นสญั ญาซอ้ื ขายทด่ี นิ ระบวุ า “ผซู อ้ื ไดช าํ ระและผขู ายไดร บั เงนิ คา ทดี่ นิ รายนเี้ สรจ็ แลว ”ศาลไดพ จิ ารณาแลว วา ขอความดังกลาวในสัญญาแสดงวาผูขายยอมรับวาผูซ้ือไดชําระเงินคาท่ีดินท้ังหมดใหผูขายแลวในวันทําสัญญา การท่ีผูขายนําพยานบุคคลมาสืบวายังไมไดรับชําระเงินครบถวนเปนการนําสืบเปล่ียนแปลงแกไขขอความใน สญั ญาตอ งหา มมใิ หศ าลยอมรบั ฟง แมผ ขู ายจะนาํ เจา พนกั งานทดี่ นิ มาเปน พยานหากในสญั ญาระบวุ า ผขู ายไดร บั ชาํ ระเงนิ แลว เจา พนกั งานทด่ี นิ กต็ อ งเบกิ ความไปตามสญั ญาวา ผขู ายไดร บั ชาํ ระเงนิ แลว แมว า ความจรงิ เจา พนกั งาน ท่ีดินจะรูวายังชําระเงินไมหมดก็ตามมิฉะนั้นเจาพนักงานที่ดินก็จะมีความผิด เม่ือทราบวายังไมชําระเงินเหตุใด จงึ จดทะเบยี นโอนใหแ ละยงั ระบใุ นสญั ญาวา ผขู ายไดร บั ชาํ ระเงนิ แลว เทา กบั ผขู ายขายทด่ี นิ แตไ มไ ดเ งนิ หรอื ไดไ ม ครบถวนทางแกไ ขหากผขู ายยังไมไดรับชาํ ระเงนิ บางสวน ควรแจงใหเจา พนกั งานที่ดนิ บันทกึ ไวในสัญญาและขอ จดทะเบยี นบรุ มิ สทิ ธิ คอื สทิ ธทิ จ่ี ะไดร บั ชาํ ระหนก้ี อ นผอู นื่ ในหนส้ี ว นนน้ั เพอื่ ปอ งกนั มใิ หเ จา หนอี้ น่ื บงั คบั ชาํ ระหน้ี เอาจากทด่ี นิ แปลงนกี้ อ นผขู าย กฎหมายเกี่ยวกบั สหกรณ ในทางกฎหมาย “บุคคล” แบงออกเปน 2 ประเภท คือบคุ คลธรรมดา (Natural person) กับนติ ิบคุ คล (Juristic person) โดยบุคคลธรรมดาหมายถึงมนุษยเราทุกคนนี่เองและหมายความเฉพาะผูท่ีมีชีวิตอยูเทานั้น ผทู ต่ี ายแลว ไมเ รยี กวา บคุ คล สว นนติ บิ คุ คลนนั้ หมายถงึ บคุ คลทก่ี ฎหมายสมมตขิ นึ้ เชน บรษิ ทั จาํ กดั สมาคม มลู นธิ ิ วัดวาอาราม สหกรณ เปนตน โดยหลักการทางกฎหมายแลว การใหกลมุ บุคคล องคก ร หรือกองทนุ ทรพั ยสิน ตา งๆทจี่ ดั สรรไวเ ปน เพอ่ื ดาํ เนนิ กจิ การอนั หนงึ่ อนั ใดมฐี านะเปน นติ บิ คุ คลนนั้ กเ็ พอื่ ใหเ กดิ สถานะแหง ความรบั ผดิ ชอบทางกฎหมายตอบุคคลอื่นท่ีกลุมบุคคล องคกร หรือกองทุนน้ันๆ ไปมีนิติสัมพันธดวย และดวยเหตุน้ีเอง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยซ ง่ึ เปน บทบญั ญตั หิ ลกั ของกฎหมายทว่ี า ดว ยสทิ ธแิ ละหนา ทขี่ องบคุ คลธรรมดา และนิติบุคคลจึงไดกําหนดใหนิติบุคคลจะมีข้ึนไดก็แตดวยอาศัยอํานาจแหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย

66 หรอื กฎหมายอืน่ 1 สหกรณ คอื คณะบคุ คลซ่งึ รวมกนั ดาํ เนนิ กิจการเพ่อื ประโยชนท างเศรษฐกิจและสังคม โดยชว ยตนเอง และชวยเหลือซ่ึงกันและกัน และไดจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.25422 และสหกรณท่ีไดจด ทะเบยี นแลว มฐี านะเปนนติ บิ ุคคล3 ดังน้ัน “สหกรณ” จึงเปนนิติบคุ คลซงึ่ มีข้นึ ดวยอาศยั อํานาจแหงพระราชบญั ญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มิใช ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยด งั เชน นติ บิ คุ คลอนื่ ๆ ทว่ั ไป เชน หา งหนุ สว นจาํ กดั หา งหนุ สว นสามญั นติ บิ คุ คล บรษิ ทั จาํ กดั มลู นธิ ิ หรอื สมาคม แตส หกรณก ม็ สี ทิ ธแิ ละหนา ทเี่ ชน เดยี วกบั นติ บิ คุ คลอน่ื ๆ ดงั กลา วตามบทบญั ญตั ิ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยและพระราชบัญญัติสหกรณหรือกฎหมายอื่น ภายในขอบแหงอํานาจ หนา ที่หรือวตั ถปุ ระสงคดงั ไดบ ญั ญตั ิหรือกาํ หนดไวในกฎหมาย ขอ บงั คับ หรอื ตราสารจดั ตัง้ 4 โดยปกตินิติบุคคลยอมมีหนาท่ีและสิทธิเชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เพราะตางก็เปนบุคคลที่กฎหมาย รับรองใหมีสิทธิและหนาท่ีได ยกเวนนิติบุคคลจะมีสิทธิและหนาที่เฉพาะท่ีอยูภายในขอบวัตถุประสงคของ นิติบุคคลน้ัน และตองเปนไปตามที่กฎหมายกําหนดและตามขอบังคับหรือตราสารจัดต้ังเทานั้น นิติบุคคล ไมสมามารถมีสิทธิและหนาที่นอกเหนือไปจากขอบังคับหรือตราสารจัดตั้ง5 เชน สหกรณออมทรัพยยอมมีสิทธิ และหนาท่ีตามวัตถุประสงคและขอบังคับของสหกรณคือการใหสมาชิกสหกรณและ/หรือสหกรณอื่นกูยืมเงิน เทาน้ัน จะไปใหบุคคลทั่วไปที่มิใชสมาชิกสหกรณกูยืมเงินไมได เพราะเปนการนอกเหนือขอบวตั ถุประสงคและ ขอบงั คบั ของสหกรณอ อมทรพั ย อยางไรก็ตามแมวา นิตบิ ุคคลจะมีสทิ ธิและหนา ทเ่ี หมือนบุคคลธรรมดากจ็ รงิ อยู แตสทิ ธิและหนาทบ่ี างอยา งซ่ึงโดยสภาพจะพึงมไี ดเ ฉพาะบุคคลธรรมดาเทา นน้ั เชน การคดั เลือกเขา รบั ราชการ ทหาร การสอบแขงขันบรรจุเปนขาราชการ การสมรสกับบุคคลอื่นเพ่ือมีบุตรหลานสืบตอไป หรือการรับบุตร บุญธรรม เปนตน เพราะสิทธิและหนา ท่ีเหลานีเ้ หน็ ไดช ดั วามไี ดเฉพาะบุคคลธรรมดาเทานั้น นิติบคุ คลไมมชี วี ิต จิตใจ รักใครไมเ ปน คดิ เองไมได พูดเองไมได นิตบิ ุคคลจงึ ตองมีผอู น่ื ซ่งึ เปนบคุ คลธรรมดาทําการแทน แตกตาง จากบุคคลธรรมดาทสี่ ามารถดาํ เนินการเองได นิติบคุ คลจึงไมอ าจมีสทิ ธิในเรื่องดังกลา วได เมอื่ กลมุ บคุ คล องคก ร หรอื กองทนุ มฐี านะเปน นติ บิ คุ คลแลว กฎหมายกาํ หนดใหค วามประสงคข องนติ บิ คุ คลยอ ม แสดงออกโดยผูแ ทนของนติ ิบุคคล กฎหมายจงึ บงั คบั ใหน ิติบุคคลตองมผี แู ทนซง่ึ อาจมคี นหนง่ึ หรือหลายคนก็ได ทงั้ นตี้ ามทกี่ ฎหมาย ขอ บงั คบั หรอื ตราสารจดั ตงั้ จะไดก าํ หนดไว6 ในกรณขี องสหกรณน น้ั มพี ระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 กําหนดไวเปน การเฉพาะใหม ี “คณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณ” เปน ผดู ําเนินการกจิ การและเปน 1 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 65 2 พระบญั ญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 4 3 พระบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 37 4 ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 66 5 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 65-67 6 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 70

67 ผูแทนของสหกรณในกิจการอันเกี่ยวกับบุคลภายนอก7 และคณะกรรมการดําเนินการสหกรณดังกลาวนั้นตอง ประกอบไปดว ยประธานกรรมการหนงึ่ คนและกรรมการอน่ื อกี ไมเ กนิ สบิ สค่ี นซง่ึ ทป่ี ระชมุ ใหญเ ลอื กตง้ั จากสมาชกิ 8 เพราะฉะนั้นการดําเนินกิจการสหกรณเพ่ือใหเปนไปตามวัตถุประสงคจึงตองอาศัยคณะกรรมการดําเนินการ สหกรณเปนผูบริหารตามหลักทั่วไปของการบริหารจัดการองคกร โดยมีคณะกรรมการดําเนินการเปนผูกําหนด กรอบและวางนโยบายของการบริหาร มี “ฝายปฏิบัติการ” อันประกอบดวยผูจัดการสหกรณและเจาหนาท่ี สหกรณ ซ่ึงจะเปนผูปฏิบัติงานตาง ๆ ใหเปนไปตามนโยบายท่ีคณะกรรมการกําหนด แตดวยเหตุที่สหกรณ มหี ลกั การและอดุ มการณใ นการจดั ตง้ั ทแ่ี ตกตา งจากการจดั ตงั้ กลมุ บคุ คล องคก ร หรอื กองทนุ อนื่ ทต่ี อ งชว ยเหลอื ซ่ึงวากันและกัน คณะกรรมการดําเนินการจึงมีความจําเปนที่ตองลงไปเปนฝายปฏิบัติในบางเร่ืองได มิใชเรื่อง แปลกหรอื ผดิ หลกั การการบรหิ ารจดั การองคก รแตป ระการใด นอกจากนนั้ เพอ่ื ใหเ กดิ ประสทิ ธภิ าพของการดาํ เนนิ กิจการสหกรณจึงมีการกําหนดใหสหกรณมี “ผูตรวจสอบกิจการ” ซ่ึงท่ีประชุมใหญเลือกต้ังจากสมาชิกหรือ บคุ คลภายนอกเปน ผตู ดิ ตามดแู ล “กจิ การ” ของสหกรณ และตอ งจดั ทาํ รายงานกจิ การของสหกรณต อ ทป่ี ระชมุ ใหญ9 จึงเห็นไดวาบุคคลสามประเภทดังกลาวมีบทบาทสําคัญอยางมากตอการบริหารกิจการสหกรณใหกิจการ สหกรณรุงเรืองเปนไปตามวัตถุประสงคและเปาหมายของการรวมกลุมกันของคณะบุคคลเพ่ือจัดตั้งสหกรณซึ่ง เปน ธรุ กจิ ของประชาชนอยางแทจริง ในการบริหารงานสหกรณออมทรัพยนั้น ประเด็นแรก คณะกรรมการตองทําความเขาใจใหถองแทและ ลกึ ซงึ้ พอสมควรกับหลกั การและอุดมการณส หกรณ ซงึ่ ผเู ขยี นไมข อกลาวถงึ ณ ทน่ี ้ี เพราะโดยสมมุตฐิ านผูเขยี น เชอื่ วา สมาชกิ ทอี่ าสาเขา เปน กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณน า จะตอ งรแู ละเขา ใจเปน อยา งดอี ยแู ลว เพยี งแตอ ยาก จะช้ีใหเห็นวาหลักการสหกรณนั่นหาไดแตกตางไปจากหลักเศรษฐกิจพอเพียงแตอยางใด เพราะอยางนอยการ ดาํ เนนิ กิจการทั้งหมดตอ งเอาสมาชกิ เปนศนู ยก ลางของการพฒั นา และอาศัยความรวมมอื ชวยกนั เพ่ือประโยชน ทางเศรษฐกจิ และสงั คมของสมาชกิ มใิ ชเ พอ่ื มงุ ทค่ี วามมง่ั คงั่ หรอื ผลประโยชนข องสหกรณจ นหลงลมื ความมน่ั คง ของสมาชกิ สหกรณตอ งเปนภมู ิคุม กันใหสมาชิก ปองกันมใิ หสมาชกิ ถกู กลุมทุนเอารดั เอาเปรียบจนในทายทสี่ ดุ ตอ งกลายเปน เกษตรกรผหู มดทท่ี าํ กนิ สญู เสยี ทดี่ นิ หรอื สญู เสยี ทรพั ยส นิ เพราะไมส ามารถชาํ ระหนแ้ี กเ จา หนห้ี รอื สหกรณได ประการท่ีสอง กรรมการดําเนินการสหกรณตองมีความรูในเรื่องตาง ๆ เริ่มตนตั้งแต การกําหนด นโยบายดานการเงนิ การคลงั การวางแผน การบริหารองคกร เศรษฐกิจ สงั คม และการพัฒนาคน โดยเฉพาะ ความรูดานกฎหมายซึ่งจําเปนและเก่ียวของกับการดําเนินกิจกรรมตาง ๆ ของสหกรณเพื่อใหเพียงพอตอการ บริหารสหกรณโ ดยรวมซึง่ มกี ฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ งกบั การบริหารสหกรณอยหู ลายฉบบั หลายเรื่อง คงเปน เรื่องยาก ทจ่ี ะทาํ ความเขา ใจใหค รบถว นทกุ เรอ่ื ง แตอ ยา งนอ ยกค็ วรกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณก ค็ วรจะเขา ใจในโครงสรา ง 7 พระบัญญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 51 8 พระบญั ญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 50 9 พระบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 53

68 กฎหมายที่เกี่ยวของดังกลาวไวบางเพื่อเปนพื้นฐานในการตอยอดความคิด การท่ีจะศึกษาคนควากฎหมาย เพมิ่ เตมิ ตอ ไปกจ็ ะมใิ ชเ รอื่ งทเ่ี หลอื บา กวา แรงของกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณแ ตล ะคน การเปน กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณเ ปรยี บเสมอื นเปน คณะรฐั มนตรี ผมู หี นา ทใี่ นการบรหิ ารงานและกจิ การสหกรณ มใิ ชเ ปน ผแู ทนชนชน้ั ที่ตองเขามารักษาผลประโยชนของกลุมที่สนับสนุนตนหรือพวกพองของตน สหกรณมิใชเรื่องของการเมืองหรือ ผลประโยชนของกลุมแตเปนเร่ืองความมั่นคงในการดํารงชีวิตของมวลสมาชิกทุกคนที่จะรวมมือกันทํากฎหมาย ทเ่ี กี่ยวขอ งกบั การสหกรณ เชน โครงสรางสหกรณจะเปนอยา งไร ใครจะเปนผูบรหิ ารหรอื ผูแ ทนสหกรณไดบาง ธุรกจิ หรือกจิ กรรมใดทีส่ หกรณส ามารถดาํ เนินการไดห รือไมไ ด วิธกี ารดาํ เนินการบริหารตองทาํ อยางไร เปนตน ในสวนนี้พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 ซึ่งเปนกฎหมายหลักในการบริหารสหกรณท่ีกรรมการดําเนินการ สหกรณจ ะตอ งทาํ ความเขา ใจใหม ากทสี่ ดุ เพราะเปน กฎหมายทวี่ า ดว ยตงั้ แตก ารสง เสรมิ สนบั สนนุ การกาํ กบั ดแู ล สหกรณ โครงสรา งสหกรณและวธิ ีดําเนินงานเปนสาํ คญั กิจการใดท่ีทาํ บาง กิจกรรมใดบา งทีท่ าํ ไมได รวมท้งั วิธี การควบรวม การแยกสหกรณ เปนตน โดยโครงสรางของพระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 จงึ มีลกั ษณะเปน กฎหมายมหาชนท่ีรัฐอาจใชอํานาจเขามากํากับดูแลในบางกิจกรรมของสหกรณ เพราะเน่ืองจากสหกรณเปน กจิ การทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการรวมตวั ของกลมุ คนทม่ี คี วามประสงคจ ะชว ยเหลอื ตนเองและชว ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั เพอ่ื ประโยชนท างเศรษฐกจิ และสงั คมเปน สาํ คญั มใิ ชเ ปน องคก รทจ่ี ดั ตง้ั ขน้ึ เพอ่ื มงุ แสวงหากาํ ไรเปน หลกั เพราะฉะนน้ั สหกรณจึงเปนกิจการที่มีกลุมคนจํานวนมากเปนเจาของ มิใชของผูใดผูหน่ึงและที่สําคัญที่สุดการมีสวนรวมใน การบริหารสหกรณเปนของมวลสมาชิกสหกรณทั้งหมด สมาชิกสหกรณแตละคนมีสิทธิที่จะออกเสียงเพ่ือการ ตัดสินใจในกิจการของสหกรณไดเพียงหนึ่งเสียงไมวาสมาชิกสหกรณผูน้ันจะถือหุนจํานวนเทาใดก็ตาม10 ตา งกบั องคก รทางธรุ กจิ อน่ื ทผี่ ถู อื หนุ อาจออกเสยี งไดจ าํ นวนหนุ ทถี่ อื ความจาํ เปน ทรี่ ฐั จะตอ งควบคมุ จงึ ยงั ตอ งมี อยบู า งเพอื่ ปอ งกนั และคมุ ครองทงั้ สทิ ธแิ ละทรพั ยส นิ ของสมาชกิ ผดู อ ยโอกาสมใิ หก ระทบกระเทอื นจากการบรหิ าร ของคณะกรรมการดําเนินการสหกรณท่ีสมาชิกเลือกเขามาบริหารงานแทนตนตามวิถีทางประชาธิปไตย สวนความรับผิดทางกฎหมายของคณะกรรมการตอสมาชิกก็ดี ตอบุคคลภายนอกก็ดี พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มิไดบัญญัติไวเปนการเฉพาะ จึงจําเปนตองใชประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมาบังคับใชกับ สหกรณดว ย ดังน้ัน เพ่ือใหเกิดความเขาใจในดานกฎหมายท่ีเก่ียวของ ผูเขียนจึงแบงกฎหมายที่เก่ียวของออกเปน สวน ๆ ดงั นี้ 1. กฎหมายท่เี กี่ยวกับอํานาจกระทําการของคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณ 10พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 59

69 2. กฎหมายทเ่ี กีย่ วกบั การดาํ เนินงานสหกรณ 3. กฎหมายทเี่ กี่ยวกับการดําเนนิ กิจการสหกรณ ตอนท่ี 2 กฎหมายท่เี ก่ยี วขอ งอํานาจกระการของคณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณ ดังไดกลาวมาแลวในบทนําวา นิติบุคคลจะเกิดข้ึนไดก็เพราะอาศัยอํานาจแหงบทบัญญัติของกฎหมาย เทาน้ัน กลาวคือ กลุมบุคคล องคกร หรือกองทุนท่ีประกอบธุรกิจหรือกิจกรรมกับบุคคลอ่ืนและประสงคจะมี สถานะเทา เทยี มในการมแี ละใชส ทิ ธติ า ง ๆ ในทางนติ กิ รรมสญั ญา กจ็ าํ เปน ตอ งมกี ฎหมายรบั รองใหเ ปน นติ บิ คุ คล เสยี กอน อาจจะเปน นติ ิบุคคลตามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย หรือกฎหมายอน่ื ๆ ก็ได เชน สหกรณเ ปน นิตบิ ุคคลเพราะพระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 37 วรรคสอง ซึ่งบญั ญัติกาํ หนดใหส หกรณท ่ไี ดจด ทะเบยี นแลว มฐี านะเปน นติ บิ คุ คล เปน ตน สว นใครจะเปน ผแู ทนนติ บิ คุ คลซง่ึ ตอ งมหี นา ทกี่ ระทาํ การแทนแสดงออก ถงึ ความประสงคข องนติ บิ คุ คลไดบ า ง ยอ มแตกตา งไปตามประเภทของนติ บิ คุ คลนน้ั ๆ ซง่ึ กฎหมายบญั ญตั ไิ วแ ตก ตางกันตามประเภทนิตบิ คุ คล เชน รัฐมนตรเี ปนผแู ทนของกระทรวง อธิบดเี ปน ผูแทนของกรมที่ตนสังกดั คณะ กรรมการของมลู นิธเิ ปนผแู ทนของมูลนิธิ กรรมการบรษิ ัทจาํ กัดเปนผูแทนของบริษทั จํากัด เจาอาวาสเปนผแู ทน ของวัด เปนตน สําหรับสหกรณน้ัน กฎหมายกําหนดใหคณะกรรมการดําเนินการสหกรณเปนผูแทนของสหกรณ แตอ ยา งไรกต็ ามการตง้ั ผแู ทนตอ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายทเี่ กย่ี วขอ งกบั นติ บิ คุ คลนน้ั ๆ หรอื ตอ งทาํ ตามตราสารหรอื ขอ บงั คบั ของนิตบิ ุคคลแตละประเภท ในสวนของคณะกรรมการดาํ เนินการสหกรณยอมตอ งมาจากการเลอื กต้ัง โดยที่ประชุมใหญ และคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณดงั กลา วนน้ั ตอ งประกอบไปดว ยประธานกรรมการหนึ่ง คนและกรรมการอ่ืนอีกไมเกินสิบส่ีคน ซ่ึงแตกตางจากผูแทนของนิติบุคคลอื่น ๆ เชน กรรมการบริษัทจํากัด กฎหมายกําหนดแตเพียงวา ใหมี “กรรมการ” หน่ึงคนหรือหลายคนดวยกันจัดการตามขอบังคับของบริษัท และอยูในความครอบงําของที่ประชุมแหงผูถือหุนทั้งปวง11 ผูเปนกรรมการจะพึงมีจํานวนมากนอยเทาใดใหสุด แลวแตท่ีประชุมใหญจะกําหนด12 ขอ แตกตา งท่เี หน็ ไดชดั คอื องคป ระกอบของคณะกรรมการดาํ เนินการสหกรณ มีสองสวน สวนที่หนึ่งคือ “ประธานกรรมการ” ซึ่งมีไดเพียงหนึ่งคน สวนท่ีสองคือ “กรรมการอื่น” ซึ่งมไี ดไมเกนิ สิบส่ีคนท้งั สองสวนตางไดรบั การเลือกตงั้ แยกจากกนั โดยเด็ดขาดจากท่ีประชุมใหญเชน เดียวกนั ดังน้ันเมื่อใดที่ประธานกรรมการวางลงไมวาจะเปนเพราะขาดคุณสมบัติ หรือถึงแกกรรม หรือลาออก ความเปน คณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณก ห็ มดไปเชน กนั จะเรยี กประชมุ คณะกรรมการกไ็ มไ ดแ มจ ะครบองค ประชมุ เพราะไมค รบองคป ระกอบ กรรมการอน่ื ทเ่ี หลอื กไ็ มอ าจดาํ เนนิ กจิ การและเปน ผแู ทนสหกรณอ นั เกย่ี วกบั 11 ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 1145 12 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 1150

70 บคุ คลภายนอกไดเ ลย แตต รงกนั ขา มในกรณกี รรมการอนื่ วา งลงคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณก ส็ ามารถดาํ เนนิ กิจการและเปนผูแทนสหกรณอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอกไดหากยังมีกรรมการเพียงพอที่จะเปนครบองคประชุม ความเปนคณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณย ังคงมีอยเู พราะครบองคประกอบ ในกรณีกรรมการดําเนินการสหกรณวางลงซ่ึงมิใชกรณีพนตามวาระ เชน ลาออก ถึงแกกรรมกรรม ขาดคุณสมบัติ หรือถูกที่ประชุมใหญถอดถอน13 หากยังมีจํานวนที่เปนองคประชุมได สหกรณอาจไมเลือกต้ัง กรรมการดําเนินการเขามาทดแทนก็ได แตในกรณีท่ีมีการเลือกกรรมการดําเนินการสหกรณแทนตําแหนงท่ีวาง ใหก รรมการดาํ เนนิ การสหกรณท ไ่ี ดร บั เลอื กอยใู นตาํ แหนง เทา กบั วาระทเ่ี หลอื อยขู องผทู ตี่ นแทน14 แตก รณที นี่ าย ทะเบยี นสหกรณส ง่ั ใหก รรมการดาํ เนนิ การสหกรณพ น จากตาํ แหนง ใหพ น จากตาํ แหนง ตามมาตรการทางกฎหมาย มหาชน เพราะคณะกรรมการดําเนินการสหกรณกระทําการหรืองดเวนกระทําการในการปฏิบัติหนาท่ีของตน จนทาํ ใหเ สอื่ มเสยี ประโยชนข องสหกรณห รอื สมาชกิ หรอื สหกรณม ขี อ บกพรอ งเกย่ี วกบั การเงนิ การบญั ชี กจิ การ หรือฐานะการเงิน15 นายทะเบียนสหกรณอาจต้ังคณะกรรมการชั่วคราวซ่ึงมิไดกําหนดวาจะตองมีจํานวนเทาใด เพอื่ ทําหนาทเ่ี ปนคณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณ โดยใหอยูในตาํ แหนงไดไมเ กินหนึ่งรอยแปดสบิ วนั และกอน ที่จะพนตําแหนง ใหคณะกรรมการช่วั คราวจัดประชมุ ใหญเ พ่ือเลอื กต้ังกรรมการดาํ เนินการสหกรณข ้ึนใหม1 6 แต กรณีที่นายทะเบียนสหกรณส่ังใหกรรมการบางคนพนจากตําแหนง ใหคณะกรรมการดําเนินการสหกรณสวนที่ เหลือเรียกประชุมใหญเลือกต้ังผูเปนกรรมการแทนภายในสามสิบวันนับแตวันท่ีกรรมการพนตําแหนง ถามิได เลอื กต้ังหรอื เลือกตงั้ ผูเ ปน กรรมการไมไ ดตามกาํ หนดเวลา ใหน ายทะเบียนสหกรณต้ังสมาชกิ เปนกรรมการแทน ในการนใ้ี หผ ซู ง่ึ ไดร บั การเลอื กตงั้ หรอื แตง ตง้ั นน้ั อยใู นตาํ แหนง กรรมการเทา กบั วาระทเี่ หลอื อยขู องผซู งึ่ ตนแทน17 นอกจากพระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 บัญญัตกิ ารตั้งกรรมการดาํ เนินการสหกรณไ วเ ปน พิเศษใน กรณที ่ีมเี หตุใหก รรมการดาํ เนนิ การสหกรณวา งลงเฉพาะกรณตี ามมาตรา 24 และ 25 ซึง่ ตองดาํ เนินการไปตาม นน้ั ดงั กลาวมาแลว ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ยยังบัญญัติใหอ ํานาจศาลตั้งผูจัดการชัว่ คราวของนติ ิบุคคล หากปรากฏวา มตี าํ แหนง วา งลงในจาํ นวนผแู ทนนติ บิ คุ คลและมเี หตอุ นั ควรเชอื่ วา การปลอ ยตาํ แหนง วา งไวน า จะ เกดิ ความเสียหายขึ้นได เมื่อมีผูมีสว นไดส ว นเสียคนใดคนหนง่ึ หรอื พนกั งานอัยการรองขอตอ ศาล ศาลจะแตง ตัง้ ผจู ดั การชว่ั คราวขนึ้ กไ็ ด1 8 ซง่ึ หมายถงึ หากประธานกรรมการดาํ เนนิ การวา งลงอนั เปน เหตใุ หไ มค รบองคป ระกอบ คณะกรรมการ หรือกรรมการวางลงจนไมค รบองคประชมุ สมาชกิ หรอื พนกั งานอยั การอาจรองขอใหศาลแตง ตั้ง กรรมการดาํ เนินการตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 73-75 ดังกลาว ได อํานาจกระทําการแทนสหกรณของคณะกรรมการดําเนินการสหกรณ ในพระราชบัญญัติสหกรณ 13 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 52 14 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 50 วรรคสี่ 15 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 22 16 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 24 17 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 25 18 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 73

71 พ.ศ.2542 กําหนดแตเ พยี งวาใหค ณะกรรมการดาํ เนินการสหกรณดําเนินกจิ การและเปน ผแู ทนสหกรณอนั เกยี่ ว กับบุคคลภายนอก เพ่ือการน้ีคณะกรรมการดําเนินการสหกรณจะมอบหมายใหกรรมการหนึ่งคนหรือหลายคน หรือผูจัดการทําการแทนก็ได19 ซ่ึงเปนบทหลักท่ีกรรมการดําเนินการตองคํานึงถึงเปนอยางย่ิงโดยเฉพาะในการ มอบอํานาจของคณะกรรมการ ถึงแมวากฎหมายจะใหนําบทบัญญัติวาดวยตัวแทนแหงประมวลกฎหมายแพง และพาณิชยมาใชบงั คบั แกความเกย่ี วพันระหวา งนิติบคุ คลกบั ผูแทนของนิติบคุ คล และระหวา งนิตบิ คุ คล หรือผู แทนของนติ บิ คุ คลกบั บคุ คลภายนอก เพราะพระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 บญั ญตั ไิ วโ ดยเฉพาะแลว วา คณะ กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณจ ะมอบอาํ นาจใหไ ดก แ็ ตก รรมการหรอื ผจู ดั การเทา นน้ั การจะไปมอบอาํ นาจใหบ คุ คล อนื่ ทาํ การแทนจาํ ทําไมไ ด และจะใหผ รู ับมอบอาํ นาจมีอาํ นาจมอบตวั แทนชวงดว ยก็ย่ิงไมไ ดเ ลยเพราะกฎหมาย จํากัดตัวผูรับมอบอํานาจวาอนุญาตใหแกกรรมการสหกรณและผูจัดการสหกรณเทานั้น นอกเหนือจากน้ันตอง พิจารณาตอไปอกี วาขอ บงั คบั หรือระเบยี บตา ง ๆ ของสหกรณกาํ หนดอํานาจหนา ทไ่ี วอ ยา งไรบา ง เพราะเมอ่ื ใด ทห่ี นา ทกี่ ย็ อ มมคี วามรบั ผดิ ตดิ ตามมา เมอื่ ใดทม่ี อี าํ นาจเมอ่ื นน้ั ยอ มตอ งมคี วามรบั ผดิ ชอบในการใชด ลุ ยพนิ จิ ดว ย เชน ความไมสุจริตและความประมาทเลินเลอในการใชดุลยพินิจจนเกิดความเสียหายแกสหกรณ แมพระราช บญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มไิ ดบ ญั ญัติไวถงึ ความรับผิดของคณะกรรมการดาํ เนินการสหกรณไ ว ก็หาใชจ ะไมมี กฎหมายใชบังคับเสียท่ีเดียว หลักกฎหมายเก่ียวสิทธิและหนาท่ีของบุคคลและนิติบุคคลน้ันถูกรวบรวมไวใน ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย และหากเมอ่ื ไมม บี ทกฎหมายใดทย่ี กมาปรบั คดไี ด ใหว นิ จิ ฉยั คดนี นั้ ตามจารตี ประเพณีแหงทองถิ่น ถาไมมีจารีตประเพณีเชนวานั้น ใหวินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกลเคียงอยางย่ิง และถาไมมีบทกฎหมายเชนนั้นก็ไมมีดวย ใหวินิจฉัยตามหลักกฎหมายท่ัวไป20 ดังนั้นคณะกรรมการดําเนินการ สหกรณซ่ึงมีหนาที่ในการกระทําการแทนสหกรณจะตองปฏิบัติตามหลักทั่วไปสําหรับการจัดการนิติบุคคลดังที่ บญั ญตั ิไวใ นประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย บรรพ 1 หลกั ทวั่ ไป หมวด 2 นติ บิ คุ คล สวนที่ 1 บทเบด็ เสร็จ ทัว่ ไป ตามท่ีกลา วมาแลว และยังตองใชก ฎหมายแบบเทยี บเคยี ง (Analogy) โดยเทียบเคียงกับ บรรพ 3 ลักษณะ 22 หุน สว นบริษทั หมวด 4 บริษัทจํากดั เทา ท่ไี มขดั หรือแยงกบั พระราชบญั ญัติสหกรณ พ.ศ.2542 ดวย ซง่ึ ใน บางสว นสามารถนาํ มาใชก บั กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณไ ด หากสหกรณม ไิ ดม ขี อ กาํ หนดไวเ ปน ประการอนื่ ในขอ บังคับหรือตราสารจัดต้ังหรือโดยกฎหมาย เชน ในกรณีประโยชนไดเสียของสหกรณขัดกับประโยชนไดเสียของ กรรมการดําเนินการสหกรณ กรรมการดําเนินการสหกรณผูนั้นจะกระทําการแทนสหกรณไมได21 หรือกรณีท่ี นติ บิ คุ คลมผี แู ทนหลายคน การดาํ เนนิ กจิ การของนติ บิ คุ คลใหเ ปน ไปตามเสยี งขา งมากของผแู ทนนติ บิ คุ คล22 หรอื ขอปรกึ ษาซง่ึ เกิดเปน ปญหาในการประชมุ กรรมการนัน้ ใหช ขี้ าดตดั สนิ เอาเสยี งขา งมากเปน ใหญ ถาและคะแนน 19 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 51 20 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 4 วรรคสอง 21 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 74 22 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 71

72 เสียงเทากัน ใหผูเปนประธานเปนผูออกเสียงชี้ขาด23 สวนการจัดการทรัพยสินและธุรกิจดังกลาวภายในขอบ วตั ถปุ ระสงคแ ละขอ บงั คบั ของนติ บิ คุ คลนน้ั ในกรณที ผ่ี ลประโยชนไ ดเ สยี นติ บิ คุ คลขดั กบั ผลประโยชนไ ดเ สยี ของ ผูแทนนิติบุคคลในการอันใด ผูแทนของนิติบุคคลน้ันจะเปนผูแทนในการอันน้ันไมได24 กรรมการหรือผูจัดการ ยอ มไมม อี าํ นาจเปน ผแู ทนนติ บิ คุ คลเพอื่ ทาํ การนนั้ ๆ นอกจากนนั้ ถา มขี อ จาํ กดั หรอื แกไ ขเปลย่ี นแปลงอาํ นาจของ ผูแทนนิติบุคคลใหมีผลตอเมื่อไดปฏิบัติตามกฎหมาย ขอบังคับ หรือตราสารจัดต้ังแลว25 นิติบุคคลนั้นตองแจง บุคคลภายนอกทราบดวย มิฉะน้ันจะยกขอจาํ กัดอํานาจน้ีข้นึ เปน ขอ ตอสบู ุคคลภายนอกผทู ําการโดยสุจรติ หาได ไม และถาการกระทําตามหนา ทีข่ องผูแทนของนิตบิ คุ คลหรอื ผมู ีอาํ นาจกระทําการแทนนิตบิ คุ คลเปน เหตใุ หเ กดิ ความเสยี หายแกบ คุ คลอน่ื นติ บิ คุ คลนนั้ ตอ งรบั ผดิ ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนแกค วามเสยี หายนน้ั แตไ มส ญู เสยี สทิ ธิ ทจ่ี ะไลเ บยี้ เอาแกผ กู อ ความเสยี หาย ถา ความเสยี หายแกบ คุ คลอนื่ เกดิ จากการกระทาํ ทไ่ี มอ ยใู นขอบวตั ถปุ ระสงค หรืออํานาจหนาที่นิติบุคคล บุคคลดังกลาวท่ีไดเห็นชอบใหกระทําการน้ันหรือไดเปนผูกระทําการดังกลาวตอง รวมกันรับผิดชอบชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูที่ไดรับความเสียหายน้ัน26 เวนแตการดังกลาวไดกระทําไปไดรับ อนมุ ตั ิของทป่ี ระชมุ ใหญแลว27 ตอนท่ี 3 กฎหมายที่เกี่ยวของการดําเนินงานการสหกรณ ในพระราชบัญญัติสหกรณมีสวนสําคัญท่ีคณะกรรมการดําเนินการสหกรณตองศึกษาในอีกสองเร่ือง ซง่ึ ตอ งแยกออกจากกนั ใหช ดั เจน คอื “การสหกรณ” ทง้ั นเ้ี นอ่ื ง คณะกรรมการตอ งดาํ เนนิ การสหกรณอ นั ประกอบ ดวย “งานสหกรณ” กับ “กิจการสหกรณ” เพราะนอกจากคณะกรรมการดําเนินการสหกรณตองรบั ผดิ ชอบการ ดําเนินงานสหกรณตอสมาชิกสหกรณน้ันแลว ยังตองดําเนินงานสหกรณภายใตการกํากับดูแลของเจาหนาท่ีรัฐ อนั ประกอบไปดว ยนายทะเบยี นสหกรณ รองนายทะเบยี นสหกรณ ผตู รวจการสหกรณ ผสู อบบญั ชหี รอื พนกั งาน เจา หนาทีซ่ ึ่งนายทะเบียนมอบหมาย เพื่อใหสหกรณด าํ รงคงอยไู ดอ ีกดว ยซงึ่ ในสว นน้เี ปนเรอ่ื งของการตรวจสอบ โดยรัฐเปนสําคญั ดงั จะเหน็ ไดจากบทบัญญัติที่วา “นายทะเบียนสหกรณ รองนายทะเบยี นสหกรณ ผูต รวจการ สหกรณ ผูสอบบัญชีหรือพนักงานเจาหนาท่ีซ่ึงนายทะเบียนมอบหมาย มีอํานาจออกคําสั่งเปนหนังสือ ใหคณะกรรมการดําเนินการสหกรณ ผูตรวจสอบกิจการ ผูจัดการ เจาหนาที่ หรือหรือเชิญสมาชิกสหกรณ มาช้ีแจงขอเท็จจริงเก่ียวกับกิจการสหกรณ หรือใหสงเอกสารเก่ียวกับการดําเนินงาน หรือรายงานการประชุม ของสหกรณได2 8” จึงเห็นไดวาในกรณีท่ีเปนกิจการสหกรณนั้นเจาหนาท่ีรัฐไมอาจขอดูเอกสารทางธุรกรรมหรือ สญั ญาตา งๆ ของสหกรณไ ดเ พราะจะกลายเปน วา เจห นา ทข่ี องรฐั เขา ไปลว งรคู วามลบั ทางธรุ กจิ ของสหกรณแ ละ สมาชิกสหกรณท่ีทําธุรกิจกับสหกรณได ซ่ึงเปนเร่ืองตองหามในทางธุรกิจและถือเปนการละเมิดสิทธิของผูอ่ืน 23 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 1161 24 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 74 25 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 72 26 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 76 27 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 1170 28 พระราชบัญญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 17

73 ในทางตรงกนั ขา มหากเปน เรอ่ื งของงานสหกรณเ จา หนา ทขี่ องรฐั สามารถขอดเู อกสารทเี่ กยี่ วขอ งกบั งานสหกรณ ไดท ง้ั หมด ปญ หาทตี่ อ งศกึ ษาตอ ไปกค็ อื อยา งไรทเี่ รยี กวา งานสหกรณ อยา งไรทเ่ี รยี กวา กจิ การสหกรณ เพราะเปน เร่ืองที่คณะกรรมการดําเนนิ การสหกรณจะตอ งมีความรับผิดชอบทแี่ ตกตางกนั ดังนัน้ ในตอนที่ 3 นจ้ี ึงจะกลาว สง่ิ ทีเ่ รยี กวา งานสหกรณเ สียกอน สวนในตอนที่ 4 จะไดถึงกจิ การสหกรณตอ ไป งานสหกรณเ ปน งานทวี่ า ดว ยจดั ระบบสหกรณเ พอื่ พฒั นาไปสคู วามมน่ั คงใหส หกรณค งอยซู งึ่ กฎหมายได กําหนดวิธีการดําเนินงานไวเปนมาตรฐานเดียวกันอยูแลว ท้ังไดมอบหมายใหเจาหนาที่รัฐมีอํานาจสงเสริม ชวยเหลือ แนะนําและกํากับดูแลสหกรณใหเปนไปตามบทแหงพระราชบัญญัติสหกรณและกฎหมายอื่น โดยสามารถกําหนดระบบบัญชีและมาตรฐานการสอบบัญชีและแบบรายงานตาง ๆ ที่สหกรณตองยื่นตอนาย ทะเบียนสหกรณ รวมทั้งการแทรกแซงสหกรณดวยการออกคําส่ังใหมีการตรวจสอบหรือไตสวนการดําเนินงาน หรอื ฐานะการเงนิ การสง่ั ระงบั การดาํ เนนิ งานทง้ั หมดหรอื บางสว น หรอื ใหง ดเวน กระทาํ การอนั อาจจะกอ ใหเ กดิ ความเสยี หายแกส หกรณห รอื สมาชกิ 29 ฉะนนั้ จงึ อาจแบง งานสหกรณไ ดต ง้ั แตก ารกาํ หนดใหม คี ณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณเปนผูบริหารสหกรณ30 ใครเปนผูแทนของสหกรณ31 การจัดทําขอบังคับ32 การแกไขขอบังคับ33 การจัดทําทะเบียนสมาชิกและทะเบียนหุน34 การจัดทําบัญชี การบันทึกรายการในบัญชีและการลงบัญชี35 การจดั ทาํ งบดลุ 36การจดั ทาํ รายงานประจาํ ปแ สดงผลการดาํ เนนิ งาน37 การเกบ็ รกั ษาเอกสาร38การประชมุ สมาชกิ 39 การจัดสรรกําไรสุทธิ40 และการจัดการกับทุนสํารองและเงินของสหกรณ41 เปนตน ดังนั้น กระบวนการและ ข้ันตอนตาง ๆ ในงานสหกรณลวนถูกกําหนดไวในพระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 เกือบทั้งหมด บางกรณี ท่ียังไมกฎหมายยังบัญญัติไวก็เปนหนาที่ของนายทะเบียนสหกรณท่ีจะออกระเบียบกําหนดแนวทางใหสหกรณ และคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณป ฏบิ ตั ิ รวมตลอดถงึ การตรวจสอบขอ และรบั จดั ทะเบยี นบงั คบั ของสหกรณ4 2 29 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 16 30 พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 50 31 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 51 32 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 43 33 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 44, 59 34 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 64 35 พระราชบัญญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 65 36 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 66 37 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 67 38 พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 68 39 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 54-60 40 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 60 41 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 61, 62 42 พระราชบญั ญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 44

74 หากสหกรณม ปี ญ หาเกยี่ วกบั การตคี วามขอ บงั คบั ใหข อวนิ จิ ฉยั จากนายทะเบยี นสหกรณ และใหส หกรณถ อื ปฏบิ ตั ิ ตามคาํ วนิ ิจฉยั นั้น43 งานสหกรณด งั ทยี่ กมาขา งตน จะมคี วามสมั พนั ธก บั ความรบั ผดิ ชอบของคณะกรรมการดาํ เนนิ การสหกรณ เพราะพระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 ไดบญั ญตั ิกาํ หนดขอบเขตของความรับผิดชอบเปนลาํ ดบั ช้ัน ซึ่งหาก ไมดําเนินการตามท่ีกําหนดอาจถูกมาตรการทางกฎหมายมหาชนตั้งแตการตรวจสอบ การไตสวนได การสั่งให ระงับการดําเนินงาน จนกระท่ังการเขาแทรกแซงของเจาหนาท่ีรัฐโดยการใหคณะกรรมการหรือกรรมการคนใด พนจากตําแหนงหรือการส่ังใหหยุดดําเนินการ44 หรือรองทุกขหรือฟองรองแทนสหกรณในกรณีท่ีกรรมการ ผจู ัดการ หรอื เจาหนา ท่ีของสหกรณท าํ ใหสหกรณเ สยี หายถาสหกรณไ มรอ งทกุ ขหรอื ฟองคด4ี 5 เปน ตน แตท ง้ั นี้ เจาหนาท่ีของรัฐก็ตองไมลืมวากิจการสหกรณเปนกิจการของประชาชน ทุนท้ังหมดเปนของประชาชน เพอ่ื ประโยชนท างเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนโดยการดาํ เนนิ การของประชาชน รัฐเปน แตเพยี งผูมหี นาที่ สงเสริมสนับสนุนและคุมครองเทาน้ัน46 สหกรณมิใชทรัพยสินหรือกิจการของรัฐหรือเปนรัฐวิสาหกิจ เจาหนาท่ี รัฐจึงตองพึงระมัดระวังในการใชอํานาจเขาไปดูแลและไมควรใชอํานาจไปกํากับการดําเนินงานของสหกรณเกิน จําเปนเพื่อปองกันความเสียหาย แตอยางไรก็ตาม หากการใชมาตรการทางกฎหมายมหาชนและการแทรกแซง ของรัฐดังกลาวเปนไปโดยไมถูกตองชอบธรรม คณะกรรมการดําเนินการสหกรณท้ังคณะหรือเปนรายบุคคล หรือสหกรณยังสามารถใชสิทธิดําเนินการตามพระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 คือการอุทธรณคําสั่งตอ คณะกรรมการพัฒนาการสหกรณแหงชาติ47 หรือดําเนินการพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติทางปกครอง พ.ศ.2539 และในทา ยทส่ี ดุ กค็ อื การดาํ เนนิ การฟอ งรอ งตามพระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลปกครอง พ.ศ.2542 ตอ ไป จงึ อาจกลา ว โดยสรุปไดวาคณะกรรมการดําเนินการสหกรณควรทําความเขาใจงานสหกรณตามที่พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 วามีเรื่องใดบางและมีขั้นตอนลําดับของการปฏิบัติอยางไร เชน การจัดสรรกําไรสุทธิประจําปของ สหกรณ ตองจัดสรรเปนทุนสํารองไมนอยกวารอยละสิบของกําไรสุทธิเสียกอน จากนั้นจึงจัดสรรเปนคาบํารุง สันนิบาตสหกรณแหงประเทศไทยตามอัตราท่ีคณะกรรมการพัฒนาสหกรณกําหนด จากน้ันจึงไปจัดสรรเปน เงินปนผล เงินเฉล่ียคืน โบนัส และสุดทายจึงเปนทุนสะสมเพ่ือดําเนินการอยางหน่ึงอยางใดของสหกรณ ตามทีก่ าํ หนดในขอ บงั คับ48 ตอนที่ 4 กฎหมายท่เี กี่ยวของการดําเนินกจิ การสหกรณ พระราชบญั ญตั สิ หกรณพ.ศ.2542กาํ หนดวตั ถปุ ระสงคข องการจดั ตง้ั สหกรณใ นเชงิ อดุ มการณไ วว า เพ่อื ประโยชนทางเศรษฐกจิ และสังคมของบรรดาสมาชิกโดยวธิ ีชวยตนเองและชวยเหลอื ซ่งึ กนั และกัน มกี จิ การ 43 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ. 2542 มาตรา 45 44 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 21-25 45 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 20 46 รัฐธรรมนญู แหง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 85 47 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 26 48 พระราชบัญญัติสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 60

75 รวมกันตามประเภทของสหกรณที่ขอจดทะเบียน49 โดยใหดําเนินกิจธุรกิจ การผลิต การคา การบริการ และอุตสาหกรรมเพ่อื ประโยชนข องสมาชกิ การจดั สวสั ดิการสงเคราะหต ามสมควรแก สมาชกิ และครอบครวั ใหค วามชว ยเหลอื ทางวชิ าการแกส มาชกิ รบั ฝากเงนิ ออมทรพั ยใหก ูใหส นิ เชอื่ ใหยืม ใหเชา ใหเชาซ้ือ โอน รับจํานองหรือรับจํานําซ่ึงทรัพยสินแกสมาชิกหรือของสมาชิก จัดใหไดมา ซ้ือ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิ ใหสหกรณอ่ืนกูยืมเงิน หรือดําเนินกิจการอยางอื่นบรรดาท่ีเก่ียวกับหรือเนื่องใน การจัดใหสําเร็จตามวัตถุประสงคของสหกรณ50 นอกจากนั้นยังกําหนดวิธีดําเนินกิจการในหลักการไววา ใหสหกรณท่ีมีวัตถุประสงคเพ่ือการขายหรือแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรท่ีสมาชิกผลิตข้ึน พิจารณาซื้อหรือ รวบรวมผลผลผลิตจากสมาชิกกอนผูอื่น51 จึงเห็นไดวาสหกรณน้ันสามารถดําเนินกิจการไดมากมายทําไดเกือบ ทุกประเภทเพ่ือใหสําเร็จตามวัตถุประสงคของสหกรณ แตอยางไรก็ควรเปนไปตามวัตถุประสงคของประเภท สหกรณด ว ย มใิ ชดาํ เนินการในทุกเรอ่ื งทั้งทสี่ หกรณไมม คี วามพรอ มและความสามารถ เพราะนอกจากจะไมเ กดิ ประโยชนแ กส หกรณอาจนาํ มาซง่ึ ความเสียหายแกสหกรณไ ดเชน กัน กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ งกบั การบรหิ ารกจิ การสหกรณเ ปน กฎหมายทว่ี า ดว ยการประกอบธรุ กจิ และการดาํ เนนิ กิจกรรมทางดานธุรกรรมการเงินเปนหลัก โดยจะกลาวถึงวิธีการตามท่ีกฎหมายกําหนดรายละเอียดของการทํา นิติกรรมสัญญาในธุรกิจที่สหกรณสามารถดําเนินการได และตองปฏิบัติตามหลักเกณฑที่กําหนดไวในประมวล กฎหมายแพง และพาณชิ ยเ ปน สาํ คญั แตจ ะกลา วถงึ เฉพาะในสว นทจ่ี าํ เปน พอสงั เขปเทา นน้ั เพอื่ ใหเ กดิ ความเขา ใจ ในหลกั กฎหมายทีจ่ ะนําไปปฏิบตั แิ ละบรหิ ารกจิ การสหกรณต อ ไป เม่ือกลาวถึงการบริหารสินเชื่อซ่ึงเปนเรื่องของการประกอบธุรกิจการใหกูยืมเงินจึงตองเขาใจกฎหมายท่ี วา ดว ยการธรุ กรรมการเงนิ จงึ ขอเรมิ่ ตน ตง้ั แตห ลกั คดิ ของการใหส นิ้ เชอ่ื และกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ งกบั สนิ เชอ่ื ไปจน จบกระบวนการบังคับชําระหนี้ โดยจะกลาวถึงวิธีการตามท่ีกฎหมายกําหนดรายละเอียดของการทํานิติกรรม สัญญาในธุรกิจท่ีสหกรณสามารถดําเนินการได และตองปฏิบัติตามหลักเกณฑท่ีกําหนดไวในประมวลกฎหมาย แพง และพาณชิ ยเ ปน สาํ คญั แตจ ะกลา วถงึ เฉพาะในสว นทจี่ าํ เปน พอสงั เขปเทา นน้ั เพอ่ื ใหเ กดิ ความเขา ใจเชงิ ระบบ ซ่ึงสามารถนาํ ไปปฏิบตั ิบริหารสนิ เช่อื ในสหกรณต อไป (ก) การใหส้ินเช่อื ดว ยการกยู มื เงิน สญั ญากยู มื เงนิ เปน เอกเทศสญั ญาซง่ึ บญั ญตั ไิ วใ นประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยอยใู นเรอื่ งยมื ใช ส้ินเปลือง เปนสญั ญาซ่งึ บุคคลฝายหน่งึ ซง่ึ เรียกวา “ผกู ”ู ไดย ืมเงินจาํ นวนหนึง่ ไปจากบคุ คลอกี ฝา ยหนึ่งซึ่งเรยี ก 49 พระราชบญั ญตั สิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 33 50 พระราชบัญญัตสิ หกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 46 51 พระราชบญั ญตั ิสหกรณ พ.ศ.2542 มาตรา 63

76 วา “ผใู หก ู” โดยมขี อ ตกลงวา ผกู ูจะตอ งคนื จํานวนเงินที่ผกู ูไ ดยืมไปจากผูใหก ู ภายในระยะเวลาท่ีกาํ หนดตกลง กันไว โดยผูกูยินยอมเสียดอกเบีย้ ใหแ กผ ใู หกูตามอัตราทตี่ กลงกันไวแ ตไมเ กินอตั ราทก่ี ฎหมายกาํ หนด ท้งั นเี้ พื่อ ปองกันการเอารัดเอาเปรียบโดยใชความออนแอทางการเงินและความจําเปนเดือดรอนของผูกูมาเปนการสราง ประโยชนแ กผ ูใหก นู น่ั เอง แตใ นการใหก ูเงินในระดับสถาบันการเงนิ การพิจารณาใหกูย มื เงินหรอื ไมน ้นั มีขอแตก ตางจากการกูยืมเงินระหวางบุคคลธรรมดาดวยกัน ท้ังน้ีเน่ืองจากสถาบันการเงินตองการความแนนอนของการ ไดเ งนิ ตน คนื ครบถว นภายในเงอื่ นไขทกี่ าํ หนด และในขณะเดยี วกนั วตั ถปุ ระสงคข องสถาบนั การเงนิ แตล ะประเภท ยังมีวัตถุประสงคของการใหกูตางกัน เชนธนาคารท่ัวไปจะใหกูโดยมีวัตถุประสงครวมเพื่อประโยชนทางการคา ของผใู หก เู ปน สาํ คญั แตธ นาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณย งั เนน ยอ ยลงไปทก่ี ารผลติ ทางดา นเกษตรกรรมและ การรวมตัวของกลุมเกษตรกรในรูปสหกรณเปนหลัก หรืออยางธนาคารอาคารสงเคราะหก็จะเนนวัตถุประสงค ของการกูเพ่ือท่ีอยูอาศัยเปนหลัก สวนสถาบันการเงินอื่นอาจมุงหมายเฉพาะการใหกูยืมเงินเพื่อการจัดหายาน ยนตพ าหนะ เปน ตน คาํ ถามจึงอยูท ว่ี าแลว สหกรณก าํ หนดวตั ถุประสงคของการกูยืมไวอ ยางไร เพราะหากเขา ใจหลักการตรง นไ้ี ดย อ มทาํ ใหก ารกยู มื เงนิ ระหวา งสหกรณก บั สมาชกิ เกดิ ประโยชนส งู สดุ ทงั้ สองฝา ย เพราะโอกาสทจี่ ะเสย่ี งเปน หน้ีเสยี นั้นจะมนี อย ซ่งึ อาจแบง เปน ขอพิจารณาในการกยู มื เงนิ ดงั ตอ ไปนี้ 1. สมาชกิ กเู งินไปเพื่อการอันใด โดยปกตกิ ารกเู งนิ ของสมาชกิ สหกรณก เ็ พอื่ การอนั จาํ เปน ในทางทกี่ อ ใหเ กดิ ประโยชนท างเศรษฐกจิ และ สงั คมของสมาชกิ นน้ั ยอ มหมายความวา สมาชกิ ควรกเู งนิ จากสหกรณไ ปเพอ่ื เปน ทนุ ในการกอ ใหเ กดิ รายไดป ระการ หนงึ่ และอกี ประการหนง่ึ กอ็ าจเพอ่ื การอนั จาํ เปน ในครอบครวั ซงึ่ กรณนี อี้ าจกอ ใหเ กดิ รายไดก อ ไดห รอื ไมเ กดิ ราย ไดก็ได แตทั้งหลายท้ังปวงตองเพื่อประโยชนทางเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิกสหกรณและครอบครัวนั้น แตในทางปฏิบัติ กลุมสหกรณออมทรัพยมักจะเนนไปท่ีความจําเปนของสมาชิกมากกวาการกอใหเกิดรายได ซง่ึ ตา งไปจากกลมุ สหกรณก ารเกษตร หนเี้ งนิ กสู ว นใหญข องสหกรณอ อมทรพั ยจ งึ เปน หนที้ ไี่ มก อ ใหเ กดิ รายไดแ ก สมาชิก บางคร้ังอาจกลายเปนการนําเงินไดในอนาคตมาบริโภคในปจจุบันเกินสมควร จนทําใหหลายคนหมด อนาคตหรือเสียอนาคตท่ีงดงามไปเสียเลยทีเดียว ดังน้ันคณะกรรมการเงินกูควรตองเพ่ิมความสําคัญในการ พิจารณาประเด็นหลักนี้เสียกอนวากูไปเพ่ือการอันจําเปนจริงๆ หรือไมหรือเพียงเปนขออาง หรือเพ่ือการสราง รายไดท เ่ี ปน ไปไดจ รงิ หรอื ไม ถา เปน กรณเี พอ่ื หารายได กรรมการเงนิ กกู ต็ อ งสามารถวเิ คราะหค วามเปน ไปไดแ ละ ความเสย่ี งในการลงทุนไดด วย เพราะกรรมการสหกรณมีหนาทสี่ รา งมนั่ คงแกสมาชิก ชว ยเหลือสนบั สนุนให

77 สมาชกิ มชี วี ติ ความเปน อยทู ด่ี ขี นึ้ และดแู ลวนิ ยั การเงนิ ของสมาชกิ ภายใตก รอบอดุ มการณแ ละวธิ กี ารสหกรณ มใิ ชเ พยี งแค “ตรายางทางการบรหิ าร” 2.เงือ่ นไขในการชาํ ระหนี้ เงอื่ นไขในการชาํ ระหนใ้ี นทนี่ ห้ี มายถงึ ความสามารถของลกู หนท้ี จ่ี ะคนื เงนิ กแู กส หกรณภ ายในระยะเวลา และอตั ราท่สี หกรณกาํ หนดไดหรือไม เง่ือนไปดังกลาวประกอบไปดวย 2.1 ความสามารถในการชาํ ระหนี้ของสมาชกิ 2.2 ความสามารถในการดาํ รงชพี ของสมาชิกและครอบครัว เง่ือนไขท้ังสองประการถือวาเปนปจจัยสําคัญในการพิจารณาใหกูยืมเงินระบบสหกรณซึ่งแตกตางกับ สถาบันการเงินอ่ืนที่มุงเนนความสามารถในการชําระหน้ีเพียงประการเดียว แตสหกรณตองพิจารณาทั้งสอง ประเด็นประกอบกัน เพราะนั่นคือคุณภาพชีวิตของสมาชิกท่ีสหกรณหรือกรรมการดําเนินการสหกรณตอดูแล รักษาเอาไวใหได หากขาดไปประเด็นหน่ึงประเด็นใดโอกาสที่หน้ีจะสูญก็มีมาก ความมั่นคงในชีวิตสมาชิกก็จะ ลดนอ ยถอยลง จงึ เปน หนา ทข่ี องกรรมการดาํ เนนิ การทจ่ี ะตอ งดแู ล มใิ ชว า สมาชกิ จะอยไู ดห รอื ไม ไมส าํ คญั ขอให สหกรณไดรับชาํ ระหนี้เปน อันเพียงพอ 3. หลักประกันในการชาํ ระหนี้ เมอื่ พิจารณาตามหัวขอ ท่ี 1 และท่ี 2 แลว ประเดน็ สดุ ทา ยท่ีตองพจิ ารณาคอื ความมนั่ ใจของสหกรณต อ ลกู หนวี้ า สามารถทจี่ ะดาํ เนนิ การบรหิ ารการเงนิ ของตนเองตอ ความผกู พนั และหนา ทที่ ส่ี มาชกิ สหกรณม ตี อ สหกรณ ไดเ พยี งใด เพราะอนาคตเปน สง่ิ ทไ่ี มแ นน อนไมว า สหกรณจ ะวเิ คราะหเ หตปุ จ จยั แหง การกยู มื ไวด เี พยี งใด แตก ย็ งั มคี วามเสย่ี งอยบู า ง เชน กรณกี ารเสยี ชวี ติ ของสมาชกิ ลกู หนโี้ ดยเฉพาะลกู หนบี้ างรายอาจไมม ที รพั ยส นิ ใดทพี่ อจะ เปนทรัพยมรดกไวเพ่ือรับผิดชอบตอเจาหน้ีโดยเฉพาะสหกรณซึ่งเปนของคนหมูมาก ดังน้ันความจําเปนในการ พจิ ารณาในเรอ่ื งหลกั ประกนั กน็ าจะมอี ยูบ า ง และควรพิจารณาเปนรายๆ แลว แตกรณีไป แตใ นทางปฏิบัตเิ รามัก ตัง้ กตกิ าตายตวั จนบางครั้งทําใหเ กิดขอขดั ของอยูพอสมควร

78 เมอ่ื ไดแ นวคดิ ดงั กลา วขา งตน แลว หนั มาพจิ ารณาขอ ปฏบิ ตั ใิ นทางกฎหมายเพอ่ื ใหม ผี ลผกู พนั ทางหนา ท่ี ตอกัน ซึ่งโดยปกติแลวจะเนนไปที่พยานหลักฐานหรือการอางอิงที่ไมเลื่อนลอย เชนในการกูยืมเงินกวาสองพัน บาทขน้ึ ไปกฎหมายวางแนวทางปฏบิ ตั ไิ วว า ถา มไิ ดม หี ลกั ฐานแหง การกยู มื เปน หนงั สอื อยา งใดอยา งหนง่ึ ลงลายมอื ช่ือผูยืมเปนสําคัญ ทานวาจะฟองรองบังคับคดีหาไดไม5 2 หลักฐานแหงการกูยืมเงินนอกจากหนังสือสัญญากูยืม เงินตามปกติแลว อาจจะเปนบันทึกเปรียบเทียบของอําเภอมีขอความวาผูยืมไดยืมเงินไปและไดลงลายมือช่ือ กถ็ อื วา เปน หลกั ฐานแหง การกยู มื ได บนั ทกึ ประจาํ วนั ของพนกั งานสอบสวนทมี่ ขี อ ความชดั แจง ผยู มื รบั รองวา ได กยู มื เงนิ ของผใู หก ไู ปจาํ นวนเทา นนั้ เทา นจ้ี รงิ และผยู มื ไดล งลายมอื ชอ่ื ไวใ นทา ยบนั ทกึ กย็ อ มใชไ ด บนั ทกึ การหยา จดหมายท่ีมีขอความระบุชัดเจนวาเปนหน้ีแลวไดลงลายมือชื่อไว เอกสารเหลาน้ียอมถือไดวาเปนหลักฐานแหง การกูยมื เงิน สญั ญากูยมื แบงออกเปน 2 ชนิด คอื สัญญากยู ืมเงินทไ่ี มคิดดอกเบี้ยเปน สัญญาไมมคี าตอบแทนแตหาก ผิดนัดชําระหน้ีคืนตนเงนิ ก็อาจตองชําระดอกเบยี้ แหง การผิดนัดในอัตราทก่ี ฎหมายกาํ หนดคือรอ ยละ 7.5 ตอป นับแตวันผิดนัดชําระหนี้ กับ สัญญากูยืมเงินท่ีคิดดอกเบ้ียซ่ึงเปนสัญญาท่ีมีคาตอบแทนโดยคิดคาตอบแทน เปนดอกเบี้ยเงินกูโดยคิดตังแตวันที่กูยืมเงินซ่ึงเปนวันท่ีไดประโยชนจากเงินกูน้ัน สําหรับอัตราดอกเบ้ียเงินกู โดยปกตกิ ฎหมายหา มมใิ หค ดิ ดอกเบยี้ เกนิ รอ ยละสบิ หา ตอ ป หากมกี ารคดิ อตั ราดอกเบยี้ เกนิ รอ ยละสบิ หา ตอ ป5 3 ผูใหก จู ะมคี วามผิดทางอาญาตามพระราชบัญญตั ิ หา มเรียกดอกเบีย้ เกนิ อัตรา พ.ศ.2475 เงนิ สวนดอกเบ้ยี เกนิ อัตราเปนโมฆะตามกฎหมาย ผูใหกูไมมีสิทธิท่ีจะฟองใหผูกูชําระหน้ีในสวนดอกเบ้ีย แตถาหากคูสัญญาไมได ตกลงกนั ไวว า จะเรยี กเทา ใด ตอ งคดิ อตั ราดอกเบยี้ รอ ยละ 7.5 ตอ ป สว นในกรณกี ารกยู มื เงนิ จากธนาคาร สถาบนั การเงนิ อนื่ เชน บริษัท ทรสั ต หรือบริษทั เงนิ ทุน ซ่งึ มีขอ ตกลงกบั กระทรวงการคลงั กันเปน พเิ ศษ ก็อาจตกลงใน เรอื่ งดอกเบยี้ กนั นอกเหนอื ทกี่ ลา วขา งตน ได สาํ หรบั สหกรณน น้ั มปี ระกาศธนาคารประเทศไทยกาํ หนดใหเ รยี กได ไมเ กนิ รอ ยละสบิ เจด็ ตอ ป จงึ เปนขอ ยกเวน พิเศษจากกฎหมายแพง และพาณชิ ย นอกจากนัน้ กฎหมายยงั หา มคิด ดอกเบ้ียทบตนในการกูยืมเงิน เวนแตคูสัญญากูยืมจะตกลงกันใหเอาดอกเบี้ยคางชําระไมนอยกวาหนึ่งปน้ันทบ เขากบั เงนิ ตน แลว ใหคิดดอกเบี้ยเงินท่ที บเขา กนั น้นั ได แตการตกลงเชน วามาน้ตี องทําเปน หนังสอื 54กบั กรณีเปน การกูยืมเงนิ จากธนาคารหรือสถาบันการเงนิ อืน่ โดยวธิ เี บิกเงินเกินบญั ชเี ทา นน้ั ท่ผี ูใหก ูคิดดอกเบ้ยี ทบตนได โดยปกติในการกูยืมเงินท่ีไดทําเปนสัญญากูยืมเงิน ตองปดอากรแสตมปใหถูกตองตามกฎหมายดวย เชน ถา การกยู ืมเงินหรือตกลงใหเบิกเงนิ เกินบัญชจี ากธนาคารทกุ จาํ นวน 2,000 บาท หรอื เศษของ 2,000 บาท 52 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 653 วรรคแรก 53 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 654 54 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 655

79 แหงยอดเงินที่กูยืมหรือตกลงใหเบิกเงินเกินบัญชี คิดอากรแสตมป 1 บาท แตสหกรณไดรับการยกเวนตองปด อากรแสตมปในสัญญากูในกรณีที่สมาชิกกูยืมเงินจากสหกรณ หรือสหกรณกูยืมจากสหกรณ หรือจากธนาคาร เพอื่ การเกษตรและสหกรณก ารเกษตร สว นการชาํ ระหนแี้ กเ จา หนหี้ รอื ไมน น้ั กฎหมายกาํ หนดแนวทางในการทล่ี กู หนพี้ สิ จู นว า ตนไดช าํ ระในการกู ยมื เงนิ มีหลักฐานเปน หนังสอื นน้ั จะนาํ สบื การใชเ งนิ ไดตอเม่ือมหี ลักฐานเปน หนังสอื อยางใดอยา งหนึ่งลงลายมอื ชื่อผูใหยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเปนหลักฐานแหงการกูยืมไดเวนคืนแลว หรือไดแทงเพิกถอนลงในเอกสาร นน้ั แลว 55 (ข) หลกั ประกันความเสยี หายในการกูเงิน ดังกลาวมาแลววา เพ่ือใหเจาหนี้มคี วามมัน่ ใจวา จะตอ งไดร บั ชําระหนค้ี ืนจากลูกหนแ้ี นน อน เจา หนีย้ อม จะเรยี กรอ งหลกั ประกนั เพอ่ื ปอ งกนั ความเสยี หายทอี่ าจเกดิ ขน้ึ ไดอ กี ชนั้ หนง่ึ หลกั ประกนั ดงั กลา วโดยทว่ั ไป มดี ว ย กนั 2 ชนิด หรือการประกนั ดวยบคุ คลแลการประกันดวยทรพั ย 1. การประกนั ดวยบคุ คล สญั ญาคํ้าประกนั คือ สัญญาซ่งึ บคุ คลภายนอกคนหน่งึ เรยี กวาผูค ํ้าประกนั ผกู พันตนตอ เจาหนค้ี นหนง่ึ โดยสญั ญาวา จะชาํ ระหนใี้ หแ กเ จา หนี้ ถา หากลกู หนไี้ มย อมชาํ ระหน้ี โดยตอ งมหี ลกั ฐานเปน หนงั สอื อยา งใดอยา ง หน่ึงลงลายมือชื่อของผูคํ้าประกัน จึงจะฟองรองบังคับคดีได56 มีผลใหเจาหนี้มีบุคคลสิทธิที่จะเรียกรองใหผูคํา ประกันชําระหน้ีไดโดยบังคับเอกาจากทรัพยสินทั่วไปของผูค้ําประกัน สัญญาคํ้าประกันเปนสัญญาอุปกรณ หมายถึง สัญญาประกอบกบั สญั ญาหลกั หรือสญั ญาประธาน ซ่งึ กค็ ือสญั ญากูย มื น่นั เอง ดังนน้ั การเกิดข้นึ และ ความเปนอยู รวมทั้งความสมบูรณของสัญญาคํ้าประกันน้ัน นอกจากจะตองขึ้นอยูกับความสมบูรณของสัญญา ค้ําประกันเองแลว ยังตองพิจารณาถึงความสมบูรณของสัญญาหลักหรือสัญญาประธานอีกดวย คือตองมีหน้ี ระหวางลูกหนี้กับเจาหนี้ และหนี้น้ันเปนหน้ีท่ีสมบูรณบังคับไดตามกฎหมายโดยหน้ีน้ันจะเกิดจากสัญญาหรือ ละเมิดก็ได หากสัญญาประธานเปนสัญญาท่ีไมสมบูรณ (โมฆะ) สัญญาคํ้าประกันอันเปนสัญญาอุปกรณก็จะมี ไมได5 7 เชน สัญญากตู กเปนโมฆะเพราะมีวตั ถุประสงคขดั ตอ กฎหมาย สญั ญาค้าํ ประกนั หนเ้ี งินกูนั้นยอ มใชไ มไ ด เชนกนั สัญญาคํา้ ประกันเปนสัญญาทไ่ี มต องมแี บบ แตสญั ญาคํ้าประกันตองมีหลกั ฐานเปน หนงั สอื ลงลายมอื ช่ือ ผูคํ้าประกนั เปนสาํ คัญ มิฉะน้นั จะฟองรอ งบังคับคดีไมได5 8 การฟองรองบังคับคดีไมไดนั้น หมายความวา เจาหนี้จะฟองใหผูคํ้าประกันชําระหน้ีแทนลูกหนี้ไมได หากไมม หี ลกั ฐานเปน หนงั สอื แตเ จา หนยี้ งั คงสามารถฟอ งใหล กู หนช้ี าํ ระหนตี้ ามมลู หนสี้ ญั ญาประธานได อยา งไร 55 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 653 วรรคสอง 56 ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 680 57 มาตรา 681 วรรคหนึ่ง 58 มาตรา 680 วรรคสอง

80 กต็ าม หนีป้ ระธานนอี้ าจเปนหนใ้ี นอนาคตก็ได เชน หน้ตี ามสัญญาเงินกูเบิกเงินเกินบัญชี หนีอ้ ันเกิดจากลูกจา ง ไปทําความเสยี หาย หรือหน้อี นั เกิดจากขาราชการลาไปศกึ ษาตอ ตางประเทศแลว ทําผดิ สัญญา เปน ตน สัญญาคํา้ ประกนั อาจแบง ออกเปน ก) สัญญาค้ําประกันอยางไมจํากัดจํานวน ลูกหนี้ตองรับผิดชดใชหน้ีใหแกเจาหน้ีเปนจํานวนเทาใด ผคู าํ้ ประกนั กต็ อ งชดใชใ หแ กเ จา หนใ้ี นจาํ นวนเทา กนั กบั ลกู หนดี้ ว ย59 คอื ตอ งรบั ผดิ ในตน เงนิ ดอกเบยี้ คา เสยี หาย ในการผดิ นดั ชาํ ระหน้ี คา ภาระตดิ พนั อนั เปน อปุ กรณแ หง หนรี้ ายนนั้ ดว ย60 ตลอดจนคา ธรรมเนยี มในการฟอ งรอ ง บงั คับคดีดวย แตถาเจา หนี้ฟอ งคดโี ดยมิไดเ รียกใหผ ูค้ําประกนั ชาํ ระหน้ีกอน ผูคําประกนั ไมต องรบั ผิดในคาฤชา ธรรมเนยี มเชน น้นั ไม6 1 ข) สัญญาคํ้าประกันจํากัดความรับผิด เปนสัญญาค้ําประกันที่ระบุจํานวนไววา จะรับผิดไมเกินจํานวน ตามทร่ี ะบไุ วเ ทา นนั้ ดงั นนั้ หากลกู หนผี้ ดิ นดั ไมช าํ ระหน้ี ผคู าํ้ ประกนั กจ็ ะใชห นดี้ งั กลา วแทนลกู หนเี้ ฉพาะเทา ทตี่ น ระบไุ วในสัญญาเทา นน้ั เมอ่ื ไดท าํ สญั ญาคาํ้ ประกนั แลว หากลกู หนผี้ ดิ นดั ไมช าํ ระหนเ้ี มอ่ื ใด เจา หนมี้ สี ทิ ธเิ รยี กใหผ คู า้ํ ประกนั ชาํ ระ หนไี้ ดเ มอ่ื นน้ั และเมอ่ื ผคู า้ํ ประกนั ไดช าํ ระหนใี้ หแ กเ จา หนไี้ ปแลว ยอ มมสี ทิ ธไิ ลเ บย้ี เอาคนื จากลกู หนไี้ ดเ ทา จาํ นวน ทต่ี นไดชดใชแ ทนลูกหน้ีไปแลว แมเ จา หนมี้ สี ทิ ธเิ รยี กรอ งใหผคู ้าํ ประกันชาํ ระหนี้ไดเม่ือลูกหนีผ้ ดิ นัด แตผ ูคา้ํ ประกนั กย็ ังสามารถเกยี่ งให เจาหนี้ไปรับชําระหน้ีจากทรัพยสินของลูกหน้ีกอนได หากผูค้ําประกันสามารถพิสูจนไดวาลูกหน้ีน้ันมีทางท่ีจะ ชาํ ระหนไี้ ด และการทจี่ ะบงั คบั ใหล กู หนีช้ าํ ระหนี้นนั้ ไมเ ปนการยาก62 อยา งไรกต็ าม ความรบั ผดิ ของผคู า้ํ ประกนั ในเมอื่ ลกู หนไ้ี มช าํ ระหนนี้ ้ี โดยปกตยิ อ มไมเ กนิ ความรบั ผดิ ของ ลูกหนี้63 ผูค ํ้าประกนั จะพน ความรบั ผดิ กต็ อเม่ือ 1. หนีข้ องลูกหน้ีระงับส้นิ ไปไมว าเพราะเหตุใด ๆ 2. ถาหน้ที ่คี ํ้าประกนั ไดก าํ หนดวันชําระหนี้ไวแนน อนแลว ผูค า้ํ ประกนั ไมจาํ ตองชําระหนก้ี อนถึงกาํ หนด เวลาชําระ64 และหากเจาหน้ียอมผอนเวลาใหแกลูกหน้ีอันจะตองชําระ ณ เวลามีกําหนดแนนอน ผูค้ําประกัน ก็เปนอนั หลดุ พน ความรบั ผดิ เวน แตผูค้ําประกนั ไดต กลงดวยในการผอนเวลา65 3. เมอ่ื หนถี้ งึ กาํ หนดชาํ ระแลว ผคู า้ํ ประกนั ขอชาํ ระหนแ้ี ทนลกู หนี้ ถา เจา หนไี้ มย อมรบั ชาํ ระหนผ้ี คู า้ํ ประกนั 59 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 682 60 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 653 61 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 684 62 มาตรา 689 63 คําพพิ ากษาฎีกาที่ 710/2499 หนา 551 64 ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 686 65 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 700

81 ก็เปนอนั หลุดพนจากความรับผดิ 66 4. เมื่อเจา หนเ้ี รยี กรอ งใหผูค ้ําประกันชําระหน้แี ลว ผูคํา้ ประกันมีสิทธดิ งั ตอ ไปนี้ คอื ผูค้าํ ประกนั มีสทิ ธิ จะขอใหเ จา หนไ้ี ปเรยี กใหล กู หนช้ี าํ ระหนก้ี อ นได เวน แตว า ลกู หนจ้ี ะถกู ศาลพพิ ากษาใหเ ปน คนลม ละลายเสยี แลว หรอื ไมป รากฏวา ลกู หนไ้ี ปอยหู างใดในพระราชอาณาจกั ร67 และแมว า เจา หนจี้ ะไดเ รยี กใหล กู หนช้ี าํ ระหนก้ี อ นแลว จงึ มาเรยี กใหผ คู า้ํ ประกนั ชาํ ระหนซี้ งึ่ ทาํ ใหผ คู า้ํ ประกนั ไมส ามารถใชส ทิ ธดิ งั กลา วแลว ไดก ต็ าม ถา ผคู าํ้ ประกนั พสิ จู น ไดว า ลกู หนน้ี นั้ มที างชาํ ระหนไี้ ดแ ละการทจ่ี ะชาํ ระหนน้ี น้ั ไมเ ปน การยาก ดงั นี้ เจา หนตี้ อ งไปบงั คบั ใหล กู หนชี้ าํ ระ หน้ีกอน สวนในกรณีที่เจาหนี้มีทรัพยของลูกหนี้ยึดถือไวเปนประกัน เมื่อผูคํ้าประกันรองขอเจาหน้ีจะตองเอา ทรัพยน้ันเปนการชําระหนีเ้ สยี กอน หากไมพ อชําระหนีจ้ งึ จะเรียกใหผูค ้ําประกนั ชาํ ระหนี้สวนท่เี หลือได6 8 ในกรณที ผี่ คู า้ํ ประกนั ไดช าํ ระหนใ้ี หแ กเ จา หนไ้ี ปแลว ยอ มมสี ทิ ธไิ ลเ บยี้ เอาคนื จากลกู หนี้ เทา จาํ นวนทต่ี น ไดช ดใชแ ทนลกู หนไี้ ปแลว รวมทง้ั ความเสยี หายอยา งใด ๆ อนั เกดิ จากการคา้ํ ประกนั เชน ผคู าํ้ ประกนั ไปกยู มื เงนิ มาใชหนี้ใหแกเจาหน้ีแลว ตองเสียดอกเบย้ี หรอื ผลประโยชนใ นตน เงนิ ทใ่ี ชแกเ จาหนี้ เชน ดอกเบีย้ นบั แตว ันท่ใี ช หนี้แกเ จาหนไ้ี ปจนกวา ลูกหนี้จะชําระหน้เี สรจ็ แกผ ูคา้ํ ประกัน เปนตน ถา เจาหน้ีมสี ิทธเิ หนือทรัพยสนิ ของลกู หน้ี เม่ือผูค้าํ ประกันไดชาํ ระหนี้ใหแกเ จา หนไี้ ปแลว ผคู า้ํ ประกนั ยอมรบั ชว งสิทธดิ งั กลาวไปดว ย69 2. การประกนั ดว ยทรัพยสนิ การประกันดว ยทรัพยส นิ แบงออกเปน 2 ประเภท คือ การจํานอง และการจํานาํ แตเน่อื งจากสหกรณ ไมไดรับจํานําทรัพยสินเพ่ือประกันการชําระหน้ีของสมาชิก ดังน้ันในเอกสารจะกลาวเฉพาะการจํานองเทานั้น จาํ นอง คอื สญั ญาซงึ่ บคุ คลหนง่ึ เรยี กวา ผจู าํ นองเอาอสงั หารมิ ทรพั ยข องตน หรอื สงั หารมิ ทรพั ยบ างชนดิ ทก่ี ฎหมาย อนญุ าตใหจ าํ นองได ไปจดทะเบยี นไวแ กบ คุ คลอกี คนหนึ่ง เรยี กวา ผรู บั จํานองเพอื่ เปน ประกันการชําระหน้ี ทง้ั น้ี โดยผูจํานองไมตอ งสง มอบทรัพยส นิ ดังกลาวใหแกผ รู บั จาํ นอง70 การจํานองอาจทําได โดยการเอาทรัพยสินของตนเองตราเปนประกันการชําระหนี้ของตนเอง หรอื ตราเปน ประกนั การชําระหนี้ของบคุ คลอน่ื ก็ได ทรพั ยท ีจ่ ํานองได มี 2 ประเภท คือ 1. อสังหาริมทรัพย เชน ทด่ี ิน บา น ส่ิงปลกู สรา ง 2. สังหารมิ ทรัพยพ เิ ศษ ไดแก เรือกําปนหรอื เรอื ที่มรี ะวางตง้ั แตหกตันข้นึ ไป เรอื กลไฟหรอื เรอื ยนตท่ีมี ระวางตง้ั แตห า ตนั ขน้ึ ไป แพ สตั วพ าหนะ เฉพาะสตั วพ าหนะทไี่ ดท าํ ตวั๋ รปู พรรณตามพระราชบญั ญตั สิ ตั วพ าหนะ 66 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 701 67 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 688 68 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 689 69 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 693 70 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 702

82 พ.ศ. 2482 แลว เทา นนั้ และสงั หารมิ ทรพั ยท กี่ ฎหมายบญั ญตั ใิ หจ ดทะเบยี นเฉพาะการ เชน เครอ่ื งจกั รขนาดใหญ ตามพระราชบญั ญัตเิ คร่อื งจักร พ.ศ. 2514 มาตรา 5 ซง่ึ อนญุ าตใหเ ครอื่ งจกั รทีไ่ ดจ ดทะเบียนกรรมสิทธ์ิ เปนตน สญั ญาจาํ นองตอ งทาํ เปน หนงั สอื และจดทะเบยี นตอ พนกั งานเจา หนา ทเ่ี สมอ มฉิ ะนนั้ ไมส มบรู ณ ซง่ึ ทาํ ให สัญญาจาํ นองตกเปน โมฆะ ฟองรอ งบงั คับคดีไมไ ด71 สําหรับวิธีการบังคับจํานอง เม่ือลูกหนี้ไมชําระหนี้น้ัน ผูรับจํานองตองมีจดหมายบอกกลาวไปยังลูกหน้ี กอนวาใหช าํ ระหนภ้ี ายในเวลาอนั สมควร ซ่ึงกําหนดไวใ นคาํ บอกกลาวและหากลูกหนีไ้ มช าํ ระหน้ีภายในกําหนด นน้ั ผรู บั จาํ นองจงึ จะฟอ งคดตี อ ศาลใหย ดึ ทรพั ยส นิ ทจ่ี าํ นองเอาออกขายทอดตลาดชาํ ระหนแี้ กต นได7 2 แตใ นขณะ เดยี วกนั ถา ผจู าํ นองไมป ระสงคจ ะใหท รพั ยส นิ ทจ่ี าํ นองนน้ั ตอ งถกู บงั คบั จาํ นองโดยการขายทอดตลาด ผจู าํ นองก็ มีสิทธิท่ีจะไถถอนจํานองได ถามีการจํานองซอนกันหลายราย ผูท่ีจดทะเบียนจํานองกอนยอมมีสิทธิไดรับชําระ หนกี้ อ นตามลาํ ดบั ไป73 ถา หนข้ี องผรู บั จาํ นองรายหลงั ถงึ กาํ หนดชาํ ระกอ น ผรู บั จาํ นองรายหลงั จะบงั คบั ตามสทิ ธิ ของตนใหเสยี หายแกผ ูรบั จํานองรายแรก ซ่งึ หนยี้ งั ไมถึงกาํ หนดชาํ ระไมได7 4 การไถถอนจํานอง ก็คือการท่ีผูจํานองชําระหน้ีท่ีคางชําระทั้งหมดใหแกผูรับจํานองไปเมื่อหน้ีระงับไป ทรัพยสินที่จํานองไวก ็จะหลุดพน จากภาระจํานอง ผรู บั โอนทรพั ยที่จาํ นองมีสทิ ธิชาํ ระหนี้เพอื่ ไถจาํ นองได หากผูจํานองเปนบุคคลภายนอกที่มิใชลูกหนี้แลว ผูจํานองยังมีสิทธิที่จะไดรับเงินใชคืนจากลูกหนี้ตาม จํานวนเงนิ ทช่ี ําระแทนลกู หนีไ้ ปดว ย75 อนึง่ ในการบงั คบั จํานองนน้ั ผรู บั จํานองไมต องคาํ นงึ วา ทรพั ยท่ีจาํ นองไวจ ะอยูในความครอบครองของ ใครหรอื ไดโ อนกรรมสทิ ธ์ไิ ปยังใครแลว กต็ าม สิทธจิ าํ นองยอมจะตดิ ไปกับตัวทรพั ยเ สมอ และผูรับจาํ นองยอมมี สิทธิไดรับชําระหน้จี ากทรพั ยส นิ ท่ีจาํ นองกอ นเจา หน้ีสามญั รายอ่ืนดวย อยา งไรกต็ าม ผรู ับจํานองมสี ทิ ธบิ ังคับจํานองไดเฉพาะทรัพยท่ีจดทะเบียนจํานองเทานน้ั จะไปบังคับถึง ทรัพยสินอ่ืน ๆ ท่ีไมไดจดทะเบียนจํานองไมไดเชน จํานองเฉพาะท่ีดินยอมไมครอบถึงโรงเรือนหรือบานท่ีปลูก ภายหลงั วันจํานอง เวน แตจ ะไดตกลงกันไวกอนวา ใหร วมถึงบานและโรงเรือนดงั กลา วดว ย จํานองเฉพาะบา นซ่งึ ปลกู อยใู นทด่ี นิ ของคนอนื่ กม็ สี ทิ ธเิ ฉพาะบา นเทา นน้ั นอกจากนน้ั จาํ นองยอ มไมค รอบคลมุ ถงึ ดอกผลแหง ทรพั ยส นิ ซึง่ จํานอง เชน จํานองสวนผลไมด อกผลทีไ่ ดจ ากสวนผลไมย ังคงเปนกรรมสิทธข์ิ องผจู าํ นองอยู สญั ญาจํานองอาจระงับไปดวยสาเหตุตาง ๆ ดงั น้คี ือ76 1. เมอ่ื หน้ีทป่ี ระกันระงบั ส้นิ ไป สัญญาจํานองเปนสัญญาซ่ึงมีข้ึนเพื่อประกันการชําระหนี้ท่ีเกิดขึ้นจากสัญญาประธาน 71 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 703 72 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 735 73 มาตรา 730 74 คาํ พิพากษาฎกี าท่ี 316/2504 หนา 303, ที่ 1711/2530 หนา 1324 75 มาตรา 724 76 มาตรา 744

83 เพราะฉะนนั้ เมอ่ื หนที้ เ่ี กดิ จากสญั ญาประธานระงบั สนิ้ ไป สญั ญาอปุ กรณก ย็ อ มระงบั สนิ้ ไปดว ย เชน การแปลงหนี้ ใหม ยอ มทาํ ใหห นเี้ ดมิ ระงบั สน้ิ ไป สว นประกนั ของหนเี้ ดมิ อนั เปน อปุ กรณแ หง หน้ี เชน จาํ นอง (ถา คสู ญั ญาในการ แปลงหน้ใี หมม ิไดต กลงเปนอยา งอ่นื ) ก็ยอมระงับไปดวยเชน กัน77 อยางไรก็ตาม หากหน้ีนั้นไมสามารถพิจารณาบังคับคดีไดเพราะขาดอายุความแลว ผูรับจํานอง ยังคง บังคบั ตามสญั ญาจาํ นองไดอยู 2. เมอื่ ปลดจาํ นองใหแกผ ูจํานองดวยหนงั สอื เปน สาํ คญั การปลดจาํ นอง คอื การทเ่ี จา หนีย้ อมสละสิทธิที่จะบังคับจํานองเอาแกท รัพยส ินท่จี ํานองนัน้ หรือกลาว งาย ๆ ก็คือ เปนกรณที ีเ่ จา หนี้ยินยอมสละหลกั ประกันในการที่จะไดรบั ชําระหน้ีไปนัน่ เอง แตต อ งสงั เกตดว ยวา การปลดจํานองเชนนี้หาทําใหหนี้เดิมซึ่งเกิดจากสัญญาประธานนั้นระงับไปไมการปลดจํานองท่ีจะมีผลตาม กฎหมายระหวางผูจํานองกับผูรบั จาํ นองน้ัน กฎหมายบังคบั ใหต องทําเปน หนงั สือ จะตกลงปลดจาํ นองใหแกกัน ดวยวาจาไมได และหากจะใหการปลดจํานองน้ัน มีผลตามกฎหมายถึงบุคคลภายนอกดวย ก็ตองนําหนังสือ ปลดจาํ นองนนั้ ไปจดทะเบียนตอ พนักงานเจาหนา ทดี่ วย78 3. เมื่อขายทอดตลาดทรพั ยสินซ่ึงจาํ นองตามคาํ สั่งศาลอันเนื่องจากการบังคับจาํ นอง ดังกลาวมาแลววา เม่ือหน้ีถึงกําหนดชําระและลูกหนี้ไมชําระหน้ี เจาหนี้ก็มีสิทธิที่จะบังคับจํานอง ตามกฎหมาย โดยผรู บั จาํ นองตอ งฟอ งบงั คบั จาํ นองตอ ศาล ขอใหศ าลมคี าํ สงั่ ใหน าํ ทรพั ยส นิ ทจี่ าํ นองนน้ี ออกขาย ทอดตลาด ดงั นก้ี ารจาํ นองก็จะระงับส้ินไป ทง้ั น้ี จะตอ งมกี ารจดทะเบยี นความระงบั แหง สญั ญาจาํ นองตอ พนกั งานเจา หนา ทดี่ ว ย จงึ จะมผี ลสมบรู ณ ตามกฎหมาย การดําเนนิ คดแี ละอายุความ โดยปกติ สหกรณย อ มมสี ทิ ธฟิ อ งสมาชกิ ผกู ใู หช าํ ระหนไ้ี ด เมอื่ ผกู ผู ดิ สญั ญาไมช าํ ระหนเี้ งนิ กู และอาจฟอ ง คูสมรสของผูก ดู ว ยในกรณีทเี่ ปนหน้รี วม เชนในกรณที ีค่ ูสมรสใหค วามยนิ ยอมหรอื ใหสัตยาบันในการกเู งินน้ัน ในสวนท่ีเกี่ยวกับอายุความ กฎหมายมิไดกําหนดเรื่องอายุความเพื่อการฟองรองคดีตามสัญญากูไวเปน พเิ ศษ จงึ ตอ งใชห ลักอายุความทวั่ ไป คืออายุความ 10 ป นับแตว ันทอ่ี าจบังคบั สิทธิเรียกรอ งได7 9 สวนการฟอง ดอกเบย้ี คา งชาํ ระ อายคุ วาม 5 ป เรมิ่ นบั แตว นั ครบกาํ หนดชาํ ระดอกเบยี้ ในงวดนน้ั ๆ80 สาํ หรบั การกยู มื เงนิ ทตี่ อ ง ผอ นทนุ คนื เปน งวดๆ นนั้ กฎหมาย กาํ หนดอายคุ วามไว 5 ป นบั แตว นั ครบกาํ หนดทจี่ ะตอ งชาํ ระของแตล ะงวด81 77 คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 1949/2516 หนา 2181 78 มาตรา 746 ; คาํ พิพากษาฎกี าที่ 802/2519 หนา 415 79 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 193/30 80 ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 193/33(1) 81 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 193/33(3)

84 ในเรอ่ื งอายคุ วามน้ี ตอ งระมดั ระวงั ในกรณที ผี่ กู ถู งึ แกค วามตาย เพราะเมอื่ ผกู ถู งึ แกค วามตายแลว กฎหมายไดย น อายุความในการเรียกรองลงเหลือแคเพียง 1 ปนับแตสหกรณไดรูหรือควรไดรูถึงความตายของผูกู82 ในกรณีนี้ สหกรณอาจตองเรียกใหทายาทของผูกูมาทําหนังสือรับสภาพหน้ีไวกอน เพ่ือปองกันมิใหคดีขาด อายคุ วาม เมื่อรับสภาพหนแี้ ลว ยอ มีผลใหอ ายคุ วามสะดดุ หยุดลง และเร่ิมนบั อายคุ วามใหมต ามมลู หนเี้ ดมิ ทั้งหมดที่กลาวมาขางตนน้ีเปนกฎหมายหลักท่ีเก่ียวของกับการดาํ เนินธุรกิจพื้นของ สหกรณออมทรัพย โดยท่ัวไป แตม ธี ุรกรรมอกี ประการหนึง่ ทเ่ี ก่ยี วขอ งดวยการลงทุน การแสวงหารายไดจากทุนสหกรณ เชน การให สหกรณอ่ืนกู หรือการขอกูเงินจากสหกรณหรือสถาบันการเงินอื่นมาเพ่ือใชจายในการดําเนินการของสหกรณ จะมกี ฎหมายทเี่ กย่ี วขอ งมากมาย วธิ งี า ยทส่ี ดุ เหน็ จะเปน ตอ งศกึ ษาประกาศของคณะกรรมการพฒั นาการสหกรณ แหงชาติเปนสําคัญ เพราะขอบังคับเหลานี้จะออกไดตองมีกฎหมายรองรับ ในช้ันน้ีไมอาจกลาวโดยละเอียดได ท้ังหมด กฎหมายท่ีเก่ียวของกับการบริหารคน ในท่ีน้ีจะเปนกฎหมายท่ีวาดวยการจัดการคนที่เปนลูกจางของ สหกรณสว นหนง่ึ อกี สวนหน่ึงทีต่ อ งทําความเขา ใจอยางมากก็คอื คนทเ่ี ปน สมาชิก ซึง่ หมายถึงสทิ ธิประโยชนของ สมาชกิ ทีส่ หกรณค วรจะจัดหาใหต ามหลักการสหกรณ ในสว นของการบรหิ ารคนที่เปน “พนกั งานสหกรณ” มกี ฎหมายท่ีตองทําความเขาใจอยู 2 ฉบบั ดวยกนั คือ กฎหมายคมุ ครองแรงงาน กับ กฎหมายประกันสังคม ซ่ึงสรปุ โดยยอ ดงั น้ี กฎหมายคมุ ครองแรงงาน เปน กฎหมายทวี่ า ดว ยการคมุ ครองมาตรฐานขนั้ ตาํ่ ในการทาํ งานของผใู ชแ รงงาน โดยกําหนดใหนายจางจัดสภาพการจางและสภาพการทํางานของลูกจาง หากไมปฏิบัติตามถือวาเปนละเมิดตอ รัฐและสงั คมดวย บางกรณนี อกจากจะตองจา ยคา ชดเชยแลว ยังมีโทษทางอาญาดว ย ดังน้ันผูท่กี รรมการดําเนนิ การสหกรณจะตองศึกษาเพ่ือดูแลพนักงานสหกรณของตนในเรื่องเวลาทํางานของลูกจาง การทํางานแบบปกติ และคา ลวงเวลา วนั หยดุ ประจาํ สปั ดาหห รอื ตามประเพณแี ละวนั หยดุ พกั ผอ นประจาํ ป การลาตา งๆ และสวสั ดกิ าร ตางๆ ใหเ ขาใจมฉิ ะน้ันแลวอาจกอใหเกดิ ปญหาแก สหกรณโดยไมจ ําเปน สําหรับกฎหมายประกันสังคมน้ัน เปนกฎหมายที่มุงเนนใหความชวยเหลือแกลูกจางที่ตองเจ็บปวยหรือ ไดรับอันตรายซ่ึงมิใชเกิดจากการทํางาน เพราะถาเปนเรื่องท่ีเก่ียวของกับการทํางานตองใชกฎหมายคุมครอง แรงงาน ดงั นัน้ เฉพาะการประกนั สังคมจงึ ตองเขา ใจในเบอ้ื งตนวา กจิ การใดหรือการจา งลูกจา งเทา ใดจงึ จะตอง เขา สรู ะบบประกนั สงั คม การเกบ็ เงนิ สมทบเปน อยา งไร ซงึ่ ในสว นนอ้ี าจไปเกย่ี วขอ งกบั การจดั การทรพั ยากรมนษุ ย 82 ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 1754

85 ของสหกรณด ว ย ในสวนของการบริหารคนที่เปน “สมาชิก” มีขอสังเกตทางกฎหมายท่ีพึงสังวรอยู 2 ฉบับดวยเชนกัน พระราชบญั ญตั ิประกันชวี ติ พ.ศ.2535 กับพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห พ.ศ.2517 เพราะที่สหกรณ จะสามารถดาํ เนนิ การไดเ พยี งใดในการจดั ใหม สี วสั ดกิ ารหรอื การสงเคราะหต ามสมควรแกส มาชกิ และครอบครวั โดยเฉพาะเกี่ยวกับการสงเคราะหสมาชิกหรือครอบครัวเม่ือสมาชิกหรือบุคคลในครอบครัวถึงแกความตาย ซึ่งเรื่องเหลาน้ีจะเขาไปเก่ียวของกับหนวยงานอื่นมากมายและอาจเกิดปญหาแกสหกรณในภายหลังได เพราะสหกรณไ มส ามารถประกอบกจิ การดงั กลา วไดเ ลย ทกี่ ลา วมาทงั้ หมดพอจะทาํ ใหเ หน็ ไดว า ผทู เ่ี ปน เจา ของสหกรณแ ละขนั อาสาเขา มาบรหิ ารกจิ การสหกรณ จาํ เปน ตอ งมคี วามรดู า นกฎหมายพอสมควรและมากกวา นน้ั คอื ตอ งรกู ฎหมายหลายฉบบั แตไ มจ าํ เปน ตอ งลกึ ซง้ึ ทง้ั หมด เพยี งแตข อใหรูหลกั ตา งๆ ทส่ี าํ คญั เทาน้ันกพ็ อ รายละเอยี ดสามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดใ นภายหลัง สว นท่ี ผูเขียนยังไมไดกลาวถึงก็คือเร่ืองของอายุความและการดําเนินคดีตาง ๆ ของสหกรณ เพราะมีรายละเอียด คอ นขา งมาก เอาแตเพียงวา กรรมการดําเนินการ สหกรณตองคอยตรวจสอบอยูเสมอวา หนี้ใดถงึ กําหนดชําระ หนใ้ี ดยงั เรยี กเกบ็ ไมไ ด กใ็ หร บี ดาํ เนนิ การทางกฎหมายโดยดว น เพอ่ื ปอ งกนั ความเสยี หาย สว นผลจะเปน อยา งไร เปนอีกเร่ืองหนึ่ง เพราะหนาที่ของกรรมการดําเนินการสหกรณคือการดูแลกิจการสหกรณใหเกิดความเสียหาย นอยทีส่ ดุ เทานน้ั เอง อยา งไรกต็ ามในการบรหิ ารสหกรณน นั้ หวั ใจทง้ั หาใชอ ยทู ก่ี ฎหมายแตเ พยี งประการเดยี ว แตต อ งยอมรบั วา ประเทศไทยน้นั เปนประเทศที่สภาพเปนนิติรัฐ คอื ทุกเรอื่ งตองเขยี นเปนบทกฎหมายเกือบทง้ั สิน้ และการนาํ ทุกเรื่องในกิจการสหกรณมาบัญญัติเปนกฎหมายทั้งหมดก็ทํามิได เพราะจะเกิดความแข็งกระดางไมยืดหยุน การตัดสินใจในการบริหารกิจการทั้งหมดของสหกรณตองอยูบนพ้ืนฐานของอุดมการณสหกรณและหลักการ สหกรณ ซง่ึ อดุ มการณส หกรณน เี้ องกถ็ กู นาํ มาเปน บทบญั ญตั หิ วั ใจของกฎหมายสหกรณโ ดยใหค าํ จาํ กดั ความของ สหกรณวา “คณะบุคคลซึ่งรวมกันดําเนินกิจการเพื่อประโยชนทางเศรษฐกิจและสังคมโดยชวยเหลือซึ่งกันและ กัน และจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติน้ี”83 รวมทั้ง “และตองมีวัตถุประสงคเพื่อสงเสริมผลประโยชนทาง เศรษฐกิจและสังคมของบรรดาสมาชิกโดยวิธีชวยตนเองและชวยเหลือซึ่งกันและกันตามหลักการสหกรณ”84 ฉะน้ันการบริหารกิจการสหกรณท้ังหมดจึงมุงเปาหมายแรกเพ่ือการพัฒนาชีวิตคนซึ่งหมายถึงความพัฒนาจาก พอมพี อกนิ ในระดบั ทหี่ นงึ่ ไปสรู ะดบั พอกนิ พอเกบ็ เปน ระดบั ทส่ี อง และสดุ ทา ยระดบั ทสี่ ามกค็ อื อยดู กี นิ ดมี สี ขุ ของ สมาชิกน่ันเอง เปาหมายที่สองอยูที่ความมั่นคงมากกวาความมั่งค่ังของสหกรณ หากสหกรณใดท่ีมุงหวังความ 83 พระราชบญั ญัตสิ หกรณ พ.ศ. 2542 มาตรา 3 84 พระราชบัญญตั สิ หกรณ พ.ศ. 2542 มาตรา 33

86 มงั่ คง่ั ของสหกรณเ ปน ลาํ ดบั แรก ผลทไ่ี ดร บั กค็ วามทกุ ขร ะทมของสมาชกิ นน่ั เอง และเมอื่ ใดทคี่ ณะกรรมการดาํ เนนิ การของสหกรณใชกรอบหลักการสหกรณท่ีกลาวมาขางตนเปนตัวตั้งในการบริหารกิจการสหกรณ นําเอามรรค วธิ แี หง นติ ธิ รรมเปน ตวั หาร แลว บวกหรอื ลบกบั สภาพแวดลอ มโดยทวั่ ไปพรอมดว ยความคดิ คาํ นงึ ของวฒั นธรรม องคก รแมของสหกรณ เชือ่ วา ผลลพั ธสุดทา ย คือประโยชนส งู สดุ ทไี่ ดจากการชว ยเหลอื ตนเองและการชว ยเหลอื ซึ่งกันและกันน่ันเอง สวนสหกรณใดจะทําไดหรือไมก็ตองเขาใจดวยวาหาใชกรรมการดําเนินการแตเพียงลําพัง เพราะปจ จยั แหง ความสาํ เรจ็ ทง้ั มวลจะขน้ึ อยทู ค่ี ณุ ภาพสมาชกิ เปน สาํ คญั เพราะสมาชกิ คอื ผทู เ่ี ปน เจา ของสหกรณ ซึ่งมีบทบาทมากท่ีสุดในการเลือกสมาชิกดวยกันเขามาทําหนาท่ีบริหารอุดมการณของมวลสมาชิกทั้งหมด ซงึ่ กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณจ ะผขู บั เคลอ่ื นใหส หกรณพ ลวตั รไปขา งหนา โดยมกี ลไกทขี่ าดเสยี มไิ ดค อื เจา หนา ท่ี สหกรณ เมื่อทราบดง่ั นีแ้ ลว ตองตอบคาํ ถามตอไปใหไ ดว า ณ เวลาน้ี “เรา” เปน ใครและตอ งมบี ทบาทในสหกรณ อยางไร แลวเราทําหนาท่แี ละมีบทบาทสมบูรณแ ลว หรือไม ถาคดิ วา ยงั ไมไ ดทําก็ทาํ เสียใหม ถาคิดวาไดทําแลวก็ ทําใหด ีที่สดุ ตอไป การสหกรณไ มใ ชเ รอื่ งยากทจ่ี ะศกึ ษาและเขา ถงึ แตใ นขณะเดยี วกนั การสหกรณก ไ็ มใ ชเ รอื่ งทใี่ หผ หู นง่ึ ผใู ด สามารถจะมงุ แสวงหาประโยชนไดเ พ่ือความร่ํารวยของตนเอง เพราะเปนเร่ืองท่ีไมอ าจทําไดโดยงาย และการท่ี จะเขา ไปเปน กรรมการดาํ เนนิ การสหกรณน บั แตบ ดั นเี้ ปน ตน ไปจะไมใ ชเ รอ่ื งของใครกไ็ ดต อ ไปแลว เพราะนน่ั เปน ความผดิ พลาดทางความคดิ ชนดิ ทไ่ี มค วรใหอ ภยั การสหกรณ ณ เวลานตี้ อ งการสมาชกิ ทม่ี คี วามสามารถในความ หลากหลายมารวมมือรวมคิดและรวมกันทําอยางจริงจัง การเปนที่สมาชิกสหกรณมีอุดมการณนอย เราก็ไมวากันเพราะอยางนอยสมาชิกผูน้ันเห็นคุณประโยชนของสหกรณอยูบางแลววาสหกรณนาเปนแสงสวาง และทางรอดของชีวิตสมาชิกได แตตรงกันขาม หากสมาชิกท่ีมีอุดมการณสหกรณไมครบถวนเขาเปนกรรมการ ดาํ เนนิ การณ สหกรณน นั้ กจ็ ะไมม พี ลงั เพยี งพอทจ่ี ะสง เสรมิ ผลประโยชนท างเศรษฐกจิ และสงั คมของบรรดาสมาชกิ ดวยวิธีการสหกรณเพ่ือใหสมาชิกไดอยูดีมีสุขในแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเปนพื้นฐานทางความคิดของ การสหกรณม าแตเดมิ กฎหมายเกย่ี วกบั การชลประทาน เปน กฎหมายทเี่ กดิ ขนึ้ เพอื่ สง เสรมิ และควบคมุ การชลประทานในสว นของรฐั ทไี่ ดจ ดั ทาํ ขนึ้ เพอ่ื ใหไ ดม าซงึ่ นา้ํ หรอื เพ่ือกัก เก็บ รกั ษา ควบคมุ สง ระบาย หรอื แบง น้าํ เพอ่ื เกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภค หรอื การอตุ สาหกรรม รวมถงึ การปอ งกนั ความเสยี หายอนั เกดิ จากนาํ้ และการคมนาคมทางนาํ้ ในเขตชลประทาน (คํานยิ ามมาตรา 4 “การชลประทาน”) ขอบเขตหรือพืน้ ที่ทีจ่ ะใชบงั คับไดแ กบริเวณใดบาง ไดแ กบริเวณที่เปนทางนา้ํ ชลประทาน เขตชลประทาน เขตงาน ทางน้าํ ชลประทาน เขตชลประทาน เขตงาน หมายความวาอยา งไร ทางนาํ้ ชลประทาน หมายความวา ทางนาํ้ ทร่ี ฐั มนตรวี า การกระทรวงเกษตรและสหกรณ ไดป ระกาศตาม

87 มาตรา 5 วาเปน ทางนาํ้ ชลประทาน (คาํ นิยามมาตรา 4) เขตชลประทาน หมายความวา เขตท่ีดินท่ีทําการเพาะปลูกซึ่งจะไดรับประโยชนจาก การชลประทาน (คาํ นิยามมาตรา 4) เขตงาน หมายความวา เขตท่ีดนิ ทใี่ ชใ นการสรา งและการบาํ รงุ รักษาการชลประทานตามทีเ่ จา พนักงาน ไดแ สดงแนวเขตไว (คํานยิ ามมาตรา 4) ทางนํ้าชลประทานท่รี ัฐมนตรีไดประกาศตามมาตรา 5 นนั้ มกี ี่ประเภทและเปน อยา งไร ทางนาํ้ ชลประทานตามมาตรา 5 ไดแ บง เปน 4 ประเภท ประเภท 1 คอื ทางนาํ้ ทใี่ ชใ นการสง ระบาย กกั หรอื กนั้ นาํ้ เพอ่ื การชลประทาน เชน คลองสง นา้ํ สายใหญ คลองสง น้ํา คลองซอยของโครงการชลประทาน ฯลฯ ประเภท2คอื ทางนา้ํ ทใ่ี ชใ นการคมนาคมแตม กี ารชลประทานรว มอยดู ว ยเฉพาะภายในเขตทไี่ ดร บั ประโยชนจากการชลประทานนั้น ซึ่งหมายถึงใชเพอ่ื การคมนาคมเปนหลัก ประเภท3คอื ทางนา้ํ ทสี่ งวนไวใ ชใ นการชลประทานเชน แหลง ตน นาํ้ ลาํ ธารเหนอื ระบบชลประทาน และเห็นวา แหลงน้าํ นี้มคี วามตอ งการท่ีจะใชง านชลประทานในภายหนา ประเภท4คอื ทางนาํ้ อนั เปน อปุ กรณแ กก ารชลประทานซงึ่ หมายถงึ เพอื่ ใหก ารชลประทานสมบรู ณ ย่งิ ขนึ้ เชน อา งเกบ็ นา้ํ หรือแหลงนา้ํ ธรรมชาตทิ ีม่ อี ยูแลว รฐั มนตรจี ะตอ งออกประกาศวา ทางนา้ํ ใดเปน ทางนาํ้ ชลประทาน และเปน ประเภทใด และตอ งลงประกาศ ในราชกจิ จานุเบกษาดว ยจงึ จะมีผลตามกฎหมาย ซึง่ ประชาชนจะอางวา ไมรูไมไ ด ขอหามท่ปี ระชาชนพึงรูวามีอยา งไร และหากฝา ฝนจะตอ งรับโทษอยา งไรบา ง 1. หามเรือยนต หรอื เรือกลไฟเดนิ ในทางน้ําชลประทานประเภท 1 เวน แตจะไดร บั หนังสืออนญุ าตจาก เจา พนักงานเปน คร้ังคราวตามความจาํ เปน (มาตรา 13 เบญจ) 2. หา มเรอื ยนต หรอื เรอื กลไฟรบั จา งขนสง คนโดยสาร หรอื สนิ คา หรอื รบั จา งลากจงู ในทางนา้ํ ชลประทาน ประเภท 2 เวน แตจ ะไดรบั อนญุ าตจากเจาพนกั งาน และเม่ือไดร ับอนญุ าตแลว ใหใชไ ดถงึ วนั ท่ี 31 ธนั วาคมของ ปที่ออกใบอนุญาต (มาตรา 13 เบญจ) 3. หามปดก้ันน้าํ ไวดวยวิธกี ารใดๆ จนเปน เหตุไมใ หนาํ้ ไหลไปสทู ดี่ ินใกลเ คียงหรอื ปลายทาง (มาตรา 20 วรรคหนง่ึ ) หามขดั คําสัง่ เจาพนกั งานท่ีไดแจงเปน หนงั สือใหเ ปดสง่ิ ที่ปด ก้ันนา้ํ ไว (มาตรา 20 วรรคสอง) 4. หามใชเครือ่ งมอื และวิธีการจบั สตั วน ํา้ ในทางนา้ํ ชลประทานประเภท 1 และประเภท 2 ดงั นี้ 4.1 ปก ซ้งั ต้ังสกุ ตัง้ กะบงั ตง้ั จิบ ตั้งล่ี เทียบหญากลา ใชเฝอกหรืออวนชนิดตางๆ 4.2ใชย อขนั ชอ หรอื เครอื่ งมอื จบั สตั วน าํ้ ประจาํ ทชี่ นดิ อน่ื ซงึ่ ยนื่ หรอื ลา้ํ จากแนวตลง่ิ เกนิ กวา 1ใน4 ของความกวางของทางนาํ้ สว นน้ัน 4.3 เครอ่ื งมอื จบั สตั วน า้ํ เคลอื่ นท่ี เชน แห สวงิ ชอ น สมุ ยอ โดยรวมหมู หรอื โดยวธิ ปี ระดาตงั้ แต 2 เครือ่ งมอื ขึ้นไป

88 5. หามจับสัตวนํ้าในเขตทางน้าํ ชลประทานประเภท 1 ประเภท 2 และประเภท 4 ดงั น้ี 5.1 ตามทางน้ําวัดจากเขื่อนระบาย หรือทาํ นบแตละดาน 1,000 เมตร 5.2 ตามทางน้ําวดั จากประตนู าํ้ ฝาย ประตูระบาย ทอเชือ่ ม หรือปูมแตล ะดาน 300 เมตร 5.3 ตามทางนาํ้ วดั จากทอ นํา้ แตละดาน 100 เมตร (ขอ 4 และขอ 5 กฎกระทรวงฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2509)) 6. หา มฝา ฝน ประกาศของเจา พนกั งานทต่ี ดิ ไวใ หท ราบถงึ การใชเ รอื แพ การใชน าํ้ การระบายนาํ้ หรอื การ อ่ืนในทางนํา้ ชลประทานประเภท 4 (มาตรา 16) 7. หามฝา ฝน เมอื่ เจาพนกั งานสัง่ ใหผ คู วบคมุ เรอื แพ ทผ่ี าน หรือจะผา นทางนา้ํ ชลประทาน ใหห ยดุ หรอื จอดเรือ แพ (มาตรา 13 ตรี (1)) 8. หา มไมใ หต น ไมรุกลํา้ ทางนํา้ ชลประทาน หรอื ทาํ ใหเ สยี หายแกก ารชลประทาน ถาเจา พนกั งานส่ังให ตดั หรอื นําตนไมไ ปใหพน เจา ของหรอื ผูค รอบครองท่ีดินนนั้ ตองปฏบิ ัตติ ามหา มฝาฝน (มาตรา 24) ผูที่ฝาฝนขอ หามตามขอ 1 - 8 จะมีความผดิ ตามกฎหมาย และตอ งรบั โทษจาํ คุกไมเ กินหนึง่ เดือน หรือปรับ ไมเ กินหนงึ่ พนั บาท หรือท้งั จําทั้งปรบั (มาตรา 36 ตร)ี 9. หา มปลูกสรา ง แกไข หรือตอเตมิ สิ่งกอสราง หรอื ปลกู ปกส่ิงใด หรือทําการเพาะปลูก รุกลา้ํ ทางน้ํา ชลประทาน ชานคลอง เขตคนั คลอง หรอื เขตพนัง เวนแตจะไดรบั อนญุ าตเปนหนังสอื จากนายชางชลประทาน (มาตรา 23 วรรคหน่ึง) 10. หามกระทําการใดอันเปนการกีดขวางทางน้ําชลประทาน เวนแตจะไดรับอนุญาตเปนหนังสือจาก นายชา งชลประทาน (มาตรา 25 วรรคหนงึ่ ) 11. หามทงิ้ ขยะมูลฝอย ซากสัตว ซากพืช เถา ถา น หรอื สง่ิ ปฏกิ ูลลงในทางนํ้าชลประทาน หรอื ทาํ ใหนาํ้ เปน อันตรายแกก ารเพาะปลกู หรือการบรโิ ภค (มาตรา 28 วรรคหนง่ึ ) 12. หา มกระทําการอยา งหนง่ึ อยางใดอนั จะทาํ ใหเ สยี หายแกค ันคลอง ชานคลอง ทํานบ พนัง หรอื หมดุ ระดับหลกั ฐานทใี่ ชในการชลประทาน (มาตรา 30) 13. หา มกระทําการอยางหน่ึงอยา งใดอนั จะเปน การกดี ขวางแกแนวทางท่ไี ดส ํารวจไว หรอื เขตงาน หรอื ทําใหแนวทางทไ่ี ดส าํ รวจไว หรือหมดุ หมายแสดงเขตงานคลาดเคลือ่ นหรือสญู หาย (มาตรา 31) ผทู ่ีฝา ฝนขอหา มตามขอ 9 - 13 จะมีความผิดตามกฎหมาย และตองรบั โทษจาํ คกุ ไมเกินสามเดือน หรอื ปรับ ไมเกนิ สองพนั บาท หรอื ทัง้ จาํ ทัง้ ปรบั (มาตรา 37 วรรคหน่งึ ) 14. หามปลอยนํ้าซ่ึงทําใหเกิดพิษแกนํ้าตามธรรมชาติ หรือสารเคมีเปนพิษลงในทางนํ้าชลประทาน จนอาจทาํ ใหน าํ้ ในทางนาํ้ ชลประทานเปน อนั ตรายแกเ กษตรกรรม การบรโิ ภค อปุ โภค หรอื สขุ ภาพอนามยั (มาตรา 28 วรรคสอง) ผูท่ีฝาฝน ขอหา มนี้จะตองรบั โทษจาํ คุกไมเ กินสองป หรอื ปรบั ไมเ กินหนงึ่ แสนบาท หรอื ท้งั จาํ ทั้งปรับ มาตรา 37 วรรคสอง 15. หามฝาฝนคําส่ังเจาพนักงานหรือนายอําเภอหรือผูทําการแทนนายอําเภอที่ไดสั่งใหเจาของหรือ

89 ผคู รอบครองทด่ี นิ หรอื ผทู าํ การเพาะปลกู บนพน้ื ทด่ี นิ ภายในบรเิ วณทไี่ ดร บั นาํ้ จากการสง นา้ํ หรอื สบู นา้ํ กระทาํ อยา ง หนึ่งอยางใดภายในระยะเวลาที่กําหนดเพื่อใหกักนํ้าไวไมใหไหลเสียเปลาจนเปนเหตุใหท่ีดินขางเคียงไมไดรับน้ํา ตามทค่ี วร (มาตรา 21) 16. หามฝาฝนคําสั่งเจาพนักงานเม่ือเจาพนักงานไดส่ังหามชักหรือใชน้ําในทางนํ้าชลประทาน เม่ือเห็น วา เปนเหตุท่ีจะกอ ใหเ กิดความเสียหายแกผูอ ื่น (มาตรา 35) ผทู ฝ่ี า ฝน ขอ หา มตามขอ 15 - 16 จะมคี วามผดิ ตามกฎหมาย และตองรับโทษจําคุกไมเกินสามเดือน หรือปรับไมเกินสอง พนั บาท หรือทั้งจาํ ทง้ั ปรบั (มาตรา 38) 17. หามนําหรือปลอยสัตวพาหนะลงไปในทางนํ้า ชลประทานประเภท 1 และประเภท 2 หรอื เหยยี บยา่ํ คนั คลอง ชานคลอง หรอื บรเิ วณสิง่ กอ สรา งอันเกีย่ วกบั การชลประทาน เวน แตใ นทที่ ไี่ ดก าํ หนดอนญุ าตไวห รอื ไดร บั อนญุ าตเปน หนงั สอื จากเจาพนักงาน (มาตรา 27) ผทู ฝ่ี า ฝน ขอ หา มนจี้ ะตอ งรบั โทษปรบั เรยี งตามตวั สตั วต วั ละหา บาทขนึ้ ไป แตไ มเ กนิ ตวั ละหา สบิ บาท (มาตรา 39) 18. หามขุดคลองหรือทางน้าํ มาเช่อื มกบั ทางนา้ํ ชลประทานหรือมาเช่ือมกบั ทางน้าํ อื่นท่เี ช่อื มกบั ทางนาํ้ ชลประทาน หรือกระทําการอยางหนึ่งอยางใดใหน้ําในทางนํ้าชลประทานรั่วไหล อันอาจกอใหเกิดการเสียหาย แกการชลประทาน เวนแตจะไดรับอนุญาตเปนหนังสือจากอธิบดี หรือผูท่ีอธิบดีมอบหมาย (มาตรา 26 วรรคหน่ึง) 19. หามทําใหประตนู า้ํ ฝาย เขือ่ นระบาย ประตรู ะบาย ทอนํ้า ทอ เชือ่ ม สะพานทางนํ้า ปมู เสาหรอื สาย โทรศัพททีใ่ ชใ นการชลประทานเสยี หายจนอาจเกดิ อนั ตรายหรอื ขดั ขอ งแกการใชส งิ่ ท่กี ลาวน้นั (มาตรา 29) ผทู ฝ่ี าฝน ขอ หามตามขอ 18 - 19 จะมคี วามผดิ ตามกฎหมาย และตองรับโทษจาํ คกุ ไมเ กนิ หาป หรือปรับไม เกินสองหม่ืนบาท หรอื ท้งั จาํ ทั้งปรับ (มาตรา 40) 20. หา มปด หรือเปด ประตูนา้ํ เขอื่ นระบาย ประตรู ะบาย ทอน้ํา ทอ เชอ่ื ม สะพานทางน้าํ ปูม หรอื ลาก เขน็ สาล่ใี นบริเวณทาํ นบหรอื ประตูระบาย (มาตรา 32) 21. หา มแกไ ข เปลยี่ นแปลง หรอื รือ้ ถอนบรรดาสง่ิ กอ สรา งอนั เกี่ยวกบั การชลประทาน (มาตรา 33) 22 . หา มขดุ ลอก ทางนา้ํ ชลประทาน อนั จะทาํ ใหเ สยี หายแกก ารชลประทานหรอื ปด กนั้ ทางนา้ํ ชลประทาน เวนแตจ ะไดรับอนญุ าตจากอธิบดี (มาตรา 34) ผูท่ีฝา ฝนขอ หา มตามขอ 20 - 22 จะมคี วามผิดตามกฎหมาย และตองรบั โทษจําคกุ ไมเ กินสองป หรือปรับ ไมเกนิ หนง่ึ หมืน่ บาท หรอื ท้งั จําทง้ั ปรบั (มาตรา 41) ทาํ ไมกฎหมายจงึ กาํ หนดขอ หา มมากมายเชนน้ี เพราะหากมีการฝาฝนขอหามตามกฎหมายจะเกิดผลกระทบตอการบริหารจัดการนํ้าทุกภาคสวนไมวา จะเปนภาคเกษตรกรรม อตุ สาหกรรม การอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอยางยิง่ สงผลกระทบตอความเปน อยูช วี ิต

90 ประจําวันของประชาชนโดยทั่วไปใหไดรับความเดือดรอนเสียหาย เชน หากมีการท้ิงของเนาเสีย สิ่งปฏิกูล หรือสงิ่ ท่ีเปน พิษลงในทางนาํ้ ชลประทานกจ็ ะเกิดผลกระทบตอ การอปุ โภคบรโิ ภค ของประชาชน และสรรพชวี ิต ในการดาํ รงชพี ดว ย กฎหมายคมุ ครองสิทธิของประชาชนดงั ตอ ไปนี้ 1. ไดรบั น้าํ เทาท่จี ําเปนโดยไมท ําใหกระทบสิทธบิ คุ คลอน่ื 2. ไดร บั นาํ้ เพอื่ ใชใ นกจิ การโรงงาน การประปา หรอื กจิ การอนื่ ในหรอื นอกเขตชลประทานซงึ่ กฎหมายได ใหอ าํ นาจรฐั ในการจดั เกบ็ คา นา้ํ ในการชลประทาน โดยในภาคอตุ สาหกรรมเกบ็ ไดไ มเ กนิ ลกู บาศกเ มตรละหา สบิ สตางค และภาคเกษตรกรรมไมเ กนิ ไรล ะ 5 บาทตอป สําหรบั ในภาคอตุ สาหกรรมรฐั มนตรไี ดออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 42 (พ.ศ. 2540) จดั เก็บคานาํ้ ไวแ ลวโดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 8 สว นภาคเกษตรกรรมยงั ไมมกี ารออก กฎกระทรวงในการจัดเก็บคา นํ้า 3. ถาใชน ํ้าเพือ่ กิจการสาธารณประโยชนไมตอ งชําระคา นา้ํ แตจะตองไดรับยกเวนเปน หนังสือจากอธิบดี กรมชลประทาน (กฎกระทรวงฉบับท่ี 42 (พ.ศ. 2540)) 4. มีสิทธิทําทางนํ้าผานที่ดินของผูอื่นไดในเม่ือนายชางชลประทาน ผูวาราชการจังหวัดหรือนายอําเภอ ไดอ นญุ าตและกาํ หนดใหโ ดยกวา งรวมทงั้ ทดี่ นิ ดว ยไมเ กนิ สบิ เมตร แตต อ งใชค า สนิ ไหมทดแทนใหแ กเ จา ของและ ผคู รอบครองที่ดนิ ที่ทางนํ้าน้นั ผา น (มาตรา 9 วรรคหนึง่ ) แตอยางไรก็ตาม แมจะไดสิทธิในการใชนํ้า แตหากมีกรณีฉุกเฉินหรือจําเปนเกี่ยวกับการบริหารจัดการ นา้ํ หรอื ปรมิ าณไมเ พยี งพอแกก ารจดั สง นา้ํ เพอื่ การเกษตร กรมชลประทานมอี าํ นาจสงั่ ให ผใู ชน า้ํ งดการสบู นาํ้ หรอื ชกั น้ําได แมจ ะเกดิ สิทธแิ ตห ากใชสทิ ธโิ ดยฝาฝน ตอกฎหมายกจ็ ะตอ งรบั โทษตามกฎหมาย เม่ือไดสิทธิในการไดรับอนุญาตใหใชน้ําในกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอ่ืนในหรือนอกเขต ชลประทานโดยตอ งชาํ ระคา นาํ้ ในอตั ราลกู บาศกเ มตรละหา สบิ สตางค หากไมช าํ ระในกาํ หนดเวลาจะตอ งรบั โทษ ปรับไมเกินสิบเทาของคาน้ําท่ีคางชําระ แตหากไดนําคาน้ําท่ีคางชําระ และเงินเพิ่มอีกหนึ่งเทาของคานํ้าที่คาง ชําระมาชําระใหแกเจาพนักงานภายในเวลาท่ีเจาพนักงานกําหนดใหแลว ใหยกเวนโทษปรับสิบเทาของคาน้ําที่ คางชําระนั้นเสีย (มาตรา 36) ซึ่งหมายความวา การท่ีไมนําคาใชนํ้ามาชําระตามกําหนด เจาหนาที่จะกําหนด ระยะเวลาใหนาํ เงินคา ใชน้าํ และเบย้ี ปรับอีกหนง่ึ เทามาชําระ ถา ยังไมช าํ ระอีกจะมีโทษปรบั 10 เทา จุดมุงหมายของการกําหนดโทษปรับไวในกฎหมายก็เพ่ือเปนการปองปรามมิใหเกิดหนี้ คางชําระคานํ้า อนั จะสง ผลใหร ะบบบรหิ ารจดั การนาํ้ ในภาพรวมเกดิ ความเสยี หาย ดงั นน้ั เพอ่ื ประโยชนใ นการบรหิ ารจดั การนา้ํ ไมใหเ กิดความเสียหายในภาพรวม แตก อ ใหเกิดประโยชนสูงสดุ ในทกุ ภาคสวน การ ใชน้าํ ประชาชนควรรว มมือ รวมใจไมป ฏบิ ตั ิผิดกฎหมาย

91 พระราชบัญญตั โิ รคระบาดสัตว พระราชบัญญัติ โรคระบาดสตั ว พ.ศ.2499                          ภูมพิ ลอดลุ ยเดช ป.ร. ใหไว ณ วันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2499 เปนปท 1่ี 1 ในรชั กาลปจ จบุ ัน พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช มพี ระบรมราชโองการโปรดเกลาฯ ใหป ระกาศวา โดยทเ่ี ปนการสมควรมกี ฎหมายวา ดว ยโรคระบาดสัตว จงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหต ราพระราชบญั ญัติขนึ้ ไว โดยคาํ แนะนาํ และยินยอมของสภาผแู ทนราษฎร ดังตอไปน้ี มาตรา1 พระราชบัญญตั ินเี้ รยี กวา “พระราชบญั ญัติโรคระบาดสัตว พ.ศ.2499” มาตรา2 พระราชบญั ญตั นิ ใี้ หใ ชบ งั คบั เมอ่ื พน กาํ หนดเกา สบิ วนั นบั แตว นั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน ตน ไป มาตรา3 ใหยกเลกิ (1) พระราชบญั ญัตโิ รคระบาดปศสุ ัตว และสัตวพ าหนะ พุทธศกั ราช2474 (2) พระราชบัญญตั โิ รคระบาดปศสุ ตั วและสัตวพ าหนะ แกไขเพ่ิมเติม พุทธศกั ราช 2478 และ (3) พระราชบญั ญตั โิ รคระบาดปศุสัตวแ ละสัตวพาหนะ (ฉบับท่ี3) พ.ศ.2497 ในกรณที มี่ บี ทกฎหมาย กฎ หรอื ขอ บงั คบั อนื่ ขดั หรอื แยง กบั บทแหง พระราชบญั ญตั นิ ้ี ใหใ ชพ ระราชบญั ญตั นิ บ้ี งั คบั แทน มาตรา 4 ในพระราชบัญญตั นิ ี้ “สตั ว” หมายความวา (1) ชา ง มา โค กระบือ ลา ลอ แพะ แกะ สกุ ร สนุ ัข แมว กระตาย ลิง ชะนี และใหหมายความรวมถึงนาํ้ เชื้อ สาํ หรบั ผสมพันธุ และเอม็ บริโอ (ตวั ออ นของสตั วท ่ียงั ไมเ จริญเตบิ โตจนถงึ ข้ันท่มี ีอวยั วะครบบรบิ รู ณ) ของสตั วเหลา น้ี ดวย (2) สัตวปก จาํ พวกนก ไก เปด หา น และใหห มายความรวมถึงไขสําหรับใชทาํ พันธุดว ย และ (3) สัตวช นิดอืน่ ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง “ซากสตั ว” หมายความวา รางกายหรอื สว นของรา งกายสัตวทตี่ ายแลว และยังไมไดแ ปรสภาพเปนอาหารสกุ หรือสิ่งประดิษฐสําเร็จรูป และใหหมายความรวมถึงงา เขา และขน ที่ไดตัดออกจากสัตวขณะมีชีวิตและยังไมไดแปร

92 สภาพเปนส่งิ ประดษิ ฐสาํ เรจ็ รูปดว ย “โรคระบาด” หมายความวา โรครินเดอรเปสต โรคเฮโมรายิกเซพติซีเมีย โรคแอนแทรกซ โรคเซอรา โรคสารตกิ โรคมงคลอ พษิ โรคปากและเทาเปอย โรคอหิวาตสกุ ร และโรคอนื่ ตามทีก่ าํ หนดในกฎกระทรวง “เจาของ” หมายความรวมถึงผคู รอบครอง ในกรณีท่เี ก่ียวกับสัตวเมอื่ ไมป รากฏเจาของ ใหห มายความ รวมถึงผเู ล้ียงและผคู วบคมุ ดว ย “ทาเขา ” หมายความวา ท่สี าํ หรบั นําสตั วและซากสตั วเขาในราชอาณาจักร “ทา ออก” หมายความวา ที่สําหรบั นําสัตวแ ละซากสตั วออกนอกราชอาณาจักร “ดานกกั สตั ว” หมายความวา ท่ีสําหรบั กักสัตวห รอื ซากสตั วเ พอื่ ตรวจโรคระบาด “การคา” หมายความวา การคา ในลกั ษณะคนกลาง “พนักงานเจาหนา ท”่ี หมายความวา ผซู ึง่ รัฐมนตรแี ตง ตงั้ “สารวัตร” หมายความวา สารวตั รของกรมปศุสัตว หรอื ผูซ ่ึงอธิบดแี ตง ต้ัง “นายทะเบียน” หมายความวา ผูซ่งึ รฐั มนตรีแตงตั้งเปนนายทะเบียน “สัตวแพทย” หมายความวา สตั วแพทยข องกรมปศสุ ัตว หรอื ผูซง่ึ รัฐมนตรีแตง ต้ัง “อธิบด”ี หมายความวา อธิบดกี รมปศุสตั ว “รัฐมนตร”ี หมายความวา รัฐมนตรีผูรักษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ี้ มาตรา5 พระราชบัญญัตินี้มิใหใชบงั คับในกรณเี กย่ี วกับสัตวข องกระทรวงกลาโหม และสวนราชการอ่นื ตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 6 สําหรับสนุ ัข แมว กระตา ย ลิง ชะนี รวมถึงนํ้าเชอื้ สําหรบั ผสมพนั ธสุ ตั วเหลา นี้ และสตั วป ก จาํ พวกนก ไก เปด หา น รวมถึงไขส าํ หรับใชทําพันธุ ใหพระราชบัญญัตนิ ใี้ ชบงั คบั เฉพาะการนําเขา นาํ ออกหรอื นําผา นราชอาณาจกั ร หรอื การอยางอนื่ ตามทกี่ ําหนดโดยพระราชกฤษฎีกา มาตรา 7 ใหรัฐมนตรีวาการกระทรวงเกษตรรักษาการตามพระราชบัญญัติน้ีและใหมีอํานาจแตงต้ัง พนกั งานเจา หนา ท่ี นายทะเบยี น และสตั วแพทย และออกกฎกระทรวงวางระเบยี บการขอและการออกใบอนญุ าต กําหนดคาธรรมเนียมไมเกินอัตราทายพระราชบัญญัตินี้ หรือยกเวนคาธรรมเนียมเฉพาะกรณี และ กําหนดการอ่ืนๆ เพอ่ื ปฏบิ ตั ิการตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี กฎกระทรวงนนั้ เม่อื ไดประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลว ใหใชบังคับได

93 หมวด 1 การปองกันโรคระบาด มาตรา 8 ในทอ งทที่ ย่ี งั มไิ ดป ระกาศเปน เขตปลอดโรคระบาดตามหมวด2 หรอื ในทอ งทท่ี ย่ี งั มไิ ดป ระกาศ เปน เขตโรคระบาด เขตสงสัยวา มโี รคระบาด หรอื เขตโรคระบาดชั่วคราวตามหมวด3 ถา มสี ตั วป ว ยหรอื ตายโดยรู วาเปนโรคระบาด หรือมีสัตวปวยหรือตายโดยปจจุบันอันไมอาจคิดเห็นไดวาปวยหรือตายโดยเหตุใด หรือใน หมบู า นเดยี วกนั หรอื ในบรเิ วณใกลเ คยี งกนั มสี ตั วต ง้ั แตส องตวั ขนึ้ ไปปว ยหรอื ตาย มอี าการคลา ยคลงึ กนั ในระยะ เวลาหางกันไมเกินเจด็ วนั ใหเ จา ของแจง ตอพนักงานเจา หนา ท่ี สารวัตร หรอื สัตวแพทยทองท่ีภายในเวลายีส่ ิบส่ี ชั่วโมงนบั แตเวลาท่ีสตั วปว ยหรือตาย ในกรณีที่สัตวปวยตามวรรคกอน ใหเจาของควบคุมสัตวปวยท้ังหมดไวภายในบริเวณที่สัตวอยู และหามมิใหเจาของหรือบุคคลอื่นใดเคลื่อนยายสัตวปวยไปจากบริเวณนั้น ในกรณีท่ีสัตวตายตามวรรคกอน ใหเจาของควบคุมซากสัตวน้ันใหคงอยู ณ ที่ที่สัตวนั้นตาย และหามมิใหเจาของหรือบุคคลอื่นใดเคล่ือนยาย ชําแหละ หรอื กระทําอยางใดแกซากสัตวนน้ั ถา พนกั งานเจาหนา ท่ี สารวัตร หรือสตั วแพทยไมอ าจมาตรวจซาก สตั วน ั้นภายในเวลาส่สี ิบแปดชว่ั โมงนบั แตเวลาท่ีสัตวน น้ั ตาย ใหเจาของฝงซากสัตวนั้นใตระดับผิวดนิ ไมนอยกวา หาสบิ เซนตเิ มตร สาํ หรับซากสตั วใ หญใหพูนดินกลบหลุมเหนอื ระดับผวิ ดนิ ไมนอ ยกวาหา สิบเซนตเิ มตรอกี ดวย มาตรา 9 เม่ือไดมีการแจงตามมาตรา8 หรือมีเหตุอันควรสงสัยวามีสัตวปวยหรือตายโดยโรคระบาด ใหพ นักงานเจาหนาที่ หรอื สารวัตร มีอาํ นาจออกคําสง่ั เปน หนังสือใหเ จา ของจดั การดังตอ ไปน้ี (1) ใหกักขัง แยก หรอื ยายสัตวปว ย หรอื สงสยั วาปว ยไวภายในเขต และตามวิธีการที่กาํ หนดให (2) ใหฝ ง หรอื เผาซากสตั วน นั้ ณ ทท่ี กี่ าํ หนดให ถา การฝง หรอื เผาไมอ าจทาํ ไดใ หส งั่ ทาํ ลายโดยวธิ อี น่ื ตาม ที่เหน็ สมควร หรือ (3) ใหก กั ขงั แยก หรอื ยายสตั วทอี่ ยรู วมฝงู หรอื เคยอยูรว มฝูงกับสตั วท่ปี วยหรือสงสัยวา ปวยหรอื ตาย ไวภายในเขต และตามวิธีการทีก่ าํ หนดให มาตรา 10 เม่ือไดมีการแจงมาตรา8 หรือตรวจพบ หรือมีเหตุอันควรสงสัยวาสัตวปวยหรือตายโดย โรคระบาด ใหส ตั วแพทยม อี าํ นาจเขา ตรวจสตั วห รอื ซากสตั วน นั้ และใหม อี าํ นาจออกคาํ สงั่ เปน หนงั สอื ใหเ จา ของ จดั การดังตอไปน้ี (1) ใหก ักขัง แยก หรอื ยา ยสตั วป ว ย หรอื สงสยั วา ปวยไวภายในเขต และตามวธิ ีการท่ีกาํ หนดให หรอื ให ไดร ับการรักษาตามทเ่ี หน็ สมควร (2) ใหฝ ง หรอื เผาซากสตั วน น้ั ทั้งหมด หรือแตบ างสว น ณ ทท่ี ่ีกาํ หนดให ถา การฝงหรือเผาไมอาจทําได กใ็ หทาํ ลายโดยวธิ ีอน่ื ตามทเี่ ห็นสมควร (3) ใหกกั ขัง แยก หรอื ยา ยสัตวทีอ่ ยูรว มฝูง หรอื เคยอยูรว มฝงู กบั สตั วท่ีปว ยหรือสงสยั วา ปว ย หรอื ตาย

94 ไวภ ายในเขต และตามวิธกี ารทีก่ ําหนดให หรอื ใหไ ดรับการปองกนั โรคระบาดตามที่เห็นสมควร (4) ใหทําลายสัตวท่ีเปนโรคระบาด หรือสัตว หรือซากสัตวที่เปนพาหะของโรคระบาด ตามระเบียบที่ อธบิ ดกี าํ หนดโดยอนุมตั ริ ฐั มนตรี ในการนี้ใหเ จาของไดรบั คา ชดใชต ามทกี่ าํ หนดในกฎกระทรวงไมตา่ํ กวากึง่ หน่ึง ของราคาสตั วซ งึ่ อาจขายไดใ นตลาดทอ งทก่ี อ นเกดิ โรคระบาด เวน แตใ นกรณที เี่ จา ของไดจ งใจกระทาํ ความผดิ ตอ บทแหง พระราชบญั ญัตนิ ี้ (5) ใหกําจัดเชื้อโรคท่ีอาหารสัตว หรือซากสัตวท่ีเปนพาหะของโรคระบาด ตามวิธีการท่ีกําหนด ใหห รือ (6) ใหท าํ ความสะอาด และทาํ ลายเชอ้ื โรคระบาด หรอื พาหะของโรคระบาดในทด่ี นิ อาคาร ยานพาหนะ หรือส่ิงของ ตามวธิ กี ารท่ีกําหนดให หมวด 2 เขตปลอดโรคระบาด มาตรา 11 เมอื่ รัฐมนตรีเหน็ สมควรเพือ่ ปองกนั มใิ หเ กิดโรคระบาดสําหรบั สัตวช นิดใดในทอ งที่ใด กใ็ หมี อาํ นาจประกาศในราชกจิ จานเุ บกษากาํ หนดทอ งทนี่ นั้ ทงั้ หมด หรอื แตบ างสว น เปน เขตปลอดโรคระบาด ประกาศ น้ีใหระบุชนดิ ของสัตวและโรคระบาดไวด ว ย มาตรา 12 เมอื่ ไดป ระกาศเขตปลอดโรคระบาดตามมาตรา11 แลว หา มมใิ หผ ใู ดเคลอ่ื นยา ยสตั วห รอื ซาก สัตวเขาใน หรือผา นเขตนน้ั เวนแตจ ะไดร บั อนญุ าตเปน หนังสือจากอธบิ ดีหรือสตั วแพทยซ ่งึ อธบิ ดมี อบหมาย มาตรา 13 ภายในเขตปลอดโรคระบาด ใหเจา ของสัตวมหี นา ท่ปี ฏบิ ตั กิ ารตามมาตรา8 ใหพ นกั งานเจา หนาที่และสารวตั รมอี าํ นาจตามมาตรา9 และใหส ตั วแพทยม ีอาํ นาจตามมาตรา10 และมาตรา18 มาตรา 14 ภายในเขตปลอดโรคระบาด ถา ปรากฎวา มโี รคระบาดหรอื มเี หตอุ นั ควรสงสยั วา มโี รคระบาด ผวู า ราชการจงั หวดั หรอื สตั วแพทย จะประกาศเขตโรคระบาด เขตสงสยั วา มโี รคระบาดหรอื เขตโรคระบาดชว่ั คราว แลวแตกรณี ตามหมวด3 ก็ได

95 หมวด 3 เขตโรคระบาด มาตรา 15 ในเขตทอ งทจี่ งั หวดั ใด มี หรอื สงสยั วา มโี รคระบาด ใหผ วู า ราชการจงั หวดั นน้ั มอี าํ นาจประกาศ กาํ หนดเขตทองทจ่ี งั หวดั น้ันทั้งหมด หรอื แตบ างสวน เปน เขตโรคระบาด หรอื เขตสงสัยวามโี รคระบาด แลวแต กรณี ประกาศนี้ใหระบุชนิดของสัตวและโรคระบาดไวดวยและใหปดไว ณ ศาลากลางจังหวัด ที่วาการอําเภอ บา นกาํ นนั บานผูใ หญบ า น และท่ีชมุ นุมชนภายในเขตนนั้ มาตรา 16 ในกรณที สี่ ัตวแพทยเ ห็นวา โรคระบาดที่ตรวจพบในทองทข่ี องตน หรือทองที่อ่นื ทีต่ ิดตอกับ ทองทข่ี องตนจะระบาดออกไป ใหสตั วแพทยมอี ํานาจประกาศเปนหนงั สอื กาํ หนดเขตโรคระบาดชั่วคราว มรี ศั มี ไมเกินหากิโลเมตรจากที่ท่ีตรวจพบโรคระบาดน้ัน ประกาศน้ีใหระบุชนดิ ของสัตวและโรคระบาดไวดวย และให ปด ไว ณ บา นกาํ นนั บา นผใู หญบ า น และทช่ี มุ นมุ ชน ภายในเขตนนั้ และใหใ ชบ งั คบั ไดส ามสบิ วนั นบั แตว นั ประกาศ มาตรา 17 เม่ือไดมีประกาศกําหนดเขตโรคระบาด หรือเขตสงสัยวามีโรคระบาดตามมาตรา 15 หรือ ประกาศกาํ หนดเขตโรคระบาดชว่ั คราวตามมาตรา16 แลว หา มมใิ หผ ใู ดเคลอื่ นยา ยสตั ว หรอื ซากสตั วภ ายในเขต นน้ั หรอื เคลอ่ื นยา ยสตั ว หรอื ซากสตั ว เขา ในหรอื ออกนอกเขตนน้ั เวน แตไ ดร บั อนญุ าตเปน หนงั สอื จากสตั วแพทย มาตรา 18 ภายในเขตโรคระบาด หรอื เขตสงสยั วา มโี รคระบาดตามมาตรา 15 หรอื เขตโรคระบาดชวั่ คราว ตามมาตรา 16 ใหส ตั วแพทยม อี ํานาจตามมาตรา10 และใหม ีอํานาจดังตอไปนอ้ี ีกดวย คือ (1) ออกประกาศ หรือส่ังเปน หนังสือใหบรรดาเจาของแจง จํานวนสัตวบางชนดิ และถา เห็นสมควร จะใหนําสตั วนั้นมาใหไดรบั การตรวจ หรือปองกนั โรคระบาด ก็ได (2) ส่ังใหเจาของสัตวที่ไดผานการตรวจ หรือปองกันโรคระบาดแลวนําสัตวนั้นมาประทับ เครื่องหมายท่ตี วั สัตว หรอื (3) สั่งกักยานพาหนะทีบ่ รรทุกสัตวหรอื ซากสตั วเ พอื่ ตรวจโรคระบาด และถาเหน็ สมควรจะสง่ั กกั สัตวหรอื ซากสัตวน้ันเพอ่ื คุมไวสังเกตตามความจาํ เปน ก็ได มาตรา 19 ภายในเขตโรคระบาด หรอื เขตสงสยั วา มโี รคระบาดตามมาตรา15 หรอื เขตโรคระบาดชวั่ คราว ตามมาตรา16 ถา มสี ัตวปว ย หรอื ตาย ใหเ จา ของแจง ตอ พนกั งานเจา หนา ที่ สารวัตร หรือสตั วแพทยภายในเวลา สบิ สองชั่วโมงนบั แตเ วลาทส่ี ตั วปว ยหรอื ตาย และใหนาํ ความในมาตรา 8 วรรคสองมาใชบ งั คบั โดยอนุโลม มาตรา 20 ในเขตทองท่ีจังหวัดใด ซ่ึงไดประกาศเปนเขตโรคระบาด หรือเขตสงสัยวามีโรคระบาด ถา ปรากฎวา โรคระบาดนน้ั ไดส งบลงหรอื ปรากฎวา ไมม โี รคระบาดโดยเดด็ ขาด แลว แตก รณี ใหผ วู า ราชการจงั หวดั ถอนประกาศเชนวาน้ันเสีย

96 หมวด 4 การควบคุมการคา สัตวแ ละซากสตั ว มาตรา 21 หา มมใิ หบ คุ คลใดทาํ การคา ชา ง มา โค กระบอื แพะ แกะ สกุ ร หรอื สตั วช นดิ อน่ื ตามทกี่ าํ หนด ในกฎกระทรวง หรอื ทาํ การคา ซากสตั วต ามทก่ี าํ หนดในกฎกระทรวง เวน แตจ ะไดร บั ใบอนญุ าตจากนายทะเบยี น มาตรา 21 ทวิ หา มมิใหบคุ คลใดขาย จาํ หนา ย จาย แจก แลกเปล่ียน หรือมไี วเ พ่อื ขายซงึ่ นาํ้ เชอ้ื สําหรับ ผสมพันธหุ รือเอ็มบริโอของ มา โค กระบอื แพะ แกะ สกุ ร หรอื สัตวชนดิ อนื่ ตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง เวนแต จะไดร บั ใบอนญุ าตจากนายทะเบยี น การขออนุญาตและการอนุญาต ใหเปนไปตามหลักเกณฑ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกําหนด โดยประกาศใน ราชกิจจานเุ บกษา มาตรา 22 ใบอนญุ าตตามมาตรา 21 หรอื มาตรา 21 ทวิ ใหใ ชไดจนถึงวนั สิ้นปป ฏิทินแหง ปท่อี อกใบ อนุญาต มาตรา 23 ผทู ําการคาสตั วหรือซากสัตว ตอ งปฏบิ ตั ิตามเง่อื นไขทก่ี าํ หนดไวในใบอนุญาต มาตรา 24 ในกรณที ่ีผูรับใบอนุญาตตามมาตรา 21 หรือมาตรา 21 ทวฝิ าฝน ตอบทแหง พระราชบัญญัติ น้ี หรือเง่ือนไขที่กําหนดไวในใบอนุญาต ใหสัตวแพทยมีอํานาจยึดใบอนุญาตของผูน้ันไวเพื่อเสนอนายทะเบียน ถา นายทะเบยี นเห็นสมควรจะส่งั พักใชหรือเพกิ ถอนใบอนญุ าตนั้นเสยี ก็ได ผูถูกยึด พักใช หรือเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหน่ึง มีสิทธิอุทธรณตอรัฐมนตรีหรือผูที่รัฐมนตรีมอบ หมายภายในสามสบิ วันนบั แตว นั ทีถ่ ูกยดึ พักใช หรอื เพกิ ถอนใบอนุญาต แลวแตก รณี คําวินิจฉยั ของรฐั มนตรีหรือผูทีร่ ฐั มนตรมี อบหมายใหเ ปนท่สี ดุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook