หนังสือเรียนสาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2557) หามจําหนา ย หนงั สือเรียนเลมน้ี จัดพมิ พด วยเงนิ งบประมาณแผน ดนิ เพ่อื การศึกษาตลอดชีวติ สําหรบั ประชาชน ลขิ สทิ ธิ์เปน ของ สาํ นกั งาน กศน. สํานักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร สํานกั งานสงเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ
หนังสือเรียนสาระการพัฒนาสงั คม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2557) เอกสารทางวิชาการลาํ ดบั ที 36/2557
คํานํา กระทรวงศึกษาธิการไดประกาศใชหลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เมือ่ วันที่ 18 กนั ยายน พ.ศ.2551 แทนหลักเกณฑและวิธีการจดั การศกึ ษานอกโรงเรยี น ตามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 ซ่ึงเปนหลักสูตรที่พัฒนาข้ึนตามหลักปรัชญา และความเชื่อพืน้ ฐานในการจัดการศกึ ษานอกโรงเรียนที่มีกลุมเปาหมายเปนผูใหญมีการเรียนรูและ สงั่ สมความรู และประสบการณอ ยางตอเนอ่ื ง ในปงบประมาณ 2554 กระทรวงศึกษาธิการไดกําหนดแผนยุทธศาสตรในการขับเคล่ือน นโยบายทางการศึกษาเพ่ือเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแขงขันใหประชาชนไดมีอาชีพ ท่ีสามารถสรางรายไดท่ีม่ังคั่งและมั่นคง เปนบุคลากรท่ีมีวินัย เปยมไปดวยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตสํานึกรับผิดชอบตอตนเองและผูอื่น สํานักงาน กศน. จึงไดพิจารณาทบทวนหลักการ จุดหมาย มาตรฐาน ผลการเรียนรูที่คาดหวัง และเน้ือหาสาระ ทั้ง 5 กลุมสาระการเรียนรู ของหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ใหม ีความสอดคลอง ตอบสนองนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงสงผลใหตองปรับปรุงหนังสือเรียน โดยการเพิ่มและ สอดแทรกเนอื้ หาสาระเกี่ยวกบั อาชีพ คณุ ธรรม จริยธรรม และการเตรียมพรอมเพื่อเขาสูประชาคม อาเซียน ในรายวิชาท่ีมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน แตยังคงหลักการและวิธีการเดิมในการพัฒนา หนงั สือที่ใหผเู รยี นศกึ ษาคน ควา ความรดู วยตนเอง ปฏิบัติกิจกรรม ทําแบบฝกหัดเพ่ือทดสอบความรู ความเขาใจ มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรูกับกลุมหรือศึกษาเพิ่มเติมจากภูมิปญญาทองถิ่น แหลง การเรียนรูและสอื่ อื่น การปรับปรุงหนังสือเรียนในคร้ังนี้ ไดรับความรวมมืออยางดีย่ิงจากผูทรงคุณวุฒิในแตละ สาขาวชิ า และผเู กีย่ วขอ งในการจัดการเรียนการสอนท่ีศึกษาคนควา รวบรวมขอมูลองคความรูจาก สอ่ื ตา ง ๆ มาเรียบเรยี งเนอ้ื หาใหครบถว นสอดคลอ งกบั มาตรฐาน ผลการเรยี นรทู ค่ี าดหวัง ตวั ช้ีวัดและ กรอบเนื้อหาสาระของรายวิชา สํานักงาน กศน.ขอขอบคุณผูมีสวนเกี่ยวของทุกทานไว ณ โอกาสนี้ และหวังวา หนงั สือเรียนชุดนีจ้ ะเปนประโยชนแ กผ ูเรียน ครู ผูสอนและผูเก่ียวของในทุกระดับ หากมี ขอเสนอแนะประการใด สํานักงาน กศน. ขอนอ มรบั ดว ยความขอบคุณย่ิง
สารบญั คาํ นํา คําแนะนาํ โครงสรางรายวชิ าสงั คมศกึ ษา (สค21001) ขอบขา ยเน้อื หา บทท่ี 1 ภมู ศิ าสตรกายภาพทวปี เอเชีย .............................................................. 1 เรื่องที่ 1 ลักษณะทางภูมิศาสตรกายภาพของประเทศ ในทวปี เอเชีย .............................................................................. 3 เรื่องท่ี 2 การเปลีย่ นแปลงสภาพภมู ศิ าสตรกายภาพ................................10 เร่ืองที่ 3 วิธีใชเครอื่ งมือทางภูมศิ าสตร ....................................................19 เร่อื งที่ 4 สภาพภมู ิศาสตรก ายภาพของไทย ทส่ี งผลตอทรพั ยากรตางๆ.........................................................25 เร่ืองท่ี 5 ความสาํ คัญของการดาํ รงชีวิตใหส อดคลอ ง กับทรัพยากรในประเทศ ...........................................................32 บทท่ี 2 ประวตั ิศาสตรท วปี เอเชยี ...................................................................44 เรื่องท่ี 1 ประวัตศิ าสตรส ังเขปของประเทศในทวปี เอเชยี .........................46 เร่ืองที่ 2 เหตุการณส ําคญั ทางประวัตศิ าสตรท่เี กดิ ข้ึนในประเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชยี .........................................................66 เรอื่ งที่ 3 พระราชกรณียกจิ ของพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวและ สมเด็จพระนางเจา สิรกิ ิติ์ ทสี่ ง ผลตอ การเปลี่ยนแปลงของ ประเทศไทย.........................................................................87 บทที่ 3 เศรษฐศาสตร. ...................................................................................113 เรื่องท่ี 1 ความหมายความสําคญั ของเศรษฐศาสตรมหภาค และจุลภาค.............................................................................114 เรื่องท่ี 2 ระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย................................................116 เร่อื งท่ี 3 คณุ ธรรมในการผลติ และการบริโภค........................................130 เรื่องท่ี 4 กฎหมายและขอ มูลการคุมครองผบู ริโภค................................136 เร่อื งท่ี 5 ระบบเศรษฐกจิ ของประเทศตา งๆ ในเอเชีย ............................142 เรื่องที่ 6 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น...............................................153 บทที่ 4 การเมอื งการปกครอง ......................................................................153 เรือ่ งที่ 1 การเมอื งการปกครองทใ่ี ชอยูในปจ จบุ ัน ของประเทศไทย .....................................................................154 เรื่องที่ 2 เปรยี บเทียบรูปแบบทางการเมอื งการปกครอง ระบอบประชาธปิ ไตยและระบบอ่นื ๆ ......................................166 แนวเฉลยกิจกรรม ……………………………………………………………………………………….175 บรรณานุกรม ……………………………………………………………………………………….185 คณะผจู ัดทํา ……………………………………………………………………………………….189
คาํ แนะนาํ ในการใชห นงั สอื เรยี น หนังสือสาระการพัฒนาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) ระดับมัธยมศึกษาตอนตน เปนหนังสือเรียนท่ีจัดทําขึ้นสําหรับผูเ รียนที่เปน นักศึกษานอกระบบในการศึกษาหนังสือสาระ การพฒั นาสงั คม รายวิชาสงั คมศึกษา (สค21001) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน ผูเรยี นควรปฏบิ ัตดิ ังน้ี ศกึ ษาโครงสรางรายวชิ าใหเ ขาใจในหัวขอและสาระสําคัญ ผลการเรียนรทู ่คี าดหวัง และขอบขา ย เนื้อหาของรายวิชานนั้ ๆ โดยละเอยี ด 1. ศึกษารายละเอียดเนอื้ หาของแตละบทอยางละเอียด และทํากิจกรรมตามที่กําหนด แลว ตรวจสอบกบั แนวตอบกิจกรรมตามทีก่ ําหนด ถา ผเู รยี นตอบผดิ ควรกลบั ไปศึกษาและทาํ ความเขา ใจใน เนื้อหาน้นั ใหมใหเ ขาใจ กอ นท่ีจะศกึ ษาเรื่องตอๆไป 2. ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมทายเร่ืองของแตละเรอื่ ง เพือ่ เปน การสรปุ ความรู ความเขา ใจของเน้ือหาใน เรื่องน้ันๆ อีกคร้งั และการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมของแตล ะเน้ือหา แตละเร่ือง ผเู รียนสามารถนาํ ไปตรวจสอบ กับครแู ละเพอ่ื นๆ ท่ีรว มเรยี นในรายวชิ าและระดับเดียวกันได 3. หนงั สอื เรียนเลม นม้ี ี 4 บท คือ บทท่ี 1 ภมู ิศาสตรกายภาพทวีปเอเชยี บทท่ี 2 ประวัติศาสตรทวีปเอเชยี บทที่ 3 เศรษฐศาสตร บทท่ี 4 การเมืองการปกครอง
โครงสรา งรายวชิ าสังคมศึกษา (สค21001) สาระสําคญั การศกึ ษาเรยี นรูเกยี่ วกับความเปลี่ยนแปลงของสง่ิ แวดลอ มทางกายภาพท้ังของประเทศไทย และทวปี เอเชยี วิวัฒนาการความสมั พันธของมนษุ ยกบั ส่ิงแวดลอม การจัดการทรัพยากรที่มีอยูอยาง จาํ กัดเพื่อใหใชอยางเพยี งพอในการผลิตและบริโภค การใชขอมลู ทางประวัติศาสตรเ พื่อวิเคราะหเ หตุ การณใ นอนาคต การเรยี นรเู ร่อื งการเมืองการปกครอง สามารถนําไปใชประโยชนในการดําเนินชีวิต ประจําวนั ได ผลการเรยี นรทู ีค่ าดหวัง 1. อธิบายขอมูลเกี่ยวกับภูมิศาสตร ประวัติศาสตร เศรษฐศาสตร การเมืองการปกครองที่ เก่ียวของกับประเทศในทวีปเอเชยี 2. นาํ เสนอผลการเปรียบเทียบสภาพภูมศิ าสตร ประวตั ิศาสตร เศรษฐศาสตร การเมืองการ ปกครองของประเทศในทวปี เอเชยี 3. ตระหนกั และวเิ คราะหถ ึงการเปลย่ี นแปลงทเี่ กิดขนึ้ กบั ประเทศในทวปี เอเชยี ทมี่ ีผลกระทบ ตอประเทศไทย ขอบขา ยเนอ้ื หา บทที่ 1 ภูมิศาสตรกายภาพทวีปเอเชีย เรอื่ งที่ 1 ลกั ษณะทางภูมิศาสตรกายภาพของประเทศในทวีปเอเชยี เรอ่ื งที่ 2 การเปลี่ยนแปลงสภาพภมู ิศาสตรกายภาพ เรอื่ งที่ 3 วิธีใชเ คร่ืองมอื ทางภูมิศาสตร เรอ่ื งท่ี 4 สภาพภูมิศาสตรกายภาพของไทยท่ีสง ผลตอ ทรพั ยากรตา งๆ เรอื่ งท่ี 5 ความสําคัญของการดํารงชีวิตใหสอดคลอ งกับทรัพยากรใน ประเทศ บทท่ี 2 ประวัติศาสตรทวีปเอเชีย เรอ่ื งที่ 1 ประวัตศิ าสตรสังเขปของประเทศในทวปี เอเชยี เรอ่ื งที่ 2 เหตุการณส ําคัญทางประวัติศาสตรท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทยและ ประเทศในทวีปเอเชีย
เร่อื งท่ี 3 พระราชกรณยี กิจของพระบาทสมเดจ็ พระเจาอยูหัวและสมเด็จพระนาง เจา สิริกิติ์ ท่สี ง ผลตอการเปลย่ี นแปลงของประเทศไทย บทที่ 3 เศรษฐศาสตร เรื่องท่ี 1 ความหมายความสําคญั ของเศรษฐศาสตรม หภาคและจลุ ภาค เรอ่ื งที่ 2 ระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย เรือ่ งท่ี 3 คุณธรรมในการผลิตและการบรโิ ภค เรอ่ื งที่ 4 กฎหมายและขอมูลการคุมครองผบู ริโภค เร่อื งที่ 5 ระบบเศรษฐกิจของประเทศตา งๆ ในเอเชีย เรอื่ งที่ 6 ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น บทท่ี 4 การเมืองการปกครอง เรอื่ งท่ี 1 การเมอื งการปกครองท่ีใชอ ยใู นปจจบุ ันของประเทศไทย เรื่องท่ี 2 รูปแบบการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยและ ระบบอ่ืนๆ สื่อประกอบการเรยี นรู 1. หนังสือเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สาระการพัฒนาสังคม ระดับมัธยมศึกษาตอนตน หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบและระดบั การศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 2. เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร เชน แผนท่ี ลูกโลก เข็มทิศ รูปถายทางอากาศและ ภาพถายจากดาวเทยี ม 3. เวบ็ ไซต 4. หนังสือพิมพ วารสาร เอกสารทางวชิ าการตามหอ งสมุดและแหลง เรียนรูในชุมชน และห องสมุดประชาชน หอ งสมดุ เฉลิมราชกุมารใี นทอ งถน่ิ
1 บทที่ 1 ภมู ิศาสตรก ายภาพทวปี เอเชีย สาระสาํ คัญ ภูมิศาสตรกายภาพ คือวิชาท่ีเกี่ยวของกับลักษณะการเปล่ียนแปลงของส่ิงแวดลอมทาง กายภาพ (Physical Environment) ที่อยูรอบตัวมนุษย ท้ังสวนท่ีเปนธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศ ภาค และชวี ภาค ตลอดจนความสัมพันธทางพื้นที่ (Spatial Relation) ของส่ิงแวดลอมทางกายภาพ ตาง ๆ ดงั กลา วขางตน การศึกษาภูมศิ าสตรท างกายภาพทวีปเอเชียทําใหส ามารถวเิ คราะหเ หตุผลประกอบกบั การสงั เกต พิจารณาสงิ่ ทผ่ี ันแปรเปล่ียนแปลงในภูมิภาคตาง ๆ ของทวีปเอเชียไดเปนอยางดี การศึกษาภูมิศาสตร กายภาพแผนใหมตองศึกษาอยางมีเหตุผล โดยอาศัยหลักเกณฑทางภูมิศาสตรหรือหลักเกณฑสถิติ ซง่ึ เปน ขอเท็จจริงจากวิชาในแขนงท่เี กีย่ วขอ งกนั มาพิจารณาโดยรอบคอบ ผลการเรยี นรูทีค่ าดหวงั 1. อธิบายลักษณะทางภมู ิศาสตรก ายภาพของประเทศในทวปี เอเชยี ได 2. มคี วามรูทางดา นภูมศิ าสตรก ายภาพ สามารถเขา ใจสภาพกายภาพของโลกวามีองคป ระกอบ และมีการเปลีย่ นแปลงทม่ี ีผลตอสภาพความเปนอยูของมนษุ ยอ ยางไร 3. สามารถอธบิ ายการใชและประโยชนข องเครื่องมอื ทางภูมิศาสตรได 4. อธิบายความสมั พันธของสภาพภูมิศาสตรกายภาพของไทยท่ีสงผลตอทรัพยากรตาง ๆ และส่ิงแวดลอมได 5. อธิบายความสัมพันธของการดํารงชีวิตใหสอดคลองกับทรัพยากรในประเทศไทยและ ประเทศในทวีปเอเชยี ได ขอบขายเน้อื หา เร่ืองที่ 1 ลกั ษณะทางภูมิศาสตรกายภาพของประเทศในทวปี เอเชีย 1.1 ท่ีตัง้ และอาณาเขต 1.2 ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ 1.3 สภาพภูมิอากาศ เรอ่ื งที่ 2 การเปลยี่ นแปลงสภาพภูมศิ าสตรกายภาพ 2.1 การเปลย่ี นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพทสี่ ง ผลกระทบตอ วถิ ีชวี ติ ความ เปน อยูข องคน
2 เรอื่ งท่ี 3 วธิ ใี ชเ คร่ืองมือทางภมู ศิ าสตร 3.1 แผนท่ี 3.2 ลูกโลก 3.3 เขม็ ทศิ 3.4 รปู ถายทางอากาศและภาพถายจากดาวเทยี ม 3.5 เครื่องมือเทคโนโลยีเพอื่ การศึกษาภูมศิ าสตร เรอ่ื งท่ี 4 สภาพภูมิศาสตรก ายภาพของไทยท่ีสงผลตอ ทรพั ยากรตาง ๆ และสิง่ แวดลอ ม เร่อื งท่ี 5 ความสําคญั ของการดํารงชีวิตใหสอดคลอ งกับทรพั ยากรในประเทศ 5.1 ประเทศไทย 5.2 ประเทศในเอเชีย สื่อประกอบการเรยี นรู 1. แบบเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สาระการพัฒนาสังคม ระดับมัธยมศึกษาตอนตน หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขึน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 2. เคร่อื งมอื ทางภมู ศิ าสตร เชน แผนท่ี ลูกโลก เขม็ ทศิ รูปถา ยทางอากาศและภาพถา ยจากดาวเทียม 3. เวบ็ ไซต
3 เรื่องท่ี 1 ลักษณะทางภูมิศาสตรก ายภาพของประเทศในทวีปเอเชยี 1.1 ท่ตี ั้งและอาณาเขต ทวปี เอเชยี เปนทวีปที่มขี นาดใหญท่ีสุดในโลก มีพ้ืนท่ีประมาณ 44,648,953 ลานตารางกิโลเมตร มีดนิ แดนท่ตี อเนื่องกับทวปี ยุโรปและทวีปแอฟริกา แผนดินของทวีปยุโรปกับทวีปเอเชีย ท่ตี อเนอื่ งกัน เรยี กรวมวา ยูเรเชยี พ้นื ทสี่ ว นใหญอ ยเู หนอื เสน ศูนยส ูตรมที ําเลท่ีตัง้ ตามพิกัดภมู ศิ าสตร คือ จาก ละติจูด 11 องศาใต ถึงละติจูด 77 องศา 41 ลิปดาเหนือ บริเวณแหลมเชลยูสกิน (Chelyuskin) สหพันธรัฐ รัสเซีย และจากลองจิจูดที่ 26 องศา 04 ลิปดาตะวันออก บริเวณแหลมบาบา (Baba) ประเทศตุรกี ถึง ลองจิจดู 169 องศา 30 ลปิ ดาตะวนั ตก ที่บริเวณแหลมเดชเนฟ (Dezhnev) สหพนั ธรฐั รสั เซีย โดยมีอาณาเขต ติดตอ กบั ดนิ แดนตา ง ๆ ดังตอไปน้ี ทิศเหนือ จรดมหาสมุทรอารกติก มีแหลมเชลยูสกินของสหพันธรัฐรัสเซียเปนแผนดินอยูเหนือสุด ที่ละตจิ ดู 77 องศาเหนือ ทศิ ใต จรดมหาสมุทรอนิ เดยี มีเกาะโรติ (Roti) ของติมอร- เลสเต เปนดินแดนอยูใตที่สุดที่ละติจูด 11 องศาใต ทศิ ตะวันออก จรดมหาสมทุ รแปซิฟก มแี หลมเดชเนฟของสหพนั ธรัฐรสั เซียเปนแผนดนิ อยูตะวันออก ท่ีสุด ท่ลี องจจิ ดู 170 องศาตะวันตก ทศิ ตะวันตก จรดทะเลเมดเิ ตอรเรเนียนและทะเลดํา มีทวิ เขาอรู าลก้ันดินแดนกับทวีปยุโรป และมีทะเล แดงกบั คาบสมทุ รไซไน (Sinai) กนั้ ดินแดนกบั ทวปี แอฟริกา มีแหลมบาบาของตุรกีเปนแผนดินอยูตะวันตกสุด ท่ีลองจิจดู 26 องศาตะวนั ออก 1.2 ลักษณะภูมปิ ระเทศ ทวีปเอเชยี มีลักษณะภูมิประเทศแตกตา งกันหลายชนดิ ในสวนท่ีเปนภาคพ้ืน ทวีป แบงออกเปนเขตตา ง ๆ ได 5 เขต คอื 1) เขตที่ราบตํ่าตอนเหนือ เขตที่ราบตํ่าตอนเหนือ ไดแก ดินแดนที่อยูทางตอนเหนือของทวีป เอเชียในเขตไซบเี รยี สว นใหญอยูใ นเขตโครงสรางแบบหนิ เกา ทเี่ รียกวา แองการาชีลด มีลักษณะภูมิประเทศ เปน ที่ราบขนาดใหญ มแี มน้าํ ออบ แมน้าํ เยนิเซและแมน้ําลนี าไหลผาน บริเวณน้ีมอี าณาเขตกวางขวางมาก แตไมคอยมีผูคนอาศัยอยู ถึงแมวาจะเปนที่ราบ เพราะเน่ืองจากมีภูมิอากาศหนาวเย็นมากและทําการ เพาะปลกู ไมไ ด 2) เขตท่ีราบลุมแมน้ํา เขตที่ราบลุมแมนํ้า ไดแก ดินแดนแถบลุมแมนํ้าตาง ๆ ซ่ึงมีลักษณะภูมิ ประเทศเปนทร่ี าบและมกั มีดินอุดมสมบูรณเหมาะแกการเพาะปลูก สวนใหญอยูทางเอเชียตะวันออก เอเชียใต และเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ไดแ ก ที่ราบลมุ ฮวงโห ทีร่ าบลุมแมน ้าํ แยงซีเกียงในประเทศจีน ท่ีราบลมุ แมนาํ้ สินธุ ที่ราบลุมแมน้ําคงคาและที่ราบลุมแมนํ้าพรหมบุตรในประเทศปากีสถาน อินเดีย และบังกลาเทศ ที่ราบลุม แมนํ้าไทกริส ท่ีราบลุมแมนํ้ายูเฟรทีสในประเทศอิรัก ที่ราบลุมแมน้ําโขงตอนลางในประเทศกัมพูชาและ เวียดนาม ท่รี าบลมุ แมน้ําแดงในประเทศเวียดนาม ที่ราบลุมแมน ้ํา
4 เจา พระยาในประเทศไทย ทีร่ าบลุม แมน าํ้ สาละวนิ ตอนลาง ทีร่ าบลุมแมนํ้าอิระวดีในประเทศสาธารณรัฐแหง สหภาพพมา 3) เขตเทือกเขาสูง เปนเขตเทือกเขาหินใหมตอนกลาง ประกอบไปดวยท่ีราบสูงและเทือกเขา มากมาย เทือกเขาสูงเหลานี้สวนใหญเปนเทือกเขาท่ีแยกตัวไปจากจุดรวม ที่เรียกวา ปามีรนอต หรือภาษา พน้ื เมอื งเรยี กวา “ปามรี ดุนยา” แปลวา หลงั คาโลกจากปามีรนอต มีเทอื กเขาสูง ๆ ของทวีปเอเชียหลายแนว ซ่ึงอาจแยกออกไดด ังน้ี เทอื กเขาทแี่ ยกไปทางทิศตะวันออก ไดแก เทือกเขาหมิ าลัย เทอื กเขาอาระกันโยมาและเทือกเขา ท่ีมีแนวตอ เนอ่ื งลงมาทางใต มีบางสวนที่จมหายไปในทะเลและบางสว นโผลข ้นึ มาเปน เกาะในมหาสมุทรอนิ เดยี และมหาสมุทรแปซิฟก ถัดจากเทือกเขาหิมาลัยข้ึนไปทางเหนือมีเทือกเขาท่ีแยกไปทางตะวันออก ไดแก เทือกเขาคุนลุน เทือกเขาอัลตินตัก เทือกเขานานซานและแนวท่ีแยกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไดแก เทือกเขาเทียนชาน เทอื กเขาอัลไต เทือกเขาคินแกน เทอื กเขายาโบลนอย เทือกเขาสตาโนวอยและเทือกเขาโกลี มา เทือกเขาท่ีแยกไปทางทิศตะวันตกแยกเปนแนวเหนือและแนวใต แนวเหนือ ไดแก เทือกเขาฮินดูกูช เทอื กเขาเอลบูชร สวนแนวทศิ ใต ไดแ ก เทือกเขาสุไลมาน เทือกเขาซากรอส ซึ่งเมอื่ เทือกเขาท้ัง 2 น้ี มาบรรจบกัน ที่อารเมเนียนนอตแลว ยังแยกออกอกี เปน 2 แนวในเขตประเทศตุรกี คือ แนวเหนือเปนเทือกเขาปอนติกและ แนวใตเ ปน เทอื กเขาเตารัส
5 4) เขตทรี่ าบสงู ตอนกลางทวปี เขตทร่ี าบสูงตอนกลางเปน ทร่ี าบสูงอยูระหวางเทือกเขาหินใหม ที่สําคัญ ๆ ไดแก ที่ราบสูงทิเบตซึ่งเปนท่ีราบสูงขนาดใหญและสูงท่ีสุดในโลก ที่ราบสูงยูนนาน ทางใตของ ประเทศจีนและที่ราบสูงที่มีลักษณะเหมือนแองชื่อ “ตากลามากัน” ซึ่งอยูระหวางเทือกเขาเทียนซานกับ เทอื กเขาคุนลุนแตอ ยสู ูงกวาระดบั น้ําทะเลมากและมีอากาศแหง แลงเปน เขตทะเลทราย 5) เขตท่ีราบสูงตอนใตและตะวันตกเฉียงใต เขตท่ีราบสูงตอนใตและตะวันตกเฉียงใต ไดแก ที่ราบสูงขนาดใหญท างตอนใตข องทวีปเอเชีย ซ่ึงมคี วามสูงไมมากเทา กบั ทร่ี าบสูงทางตอนกลางของทวปี ที่ราบ สงู ดงั กลา ว ไดแก ที่ราบสูงเดคคานในประเทศอินเดยี ที่ราบสูงอหิ รา นในประเทศอิหรานและอัฟกานิสถาน ที่ ราบสงู อนาโตเลยี ในประเทศตรุ กีและท่รี าบสูงอาหรับในประเทศซาอุดอี าระเบีย 1.3 สภาพภมู ิอากาศ สภาพภูมิศาสตรและพชื พรรณธรรมชาตใิ นทวปี เอเชีย แบง ไดด งั นี้ 1) ภูมิอากาศแบบปาดิบชื้น เขตภูมิอากาศแบบปาดิบช้ืน อยูระหวางละติจูดท่ี 10 องศาเหนือ ถึง 10 องศาใต ไดแก ภาคใตของประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟลิปปนส มีความแตกตางของอุณหภูมิ ระหวางกลางวันและกลางคืนไมมากนัก มีปริมาณน้ําฝนมากกวา 2,000 มิลลิเมตร (80 น้ิว) ตอป และมีฝนตก ตลอดป พืชพรรณธรรมชาตเิ ปน ปาดงดิบ ซงึ่ ไมมฤี ดทู ีผ่ ลัดใบและมีตนไมหนาแนน สวนบริเวณปากแมนํ้า และชายฝงทะเลมพี ืชพรรณธรรมชาตเิ ปน ปา ชายเลน 2) ภมู อิ ากาศแบบมรสมุ เขตรอ นหรอื รอ นช้นื แถบมรสมุ เปน ดนิ แดนทีอ่ ยูเ หนือละตจิ ูด 10 องศา เหนอื ขึ้นไป มฤี ดูแลงและฤดูฝนสลับกันประมาณปละเดือน ไดแ ก บริเวณคาบสมุทรอนิ เดีย และคาบสมุทรอิน โดจีน เขตนเ้ี ปน เขตท่ีไดร ับอิทธิพลของลมมรสุม ปรมิ าณนาํ้ ฝนจะสงู ในบริเวณดานตนลม (Winward side) และ มฝี นตกนอ ยในดานปลายลม (Leeward side) หรือเรยี กวา เขตเงาฝน (Rain shadow) พืชพรรณธรรมชาติเปน ปา มรสุมหรือปาไมผ ลดั ใบในเขตรอน พนั ธไุ มส ว นใหญเ ปน ไมใบกวางและเปน ไมเน้ือแข็งที่มีคาในทางเศรษฐกิจหรือปาเบญจพรรณ เชน ไมสัก ไมจันทน ไมประดู เปนตน ปามรสุม มีลกั ษณะเปนปาโปรงมากกวาปาไมใ นเขตรอนช้ืน บางแหงมีไมขนาดเล็กขึ้นปกคลมุ บรเิ วณดนิ ช้นั ลา งและบาง แหงเปนปาไผห รือหญา ปะปนอยู 3) ภูมิอากาศแบบทุงหญาเมืองรอน มีลักษณะอากาศคลายเขตมรสุม มีฤดูแลงกับฤดูฝน แต ปริมาณน้ําฝนนอยกวา คือ ประมาณ 1,000 - 1,500 มิลลิเมตร (40 - 60 น้ิว) ตอป อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดป ประมาณ 21 องศาเซลเซยี ส (70 องศาฟาเรนไฮต) อุณหภมู กิ ลางคืนเย็นกวากลางวัน ไดแก บริเวณตอนกลาง ของอินเดีย สาธารณรัฐแหง สหภาพพมาและคาบสมุทรอนิ โดจนี พืชพรรณธรรมชาติเปนปาโปรงแบบเบญจพรรณ ถัดเขาไปตอนในจะเปนทุงหญาสูงตั้งแต 60 - 360 เซนติเมตร (2 - 12 ฟุต) ซึ่งจะงอกงามดใี นฤดฝู น แตแ หง เฉาตายในฤดหู นาวเพราะชว งนอี้ ากาศแหง แลง 4) ภมู อิ ากาศแบบมรสุมเขตอบอุน อยูใ นเขตอบอุนแตไดรับอิทธิพลของลมมรสุมมีฝนตกในฤดู รอ น ฤดูหนาวคอนขางหนาว ไดแก บริเวณภาคตะวันตกของจีน ภาคใตของญ่ีปุน คาบสมุทรเกาหลี ฮองกง ตอนเหนอื ของอินเดยี ในสาธารณรฐั ประชาชนลาวและตอนเหนือของเวยี ดนาม
6 พืชพรรณธรรมชาตเิ ปน ไมผ ลดั ใบหรอื ไมผ สม มที ัง้ ไมใบใหญท่ีผลดั ใบและไมสนทีไ่ มผ ลัดใบ ในเขต สาธารณรฐั ประชาชนจีน เกาหลี ทางใตข องเขตนี้เปนปา ไมผลดั ใบ สว นทางเหนอื มอี ากาศหนาวกวาปาไมผสม และปา ไมผ ลัดใบ เชน ตนโอก เมเปล ถาข้ึนไปทางเหนอื อากาศหนาวเยน็ จะเปน ปาสนที่มีใบเขียวตลอดป 5) ภูมิอากาศแบบอบอุนภาคพ้ืนทวีป ไดแก ทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ ภาคเหนือของญ่ีปุนและตะวันออกเฉียงใตของไซบีเรีย มีฤดูรอน ที่อากาศรอ น กลางวันยาวกวากลางคืน นาน 5 - 6 เดือน เปนเขตปลูกขาวโพดไดดีเพราะมีฝนตกในฤดูรอน ประมาณ 750 - 1,000 มม. (30 - 40 นวิ้ ) ตอป ฤดูหนาวอณุ หภูมิเฉล่ียถึง 7 องศาเซลเซียส (18 องศาฟาเรน ไฮต) เปนเขตท่คี วามแตกตา งระหวา งอุณหภูมิมีมาก พืชพรรณธรรมชาติเปนปาผสมระหวางไมผลัดใบและปาสนลึกเขาไปเปนทุงหญา สามารถ เพาะปลกู ขา วโพด ขา วสาลีและเล้ยี งสตั วพวกโคนมได สว นแถบชายทะเลมกี ารทําปา ไมบา งเล็กนอย 6) ภมู ิอากาศแบบทุงหญากง่ึ ทะเลทรายแถบอบอนุ มอี ุณหภมู ิสูงมากในฤดูรอนและอุณหภูมิต่ํา มากในฤดหู นาว มฝี นตกบา งในฤดใู บไมผลิและฤดูรอน ไดแก ภาคตะวันตกของคาบสมุทรอาหรับ ตอนกลาง ของประเทศตุรกี ตอนเหนอื ของภาคกลางของอิหรา น ในมองโกเลยี ทางตะวนั ตกเฉยี งเหนือของจีน พชื พรรณธรรมชาติเปนทงุ หญาสั้น (Steppe) ทุง หญาดังกลา วมกี ารชลประทานเขาถงึ ใชเ ล้ยี งสัตว และเพาะปลูกขาวสาลี ขา วฟาง ฝา ย ไดด ี 7) ภมู ิอากาศแบบทะเลทราย มคี วามแตกตางระหวา งอณุ หภูมิกลางวันกับกลางคืนและฤดูรอน กบั ฤดหู นาวมาก ไดแ ก ดนิ แดนทีอ่ ยูภายในทวีปทม่ี เี ทอื กเขาปดลอม ทําใหอิทธิพลจากมหาสมุทรเขาไปไมถึง ปริมาณฝนตกนอ ยกวาปล ะ 250 มม. (10 นว้ิ ) ไดแก บรเิ วณคาบสมทุ รอาหรบั ทะเลทรายโกบี ทะเลทรายธาร และที่ราบสงู ทิเบต ที่ราบสูงอิหราน บริเวณทม่ี นี ํา้ และตน ไมข ้นึ เรยี กวา โอเอซสิ (Oasis) พชื พรรณธรรมชาตเิ ปน อินทผลมั ตะบองเพชรและไมป ระเภทมหี นาม ชายขอบทะเลทราย สวนใหญ เปนทุงหญาสลับปาโปรง มีการเลี้ยงสัตวประเภทที่เล้ียงไวใชเนื้อและทําการเพาะปลูกตองอาศัยการ ชลประทานชว ย 8) ภูมิอากาศแบบเมดิเตอรเรเนียน อากาศในฤดูรอน รอนและแหงแลงในเลบานอน ซีเรีย อสิ ราเอลและตอนเหนอื ของอริ ัก พชื พรรณธรรมชาติเปนไมตนเต้ีย ไมพุมมีหนาม ตนไมเปลือกหนาที่ทนตอความแหงแลง ในฤดู รอ นไดด ี พชื ทเี่ พาะปลูก ไดแก สม องนุ และมะกอก 9) ภมู อิ ากาศแบบไทกา (ก่งึ ข้วั โลก) มีฤดูหนาวยาวนานและหนาวจัด ฤดูรอนสั้น มีนํ้าคางแข็งได ทุกเวลาและฝนตกในรปู ของหิมะ ไดแก ดินแดนทางภาคเหนอื ของทวีปบรเิ วณไซบีเรยี พืชพรรณธรรมชาติเปน ปาสน เปนแนวยาวทางเหนอื ของทวปี ท่เี รยี กวา ไทกา (Taiga) หรือปา สนของไซบีเรยี 10) ภูมอิ ากาศแบบทนุ ดรา (ขัว้ โลก) เขตนี้มีฤดูหนาวยาวนานมาก อากาศหนาวจัด มีหิมะปกคลุม ตลอดป ไมม ฤี ดรู อน พืชพรรณธรรมชาตเิ ปนพวกตะไครนํ้า และมอสส
7 11) ภูมิอากาศแบบที่สูง ในเขตที่สูงอุณหภูมิจะลดลงตามระดับความสูงในอัตราความสูงเฉล่ีย ประมาณ 1 องศาเซลเซียสตอความสงู 10 เมตร จงึ ปรากฏวา ยอดเขาสูงบางแหงแมจะอยูในเขตรอน ก็มีหิมะ ปกคลมุ ท้ังป หรอื เกือบตลอดป ไดแ ก ท่ีราบสงู ทิเบต เทอื กเขาหมิ าลัย เทอื กเขาคนุ ลุน และเทอื กเขาเทียนชาน ซ่ึงมคี วามสูงประมาณ 5,000 - 8,000 เมตร จากระดบั นํา้ ทะเล มีหิมะปกคลุมและมีอากาศหนาวเย็นแบบข้ัว โลก พืชพรรณธรรมชาติเปน พวกตะไครนาํ้ และมอสส การแบงภูมิภาค ทวปี เอเชียนอกจากจะเปน อนุภมู ภิ าคของทวีปยเู รเชยี ยงั อาจแบงออกเปนสวนยอ ยดงั นี้ เอเชียเหนือ หมายถึง รัสเซีย เรียกอีกอยางวาไซบีเรีย บางคร้ังรวมถึงประเทศทางตอนเหนือของ เอเชยี ดว ย เชน คาซคั สถาน เอเชียกลาง ประเทศในเอเชียกลาง ไดแก - สาธารณรัฐในเอเชียกลาง 5 ประเทศ คือ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน เติรก เมนิสถานและครี ก ีซสถาน - ประเทศแถบตะวันตกของทะเลสาบแคสเปยน 3 ประเทศ คือ จอรเจีย อารเมเนีย และอาเซอรไ บจานบางสวน เอเชยี ตะวนั ออก ประเทศในเอเชียตะวนั ออก ไดแก - เกาะไตหวนั และญ่ปี นุ ในมหาสมุทรแปซฟิ ก - เกาหลีเหนอื และเกาหลใี ตบ นคาบสมุทรเกาหลี - สาธารณรฐั ประชาชนจนี และมองโกเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต ดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต คือ ประเทศบนคาบสมุทรมลายู คาบสมุทรอินโดจีน เกาะตาง ๆ ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟก เอเชียตะวันออกเฉียงใต ประกอบดวย - ประเทศตาง ๆ ในแผนดินใหญ ไดแก สาธารณรัฐแหงสหภาพพมา ไทย สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว กมั พชู าและเวียดนาม - ประเทศตาง ๆ ในทะเล ไดแก มาเลเซีย ฟลิปปนส สิงคโปร อินโดนีเซีย บรูไนและติมอร ตะวันออก (ตมิ อร - เลสเต) ประเทศอนิ โดนีเซียแยกไดเ ปน 2 สว น โดยมที ะเลจนี ใตคัน่ กลาง ท้ังสองสว นมีท้ัง พ้ืนทท่ี ี่เปนแผนดนิ ใหญแ ละเกาะ เอเชียใต เอเชยี ใตอ าจเรียกอีกอยา งวา อนทุ วีปอนิ เดีย ประกอบดวย - บนเทือกเขาหมิ าลยั ไดแ ก อินเดยี ปากีสถาน เนปาล ภฏู านและบังกลาเทศ - ในมหาสมทุ รอินเดีย ไดแก ศรลี งั กาและมลั ดฟี ส เอเชยี ตะวันตกเฉียงใต (หรอื เอเชียตะวันตก) ประเทศตะวนั ตกโดยเฉพาะในสหรฐั อเมรกิ ามกั เรยี กอนุ ภูมิภาคน้ีวาตะวันออกกลางบางครั้ง “ตะวันออกกลาง” อาจหมายรวมถึงประเทศในแอฟริกาเหนือ เอเชีย ตะวนั ตกเฉียงใตแบง ยอ ยไดเ ปน
8 - อะนาโตเลีย (Anatolia) ซ่ึงกค็ อื เอเชียไมเนอร (Asia Minor) เปนพ้ืนที่สวนท่ีเปนเอเชียของ ตุรกี - ประเทศตุรกี 97 % ของตุรกี - ทเี่ ปนเกาะ คอื ไซปรัส ในทะเลเมดิเตอรเ รเนียน - กลุมเลแวนตหรือตะวันออกใกล ไดแ ก ซีเรีย อสิ ราเอล จอรแ ดน เลบานอนและอิรัก - ในคาบสมุทรอาหรับ ไดแก ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส บาหเรน กาตาร อมาน เยเมนและอาจรวมถงึ คเู วต - ท่ีราบสูงอหิ ราน ไดแก อิหรา นและพนื้ ทีบ่ างสว นของประเทศอน่ื ๆ - อัฟกานสิ ถาน
9 กิจกรรมท่ี 1.1 ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรกายภาพของประเทศในทวีปเอเชีย 1) ใหผ ูเ รียนอธิบายจดุ เดนของลกั ษณะภมู ิประเทศในทวปี เอเชีย ทั้ง 5 เขต .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2) ภูมอิ ากาศแบบใดท่ีมีหมิ ะปกคลมุ ตลอดปและพืชพรรณที่ปลูกเปน ประเภทใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
10 เรื่องท่ี 2 การเปลีย่ นแปลงสภาพภมู ิศาสตรก ายภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตรกายภาพ หมายถึง ลักษณะการเปล่ียนแปลงของส่ิงแวดลอมทาง กายภาพทอ่ี ยูร อบตวั มนษุ ย ท้ังสว นทเ่ี ปนธรณภี าค อทุ กภาค บรรยากาศภาคและชีวภาค ตลอดจนความสัมพันธ ทางพนื้ ท่ีของสิ่งแวดลอมทางกายภาพตา ง ๆ ดงั กลาวขา งตน การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตรกอใหเกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ทั้งภูมิประเทศและ ภมู อิ ากาศในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชยี สวนมากเกิดจากปรากฏการณตามธรรมชาติและเกิดผล กระทบตอประชาชนทีอ่ าศยั อยู รวมท้ังสงิ่ กอ สรางปรากฏการณต า ง ๆ ทีม่ ักจะเกดิ มดี ังตอไปนี้ 2.1 การเกิดแผนดินไหว แผนดินไหวเปนปรากฏการณธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนท่ีของแผน เปลอื กโลก (แนวระหวางรอยตอธรณีภาค) ทําใหเกิดการเคลื่อนตัวของชั้นหินขนาดใหญเลื่อนเคลื่อนท่ีหรือ แตกหกั และเกิดการโอนถา ยพลงั งานศกั ยผานในชั้นหินท่ีอยตู ดิ กัน พลังงานศักยน อี้ ยใู นรูปเคล่ือนไหวสะเทือน จุดศนู ยกลางการเกิดแผน ดินไหว (focus) มักเกิดตามรอยเลือ่ น อยูใ นระดบั ความลึกตาง ๆ ของผวิ โลก สว นจุด ท่ีอยูในระดับสูงกวา ณ ตําแหนงผิวโลก เรียกวา “จุดเหนือศูนยกลางแผนดินไหว” (epicenter) การสน่ั สะเทือนหรือแผนดินไหวนีจ้ ะถูกบนั ทึกดวยเครอ่ื งมอื ทเี่ รยี กวา ไซสโ มกราฟ 1) สาหตุการเกดิ แผนดนิ ไหว - แผนดินไหวจากธรรมชาติ เปนธรณีพิบัติภัยชนิดหนึ่ง สวนมากเปนปรากฏการณทาง ธรรมชาติทีเ่ กดิ จากการส่นั สะเทือนของพื้นดิน อันเนื่องมาจากการปลดปลอยพลังงานท่ีสะสมไว ภายในโลก ออกมาอยางฉับพลัน เพ่ือปรับสมดุลของเปลือกโลกใหคงท่ีโดยปกติเกิดจากการเคล่ือนไหวของรอยเลื่อน ภายในช้ันเปลือกโลกท่ีอยดู า นนอกสุดของโครงสรางของโลก มีการเคล่ือนที่หรือเปลี่ยนแปลงอยางชา ๆ อยู เสมอ แผน ดินไหวจะเกิดข้ึนเม่ือมกี ารเปลย่ี นแปลงมากเกินไป ภาวะนี้เกิดข้ึนบอยในบริเวณขอบเขตของแผน เปลอื กโลกที่แบงช้ันเปลือกโลกออกเปนธรณีภาค (lithosphere) เรียกแผนดินไหวท่ีเกิดขึ้นบริเวณขอบเขต ของแผน เปลือกโลกนว้ี า แผน ดินไหวระหวา งแผน (interpolate earthquake) ซึ่งเกิดไดบอยและรุนแรงกวา แผน ดินไหวภายในแผน (intraplate earthquake) - แผนดนิ ไหวจากการกระทําของมนุษย ซึ่งมีทงั้ ทางตรงและทางออ ม เชน การทดลองระเบิด ปรมาณู การทําเหมือง สรางอางเก็บน้ําหรือเขื่อนใกลรอยเล่ือน การทํางานของเคร่ืองจักรกล การจราจร เปนตน 2) การวัดระดับความรุนแรงของแผนดินไหว โดยปกติจะใชมาตราริคเตอร ซ่ึงเปนการวัดขนาด และความสมั พันธข องขนาดโดยประมาณกบั ความสัน่ สะเทือนใกลศ นู ยกลาง ระดบั ความรนุ แรงของแผน ดินไหว 1 - 2.9 เล็กนอ ย ผูค นเริม่ รสู ึกถงึ การมาของคล่ืน มอี าการวงิ เวยี นเพยี งเลก็ นอ ยในบางคน 3 - 3.9 เล็กนอ ย ผคู นท่ีอยูในอาคารรูสกึ เหมือนมีอะไรมาเขยาอาคารใหส ่นั สะเทือน
11 4 - 4.9 ปานกลาง ผูท่อี าศัยอยูทั้งภายในอาคารและนอกอาคาร รสู ึกถงึ การสัน่ สะเทอื น วตั ถหุ อย แขวนแกวง ไกว 5 - 5.9 รนุ แรงเปนบริเวณกวาง เครอ่ื งเรอื นและวัตถุมีการเคล่อื นท่ี 6.69 รนุ แรกมาก อาคารเรมิ่ เสยี หาย พงั ทลาย 7.0 ข้ึนไป เกิดการสน่ั สะเทือนอยางมากมาย สงผลทําใหอาคารและส่ิงกอสรางตาง ๆ เสียหาย อยางรนุ แรง แผนดนิ แยก วตั ถุบนพนื้ ถกู เหวย่ี งกระเดน็ 3) ขอ ปฏิบตั ใิ นการปองกนั และบรรเทาภัยจากแผนดินไหว กอ นเกดิ แผน ดินไหว 1. เตรียมเคร่ืองอุปโภคบริโภคที่จําเปน เชน ถานไฟฉาย ไฟฉาย อุปกรณดับเพลิง นํ้า อาหารแหง ไวใชในกรณีไฟฟา ดับหรือกรณีฉกุ เฉนิ อืน่ ๆ 2. จัดหาเคร่ืองรับวิทยุที่ใชถานไฟฉายหรือแบตเตอร่ีสําหรับเปดฟงขาวสาร คําเตือน คําแนะนาํ และสถานการณต า ง ๆ 3. เตรียมอปุ กรณน ริ ภยั สําหรับการชวยชีวิต 4. เตรียมยารกั ษาโรคและเวชภณั ฑใหพรอมทจ่ี ะใชใ นการปฐมพยาบาลเบอ้ื งตน 5. จัดใหม ีการศึกษาถึงการปฐมพยาบาล เพ่ือเปนการเตรียมพรอมที่จะชวยเหลือผูท่ีไดรับ บาดเจ็บหรืออันตรายใหพน ขดี อันตรายกอ นท่จี ะถึงมือแพทย 6. จําตําแหนงของวาลว เปด -ปดน้ํา ตําแหนงของสะพานไฟฟา เพ่ือตัดตอนการสงนํ้า และ ไฟฟา 7. ยึดเคร่ืองเรอื น เครื่องใชไ มส อยภายในบาน ที่ทํางานและในสถานศกึ ษาใหม่ันคง แนน หนา ไมโยกเยกโคลงเคลงเพ่อื ไมใ หไ ปทาํ ความเสียหายแกชีวติ และทรพั ยสิน 8. ไมควรวางสิ่งของทม่ี นี ้าํ หนักมาก ๆ ไวใ นทีส่ ูง เพราะอาจรว งหลน มาทาํ ความเสยี หายหรอื เปน อนั ตรายได 9. เตรยี มการอพยพเคล่อื นยาย หากถึงเวลาที่จะตองอพยพ 10. วางแผนปองกนั ภัยสาํ หรบั ครอบครวั ท่ที าํ งานและสถานทีศ่ ึกษา มกี ารช้ีแจงบทบาทท่ีสมาชิก แตล ะบุคคลจะตองปฏิบตั ิ มกี ารฝก ซอ มแผนท่จี ดั ทําไว เพือ่ เพม่ิ ลกั ษณะและความคลอ งตวั ในการปฏิบตั ิ เม่อื เกดิ เหตกุ ารณฉ ุกเฉิน ขณะเกดิ แผน ดนิ ไหว 1. ตงั้ สติ อยูในทที่ ่ีแขง็ แรงปลอดภยั หา งจากประตู หนา ตาง สายไฟฟา เปนตน 2. ปฏิบัติตามคําแนะนํา ขอควรปฏิบัติของทางราชการอยางเครงครัด ไมตื่นตระหนก จนเกินไป 3. ไมควรทาํ ใหเ กดิ ประกายไฟ เพราะหากมีการรัว่ ซึมของแกสหรอื วัตถไุ วไฟ อาจเกิดภัยพิบัติ จากไฟไหม ไฟลวก ซํา้ ซอ นกับแผน ดินไหวเพิม่ ขน้ึ อีก 4. เปดวิทยุรับฟงสถานการณ คาํ แนะนาํ คําเตือนตา ง ๆ จากทางราชการอยางตอเนื่อง
12 5. ไมค วรใชล ฟิ ต เพราะหากไฟฟา ดับอาจมีอนั ตรายจากการติดอยูภายใตลิฟต 6. มดุ เขา ไปนอนใตเตยี งหรือตัง่ อยา อยใู ตคานหรือทที่ มี่ นี ํา้ หนกั มาก 7. อยใู ตโ ตะ ท่ีแข็งแรง เพือ่ ปอ งกนั อนั ตรายจากสิง่ ปรักหักพังรว งหลน ลงมา 8. อยหู า งจากส่งิ ทีไ่ มมั่นคงแขง็ แรง 9. ใหร ีบออกจากอาคารเมอ่ื มกี ารสง่ั การจากผูทค่ี วบคมุ แผนปอ งกันภยั หรอื ผทู ่ีรบั ผดิ ชอบในเร่อื งน้ี 10. หากอยูในรถ ใหหยุดรถจนกวาแผน ดินจะหยดุ ไหวหรอื สน่ั สะเทือนหลงั เกดิ แผนดินไหว 11. ตรวจเช็คการบาดเจ็บและทําการปฐมพยาบาลผูที่ไดรับบาดเจ็บ แลวรีบนําสง โรงพยาบาลโดยดวนเพ่ือใหแ พทยไ ดทําการรกั ษาตอ ไป 12. ตรวจเชค็ ระบบนาํ้ ไฟฟา หากมีการร่ัวซึมหรือชํารุดเสียหาย ใหปดวาลวเพื่อปองกันนํ้าทวม เออ ยกสะพานไฟฟา เพื่อปอ งกันไฟฟารั่ว ไฟฟา ดูดหรอื ไฟฟาชอ็ ต 13. ตรวจเชค็ ระบบแกส โดยวิธีการดมกลิ่นเทานั้น หากพบวามีการรั่วซึมของแกส (มีกลิ่น) ใหเ ปดประตูหนาตา ง แลว ออกจากอาคารแจง เจา หนา ท่ีปอ งกนั ภยั ฝายพลเรอื นผทู รี่ บั ผดิ ชอบไดท ราบในโอกาส ตอ ไป 14. ไมใ ชโทรศพั ทโ ดยไมจาํ เปน 15. อยา กดนาํ้ ลา งสวมจนกวา จะมกี ารตรวจเช็คระบบทอ เปนทเ่ี รียบรอ ยแลว เพราะอาจเกิด การแตกหกั ของทอ ในสวมทําใหน ้ําทวมเออ หรือสงกลน่ิ ท่ีไมพงึ ประสงค 16. ออกจากอาคารท่ชี าํ รดุ โดยดว น เพราะอาจเกดิ การพงั ทลายลงมา 17. สวมรองเทา ยางเพือ่ ปอ งกันสิง่ ปรักหกั พงั เศษแกว เศษกระเบ้ือง 18. รวมพล ณ ที่หมายท่ไี ดตกลงนดั หมายกันไวแ ละตรวจนับจาํ นวนสมาชกิ วาอยคู รบหรอื ไม 19. รวมมือกับเจาหนาที่ในการเขาไปปฏิบัติงานในบริเวณที่ไดรับความเสียหายและผูไมมี หนา ท่หี รือไมเกยี่ วของไมควรเขา ไปในบริเวณนัน้ ๆ หากไมไ ดรบั การอนุญาต 20. อยา ออกจากชายฝง เพราะอาจเกิดคลน่ื ใตนาํ้ ซัดฝง ได แมวาการสนั่ สะเทือนของแผนดิน จะสิ้นสดุ ลงแลว กต็ าม ผลกระทบตอประชากรทเ่ี กดิ จากแผนดนิ ไหว จากเหตุการณแ ผน ดนิ ไหวครัง้ รา ยแรงลา สุดในทวีปเอเชีย ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เม่ือวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 มีความรนุ แรงอยูที่ขนาด 7.9 รกิ เตอร ท่ีความลึก : 19 กิโลเมตร โดยจุดศูนยกลาง การสัน่ อยทู ่ี เขตเหวนิ ฉวน มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงเหนอื ของนครเฉิงตู 90 กิโลเมตร แผนดินไหวครั้ง นสี้ รา งความเสียหายใหก บั ประเทศจีนอยางมหาศาล ท้ังชีวิตประชาชน อาคารบานเรือน ถนนหนทาง โดยมี ผูเสียชีวิต 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน (ตัวเลขอยางเปนทางการ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551) นอกจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแลว แผนดินไหวก็ยังสามารถรูสึกไดในประเทศเพ่ือน บา นของจนี อาทิเชน ประเทศไทย ประเทศบงั กลาเทศ ประเทศอินเดยี ประเทศปากสี ถาน
13 แมวา การเกิดแผน ดินไหวไมสามารถปองกันได แตเ ราควรเรียนรูขอปฏิบัติในการปองกันท้ังกอน การเกิดแผน ดินไหวและขณะเกิดแผนดนิ ไหว เพื่อปอ งกันความเสยี หายที่เกิดกับชีวติ 2.2 การเกิดพายุ พายุ คือ สภาพบรรยากาศที่ถูกรบกวนแบบใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะท่ีมีผลกระทบตอ พ้ืนผวิ โลกและบงบอกถึงสภาพอากาศทร่ี นุ แรง เมอื่ พูดถงึ ความรุนแรงของพายจุ ะกลา วถึงความเรว็ ท่ีศูนยกลาง ซ่ึงอาจสูงถึง 400 กม./ชม. ความเร็วของการเคล่ือนตัว ทิศทางการเคล่ือนตัวของพายุและขนาดความกวาง หรือเสนผาศูนยกลางของตัวพายุ ซึ่งบอกถึงอาณาบริเวณที่จะไดรับความเสียหายวา ครอบคลุมเทาใด ความรุนแรงของพายุจะมหี นวยวัดความรนุ แรงคลายหนวยริกเตอรข องการวดั ความรนุ แรงแผนดินไหว มกั จะมี ความเร็วเพม่ิ ขึน้ เรื่อย ๆ ประเภทของพายุ พายแุ บงเปน ประเภทใหญ ๆ ได 3 ประเภท คือ 1) พายุฝนฟาคะนอง มลี กั ษณะเปนลมพัดยอนไปมาหรือพัดเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน อาจเกิด จากพายุที่ออ นตวั และลดความรุนแรงของลมลงหรอื เกดิ จากหยอมความกดอากาศตํ่า รองความกดอากาศต่ํา อาจไมม ีทศิ ทางทแี่ นน อนหากสภาพการณแวดลอมตา ง ๆ ของการเกดิ ฝนเหมาะสมกจ็ ะเกดิ ฝนตก มีลมพัด 2) พายุหมนุ เขตรอ นตาง ๆ เชน เฮอรร เิ คน ไตฝุนและไซโคลน ซ่ึงลวนเปนพายุหมุนขนาดใหญ เชนเดียวกนั และจะเกดิ ขึน้ หรอื เรมิ่ ตน กอ ตัวในทะเล หากเกดิ เหนอื เสนศนู ยสูตรจะมีทิศทางการหมุนทวนเข็ม นาฬกิ าและหากเกิดใตเสน ศนู ยส ูตรจะหมนุ ตามเข็มนาฬิกา โดยมชี ื่อตา งกนั ตามสถานทเ่ี กิด กลาวคอื พายุเฮอรร ิเคน (hurricane) เปนชอ่ื เรยี กพายุหมนุ ทเี่ กดิ บรเิ วณทศิ ตะวันตกของมหาสมุทร แอตแลนติก เชน บริเวณฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อาวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน เปนตน รวมท้ังมหาสมุทร แปซิฟกบรเิ วณชายฝง ประเทศเมก็ ซิโก พายุไตฝุน (typhoon) เปนชื่อพายุหมุนท่ีเกิดทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกเหนือ เชน บรเิ วณทะเลจนี ใต อาวไทย อาวตงั เกี๋ย ประเทศญี่ปนุ พายุไซโคลน (cyclone) เปนช่ือพายุหมุนที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียเหนือ เชน บริเวณอาว เบงกอล ทะเลอาหรับ เปนตน แตถาพายุนี้เกิดบริเวณทะเลติมอรและทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ออสเตรเลียจะเรียกวา พายุวลิ ลี - วลิ ลี (willy-willy) พายุโซนรอน (tropical storm) เกิดขึ้นเมื่อพายุเขตรอนขนาดใหญออนกําลังลงขณะ เคล่ือนตัวในทะเลและความเร็วทจ่ี ุดศนู ยก ลางลดลงเมอื่ เคลอื่ นเขา หาฝง มคี วามเร็วลม 62 - 117 กโิ ลเมตรตอ ช่วั โมง พายุดีเปรสชั่น (depression) เกิดขึ้นเมื่อความเร็วลดลงจากพายุโซนรอน ซึ่งกอใหเกิดพายุฝน ฟาคะนองธรรมดาหรอื ฝนตกหนกั มีความเรว็ ลมนอยกวา 61 กิโลเมตรตอช่วั โมง 3) พายทุ อรน าโด (tornado) เปน ช่ือเรียกพายหุ มนุ ทเี่ กดิ ในทวีปอเมริกา มีขนาดเนื้อที่เล็กหรือ เสน ผา ศูนยกลางนอ ย แตห มนุ ดวยความเร็วสงู หรือความเร็วทจ่ี ดุ ศนู ยกลางสงู มากกวาพายหุ มนุ อนื่ ๆ กอ ความ เสียหายไดรุนแรงในบริเวณที่พัดผาน เกิดไดท้ังบนบกและในทะเล หากเกิดในทะเล จะเรียกวา นาคเลนน้ํา (water spout) บางครั้งอาจเกดิ จากกลมุ เมฆบนทอ งฟาแตหมุนตัวยื่นลงมาจากทองฟาไมถึงพื้นดิน มีรูปราง เหมือนงวงชาง จงึ เรียกกนั วา ลมงวงชาง
14 ความเร็วของพายุ สามารถแบง ออกเปน 5 ระดบั ไดแก 1) ระดบั ท่ี 1 มีความเร็วลม 119 - 153 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางเล็กนอย ไมสงผลตอสิ่ง ปลูกสราง มนี ํา้ ทวมขังตามชายฝง 2) ระดับท่ี 2 มีความเร็วลม 154 - 177 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางเล็กนอย ทําใหหลังคา ประตู หนาตา งบานเรือนเสียหายบา ง ทําใหเ กดิ น้ําทวมขงั 3) ระดับท่ี 3 มีความเร็วลม 178 - 209 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางปานกลางทําลาย โครงสรา งทอี่ ยูอาศยั ขนาดเล็ก น้ําทว มขังถึงพน้ื บา นชัน้ ลาง 4) ระดับที่ 4 มีความเร็วลม 210 - 249 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางสูง หลังคาบานเรือน บางแหง ถูกทําลาย น้ําทวมเขามาถึงพน้ื บาน 5) ระดับท่ี 5 มีความเร็วลมมากกวา 250 กิโลเมตรตอช่ัวโมง จะทําลายลางสูงมาก หลังคา บา นเรือน ตกึ และอาคารตาง ๆ ถูกทําลาย พังทลาย นํ้าทวมขงั ปริมาณมาก ถึงขั้นทาํ ลายทรัพยส นิ ในบาน อาจ ตองประกาศอพยพประชาชน ลําดบั ชนั้ การเกดิ พายุฝนฟา คะนอง 1) ระยะเจรญิ เตบิ โต โดยเร่มิ จากการที่อากาศรอ นลอยตัวขึ้นสูบรรยากาศ พรอมกับการมีแรง มากระทาํ หรือผลกั ดันใหม วลอากาศยกตัวขนึ้ ไปสคู วามสูงระดับหน่ึง โดยมวลอากาศจะเย็นลงเมื่อลอยสูงข้ึน และเร่ิมท่จี ะเคลอ่ื นตวั เปน ละอองนา้ํ เลก็ ๆ เปน การกอ ตวั ของเมฆควิ มลู ัส ในขณะท่ีความรอ นแฝงจากการกลน่ั ตวั ของไอนาํ้ จะชวยใหอ ตั ราการลอยตัวของกระแสอากาศภายในกอ นเมฆเรว็ มากยงิ่ ขน้ึ ซ่ึงเปนสาเหตุใหขนาด ของเมฆคิวมูลสั มขี นาดใหญขึน้ และยอดเมฆสูงเพิม่ ข้นึ เปน ลําดบั จนเคล่อื นท่ีข้นึ ถึงระดับบนสุดแลว (จุดอ่ิมตัว) จนพฒั นามาเปนเมฆควิ มูโลนมิ บสั กระแสอากาศบางสว นก็จะเร่มิ เคลื่อนท่ีลงและจะเพิ่มมากขึ้นจนกลายเปน กระแสอากาศทเ่ี คลอ่ื นที่ลงอยา งเดยี ว 2) ระยะเจริญเตบิ โตเตม็ ที่ เปน ชวงทกี่ ระแสอากาศมีทงั้ ไหลขึ้นและไหลลงปริมาณความรอ นแฝง ที่เกิดข้ึนจากการกลั่นตัวลดนอยลง ซ่ึงมีสาเหตุมาจากการที่หยาดนํ้าฟาท่ีตกลงมามีอุณหภูมิตํ่า ชวยทําให อณุ หภมู ขิ องกลมุ อากาศเยน็ กวา อากาศแวดลอ ม ดังนน้ั อตั ราการเคลื่อนทล่ี งของกระแสอากาศจะมีคาเพิ่มข้ึน เปนลาํ ดับ กระแสอากาศท่เี คล่อื นทล่ี งมา จะแผข ยายตวั ออกดานขา งกอ ใหเกิดลมกระโชกรุนแรง อุณหภูมิจะ ลดลงทนั ทีทันใด และความกดอากาศจะเพ่ิมข้ึนอยางรวดเร็วและยาวนาน แผออกไปไกลถึง 60 กิโลเมตรได โดยเฉพาะสวนทอ่ี ยดู า นหนาของทศิ ทาง การเคลื่อนท่ขี องพายฝุ นฟา คะนอง พรอมกนั นั้นการที่กระแสอากาศ เคลอื่ นท่ขี ึ้นและเคลอื่ นทลี่ งจะกอ ใหเกดิ ลมเชยี รร นุ แรงและเกิดอากาศปนปว นโดยรอบ 3) ระยะสลายตัว เปนระยะท่ีพายุฝนฟาคะนองมีกระแสอากาศเคลื่อนที่ลงเพียงอยางเดียว หยาดนา้ํ ฝนตกลงมาอยางรวดเรว็ และหมดไปพรอ ม ๆ กับกระแสอากาศทีไ่ หลลงก็จะเบาบางลง การหลบเลย่ี งอนั ตรายจากพายฝุ นฟาคะนอง เนื่องจากพายุฝนฟาคะนองสามารถ ทําใหเกิดความ เสยี หายตอ ทรัพยสินและอันตรายตอ ชีวติ ของมนษุ ยไ ด จึงควรหลบเลี่ยงจากสาเหตุดังกลาว คอื 1) ในขณะปรากฏพายุฝนฟาคะนอง หากอยูใกลอาคารหรือบานเรือนที่แข็งแรงและปลอดภัย จากน้ําทว ม ควรอยูแ ตภ ายในอาคารจนกวาพายุฝนฟาคะนองจะยุตลิ ง ซึง่ ใชเวลาไมนานนัก การอยูในรถยนต
15 จะเปน วิธีการท่ีปลอดภยั วิธีหนึ่ง แตควรจอดรถใหอยหู างไกลจากบรเิ วณที่นํ้าอาจทวมได อยูหางจากบริเวณท่ี เปน นาํ้ ข้นึ จากเรอื ออกหา งจากชายหาดเม่ือปรากฏพายฝุ นฟา คะนอง เพื่อหลีกเล่ียงอันตรายจากนํ้าทวมและ ฟา ผา 2) ในกรณีทอี่ ยูในปา ในทงุ ราบหรือในท่ีโลง ควรคุกเขาและโนมตัวไปขางหนา แตไมควรนอน ราบกับพน้ื เนื่องจากพื้นเปยกเปน ส่ือไฟฟา และไมควรอยใู นท่ีตํ่า ซ่งึ อาจเกดิ นาํ้ ทวมฉับพลันได ไมควรอยูในท่ี โดดเดี่ยวหรอื อยสู งู กวาสภาพส่งิ แวดลอม 3) ออกหางจากวัตถุท่ีเปนสื่อไฟฟาทุกชนิด เชน ลวด โลหะ ทอนํ้า แนวร้ัวบาน รถแทรกเตอร จักรยานยนต เครอ่ื งมืออุปกรณท ําสวนทกุ ชนิด รางรถไฟ ตนไมสูง ตนไมโดดเด่ียวในท่ีแจง ไมควรใชอุปกรณ ไฟฟา เชน โทรทศั น ฯลฯ และควรงดใชโทรศพั ทช ว่ั คราว นอกจากกรณีฉุกเฉิน ไมควรใสเคร่ืองประดับโลหะ เชน ทองเหลอื ง ทองแดง ฯลฯ ในท่ีแจงหรอื ถอื วตั ถโุ ลหะ เชน รม ในขณะปรากฏพายฝุ นฟา คะนอง นอกจากน้ี ควรดแู ลสิง่ ของตาง ๆ ใหอ ยใู นสภาพทีแ่ ขง็ แรงและปลอดภัยอยูเสมอโดยเฉพาะส่ิงของทีอ่ าจจะหกั โคนได เชน หลังคาบา น ตน ไม ปายโฆษณา เสาไฟฟา ฯลฯ ผลกระทบตอ ประชากรที่เกิดจากพายุ จากกรณีการเกดิ พายุไซโคลน “นารก ีส” (Nargis) ท่ีสาธารณรัฐแหงสหภาพพมา ถือเปน ขาวใหญ ทที่ ว่ั โลกใหความสนใจอยา งยิ่ง เพราะมหนั ตภัยครั้งนี้ ไดคราชีวิตชาวพมา ไปนบั หมนื่ คน สูญหายอีกหลายหมื่นชวี ิต บานเรอื น ทรพั ยส ินและสาธารณูปโภคตา ง ๆ เสียหายยบั เยนิ “นารกีส” เปนช่ือเรียกของพายุหมุนเขตรอน มีผลพวงมาจากการเกิดภาวะโลกรอน มีความเร็วลม 190 กิโลเมตรตอช่ัวโมง พายุ “นารกีส” เร่ิมกอตัว เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2551 ในอาวเบงกอล ตอนกลางและพัดเขาบริเวณสามเหลี่ยมปากแมนํ้าอิระวดี ที่นครยางกุงและบาสเซน สาธารณรัฐแหง สหภาพพมา ในเชา วันท่ี 3 พฤษภาคม 2551 ความรุนแรงของไซโคลน “นารกีส” จัดอยูในความรุนแรงระดับ 3 คือ ทําลายลางปานกลาง ทําลายโครงสรางที่อยูอาศัยขนาดเล็ก นาํ้ ทวมขังถึงพ้ืนบานช้ันลางพัดหลังคาบานเรือนปลิววอน ตนไมและเสา ไฟฟาหักโคน ไฟฟาดับทั่วเมือง ในขณะท่ีทางภาคเหนือและภาคใตของประเทศไทยก็เจอหางเลขอิทธิพล “นารก สี ” เลก็ นอย ซ่ึงทําใหห ลายจงั หวัดเกดิ ฝนตกชุก มีน้ําทวมขัง พบิ ัติภยั ธรรมชาตไิ มมที างเล่ยี งได ไมว า จะประเทศไหนหรอื แผนดินใด แตมีวิธปี องกนั ทีด่ ที ี่สุด คือ รัฐบาลตองมีหนวยงานซึ่งทําหนาที่ early warning คือ เตือนประชาชนคนของตนแตแรกดวยขอมูลที่มี ประสิทธิภาพและทันการณ จากน้ันก็ตองรีบดําเนินการตาง ๆ อยางเหมาะสม เชน ยายผูคนใหไปอยูในที่ ปลอดภัย ท้ังนี้ นบั เปน โชคดีของประเทศไทยท่เี มื่อ นารก สี มาถึงบานเรากล็ ดความแรงลงคงมีแตฝนเปนสวน ใหญ แมจ ะทาํ ความเสียหายแกพชื ไรของเกษตรกรไมน อยแตก็เพ่ิมประมาณนํ้าในเขื่อนสําคัญ ๆ แตอยางไรก็ ตามผลพวงภยั พบิ ตั ิทางธรรมชาติที่เกิดขน้ึ ท้งั หมดมาจาก “ภาวะโลกรอ น” ซ่งึ กเ็ กิดจากฝม อื มนษุ ยท ัง้ ส้นิ
16 2.3 การเกิดคลนื่ สึนามิ คลื่นสึนามิ (tsunami) คอื คลนื่ ในทะเลหรอื คลืน่ ยกั ษใตนํ้าจะเกิดภายหลัง จากการสั่นสะเทือนของแผนดินไหว แผนดินถลม การระเบิดหรือการปะทุของภูเขาไฟท่ีพ้ืนทองสมุทรอยาง รนุ แรง ทําใหเกิดรอยแยก นํ้าทะเลจะถูกดูดเขา ไปในรอยแยกนี้ ทําใหเกิดภาวะนํ้าลดลงอยางรวดเร็ว จากนั้น แรงอดั ใตเ ปลอื กโลกจะดันน้ําทะเลขน้ึ มากอพลงั คลนื่ มหาศาล คลน่ื สึนามิ อาจจะเคลื่อนท่ีขามมหาสมุทรซึ่งหางจากจุดท่ีเกิดเปนพัน ๆ กิโลเมตร โดยไมมีลักษณะผิดสังเกต เพราะมี ความสูงเพยี ง 30 เซนตเิ มตร เคลื่อนท่ีดว ยความเร็ว 600 - 1,000 กโิ ลเมตรตอชั่วโมง แตเม่ือเคล่ือนตัวเขามา ในเขตนา้ํ ตนื้ จะเกดิ แรงดนั ระดับนํา้ ใหส งู ขนึ้ อยางรวดเร็วและมีแรงปะทะอยางมหาศาลกลายเปนคล่ืนยักษท ่ีมี ความสงู 15 - 30 เมตร สึนามิ สว นใหญเ กดิ จากการเคลอื่ นตัวของเปลอื กโลกใตท ะเลอยา งฉบั พลนั อาจจะเปน การเกดิ แผนดิน ถลม ยบุ ตัวลงหรือเปลอื กโลกถูกดนั ขน้ึ หรอื ยบุ ตัวลง ทําใหม ีนาํ้ ทะเลปรมิ าตรมหาศาลถูกดันข้ึนหรือทรุดตัวลง อยางฉบั พลนั พลังงานจํานวนมหาศาลกถ็ า ยเทไปใหเกดิ การเคล่ือนตวั ของนํา้ ทะเลเปน คล่ืนสนึ ามทิ ี่เหนือทะเล ลึก จะดูไมตางไปจากคลื่นท่ัว ๆ ไปเลย จึงไมสามารถสังเกตไดดวยวิธีปกติ แมแตคนบนเรือเหนือทะเลลึก ที่คล่นื สึนามเิ คลอื่ นผานใตทอ งเรอื ไป กจ็ ะไมร สู กึ อะไรเพราะเหนือทะเลลกึ คล่นื นีส้ งู จากระดบั น้าํ ทะเลปกติเพียง ไมกฟ่ี ตุ เทา นัน้ จึงไมสามารถแมแ ตจะบอกไดดวยภาพถา ยจากเคร่ืองบินหรอื ยานอวกาศ นอกจากนีแ้ ลว สึนามิ ยังเกดิ ไดจากการเกิดแผน ดนิ ถลม ใตทะเลหรอื ใกลฝ ง ท่ีทําใหม วลของดินและหิน ไปเคล่อื นยา ยแทนทีม่ วลนา้ํ ทะเลหรอื ภูเขาไฟระเบิดใกลท ะเล สง ผลใหเกดิ การโยนสาดดินหินลงนํา้ จนเกดิ เปน คลืน่ สึนามไิ ด ดังเชน การระเบิดของภูเขาไฟกระกะตัว้ ในป ค.ศ. 1883 ซ่ึงสงคล่ืนสึนามิออกไปทําลายลางชีวิต และทรัพยส ินของผคู นในเอเชีย มจี ํานวนผูต ายถึงประมาณ 36,000 ชีวติ
17 คลน่ื สึนามกิ ับผลกระทบตอส่งิ แวดลอม การเกดิ คลนื่ สึนามิกระทบตอ ส่ิงแวดลอ มและสงั คม ในหลาย ๆ ดา น เชน เกดิ การเปลี่ยนแปลงของพื้นท่ีชายฝงในชว งเวลาอนั สนั้ รวมทง้ั การเปลี่ยนแปลงท่ีอยูอาศยั ของสัตว นํา้ บางประเภท ปะการงั ถูกทําลาย ประชาชนขาดที่อยูอาศัย ไรทรัพยสินสิ้นเน้ือประดาตวั กระทบตออาชีพไมวาจะ เปนชาวประมง อาชีพทเี่ กย่ี วกับการบริการดา นทองเท่ยี ว ส่งิ ปลูกสรางอาคารบานเรอื นเสยี หาย ฯลฯ ผลกระทบตอ ประชากรท่ีเกดิ จากคลืน่ สนึ ามิ จากกรณกี ารเกิดคลืน่ สึนามิ ในวันท่ี 26 ธันวาคม 2547 เวลา 0:58:50 น. (UT) หรือเวลา 7:58:50 น. ตามเวลาในประเทศไทย ไดเกิดแผนดินไหวขนาด 8.9 ตามมาตราริกเตอร ที่นอกชายฝงตะวันตกทางตอน เหนือของเกาะสมุ าตรา ประเทศอินโดนีเซีย จุดศูนยกลางอยูลึก 10 กม. หางจากเมืองบันดาเอเช ประมาณ 250 กม. และหางจากกรุงเทพฯ 1,260 กม. แผนดินไหวนี้เปนแผนดินไหวท่ีใหญเปนอันดับที่ 5 นับตั้งแตป ค.ศ. 1900 และใหญที่สุดนับตั้งแตแผนดินไหวอลาสกาในป ค.ศ. 1964 เหตุการณดังกลาวทําใหเกิดการ ส่ันสะเทือนรับรูไดในประเทศมาเลเซีย สิงคโปรและไทย แรงคลื่นสูงประมาณ 6 เมตร ไดถาโถมตามแนว ชายฝงสรางความเสียหายในวงกวาง ทําใหเกิดผูเสียชีวิตและบาดเจ็บเปนจํานวนมาก ในประเทศอินเดีย ศรีลงั กา มาเลเซยี และจงั หวัดทองเที่ยวทางใตข องประเทศไทย มผี เู สียชวี ติ นบั รอ ยและมผี ูบาดเจบ็ เปนจํานวนมาก ในจังหวดั ภูเกต็ พังงา ตรงั และกระบี่
18 กิจกรรมท่ี 1.2 การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู ิศาสตรกายภาพ 1) ใหผูเรียนอธิบายวาการเกิดแผนดินไหวอยางรุนแรงจะสงผลกระทบตอประชากรและ ส่ิงแวดลอมอยางไรบา ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ....................................................................... 2) ใหบอกความแตกตางและผลกระทบทีเ่ กดิ ตอ ประชากรและส่งิ แวดลอ มของพายฝุ นฟาคะนอง พายุหมุนเขตรอนและพายุทอรนาโด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ....................................................................... 3) คล่ืนสึนามิกับผลกระทบตอส่ิงแวดลอมมากมายหลายอยาง ในความคิดเห็นของผูเรียน ผลกระทบดา นใดท่ีเสยี หายมากทสี่ ุด พรอ มใหเ หตผุ ลประกอบ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .....................................................................................
19 เรือ่ งที่ 3 วธิ ีใชเ คร่ืองมอื ทางภูมศิ าสตร เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร หมายถึง ส่ิงที่มนุษยสรางขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและบันทึกขอมูลทางดาน ภูมิศาสตร เคร่อื งมอื ภมู ศิ าสตรท ส่ี าํ คญั ไดแก แผนที่ ลูกโลก เข็มทิศ รปู ถา ยทางอากาศ ภาพถายจากดาวเทียม และเคร่ืองมอื เทคโนโลยีเพอื่ การศึกษาภูมศิ าสตร ฯลฯ 3.1 แผนที่ เปนส่ิงท่ีมนุษยสรางข้ึนเพ่ือแสดงลักษณะท่ีต้ังของส่ิงตาง ๆ ที่ปรากฏอยูบนพื้นผิวโลก ทั้งท่เี กิดข้นึ เองตามธรรมชาติและสงิ่ ทม่ี นษุ ยสรา งขึ้น โดยการยอสว นใหม ขี นาดเลก็ ลงตามทตี่ องการ พรอ มทงั้ ใช เครอ่ื งหมายหรือสัญลกั ษณแสดงลกั ษณะแทนส่ิงตาง ๆ ลงในวัสดุพื้นแบนราบ ความสําคัญของแผนท่ี แผนท่ีเปนที่รวบรวมขอมูลประเภทตาง ๆ ตามชนิดของแผนท่ี จงึ สามารถใชประโยชนจ ากแผนทีไ่ ดต ามวตั ถปุ ระสงค โดยไมจ าํ เปน ตอ งเดนิ ทางไปเห็นพนื้ ทีจ่ ริง แผนท่ีชวยให ผใู ชสามารถรูส่ิงท่ปี รากฏอยบู นพ้ืนโลกไดอยางกวา งไกล ถกู ตองและประหยัด ประโยชนของแผนที่ แผนท่ีมปี ระโยชนต อ งานหลาย ๆ ดาน คอื 1. ดานการเมืองการปกครอง เพ่ือรักษาความม่ันคงของประเทศชาติใหคงอยูจําเปนจะตองมี ความรูในเร่ืองภมู ศิ าสตรการเมืองหรอื ที่เรยี กกันวา “ภูมิรัฐศาสตร” และเคร่ืองมอื ท่ีสาํ คญั ของนักภูมิรฐั ศาสตร กค็ ือ แผนท่ี เพอ่ื ใชศึกษาสภาพทางภูมิศาสตรและนํามาวางแผนดําเนินการเตรียมรับหรือแกไขสถานการณ ที่เกดิ ข้ึนได 2. ดา นการทหาร ในการพิจารณาวางแผนทางยุทธศาสตรของทหาร จําเปนตองหาขอมูลหรือ ขาวสารทีเ่ กีย่ วกับสภาพภูมศิ าสตรและตําแหนงทางส่ิงแวดลอมท่ีถูกตองแนนอนเกี่ยวกับระยะทาง ความสูง เสน ทาง ลักษณะภมู ปิ ระเทศท่ีสาํ คัญ 3. ดา นเศรษฐกิจและสังคม ดา นเศรษฐกจิ เปนเคร่อื งบง ชี้ความเปน อยขู องประชาชนภายในชาติ การดําเนินงานเพอื่ พฒั นาเศรษฐกิจของแตล ะภมู ิภาคท่ีผา นมา แผนที่เปนสงิ่ แรกท่ีตอง ผลิตขึ้นมาเพ่ือการ ใชงานในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ ก็ตองอาศัยแผนที่เปนขอมูลพ้ืนฐานเพ่ือใหทราบ ทาํ เลท่ตี งั้ สภาพทางกายภาพแหลง ทรัพยากร 4. ดานสังคม สภาพแวดลอมทางสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยูเสมอท่ีเห็นชัดคือสภาพแวดลอมทาง ภูมิศาสตร ซ่งึ ทําใหส ภาพแวดลอ มทางสงั คมเปลี่ยนแปลงไป การศกึ ษาสภาพการเปลย่ี นแปลงตอ งอาศยั แผนที่ เปน สาํ คญั และอาจชว ยใหการดาํ เนินการวางแผนพัฒนาสงั คมเปน ไปในแนวทางทีถ่ ูกตอง 5. ดานการเรยี นการสอน แผนท่ีเปน ตวั สง เสริมกระตุนความสนใจและกอใหเกิดความเขาใจใน บทเรียนดขี น้ึ ใชเปนแหลงขอมูลทง้ั ทางดานกายภาพ ภมู ภิ าค วฒั นธรรม เศรษฐกจิ สถติ แิ ละการกระจายของส่ิง ตา ง ๆ รวมทง้ั ปรากฏการณท างธรรมชาตแิ ละปรากฏการณตา ง ๆ ใชเ ปน เครอื่ งชวยแสดงภาพรวมของพื้นที่หรือของ ภมู ภิ าค อันจะนําไปศกึ ษาสถานการณและวิเคราะหความแตกตางหรอื ความสมั พนั ธข องพืน้ ท่ี 6. ดานสงเสรมิ การทองเทย่ี ว แผนทีม่ คี วามจําเปนตอนักทองเที่ยวในอันที่จะทําใหรูจักสถานท่ี ทองเที่ยวไดง า ย สะดวกในการวางแผนการเดินทางหรือเลือกสถานทท่ี องเท่ยี วตามความเหมาะสม
20 ชนดิ ของแผนที่ แบง ตามการใชง านได 3 ชนดิ ไดแ ก 1. แผนที่ภูมิประเทศ เปนแผนท่ีแสดงความสูงต่ําของพ้ืนผิวโลก โดยใชเสนช้ันความสูงบอกคา ความสูงจากระดับนา้ํ ทะเลปานกลาง แผนท่ชี นดิ น้ีเปน พ้นื ฐานท่ีจะนาํ ไปทาํ ขอมูลอ่นื ๆ เก่ยี วกับแผนท่ี 2. แผนท่ีเฉพาะเร่ือง เปนแผนท่ีท่ีแสดงลักษณะใดลักษณะหนึ่งโดยเฉพาะ ไดแกแผนท่ี รัฐกิจ แสดงเขตการปกครองหรืออาณาเขต แผนทีแ่ สดงอุณหภูมิของอากาศ แผนที่แสดงปริมาณนํ้าฝน แผนที่แสดง การกระจายตวั ของประชากร แผนทีเ่ ศรษฐกิจ แผนที่ประวัตศิ าสตร เปน ตน 3. เปนแผนทที่ ่รี วบรวมเรื่องตา ง ๆ ท้ังลกั ษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางดาน ประชากร และอ่ืน ๆ ไวใ นเลมเดียวกัน องคป ระกอบของแผนทม่ี ีหลายองคประกอบ คอื 1. สัญลักษณ คอื เครือ่ งหมายท่ใี ชแ ทนสิ่งตาง ๆ ตามที่ตองการแสดงไวในแผนท่ี เพื่อใหเขาใจ แผนที่ไดง า ยขึ้น เชน จุด วงกลม เสน ฯลฯ 2. มาตราสวน คือ อตั ราสวนระยะหา งในแผนทก่ี บั ระยะหางในภมู ิประเทศจรงิ 3. ระบบอา งองิ ในแผนที่ ไดแ ก เสนขนานละตจิ ูด และเสนลองติจูด (เมรเิ ดยี น) เสน ละติจูด เปนเสนสมมติที่ลากไปรอบโลกตามแนวนอนหรือแนวทิศตะวันออก ตะวันตก แตละเสนหางกัน 1 องศา โดยมีเสน 0 องศา (เสนศูนยสูตร) แบงก่ึงกลางโลก เสนที่อยูเหนือเสนศูนยสูตร เรยี กวา “เสน องศาเหนือ” เสน ทอ่ี ยใู ตเ สนศนู ยส ูตร เรยี กวา “เสนองศาใต” ละติจดู มีท้ังหมด 180 เสน เสน ลองตจิ ดู เปน เสน สมมตทิ ล่ี ากไปรอบโลกในแนวตั้งจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต แตละ เสนหางกัน 1 องศา กําหนดใหเสนที่ลากผานตําบลกรีนิช กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปนเสน 0 องศา (เมรเิ ดียนปฐม) ถานับจากเสนเมรเิ ดยี นปฐม ไปทางตะวนั ออก เรยี กเสน องศาตะวันออก ถา นบั ไปทางตะวนั ตก เรียกเสน องศาตะวันตก ลองตจิ ดู มีทัง้ หมด 360 เสน พิกัดภูมิศาสตร เปนตําแหนงที่ตั้งของจุดตาง ๆ บนพ้ืนผิวโลก เกิดจากการตัดกันของเสน ขนานละตจิ ดู และเสนเมรเิ ดยี น โดยเสนสมมติทั้งสองนจ้ี ะตง้ั ฉากซ่ึงกนั และกนั 4. ขอบระวาง แผนท่ที ุกชนดิ ควรมีขอบระวาง เพ่อื ชว ยใหดเู รียบรอยและเปนการกําหนดขอบเขต ของแผนทดี่ ว ย ขอบระวางมักแสดงดวยเสน ตรงสองเสนหรอื เสน เดียว 5. ระบบอางอิงบนแผนที่ คอื ระบบที่กําหนดข้ึนเพอ่ื อาํ นวยความสะดวกในการคํานวณหาตําแหนง ทต่ี ง้ั และคํานวณหาเวลาของตําแหนงตาง ๆ บนพ้ืนผิวโลก ซ่ึงแยกไดด ังนี้
21 การคํานวณหาตําแหนงที่ต้ัง จะใชละติจูดและลองติจูดเปนเกณฑ วิธีน้ีเรียกวา การพิกัด ภมู ิศาสตร การคาํ นวณหาเวลา โดยใชหลักการวา 1 นาที = 15 ลิปดา และ 4 นาที = 1 ลองติจูด หรือ 1 องศา 6. สีท่ใี ชในการเขยี นแผนท่ีแสดงลักษณะภูมปิ ระเทศ สีดาํ หมายถึง ส่ิงสาํ คญั ทางวัฒนธรรมท่มี นุษยสรา งข้นึ เชน อาคาร วดั สถานท่ีราชการ สนี าํ้ ตาล หมายถงึ ลักษณะภมู ปิ ระเทศท่ีมคี วามสูง สนี ้ําเงนิ หมายถงึ ลักษณะภมู ิประเทศทเี่ ปน นาํ้ เชน ทะเล แมนํา้ หนองบงึ สแี ดง หมายถงึ ถนนสายหลัก พ้ืนทยี่ านชมุ ชนหนาแนน และลกั ษณะภมู ิประเทศสําคญั สีเขียว พชื พนั ธไุ มตา ง ๆ เชน ปา สวน ไร 3.2 ลูกโลก เปนเครื่องมือทางภูมิศาสตรอยางหน่ึงท่ีใชเปนอุปกรณในการศึกษาคนควาหรือใช ประโยชนใ นดานอืน่ ๆ ลูกโลกจําลองเปนการยอ สว นของโลกมลี ักษณะทรงกลม บนผิวของลูกโลกจะมีแผนท่ี โลก แสดงพืน้ ดนิ พ้นื นํา้ สภาพภูมิประเทศ ท่ีต้ังประเทศ เมืองและเสนพิกัดทางภูมิศาสตร เพื่อสามารถบอก ตาํ แหนงตาง ๆ บนพ้ืนผวิ โลกได ลกู โลกจาํ ลองสรา งคลา ยลกู โลกจรงิ แสดงสีแทนลักษณะภูมิประเทศตา ง ๆ
22 องคประกอบของลูกโลก ไดแ ก เสนเมริเดยี น เปนเสน สมมติท่ีลากจากขั้วโลกเหนือไปยังข้วั โลกใต ซง่ึ กําหนดใหม ีคาเปน 0 องศา ทเ่ี มอื งกรีนิช ประเทศองั กฤษ เสนขนาน เปน เสน สมมตทิ ีล่ ากไปรอบโลกในแนวนอน ทกุ เสนจะขนานกบั เสนศนู ยสูตร 3.3 เข็มทิศ เปนเครื่องมือสําหรับใชในการหาทิศทางของจุดหรือวัตถุ โดยมีหนวยเปนองศา เปรียบเทยี บกับจุดเร่มิ ตนอาศยั แรงดงึ ดูดระหวางสนามแมเ หลก็ ขั้วโลกกับเขม็ แมเหล็ก ซึ่งเปนองคประกอบที่ สําคัญทสี่ ดุ เขม็ แมเ หลก็ จะแกวงไกวอิสระในแนวนอนเพ่ือใหแ นวเข็มชีอ้ ยใู นแนว เหนือ - ใต ไปยงั ขว้ั แมเ หล็ก โลกตลอดเวลา เข็มทศิ มีประโยชนเ พอ่ื ใชในการเดินทาง ไดแก การเดนิ เรอื ทะเล เครอื่ งบิน การใชเขม็ ทิศจะตอ ง มีแผนท่ีประกอบและตองหาทิศเหนอื กอน 3.4 รูปถายทางอากาศและภาพถา ยจากดาวเทยี ม เปนรูปหรือขอมูลตัวเลขท่ีไดจากการเก็บขอมูล ภาคพ้ืนดนิ จากกลอ งทีต่ ิดอยกู ับยานพาหนะ เชน เคร่อื งบินหรือดาวเทยี ม ประโยชนของรูปถา ยทางอากาศและภาพถายจากดาวเทียม รูปถายทางอากาศและภาพถาย จากดาวเทียมใหขอมูลพื้นผิวของเปลือกโลกไดเปนอยางดี ทําใหเห็นภาพรวมของการใชพ้ืนที่และการ เปล่ยี นแปลงตางๆ ตามทีป่ รากฏบนพ้นื โลกเหมาะแกการศึกษาทรัพยากรผิวดิน เชน ปาไม การใชประโยชน จากดิน หนิ และแร 3.5 เครอื่ งมือเทคโนโลยเี พื่อการศึกษาภมู ิศาสตร เทคโนโลยีท่สี ําคญั ดานภูมศิ าสตร คอื 1) ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร (GIS) หมายถงึ การเกบ็ รวบรวมและบันทกึ ขอ มูลทางภูมิศาสตร ดว ยระบบคอมพิวเตอรโดยขอ มลู เหลานสี้ ามารถปรบั ปรงุ แกไขใหถูกตองทนั สมัย และสามารถแสดงผลหรอื นํา ออกมาเผยแพรเปน ตัวเลข สถิติ รูปภาพ ตาราง แผนที่และขอ ความทางหนา จอคอมพิวเตอรหรือพิมพออกมา เปน เอกสารได
23 ประโยชนข องระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร( GIS) คอื ชวยใหป ระหยดั เวลาและงบประมาณ ชวยให เหน็ ภาพจาํ ลองพ้ืนทช่ี ดั เจนทําใหก ารตัดสนิ ใจวางแผนจัดการและพฒั นาพื้นทม่ี คี วามสะดวกและสอดคลองกับ ศกั ยภาพของพืน้ ทน่ี ั้นและชว ยในการปรบั ปรงุ แผนทใ่ี หท นั สมยั 2) ระบบพกิ ัดพน้ื ผวิ โลก (GPS) เปนเครอื่ งมอื รบั สญั ญาณพกิ ัดพน้ื ผวิ โลกอาศัยระยะทางระหวา ง เคร่ืองรับดาวเทียม GPS บนพื้นผิวโลกกับดาวเทียมจํานวนหน่ึงท่ีโคจรอยูในอวกาศและระยะทางระหวาง ดาวเทียมแตละดวง ปจ จบุ นั มดี าวเทยี มชนิดนอี้ ยูประมาณ 24 ดวง เครื่องมือรับสัญญาณ มีขนาดและรูปราง คลายโทรศพั ทม อื ถือ เมอ่ื รับสัญญาณจากดาวเทียมแลวจะทราบคา พิกัด ณ จุดท่ีวัดไว โดยอาจจะอานคาเปน ละติจดู และลองจจิ ดู ได ความคลาดเคลื่อนข้นึ อยกู บั ชนดิ และราคาของเคร่ืองมอื ประโยชนข องเคร่ืองมอื เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาภมู ศิ าสตร จะคลา ยกบั การใชประโยชนจ ากแผน ทสี่ ภาพภูมปิ ระเทศและแผนที่เฉพาะเรอ่ื ง เชน จะใหคําตอบวาถา จะเดนิ ทางจากจุดหน่งึ ไปยงั อีกจดุ หนึง่ ใน แผนท่ีจะมรี ะยะทางเทาใด ถา ทราบความเรว็ ของรถจะทราบวา ใชเวลานานเทาใด บางคร้งั ขอ มลู มีความสับสน มาก เชน ถนนบางชวงมสี ภาพถนนไมเหมอื นกัน คอื บางชวงเปน ถนนกวางทส่ี ภาพผิวถนนดี บางชวงเปนถนน ลกู รงั บางชวงเปน หลมุ เปน บอ ทําใหก ารคิดคาํ นวณเวลาเดินทางลาํ บากแตร ะบบสารสนเทศภมู ิศาสตรจะชวย ใหค าํ ตอบได
24 กิจกรรมที่ 1.3 วิธใี ชเครอ่ื งมอื ทางภมู ศิ าสตร 1) ถาตองการทราบระยะทางจากทห่ี นึ่งไปยงั อกี ทห่ี นง่ึ ผเู รยี นจะใชเ ครอ่ื งมือทางภูมิศาสตรชนิด ใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................... 2) ภาพถายจากดาวเทียม มีประโยชนอยา งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................... 3) แผนท่มี ปี ระโยชนอ ยา งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................... 4) ถาตองการทราบวาประเทศไทยอยูพิกัดภูมิศาสตรท่ีเทาไหร ผูเรียนจะใชเคร่ืองมือทาง ภูมศิ าสตรชนิดใดไดบ า ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ...............................................................................................................................
25 เรือ่ งที่ 4 สภาพภมู ศิ าสตรก ายภาพของไทยท่สี ง ผลตอ ทรพั ยากรตา ง ๆ และส่งิ แวดลอ ม ประเทศไทยมคี วามแตกตางกนั ทางสภาพภมู ิศาสตรก ายภาพ เน่ืองจากมปี จ จยั ทีก่ อ ใหเ กิดลักษณะภูมิ ประเทศ คอื 1) การผันแปรของเปลือกโลก เกิดจากพลังงานภายในโลกที่มีการบีบ อัด ใหยกตัวสูงขึ้นหรือทรุดต่ําลง สวนทีย่ กตัวสงู ขนึ้ ไดแ ก ภูเขา ภูเขาไฟ เนินเขา ทร่ี าบสูง สว นทีล่ ดตํา่ ลง ไดแ ก หุบเขา ทรี่ าบลุม 2) การกระทาํ ของตวั กระทําตาง ๆ เมื่อเกิดการผันแปรแบบแรกแลว กจ็ ะเกดิ การกระทาํ จากตัวตา ง ๆ เชน ลม นํ้า คล่นื ไปกัดเซาะพังทลายภูมิประเทศหลัก ลักษณะของการกระทํามี 2 ชนิด คือ การกัดกรอน ทาํ ลาย คือ การทาํ ลายผิวโลกใหต่ําลง โดย ลม อากาศ นํา้ น้ําแข็ง คลนื่ ลมและ การสะสมเสรมิ สรา ง คอื การ ปรบั ผวิ โลกใหราบโดยเปน ไปอยา งชา ๆ แตต อ เนอื่ ง 3) การกระทาํ ของมนุษย เชน การสรางเข่อื น การระเบดิ ภูเขา ดวยเหตุดังกลาว นักภูมิศาสตรไดใชหลักเกณฑความแตกตางทางดานกายภาพ เชน ภูมิประเทศ ภูมอิ ากาศของทอ งถิ่น มาใชใ นการแบงภาคภูมศิ าสตร จึงทําใหป ระเทศไทยมีสภาพภูมิศาสตรท ีแ่ บงเปน 6เขต คือ 1. เขตภูเขาและหุบเขาทางภาคเหนือ ลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขามากกวาภาคใด ๆ และ เทือกเขาจะทอดยาวในแนวเหนือใตสลับกับที่ราบหุบเขา โดยมีท่ีราบหุบเขาแคบ ๆ ขนานกันไป อันเปนตน กาํ เนิดของแมนํ้าลาํ คลองหลายสาย แควใหญนอยในภาคเหนือทําใหเกิดท่ีราบลุมแมนํ้า ซึ่งอยูระหวางหุบเขา อันอุดมสมบรู ณไปดวยทรพั ยากรธรรมชาติ ราษฎรสว นใหญป ระกอบอาชีพเพาะปลกู เลยี้ งสัตวและทําเหมือง แร นอกจากนท้ี รัพยากรธรรมชาติยังเอ้อื อํานวยใหเกิดอตุ สาหกรรมในครัวเรอื นท่ีมีชอื่ เสยี ง เปน ทร่ี จู กั กนั มาชา นาน ภาคเหนอื จะอยูในเขตรอ นที่มีลักษณะภูมิอากาศคลายคลึงกับภูมิอากาศทางตอนใตของเขตอบอุนของ ประเทศทีม่ ี 4 ฤดู 2. เขตเทือกเขาทางภาคตะวันตก ลักษณะภูมิประเทศเปนพื้นท่ีแคบ ๆ ทอดยาวขนานกับ พรมแดนประเทศพมา สวนใหญเ ปนภูเขา มีแหลง ทรัพยากรแรธาตแุ ละปา ไมของประเทศ มีปริมาณฝนเฉล่ีย ตํา่ กวา ทุกภาคและเปนภมู ิภาคที่ประชากรอาศัยอยนู อ ย สวนใหญอ ยูใ นเขตท่ีราบลุมแมนํ้าและชายฝงและมัก ประกอบอาชีพปลกู พืชไรและการประมง ลักษณะภูมิอากาศโดยท่ัวไป มีความแหงแลงมากกวาในภาคอื่น ๆ เพราะมีเทือกเขาสงู เปนแนวกาํ บงั ลม ทําใหอากาศในฤดูรอนและฤดูหนาวแตกตางกันอยางเดนชัด เน่ืองจาก แนวเทือกเขาขวางกัน้ ทิศทางลมมรสุมตะวนั ตกเฉยี งใต กอใหเกิดบริเวณเงาฝนหรือพ้ืนท่ีอับลม ฝนจะตกดาน ตะวนั ตกของเทอื กเขามากกวา ดา นภาคตะวันออก 3. เขตทรี่ าบของภาคกลาง ลักษณะภมู ปิ ระเทศสวนใหญเ ปน ทร่ี าบลุมแมนํ้าอนั กวางใหญ มีลักษณะเอียงลาดจากเหนือลงมาใต เปนท่ีราบที่มีความอุดมสมบูรณมากที่สุดเพราะเกิดการทับถมของ ตะกอน เชน ทีร่ าบลุมแมน้ําเจาพระยา และทาจนี เปนแหลง ที่ทําการเกษตร (ทํานา) ที่ใหญท่ีสุด มีเทือกเขา เปนขอบของภาค ทั้งดานตะวันตกและตะวันออก
26 4. เขตภเู ขาและท่รี าบบรเิ วณชายฝง ทะเลตะวนั ออก ลักษณะภูมปิ ระเทศเปน เทอื กเขาสูงและท่ี ราบ ซงึ่ สวนใหญเปน ท่รี าบลูกฟกู และมแี มนํ้าทไ่ี หลลงสอู าวไทย แมน ้าํ ในภาคตะวันออกสว นมากเปนแมนา้ํ สาย ส้นั ๆ ซึ่งไดพ ัดพาเอาดินตะกอนมาทงิ้ ไว จนเกิดเปนที่ราบแคบ ๆ ตามที่ลุมลักษณะชายฝงและมีลักษณะภูมิ ประเทศเปนเกาะ อาว และแหลม ลกั ษณะภูมอิ ากาศ ภาคตะวันออกมีชายฝงทะเลและมีเทอื กเขาเปน แนวยาว เปดรบั ลมมรสมุ ตะวันตกเฉยี งใตจากอาวไทยอยางเต็มท่ี จึงทําใหภาคนี้มีฝนตกชุกหนาแนนบางพื้นที่ ไดแก พืน้ ท่ีรบั ลมดา นหนาของเทอื กเขาและชายฝงทะเล อณุ หภมู ขิ องภาคตะวันออกจะมีคาสมาํ่ เสมอตลอดทง้ั ปแ ละมี ความช้ืนคอ นขางสงู เหมาะแกการทําสวน 5. เขตที่ราบสงู ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ลกั ษณะภูมปิ ระเทศเปน ท่รี าบสงู ขนาดตา่ํ ทางบริเวณ ตะวันตกของภาคจะมีภูเขาสูง ทางบริเวณตอนกลางของภาคมีลักษณะเปนแองกะทะ เรียกวา “แองท่ีราบ โคราช” มีแมน้ําชแี ละแมนํา้ มลู ไหลผา น ยังมีทรี่ าบโลงอยูหลายแหง เชน ทุงกุลารอ งไห ทุงหมาหวิ ซง่ึ สามารถ ทํานาไดแตไดผ ลผลติ ตํา่ และมีแนวทวิ เขาภูพานทอดโคงยาวคอ นไปทางตะวนั ออกเฉียงเหนือของภาคถัดเลยจาก แนวทวิ เขาภพู านไปทางเหนอื มแี องทรดุ ตํา่ ของแผน ดิน เรียกวา “แอง สกลนคร” 6. เขตคาบสมทุ รภาคใต ลักษณะภูมปิ ระเทศเปนคาบสมุทรยื่นไปในทะเล มีเทือกเขาทอดยาว ในแนวเหนอื ใต ท่ีเปนแหลงทับถมของแรดบี ุก และมีความสูงไมมากนักเปนแกนกลางบริเวณชายฝงทะเลท้ัง สองดา นของภาคใตเปนที่ราบ มีประชากรอาศัยอยูหนาแนน ภาคใตไดรับอิทธิพลความชื้นจากทะเลท้ังสอง ดา น มฝี นตกชุกตลอดป และมีปริมาณฝนเฉลีย่ สงู เหมาะแกก ารเพาะปลูกพชื ผลเมืองรอ น ที่ตอ งการความช้ืน สงู ลักษณะภมู ิอากาศไดร ับอิทธิพลของลมมรสมุ ทง้ั สองฤดู จึงเปน ภาคทม่ี ฝี นตกตลอดท้ังป ทาํ ใหเ หมาะแกการ ปลูกพชื เมอื งรอนทตี่ อ งการความชมุ ช้นื สงู เชน ยางพารา ปาลมนํ้ามัน เปน ตน องคประกอบของสงิ่ แวดลอมทางกายภาพของไทย ที่สําคัญมี 3 องคประกอบ ไดแก ลักษณะ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงมีความเก่ียวพันซึ่งกันและกันและมีผลตอความเปนอยูของ มนุษยท ้งั ทางตรงและทางออ ม 1) ลักษณะภมู ปิ ระเทศ ลักษณะของเปลือกโลกทีเ่ หน็ เปน รูปแบบตางๆ แบงเปน 2 ประเภท คือ ลักษณะภูมิประเทศหลัก ไมเปล่ียนรูปงาย ไดแก ท่ีราบ ที่ราบสูง ภูเขา และเนนิ เขา ลักษณะภูมปิ ระเทศรองเปล่ียนแปลงรูปไดง า ย ไดแก หบุ เขา หว ย เกาะ อาว แมน ํ้า สนั ดอนทราย แหลม ทะเลสาบ 2) ลักษณะภูมอิ ากาศ หมายถึง คาเฉลย่ี ของลมฟาอากาศที่เกิดขนึ้ เปน ประจาํ ในบรเิ วณใดบรเิ วณ หนงึ่ ในชว งระยะเวลาหน่งึ ซงึ่ มปี จ จยั ควบคมุ อากาศ เชน ตําแหนง ละติจดู 3) ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติและมนุษย สามารถนําไปใชประโยชนในการดํารงชีวิตได แบงออกเปน 4 ประเภท คือ ทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้ํา ทรพั ยากรปาไมแ ละทรัพยากรแรธ าตุ ทรัพยากรธรรมชาติ แบงเปน 3 ประเภท คอื - ทรพั ยากรทีใ่ ชแลวหมดไปไมส ามารถเกดิ มาทดแทนใหมไ ด เชน น้ํามัน แรธาตุ - ทรัพยากรที่ใชแ ลว สามารถสรา งทดแทนได เชน ปาไม สัตวบ ก สตั วน ํา้
27 - ทรพั ยากรท่ีใชแลว ไมหมดไป เชน น้าํ อากาศ เปน ตน การอนุรกั ษท รัพยากรธรรมชาติ การอนรุ ักษ หมายถงึ การรูจ กั ใชทรัพยากรธรรมชาติอยางคมุ คา และใหเ กดิ ประโยชนม ากที่สุด โดยมีวตั ถปุ ระสงค คอื 1. เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมนุษย หมายถึง การใชประโยชนสูงสุด และรักษาสมดุลของ ธรรมชาตไิ วดวย โดยใชเ ทคโนโลยีท่ที าํ ใหเกดิ ผลเสียตอสภาพแวดลอ มนอยท่ีสดุ 2. เพ่ือรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดลอมใหอยูในสภาพสมดุล โดยไมเกิดสิ่งแวดลอมเปนพิษ (Polution) จนทําใหเ กดิ อนั ตรายตอ มนุษยแ ละสิ่งแวดลอม 1) ทรัพยากรดิน ดินเกิดจากการสลายตัวของหิน แรธาตุและอินทรียวัตถุตาง ๆ อันเน่ืองมาจากการ กระทําของลม ฟา อากาศและอนื่ ๆ สวนประกอบท่ีสําคญั ของดนิ ไดแ ก อนนิ ทรยี วัตถุหรอื แรธ าตุ ปญหาของการใชท รพั ยากรดิน เกดิ จาก 1. การกระทําของธรรมชาติ เชน การสึกกรอนพังทลายท่ีเกิดจากลม กระแสนํ้าและการชะ ลางแรธ าตุตา ง ๆ ในดิน 2. การกระทาํ ของมนุษย เชน การทาํ ลายปา ไม การปลูกพชื ชนดิ เดียวซ้ําซาก การเผาปาและ ไรน า ทาํ ใหสูญเสยี หนา ดิน ขาดการบาํ รุงรักษาดนิ การอนุรกั ษท รพั ยากรดิน โดยการปลกู พืชหมนุ เวยี น การปลกู พืชแบบขนั้ บนั ไดปองกนั การเซาะ ของนํ้า ปลูกพืชคลมุ ดนิ ปอ งกันการชะลา งหนา ดิน ไมตัดไมท ําลายปา และการปลูกปาในบริเวณท่ีมีความลาด ชนั เพือ่ ปองกันการพงั ทลายของดิน
28
29 2) ทรัพยากรน้ํา นํ้าเปนทรัพยากรที่จําเปนตอการดํารงชีวิตของมนุษยและสิ่งมีชีวิตใชแลวไม หมดสน้ิ ไป แบงเปน - น้ําบนดนิ ไดแก แมน ้ํา ลาํ คลอง หนอง บงึ ทะเลสาบ ปริมาณนํา้ ขนึ้ อยกู ับปรมิ าณนา้ํ ฝน - น้าํ ใตดิน หรือน้าํ บาดาล ปริมาณน้ําข้ึนอยกู บั น้าํ ที่ไหลซึมลงไปจากพื้นดินและความสามารถ ในการกกั นํ้าในชน้ั หนิ ใตด นิ - นํ้าฝน ไดจากฝนตก ซึ่งแตละบริเวณจะมีปริมาณน้ําแตกตางกัน ซ่ึงในประเทศไทยเกิด ปญ หาวิกฤติการณเกี่ยวกบั ทรัพยากรนา้ํ คอื เกิดภาวะการขาดแคลนนํา้ และเกิดมลพษิ ทางนํ้า เชน น้าํ เสียจาก โรงงานอุตสาหกรรม การอนรุ กั ษทรพั ยากรนํา้ โดยการ 1. การพฒั นาแหลงนํ้า ไดแ ก การขุดลอกหนอง คลองบึงและแมนํ้าที่ตื้นเขิน เพื่อใหสามารถ กักเกบ็ นํา้ ไดมากขน้ึ ตลอดจนการสรา งเขอ่ื นและอางกักเก็บน้าํ 2. การใชนํ้าอยางประหยดั ไมปลอ ยใหนาํ้ สญู เสยี ไปโดยเปลาประโยชนและสามารถนํานาํ้ ท่ใี ช แลว กลบั มาหมุนเวียนใชไดใ หมอีก เชน นา้ํ จากโรงงานอุตสาหกรรม 3. การควบคมุ รักษาตนนํา้ ลําธาร ไมม ีการอนุญาตใหมีการตัดตนไมท ําลายปา อยา งเด็ดขาด 4. ควบคุมมิใหเกิดมลพิษแกแหลงนํ้า มีการดูแลควบคุมมิใหมีการปลอยสิ่งสกปรกลงไปใน แหลง นาํ้ 3) ทรัพยากรปา ไม ปา ไมม ีความสําคัญตอมนุษยท้งั ทางตรงและทางออม เชน ชวยรักษาสภาพ ดิน นาํ้ อากาศ บรรเทาความรุนแรงของลมพายุและยังไดรับผลิตภัณฑจากปาไมหรือใชเปนแหลงทองเท่ียว พักผอนหยอนใจได ปา ไม แบง เปน 2 ประเภท คือ 1. ปาไมไมผลัดใบ เชน ปาดงดิบ หรือปาดิบ เปนปาไมบริเวณท่ีมีฝนตกชุก พบมากทาง ภาคใต และภาคตะวันออก ปาดิบเขา พบมากในภาคเหนือ ปาสนเขา พบทางภาคเหนือและภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือ ปาชายเลนนาํ้ เค็ม เปน ปาไมตามดินเลน น้าํ เคม็ และน้ํากรอย 2. ปาไมผ ลัดใบ เชน ปา เบญจพรรณ เปนปาผลดั ใบผสม พบมากท่ีสดุ ในภาคเหนือ ปาแดง ปาโคก ปาแพะ เปน ปาโปรงพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปาชายหาด เปนตน ไมเลก็ ๆ ขนึ้ ตามชายหาด ปา พรุ หรือปาบงึ เปน ปา ไมท ่เี กดิ ตามดนิ เลน การอนุรักษทรัพยากรปาไม สามารถทําไดโดยการออกกฎหมายคุมครองปาไม คือ พระราชบัญญัติปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. 2507 การปองกันไฟไหมปา การปลูกปาทดแทนไมท่ีถูกทําลายไป การปองกันการลักลอบตัดไมแ ละการใชไ มใหเ กดิ ประโยชนและคมุ คา มากท่ีสดุ 4) ทรัพยากรแรธาตุ แรธาตุ หมายถึง สารประกอบเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แบง ออกเปน - แรโลหะ ไดแก เหลก็ ทองแดง สงั กะสี ดีบกุ ตะก่ัว - แรอ โลหะ ไดแ ก ยิปซ่มั ฟลอู อไรด โปแตช เกลอื หิน - แรเชื้อเพลงิ ไดแ ก ลิกไนต หนิ นํา้ มนั ปโ ตรเลียม กา ซธรรมชาติ
30 การอนรุ ักษทรพั ยากรแรธ าตุ 1. ขุดแรม าใชเมื่อมีโอกาสเหมาะสม 2. หาวธิ ีใชแรใ หม ปี ระสทิ ธิภาพและไดผ ลคุม คามากที่สดุ 3. ใชแ รอ ยา งประหยดั 4. ใชว สั ดุหรอื สิง่ อ่นื แทนส่ิงทจ่ี ะตอ งทาํ จากแรธาตุ 5. นําทรัพยากรแรก ลบั มาใชใ หม เชน นาํ เศษเหลก็ เศษอลูมเิ นียม มาหลอมใชใหม เปน ตน ปจจัยทีม่ ผี ลกระทบตอ ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ ม ไดแก 1. การเพ่มิ ประชากรมีผลทําใหต อ งใชท รัพยากรและสิ่งแวดลอมมากขึ้น จึงเกิดปญหาความ เสอื่ มโทรมของสภาพแวดลอมตามมามากขนึ้ 2. การใชเ ทคโนโลยที ันสมัย ซ่งึ อาจทาํ ใหเกดิ ทั้งผลดีและผลเสียตอธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอม
31 กจิ กรรมที่ 1.4 สภาพภูมิศาสตรก ายภาพของไทยท่สี ง ผลตอทรพั ยากรตา งๆ และสงิ่ แวดลอม 1) ใหผเู รียนอธบิ ายวาสภาพภมู ิศาสตรของประเทศไทย ทั้ง 6 เขต มีอะไรบาง และแตละเขตสวนมาก ประกอบอาชีพอะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. . 2) ผูเรียนคิดวาประเทศไทยมีทรัพยากรอะไรท่ีมากท่ีสุด บอกมา 5 ชนิด แตละชนิดสงผลตอการ ดําเนนิ ชีวิตของประชากรอยางไรบาง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
32 เรอ่ื งท่ี 5 ความสําคัญของการดาํ รงชีวติ ใหส อดคลอ งกบั ทรพั ยากรในประเทศ 5.1 ความสาํ คัญของการดาํ รงชวี ติ ใหสอดคลอ งกบั ทรพั ยากรของประเทศไทย จากที่ไดกลาวมาแลววา ประเทศไทยมีความแตกตางกันทางดานกายภาพ เชน ภูมิประเทศ ภูมิอากาศของทองถ่ิน จึงทําใหแตละภาคมีทรัพยากรที่แตกตางกันตามไปดวย สงผลใหประชากร ในแตละ ภมู ิภาคประกอบอาชพี ตา งกนั ไปดว ย เชน ภาคเหนือ ในภาคเหนือมีทรัพยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบูรณ จากการท่ีลักษณะภูมิประเทศของ ภาคเหนอื สว นใหญเ ปนทิวเขาและมที ่รี าบหุบเขาสลบั กันแตพ้ืนที่ราบมีจํากัด ทําใหประชากรตั้งถิ่นฐานอยาง หนาแนนตามทร่ี าบลุมแมน้าํ ทรพั ยากรท่ีสําคญั คอื 1) ทรัพยากรดิน ทง้ั ดนิ ทีร่ าบหุบเขา ดินทีม่ นี ้ําทวมถงึ และดนิ ทีเ่ หลอื คา งจากการกัดกรอน 2) ทรพั ยากรนํ้า แบงเปน 2 ประเภท คอื 1. นํ้าบนผิวดิน ไดแก แมน้ําลําธาร หนองบึงและอางเก็บนํ้าตาง ๆ แมวาภาคเหนือจะมี แมนํา้ ลาํ ธาร แตบางแหง ปริมาณนาํ้ ก็ไมเ พียงพอ เนื่องจากเปนแมนํ้าสายเล็ก ๆ และปจจุบันปริมาณน้ําในแมนํ้า ลําธารในภาคเหนือลดลงมาก ทั้งน้ีเน่ืองจากการตัดไมทําลายปาในแหลงตนน้ํา แตอยางไรก็ตามยังมีแมนํ้า หลายสาย เชน แมน้ําปง วัง ยม นา น แมน้าํ ปง จังหวดั เชยี งใหมและแมนํ้ากกจังหวัดเชยี งรายท่ีมีน้ําไหลตลอด ป แมใ นฤดูแลง กย็ ังมนี ํ้าทีท่ าํ การเกษตรไดบาง นอกจากน้ี ยังมี บงึ นาํ้ จดื ขนาดใหญ คือ กวานพะเยา จังหวัด พะเยา บงึ บอระเพด็ จงั หวดั นครสวรรค 2. นํ้าใตดิน ภาคเหนือมีน้ําใตดินที่อยูในรูปของน้ําบอและบอบาดาล จึงสามารถใชบริโภค และทาํ การเกษตรได 3) ทรพั ยากรแร มีเหมอื งแรในทุกจังหวัดของภาคเหนือ แรที่สําคัญไดแก ดีบุก ทังสเตน พลวง ฟลอู อไรด ดนิ ขาว ถา นลกิ ไนตและนํ้ามันปโ ตรเลียม 4) ทรพั ยากรปา ไม ภาคเหนือมอี ตั ราพืน้ ทปี่ าไมตอพ้นื ท่ีท้ังหมดมากกวาทกุ ภาค จังหวัดท่มี ีปาไม มากท่สี ุด คือ เชียงใหม ปา ไมส ว นใหญเปนปาเบญจพรรณและปาแดง ไมท ่ีสําคญั คอื ไมสกั 5) ทรัพยากรดานการทอ งเท่ียว ภาคเหนอื มธี รรมชาติที่สวยงาม สามารถดงึ ดูดนักทองเท่ียว ใหมาชม วิวทวิ ทศั น มที ง้ั น้าํ ตก วนอุทยาน ถํ้า บอนาํ้ รอน เชน ดอยอินทนนทจ งั หวดั เชยี งใหม ภูชฟ้ี าจงั หวัดเชยี งราย ประชากร ภาคเหนือเปนภาคท่ีประชากรอาศัยอยูเบาบาง เนื่องจากภูมิประเทศ เต็มไปดวยภูเขา ประชากรสวนใหญอาศัยอยูหนาแนนตามท่ีราบลุมแมนํ้า สวนใหญสืบเชื้อสายมาจากไทยลานนา นิยมเรียก คนภาคเหนือวา “คนเมอื ง” ประชากรในภาคเหนือสามารถรกั ษาวัฒนธรรมด้งั เดิมไวไดอยางเหนียวแนน เชน ประเพณีสงกรานต ประเพณีทานสลากหรอื ตานกว ยสลาก ประเพณี ลอยกระทง
33 นอกจากนีย้ งั มีชาวไทยภเู ขาอาศัยอยเู ปนจาํ นวนมาก เชน เผามง มเู ซอ เยา ลีซอ อีกอ กะเหรี่ยง ฯลฯ จงั หวัดทม่ี ชี าวเขามากที่สดุ คอื เชียงใหม แมฮองสอนและเชียงราย การอพยพของชาวเขาเขามาในประเทศ ไทยจํานวนมากทําใหเ กิดปญ หาติดตามมา คอื ปญ หาการตดั ไมทําลายปา เพอ่ื ทําไรเลอ่ื นลอย ปญหาการปลูก ฝน รัฐบาลไดแ กไขปญหาโดยหามาตรการตาง ๆ ที่ทําใหช าวเขาหันมาปลกู พชื เมอื งหนาว เชน ทอ กาแฟ สตรอเบอร่ี บวย อะโวคาโด และดอกไมเ มอื งหนาว ฯลฯ นอกจากนี้หนวยงานที่เกี่ยวของ ยังไดจัดการศึกษา เพื่อใหชาวเขาไดเรยี นภาษาไทย ปลูกจิตสาํ นกึ ความเปนคนไทย เพื่อใหเขาใจถึงสิทธิหนาท่ี การเปนพลเมือง ไทยคนหน่งึ การประกอบอาชพี ของประชากรในภาคเหนือ ประชากรในภาคเหนือจะมีอาชีพทํานา ซึ่งปลูกท้ัง ขาวเจาและขา วเหนยี ว ในพ้ืนทรี่ าบลมุ แมนํา้ เนือ่ งจากมีดินอุดมสมบรู ณและมีการชลประทานท่ีดี จึงสามารถ ทาํ นาไดป ล ะ 2 คร้งั แตผลผลติ รวมยงั นอยกวาภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนอื นอกจากนี้ ยังประกอบ อาชีพทําไร (ขาวโพด ถ่ัวเหลือง ถั่วลิสง หอม กระเทียม ออย) การทําสวนผลไม (ล้ินจี่ ลําไย) อุตสาหกรรม (โรงบมใบยาสูบ การผลิตอาหารสําเร็จรูปและอาหารกระปอง) อุตสาหกรรมพื้นเมือง (เคร่ืองเขิน เครื่องเงิน การแกะสลักไมสัก การทํารมกระดาษ) อุตสาหกรรม การทองเท่ียวเนื่องจากภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัด เชียงใหม มีทศั นียภาพทส่ี วยงาม มโี บราณสถานมากมายและมีวฒั นธรรมทเี่ กา แกท ่งี ดงาม ภาคตะวนั ตก เนือ่ งจากทิวเขาในภาคตะวนั ตกเปน ทิวเขาท่ีทอดยาวมาจากภาคเหนือ ดังน้ันลักษณะ ภูมปิ ระเทศจึงคลายกับภาคเหนือ คือ เปน ทวิ เขาสงู สลับกบั หบุ เขาแคบ ซ่งึ เกิดจากการเซาะของแมน้ํา ลําธาร
34 อยา งรวดเร็ว ทิวเขาสวนใหญเ ปนหินคอ นขางเกา สว นใหญเ ปนหนิ ปูน พบมากท่จี งั หวดั กาญจนบรุ ี ราชบรุ ีและ เพชรบุรี ภเู ขาหนิ ปูนเหลา นจี้ ะมยี อดเขาหยักแหลมตะปมุ ตะปา นอกจากน้ียังมหี นิ ดนิ ดาน หินแกรนิตและหิน ทราย และมที ่ีราบในภาคตะวนั ตก ไดแ ก ทรี่ าบลุมแมน้ําแควใหญ ท่ีราบลุมแมนํ้าแควนอย ท่ีราบลุมแมนํ้าแม กลองมที รพั ยากรที่สาํ คญั คือ 1) ทรัพยากรดิน ดินในภาคตะวันตกสวนใหญเกิดจากการผุพังของหินปูน ดินจึงมีสภาพเปน กลางหรอื ดาง ซง่ึ ถือวา เปนดนิ ท่อี ุดมสมบูรณ เหมาะกบั การเพาะปลูก 2) ทรพั ยากรน้าํ ภาคตะวันตกเปนภาคที่มีฝนตกนอยกวาทุกภาคในประเทศ เพราะอยูในพ้ืนท่ี อับฝน แบง เปน 2 ประเภท คือ 1. นํ้าบนผวิ ดนิ ไดแก แมนํา้ ลําธาร หนองบึงและอา งเกบ็ นา้ํ ตา ง ๆ แมว าจะมฝี นตกนอ ย เพราะมี ทิวเขาตะนาวศรีและทิวเขาถนนธงชัยขวางลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต ดังน้ันฝนจึงตกมากบนภูเขา ซึ่งในภาค ตะวนั ตกมปี า ไมและแหลงตนน้าํ ลําธารอุดมสมบูรณ จึงทําใหตนน้ําลําธารมีน้ําหลอเลี้ยงอยูเสมอ เชน แมนํ้า แควใหญ แมน้ําแควนอย และแมน ํ้าแมกลอง นอกจากนี้ลักษณะภูมิประเทศในภาคตะวันตก มีลักษณะเปน หบุ เขาจาํ นวนมาก จึงเหมาะอยางย่ิงในการสรา งเข่ือน เชน เขอ่ื นภูมิพล เขอ่ื นศรีนครินทร เข่ือนวชิราลงกรณ เขอ่ื นเขาแหลม เขือ่ นแกง กระจาน และเขอื่ นปราณบุรี 2. น้ําใตดิน ภาคตะวันตกมีการขุดบอบาดาล ปริมาณน้ําท่ีขุดไดไมมากเทากับน้ําบาดาล ในภาคกลาง 3) ทรพั ยากรแร ภาคตะวันตกมหี นิ อัคนีและหินแปร มีดีบุกซึ่งพบในหินแกรนิต ทังสเตน ตะก่ัว สังกะสี เหล็ก รัตนชาติ และหินน้ํามัน 4) ทรพั ยากรปา ไม ภาคตะวนั ตกมีความหนาแนนของปาไมรองจากภาคเหนือ จังหวัดท่ีมีปาไม มากท่สี ุด คือ จังหวัดกาญจนบรุ ี 5) ทรพั ยากรดา นการทอ งเทย่ี ว สถานที่ทองเท่ียวสวนใหญเปนภูเขา ถ้ํา นํ้าตก เข่ือน อุทยาน แหง ชาติ ฯลฯ ประชากร ภาคตะวันตกเปนภาคทีม่ ีความหนาแนน ของประชากรนอยทีส่ ุด จงั หวัดท่ีมีประชากร หนาแนนทส่ี ดุ คือ จังหวัดราชบุรี เพราะมีพืน้ ท่ีเปน ที่ราบลุมแมน าํ้ การประกอบอาชีพของประชากร ภาคตะวันตกมีลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขาคลายกับ ภาคเหนือ และมพี นื้ ที่ราบคลายกบั ภาคกลาง ประชากรสวนใหญจ ึงอาศัยในพ้ืนทีร่ าบและมอี าชีพเกษตรกรรม อาชีพที่สําคัญคือการทําไรออย (โดยเฉพาะท่ีจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรี) ปลูกสับปะรด ขาวโพด มนั สาํ ปะหลงั ฝา ย องุน การทาํ นา ตามท่ีราบลุมแมน้ํา การเลี้ยงโคนม การทําโองเคลือบดินเผา ทํานาเกลือ อาชีพการประมง การทําเครื่องจักสาน นอกจากนี้ยังมี การทําเหมืองแรดีบุก ทังสเตน ตะก่ัว สังกะสี เหล็ก รตั นชาติและหนิ น้ํามนั ภาคกลาง ภูมิประเทศในภาคกลางเปนทร่ี าบลุมแมน า้ํ เพราะแมน้าํ หลายสายไหลผานทําใหเกิดการ ทับถมของตะกอนและมภี ูเขาชายขอบ พน้ื ท่แี บงไดเปน 2 เขตยอย คอื ภาคกลางตอนบน เปนทร่ี าบลุมแมน้ํา และท่ีราบลูกฟูก มีเนินเขาเตี้ย ๆ สลับเปนบางตอน ในเขตภาคกลางตอนลาง คือตั้งแตบริเวณจังหวัด
35 นครสวรรคล งมาจนถึงอาวไทย มลี กั ษณะเปน ท่รี าบลมุ น้าํ ทว มถงึ และเปน ลานตะพกั ลาํ น้าํ (Stream Terrace) ทรัพยากรทีส่ าํ คญั คือ 1) ทรัพยากรดิน ภาคกลางมดี นิ ทอี่ ดุ มสมบรู ณกวาภาคอืน่ ๆ เพราะเกดิ จากการทบั ถมของโคลน ตะกอนที่มากับแมน้าํ ประกอบกับมกี ารชลประทานท่ดี ี จงึ ทําการเกษตรไดดี เชน การทํานา 2) ทรัพยากรนํ้า ภาคกลางเปน ภาคท่ีมีนา้ํ อุดมสมบรู ณ แบง เปน 2 ประเภท คือ 1. น้ําบนผิวดิน มีแมน้ําที่สําคัญหลอเลี้ยง คือ แมน้ําเจาพระยา ซึ่งจะมีน้ําไหลตลอดท้ังป เนื่องจากมแี มนา้ํ สายเลก็ ๆ จํานวนมากไหลลงมาสแู มน ํา้ เจาพระยา มกี ารชลประทานท่ดี ี เพอ่ื กกั เก็บน้ําไวใชใ น ฤดแู ลง นอกจากนี้ยงั มที ะเลสาบขนาดใหญ คอื บึงบอระเพ็ด ซ่ึงเปนแหลงเพาะพันธุปลาน้ําจืดท่ีใหญท่ีสุดใน โลก 2. น้าํ ใตด ิน เนือ่ งจากภาคกลางมีลักษณะเปนแองขนาดใหญ จงึ มบี รเิ วณน้ําบาดาลมากท่ีสุด ของประเทศ 3) ทรัพยากรแร หินในภาคกลางสวนใหญเปนหนิ เกิดใหมท่ีมีอายุนอย มีหินอัคนีซ่ึงเปนหินเกา พบไดท างตอนเหนอื และชายขอบของภาคกลางและมนี ้าํ มันท่จี ังหวดั กําแพงเพชร 4) ทรัพยากรปาไม ภาคกลางมีพื้นท่ีปาไมนอยมาก จังหวัดท่ีมีปาไมมากคือจังหวัดท่ีอยูทาง ตอนบนของภาค คือ จังหวดั เพชรบูรณ พิษณุโลก อทุ ัยธานี สุโขทัยและกําแพงเพชร 5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว สถานท่ีทองเท่ียวสวนใหญเปนนํ้าตกและแมน้ํา ซ่ึงปจจุบัน แมน้ําหลายสายจะมีตลาดน้ําใหนักทองเท่ียวไดมาเย่ียมชมมีวนอุทยาน หวยขาแขง จังหวัดอุทัยธานี นอกจากนี้ยงั มีโบราณสถานทีเ่ ปนมรดกโลก เชน อุทยานประวัติศาสตรท ่ีจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ประชากร ภาคกลางเปน ภาคทม่ี ปี ระชากรมากเปนอนั ดับสองรองจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชากร สว นใหญจะหนาแนนมากในบริเวณทรี่ าบลมุ แมน า้ํ เจา พระยา เพราะความอดุ มสมบรู ณเ หมาะแกก ารเพาะปลูก จงั หวดั ทีต่ ดิ กับชายทะเลกจ็ ะมปี ระชากรอาศัยอยหู นาแนน นอกจากนภี้ าคกลางจะมอี ัตราการเพ่ิมของประชากร รวดเรว็ มาก เนอื่ งจากมีการอพยพเขา มาหางานทําในเมืองใหญก นั มาก การประกอบอาชีพของประชากร ภาคกลางมีความอุดมสมบูรณ ทั้งทรัพยากรดิน และนํ้า นบั เปน แหลง อขู าวอนู ้ําของประเทศ ในภาคกลางตอนบนประกอบอาชีพทํานาขาวและทําไร (ขาวโพด ออย มันสําปะหลัง) รองลงมาคือ อุตสาหกรรม ภาคกลางตอนลางจะมีอาชีพปลูกขาวในบริเวณราบลุมแมนํ้า เน่อื งจากท่ีดินเปนดินเหนยี วมีนํ้าแชขังและมีระบบการชลประทานดี จงึ สามารถทํานาไดป ละ 2 คร้ัง นับเปน แหลงปลกู ขา วทีใ่ หญท ่ีสุดในประเทศและมีการทาํ นาเกลอื นากุง ในแถบจังหวดั ชายทะเล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเปนภาคท่ีเล็กท่ีสุด ตอนเหนือของภาคมีภูมิประเทศเปน ที่ราบลุม เกิดจากการเคลือ่ นไหวและการบีบอัดตัวของเปลือกโลก ทําใหตอนกลางของภาคโกงตัวเปนทิวเขาไปจนถึง ดานตะวนั ออกเฉยี งใต ขณะเดยี วกันตอนเหนือของภาคเกิดการทรดุ ตวั เปนแองกลายเปนท่ีราบลุมแมนํ้า และ เกดิ การทบั ถมของโคลนและตะกอน ตอนกลางของภาคเปน ทวิ เขา ภมู ปิ ระเทศสวนใหญเปนหุบเขาแคบ ๆ มี
36 ท่ีราบตามหุบเขา เรียกวา ที่ราบดินตะกอนเชิงเขาตอนใตของภาคเปนท่ีราบชายฝงทะเลภาคตะวันออก มีทรพั ยากรทส่ี ําคัญคอื 1) ทรัพยากรดนิ ดนิ สว นใหญไมคอยสมบูรณ เพราะเปนดินรวนปนทรายและนํ้าฝน จะชะลาง ดนิ เหมาะแกก ารปลูกพชื สวน เชน ทเุ รียน เงาะ ระกํา สละ มงั คดุ ฯลฯ และใชปลูกพืชไร เชน มันสําปะหลัง ออ ย ฯลฯ การทาํ นากม็ บี างบรเิ วณตอนปลายของแมน ้าํ บางปะกง 2) ทรัพยากรน้ํา ภาคตะวันออกมีนํ้าอยางอุดมสมบูรณ แตเนื่องจากแมน้ําในภาคตะวันออกเปน แมน้ําสายสั้น ๆ ทําใหการสะสมนํ้าในแมนํ้ามีนอย เมื่อถึงชวงหนาแลงมักจะขาดแคลนน้ําจืด เพราะเปน ภูมภิ าคทม่ี ีนักทองเทีย่ วจาํ นวนมาก นอกจากนใี้ นหนา แลงนํา้ ทะเลเขามาผสมทําใหเ กดิ น้ํากรอ ย ซึง่ ไมส ามารถ ใชบ ริโภคหรือเพาะปลูกได การสรา งเข่ือนกไ็ มสามารถทาํ ไดเพราะสภาพภูมปิ ระเทศไมอ ํานวย 3) ทรัพยากรแร ภาคตะวันออกมีแรอยูบาง เชน เหล็ก แมงกานีส พลวง แตมีแรท่ีมีชื่อเสียง คอื แรรัตนชาติ เชน พลอยสแี ดง พลอยสนี ํา้ เงนิ หรือไพลินและพลอยสีเหลอื ง โดยผลิตเปนสินคาสง ออกไปขาย ยงั ตางประเทศ 4) ทรัพยากรปาไม ปาไมในภาคตะวันออกจะเปนปาดงดิบและปาชายเลน แตก็ลดจํานวนลง อยางรวดเรว็ เพราะมีการขยายพ้นื ทก่ี ารเกษตร สรางนคิ มอุตสาหกรรม ฯลฯ 5) ทรัพยากรดานการทอ งเที่ยว เปนภาคที่มที รัพยากรทองเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะจังหวัดท่ี อยชู ายทะเล เกาะตางๆ นํ้าตก ฯลฯ ประชากร ภาคตะวันออกเปน อกี ภาคหน่ึงที่มีการเพ่ิมของประชากรคอนขางสูง เน่ืองจากมีการ ยา ยมาทํามาหากิน การเจริญเติบโตของเขตอตุ สาหกรรม รวมทงั้ การทอ งเท่ียวเปน เหตจุ ูงใจใหคนเขามาตั้งถ่ิน ฐานเพมิ่ มากข้นึ การประกอบอาชีพของประชากร มอี าชพี ท่สี ําคญั คือ 1. การเพาะปลกู มกี ารทํานา ทาํ สวนผลไม ท้ังเงาะ ทเุ รียน มงั คดุ ระกํา สละ สวนยางพารา ทํา ไรออย และมนั สาํ ปะหลัง 2. การเลี้ยงสตั ว เปนแหลงเลี้ยงเปดและไก โดยเฉพาะทจี่ ังหวดั ชลบรุ แี ละฉะเชงิ เทรา 3. การทําเหมืองแร ภาคตะวันออกเปนแหลงที่มีแรรัตนชาติมากท่ีสุด เชน ทับทิม ไพลิน บุศราคัม สงผลใหประชากรประกอบอาชีพเจียรนัยพลอยดว ย โดยเฉพาะจงั หวดั จนั ทบรุ แี ละตราด 4. อุตสาหกรรมในครัวเรือน เชน การผลติ เสี่อจนั ทบุรี เครอ่ื งจักสาน 5. การทองเที่ยว เนื่องจากมีทัศนียภาพที่สวยงามจากชายทะเลและเกาะตาง ๆ อุตสาหกรรมการ ทองเท่ียวจึงสรางรายไดใ หก ับภูมภิ าคนเ้ี ปนอยางมาก ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ลักษณะภมู ิประเทศสว นใหญ เปน ทร่ี าบสูงแองกะทะและยังมีที่ราบลุมแมน้ําชี และแมน ํา้ มูลทเี่ รยี กวา แอง โคราช ซงึ่ เปนทรี่ าบลุมขนาดใหญท ่ีสุดของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื เพราะมีแมน้าํ มูลและแมน ํา้ ชไี หลผา น จึงมักจะมีน้ําทว มเมือ่ ฤดนู าํ้ หลาก มที รพั ยากรที่สําคญั คือ 1) ทรัพยากรดิน ดินในภาคน้ีมักเปนดินทราย ไมอุมนํ้า ทําใหการเพาะปลูกไดผลนอย แตก ส็ ามารถแบงไดต ามพ้ืนท่ี คือ
37 บรเิ วณที่ราบลมุ แมน้าํ แมนํ้าชี แมน ้าํ มูลและแมน้ําโขง จะมีความอุดมสมบูรณคอนขางมาก นิยมปลูกผกั และผลไม สว นท่เี ปน น้าํ ขังมักเปน ดนิ เหนียว ใชทํานา บรเิ วณลาํ ตะพักลํานา้ํ สว นใหญเปนดนิ ทราย ใชทํานาไดแตผลผลิตนอย เชน ทุงกุลารองไห บริเวณที่สูงกวา นี้ นยิ มปลูกมนั สาํ ปะหลงั บรเิ วณท่สี ูงและภูเขา เน้อื ดนิ หยาบเปนลูกรัง ทด่ี นิ นมี้ กั เปนปา ไม 2) ทรพั ยากรน้ํา ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื จะมีปญหาในเรือ่ งของนํ้ามากกวาภาคอ่นื ๆ แมวาฝน จะตกหนกั แตในหนา แลง จะขาดแคลนน้ําเพ่ือการเกษตรและการบรโิ ภค น้ําในภาคนี้ จะแบงเปน 2 ประเภท คอื นํ้าบนผิวดิน ไดแก นํ้าในแมน้ําชี แมนํ้ามูลและแมนํ้าสายตาง ๆ ในฤดูฝน จะมีปริมาณนํ้า มาก แตใ นฤดูแลงนาํ้ ในแมน ํา้ จะมีนอย เนอื่ งจากพืน้ ดินเปน ดินทราย เมอื่ ฝนตกไมสามารถอุมน้ําได สวนนํ้าใน แมนํา้ ลําคลองก็มีปริมาณนอ ย เพราะนา้ํ จะซมึ ลงพื้นทราย แตภ าคน้ีถือวาโชคดีที่มีเข่ือน อางเก็บน้ํา และฝาย มากกวา ทกุ ๆ ภาค น้ําใตด ิน ปริมาณนํา้ ใตดินมมี าก แตม ีปญหาน้ํากรอ ยและนํ้าเค็ม การขุดบอตองขุดใกลแหลง แมน าํ้ เทา นัน้ หรอื ตองขดุ ใหล กึ จนถึงชัน้ หินแขง็ 3) ทรัพยากรแร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแรโพแทชมากที่สุด จะมีอยูมากบริเวณตอนกลาง และตอนเหนอื ของภาค นอกจากนย้ี งั มแี รเ กลือหนิ มากทส่ี ดุ ในประเทศไทย 4) ทรัพยากรปาไม ปาไมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเปนปาแดง ซึ่งเปนปาผลัดใบเปนปา โปรง ปาแดงชอบดินลูกรงั หรือดินทราย เชน ไมเ ตง็ รงั พลวง พะเยา ฯลฯ 5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว มีแหลงทรัพยากรธรรมชาติและท่ีมนุษยสรางข้ึน เชน ววิ ทวิ ทศั น (ภกู ระดงึ ) เขอื่ น ผาหิน (จังหวดั อบุ ลราชธานี) หลักฐานทางโบราณคดี (จังหวดั อดุ รธาน)ี ประชากร ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื มีประชากรหนาแนน อาศัยอยตู ามแองโคราชบริเวณทีร่ าบลุม ของแมน ํา้ ชแี ละแมน ํา้ มลู การประกอบอาชพี ของประชากร ประชากรประกอบอาชีพทสี่ ําคญั คือ - การเพาะปลกู เชน การปลูกขาว การทาํ ไร (ขาวโพด มันสาํ ปะหลัง ออ ย ปอ ยาสูบ) - การเลย้ี งสตั ว เชน โค กระบือ และการประมงตามเขอื่ นและอางเก็บนํ้า - อตุ สาหกรรม สว นใหญเ ปนการแปรสภาพผลผลิตทางการเกษตร เชน โรงสีขาว โรงงานมัน สาํ ปะหลงั อดั เมด็ โรงงานทําโซดาไฟ (จากแรเ กลือหนิ และแรโ พแทช) ภาคใต ลักษณะภูมปิ ระเทศของภาคใตเปน คาบสมุทร มีทิวเขาสูงทอดยาวจากเหนือจรดใต มีทะเล ขนาบทั้ง 2 ดา น ทวิ เขาท่สี ําคญั คือ ทิวเขาภเู กต็ ทวิ เขานครศรีธรรมราชและทิวเขาสันกาลาคีรี และมีแมน ํา้ ตา ปซ ึ่งเปนแมน้าํ ท่ยี าวและมขี นาดใหญท ่สี ดุ ของภาคใต ที่เหลอื จะเปน แมนํ้าสายเล็กๆ และสั้น เชน แมน ํ้าปต ตานี แมน้ําสายบรุ ี และแมนาํ้ โก-ลก มีชายฝงทะเลทั้งทางดานอาวไทย ซึ่งมีลักษณะเปนชายฝงแบบยกตัว เปนที่ ราบชายฝง ทเ่ี กิดจากคลนื่ พดั พาทรายมาทับถม จนกระทัง่ กลายเปนหาดทรายทส่ี วยงาม และมีชายฝงทะเลดาน ทะเลอนั ดามนั ที่มีลกั ษณะเวาแหวงเพราะเปนฝง ทะเลท่จี มนา้ํ และมปี า ชายเลนขน้ึ อยา งหนาแนน
38 1) ทรพั ยากรดิน ลกั ษณะดนิ ของภาคใตจ ะมี 4 ลกั ษณะ คอื 1. บรเิ วณชายฝง เปนดินทราย ทเ่ี หมาะแกก ารปลูกมะพราว 2. บริเวณท่ีราบ ดินบริเวณที่ราบลุมแมนํ้า เกิดจากการทับถมของตะกอนเปนช้ันๆ ของ อินทรียว ัตถุ นยิ มทาํ นา 3. บรเิ วณทด่ี อนยงั ไมไ ดบ อกลักษณะดนิ นยิ มปลกู ปาลมน้ํามนั และยางพารา 4. บริเวณเขาสูง มีลักษณะเปน ดนิ ที่มีหนิ ตดิ อยู จงึ ไมเ หมาะแกการเพาะปลกู 2) ทรัพยากรนํา้ แมนา้ํ สวนใหญใ นภาคใตเปน สายสนั้ ๆ แตก็มนี ้ําอดุ มสมบรู ณ เน่ืองจากมฝี นตก เกือบตลอดป แตบางแหงยังมกี ารขดุ นาํ้ บาดาลมาใช 3) ทรัพยากรแร แรทสี่ าํ คัญในภาคใต ไดแ ก ดีบุก (จังหวัดพังงา) ทังสเตน เหล็ก ฟลูออไรด ยิปซ่ัม ดนิ ขาว ถา นหินลกิ ไนต 4) ทรพั ยากรปาไม ปาไมใ นภาคใตเปน ปา ดงดบิ และปาชายเลน 5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว มีทรัพยากรดานการทองเท่ียวมาก เชน ทิวทัศนตามชายฝงทะเล เกาะ และอุทยานแหงชาติทางทะเล นาํ้ ตก สุสานหอยลานปท ี่จังหวัดกระบี่ ประชากร ประชากรอาศัยอยูห นาแนนตามท่ีราบชายฝงต้ังแตจังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปถึง จงั หวดั ปตตานี เพราะเปนทร่ี าบผืนใหญ การประกอบอาชีพของประชากร อาชีพท่สี าํ คญั คือ - การทําสวน เชน ยางพารา ปาลมน้าํ มนั และสวนผลไม - การประมง ทํากนั ทกุ จังหวดั ท่ีมชี ายฝง ทะเล - การทาํ เหมอื งแรดบี ุก - การทองเที่ยว ภาคใตมีภูมิประเทศที่สวยงาม ทําใหมีแหลงทองเที่ยวตามธรรมชาติมากมาย หลายแหง เชน ทิวทศั นชายฝงทะเล เกาะแกงตาง ๆ ฯลฯ สามารถทํารายไดจากการทองเท่ียวมากกวาภาค อน่ื ๆ 5.2 ความสาํ คญั ของการดาํ รงชีวติ ใหส อดคลอ งกบั ทรพั ยากรของประเทศในเอเชยี ลกั ษณะประชากรของทวีปเอเชีย เอเชียเปน ทวปี ทใี่ หญแ ละมีประชากรมากเปน อนั ดบั 1 ของโลก ถอื เปน ทวปี แหลง อารยธรรม เพราะเปน ดนิ แดนทีค่ วามเจริญเกิดขึ้นกอนทวีปอ่ืน ๆ ประชากรรูจักและตั้งถ่ิน ฐานกนั มากอ น สวนใหญอ าศัยอยหู นาแนน บริเวณชายฝง ทะเลและทร่ี าบลมุ แมน า้ํ ตา ง ๆ เชน ลุมแมนํ้าเจาพระยา ลมุ แมน ้าํ แยงซีเกียง ลมุ แมนาํ้ แดงและลมุ แมน ้าํ คงคาสวน บริเวณทมี่ ีประชากรเบาบางจะเปน บรเิ วณท่แี หง แลงกนั ดารหนาวเยน็ และในบริเวณทเ่ี ปน ภเู ขาซบั ซอน ซงึ่ สวน ใหญจะเปนบริเวณกลางทวีป ประชากรในเอเชยี ประกอบดวยหลายเชอื้ ชาติ ดังน้ี 1) กลุมมองโกลอยด มจี าํ นวน 3 ใน 4 ของประชากรทงั้ หมดของทวปี มีลักษณะเดน คอื ผิวเหลอื ง ผมดําเหยียดตรง นยั นตารี จมกู แบน อาศัยอยใู นประเทศ จนี ญ่ปี ุน เกาหลี และไทย
39 2) กลุมคอเคซอยด เปนพวกผิวขาว หนาตารูปรางสูงใหญเหมือนชาวยุโรป ตา ผมสีดํา สวนใหญอาศัยอยูในเอเชียตะวันตกเฉียงใตและภาคเหนือของอินเดีย ไดแก ชาวอาหรับ ปากีสถาน อินเดีย เนปาล 3) กลมุ นกิ รอยด เปน พวกผิวดาํ ไดแก ชาวพนื้ เมืองภาคใตของอินเดีย พวกเงาะซาไก มีรูปราง เล็ก ผมหยกิ นอกจากนี้ยังอยใู นศรีลงั กาและหมูเกาะในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต 4) กลมุ โพลิเนเซยี น เปนพวกผวิ สคี ลํ้า อาศัยอยูต ามหมูเ กาะแถบเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต ไดแก ชนพืน้ เมืองในหมูเกาะของประเทศอินโดนเี ซีย ประชากรของทวีปเอเชยี จะกระจายตัวอยตู ามพ้ืนทต่ี าง ๆ ซงึ่ ขน้ึ อยกู บั ความอดุ มสมบรู ณของพ้นื ที่ ความเจริญทางดา นวิชาการในการนาํ เทคโนโลยีมาใชกับทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุดและ ทาํ เลทีต่ ง้ั ของเมอื งทีเ่ ปน ศนู ยกลาง สว นใหญจะอยกู นั หนาแนน บรเิ วณตามทร่ี าบลมุ แมน ้าํ ใหญ ๆ ซ่ึงที่ดินอุดม สมบูรณ พื้นท่ีเปนท่ีราบเหมาะแกก ารปลูกขา วเจา เขตประชากรท่ีอยกู นั หนาแนน แบง ไดเปน 3 ลกั ษณะคือ 1. เขตหนาแนนมาก ไดแก ที่ราบลุมแมน้ําฮวงโห แมนํ้าแยงซีเกียง ชายฝงตะวันออก ของจีน ไตหวัน ปากแมนํ้าแดง (ในเวียดนาม) ท่ีราบลุมแมนํ้าคงคา (อินเดีย) ลุมแมน้ําพรหมบุตร (บังคลาเทศ) ภาคใตของเกาะฮอนชู เกาะคิวชู เกาะซิโกกุ (ในญป่ี ุน) เกาะชวา (ในอินโดนีเซยี ) 2. เขตหนาแนนปานกลาง ไดแก เกาหลี ภาคเหนือของหมูเกาะญี่ปุน ท่ีราบดินดอนสามเหลี่ยมปาก แมน ํ้าโขงในเวียดนาม ท่ีราบลุมแมนํ้าเจาพระยา ท่ีราบปากแมน้ําอิระวดใี นพมา คาบสมุทรเดคคานในอินเดีย ลมุ แมน้าํ ไทกรสิ -ยูเฟรตีสในอริ กั 3. เขตบางเบามาก ไดแ ก เขตไซบเี รยี ในรัสเซยี ทะเลทรายโกบีในมองโกเลีย แควนซินเกียงของจีน ท่ีราบสูงทเิ บต ทะเลทรายในคาบสมุทรอาหรบั ซึ่งบรเิ วณแถบนจ้ี ะมอี ากาศหนาวเยน็ แหง แลง และทุรกันดาร ลักษณะการต้ังถนิ่ ฐาน ประชากรสวนใหญ อาศัยอยูหนาแนนบริเวณชายฝงทะเลและที่ราบลุมแมน้ําตาง ๆ เชน ลุมแมนํ้า เจาพระยา ลุม แมนํ้าแยงซเี กยี ง ลุม แมนํ้าแดงและลมุ แมนา้ํ คงคา และในเกาะบางเกาะทีม่ ีดินอุดมสมบูรณ เชน เกาะของประเทศฟลิปปน ส อินโดนเี ซยี และญี่ปนุ สว นบริเวณทีม่ ปี ระชากรเบาบาง จะเปนบริเวณที่แหงแลง กันดาร หนาวเย็นและในบริเวณท่ีเปนภูเขาซับซอน ซ่ึงสวนใหญจะเปน บรเิ วณกลางทวีป มเี พียงสว นนอ ยทีอ่ าศยั อยูในเมือง เมืองท่ีมีประชากรอาศัยเปนจํานวนมาก ไดแก โตเกียว บอมเบย กัลกตั ตา โซล มะนิลา เซียงไฮ โยะโกะฮะมะ เตหะราน กรุงเทพมหานคร เปนตน ลักษณะทางเศรษฐกิจ ประชากรของทวีปเอเชียประกอบอาชีพท่ีตางกันขึ้นอยูกับสภาพแวดลอมทาง ธรรมชาติ ไดแ ก ภมู ิอากาศ ภมู ปิ ระเทศ ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดลอมทางวัฒนธรรม ไดแก ความเจริญ ในดา นวิชาการ เทคโนโลยี การปกครองและขนบธรรมเนยี มประเพณี แบง ได 3 กลุม ใหญ ๆ คือ 1) เกษตรกรรม การเพาะปลูก นับเปนอาชีพที่สําคัญในเขตมรสุมเอเชีย ไดแก เอเชียตะวันออก เอเชีย ตะวนั ออกเฉยี งใตและเอเชียใต ทําการเพาะปลกู ประมาณรอยละ 70 - 75 % ของประชากรทงั้ หมด เนื่องจาก
40 ทวปี เอเชยี มภี ูมปิ ระเทศเปนท่รี าบลุมแมน ํ้าอันกวางใหญหลายแหง มีที่ราบชายฝงทะเล มีภูมิอากาศที่อบอุน มคี วามชืน้ เพียงพอ นอกจากนย้ี ังมีการนําเทคโนโลยที ีท่ ันสมยั เขามาชว ย หลายประเทศกลายเปน แหลงอาหาร ทส่ี าํ คัญของโลก จะทาํ ในทร่ี าบลมุ ของแมน ํา้ ตา ง ๆ พชื ท่ีสําคญั ไดแ ก ขา ว ยางพารา ปาลม ปาน ปอ ฝาย ชา กาแฟ ขาวโพด สม มนั สําปะหลงั มะพรา ว การเลย้ี งสัตว เลย้ี งมากในชนบท มีท้งั แบบฟารม ขนาดใหญและปลอยเลี้ยงตามทุงหญา ข้ึนอยู กบั ลักษณะภมู ิประเทศ ภมู อิ ากาศและความนิยม ซง่ึ เลยี้ งไวใชเ น้ือและนมเปน อาหาร ไดแก อูฐ แพะ แกะ สกุ ร โค กระบอื มา และจามรี การทําปาไม เน่ืองจากเอเชียต้ังอยูในเขตปาดงดิบ มรสุมเขตรอนและเขตอบอุน จึงไดรับ ความชนื้ สงู เปนแหลง ปา ไมท ใ่ี หญและสาํ คญั ของโลกแหงหนง่ึ มที ้ังปาไมเนอื้ ออนและปา ไมเนื้อแขง็ การประมง นบั เปนอาชพี ทส่ี ําคญั ของประชากรในเขตริมฝงทะเล ซึ่งมีหลายประเภท ไดแก ประมงนาํ้ จืด ประมงน้าํ เคม็ การงมหอยมกุ และเล้ียงในบริเวณลําคลอง หนองบงึ และชายฝงทะเล 2) อตุ สาหกรรม ไดแก 1. การทาํ เหมอื งแร ทวปี เอเชียอุดมสมบูรณไปดวยแรธาตุและแรเช้ือเพลิง ไดแก แรเหล็ก ถา นหิน ปโ ตรเลียมและกา ซธรรมชาติ ซ่งึ จีนเปน ประเทศทมี่ กี ารทาํ เหมืองแรมากที่สุดในทวีปเอเชีย สวนถาน หนิ เอเชียผลิตถา นหินมากทีส่ ดุ ในโลก แหลง ผลติ สาํ คญั คือ จีน อนิ เดยี รสั เซีย และเกาหลี แรเหล็ก ผลิตมาก ในรัสเซีย อินเดยี และจีน สวนนํา้ มันดิบและกา ซธรรมชาติ เอเชยี เปน แหลงสํารองและแหลง ผลิตน้ํามันดิบและ กาซธรรมชาติมากทสี่ ุดในโลก ซึ่งมมี ากบรเิ วณอาวเปอรเ ซีย ในภูมภิ าคเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใต ไดแก อิหราน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส อิรัก คูเวต โอมาน กาตาร ประเทศท่ีผลิตน้ํามันดิบมาก คือ ซาอุดิอาระเบียและจีน นอกจากนีย้ งั พบในอนิ โดนเี ซีย มาเลเซยี บรูไน ปากสี ถาน พมา อุซเบกสิ ถาน เตริ กเมนสิ ถาน อาเซอรไบจาน
41 2. อุตสาหกรรมทอผา ผลติ ภัณฑจ ากไมแ ละหนังสตั ว ซง่ึ อุตสาหกรรมเหลาน้ี หลายประเทศ ในเอเชียเริ่มจากอุตสาหกรรมในครัวเรือน แลวพัฒนาข้ึนเปนโรงงานขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ นอกจากนี้ยังมอี ตุ สาหกรรมอาหารสําเร็จรูป เครือ่ งจักรกล ยานพาหนะ เคมี 3) พาณิชยกรรม ไดแก การสง สนิ คา ออกและสนิ คา นาํ เขาประเทศ สนิ คาท่ี ผลติ ในทวีปเอเชยี ทเ่ี ปนสนิ คา ออกสวนมาก จะเปนเคร่อื งอปุ โภคบริโภคและวัตถุดิบ ไดแก ขา วเจา กาแฟ ชา นาํ้ ตาล เครือ่ งเทศ ยางพารา ฝา ย ไหม ปอ ปาน ขนสตั ว หนังสัตว ดบี กุ ฯลฯ ญ่ีปุนและจีนมีปริมาณการคากับตางประเทศ มากทสี่ ุดในทวปี สินคาออก จะเปนประเภทเครื่องจักร ประเทศที่สงออกมาก คือ ญี่ปุน สวนประเภทอาหาร เชน ขาวเจา ขาวโพด ถ่ัวเหลือง ไดแก ไทย พมาและ เวยี ดนาม สวนสินคานําเขาประเทศ สวนมากจะสั่งซื้อจากยุโรปและอเมริกา ไดแก ผลิตภัณฑจากอุตสาหกรรม เครือ่ งโลหะสาํ เร็จรูป เชน เครือ่ งจกั ร เครื่องยนต เครื่องไฟฟา เคมี เคมภี ัณฑ เวชภณั ฑตา ง ๆ
42 กจิ กรรมที่ 1.5 ความสาํ คัญของการดาํ รงชวี ิตใหสอดคลองกบั ทรัพยากรในประเทศ 1) ใหผ ูเรียนอธิบายวา ในภาคเหนอื ของไทย ประชากรจะอาศัยอยูหนาแนนในบริเวณใดบาง พรอมให เหตผุ ล ประชากรสวนใหญป ระกอบอาชพี อะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ......................................................... 2) ผูเรยี นคดิ วา ภาคใดของไทยท่สี ามารถสรา งรายไดจากการทองเท่ียวมากที่สุด พรอมใหเหตุผล และ สถานท่ที อ งเที่ยวดังกลาว มอี ะไรบา ง พรอ มยกตัวอยาง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ......................................................... 3) ปจ จยั ใดทที่ าํ ใหมีประชากรอพยพเขามาอาศยั อยใู นภาคตะวันออกมากขึ้น .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ...................................................................................................
43 4) ทวีปใดทก่ี ลาวกันวา เปนทวีป “แหลง อารยธรรม” เพราะเหตุใดจึงกลาวเชน นั้น .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. . 5) ในทวปี เอเชยี ประชากรจะอาศยั อยูกนั หนาแนน บรเิ วณใดบา ง เพราะเหตใุ ด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198