Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า

กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า

Published by chatchaikaka2537, 2020-02-05 23:34:07

Description: กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า

Search

Read the Text Version

กลอนดอกสร้อยรําพงึ ในป่าชา้

พระยาอุปกิตศิลปสาร(น1ิม กาญจนาชีวะ) Ø เกิดวันท+ี ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๒ Ø ศึกษาภาษาไทยเบื>องต้นที+วัดบางประทุนนอกธนบุรี และวั ดประยู รวงศาวาส Ø บวชที+วัดสุทัศน์ เทพวราราม ศึกษาพระธรรมวินัย จนสอบได้ เปรียญ ๖ ประโยคและศึกษาวิชาครูจน เช+ียวชาญทางภาษาไทย ภาษาบาลี และวรรณคดี โบราณ Øนามปากกาเช่น อ.น.ก. อุนิกา อนึก คําชูชีพ ม.ห.น. Ø ถึงแก่กรรมวันที+ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔

ผลงานของพระยาอุ ปกิ ตศิ ลปสาร Ø เป็ นคนแรกที+ บัญญั ติคํ าทักทายเมื+อแรกพบกันว่า \"สวัสดี\" ซึ+งแปลว่า สะดวก สบายดี Øเป็ นคนแรกที+ แต่งตํารา \"สยามไวยากรณ์ \" หรือตํ าราไวยากรณ์ ไทย ได้ สําเร็ จ บริบู รณ์ คื อมีทั >ง อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพั นธ์ และฉันทลักษณ์ Ø เป็ นนั กประพันธ์ไทยคนแรกที+อุทิ ศโครงกระดูกให้ แก่ มหาวิทยาลัย แพทยศาสตร์ศิ ริราช โดยกล่าวว่า \"ฉันเป็ นครูตายแล้ วขอเป็ นครูต่อไป\"

ที1 มาของเร1ื อง Ø มาจากบทกวีนิพนธ์เร1ือง Elegy Written in a Country Churchyard ของ ทอมัส เกรย์ (Thormas Gray) ØElegy หมายถึงโคลงที1กล่าวไว้ อาลัย หรือคร1ําครวญถึงผู้ท1ีจากไป แต่ เร1ืองนีd หมายถึงการรํ าพึงเก1ี ยวกั บความตายของ มนุ ษย์ เพ1 ื อแสดงสั จธรรมของชีวิต Ø พระยาอุปกิตศิลปสาร ได้ประพันธ์ จากต้นฉบับแปลของเสฐียรโกเศศ เป็ น กลอนดอกสร้ อยจํานวน ๓๓ บท เพียง 21 บท)

จุดประสงค์ ในการแต่ ง ให้ แนวคิดและคติ ธรรมท+ี มุ่ งแสดงความ จริ งเกี+ ยวกั บชี วิ ตมนุ ษย์

แผนผังกลอนดอกสร้ อย

ข้ อบังคับ ๑.กลอนดอกสร้ อยบทหนึ+งมี ๔ คํากลอน หรื อ ๘ วรรค วรรคหน+ึงใช้ คํา ๖-๘ คํา ๒. วรรคแรกขึน> ต้ น๔ คํา คําที+ ๑ กับคําที+ ๓ ต้ องซํ >าคําเดียวกัน คําที+ ๒ ต้ องเป็ น คําว่า \" เอ๋ย\" ส่วนคํ าท+ี ๔ เป็ นคํ าอ+ืนท+ีรับกัน เช่น นักเอ๋ยนักเรี ยน เด็กเอ๋ ยเด็กน้ อย ๓.กลอนดอกสร้ อยจะต้ อง ลงท้ ายด้ วยคําว่า\"เอย\"เสมอ แต่ถ้ าเป็นกลอนดอกสร้ อย ในบทละครไม่ต้ องลงท้ ายด้ วยคํ าว่าเอย ๔.การส่งสัมผัสเหมื อนกลอนสุภาพ

แต่งคาํ ประพันธ์ประเภทกลอนดอกสร้อย จาํ นวน ๑ บท โดยให้ใช้คาํ ขDึนต้น ดังนีD ความเอ๋ยความ…….

เกณฑ์การให้คะแนนแต่งกลอนดอกสร้อย ๑.ฉันทลกั ษณ์ ๓ คะแนน ๒.สํานวนโวหาร ๓ คะแนน ๓.ความคดิ สร้างสรรค/์ ๒ คะแนน การนาํ ไปใช้ ๔.ตรงตอ่ เวลา ๒ คะแนน รวม ๑๐ คะแนน

วั งเอ๋ ยวั งเวง หง่ างเหง่ ง!ย+ํ าค+ํ าระฆั งขาน ฝูงวัวควายผ้ ายลาทิวากาล ค่อยค่ อยผ่านท้ องทุ่งมุ่งถิ+นตน ชาวนาเหนื+อยอ่อนต่ างจรกลับ ตะวันลับอับแสงทุ กแห่งหน ทิ>งทุ่งให้ มืดมัวทั+วมณฑล และทิ>งตนตูเปล+ียวอยู่เดียว เอย.

คํ าศั พท์ ๑.ผ้ าย = เคลื+อนจากท+ี ๒.ทิวากาล = เวลากลางวัน ถอดคําประพั นธ์ เสียงระฆังดังหง่างเหง่งทําให้เกิดความวังเวงใจย+ิงนัก ในขณะที+ฝูงวัวควายก็เคล+ือน จากท้ องทุ่งเพ+ือมุ่งกลับถิ+นที+อยู่ของมัน ฝ่ ายพวกชาวนาทัง> หลายรู้สึกเหนื+อยอ่อนจากการทํ างาน ต่างพากันกลับถิ+นพํานักของตนเม+ือตะวันลับขอบฟ้ าก็ไม่มีแสงสว่าง ทําให้ ท้ องทุ่งมืดไปท+ัว บริเวณและทิง> ให้ ข้ าพเจ้ า(กวี)เปล่าเปลี+ยวอยู่เพียงผู้เดียว

ยามเอ๋ ยยามนี > ปถพีมื ดมัวท+ัวสถาน อากาศเย็ นเยื อกหนาวคราววิ กาล สงัดปานป่ าใหญ่ ไร้ สําเนียง มี ก็ แต่ เสี ยงจั งหรี ดกระกรี ดกร+ิ ง! เรไรหร+ิง! ร้ องขรมระงมเสียง คอกควายวัวรัวเกราะเปาะเปาะ ! เพียง รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่ว เอย.

คํ าศั พท์ ปถพี แผ่นดิน คราววิกาล เวลากลางคืน ถอดคําประพั นธ์ ยามนี>แผ่นดินมืดไปท+ัว อากาศหนาวเย็นยะเยือก เพราะเป็ นเวลากลางคืน และป่ า ใหญ่ แห่งนี เ> งียบสงัด มีแต่เสียงจิง> หรีดและเรไร ร้ องกันเซ็งแซ่ไปหมด เจ้ าของคอกวัวควายต่างก็ รัวเกราะเสียงเปาะๆ ทําให้ รู้ว่าเป็ นเสียงเกราะดังแว่วมาแต่ไกล



คําศพั ท์ ๑.นกแสก ชื+อนกชนิ ดหนึ+ งมัก อาศัยตามต้ นไม้ หรือ ชายคา ๒.แถกขวัญ ทํ าให้ ตกใจ ทํ าให้ เสี ยขวัญ ๓.ซ่ อง ท+ี อยู่ ถอดคําประพั นธ์ นกแสกร้ องแจ๊ กๆ เพ+ื อทํ าให้ เสี ยขวัญ มั นเกาะอยู่ บนหอระฆั งที+ มี เถาวัลย์ พันรุ งรังมาถึ งหลังคาและ บดบั งแสงจันทร์ อยู่ เหมื อนมั นจะฟ้ องดวงจันทร์ ว่า ให้ หันมาดู ผ้ ูคนที+ จมสู่ที+อยู่ ที+มั นรักษาไว้ ซ+ึงถื อเป็ น ที+ เฉพาะส่วนตั วมานาน ทําให้ มั นไม่ มี ความสุข

ต้ นเอ๋ ยต้ นไทร สูงใหญ่ รากย้ อยห้ อยระย้ า และต้ นโพธิoพุ่มแจ้ แผ่ฉายา มี เนินหญ้ าใต้ ต้ นเกลื+อนกล่นไป ล้ วนร่างคนในเขตประเทศนี > ดุษณี นอนราย ณ ภายใต้ แห่ งหลุ มลึ กลานสลดระทดใจ เราย+ิงใกล้ หลุมนั>นทุ กวัน เอย.

คํ าศั พท์ แจ้ ลักษณะของต้ นไม้ เตีย> ๆที+มี กิ+งทอด แผ่ ออกไปโดยรอบ ฉายา เงา ร่มไม้ ดุษณี อาการนิ+งซึ+งแสดงถึงการยอมรับ ถอดคํ าประพั นธ์ ต้ นไทรใหญ่ ท+ีมี รากห้ อยย้ อยและต้ น โพธoิพุ่มเตี >ยๆที+มีกิ+งทอดแผ่ออกไปโดยรอบ มี เนินหญ้ าอยู่ใต้ ต้ นซึ+งเป็ นที+ฝังศพของชาวนา ชาวไร่ในละแวกนี> ซ+ึงนอนอยู่ในหลุมลึก ดูแล้ ว น่าสลดใจและตัวเราเองก็เข้ าใกล้ หลุมนั>นไป ทุ กวัน

หมดเอ๋ยหมดห่ วง หมดดวงวิญญาณลาญสลาย ถึงลมเช้ าชวยชื+นร+ืนสบาย เตือนนกแอ่ นลมผายแผดสําเนี ยง อยู่ตามโรงมุงฟางข้ างข้ างนั>น ทัง> ไก่ ขันแข่งดุเหว่าระเร้ าเสียง โอ้ เหมื อนปลุกร่างกายนอนรายเรียง พ้ นสําเนี ยงท+ีจะปลุกให้ ลุก เอย.

คํ าศั พท์ ลาญ แตกหัก ทําลาย ผาย เคลื+อนจากท+ี ถอดคําประพั นธ์ หมดห่วงเน+ืองจากดวงวิญญาณได้ สลายไปแล้ ว ถึงแม้ ลมยามเช้ าจะพัดให้ สดช+ืน เตือนให้ นก แอ่นลมแผดร้ องไปตามโรงนา ทั>งเสียงไก่ขันและเสียงดุเหว่าร้ องดังเหมือนจะปลุกร่างกายท+ีนอน เรียงให้ ต+ืนขึน> แต่พวกนัน> กลับไม่ได้ ยิน

ทอดเอ๋ยทอดทิ >ง ยามหนาวผิงไฟล้ อมอยู่พร้ อมหน้ า ทิ>งเพื+อนยากแม่เหย้ าหาข้ าวปลา ทุกเวลาเช้ าเย็ นเป็ นนิ รันดร์ ทิ>งทัง> หนูน้ อยน้ อยร่ อยร่อยรับ เห็นพ่ อกลับปลืม> เปรมเกษมสันต์ เข้ ากอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ สารพันทอดทิ >งทุกสิ+ง เอย.

คํ าศั พท์ เกษมสันต์ ชื+นชมยินดี ถอดคํ าประพั นธ์ ยามหนาวเคยน+ั งผิ งไฟอยู่ พร้ อมหน้ ากันแต่กลับมาทิ>งกัน ทัง> เพ+ือนยาก แม่เรือนท+ีเคย หุงข้ าวปลาอาหารให้ ทานทุกวัน ต้ องทิง> ลูกท+ีเคยกอดพ่อด้ วยความ ดีใจเม+ือพ่อกลับบ้ าน ทิ>งหมดทุก สิ+ งทุ กอย่ าง

กองเอ๋ยกองข้ าว กองสู งราวโรงนาย+ิ งน่ าใคร่ เกิดเพราะการเก็ บเก+ียวด้ วยเคียวใคร ใครเล่าไถคราดพื>นฟื >นแผ่นดิ น เช้ าก็ ขับโคกระบื อถือคันไถ สํ าราญใจตามเขตประเทศถิ+ น ยึ ดหางยามยั กไปตามใจจิ นต์ หางยามผินตามใจเพราะใคร เอย.

คํ าศั พท์ หางยาม หางไถตอนที+มื อถือ ถอดคํ าประพั นธ์ เห็นกองข้ าวสูงราวกับโรงนา ช่าง น่ายินดียิ+งนัก กองข้ าวนี>เกิดเพราะ การเก็บเกี+ยวด้ วยเคียวของชาวนา และเป็นผู้ไถคราดพลิกฟื>นฝื นแผ่นดิน นี>ขึน> มา ตอนเช้ าก็ถือคันไถพร้ อมกับ ไล่ต้ อนวัวควายอย่างสบายใจอยู่ใน ท้ องนา โดยจับหางคันไถไถนาไป ตามใจของตน

ตั วเอ๋ ยตั วทะยาน อย่าบันดาลดลใจให้ ใฝ่ ฝั น ดูถูกกิ จชาวนาสารพัน และความครอบครองกั นอั นชื+ นบาน เขาเป็ นสุขเรี ยบเรียบเงียบสงัด มี ปวัตตoิ เป็ นไปไม่ วิตถาร ขออย่าได้ เย้ ยเยาะพูดเราะราน ดูหมิ+นการเป็ นอยู่เพื+อนตู เอย.

คํ าศั พท์ ตัวทะยาน อยากมีฐานะหรือ ภาวะสูง ดีกว่าที+เป็ นอยู่ ปวัตน์ ความเป็ นไป วิตถาร นอกแบบ นอกทาง เกิน วิ สั ยปกติ ถอดคํ าประพั นธ์ ผู้ที+มีความทะเยอทะยาน ขออย่าได้ ดูถูกการกระทํ าต่างๆของชาวนาและความ เป็ นอยู่อันเรียบง่ายของพวกเขา เขาอยู่อย่าง มีความสุขแบบเรี ยบง่าย โดยมี ความเป็ นไป ไม่ เกิ นวิสั ยปรกติของมนุ ษย์ ขอจงอย่ าไป พูดจาเยาะเย้ ยหรือดูหมิ+นความเป็ นอยู่ของ เขาเลย



คํ าศั พท์ อินทรีย์, ขันธ์ ร่างกาย ถอดคํ าประพั นธ์ คนที+มี ชาติตระกูลสูง ทํ าให้ จิตใจ ลําพองคิดว่าตนมีศักดoิศรีเหนือคนอื+น คนที+มี อํานาจนําความสง่างามมาให้ แก่ชีวิต คนท+ีมี หน้ าตางดงามทําให้ คนอื+นรักใคร่ คนมีฐานะ รํ+ารวยย่อมหาความสุขได้ ทุกอย่าง แต่ทุกคน ต่างก็รอความแตกดับของร่างกายด้ วยกัน ทัง> นั>น ชื+อเสียงเกียรติ ยศทัง> หมดนัน> ล้ วนจบลง ด้ วยความตายกันทั>งสิ>น

ตั วเอ๋ ยตั วหย+ิ ง เจ้ าอย่าชิ งติซากว่ายากไร้ เห็นจมดิ นน่าสลดระทดใจ ที+ระลึกส+ิงไรก็ไม่ มี ไม่เหมื อนอย่างบางศพญาติ ตบแต่ง เคร+ืองแสดงเกียรติ ยศเลิศประเสริฐศรี สร้ างสานการบุ ญหนุนพลี เป็ นอนุ สาวรีย์ สง่า เอย.

คํ าศั พท์ พลี (พะ-ลี) = การบูชาบวงสรวง ถอดคํ าประพั นธ์ ผู้เย่อหย+ิงทัง> หลายขออย่าตําหนิซากศพผู้ยากไร้ เหล่านี>เลย แม้ เห็นจมดินน่าสลดใจ ไม่ มีของ ประดับอะไรสักอย่างก็ตามที ไม่เหมือนอย่างบางศพที+ญาติตบแต่งด้ วยเคร+ืองแสดงเกียรติยศ อย่างดี โดยมีการสร้ างอนุสาวรีย์สวยสง่าเพ+ือเป็ นการบวงสรวงบูชา





ร่างเอ๋ยร่ างกาย ยามตายจมพื >นดาษดื+นหลาม อย่าดูถูกถิ+นนี >ว่าที+ทราม อาจขึน> ช+ือลือนามในก่อนไกล อาจจะเป็ นเจดี ย์มี พระศพ แห่งจอมภพจักรพรรดิ กษัตริ ย์ใหญ่ ประเสริฐด้ วยสัตตรัตน์ จรัสชัย ณ สมัยก่อนกาลบุ ราณ เอย.

คํ าศั พท์ สั ตตรัตน์ แก้ ว ๗ ประการของจักรพรรดิ มีช้ างแก้ ว นางแก้ ว ขุนพลแก้ ว ขุนคลังแก้ว ม้ าแก้ ว แก้ วมณี จักรแก้ ว ถอดคํ าประพั นธ์ ร่างกายของคนทั>งหลายเม+ือตายจะจมพื>นดินอยู่เต็มไปหมด ขอจงอย่าดูถูกถิ+นนี>ว่าไม่ ดี เพราะอาจเป็ นถิ+นที+มีช+ือเสียงในอดีตก็เป็ นได้ อาจเป็ นพระเจดีย์บรรจุพระศพของ พระมหากษัตริ ย์ผู้ยิ+งใหญ่ อันประกอบด้ วยแก้ว ๗ ประการของจักรพรรดิ ในสมัยโบราณนาน มาแล้ ว

ความเอ๋ ยความร้ ู เป็ นเครื+องชูชี>ทางสว่างไสว หมดโอกาสที+จะชีต> ่ อนี>ไป ละห่วงใยอยากรู้ ลงสู่ดิน อันความยากหากให้ ไร้ ศึกษา ย่นปั ญญาความรู้ อยู่แค่ถิ+น หมดทุกข์ ขลุกแต่กิจคิ ดหากิน กระแสวิญญาณงันเพี ยงนั>น เอย.

ถอดคํ าประพั นธ์ ความรู้เป็ นเคร+ืองชีน> ําทางไปสู่ความก้ าวหน้ าแต่ตอนนี>หมดโอกาสที+จะชี>นําทางต่อไป แล้ ว จําต้ องละความอยากรู้ทัง> หมดลงไปสู่ความตาย ความยากจนทําให้ ไม่ได้รับ การศึกษา ได้ รับวิชาความรู้อยู่เฉพาะในท้ องถ+ินของตน ตอนนี>หมดทุกข์ ท+ีจะขลุกอยู่แต่ในการ ทํามาหากินเสียที เพราะวิญญาณของเราคงจะหยุดอยู่เพี ยงเท่านี>

ดวงเอ๋ ยดวงมณี มั กจะลี>ลับอยู่ ในภู ผา หรือใต้ ท้ องห้ องสมุทรสุดสายตา ก็เสื+อมซาสิน> ชมนิ ยมชน บุ ปผชาติ ชู สี และมี กล+ ิ น อยู่ ในถิ + นที + ไกลเช่ นไพรสณฑ์ ไม่มี ใครได้ เชยเลยสักคน ย่อมบานหล่นเปล่ าดายมากมาย เอย.

คํ าศั พท์ ไร้ ประโยชน์ เปล่ าดาย ป่ า ไพรสณฑ์ ถอดคําประพั นธ์ ดวงแก้ วหรื อส+ิงที+มี ค่ามักจะอยู่ในท+ีลี>ลับ เช่นในภูเขาหรื ออยู่ใต้ ท้ องสมุทรซ+ึงอยู่สุด สายตาของมนุษย์ ทํ าให้ กลายเป็ นสิ+งไร้ ค่า ไม่มี ผู้ใดได้ ช+ืนชม เปรียบเสมื อนดอกไม้ ที+สี สวยและกล+ินหอมท+ีอยู่ห่างไกลในป่ า ก็ไม่ มี ใครได้ เชยชมเลยสักคน ย่อมบานหล่นไป เปล่าๆ อย่างมากมายน่ าเสียดายเป็ นอย่ าง ย+ิ ง

ซากเอ๋ ยซากศพ อาจเป็ นซากนักรบผู้กล้าหาญ เช่นชาวบ้ านบางระจันขันรําบาญ กั บหมู่ ม่ านมาประทุ ษอยุธยา ไม่ เช่ นนั >นท่ านกวี เช่ นศรี ปราชญ์ นอนอนาถเล่ห์ใบ้ ไร้ ภาษา หรือผู้กู้บ้ านเมืองเรืองปั ญญา อาจจะมานอนจมถมดิน เอย.

คํ าศั พท์ รบ รํ าบาญ ชนชาติ พม่ า ม่ าน ทําร้ าย ประทุ ษ ถอดคํ าประพั นธ์ ซากศพทั >งหลายเหล่ านี> อาจจะเป็ นซากศพของนักรับผู้ กล้ าหาญ เช่น ชาวบ้ านบางระจันท+ี อาสาส้ ู รบกั บกองทั พพม่ าท+ ี มาทํ าลาย กรุงศรีอยุธยา หรือศพท่านกวี ศรีปราชญ์ ที+นอนนิ+งไม่ พูดไม่จา หรือ ศพผู้กู้บ้ านเมื องอ+ืนๆ ซึ+งอาจจะมา สิน> ชีวิต ณ ท+ีนี >



คํ าศั พท์ ฟูมฟาย สุรุ่ยสุร่าย ใช้ จ่ายเกินฐานะ ถอดคํ าประพั นธ์ พวกมักใหญ่ ใฝ่ สูงจะทํ าแต่สิ+งท+ีตนใฝ่ ฝั นมุ่ง หมายไว้ และปิ ดปังความจริ งบางอย่างโดย ไม่เปิ ดเผยให้ ใครทราบ แม้ จะเป็ นส+ิงท+ีไม่มี ใครอับอาย มุ่งแต่แสดงให้ เห็นรูปลักษณ์ ภายนอกมีว่าดี พูดจาโอ้ อวดเพ+ือแสดง ความมีเกียรติสูงส่งของตนให้ คนอ+ืน เห็น เพ+ือเป็ นการปกปิ ดความเป็ นจริงของ ตนเองไว้

ห่ างเอ๋ ยห่ างไกล ห่างจากพวกมั กใหญ่ ฝั กใฝ่ หา แต่ สิ + งซึ+ งเหลวไหลใส่ อาตมา ความมักน้ อยชาวนาไม่น้ อมไป เพื+ อนรั กษาความสราญฐานวิ เวก ร่มชื อ> เฉกหุบเขาลําเนาไศล สั นโดษดั บฟุ้ งซ่ านทะยานใจ ตามวิสัยชาวนาเย็นกว่า เอย.

คํ าศั พท์ ชือ> เย็น ร่ม ชื>น สันโดษ ความยินดีหรือพอใจเท่าที+ตนมอยู่ หรือเป็ นอยู่, มักน้ อย วิเวก ความเงียบสงัด ถอดคํ าประพั นธ์ ขอจงอยู่ห่างไหลจากพวกมักใหญ่ ใฝ่ สูง ซึ+งทํ าแต่ส+ิงเหลวไหลใส่ตัวเอง โดยไม่ดูความมักน้ อย ของชาวนาเป็ นตัวอย่าง ฉะนัน> เพื+อรักษาความสบายใจและควาสงบร่มเย็นเฉกเช่นอยู่ในหุบเขา ลําเนาไพร ควรถือสันโดษดับความฟุ้งซ่านใจ ตามแบบของชาวนาไว้ จะดีกว่า

ศพเอ๋ ยศพไพร่ ไม่มี ใครขึ>นช+ือระบือขาน ไม่เกรงใครนิ นทาว่าประจาน ไม่มี การจารึกบันทึ กคุณ ถึงบางที มีบ้ างเป็ นอย่ างเลิศ ก็ไม่ ฉูดฉาดเชิดประเสริฐสุนทร์ พอเตือนใจได้ บ้ างในทางบุ ญ เป็ นเครื+องหนุนนํ าเหตุสังเวช เอย.

ถอดคํ าประพั นธ์ ศพของคนธรรมดาสามัญ ไม่มีใครเขายกย่องหรือกล่าวถึงฉะนัน> จึงไม่ต้ องไปเกรงกลัว ว่าใครเขาจะนินทา เพราะไม่มีการเขียนจารึกบันทึกคุณความดีไว้ ถึงจะมีบ้ างก็ ไม่เชิดชูกัน อย่างเต็มที+ ทําพอเป็ นเคร+ืองเตื อนใจถึงคุณงามความดี หรือเป็ นเคร+ืองหนุนนําเพื+อให้ เกิดความ สั งเวชใจเท่ านั >น

ศพเอ๋ ยศพสู ง เป็ นเครื+องจูงจิตให้ เลื+อมใสศานต์ จารึกคํ าสํานวนชวนสักการ ผิ ดกั บฐานชาวนาคนสามั ญ ซึ+งอย่างดี ก็มี กวีเถ+ือน จากรึกช+ือปี เดื อนวันดับขันธ์ อุทิศสิ+งซึ+งสร้ างตามทางธรรม์ ของผู้นั>นผู้นี แ> ก่ผี เอย.

คํ าศั พท์ กวีเถ+ือน กวีชาวบ้ าน คนท+ีมี ความร้ ูระดับชาวบ้ าน ถอดคํ าประพั นธ์ ศพของคนมีชื+อเสียงเกียรติ ยศ มีการจารึกคําสักการะ ผิ ดกับศพของชาวนาธรรมดา ซึ+งอย่างดี ที+สุดก็มีแค่กวีชาวบ้ านซึ+งจะจารึกเอาไว้ เพียงแค่วันเดือนปี ท+ีล่วงลับ เพ+ืออุทิ ศส่วนกุศล ให้ แก่ผู้ตาย





ดวงเอ๋ ยดวงจิ ต ลืมสนิ ทกิจการงานทั>งหลาย ย่อมละชี พเคยสุขสนุกสบาย เคยเสี ยดายเคยวิ ตกเคยปกครอง ละทิ>งถ+ินท+ีสําราญเบิ กบานจิต ซึ+งเคยคิดใฝ่ เฝ้าเป็ นเจ้ าของ หมดวิ ตกหมดเสี ยดายหมดหมายปอง ไม่ผิ นหลังเหลียวมองด้ วยซํ า> เอย.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook