Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตัวละครอัปลักษณ์ในวรรณคดีไทย

ตัวละครอัปลักษณ์ในวรรณคดีไทย

Published by noiprapa041, 2019-10-25 04:47:06

Description: ตัวละครอัปลักษณ์ในวรรณคดีไทย

Keywords: อัปลักษณ์

Search

Read the Text Version

ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดไี ทย โดย นางสาวอาภากร หนกั ไหล่ วทิ ยานพิ นธ์นเี ป็ นส่วนหนงึ ของการศึกษาตามหลกั สูตรปริญญาอกั ษรศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าภาษาไทย ภาควชิ าภาษาไทย บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ปี การศึกษา 2559 ลขิ สิทธขิ องบณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร

ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดไี ทย โดย นางสาวอาภากร หนกั ไหล่ วทิ ยานิพนธ์นเี ป็ นส่วนหนงึ ของการศึกษาตามหลกั สูตรปริญญาอกั ษรศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าภาษาไทย ภาควชิ าภาษาไทย บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ปี การศึกษา 2559 ลขิ สิทธขิ องบณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร

THE UGLY CHARACTERS IN THAI LITERATURE By Miss Apakorn Naklai A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree Master of Arts Program in Thai Department of Thai Graduate School, Silpakorn University Academic Year 2016 Copyright of Graduate School, Silpakorn University

บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร อนุมตั ิใหว้ ทิ ยานิพนธเ์ รือง “ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ใน วรรณคดีไทย ” เสนอโดย นางสาวอาภากร หนกั ไหล่ เป็นส่วนหนึงของการศกึ ษาตามหลกั สูตร ปริญญาอกั ษรศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาภาษาไทย ……........................................................... (รองศาสตราจารย์ ดร.ปานใจ ธารทศั นวงศ)์ คณบดีบณั ฑิตวทิ ยาลยั วนั ที..........เดือน.................... พ.ศ............. อาจารยท์ ีปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ อาจารย์ ดร.ปัทมา ฑีฆประเสริฐกลุ คณะกรรมการตรวจสอบวทิ ยานิพนธ์ .................................................... ประธานกรรมการ (ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. อบุ ล เทศทอง) ............/......................../.............. .................................................... กรรมการ (ผชู้ ่วยศาตราจารย์ ดร. วรางคณา ศรีกาํ เหนิด) ............/......................../.............. .................................................... กรรมการ .................................................... กรรมการ (รองศาตราจารย์ จุไรรัตน์ ลกั ษณะศริ ิ) (อาจารย์ ดร.ปัทมา ฑีฆประเสริฐกุล) ............/......................../.............. ............/......................../..............

: สาขาวชิ าภาษาไทย คาํ สําคญั : ตวั ละคร อปั ลกั ษณ์ วรรณคดีไทย อาภากร หนกั ไหล่ : ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดไี ทย. อาจารยท์ ีปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ : อ. ดร.ปัทมา ฑีฆประเสริฐกลุ . หนา้ . วทิ ยานิพนธ์นีมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พอื ศึกษาตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดไี ทย ในดา้ นรูปลกั ษณ์ นิสยั และพฤติกรรม กลวธิ ีการสร้าง และบทบาทของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทยตงั แตส่ มยั อยุธยา ถึงสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์มจี าํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ ชูชก พรานบุญ เจา้ เงาะ นางค่อมกุจจี นางสํามนกั ขา ขนุ ช้าง หมืนหาญ จรกา ทา้ วสันนุราช นางคนั ธมาลี นางผีเสือสมุทร ชีเปลือย นางวาลี เจา้ ละมาน ย่องตอด นางแกว้ หนา้ มา้ นางประแดะ และนางศรีสาหง ผลการศึกษาพบว่า ในด้านรูปลกั ษณ์ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ปรากฏลกั ษณะทางกายภาพที สะทอ้ นถึงความอปั ลกั ษณ์ จาํ นวน ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ อวยั วะผดิ รูป อวยั วะพกิ าร อวยั วะไม่สะอาด อวยั วะมี ขนาดใหญ่ ร่างกายมีขนาดใหญ่ เส้นผมและขนไมเ่ ป็นระเบียบ เส้นผมและขนยาวกวา่ ปกติ ผมนอ้ ย ผิวดาํ คลาํ ผวิ หนงั ไมเ่ กลยี งเกลาหนา้ อกหย่อนยาน และเลบ็ กุด ในดา้ นนิสัยและพฤติกรรมพบ ลกั ษณะ คอื นิสัยและ พฤติกรรมทีไม่ดี ปรากฏ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ หมกมุ่นกามตณั หา เจา้ เล่ห์เพทุบาย กล่าวเทจ็ ขีขลาด ไม่มี ความเฉลยี วฉลาด ดอ้ ยความสามารถในการรบ ไมช่ าํ นาญในการเกียวพาราสีสตรี โลภ กลา้ แสดงความรัก ต่อผูช้ ายก่อน ขีหึง เจา้ มารยา ไมซ่ ือสัตยก์ บั สามี พฤติกรรมหยาบคาย และพฤติกรรมบา้ ใบ้ และนิสัยและ พฤติกรรมทีดี ปรากฏ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ มีวิชาความรู้ มีปัญญาและความเฉลียวฉลาด มีความกลา้ หาญ มี ความสามารถ มีความซือสัตย์ และมอี าํ นาจ ดา้ นกลวธิ ีการสร้างตวั ละครอปั ลกั ษณ์ ดว้ ยกลวธิ ีการสร้างตวั ละคร ประการ ไดแ้ ก่ กลวธิ ี การเล่าเรือง และกลวธิ ีทางภาษาพบวา่ ในดา้ นกลวธิ ีการเล่าเรืองใช้กลวิธีการสร้างตวั ละครอปั ลกั ษณ์ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ กลวธิ ีการสร้างจากการบรรยายของผูเ้ ล่าเรืองแบบผูร้ ู้ กลวิธีการสร้างจากการบรรยายตวั ละครอืนในเรือง และการสร้างจากถอ้ ยคาํ ของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ ส่วนดา้ นกลวธิ ีทางภาษามกี ารเลือกใชค้ าํ ทีแสดงความหมายในเชิงลบ และการใชภ้ าพพจนแ์ บบอปุ มาและอปุ ลกั ษณ์ในการเปรียบเทียบเพือนาํ เสนอ ภาพในเชิงลบของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ ดา้ นบทบาทของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ต่อการสร้างสรรคว์ รรณคดีไทยพบวา่ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ มีบทบาทสําคญั ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ บทบาททีมีต่อโครงเรือง บทบาททีมีต่อตวั ละครอืน ๆ ในเรือง และ บทบาทในการถ่ายทอดทศั นคติทมี ตี อ่ ความอปั ลกั ษณ์ ภาควชิ าภาษาไทย บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ลายมอื ชือนกั ศกึ ษา........................................ ปี การศึกษา ลายมอื ชืออาจารยท์ ปี รึกษาวทิ ยานิพนธ์ ........................................ ง

55202213: MAJOR THAI THESIS KEYWORD : CHARACTER / UGLY / THAI LITERATURE APAKORN NAKLAI : THE UGLY CHARACTERS IN THAI LITERATURE. ADVISOR : PATTAMA THEEKAPRASERTKUL, Ph.D. 194 pp. This thesis aims to study the ugly characters in Thai literature considering the appearance and the characteristic and behavior of ugly characters, the creation of ugly characters, and the function of ugly character. 17 ugly characters in Thai literature since an Ayutthaya ear to an early Rattanakosin era are analyzed, namely, Chu Chok, Phran Bun, Chao Ngor, Nang Samma Nag Khar, Nang Kom Kudji, Khun Charng, Muen Harn, Chorrakar, Thaw Sannurat, Nang Khantha Mar Lee, Nang Phee Suea Samut, Chee Plueai, Nang Wa Lee, Chaw Lamarn, Yong Tord, Nang Kaew Nar Mar, Nang Pra Dae, and Nang Sri Sar Hong. The result about appearance and the characteristic and behavior of the ugly characters are found that the ugly characters have 12 sorts of ugly appearance, namely, deformed organ, disabled organ, dirty organ, too big organ, big body, shaggy hair, too long hair, less mustache and less hair, dark skin, rough skin, flabby breast, and too short nail. As for the characteristic and behavior of ugly characters, there are 2 important sorts of characteristic and behavior. The bad characteristic and behavior consists of 1 sorts, namely, lascivious, tricky, lying, coward, foolish, incapable, bashful, greedy, seducer, jealous, deceitful, unfaithful, vulgar, and dumb. The good characteristic and behavior consists of 6 sorts, namely, cultivated, wise, brave, capable, honest, and powerful. The creation of ugly character has 2 main strategies: narrative technique and language technique. It is found that the 3 narrative techniques are applied to create the ugly characters, namely, creating from omniscient narration, creating from other characters in the story, and creating from ugly characters. As for the language technique, the words which have negative meaning are used. The simile and the metaphor are also used to present the negative image of the ugly characters. The function of ugly characters has the effect to the creation of Thai literature in 3 ways, namely, the function for plot, the function for other characters, and the function for conveying the attitude about ugliness. ________________________________________________________________________________ Department of Thai Graduate School, Silpakorn University Student’s signature ............................................................ Academic 2016 Thesis Advisor’s signature ........................................................... จ

กติ ตกิ รรมประกาศ วิทยานิพนธ์ฉบบั นีสาํ เร็จลุล่วงไปไดอ้ ย่างราบรืน เนืองดว้ ยความกรุณาของอาจารย์ ดร.ปัทมา ฑีฆประเสริฐกลุ อาจารยท์ ีปรึกษาทีไดส้ ละเวลาใหค้ าํ ปรึกษาและแนะนาํ ตงั แต่การเลือก หวั ขอ้ ทีจะศกึ ษา ตลอดจนการวิเคราะหเ์ นือหาและการตรวจแกว้ ทิ ยานิพนธอ์ ยา่ งละเอียดดว้ ยความ เอาใจใส่และความเมตตาต่อผูศ้ ึกษาตลอดมา ตลอดระยะเวลาจะมีอุปสรรคและความโง่เขลาบา้ ง อาจารย์ก็ยงั คงให้กําลงั ใจและฉุดผูศ้ ึกษาออกจากความโง่เขลามาโดยตลอด ผู้ศึกษาจึง ขอขอบพระคุณอาจารยเ์ ป็นอยา่ งสูง ผศู้ ึกษาขอกราบขอบพระคุณคณะกรรมการสอบวทิ ยานิพนธท์ ุกท่าน อนั ไดแ้ ก่ ผูช้ ่วย ศาสตราจารย์ ดร. อุบล เทศทอง ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. วรางคณา ศรีกาํ เหนิด รองศาสตราจารย์ จุไรรัตน์ ลกั ษณะศิริ และอาจารย์ ดร. ปัทมา ฑีฆประเสริฐกลุ ทีกรุณาตรวจแกไ้ ขและใหค้ าํ แนะนาํ จนทาํ ใหว้ ิทยานิพนธเ์ ล่มนีมคี วามสมบูรณ์มากขึน ผศู้ ึกษาขอกราบขอบพระคุณคณาจารยภ์ าควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม และคณาจารยภ์ าควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากรทีไดป้ ระสิทธิประสาทวชิ าความรู้ดา้ นภาษาและวรรณคดีไทยใหแ้ ก่ผศู้ ึกษา ขอขอบคุณเพือนนกั ศึกษาปริญญาโท รหสั 55 และพี ๆ นอ้ ง ๆ ปริญญาโททีน่ารักทุก คนทีคอยใหค้ าํ ปรึกษาในการทาํ งานวิชาการ และแบ่งปันความรู้ต่าง ๆ อีกทงั ยงั ช่วยเป็นกาํ ลงั ใจทีดี ทาํ ใหผ้ ศู้ กึ ษามพี ลงั ใจในการต่อสูฝ้ ่ าฟันกบั อุปสรรคต่าง ๆ จนสามารถจดั ทาํ วิทยานิพนธ์เล่มนีได้ สาํ เร็จ สุดทา้ ยนีของกราบขอบพระคุณคุณพ่อ ร.ต.ท.ประยูรศกั ดิ หนกั ไหล่ และคุณแม่ยพุ ิน แสงไข่ ตลอดจนทุกคนในครอบครัวทีคอยสนบั สนุนและเป็นกาํ ลงั ใจใหก้ บั ผศู้ กึ ษามาโดยตลอด หากวิทยานิพนธฉ์ บบั นีเป็นประโยชนต์ ่อผใู้ ดในอนาคต ผศู้ ึกษาขอยกความดีทงั หลาย นนั ใหก้ บั ทุกท่านทีผูว้ ิจัยกล่าวถึงแลว้ ในข้างตน้ แต่หากวิทยานิพนธ์ฉบับนีมีความบกพร่ องใด เกิดขึน ผศู้ กึ ษาขอนอ้ มรับความผดิ พลาดนนั ไวแ้ ต่เพยี งผเู้ ดียว ฉ

สารบญั หนา้ บทคดั ยอ่ ภาษาไทย ...........................................................................................................................ง บทคดั ยอ่ ภาษาองั กฤษ ......................................................................................................................จ กิตติกรรมประกาศ............................................................................................................................ฉ บทที บทนาํ .................................................................................................................................. ความเป็นมาและความสาํ คญั ของปัญหา................................................................ วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ...................................................................................... สมมติฐานการวจิ ยั ................................................................................................. ขอบเขตของการวจิ ยั .............................................................................................. นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ................................................................................................. วธิ ีการดาํ เนินการวิจยั .......................................................................................... ขอ้ ตกลงเบืองตน้ ................................................................................................. ประโยชนท์ ีคาดวา่ จะไดร้ ับ................................................................................. เอกสารและงานวจิ ยั ทีเกียวขอ้ ง ........................................................................... ลกั ษณะของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย............................................................... รูปลกั ษณ์ของตวั ละครอปั ลกั ษณ์......................................................................... ลกั ษณะนิสยั และพฤติกรรมของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ ............................................ กลวิธีการสร้างตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย........................................................... กลวธิ ีการเลา่ เรือง ................................................................................................ กลวิธีการสร้างจากการบรรยายของผเู้ ลา่ เรืองแบบผรู้ ู้............................ กลวิธีการสร้างจากการบรรยายของตวั ละครอนื .................................... กลวธิ ีการสร้างจากถอ้ ยคาํ ของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ ................................. กลวธิ ีทางภาษา.................................................................................................. การใชค้ าํ .............................................................................................. การสรรคาํ .............................................................................. การใชค้ าํ เรียกตวั ละครอปั ลกั ษณ์ ...........................................

การใชภ้ าพพจน์ ................................................................................... บทบาทของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย ............................................................. บทบาทของตวั ละครอปั ลกั ษณต์ ่อโครงเรือง..................................................... บทบาทของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ต่อตวั ละครอืน.................................................. บทบาททีใหโ้ ทษแก่ตวั ละครอืน.......................................................... บทบาททีใหค้ ุณแก่ตวั ละครอนื ............................................................ บทบาทในการถ่ายทอดทศั นคติต่อความอปั ลกั ษณ์........................................... สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ............................................................................ สรุ ปผลและอภิปรายผล ..................................................................................... ขอ้ เสนอแนะ ..................................................................................................... รายการอา้ งอิง........................................................................................................................... ประวตั ิผศู้ กึ ษา ..........................................................................................................................

สารบัญตาราง ตารางที หนา้ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย..................................................................................... การใชค้ าํ เรียกทีแสดงถึงรูปลกั ษณ.์ ....................................................................................... การใชค้ าํ เรียกทีแสดงถงึ นิสยั และพฤติกรรมในดา้ นลบ....................................................... การใชค้ าํ เรียกทีแสดงถงึ นิสยั และพฤติกรรมในดา้ นดี.......................................................... การใชค้ าํ เรียกทีแสดงถึงสถานภาพผนู้ าํ และผปู้ กครอง ........................................................ การใชค้ าํ เรียกทีแสดงถึงชาติกาํ เนิดของตวั ละครอปั ลกั ษณ์..................................................

บทที บทนํา ความเป็ นมาและความสําคญั ของปัญหา ตวั ละคร (Character) เป็ นองค์ประกอบหนึงทีสาํ คญั ในการสร้างสรรคว์ รรณคดี ตัว ละครคือผรู้ ับบทบาทแสดงพฤติกรรมตามเหตุการณ์ในเรือง หรือผทู้ ีไดร้ ับผลจากเหตุการณ์ในเรือง ทีเกิดขึนตามเหตุการณ์ในเรืองทีกาํ หนดไว้ ตวั ละครอาจจะเป็นคน สัตวห์ รือสิงของก็ได้ (อุดม หนู ทอง, : ) วรรณคดีจะตอ้ งอาศยั ตวั ละครในการดาํ เนินเรือง หากขาดตวั ละครไป วรรณคดีอาจจะ ไม่สามารถดาํ เนินเรืองไปได้ หรือหากดาํ เนินเรืองไดก้ ็จะทาํ ใหเ้ นือหาของเรืองนันขาดสีสันและ ความน่าสนใจไดเ้ ช่นกนั ดงั คาํ กลา่ วของม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ( : ) ทีกล่าวถึงการสร้าง ตวั ละครในวรรณคดีว่า “ลกั ษณะนิสัยของตวั ละครเป็ นเนือหาสาํ คญั ทีสุดอย่างหนึง ถา้ เนือเรือง ดาํ เนินไปโดยไม่อาศยั ลกั ษณะนิสยั ของตวั ละคร วรรณคดีก็อาจพน้ ความสนใจไปไดโ้ ดยง่าย” ตวั ละครจึงมคี วามสาํ คญั ในการดาํ เนินเรืองและทาํ ใหเ้ รืองน่าสนใจ ทงั นีตวั ละครในวรรณคดีแต่ละตวั กจ็ ะมีความสาํ คญั แตกต่างกนั ไป บางตวั มีความเป็นเอกเรียกวา่ ตวั ละครเอกหรือตวั ละครสาํ คญั บาง ตวั มีความสาํ คญั นอ้ ยกว่าลดหลนั ลงไปเรียกว่าตวั ประกอบ ตวั ละครสาํ คญั อาจมีมากกว่าหนึงได้ (วภิ า กงกะนนั ทน์, : ) ในกระบวนการสร้างตวั ละครในวรรณคดีพบวา่ กวมี กั สร้างใหต้ วั ละครมีลกั ษณะตาม อดุ มคติสากลหรือตามขนบทางวรรณกรรม (เครือวลั ย์ ปัญญาม,ี : ) กลา่ วคือ กวจี ะเลือกสร้าง ตวั ละครใหม้ รี ูปลกั ษณ์ทีงดงามทงั ตวั ละครเอกฝ่ ายหญิงและฝ่ ายชาย มีลกั ษณะนิสยั และพฤติกรรมที ดี เรียกไดว้ ่า เป็ นตวั ละครทีงดงามทงั ภายนอกและภายใน เช่น การสร้างตัวละครเอกฝ่ ายชายใน วรรณคดีจะมรี ูปงาม เป็นคนดีมคี ุณธรรม หรือมลี กั ษณะอนื ๆ เพือขบั เนน้ ความเป็นตวั ละครเอกฝ่ าย ชาย ไม่วา่ จะเป็นสถานภาพทางสงั คมสูง การมีความรู้ ความสามารถชาํ นาญในการรบ ตวั อย่างเช่น 1

2 พระราม ในรามเกียรติ กวสี ร้างใหพ้ ระรามซึงเป็นโอรสของทา้ วทศรถใหเ้ ป็ นผมู้ ีความ สมบูรณ์ตามอดุ มคติ ทงั ในดา้ นรูปร่างหนา้ ตาทีงดงาม บุคลิกภาพ และนิสยั ใจคอ ดงั เนือความวา่ เมอื นนั นวลนางสีดามารศรี ลดองคล์ งจากแทน่ มณี เทวกี รานกม้ พกั ตรา ใหส้ ะเทินเขินใจเป็นพน้ นกั เพียงจกั สิ นชีพสงั ขาร์ แตช่ มา้ ยชายเนตรชาํ เลอื งมา ดูพระจกั ราผูท้ รงฤทธิ งามพักตร์ดังดวงพระสุริยน งามทรงยงิ เทพนิรมิต อันหมดเมฆมณฑลไม่ปกปิ ด งามเนตรแหลมคมดังแสงศร บงั คมกม้ พกั ตร์อยแู่ ต่ไกล งามจริตสุรเสียงจบั ใจ จะตอ่ เนตรภูธรกไ็ มไ่ ด้ อรไทมไิ ดจ้ าํ นรรจาฯ (รามเกยี รติ เล่ม1, 2549: 347) จากตวั อยา่ งขา้ งตน้ แสดงให้เห็นถึงรูปลกั ษณ์อนั งดงามของพระรามทีมีพระพกั ตร์ สดใสไม่หมน่ หมอง รูปร่างงดงามดงั เทพสร้าง นาํ เสียงไพเราะ และดวงตาคม จนนางสีดาไดแ้ ต่กม้ หนา้ เพราะความเขินอาย หรือดงั ตอนทีนางสาํ มนักขาไปเทียวป่ า และเห็นพระรามก็ตกตะลึงในรูปลกั ษณ์ที งดงามของพระรามดงั เทพเทวาบนสวรรค์ ดงั เนือความวา่ เมือนนั ฝ่ ายนวลนางสาํ มนกั ขา แลไปเหน็ พระจกั รา รูปทรงโสภาอาํ ไพ พนิ ิจพศิ ทวั ทงั องค์ มีความพิศวงสงสัย จะว่าพระอศิ วรเรืองชัย กไ็ ม่มสี ังวาลนาคี จะว่าพระนารายณ์ฤทธิรอน ก็ไม่เห็นพระกรเป็ นสี จะว่าท้าวธาดาธบิ ดี เหตุใดไม่มีเป็ นสีพักตร์ แม้นจะว่าท้าวหัสนัยน์ ไยจึงไม่ทรงวเิ ชียรจกั ร จะว่าพระสุริยาวรารักษ์ ก็ชักรถอย่ใู นเมฆา ครันจะว่าองค์พระจันทร ก็ผิดทจี ะจรจากเวหา ชะรอยจกั รพรรดกิ ษตั รา สละสมบตั ิมาเป็นโยคี ยงิ พศิ ยงิ พศิ วาสกลมุ้ รสรักรึงรุมดงั เพลงิ จี อกใจไม่เป็ นสมประดี อสุรีคลงั เคลิ มวญิ ญาณ (รามเกยี รติ เล่ม1, 2549: 532)

3 นอกจากรูปลกั ษณ์อนั งดงามแลว้ พระรามยงั มีลกั ษณะนิสัยและพฤติกรรมทีดีคือเป็ น โอรสทีดียอมออกเดินป่ าเพือรักษาคาํ สตั ยข์ องพระบิดาทีกล่าวไว้ ดังเช่นในตอนทีทา้ วทศรถจะ อภิเษกพระรามขึนครองราชย์ นางไกยเกษีกล่าวทวงคาํ ขอจากทา้ วทศรถ และขอใหพ้ ระพรตโอรส ของนางไดข้ ึนครองราชย์ พระรามไม่ไดโ้ กรธเคืองการกระทาํ ของนางไกยเกษี แต่กลบั ยนิ ดีและ ยอมเดินป่ าเพือรักษาสตั ยข์ องพระราชบิดา เมอื พระลกั ษมณ์ทราบเรืองก็เกิดโทสะและจะทาํ ร้ายนาง ไกยเกษี แต่พระรามไดห้ า้ มไว้ หรือพฤติกรรมการเป็ นผปู้ กครองทีดี ปรึกษา และรับฟังคาํ แนะนาํ ของขา้ ราชบริพาร เช่น ตอนทีพระรามยกทพั ไปถึงกรุงลงกา เหล่าทหารวานรทูลแนะนาํ ใหพ้ ระราม ยกทพั เขา้ ตีกรุงลงกา แต่สุครีพทูลแนะนาํ ใหห้ าคนเจรจาก่อน พระรามก็ทรงเห็นดว้ ย แสดงให้เห็น วา่ พระรามเป็นผนู้ าํ ทีดีและรักความสงบมากกว่าตอ้ งการทาํ ศึกสงคราม แต่เมือตอ้ งทาํ สงครามกบั กรุงลงกาพระรามกม็ ีความสามารถในการรบอยา่ งมาก ในการสร้างตวั ละครเอกฝ่ ายหญิงก็มลี กั ษณะคลา้ ยกนั กบั ตวั ละครเอกฝ่ ายชายทีมกั จะ เนน้ ใหต้ วั ละครมีรูปลกั ษณ์ทีงดงาม และมีความประพฤติดีอยใู่ นกรอบของความเป็นหญิง คือตอ้ งมี กิริยามารยาทเรียบร้อย และมีความซือสัตยต์ ่อสามี เช่น นางสีดา ในรามเกียรติ กวีสร้างใหน้ างมี รูปลกั ษณ์ทีงดงามกว่านางใด ๆ ในสวรรค์ ดงั ในตอนทีทา้ วมาลีวราชว่าความและไดเ้ รียกนางสีดา มาถามความ เมอื ทา้ วมาลีวราชเห็นนางสีดากช็ ืนชมในความงามของนาง ดงั เนือความว่า เมือนนั ทา้ วมาลวี ราชรังสรรค์ เหน็ นางสีดาวลิ าวลั ย์ งามดงั ดวงจนั ทร์ไม่ราคี มาตรแม้นถงึ องค์พระอุมา นางสุชาดาโฉมศรี นางสุจติ ราเทวี สุนันทานารีอรไท ทงั สุธรรมานงคราญ จะเปรียบงามเยาวมาลย์กไ็ ม่ได้ ทวั สวรรค์ชันฟ้าสุราลยั ไกลกนั กับโฉมนางสีดา ...................................... ...................................... แตก่ ูผทู้ รงทศธรรม์ ยงั หวาดหวนั เคลิ มไปดว้ ยสงสาร หากมีอเุ บกขาญาณ จึงประหารเสียไดไ้ มไ่ ยดี (รามเกยี รติ เล่ม3, 2549: 241) ในดา้ นลกั ษณะนิสยั กวีสร้างลกั ษณะนิสยั ใหน้ างสีดาเป็ นหญิงทีมีความรักและความ ซือสตั ยต์ ่อสามี ซึงเป็นลกั ษณะนิสยั ประการสาํ คญั ของตวั ละครเอกฝ่ ายหญิง จนไดร้ ับการยกยอ่ งว่า เป็นแบบอยา่ งของผหู้ ญิงทีมีความรักซือสตั ยต์ ่อสามี จึงกล่าวไดว้ ่า สีดาเป็ นตวั ละครแบบอุดมคติที เป็นแบบ (type) ของความดีงาม ซึงเป็นแบบอยา่ งของตวั ละครทีมที งั ความดีและความงาม (รืนฤทยั สจั จพนั ธุ,์ : )

4 นอกจากตวั ละครทีมลี กั ษณะดีตามอดุ มคติแลว้ ในวรรณคดีไทยยงั ปรากฏตวั ละครทีมี ลกั ษณะตรงกนั ขา้ มกบั ตวั ละครอุดมคติคือ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ เช่น ชูชก ในมหาชาติคาํ หลวง เป็ น ตวั ละครอปั ลกั ษณ์เป็ นผูม้ ีลกั ษณะของบุรุษโทษ ประการ ไดแ้ ก่ แขง้ คด เลบ็ กุด คอพอก หน้า ยาน ฝีปากบนยาวปิ ดริมฝีปากล่าง นาํ ลายไหลออกเป็ นยางยดื จมูกหกั ฟันงอกอย่างเขียวหมู หลงั ค่อม ท้องป่ องเป็ นกระเปาะใหญ่ ตาเหล่ มีหนวดยาว ผมบาง มีขีแมลงวนั ผิวหนังตกกระ ตามีสี เหลืองเหมือนตาแมว แนวกระดูกสันหลงั ตงั แต่ช่วงคอถึงเอวมีลกั ษณะคด ผิวหนงั หยาบและลาย เหมือนเสือป่ า ดงั เนือความวา่ บพิตร พราหมณ์นีแข้งคดเล็บห้ยน หน้าครึงท้ยนทุรลักษณ์ โสดไส้ อโถ โอพทฺธปิ ณฺ ฑิ โก อนึงฅอเป็ นอนนออกพอก เถา้ แถลง หนอกหน้าญาณ อีกโสด ทโี ฆตฺตโรฏฺ โ° จปโล ปากบนปก ตํา ลินลลําลายไหลออกแล กฬาโร ภคฺคนาสโก จรหมูกหักคดเคียว ฟนนงอกข้ยวเสมอหมู ทอกนน้ น กุมฺโภทโร ภคฺคปิ ฏฺ°Ô หลงงฺหัก เห็นโครงเปล่า มีท้องเท่าไหหาม โสดแล อโถ วสิ มจกฺขโุ ก ตาขาวขวิดเบืองบน ตาซ้ายสถนตกตาํ แล โลหสฺสุ หริตเกโส มีหนวดพยงหลงงเคา ผมบางเทาเห็น แล่นแล วลนี ํ ตลิ กาหโต ขแี มลงวนนเหลือแล่ ทุกกระแบ่เนือบเห็นเปล่าเลยย ปิ งฺคโล จ วินโต จ ตา พรแววแมวหลอก เอวหลงงคอกคดฅอ อีกโสด วกิ โฏ จ พฺรหา ขโร หนงงหยาบสุรสยงสับท ดูก็กร กรับกรกรยบ โสด อชนิ านิปิ สนฺนทฺโธ หนงงลายหมายเสือป่ า อายพร้อยล่าเลงไพร ทกุ แห่งแล (มหาชาติคาํ หลวง วรรณกรรมอยธุ ยา เล่ม1, 2529: 175) ชูชกไม่ไดม้ ีเพียงรูปลกั ษณ์ทีอปั ลกั ษณ์เท่านนั แต่ลกั ษณะนิสัย พฤติกรรม และจิตใจ ของชูชกก็หยาบดว้ ย เช่น ตอนทีชูชกขอสองกุมารมาจากพระเวสสนั ดร แลว้ ไมเ่ ห็นกุมารทงั สองคน ก็ว่ากล่าวพระเวสสันดร แสดงให้เห็นกิริยาอนั หยาบคายของชูชก หรือตอนทีพรานเจตบุตรจะ สงั หารชูชกเพราะทราบเรืองทีชูชกจะไปขอสองกุมาร ชูชกกใ็ ชเ้ ลห่ ์เพทุบายลวงพรานเจตบุตรว่าตน เป็ นทูตถือสารมาให้พระเวสสันดร เพือให้ตนพน้ จากการถูกสังหารและถามทางไปหาพระ เวสสันดร แสดงให้เห็นถึงการเป็ นคนมีเล่ห์ร้าย หรือตอนทีทา้ วสญชยั ทรงขอไถ่สองกุมารคืนมา ดว้ ยทรัพย์ ไพร่พลคน มา้ และววั ให้แก่ชูชก ซึงชูชกก็ยินดีทีจะแลกกุมารทงั สองคนกบั ทรัพย์ เหลา่ นนั แสดงใหเ้ ห็นถึงความโลภของชูชก หากพิจารณาการสร้างตวั ละครในวรรณคดีไทยจะพบวา่ กวีนิยมสร้างตวั ละครอดุ มคติ ทีเป็นแบบตวั ละครเอกฝ่ ายดีใหม้ ีรูปลกั ษณ์งามและมีจิตใจ รวมทงั พฤติกรรมดี และสร้างตวั ละคร ฝ่ ายร้ายใหม้ คี วามอปั ลกั ษณ์ มีจิตใจ และพฤติกรรมไม่ดี ทงั นีเป็นไปตามลกั ษณะการสร้างตวั ละคร แบบคู่ตรงขา้ ม อยา่ งไรก็ตามจากการศึกษาขอ้ มูลเบืองตน้ พบว่า วรรณคดีบางเรืองสร้างตวั ละครเอก ให้แหวกจากขนบการสร้างตวั ละครออกไป กล่าวคือ กวีสร้างตวั ละครเอกของเรื องให้มีรูปร่าง หนา้ ตาทีอปั ลกั ษณ์แต่มีลกั ษณะเด่นคือ สติปัญญาอนั ฉลาดหลกั แหลม เช่น นางแก้วหน้าม้า ในบท

5 ละครนอกเรืองแกว้ หนา้ มา้ พระนิพนธข์ องกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ กวีไดส้ ร้างให้ตวั ละคร นางแกว้ มรี ูปร่างหนา้ ตาอปั ลกั ษณ์ มหี นา้ เหมือนมา้ แต่นางก็มีความฉลาด ดงั เนือความว่า เมอื นนั นางกษตั ริยส์ รวลสันตห์ รรษา พศิ ดูรูปร่างอยา่ งคลุ า นุ่งห่มปกุ ปุยกรุยกราย หน้าตาแม้นเหมือนพาชี ผดิ กบั คนผูท้ งั บรุ ี รูปกายจาํ มาํ ดาํ มดิ หมี แต่ท่วงทฉี ลาดอาจอง (แกว้ หนา้ มา้ , 2544: 24) นางแกว้ หนา้ มา้ เฉลยี วฉลาดและรู้เท่าทนั ผอู้ นื นางกลา้ ทีจะตอบโต้ และแสดงความคิด อยา่ งตรงไปตรงมา เช่น เหตุการณ์ในตอนพระพินทองสงั ใหพ้ ระพีเลียงมาทวงวา่ วคืน นางแกว้ หนา้ มา้ ยนื ขอ้ เสนอใหพ้ ระพนิ ทองรับนางเขา้ วงั ในฐานะชายา พระพีเลียงของพระพินทองต่างเยาะหยนั นางว่าไมเ่ จียมตวั นางแกว้ หนา้ มา้ โตต้ อบพระพีเลียงว่า ถา้ มหี นา้ ตาแบบพระพีเลียงนันนางก็ไม่ขอ สมาคมเช่นกัน แสดงให้เห็นความกล้าหาญของนางแก้วหน้ามา้ ทีลุกขึนมาปกป้องตัวเอง ดัง เนือความว่า บดั นนั พระพีเลยี งสรวลเสเฮลนั จึงร้องตอบวาจามาพลนั เอือมถงึ ดวงจนั ทร์ไมเ่ จียมใจ ตวั นางเหมือนอยา่ งแผน่ ดินดอน จะเคยี งพนื อมั พรผดิ วิสยั แมน้ แต่เพยี งโยธาขา้ ไท เห็นจะไดด้ งั จิตเจตนาฯ นางแกว้ คอ้ นควกั ชกั หนา้ ฟังแลว้ เหวยอยา่ มาลอ้ ไมข่ อฟัง ตอบไปดว้ ยใจโกรธา อย่าลบหล่ใู ช่ว่าเป็ นบ้าหลัง หน้าตาเช่นเจ้าเราไม่คบ อยา่ มานงั งอนงอ้ ไมพ่ อใจฯ แมน้ มริ ับเราเขา้ ในวงั (แกว้ หนา้ มา้ , 2544: 5-6) หรือตอนทีนางแกว้ หนา้ มา้ ทราบว่าพระพินทองเขา้ เมืองยกั ษ์ก็กลวั ว่า พระพินทองจะ โดนยกั ษ์ทาํ ร้ายจึงคิดหาวิธีเขา้ ช่วยพระพินทองดว้ ยการปลอมตวั เป็ นมาณพ แสดงให้เห็นความ กลา้ หาญของนางแกว้ หนา้ มา้ ทีช่วยเหลือผอู้ ืนโดยไม่เกรงกลวั อนั ตรายใดๆ ดงั เนือความวา่ เมือนนั นางแกว้ อกสันขวญั หาย กราบพลางทลู ความตามอบุ าย ข้าคดิ จะผนั ผายตามไป พระองค์ได้ทรงพระเมตตา เปลยี นแปลงกายาอย่าช้าได้ กรุงยกั ษ์ศักดสิ ิทธอิ ย่ทู ศิ ใด จะลาไปตามองค์ทรงธรรม์ (แกว้ หนา้ มา้ , 2544: 114)

6 จะเห็นไดว้ า่ การสร้างตวั ละครในลกั ษณะดงั กลา่ วอาจเป็นการเพิมมุมมองในการสร้าง ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ กล่าวคือ จากทีมีการสร้างตวั ละครอปั ลกั ษณ์ใหเ้ ป็ นตวั ละครคู่ตรงขา้ มกบั ตวั ละครเอกของเรือง ซึงมีรูปลกั ษณ์ จิตใจและมีพฤติกรรมทีไม่ดี มาเป็ นตัวละครเอกทีมีรูปร่าง อปั ลกั ษณ์ แต่มจี ิตใจและพฤติกรรมทีดี นอกจากนีจากการศึกษาขอ้ มูลเบืองตน้ ผศู้ ึกษายงั พบวา่ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์มีผลต่อการ ดาํ เนินเรืองดว้ ย เช่น เจ้าเงาะ ในบทละครนอกเรืองสงั ขท์ อง พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั กวีสร้างรูปเงาะอนั อปั ลกั ษณ์ขึนมาทาํ ใหต้ วั ละครพระสังขไ์ ดอ้ าํ พราง ตวั ตนจนไดพ้ บคู่ครอง ดงั เนือความว่า เมอื นนั พระสังขบ์ งั คมกม้ หนา้ ยมิ พลางทางทลู พอ่ ตา ตวั ขา้ นีชอื พระสงั ขท์ อง เป็นโอรสทา้ วยศวมิ ล แจง้ ความตามตน้ ทีหม่นหมอง จงทราบฝ่ าละอองบทมาลย์ ซึงแปลงมาจะหาค่คู รอง (สังขท์ อง, 2545: 167) การสร้างตวั ละครเจา้ เงาะอนั อปั ลกั ษณ์ให้กบั พระสังข์สวมใส่เป็ นการสร้างปมปัญหา ใหก้ บั เรือง เนืองจากนางรจนาเลือกเจา้ เงาะมาเป็ นคู่ครองทาํ ใหท้ า้ วสามนตพ์ ระราชบิดาของนาง รจนาไมพ่ อใจเป็นอยา่ งมาก เพราะทาํ ใหพ้ ระองคเ์ กิดความอบั อายจึงมคี าํ สงั เนรเทศนางและเจา้ เงาะ ใหไ้ ปอยทู่ ีกระท่อมปลายนาห่างไกลจากเมือง ไม่มีความสะดวกสบาย ส่งผลให้นางรจนาและเจา้ เงาะตอ้ งไปเผชิญกบั ความลาํ บาก อีกทงั ยงั เป็นตวั สร้างความขดั แยง้ ระหว่างเจา้ เงาะกบั ทา้ วสามนต์ ดว้ ย กล่าวคือ ทา้ วสามนตเ์ มือรู้สึกอบั อายทีนางรจนาไดเ้ จา้ เงาะมาเป็ นคู่ครองก็พยายามใชว้ ิธีต่างๆ เพอื กาํ จดั เจา้ เงาะ เช่น การแข่งขนั หาปลา หาเนือทีเดิมพนั ดว้ ยการประหารชีวิตหากใครหาไดน้ อ้ ย แต่เจา้ เงาะกส็ ามารถเอาชนะหกเขยและทา้ วสามนตไ์ ดท้ ุกครังไป ความขดั แยง้ ทีเกิดขึนระหว่างทา้ ว สามนตก์ บั เจา้ เงาะไดค้ ลีคลายลงก็ต่อเมือพระสังข์ถอดรูปเจา้ เงาะออกและออกไปตีคลีเพือรักษา บา้ นเมอื ง จากการศึกษาขอ้ มูลตวั ละครอปั ลกั ษณ์ดงั กล่าวพบว่า รูปลกั ษณ์ของตวั ละครมีความ สอดคลอ้ งกนั กบั พฤติกรรมของตวั ละคร กล่าวคือ ตวั ละครทีมีรูปลกั ษณ์งดงามจะมีลกั ษณะนิสัย และพฤติกรรมดี ส่วนตวั ละครทีมรี ูปลกั ษณ์อปั ลกั ษณ์กจ็ ะมีลกั ษณะนิสยั และพฤติกรรมทีไม่ดีหรือ ชวั ร้าย แมก้ ระทงั ตวั ละครเอกฝ่ ายดีกม็ ลี กั ษณะนิสยั และแสดงพฤติกรรมทีเปลียนไปเมืออยู่ภายใต้ ความอปั ลกั ษณ์ เช่น เมอื พระสงั ขส์ วมรูปเงาะจะแสดงกิริยาบา้ ใบ้ และทาํ ตวั น่าขบขนั หรือนางแกว้ ทีเมือเป็ นนางแกว้ หน้ามา้ จะแสดงกิริยาไม่เรียบร้อย กระโดกกระเดกไม่สมกบั เป็ นหญิง ดังนัน

7 รูปลกั ษณ์จึงเป็นส่วนสาํ คญั ในการกาํ หนดพฤติกรรมของตวั ละคร นอกจากนีผศู้ ึกษายงั เห็นว่าตวั ละครอปั ลกั ษณ์มีบทบาทในเรืองทีเปลียนแปลงไปอย่างน่าสนใจ กล่าวคือ ในวรรณคดีไทยส่วน ใหญ่มกั จะกาํ หนดบทบาทตวั ละครทีมคี วามอปั ลกั ษณ์ใหเ้ ป็นตวั ละครคู่ตรงขา้ มกบั ตวั ละครเอก ซึง รูปร่างอปั ลกั ษณ์จะไม่เกิดขึนกบั ตวั ละครเอก แต่จะพบวา่ มีวรรณคดีบางเรืองไดก้ าํ หนดตวั ละครทีมี ความอปั ลกั ษณ์ใหเ้ ป็นตวั ละครเอกของเรือง เช่น นางแกว้ ตวั ละครเอกในบทละครนอกเรืองแกว้ หนา้ มา้ ผศู้ กึ ษาเห็นวา่ ความอปั ลกั ษณ์ทีกวีไดน้ าํ เสนอผา่ นตวั ละครนนั มีความน่าสนใจอยา่ งยิง ผศู้ ึกษาจึงสนใจทีจะศกึ ษาตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในดา้ นรูปลกั ษณ์ นิสยั และพฤติกรรม กลวิธีการสร้าง และบทบาทของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทยตงั แต่สมยั อยธุ ยาถึงสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั . เพอื ศึกษารูปลกั ษณ์และพฤติกรรมของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย . เพอื ศึกษากลวิธีการสร้างตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย . เพือศึกษาบทบาทตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย สมมตฐิ านการวจิ ยั ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทยเป็ นตวั ละครทีมีลกั ษณะทางกายภาพทีไม่ดี ความ อปั ลกั ษณ์มีอิทธิพลต่อการกาํ หนดนิสัยและพฤติกรรมของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ให้มีลกั ษณะทีไม่ดี รวมทงั ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ยงั มีบทบาทสาํ คญั ในเรือง ไดแ้ ก่ การใหค้ ุณและให้โทษแก่ตวั ละครอืน ทาํ ใหก้ ารดาํ เนินเรืองน่าติดตาม และนาํ เสนอทศั นคติทีมีต่อความอปั ลกั ษณ์ ขอบเขตของการวจิ ยั . ศกึ ษาตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีร้อยกรองสมยั อยุธยาจนถึงสมยั รัตนโกสินทร์ ตอนตน้ คือ ตงั แต่รัชสมยั สมเดจ็ พระรามาธิบดีที ถึงสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว (รัชกาลที ) เนืองจากวรรณคดีในสมยั รัชกาลที ยงั คงมีรูปแบบและลกั ษณะงานใกลเ้ คียงกบั วรรณคดีก่อนหนา้ อีกทงั ยงั ไม่ไดร้ ับอิทธิพลจากงานวรรณกรรมของตะวนั ตก ผูศ้ ึกษาจึงกาํ หนด ขอบเขตการศึกษาวรรณคดีสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ ตังแต่รัชกาลที จนถึงรัชกาลที ทงั นีผู้ ศกึ ษาจะไม่ศึกษาวรรณคดีแปล

8 . ศึกษาตวั ละครทีมรี ูปร่างหน้าตาอปั ลกั ษณ์ ทงั ตวั ละครมนุษยแ์ ละตวั ละครอมนุษย์ โดยพจิ ารณาจากเนือความในตวั บททีมีการอธิบายรูปลกั ษณ์ภายนอกของตวั ละครทีมีลกั ษณะไม่ งดงาม ไม่ดี และน่าเกลียด อีกทงั รูปลกั ษณ์ดงั กล่าวทาํ ให้ตวั ละครอืนในเรืองรู้สึกเกลียด กลวั รังเกียจ สมเพช และตลกขบขนั เช่น ตวั ละครเจา้ เงาะ ในตวั บทไดอ้ ธิบายใหเ้ ห็นถึงความอปั ลกั ษณ์ ของเจา้ เงาะไว้ ดงั เนือความวา่ บดั นนั ฝูงสนมกาํ นลั นอ้ ยใหญ่ แอบดูอยทู่ ีบญั ชรชยั แลไปเห็นเจา้ เงาะหวั เราะอึง บ้างว่าน่าชังเป็ นหนักหนา แลดูหูตาตืนทะลงึ รูปร่างอปั รีย์ขที ึง เหมือนหนึงภูตผีทกี ลางนา ลางคนบ่นว่าถ้าเช่นนี ฟ้าผเี ถดิ ไม่นึกปรารถนา น่ากลัวตัวดําเหมือนคุลา ต่างติเงาะป่ าว่าว่นุ ไป (สงั ขท์ อง, 2545: 93) จากตวั อยา่ งเนือความสามารถสะทอ้ นใหเ้ ห็นความอปั ลกั ษณ์ของเจา้ เงาะไดผ้ า่ นท่าทาง และคาํ พูดของชาวเมืองทีบา้ งก็ต่างหวั เราะในรูปลกั ษณ์ บา้ งกต็ ่อวา่ รูปลกั ษณ์วา่ น่าเกลียด บา้ งว่าน่า กลวั ราวกบั ผี ตวั ละครนางผเี สือสมุทร ดงั เนือความว่า สินสมทุ ฟังเสียงสาํ เนียงแน่ รู้วา่ แม่มนั คงไมส่ งสยั รูปร่างอย่างเปรตสมเพชใจ ช่างกระไรราศีไม่มีงาม กระนีหรือพระบดิ าไมน่ ่าหนี ทงั ทว่ งทีไม่สุภาพทาํ หยาบหยาม จาํ จะบอกหลอกลวงหน่วงเนือความ อยา่ ใหต้ ามเขา้ ไปชดิ พระบิดา (พระอภยั มณี เล่ม1, 2544: 116) จากตวั อย่างเนือความจะเห็นว่า ความคิดและนาํ เสียงของสินสมุทรทีสะทอ้ นความ อปั ลกั ษณ์ของนางผเี สือสมทุ รออกมาวา่ ช่างน่าสมเพช ไมม่ ีราศี และไมค่ ู่ควรกบั พระอภยั มณี ตวั ละครนางค่อมกุจจี ดงั เนือความว่า เมอื นนั พระรามสุริยว์ งศร์ ังสรรค์ เล่นอยทู่ ที อ้ งสนามจนั ทน์ ทรงธรรมก์ ท็ อดพระเนตรไป เห็นนางค่อมนุ่งผา้ ตานี ห่มสีทบั ทมิ หงอนไก่ ลอยหนา้ เทา้ แขนยมิ ละไม จึงตรัสไปแก่สามอนุชา

9 พีจะยงิ อีค่อมหลงั ก้งุ ให้โก่งนันด้งุ ไปข้างหน้า น้องรักจงทอดทัศนา ว่าแล้วก็ยงิ ทนั ที ตอ้ งแม่นเหมอื นหมายไมค่ ลาดที ดว้ ยเดชานุภาพพระนารายณ์ พระจกั รีกย็ งิ ซําไป โกง่ นนั ดุ่งไปขา้ งหนา้ นาภี (รามเกยี รติ เล่ม1, 254 : 2 ) จากตัวอย่างเนือความจะเห็นว่า พฤติกรรมของพระรามทีตงั ใจจะยิงนางค่อมกุจจี สามารถแสดงใหเ้ ห็นถึงความคิดของพระรามทีมองวา่ นางค่อมกจุ จีเป็นตวั ตลก เพราะมหี ลงั ค่อมซึง เป็ นรู ปลกั ษณ์ทีผิดปกติ จึงแกล้งยิงนางค่อมกุจจีให้พระอนุชาทังสามพระองค์ดูเพือความ สนุกสนาน . วรรณคดีทีนาํ มาศึกษามีจาํ นวน เรือง พบตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทงั หมด ตวั ดงั ตารางต่อไปนี ตารางที ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย ลาํ ดบั ชือตวั ละคร ชือวรรณคดี แต่งในสมยั ผ้แู ต่ง พระราชนิพนธข์ อง มหาชาติคาํ หลวง อยธุ ยา พระบาทสมเดจ็ พระ . ชูชก บรมไตรโลกนาถ พระนิพนธข์ อง มหาเวสสนั ดรชาดก รัตนโกสินทร์ ตอนตน้ กรมพระ ปรมานุชิตชิโนรส . พรานบุญ บทละครครังกรุงเก่า อยธุ ยา ไม่ปรากฏชือผแู้ ต่ง เรือง มโนห์รา บทละครเรือง สงั ขท์ อง อยธุ ยา ไม่ปรากฏชือผแู้ ต่ง . เจา้ เงาะ ตอนพระสงั ขต์ คี ลี พระราชนิพนธข์ อง พระบาทสมเดจ็ พระ บทละครนอก รัตนโกสินทร์ พุทธเลศิ หลา้ นภาลยั เรืองสงั ขท์ อง ตอนตน้

10 ตารางที ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย (ต่อ) ลาํ ดบั ชือตวั ละคร ชือวรรณคดี แต่งในสมยั ผ้แู ต่ง . นางสาํ มนกั ขา รามเกียรติ รัตนโกสินทร์ พระราชนิพนธข์ อง . นางค่อมกจุ จี พระบาทสมเด็จพระ ตอนตน้ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก . ขนุ ชา้ ง พระราชนิพนธข์ อง ขุนชา้ ง ขนุ แผน รัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระ ตอนตน้ พุทธเลิศหลา้ นภาลยั . หมนื หาญ พระราชนิพนธข์ อง รัตนโกสินทร์ พระบาทสมเดจ็ พระ . ทา้ วสนั นุราช บทละครนอกเรือง ตอนตน้ พุทธเลศิ หลา้ นภาลยั พระราชนิพนธข์ อง . นางคนั ธมาลี คาวี รัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระ ตอนตน้ พุทธเลิศหลา้ นภาลยั . จรกา บทละครเรือง อิเหนา รัตนโกสินทร์ สุนทรภู่ ตอนตน้ . นางผเี สือสมทุ ร พระอภยั มณี พระนิพนธข์ อง . ชีเปลอื ย รัตนโกสินทร์ กรมหลวงภวู เนตร . นางวาลี ตอนตน้ . เจา้ ละมาน นรินทรฤทธิ . ยอ่ งตอด รัตนโกสินทร์ พระมหามนตรี ตอนตน้ . นางแกว้ หนา้ มา้ บทละครนอกเรือง (ทรัพย)์ แกว้ หนา้ มา้ รัตนโกสินทร์ ตอนตน้ สุนทรภู่ . นางประแดะ บทละครเรือง ระเด่นลนั ได . นางศรีสาหง อภยั นุราช

11 นิยามศัพท์เฉพาะ . อปั ลกั ษณ์ พจนานุกรมบาลี สันสกฤต ไทย องั กฤษ (ม.ป.ป.: ) ให้ความหมายของคาํ ว่า อปั ลักษณ์ ไวว้ ่า “อลกฺขณ (วิ = ส. อลกฺษณ). หมายถึง ไม่มีลักษณะหรื อเครื องหมาย, ไม่มี อตั ตลกั ษณะ, มลี กั ษณะทีไม่ดี, มีลกั ษณะชวั , ไมม่ โี ชคลาภ.” พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ( : ) ใหค้ วามหมายของคาํ ไว้ ว่า “อปลกั ษณ์, อปั ลกั ษณ์ [อะปะ-, อบั ปะ-] ว. ชวั (มกั ใชแ้ ก่รูปร่าง หนา้ ตา), มีลกั ษณะถือว่าไม่เป็ น มงคล, เช่น หนา้ ตาอปลกั ษณ์, รูปร่างอปั ลกั ษณ์. (ส.;ป. อปลกฺขณ)” กาญจนา นาคสกุล ( : ) อธิบายความหมายของ อปั ลกั ษณ์ ไวว้ า่ อปั ลกั ษณ์ (อ่านว่า อบั -ปะ-ลกั ) แปลว่า มีลกั ษณะไม่ดี ลกั ษณะชวั เช่น ชูชกมีรูปร่าง หน้าตาอปั ลกั ษณ์ คนทีอปั ลกั ษณ์มีลกั ษณะอย่างไรบา้ ง ไม่มีผูใ้ ดกล่าวไว้ แต่มีลกั ษณะของคนที กล่าวว่าชวั เช่นเดียวกนั เรียกว่า บุรุษโทษ ซึงอาจจะอนุโลมให้เป็ นลกั ษณะของคนอปั ลกั ษณ์ได้ บรุ ุษโทษมี 18 ประการ ไดแ้ ก่ ร่างกายคนค่อมทงั ทคี อ หลงั และเอว หลงั หกั คอ่ ม เนือตวั มปี ่ ุมปํ าดว้ ย เส้นเอน็ ทอ้ งป่ องเป็นกระเปาะใหญ่ ผวิ ตกกระ มีขีแมลงวนั ดงั โรยงา ขนยาวและหยาบ ผมเหลือง และบาง ตาลึกและสองขา้ งไมเ่ ทา่ กนั ตาเหล่เหลืองและมีสีเหลืองเหมือนตาแมว ริมฝี ปากบนยาว ปิ ดริมฝี ปากล่าง นําลายไหลออกเป็ นยางยืด เขียวงอกออกมาพน้ ปาก หนวดเคราแดงและแข็ง เหมือนลวด จมกู หกั ฟบุ เลบ็ กดุ ปลนี ่องทู่และยานลงส่วนล่าง เทา้ ใหญ่และคด เทา้ บิดออกจากกนั ใครมีลกั ษณะอยา่ งนี แมเ้ พียงอยา่ งเดียวกน็ ่าจะเรียกไดว้ ่า อปั ลกั ษณ์ นววรรณ พนั ธุเมธา ( : ) อธิบายถงึ คาํ วา่ อปั ลกั ษณ์ ในหนงั สือคลงั คาํ หมวด ก ความงามและความไม่งามว่า “อปั ลกั ษณ์ หมายถึง ไม่งาม และหมวด ก ลักษณะหน้าว่า อปั ลกั ษณ์ หมายถึง ไม่น่าดู” ดงั นนั สาํ หรับงานวิจยั นีผศู้ กึ ษาจะใหค้ วามหมายคาํ ว่า “อปั ลกั ษณ์” หมายถึง รูปลกั ษณ์ ภายนอกทีมลี กั ษณะไม่ดี และลกั ษณะไม่งดงาม . ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ หมายถึง ตวั ละครทีมรี ูปลกั ษณ์ภายนอกทีมลี กั ษณะไม่งดงาม น่า เกลยี ด และไมด่ ี ซึงรูปลกั ษณ์ดงั กล่าวนีทาํ ใหต้ วั ละครอืนในเรืองรู้สึกเกลียด กลวั รังเกียจ สมเพช และตลกขบขนั ตวั ละครอปั ลกั ษณ์นี

12 . อมนุษย์ พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ( : ) ไดใ้ หค้ วามหมายของคาํ วา่ อมนุษย์ ไวว้ ่า “อมนุษย์ [อะมะ-] น. ผทู้ ีมิใช่มนุษย์ (หมายรวมทงั เทวดา พรหม สัตวน์ รก เปรต อสุรกาย ภูตผปี ิ ศาจ เป็นตน้ ) แต่โดยมากหมายถึง ภูตผปี ิ ศาจ. (ส.: ป. อมนุสฺส)” ส.พลายนอ้ ย ( : ) ไดก้ ลา่ วถึงความหมายของอมนุษยไ์ วว้ ่า อมนุษยเ์ ป็นเพยี งความหมายโดยสรุป แตถ่ า้ ตอ้ งการจะใหร้ ู้มากไปกว่านนั หรือตอ้ งการ รายละเอยี ดใหม้ ากขึนตอ้ งคน้ หาจากทีอืน เช่น วรรณคดีสันสกฤตไดแ้ บ่งพวกอมนุษยอ์ อกเป็ น 10 พวกดว้ ยกนั คือ วิทยาธร, อปั สร, ยกั ษ,์ รากษส, คนธรรพ,์ กนิ นร, ปี ศาจ, คหุ ยกั , สิทธ และภูต แต่ก็ ยงั ไม่ยตุ ิเทา่ นี ในหนงั สือบาลีอภิธานปั ปทปี ิ กาไดเ้ พิมกุมภณั ฑ์เขา้ มาอีกพวกหนึง และในตาํ ราบาง เลม่ กว็ ่ามนี าค ครุฑ และ มโหราค (งใู หญช่ นิดหนึง) สมพร ร่วมสุข ( : ) ไดน้ ิยามความหมายของอมนุษยไ์ วว้ ่า “สิงมีชีวิตทีไม่ใช่คน ซึง หมายถึง ผี เทวดา ยกั ษ์ รวมทงั สตั ว์ และพวกครึงคนครึงสตั วท์ ีกวสี ร้างขึนมาจากจินตนาการ” . ตวั ละครอมนุษย์ หมายถึง ตวั ละครทีไมใ่ ช่ตวั ละครมนุษย์ ไดแ้ ก่ ผี ปี ศาจ และยกั ษ์ ซึงผศู้ ึกษาจะเก็บขอ้ มูลตวั ละครอมนุษยเ์ หลา่ นีดว้ ย แต่ในเนือความต่างมรี ะบุแสดงใหเ้ ห็นรูปลกั ษณ์ ทีอปั ลกั ษณ์อย่างชดั เจน เช่น นางผีเสือสมุทร ทีมีตวั บทระบุไวว้ ่า “รูปร่ างอย่างเปรตสมเพชใจ ช่างกระไรราศีไม่มีงาม” (พระอภยั มณี เล่ม , : ) แต่นางพนั ธุรัตน์ในบทละครนอกเรือง สงั ขท์ อง ไมม่ เี นือความระบุถงึ รูปลกั ษณ์วา่ อปั ลกั ษณ์ทีชดั เจน ระบุเพยี งเป็นยกั ษเ์ ท่านนั ผศู้ ึกษากจ็ ะ ไมน่ าํ มาศึกษาดว้ ย วธิ ดี ําเนนิ การวจิ ยั . เก็บข้อมูลตัวละครอัปลักษณ์ในวรรณคดีไทยตังแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัย รัตนโกสินทร์ตอนตน้ ตงั แต่รัชสมยั สมเดจ็ พระรามาธิบดีที ถึงสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลที ) . รวบรวมเอกสารและงานวิจยั ทีเกียวกบั ตวั ละคร และกลวิธีการสร้างตวั ละคร . ศกึ ษาและวิเคราะหข์ อ้ มูลตามจุดประสงคใ์ นการวจิ ยั . เรียบเรียงผลการศกึ ษาและนาํ เสนอเป็นบท . สรุปผลการวจิ ยั

13 ข้อตกลงเบืองต้น ในงานวิจยั นีจะใชว้ ธิ ีการอา้ งองิ ตวั บททียกมาเป็นตวั อยา่ ง จะอา้ งองิ ดงั นี (ชือวรรณคดี, ปี ทีพิมพ:์ เลขหนา้ ) ดงั ตวั อยา่ ง จะกลา่ วถงึ อสุรีผเี สือนาํ อยทู่ อ้ งถาํ วงั วนชลสาย ไดเ้ ป็นใหญใ่ นพวกปี ศาจพราย สกนธ์กายโตใหญเ่ ทา่ ไอยรา ตะวนั เยน็ ขึนมาเล่นทะเลกวา้ ง เทียวอยกู่ ลางวารินกนิ มจั ฉา ฉวยฉนากลากฟัดกดั กมุ ภา เป็นภกั ษานางมารสาํ ราญใจ (พระอภยั มณี เล่ม1, 2544: 11) ประโยชน์ทีคาดว่าจะได้รบั . ทาํ ใหเ้ ขา้ ใจลกั ษณะของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย 2. ทาํ ใหเ้ ขา้ ใจกลวธิ ีการสร้างตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย 3. ทาํ ใหเ้ ขา้ ใจบทบาทตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย . เป็นแนวทางในการศึกษาตวั ละครประเภทอืน ๆ ในวรรณคดีต่อไป เอกสารและงานวจิ ยั ทีเกยี วข้อง ตวั ละครเป็นองคป์ ระกอบทีสาํ คญั อยา่ งยงิ ในวรรณคดี จึงมีผสู้ นใจนาํ มาศึกษาวิจยั เป็ น จาํ นวนมากทังวิทยานิพนธ์ งานวิจยั และบทความ ทังนีสามารถจดั แบ่งเอกสารและงานวิจยั ที เกียวขอ้ งกบั การศกึ ษาตวั ละครในวรรณคดีได้ กล่มุ ดงั นี . การศึกษาตวั ละครทวั ไปในวรรณคดี . การศกึ ษาตวั ละครทีมลี กั ษณะพเิ ศษในวรรณคดี . การศึกษาตวั ละครทวั ไปในวรรณคดี เป็นการศกึ ษาตวั ละครประเภทตวั ละครเอก ตวั ละครชาย ตวั ละครปรปักษ์ และตวั ละครหญิงในวรรณคดี มจี าํ นวน เรือง ไดแ้ ก่ เครื อวลั ย์ ปัญญามี ( ) เขียนวิทยานิพนธ์เรื อง “ตัวละครเอกแหวกขนบใน วรรณกรรมอสี าน: การศึกษาเชิงวิเคราะห์วิจารณ์” มีจุดมุ่งหมายเพือศึกษาเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ตวั ละครเอกแหวกขนบในวรรณกรรมอสี าน ไดแ้ ก่ หนา้ ผากไกลกะดน้ ทา้ วกาํ กาดาํ พญาคนั คาก แกว้ หนา้ มา้ ทา้ วหอมฮู สุพรหมโมกขา กาํ พร้าขีเฮือน พืนทา้ วเจ็ดไห กาํ พร้าผนี อ้ ย และพระกึดพระพาน โดยศกึ ษาในดา้ นชาติกาํ เนิด รูปสมบตั ิ พฤติกรรมและอุปนิสยั ผลการศึกษาพบว่า กวีนิยมสร้างให้

14 ตวั ละครเอกแหวกขนบทงั ดา้ นชาติกาํ เนิดและดา้ นรูปสมบตั ิ ส่วนพฤติกรรมและอุปนิสยั กวจี ะนิยม สร้างใหต้ วั ละครเอกมลี กั ษณะเป็นวรี บุรุษหรือคนในอุดมคติของสงั คมทีเป็ นคนดี ในการสร้างตวั ละครกวีจะนิยมสร้างแบบสมจริง แบบเหนือจริง และทงั แบบประสมประสานกนั และในดา้ นแง่ คิดทางสังคมได้สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของชาวอีสานในเรืองความเชือและศาสนา ธรรมเนียม ประเพณีและค่านิยม ความสมั พนั ธใ์ นครอบครัว และความสัมพนั ธใ์ นสงั คม ซึงกวีไดถ้ ่ายทอดสิง เหล่านีผา่ นตวั ละครเอกแหวกขนบทงั สิน วจั นา พละหงส์ ( ) เขียนวิทยานิพนธ์เรือง “วิเคราะห์ตัวละครเชิงปฏิปักษ์ใน วรรณคดีทศชาติชาดก” มีจุดมงุ่ หมายเพือศึกษาเกียวกบั บุคลิกภาพ บทบาท รวมทงั ลกั ษณะร่วมและ ลกั ษณะต่างของตวั ละครเชิงปฏิปักษ์ในทศชาติทงั เรือง ไดแ้ ก่ เตมิยชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมริ าชชาดก มโหสถชาดก ภูริทตั ชาดก จนั ทรกุมารชาดก พระบารทชาดก วิธุร ชาดก และมหาเวสสนั ดรชาดก ผลการศกึ ษาพบว่า ตวั ละครเชิงปฏิปักษ์ในทศชาติชาดกทงั ตวั นนั มีบุคลิกภาพแตกต่างกนั ออกไป ไม่วา่ จะเป็นทางดา้ นชาติกาํ เนิด เพศ วยั อุปนิสยั และพฤติกรรม ตวั ละคร ตวั ละครเหล่านีมบี ุคลิกภาพทงั สมจริงและเกินจริง คือบางตวั กเ็ ป็นมนุษยธ์ รรมดา บางตวั ก็ เป็นอมนุษยธ์ รรมดาโดยทวั ไป บทบาทของตวั ละครเชิงปฏปิ ักษใ์ นทศชาติชาดกพบ ประการ คือ บทบาทในการเสริมสร้างบารมีให้กบั พระโพธิสตั ว์ บทบาทในการใหค้ ติสอนใจแก่ผูอ้ ่าน ให้มี ความระมดั ระวงั ในการใชช้ ีวิต และเล็งเห็นจากการประกอบกรรมดี กรรมชัว บทบาทในการ สะทอ้ นธาตุแทข้ องมนุษยใ์ นสงั คม และบทบาทในการดาํ เนินเรือง ช่วยทาํ ให้เรืองดาํ เนินไปดว้ ย ความสนุกสนาน สาํ หรับลกั ษณะร่วมและลกั ษณะต่างของตวั ละครปฏิปักษ์ในทศชาติชาดกพบว่า ตวั ละครเหล่านีมลี กั ษณะทีแตกต่างกนั ทงั ทางดา้ นบุคลิกภาพและบทบาท ส่วนลกั ษณะร่วมพบว่า ดา้ นบุคลกิ ภาพนนั มกั จะเป็นตวั ละครทีเกิดในสกลุ พราหมณ์ อยใู่ นวยั กลางคนถึงวยั ชราและเป็นเพศ ชาย มีอปุ นิสยั และพฤติกรรมชวั ร้าย ดา้ นบทบาททีมีลกั ษณะร่วมกนั คือ เป็ นผคู้ อยขดั ขวาง หน่วง เหนียว ทาํ ลายสมาธิในการบาํ เพญ็ บารมีของพระโพธิสตั ว์ ในขณะเดียวกนั ก็ช่วยให้พระโพธิสัตวม์ ี โอกาสแสดงพระบารมีออกมาอยา่ งเด่นชดั ขึน สิริวรรณ วงษท์ ตั ( ) เขียนวิทยานิพนธ์เรือง “บทบาทของตวั ละครปรปักษ์ใน วรรณคดีไทย” มีจุดมุ่งหมายเพือศึกษาตวั ละครปรปักษ์ในสมยั อยธุ ยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น จาํ นวน เรือง ผลการศึกษาพบว่า ตวั ละครปรปักษส์ ่วนใหญ่เป็ นตวั ละครประกอบ ในดา้ น ประเภทของตวั ละครพบว่าตวั ละครปรปักษ์จะปรากฏเป็ นตวั ละครประเภทยกั ษม์ ากทีสุด และ ปรากฏลกั ษณะนิสยั เพียงดา้ นเดียว เป็ นตวั ละครทีมีบทบาทคงทีคือเป็ นตวั ร้ายและแสดงความชวั ร้ายให้เห็นอยา่ งเด่นชดั ดา้ นความสาํ คญั ของตวั ละครปรปักษ์พบว่า เป็ นตวั ละครทีสร้างความ

15 ขดั แยง้ ซึงถอื วา่ เป็นองคป์ ระกอบสาํ คญั ของเรืองทีช่วยใหเ้ รืองน่าติดตาม อีกทงั ตวั ละครปรปักษย์ งั เป็นสญั ลกั ษณ์แทนนามธรรมดา้ นความชวั อกี ดว้ ย นาํ มนต์ อยู่อินทร์ ( ) เขียนวิทยานิพนธ์เรือง “วิเคราะห์ตวั ละครเอกฝ่ ายหญิงใน วรรณกรรมชาวบ้านจากวัดเกาะ” มีจุดมุ่งหมายเพือศึกษาวิเคราะห์ตัวละครเอกฝ่ ายหญิงใน วรรณกรรมชาวบา้ นจากวดั เกาะ ทงั ในดา้ นลกั ษณะทวั ไปของวรรณกรรม แบบเรืองและอนุภาค กลวิธีการสร้างและบทบาทของตวั ละคร ผลการศึกษาพบว่า กลวิธีการสร้างตวั ละคร ผูแ้ ต่งนิยม สร้างใหต้ วั ละครหญิงมีความงดงามในดา้ นรูปโฉม แต่ก็มิไดม้ ีความงดงามเสมอไปเพราะจะมีตวั ละครบางตวั หนา้ ตาอปั ลกั ษณ์ และในตอนทา้ ยเรืองตวั ละครเหล่านีจะมีหน้าตาทีสวยงาม ซึงตวั ละครหญิงจะมีความสามารถเหมือนผูช้ าย ในดา้ นบทบาทตวั ละครเอกหญิงจะมีบทบาทการเมือง การทหารโดยเป็นผนู้ าํ ทพั และบทบาทในสงั คม อยา่ งบทบาทแม่ บทบาทภรรยา บทบาทลูกสะใภ้ สิริวรรณ วงษ์ทัต ( ) เขียนวิจยั เรือง “การศึกษาการสร้างตัวละครปรปักษ์ใน วรรณคดีไทย” มจี ุดมุง่ หมายเพอื ศกึ ษากลวิธีการสร้างตวั ละครปรปักษ์ในวรรณคดีไทยสมยั อยุธยา และรัตนโกสินทร์จาํ นวน เรือง ผลการศกึ ษาพบว่า กลวิธีการสร้างตวั ละครปรปักษใ์ นวรรณคดี ไทย ผแู้ ต่งใชก้ ลวิธีสร้างบุคลิกของตวั ละครโดยการบรรยายพฤติกรรมของตวั ละคร และการใหต้ วั ละครอืนกลา่ วถึงตวั ละครตวั นนั ซึงแสดงถึงประวตั ิ สถานภาพ ลกั ษณะนิสัยของตวั ละครปรปักษ์ รวมทงั สาเหตุของความขดั แยง้ กบั พระเอก และความสาํ คญั ของตวั ละครปรปักษท์ ีมีต่อเนือเรือง การศึกษาโลกทศั น์ของกวีในการสร้างตวั ละครปรปักษ์สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงสภาพสงั คมไทยสมยั อยธุ ยาและรัตนโกสินทร์ตอนตน้ ความเชือและค่านิยมของสงั คมไทยไดอ้ ยา่ งชดั เจน ดา้ นความเชือ ไดแ้ ก่ ความเชือเรืองกรรม ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ความฝัน ส่วนค่านิยม ได้แก่ ความซือสัตย์ ความกตญั ูกตเวที ความหยงิ ในศกั ดิศรี ทงั ความเชือและค่านิยมชีใหเ้ ห็นว่า สภาพสังคมไทยสมยั อยธุ ยาและรัตนโกสินทร์ตอนตน้ เป็ นไปในลกั ษณะเดียวกนั ทงั ดา้ นวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวถิ ชี ีวิตของประชาชน . การศึกษาตวั ละครทมี ลี กั ษณะพเิ ศษในวรรณคดี เป็ นการศึกษาตวั ละครทีมีลกั ษณะ พเิ ศษต่างๆ เช่น ตวั ละครอมนุษย์ และตวั ละครทีมีกาํ เนิดผดิ ธรรมชาติ มจี าํ นวน เรือง ไดแ้ ก่ สมพร ร่วมสุข ( ) เขียนวทิ ยานิพนธเ์ รือง “วเิ คราะห์บทบาทตวั ละครอมนุษยใ์ นบท ละครนอกและบทละครใน” มีจุดมุ่งหมายเพือศึกษาทีมา ลกั ษณะ อุปนิสัย ประเภท บทบาท และ คุณค่าของตวั ละครอมนุษยท์ ีปรากฏในเรืองรามเกียรติ อิเหนา อุณรุท และบทละครนอกเรืองสงั ข์ ทอง ไกรทอง การเกด ไชยเชษฐ์ มโนราห์ และสุวรรณหงส์ ผลการศึกษาพบว่า ตวั ละครอมนุษย์

16 ส่วนใหญ่มที ีมาจากศาสนาและความเชือในคติพราหมณ์และคติพุทธของอินเดีย แต่มีตวั ละครบาง ประเภทกวถี ่ายทอดความคิดมาจากวรรณคดีของต่างชาติ นอกจากนียงั สร้างตวั ละครอมนุษยโ์ ดย อาศยั ความเชือดงั เดิมของไทยเป็ นหลกั และเสริมจินตนาการเพือให้ตวั ละครมีลกั ษณะพิเศษและ พิสดารมากขึน ตัวละครอมนุษยม์ กั มีรูปร่ างหน้าตาแปลกประหลาด พิสดาร และมีอิทธิฤทธิ ปาฏิหาริยต์ ่าง ๆ แต่ตวั ละครเหล่านีก็มีอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และความต้องการหลายอย่าง เช่นเดียวกบั มนุษย์ ในดา้ นประเภทและบทบาทตวั ละครอมนุษยส์ ามารถแบ่งไดอ้ อกเป็น 2 ประเภท กลา่ วคือ ตวั ละครอมนุษยฝ์ ่ ายดีซึงเป็นตวั ละครทีมคี ณุ ธรรม และเป็นผทู้ ีใหค้ วามช่วยเหลอื ตวั เอกใน การขจดั อปุ สรรคและแกไ้ ขปัญหาต่างๆ ทีตวั เอกเผชิญอยใู่ หห้ มดไป และตวั ละครฝ่ ายร้ายซึงไดแ้ ก่ ตวั ละครทีขาดคุณธรรมชอบสร้างปัญหาหรือก่อความเดือดร้อนใหแ้ ก่ผอู้ นื อยเู่ สมอ สุนิตตา กล่อมแสง ( ) เขียนวิทยานิพนธ์เรือง “การศึกษาตวั ละครทีมีกาํ เนิดผิด ธรรมชาติในวรรณคดีไทย” มจี ุดมุ่งหมายเพือศึกษาการกาํ เนิดทีผดิ ธรรมชาติ และปัจจยั ทีมีอิทธิพล ต่อการกาํ เนิดของตวั ละครทีผดิ ธรรมชาติในวรรณคดีไทย ผลการศกึ ษาพบวา่ ตวั ละครทีมกี าํ เนิดผดิ ธรรมชาตินนั มีลกั ษณะของการกาํ เนิดแตกตา่ งไปจากมนุษยโ์ ดยทวั ไป ไดแ้ ก่ การกาํ เนิดทีมลี กั ษณะ ทางกายภาพผดิ ปกติ การมสี ิงของร่วมกบั การกาํ เนิด การกาํ เนิดโดยใชเ้ วทมนต์คาถา การกาํ เนิดใน ดอกไม้ การกาํ เนิดดงั กลา่ วมีทงั ตวั ละครทีเป็นมนุษย์ อมนุษย์ และสตั วเ์ ดียรัจฉาน ตวั ละครทีกาํ เนิด เป็นมนุษยม์ กั มกี ารกาํ เนิดในวงกษตั ริย์และเป็นเทพหรือเทวดาบนสวรรคม์ าก่อนซึงลงมาทาํ ความดี หรือคุณประโยชนใ์ หแ้ ก่โลกมนุษยเ์ ป็นตวั ละครฝ่ ายธรรมะ ตวั ละครทีมีกาํ เนิดเป็ นอมนุษยม์ กั เป็ น ตวั ละครกาํ เนิดเป็นยกั ษ์ โดยการถูกสาปเนืองจากการทาํ ชวั ไวใ้ นอดีตชาติเป็นตวั ละครฝ่ ายอธรรม ตวั ละครทีมีกาํ เนิดเป็นเดียรัจฉานทีกาํ เนิดเป็นลิง และราชสีห์ มีสาเหตุมาจากการกระทาํ ไม่ดีไวใ้ น อดีตชาติ จึงส่งผลให้มีภพภูมิตาํ กว่ามนุษย์ ตวั ละครทีมีกาํ เนิดเป็ นสตั วม์ กั เป็ นตวั ละครฝ่ ายดีช่วย มนุษยก์ ระทาํ ความดี การทีผแู้ ต่งสร้างตวั ละครให้มีกาํ เนิดผิดธรรมชาติก็เพือมุ่งสอนให้คนกระทาํ ความดีเพอื ส่งผลใหม้ ชี าติกาํ เนิดทีดีในอนาคต โดยมบี ทบาทสาํ คญั ต่อการดาํ เนินเรือง และเพอื เสริม สีสนั ใหเ้ รืองสนุกสนานและน่าสนใจ จากการรวบรวมงานวิจยั ทีเกียวขอ้ งกบั การศึกษาตวั ละครในวรรณคดี จะเห็นว่ามี การศกึ ษาตวั ละครทีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการศึกษาตวั ละครทวั ไปทงั ตวั ละครเอก ตวั ละครชาย ตวั ละครหญิง และการศกึ ษาตวั ละครทีมีลกั ษณะพิเศษต่าง ๆ ทงั ตวั ละครอมนุษย์ ตวั ละครปรปักษ์ และตวั ละครทีมีกาํ เนิดผดิ ธรรมชาติ ซึงสามารถนาํ ไปเป็นแนวทางในการศกึ ษางานวจิ ยั ครังนีได้

17 อยา่ งไรก็ตาม แมว้ ่าเอกสารและงานวิจยั ทีเกียวขอ้ งทีรวบรวมมาทงั หมดนีจะทาํ ใหเ้ ห็น ว่ามีผศู้ ึกษาวิจยั เกียวกับตวั ละครไวเ้ ป็ นจาํ นวนมาก แต่ยงั ไม่ปรากฏการศึกษาเกียวกบั ตัวละคร อปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย ดงั นนั ผูศ้ ึกษาจึงสนใจศึกษาตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในงานวิจัยนีทงั ดา้ น รูปลกั ษณ์ นิสยั และพฤติกรรม กลวธิ ีการสร้าง และบทบาทของตวั ละครอปั ลกั ษณ์

บทที ลกั ษณะของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดไี ทย การสร้างตวั ละครในวรรณคดีไทย กวีจะให้ความสาํ คญั ในการกาํ หนดลกั ษณะต่าง ๆ ใหก้ บั ตวั ละคร ทงั ในดา้ นรูปลกั ษณ์ ลกั ษณะนิสยั และพฤติกรรม ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ก็เป็ นตวั ละคร ประเภทหนึงทีกวีม่งุ เนน้ ใหเ้ ห็นลกั ษณะภายนอกทีไมง่ าม ไม่ดี และไมน่ ่าดู และเปิ ดใหเ้ ห็นลกั ษณะ นิสยั และพฤติกรรมของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ดว้ ย ในการศึกษาลกั ษณะของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทย ผศู้ ึกษาจะศึกษาเป็ น ประเดน็ ดงั นี . รูปลกั ษณ์ของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ . ลกั ษณะนิสยั และพฤติกรรมของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ .รูปลกั ษณ์ของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ การกาํ หนดรูปลกั ษณ์ของตวั ละครใหม้ คี วามอปั ลกั ษณ์เป็นวธิ ีการหนึงทีทาํ ใหต้ วั ละคร มีความน่าสนใจมากขึน ซึงการกาํ หนดความอปั ลกั ษณ์ให้กบั ตวั ละครพบว่ามีทงั การกาํ หนดให้ตวั ละครมคี วามอปั ลกั ษณ์มาตงั แต่กาํ เนิด เช่น ขนุ ชา้ งทีมีหวั ลา้ นมาแต่กาํ เนิด และนางแกว้ ทีมีใบหนา้ เหมือนมา้ มาแต่กาํ เนิด การกาํ หนดใหต้ วั ละครอปั ลกั ษณ์ดว้ ยการสวมใส่รูปเงาะทีอปั ลกั ษณ์ เช่น พระสงั ขส์ วมรูปเงาะอาํ พรางตนใหเ้ ป็นคนอปั ลกั ษณ์ และการกาํ หนดให้ตวั ละครมีความอปั ลกั ษณ์ เพราะถูกลงโทษจากการประพฤติชวั เช่น นางสาํ มนกั ขาถกู พระลกั ษมณ์ลงโทษตดั จมกู หู ปาก มือ และเทา้ เพราะเขา้ ทาํ ร้ายนางสีดา ดงั นันตัวละครอปั ลกั ษณ์จึงมีทงั ทีอปั ลกั ษณ์ตงั แต่กาํ เนิด และ อปั ลกั ษณ์ในภายหลงั อยา่ งไรก็ตามไม่วา่ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์จะมีความอปั ลกั ษณ์ตงั แต่กาํ เนิด หรืออปั ลกั ษณ์ ในภายหลงั ผศู้ กึ ษาพบวา่ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์มีรูปร่างทีอปั ลกั ษณ์ ลกั ษณะ ดงั นี

19 . อวยั วะผดิ รูป กล่าวคือ อวยั วะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมีลกั ษณะบิด เบียว เอียง โคง้ งอ และคดไปจากลกั ษณะปกติ ไดแ้ ก่ ใบหนา้ ผิดรูป ตาเหล่ จมูกคด หลงั ค่อม และ แขง้ คด . . ใบหน้าผดิ รูป คือ ลกั ษณะของใบหนา้ ทีผิดไปจากปกติ ไดแ้ ก่ หนา้ ยาว หนา้ หกั และใบหนา้ เหมือนใบหนา้ ของมา้ ดงั นี . . . หน้ายาวอาจเกิดจากความผิดปกติจากรูปร่างของ กระดูกขากรรไกร ความผดิ ปกติของขากรรไกรทาํ ให้เกิดลกั ษณะคางเล็ก เรียกว่า คางหรุบ และ ลกั ษณะคางยนื ซึงทาํ ใหล้ กั ษณะของใบหนา้ ยาวขึน (จอร์จวอง, ม.ป.ป.: ) ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมี ใบหนา้ ยาว ไดแ้ ก่ พรานบญุ ในบทละครครังกรุงเก่าเรือง มโนห์รา ดงั เนือความว่า โครงห่างคางยาวฟันขาวดี ... โฉมยงเจา้ ไม่มีจิตใจ ตวั ลนั รัวรัวกลวั บรรลยั อรไทเจา้ ทรงโศกา (มโนหร์ า วรรณกรรมอยุธยา , : ) จากตวั อยา่ งจะเห็นว่า พรานบุญมีส่วนของโครงหน้าห่างทาํ ใหค้ างยนื ออกมา ส่งผลใหพ้ รานบุญมใี บหนา้ ยาวกวา่ รูปหนา้ ปกติ . . . หน้ าหัก คือ หน้าทีมีสันจมูกคล้ายหักเข้าไป (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , : ) ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีใบหน้าหัก ไดแ้ ก่ นางประแดะ ในระเด่นลนั ไดดงั เนือความวา่ หูกลวงดวงพักตร์หักงอ ลาํ คอโตตนั สันกลม (ระเด่นลนั ได, : ) . . . ใบหน้าเหมือนใบหน้าของม้า คือ ใบหน้าของคน ปกติจะไม่ไดม้ ีลกั ษณะทีเหมอื นกบั ใบหนา้ ของสตั ว์ แต่ใบหนา้ ของคนเหมือนใบหนา้ ของสัตว์ จึง ทาํ ใหใ้ บหนา้ ผดิ รูปไปจากปกติของคน ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีใบหน้าเหมือนใบหนา้ ของมา้ ไดแ้ ก่ นางแก้วหน้าม้า ในบทละครนอกเรือง แกว้ หนา้ มา้ ดงั เนือความวา่ บดั นนั เถา้ แก่โขลนจ่าทาสี ฟังนางหน้าม้าพาที ตอ้ งทธี รรมเนียมบรุ าณมา พศิ ดูหน้าตาเหมือนพาชี แตพ่ าทแี หลมหลกั หนกั หนา ทา้ วนางต่างมวี าจา ใชพ้ วกโขลนจ่าเขา้ ไป (แกว้ หนา้ มา้ , : )

20 ใบหนา้ ของนางแกว้ ทีเหมอื นมา้ เป็นลกั ษณะทีมมี าแต่กาํ เนิด ดงั ตอนนางมณีทูลความแก่ทา้ วมงคลราช เนือความวา่ เมือนนั นางมณีทูลไปดงั ใจหมาย รูปนีเกดิ สําหรับกาย จึงมีความเสียดายเป็นพน้ ไป (แกว้ หนา้ มา้ , : ) ลกั ษณะใบหนา้ ของนางแกว้ ทีเหมือนใบหน้าของมา้ เป็ น ลกั ษณะเฉพาะตวั ทีมีความโดดเด่น ซึงจตุพร มีสกุล (อา้ งถึงใน ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต, : - ) สนั นิษฐานถงึ แหลง่ ทีมาของการสร้างใบหนา้ ของนางแกว้ ทีมลี กั ษณะเหมือนใบหนา้ ของมา้ ไว้ วา่ การทพี ระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิทรงสร้างตวั ละครเอกฝ่ าย หญิงให้มีหนา้ เป็ นมา้ นีน่าจะไดอ้ ิทธิพลจากรูปหล่อฤๅษีดดั ตนรูปหนึงทีพระบาทสมเดจ็ พระนัง เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหช้ ่างหลอ่ ขึน ในครังนนั พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ กไ็ ดร้ ับเชิญให้ร่วมนิพนธ์โคลงดงั กล่าวดว้ ยหลายบท ในจาํ นวนนีมีโคลงบทหนึงทีกล่าวถึงฤๅษี พมา่ ทมี ชี อื วา่ อศั วมนุ ี พระฤๅษดี งั กลา่ วมหี นา้ เป็นมา้ . . ตาเหล่ คือ ความผดิ ปกติของดวงตาทงั สองขา้ งทีไม่ไดม้ องไป ดว้ ยกนั (ปานฉตั ร ภคั รัชพนั ธุ,์ : ) ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีตาเหล่ ไดแ้ ก่ ชูชก ในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความว่า อโถ วสิ มจกฺขโุ ก ตาขาวขวิดเบืองบน ตาซ้ายสถนตกตําแล (มหาชาติคาํ หลวง, : ) จากตวั อยา่ งเนือความ คาํ วา่ ขวดิ หมายถึง เหลือก (พจนานุกรมศพั ท์ วรรณคดีไทย สมยั อยธุ ยา, : ) จะเห็นว่าลูกตาทงั ขา้ งมีการเหลือกทีไม่เท่ากนั คือ ลูกตา ดา้ นขวาเหลอื กขึนขา้ งบน และลกู ตาดา้ นซา้ ยเหลอื กลงดา้ นล่าง ลกั ษณะดงั กลา่ วทาํ ใหเ้ ห็นวา่ ดวงตา ทงั สองขา้ งไม่ไดม้ องไปในทิศทางเดียวกนั จึงเกิดเป็นลกั ษณะตาเหล่ . . จมูกคด คือ ลกั ษณะของจมูกทีสนั จมูกหกั คด และเบียงเฉไป ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีจมูกคด ไดแ้ ก่ ชูชก ในมหาชาติคาํ หลวง กวีกลา่ ววา่ ชูชกมีจมูกหักคดเคียวดงั เนือความว่า กฬาโร ภคฺคนาสโก จรหมูกหักคดเคยี วฟนนงอกขย้ วเสมอหมู (มหาชาติคาํ หลวง, : )

21 . . หลงั ค่อม เกิดจากความผดิ ปกติของกระดูกสันหลงั คือ กระดูก สนั หลงั ปกติเมอื มองจากทางดา้ นหนา้ แนวของกระดูกสันหลงั จะตอ้ งตรง ไม่มีการเบียงเฉไปทาง ดา้ นขา้ งหรือคด (ต่อพงษ์ บุญมาประเสริฐ, : ) พบตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีหลงั ค่อม จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ ชูชก นางค่อมกุจจี และยอ่ งตอด ดงั ตวั อยา่ ง ชูชก ในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความว่า กุมฺโภทโร ภคฺคปิ ฏฺ ฐหิ ลงงหฺ ัก เห็นโครงเปล่า มีทอ้ งเท่าไหหาม โสดแล (มหาชาติคาํ หลวง, : ) จากตวั อยา่ งเนือความกล่าวว่า ชูชกมีหลงั หกั จนเห็นแนวกระดูกสัน หลงั ซึงลกั ษณะดงั กล่าวของชูชกทาํ ใหเ้ ห็นว่าชูชกมีหลงั ค่อมโคง้ ลงจนเห็นแนวกระดูกสันหลงั อยา่ งชดั เจน นางค่อมกุจจี ในรามเกียรติ ดงั เนือความว่า พีจะยงิ อคี ่อมหลังก้งุ ใหโ้ ก่งนนั ดุง้ ไปขา้ งหนา้ นอ้ งรักจงทอดทศั นา ว่าแลว้ กย็ งิ ทนั ที (รามเกยี รติ เล่ม1, :) จากตวั อยา่ งเนือความคาํ ทีพระรามใชเ้ รียกนางกุจจีว่า อีหลงั กุ้ง เป็ น การเปรียบเทียบใหเ้ ห็นถึงสนั หลงั ของนางกุจจีทีมีลกั ษณะโคง้ งอเหมือนกบั ลาํ ตวั ของกุง้ ทาํ ให้เห็น ว่านางกุจจีมีหลงั ค่อม ย่องตอด ในพระอภยั มณี ดงั ตอนนางละเวงพิศดูรูปลกั ษณ์ของย่อง ตอด ดงั เนือความวา่ ใบไมน้ ุ่งรุงรังสันหลงั โกง ดงั ผโี ป่ งปากเหมน็ เช่นกมุ ภา (พระอภยั มณี เล่ม , : ) จากตวั อยา่ งเนือความจะเห็นวา่ มีการกล่าวถึงสันหลงั ของยอ่ งตอดว่า มีลกั ษณะโคง้ , ไม่ตรง สังเกตจากคาํ ว่า โกงทีขยายความคาํ ว่าสนั หลงั ซึงในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ( : )ใหค้ วามหมายวา่ “โกง หมายถงึ ว. โคง้ , ไม่ตรง เช่น หลงั โกง.” ดงั นนั ยอ่ งตอดจึงมีหลงั ค่อม

22 . . แข้งคด เกิดจากความผดิ ปกติในการสร้างกระดูกของส่วนสร้าง กระดูกของกระดูกหนา้ แขง้ ปลายบนส่วนดา้ นใน ทาํ ใหช้ ่วงต่อปลายกระดูกส่วนบนของหนา้ แขง้ โก่ง (ยงยทุ ธวชั รดุล, : ) ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีแขง้ คด ไดแ้ ก่ ชูชก ในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความว่า บพติ ร พราหมณ์นีแข้งคดเลบ็ หย้ น หนา้ ครึงทย้ นทรุ ลกั ษณ์ โสดไส้ (มหาชาติคาํ หลวง, : ) . อวยั วะพกิ าร คือ อวยั วะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไดแ้ ก่ ตา จมูก หู ปาก มอื และเทา้ เกิดทุพพลภาพ หรือขาดหายไป ส่งผลใหม้ ลี กั ษณะตาบอด จมูกแหว่ง หูแหว่งหรือขาด ปากแหว่ง มอื และเทา้ ดว้ น ตัวละครอปั ลกั ษณ์ทีมีตาบอด ได้แก่ ย่องตอด ในพระอภยั มณี ย่องตอดมี ดวงตาซา้ ยเพียงขา้ งเดียว เนืองจากยอ่ งตอดโดนภรรยาถีบเขา้ ทีดวงตาขา้ งขวาจึงควกั ดวงตาออก ส่งผลใหย้ อ่ งตอดมีอวยั วะพกิ าร ดงั เนือความวา่ ทงั ถีบถูกลูกตาข้างขวาบอด อา้ ยยอ่ งตอดเตม็ โกรธกระโดดหนี เสียดายนกั ควกั ออกมาว่าตานี เป็นของดีกวา่ อนื เอากลืนไว้ (พระอภยั มณี เล่ม , :) ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมหี ูแหวง่ ไดแ้ ก่ นางประแดะ ในระเด่นลนั ได ดงั คาํ ทีทา้ ว ประดู่เรียกนางประแดะ เนือความว่า ถา้ บอกจริงใหก้ ูอีหูแหว่ง จะงดไวไ้ ม่แทงอยา่ แยง่ ยดุ (ระเด่นลนั ได, : ) ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีจมูกแหว่ง หูขาด ปากแหวง่ มอื และเทา้ ดว้ น ไดแ้ ก่นาง สาํ มนักขา ในรามเกียรติ ดงั เนือความวา่ มือด้วนตนี กดุ ปากแหว่ง เป็นริ วแร่งทรลกั ษณ์บดั สี หูขาดจมูกขาดไม่สมประดี อสุรีแปลกองคก์ ลั ยา (รามเกยี รติ เล่ม , :) นางสํามนักขาไม่ได้มีลกั ษณะอปั ลกั ษณ์มาตงั แต่กาํ เนิด แต่มีการลงโทษ เนืองจากการประพฤติชัวของตัวละคร จึงส่งผลให้ตัวละครมีอวัยวะพิการจึงกลายเป็ นความ อปั ลกั ษณ์

23 . อวยั วะมีขนาดใหญ่เกินขนาดปกติคือ ดวงตา จมูก คอ และทอ้ งมีขนาด ใหญ่ ดงั นี . . ดวงตามขี นาดใหญ่ คือ ลกั ษณะของดวงตาทีโต และเบิกกวา้ ง ไดแ้ ก่ ดวงตาพองโต และตากลอกโพลง . . . ดวงตาพองโต คือ ลกั ษณะของดวงตาทีมีลกั ษณะ โป่ งขึน หรือนูนออกมาจากเบา้ ตา พบตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมดี วงตาพองโต จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ ชูชก เจา้ เงาะ นางผเี สือสมทุ ร และนางศรีสาหง ดงั ตวั อยา่ ง ชูชกในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความวา่ ดกู รสงฆเ์ ถา้ ตาตุงพุงพ่วง กม้ เอาบ่วงบดั ดยว โสดแล ฯ (มหาชาติคาํ หลวง, : ) จากตัวอย่าง จะเห็นว่ามีการกล่าวถึงลกั ษณะของชูชกทีมี ดวงตาตุง ซึงคาํ ว่า ตุง หมายถึง ลกั ษณะทีมีบางสิงบางอย่างดนั ใหน้ ูนโป่ งออกมาก (พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , : ) แสดงใหเ้ ห็นวา่ ชูชกมดี วงตาโปน เจ้าเงาะ ในบทละครนอกเรืองสงั ขท์ อง ดงั เนือความวา่ ขา้ กลวั รูปเงาะป่ าตาพอง จะใหน้ อ้ งนงั ใกลจ้ นใจจริง (สังขท์ อง, : ) จากตวั อยา่ งเนือความเป็ นตอนนางรจนาสนทนากบั เจา้ เงาะ นางรจนากล่าววา่ นางกลวั รูปเงาะป่ า เพราะมีดวงตาพองโตซึงคาํ กล่าวของนางรจนาสามารถแสดง ใหเ้ ห็นวา่ เจา้ เงาะมีดวงตาพองโต นางผเี สือสมทุ ร ในพระอภยั มณี เช่น คาํ ทีพระฤๅษีตาํ หนินาง ผเี สือสมทุ ร สามารถแสดงใหเ้ ห็นว่านางผเี สือสมุทรมีดวงตาโต ดงั เนือความวา่ อยี กั ษาตาโตโมโหมาก รูปกก็ ากปากกเ็ ปราะไมเ่ หมาะเหมง (พระอภยั มณี เล่ม , : )

24 นางศรีสาหง ในอภยั นุราช ตอนนางทิพมาลีแอบดูนางศรีสา หง นางทิพมาลีก็เห็นดวงตาของนางศรีสาหงทีมีลกั ษณะพองโตดงั เนือความว่า ตาพองสองผมนมยาน ยงั โปรดปรานประหลาดหวาดวิญญาณ์ (อภยั นุราช, : ) . . . ตากลอกโพลง คือ ลกั ษณะของดวงตาทีเบิกจนกวา้ ง และกลอกไปมา ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีดวงตากลอกโพลง ไดแ้ ก่ หมืนหาญ ในเสภาเรืองขุนชา้ ง ขุนแผน ไดอ้ ธิบายใหเ้ ห็นถึงดวงตาของหมนื หาญทีมีลกั ษณะกลอกโพลง ดงั เนือความวา่ สูงเกือบสีศอกตากลอกโพลง หนวดโงง้ งอนปลายทงั ซ้ายขวา (ขุนชา้ ง ขนุ แผน, : ) ดวงตาทีมขี นาดใหญ่เป็ นลกั ษณะทางกายภาพทีไม่ดีแลว้ ยงั สามารถสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ จิตใจภายในได้ ดงั ทีตาํ ราพรหมชาติ ( : ) กล่าวถงึ ลกั ษณะของผูท้ ี มีดวงตาขนาดใหญ่ไวว้ า่ “ผใู้ ดมดี วงตาโต ผนู้ นั มกั ใจร้าย ใจชวั แล” . . จมูกใหญ่ ตัวละครอปั ลกั ษณ์ทีมีจมูกใหญ่ ได้แก่ จรกา ใน อิเหนา ดงั เนือความว่า จมูกใหญ่ไมส่ งา่ ราศี จะพาทีแหง้ แหบแสบเสียง (อิเหนา, : ) . . คอใหญ่ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีคอใหญ่ ไดแ้ ก่ นางประแดะ ใน ระเด่นลนั ได ดงั เนือความว่า หูกลวงดวงพกั ตร์หกั งอ ลาํ คอโตตันสันกลม (ระเด่นลนั ได, : ) จากตวั อยา่ งเนือความจะเห็นว่านางประแดะวา่ มลี าํ คอทีใหญ่ ตนั และ สนั ซึงแตกต่างไปจากลกั ษณะคอของตวั ละครเอกฝ่ ายหญิงในวรรณคดีไทยทีมกั มีลกั ษณะเหมือน ลาํ คอราชหงสส์ วรรค์ (ชลดา เรืองรักษล์ ขิ ิต, : ) คือมีช่วงลาํ คอทียาวดูสง่างามเหมือนกบั ลาํ คอ ของหงส์ ทงั นีลกั ษณะคอใหญ่ยงั ถอื เป็นลกั ษณะทีไม่ดีตามหลกั นรลกั ษณ์ดว้ ย ดงั ทีตาํ ราพรหมชาติ ( : ) ไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะของคอทีไมด่ ีว่า “คอเหมอื นขือเรือน อนั ทรงไวซ้ ึงเครืองแห่งเรือน คือ ศีรษะ ถา้ คอโตนกั คอสนั ไมส่ มตวั มิดีแล”

25 . . ท้องใหญ่ คือ ลกั ษณะของส่วนทอ้ งทียนื ออกมาเป็ นกระเปาะ ใหญ่ ทงั นีไม่ไดเ้ กิดจากรูปร่างอว้ นเพียงแต่มีทอ้ งยนื ออกมา ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีทอ้ งใหญ่ พบ จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ ชูชก และเจา้ เงาะ ดงั ตวั อยา่ ง ชูชก ในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความว่า ทอกนน้ นกุมฺโภทโร ภคฺคปิ ฏฺ°หÔ ลงงฺหกั เห็นโครงเปล่า มีท้องเท่าไหหาม โสดแล (มหาชาติคาํ หลวง, : ) จากตวั อยา่ งเนือความมีการกล่าวถึงทอ้ งของชูชกว่าใหญ่เท่าไหหาม ซึงในพจนานุกรมภาษาไทยเปรียบเทียบ ( : ) มีการเปรียบเทียบคาํ ภาษาไทยกรุงเทพกบั คาํ ภาษาไทยดาํ ว่า “คาํ ว่า โอ่ง ɂ:1 ในภาษาไทยกรุ งเทพ ตรงกบั คําว่า ไหหาม һam1nam6ใน ภาษาไทยดาํ ”ดงั นนั ชูชกจึงมีทอ้ งเป็นกระเปาะใหญ่เท่ากบั โอ่ง เจ้าเงาะ ในบทละครนอกเรือง สงั ขท์ อง ดงั เนือความว่า ถึงตาพองท้องพล้ยุ พีพลุ อยา่ ดูหมินกนิ จุมใิ ชช่ วั จงปราณีเงาะป่ าเถิดอยา่ กลวั จะแตง่ ตวั ใหง้ ามตามใจนอ้ ง (สังขท์ อง, : ) จากตวั อยา่ งเนือความจะเห็นคาํ วา่ ท้องพล้ยุ ซึงคาํ วา่ พล้ยุ หมายถึง ว. ยยุ้ , ยนื ออกมาอยา่ งทอ้ งคนอว้ น (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน , : ) เมือขยาย ความคาํ วา่ ท้อง จึงทาํ ใหเ้ ห็นวา่ เจา้ เงาะมีทอ้ งยนื ออกมา . อวัยวะไม่สะอาด คือ ปากมีกลินเหม็น ฟันไม่สะอาด และเล็บเน่า ซึง อวยั วะทีไมส่ ะอาด เป็นส่วนหนึงของความอปั ลกั ษณ์ เนืองจากเป็นลกั ษณะทางกายภาพทีมผี ลทาํ ให้ ผพู้ บเห็นเกิดความรู้สึกรังเกียจ และขยะแขยงได้ . . ปากมีกลินเหม็น ตัวละครอปั ลกั ษณ์ทีปากมีกลินเหม็น พบ จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ ชูชก และยอ่ งตอด ดงั ตวั อยา่ ง ชูชก ในมหาเวสสนั ดรชาดก ดงั เนือความว่า ถา้ ออเฒ่าจะอ้าปากออกพูดนีมนั เหม็นฟุ้งทงั ฟันฟางกห็ ่างหกั เหน็ เวทนา (มหาเวสสนั ดรชาดก, : )

26 จากตวั อยา่ งเนือความเป็นตอนทีเหล่าพราหมณีตาํ หนิใหน้ างอมติ ตดา เห็นโทษของการมีสามีชรา โดยกล่าวถึงลกั ษณะทีไม่ดีของชูชก คือ การมีกลินปากเหม็น เพือให้ นางอมิตตดาเห็นความน่ารังเกียจของชูชก ย่องตอด ในพระอภยั มณี ในตอนทีนางละเวงพิศดูรูปลกั ษณ์ภายนอก ของย่องตอดก็พบว่าปากของยอ่ งตอดมีกลินปากเหมน็ เหมือนกบั กลินปากของจระเข้ เพราะยอ่ ง ตอดกินสตั วท์ ียงั มชี ีวิตเป็นอาหาร ดงั เนือความว่า ใบไมน้ ุ่งรุงรังสนั หลงั โกง ดงั ผโี ป่ งปากเหมน็ เช่นกมุ ภา (พระอภยั มณี เล่ม , : ) . . ฟันไม่สะอาด คือ ฟันมีขีฟัน ตัวละครอัปลกั ษณ์ทีมีฟันไม่ สะอาด ไดแ้ ก่ ชีเปลือย ในพระอภยั มณี ตอนสุดสาครไปตามพระอภยั มณี เมือสุดสาครพบชีเปลือย สุดสาครเห็นภายในช่องปากของชีเปลือยทีเตม็ ไปดว้ ยขีฟันก็รู้สึกอยากอาเจียน ดงั เนือความวา่ น่าเหียนรากปากมแี ต่ขีฟัน กรนสนนั นอนร้ายเหมือนป่ ายปื น ( พระอภยั มณี เล่ม , : ) . . เลบ็ เน่า ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีเลบ็ เน่า ไดแ้ ก่ ชูชกในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความว่า เถา้ ลาํ เลวสเอวเปลา่ เล็บเน่าเนือหนงั หยาบ โลกสวภาพฤๅจะมีสุขแตใ่ ดเลย ด่งงนี (มหาชาติคาํ หลวง, : ) จากตวั อยา่ งเนือความเป็นตอนเหลา่ พราหมณีตาํ หนินางอมิตตดา และ ไดก้ ล่าวถึงความสกปรกของชูชกว่า ชูชกมีเลบ็ เน่า เพือโน้มนา้ วใจใหน้ างอมิตตดาเห็นว่าชูชกมี ลกั ษณะทีไม่ดีและไมค่ ู่ควรกบั นางอมิตตดา . ร่างกายมขี นาดใหญ่ คือ ลกั ษณะของรูปร่างทีมีขนาดสูง รูปร่างใหญ่ และ รูปร่างอว้ น . . รูปร่างสูง ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีรูปร่างสูง พบจาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ หมืนหาญ และเจา้ ละมาน ดงั ตวั อยา่ ง หมืนหาญ ในเสภาเรืองขุนชา้ ง ขนุ แผน เช่น เนือความทีกวีอธิบายถึง รูปลกั ษณ์ของหมนื หาญวา่ มีความสูงเกือบ ศอก ดงั เนือความว่า

27 สูงเกือบสีศอกตากลอกโพลง หนวดโงง้ งอนปลายทงั ซา้ ยขวา (ขุนชา้ ง ขุนแผน, : ) เจ้าละมานในพระอภยั มณี มคี วามสูงถึง ศอก ดงั เนือความว่า ทงั นายไพร่กายสูงถงึ หกศอก หนงั สือบอกมาว่ายกั ษม์ กั กะสัน (พระอภยั มณี เล่ม , : ) จากตวั อย่างเนือความทงั ขา้ งต้นจะเห็นว่า หมืนหาญสูงเกือบ ศอก ซึง ศอก เท่ากบั เซนติเมตร หมนื หาญมสี ่วนสูงเกือบ เซนติเมตร และเจา้ ละมานสูง ศอก เจา้ ละมานจึงมีความสูงถึง เซนติเมตร ซึงเป็ นส่วนสูงเกินปกติ ดังทีวรชัย วิริยารมณ์ ( ) ไดส้ าํ รวจโครงกระดูกจากแหล่งโบราณคดีบา้ นนาดีพบว่า “จากศึกษาลกั ษณะของกระดูกโครงสร้างร่างกายส่วนแขนขา จํานวน ส่วน คือ กระดกู ตน้ แขน กระดูกปลายแขนดา้ นนอก กระดูกปลายแขนดา้ นใน กระดูกตน้ ขา กระดูกหน้า แขง้ และกระดกู น่องเพือคาํ นวณความสูงของประชากรตามค่าสมการอเมริกนั ผิวขาว และสมการ มองโกลอยด์ ใชต้ วั อยา่ งทีสามารถวดั และศกึ ษาไดร้ วมทงั สิ น โครง แบ่งเป็ นชาย โครงและ หญงิ โครง โดยตามคา่ สมการมองโกลอยดพ์ บว่า เพศชายมคี วามสูงเฉลีย . เซนตเิ มตร และ . เซนติเมตรตามค่าสมการอเมริกนั ผวิ ขาว” โครงการสาํ รวจขนาดของ SizeThailand ไดส้ าํ รวจรูปร่างของคนไทย ในปี - จากกล่มุ ตวั อยา่ งทงั ชายและหญิงทวั ประเทศ จาํ นวน , คน ช่วงอายุกล่าวคือ - ปี , - ปี , - ปี , - ปี และ ปี ขึนไป พบวา่ ชายไทยอายุ - ปี มีส่วนสูง - เซนติเมตร คิดค่าเฉลียส่วนสูงได้ . เซนติเมตร จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า ส่วนสูงของเพศชายทังในสมัยก่อน ประวตั ิศาสตร์ และในยคุ ปัจจุบนั (พ.ศ. - ) มีค่าความสูงใกลเ้ คียงกนั ดงั นนั เมอื ในวรรณคดี มกี ารกาํ หนดรูปร่างของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ใหส้ ูงถึง - เซนติเมตร จึงถือว่าเป็ นส่วนสูงทีเกิน มาตรฐานของคนปกติ . . รูปร่างใหญ่ พบตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมรี ูปร่างใหญ่ จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ นางผเี สือสมุทร และเจา้ ละมาน ดงั ตวั อยา่ ง

28 นางผเี สือสมทุ ร ในพระอภยั มณี ดงั เนือความว่า จะกล่าวถึงอสุรีผเี สือนาํ อยทู่ อ้ งถาํ วงั วนชลสาย ไดเ้ ป็นใหญใ่ นพวกปี ศาจพราย สกนธ์กายใหญ่โตเท่าไอยรา (พระอภยั มณี เล่ม , :) จากตวั อยา่ งเนือความ จะเห็นว่า รูปร่างของนางผเี สือสมุทรมีขนาด ใหญ่เท่ากบั ขนาดตวั ของชา้ ง ซึงรูปร่างขนาดใหญ่ของนางผีเสือสมุทร เนืองจากนางมีชาติกาํ เนิด เป็นยกั ษ์ ดงั ที ส.พลายนอ้ ย ( : ) ไดอ้ ธิบายถงึ ยกั ษไ์ วว้ า่ “ยกั ษ์ หมายถึง อมนุษยพ์ วกหนึงทีมี ร่างกายใหญ่โต หนา้ ตาดุร้าย มเี ขียวยาวโงง้ กินสตั วแ์ ละคนเป็นอาหาร” เจ้าละมาน ในพระอภยั มณี ดงั เนือความวา่ เหน็ องคท์ า้ วเจา้ ละมานเหมอื นมารร้าย ทงั รูปกายใหญ่หลวงดูพว่ งพี (พระอภยั มณี เล่ม , : ) ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน จากตวั อยา่ งเนือความสงั เกตคาํ ว่า ใหญ่ หมายถึง ว. โต (พจนานุกรม ราชบณั ฑิตยสถาน , , :0 ) และคาํ ว่า หลวง หมายถึง ว. ใหญ่ (พจนานุกรมฉบบั ขนาดใหญ่โตมาก : ) เป็ นการขยายความใหเ้ ห็นรูปร่างของเจา้ ละมานว่ามีรูปร่าง . . รูปร่ างอ้วน เป็ นลักษณะหนึงทีสะท้อนให้เห็นถึงความ อปั ลกั ษณ์ ดงั ทีไปรยา ชลากาญจน์ ( : ) กล่าวถึงความอว้ นว่า “ความอว้ นเป็ นสิงทีน่ารังเกียจ เนือไขมนั กลายเป็ นส่วนเกินทีน่าชงั คนทีมีรูปร่างจาํ มาํ ถูกเปรียบให้เป็ นตวั ตลก” พบตัวละคร อปั ลกั ษณ์ทีมรี ูปร่างอว้ น จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ ขุนชา้ ง จรกา ทา้ วสันนุราช นางแกว้ หน้ามา้ และนาง วาลี ขนุ ช้าง ในเสภาเรืองขุนชา้ ง ขนุ แผน ตอนพระไวยไปรับขนุ ชา้ งเขา้ มา ในวงั มกี ารเปรียบเทียบรูปร่างของขุนชา้ งว่าอว้ นเหมอื นตุ๊กตากวางตุง้ ดงั เนือความวา่ เหมือนต๊กุ ตากวางต้งุ ดูพุงพล้ยุ หวั ทุยผมเถิกเป็นถอ่ ง่าม (ขนุ ชา้ ง ขุนแผน, : ) จากตวั อย่าง จะเห็นว่า มีการเปรียบเทียบรูปร่างของขุนช้างว่าอว้ น เหมือนตุ๊กตากวางตุง้ ซึงผศู้ ึกษาสนั นิษฐานวา่ ตุ๊กตากวางตุง้ อาจหมายถึง ตุ๊กตาศิลาจีนทีมีการนาํ เขา้ มาตงั แต่สมยั อยธุ ยา และนาํ เขา้ มามากในสมยั พระบาทสมเด็จพระนงั เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว (รัชกาลที ) ซึง

29 ตุ๊กตาจีนทีนิยมนาํ เขา้ มามกั จะเป็นรูปคน เทวดาหรือเซียน (วบิ ูลย์ ลีสุวรรณ, : - ) ตุ๊กตา ศลิ าจีนมกั จะปันใหม้ ีลาํ ตวั อวบและใหญ่ จรกา ในอเิ หนา ตอนเหลา่ ชะแมผ่ เู้ ฝ้าประตูเมือเห็นจรกาก็ต่างตาํ หนิ รูปลกั ษณ์จรกาแสดงใหเ้ ห็นวา่ จรกามรี ูปร่างอว้ น ดงั เนือความวา่ ไม่มีทรวดทรงองค์เอวอ้วน พิศไหนเลวลว้ นอปั ลกั ษณ์ (อิเหนา, : ) จากเนือความเป็ นตอนทีจรกาเข้าเมืองดาหา เมือเหล่าชะแม่ผูเ้ ฝ้า ประตูเห็นจรกาก็ต่างตาํ หนิรูปลกั ษณ์จรกาโดยมีการกล่าววา่ จรกามเี อวอว้ นหรือรูปร่างอว้ นนนั เอง ท้าวสันนุราช ในบทละครนอกเรือง คาวี ดงั เนือความว่า เกศาพงึ จะประปราย รูปกายชายพจี ะมเี นือ (คาวี, : ) จากเนือความขา้ งตน้ อธิบายถงึ รูปร่างของทา้ วสนั นุราชวา่ รูปกายชาย พีจะมเี นือ คาํ วา่ พี หมายถึง ว. อว้ น, มกั ใชเ้ ขา้ คู่กบั คาํ ว่าอว้ นเป็ นอว้ นพี. น.มนั . (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , : ) นางแก้วหน้าม้า ในบทละครนอกเรือง แกว้ หนา้ มา้ เช่น ตอนนางแกว้ หนา้ มา้ เขา้ วงั เมือนางกาํ นลั เห็นนางแกว้ ก็ต่างกล่าวถึงรูปลกั ษณ์ของนางแกว้ โดยมีการกล่าวถึง รูปร่างของนางแกว้ วา่ มี รูปกายจาํ มาํ ดงั เนือความวา่ นุ่งห่มปุกปุยกรุยกราย รูปกายจํามําดาํ มดิ หมี (แกว้ หนา้ มา้ , : ) นางวาลี ในพระอภยั มณี มีรูปร่างอว้ น เช่น ตอนนางวาลีถวายตวั แก่ พระอภยั มณี เมอื พระอภยั มณีพบนางวาลกี เ็ ห็นวา่ นางวาลีมเี นือหนงั จาํ มาํ ดงั เนือความว่า พระยมิ พลางทางดผู รู้ ับสัง เห็นเนือหนังจํามาํ ดาํ หมิดหมี (พระอภยั มณี เล่ม , : ) จากตวั อยา่ งเนือความทงั ขา้ งตน้ จะเห็นว่า มีการกลา่ วถึงรูปร่างของ นางแกว้ และนางวาลวี ่ามลี กั ษณะจาํ มาํ คือ ลกั ษณะอว้ น (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , :)

30 . ผวิ หนงั ไม่เกลยี งเกลา คือ ผวิ หนา้ และผวิ หนงั ตามลาํ ตวั มรี ิ วรอยแผลเป็ น จากฝี รอยข่วน และสิว ผวิ หนงั ตกกระและมีขีแมลงวนั มาก . . ผิวหน้าไม่เกลียงเกลา คือ ผิวหนา้ ทีมีรอยฝี รอยแผล และสิว พบตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีผิวหนา้ ไม่เกลียงเกลา จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ จรกา นางประแดะ นางวาลี ยอ่ งตอด และนางคนั ธมาลี ดงั ตวั อยา่ ง จรกา ในอิเหนา มีผวิ หนา้ ขรุขระเพราะออกฝี ดงั เนือความตอนจรกา เขา้ เมอื งดาหา เนือความวา่ บา้ งตาํ หนิวา่ หน้าเพรียง ดดู าํ ดงั เหนียงน่าชงั นกั (อิเหนา, : ) จากตวั อยา่ งกล่าววา่ จรกามลี กั ษณะหนา้ เพรียง ซึงคาํ ว่า “เพรียง” ใช้ เรียกผวิ หนงั ทีขรุขระอยา่ งหนา้ ออกฝีวา่ มีลกั ษณะเป็นเพรียง (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , : ) นางประแดะ ในระเด่นลันได ดังในบทชมโฉมนางประแดะ เนือความว่า พิศแต่หวั ตลอดเทา้ ขาวแต่ตา ทังสองแก้มกลั ยาดงั ลูกยอ (ระเด่นลนั ได, : ) จากตวั อยา่ งจะเห็นว่า กวีมีการเปรียบเทียบผวิ หน้าของนางประแดะ ว่าเหมือนผวิ ของลกู ยอทีมีลกั ษณะขรุขระ ไม่เรียบเนียน อีกทงั ยงั เป็นจุดดาํ บนผวิ ดว้ ย นางวาลี ในพระอภยั มณี ดงั เนือความวา่ ทงั กายาหางามไม่พบเหน็ หน้านันเป็ นรอยฝี มีแต่แผล (พระอภยั มณี เล่ม , : ) จากตวั อย่างเนือความจะเห็นว่า ผิวหน้าของนางวาลีไม่เกลียงเกลา เพราะมรี อยแผลเป็นทีเกิดจากการออกฝี ย่องตอดในพระอภยั มณี ดงั เนือความวา่ ทังหน้าลายรายเรียรอยเมียข่วน ผมแตล่ ว้ นผผี ูกจมูกโด่ง (พระอภยั มณี เล่ม , : )

31 จากตวั อยา่ งเนือความเป็ นตอนทีนางละเวงพิศดูรูปลกั ษณ์ของย่อง ตอดกพ็ บว่า ยอ่ งตอดมีผวิ หนา้ ทีไม่เกลยี งเกลา เพราะมรี อยแผลเป็นทีเกิดจากการถูกภรรยาข่วนไว้ ตงั แต่เมือครังทียอ่ งตอดเขา้ ข่มขืนภรรยาตนเอง นางคันธมาลี ในบทละครนอกเรือง คาวี ดงั เนือความว่า หวกี ระจายลายเสน้ ขนเมน่ สอย ผดั หนา้ นังตะบอยบีบสิว (คาวี, : ) จากตวั อยา่ งเนือความเป็นตอนทีนางคนั ธมาลกี าํ ลงั แต่งองคใ์ หง้ ดงาม ขึนเฝ้าพระคาวีทีปลอมเป็นทา้ วสนั นุราชทีชุบตวั ใหม่ ซึงมกี ารกลา่ วถงึ พฤติกรรมของนางคนั ธมาลี ทีกาํ ลงั บีบสิวสามารถแสดงใหเ้ ห็นวา่ นางคนั ธมาลีมผี วิ หนา้ ไม่เกลียงเกลา เพราะมีสิว . . ผวิ ตามลาํ ตวั ไม่เกลยี งเกลา คือ ผวิ หนงั ตามลาํ ตวั มีรอยแผล ตก กระและมีขีแมลงวนั มาก พบตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีผวิ ตามลาํ ตวั ไม่เกลียงเกลา จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ ชูชก และเจา้ เงาะดงั ตวั อยา่ ง เจ้าเงาะ ในบทละครนอกเรือง สงั ขท์ อง ดงั เนือความวา่ เมือนนั ทา้ วสามนตเ์ ห็นเงาะชงั นาํ หนา้ เนือตวั เป็ นลายคล้ายเสือปลา ไมก่ ลวั ใครใจกลา้ ดดุ นั (สังขท์ อง, : ) จากตัวอย่างเนือความจะเห็นว่า เจ้าเงาะมีผิวหนังตามลาํ ตวั ลาย เหมือนกบั เสือปลา ซึงผวิ หนงั ของเสือปลาจะมีพืนลาํ ตวั สีเทาหรือสีนาํ ตาลอมเขียว และมีลายสีดาํ เป็นจุดกระจายอยทู่ วั ตวั (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , : ) ชูชก ในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความว่า วลนี ํ ติลกาหโต ขแี มลงวนนเหลือแล่ ทุกกระแบ่เนือบเห็นเปล่าเลยย ... หนงงลาย หมายเสือป่ า อายพร้อยลา่ เลงไพร ทุกแห่งแล (มหาชาติคาํ หลวง, : ) จากตวั อย่างเนือความมีการกล่าวถึงลกั ษณะของชูชกว่า ผวิ หนังตก กระและมขี ีแมลงวนั มาก ทาํ ใหผ้ วิ หนงั ลายเหมือนเสือป่ า

32 . ผวิ ดาํ คลาํ ในยคุ สมยั ก่อนจะมีการกาํ หนดมาตรฐานความงามไวว้ ่า ผทู้ ีมี ความงดงามต้องมีผิวเหลืองดังทองทา และหากมองในมิติชนชนั คนทีมีผิวดาํ คือพวกไพร่ทใี ช้ แรงงานทาํ งานกลางแจง้ จนผวิ ดาํ คลาํ (กชกรณ์ เสรีฉนั ทฤกษ,์ : - ) ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมี ผวิ ดาํ คลาํ พบจาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ เจา้ เงาะ ขุนชา้ ง จรกา นางแกว้ นางประแดะ นางผเี สือสมุทร และ นางวาลี ดงั ตวั อยา่ ง เจ้าเงาะ ในเรืองสังข์ทองตอนพระสังขต์ ีคลี วรรณคดีสมยั อยุธยากล่าวถึง รูปลกั ษณ์ของเจา้ เงาะวา่ มผี วิ ดาํ คลาํ สงั เกตไดจ้ ากคาํ ทีเจา้ เงาะทูลนางมณฑา ดงั เนือความว่า เงาะชวั ตวั อปั รียพ์ ระมารดา รูปชัวตัวดาํ อย่รู ุงรัง พระบดิ าจะฆา่ ปอง (สังขท์ อง วรรณกรรมสมยั อยธุ ยา , : ) ในบทละครนอกเรือง สงั ขท์ อง เช่น ตอนเจา้ เงาะเขา้ เมอื งสามนต์ ดงั เนือความ วา่ ลางคนบ่นวา่ ถา้ เช่นนี ฟ้าผเี ถิดไม่นึกปรารถนา น่ากลวั ตวั ดาํ เหมือนคุลา ต่างตเิ งาะป่ าว่าวนุ่ ไป (สงั ขท์ อง, : ) จากตัวอย่างเนือความจะเห็นว่า เมือเหล่านางสนมกาํ นัลเห็นเจา้ เงาะก็ต่าง กลา่ วถงึ รูปลกั ษณ์ของเจา้ เงาะโดยเปรียบเทียบสิผวิ ของเจา้ เงาะว่ามผี วิ ดาํ คลาํ เหมือนชาวคุลา ซึงชาว คุลา คือ แขกอนิ เดียทีมีผวิ ดาํ (พจนานุกรมภาษาถินใต,้ : ) นางแก้วหน้าม้า ในบทละครนอกเรือง แกว้ หน้ามา้ เช่น บทสนทนาของนาง แกว้ ทีกล่าวกบั พระพินทองวา่ ตนเองเป็นคนทีมรี ูปชวั และมผี วิ ดาํ คลาํ ดงั เนือความว่า เห็นนอ้ งรูปชวั ตัวดาํ ช่างทาํ กระไรไมไ่ วห้ นา้ ใครลบลูด่ ูถกู ลกู พระยา อนิจจาพาโลโพคลุม (แกว้ หนา้ มา้ , :) นางประแดะในระเด่นลนั ได ดงั เนือความในบทชมโฉม เนือความว่า พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา ทงั สองแกม้ กลั ยาดงั ลูกยอ (ระเด่นลนั ได, : )

33 จากตวั อยา่ งเนือความกลา่ วถงึ ผวิ กายของนางประแดะว่า พิศแต่หัวตลอดเท้า ขาวแต่ตาทาํ ใหเ้ ห็นว่า นางประแดะส่วนของร่างกายทีมีความขาว คือ ดวงตา ดงั นนั ในส่วนอืน ๆ ของร่างกายอาจจะมีสีดาํ คลาํ ซึงแสดงใหเ้ ห็นว่านางประแดะมผี วิ ดาํ คลาํ ได้ ขุนช้างในเสภาเรืองขนุ ชา้ ง ขุนแผน ตอนขุนชา้ งแต่งตวั ไปฟังเทศน์มหาชาติ ดงั เนือความว่า ผวิ หนังยงั เขียวเหมือนผักตบ นีจวนจบมหาพนแลว้ สิหวา่ (ขุนชา้ ง ขุนแผน, : ) จากตวั อย่างเนือความจะเห็นว่า มีการเปรียบเทียบสีผิวของขุนชา้ งว่ามีสีผิว เขียวคลาํ เหมือนสีของผกั ตบ จรกา ในอิเหนา ดงั เนือความวา่ ทงั รูปชวั ตวั ดําตาํ พงศพ์ นั ธุ์ จะเรียงเคยี งกนั น่าอายนกั (อิเหนา, : ) จากตวั อยา่ งเนือความจะเห็นวา่ คาํ กลา่ วของประเสหรันทีกล่าวกบั นางบุษบา ทาํ ใหเ้ ห็นว่า จรกาว่ามีผวิ ดาํ คลาํ นางผเี สือสมทุ รในพระอภยั มณี ดงั เนือความว่า ถึงรูปชวั ตวั ดาํ แต่นาํ ใจ จะหาไหนไดเ้ หมอื นเจา้ เยาวมาลย์ (พระอภยั มณี เล่ม , : ) จากตวั อยา่ งเนือความเป็นตอนทีพระอภยั มณีกล่าวกบั ศพของนางผเี สือสมุทร มกี ารกลา่ วถงึ นางผเี สือสมุทรว่าตวั ดาํ แสดงใหเ้ ห็นวา่ นางผเี สือสมทุ รมีผวิ ดาํ คลาํ นางวาลใี นพระอภยั มณี ดงั เนือความวา่ ถงึ รูปชวั ตัวดําดังนํารัก แต่รู้หลกั ลาํ สุรางคน์ างสนม (พระอภยั มณี เล่ม , : ) จากตวั อยา่ งจะเห็นว่ามีการกล่าวถึงสีผวิ ของนางวาลีว่ามีผิวดาํ คลาํ เหมือนนาํ รัก ซึงนาํ รัก คือยางทีไดจ้ ากไมต้ น้ ในสกลุ Gluta และไมพ้ ่มุ ในสกลุ Rhus วงศ์ Anacardiaceae ทาํ ให้ มีสีดาํ แลว้ ใชท้ าลงพนื ใหเ้ หนียวเพือปิ ดทอง (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , : )

34 . เส้นผม และขนไม่เป็ นระเบียบ คือ เสน้ ผมไม่เป็ นทรง และไม่สามารถจดั ทรงได้ ไดแ้ ก่ ผมหยกิ ผมหยกั ศก และผมผผี กู อีกทงั ขนรุงรังไม่เป็ นระเบียบ ไดแ้ ก่ หนวดเคราบน ใบหนา้ รุงรัง . . ผมหยิก คือ ลกั ษณะของเส้นผมทีงอ เป็ นขดรกรุงรัง หรือมี ลกั ษณะผมหยิกนอ้ ย ๆ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีผมหยกิ พบจาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ เจา้ เงาะ จรกา และ หมืนหาญ ดงั ตวั อยา่ ง เจ้าเงาะ ในบทละครนอกเรืองสงั ขท์ อง ดงั เนือความว่า ผมหยกิ ย่งุ เหยงิ เหมือนเซิงฟัก หนา้ ตาตละยกั ษม์ กั กะสนั (สังขท์ อง, : ) จากตวั อย่างเนือความเป็ นตอนทีทา้ วสามนต์เห็นรูปลกั ษณ์ภายนอกของเจ้า เงาะกเ็ ห็นว่าเจา้ เงาะมีผมหยกิ เหมือนกบั ลกั ษณะเซิงฟัก ซึง เซิง คือ ทีรกเป็ นสุมทุมพุ่มไมห้ รือมีไม้ เถาปกคลุมอยู่ขา้ งบน เช่น เซิงฟัก (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , : ) ดงั นนั การเปรียบเทียบผมของเจา้ เงาะว่าหยกิ เหมอื นเซิงฟัก ทาํ ใหเ้ ห็นวา่ เจา้ เงาะมผี มหยกิ รกรุงรัง หมนื หาญ ในเสภาเรืองขุนชา้ ง ขนุ แผน มีการกล่าวว่าหมืนหาญมีผม หยกิ หยกั ศกดงั เนือความว่า ผมหยกิ หยกั ศกอกเป็นขน ทรหดอดทนมใิ ช่ชวั (ขุนชา้ ง ขุนแผน, : ) จรกาในอิเหนา ดงั เนือความวา่ ดูไหนมิไดง้ ามทงั กายา ลกั ษณาผมหยกั พกั ตร์เพรียง (อิเหนา, : ) จากตวั อยา่ งเนือความเป็นตอนทีจรการําพงึ ถงึ ตนเองว่ามีรูปลกั ษณ์ที ไมง่ ดงาม เนืองจากมีผมหยกั ซึงพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ( : ) ให้ ความหมายของคาํ วา่ หยกั ไวว้ ่า “หยกั หมายถึง ว. คด ๆ งอ ๆ” เมือขยายคาํ ว่า ผม ก็ทาํ ให้เห็นว่า ผมของจรกามีลกั ษณะคดงอ คือเป็นผมหยกิ หรืออาจเป็นผมหยกั ศกทีมลี กั ษณะหยกิ นอ้ ย ๆ

35 . . ผมผีผูก คือ ลกั ษณะของผมทีจับตวั กันเป็ นกอ้ นหรือช่อไม่ สามารถหวีหรือตัดออกได้ ตัวละครอปั ลกั ษณ์ทีมีผมผีผูก ได้แก่ ย่องตอด ในพระอภัยมณี ดงั เนือความว่า ทงั หนา้ ลายรายเรียรอยเมยี ข่วน ผมแต่ล้วนผผี ูกจมกู โดง่ (พระอภยั มณี เล่ม , : ) จากตวั อยา่ งเนือความเป็นตอนนางละเวงพิศดูรูปลกั ษณ์ของย่องตอด กเ็ ห็นว่ายอ่ งตอดมีผมผผี กู . . หนวดเคราบนใบหน้ารุงรังพบตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีหนวด เครารุงรัง จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ พรานบุญ ขนุ ชา้ ง และหมืนหาญดงั ตวั อยา่ ง พรานบญุ ในบทละครครังกรุงเก่าเรืองมโนหร์ า ดงั เนือความวา่ แลเห็นพรานบญุ ทฤสา รูปร่างกายาฤๅว่าผี หน้าตาหวั อกรกเป็ นขน (มโนหร์ า วรรณกรรมอยธุ ยา , : ) จากตวั อยา่ งเนือความจะเห็นวา่ มกี ารกลา่ วถงึ หนา้ ตาของพรานบุญว่า มขี นรก แสดงใหเ้ ห็นว่าในส่วนใบหนา้ ของพรานบุญจะมีขนหรือหนวดเคราทีรกรุงรัง ขุนช้ าง ในเสภาเรื องขุนชา้ ง ขุนแผน ดังเนือความทีกวีกล่าวถึง รูปลกั ษณ์ของขนุ ชา้ งตอนโตเป็นหนุ่มว่า เคราคางขนอกรกกายา หนา้ ตาดงั ลงิ คา่ งทีกลางไพร (ขุนชา้ ง ขนุ แผน, : ) จากตวั อยา่ งเนือความจะเห็นว่า ขุนชา้ งมีหนวดเคราจาํ นวนมาก จน หนา้ ตาเหมอื นกบั ลงิ และค่างทีอาศยั อยใู่ นป่ า หมนื หาญ ในเสภาเรืองขุนชา้ ง ขุนแผน ดงั เนือความว่า สูงเกือบสีศอกตากลอกโพลง หนวดโง้งงอนปลายทงั ซ้ายขวา (ขนุ ชา้ ง ขุนแผน, : ) จากตวั อยา่ งเนือความ จะเห็นว่าหมนื หาญมีหนวดโคง้ งอนเขา้ หากนั ทงั ซา้ ยและขวา

36 . . ลําตัวมีขนรุงรัง ตัวละครอัปลกั ษณ์ทีลาํ ตัวมีขนรุงรัง พบ จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ พรานบุญ ขุนชา้ ง และหมืนหาญ ดงั ตวั อยา่ ง พรานบุญ ในบทละครครังกรุงเก่าเรืองมโนห์รา นอกจากจะมีหนวด เคราบนใบหนา้ มาก ในส่วนของหนา้ อกก็มีขนรกรุงรัง ดงั เนือความว่า แลเหน็ พรานบญุ ทฤสา รูปร่างกายาฤๅวา่ ผี หนา้ ตาหวั อกรกเป็ นขน (มโนหร์ า วรรณกรรมอยธุ ยา , : ) ขนุ ช้าง ในเสภาเรืองขนุ ชา้ ง ขุนแผน ตอนทีขุนชา้ งจะไปดูนางพิมพิลา ไลยอาบนาํ ดงั เนือความวา่ ขนอกรกเตม็ ตลอดพุง มมุ ุง่ ด่วนเดินลงจากเรือน (ขุนชา้ ง ขุนแผน, : ) จากตวั อยา่ งเนือความแสดงใหเ้ ห็นว่า บริเวณลาํ ตวั ของขุนชา้ งมีขน ขึนเป็นจาํ นวนมาก ตงั แต่อกจนถงึ ทอ้ ง หมืนหาญ ในเสภาเรืองขุนชา้ ง ขุนแผน แสดงให้เห็นว่า หมืนหาญมี ขนบริเวณหนา้ อกเป็นจาํ นวนมากจนดูรุงรัง ดงั เนือความว่า ผมหยกิ หยกั ศกอกเป็ นขน ทรหดอดทนมใิ ช่ชวั (ขุนชา้ ง ขนุ แผน, : ) . เส้นผม และขนยาวกว่าปกติ คือ เสน้ ผม หนวด และเครายาวกว่าปกติ หรือ เกินกวา่ ทีควรเป็น พบตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมเี สน้ ผม และขนยาวกวา่ ปกติจาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ เจา้ เงาะ และชีเปลือย ดงั ตวั อยา่ ง เจ้าเงาะ ในบทละครนอกเรืองสงั ขท์ อง ดงั เนือความวา่ หนวดเคราครุ่มคร่ามงามครัน หนา้ ตาตละปันขนั สุดใจ (สังขท์ อง, : ) จากตวั อยา่ งเนือความเป็ นคาํ กล่าวของนางรจนาทีกล่าวว่าเจา้ เงาะมี หนวดเคราครุ่มคร่าม ผศู้ กึ ษาสนั นิษฐานวา่ คาํ วา่ ครุ่มคร่ าม ในทีนีอาจจะมีความหมายเช่นเดียวกบั คาํ ว่า รุ่มร่ าม ซึงในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ( : ) ใหค้ วามหมายของ

37 คาํ ว่า รุ่มร่ าม ไวว้ า่ “รุ่มร่าม หมายถงึ ก. เกินพอดี, เกินทีควร เช่น หนวดเครารุ่มร่าม” ดงั นนั จึงแสดง ใหเ้ ห็นถงึ ลกั ษณะของเจา้ เงาะทีมีหนวดเครายาวเกินพอดี และเกินกว่าปกติ ชีเปลอื ย ในพระอภยั มณี ดงั เนือความวา่ หนวดถงึ เข่าเคราถงึ นมผมถึงตีน ฝรังจีนแขกไทกใ็ ชท่ ี (พระอภยั มณี เล่ม , : ) ชีเปลือยมีผมยาวถึงปลายเทา้ หนวดยาวถึงเข่า และเครายาวถึงหนา้ อก เพือ ปกปิ ดร่างกายแทนการนุ่งผา้ ซึงเป็นลกั ษณะทีใหค้ วามรู้สึกประหลาดใจเมอื พบเห็น ดงั ทีกวีกล่าวว่า ไม่นุ่งผ้าคากรองครองหนังเสือ ประหลาดเหลือโล่งโต้งโม่งโค่งขนั (พระอภยั มณี เลม่ , : ) . เส้นขนและผมน้อย คือ หนวดบาง ผมบาง และหวั ลา้ น ดงั นี . . หนวดบาง ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีหนวดบาง มีจาํ นวน ตัว ไดแ้ ก่ชูชก ในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความวา่ โลหสฺสุ หริตเกโสมีหนวดพยงหลงงเคา (มหาชาติคาํ หลวง, : ) จากตวั อยา่ งเนือความขา้ งตน้ มีการเปรียบเทียบลกั ษณะหนวดของชู ชกกับลักษณะหลงั ของโค สังเกตจากคําว่า พยง หมายถึง เพียง ราวกับ ประหนึง ดุจดัง (พจนานุกรมศพั ทว์ รรณคดีไทยสมยั อยธุ ยา, : )และคาํ ว่า หลงงเคา หมายถึง หลงั โค ซึงมี ขนบาง (พจนานุกรมศพั ทท์ างวรรณคดีสมยั อยุธยา, : ) จะเห็นว่า เนืองจาก ชูชกมีหนวด บาง ๆ เหมือนกบั ขนบนหลงั โค . . ผมบาง ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีผมบาง มีจาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ชู ชกในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความว่า โลหสฺสุ หริตเกโส มีหนวดพยงหลงงเคา ผมบางเทาเห็นแล่นแล (มหาชาติคาํ หลวง, : ) จากตวั อย่างเนือความจะกล่าวถึงผมของชูชกทีเห็นเป็ นแนวเส้น บาง ๆ ซึงคาํ ว่า แล่น หมายถึง แนวเส้นบาง ๆ(พจนานุกรมศพั ท์วรรณคดีไทยสมยั อยธุ ยา, : ) เมือนาํ มาขยายความคาํ ว่าผมบางกย็ งิ เป็นการยาํ ใหเ้ ห็นว่า ชูชกมีผมบางมาก

38 . . หัวล้าน ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีหวั ลา้ น มจี าํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ขุน ช้าง ในเสภาเรืองขุนชา้ ง ขุนแผน กวีกาํ หนดให้หัวลา้ นเป็ นลกั ษณะเฉพาะของขุนชา้ งทีมีมาแต่ กาํ เนิด ดงั เนือความว่า แม่ฝันวา่ นกตะกรุมคาบชา้ ง บินมาแต่ทางพนาสณฑ์ พาไปใหถ้ ึงเรือนตน หัวล้านอกขนแต่เกดิ มา (ขนุ ชา้ ง ขนุ แผน, : ) จากขา้ งตน้ จะเห็นว่า ขุนชา้ งมลี กั ษณะหวั ลา้ นแบบราชครึงเครา ดงั ที ลอ้ ม เพง็ แกว้ (อา้ งถึงใน พิพิธภณั ฑ์หุ่นขีผึงไทย, : ) ไดอ้ ธิบายลกั ษณะหัวลา้ นประเภทราช คลงึ เคราไวใ้ นตาํ รับหัวลา้ นว่า “ลา้ นนีคงจะหมายถึงลา้ นแบบต่าง ๆ เพียงแต่เพิมว่ามีหนวด และ เคราดกเกินธรรมดา คนหวั ลา้ นชนิดนีจะมขี นอกอกี ดว้ ย” . หน้าอกหย่อนยาน กล่าวคือ ลกั ษณะหน้าอกของตัวละครหญิงใน วรรณคดีมกั จะมีลกั ษณะเหมือนกรรพมุ คือมีลกั ษณะเหมือนกบั มือทีประนม ดงั ทีชลดา เรืองรักษ์ ลิขิต ( : ) อธิบายบทชมถนั นางว่า คิดนมกรรพุมนีรชรัตนเรียมผจง ซึงถือว่าเป็ นหน้าอกที งดงาม ดงั นนั หากมหี นา้ อกหยอ่ นยานจึงเป็นหนา้ อกทีไม่งดงาม ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีหน้าอกยาน มจี าํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ นางสาํ มนกั ขา นางผเี สือสมุทร นางประแดะ และนางศรีสาหง ดงั ตวั อยา่ ง นางสาํ มนักขา ในรามเกียรติ ดงั เนือความว่า สยายผมนมยานถงึ ชายพก ตา่ งตระหนกตกใจทวั หนา้ (รามเกยี รติ เล่ม , : ) จากตวั อยา่ งเนือความจะเห็นว่า นางสาํ มนกั ขามีหน้าอกหย่อนยานไปถึงชาย พก ซึงชายพก คือ ริมผา้ นุ่งทีดึงรวบมาไขวก้ นั เหน็บไวท้ ีบริเวณสะดือ แลว้ ดึงชายขา้ งใดขา้ งหนึง ใหย้ าวกกวา่ มลี กั ษณะคลา้ ยถงุ เลก็ ๆ เหน็บไวท้ ีเอว (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , : ) ทาํ ใหเ้ ห็นว่านางสาํ มนกั ขามีหนา้ อกหยอ่ นยานไปถึงเอว นางผเี สือสมทุ รในพระอภยั มณี ดงั เนือความวา่ นมสองข้างอย่างกระโปรงดูโตงเตง ผวั ของเอง็ เขาระอาไม่น่าชม (พระอภยั มณี เล่ม , : )

39 จากตวั อยา่ งเนือความจะเห็นวา่ นางผเี สือสมุทรมีหนา้ อกทีดูโตงเตง ซึงคาํ ว่า โตงเตง หมายถงึ อาการแห่งสิงของทีหอ้ ยยาว แลว้ แกวง่ ไปมาได้สามารถแสดงให้เห็นว่านางผเี สือ สมุทรมหี นา้ อกหยอ่ นยาน นางประแดะ ในระเด่นลนั ได ดงั เนือความวา่ สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคยี ว โคนเหียวแห้งรวบเหมือนบวมต้ม (ระเด่นลนั ได, : ) จากตวั อยา่ งจะเห็นวา่ หนา้ อกของนางประแดะมีลกั ษณะหอ้ ยตุงเหมือนกบั ถุง ตะเคียว อีกทังยงั มีลกั ษณะเหียวเหมือนบวบตม้ ซึงการเปรี ยบเทียบลกั ษณะหน้าอกของนาง ประแดะกบั ถุงตะเคียวและบวบตม้ ทาํ ใหเ้ ห็นวา่ นางประแดะมีหนา้ อกทีหยอ่ นยานมาก นางศรีสาหง ในอภยั นุราช เนือความว่า นยั ยต์ าพองสองผมนมคล้อย ทาํ ชดชอ้ ยลอยเลิศเฉิดฉาย (อภยั นุราช, : ) จากตวั อย่างเนือความนางศรีสาหงมีนมคลอ้ ย ซึงคาํ ว่า คลอ้ ย หมายถึง ก. หยอ่ นลง, ลดตาํ , เรียกนมทีหยอ่ นลงเลก็ น้อย ว่า นมคลอ้ ย (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. , : ) แสดงใหเ้ ห็นวา่ นางศรีสาหงมหี นา้ อกทีหยอ่ นยาน . เลบ็ กุด ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีเลบ็ สนั ไดแ้ ก่ ชูชก ในมหาชาติคาํ หลวง ดงั เนือความว่า บพติ ร พราหมณ์นีแขง้ คดเล็บห้ยน หนา้ ครึงทย้ นทุรลกั ษณ์ โสดไส้ (มหาชาติคาํ หลวง, : ) จากขา้ งตน้ สังเกตคาํ ว่า หย้ น ในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ( : ) ใหค้ วามหมายของ เหียน ไวว้ า่ ก.กร่อนไปเกือบหมดหรือหมด, ตดั หมด แสดง ใหเ้ ห็นวา่ ชูชกมลี กั ษณะของเลบ็ ทีกร่อนไปจนเกือบไม่มีเนือเลบ็ จึงมลี กั ษณะเลบ็ กุด จากการศึกษารูปลกั ษณ์ของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ในวรรณคดีไทยพบว่า ในวรรณคดีไทย จะกาํ หนดรูปลกั ษณ์ของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ส่วนใหญ่ใหร้ ูปร่างมขี นาดใหญ่ รองลงมา คือ อวยั วะมี ขนาดใหญ่ เสน้ ผมและขนไม่เป็ นระเบียบ ผวิ หนังไม่เกลียงเกลา ผวิ ดาํ คลาํ อวยั วะผดิ รูป หน้าอก หย่อนยาน อวยั วะพิการ เส้นขนและผมนอ้ ย เส้นผมและขนยาวกว่าปกติและเล็บกุด ตามลาํ ดับ แสดงใหเ้ ห็นว่ารูปร่างทีมีขนาดใหญ่เป็ นลกั ษณะส่วนใหญ่ทีกาํ หนดให้กบั ตวั ละครอปั ลกั ษณ์ใน

40 วรรณคดีไทย ทงั นีอาจเป็ นเพราะรูปร่างเป็ นส่วนของร่างกายทงั หมดทีสามารถสงั เกตไดง้ ่ายและ ชดั เจน ดงั นันเมือรูปร่างมีขนาดใหญ่ย่อมทาํ ให้เกิดความแตกต่างจากบุคคลทวั ไปจนกลายเป็ น ลกั ษณะทีอปั ลกั ษณ์ได้ นอกจากนีจะเห็นว่าลกั ษณะอวยั วะของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีมีขนาดใหญ่ ขนาดยาว ขนาดสนั มจี าํ นวนนอ้ ย และจาํ นวนมากเกินกวา่ ภาวะปกติ อีกทงั อวยั วะทีขาดหายไปทาํ ใหเ้ กิดเป็นความอปั ลกั ษณ์ได้ . ลกั ษณะนิสัยและพฤตกิ รรมของตวั ละครอปั ลกั ษณ์ ในการศึกษาลกั ษณะนิสัยและพฤติกรรมของตัวละครอปั ลกั ษณ์พบว่า ตัวละคร อปั ลกั ษณ์มีลกั ษณะนิสยั และพฤติกรรมเป็น ลกั ษณะ คือ ลกั ษณะนิสยั และพฤติกรรมทีไม่ดี และ ลกั ษณะนิสยั และคุณสมบตั ิทีดี มีรายละเอียดดงั นี . ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทีไม่ดี คือ ตัวละครอปั ลักษณ์มกั จะถูก กาํ หนดใหม้ นี ิสยั และพฤติกรรมทีไมด่ ี อกี ทงั ยงั มคี ุณสมบตั ิทีดอ้ ยกว่าตวั ละครเอกทีมีความงดงาม พบว่านิสัยและพฤติกรรมทีไม่ดีของตัวละครอัปลกั ษณ์ปรากฏ ลักษณะ ไดแ้ ก่ หมกมุ่น กามตณั หา กล่าวเท็จ เจ้าเล่ห์เพทุบาย ขีขลาด ไม่เฉลียวฉลาด ดอ้ ยความสามารถในการรบ ไม่ ชาํ นาญในการเกียวพาราสีสตรี โลภ กลา้ แสดงความรักต่อผชู้ ายก่อน ขีหึง เจา้ มารยาไม่ซือสัตยต์ ่อ สามี พฤติกรรมหยาบคาย และพฤติกรรมบา้ ใบด้ งั นี . . หมกม่นุ กามตณั หา คือการแสดงออกทีมุ่งความสนใจและฝักใฝ่ ในกามตณั หาอยเู่ สมอ ตวั ละครอปั ลกั ษณ์จะแสดงออกถงึ ความหลงใหลในรูปลกั ษณ์งดงามของเพศ ตรงขา้ มหรือกลินผมหอมของเพศตรงขา้ ม อีกทงั ยงั มีความปรารถนาทีจะไดเ้ พศตรงขา้ มมาเป็ น คู่ครองของตนอยเู่ สมอ พบตวั ละครอปั ลกั ษณ์ทีหมกมุ่นในกามตณั หา จาํ นวน ตวั ไดแ้ ก่ ชูชก นางสาํ มนกั ขา ขุนชา้ ง ทา้ วสนั นุราช นางคนั ธมาลี และเจา้ ละมาน ดงั ตวั อยา่ ง ชูชก ในมหาเวสสนั ดรชาดก มีการกล่าวถึงชูชกว่าเป็ นผทู้ ีมีความแก่ ชรา แต่ยงั คงมีความหลงใหลในความงดงามของเพศตรงขา้ ม ดงั เนือความว่า โสชชู โก วันนันชูชกเฒ่าชราตทํ ิสฺวา เมือเห็นรูปเจ้าอมิตตดายุพเยาว์เร่อรุ่นสุนทร :) เด็กดรุณี หน้าน้อแน่งนวลฉวีวรรณเพริศพริงพราย ชะชวยเฉิดฉายโฉมเฉลา ดังว่าพฤฒิโคเคา เฒ่าชราจรครันและว่าเห็นเหยือหญ้าอ่อนออกโอชโอษฐ์ อ้า ละลนละลานแลบเลียชิวหาหูหาง ระเหิดหัน เฒ่ากม็ ีจิตเกษมสันต์โสมนัสยวนยงิ (มหาเวสสันดรชาดก,


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook