Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์

กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์

Published by karapakorn choogasi, 2021-09-24 03:55:02

Description: กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

คู่ มื อ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 1

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | คำนำ คู่มือกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เล่มน้ีจัดทาขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดาเนินการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ซ่ึงเป็นการนาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมมาประยุกต์เข้าด้วยกัน ด้วยรูปแบบการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดเจตคติท่ีดีต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ นาไปสู่การสร้าง ระบบคิด ปลูกจติ วิทยาศาสตร์ ให้กบั ผเู้ รยี นอีกรูปแบบหนึ่ง คู่มือกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ฉบับนี้ จัดทาข้ึนจากการดาเนินการจัดกิจกรรมในพื้นที่จริง นามาพัฒนา เป็นแผนการจัดกิจกรรมในแต่ละกิจกรรม ซึ่งอาจมีข้อปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมอยู่บ้าง ตามความเหมาะสม ของพ้ืนที่ในการนากิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์เพ่ือการศึกษา นครศรีธรรมราช หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ฉบับน้ี จะเป็นประโยชน์สาหรับ ผู้สอนหรือจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียนและผู้ท่ีเก่ียวข้อง นาไปใช้เป็นแนวทางใน การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ในโอกาสตา่ งๆ ใหส้ าเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ต่อไป นายกรปกรณ์ ชกู ะสิ ผู้จดั ทา

สำรบญั คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | กิจกรรม หนำ้ นกั สืบสายน้า 1 การเรียนรู้แบบสบื คน้ (Inquiry) 4 มดั เส้นเนน้ ลาย 7 เทยี นเจล NSC 12 การแสดงทางวทิ ยาศาสตร์ ( Science Show ) 14 คนค้นปา่ 19 เปดิ เลนสส์ ่องฟา้ 23 เส้นสายลายเทียน 29 กลน่ิ อายไม้หอม 33 Science for kids 38 Walk Rally 57 ของเล่นพลงั งานยางสรา้ งสรรค์ 72 คณติ คิดบวก 74 นักธรณีน้อย 83 มวลเมฆนา่ รู้ 86 ลา่ ฆาตกร 89 จานาฝัน 91

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 4 กจิ กรรม นักสบื สำยนำ กิจกรรมนักสืบสายน้า เป็นกิจกรรมหน่ึงในการศึกษาคุณภาพน้าในแหล่งน้าธรรมชาติ โดยการ จาแนกแมลงสตั วเ์ ล็กน้าจืด ที่อาศัยอยใู่ นแหลง่ น้าทม่ี อี ยอู่ ย่างหลากหลายประเภท หลายชนดิ ใหผ้ ทู้ ศี่ กึ ษาได้ ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองในสถานที่จริง โดยการใช้ลักษณะภายนอกจากการมองเห็นด้วยตาเปลา่ ในการจาแนก ประเภทแมลงสัตว์เล็กน้าจืด และสามารถอธิบายวามสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตกับสภาพแวดล้อมที่มีลักษณะที่ ตา่ งกนั ได้ ผู้ทศ่ี ึกษาใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตรเ์ พื่อนาไปสกู่ ารประเมินคณุ ภาพนา้ ได้ มูลนิธโิ ลกสีเขยี ว เปน็ องค์กรเอกชนทที่ างานทางดา้ นส่ิงแวดล้อม ไดร้ ิเร่ิม “ โครงการนักสบื สายนา้ ” ในเดือนกันยายน พ.ศ.2541 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ครูและนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในลุ่มน้าปิง สามารถเรยี นรู้ และดูแลสิ่งแวดล้อมในท้องถ่นิ ของตนเอง โดยใช้วธิ กี ารสารวจและดูแลลาน้าเปน็ กิจกรรมท่ีจะ นาไปสู่กระบวนการศึกษาสิ่งแวดล้อม เพราะลาน้าเป็นส่ิงสาคัญที่จะเชื่อมโยงไปยังระบบนิเวศต่างๆ ซึ่งสามารถศึกษาประเภทแมลงสัตว์เล็กน้าจืด จาก “ ชุดคู่มือนักสืบสายน้า ” เป็นชุดคู่มือในการเสริมการ เรยี นการสอนเชิงสารวจสบื สวน ในกบั ผู้ทศ่ี กึ ษาไดส้ บื คน้ หาความรู้ความเขา้ ใจในลาน้าท้องถ่ินของตนเอง ทำไมตอ้ งสำรวจลำนำ น้ามีความสาคัญต่อทุกชีวิตบนโลกใบน้ี แต่เป็นสิ่งทมี่ นุษย์กลับมองข้ามความสาคัญต่อน้าและสายนา้ วิกฤตการณ์ภัยแล้ง หลายแห่งในประเทศไทยเกิดจากการตัดไม้ทาลายป่า แม่น้าลาคลองหลายสายกาลังเน่า เสียเนอ่ื งจากมลพษิ การสรา้ งสิง่ กอ่ สร้างของมนุษย์ เช่นการสรา้ งซิเมนต์รมิ ฝั่ง สร้างเขอื่ นเพอ่ื กันน้า ส่งิ เหลา่ น้ี ทาใหเ้ กิดความเสียหายและพังทลายของระบบนิเวศ แม่น้าลาธารเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของทั้งพืชและสัตว์ สิ่งมีชีวิตต่างๆ และยังเป็นแหล่งสะสม สารอาหาร แร่ธาตุต่างๆ จากแผ่นดินไหลไปยังสิ่งมีชีวติ ต่างๆบริเวณชายฝ่ังทะเล เปรียบเสมอเส้นเลือดใหญ่ที่ หล่อเล้ียงร่ายกายของมนุษย์ ถ้าเส้นเลือดและระบบไหลเวียนเลือดดี ร่างกายของคนเราก็จะมีสุขภาพดี แต่ถ้าเส้นเลือดและระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี สุขภาพของคนเราก็จะไม่ดี คล้ายกับแม่น้าลาธารถ้าสะอาด กจ็ ะส่งผลให้พชื และสตั ว์ดไี ปด้วย คุณสมบตั ิของนกั สบื สำยนำ 1. ชา่ งสงั เกต เปน็ ลักษณะทสี่ าคญั ทส่ี ดุ สามารถเปรียบเทียบลกั ษณะทีแ่ ตกตา่ งกัน 2. ชา่ งสงสัย เป็นพฤติกรรมท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ การต้ังคาถาม 3. ชา่ งต้งั คาถาม ลกั ษณะของการอยากรูอ้ ยากเหน็ นาไปสูพ่ ฤติกรรมการตงั้ สมมติฐานเพอื่ หาคาตอบ 4. ช่างบนั ทึก เปน็ การช่วยในการเตือนความจา และงา่ ยต่อการแกไ้ ขและปรับปรุงในครั้งต่อไป 5. มจี ินตนาการ นาไปสคู่ วามคดิ สรา้ งสรรค์ นามาซง่ึ ความร้ใู หม่ๆ 6. ไม่ด่วนสรุป ไม่เช่ืออะไรง่ายๆ ไม่ด่วนสรุปเพราะอาจจะรับข้อมูลที่ไม่พียงพอ รับฟังอย่างเข้าใจ ไม่ ด่วนตัดสนิ ใจเปดิ ใจให้กว้าง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 5 กรำฟประเมนิ คณุ ภำพนำ การประเมินคุณภาพน้า จากการนาตัวบ่งชีก้ ลุ่มของตวั อ่อนแมลงสตั ว์เล็กน้าจืด เพื่อหาคุณภาพของ นา้ โดยรวมจากการลงพนื้ ทสี่ ารวจทกุ จดุ โดยใช้คู่มือนักสบื สายน้าเปน็ เกณฑ์ในการประเมนิ ดงั น้ี 1. ตัวบง่ ชี้ A B C D คุณภาพน้าดมี าก น้าสะอาดมาก 2. ตัวบง่ ช้ี E F G H I คณุ ภาพนา้ ดี น้าสะอาด 3. ตวั บง่ ช้ี J K L M N คุณภาพน้าพอใชไ้ ด้ นา้ ไม่คอ่ ยสะอาดมาก 4. ตัวบง่ ช้ี O P คณุ ภาพนา้ ไม่ดี นา้ สกปรก นาตัวบ่งช้ีกลุ่มของตัวอ่อนแมลงสัตว์เล็กน้าจืด ใส่ในกราฟประเมินคุณภาพน้า เพื่อดูจุดสูงสุดของ กราฟ เพ่ือบ่งบอกคุณภาพนา้ ณ บรเิ วณน้ัน กำรเช่ือมโยงกิจกรรม นักสืบสำยนำกบั วทิ ยำศำสตร์ แมลงสัตว์เล็กน้าจืดเป็นส่ิงมีชีวิตที่ไว้ต่อการเปลี่ยนแปลงเม่ือคุณภาพของส่ิงแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ด้วยความเหมาะสมในด้านต่างๆ แมลงสัตว์เล็กน้าจืดส่วนใหญ่เคล่ือนท่ีได้น้อย จะอาศัยในสถานที่เดียว จึง ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาวะมลพิษของแหล่งน้าบริเวณน้ันๆ และแมลงสัตว์เล็กน้าจืดมีจานวนที่ หลากหลายสามารถพบได้ในทุกแหล่งน้า และมีความไวต่อการถูกรบกวนและพื้นตัวได้ช้า ทาให้สามารถ ตรวจสอบผลกระทบได้ท่ีเกิดข้ึนได้แม้เวลาจะผ่านไป แมลงสัตว์เล็กน้าจืดมีขนาดใหญ่ทาให้สามารถพบเจอได้ ง่าย ส่วนใหญ่จะมีอายุยืนยาวประมาณ 1 ปี ทาให้สามารถตรวจสอบได้ตลอดทั้งปี แมลงสัตว์เล็กน้าจืดส่วน ใหญ่เป็นอาหารของสัตว์น้า ซ่ึงมีความสาคัญต่อห่วงโซ่อาหารทาให้ส่งผลต่อการเนื่องถึงความชุกชมของสัตว์ น้าหลายๆชนิด รวมไปถึงเป็นการถ่ายทอดพลังงานและถ่ายทอดสารพิษท่ีสะสมอยู่ในระบบนิเวศบริเวณ สายนา้ แหง่ น้ัน ทกั ษะกำรสงั เกต ทักษะการสงั เกต คือความสามารถในการใชป้ ระสาทสัมผัส อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง หรือหลายอยา่ ง เพอ่ื หา ข้อมูลหรือรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ โดยไม่เพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวลงไป เห็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ได้ยิน อยา่ งไร ได้กล่นิ อยา่ งไร หรอื รสชาติเปน็ อยา่ งไร ก็ตอบไปตามนั้น ประสาทสมั ผสั มี 5 ชนดิ คือ 1. ประสาทตา สงั เกตได้โดยการดู เพ่ือบอกรปู รา่ ง สณั ฐาน ขนาด สี สถานะ 2. ประสาทหู สังเกตโดยการฟงั เพ่อื บอกเสยี งที่ไดย้ ินว่า เสียงดงั เสยี งค่อย เสียงสงู เสยี งตา่ หรือเสียง ดังอย่างไรตามที่ได้ยนิ 3. ประสาทจมูก สงั เกตโดยการดมกล่นิ เพ่ือบอกวา่ มกี ล่นิ หรอื ไม่ หอม เหม็น ฉุน 4. ประสาทล้ิน สังเกตโดยการชิมรส เพ่ือบอกว่ามีรสชาติว่า หวาน ขม เผ็ด เค็ม เปรี้ยว ฝาด แต่ใน การสงั เกตโดยการชมิ นี้ ต้องแนใ่ จวา่ สิ่งนั้นไมม่ อี ันตรายและสะอาดเพยี งพอ 5. ประสาทผิวกาย สังเกตได้โดยการสัมผัส เพ่ือบอก อุณหภูมิ ความหยาบ ความละเอียด ความเรยี บ ความล่นื ความเปียกชนื้ ความแหง้ ของสิง่ น้นั

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 6 นอกจากการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ชนิดสังเกตโดยตรงแล้ว การใช้ประสาทสัมผัสท้ัง 5 สังเกตการ เปลี่ยนแปลงของส่ิงต่าง ๆ ได้ก็จัดว่าเป็นทักษะการสังเกตเช่นเดียวกัน เช่น การเปล่ียนแปลงของสี การเปลีย่ นแปลงรปู ร่างสัณฐาน การเปลย่ี นแปลงขนาด การเปลย่ี นแปลงกลิน่ รส อณุ หภูมิ ฯลฯ ควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งสิ่งมชี ีวติ กบั ส่ิงแวดล้อม ส่ิงแวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาตมิ ีความสัมพันธเ์ กี่ยวข้องกบั การดารงชวี ิตของสงิ่ มชี วี ิตทกุ ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดา้ นความเปน็ อย่ขู องมนุษย์ โดยมนษุ ยจ์ ะนาส่งิ แวดล้อมรวมถึงทรัพยากรที่มอี ยู่ใน ธรรมชาติมาใช้ประโยชน์เพอ่ื เปน็ ปัจจยั สาหรบั การดารงชวี ติ เชน่ อาหาร เครื่องนงุ่ ห่ม ยารกั ษาโรค และสรา้ ง ที่อยู่อาศยั หรืออาจเรียกได้วา่ การดารงชวี ิตของมนุษย์เป็นการดารงชวี ติ แบบพง่ึ พาส่งิ แวดลอ้ ม การศกึ ษาสง่ิ มีชีวติ กบั แหล่งท่ีอย่อู าศัยเพราะตัวอ่อนแมลงสัตวเ์ ลก็ นา้ จดื มีความต้องการปรมิ าณ ออกซเิ จนทีแ่ ตกต่างกนั เช่น ตัวอ่อนชปี ะขาวตัวเบนและตัวออ่ นแมลงเกาะหนิ จ๊กั แร้ฟู อาศัยอย่บู ริเวณน้า ไหลเชย่ี วชอบเกาะบนกอ้ นหินเพราะต้องการออกซเิ จนสูง ตวั ออ่ นแมลงปอตวั สั้นและตัวออ่ นแมลงปอธรรมดา พบบริเวณลาคลองทีเ่ ป็นพนื้ ทรายมนี ้าไหลเช่ยี วพอประมาณตอ้ งการออกซิเจนไม่มากเกินไปและไมน่ ้อย จนเกินไป กำรเปลย่ี นแปลงจำกต้นนำสปู่ ลำยนำ - กำรเปลย่ี นแปลงธำตอุ ำหำรพืช บรเิ วณป่าไม้บรเิ วณต้นน้ามีการอุ้มน้าและการสะสมธาตุอาหาร ซ่งึ ธาตอุ าหารจะลงสแู่ หง่ นา้ ธรรมชาติ โดยพดั พาธาตุอาหารจากตน้ นา้ สู่ปลายน้า บริเวณปลาย นา้ มกี ารผสมผสานระหวา่ งนา้ จดื กับนา้ ทะเลทาให้มกี ารถา่ ยเทของธาตุอาหารในบรเิ วณปลายนา้ - กำรเปลี่ยนแปลงกำรไหลของกระแสนำ การไหลของกระแสนา้ จากต้นนา้ มีกระแสนา้ ที่ไหลแรง กวา่ ปลายน้า เพราะจากต้นน้าทม่ี ีความชนั มากทางนา้ กจ็ ะมพี ลงั งานมาก แต่เมื่อมาถึงบริเวณที่ ราบลมุ่ ความชนั ลดลงทางความแรงของกระแสนา้ กจ็ ะลดลง - กำรเปลี่ยนแปลงของปริมำณออกซิเจน บรเิ วณต้นนา้ มีออกซเิ จนสงู กว่าปลายนา้ การท่นี า้ ไหลมา กระทบกับก้อนหิน แรงปะทะจะทาให้น้าส่วนหนึ่งกระเด็นขึ้นไปสัมผัสกับอากาศ ซึ่งมีออกซิเจน อยู่เป็นจานวนมากเม่ือเทียบกับปริมาณออกซิเจนภายในน้า และเม่ือน้าตกลงมาจะนาออกซิเจน ลงมาละลายในน้า ทาให้แม่น้าสายน้ันมีปริมาณออกซิเจนเพ่ิมมากขึ้น เป็นอากาศให้พืชและสัตว์ น้าใช้หายใจ - กำรเปลี่ยนแปลงของตะกอนของหนิ บรเิ วณตน้ น้ามีก้อนหนิ ขนาดใหญ่ซ่ึงเป็นที่อยขู่ องแมลง สัตวเ์ ล็กน้าจดื บางชนิด เมื่อหินถกู กร่อนจากกระแสนา้ ทาใหเ้ กิดการผุพังของหินจนกลายเป็นก้อน กรวดเมอ่ื ถูกกระแสน้าพัดพาไปทาให้มีขนาดเล็กลง เคล่ือนท่ีไปได้ไกลและไปสะสมในบรเิ วณของ ปลายนา้

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 7 กิจกรรม กำรเรยี นรแู้ บบสืบคน้ (Inquiry) เรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากการตั้งคาถามเก่ียวกับธรรมชาติ ท่ีตรงกับความสนใจของ ผู้เรียน และนามาดัดแปลงเป็นคาถามปลายเปิด เพื่อนาไปสู่การสารวจตรวจสอบในเร่ืองท่ีเก่ียวข้อง รวมท้ัง การตั้งสมมติฐาน และออกแบบการทดลอง โดยเลือกใช้เทคนิค และอุปกรณ์ได้เหมาะสมกับการทดลอง แล้วใช้กระบวนการต่างๆ ในการนาเสนอเพ่ือให้ผู้ อื่นเข้าใจ เปลี่ยนจากผู้เสพมาเป็นผู้สร้าง โดยเปลย่ี นจากผูร้ ่วมกจิ กรรมทค่ี ่อยรบั ความรูห้ รือต้องมผี ้ชู แ้ี นะในการตอบคาถาม เปลย่ี นเป็นผสู้ ร้าง องค์ความร้ดู ว้ ยตนเองโดย ลงมอื ปฏบิ ตั ิ หาคาตอบด้วยตนเอง ขน้ั ตอนการเรยี นรู้แบบสืบคน้ ทีส่ นุกและสัมฤทธผิ์ ลเรม่ิ จากคาว่า “ท.ด.ล.อ.ง.” ท. คือ ท้าทายใหส้ งั เกตและตง้ั คาถาม ด. คอื ดดั แปลงเป็นคาถามเปรยี บเทยี บปลายเปดิ ล. คอื ลองคาดเดาคาตอบ อ. คอื ออกแบบการทดลอง ง. คอื ง่ายและงดงามเม่ือสรุปและนาเสนอ ขนั้ ตอน ท. ทา้ ทายให้สงั เกตและต้งั คาถาม โดยใหผ้ ้เู รียนต้ังคาถามจากสงิ่ แวดล้อมที่อยรู่ อบๆ ตวั หรอื คาถามจากธรรมชาติ และต้องเปน็ คาถามจากจุดท่ไี ปทากจิ กรรม ขั้นตอน ด. ดัดแปลงเปน็ คาถามเปรียบเทียบปลายเปิด โดยวทิ ยากรแบ่งผเู้ รยี นออกเป็นกลมุ่ ให้ผู้เรียน ภายในกลุ่มนาเสนอคาถามที่น่าสนใจท่ีสุดของตนเองจนครบทั้งกลุ่ม จากน้ันผู้เรียนช่วยกันอภิปรายคาถามท่ี น่าสนใจที่สุดภายในกลุ่มมา 1 คาถาม และดัดแปลงคาถามเป็นคาถามเชิงเปรียบเทียบปลายเปิด คือคาถาม ต้องเปรยี บเทยี บสง่ิ ต่างๆ ตั้งแต่ 2 อยา่ งข้นึ ไป และสามารถตอบไดห้ ลายคาตอบ ข้ันตอน ล. ลองคาดเดาคาตอบ ให้ผู้เรียนในกลุ่มลองคาดเดาคาตอบ อย่างน้อย 2 คาตอบ ในการ คาดเดาคาตอบควรมเี หตุผลมาสนบั สนุน ขั้นตอน อ. ออกแบบการทดลอง ให้ผู้เรียนไปออกแบบการทดลอง และลงมือปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลท่ี ต้องการ โดยใช้อุปกรณ์พื้นฐานท่ีวิทยากรจัดเตรียมไว้ในการทากิจกรรมหรืออุปกรณ์อ่ืนๆ ที่จาเป็นและ เหมาะสม ขั้นตอน ง. ง่ายและงดงามเม่ือสรปุ และนาเสนอ วทิ ยากรให้ผ้เู รียนนาเสนอการทดลองของกลุ่มตนเอง โดยใช้วิธีการนาเสนอรูปแบบต่างๆ เช่น การแสดงละคร การจาลองสถานการณ์ การใช้ท่าทางประกอบ โดยอาจมีกราฟ ตาราง หรอื แผนภาพประกอบการนาเสนอ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 8 เกรด็ สาหรับการเรียนรแู้ บบสืบค้น ท. - สง่ิ สาคัญคือความตัง้ ใจ เต็มใจ ตนื่ ตาตื่นใจ ไม่ใชค่ วามเชีย่ วชาญ - การตงั้ คาถามทีส่ ร้างสรรค์เป็นทีม่ าของ “นกั สืบคน้ คนเก่ง” - เมอ่ื ต้ังคาถามอย่ากลัวความยาก - สังเกตดว้ ยประสาทสัมผสั ท่หี า้ และประสาทสมั ผสั ใจ - ไมจ่ าเปน็ ต้องรู้คาตอบของทุกคาถาม - ใหก้ าลังใจ กระตนุ้ และทา้ ทายตนเองให้อยากต้งั คาถามอยู่ตลอดเวลา ด. - เม่อื ตอ้ งเลือกคาถามที่เหมาะสม อย่าใหก้ ลายเปน็ การแขง่ ขนั - คาถามตอ้ งเปรยี บเทยี บสิ่งตา่ งๆ ทมี่ ลี กั ษณะเหมอื นกนั ตั้งแต่ 2 อยา่ งข้นึ ไป - คาถามนัน้ สามารถตอบได้หลายคาตอบ - การสบื คน้ หาคาตอบที่นา่ ท่ึง อาจเร่ิมจากคาถามเปรียบเทียบงา่ ยๆ ล. - ในการคาดเดาคาตอบควรมเี หตุผลมาสนับสนุน - ลองทาการเสาะแสวงหาคาตอบดว้ ยวธิ ีการทีห่ ลากหลาย - ในการคาดเดาคาตอบควรคาดเดามาหลายคาตอบ อ - วัสดุอปุ กรณท์ ใี่ ช้ต้องปลอดภยั และไม่มีพิษ - แบ่งหน้าท่ีตามความถนัดและความสนใจของแตล่ ะคน - สร้างความไวว้ างใจในกลุม่ ดว้ ยการพดู คุย เลา่ เรื่องราวของตนเองให้เพอ่ื นฟงั - ควรมีกฎและกติกาของกล่มุ ในการจัดการความขัดแยง้ ท่เี กิดขึน้ - ระวงั ความคดิ เหน็ ท่ีขดั แยง้ จะเป็นกลายเป็นความขัดแย้งสว่ นตัว ง. - เรียนรูจ้ ากความผิดพลาด - อย่าดว่ นสรปุ คาตอบ - แผนภูมิแท่งเหมาะสาหรับนาเสนอการเปรียบเทียบข้ันพื้นฐาน และแผนภาพเพ่ิม สสี ัน ใหก้ ารนาเสนอ - กราฟใชไ้ ดด้ ีกับข้อมลู ที่ตอ้ งการเปรียบเทียบ - ให้เวลาสมาชิกในกลุ่มได้พูดถึงความสาเร็จและปัญหาอุปสรรค์ในการทางาน รว่ มกัน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 9 กำรเชื่อมโยงกิจกรรม กำรเรียนรแู้ บบสืบค้น (Inquiry)กับวิทยำศำสตร์ การเรียนรู้แบบสืบค้น (Inquiry) เป็นการให้ผู้ร่วมกิจกรรมใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ข้ันการ สังเกตเพื่อระบุปัญหา ข้ันการตั้งสมมุติฐาน ขั้นทดลอง ข้ันรวบรวมข้อมูล ขั้นสรุปผล ซ่ึงใช้เทคนิค ท.ด.ล.อ.ง.ในการทากิจกรรม สนับสนุนให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือเชื่อมโยงความรู้ท่ีมีอยู่เดิม หาแนวทางแก้ปัญหาได้ตัวเอง กระบวนการเรียนรู้ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้แสวงหาและศึกษาค้นคว้า ลงมือปฎิบัติเพือ่ สร้างองคค์ วามรู้ของตนเอง ขันตอน ท. ท้ำทำยให้สังเกตและตังคำถำม เป็นการสังเกตเพ่ือระบุปัญหา จะให้ผู้ร่วมกิจกรรมใช้ ทักษะในการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเพื่อใช้ในการระบุปัญหา คาถามที่ตนสงสัยในการถามประเด็นท่ีสนใจ ของตนเอง ขนั ตอน ด. ดัดแปลงเปน็ คำถำมเปรยี บเทยี บปลำยเปิด ผู้รว่ มกิจกรรมนาเสนอคาถามที่นา่ สนใจที่สุด ของตนเองจนครบท้ังกลุ่ม จากน้ันผู้ร่วมกิจกรรมช่วยกันอภิปรายคาถามท่ีน่าสนใจท่ีสุดภายในกลุ่มมา 1 คาถาม และดดั แปลงคาถามเป็นคาถามเชิงเปรยี บเทยี บปลายเปิด คอื คาถามตอ้ งเปรยี บเทยี บส่งิ ต่างๆ ตั้งแต่ 2 อย่างขน้ึ ไป ซึ่งวิทยากรคอยเปน็ ผู้ช่วยในการทากจิ กรรมช้ปี ระเด็นที่ทาใหค้ าถามปลายเปิด ขันตอน ล. ลองคำดเดำคำตอบ เป็นการตั้งสมมุติฐานในการคาดเดาคาตอบ อย่างน้อย 2 คาตอบ เพ่ือเปน็ แนวทางในการทดลองโดยการหาคาตอบตอ้ งมเี หตุผลในการสนับสนนุ ในแต่ละคาตอบ ขันตอน อ. ออกแบบกำรทดลอง เป็นข้ันทดลอง เพ่ือให้ผู้ที่ร่วมกิจกรรมได้ทราบว่าผลการทดลอง ตรงกับสมมุติฐานเราหรือไม่ ออกแบบการทดลองจากคาถามที่กลุ่มเลือก โดยใช้วัสดุอุปกรณ์พื้นฐานที่ วิทยากรได้จัดเตรียมไว้ในการทากิจกรรม ในการทดลองต้องคานึงถึงความปลอดภัย มีการแบ่งหน้าที่ให้กับ สมาชกิ ในกลมุ่ ตามความถนัดและความสนใจ ขันตอน ง. ง่ำยและงดงำมเมื่อสรปุ และนำเสนอ เป็นขน้ั ตอนในการสรุปผลการทดลอง โดยใหผ้ ู้รว่ ม กิจกรรมเลือกวิธีการนาเสนอผลการทดลองของกลุ่มตนเอง โดยใช้วิธีการวาดกราฟ หรือแผนภูมิ ตาราง การ แสดงละคร การจาลองสถานการณ์ การใช้ท่าทางประกอบ ในการสรุปผลและนาเสนอข้อมูลท่ีได้มาจากการ ทดลองและผลการทดลองต้องมีเหตุผลมารองรับ สมาชิกในกลุ่มร่วมกันพูดถึงความสาเร็จและปัญหาอุปสรรค์ ในการทางานร่วมกนั

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 10 กิจกรรม มดั เส้นเน้นลำย ส่วนต่าง ๆ จากพืชสามารถนามาสกัดสีโดยการต้ม น้าสีที่ได้จากการต้มมีค่าความเป็นกรด-เบส ที่แตกต่างกัน ซ่ึงจะทาให้สีที่นามาย้อมผ้าน้ันติดคงทนแตกต่างกันด้วย นอกจากนี้การทาผ้ามัดย้อมยังมี หลักการทางวทิ ยาศาสตร์ที่เกีย่ วขอ้ ง เชน่ จินตนาการของผู้ประดษิ ฐล์ าย การเลือกใชเ้ สน้ ใยของผา้ การ เตรียมผ้า วธิ กี ารต้ม การปรบั ค่าความเป็นกรด-เบส รวมทัง้ การรักษาสภาพสยี ้อมให้คงทน พืชให้สีทแี่ ตกต่างกันทั้งนขี้ ้ึนอยกู่ ับรงค์วัตถุที่เปน็ องคป์ ระกอบในสว่ นต่าง ๆ ของพืชดังตัวอย่างตาม ตาราง ตำรำงแสดงสีทไี่ ดจ้ ำกสว่ นต่ำง ๆ ของพืช ชอื่ พืช สว่ นท่ีนำมำใช้ สีทไ่ี ด้ คำ่ pH มงั คุด ใบแกจ่ ัด สชี มพู - ใบรว่ ง สสี ม้ - หกู วาง ใบสด สเี ขยี วอมเหลอื ง เพกา 6.6 - 5.6 กระท้อน ใบสด สีเขียวสด ขีเ้ หล็ก,ยอ,สะเดาชา้ ง ใบสด สชี มพอู ่อน (ชมพูกลีบบวั ) - สาบเสอื ใบสด สเี ทาแกมดา 6 - 5.6 หลุมพอ ใบสด สกี ากี เงาะ แก่น สนี า้ ตาล - หมาก เปลือก สนี า้ ตาลเขม้ - ขนนุ เน้ือหมากสกุ สีนา้ ตาลแดง - กงิ่ ต้นคราม แก่น สเี หลือง 5.5 - 6.5 ขมิ้น กงิ่ ,ต้น คราม - ดอกกรรณิการ์ หวั ขม้นิ สีแดงอมส้ม 5.5 -7.5 ต้นมะเกลอื กลีบดอก เหลืองทอง 10.5-11.5 ต้นคนู ผลแก่ สีดา - ดอกทองหลาง เปลือก สนี วล - ผลทบั ทมิ กลบี ดอก แดง - เปลอื ก สเี ขียว - - 2.93-3.20

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 11 ขนั ตอนกำรสกดั นำสจี ำกพชื โดยกำรต้ม กำรสกดั นำสจี ำกพชื แต่ละชนดิ มขี ันตอนและวิธกี ำรที่แตกต่ำงกนั ดังตวั อยำ่ งต่อไปนี 1. ใบมังคดุ (ใบแก่) ล้างใบมงั คุด(ใบแก)่ ใหส้ ะอาด แลว้ นามาหน่ั หรอื ใสท่ ้งั ใบก็ได้ เติมน้าลงไปใน ภาชนะที่ จะตม้ ต้มนานประมาณคร่งึ ชวั่ โมงสังเกตดวู ่าสีได้ตามท่ีต้องการหรือยงั หลงั จากนั้นแลว้ กรองดว้ ย ผ้าขาว บางจะได้สชี มพู ถ้าต้องการสีสม้ ใหใ้ ชใ้ บมงั คดุ ทร่ี ว่ งหลน่ และใช้วิธีการเดยี วกนั ทงั้ นี้ขึ้นอยูก่ ับเวลาในการ ตม้ 2.ขมน้ิ จะไดส้ ีเหลือง นาใช้สว่ นหัวของขมิน้ ทีไ่ ดม้ าแล้วลา้ งน้าให้สะอาด สบั หรอื หั่นใหเ้ ป็นชน้ิ จากนัน้ ห่อโดยใช้ผ้าขาวบาง แล้วนาไปตม้ ในนา้ เดือดเป็นเวลา 15 – 20 นาที เพ่ือเปน็ การสกัดสีของขม้ิน 3. แก่นขนนุ ใหน้ าแกน่ ของตน้ ขนุนที่แก่ แลว้ นามาสับหรือหั่นเปน็ ชน้ิ เล็ก ๆ ให้พอเหมาะแล้วนา้ ไปใส่ ใน ภาชนะท่ีตอ้ งการจะต้มนา้ สี ใสน่ า้ ลงไปใหจ้ มแก่นขนุนต้มจนเดือดแลว้ คนแกน่ ขนนุ ท่ีต้มอีกครง้ั หนง่ึ ต้มนาน จนกว่าจะได้สีทต่ี ้องการหากอยากไดส้ เี หลืองเข้มควรใชแ้ กน่ ขนนุ ทแ่ี ก่จัดและใช้เวลาในการต้มนาน สีจากแกน่ ขนุนจะใหส้ ีเหลอื ง ขนั ตอนกำรทำผำ้ มดั ย้อม 1.การเตรียมผ้า นาผ้ามาตัดตามขนาดที่ต้องการนาไปแช่น้าท้ิงไว้ 1 คืน จากนั้นนามาต้มกับ ผงซักฟอกประมาณ 1 ชว่ั โมง จนไขมนั ทต่ี ดิ กบั ผ้าออกหมดแลว้ นาซกั ใหส้ ะอาดแล้วบดิ พอหมาดๆ 2.การมัดลายผ้า นาผ้าที่หมาดๆ มาพับตามแบบที่ตอ้ งการแล้วใช้วัสดุมัดตามจุดท่ีต้องการโดยใช้ไมไ้ ผ่ ประกบกันแล้วใชย้ างรดั มัดใหแ้ น่นจะมดั ก่ีจดุ ก็ได้ตามทตี่ ามจนิ ตนาการ โดยวาดรูปลกั ษณะของการมัดลายผ้า 3.การเตรียมสี นาส่วนของพืชที่ต้องการจะย้อมสี มาสับให้ละเอียดนาไปต้มในกะละมังโดยใช้ อตั ราส่วน 1:1 ต้มให้เดอื ดประมาณ 1 วนั กรองเอากากออกเหลอื แต่น้าสี 4.การนาผ้าไปยอ้ ม นาผ้าที่มัดลายเสร็จแล้วลงไปยอ้ มในนา้ สโี ดยให้นา้ สอี ุน่ อย่ตู ลอดเวลา ย้อม ประมาณ 15 – 20 นาที น้าผ้าขึ้นมาตรวจดูว่าบริเวณท่ีมัดเม็ดสีมาเกาะติดอยู่มากหรือไม่ ถ้าเม็ดสีมาจับกัน เป็นก้อนให้ใช้แปรงสีฟันถูออกให้หมดนาไปล้างน้าสะอาด จากนั้นนามาย้อมใหม่ทาเช่นน้ีจนครบ 3 ครั้ง จากนนั้ วาดลายทีไ่ ดจ้ ากการมดั ลายผ้า 5.นาผ้าที่ย้อมเสร็จแล้วไปซักให้สะอาดและนาไปแช่ในน้าด่างเพื่อปรับสภาพของผ้าท่ีย้อมให้ติด ทนทานแล้วเก็บไว้สาหรับรอไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป ในการมัดย้อมไม่จาเป็นต้องใช้ซิลิเกต เนอื่ งจาก นา้ สารสม้ น้าปนู ใส นา้ สนมิ น้าขเ้ี ถา้ เปน็ ซลิ เิ กตธรรมชาติ เพราะเปน็ สารท่ีชว่ ยใหส้ ยี ึดตดิ กบั ผ้าและ ช่วยปรับโทนสขี องผา้

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 12 กำรเช่ือมโยงกจิ กรรมมัดเสน้ เนน้ ลำยกบั วทิ ยำศำสตร์ สมบตั ิของสำรละลำยกรด – เบส สารละลายต่าง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจาวันแต่ละชนิดจะมีสมบัติแตกต่างกัน มีท้ังชนิดท่ีมีฤทธ์ิกัดกร่อน หรือที่เรียกว่า มีสมบัติเป็นกรด และชนิดที่มีสมบัติเป็นเบส สารบางชนิดเป็นอันตราย แต่บางชนิดสามารถ นามาใช้ประโยชนไ์ ด้ สมบตั ขิ องสารละลายกรด-เบส จงึ เป็นเกณฑอ์ ีกประเภทหน่งึ ท่ีนกั วิทยาศาสตร์นามาใช้ใน การจาแนกประเภทของสาร สำรละลำยกรด กรด หมายถึง สารประกอบที่มีธาตุไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ เม่ือละลายน้าแล้วสามารถแตกตัวให้ ไฮโดรเจนไอออน ( H+ ) สมบัติของสำรละลำยกรด 1. กรดทกุ ชนิดมรี สเปร้ยี ว 2. เปล่ยี นสกี ระดาษลติ มสั จากสนี ้าเงนิ เป็นสีแดง (มีค่าpH นอ้ ยกวา่ 7) 3. ทาปฏิกิริยากับโลหะ เช่น สังกะสี ทองแดง แมกนีเซียม อะลูมิเนียม จะได้ฟองแก๊สไฮโดรเจน ออกมา 4. กรดมีสมบัตกิ ดั กร่อนโลหะ หนิ ปนู เน้อื เย่อื ของร่างกาย ถา้ กรดถูกผวิ หนังจะทาใหผ้ ิวหนงั ไหม้ ปวด แสบปวดร้อน ถ้ากรดถูกเส้นใยของเส้ือผ้า เส้นใยจะถูกกัดกร่อนให้ไหม้ได้ นอกจากน้ียังทาลายเน้ือไม้ กระดาษ และพลาสตกิ บางชนิดไดด้ ว้ ย 5. กรดทาปฏิกิริยากับหินปูนซึ่งเป็นสารประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต ทาให้หินปูนกร่อน จะได้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซงึ่ มีสมบตั ิทาใหน้ ้าปนู ใสขนุ่ 6. สารละลายกรดทุกชนิดนาไฟฟ้าไดด้ ี เพราะกรดสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน 7. ทาปฏิกิริยากบั เบสไดเ้ กลือและนา้ 8. กรดทาปฏกิ ริ ยิ ากับโลหะไดแ้ กส๊ ไฮโดรเจนซงึ่ เป็นแกส๊ ท่ีเบา ตดิ ไฟได้ สำรละลำยเบส เบส คอื สารประกอบท่ีทาปฏกิ ิรยิ ากับกรด แล้วไดเ้ กลอื กับน้าจะสามารถแตกตวั ให้ไฮดรอกไซด์ไอออน (OH-) เบสทกุ ชนดิ จะมรี สฝาด

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 13 สมบัตขิ องสำรละลำยเบส 1. เบสทกุ ชนดิ มีรสฝาดหรือเฝือ่ น 2. เปลีย่ นสีกระดาษลิตมัสจากสีแดงเปน็ สนี ้าเงิน (มีคา่ pH มากกวา่ 7) 3. ทาปฏกิ ริ ยิ ากบั นา้ มนั พืช หรือน้ามนั หมู จะไดส้ ารละลายทม่ี ฟี องคล้ายสบู่ 4. ทาปฏิกริ ยิ ากับแอมโมเนยี ไนเตรตจะไดแ้ ก๊สที่มีกล่นิ ฉนุ ของแอมโมเนีย 5. สามารถกดั กรอ่ นโลหะ อะลมู ิเนยี มและสงั กะสี และมีฟองแกส๊ เกดิ ขนึ้ 6. ทาปฏิกริ ยิ ากับกรดได้เกลือและนา้ เชน่ สารละลายโซดาไฟ (โซเดียมไฮดรอกไซด)์ ทาปฏิกริ ิยากับ กรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอริก) ได้เกลือโซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือแกงที่ใช้ปรุงอาหาร นอกจากน้ีโซดาไฟยัง สามารถทาปฏกิ ริ ยิ ากับกรดไขมนั ได้เกลอื โซเดยี มของกรดไขมนั หรือทเ่ี รียกวา่ สบู่ กำรตรวจสอบสำรละลำยกรด-เบส สารละลายกรด - เบส ส่วนมากจะเป็นสารละลายท่ีใส ไม่มีสีจึงไม่สามารถแยกออกจากกันด้วยตาได้ ส่วนมากเป็นสารท่ีเป็นอันตราย เพราะมีฤทธ์ิกัดกร่อนเนื้อเยื่อของร่างกาย จึงไม่สามารถทดสอบด้วยการชิม หรอื สัมผัสได้ แตเ่ รามวี ิธที ดสอบไดโ้ ดยใชอ้ นิ ดเิ คเตอร์ ซ่งึ มีอยู่หลายชนดิ ดังน้ี กระดำษลิตมัส กระดาษลิตมัส เป็นอินดิเคเตอร์ท่ีเรารู้จักกันดี กระดาษลิตมัสมี 2 สี ได้แก่ กระดาษลิตมัสสีแดงและ กระดาษลติ มัสสีนา้ เงิน เม่อื ใชก้ ระดาษลติ มัสตรวจสอบสารละลายจะสามารถจาแนกสารไดเ้ ปน็ 3 ประเภท ดงั น้ี สารละลายท่มี สี มบตั ิเป็นกรด จะเปล่ียนสกี ระดาษลติ มัสจากสนี ้าเงินไปเป็นสีแดง สารละลายที่มสี มบตั เิ ปน็ เบส จะเปลยี่ นสีกระดาษลติ มสั จากสแี ดงไปเปน็ สีน้าเงิน สารละลายทม่ี ีสมบตั ิเป็นกลาง จะไม่ทาปฏกิ ริ ิยากับกระดาษลิตมัสทัง้ สีน้าเงิน และสแี ดง กระดาษ ลติ มัสจึงไมเ่ ปลี่ยนสี ยนู ิเวอร์ซัลอนิ ดเิ คเตอร์ อนิ ดเิ คเตอร์แบบลติ มัสจะบอกได้แต่เพียงว่าสารละลายใดเปน็ กรด - เบส หรอื เปน็ กลางเท่านนั้ ไม่ สามารถบอกไดว้ า่ สารชนดิ ใดมคี วามเปน็ กรด - เบส มากกว่ากนั ถ้าเราต้องการทราบความเปน็ กรด - เบส มาก หรอื น้อยต้องใช้ยนู เิ วอร์ซลั อนิ ดเิ คเตอร์ซ่ึงมีอย่หู ลายแบบ ดังนี้ 1. ยนู เิ วอร์ซัลอนิ ดเิ คเตอร์มีท้ังแบบท่เี ป็นสารละลายและเป็นกระดาษ ท่อี ยู่ในรูปสารละลายเป็นกลาง จะมีสเี ขยี ว สว่ นทีเ่ ป็นกระดาษจะมสี นี า้ ตาล ใชเ้ ทยี บความเป็นกรด - เบส กับแถบสีซึ่งจะบอกได้แตเ่ พียงว่า สารใดเปน็ กรด - เบส มากน้อยกวา่ กัน 2. ยนู ิเวอร์ซลั อินดิเคเตอรแ์ บบใช้วัดค่า pH ไดค้ ร่าว ๆ โดยเทียบสี เชน่ สีส้มมคี ่า pH อยูร่ ะหวา่ ง 3-4 เป็นกรด สีเขียวมคี ่า pH = 7 เปน็ กลาง สมี ว่ งมี ค่า pH อยู่ระหวา่ ง 13-14 เปน็ เบส

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 14 หลักกำรแยกสำร 1. การกล่ัน เป็นกระบวนการในการแยกของเหลวผสมของสาร 2 ชนิดข้ึนไป โดยอาศัยคุณสมบัติ จุดเดือด ท่ีแตกต่างกัน โดยเม่ือให้ความร้อนกับของเหลวจนอุณหภูมิถึงจุดเดือดของสารท่ีมีจุดเดือดต่ากว่า สารชนิดนั้นจะระเหยออกมาเป็นไอ เมื่อไอน้ันเคล่ือนที่ผ่านท่อที่มีการลดอุณหภูมิ ทาให้เกิดการควบแน่น กลับมาเปน็ ของเหลวอีกคร้งั 2. การตกผลึก เป็นการแยกของแข็งทีล่ ะลายเป็นเนอ้ื เดียวกนั กับตัวทาละลายที่เป็นของเหลว โดยการ นาสารผสมนี้ไปต้มให้ตัวทาละลายระเหยออกไปจนได้สารละลายอิ่มตัว ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นที่อุณหภูมิห้อง จะได้ ของแข็งแยกตัวตกผลึกออกมา การตกผลึกเป็นกระบวนการเก่าแก่กระบวนการหนึ่งท่ีอุตสาหกรรมทางเคมีใช้ กัน เนื่องจากประสิทธิภาพของการแยกสารที่ดี โดยเฉพาะประสิทธิภาพด้านพลังงานที่ประหยัดพลังงาน มากกวา่ การแยกสารด้วยวิธกี ารอืน่ ๆ 3.การสกัดด้วยตัวทาละลาย เป็นวิธีการแยกสารท่ีเป็นของเหลว หรือของแข็งปนอยู่กับของแข็ง โดยอาศัยสมบัติของการละลายของสาร หลักการสาคัญของการสกัดด้วยตัวทาละลายคือ การเลือกตัวทา ละลายที่เหมาะสมในการสกัดสารท่ีต้องการออกมาให้ได้มากที่สุด โดยหลักการในการเลือกตัวทาละลายท่ี เหมาะสม 4. โครมาโทกราฟี เป็นวิธีการแยกสารผสมเน้ือเดียวออกจากกัน โดยอาศัยหลักการที่ว่าสาร องคป์ ระกอบในสารผสมแต่ละชนิดมีความสมบัติท่แี ตกต่างกันในการกระจายอยู่ใน 2 เฟส ไดแ้ ก่ เฟสทีอ่ ยู่กับที่ ซ่ึงทาหน้าที่เป็นตัวดูดซับสารที่ต้องการแยก ส่วนมากจะใช้เป็นอะลูมินา หรือ ซิลิกาเจล และเฟสที่เคล่ือนท่ี ทาหน้าท่ีเป็นตัวพา หรือตัวทาละลายสารท่ีต้องการแยกให้เคลื่อนที่ไปบนตัวดูดซับ เช่น เฮกเซน เอทิลแอลกอฮอล์ เอทิลแอซเิ ทต แอซโิ ตน และปโิ ตรเลยี มอีเทอร์ เปน็ ต้น

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 15 กจิ กรรมเทยี นเจลNSC เทียนเจล เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีได้จากการนาเจลสังเคราะห์ซึ่งมีลักษณะเป็นของแข็งใสไม่มีสี นามาเพ่ิม อุณหภูมิให้สูงข้ึนเร่ือยๆ จนอุณหภูมิสูงถึงจุดหลอมเหลว อุณหภูมิจะไม่เพ่ิมข้ึนและทาให้เจลกลายเป็น ของเหลวและเมื่อเจลได้รับความเยน็ จะกลบั มาอยู่ในรปู ของของแข็งอีกคร้ังหน่ึง การทาเทยี นเจล NSC จะตอ้ ง มีการตกแตง่ ให้เกดิ ความสวยงาม เจลสงั เคราะห์ ของผสมทม่ี ีลักษณะกึง่ แข็งคล้ายวุ้น เปน็ ระบบคอลลอยด์ ชนดิ หนึง่ ที่มนี ้าเป็นตัวกลาง เจลในอาหาร ส่วนใหญ่จะเป็นไฮโดรคอลลอยด์ ซ่ึงมีอนุภาคของแข็ง เป็นพอลิเมอร์ท่ีชอบน้า ได้แก่ อนุภาค เหล่านี้ กระจายตัวในน้า และรวมตัวกับน้าได้ดี เม่ือให้ความร้อนแล้วทาให้เย็นตัวลงจะสานจับตัวกันเป็น ตาขา่ ย 3 มติ ิ เป็นของกึ่งแขง็ พาราฟิน หรือ เคโรซีน เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซึ่งกล่ันแยกออกจากน้ามันดิบ จุดหลอมเหลว ประมาณ 47-64 องศาเซลเซียส จุดเดือดประมาณ 150-275 องศาเซลเซียส ไม่ละลายในน้า สามารถใช้ ประโยชน์ได้มากมาย และ มีหลายสถานะด้วยกัน สามารถนาวัสดุจากธรรมชาติ เช่นไขขี้ผ้ึง ไขถั่วเหลืองมา ทดแทน ฟาราฟินได้ เนื่องจากเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซเบนซนิ ตกค้างอยู่ในอากาศและไม่ก่อให้เกิดอันตราย ในขณะทส่ี ูดดม กำรเช่อื มโยงกิจกรรม เทียนเจล NSC กับวิทยำศำสตร์ การจัดเรียงตัวของอนุภาคสาร สารในธรรมชาติมี 3 สถานะ ได้แก่ ของแข็ง อนุภาคจะอยู่ชิดกัน ไม่สามารถเคล่ือนที่ได้ ทาให้มีแรงยึดเหน่ียวอนุภาคสูงกว่าสถานะอื่นมีรูปร่างคงที่ ของเหลว อนุภาคอยู่ห่าง กันเลก็ นอ้ ย อนภุ าคสามารถเคล่ือนท่ไี ด้ รูปร่างไม่แนน่ อน เปลีย่ นตามภาชนะท่บี รรจุ แก๊ส อนุภาคจะอยู่ห่าง กนั มแี รงยดึ เหนย่ี วน้อย รปู ร่างเปลย่ี นไปตามภาชนะทบ่ี รรจุ การเปล่ียนสถานะของระบบ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ การคายความร้อนเป็นการถ่ายเท พลังงานจากสิ่งแวดล้อม ทาให้สิ่งแวดล้อมมีอุณหภูมิสูงข้ึน การดูดความร้อน เป็นการถ่ายเทพลังงานจาก สิ่งแวดล้อมสูร่ ะบบทาส่งิ แวดล้อมมีอุณหภมู ิลดลง การหลอมเหลว คือ การที่เจลเปลยี่ นสถานะจากของแข็งเปน็ ของเหลว เมอื่ เพม่ิ พลงั งานความร้อนให้ แก้วซึ่งบรรจุเจล เจลจะดูดกลืนความร้อนนี้ไว้ โดยยังคงรักษาอุณหภูมิคงท่ีไม่เปล่ียนแปลง จนกว่าเจลจะ ละลายหมดก้อน ความร้อนท่ีถกู ดูดกลืนเขา้ ไปทาใหน้ ้าแขง็ เปลย่ี นสถานะเป็นของเหลว การแข็งตัว คือ การท่ีเจลเปล่ียนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง ซึ่งเจลจาเป็นต้องถ่ายเทพลังงาน ภายในออกมาในรูปของการคายความร้อน เพือ่ ทาใหเ้ จลมีอณุ หภูมิตา่ ลง การถ่ายเทความร้อน เป็นการถ่ายโอนความร้อนส่งผ่านวัตถุที่มีระดับความร้อนสูง ไปสู่วัตถุท่ีมีความ รอ้ นต่า การนาความรอ้ น คือ ปรากฏการณท์ พี่ ลังงานความร้อนถ่ายเทภายในวัตถุหนงึ่ ๆ หรอื ระหวา่ งวัตถุสอง ชิ้นท่ีสัมผัสกัน โดยมีทิศทางของการเคลื่อนที่ของพลังงานความร้อนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงไปยังบริเวณท่ีมี อุณหภูมิต่ากว่า การพาความร้อน คือ เป็นการถ่ายเทความร้อนท่ีเกิดขึ้นได้ ในสสารสองสถานะคือ ของเหลว

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 16 และก๊าซ เน่ืองจากเป็นสิ่งท่ีสามารถเคลื่อนที่ได้โดยจะมีทิศทางลอยข้ึนเท่านั้น เนื่องจาก เมื่อสสารได้รับความ ร้อนจะมีการขยายตัว ทาให้ความหนาแน่นต่าลง และสสารท่ีมีอุณหภู มิต่ากว่า ก็จะลงมาแทนท่ี การแผร่ งั สคี วามรอ้ น คอื เป็นการถา่ ยเทความร้อนออกรอบตวั ทุกทิศทุกทาง โดยมติ อ้ งอาศัยตวั กลางในการส่ง ถ่ายพลังงาน กำรแบง่ ชนั ของดิน ชัน O (O-horizon) หรือเรียกว่า ชั้นดินอินทรีย์คือ ช้ันที่มีการสะสมอินทรีย์วัตถุท้ังท่ีมาจากพืชและ สัตว์ ซ่ึงส่วนใหญ่มักจะมาจากพืช เช่น ใบไม้ ก่ิงไม้ หญ้า และพืชอื่นๆ ท้ังพวกท่ีมีการสลายตัวเพียงเล็กน้อย สลายตวั ปานกลางหรือสลายตัวมากจนไม่สามารถสงั เกตเห็นลักษณะของชนิ้ สว่ นด้ังเดมิ ชนั A (A-horizon) หรอื ชน้ั ดนิ บน ชัน้ ดินท่ปี ระกอบด้วยอนิ ทรียวตั ถุทสี่ ลายตัวแล้วผสมคลุกเคล้าอยู่ กับแร่ธาตุในดิน เกิดการสลายตัวของแร่ สารละลายที่ได้จะซึมผ่านลงไปสะสม ตัวในช้ันต่อไปทาให้ดินช้ัน นี้มีสีจาง ชัน B (B-horizon) หรือ ชั้นดินล่าง เป็นชั้นที่มีการตกตะกอน และสะสมตัวของแรจ่ ากสาร ละลาย ทีไ่ หลลงมาจากชั้น A ช้ันดนิ มกั มสี แี ดงหรือสนี า้ ตาลตามแรท่ ี่สะสมตัวอยู่ ชัน C (C-horizon) หรือ ช้ันวัตถุต้นกาเนิดดินเป็นช้ันของวัสดุท่ีเกาะตัวกันอยู่หลวมๆ อยู่ใต้ชั้นที่ เป็นดิน ประกอบด้วยหินและแร่ที่กาลังผุพังสลายตัว ช้ันหินพ้ืนฐานซ่ึงเป็นช้ันของหินแข็งชนิดต่างๆ ท่ียังไม่มี การผุพังสลายตวั อยู่ในหนา้ ตัดดินดว้ ย ชัน R (R-horizon) หรอื ชัน้ หนิ ดาน เปน็ ช้นั หินแข็งท่ยี ังไม่ผพุ ังสลายตวั อาจจะมหี รือไม่มีในหน้าตัด ดนิ กไ็ ด้

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 17 กจิ กรรม กำรแสดงทำงวิทยำศำสตร์ ( Science Show ) การจัดแสดงทางวิทยาศาสตร์ ( Science Show ) เป็นการจัดแสดงเพ่ืออธิบายหลักการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่องใดเร่ืองหนึ่ง หรือหลายเร่ืองควบคุมกันไป โดยอาศัยวิธีการทดลอง สาธิต สร้างสถานการณ์ให้เห็นเด่นชัดโดยเน้นความตื่นเต้นเร้าใจน่าท่ึง สนุกสนานเพลิดเพลิน กระตุ้นให้ผู้ชมเกิด ความอยากรู้อยากเห็น จนนาไปสู่ความเข้าใจหลักการและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีเก่ียวข้อง สามารถคดิ เชื่อมโยงเขา้ กบั เหตุการณ์ หรอื กิจกรรมในชีวติ ประจาวันได้ และสุดทา้ ยสามารถสรปุ หรือคิดค้น ดัดแปลงให้เกิดรูปแบบหรอื วิธีการใหม่ๆ เกดิ ขึ้นเป็นทฤษฎขี องตนเอง เทคนิคและขอ้ สังเกตในกำรแสดงทำงวทิ ยำศำสตร์ การแสดงทางวทิ ยาศาสตร์มรี ูปแบบการแสดงทีห่ ลากหลาย แล้วแต่ความถนดั ของผแู้ สดงแต่การแสดง ทุกครงั้ นนั้ ตอ้ งคานึงถึงเทคนิคและข้อสังเกต ดงั นี้ 1.การแนะนาทมี หมายถึง การแนะนาสมาชกิ ภายในกลุ่มดว้ ยวิธีการแปลกใหม่ แตไ่ มใ่ ชก่ ารบอกเพียง ชอ่ื สกลุ ของทกุ คนแลว้ เสร็จ 2.การสรา้ งความสนใจ หมายถงึ การกระตนุ้ ผู้ชมให้ติดตามการนาเสนอ โดยการชวนคุย หรือชวนเล่น เกมต่างๆ 3.การตัง้ คาถาม หมายถงึ การชวนผชู้ มคุย หรอื อภปิ รายกอ่ นเข้าชุดการแสดงท่ีเตรียมไว้ 4.แผนผังคาอธิบาย หมายถึง แผนผังคาอธิบายหลักการทางวิทยาศาสตร์ท่ีเก่ียวข้องกับการแสดง ทเ่ี ปน็ หลกั การยากๆ เพ่อื ให้ผชู้ มอ่านแล้วเข้าใจย่งิ ขน้ึ 5.การเตรยี มอปุ กรณ์ หมายถงึ การจัดเตรียมชดุ อปุ กรณ์สารองไวเ้ ผอ่ื เกดิ การชารดุ เสยี หาย 6.กระตุ้นให้ผู้ชมติดตาม หมายถึง การสร้างสสี ันลอ่ หลอกให้ผู้ชมสนใจชุดการแสดงอยูต่ ลอดเวลา 7.สวมวิญญาณนกั แสดง หมายถึง การแสดงท่ีเต็มที่ ไม่แสดงอาการเคอะเขิน เป็นการแสดงท่ีเป็น ธรรมชาติ 8.การมสี ว่ นร่วมของผ้ชู ม หมายถึง การเชิญชวนผู้ชมข้ึนมามีส่วนร่วมในการแสดงร่วมกับทีม แต่เป็น การแสดงร่วมทม่ี คี วามหมาย และไม่เกิดอนั ตรายกบั ผ้ทู ่ไี ด้รบั เชิญ 9.การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หมายถึง การมีปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหา อาจจะเป็นการ ฝกึ ซอ้ มเตรยี มแผนสารองไว้หลายๆรูปแบบ 10.ความชัดเจนของอุปกรณ์ หมายถึง การจัดหาชุด และอุปกรณ์ท่ีสามารถทาให้ผู้ชมเห็นชัดเจนทุก คน 11.ระมัดระวังอันตราย หมายถึง การเตรียมตัวป้องกันอันตรายจากชุดการแสดงท่ีเป็นสารเคมี เปลวไฟ หรอื ของมคี ม 12.การใชภ้ าษาใหเ้ กียรตผิ ู้ชม หมายถงึ การพูดคยุ กับผู้ชมด้วยภาษาสภุ าพ ไม่ดถู กู ผ้ชู ม ไมพ่ ดู ส่อเสียด และพูดสองแง่สองง่าม

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 18 13.การเปรียบเทียบ หมายถึง การจัดเตรียมชุดการการแสดงไว้สองชุดเพื่อเปรียบเทียบผลด้านต่างๆ ใหผ้ ้ชู มไดเ้ หน็ ผลต่างชัดเจนขึ้น 14.เน้ือหาเหมาะสม หมายถึง การเลือกชุดการแสดงที่มีเนื้อหาเหมาะสมกับระดับความรู้ของเรา ซง่ึ จะทาให้เราเขา้ ใจ และอธบิ ายผลไดด้ กี วา่ 15.ลาดับขั้นตอนในการนาเสนอ หมายถึง การแสดงท่ีไม่ต้องอ้างอิงตามแบบการทดลองในช้ันเรียน ไม่ตอ้ งบอกชอ่ื อุปกรณ์ ไมต่ อ้ งอธิบายขั้นตอน ผูแ้ สดงอาจจะเล่นกอ่ น แล้วคอ่ ยกลบั มาขน้ั แรก 16.การเชอื่ มโยงกับชีวิตประจาวัน หมายถึง การยกตัวอย่างเร่ืองราว วัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ใน ชีวิตประจาวัน ทมี่ หี ลักการเหมือนกับชดุ การแสดงท่ไี ด้นาเสนอ 17.กระชับรวดเร็วรู้เรื่อง หมายถึง การนาเสนอที่รวดเร็ว ตื่นเต้น เกิดผลตามทฤษฎี และสามารถ อธบิ ายผลใหผ้ ชู้ มทราบได้ในเวลาอันรวดเรว็ 18.สรุปให้ประทับใจ หมายถึง การกล่าวลาเวทีในการแสดงที่มีความหมาย หรืออาจทิ้งปมปริศนาให้ ผูช้ มขบคดิ และเกดิ การปรบมอื ให้กาลังใจโดยมไิ ดร้ อ้ งขอ กำรเชื่อมโยงกจิ กรรม กำรแสดงทำงวิทยำศำสตร์กบั วทิ ยำศำสตร์ การแสดงทางวิทยาศาสตร์ เป็นการสื่อสารวิทยาศาสตร์ ประเภทหน่ึง ซ่ึงผู้จัดการแสดงต้องการ สื่อสารกับผู้ชมในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง หรือหลายเร่ือง โดยมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์กับผู้ชม การแสดงทาง วิทยาศาสตร์ เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยปลูกฝังเจตคติท่ีดีต่อวิทยาศาสตร์ ทาให้ผู้ชมตระหนักถึงประโยชน์ และคุณค่าของวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในสังคมส่ิงที่ควร คานึงถงึ เพ่อื ให้การแสดงทางวิทยาศาสตร์ ประสบความสาเรจ็ คอื การให้การศึกษาในเชิงบันเทงิ กล่าวคือผู้ชม ไดร้ บั ความรูแ้ ละความบันเทิงไปพร้อมๆ กนั 1. กจิ กรรม ปืนใหญพ่ ระเจำ้ ตำกสนิ /กิจกรรม ผำ้ ไมต่ ิดไฟ / กจิ กรรม นำหำยไปไหน สมบัตขิ องสำรและจดุ เดือดของสำร สมบัติของสาร หมายถึง ลักษณะประจาตัวของสาร เช่น สถานะ สี กลิ่น รส การละลาย การนาไฟฟา้ จุดเดือด และการเผาไหม้ เปน็ ตน้ สมบัติของสาร อาจจะนามาแบง่ เป็น 2 ประเภท ดังน้ี ก. สมบัติทางกายภาพ หมายถึง สมบัติเฉพาะตัวของสารท่ีสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายจากลักษณะ ภายนอก หรือจากการทดลองง่ายๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตัวอย่างทางกายภาพได้แก่ สถานะ รปู ร่าง สี กลิน่ รส การละลาย จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น การนาความร้อน การนาไฟฟ้า ความร้อนแฝง ความถว่ งจาเพาะ เป็นต้น ข. สมบัติทางเคมี หมายถึง สมบัติเฉพาะตัวของสารที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี เชน่ การเกดิ สารใหม่ การสลายตัวใหไ้ ด้สารใหม่ การเผาไหม้ การระเบดิ และการเกิดสนมิ ของโลหะ เปน็ ตน้

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 19 2. กจิ กรรม เหลอื งอร่ำม / กจิ กรรมภูเขำไฟระเบิด ปฏกิ ิรยิ ำเคมี การเปล่ียนแปลงทางเคมีที่เกิดขึ้นกับสสาร และเกิดสารชนิดใหม่ขึ้น สารที่เกิดข้ึนใหม่นี้จะมีสมบัติ ทางกายภาพ และเคมที ี่แตกตา่ งไปจากสารเดมิ โดยทปี่ ฏิกิรยิ าเคมจี ะเกิดขน้ึ ได้นัน้ เกดิ จากการทส่ี ารต้ังแต่สอง ชนดิ ขน้ึ ไปเข้าทาปฏิกริ ิยากัน โดยเรียกสารท่ีเขา้ ทาปฏกิ ริ ยิ ากันวา่ สารตง้ั ตน้ และเรียกสารทเ่ี กดิ ข้ึนใหม่ว่า สาร ผลิตภัณฑ์ ซ่ึงสารผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติทางเคมีที่เปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากการเกิดปฏิกิริยาเคมีอะตอม ทั้งหมดของสารตั้งต้นไม่มีการสูญหายไปไหนแต่เกิดการแลกเปลี่ยนจากสารหนึ่งไปสู่อีกสารหนึ่ง ซ่ึงจะเห็นไดจ้ ากผลรวมของอะตอมของสารต้งั ต้นจะเทา่ กับผลรวมของอะตอมของผลิตภัณฑ์ ข้อสงั เกตกำรเกดิ ปฏิกริ ยิ ำเคมี สำรใหมท่ เี่ กิดขึนในปฏกิ ิรยิ ำเคมี สงั เกตไดด้ งั นี 1. สี เช่น สารเดิมไมม่ สี เี มือ่ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี จะมีสีใหมเ่ กดิ ขึน้ (สารใหม่) 2. กลนิ่ เช่น เกดิ กลิ่นฉุน กลนิ่ เหม็น กลน่ิ หอม 3. ตะกอน เช่น สารละลายเลด (II) ไนเตรต และโพแทสเซียมไอโอไดด์ เป็นของเหลวใส ไม่มีสี เม่ือ ผสมกันแลว้ เกิดตะกอนสเี หลือง 4. ฟองแก๊ส เชน่ กรดไฮโดรคลอรกิ ผสมกบั หนิ ปนู หรอื แคลเซียมคารบ์ อเนตเกิดฟองแก๊สขน้ึ 5. เกดิ การระเบดิ หรอื เกดิ ประกายไฟ เช่น ใส่โลหะโซเดียมลงในนา้ จะเกดิ ประกายไฟขึ้น 6. มีอุณหภูมิเปลี่ยน ซ่ึงสารโดยท่ัวไปเม่ือเกิดปฏิกิริยาเคมีจะเกิดการเปลี่ยนแปลง พลังงาน ความ ร้อนควบคูไ่ ปดว้ ยเสมอ 3. กิจกรรม ลูกข่ำงกระดก แรงเสยี ดทำน เมื่อนักเรยี นผลกั หนงั สือใหเ้ ล่ือนไปบนโต๊ะ ปกหนังสอื จะถูกบั ผวิ โต๊ะ ถึงแม้ผิวของโตะ๊ และปก หนังสอื อาจจะดูเรยี บ แตท่ ี่จริงแลว้ มันขรขุ ระมาก เมอื่ เกดิ การเสียดสรี ะหวา่ งผวิ ความขรุขระของผวิ หนึง่ จะ ไปเสยี ดสกี ับความขรขุ ระของอกี ผิวหนง่ึ แรงท่ีพ้ืนผวิ หนง่ึ กระทากับอีกพน้ื ผวิ หนงึ่ โดยการเสียดสนี ้ัน เรียกว่า แรงเสียดทำน ธรรมชำติของแรงเสียดทำน แรงเสียดทานจะกระทาในทิศตรงกันข้ามกันการเคลอ่ื นท่ีของวตั ถุ ถ้าไม่มี แรงเสยี ดทาน วัตถจุ ะเคลื่อนทีด่ ว้ ยอตั ราเรว็ คงทตี่ ลอดไป แต่เมือ่ มีแรงเสียดทานคอยต้านการ เคล่อื นที่ ในที่สดุ วัตถนุ นั้ จะหยุดการเคล่ือนท่ี แรงเสียดทานมากหรือน้อยขึ้นกับสองปจั จัย คือ ชนิดของผวิ ทีส่ มั ผสั ความรนุ แรงท่ีทั้งสองผิวผลัก กัน ผิวท่ขี รุขระจะทาให้เกิดแรงเสยี ดทานมากกว่าผิวทเี่ รียบ แรงเสียดทานยังสามารถเพิ่มค่าได้ถ้าผิวทงั้ สอง ผลักกนั รุนแรงข้นึ เชน่ ถ้านักเรียนถมู ือทัง้ สองข้างเขา้ ด้วยกันอย่างแรง ๆ จะมแี รงเสยี ดทานมากกวา่ เม่ือ นกั เรียนถูมือเบา ๆ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 20 แรงเสียดทำนมีประโยชน์หรือไม่ แรงเสียทานเป็นส่ิงที่เลวร้ายเสมอไปหรือไม่ ไม่เลย แรงเสียด ทานจะมีประโยชน์หรือโทษก็ขึ้นกับเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่น แรงเสียดทานระหว่างรองเท้าและพ้ืน ทาให้ นักเรียนสามารถเดินไปข้างหน้าได้ถ้าไม่มีแรงเสียดทาน รองเท้าของนักเรียนก็จะแค่เลื่อนไปมาได้ เทา่ นั้น นักเรยี นจะไม่สามารถเคล่ือนท่ีไปข้างหน้าได้ รถสามารถเคล่ือนท่ีได้กเ็ พราะแรงเสยี ดทานระหว่างล้อ และพื้นถนน ต้องขอบคุณแรงเสียดทานที่ทาให้นักเรียนสามารถจุดไม้ขีดไฟ และสามารถเดินบนทางเท้า ได้ เพราะแรงเสียดทานมปี ระโยชน์ในบางคร้ังจาเป็นต้องหาวิธที ี่ จะเพิม่ แรงเสียดทาน ตัวอยา่ งเช่น นกั บัลเลย์ ทาแป้งที่พ้ืนรองเทา้ เพือ่ ท่จี ะได้ไมล่ ่นื ล้มขณะเตน้ รา 4. กจิ กรรม เหรียญตดิ หนบึ แรงหนศี นู ย์กลำงและแรงเขำ้ สศู่ นู ยก์ ลำงกำรเคลือ่ นทีใ่ นแนวโค้งและวงกลม การเคลื่อนที่ในแนวโค้งเราเรยี กการเคลอ่ื นท่ีในแนวโค้งอีกอย่างหนึ่งว่ากำรเคลื่อนท่ีแบบโปรเจกไตล์ การเคล่ือนทีแ่ บบโปรเจ็กไตล์เปน็ การเคล่ือนท่ใี น 2 มติ ิ คือ เคล่ือนท่ใี นแนวระดับและและแนวดิ่งพร้อมกัน ใน แนวด่ิงเป็นการเคลื่อนท่ีท่ีนีมีความเร่งเน่ืองจากแรงโน้มถ่วงของโลก (ซ่ึงสม่าเสมอในบริเวณที่ใกล้ผิวโลก) ในขณะที่การเคล่ือนที่ในแนวราบไม่มีความเร่งเพราะไม่มีแรงกระทาในแนวระดับ ทาให้เส้นทางการเคล่ือนท่ี เปน็ แนวโคง้ การเคลื่อนท่ีแนวโค้งของวัตถุนั้น มีแรงเก่ียวข้องอยู่ 2 แรงคือ แรงท่ีจะทาให้ลูกเหล็กตกลงมาตาม แนวดิง่ ซ่ึงก็คอื แรงดึงดูดของโลก และแรงผลกั วตั ถุ การเคลือ่ นทีแ่ บบวงกลม มอี ตั ราเรว็ คงตัว นั่นคือ การเคลือ่ นท่ที ี่มีขนาดของความเรว็ เทา่ เดิมสมา่ เสมอ แตม่ ที ศิ เปล่ยี นไปทีละน้อย เราอาจหาประสบการณ์การเคล่ือนทแี่ บบวงกลมจากการแกวง่ วตั ถุท่ีปลายเชือกให้ เป็นวงกลม เราจะรู้สึกว่า มือจะต้องใช้แรงดึงมากข้ึนเม่ือแกว่งให้เร็วขึ้นด้วย เราเรียกแรงที่กระทาต่อมือท่ี กาลังแกว่งจุกยางว่าแรงสู่ศูนย์กลำง ซ่ึงเป็นแรงท่ีทาให้จุกยางเคล่ือนที่อยู่ในอากาศได้ โดยไม่ทาให้จุกยางตก ลงสู่พื้น และทิศของแรงสู่ศูนย์กลางจะตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของจุกยาง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ถ้าออกแรงใน แนวแรงตัง้ ฉากกับการเคลือ่ นทขี่ องวตั ถุจะทาให้วัตถุเคลอ่ื นทีเ่ ปน็ วงกลม ประโยชนข์ องกำรเคลื่อนท่ีแนวโคง้ และวงกลม ในชวี ิตประจาวนั เราจะพบเหน็ การเคล่อื นท่ขี องวตั ถุหรือสงิ่ มีชวี ิตเคล่ือนทแ่ี บบตา่ ง ๆ มากมายท้งั การ เคล่อื นทแ่ี นวตรง การเคล่ือนท่แี นวโค้งหรอื โปรเจก็ ไตล์ หรือการเคลือ่ นท่ีแนววงกลม เป็นต้น การเคลอ่ื นที่ ดังกล่าว สามารถอธบิ ายโดยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การท่ขี ับรถยนต์บนทางโค้งและสามารถเล้ยี วโค้ง ไดเ้ พราะมีแรงเสียดทานระหวา่ งล้อรถกบั พืน้ ถนน หากแรงเสียดทานน้อยเกดิ ไปกไ็ มส่ ามารถเลี้ยวโค้งได้ ในการ เล้ียวรถที่มคี วามเรว็ สูงเกินไป จะทาให้เกิด แรงหนีศูนย์กลำง ของรถทาให้แรงเสียดทานมีน้อย อาจทาใหร้ ถ หลดุ โคง้ เกดิ อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดงั น้ันในการใช้รถใช้ถนนควรปฏิบตั ิตามกฏการจากัดความเรว็

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 21 5. กจิ กรรมตุ๊กตำชนิ จงั / กิจกรรมกระปอ๋ งบบู้ ี / กจิ กรรมเรือดำนำในขวด ควำมดันอำกำศ ความดันอากาศหรือความกดอากาศ หมายถงึ แรงดนั อากาศบนพน้ื ทข่ี นาดไม่เท่ากัน จะมคี า่ ไมเ่ ท่ากัน ถ้าพ้ืนท่ีมากแรงดันอากาศที่กระทาต่อพ้ืนท่ีนั้นก็มากด้วย ค่าของแรงดันอากาศต่อหนึ่งหน่วยพื้นท่ีที่รองรบั นั้น เรยี กวา่ ความดนั อากาศ ในการพยากรณ์อากาศนิยมเรียกความดนั อากาศวา่ ความกดอากาศ การเพ่ิมอุณหภูมิมีผลทาให้พลังงานจลน์เฉล่ียของแก๊สเพิ่มขึ้น โมเลกุลของแก๊สจึงเคลื่อนท่ีเร็วข้ึน ทาให้โมเลกลุ ชนกันเองและชนผนังภาชนะมากขึ้น รวมทงั้ พลังงานในการชนกนั สูงข้ึนดว้ ย เม่อื ลดอณุ หภูมิ พลงั งานจลน์เฉลีย่ ของแก๊สจะลดลง ทาให้การชนกันเองระหว่างโมเลกลุ ของแก๊สและ การชนผนังภาชนะน้อยลง รวมทงั้ พลงั งานในการชนลดลง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 22 กจิ กรรม คนค้นป่ำ ป่าดบิ ช้นื เขาขนุ พนม ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยพชื ต่างๆมากมายทง้ั ไมย้ ืนต้น ไม้ลม้ ลกุ ไม้พมุ่ และไม้ เล้ือย ซ่ึงพืชแต่ละชนิดจะมีลักษณะที่แตกต่างกันตามสภาพธรรมชาติและการปรบั ตัว ซ่ึงโครงสร้างป่าดิบช้นื มี ลักษณะเด่น อย่างเช่น มีชั้นเรือนยอดชัดเจน พูพอน ต้นไม้ท่ีออกผลตามลาต้น และจะประกอบไปด้วยไ ม้ เลื้อย เฟิร์น มอส กาฝาก ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะบอกถึงลักษณะความหลากหลายทางชีวภาพของส่ิงมีชีวิต และปจั จยั สิ่งแวดลอ้ มตา่ งๆทมี่ ีผลต่อการปรับตัวของสงิ่ มชี วี ิต ลักษณะโครงสรำ้ งของป่ำดิบชืนเขำขนุ พนม เขาขุนพนมเป็นภูเขาหินปูนขนาดเล็ก ตามลักษณะธรณีวิทยาเป็นภูเขาลูกโดดมีความชันสูง หินท่ี ประกอบเป็นภูเขาเป็นหินตะกอนชนิดหินปูนยุคออร์โดวิเชียน หินมีสีเทาเข้ม เทาอ่อน มีองค์ประกอบทาง เคมีเป็นแคลเซียมคาร์บอร์เนต ถูกทาลายโดยน้าและรากพืช ทาให้เกิดบ่อยุบตัว ทาให้เกิดถ้าซึ่งภายในพบ หินงอก หินย้อย และพื้นที่บริเวณเขาขุนพนมมีลักษณะขรุขระ พ้ืนที่บริเวณเชิงเขาเป็นดินร่วนที่อุดม สมบูรณ์จากส่วนผสมของหินผุและซากพืชบนภูเขาซึ่งปกคลุมด้วยพันธ์ุพืชนานาชนิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชที่ ชอบขนึ้ ในป่าดิบชน้ื มีท้งั ไม้ยืนตน้ ไมล้ ้มลุก ไม้พุ่มและไมเ้ ลอื้ ย และลกั ษณะทส่ี าคญั ของป่าดบิ ช้ืน ไดแ้ ก่ 1. ใบแนน่ ทบึ แสงสอ่ งลงมาได้ยาก ทาใหเ้ กบ็ ความชื้นไวไ้ ดม้ าก พืชช้นั ลา่ งถัดลงมามีการปรบั ตัว ให้เหมาะสมกับปรมิ าณแสงท่ีลดลง เชน่ ตะเคียน ผาดา้ ย หลุมพอ 2. รากแยกอยเู่ หนือพื้นดิน ต้นไมบ้ างชนิดมีรากอยเู่ หนอื พนื้ ดนิ เพ่ือการยึดเกาะ ซ่งึ รากทีค่ ล้ายเชือก ยดึ เตน็ ทเ์ ปน็ ตัวชว่ ยใหพ้ ืชชนิดน้นั เจริญสงู ข้ึนไดเ้ ช่น ตะโก มลายเขา เปน็ ต้น 3. คาลฟิ ลอรสั ตน้ ไมจ้ านวนมากมีคาลิฟลอรัส ซ่งึ จะแตกใบ ดอก และผลออกจากลาต้นหรือก่งิ โดยตรงเช่น มะยม ตะลิงปิง ฉิ่ง ขนนุ เป็นต้น 4. กาฝาก เร่มิ จากเป็นพืชยึดเกาะดูดสารอาหารจากอากาศและน้าฝนผ่านทางรากอากาศ รากท่ี หยั่งลงดินจะพันลาต้นแย่งต้นไมใ้ หญ่และทาใหต้ น้ ไม้ใหญ่ตายในที่สดุ 5. ผลคาลฟิ ลอรัส เตบิ โตจากการทีด่ อกถกู ผสมเกสรโดย นก แมลง และค้างคาว ในระดับใต้ เรือนยอด ซึง่ ไม่มีแสงสว่างเชน่ ลองกอง ลางสาด ขนนุ ฉงิ่ เป็นตน้ 6. เถาวัลย์ มีรากท่ีหยั่งลงไปในดินแล้วเล้ือยพันข้ึนไปตามด้านข้างของลาต้นของต้นไม้ใหญ่ เพอื่ จะไดร้ บั แสงอาทติ ย์เหนือเรอื นยอด เชน่ บนั ไดลงิ 7. รากพูพอน เนื่องจากบรเิ วณของเขาขนุ พนมเปน็ หนิ ปนู ทาให้รากต้นไม้ไมส่ ามารถชอนไชลงไปใต้ ดินไดท้ าให้ตน้ ไมจ้ ึงมีการปรบั ตัวให้รากเปลยี่ นแปลงรูปร่างให้มลี กั ษณะเปน็ แผงใหญย่ ื่นออกนอกลาตน้ ทางโคน ทาให้ตน้ ไม้สามารถตั้งตรงอยู่ไดแ้ ละการท่ีมีรากตื้นทาใหไ้ ด้รับแรธ่ าตไุ ด้มาก เช่น มลายเขา 8. ใบไม้มสี ีเขยี วเข้ม กวา้ งและนิม่ และห้อยหวั ลง ปากใบอยู่ทางด้านท้องใบ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 23 ระบบนเิ วศของเขำขนุ พนม ระบบนิเวศของเขาขุนพนม เขาขุนพนมเป็นภูเขาหินปูนมีลักษณะเป็นเขาลูกโดด ลักษณะของภูเขา หินปูนทาให้เกิดถ้าที่มีทางเดินเชื่อมต่อกันภายในเขาขุนพนม ภายในถ้ามีส่ิงมีชีวิตต่างๆ เช่น ค้างคาวแม่ไก่ จงิ้ โกรง่ งหู วั กะโหลก ซึ่งเปน็ ส่งิ มีชีวิตท่ีอาศยั อยภู่ ายในถา้ เขาขุนพนม เขาขุนพนมเปน็ ปา่ ดบิ ชนื้ ซงึ่ จะพบสัตว์ ประเภทแมลง สตั วเ์ ลอื้ ยคลาน นก ส่ิงมชี ีวติ ขนาดเลก็ ลกั ษณะโครงสร้ำงปำ่ ดบิ ชนื เขำขนุ พนม ตำมลำดับชันเรอื นยอด เขาขนุ พนมเปน็ ปา่ ดิบชน้ื ซ่งึ มีการแบง่ ช้ันเรือนยอดได้เปน็ 4 ชน้ั ดว้ ยกนั ซง่ึ ปัจจยั สาคัญท่ที าให้เกิดชน้ั เรอื นยอดได้แก่ แสง อุณหภูมิ เปน็ ตน้ ซึ่งแตล่ ะช้นั สามารถแบง่ ไดเ้ ป็นดังน้ี ช้นั ที่ 1 ช้นั เหนือเรือนยอด สูงประมาณ 40 เมตรขึ้นไปเปน็ ต้นไม้ทีส่ งู มากๆส่วนมากมีใบเลก็ และเรือนยอดแผ่กว้างเพราะต้องเจอกับลมแรง ซึ่งมตี น้ ไม้เดน่ ไดแ้ ก่ ตะเคยี น พระเจา้ ห้าพระองค์(ลกู โก) ชั้นที่ 2 ชน้ั เรือนยอด มตี ้นไมส้ งู ระหวา่ ง 20-40 เมตร มลี กั ษณะใบซอ้ นคล้ายผืนหนงั เป็นช้นั เพ่อื รบั แสงอาทิตย์ แตย่ อมให้นา้ ฝนบางส่วนคอ่ ยๆไหลลงส่ชู นั้ ลา่ ง มสี ตั ว์อาศัยในชั้นนจี้ านวนมาก เช่น ลิง กระแต สัตว์ตระกลู คา่ ง นกและแมลง ชั้นท่ี 3 ชน้ั ใตเ้ รือนยอด มีความสูง 5-20 เมตร ต้นไมจ้ ะอยู่ในแสงสลัว มตี ้นไม้อ่อนๆ ตน้ ปาล์ม ไมพ้ ุ่มตา่ งๆ และพืชยดึ เกาะเช่น จนั ทรผ์ า เต่าร้าง ไทร เป็นต้น ช้นั ที่ 4 พื้นปา่ ท่ีชมุ่ ช้ืนเต็มไปด้วยเศษ ซากไม้ มอส เฟิร์น และสัตว์เลย้ี งลกู ด้วยนม แมลง และ สัตวเ์ ลอื้ ยคลาน กำรเชอ่ื มโยงกจิ กรรม คนค้นปำ่ กับวิทยำศำสตร์ สง่ิ มีชีวติ กับสิ่งแวดล้อม สภาพแวดลอ้ มแตล่ ะชนิดภายในระบบนเิ วศมีความสาคญั ไมเ่ ท่ากัน ถา้ ชนดิ ใดจาเป็นมาก เรียกวา่ เป็น ปจั จัยจากัดของสิ่งมีชวี ติ ชนดิ นัน้ เชน่ 1. แสงสว่าง พืชต้องการแสงสว่างในการสังเคราะห์ด้วยแสง สัตว์อาศัยแสงสว่างเพ่ือกระตุ้นให้สัตว์ท่ี หากนิ กลางวันเร่ิมออกหากิน 2. อณุ หภมู ิ นกและสตั วเ์ ลยี้ งลกู ด้วยน้านมจะอพยพย้ายถิน่ ฐานไปยงั ถิ่นอน่ื ที่มีอุณหภมู ิเหมาะสมกว่า 3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจน พืชจะใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์ ดว้ ยแสง สว่ นแกส๊ ออกซเิ จนจะใช้ในการหายใจของพชื และสตั ว์ 4. แรธ่ าตุตา่ งๆ แร่ธาตุท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวิตของพืช เช่น ไนโตรเจน โพแทสเซียม มีผลต่อการ เจริญเติบโต การขยายพันธ์ุ และกระบวนการเมแทบอลซิ มึ ในพชื 5. น้าหรือความชนื้ พืชต้องอาศัยน้าเปน็ วตั ถดุ ิบสาคัญในการสังเคราะห์ด้วยแสง ใช้เป็นตัวทาละลาย สารบางชนดิ ทาใหเ้ กดิ การยอ่ ยอาหารหรือปฏิกริ ิยาต่าง ๆ ในร่างกาย

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 24 6. ความเป็นกรด–เบส ทาให้ปริมาณส่ิงมีชีวิตมีมากหรือน้อยได้ เช่น พืชบางชนิดเจริญเติบโตได้ดีใน ดินที่เป็นกรด 7. สภาพภูมิประเทศ ความแตกต่างกันของสภาพภูมิประเทศ เช่น ความลาดชัน ความสูงของพื้นที่ การยกตัวของพ้ืนโลก ทาให้สง่ิ แวดล้อมของแตล่ ะพ้ืนท่ีแตกต่างกัน ส่งผลให้องค์ประกอบของสิ่งมชี ีวิตในแต่ละ สภาพภูมปิ ระเทศแตกตา่ งกัน ระบบนเิ วศ หมายถึง ความสมั พันธร์ ะหวา่ งกลมุ่ สิ่งมีชวี ิตดว้ ยกันในกลุ่มส่งิ มีชีวติ และยงั สัมพันธ์กับ ส่ิงไร้ชีวิตภายในแหล่งที่อยู่อาศัย ความสัมพันธ์ทั้งสองลักษณะเกิดในขณะเดียวกัน ส่ิงมีชีวิตชนิดใดชนิดหน่ึง จึงไม่สามารถอยู่อย่างโดดเด่ียว โดยไม่มีความสัมพันธ์กับส่ิงที่อยู่โดยรอบ เช่นเดียวกับการดารงอยู่ของชีวิต มนุษยท์ ่ไี ม่สามารถอย่อู ยา่ งโดดเดยี วได้ จาเปน็ ตอ้ งอยู่รว่ มกับสง่ิ แวดลอ้ ม ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งสิง่ มชี ีวติ และสงิ่ ไมม่ ชี ีวติ ในการดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิตจาเป็นต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพ่ือช่วยในการดารงชีวิตซ่ึง ส่งิ แวดลอ้ มจดั เป็นปจั จัยท่ไี ม่มชี วี ิต สิง่ แวดล้อทจ่ี าเป็นตอ่ การดารงชีวติ ได้แก่ แสง เป็นปัจจยั สาคัญที่มอี ทิ ธิพลตอ่ การดารงชีวติ ของส่งิ มีชีวติ หลายชนดิ เชน่ ในกระบวนการ สังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช การหบุ และบานของดอกและใบของพืชหลายชนิด เช่น ใบไมยราบ ใบกระถนิ มีอทิ ธิพลต่อเวลาการออกอาหารของสตั ว์ อณุ หภมู ิ เป็นปัจจยั สาคญั ที่มอี ิทธิพลตอ่ การดารงชวี ติ ของสิ่งมชี ีวิตหลายประการ เช่น อุณหภมู ิมีผล ตอ่ การหุบและบานของดอกไมบ้ างชนดิ เชน่ ดอกบัวจะบานตอนกลางวันและจะหบุ ในตอนกลางคนื อุณหภูมิ มผี ลตอ่ พฤติกรรมบางประการของสตั ว์ เชน่ การจาศีลมนฤดูหนาวของหมขี ้ัวโลก อุณหภมู มิ ผี ลต่อลักษณะ และรปู รา่ งของส่ิงมชี วี ิต เช่น สตั ว์ในเขตหนาวจะมีขนาดตัวท่ีใหญ่กวา่ สัตวใ์ นเขตร้อน หรือสตั ว์บางชนดิ ทอ่ี ยู่ ในเขตหนาวจะมีขนหนากว่าสัตวใ์ นเขตรอ้ น นำ เปน็ ปัจจัยสาคัญทมี่ ีอิทธิพลตอ่ การดารงชวี ติ ของสง่ิ มีชีวิต เชน่ นา้ เปน็ วตั ถุดบิ ในการบวนการ สงั เคราะหด์ ้วยแวงของพชื และน้ายังเปน็ ตวั ทาละลายท่สี าคญั ทท่ี าใหแ้ รธ่ าตตุ ่างๆทมี่ ีอยู่ในดนิ ละลายและซึมสู่ พืน้ ดนิ เพ่ือให้พชื สามารถนาไปใชไ้ ด้ ควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงสิ่งมชี ีวิตในระบบนิเวศ แบ่งออก เป็น 2 ลกั ษณะคอื 1. ความสมั พันธ์ระหวา่ งส่ิงมีชีวิตชนดิ เดียวกนั 2. ความสมั พันธร์ ะหวา่ งส่งิ มชี ีวิตต่างชนดิ กัน ความสมั พันธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชวี ิตทั้ง 3 กลุ่ม (ผ้ผู ลิต - ผ้บู รโิ ภค - ผูย้ ่อยสลาย) ในระบบนิเวศ จะมกี ารถ่ายเท พลงั งาน เปน็ ทอดจากผผู้ ลิตสผู่ ูบ้ ริโภค การไหลเวยี น การถา่ ยทอดพลังงานเปน็ ทอดๆ นี้ เรียกวา่ หว่ งโซ่อาหาร พลังงานทั้งหลายในระบบนิเวศ นี้เกิดจากแสงอาทิตย์ พลังงานแสงถูกถ่ายทอดโดยเปลี่ยนรูปเป็น พลงั งานศกั ย์ สะสมไว้ในสารอาหาร ซึ่งเกดิ จากกระบวนการ สังเคราะห์ ดว้ ยแสง แลว้ ถูกถา่ ยทอดไปสผู่ ู้บริโภค ลาดับต่างๆ ในระบบนิเวศ ซึ่งมีความสมั พนั ธ์กัน อย่างซับซ้อน ในรปู แบบทเี่ รยี กวา่ สายใยอาหาร

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 25 ควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งสง่ิ มีชีวิตต่ำงชนดิ ในระบบนเิ วศเดียวกัน (Interspecific interaction) แบ่งเปน็ 3 รูปแบบคือ 1) แบบพ่งึ พำอำศยั กนั เป็นการอยู่รว่ มกนั ของส่ิงมีชวี ิต 2 ชนดิ ทีท่ าใหฝ้ ่ายหนงึ่ หรือท้งั สอง ฝ่ายไดป้ ระโยชนโ์ ดยไมม่ ีฝา่ ยใดเสียประโยชนเ์ ลยได้แก่ 1.1 ภำวะพ่งึ พำ ( Mutualism : +,+) หมายถึง การอยรู่ ่วมกันของส่งิ มีชีวิต 2 ชนิดโดยตา่ งกไ็ ด้รับ ประโยชน์ซ่ึงกนั และกัน หากแยกกนั อยู่จะไม่สามารถดารงชีวิตตอ่ ไปได้ เช่น ไลเคนที่อาศยั อยบู่ นตน้ ผาด้าย 1.2 ภำวะใต้ประโยชน์ร่วมกัน ( Protocooperation : + ,+ ) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด โดยก็ไดร้ ับประโยชน์ซ่งึ กนั และกัน แม้แยกกันอยู่กส็ ามารถดารงชวี ิตไดต้ ามปกติ เช่น นกกนิ ลูกไทรจาก ตน้ ไทร 1.3 ภำวะอิงอำศยั หรือภำวะเกอื กลู ( Commensalism : + , 0) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของ สง่ิ มีชีวิต 2 ชนิด โดยฝ่ายหนง่ึ ได้ประโยชน์ อีกฝ่ายหน่ึงไม่ได้และไม่เสยี ประโยชน์ เช่นผ่ึงทารังบนตน้ ยวน 2) แบบปฏิปกั ษ์ต่อกัน ( Antagonism) เปน็ การอยรู่ ว่ มกนั ของส่งิ มชี วี ติ 2 ชนิดทท่ี าให้ฝ่ายหนง่ึ ฝา่ ย ใดเสียประโยชนห์ รือเสียประโยชนท์ ัง้ สองฝ่าย ได้แก่ 2.1 ภำวะปรสิต ( Parasitism : + , -) หมายถงึ การอยรู่ ่วมกันของสิง่ มชี วี ิต 2 ชนดิ โดยฝ่ายหนง่ึ ได้ ประโยชน์ เรยี กวา่ ปรสิต ( parasite) อกี ฝ่ายหนง่ึ เสียประโยชน์เรยี กวา่ ผูถ้ กู อาศัย เชน่ เถาวัลย์ทคี่ มุ ตน้ ไม้ทา ใหต้ น้ ไหมไม่ได้รบั แสงแดด 2.2 ภำวะล่ำเหยื่อ ( Predation : + , -) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตโดยฝ่ายหนึ่งจับอีกฝ่าย หน่ึงเป็นอาหาร เรียกว่า ผู้ล่า (predator) ส่วนฝ่ายที่ถูกจับเป็นอาหารหรือถูกล่า เรียกว่า เหย่ือ เช่น งูหวั กะโหลกกินปลา ภายในถา้ เขาขนุ พนม

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 26 กจิ กรรม เปิดเลนสส์ อ่ งฟำ้ เอกภพเป็นหนว่ ยท่ใี หญ่ที่สดุ ในจักรวาล รองลงมาคอื กาแล็กซี ในกาแล็กซีประกอบไปดว้ ยระบบสุริยะ จานวนมากมาย สิ่งต่างๆล้วนมีความสัมพันธ์กันท้ังหมด โดยเฉพาะความสัมพันธ์กันภายในระบบสุริยะ การเรียนรู้ส่ิงต่างๆนั้นต้องมีความเข้าใจถึงปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้น ความเข้าใจเรื่องทิศ เส้นสมมติต่างๆ ซึ่ง สามารถเชือ่ มโยงถงึ กล่มุ ดาวตา่ งๆท่ีมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การดาเนินชีวติ ของมนุษย์โดยใชส้ ื่อเทคโนโลยีควบคู่กนั ไป ทรงกลมทอ้ งฟ้ำ คนในสมัยโบราณเช่ือวา่ ดวงดาวทั้งหมดบนท้องฟ้าอยหู่ ่างจากโลกเป็นระยะทางเทา่ ๆ กัน โดยดวงดาวเหล่าน้ัน ถูกตรึงอยู่บนผิวของทรงกลมขนาดใหญ่เรียกว่า “ทรงกลมท้องฟ้า” (Celestial sphere) โดยมีโลกอยู่ที่ศูนย์กลาง ของทรงกลม ทรงกลมท้องฟ้าหมุนรอบโลกจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก โดยที่โลกหยุดน่ิงอยู่กับที่ ไม่ เคล่อื นไหว นักปราชญ์ในยุคต่อมาทาการศึกษาดาราศาสตร์กันมากข้ึน จึงพบว่า ดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ห่างจาก โลกเป็นระยะทางท่ีแตกต่างกัน กลางวันและกลางคืนเกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก มิใช่การหมุนของ ทรงกลมท้องฟา้ ดังที่เคยเชอื่ กันในอดีต อยา่ งไรก็ตามในปัจจุบันนักดาราศาสตร์ยงั คงใชท้ รงกลมท้องฟา้ เปน็ เคร่ืองมือในการระบุตาแหน่งทางดาราศาสตร์ ท้ังนี้เป็นเพราะ หากเราจินตนาการให้โลกเป็นศูนย์กลาง โดยมี ทรงกลมท้องฟ้าเคลื่อนท่ีหมุนรอบ จะทาให้ง่ายต่อการระบุพิกัด หรือเปรียบเทียบตาแหน่งของวัตถุบนท้องฟา้ และสังเกตการเคล่ือนท่ีของวัตถุเหล่าน้ันได้ง่ายขึ้นหากต่อแกนหมุนของโลกออกไปบนท้องฟ้าท้ังสองด้าน เรา จะได้จุดสมมติเรียกว่า “ขั้วฟ้าเหนือ” (North celestial pole) และ “ข้ัวฟ้าใต้” (South celestial pole) โดยข้ัวฟ้าท้ังสอง จะมีแกนเดียวกันกับแกนการหมุนรอบตัวเองของโลก และข้ัวฟ้าเหนือจะช้ีไปประมาณตาแหน่งของดาวเหนือ ทาให้เรามองเห็นว่า ดาวเหนอื ไม่มีการเคลอื่ นท่ี หากขยายเสน้ ศนู ย์สูตรโลกออกไปบนท้องฟ้าโดยรอบ เราจะได้ เส้นสมมติเรียกว่า “เส้นศูนย์สูตรฟ้า” (Celestial equator) เส้นศูนย์สูตรฟ้าแบ่งท้องฟ้าออกเป็น “ซีกฟ้าเหนือ” (Northern hemisphere) และ “ซีกฟ้าใต้” (Southern hemisphere) เช่นเดียวกับท่ีเส้นศูนย์สตู รโลกแบ่งโลก ออกเป็นซีก โลกเหนือ และซกี โลกใต้ จินตนำกำรจำกพืนโลก ในความเป็นจริง เราไม่สามารถมองเห็นทรงกลมท้องฟ้าได้ท้ังหมด เนื่องจากเราอยู่บนพ้ืนผิวโลก จึง มองเห็นทรงกลมท้องฟ้าได้เพียงคร่งึ เดียว และเรียกแนวท่ีท้องฟ้าสมั ผัสกับพ้ืนโลกรอบตัวเราว่า “เส้นขอบฟ้า” (Horizon) ซง่ึ เปน็ เสมือน เส้นรอบวงบนพ้ืนราบ ที่มตี ัวเราเป็นจุดศนู ย์กลาง หากลากเส้นโยงจากทิศเหนือมายังทิศใต้ โดยผ่านจุดเหนือศรีษะ จะได้เส้นสมมติซึ่งเรียกว่า “เสน้ เมอริเดียน” (Meridian) หากลากเส้นเชื่อมทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก โดยให้เส้นสมมติน้ันเอียงตั้งฉากกับข้ัวฟ้าเหนือ ตลอดเวลา จะได้ “เสน้ ศนู ย์สูตรฟา้ ” ซงึ่ แบง่ ทอ้ งฟ้าออกเปน็ ซีกฟ้าเหนือและซีกฟ้าใต้ หากทาการสังเกตการณ์ จากประเทศไทย ซึ่งอยบู่ นซกี โลกเหนือ จะมองเหน็ ซกี ฟ้าเหนอื มีอาณาบรเิ วณมากกวา่ ซีกฟ้าใตเ้ สมอ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 27 กำรเคลือ่ นทข่ี องทรงกลมทอ้ งฟำ้ เม่ือมองจากพ้ืนโลกเราจะเห็นทรงกลมท้องฟ้าเคล่ือนที่จากทิศตะวนั ออกไปยังทิศตะวันตก อย่างไรก็ ตามเนื่องจากโลกของเราเป็นทรงกลม ดังน้ันมุมมองของการเคลื่อนท่ีของทรงกลมท้องฟ้า ย่อมข้ึนอยู่กับ ตาแหน่งละตจิ ูด (เส้นรุ้ง) ของผ้สู ังเกตการณ์ เปน็ ต้นว่า ถ้าผู้สังเกตการณ์อยู่บนเส้นศูนย์สูตร หรือละติจูด 0° ข้ัวฟ้าเหนือจะอยู่ที่ขอบฟ้าด้านทิศเหนือพอดี ถา้ ผสู้ งั เกตการณอ์ ยูท่ ี่ละติจูดสูงขึน้ ไป เช่น ละตจิ ดู 13° ข้ัวฟา้ เหนอื จะอยสู่ ูงจากขอบฟา้ 13° ถา้ ผู้สังเกตการณ์อยทู่ ี่ขั้วโลกเหนือ หรอื ละติจดู 90° ขว้ั ฟา้ เหนอื จะอยูส่ ูงจากขอบฟา้ 90° เราสามารถสรปุ ได้วา่ ถ้าผู้สงั เกตการณอ์ ยูท่ ล่ี ะติจูดเทา่ ใด ข้ัวฟา้ เหนอื จะอยู่สูงจากขอบฟา้ เท่ากับละติจูดน้นั กำรเช่ือมโยงกิจกรรม เปิดเลนส์สอ่ งฟ้ำกับวิทยำศำสตร์ เอกภพ หรือท่ีเรียกในภาษาท่ัวไปว่า จักรวาล หมายถึงท้ังหมดทุกสรรพสิ่ง นักดาราศาสตร์พยายาม ศึกษาว่า เอกภพกว้างใหญ่เพียงใด มีกาแล็กซีอยู่จานวนเท่าใด ปัจจุบันเราทราบว่า กาแล็กซีไม่ได้กระจายตัว กันในเอกภพ หากแต่อยรู่ วมกลุ่มเปน็ กระจุก กระจกุ กาแล็กซีท้ังหลายกาลังเคล่ือนที่ออกจากโลกในทุกทิศทาง แสดงวา่ เอกภพกาลังขายตัว ซง่ึ อธิบายโดยใชท้ ฤษฎีบิ๊กแบง กำแลก็ ซี ดาวไม่ได้อยู่กระจายไปในอวกาศ หากแต่อยู่ร่วมกันเป็นระบบเรียกว่า กาแล็กซี (Galaxy) หรือ ดาราจักร กาแล็กซีของเรามีชื่อว่า กาแล็กซีทางช้างเผือก ท่ีเป็นเช่นน้ีเป็นเพราะ สามารถมองเห็นเป็นทางสว่างอยู่บน ท้องฟ้า ระบบสุริยะไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางทางช้างเผือก เราจึงมองเห็นทางช้างเผือกมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน กาแล็กซีมีหลายรูปร่างต่างๆ กัน เช่น กาแล็กซีกังหัน กาแล็กซีรูปรี กาแล็กซีแต่ละประเภทมีประชากรดาวไม่ เหมือนกนั ระบบสุริยะ ระบบสุริยะประกอบด้วย ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์อยู่ตรงศูนย์กลางของระบบ มีดาวเคราะห์และวัตถุ ขนาดเล็ก เช่น ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง เป็นบริวารโคจรล้อมรอบ ดาวเคราะห์บางดวงมี ดวงจันทร์บริวารโคจรล้อมรอบ กำเนดิ ระบบสรุ ิยะ ระบบสุริยะเกิดจากกลุ่มฝุ่นและแก๊สในอวกาศซึ่งเรียกว่า “โซลาร์เนบิวลา” (Solar Nebula) รวมตัวกันเมื่อ ประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว เม่ือสสารมากข้ึนแรงโน้มถ่วงระหว่างมวลสารมากขึ้นตามไปด้วย กลุ่มฝุ่นและ แก๊สยุบตัวหมุนเป็นรูปจานตามหลกั อนุรักษ์โมเมนตัมเชิงมุม แรงโน้มถ่วงท่ีเพิ่มข้ึนสร้างแรงกดดันท่ีใจกลางจน อุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านเคลวิน จุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน หลอมรวมอะตอมของไฮโดรเจนให้เป็นฮีเลียม ดวงอาทติ ย์กาเนิดเป็นดาวฤกษ์

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 28 วัสดุรอบๆ ดวงอาทิตย์ ยังคงหมุนวนและโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยโมเมนตัมท่ีมีอยู่เดิม มวลสารในวง โคจรแต่ละช้ันรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ อิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงทาให้วสั ดุที่อยู่รอบๆ พุ่งเข้าหาดาวเคราะห์ จากทุกทิศทาง ถ้าทิศทางของการเคล่ือนที่มีมุมลึกก็จะพุ่งชนดาวเคราะห์ ทาให้ดาวเคราะห์น้ันมีขนาดใหญ่ และมีมวลเพ่ิมข้ึน แต่ถ้ามุมของการพุ่งชนตื้นเกินไปก็อาจจะทาให้แฉลบเข้าสู่วงโคจร และเกิดการรวมตัว กลายเป็นดวงจันทร์บริวาร ดังจะเห็นว่า ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ เช่น ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์มีดวงจันทร์ บริวารหลายดวง เนื่องจากเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มีมวลมากจึงมีแรงโน้มถ่วงมาก ต่างกับดาวพุธซึ่งเป็น ดาวเคราะห์ขนาดเล็กมีมวลน้อยจึงมีแรงโน้มถ่วงน้อยจึงไม่มีดวงจันทร์บริวารเลย ส่วนดาวเคราะห์น้อยและ ดาวหางนั้นมีรูปทรงเหมือนอุกกาบาต เพราะเป็นดาวขนาดเล็กมีมวลน้อย แรงโน้มถ่วงจึงไม่สามารถเอาชนะ แรงยึดเหน่ียวระหว่างสสารใหย้ ุบรวมเปน็ ทรงกลมได้ กำรเกดิ ทศิ ทศิ เปน็ สิ่งทค่ี นเราสมมตุ ิขน้ึ โดยกาหนดตามตาแหน่งที่มองเห็นดวงอาทิตย์ขึน้ จากขอบฟ้า และตาแหน่งที่ มองเห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ในขณะท่ีโลกหมุนรอบตัวเองเราจะหันเข้าหาและหันออกจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว โดยท่ีเราไม่รู้สึกว่ากาลังเคลื่อนท่ีแต่รู้สึกว่าบนท้องฟ้ากาลังเคลื่อนที่ การข้ึนและตก ของดวงดาว และการเคล่อื นท่ขี องดวงอาทติ ยเ์ กดิ จากการทโี่ ลกหมุนรอบตัวเอง ซ่งึ มีลกั ษณะ ดังน้ี 1.ในเวลาเช้า ดวงอาทิตย์จะขน้ึ จากขอบฟ้า ทิศทีด่ วงอาทิตย์ขนึ้ เรียกวา่ ทิศตะวันออก 2.ดวงอาทติ ยจ์ ะคอ่ ยๆลอยสูงขนึ้ จากขอบฟา้ เมอ่ื เวลาเท่ยี งวันดวงอาทิตย์จะอย่ทู ตี่ าแหนง่ สงู สดุ 3.หลังจากนั้นจงึ คอ่ ยๆลอยต่าลง จนถงึ ขอบฟา้ ด้านตรงข้ามกับตอนเชา้ และลับขอบฟ้าไป ทิศท่ดี วงอาทิตย์ ลบั ขอบฟา้ ไป เรยี กว่า ทศิ ตะวันตก ทรงกลมฟ้ำ ทรงกลม หมายถึง ทรงกลมสมมติขนาดใหญ่ มีรัศมีอนันต์ โดยมีโลกอยู่ที่จุดศูนย์กลาง มนุษย์ในอดีต จินตนาการว่า โลกถูกห่อหุ้มด้วยทรงกลมฟ้า ซ่ึงประดับด้วยดาวฤกษ์ (Star) และเข้าใจว่า ดาวฤกษ์เหล่านี้อยู่ ห่างจากโลกด้วยระยะทางเท่ากัน เท่ากับรัศมีของทรงกลมฟ้า ทรงกลมฟ้าหมุนรอบโลก 1 รอบ ใช้เวลา 1 วัน ทาให้เรามองเห็นดาวฤกษ์เคล่ือนที่ไปตามทรงกลมท้องฟ้าด้วยอัตรา 15 องศาต่อช่ัวโมง (360°/24 ชั่วโมง = 15°) ดวงอาทิตย์เคล่ือนที่บนท้องฟ้าตามแนวสุริยวิถี กลุ่มดาว 12 กลุ่มท่ีอยู่ตามแนวสุริยวิถีเรียกว่า จักราศี ในแต่ละเดือนดวงอาทิตย์เคล่ือนที่ผ่านหน้าจักราศี ซึ่งเป็นกลุ่มดาวประจาเดือน ยกตัวอย่าง ในเดือนกันยายน ดวงอาทิตย์เคลื่อนท่ีผ่านหน้ากลุ่มดาวหญิงสาวหรือราศีกันย์ ดวงอาทิตย์เคล่ือนที่ผ่านจักราศีท้ังสิบสองใช้ ระยะเวลา 1 ปี ดว้ ยเหตนุ ี้หนงึ่ ปจี งึ มี 12 เดือน (360°/12 เดอื น = 30 วัน) มนุษย์สังเกตเห็น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวสว่างห้าดวงที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพธุ ดาวพฤหัสบดี ดาวศกุ ร์ และดาวเสาร์ เคล่ือนท่ใี นแนวจกั ราศี ดว้ ยทศิ ทางและอตั ราเร็วไมค่ งที่ จงึ เรียก ดาวทั้งเจ็ดดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ (Planet) ซง่ึ เปน็ ชอ่ื ของวนั ทั้งเจด็ ในสัปดาห์

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 29 กำรขนึ ตกของดวงดำว ปรากฏการณ์ดาวข้ึน-ตกเป็นผลสะท้อนจากการหมุนรอบตัวเองของโลก ซ่ึงหมุนจากทิศตะวันตกไป ทิศตะวัน ออก โลกกลม ๆ เมือ่ หมนุ รอบตัวเองจะหมุนรอบแกนท่ีผ่านขว้ั โลกเหนือและขัว้ โลกใต้ แกนทีผ่ ่านข้ัว โลกเหนือจะชี้ ไปยังขั้วฟ้าเหนือซ่ึงมีดาวเหนืออยู่ใกล้ ๆ ดังน้ัน เม่ือโลกหมุนจากทิศตะวันตกไปทิศตะวั นออก ดาวจึงวนเปน็ วงกลม รอบดาวเหนือ โดยวนจากดา้ นทิศตะวนั ออกไปทางทศิ ตะวนั ตก เส้นทางการข้ึน-ลงของดวงดาวท้ังหลายจะขนานกัน ในประเทศไทยดาวที่ขึ้นตรงจุดทิศตะวันออก พอดีจะมี เส้นทางข้ึน-ตกเอียงไปทางทิศใต้เล็กน้อย ทาให้จุดท่ีข้ึนไปสูงสุดอยู่ทางทิศใต้ของจุดเหนือศรีษะเปน็ มมุ เท่ากบั ละตจิ ูด และคลอ้ ยต่าลงไปตรงจุดทิศตะวันตกพอดี รวมเวลาตงั้ แตข่ ้ึนถึงตกเทา่ กบั 12 ชวั่ โมงพอดี ดาวที่ขึ้นเฉียงไปทางใต้ของจุดทิศตะวันออกเป็นมุมเท่าใด จะไปตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางทิศใต้ เปน็ มุมเท่านนั้ โดยจะมีเวลาอยเู่ หนือขอบฟ้ายาวมากกว่า 12 ช่วั โมง โดยเสน้ ทางข้ึน-ตกขนานกับเส้นท่ขี ึ้นตรง จดุ ทิศ ตะวันออก กำรสงั เกตลักษณะทีส่ ำคญั ของกลุ่มดำว ในการเริ่มต้นดูดาวนั้น ต้องจับจุดจากดาวฤกษ์ที่สว่าง แล้วจึงค่อยมองหารูปทรงของกลุ่มดาว สิ่งแรกที่ต้องทาความเข้าใจคือ การเคลื่อนท่ีของท้องฟ้าจะต้องหาทิศเหนือให้พบ แล้วสังเกตการเคล่ือนที่ของ กลุ่มดาว จากซีกฟา้ ตะวนั ออกไปยังซีกฟ้าตะวันตก เนอื่ งจากการหมนุ รอบตวั เองของโลก กลุ่มดาวหมีใหญ่ ประกอบด้วยดาวสว่างเจ็ดดวง เรียงตัวเป็นรูปกระบวยขนาดใหญ่ ดาวสองดวงแรก ชาวยุโรปเรียกว่า \"เดอะ พอยเตอร์\" หมายถึง ลูกศรซ่ึงช้ีเข้าหา ดาวเหนือ อยู่ตลอดเวลา โดยดาวเหนือจะอยู่ ห่างจากดาวสองดวงแรกนนั้ นับเป็นระยะเชิงมมุ สีเ่ ท่า ของระยะเชงิ มมุ ระหวา่ งดาวสองดวงน้ัน ดาวเหนืออยู่ใน ส่วนปลายหางของ กลุ่มดาวหมีเล็ก ซึ่งประกอบด้วยดาวไม่สว่าง เรียงตัวเป็นรูปกระบวยเล็ก เมอ่ื เราทราบตาแหน่งของดาวเหนือ เราก็จะทราบทิศทางการหมุนของทรงกลมท้องฟา้ หากเราหันหน้า เข้าหาดาวเหนือ ทางขวามือจะเป็นทิศตะวันออก และทางซ้ายมือจะเป็นทิศตะวันตก กลุ่มดาวท้ังหลายจะ เคล่อื นทจี่ ากทางขวามอื ไปตกทางซ้ายมือ ในข้นั ตอนตอ่ ไปเราจะต้ังหลกั ท่กี ลมุ่ ดาวหมใี หญ่ วาด เส้นโค้งตาม \"หางหมี\" หรือ \"ด้ามกระบวย\" ต่อออกไปยัง ดาวดวงแก้ว หรือท่ีมีชื่อเรียกอีกช่ือหน่ึงว่า “ดาวมหาจุฬามณี” เป็นดาวสีส้มสว่างมากใน \"กลุ่มดาวคนเล้ียงสัตว์\" และหากลากเส้นอาร์คโค้งต่อไปอีก เท่าตัว ก็จะเห็นดาวสว่างสีขาวช่ือว่า ดาวรวงข้าว อยู่ในกลุ่มดาวหญิงสาวหรือราศีกันย์ กลุ่มดาวน้ีจะมีดาว สว่างประมาณ 7 ดวงเรียงตัวเป็นรูปตัว Y อยู่บนเส้นสุริยวิถี กลับมาที่กลุ่มดาวหมีใหญ่อีกครั้ง ดาวดวงที่ 4 และ 3 ตรงส่วนของกระบวย จะช้ีไปยัง ดาวหัวใจสิงห์ ในกลุ่มดาวสิงโตหรือราศีสิงห์ กลุม่ ดาวจักราศีจะอยบู่ นเสน้ สุรยิ วถิ ี

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 30 กลมุ่ ดำวท่สี ังเกตเห็นบ่อยๆ ทสี่ ำมำรถศกึ ษำไดป้ ระจำ 1. กลุม่ ดาวนายพราน เพราะสามารถมองเหน็ ไดย้ าวนาน และสังเกตหางา่ ย สาหรับคนไทยเรียก กล่มุ ดาวนายพรานวา่ ดาวเตา่ ข้างในดาวเตา่ มี ดาวไถ อกี ที เนอ่ื งจากกลมุ่ ดาวนายพราน ประกอบดว้ ยดาว ฤกษ์จานวนท้ังหมด 8 ดวง โดยมดี วงสาคัญ 4 ดวง ตง้ั เรยี งกันเปน็ ขาเต่าหน้าหลงั กลมุ่ ดาวนายพรานมดี าว 2 ดวงที่เปน็ ดาวฤกษส์ วา่ งมาก ก็คอื ดาว บเี ทลจุส (Betelgeuse) อย่ตู รง สว่ นของไลข่ วานายพรานเปน็ ดาวยักษ์แดง สีออกแดงๆส้มๆ และอีกดวงก็คือดาว ไรเจล (Rigel) ตรงเข่าซ้าย นายพราน(หรือเทา้ ซ้าย) ดาบนายพรานคือดวงดาวที่เรียงตัวในแนวด่ิง ใตด้ าวสามดวงในแนวเกือบจะเปน็ แนวนอนก็คือ \"เข็มขัดนายพราน\" นนั่ เอง กลุ่มดาวนายพรานจะเรม่ิ โผล่ขนึ้ จากขอบฟา้ ตงั้ แตเ่ วลาประมาณหนงึ่ ทมุ่ ทางทิศตะวันออกโดยจะข้นึ แบบตะแคงข้าง ส่วนเวลาตกก็ประมาณตีห้า ทางทิศตะวันตกค่อนไปทางใต้ เลก็ น้อย 2. กล่มุ ดาวสุนขั เลก็ มดี าวฤกษท์ ี่สกุ สวา่ งเห็นไดช้ ัดเจน คือ ดาวโปรซิออน (Procyon, -CMi) ซง่ึ สามารถหาได้ง่าย โดยอยใู่ นแนวที่ลากจาก ไหล่ซา้ ยของกลุ่มดาวนายพราน ไปทางไหล่ขวาของนายพราน ไป ทางทศิ ตะวนั ออก 3. กล่มุ ดาวสุนัขใหญ่ เป็นหนึ่งในกลุม่ ดาว 48 กลุ่มท่ีอยูใ่ นรายการของทอเลมี และยงั เปน็ กลุ่มดาวใน รายการกลมุ่ ดาว 88 กลุม่ ทรี่ ับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล เขา้ ใจว่าเปน็ ตัวแทนสุนัขของ นายพรานโอไรออน กลมุ่ ดาวสุนัขใหญ่มีดาวซรี ิอสั เปน็ สมาชกิ ดาวฤกษ์ทส่ี วา่ งทีส่ ุดในท้องฟา้ กลางคนื ซ่ึงเป็น ส่วนหน่งึ ของสามเหล่ยี มฤดูหนาว 4. สามเหลย่ี มฤดูหนาว กล่มุ ดาวสวา่ งอยทู่ างทิศตะวันออก คอื กลมุ่ ดาวนายพราน กลมุ่ ดาวสนุ ขั ใหญ่ และกลุ่มดาวสนุ ขั เล็ก หากลากเสน้ เชอ่ื ม ดาวบเี ทลจุส (Betelgeuse) ดาวสวา่ งสแี ดงตรงหวั ไหลข่ องนายพราน ไปยงั ดาวซิริอสุ (Sirius) ดาวฤกษ์สวา่ งท่ีสดุ สีขาว ตรงหัวสนุ ขั ใหญ่ และ ดาวโปรซีออน (Procyon) ดาวสว่างสีขาวตรงหัวสุนัขเล็ก จะได้รูปสามเหล่ียมด้านเท่า เรียกว่า \"สามเหลี่ยมฤดูหนาว\" (Summer Triangle) ซงึ่ จะขนึ้ ในเวลาหวั ค่าของฤดหู นาว สัญลักษณ์ของกลุ่มดาวนายพรานก็คือ ดาวสว่างสามดวงเรียงกันเป็นเส้นตรง ซ่ึงเรียกว่า \"เข็มขัด นายพราน\" (Orion’s belt) ทางทิศใต้ของเข็มขัดนายพราน มีดาวเล็ก ๆ สามดวงเรียงกัน คนไทยเราเห็นเป็น รูป \"ด้ามไถ\" แต่ชาวยุโรปเรียกว่า \"ดาบนายพราน\" (Orion’s sword) ที่ตรงกลางของบริเวณดาบนายพรานน้ี ถ้านากล้องส่องดูจะพบ \"เนบิวลา M42\" เป็นกลุ่มก๊าซในอวกาศ กาลังรวมตัวเป็นดาวเกิดใหม่ ซึ่งอยู่ตรงใจ กลางและส่องแสงมากระทบเนบวิ ลา 5. กลุม่ ดาวลกู ไก่ หรอื กลมุ่ ดาวไพลยาดีส หรอื ดาวพีน่ อ้ งทัง้ เจด็ นบั เปน็ หน่ึงในกลุม่ ดาวท่ีอยู่ใกล้โลก มากท่ีสุด และอาจเป็นกลุ่มดาวท่ีมีชื่อเสียงมากที่สุดและสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า จึง เป็น กลุ่มดาวท่ีใช้ทดสอบสายตาของคนได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าคนทั่วไปจะเห็นเพียง 6 ดวง แต่ถ้าผู้ชานาญดูบ่อย ๆ นบั ดูจะได้ 7 ดวง แตท่ ว่าดาวกล่มุ นตี้ ามความเปน็ จรงิ ไม่ไดม้ ีแต่เพยี ง 7 ดวง แตม่ ีหลายร้อยดวงเปน็ \"กระจุก ดาว\"

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 31 6. กลุ่มดาววัว เป็นกลุ่มดาวท่ีสังเกตเห็นได้ง่าย มีดาวฤกษ์เรียงกันเป็นรูปตัววีอย่างน้อย 9 ดวง เป็น กลุ่มดาวทางฟ้าซีกเหนือ โดยจะปรากฏข้ึนทางทิศตะวนั ออกเฉียงไปทางทิศเหนือ คนไทยโบราณเรียกกลุ่มดาว วัวนี้ว่า ดาวไม้ค้าเกวียน หรือ ดาวธง ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาววัวระหว่างวันท่ี 14 พฤษภาคม ถึง 21 มิถุนายน ในกลุ่มดาววัวจะมีดาวฤกษ์สีส้มแดงสว่างที่สุดอยู่หนึ่งดวงเป็นตาขวาของวัว ช่ือว่า ดาวอัลดิบะแรน ( ALDEBARAN ) มีความหมายว่า ผู้ติดตาม เพราะดาวดวงน้ีอยู่ตามหลังกลุ่มดาวลูกไก่ ห่างไปทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ประมาณ 15 องศา 7. กลุ่มดาวสารถี เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ไปทางด้านเหนือของกลุ่มดาววัวทางปลายเขาวัว โดยจะเห็นอยู่ ทางซีกฟ้าเหนือ เป็นกลุ่มดาวที่จาได้ง่าย เพราะจะเห็นกลุ่มดาวเรียงกันเป็นรูปหกเหล่ียม ถ้าเริ่มจาก ดาวเอลแนต ท่ีปลายเขาของกลุ่มดาววัว ซ่ึงจะอยู่ที่เท้าขวาของสารถี ไปตามเข็มนาฬิกา จะผ่านดาวธีตา ซ่ึงอยู่ท่ีไหล่ซ้ายของสารถี และดาวคาเพลลา ซึ่งเป็นตาแหน่งของแพะที่สารถีอุ้มอยู่และวนกลับครบหกเหลี่ยม พอดี โดยเราสามารถเหน็ กลุม่ ดาวสารถี ข้ึนไปสงู สุดกลางทอ้ งฟา้ ประมาณเท่ียงคืนของเดอื นธันวาคม 8. สามเหล่ียมฤดูร้อน ในช่วงหัวค่าของต้นฤดูหนาว จะมีกลุ่มดาวสว่างทางด้านทิศตะวันตก คือ กลุม่ ดาวพิณ กลุ่มดาวหงส์ และกลุ่มดาวนกอินทรยี ์ หากลากเสน้ เชื่อม ดาวเวก้า (Vega) ดาวสวา่ งสีขาวใน กล่มุ ดาวพิณไปยัง ดาวหางหงส์ (Deneb) ดาวสวา่ งสขี าวในกลมุ่ ดาวหงส์ และ ดาวนกอินทรี (Altair) ดาวสว่าง สีขาว ในกลุ่มดาว นกอินทรีย์ จะได้รูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่าเรียกว่า \"สามเหลี่ยมฤดูร้อน\" (Summer Triangle) ซ่ึงอยู่ในทิศตรงข้ามกับสามเหล่ียมฤดูหนาว ขณะท่ีสามเหล่ียมฤดูร้อนกาลังจะตก สามเหล่ียมฤดูหนาวก็กาลังจะข้ึน (สามเหล่ียมฤดูหนาวขึ้นตอนหัวค่าของฤดูหนาวของยุโรปและอเมริกา ซ่ึงเป็นช่วงฤดฝู นของประเทศไทย) ในคนื ทีเ่ ปน็ ข้างแรมไรแ้ สงจนั ทรร์ บกวน หากสังเกตใหด้ จี ะเหน็ วา่ มแี ถบฝ้า สว่างคล้ายเมฆขาว พาดข้ามท้องฟ้า ผ่านบริเวณกลุ่มดาวนกอินทรี กลุ่มดาวหงส์ ไปยังกลุ่มดาวแคสสิโอเปีย (คา้ งคาว) แถบฝ้าสวา่ งทเี่ หน็ นั้นแท้ทีจ่ รงิ คอื ทางช้างเผอื ก (The Milky Way)

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 32 กิจกรรม เส้นสำยลำยเทยี น การทาผ้าบาติกเป็นการนาผา้ ขาวมาเขยี นลวดลายโดยพาราฟินหรอื เคโรซีน เป็นผลติ ภณั ฑ์ปิโตรเลยี ม ซ่ึงกล่นั แยกออกจากนา้ มนั ดบิ ซึง่ พาราฟนิ มลี ักษณะทเ่ี หนียวไมเ่ ปราะหัก หรือแตกง่ายและกันนา้ ไดด้ ี มาฟอก สี เปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน พาราฟนิ มจี ดุ หลอมเหลวประมาณ 50 - 60 องศาเซลเซยี ส โซเดยี มซลิ ิเกต มลี ักษณะเป็นน้าเหนียวขุ่น ปฏกิ ริ ยิ าของโซเดยี มซลิ ิเกตกับสแี ละผา้ จะทาใหส้ ีตดิ ผ้าคงทน กำรเชอ่ื มโยงกจิ กรรม เส้นสำยลำยเทยี นกบั วทิ ยำศำสตร์ 1. วิทยากรแสดงชิ้นงานผลติ ภัณฑ์ตา่ งๆทีท่ าจากผา้ บาตกิ ให้นกั เรยี นดู 2. วทิ ยากรอธบิ ายความเปน็ มาของสี และเทคโนโลยใี นการทาผ้าบาติกโดยวิทยากรดูเพิ่มตามจากใบ ความรู้ท่ี 1 เรื่อง ความเปน็ มาของสแี ละเทคโนโลยีในการทาผา้ บาติก กำรเชื่อมโยงกิจกรรม เสน้ สำยลำยเทยี นกับวิทยำศำสตร์ อธบิ ายความเป็นมาของสบี าติกท่ีพัฒนามาจากสีธรรมชาตสิ ู่สีทางเคมีทใี่ ช้ในการทาผา้ บาติกจากอดีตสู่ ปจั จบุ ันไดร้ ับอทิ ธิพลจากอนิ โดนีเซียในชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 13 การทาผ้าบาติกถอื ว่าการทาผา้ บาติกเป็นศิลปะ ในราชสานัก โดยมีสตรีในราชสานักเป็นผู้ผลิตผ้าบาติกในยุคน้ีเรียกว่า “ คราทอน ” ผ้าบาติกในระยะแรกมี เพียงสีครามและสขี าว ในศตวรรษท่ี 17 ไดม้ ีการค้นพบสีอ่ืน ๆ อีก เช่น สีแดง สีน้าตาลสเี หลอื ง สตี ่าง ๆ เหล่านี้ไดม้ าจากพืช ท้ังสิ้น ต่อมาก็รู้จักผสมสีเหล่าน้ี ทาให้ออกเป็นสีต่าง ๆ ภายหลังจึงมีการค้นพบสีม่วง สีเขียว และสีอื่น ๆ ช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ไดม้ กี ารสง่ั ผ้าลนิ นิ สขี าวจากต่างประเทศเขา้ มา นบั เป็นการกา้ วหนา้ ในการทาผา้ บาติก อีกก้าวหน่ึง โดยเฉพาะเทคนิคการระบายสีผ้าบาติก เพราะเริ่มมีการใช้สีเคมีในการย้อม การระบายสีซึ่ง สามารถทาใหผ้ ลิตผา้ บาตกิ ได้จานวนมากขึ้น และได้พัฒนาระบบธุรกจิ ผ้าบาติกจนกลายเป็นสนิ คา้ สง่ ออก สีที่เราใช้กันในชีวิตประจาวันมีท้ังสีท่ีผสมอาหารและสีย้อมผ้าได้มาจากการสังเคราะห์สารเคมีและสี จากธรรมชาติ แต่สีสังเคราะห์หลายชนิดหากนามาใช้ผสมอาหารจะเป็นอันตรายตอ่ ร่างกายแตกตา่ งจากสีท่ีได้ จากธรรมชาติซ่ึงใช้ผสมอาหารได้โดยไม่มีอันตรายและใช้เป็นสีย้อมผ้าที่ให้สีสันสวยงาม ที่ได้จากบางส่วนของ ต้นไม้เช่นรากแก่นเปลือกต้นผลดอกเมล็ดใบ แต่มีคุณสมบัติติดสีได้น้อยกว่าสีทางเคมี ปัจจุบันจึงนิยมใช้สีเคมี หรือ สีย้อมเย็นในการทาผ้าบาติกเรียกว่าสีรีแอคทีฟ โดยสีรีแอคทีฟ สามารถทาปฏิกิริยากับเส้นใยด้วยพันธะ โคเวเลนต์ซึง่ เป็นพนั ธะทีแ่ ข็งแรงทนทานต่อการซักล้างเม็ดสีคมชัด สีติดทนนาน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 33 กำรเชื่อมโยงกจิ กรรม เสน้ สำยลำยเทยี นกับวิทยำศำสตร์ อธิบายคุณสมบตั ขิ องวสั ดแุ ละอุปกรณใ์ นการทาผา้ บากติก - จันติ้งเป็นเครื่องมือสาหรับเขียนเทียนบาติกลงบนผ้า ด้ามจับทาด้วยไม้ เพื่อป้องกันความร้อน ส่วนกาหรือ ถ้วยทาด้วยทองแดงบรรจนุ ้าเทยี น - แปรงและพู่กัน ใช้ระบายสคี วรมีขนนมุ่ เพื่อควบคุมสี - กรอบไม้ ใชส้ าหรับขึงยดึ ใหต้ ึงทากับกรอบไม้มีน้าหนกั เบาเพ่ือเคลอื่ นย้ายงา่ ย - ผ้า จะต้องเป็นผ้าดบิ ขาว ไมห่ นาควรใชผ้ ้าท่ไี ดจ้ ากเสน้ ใยธรรมชาติ เชน่ ผ้าฝา้ ย ผ้ามัสลิน ผา้ ลนิ ิน - โซเดียมซิลิเกต เป็นสารเคลือบสีผ้ากันไม่ให้สีตกลักษณะเหนียวขุ่น จุดเดือด102 องศาเซลเซียสโซเดียมซิลิ เกตมีสภาพเปน็ ด่างจะทาปฏกิ รยิ ากบั สบี าติกเป็นกรดสง่ ผลให้ไม่ทาสตี ก - พาราฟิน เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเล่ียมผ่านกระบวนการกล่ันและนามาฟอกสารสีมีจุดหลอมเหลว 50-60 เซลเซียส และมีจุดเดอื ด 405-515 นามาเขยี นลวดลายลงบนผ้า - สีย้อม ต้องเป็นย้อมเย็นอุณหภูมิประมาณ 30องศาเซลเซียสควรร้อนไม่เกิน 40 องศาเซลเซียสถ้าร้อนกว่านี้ จะทาให้เทยี นละลาย - ดินสอ ควรใชท้ ม่ี ดี ินสอความเขม้ นอ้ ย 3. ผเู้ รียนลงมอื ปฏบิ ัตทิ าผ้าบาติกตัง้ แต่ขั้นตอน การขึงผา้ ทีละด้าน โดยผ้เู รียนวางผา้ บนไมด้ ้านทท่ี าเทียนไว้ แล้ว ใชอ้ ปุ กรณ์อ่ืนแลว้ แต่ถนัดขูดไปบนผา้ ใหผ้ ้าตดิ กบั เทียน ขงึ ให้เรยี บไมม่ รี อยย่อน 4. ผเู้ รียนวาดภาพจินตนาการลงบนผ้าที่ขึงไว้ แล้วนาทว่ี าดเสร็จไปเขยี นลายด้วยนา้ เทยี นหรือนา้ พาราฟิน กำรเช่อื มโยงกจิ กรรม เสน้ สำยลำยเทียนกับวิทยำศำสตร์ ผู้เรียนสร้างและออกแบบลวดลายผา้ ตามจินตนาการ เกดิ กระบวนการความคดิ สรา้ งสรรค์ ผลงาน ออกแบบลวดลายผ้าที่สวยงาม 5. วิทยากรผสมสียอ้ มเยน็ เตรียมใหผ้ เู้ รียนเพือ่ นาไปลงสบี นภาพท่ีเขยี นดว้ ยนา้ เทียน เม่อื ลงสเี สรจ็ เรยี บร้อย แล้ว ผ้เู รียนต้องถอื หรือวางกรอบไมแ้ นวนอนเสมอ มิฉะน้ันสีจะไหล ลงด้านลา่ งนาไปผงึ่ ให้สแี หง้ สนทิ หา้ ม นาไปผง่ึ แดด เพราะจะทาใหน้ ้าเทียนท่เี ขียนไวล้ ะลาย กำรเชือ่ มโยงกจิ กรรม เสน้ สำยลำยเทียนกับวิทยำศำสตร์ อธิบายการผสมสีย้อมเย็นด้วยหลักการการผสมสีจากแม่สี และคุณสมบัติของสีย้อมเย็นสีย้อมเย็นคือสีเคมีท่ี นามาใช้ในการทาผ้าบาติกจะต้องมีอณุ หภมู ติ ่ากวา่ 40 องศา ซงึ่ สีเคมที ่ใี ช้เปน็ สีย้อมเย็นเรียกวา่ สี รแี อคทฟี สามารถทาปฏิกริ ิยากบั เสน้ ใยดว้ ยพนั ธะโคเวเลนต์ซงึ่ เปน็ พันธะทแี่ ขง็ แรงทนทานต่อการซักล้างติดทนนาน อธิบายคุณสมบัติของพาราฟิน และความสัมพันธ์ ระหว่างพลังงานความร้อน อุณหภูมิและการเปลี่ยนสถานะ ของพาราฟิน คุณสมบัติของพาราฟินพาราฟินได้จากการกลั่นจากปิโตรเลียมซ่ึงแยกออกจากน้ามันดิบไม่มีกล่ินไม่มีสี เป็นของแข็งขายข้ีผ้ึงมีจุดหลอมเหลวประมาณ 47 ถึง 64 องศาเซลเซียส ชุดเดือดประมาณ 150-275 องศาเซลเซียสไม่ ละลายน้า เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 34 6. วิทยากรนาผลงานของผู้เรียนท่ีผึ่งให้แห้งไปหมักในน้ายาคงสภาพสีหรือโซเดียมซิลิเกต แล้วทิ้งไว้ประมาณ 3 – 6 ชวั่ โมงหรือมากกวา่ นัน้ กำรเชอื่ มโยงกิจกรรม เสน้ สำยลำยเทยี นกับวิทยำศำสตร์ โซเดียมซิลิเกต (NaSi3O7) มีลักษณะเป็นน้าเหนียวขุ่น มีจุดเดือดประมาณ 102 องศาเซลเซียส ซึ่งมีความเข้มข้นมาก ใช้น้าเป็นตัวลดความเข้มข้น ของโซเดียมซิลิเกต เม่ือผ่านข้ันตอนการระบายสีเสร็จแล้ว นาโซเดียมซิลิเกตทาเคลือบลงบนผ้าให้ทั่วบริเวณท่ีมีสี ปล่อยท้ิงไว้ 3-6 ช่ัวโมง เพื่อให้โซเดียมซิลิเกตทา ปฏิกิริยากับสีและผ้าโดยโซเดียมซิลิเกตมีสภาพเป็นด่างและสีมีสภาพเป็นกรดส่งผลให้ไม่ทาให้สีตก หลังจากท่ี ครบระยะเวลาทก่ี าหนดแลว้ นาผ้าไปลา้ งนา้ เปล่าประมาณ 3-4 ครั้งหรอื ใช้สารจากวสั ดุธรรมชาติเช่น น้าโคลน น้าสนมิ นา้ ปูนใส นา้ ด่างขเี้ ถ้าไม้ สามารถชว่ ยปรับสภาพของสีย้อมและชว่ ยให้ตดิ ทนนาน 7. วิทยากรนาผลงานของผู้เรยี นทหี่ มกั ด้วยโซเดียมซลิ ิเกตเสร็จแล้วไปต้มน้าใสผ่ งซักฟอก จากนาไปล้างในอ่าง น้าเย็นใชม้ ือขย้จี นกว่าเทียนจะหลุดออกจากผ้า แลว้ นาขนึ้ ตากให้แห้ง 8. ผู้เรยี นอธิบายสมบัติของสารเกย่ี วกับจุดเดือด จุดหลอมเหลว และสมบัตอิ ืน่ ๆพรอ้ มทั้งอธิบายความสัมพันธ์ ระหวา่ งพลังงาน อุณหภูมิ กับการเปล่ยี นสถานะของพาราฟิน ลงในใบกิจกรรมท่ี 1 สมบัติของสารในการ ทาผา้ บาติก กำรเชอื่ มโยงกจิ กรรม เส้นสำยลำยเทยี นกับวิทยำศำสตร์ อธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งพลังงานความร้อนอุณหภมู แิ ละการเปล่ยี นแปลงสถานะของพาราฟิน ซ่งึ พาราฟิน หรือเทียนบาติกจะมสี ถานะเป็นของแขง็ หากต้องการเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวจะต้องทาให้พาราฟินมีอณุ หภูมิ เพมิ่ สูงขน้ึ โดยการให้ความร้อนบนเตาแกส๊ จนพาราฟินเปลีย่ นสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว และเม่ือต้ังทิ้งไว้ อุณหภูมิเยน็ ตัวลงสถานะของพาราฟินก็จะกลับคนื สู่สภาพของแข็งเชน่ เดิม 9. วิทยากรและผเู้ รยี นอภปิ รายหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการทาผ้าบาติก สามารถนาไปใช้ในชวี ิตประจาวัน และปจั จยั สาคญั ทท่ี าให้ผา้ บาตกิ สวยงาม เด่น สะดดุ ตา ลงในใบกิจกรรมที่ 2 เรื่องหลกั การทาวทิ ยาศาสตร์ ทเ่ี ก่ยี วข้องในการทาผา้ บาติก กำรเช่ือมโยงกิจกรรม เส้นสำยลำยเทียนกับวิทยำศำสตร์ - อธบิ ายหลกั การทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกบั เรื่องของ การเลือกผา้ เส้นใยผา้ สารและสมบตั ขิ องสาร การออกแบบ จากจินตนาการ คุณสมบตั ขิ องพาราฟิน โซเดยี มซลิ เิ กต สียอ้ มบาตกิ - การเลือกเส้นใยผ้าจะต้องเลือกเส้นใหญ่ที่ได้จากธรรมชาติซึ่งเส้นใยจากธรรมชาติ เป็นเส้นใยเซลลูโลสทาให้สี ติดง่าย ดดู ซับน้าสีไดด้ ี - สี สีท่ีใช้จะต้องเป็นสีรีแอคทีฟ ชนิดสีย้อมเย็นเพราะสีรีแอคทีฟจะทาปฏิกิริยากับเส้นใหญ่เซลลูโลส ด้วย พนั ธะโคเวเลนต์ซงึ่ เป็นพนั ธะที่แข็งแรงทนทานต่อการชะล้างสีติดทนนาน - โซเดียมซิลิเกต จากวัสดุธรรมชาติเช่น น้าโคลน น้าสนิม น้าปูนใส น้าด่างขี้เถ้าไม้ สามารถช่วยปรับ สภาพของสยี อ้ มและชว่ ยให้ติดทนนาน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 35 - สารและสมบัตขิ องสารของพาราฟนิ และโซเดยี มซิลิเกตโดยพาราฟินจะเปน็ ของแข็งทม่ี ีจดุ เดือดประมาณ 150 องศาถึง 275 องศาเซลเซียส และจุดหลอมเหลวประมาณ 47-64 องศาเซลเซียสไม่ละบายน้า ส่วนโซเดียมซิลิเกตจะมีจุด เดอื ด 102 องศาเซลเซยี สมีสถานะเปน็ ของเหลว - การออกแบบจากจนิ ตนาการจินตนาการเกดิ จากกระบวนการคิดสรา้ งสรรค์ภาพในสิ่งท่ีไมเ่ คยพบเหน็ มาก่อน นาไปสู่กระบวนการสรา้ งสรรค์ทาให้เกดิ เป็นช้ินงาน 10. วทิ ยากรรว่ มกบั ผเู้ รยี นสรปุ กจิ กรรม ( Science) กำรเชอ่ื มโยงกจิ กรรม เสน้ สำยลำยเทียนกับวิทยำศำสตร์ - อธิบายวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ หลักการทางวิทยาศาสตร์เก่ียวกับเรื่องของ การเลือกผ้าเส้นใยผ้า พลังงานความร้อน สารและสมบัติของสาร การออกแบบจากจินตนาการ คุณสมบัติของพาราฟิน โซเดียมซิลิเกต สีย้อม บาติก - จันติ้งหรือปากกาเขียนน้าเทียนมี 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเรียกว่า ส่วนกาใช้สาหรับใส่น้าเทียน และเขียน ลวดลายซ่ึงจะทาด้วยโลหะคือทองแดงเพ่ือรักษาอุณหภูมิของน้าเทียนไม่ให้น้าเทียนแข็งตัวเร็วส่วนที่ 2 ด้ามจับไม้ ทา ดว้ ยไมเ้ พ่ือกนั ความร้อนในเวลาที่จับเพอื่ เขยี นเส้นลายเทียน - เฟรมกรอบไม้ใช้สาหรับดึงผ้าจะต้องเลือกด้านที่ฉาบด้วยน้าเทียนเพราะน้าเทียนจะมีลักษณะเหนียวจะช่วย ยึดผ้าใหต้ ดิ กบั กรอบไมไ้ ด้ดี - ผ้า ผ้าท่ีใช้จะต้องเป็นผ้าขาวบางท่ีได้จากเส้นใยธรรมชาติเพราะผ้าท่ีไดจ้ ากเส้นใยธรรมชาติสามารถดูดซับน้า ไดด้ ีและทาใหส้ ีตดิ ไดง้ า่ ย - สีทใ่ี ชต้ อ้ งเป็นสีชนดิ ย้อมเยน็ เพราะสรี แี อคทฟี จะทาปฏกิ ิรยิ ากับผา้ ทเี่ ป็นเสน้ ใยเซลลูโลสได้ดีและทาให้สตี ิด ทนนาน - การออกแบบจากจนิ ตนาการจินตนาการเกิดจากกระบวนการคิดสรา้ งสรรค์ภาพในสง่ิ ท่ีไมเ่ คยพบเหน็ มาก่อน หรอื ภาพที่กาลงั คิดอยู่ในขนาดน้นั นาไปสกู่ ระบวนการสร้างสรรค์ทาใหเ้ กิดเปน็ ชน้ิ งาน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 36 กจิ กรรม กล่ินอำยไม้หอม การทายาดมสมุนไพร ต้องคานึงถึงธรรมชาติของสมุนไพรแต่ละชนิด สมุนไพรแต่ละชนิดจะมี องคป์ ระกอบสาคัญ 5 ส่วน คอื ราก ลาต้น ดอก ใบ และผล ซ่ึงสมุนไพรแตล่ ะชนิดจะประกอบดว้ ยสารเคมีที่มี สรรพคณุ ในการออกฤทธ์ิตอ่ การรักษาโรค ยาดมสมุนไพร เป็นยาท่ีจัดอยู่ในประเภทยาสมุนไพรประจาบ้านใช้สูดดมเพื่อบรรเทาอาการวิงเวียน ศีรษะ หน้ามืด ตาลาย เป็นหวัดคัดจมูก ช่วยบรรเทาความเครียดระหว่างวัน มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ การบรู เมนทอล พิมเสน กานพลู รกจนั ทน์ พริกไทยดา อบเชย ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกมะลิ เกสรบัวหลวง ผิวมะกูด ซ่ึงสามารถเพ่ิมเติมสมุนไพรอื่น ๆ ได้ตามความเหมาะสม ความชอบ หรือคุณประโยชน์เพ่ิมเติม รวมถึงสามารถเติมกลนิ่ ลงไปเพ่อื ให้ได้กล่ินท่ีแปลกใหม่ เช่น กล่ินมะลิ กลนิ่ กุหลาบ พชื สมนุ ไพรทใี่ ช้ในกำรทำยำดม 1. กำรบูร เป็นช่ือของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ท่ีมีผลึกแทรกอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้และยังสามารถนา ลาต้น,ราก,ใบ มากลั่นหรือสกัดจนได้ผลึก มีลักษณะเป็นเกล็ดมันวาว สีขาว มีกลิ่นหอมเย็น ฉุน เดิมสกัดจากต้นการบูร แต่ปัจจุบันเป็นสารสังเคราะห์เน่ืองจากทาได้ง่ายราคาถูกกว่าสกัดจากพืช การบูรถูก ดดู ซึมทางผวิ หนัง ได้ดแี ละรสู้ ึกเยน็ เม่อื สมั ผัสกบั ผิวหนังเช่นเดียวกบั เมนทอล นอกจากนย้ี งั มฤี ทธิ์กระตุ้นระบบ ประสาทสว่ นกลาง สำรออกฤทธิ์ในกำรบูร ลาต้น ราก กิ่ง และใบ พบน้ามันระเหยโดยเฉลี่ยประมาณ 3-6% โดยในน้ามันระเหยจะมีสารการบูร อย่ปู ระมาณ 10-50% และพบวา่ ตน้ การบูรยิ่งมีอายุมากเทา่ ไหร่ จะพบวา่ มสี ารการบูรมากตามไปด้วย โดยพบ สาร ต่างๆ เชน่ อะซูลีน(Azulene), ไบซาโบลี(Bisabolone), แคดินีน(Cadinene),แคมโฟรีน(Camphorene), คาร์วาครอล(Carvacrol) , ซาฟรอล (Safrol) เป็นตน้ 2. เมนทอล หรือเกล็ดสะระแหน่ มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว มีกล่ินหอมเย็น มีอยู่ในน้ามันหอมระเหยท่ี ไดจ้ ากใบมน้ิ ต์หรือท่ีเรียกว่าใบสะระแหนฝ่ ร่ัง มปี ระโยชนใ์ นการขับลมมักใช้แต่งกลิ่นและรสยาสารน้ีเมื่อสัมผัส กับผิวหนังจะทาให้รสู้ กึ เยน็ สำรออกฤทธเ์ิ มนทอล สกัดจากใบสะระแหน่ จะพบว่ามีสารการบูรมากตามไปด้วย โดยพบสาร ต่างๆ เช่น สารเมนทอล (menthol) , ไพเพอริโทน (piperitone) 3. พิมเสน เป็นเกลด็ เล็กๆ สขี าวขุ่น เนอื้ แนน่ กวา่ การบูร ระเหิดได้ชา้ กว่าการบูร ติดไฟให้แสงจ้าและ มคี วันมาก ไมม่ ีข้เี ถ้า พมิ เสนบริสทุ ธิจ์ ะเปน็ ผลกึ รปู แผน่ หกเหลย่ี ม มีจดุ หลอมเหลว 208 องศาเซลเซียส ละลาย ไดย้ ากในน้า ละลายได้ดีในตวั ทาละลายชนดิ ขวั้ ต่า พมิ เสนมีกลน่ิ หอมเยน็ ฉุน รสหอม เยน็ ปากคอ สมยั ก่อนใส่ ในหมากพลเู ค้ียว

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 37 สำรออกฤทธ์ิพมิ เสน พิมเสนได้จากการกลั่นของเน้ือไม้โดยธรรมชาติ ปัจจุบันนิยมใช้พิมเสนสังเคราะห์หรือพิมเสนเทียม พบสารออกฤทธิ์ เช่น ฮมิ ลู นี ( Humulene ) , คาริโอฟลิ ลีน (Caryophyllene) , กรดเอเชียตกิ (Asiatic acid) 4. กำนพลู ใช้ส่วนของดอกแห้งในการทา ยาดมสมุนไพรหอมพบว่าในน้ามันหอมระเหยท่ี กลั่นจาก ดอกมีสารยูเจนอลกลิ่นหอม ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน หน้ามืดตาลาย ดอกตูม ความยาว 1-2 เซนติเมตร สีน้าตาลแดงถึงน้าตาลดา ส่วนล่างของดอก (hypantium) มีลักษณะแข็ง ทรงกระบอก ท่ีมี ความแบนท้ัง 4 ด้าน มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ 4 อัน รูปสามเหลี่ยม อยู่สลับหว่างกับกลีบดอก 4 กลีบ ลักษณะ เปน็ แผน่ บางรวมอยู่ตรงกลาง ขา้ งในดอกประกอบดว้ ยเกสรตัวผจู้ านวนมาก และเกสรตัวเมยี 1 อนั ผงยามีสี นา้ ตาลเขม้ กลน่ิ เฉพาะ หอมแรง เปน็ ยารอ้ น มีรสเผ็ดรอ้ น ฝาด ทาให้ลิน้ ชา สำรออกฤทธ์ิกำนพลู กานพลูนยิ มนาส่วนดอกและก้านดอก มาตากแห้งและนามาใช้ประโยชน์ โดยพบสารเชน่ ยูจนี อล (eugenol) , ยูจีนอลอะซเิ ตท (eugenol acetate ) , ยจู ีนอลอะซิเตท (eugenol acetate) 5. รกจันทน์ คือส่วนเยื่อหุ้มเมล็ด ลักษณะเป็นริ้วสีแดงจัด ดูเหมือนร่างแห เป็นแผ่นบางมีหลาย แฉกหุ้มเมล็ด โดยจะรัดติดแน่นอยู่กับเมล็ด เม่ือนามาแกะแยกออกจากเมล็ด รกท่ีแยกออกมาใหม่ๆจะมี สีแดงสด เม่ือทาให้แห้งสีของรกจะเปลี่ยนจากสีแดงสดเป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีเนื้อและเปราะผิวเรียบ มีกล่ินหอม รสขม ฝาด เผด็ ร้อน สำรออกฤทธ์ิรกจันทน์ รกจันทน์นิยมนามาตากให้แห้ง สามารถนามากลั่นด้วยไอน้าหรือสกัดเมทานอล ทาให้ได้มันหอม ระเหยจากรกจันทน์ สารออกฤทธ์ิท่ีพบในรกจันทน์ เช่น อัลฟาพินีน (alpha-pinene), เบต้า- พินีน (beta-pinene) , ซาบินนี ( sabinene ) , ลิโมนีน (limonene) , ไมรสิ ตซิ นิ (myristicin) 6. พรกิ ไทยดำ ใช้ส่วนของเมลด็ พรกิ ไทยแหง้ ในการทายาดมสมุนไพรหอม มีลกั ษณะเป็น พวง ซ่งึ จะมี เมล็ดกลม ๆ ติดกันอยู่เป็นพวง ช่วยกระตุ้นการทางานของระบบประสาท การได้กลิ่น ของพริกไทยจะช่วยทา ให้รู้สึกต่ืนตัวมากยิ่งข้ึน ช่วยป้องกันหลับใน เม่ือขับรถเหน่ือยๆ หรือ ง่วงนอน น้ามันหอมระเหยจากพริกไทย ช่วยรกั ษาผู้ทตี่ ดิ บุหร่ี โดยจะชว่ ยลดความอยากและลด ความหงดุ หงิดลงได้ สำรออกฤทธิ์พรกิ ไทยดำ พริกไทยดา ใช้ส่วนของเมล็ดพริกไทยแห้ง สารออกฤทธ์ิที่พบในพริกไทยดา เช่น เบต้าแคริโอฟิลลีน (beta-caryophyllene) , คาเรน (careen ) ,ลิโมนนี (limonene) ,อัลคาลอยด์ (alkaloid)

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 38 7. อบเชย เป็นเคร่ืองยา และเคร่ืองเทศ ท่ีได้จากการขูดเอาเปลือกชั้นนอกออกให้หมด แล้วลอก เปลือกชั้นในออกจากแก่นลาต้น โดยใช้มีดกรีดตามยาวของก่ิง แล้วรวบรวมนาไปผ่ึงท่ีร่มสลับกับการนาออก ตากแดด ขณะตากใช้มือม้วนขอบท้ังสองข้างเข้าหากัน จนเปลือกแห้งจึงมัดรวมกัน เปลือกอบเชยที่ดีจะมีสี น้าตาลออ่ น(สสี นิม) มคี วามตรงและบางสม่าเสมอ มีกล่นิ หอมเฉพาะ รสสขุ ุม เผ็ด หวานเล็กนอ้ ย สำรออกฤทธิ์อบเชย นิยมใช่ส่วนเปลือกอบเชยท่ีตากแห้ง สารออกฤทธ์ิที่พบใน อบเชย เช่น ซินนามัลดีไฮด์ (cinnamaldehyde ) , ยูจนี อล (eugenol) 8. ดอกพิกุล ดอก มีกล่ินหอมเย็น ใช้แต่งกล่ินเคร่ืองสาอาง เข้ายาหอม ยานัตถุ์ แก้ลม แก้ไข้ บารุงหัวใจ แก้ปวดหัว แก้เจ็บคอ แก้ร้อนใน ฝาดสมาน แก้ท้องเสีย บารุงโลหิต แก้ปวดเม่ือยกล้ามเนื้อ ดอกพิกุลตามสรรพคณุ ยาไทย ใช้ปรงุ เปน็ ยาแกเ้ หงือกอักเสบ ใบ รสเบอื่ ฝาด แกก้ ามโรค แกห้ ดื ฆา่ พยาธิ เมล็ด ชว่ ยขบั ปัสสาวะ รกั ษาท้องผูก ราก มีรสขมเฝอ่ื น เข้ายาบารุงโลหิต แกเ้ สมหะ แกล้ ม แกน่ มรี สขมเฝอ่ื น เขา้ ยา บารุงโลหิต ยาแก้ไข้ สำรออกฤทธิ์อบเชย ดอกพิกุลแห้งพบสารออกฤทธิ์ที่พบในดอกพิกุล เช่น ฟีนีเลตธานอล (phenylethanol) , เมทิลเบน โซเอต (methyl benzoate), เมทลิ อะนิโซล (methyl-anisole) , ซนิ นามลิ แอลกอฮอล์(cinnamyl alcohol) 9. ดอกสารภี ดอก รสหอมเยน็ ใช้บารุงกาลงั แกอ้ ่อนเพลีย ทาให้เจริญอาหาร แก้ไขพ้ ิษร้อน ใช้ผสม ในยาหอมแก้ลม วิงเวยี นศีรษะ หน้ามดื ตาลาย แก้ร้อนใน ชูกาลัง บารงุ หวั ใจและประสาท บารงุ ปอด แก้โลหิต พิการ ขับลม ฝาดสมาน รักษาธาตุไม่เป็นปกติ เกสร รสหอมเยน็ เปน็ ยาแก้ไข้ บารงุ ครรภ์รักษา ทาใหช้ ืน่ ใจ ผล สกุ รสหวาน รบั ประทานได้ เปน็ ยาบารุงหัวใจ ขยายหลอดโลหติ สำรออกฤทธ์ิดอกสารภี ดอกสารภีแห้งสารออกฤทธ์ิที่พบในดอกสารภี เช่น อัลคิลคูมาริน (alkylcoumarin), ฟีนิล-คูมาริน (phenyl-coumarin),ไตรเทอร์พนี อยด์(triterpenoid) 10. ดอกมะลิ สรรพคุณบารุงหัวใจ ทาให้ช่ืนใจ แก้อ่อนเพลีย ชูกาลัง แก้ร้อนในกระหายน้า มีสรรพคุณ ที่ระบุในตารายาไทย ใช้บารุงหัวใจ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ทาจิตใจให้ชุ่มช่ืน บารุงครรภ์รักษา แก้ร้อนใน กระหายน้า แก้เจบ็ ตา เนอ่ื งจากมรี สฝาดสมาน จงึ ชว่ ยสมานท้อง แก้บดิ แก้ปวดท้อง แกแ้ ผลเรื้อรัง ผิวหนงั เป็นผ่ืนคัน สำรออกฤทธ์ิดอกมะลิ ดอกมะลิแห้ง สารออกฤทธ์ิท่ีพบในดอกมะลิ เช่น เบนซิลแอลกอฮอล์(benzyl-alcohol) เบนซิลอะซเิ ตต (benzyl acetate) , เมทิลจัสมอนเต(methyl jasmonte) , แคดินนี (cadinene)

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 39 11. เกสรบวั หลวง ไดจ้ ากเกสรตวั ผู้ของดอกบัวหลวง เก็บเมื่อดอกบานเต็มท่ี แยกเอาเฉพาะเกสรตัว ผู้ นาไปผึ่งใหแ้ ห้งในทีร่ ม่ เม่ือแหง้ จะเป็นเส้นมสี ีเหลอื ง และมีกลน่ิ หอม รสฝาด เคร่อื งยาเกสรบัวหลวง พบวา่ มีลักษณะภายนอกคือ เกสรมีลักษณะเป็นเส้นบางๆ ตรงกลางเห็นเป็นร่องลึกลงไป สีเหลืองอ่อน หรือสี น้าตาลเหลอื ง สว่ นก้านชเู กสรตวั ผู้ เปน็ รปู ทรงกระบอกยาว สมี ่วงออ่ นมกี ล่ินหอมเฉพาะ รสฝาดใช้บารุงหัวใจ ทาให้ชุ่มช่ืน บารุงปอด บารุงตับ บารุงกาลัง คุมธาตุ แก้ล้ม แก้ไข้สรรพคุณ บรรเทาอาการไข้ ร้อนในกระหาย น้า แก้พษิ หดั พิษสุกใส สำรออกฤทธ์ิเกสรบัวหลวง เกสรบัวหลวงแห้ง สารออกฤทธ์ิที่พบใน เกสรบัวหลวง เช่น เควอซิติน (quercetin) ลูทีโอลนิ (luteolin) , ไอโซเคอร์ซติ รนิ (isoquercitrin), ลโู ทลินกลโู คไซด์ (luteolin glucoside) 12. ดอกบุนนำค กลีบดอกสีขาว มี 5 กลีบ ซ้อนกัน รูปไข่กลับกว้าง ปลายบานและเว้า โคนสอบ สเี หลืองส้ม เปน็ ฝอย กลีบเล้ยี ง 4 กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพ้งุ แยกเป็น 2 วง ลกั ษณะกลม กลีบเล้ียงแข็งและ หนา ดอกแห้ง สีน้าตาลเข้ม กลิ่นหอม ดอกมีกลิ่นหอมเย็น รสขมฝาดเล็กน้อยมีกล่ินหอมเย็น รสขมเล็กน้อย เป็นยาฝาดสมาน บารุงธาตุ และขับลม แก้ลมกองละเอียด วิงเวยี น หน้ามืดตาลาย ใจส่ัน ชูกาลงั บารุงโลหิต บารุงหวั ใจให้แช่มช่นื แก้รอ้ นในกระสับกระส่าย รกั ษาอาการร้อนอ่อนเพลยี แก้กล่ินสาบในร่างกาย สำรออกฤทธิ์ดอกบนุ นำค ดอกบนุ นาคแห้ง สารออกฤทธิ์ที่พบในเกสรบัวหลวง ส่วนดอกพบน้ามันหอมระเหยและสารที่มีรสขม เชน่ คูมาริน (coumarins),เมซอู อล (mesuone) 13. ผิวมะกูด ผิวขรุขระมีจุกท่ีหัวและท้ายของผล ผลสดเปลือกฉ่าน้า มีต่อมน้ามันมาก ผิวขรุขระ เมื่อสุกมีสีเหลือง มีเมล็ดขนาดเล็กหลายเมล็ด ผิวมะกรูด มีรสปร่าหอมร้อน รสขม น้าในผลรสเปร้ียว ผิว มีรส ปร่าหอม ร้อน เป็นยาขับลมในลาไส้ แก้แน่น ขับระดู ขับผายลม เป็นยาบารุงหัวใจ ผล ดองเป็นยาฟอกเลือด ในสตรี ช่วยขับระดู ขับลมในลาไส้ แก้จุกเสียด ลักปิดลักเปิด น้ามันจากผิวช่วยปอ้ งกันรังแค และทาให้เส้นผม ดกดาเป็นเงางาม ผล รสเปร้ียว กัดเสมหะ แก้น้าลายเหนียว ผล ป้ิงไฟให้สุก ผ่าคร่ึงลูก เอาถูฟอกสระผม ทา ให้ผมดกดาเป็นเงางาม นมิ่ สลวย แกค้ นั แก้รงั แค แกช้ ันนะตุ สำรออกฤทธิ์ผิวมะกูด ผวิ มะกดู แห้งสารออกฤทธิ์ทพี่ บในผวิ มะกดู แห้ง เชน่ เบตาไพนีน(beta-pinene), การบูร (camphor) ลิโมนีน(limonene) , ซาบินนี (sabinene), อาวีพริน(aviprin) ,ซติ รกิ (citric)

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 40 กำรเชื่อมโยงกจิ กรรม กลนิ่ อำยไมห้ อมกบั วิทยำศำสตร์ น้ามันหอมระเหยเป็นสารอินทรีย์ท่ีพืชผลิตข้ึนตามธรรมชาติ เก็บไว้ตามส่วนต่าง ๆ เช่น กลีบดอก ผิวของผล เกสร ราก เปลือกของลาต้น หรือยางท่ีออกมาจากเปลือก มีองค์ประกอบทางเคมีที่สลับซับซ้อน น้ามันมีลักษณะเป็นของเหลวไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนน้ามันพืช มีกล่ินหอมระเหยง่าย เวลาที่ได้รับความ ร้อนอนุภาคเล็ก ๆ ของน้ามันหอมระเหยจะระเหยออกมาเป็นไอทาให้เราได้กลิ่นหอม กล่ินของน้ามันหอม ระเหยในส่วนของดอกไม้มีบทบาทสาคัญในการช่วยดึงดูดแมลงมาผสมเกสร ปกป้องการรุกรานจากศัตรู และรักษาความชุ่มช้ืนแก่พืช สาหรับประโยชน์ต่อมนุษย์ น้ามันหอมระเหยมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค บรรเทาอาการอักเสบ หรือลดบวม คลายเครียด หรือกระตุ้นให้สดชื่น ท้ังข้ึนอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของ น้ามันหอมระเหยแต่ละชนดิ การเปลี่ยนแปลงสถานะของแข็งเป็นของเหลว ของการบูร เมนทอล พิมเสน การระเหิด เป็นการ เปล่ียนแปลงที่เกิดกับสารชนิดท่ีไม่มีขั้วหรอื มีขั้วน้อยมาก และมีแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค เมื่ออนุภาคของ สารได้รับความร้อนจากสิ่งแวดล้อมเพียงเล็กน้อย จะทาให้อนุภาคของสารน้ันแยกออกจากผลึก โดยเฉพาะ อนุภาคท่ีอยู่บริเวณผิวหน้าของผลึกจะหลุดออกและเคล่ือนท่ีเป็นอิสระได้ง่าย เช่น การระเหิดของไอโอดีน การระเหดิ ของแนฟทาลีน การบูร เมนทอล เมนทอล พิมเสน และการบูร สารท้ัง 3 ชนิด มีคุณสมบัติเมื่อรวมกัน จะหลอมละลายตัวเองจาก สารท่ีมลี ักษณะเป็นของแข็งเมื่อสารผสมที่มีคุณสมบตั ิหลอมตัวได้ ผสมกนั แล้วจะทาให้จดุ หลอมเหลว ของสาร ตวั น้นั ต่าลง ทาให้ได้สารท่มี ีลักษณะเปน็ ของเหลว จากสารเน้อื ผสมทาใหม้ องเหน็ เป็นสารเนอ้ื เดียว การเปล่ียนแปลงทางกายภาพ สมบัติของสารท่ีสามารถสังเกตได้จากลักษณะภายนอก หรือจากการ ทดลองที่ไม่เก่ียวข้องกับปฏิกิริยาเคมี เช่น สถานะ เน้ือสาร สี กล่ิน รส ความแข็ง ความอ่อน ความเหนียว ความหนาแน่น จุดเดือด จุดหลอมเหลว การนาไฟฟ้า การละลายน้า การเปล่ียนแปลงจากของแข็งเป็น ของเหลว

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 41 กจิ กรรม Science for kids จดั สรา้ งนทิ รรศการโลกของเด็กสาหรบั เดก็ ปฐมวยั อายตุ ัง้ แต่ ๓ - ๘ ขวบ เพ่อื ส่งเสริมใหเ้ ดก็ ได้เรยี นรู้ มีคว ามเข้าใจในธ รรมชาติสิ่งแวดล้อมและสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจาวัน จึงได้จัดกิจกรรม Science for kids. ขึ้นเพ่ือเป็นการฝึกทักษะและกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์ ท้ังยังสอดแทรกสาระการเรียนรู้พร้อมกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยผ่านการเรียนรู้ในรูปแบบของ กิจกรรม ชุดกจิ กรรม Science for kids 1. Magic Science ช่อื กิจกรรม อปุ กรณ์ วิธีกำรทดลอง 1.1 เรอ่ื งของไข่ ไขท่ รงพลงั ๑.ไข่ดบิ ๔ ฟอง ๑.ลองบีบไข่โดยใช้น้ิวหัวแม่มือและน้ิวชี้ ถ้าเราบีบตามแนวนอน ไข่จะแตก ๒.ดินน้ามนั ทนั ที แตถ่ ้าเราบีบตามแนวตัง้ ไขจ่ ะไมแ่ ตก ๓ . แ ผ่ น ไ ม้ ส่ี เ ห ล่ี ย ม ๒.วางไข่ในแนวตั้งที่มุมท้ังสี่ของแผ่นไม้สี่เหล่ียมจัตุรัส แล้ววางหนังสือ จตั ุรัส ๑ แผน่ ทัง้ หมดบนแผ่นไม้ จะพบวา่ ไข่ 4 ฟอง ๓.ไข่ท่ีอยู่ใต้แผ่นไม้สี่เหล่ียมจัตุรัสต้องหนุนด้วยดินเหนียว ท้ังด้านบนและ ดา้ นลา่ ง ไข่ดิบหรือไข่ ไข่ต้ม และ ไข่ดิบอย่าง ๑.นาไขม่ าหมนุ ปั่นแบบลกู ข่าง ตม้ ละฟอง ๒.หากเป็นไขต่ ้ม ไขจ่ ะหมุนอยู่ในแนวต้งั แต่ถ้าไข่ดบิ ไขจ่ ะลม้ และไม่หมุน ไข่ลอยได้ ๑.แกว้ ใบใหญใ่ ส่น้า ๑.ค่อยๆหย่อนไข่ลงในแก้วน้า ไข่จะจมน้าเพราะไข่มีความหนาแน่นมากกว่าน้าหยิบไข่ ๒.ไขด่ บิ ออก ๓.เกลอื ๒.ใส่เกลือ 10 ช้อนโต๊ะ ลงในแก้วน้า คนจนเกลือละลายหมด เกลือและน้า ๔.ช้อนโตะ๊ จะรวมกันเปน็ สารละลายนา้ เกลอื ๔.ปากกาเขียนหมึก ๓.หย่อนไข่ลงในสารละลายน้าเกลือไข่จะลอยเพราะน้าเกลือมีความหนาแน่น มากกว่านา้ ๔.ทาเคร่ืองหมายบนสว่ นสูงของไข่ทล่ี อยนา้ หยบิ ไขอ่ อกมาเช็ดใหแ้ ห้ง วาดรูป ใบหนา้ โดยใช้เคร่ืองหมายท่ีทาไวอ้ ย่เู หนอื รูปใบหนา้ ๕.รินน้าเกลอื อกคร่ึงหนึ่ง เอียงแก้วน้าเกลือ แล้วค่อยๆรินน้าเย็นใส่ลงไปจน เกือบเตม็ แกว้ เพือ่ ให้นา้ เยน็ อยู่ด้านบน ๖.ค่อยๆหยอ่ นไขล่ งไปในแกว้ ไขจ่ ะเร่ิมจมนา้ ไขจ่ มลงไปถึงกน้ แก้วหรอื ไม่ Work Shop เรอื่ งของไข่ ไดแ้ ก่ ลุกเจีย๊ บล้มลุก และลกู ข่างไข่

ช่ือกิจกรรม อปุ กรณ์ คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 42 ลูกเจีย๊ บล้มลุก ๑. ไขด่ ิบ ๒. กอ้ นกรวดเลก็ ๆ วธิ ีกำรทดลอง ๓. กาว ๑.เจาะรูไข่ที่เปลือกไข่ทั้ง 2 ปลายปลายมนเจาะรูเล็ก ปลายแหลม ๔. เทปกาว เจาะรูใหญ่ ๕. สี ๒.เป่าด้านรูเล็ก ให้ไข่ออกจากเปลือกทางด้านรูใหญ่ ใชเ้ ทปกาว ปดิ รู ลูกข่างไข่ ๑.ไขต่ ม้ ๓.ปล่อยทิ้งไว้จนกาวแห้งยืดก้อนกรวดติดกับเปลือกไข่ใช้เทป กาวปิดรู ๒.สี ๔.ตกแต่งเปลอื กไขใ่ ห้สวยงามน่ารักตามใจชอบ ๕.ตั้งบนฐานจนกว่าจะแห้ง 1.2 เหรียญลอย ๑.ถว้ ย 1 ใบ ๑.นาไข่ตม้ มาระบายสใี ห้สวยงาม ๒. ต้ังบนฐานจนกว่าจะแห้ง น้า ๒.นา้ วางเหรยี ญลงในถว้ ย คอ่ ยๆรินนา้ ลงไปช้าๆ เหรียญท่กี ้นถ้วยจะ ค่อยๆปรากฏแก่สายตาของเรา ยง่ิ เติมนา้ มาก ก็จะยง่ิ ทาให้เห็น ๓.เหรยี ญ ๑ เหรียญ เหรยี ญลอยสงู ขึน้ ๑.ใสน่ ้าและน้าเกลือลงในแก้วใสอย่างละ1ใบ 1.3ร่มชูชีพ ๑.แก้วนา้ ๒.เติมหมึกลงในแก้วละ 1 หยด สังเกตดูการกระจายตัวของ หมกึ ในแก้วทงั้ 2แก้ว ลอ่ งหน (การเลน่ ๒.น้าหมึก ๓.จะเห็นว่าลักษณะแตกต่างกัน ในน้าเกลือ (ความเข้มข้น 1 เปอร์เซ็นต์) หยดหมึกจะแตกแขนง เป็นกิ่งก้านสาขาออกไป รม่ ชูชพี ด้วยหมกึ ) ๓.เกลอื พร้อมๆจะค่อยๆเคล่ือนตัวลอยในน้าเปล่า หยดหมึกจะจมลงไปใน ลักษณะเป็นกระจุก

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 43 ชอ่ื กิจกรรม อปุ กรณ์ วธิ กี ำรทดลอง 1.4 นกั ดาน้าคาร์ ๑.กรรไกร/ มดี เหลาดนิ สอ ๑.ต้องทาการเตรียมนักดาน้า โดยการนาหลอดดูดน้ามาตัดเป็นชิ้น3 ทเี ซีย ๒.กาวและเทปกาวใส (สาหรับ ช้นิ ยาวชิ้นละประมาณ6ซม. ตกแต่ง อาจจะไมต่ อ้ งใชก้ ็ได)้ ๒.นาหลอดมามัดรวมกันโดยใช้เทปกาวใส สาหรับคนท่ีใช้ฝา ๓.กระดาษสีสาหรบั ตกแต่ง ปากกา สามารถใช้ฝาปากกา 2 อัน มาประกอบกัน โดยใช้ดิน ๔.สีเมจิก ( ข้อ 2, 3 และ 4 น้ามนั ยดึ ไดเ้ ลย สาหรับตกแต่ง อาจจะไม่ต้อง ๓.นาเทปใสปดิ ด้านใดด้านหนง่ึ ของหลอดไว้ไม่ให้น้าเขา้ ได้ (ฝา ใชก้ ็ได้) ปากกาปดิ อยแู่ ลว้ หน่งึ ดา้ น) ๕.ขวดน้า ความจุประมาณ 1 ๔.นาดินน้ามันมาถ่วงข้างหลอดด้านท่ีไม่ได้ปิดไว้ (ถ่วงให้สมดุล ลิตร หรือมากกว่า ไม่ให้หลอดตะแคงเวลานาไปลอยน้า) เพ่ือให้หลอดลอยตัวตาม ๖.หลอดดูดน้า หรือฝาปากกา แนวดิ่งอยู่ในน้าได้ สาหรับคนท่ีใช้ฝาปากกาให้ถ่วงบริเวณข้างของฝา ๗.ดินน้ามนั ปากกา ๘.สีผสมอาหาร (นามาเพ่ิมสี ๕.นานักดาน้าที่ได้ ไปทดลองในอ่างน้าหรือในขันน้า ดูก่อนว่า ให้น้า อาจไม่ต้อง ใ ช้ ก็ ไ ด้ สามารถลอยตามแนวดิ่งอยู่ในน้าได้หรือไม่ หากไม่ได้ลองเพ่ิมหรือ ตามใจชอบ) ลดดินน้ามันดตู ามสมควร ๖.หากนักดาน้าลอยได้แล้ว ก็ตกแต่งให้เป็นรูปร่างต่างๆด้วยเม จิก ตามใจชอบ ๗.ต่อไปเป็นสว่ นของน้าเร่มิ ดว้ ยการเติมนา้ ใส่ขวดสักค่อนขวด ๘.เติมสีผสมอาหารลงน้า เพ่ือตกแตง่ ตามใจชอบ ๙.นานกั ดานา้ ใสล่ งในขวด แล้วปิดฝา ๑๐.ตกแตง่ ขวดตามใจชอบแลว้ ก็เปน็ อนั ท่เี รยี บร้อย 1.5 จ ด ห ม า ย ๑.กระดาษ A 4 ๑.นาน้าผลไม้ มาเขียนภาพหรือตัวหนังสือ เมื่อแห้งไป เรา ล่องหน ๒.พกู่ นั อาจจะมองไมเ่ หน็ ภาพหรือตัวหนงั สือทเี่ ขียนไว้ ๓.ไฟแช็ค ๒.นาภาพไปอังกับไฟ เราจะเห็นภาพหรือหนังสือปรากฏข้ึน ๔.ตะเกยี ง เป็นสีนา้ ตาล ๕.แอลกอฮอล์ ๖.นา้ ผลไม้

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 44 ช่อื กจิ กรรม อปุ กรณ์ วิธกี ำรทดลอง 1.6 กำรถ่ำยเท ๑.กระดาษทชิ ชู ๑. นาแกว้ น้า 2 ใบ นา้ และกระดาษทชิ ชู 1แผน่ ของกระดำษทิชชู ๒.แก้วนา้ ๒.เริ่มจากเติมน้าลงในแก้วใบหนึ่ง ให้เต็มส่วนแก้วอีกใบปล่อย วางไว้ ๓.จากนั้นพับกระดาษทิชชูตาม แนวยาวให้กว้างประมาณ 1 น้ิว นากระดาษท่ีพับแล้วมาวางพาดบนแก้วทั้ง 2 ใบ ให้ปลาย ด้านหน่ึงอยู่ในแกว้ ๔.ท่มี ีนา้ เต็มสว่ นปลายอีกด้านอยู่ในแกว้ ที่ไม่มีน้า ผา่ นมาสกั พัก จะเห็นว่ากระดาษทิชชูดูดน้าจากแก้ว ที่มีน้าจนเปียก และเริ่ม ก่อตัว ส่วนปลายอีกด้านยังคงแห้งอยู่ แต่สังเกต ได้ว่าน้าเร่ิม ถ่ายเทจากกระดาษทิชชูส่วนที่เปียกไปยังส่วนที่แห้งกระท่ัง เปียกทง้ั แผ่น 1.7 นำสีแสนสนุก ๑.นา้ ดอกอัญชัน นำสดี อกอัญชัน ๒.แกว้ ทรงสงู 2 ใบ ๑.แบ่งน้าสีที่ได้ลงในแก้วน้า 2 ใบ แก้วใบหน่ึงเติม มะนาว/ ๓.มะนาว น้าสม้ สายชู อีกใบหนง่ึ เตมิ โซเดียมคาร์บอเนตหรือน้าสบ่ลู งไป ๔.โซเดยี มคารบ์ อเนต ๒.ผสมน้าสีจากแก้วทั้ง 2 เข้าด้วยกัน จะเกิดฟองฟู และน้าจะ ๕.กระดาษกรองตัดเป็นแถบ เปล่ียนสีกลับไปเป็นสีน้าเงินตามเดิมฟองท่ีเกิดขึ้นคือก๊าซคาร์บอ ๖.บ๊กิ เกอร์ ไดออกไซด์ ๗.น้าร้อน ๘.น้าเย็น ทดสอบ กรด- เบส ๙.กะหลา่ ปลีมว่ ง ๑.ซอยกะหล่าปลใี หล้ ะเอยี ด ต้มนา้ เตรียมไว้ ๒.แช่กะหล่าปลีลงในน้าร้อนเปน็ เวลา 30- 40 นาที จะได้ น้าสี มว่ งแดง ๓.นากระดากรองที่ตัดเป็นแถบยาวมาจุ่มในน้าสีประมาณ 30 นาที แล้วคีบออกมาผ่ึงแดด ให้แห้งก็จะได้กระดาษสีชมพู สาหรับทดสอบความเปน็ กรด-ด่าง ๔.การทดสอบความเป็นกรด-ด่าง ทาได้โดยหยดของเหลวลง บนแผ่นกระดาษทดสอบ ถ้าเป็นกรดจะได้สีแดง ถ้าเป็นด่างจะ ได้สนี ้าเงิน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 45 ชอ่ื กิจกรรม อุปกรณ์ วธิ กี ำรทดลอง 1.8 ถ้วยกระโดด ๑.ถ้วยพลาสตกิ / ถ้วย 1.ติดปลายเชือกด้านหนึ่ง เข้ากับด้านนอกของก้นถ้วยใบแรก ได้ กระดาษ โดยใช้เทปกาว ๒.เชอื กเสน้ เล็ก 1 เส้น ยาว 2.ติดปลายเชือกอีกด้านหน่ึง เข้ากับด้านในของก้นถ้วยใบที่ 2 ประมาณ 2 ฟุต โดยใช้เทปกาว ๓.ถงุ พลาสติก 3.ใช้กรรไกรรัดถุงพลาสติกเป็นริ้วยาว ความกว้างประมาณ 1 ๔.กรรไกร เซนตเิ มตร ยาวประมาณ 4-5 เซนตเิ มตร ๕.เทปกาว 4.ใชเ้ ชือกผกู ริ้วพลาสตกิ รดั ใหเ้ ปน็ ระยะๆพองาม 5.ถือถ้วยใบที่ 2 ไว้ในมือ (ใบท่ีมีเชือกตืดอยู่ท่ีต้นในของก้น ถว้ ย) 6.ใช้มือจับสายเชือกพร้อมริ้วพลาสติกใส่ลงไปในถ้วยใบท่ี 2 แล้วใช้ ถว้ ยใบแรกวางซ้อนลงไปจนมิด 7. ใช้ปากเปา่ ลมแรงๆระหวา่ งปากถว้ ยท้งั สอง ถว้ ยใบท่ีอยู่ด้าน ในจะกระโดดออกข้างนอก พร้อมกับดึงเชือกและรว้ิ พลาสตกิ ตาม ออกมาดว้ ย 1.9 นกน้อยใน ๑.กระดาษแข็งขาวเทา ตัด ๑.ใช้กรรไกรตัดกระดาษขาวเทาให้เป็นรูปวงกลม ประมาณ 10 กรงทอง เ ป็ น รู ป ว ง ก ล ม 1 แ ผ่ น ซม. จานวน 1แผน่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ๒.นารูปนกมาแปะบนกระดาษรูวงกลมเพียงด้านหน่ึง หรือ ซม. อาจจะวาดรูปนกลงไป ๒.กรรไกร ๓.นารูปกรงนกมาแปะติดอีกด้านหน่ึงของกระดาษว่างอยู่ หรือ ๓.สไี ม้/สีเมจิก อาจจะวาดรปู กรงนกลงไปแล้วตกแต่งใหส้ วยงาม ๔.รูปนกไม้เสียบลูกชิ้นเทป ๔.นากระดาษรูปวงกลมมาแปะติดกับไม้เสียบลูกชิ้นโดยใช้เทป กาว/กาว กาวยึดหรืออาจใช้กาวยึดก็ได้ ๕.หมนุ ภาพนเี้ รว็ ๆจะเหมือนนกอยใู่ นกรงทอง Work Shop ถว้ ยกระโดดได้, นักดำนำคำร์ทีเซียร์, ลกู เจ๊ยี บล้มลุก, ลูกข่ำงไข่, นกนอ้ ยในกรงทอง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 46 2. อำกำศมหัศจรรย์ ชื่อกิจกรรม อุปกรณ์ วิธกี ำรทดลอง 2.1ลกู โป่งหรรษา ๑.ลูกโป่ง ๑.เปา่ ลูกโปง่ จนพองเตม็ ทร่ี ดั เอาหนงั ยางรัดปากให้แน่น ๒.หลอดดูดกาแฟ ยาว 5-6 ๒.ตดั หลอดดดู 2ทอ่ นยาวทอ่ นละ5-6ซม. เซนตเิ มตร ๓.นาหลอดดดู ท่ตี ัดเป็นทอ่ น2ท่อนรอ้ ยใส่ในเสน้ ดา้ ย ๔.เทปกาว ๔.ติดหลอดดูด ท้ัง 2 ท่อนท่ีลูกโป่งกับเทปกาว เมื่อปล่อยมือ ๕.เสน้ ด้ายโตๆ ลูกโป่งจะเคลอ่ื นท่ีไปตามรางเสน้ ด้าย 2.2 ขวดลูกโป่ง ๑.ขวดแกว้ ๑.ใส่นา้ อนุ่ ลงในขวดแกว้ ตัง้ ไว้ 2-3 นาที แลว้ เทนา้ อนุ่ ทิ้ง หรรษำ ๒.น้าอ่นุ ๒.ตัดขอบบนลูกโป่ง แล้วนาลูกโป่งไปครอบบนปากขวดแก้ว ๓.ลกู โปง่ ทีต่ ง้ั อยูใ่ นชามแก้วใสน่ ้าเยน็ ๔.กรรไกร ๕.ชามแก้วขนาดใหญ่ ๖.น้าเย็น 2.3 ลูกโป่งฟอง ๑.แก้วน้า ๑.ฝานสบู่ใส่ลงไปในแก้วท่ีมีน้าเต็มแก้ว คนจนสบู่ละลาย เติม สบู่ ๒.หลอดดดู น้าตาลเล็กน้อยแล้วคน ต่อไป เอาหลอดใส่ลงไปในแก้ว เพ่ือให้ ๓.สบู่ น้าสบู่จับตัวเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ ที่ปลายหลอด จากน้ันเป่าลม ๔.แก้วกระดาษ ผ่านหลอดเพื่อทาให้ลูกโป่งฟองสบู่ท่ีพองโต นั้นโดยไม่แตก เรา ๕.กรรไกร สามารถทาหลอดในลกั ษณะแปลกๆ ๖.ไหมพรม ๒.ลอกส่วนผสมอ่ืนๆ ทดลองด้วยการใส่สิ่งอ่ืนๆลงไป ในพวก ๗.กระดาษแขง็ สารละลายแล้วดูวา่ มนั มีผลตอ่ ลูกโปง่ ฟองสบูอ่ ย่างไร ๘.น้าตาล ๓.ใส่กลีเซอรีน 2-3 หยดลงไป กลีเซอรีนจะมีลักษณะข้นและ ๙กลเี ซอรีน เหนียวหนืด จึงช่วยทาให้สารละลายจับตัวกัน ลูกโป่งฟองสบู่ จะคงรูปอยู่ได้ดีข้ึนและสามารถวางไว้บนมือเราได้โดยไม่แตก เสยี กอ่ น ๔.น้ามันข้นและเหนียวหนึบเหมือนกลีเซอรีน แต่มันไม่ได้ช่วย ทาเกดิ ลูกโป่งฟองสบู่ ใสเ่ พยี ง 2-3 หยดลงในน้าสบแู่ ลว้ เป่าดู 2.4 เทียนไขดดู ๑.เทียนไข ๑.จุดเทยี นแลว้ ครอบดว้ ยแกว้ นำ ๒.จานรอง ๒.จะสงั เกตว่าเทยี นดบั นา้ จะถกู ดดู เข้าไปในแกว้ ๓.แก้วทรงสูง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 47 ชอ่ื กิจกรรม อุปกรณ์ วิธีกำรทดลอง 2.5 กระดำษไม่ เปยี ก 1. แกว้ น้า 1. ขยากระดาษ แล้วกดให้ตดิ แน่นกบั ถ้วยแก้ว 2.6กรวยมหศั จรรย์ 2. ชาแก้วใสนา้ 2. คว่าแก้วลงไปในชามใส่น้า เกิดอะไรขึ้นกับกระดาษและ 2.7 กงั หันพลงั ลม 3. แผน่ กระดาษ ระดับน้าในแกว้ สูงเท่าใด 2.8 ปนื พลงั ลม 1. ลกู ปงิ ปอง 1. ใช้กรรไกรตัดแผ่นกระดาษจากริมขอบถึงจุดศูนย์กลาง และ 2. แผ่นกระดาษวงกลม แผน่ กระดาษให้เปน็ กรวยแหลมตดิ เทปใสใหแ้ นน่ ทงั้ 2 ดา้ น เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 10 ซม. 2. ตัดตรงปลายแหลมของกรวยแล้วหลอดดูด ยาว 4 ซม.ใส่ลง 3. หลอดดูดงอได้ ไปในช่องกรวยเหลือปลายหลอดดูดโผล่ข้ึนมานิดเดียวทากาว 4. กาว ให้หลอดติดกรวย 5. เทปใส 3. วางลกู ปิงปองในกรวย เปา่ แรงๆ โดยใหป้ ากกรวยตง้ั ขึ้น เปา่ 6. กรรไกร ลมติดต่อกันพร้อมกับค่อยๆหันปากกรวยลงเกิดอะไรข้ึนกับลูก ปิงปอง 1. กระดาษขนาด 20x20 1. ลากเส้นทแยงมุมสองเส้นให้ตัดกันบนแผ่นกระดาษ แล้วตัด ตารางเมตร ตามแนวทแยงทง้ั 4ดา้ นให้หา่ งจากจุดก่ึงกลางเล็กนอ้ ย 2. เขม็ หมดุ อย่างยาว 2. ทาเครื่องหมายท้ัง 4 มุม ม้วนด้านที่มีเครื่องหมายมาตรงก 3. ลกู ปัด ลาง แลว้ ใชเ้ ขม็ หมดุ เจาะทะลปุ ลายกระดาษตรงจุดก่งึ กลาง 4. ทอ่ นไม้เล็กๆ 3. ใส่ลูกปัดลงไปที่ก้านเข็มหมุด แล้วกดเข็มหมุดให้ติดกับไม้ 5. กรรไกร เกิดอะไรขึ้นเมื่อเปา่ กังหนั น้ี ๑.ขวดพลาสติกพร้อมฝา ๑.ใช้ตะปูเจาะรทู ่ีปลายของปลอกปากกา ปิด ๒.ใช้ท่ีเจาะรูเจาะรู 2 รูที่ฝาปิดขวดพลาสติก ให้มีขนาดใหญ่ ๒.เหยือกน้า พอทจ่ี ะสอดหลอดดดุ เขา้ ไปได้ ๓.หลอดดูดพลาสติกแบบ ๓.ตดั หลอดดูดอนั หนง่ึ ส้ัน สอดหลอดดดู ทัง้ 2 ลงในรูท่ีฝาขวดท่ี งอ 2 อนั เจาะเอาไว้ ใช้ปลอกปากกาสวมท่ีปลายหลอดดูดอันยาว ยึด ๔.เทปกาว ดว้ ยเทปกาวใหแ้ น่นอยา่ ใหม้ ีรรู ่วั ใชด้ ินน้ามนั อุดยึดหลอดดดู ทง้ั 2ฝา ๕.ดนิ นา้ มัน ใหแ้ น่นอย่าใหอ้ ากาศผา่ นเขา้ ออกได้ ๖.ปลอกปากกา ๔.รินน้าจากเยือกลงในขวดพลาสติกให้ระดับน้าสูงกว่าปลาย ๗.ตะปทู ี่เจาะรู หลอดดุดอันยาวแต่ต่ากวา่ ปลายหลอดดูดอันสน้ั ใช้เทปกาวปิด รอยตอ่ ขอฝาและขวดใหส้ นิท อย่าใหอ้ ากาศผา่ นเขา้ ออกได้ ๕.เปา่ ลมลงไปทางปากหลอดดูดสัน้ จะมีน้าแดพงุ่ ออกมาจาก ปลายปลอกปากกาท่ีสามทับปากหลอดดดู ยาวไว้

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 48 ชือ่ กจิ กรรม อุปกรณ์ วธิ กี ำรทดลอง 2.9 เรือพลงั นำ 1. จานโฟม 2 ใบ ๑.ประกบจานโฟมท้ัง 2 ใบเข้าด้วยกันใช้เทปกาวติดขอบจานให้ 2. ถว้ ยกระดาษ สนทิ 3. หลอดดดู แบบงอได้ ๒.ใช้ท่ีเจาะรูเจาะรูท่ีถ้วยกระดาษบริเวณใกล้กับก้นถ้วย ให้มี 4. เหยอื กนา้ ขนาดใหญ่พอทีจ่ ะสอดหลอดดูดเข้าไปได้ 5. นา้ ๓.เสียบหลอดดูดเข้าไปในรูของถ้วยที่เจาะไว้ โดยให้ปลายด้าน 6. เทปกาว ท่ีงอไดอ้ ยู่ข้างนอก ใช้ดินนา้ มันยึดและปิดให้สนทิ อย่าให้มีรอยรู 7. กะละมังใสน่ ้า รวั่ ได้ 8. ดินน้ามนั ๔.วางถ้วยไว้บนจาน ยึดให้ติดมั่นคงด้วยเทปกาวกับจานโฟม 9. ท่เี จาะรู เพ่ือไม่ใหข้ ยบั หนี เราก็ไดเ้ รอื หางยาวแบบพิเศษ ๕.นาเรือท่ีทาไว้ไปลอยในกะละมังใส่น้า ให้ปากหลอดดูดแหย่ ลงไปในน้า ริน้าจากเหยือกลงในถ้วย จะเห็นน้าพุ่งออกมาทาง ปากหลอดดูด ดันให้เรือพุ่งไปข้างหน้า ถ้าดัดหลอดให้เอียงไป ด้านข้างจะทาให้เรอื หมนุ เปน็ วงกลมได้ Work Shop กรวยมหศั จรรย,์ กงั หันพลังลม, ปนื พลงั ลม, เรือพลงั นำ 3. ของเล่นกบั ควำมลบั ช่อื กจิ กรรม อุปกรณ์ วิธกี ำรทดลอง 3.1กังหนั ไฟฟำ้ สถติ ๑.กระดาษ A4 จานวน 2 ๑.พับคร่งึ กระดาษA4จานวน2ครั้ง ใบ ๒.ใช้กรรไกรตัดกระดาษทพ่ี ับแลว้ เป็นมุมแหลม เม่ือคลอี่ อก จะได้ ๒.ดนิ นา้ มัน รปู ดาว 4แฉก ๓.กรรไกร ๓.ปกั ดินสอบนก้อนดนิ นามนั ให้ปลายแหลมชขี้ ึ้นข้างบน ๔.ดนิ สอไม้ ๔.วางปลายดินสอ เน่ืองจากปลายดินสอมีพ้ืนท่ีน้อย จะมีแรง ๕.ลูกโปง่ เสียดทานกับกระดาษน้อย ทาให้ดาวกระดาษหมุนไปรอบๆได้อย่าง ๖.หนังยาง งา่ ยดาย ๕.เป่าลมลกู โปง่ ไม่ต้องให้ใหญม่ าก ๖.ใช้มือจับลูกโป่ง ถูกับผมสัก 5ครั้งถึง 10 คร้ัง แล้วนาลูกโป่งมา หมุนรอบดาวกระดาษอย่างช้าๆให้ลูกโป่งแตะดาวกระดาษ ดาว จะกระดาษจะหมุนตามการเคล่ือนที่ของลูกโป่ง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 49 ชื่อกิจกรรม อุปกรณ์ วธิ กี ำรทดลอง 3.2 ตุ๊กตำกำ ๑.ไม้ไอติม ๑.นาเส้นลวดมาดดั มดั ตดิ กบั ไมไอตมิ เพ่ือให้เป็นแขนทง้ั 2ขา้ งของตุ๊กตา วติ ี ๒.ลวด ๒.นาดินน้ามนั / น๊อตตวั เมียมาใส่ในใส่ในปลายลวดทีม่ ดั เป็นแขนแล้ ทั้ง2ขา้ ง ๓.ดินน้ามัน/น๊อตตัวเมีย ๓.นากระดาษท่ตี ดั เป็นหนา้ ต๊กุ ตามาติดบนไมไ้ อตมิ ส่วนบนสุดเพอ่ ใหเ้ ป็นศรี ษะ ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง ๔.นาไหมพรมมาตกแตง่ ใหเ้ ปน็ ผมตุ๊กตา 1/2น้วิ ๕.นาตุ๊กตากาวติ ้ีท่ีได้มาวาไวบ้ นแท่ง/นิ้วมือ จะพบว่าตุ๊กตากาวติ ี้จะทรง ๔.กระดาษตดั เปน็ รูปหนา้ ตัวอยไู่ ด้โดยไมล่ ม้ ๕.ไหมพรม ๖.กาว 3 . 3 แ ต ร ค ช ๑.แผ่นพลาสตกิ บางใส ๑.ม้วนแผ่นพลาสตกิ ใส เปน็ รปู กรวยตามขนาดทก่ี าหนดใชเ้ ทปกาวยดึ ไว้ สำร ๒.ดา้ ย ๒.ใช้กรรไกรตดั เฉียงๆปลายด้านแคบของแตร ๓.เทปกาว ๓.ตดั แผ่นพลาสตกิ ใสเปน็ ชนิ้ สเี่ หลี่ยมเลก็ ๆตดิ เข้ากับปลายแตรดา้ นแคบ ๔.กรรไกร ใชด้ ้ายพันไว้ให้แน่น ๔.ทาแตรแบบนี้ 2 อัน เอามาวางคู่กันแล้วใช้พลาสติกอีกแผ่นกว้าง ประมาณ 2 นิว้ พันรอบให้คลุมล้นิ แตร แลว้ ใช้เทปกาวพันให้แน่น ๕.ประดับตกแตง่ ให้สวยงามตามใจชอบ 3 . 4 ตุ๊ ก ต ำ ตี ๑.ลกู ปงิ ปองผ่าครึง่ ๑.นาลูกปงิ ปองมาผา่ คร่งึ ลังกำ ๒.ดนิ น้ามัน ๒.นาดินนา้ มนั มาใสล่ งในลกู ปงิ ปองผา่ ซกี ๓.ไม้ไอติม /ไม้เสียบ ๓.จิม้ แท่งไมไ้ อติม/ไมเ้ สียบลูกชนิ้ บนดนิ นา้ มนั ลกู ชิน้ ๔.วาดรปู หนา้ สัตวต์ ัดแปะบรเิ วณสว่ นบนของไม้ไม้ไอติม/ไม้เสยี บลกู ช้ิน ๔.กระดาษวาดรูปหน้า สัตว์ 3.5 ไหมพรม ๑.หลอดพลาสติกแบบ ๑.หลอดพลาสติกแบบช้อนที่ใช้ มีความยาว 18 เซนติดเมตร (ไม่รวม เต้นระบำ ชอ้ นอยา่ ง หนา 1 อนั ปลายท่ีเปน็ ช้อนใช้กรรไกรตัด 2 ทอ่ น ทอ่ นแรกยาว 10 ซม. ท่อนท่ีสอง ๒.ไหมพรม ยาว 80-90 ให้ปลายด้านหนึ่งเป็นมมุ แหลมแทน) ซม. ๒.ใช้กรรไกรตัดหลอดพลาสติกท่อนแรกให้เป็นรูรูปวงรี ห่างจากปลาย ๓.เทปกาว ดา้ นหนึง่ ประมาณ 3 ซม. ใหร้ มู ีความยาวประมาณ 7-8 มล. ๔.กรรไกร ๓.ต่อปลายช้อน หรือปลายแหลมของหลอดท่อนที่ 2 เข้ากับรูบนหลอด ของท่อนแรก ระวังอย่าให้ปลายแหลมย่ืนเข้าไปในหลดแรก ใช้เทปกาว ยึดหลอดทั้ง 2 เข้าดว้ ยกัน ๔.ตัดไหมพรมยาวประมาณ 80-90 ซม. ร้อยผ่านหลอดท่อนแรก ผูก ปลายเข้าด้วยกันแลว้ ตดั ปลายสว่ นทเ่ี กินออก

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 50 ช่ือกจิ กรรม อุปกรณ์ วิธกี ำรทดลอง 3.6 ร่มชชู พี ๑.ถุงก๊อบแกป๊ 1 ใบ ๑.ทาร่มชูชีพ 2 ชุดจากถุงก๊อบแก๊ป โดยใช้กรรไกรตัดขนาดให้มีขนาด ๒.เทปใส 20x20 ซม. และ 30x30 ซม ๓.เสน้ ดา้ ย / เชอื ก ๒.ใช้เทปใสติดเส้นด้ายยาว 15 ซม. เข้ากับแต่ละมุมของถุงก๊อบแก๊ปแต่ละ ๔.ดินนา้ มนั / หนุ่ ตุ๊กตา แผน่ ตัวเล็กๆ / คลิปหนีบ ๓.ผูกเส้นดา้ ย 4 เสน้ เขา้ ด้วยกนั โดยหนั ด้านตดิ เทปใสออกเป็นด้านนอก กระดาษ ของร่มชูชีพ ๕.กรรไกร ๔.คลองร่มชูชีพแต่ละชุดด้วย ดินน้ามัน / หุ่นตุ๊กตาตัวเล็กๆ / คลิปหนีบ กระดาษ เพือ่ ทาใหร้ ม่ ทัง้ 2 มนี า้ หนกั ถว่ งเท่ากัน 3.7 ข ว ด ผิ ว ๑.ขวดพลาสติกที่ใช้ ๑.ใช้ปากกาpermanent กับไม้บรรทัด วาดลวดลายลงบนขวด ลองใช้ ปำก แ ล้ ว เ ลื อ ก ข ว ด ที่ ขนาดกวา้ ง 10 มม. ยาว 8 มม. ดา้ นข้างเรยี บ ๒.ใช้คัดเตอร์ ตัดขวดให้เป็นช่อง ตามลวดลายท่ีสาดไว้ ๒.คดั เตอร์ / กรรไกร ๓.วาดลวดลายประดบั ให้สวยงาม ๓.ปากกา ๔.ปิดฝา แลว้ นาไปตดิ กบั หัวเสา ๔.ไม้บรรทดั ๕.นาเสาไปปักกลางแจ้ง ใหร้ บั ลม โดยหันใหช้ ่องเปดิ อยขู่ นานกับทิศทาง ลม จะมเี สยี งดงั ขน้ึ เมือ่ มีลมพัดผ่าน 3.8 ลกู โป่ง ๑.เชือกเส้นยาว ๑.ร้อยเชือกเข้าไปในหลอดดูแล้วผูกปลายติดกับเก้าอี้ 2 ตัวโดยให้เส้น จรวด ๒.เก้าอ้ี 2 ตวั เชอื กหย่อน ๓.หลอดดดู ๒.เป่าลูกโป่งให้พอง แล้วใช้ไม้หนีบท่ีปากลุกโป่ง เพ่ือไม่ให้อากาศออก ๔.ลกู โป่งแบบยาว ใช้เทปใสตดิ หลอดดูดเข้ากบั ลูกโป่ง ๕.เทปใส ๓.เล่ือนลูกโป่งกับหลอดดูดไปจนสุดปลายเชือก แล้วดึงไม้หนีบผ้าออก ๖.ไมห้ นีบผ้า ลกู โป่งเคลอื่ นทเ่ี หมอื นจรวด 3.9 นำฬกิ ำ ๑.กระบอกพลาสติกใส ๑.ใช้ตะปูแหลมเจาะท่ีตาแหนง่ จุดศนู ย์กลางของก้นกระบอกพลาสตกิ ใส 2อนั ๆ ทรำย 2 อัน ละ 1 รู ๒.ทรายละเอียด ๒.จับก้นกระบอกประกบกันใหร้ ูท่ีเจาะไว้ทั้ง 2 รูตรงกันพอดี เอาเทปใส ๓.เทปกาวใส พนั รอบยดึ ให้แน่นอย่าใหข้ ยับได้ ๔.ตะปแู หลม ๓.ปิดฝากระบอกข้างหน่ึง ตั้งกระบอกขึ้นโดยให้ข้างท่ีปิดฝาแล้วอยู่ ๔.นาฬิกา ด้านล่าง เติมทรายละเอียดลงในกระบอกอันบนปิดฝาให้สนิท ทรายจะ เรมิ่ ไหลลงมาทกี่ ระบอกลา่ ง ๔.เม่ือทรายไหลลงกระบอกลา่ งท้งั หมด ให้พลิกกระบอกสลับลา่ งขึ้นบน กระบอกบนมีทรายส่วนกระบอกล่างเป็นกระบอกว่าง เริ่มจับเวลาที่ ทรายไหลลงทันที ๕.ถ้าเวลาท่ีทรายไหลลงหมดไมเ่ ตม็ นาทใี ห้เติมทรายหรือเอาทรายออก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook