Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนาสากล

ศาสนาสากล

Published by tichanun9591, 2019-12-01 23:06:31

Description: หนังเรียนสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
โรงเรียนวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

Search

Read the Text Version

อาจารย์วสนั ต์ สรรพสุข ศษ.บ. (สงั คมศกึ ษา) เกยี รตนิ ิยมอนั ดบั หนงึ่ เหรยี ญทอง วิชาโท นิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ศ.บ. เศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช

ศาสนาหมายถึงอะไร  คาํ วา่ ศาสนา ตามรูปศัพทม์ าจากคาํ ในภาษาสันสกฤตวา่ “ศาสน” แปลวา่ “คําสอน ข้อบังคับ” ตรงกับคําในภาษาบาลวี า่ “สาสน์” แปลว่า ศาสนา คําสัง่ สอนของศาสดา”  จากภาษาลาตนิ แปลวา่ ผูกพัน คือ ความผกู พนั ระหวา่ งมนษุ ย์กับพระ เจ้า หรือสิ่งท่ีอยธู่ รรมชาติ  ความหมายโดยสรปุ คือ ลทั ธคิ วามเชือ่ ในหลกั การและกรรมวิธหี รือ กระบวนการในการปฏิบตั เิ พ่ือบรรลุจุดหมายสูงสดุ ในชีวิตที่ศาสดาของ แต่ละศาสนาชแ้ี นวทางหรือบัญญตั ไิ ว้

ศาสนามอี งค์ประกอบอะไรบา้ ง  1. ศาสดาหรือผกู้ อ่ ตงั้ ศาสนาทุกศาสนาน้นั ล้วนจะต้องมีผูก้ อ่ ตง้ั หรือผู้ ทีป่ ระกาศตนเป็นศาสดา เป็นคนทีน่ ําคาํ สอนของตนมาเผยแพร เช่น ศาสนาคริสตก์ ็มมี พี ระเยซู ศาสนาอิสลามก็มีพระมหะหมดั ศาสนาเชน ก็มีพระมหาวรี ะ หรอื แม้แต่พระพุทธศาสนาก็มพี ระพุทธเจา้ เป็นผูร้ ิเริ่ม หรือผ้ตู ัง้ ศาสนา  2. หลกั คาสอนหรือศาสนธรรม ถือไดว้ า่ องค์ประกอบที่มคี วามสาํ คัญ มากทส่ี ุดนะครับ (เพราะถอื ว่าเปน็ ผลงานของศาสดา เป็นหลักปฏบิ ตั ิ และเป็นหัวใจเลยกว็ า่ ได้ ถ้าขาดกต็ าย) ซงึ่ เป็นสง่ิ ที่เก่ยี วข้องกบั ศลี ธรรม และจริยธรรม เชน่ คัมภีรไ์ บเบอร์ พระไตรปิฎก

 นักบวช สาวก หรือศาสนบุคคล บคุ คลเหลา่ น้ีทาํ หน้าท่ีเปน็ ผสู้ ืบทอด ทางศาสนา ศาสนาจะดํารงอยไู่ ด้จนถึงทกุ วันน้ี ก็โดยอาศยั การศึกษา ปฏบิ ัติและการทาํ งานเผยแพร่ของสาวกหรอื นักบวชของศาสนานั้น ๆ เชน่ ศาสนาพทุ ธกม็ พี ระสงฆ์ ศาสนาอิสลามก็มีอหิ มา่ ม(ไม่ใช่นกั บวชนะ แต่เป็นครูสอนศาสนา เพราะศาสนาอิสลามไม่มนี ักบวชนะ) ครบั  ศาสนสถาน ทกุ ศาสนาย่อมมีสถานทแี่ ห่งใดแห่งหนึ่ง สําหรับประกอบ พิธกี รรมทางศาสนา และเป็นทเี่ คารพสักการบูชาสําหรับศาสนิกชน ศาสนสถานเหล่าน้ยี อมรบั กันวา่ เป็นสถานท่ีศักดสิ์ ทิ ธิ์ ผู้เข้ามาจะตอ้ ง แสดงความเคารพ เชน่ วัดของศาสนาพทุ ธ มัสยิดของศาสนาอสิ ลาม โบสถข์ องศาสนาคริสต์

 พธิ ีกรรมหรือศาสนพิธี ทกุ ศาสนามพี ธิ กี รรมทางศาสนา และมัก ประกอบพธิ ีในศาสนสถานหรอื สถานที่ศกั ดิ์สิทธิ์ พิธกี รรมทางศาสนา นบั ว่ามีส่วนสาํ คญั มากในการดํารงอยู่ของศาสนา ศาสนาไหนที่ขาด พธิ กี รรมศาสนาน้ันก็จะอยู่ได้ไมน่ าน  ครูจะขอเปรียบเทียบศาสนากับต้นไม้นะครบั กจ็ ะพบวา่ พธิ กี รรม = เปลอื กต้นไม้ สาวก นกั บวช = กิ่งก้านของต้นไม้ ศาสดา = รากไม้ หลักธรรม = แกน่ ของตน้ ไม้

มลู เหตขุ องการเกิดศาสนาคืออะไร  1. เกิดจากอวิชชา** อวิชชาก็คอื ความไมร่ ูห้ รือความเข้าใจไม่แจม่ แจง้  2. เกดิ จากความกลวั ** ความกลวั เป็นมูลเหตทุ ่ตี อ่ เน่อื งมาจากอวิชชา เมอ่ื เกดิ ความไม่รู้หรอื ไมเ่ ข้าใจแจม่ แจง้ ขนึ้ สง่ิ ท่ตี ามมาก็คอื ความกลวั  3. เกิดจากความภักดีในทางศาสนา หมายถึง ความเชอื่ และความเลื่อมใส ด้วย ม่ันใจวา่ สิ่งทต่ี นเชอ่ื และเลอื่ มใสนน้ั เปน็ ส่งิ ศกั ด์สิ ทิ ธิ์ทสี่ ามารถอํานวยประโยชนแ์ ก่ ตนได้  4. เกิดจากความตอ้ งการความรแู้ จง้ ความจรงิ ของชีวิต  5. เกิดจากความตอ้ งการความสงบสขุ ของสงั คม ซ่งึ คําสอนของศาสนาชว่ ยขัด เกลาอบรมจติ ใจของคนในสงั คมใหม้ ีความละอายตอ่ การทําช่วั กลวั ตอ่ การทําผิด

ศาสนาแบ่งเปน็ ก่ีประเภท  เทวนยิ ม เป็นกลุ่มศาสนาท่ีนับถอื เทพพระเจ้า เช่อื วา่ มพี ระเจ้าจริงๆ พระ เจา้ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ซึ่งครูของจําแนกออกเป็นอกี 2 ประเภท ได้แก่  เอกเทวนยิ ม เปน็ กลุ่มที่เช่ือว่ามีพระเจา้ องค์เดยี ว ได้แก่ ศาสนาอสิ ลาม (พระอัลเลาะ) ศาสนาคริสต์ (พระยาโอวา)  พหเุ ทวนิยม เปน็ กลมุ่ ที่เชอื่ ว่ามีพระเจ้าหลายองค์ ไดแ้ ก่ ศาสนาพ รามณ์-ฮนิ ดู (พระพรหม พระวิษณุ และพระศวิ ะ)

 อเทวนยิ ม เปน็ กลุม่ ศาสนาที่ไมเ่ ชอ่ื ว่ามีพระเจ้า ไมเ่ ชือ่ วา่ พระเจ้าเป็น ผู้สร้างทุกสง่ิ และพวกนีก้ ไ็ มน่ ับถือพระเจา้ ดว้ ย ไดแ้ ก่ ศาสนาพุทธ และ ศาสนาเซน

ประโยชน์และความสาคัญของศาสนา  ประโยชน์ของศาสนาสาหรับปจั เจกชน ..........1. ทําใหค้ นมสี ขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ และบุคลกิ ดี ..........2. ส่งเสรมิ สตปิ ัญญา ความเฉลยี วฉลาด ความรอบรู้ของบุคคลใน เรอื่ งชวี ติ และการแก้ปัญหาชีวิต ..........3. ขอ้ ห้ามศาสนาเป็นส่ิงท่ีควบคมุ ความประพฤติของบุคคลไมใ่ ห้ ทําช่ัวแมอ้ ยใู่ น ท่ลี บั ตาคน

 ความสาคัญของศาสนาสาหรบั ปัจเจกชน ..........1. ศาสนาเป็นที่พ่ึงทางใจ เปน็ พลงั ใจของมนษุ ย์ ช่วยยกระดับ จิตใจของมนษุ ย์ให้สงู ขนึ้ ..........2. ศาสนาเปน็ แนวทางปฏิบัติของบคุ คลเพื่อนาํ ไปสู่ความสําเรจ็ ใน ส่งิ ที่ตนเองปรารถนา และแก้ปัญหาในการดาํ เนนิ ชีวิต

 ประโยชนข์ องศาสนาต่อสงั คม ..........1. ศาสนาไดว้ างหลักเกณฑ์แบบแผนในการประพฤติปฏบิ ตั ใิ นส่วน ทเ่ี ปน็ ศีลธรรมและ จริยธรรม อนั นํามาซง่ึ ความสามัคคีและความสงบสุข ในการอยูร่ ว่ มกนั ของกล่มุ ในสังคม ..........2. ศาสนาเป็นสถาบันที่สามารถสร้างสันติภาพและค้มุ ครองสงั คม โลกได้ ..........3. ศาสนาเปน็ สถาบันทีส่ ่งเสริมและสร้างสรรค์ศลิ ปะวัฒนธรรม ให้แก่สงั คม

 ความสาคัญของศาสนาต่อสังคม ..........1. ระดับครอบครัว ศาสนามีขอ้ ปฏิบัตทิ ผ่ี ูป้ ฏบิ ัติตามทําให้ ครอบครวั มน่ั คงเป็นปึกแผ่น เปน็ ครอบครัวทีอ่ บอุ่น ..........2. ระดบั ชมุ ชน ศาสนาช่วยสรา้ งความสมั พนั ธอ์ ันดีระหว่างมนุษย์ สร้างความสามัคคีในชุมชน และสร้างความสงบสขุ ให้แกช่ ุมชน ..........3. ระดบั ชาติ ศาสนาเปน็ สญั ลกั ษณแ์ ละเปน็ เอกลักษณ์ของชาติ มี อิทธพิ ลต่อชวี ติ ของบคุ คลในชาติ ..........4. ระดบั โลก ศาสนาเปน็ มรดกอนั ล้าํ ค่าของมนษุ ยชาติ เป็นวิถีทาง สดุ ท้ายแหง่ ความอยรู่ อดของมนษุ ยชาติ

ศาสนาคริสต์  ศาสนาคริสต์ถือกําเนิดในดนิ แดนปาเลสไตน์ เม่ือ ปี ค.ศ.1(ประมาณ 543 ปี หลังพทุ ธศกั ราช) มีพระศาสดาคอื พระเยซู เชื่อว่าผ้สู ร้างโลกคือ พระ ยาโฮวา โดยศาสนาครสิ ต์มีรากฐานมาจากศาสนายวิ หรือยูดาย อันเป็น ศาสนาของชนชาติฮบิ ร(ู อิสราเอล) ศาสนายวิ สอนให้ชาวยิวยดึ มัน่ ในพระ เจ้าองคเ์ ดียว คอื พระยะโฮวาห์และทรงประทานบัญญัติ 10 ประการ ใหแ้ กโ่ มเสส เพอื่ นาํ ไปสั่งสอนชาวยิว ดังนน้ั ความเชอ่ื ของศาสนาครสิ ตร์ จึงมีพ้ืนฐานมาจากศาสนายวิ

ใครเปน็ ผูส้ รา้ งโลก  ตามความเช่ือของคนทนี่ บั ถือศาสนาคริสตท์ ุกคนเชือ่ ว่าพระยาโฮวาเปน็ พระเจ้าผู้สรา้ งทกุ สรรพสง่ิ ในโลก เพราะมนษุ ยท์ ําผิดจึงถูกพระเจา้ ลงโทษให้ออกจากสวรรค์มายังโลก แตเ่ มื่อมายงั โ,กแล้วมนษุ ย์กลับทํา บาปมากยงิ่ พระเจ้าจงึ หาวิธีใหม้ นษุ ยเ์ ปน็ คนดีเพ่อื ให้โอกาสไปยังสวรรค์ ท่านจึงส่งศาสดา(พระเยชู)มาพรอ้ มกับพระคัมภรี ์ เมื่อมนุษย์ทาํ ความดีก็ จะไดไ้ ปข้ึนสวรรค์เพอื่ ไปอยกู่ ับพระเจา้ เป็นการตอบแทนการทาํ ความดี (ในวันพิพากษา)

คมั ภรี ์ของศาสนาคริสต์  พนั ธสญั ญาเดมิ (พระคัมภรี เ์ ก่า) เป็นเรือ่ งราวเกย่ี วกบั เหตุการณ์ก่อนศริ สตกาล เปน็ คมั ภีร์ของศาสนายวิ ประกอบไปด้วย ประวัตชิ นชาติยิว บัญญัติ 10 ประการ และประวัติศาสดาพยากรณ์ตา่ งๆ  พันธสัญญาใหม่(พระคัมภรี ์ใหม่) เป็นเร่ืองราวเกยี่ วกับเหตุการณส์ มยั ครสิ ตกาล โดยเฉพาะประวัติของพระเยชูและสาวก คําสอนของพระเยชู เป็นตน้

ศาสนาครสิ ต์มกี นี่ ิกาย  นกิ ายโรมันคาทอลิก คําวา่ \"คาทอลกิ \" แปลว่า \"สากล\" เพราะความเชอ่ื เดมิ มีว่า คริสตศ์ าสนาเป็นศาสนาสากล ชาวคาทอลกิ มีความเชอื่ และ ปฏิบัตติ ามคาํ สอนและประเพณีด้ังเดมิ คริสตศ์ าสนาโดยเครง่ ครดั มีพระ สนั ตะปาปาเปน็ ประมขุ ปกครองชาวคาทอลิกทวั่ โลก มพี ระคารด์ ินัลเปน็ ผ้ชู ว่ ย โดยมีศนู ย์กลางการปกครองท่ีนครรัฐวาติกัน(เป็นประเทศท่ีเล็ก ท่ีสดุ ในโลก) กรงุ โรม นิกายนีห้ ้ามนกั บวชแตง่ งาน และชาว โรมันคาทอลกิ ยงั ยกย่องพระแม่มารีเปน็ แม่ และพระโยเชฟเป็นนักบญุ อกี ด้วย (นกิ ายน้รี บั ศลี ศักด์สิ ิทธิทง้ั 7 ข้อ)

 นกิ ายออร์ธอดอกซ์ เปน็ นิกายทแ่ี ยกออกจากนกิ ายโรมันคาทอลกิ ดว้ ย เหตุผลทางการเมืองและวฒั นธรรมโดยสงั ฆราชเป็นประมขุ สงู สดุ ของศา สนจักร(ไม่ข้นึ ตรงตอ่ พระสนั ตะปาปา) ประจาํ อยทู่ ่ีกรงุ คอนสแตนตโิ นเปลิ สว่ นหลักธรรมทส่ี ําคัญของนิกายนี้แทบไมแ่ ตกต่างจากนิกาย โรมันคาทอลิก ลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งไปจากนิกายโรมันคาทอลกิ เล็กน้อย เชน่ นักบวชผู้น้อยมสี ิทธิ์แตง่ งานได้ (นกิ ายนร้ี บั ศีลศกั ดส์ิ ิทธทิ ง้ั 7 ข้อ)

 นกิ ายโปรเตสแตนด์ เกิดขน้ึ เม่อื พ.ศ. 2063 โดยนกั บวชหนมุ่ ชาว เยอรมนั ชื่อ มารต์ นิ ลเู ธอร์ ผู้ทนดูความเสื่อมโทรมของศาสนาท่ีกรงุ โรม ไม่ไดโ้ ดยเฉพาะการที่พระสังฆราชโลภเห็นแก่เงนิ จนถงึ มีการ เปลย่ี นแปลงพิธลี า้ งบาปด้วยการเอาเงินไปให้แกว่ ัดแทนการสารภาพ จึงคัดค้านแลว้ ต้งั นกิ ายข้นึ ใหม่ เพราะกลา้ คดั คา้ นข้อปฏบิ ัติของ สันตะปาปาทีก่ รงุ โรมนกิ ายนจ้ี งึ ชอ่ื ว่า \"โปรแตสแตนต\"์ แปลว่า \"นิกาย คดั คา้ น\"

หลกั ธรรมคาสอนสาคญั ในศาสนาครสิ ตม์ ีอะไรบา้ ง  1. หลกั ตรเี อกานภุ าพ \"ตรีเอกานภุ าพ\" หมายถงึ ความเชอ่ื วา่ พระเจา้ ทรง มี 3 ภาค ในองค์เดียวกัน ภาคทัง้ สามของพระเจา้ ได้แก่ พระบิดา (พระยะโอวา) พระบุตร(พระเยชู เปน็ พระเจ้าแต่อวตานลงมาเปน็ มนษุ ย์) และพระจติ หรือพระวญิ ญาณบริสุทธ์ิ(จิตใจทที่ ําให้มนษุ ย์ทําความดี พระ จติ จะเป็นผ้ทู ่นี ํามนุษย์ไปสู่อณาจักรพระเจา้ )

 2. หลักความรัก หลักความรกั เป็นหลกั คาํ สอนทางจรยิ ธรรมท่ีสําคัญ ที่สดุ ของศาสนาครสิ ต์(เปน็ แก่นของคาํ สอนเลย) ความรกั ในที่น้มี ใิ ชค่ วาม รักอย่างหนุ่มสาวอนั ประกอบด้วยกเิ ลสตัณหาและอารมณ์ปรารถนาอนั เหน็ แก่ตัว แตห่ มายถงึ ความเป็นมติ รและความปรารถนาให้ผอู้ ่นื มี ความสขุ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ ความรักระหว่างมนษุ ย์กบั พระเจ้า และความรกั ระหว่างมนษุ ยก์ บั มนษุ ย์(กฎทองคํา=จงรกั พระเจ้า รักเพื่อน มนษุ ยแ์ ละ รกั ตัวเอง)

 3. อาณาจักรพระเจา้ หมายถงึ สวรรคน์ ัน้ อง ซ่งึ ผ้ทู ีจ่ ะเข้าไปสู่ อาณาจกั รพระเจา้ ได้จะต้องมศี รัทธาในพระเจา้ อย่างเปน็ หน่งึ เดยี วกนั

ศีลศักดิส์ ิทธ์ หมายถงึ อะไร  ศลี ลา้ งบาป หรอื ศลี จมุ่ ผู้นับถอื ศาสนาคริสต์ทุกคนตอ้ งผา่ นพิธศี ีลล้าง บาปเพ่อื ล้างบาปกาํ เนิด (นกิ ายโปรเตสแตนต์เรียกว่าศลี จุ่ม) เสยี ก่อนจงึ จะเปน็ ชาวคริสตท์ ี่สมบูรณ์  ศีลกาลัง เปน็ พธิ ีกรรมทีแ่ สดงถึงสัมพันธภาพระหวา่ งพระเจา้ กบั มนษุ ย์ ผูใ้ หศ้ ลี กาํ ลังโดยปกติต้องมตี ําแหน่งเปน็ พระสังฆราช (เป็นการยนื ยันวา่ ตนเองเปน็ คริสต์จริงๆ นะ) โดยจะทาํ เมื่อโตแล้ว

 ศีลมหาสนทิ ฝุายคาทอลิกเรียกว่า ศีลมหาสนทิ ฝาุ ยโปรเตสแตนต์ เรยี กว่า มิซซา (Missa) เป็นพิธีกรรมเพ่อื น้อมจติ ระลึกถงึ การ สน้ิ พระชนม์ของพระเยซบู นไม้กางเขน ผ้ทู รี่ บั ศลี นต้ี อ้ งเป็นผูท้ เี่ ชื่อหรอื ยอมรับวา่ พระเยซทู รงส้ินพระชนมบ์ นไม้กางเขน ทําอยา่ งนอ้ ยปีละ 1 ครง้ั  ศลี แก้บาปหรอื อภยั บาป เป็นพธิ ที ช่ี าวคริสตท์ ีส่ ํานกึ ว่าตนไดท้ ําบาปลง ไป จะต้องไปหาบาทหลวง เพอื่ สารภาพถงึ การทาํ ความผิดนนั้ และขอ อภยั โทษจากพระเจา้

 ศีลเจมิ ผ้ปู ่วย เปน็ พิธีท่ีทาํ เพ่ือให้กาํ ลังใจแกผ่ ู้ปุวยหนกั และศลี นจี้ ะ รักษาโรคทางกายให้บรรเทาเบาบางหรอื ใหห้ ายได้หากพระเจา้ ทรงเห็น ว่าจะเป็นประโยชน์แก่วิญญาณของผ้รู บั ศีลน้นั  ศลี บวชเป็นบาทหลวง เป็นพิธีทเี่ จ้าอาวาสในวัดทําใหแ้ ก่ผู้เข้าพธิ ีบวช เพือ่ จะเปน็ พระในศาสนา (คือบาทหลวง) และมอบอาํ นาจที่จะทําหนา้ ท่ี สงฆต์ อ่ ไปการเป็นพระสงฆใ์ นศาสนาครสิ ต์  ศลี สมรส เปน็ ศลี ซง่ึ รวมชายหญิงคูห่ น่ึงต่อพระพกั ตร์พระเจ้าเพอ่ื จะได้ สรา้ งครอบครวั ชาวคริสตท์ ี่สมบูรณต์ ่อไป

ศาสนาอสิ ลาม  ศาสนาอสิ ลาม เปน็ ศาสนา 1 ใน 3 ของศาสนาโลก เกิดในประเทศซาอุดิ อารเบยี เมือ่ พ.ศ. 1133 โดยคดิ ตามปีเกิดของนบีมุฮัมมดั ผู้เปน็ ศาสดา ของศาสนาน้ี คาํ วา่ อิสลาม1มาจากศัพทว์ า่ อสั ลามะ แปลวา่ การอ่อน น้อมถ่อมตนยอมจํานนตอ่ พระเจ้า ส่วนผู้ท่ีนบั ถอื ศาสนาอิสลามเรียกวา่ อสิ ลามิกชน หรอื มสุ ลิม คือผู้ยอมมอบกายถวายชีวติ ตอ่ พระอลั ลอฮ์อย่าง สน้ิ เชงิ

ศาสนาอิสลามมพี ระเจ้าหรอื ไม่  อิสลามเป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม ถอื วา่ มพี ระเจ้าสูงสดุ เพยี งองค์ เดยี วคอื พระอลั ลอฮ์ พระองค์ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่ง ทรงกาํ หนด ชะตากรรมของมนุษย์และสรรพสัตวท์ รงเปน็ ผู้รู้ทุกส่งิ ทกุ อย่าง ทรงมี สรรพเดช มีอิทธิฤทธ์ิเหนือกวา่ สิง่ ใด ทรงครอบงําทกุ ส่งิ ทุกอย่าง ไมม่ ี อะไรอย่นู อกเหนือพระองค์ แต่ศาสนาอสิ ลามไม่เช่อื เรือ่ งพระเมสสิอาห์ นะครบั จงึ ตา่ งกับศาสนาคริสต์ แต่อยา่ งไรก็ตามท้ังครสิ ต์และอิสลาม ก็ตา่ มมที ม่ี าจากศาสนายิว

ใครเป็นศาสดาของศาสนาอิสลาม  ศาสดาของศาสนาอสิ ลามก็คือ ระมะหะหมดั หรือพระนบมี ะหะหมดั หรือมุฮัมมัด ประสูติทเี่ มอื งเมกกะ เมอ่ื วันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 570 บิดา ช่อื อบั ดุลเลาะห์ มารดาช่ือ อามีนะฮ์ บิดาถึงแกก่ รรมขณะที่ มารดา ต้งั ครรภ์พระองคไ์ ด้ 2 เดือน ภายหลงั พระองค์ประสตู ไิ ดไ้ มน่ าน มารดา ของพระองค์ก็ถึงแก่กรรม พระองคต์ ้องอาศยั กับปุูซึง่ ชราอายุรว่ ม 100 ปี ไมน่ านปุกู ถ็ ึงแกก่ รรม พระองค์ตอ้ งไปอาศัยอยกู่ บั ลงุ ซ่งึ เปน็ พอ่ ค้าที่ รํา่ รวย ลงุ ฝกึ สอนให้พระมฮุ ัมมดั ทาํ การค้าขาย และทา่ นไดแ้ ต่งงานกบั คาดียะห์ เป็นหญงิ หมา้ ย อายุแกก่ ว่าพระมุฮมั มัด18 ปี แต่เป็นหญงิ มง่ั คง่ั และใจดมี าก

 มุฮัมมดั มักจะไปแสวงหาความสงบทางจิตใจอยตู่ ามลาํ พงั เสมอ เม่ือท่าน อายไุ ด้ 40 ปี ท่านก็ไดร้ ับโองการจากพระเจา้ คือพระอลั เลาะห์ใหท้ ่าน เปน็ นบีผมู้ หี นา้ ทปี่ ระกาศเทวโอการของพระเจ้า ศาสดามุฮมั มัดรู้วา่ การ เผยแผ่ศาสนานะเมอื งเกิดคอื เมืองเมกกะนั้นไม่สามารถเผยแผ่ได้ทา่ นจึง ไดอ้ พยพไปเผยแผท่ ่ีเมอื งเมดินา ในปี ค.ศ.622 ซงึ่ ถอื ได้ว่าเปน็ การนับ ฮิจเราะหศ์ ักราช (ฮ.ศ.) 1 ดงั นัน้ เมอื งเมดนิ าจึงถือว่าเป็นรัฐอสิ ลามแห่ง แรกของโลกเลย

คมั ภีร์ของศาสนาอิสลามเรียกวา่ อะไร  เรยี กว่า คมั ภีร์อลั กุรอาน ครับ ถือไดว้ ่าเป็นของพระเจ้าครับ จึงหา้ มแตะ ต้องและแก้ไข สว่ นคาํ ว่า \"กรุ อาน แปลว่า \"ส่ิงทีจ่ ะตอ้ งอ่าน\" \"บทอา่ น\" หรอื \"บททอ่ ง” คัมภีร์อัลกุรอานกาํ เนิดมาจากการเขยี นข้ึนของคาํ บอก เลา่ ของท่านนบีมฮุ มั มดั ผ้อู า้ งวา่ ได้รับทราบจากทตู สวรรค์บ้าง จาก พระอลั ลอฮ์โดยตรงบ้าง กลา่ วคือ พระอลั ลอฮ์ทา่ นทรงประทานมาใหแ้ ก่ ท่านนบีมุฮมั มดั ในลกั ษณะลงวะฮีย์ (เผยโองการ) โดยตรงบา้ ง โดยผ่าน มหาเทพกาเบรียลสู่ทา่ นนบีบา้ ง เพอ่ื ใหใ้ ช้เป็นธรรมนญู ในการดําเนิน ชีวติ ของมุสลมิ ทั่วโลก มุสลิมทุกคนถือวา่ คัมภรี อ์ ลั กุรอานเปน็ ส่ิง ศักด์ิสทิ ธทิ์ จี่ ะตอ้ งแสดงความเคารพอย่างเคร่งครัด

 และยงั มอี ีกคมั ภรี ค์ ือ อลั ฮะดิส เปน็ ของท่านศาสดามุฮัมมดั เกย่ี วกับคํา สอนและการดาํ เนนิ ชวี ติ ซง่ึ สามารถทจ่ี ะแกไ้ ขได้ ซ่งึ สาวกของท่านเป็นผู้ รวบรวมไว้ การรวบรวมนมี้ อี ยู่หลายคร้งั แตม่ สุ ลิมสว่ นใหญ่ถอื วา่ อัล ฮะดิส ได้รวบรวมขึ้นในสมยั คอลีฟะห์ อะบาชิด (ค.ศ. 875)

ศาสนาอสิ ลามมีกนี่ ิกาย  การแตกแยกเปน็ นกิ ายตา่ งๆ ของศาสนาอสิ ลามได้เริ่มต้นตง้ั แต่ศาสดามุฮมั มัดทรง มรณภาพแลว้ สาเหตสุ าํ คญั ทส่ี ุดเกิดจากขอ้ คิดเห็นไม่ตรงกนั เกย่ี วกับตาํ แหน่ง ผู้นาํ ทางศาสนามากกวา่ อยา่ งอน่ื น่ันคอื ฝุายหนงึ่ มีความเหน็ วา่ ตาํ แหนง่ ผนู้ ําทาง ศาสนาสืบต่อจากศาสดามฮุ ัมมัดควรไดแ้ กท่ ายาทของพระองค์ คือ อลยี ์ อกี ฝุาย หน่ึงมีความเห็นวา่ ควรมาจากการเลอื กต้งั  การแตกแยกนกิ ายสมยั แรกเรมิ่ มี 2 นกิ าย คอื ฝุายท่ีนับถอื อาลี เรียกตนเองว่า นกิ ายชอี ะห์ แปลว่า สาวก หรอื ผปู้ ฏบิ ัติตาม สว่ นฝาุ ยทีต่ อ้ งการให้ผู้นําทางศาสนา มาจากการเลอื กตัง้ เรียกตนเองว่า นิกายฆวารชิ แปลวา่ ผแู้ ยกตวั ออก การแตกแยก ของสองนกิ ายแรกนนั้ มสุ ลมิ สว่ นใหญ่ไมเ่ ห็นด้วย จงึ ทาํ ใหเ้ กดิ นิกายท่ี 3 เรยี กวา่ นกิ ายซุนนี แปลว่า ผ้ถู อื ตามตํานานเดมิ

 นิกายซุนนี คาํ ว่า \"ซนุ นี\" แปลว่า \"มรรคา\" หรอื \"จารตี \" นับถือคมั ภรี น์ ี้ เป็นผูท้ ่ีเคร่งครัดนกิ ายนจี้ ดั ไดว้ ่าเป็นพวกออร์ธอดอกซ์ของอสิ ลาม และ ไม่ชอบใหใ้ ครมาเปลยี่ นแปลงคาํ สอนที่มอี ยเู่ ดิม ซนุ นีถือว่าภายหลังจาก ทีพ่ ระศาสดามุฮมั มดั สิ้นชีพแล้วและได้มีองคก์ าหลบิ ท่สี ืบตอ่ มาอกี เพยี ง 4 คนเท่านน้ั ตอ่ จากน้ันกไ็ มม่ ีกาหลบิ สบื ต่อ มีแต่ผ้นู บั ถือศาสนาอิสลาม ธรรมดา (เป็นนิกายที่ชาวมุสลมิ สว่ นใหญน่ ับถือกัน รวมท้ังชาวมสุ ลิมใน ประเทศไทยและประเทศเพอ่ื นบ้านด้วย) พวกนกิ ายน้ใี ชห้ มวกสีขาวเป็น สัญลักษณ์ และถือว่าเป็นนิกายดงั้ เดิม

 นกิ ายชีอะฮ์หรอื ชิเอฮ์ คาํ ว่า ไชอี ะฮ์หรอื ชเิ อฮ์\" แปลวา่ \"ผู้ปฏบิ ัติตาม\" หรือ \"สาวก\" นิกายนใี้ ชห้ มวกสีแดงเป็นสญั ลกั ษณ์ นิกายน้ีไดแ้ ตกแยก ออกมาจากนิกายซุนนี นิกายน้มี ีความเลื่อมใสในตวั ทา่ นอาลซี ่งึ ถือว่า เป็นญาติและเปน็ บตุ รเขยของทา่ นศาสดามุฮัมมัด นิกายชีอะฮ์นี้มีผ้นู บั ถอื มากท่ีสุดในประเทศอหิ รา่ น อริ กั อนิ เดยี

 นิกายคอวารจิ ญ์ หรอื ฆวาริซเกิดขึน้ ในสมยั ท่ขี ้าหลวงแควน้ ซึง่ อยทู่ ่เี มือง ดามสั กสั คดั คา้ นไม่ยอมรบั ฐานะของอาลีย์บตุ รเขยพระมุฮมั มัดเปน็ กา หลิบ และไดแ้ ยกตัวออกเป็นอสิ ระทําสงครามกับอาลีย์ อาลีย์เป็นฝุาย ปราชัย ถกู ลอบสังหารถงึ แกค่ วามตาย หะซันบตุ รของอลยี ์จึงตอ้ งยอม ออ่ นน้อม ผ้นู ําฝุายตอ่ ตา้ นจงึ ได้เป็นยาซิตในกาลต่อมา และได้กําจดั หุ ซัยน์บตุ รชายคนเลก็ ของอลยี ์อีกด้วย นกิ ายนีน้ บั ถอื กันอยู่ในแถบ ตะวันออกกลาง

อะไรคอื จุดหมายสงู สดุ ของศาสนาอสิ ลาม  จดุ มุ่งหมายสูงสุดของคนมสุ ลมิ หลงั จากความตายคอื ไปอยู่ในอาณาจักร ของพระเจ้าน้ันก็คอื พระอลั เลาะห์ โดยทพ่ี ระเจ้าจะเปน็ ผู้ทรงเลือกวา่ ผูใ้ ด สมควรทจ่ี ะไปอยูใ่ นอาณาจักรกับพระเจา้ หรอื ใครไมส่ มควรอยใู่ น อาณาจกั รเดียวกับพระองค์ โดยพระเจา้ จะเปน็ คนพิพากษาเองในวัน พพิ ากษา

หลกั ศรทั ธา 6 คืออะไร  ศรทั ธาในพระเจ้า(พระอัลเลาะห์)เพียงพระองคเ์ ดยี ว หา้ มบชู ากราบ ไหวส่ิงอนื่ ใด แตส่ ามารถทจ่ี ะไหวค้ นที่เราเคารพรักได้  ศรัทธาในบรรดามลาอกิ ะฮ์ของพระอลั เลาะห์ หรอื เทวฑตู ซ่ึงเป็นผรู้ ับ ใชพ้ ระเจา้ เป็นสื่อกลางในการติดตอ่ ระหวา่ งพระเจ้ากับศาสดา มีสถานะ เปน็ วญิ ญาณ ที่สําคัญกค็ ือ ญิบรออลิ  ศรทั ธาในบรรดาคมั ภีร์ของพระอลั เลาะห์ คอื คัมภรี ม์ ที ั้งหมด 104 เล่ม เล่มสุดท้ายก็คอื พระคัมภรี ์อัลกุรอ่าน

 ศรัทธาตอ่ พระศาสนทูต(รอซูล) จํานวนศาสนทตู ทป่ี รากฎในคัมภีร์ คัมภรี ์อลั กุรอ่าน มที ง้ั หมด 25 ท่าน  ศรัทธาในการตดั สินของพระเจ้าในวันพิพากษา (วันสน้ิ โลก วันท่โี ลก ต้องแตกสลาย) มนษุ ยท์ ุกคนจะฟน้ื คืนชีพเพอ่ื รอรบั การพิพากษาจากพระ เจา้ ดงั น้นั เมอ่ื คนมสุ ลิมตาย ศพของพวกเขาจะฝังเอาไว้เพอื่ รอการตัดสนิ  ศรัทธาในพระลิขิต กค็ อื กฎสภาวการณ์ของพระอัลเลาะห์ ทุกสง่ิ ทกุ อยา่ งเป็นไปตามท่พี ระเจ้ากําหนดแบง่ ออกเป็นกฎตายตวั และกฎไม่ ตายตวั (แล้วแตพ่ ระเจ้า)

หลักปฏิบัติ 5 ละครบั คอื อะไร  การปฏญิ าณตนว่า “ไม่มพี ระเจา้ อน่ื ใดนอกจากอัลเลาะห์ และทา่ นน บีมูฮมั มัด คอื ศาสนฑูตของพระองค์” ซงึ่ เป็นหัวใจของชาวมุสลมิ ทุกๆๆ คนครับ ซึง่ เป็นการยืนยันดว้ ยวาจาวา่ ตัวเองมีความศรทั ธาดังที่กล่าวมา ขา้ งต้นและพร้อมทจ่ี ะปฏิบัติตามบทบัญญตั แิ ละเงือ่ นไขต่าง ๆ

 การละหมาด คอื การแสดงความเคารพสักการะและการแสดงความ ขอบคณุ ตอ่ อลั เลาะห์ ซึง่ จะกระทาํ วนั ละ 5 เวลา คอื ตอนร่งุ อรณุ ตอน บ่าย ตอนตะวนั คล้อย ตอนดวงอาทิตย์ตกดิน และในยามคา่ํ คืน โดยใน การละหมาดทกุ คร้ังมสุ ลมิ ทุกคนจะหันหน้าไปทางตะวนั ตก(ประเทศไทย) นั้นคือนครเมกกะ(มกั กะ) และการละหมากเปน็ หนา้ ท่ขี องมุสลิมทุกคน ต้ังแต่เรม่ิ มคี วามรูส้ ึกทางเพศ (สาํ หรบั ผชู้ าย) และเริ่มมีประจาํ เดอื น (สาํ หรบั ผหู้ ญงิ )

 การถือศลี อดในเดอื นรอมฎอน คอื การงดเวน้ จากการกิน การดม่ื การ เสพสง่ิ ตา่ ง ๆ การมคี วามสมั พนั ธท์ างเพศฉันสามีภรรยา ตลอดจนกา รอดกลน้ั อารมณใ์ ฝุต่าํ ท้ังหลายและการนนิ ทาว่ารา้ ยผู้อ่นื ตงั้ แต่ดวง อาทติ ย์ขน้ึ จนถึงดวงอาทติ ย์ตก เพื่อท่ีจะทาํ ใหเ้ กิดความอดทน แล้วจะได้ คิดชว่ ยเหลือคนอ่ืน ทุกคนต้องทาํ ยกเวน้ แต่หญิงมคี รรภ์ คนชรา คนเดนิ ทางไกล

 การจา่ ยซะกาต คอื การจ่ายทรัพยส์ นิ ในอตั ราทีศ่ าสนากําหนดไว้ จํานวนหนึ่งจากทรพั ย์สนิ ที่สะสมไวเ้ ม่ือครบกาํ หนดเวลา โดยจะต้อง จา่ ยทรพั ย์สินนี้ใหแ้ ก่คนทีม่ สี ิทธไ์ิ ดร้ บั 8 จําพวกตามท่ีคมั ภีรก์ ุรอานได้ กําหนดไวอ้ ันไดแ้ ก่ 1) คนยากจน 2) คนท่ีอตั คัดขัดสน 3) คนทมี่ หี วั ใจ โนม้ มาสอู่ ิสลาม 4) ผบู้ รหิ ารการจดั เก็บและจา่ ยซะกาต 5) ไถ่ทาส 6) ผู้มี หนี้สินล้นพ้นตวั 7) คนพลดั ถน่ิ หลงทาง 8) ใช้ในหนทางของพระอลั เลาะห์

 การประกอบพิธีฮจั ญ์ เป็นการไปประกาศสัตยาบันตอ่ พระอลั เลาห์ โดย การแตะหินดาํ ท่ีวิหารกะบะห์ ท่ีประเทศซาอดุ ิอาระเบยี เพ่ือให้ชาวมุสิม ระลึกถึงพระเจ้า สรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างชาวมุสลิมใหเ้ ปน็ หนง่ึ เดียว เปน็ พิธีเดียวทไ่ี ม่บงั คบั แกม่ สุ ลิมทกุ คน ถ้าใครสามารถไปได้ก็เช่อื วา่ จะ เขา้ หาพระเจ้าไดเ้ มื่อตนเองตายไปแล้ว

คุณสมบตั ิของผู้ทีจ่ ะไปประกอบพิธีหจั ญ์ มอี ะไรบา้ ง  ตอ้ งเปน็ มุสลมิ  บรรลุศาสนภาพ ฮัจญี(ชาย) อายุ 15 ปี ฮจั ญี(หญงิ ) อายุ 9 ปี  ไม่เปน็ คนวิกลจริต(ครูจะอธิบายใน บทท่ี 2 เรอ่ื งกฎหมายนะครับ)  เปน็ อสิ ระชน (ไม่เป็นผู้ถูกจอกจาํ จําคุกนะ)  มีเสบยี ง ทรพั ย์สนิ เงนิ ทอง เพยี งพอท้งั ไปทั้งกลับ  มยี านพาหนะทีส่ ามารถใช้เดินทางไปกลับได้(มีตว๋ั เครือ่ งบิน เรือ)  มีสภาพรา่ งกายปลอดภยั ในการเดินทางไปกลับ

ศาสนาอิสลามมพี ิธีกรรมอะไรเด่นๆ บา้ ง  พิธลี ะหมาดหรือนมาซ เป็นพิธีท่ชี าวมสุ ลิมนมสั การแสดงความเคารพ ตอ่ พระเจา้ เปน็ กิจวัตรท่สี าํ คัญที่สุด ต้องประกอบพิธีนว้ี นั ละ 5 ครงั้  พิธสี ุขสนั ตว์ ันประสูติพระศาสดา หรือ มีลัด ชารีฟ เปน็ พิธีเฉลิมฉลอง เพอ่ื ความสขุ สนั ต์ เพื่อความสนุกสนาน เนื่องในวนั คลา้ ยวนั ประสตู ิของ พระศาสดานบีมฮุ ัมมัด ซงึ่ ตรงกับวนั ที่ 12 ของเดือนรอบีอลุ เอาวลั โดย จะมีชาวมุสลจะร่วมกนั อดอาหาร มีการไปเย่ียมบา้ นของกันและกัน จะมี การสวดพระบัญญตั ใิ นคัมภีร์อัลกุรอานร่วมกันอย่างสนุกสนาน

 พธิ สี หุ นตั เดก็ ชายมุสลิมอายุระหวา่ ง 2-10 ขวบ จะต้องได้รบั พิธีสหุ นตั คือการตดั หนังหุม้ ปลายองคชาติซ่งึ ถือวา่ เปน็ หน้าทแี่ ละเปน็ สง่ิ ควร สรรเสรญิ ทง้ั เปน็ ธรรมเนียมเบื้องต้นของการแต่งงาน  พธิ ีซาเบบารัต เปน็ พธิ ที าํ บุญอุทศิ ให้แก่ญาตผิ ู้ล่วงลบั ไปแล้ว ชาวมุสลมิ จะนยิ มประกอบพิธนี ้ใี นวนั ที่ 14 ของเดอื นชะบาน (เดือนที่ 8 ของเฮจริ อ ศักราช)โดยการบวงสรวงวญิ ญาณของญาตพิ ่นี ้องด้วยขนมและอาหารท่ี หลุมฝงั ศพของญาตผิ ลู้ ว่ งลับไป

 พิธสี มรส คู่สมรสจะตอ้ งเปน็ มุสลิมด้วยกนั การประกอบพธิ ีสมรสท่ดี ีท่ีสดุ ควรประกอบพิธี ในมัสยิด  พิธีศพ ต้องจดั การฝังใหเ้ รียบร้อยภายใน 24 ชั่วโมง  พธิ อี ิดอซู ซูฮา เป็นพธิ ีสังเวยพระเจ้าด้วยแพะ

ศาสนาอิสลามลี ักษณะเด่นอะไรทีแ่ ตต่ ่างกบั ศาสนา อืน่ ๆ  การปฏิบัติศาสนกจิ กับการดําเนนิ ชวี ิตสว่ นตงั ตอ้ งดาํ เนนิ ไปด้วยกนั ไม่แยกออกจากกนั  ไมม่ กี ารแยกระหว่างการเมอื งและศาสนา รัฐอิสลามส่วนใหญ่จะใช้คมั ภรี ์อัลกุรอานเป็น รฐั ธรรมนญู และเป็นกฎหมายใชบ้ งั คับในประเทศด้วย  มีกาหลิบ เปน็ ทัง้ ผู้นาํ ทางศาสนาและทางการเมอื งด้วย(ทําหนา้ ที่ปกครองด้วย)  ไมม่ ีการสรา้ งรปู ป้นั หรือมีรปู ของศาสดา เอาไวเ้ คารพบูชา

ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู  ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกดิ ในประเทศอนิ เดียก่อนพระพุทธศาสนาประมาณ 1000 ปี เป็นศาสนาด้งั เดมิ ของชนเผา่ อารยันและผสมผสานกบั การบูชาธรรมชาติของพวกทราวทิ ผสมผสานเปน็ วฒั นธรรมของตนข้ึนมาใหมว่ วิ ฒั นาการของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู มกี าร เปลีย่ นแปลงเกย่ี วกบั ความเช่อื ทางศาสนาดงั น้ี

 สมยั พระเวท 800-300 ปีก่อนพทุ ธศกั ราช นบั ถอื เทพเจ้า 3 กลมุ่ คือ เทพเจ้าบน พื้นโลกเทพเจ้าบนอวกาศ และเทพเจา้ บนสวรรค์  สมัยพราหมณ์ 300-100 ปีก่อนพุทธศกั ราช เกิดเทพองคใ์ หม่ คอื พระพรหม โดย เปน็ ผู้สรา้ งทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ต่อมาเกดิ ความเชอื่ เรอื่ งตรมี ูรติ คือ แบง่ เทพออกเป็น 3 องค์ คอื พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ  สมยั ฮนิ ดู พ.ศ. 743 เขา้ สยู่ คุ ใหม่ เรียกวา่ ยุคระบบทรรศนะทัง้ 6 ความเชื่อในสมัยน้ี เช่ือในทฤษฎีสังสารวัฏ ตอ้ งการจะหลุดพ้น เพื่อเขา้ สู่ปฐมวญิ ญาณ ระบบทรรศนะท้งั 6 ไดแ้ ก่ ลัทธิสางขยะ ลทั ธโิ ยคะลัทธินยายะ ลทั ธิไวเศษิกะ ลทั ธมิ ีมางสา ลทั ธิเวทานตะ

วรรณะในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีอะไรบา้ งและมี ความสาคัญอยา่ งไร  วรรณะ แปลวา่ สีผิว สันนิษฐานว่าการแบง่ ช้ันคนในระยะแรกนา่ จะถอื ตามสีผวิ ซ่งึ แต่เดิม มเี พยี ง 2 วรรณะ คือ พวกผิวดํา ไดแ้ ก่ พวกทราวิท(ดราวเิ ดยี น) กับพวกผิวขาว ได้แก่ ชาวอารยนั ซึ่งในเวลาต่อมาได้แบง่ ออกเป็น 4 วรรณะ คอื


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook